เวลาล่วงมายังกลางดึกของวันเดียวกัน จอสยืนหลบอยู่ในมุมรั้วมองดูภาพของภูและกรรณที่กำลังกอดกันอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้าน ซึ่งเมื่อสังเกตจากอากัปกิริยาท่าทางเด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคงปรับความเข้าใจและกลับมาคืนดีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็หมายความว่าภารกิจที่ตั้งใจเอาไว้ได้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี รวมไปถึงอีกหนึ่งความตั้งใจซึ่งเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ การเผชิญหน้ากับภูอีกครั้งได้พิสูจน์ความรู้สึกของจอสจนชัดเจนแล้วว่าบัดนี้เขาไม่ได้ต้องการจะครอบครองอีกฝ่ายมาเป็นของตนอีกต่อไป ความรู้สึกดีๆ มากมายยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมแต่ไม่มีความกระหายจะครอบครองรวมอยู่ในนั้น เขามีเพียงความเป็นห่วงและยินดีที่เห็นอีกฝ่ายมีความสุขอีกครั้ง
แม้จะห่วงพะวงกับเรื่องของวินทร์อยากรีบกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการขับขี่ทางไกลตลอดทั้งวันก็ส่งสัญญาณเตือนว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องพักผ่อนแล้ว จอสเลือกจะเชื่อความรู้สึกตนเองเพราะรู้ดีว่าหากฝืนเดินทางตอนนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะไปไม่ถึงที่หมายมีอยู่สูงมาก เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะกลับไปนอนพักที่คอนโดก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยรีบออกเดินทางทันทีที่ตื่น แต่ขณะที่กำลังจะติดเครื่องรถเพื่อออกเดินทางนั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเอาไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มรีบหยิบมันขึ้นมาดูก่อนที่ร่างกายซึ่งเหนื่อยเพลียจะตื่นตัวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนเมื่อเห็นชื่อวินทร์เป็นผู้โทรเข้า
“ผมกำลังจะกลับ…” จอสรีบออกตัวทันทีที่กดรับสาย
“เสร็จธุระแล้วเหรอ?” เสียงของวินทร์ถามมาตามสาย
“เสร็จแล้ว เค้ากลับไปดีกันแล้ว” จอสตอบ แม้จะมีปัญหากันก่อนจากมา แต่การได้ยินเสียงของวินทร์ก็ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นได้มาก
“นายช่วยให้เค้าดีกัน แล้วใครจะมาช่วยนายให้ดีกับพี่” วินทร์ถามต่อ
“ไม่ต้องให้ใครช่วยหรอก แฟนผม ผมง้อเองได้” จอสทำทะเล้นสู้ แม้ใจจะยังหวั่นๆ กับความสงบในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
“พี่ยังเป็นแฟนนายอยู่อีกเหรอ?” วินทร์ถามด้วยคำถามที่ทำให้หัวใจจอสหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม
“ทำไมพูดงั้นอ่ะ…” จอสถึงกับทะเล้นต่อไม่ออก
“ก็…” วินทร์เงียบไป จอสได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังแว่วมาจากฝั่งนั้น “พี่พูดไม่ดีกับนายก่อนนายไป…”
“เรื่องแค่นั้นเอง ไม่เป็นไร” จอสโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าบรรยากาศหนักอึ้งนี้เกิดจากความรู้สึกผิดของวินทร์ ไม่ใช่ความโกรธเคือง “ผมรู้ว่าพี่ทำไปเพราะหวงผม”
“ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าไม่สมอายุเลย” วินทร์ขอโทษเสียงอ่อย “แล้วนี่นายจะกลับมาเลยหรือเปล่า?”
“ผมเหนื่อยมากเลย อยากพักก่อนซักคืน” จอสยอมรับตามตรง “แต่ถ้าพี่อยากให้ผมกลับไปเลย ผมก็จะกลับ”
“ไม่ต้องเลย เหนื่อยก็พัก ฝืนเดินทางมันอันตราย” วินทร์รีบห้ามไม่ให้จอสฝืนตัวเอง “แค่รู้ว่านายจะกลับมาก็พอ จะเมื่อไหร่พี่ก็รอได้”
“โอเค…” เด็กหนุ่มหลุดหาวออกมาก่อนจะพูดจบประโยค “งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
จอสวางสายจากวินทร์ แม้จะอ่อนเพลียจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่เมื่อความกังวลเกี่ยวกับวินทร์จางหายไปทุกอย่างก็ดูไม่หนักหนาเกินกว่าจะรับไหวอีกต่อไป เด็กหนุ่มขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางเพื่อลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเนื่องจากประสาทสัมผัสที่ง่วงซึม จนเมื่อมาถึงคอนโดจึงได้จอดรถแล้วตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องของตนแต่ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกแม้สมองจะเบลอแต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดไปจากปกติวิสัยที่ควรเป็น แสงไฟจากโคมด้านหน้าห้องเปิดสว่างอยู่ทั้งที่จอสมั่นใจว่าก่อนออกไปตนได้ปิดทุกอย่างจนหมดเรียบร้อยแล้ว
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนแปลกหน้าไม่มีทางผ่านระบบรักษาความปลอดภัยจากชั้นล่างขึ้นมาถึงบนนี้ได้แน่ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนเปิดไฟในห้อง เขาจะต้องเป็นคนที่มีคีย์การ์ดผ่านประตูขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็มีเพียงแค่คนเดียว จอสเปิดประตูออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูลาดเลาข้างใน หากผู้ที่อยู่ในนั้นคือคนที่เขาคาดคิดเอาไว้จริงๆ เด็กหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าตนพร้อมที่จะเผชิญหน้าด้วยหรือไม่ บรรยากาศด้านในห้องมีสัญญาณแห่งการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะแสงไฟที่เปิดอยู่ทั่วทั้งห้อง แก้วเครื่องดื่มที่วางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์ของบาร์น้ำซึ่งน้ำแข็งภายในยังไม่ละลายนั่นหมายความเจ้าของเพิ่งละออกไปจากมันเพียงไม่นานก่อนหน้านี้
“กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงอันคุ้นเคยที่ห่างหายไปจากโสตประสาทมานานร้องทักเป็นภาษาอังกฤษมาจากด้านหลัง
จอสรีบหันกลับไปตามเสียงก่อนจะพบเข้ากับร่างสูงของพ่อที่ยืนมองมาทางตนอยู่ เด็กหนุ่มเขม้นมองด้วยสายตาตื่นตระหนก แม้จะเป็นพ่อแท้ๆ ของตนแต่ด้วยความไม่คุ้นเคยจากการที่ห่างหายหน้าจากกันไปนานทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า พ่อดูแปลกตาไปมากนับจากวันที่จอสได้เจอหน้าครั้งล่าสุดเมื่อเกือบสองปีก่อน นอกจากริ้วรอยแห่งวัยอันเป็นธรรมชาติตามอายุที่มากขึ้นแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือความสดใสในแววตาซึ่งเด็กหนุ่มไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนแม้กระทั่งเมื่อครั้งที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้ากัน
“พ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” จอสถามทันทีที่ตั้งสติได้
“สองสามวันได้” พ่อของจอสตอบก่อนจะเดินเข้ามาหยิบแก้วเครื่องดื่มที่วางทิ้งเอาไว้ไปจิบต่อ “แกมาทันก่อนพ่อจะกลับไปพอดี”
“พ่อไม่บอกผมล่ะว่าจะมา” จอสรู้สึกแย่ที่แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอตน พ่อก็ยังดูไม่ห่วงหรือสนใจจะติดตามหาเลย “แล้วพ่อกลับมามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ก็แค่แวะมา ธุระก็พอมี แต่ตอนนี้มาคุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบกันก่อนดีไหม?” พ่อของจอสผายมือเชิญให้ลูกชายของตนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ “นั่งก่อนสิ”
จอสนั่งลงตามคำเชิญของพ่อ เด็กหนุ่มขยับตัวหันออกห่างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะ ผู้เป็นพ่อมองอาการประดักประเดิดของลูกชายตนเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจที่ความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่เคยมีในกาลก่อนกลับกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะตน สิ่งที่เกิดขึ้นกับจอสเมื่อเดือนก่อนทำให้เขายิ่งเป็นกังวลกับการปล่อยให้เด็กหนุ่มต้องอยู่ตามลำพังคนเดียว จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จอสปางตาย แต่ครั้งก่อนที่เป็นการฆ่าตัวตายก็ยังไม่น่ากังวลเมื่อคิดในแง่ที่ว่าอาการเหล่านั้นถูกบำบัดโดยแพทย์จนเกือบเป็นปกติแล้ว สิ่งที่รบกวนจิตใจของผู้เป็นพ่อมากที่สุดในขณะนี้คือการที่ลูกถูกประทุษร้ายจากบุคคลที่สามต่างหาก
ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่าการทอดทิ้งลูกให้อยู่ตามลำพังตั้งแต่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งภาวะผิดปกติทางจิตใจของจอสก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงอันตรายของมันได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามันจะเป็นการดีที่สุดหากตนจะอยู่ห่างจากลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ มันไม่ใช่ความผิดของจอสที่ภรรยาเก่าของเขานอกใจไปกับผู้ชายอื่น แต่การได้เห็นหน้าลูกที่เกิดจากเธอคนนั้นก็ย้ำเตือนให้ความรู้สึกแย่ๆ อันไม่พึงประสงค์ย้อนกลับมาครอบงำจิตใจได้ทุกครั้ง ในช่วงที่การเลิกราเกิดขึ้นใหม่ๆ หลายครั้งที่เขามองเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงในยามค่ำคืนแล้วต้องข่มกลั้นความรู้สึกไม่ให้เอื้อมมือไปบีบคอน้อยๆ นั้นให้แหลกคามือ ด้วยหวาดกลัวความรู้สึกอันดำมืดเช่นนั้นจึงได้ตัดสินใจตัดปัญหาทุกอย่างด้วยการพาตัวเองออกมาแล้วทิ้งจอสไว้ลำพังเบื้องหลัง
“เป็นยังไงบ้าง?” พ่อเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัด “ที่ผ่านมา อยู่ได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
“พ่อห่วงด้วยเหรอ?” จอสแค่นหัวเราะ “เรื่องน่าประหลาดใจที่สุดในรอบหลายปีเลยนะเนี่ย”
“พ่อรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พ่อที่ดี” พ่อของจอสไม่โต้แย้งกับคำค่อนแคะจากลูกชาย “แต่เชื่อเถอะ ถ้าพ่อจะบอกว่าพ่อก็ห่วงแกไม่น้อยไปกว่าพ่อคนอื่นๆ ห่วงลูกหรอก”
“งั้นก็แสดงออกให้ผมรู้สึกแบบนั้นบ้างก็ดีนะ” จอสหัวใจพองโตขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากพ่อ
“ก็นี่ไง พ่อพยายามอยู่นะ” พ่อจ้องจอสตาเขม็งเหมือนขอความร่วมมือ “แล้วไงล่ะ ที่ผ่านมาอยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ก็ถ้าไม่นับเรื่องรอยจารึกบนแขนนี่” จอสชูแผลเป็นบนท้องแขนให้พ่อดู “ทุกอย่างก็โอเคครับ เรื่อยเปื่อยตามประสา”
“ก็ดี…” พ่อเบือนสายตาออกจากแผลเหล่านั้น เพราะเพียงแค่มองก็เจ็บในอกราวกับมีดกรีด “เห็นไปเป็นดาราดังแล้วนี่ ไปไงมาไงล่ะ?”
“ก็เค้ามาชวนไปทำก็ทำ ดีกว่าอยู่ว่างๆ” จอสก้มหน้าหลบอาการเขิน
“แกเปลี่ยนไปเยอะ ในทางที่ดี และพ่อภูมิใจกับมันนะ” พ่อบอกกับจอส ขณะพูดตาก็เสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขินไม่ต่างกัน
“ขอบคุณครับ” จอสพยักหน้ารับคำชมนั้น
“อันที่จริง ที่พ่อมาก็มีเรื่องอยากจะคุยกับแก ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรหรอก พ่อเองก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะคุยดีไหม ถึงได้ไม่โทรเรียกแก ปล่อยวัดดวงเอาว่าถ้าแกมาทันเจอพ่อ ก็จะได้รู้ แต่ถ้าไม่ มันก็คือยังไม่ถึงเวลา” พ่อของจอสเกริ่นเข้าถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาครั้งนี้ “พ่อกำลังจะแต่งงานใหม่”
“นี่พ่อเรียกเรื่องแบบนี้ว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเหรอ?” จอสงงกับตรรกะของพ่อ “เรื่องนี้มันเรื่องสำคัญที่ต้องบอกผมเลยนะ”
“พ่อแต่งไม่ใช่แกแต่ง มันจะสำคัญอะไรมากมาย อีกอย่างแกเองก็มีแฟนเป็นผู้ชาย คบกันเป็นตัวเป็นตน ไปอยู่กินด้วยกันพ่อก็ยังไม่ว่าอะไรเลย” พ่อของจอสสวนกลับด้วยข้อมูลที่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้
“พ่อรู้ได้ไง?” จอสทำตัวไม่ถูก จริงอยู่ที่เขาไม่ได้คิดจะปกปิดสถานะทางเพศของตน แต่การที่จู่ๆ โดนพ่อโพล่งเปิดโปงออกมามันก็ชวนให้ตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย
“แกเป็นลูก ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของแกนะ” พ่อยกเครื่องดื่มกระดกเข้าปากไปอีกอึกใหญ่ราวกับจะย้อมใจก่อนพูดต่อ
“แล้วไง?” จอสเริ่มก่อกำแพงป้องกันตัวเอง “ถ้าคิดจะมาบอกให้ผมเลิก ก็รู้ไว้เลยนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องของพ่อ พ่อสั่งผมไม่ได้”
“พ่อยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลย” พ่อส่ายหน้าระอากับความตื่นตูมของลูก “แกจะคบใครก็คบไปเถอะ ไม่ได้ว่าอะไรทั้งนั้นล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน”
“ก็ดูแลมาตลอดนั่นแหละ ไม่มีใครมาดูแลให้นี่” จอสแอบแขวะพ่อกลับไป “พ่อจะแต่งกับใครก็แต่งไปเหอะ ผมก็ไม่ว่าเหมือนกัน แค่ให้แม่ใหม่แก่กว่าผมหน่อยก็ดี”
“จริงๆ เค้าอายุเท่าๆ กับพ่อนี่แหละ” พ่อของจอสบอก
“จริงเหรอ? ดูไม่ใช่สเปกพ่อเลยนะ” จอสแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาบรรดาผู้หญิงของพ่อมักจะอายุห่างจากเขาไม่ถึงห้าปีเสมอ
“เค้าเป็นจิตแพทย์ที่ดูแลพ่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา” พ่อเล่าถึงตัวตนของหญิงที่จะมาเป็นแม่เลี้ยง “เค้าเป็นคนดีนะ พ่อว่าถ้าได้เจอแกก็คงจะชอบเค้าเหมือนกัน”
“ถ้าพ่อไม่ยุ่งเรื่องแฟนผม ผมก็ไม่ยุ่งเรื่องแฟนพ่อ” จอสบอกจุดยืน “เพราะงั้นถ้าพ่อชอบเค้าและมั่นใจว่าเค้าเป็นคนที่ใช่จริงๆ ผมก็ไม่ขัดอะไรหรอกครับ”
“เราเป็นพ่อลูกที่คุยอะไรเข้าใจกันง่ายดีนะ” พ่อหัวเราะออกมาด้วยความขบขันปนโล่งใจที่ทุกอย่างดูจะง่ายไปหมด
“อาจเป็นเพราะเรามีชีวิตแบบตัวใครตัวมันมานานแล้วมั้งครับ” จอสหาสาเหตุให้
“แล้วก็อีกเรื่อง หลังแต่งงานพ่อจะไปอยู่บ้านหลังใหม่แถบชานเมือง” พ่อบอกส่วนที่เหลือของธุระ “ที่นั่นก็ไม่มีใครหรอก ก็แค่พ่อแล้วก็แม่เลี้ยงของแก ถ้าแกอยากจะไปอยู่กับเรา…”
“ขอคิดดูก่อนนะ” จอสไม่มั่นใจว่าตนต้องการเช่นนั้น “ไม่ใช่รังเกียจหรืออะไร แต่พ่อเข้าใจผมใช่ไหม?”
“เข้าใจ…” พ่อพยักหน้า “แต่บ้านใหม่มันมีพื้นที่พอสมควร คงจะเลี้ยงหมาอะไรอย่างที่แกอยากเลี้ยงมาตลอดได้ ในบริเวณบ้านก็มีบ้านหลังเล็กอีกหลัง แกไม่ต้องอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อก็ได้ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว”
“ถ้าแค่แวะไปสุดสัปดาห์ก็คงได้อยู่มั้งครับ” จอสเริ่มเอนเอียงตามคำชวนเชื่อ
“แล้วแต่เถอะ พ่อต้อนรับแกตลอดนั่นแหละ” พ่อให้เวลาจอสปรับตัวเพราะรู้ดีว่าทุกอย่างค่อนข้างฉุกละหุก
หลังหมดธุระทั้งสองยังนั่งคุยกันต่ออยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่จอสจะทนถ่างเปลือกตาที่หนักอึ้งให้ตื่นต่อไปไม่ไหวต้องขอตัวไปนอนพักผ่อน และเมื่อตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าเขาก็พบว่าความว่างเปล่าได้กลับมาอีกครั้งเมื่อพ่อได้ออกเดินทางไปกลับไปสู่ชีวิตอันแสนวุ่นวายตามเดิมตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่เขายังไม่ลุกจากเตียง หากทว่าในครั้งนี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไปจากที่เคย เพราะจอสรู้ดีว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้จะไม่ใช่ในรูปแบบที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คำว่าครอบครัวกำลังจะกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกครั้ง แน่นอนว่ามันย่อมมาพร้อมกับการปรับตัวขนานใหญ่ แต่เวลาก็คงจะช่วยให้ทุกอย่างลงตัวได้เอง จอสเชื่อเช่นนั้น
To be continued...