เกียร์สีขาวกับกาวน์สีฝุ่น
ตอนที่ 39 : ภาพถ่าย
“ไอ้อิฐ...”
มันหันมายิ้มกับเขาแต่ไม่พูดอะไร มือของไอ้ตัวต้นเรื่องดึงเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ที่กำลังว่างอยู่อีกตัว พร้อมเอานิ้วชี้มาแตะตรงปากเป็นสัญญาณว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
เขานั่งลงพร้อมหันไปดูภาพตัวเองที่ฉายอยู่บนผนังว่างอยู่ตอนนี้
ไอ้อิฐก้มลงไปก้มหน้างุดจัดการกับรีโมทในมือ ส่วนเขาก็ได้แต่มองมันจากด้านข้างอย่างเงียบๆ มันยังอยู่ในชุดนักศึกษาจากรอบสุดท้ายที่แข่งตอบคำถาม
อิฐก้มลงไปงมอยู่กับรีโมทครู่หนึ่งก็กดปุ่มหนึ่งในที่สุด ภาพที่เคยเป็นภาพนิ่งบนฝาผนังอยู่ตอนนี้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหว มันเหมือนเป็นวีดีโอที่เกิดจากการเอาภาพเก่าๆ มาเรียงต่อกัน มันไม่พูดอะไรนอกจากตั้งใจมองภาพตรงหน้า ราวกับจะบอกเขาว่าให้ตั้งใจดูไปด้วยกัน
ภาพแรกเป็นรูปตอนเผลอสมัยมัธยมปลาย
ภาพนี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตอนไหนหรือเมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ว่าน่าจะเป็นภาพตอนอยู่โรงอาหาร ดูเหมือนไหล่ของไอ้ว่านจะติดมาในภาพด้วย
ภาพที่สองเป็นรูปเขาตอนกำลังเรียนเตะตะกร้อ
สภาพของเขาโคตรทุลักทุเลและน่าตลกเต็มทน เด็กชายหน้าเนิร์ดใส่แว่นหนาเตอะ กำลังพยายามเดาะตะกร้อให้ได้ครบสิบทีเพื่อจะไปสอบเก็บคะแนน
ภาพที่สามเป็นรูปเขาตอนยืนอยู่หน้าเสาธง
เขาจำได้เลยว่าตอนนี้เป็นตอนที่เขากลับมาจากแข่งขันเคมีโอลิมปิกและได้เหรียญทองกลับมาประเทศ ฉากไวนิลรูปหน้าเขาเด่นหราแปะอยู่หน้าโรงเรียนอยู่เป็นเดือน
ภาพที่สี่เป็นรูปของตอนเรียนรด.
ดูเหมือนมันจะแอบถ่ายเขาตอนที่อยู่ที่ศูนย์ฝึก สภาพเขากำลังทำหน้าเบื่อโลกถึงขีดสุด และรำคาญอากาศที่ร้อนตับแลบแบบนี้
ภาพที่ห้าเป็นรูปของเขาข้างสนามบาส
เขาจำได้ดีเลยว่าวิชานั้นเป็นวิชาพละแล้วอาจารย์ให้เลือกระหว่างเรียนพละหรือไปเชียร์เพื่อนแข่งกีฬาร่วมกับโรงเรียนอื่นที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขานั่งดูไอ้อิฐแข่งกีฬาอย่างจริงจังเต็มสองตา ก็อย่างว่า ถ้าไม่โดนบังคับเขาก็คงไม่ยอมมานั่งดูกีฬาเด็ดขาด
ภาพที่หกเป็นรูปของเขาตอนยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าหอ
เดาไม่ยากว่าเป็นวันแรกที่พวกเขาเจอกันในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย วันที่เขาถูกท้าแข่งให้มาร่วมประชันการเป็นเดือนมหาวิทยาลัยกับมัน
ภาพที่เจ็ดเป็นรูปเขากำลังหย่อนลูกเหล็กลงในหลอดแก้วที่ใส่น้ำมันอยู่
ภาพนี้คือแลปฟิสิกส์ที่เรียนที่คณะวิศวะของมัน ตอนนั้นยังเกร็งๆ กับการคุยกับมันอยู่เลยมั้ง อย่างว่า เขาก็เป็นคนที่ปากหมาใส่มันไว้เยอะ
ภาพที่แปดเป็นรูปตอนเขานอนอยู่ในหอแบบหมดแรง
ไอ้อิฐคงจะถ่ายตอนที่มันหายจากพิษไข้แล้วปล่อยให้ผมนอนพักอยู่ในห้อง สภาพของเขากำลังนอนพริ้มหัวยุ่งอย่างสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง
ภาพที่เก้าเป็นภาพเสื้อคู่ที่มันเอื้อมมือมาเช็ดซอสที่ปากให้กับเขา
ภาพนี้เองที่แอดมินเพจเอฟซีอะไรนั่นขอถ่ายไปจนกลายเป็นกระแสเรื่องราวใหญ่โต มองแบบนี้มันก็ดูไม่ใช่แค่เพื่อนจริงๆ แหละ ทั้งอากัปกิริยา ทั้งเสื้อที่ใส่ มันก็คงไม่แปลกใจที่ใครจะเข้าใจผิด
ภาพที่สิบเป็นภาพในค่ายผู้นำของมหาวิทยาลัย
ตอนนั้นเขากำลังเล่าเรื่องความฝันและอนาคตของเขาอย่างออกรส เขาคงเรียนจบไปเป็นหมอแล้วก็ดูแลกิจการโรงพยาบาลของพ่อแม่เขาต่อ
ภาพที่สิบเอ็ดเป็นภาพบนเตียงนอนในค่ายผู้นำ
ไอ้อิฐมันแอบถ่ายเขาตอนก่อนตื่นนอนอีกแล้ว รูปนี้น้ำลายเขาหกด้วย เห็นแล้วก็หน้าชาไปด้วยความอาย อยากให้มันเลื่อนผ่านจากตรงนี้ไปเร็วๆ
ภาพที่สิบสองเป็นรูปเขาตอนกำลังหยิบของออกจากลูกบิดประตู
มันนี่เองที่เป็นคนส่งเขาให้เขาอยู่ตลอดเวลา ถึงว่าทำไมมันถึงกะจังหวะได้ดีได้ถูกตลอด มันก็อยู่ใกล้ตัวเขาแค่นี้นี่เอง
ภาพที่สิบสามเป็นรูปเขาตอนก้มลังก้มหน้าเล่นบอร์ดเกม
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขายอมออกไปตามคำขอของมัน จำได้ว่าวันนั้นมีคนขอเบอร์มันด้วย มันบอกว่ามันชอบผู้ชาย แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่คิดว่ามันพูดจริง
ภาพที่สิบสี่เป็นรูปเขาตอนอยู่ในห้องสมุด
จากมุมกล้องแล้วมันน่าจะยืนแอบถ่ายอยู่ตามชั้นหนังสือตรงไหนสักแห่งหนึ่ง เดาไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นวันแรกที่มันเอาการ์ดจาก 950 มาให้หรือเปล่า เพราะเขาก็จำชัดเจนแน่นอนลงไปไม่ได้
ภาพที่สิบห้าเป็นจอกระดานการแข่งหมากรุก
ภาพนี้มาจากตอนเขาแข่งหมากรุกตอนกีฬาเฟรชชี่ นักกีฬาจะอยู่อีกห้องเงียบๆ เพื่อใช้สมาธิ แต่คนดูจะอยู่อีกห้องและดูภาพกระดานที่ถ่ายทอดออกมาแทน เขาไม่ยักรู้มาก่อนว่ามันมาดูเขาแข่งด้วย
ภาพที่สิบหกเป็นรูปที่มันอุ้มตัวเขาออกมาจากสนามบาส
มองภาพนี้แล้วเขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายก้อนใหญ่ มองยังไงก็เหมือนคนมีความสัมพันธ์พิเศษ ไม่รู้ว่ารูปมาจากกล้องไหน และมันแพร่กระจายไปอยู่ที่ใดบ้าง แต่เชื่อขนมกินเลยว่าใครก็ตามที่เห็นภาพนี้ต้องคิดว่าเขามีอะไรเลยเถิดกับไอ้อิฐแน่นอน
ภาพที่สิบเจ็ดเป็นรูปตอนที่เขานั่งเหม่อในรถหลังจากทำแผลมาเสร็จ
เดาว่ามันน่าจะแอบถ่ายตอนหลังกลับจากโรงพยาบาลเพราะเห็นผ้าปิดแผลที่อยู่ตรงหัวคิ้วเขาชัดเจน ไหนตอนนั้นทำเป็นอารมณ์บูด อารมณ์บูดแล้วมาแอบถ่ายรูปไว้ทำไม
ภาพที่สิบแปดเป็นรูปของเขาตอนกำลังนั่งร้องเพลงอยู่กับไอ้ว่าน
ภาพวันนี้ตอนประกวดนี่เอง พูดอะไรไปเยอะแยะมากเพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะมีความคิดอะไรกับเขาแบบนี้ พูดแล้วหน้าเขาก็ร้อนฉ่าขึ้นมา ถ้ามันรู้ว่าที่พูดไปก่อนร้องยาวเหยียดและเพลงที่ร้องวันนี้ก็หมายถึงมัน มันต้องล้อเขาจนแก่แน่
ภาพที่สิบเก้าเป็นรูปตอนเขารับรางวัลเดือนมหาวิทยาลัย
ภาพนี้ดูรู้เลยว่ามันน่าจะถ่ายเอง เพราะมุมกล้องมาจากด้านหลังเฉียงๆ หน่อย มันคงจะถ่ายมาจากตำแหน่งที่มันไปยืนรอรางวัลที่สองอยู่
ภาพสุดท้ายเป็นภาพเขาที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดที่เปลือยเปล่าของมัน
ภาพนี้น่าจะมาจากตอนสมัยมัธยมปลายที่พวกเขาไปอยู่ในห้องชมรมกันจนดึกและถูกล๊อคจากด้านนอกจนออกมาข้างนอกไม่ได้ โทรศัพท์ก็ลืมไว้ด้านนอกจนต้องค้างคืนอยู่กับมันสองต่อสอง
‘เดี๋ยวนะ ถ้ามันไม่มีโทรศัพท์แล้วมันถ่ายรูปนี้ได้ไง’
“ไหนมึงบอกว่าลืมไว้โทรศัพท์ไว้นอกห้อง”
เสียงของเขาดังขึ้นเป็นคำถามทันทีที่รูปนั้นดับลงและภาพจอก็มืดไป ดูเหมือนว่ารูปนั้นจะเป็นรูปสุดท้ายที่มันตั้งใจจะให้เขาดูพอดี
“ถ้าบอกว่าไม่ลืมจะได้นอนค้างคืนกับไป๋หรือครับ” มันหันมาพูดยิ้มๆ รอยยิ้มของมันทำคนหัวใจวายตายมากี่คนแล้วเนี่ย
“มันต้องมาเรียกไป๋พูดครับเลย กูจั๊กกะจี๊ เรียกกูมึงแบบเดิมก็ดีแล้ว” เขาพูดพร้อมกับสีหน้าที่แดงขึ้น
“ไม่ได้สิครับ วันนี้ผมมาสารภาพรักกับไป๋ ถ้าผมพูดไม่ดีแล้วผมแห้วใครจะรับผิดชอบ”
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มันพูดว่าอะไรนะ ผิวหน้าของเขาเริ่มร้อนขึ้นมาอย่างควบคุมได้ยาก แต่เขาก็พยายามกลบเกลื่อนอาการตรงหน้าไม่ให้แสดงออกจนคนตรงหน้าจับสังเกตได้ เขาพอจะรู้ว่าการเดินมาเจอกันที่ห้องนี้หมายถึงอะไร แต่เขาอาจจะไม่ได้เตรียมใจมารับมือกับความตรงไปตรงมาของคนตรงหน้านี่ บทจะพูด คนตรงหน้าก็พูดตรงจนเขาแทบจะลืมไอ้อิฐคนที่เขาคุ้นเคยไปเสียหมดสิ้น
“ตกลงมึงคือ 950 จริงเหรอ” เขาถามด้วยเสียงเรียบ
“ใช่สิครับ ไป๋จำไม่ได้เหรอว่าเลขนี้หมายความว่าอะไร” มันถามกลับมา
“หมายเลขห้องชมรมที่โรงเรียนเก่าสินะ” เขาตอบ
“อ๊าว ไป๋ก็จำได้ แล้วทำไมถึงไม่รู้ว่าผมเป็นใคร” มันเลิกตาถามแบบงงๆ
“กูรู้ว่าคนที่มีเรื่องกับกูเรื่องห้อง 950 กับกูก็มีแค่มึงคนเดียว” เขาพูด
“แปลว่าไป๋รู้นานแล้วว่าผมคือใคร”
“ไม่หรอก กูไม่กล้าคิดหรอกว่าเป็นมึง”
เขาไม่เคยลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่ห้องชมรมโรงเรียนเก่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ตอนนั้น ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องการยุบห้องชมรมหนึ่งไปทำเป็นห้องเรียนใหม่ที่จะเปิดรับเด็กเพิ่มในปีการศึกษาหน้า ห้องชมรมของชมรมกีฬาและชมรมวิชาการจึงจะต้องเหลืออยู่เพียงห้องเดียว พวกเขาทั้งสองในฐานะหัวหน้าชมรมจึงต้องเปิดศึกแข่งขันกันแย่งห้องชมรมที่จะเหลืออยู่เพียงหนึ่ง
น่าตลกที่การแข่งขันไม่ได้นำมาซึ่งความขัดแย้งเสียทั้งหมด แต่เขาก็ได้รู้จักคนตรงหน้ามากขึ้นและเรียนรู้ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ไอ้อิฐไม่ใช่คนที่ไม่ดีอะไรเลย สมัยเป็นนักเรียนอาจจะยังมีชื่อประธานชมรมค้ำคออยู่ แต่ตอนมหาวิทยาลัยไม่มีแล้ว พวกเขาจึงได้กลายมาเป็นเพื่อนกันเพราะอย่างน้อยก็รู้จักนิสัยกันดีจากเรื่องราวที่ต้องจับพลัดจับผลูมาเจอกันบ่อยครั้ง ทั้งหมดทั้งมวลก็เริ่มมาจากมหากาพย์ห้อง 950 นั่นแหละ
ความจริงเขาพอจะเดาออกเรื่องอิฐมานานแล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าคิดแม้กระทั่งว่าไอ้อิฐจะมาสนใจคนอย่างเขา เขาจึงเลือกที่จะหยุดคิดเรื่องนี้ต่อเพราะยิ่งคิดเขาก็จะยิ่งจมปลักอยู่กับความไม่เข้าใจ จากใจของคนที่เคยเจ็บหนักกับความรัก แม้เพียงความหวังเล็กๆ เขาก็ไม่อยากมี เขาไม่อยากกลับไปเจ็บ ไปรู้สึก ไปเริ่มต้นใหม่กับการก้าวเดินออกมาอีกแล้ว เขาเหนื่อยและเสียเวลาไปมากเกินพอกับอดีตที่เขาอยากจะข้ามผ่านพ้นไป
“ทำไมต้อง 950” เขาเอ่ยถามอย่างสนใจ
“ผมแค่อยากให้รู้ว่าผมชอบไป๋มานานแล้ว ชอบมาตั้งแต่ก่อนคืนนั้นของเราสองคนด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ชอบไป๋แค่วันนี้ แต่ผมรอไป๋มาตั้งนาน ผมรอจนกว่าผมจะพร้อมที่จะเดินมาขอความรักจากไป๋”
ไอ้อิฐที่เขาคุ้นเคยตอบออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง เขาพยายามรักษาสีหน้าให้นิ่ง แต่พอถึงคำว่า “รัก” เขาก็แอบห้ามรอยยิ้มตรงมุมปากไม่ได้เลย
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้” ใช่ ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้
“ผมรู้ตัวดีครับว่าผมไม่คู่ควรกับไป๋แม้แต่นิดเดียว” ไอ้อิฐยังคงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาของมันตอนนี้ฉายความเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด
“มึงเนี้ยนะไอ้อิฐ มึงเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ หน้าตามึงก็หล่อจนใครก็คิดว่ามึงต้องได้เป็นเดือนมหาวิทยาลัยแน่ ไหนมึงลองบอกกูซิ๊ว่ามึงมันมีอะไรที่ไม่ดี”
ไป๋ขมวดคิ้วพร้อมพูดไปด้วยความสงสัย ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งพูดประโยคนี้ออกมา คนคนนั้นควรจะเป็นตัวเขาเองมากกว่า ถึงวินาทีนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่าไอ้อิฐจะมาสนใจเขาได้ยังไง หน้าตาของมันน่าจะเลือกคนที่ดีกว่าเขาได้มาก อย่างน้อย มันก็ไม่ควรมาสนใจคนที่หน้าตาโคตรธรรมดาอย่างเขา
“ชีวิตผมไม่ได้ดีหรอกครับไป๋” มันเอ่ยด้วยสายตาเศร้า
“...”
“วันที่ผมยอมรับกับตัวเองว่าผมชอบไป๋จริงๆ ผมก็ได้รู้ตัวว่าผมไม่มีอะไรเทียบชั้นกับไป๋ได้เลย”
“อะไรวะ กูไม่เห็นเข้าใจ” เขาตอบออกไปแบบงงๆ
“ผมเอาชื่อไป๋ไปหาในกูเกิ้ลก็เจอว่าไป๋เป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลในตลาดหุ้น แค่ทรัพย์สินที่ไป๋มีอย่างเดียวไม่นับรวมชื่อพ่อแม่ ผมทำงานทั้งชีวิตยังไม่รู้จะหาได้หรือเปล่า” ทำไมเขารู้สึกว่าสายตาของมันดูตัดพ้ออย่างบอกไม่ถูก
“มันก็ไม่เกี่ยวกันเปล่าวะ สมบัติอะไรนั่นมันก็คือของที่พ่อแม่ให้มา มันไม่ใช่ของที่กูสร้างมาเองสักหน่อย กูไม่เห็นจะภูมิใจเลยสักนิด” เขาพูดจากความรู้สึกจริง
“แต่ก็นั่นแหละครับ ผมจะกล้าเอาความมั่นใจจากไหนไปจีบไป๋”
“มึงนี่คิดมากฉิบหาย”
“ตอนนั้นผมยังไม่มีที่จะเรียนตอนมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ บ้านผมก็ไม่ได้มีเงินทองอะไร แม่ก็ไม่อยู่แล้ว พ่อก็แต่งงานใหม่ แค่ความมั่นใจจะเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองให้คนอื่นฟัง ผมยังไม่ค่อยจะมี”
“อิฐ มันไม่เกี่ยวกันเปล่าวะ มึงก็คือมึงนะ ครอบครัวมึง เงินในกระเป๋ามึงไม่ใช่นิยามของตัวมึงสักหน่อย มึงอย่าเอาเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้มาเป็นปมด้อยในชีวิตสิวะ” เขาเอื้อมมือไปบีบไหล่มันอย่างเป็นกำลังใจ
“ผมเลยอยากรอให้ผมพร้อมกว่านี้ อย่างน้อย ผมก็อยากที่เรียนที่มั่นคงจบมามีอาชีพที่พอจะดูแลไป๋ได้ ไม่ให้ไป๋ต้องอายถ้าใครรู้ว่าคบกับผม วันนี้ผมว่าผมพร้อมแล้ว ถ้าผมรอไปมากกว่านี้ ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดตลอดไป วันนี้ ผมเลยมารอไป๋ที่นี่”
“ไป๋ครับ” มันหันหน้ามาพูดกับเขา
“ว่าไง” เขาตอบไปด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ
“ขอให้ผมพูดอะไรหน่อยนะครับ” มันยิ้ม มันยิ้มอีกแล้ว
“อือ”
เขาตอบแค่สั้นๆ เอาจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะตอบอะไรดี ความจริงมาถึงนี่ก็เต็มใจเตรียมใจพร้อมมาฟังอยู่ก่อนแล้วแหละ แต่แค่ไม่กล้าคิดว่าจะเป็นไอ้คนตรงหน้านี่
“ปีที่แล้วเราเคยแข่งแย่งห้องชมรมกัน ไป๋คงจำได้” มันเริ่มประโยคอย่างอมยิ้ม
“จำได้สิ กูแพ้นี่” เขาบ่นงึมงำ
“ตอนนั้นเราพนันกันว่า คนแพ้ต้องถามคำสั่งอะไรก็ได้ของคนชนะหนึ่งอย่าง ไป๋ถามผมว่าผมจะสั่งอะไร ผมยังคิดไม่ออก ความจริงผมคิดออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าอยากจะขออะไรไป๋ เพียงแต่ผมไม่กล้าพูด”
“จะแกล้งอะไรกูหละ”
“ผมเลยขอตุ้มหูอันนี้ของไป๋ไว้เป็นตัวประกันว่าวันหนึ่งผมจะกลับมาขอตามสัญญาที่ไป๋ได้เคยให้ไว้”
มันพูดพร้อมกับตุ้มหูกาวน์สีขาวที่อยู่ในมือ ถึงว่าวันนี้เขาไม่เห็นมันใส่เลยตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง ที่แท้มันก็ถอดเตรียมไว้ก่อนนี่เอง
“ผมขอใช้กาวน์สีขาวอันนี้แทนสิทธิในการทวงสัญญากับไป๋ ที่ไป๋เคยให้ผมไว้”
“เฮ้ย ลุกขึ้น ไม่ต้องคุกเข่า”
มันพูดพร้อมคุกเข่าลงตรงหน้าเขาจนเขาทำอะไรไม่ถูกต้องลนลานลุกยืนขึ้นกับเก้าอี้พร้อมกับความเกรงใจ เขารู้สึกว่าอุณหภูมิบนใบหน้าของเขามันพุ่งสูงแบบควบคุมไม่ได้แล้ว เขาบอกให้มันยืนขึ้นอีกรอบ แต่มันก็ไม่ฟังคำสั่งจากเขาอยู่ดี เชี่ย ทำแบบนี้มันเขินนะเว้ย เหมือนโดนมาคุกเข่าขอความรักเลย
“ผมจะไม่บีบบังคับให้ไป๋รับรักจากผมเด็ดขาด เพราะมันไม่แฟร์กับใครสักคน”
“...”
“แต่ผมขอสิทธิ์ในการจีบไป๋ได้ไหมครับ” มันพูดพร้อมด้วยแววตาที่ทอดมาอย่างจริงจัง ไม่มีแม้แต่แววตาล้อเล่นเพียงนิดเดียว
“ไอ้อิฐ...”
“ขอให้ผมได้สิทธิ์ได้จีบไป๋แบบที่ผู้ชายคนหนึ่งจะพึงปฏิบัติกับคนที่เขารักและอยากดูแลเป็นเวลา 30 วันได้ไหมครับ ถ้าครบกำหนดเวลาแล้ว ผมยังทำให้ไป๋หันมามองผมไม่ได้ ผมจะยอมเดินออกไปจากชีวิตไป๋เอง”
นายพินต้า
ติดตามและพูดคุยกับนักเขียนได้ที่
www.twitter.com/ninepinta ขอคอมเม้นหน่อยนะ หนูขอเม้นไปเป็นกำลังใจในการแต่งภาคสองหน่อย >///< ไม่ค่อยมีใครเม้นให้หนูเยย หนูขาดแคลนกำลังใจจจ