THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]  (อ่าน 17685 ครั้ง)

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
[/size]


The Heartbreak Holidays : พ่ายรัก.. มาพักร้อน


คนไม่ใช่ ให้ตายยังไงก็ไม่ใช่

จอสรู้ซึ้งถึงความหมายของประโยคนี้ดีกว่าใคร

เพราะถึงจะเป็นทุกอย่างให้แล้วแม้กระทั่งตัวร้าย สุดท้ายคนที่ชอบก็ไปเลือกคนอื่น

ถึงคราวต้องหอบความขมขื่นไปหลบเลียแผลใจเงียบๆคนเดียวบนเกาะที่ห่างไกล

แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด จากที่หวังจะฟันวินทร์หนุ่มหล่อเจ้าของรีสอร์ท

กลับกลายเป็นโดนเขาฟันเสียเอง ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังตามตอแยไม่เลิกรา

จากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า หรือจะถึงเวลาต้องลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆดูเสียที

เพราะถ้าการอกหักพาจอสข้ามทะเลมาถึงเกาะนี้ได้

ความรักครั้งใหม่ก็คงไม่แคล้วจะเปลี่ยนโลกทั้งใบให้ไม่มีวันเหมือนเดิม



สำหรับเรื่องนี้เดิมทีตั้งใจจะทำให้เป็นแค่ตอนพิเศษสั้นๆ ไม่กี่ตอนจบ

แต่ด้วยความนิยมของน้องจอสที่แรงเกินหน้าเกินตาคู่เอกของเรื่อง ทำให้ผู้อ่านหลายท่านอยากให้เขียนเป็นเรื่องเดี่ยวๆของเขาไปเลยเรื่องนึง

ผู้เขียนพิจารณาดูด้วยพล็อตก็พบว่า เราก็ทิ้งเรื่องต่างๆเกี่ยวกับจอสไว้แบบปลายเปิดในเนื้อเรื่องหลักเยอะพอสมควร น่าจะพอเอามาเขียนจนเป็นเรื่องยาวได้

ผลก็เลยออกมาเป็นนิยายเรื่องนี้ เนื้อหาของเรื่องนี้จะมีความเบากว่าเนื้อเรื่องหลักพอสมควร ไม่ดราม่าจัดมากเหมือนเรื่องของน้องภู แค่พอมีบ้างให้เป็นกระสัย และอาจจะมีฉาก nc เยอะกว่าพอสมควร เพราะคงรู้ๆกันอยู่ว่าน้องจอสเราไม่ใช่เด็กใสๆ อินโนเซนส์

ความถี่ในการอัพจะพยายามไม่ให้เกินหนึ่งสัปดาห์ต่อหนึ่งตอน ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ

สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก บางส่วนของเนื้อเรื่องจะเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก หากไม่ได้อ่านมาก่อนอาจจะงงนิดหน่อยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หากอยากเข้าใจเพิ่มเติมสามารถอ่านเนื้อเรื่องหลักก่อนได้  ที่นี่ เลยครับ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2018 14:42:28 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2018 14:19:18 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 1

               “รีบๆ วางสายไปเลยป่ะ...”

               หลังจากกดตัดสายจากภูซึ่งโทรมาโวยวายเรียกตัวให้เขากลับไปทำงานของตัวเอง สายตาของจอสยังคงจ้องมองค้างที่หน้าจออยู่อีกครู่หนึ่ง ใบหน้าเกือบจะยิ้มออกมาจากความรู้สึกดีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแต่ก็ยังถูกความหม่นหมองที่ยังค้างเติ่งอยู่ในหัวใจสกัดกั้นเอาไว้ การอกหักครั้งแรกในชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เขายังทำใจยอมรับความรู้สึกที่เกิดจากมันไม่ค่อยได้ มันไม่ใช่ความโกรธ ไม่เชิงเศร้า หากจะใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นความใจหาย เหมือนเป้าหมายสำคัญในชีวิตได้ดับหายไป

               เวลาเลยผ่านช่วงบ่ายย่ำเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว จอสรูดเปิดผ้าม่านที่ปิดเอาไว้เพื่อกันแสงแดดจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาในช่วงบ่าย สามวันแล้วที่เอาแต่เก็บตัวหมกอยู่ในห้องนี้ คืนนี้คงถึงเวลาต้องพยายามออกไปปรับตัวให้ชีวิตเลิกจมกับความหมองหม่นเสียที เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพักรีสอร์ทซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูงเพื่อหาสถานที่สักแห่งซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้เวลาให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป การพักงานทั้งหมดแล้วหนีมากบดานอยู่บนเกาะแห่งนี้ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะบนเกาะเล็กๆ ซึ่งมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นประชากรส่วนใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่เขาจะถูกจำได้ว่าเป็นใคร อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ที่เอนเอียงไปทางชาวต่างชาติตามเชื้อสายอเมริกันของผู้เป็นพ่อทำให้เพียงแค่เปลี่ยนสีผมเพียงเล็กน้อยและใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาให้เป็นแบบชาวตะวันตกก็มากพอที่จะทำให้ดูจอสเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน

               เมื่อไม่อาจตัดสินใจแบบเจาะจงได้ว่าจะไปที่ไหน จอสจึงพาตัวเองออกไปตายเอาดาบหน้า เขาตั้งใจจะเดินออกจากรีสอร์ทและตระเวนดูตามแนวชายหาดให้ทั่วพื้นที่เพื่อหาสักแห่งที่ถูกใจพอจะแฮงค์เอาท์ได้ เด็กหนุ่มพยายามใช้ความระมัดระวังขณะเดินลงบันใดเล็กๆ ที่ตัดเป็นทางลัดจากรีสอร์ทสำหรับลงไปยังชายหาด ด้วยระดับความสูงที่ค่อนข้างชันซ้ำยังเต็มไปด้วยกรวดหินก้อนเล็กๆ ซึ่งอาจพาให้เท้าเหยียบพลาดและลื่นไถลตกลงไปได้อย่างง่ายดาย แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ แม้จะระวังตัวมากเพียงใดมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด ดังเช่นในครั้งนี้ที่ถึงแม้จอสจะระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุดก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้เสียกระบวนจนได้ เมื่อในขณะที่ตาทั้งสองข้างกำลังจับจ้องมองแต่ละก้าวของตนเองเบื้องหน้านั้น จู่ๆ ด้านหลังซึ่งไร้การป้องกันก็ถูกพุ่งชนอย่างแรงด้วยอะไรบางอย่างซึ่งมีขนสีทองและน้ำหนักไม่ต่ำกว่ายี่สิบกิโลกรัม

               ร่างของเด็กหนุ่มเกือบจะทะยานออกไปข้างหน้าตามแรงกระแทก แต่โชคดีที่ยังพอจะตั้งหลักรั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการบาดเจ็บเมื่อเท้าซึ่งเสียการทรงตัวบนพื้นกรวดนั้นเกิดลื่นไถลจนเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นหินของขั้นบันไดอย่างแรง

               “อุ… อูยย” จอสเจ็บจนอุทานไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงครวญครางออกมาเพื่อระบายความทรมาน

               “โจโฉ!” เสียงใครบางคนร้องเรียกชื่อที่เหมือนกับตัวละครในวรรณกรรมจีน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่โจโฉที่ว่านั่นได้ทำเอาไว้ “ตายห่าแล้ว… เป็นอะไรไหมครับ?”

               “อ่ะฮะ…” จอสพยักหน้า นึกในใจว่าไม่เห็นต้องถาม ก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่

               ลิ้นแฉะๆ เลียเข้าที่แก้มของจอสหนึ่งครั้ง เมื่อหันไปดูก็พบสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กำลังนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างที่เกิดเหตุ จอสรู้ได้ในทันทีว่าอะไรที่พุ่งชนตนจนเกือบหน้าทิ่มเมื่อครู่ เมื่อรู้ว่าคู่กรณีของตนไม่ใช่มนุษย์จอสจึงไม่คิดจะถือสาให้ตัวเองดูปัญญาอ่อน เขายันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเอาเศษดินเศษกรวดออกจากกางเกงเบาๆ ไม่ให้กระเทือนจุดที่บอบช้ำเมื่อครู่

               “คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?” เจ้าของเสียงเดิมถามมาอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเข้ามาใกล้พอจะเห็นรูปลักษณ์ซึ่งผ่านการพรางให้ดูเหมือนชาวต่างชาติของจอส “ขอโทษครับ หมามันหลุด ผมวิ่งไล่ตามมาไม่ทัน”

               “ไม่เป็นไรๆ แค่ลื่นล้ม ไม่สาหัส” จอสตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกันเพื่อความแนบเนียน

               “แน่นะครับ” เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะรีบเข้ามาประคองเมื่อจอสตั้งท่าจะเสียหลักอีกรอบขณะหันกลับมา “หัวไม่กระแทกใช่ไหมครับ?”

               “น่า… ไม่เป็นไรจริง…”

               คำตอบของจอสหยุดชะงักลงกลางประโยคเมื่อเขาหันกลับมาเห็นหน้าชายผู้เป็นเจ้าของสุนัขตัวแสบ ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้จอสนึกถึงเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งหักอกเขาและเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นเพื่อนใหม่ ทั้งผมที่ไว้ยาวในทรงเดียวกันอีกทั้งยังความอ่อนหวานปนไร้เดียงสาบนใบหน้านั้นอีก หากจะมีสิ่งใดที่พาสติของจอสให้แยกออกว่าทั้งสองคือคนละคนกัน นั่นก็คงเป็นรูปร่างของอีกฝ่ายที่ดูจะมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทะมัดทะแมงมากกว่าภูซึ่งบอบบางจนแทบจะปลิวตามกระแสลมแรงได้

               “ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ?” เขายังถามซ้ำเมื่อเห็นจอสเอาแต่จ้องหน้าตนเหมือนยังไม่ได้สติ “ฮัลโหลววว”

               นี่แหละ ใช้ได้เลย… ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวอย่างทันควัน โดยไม่ต้องลงไปถึงชายหาดตามที่คิดเอาไว้ แต่ในที่สุดจอสก็พบเจอสิ่งที่เขาอยากจะใช้เวลาในค่ำคืนนี้ด้วยแล้ว ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ แบบชั่วข้ามคืนก็ไม่เลวนักที่จะใช้เป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจช้ำๆ ที่เพิ่งเจ็บมาหมาดๆ ของตน จอสหันไปมองเจ้าโจโฉด้วยสายตาขอบคุณที่ส่งเจ้านายมันมาเป็นเหยื่อสังเวยให้ถึงที่ ทั้งหมดที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือล่อลวงและพาอีกฝ่ายไปให้ถึงขอบเตียงให้จงได้

               “เป็น… ตอนนี้เป็นแล้ว…” จอสไม่ปล่อยโอกาสที่จะทำให้ตัวเองได้เปรียบทิ้งไป เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นขาอ่อนแรงจนทรุด ทักษะการแสดงที่ร่ำเรียนมาถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง “สงสัยจะเดินไม่สะดวกไปอีกหลายวันแน่เลย”

               “อ้าว… คนไทย?” ชายคนนั้นตกใจเมื่อจอสหลุดตอบกลับมาเป็นภาษาไทย ก่อนที่ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะทำให้เขาต้องก้มลงจ้องดูใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “ก็ว่า… หน้าก็ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”

               “คนไทยแล้วไง จะไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ?” จอสโวยวาย ก่อนจะทำสีหน้าให้ดูเจ็บปวดรวดร้าวมากขึ้นกว่าเดิม

               “ยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลยนะครับ” ชายคนนั้นรีบแก้ตัว ขณะที่ตาก็ยังจ้องหน้าจอสไม่ยอมเลิก เหมือนพยายามจะนึกให้ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

               “รับผิดชอบมาเลย” จอสเรียกร้อง

               “ให้ผมพาไปหาหมอก็แล้วกันครับ” ชายคนนั้นเสนอก่อนจะทำท่าเดินกลับขึ้นไป “เดี๋ยวผมขอไปเอารถแป๊ปนึงนะ รอตรงนี้แหละ”

               “ไม่! หยุด!” จอสรีบห้ามเมื่อได้ยินคำว่าหมออันเป็นจุดอ่อนหนึ่งเดียวของตน “ไม่ไปหาหมอ!”

               “อ้าว… แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไง?” อีกฝ่ายเอาใจไม่ถูก

               “ชื่ออะไร?” จอสถามกลับไป

               “ดาวินทร์แต่เรียกแค่วินทร์ก็ได้ครับ เรียกเต็มๆ มันเหมือนชื่อผู้หญิง ” อีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วคุณล่ะ? จะให้ผมเรียกว่าอะไร?”

               “นี่จำไม่ได้จริงๆ เหรอ?” จอสแปลกใจ เพราะหากเป็นคนไทยก็ย่อมจะต้องเคยเห็นตนผ่านสื่อมาบ้างไม่มากก็น้อย

               “ก็คุ้นๆ … แต่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่า” วินทร์ไม่แน่ใจ “ก็คนนั้นเค้าไม่ได้ตาสีนี้…”

               “อ๋อนี่เหรอ…” จอสถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วโยนทิ้งให้ดูต่อหน้า “ทีนี้จำได้หรือยัง?”

               “โอ้… ชัดเจน” วินทร์ตบมือผาง “เจมส์ ภาณุวัฒณ์”

               “ไม่ใช่!” จอสปรี้ดแตกที่ถูกจำสลับเป็นดาราวัยรุ่นอีกคนหนึ่งของทางช่อง “นี่จอส! จอส วาโย!”

               “เออ ใช่ นั่นแหละ” อีกฝ่ายหัวเราะร่วน รีบเออออตาม “จำผิดไปนิดเดียวเอง”

               “ไม่นิดแล้ว คนละคนกันเลย” จอสรีบดึงกลับเข้าประเด็น “ตกลงจะรับผิดชอบยังไง ไม่เอาหาหมอ”

               “ถ้าไม่หาหมอก็ไม่รู้จะรับผิดชอบยังไงแล้วล่ะครับ” วินทร์เกาหัวจนปัญญา “ให้คุณเสนอมาเองดีกว่าว่าอยากให้ชดใช้ยังไง”

               “กินอะไรรึยังล่ะ?” จอสถามกลับไป “เลี้ยงข้าวหน่อยก็แล้วกัน ไปกินด้วยกันนี่แหละ”

               “อืม แค่เลี้ยงเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมคงไม่กินด้วยนะครับ” วินทร์ตอบกึ่งตกลง “หลังหกโมงเย็นไปแล้วผมไม่ชอบกินอะไรหนักๆ แล้ว เดี๋ยวนอนไม่หลับ”

               กินๆ ไปเหอะน่า คืนนี้ยังไงก็หลับ เพราะก่อนนอนเดี๋ยวได้เสียแรงเยอะแน่… จอสหื่นจนหน้ามืดจากอากัปกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูยั่วยวนชวนให้ข่มเหง เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เขาพบเจอกับภูครั้งแรกในการถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร จะแตกต่างอยู่บ้างก็เพียงแค่กับภูมันมีเพียงความเอ็นดู แต่กับวินทร์นอกจากเอ็นดูเขาก็อยากจะดูเอ็นด้วย เพราะอีกสิ่งหนึ่งที่วินทร์มีแต่ภูไม่มีนอกจากกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาแล้วก็คือเสน่ห์เย้ายวนของแรงดึงดูดทางเพศซึ่งทำให้จอสใจเต้นแรงทุกครั้งได้ในทุกครั้งที่สบตา จนบางขณะเขาถึงกับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคู่นั้นเสียเองด้วยความประหม่า

               “แล้วจะไปกินทีไหนดีครับ?” วินทร์ถามขึ้นมาขณะนำสายจูงไปคล้องไว้กับปลอกคอของโจโฉเหมือนเดิม

               “ไม่ต้องไปไกลหรอก สั่งเอาจากรูมเซอร์วิสก็ได้” จอสเสนอทางเลือกที่ง่ายที่สุดให้

               “ผมว่า… ไปกินตามร้านจะสะดวกกว่าแล้วก็มีอะไรกินเยอะกว่านะครับ” วินทร์ดูจะไม่เห็นด้วย

               “ไม่อ่ะ เราไม่ชอบไปกินตามร้านอาหาร” จอสยืนกรานความคิดเดิม

               “อ๋อ… กลัวคนจำได้เหรอ?” วินทร์เข้าใจไปแบบนั้น

               เปล่าหรอก กินร้านข้างนอกมันก็เริ่มด้วยคาวแล้วจบด้วยหวาน แต่ถ้ากินในที่ส่วนตัวสองต่อสองเนี่ย อาจจะมีของคาวตบท้ายหลังของหวานอีกรอบนึง… จอสเก็บคำตอบที่แท้จริงเอาไว้ในใจแล้วตอบออกไปแบบที่อีกฝ่ายคิดเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น “ใช่… เราอยากอยู่เงียบๆ”

               “ก็ได้ๆ เข้าใจครับ เป็นคนดังนี่ลำบากเนอะ” วินทร์ทำท่าเข้าอกเข้าใจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเดินลงกับดักที่อีกฝ่ายขุดหลุมพรางไว้

               “งั้นสองทุ่ม เจอกัน” จอสนัดเวลาเผื่อไว้ให้ตนได้จัดสถานที่รอ

               “ได้ครับ สองทุ่มจะไปหานะครับ” วินทร์รับปาก “อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ? จะได้ซื้อติดไปด้วยเลย”

               มาตัวเปล่าก็ได้ เพราะนั่นแหละที่อยากกินอยู่ตอนนี้ จอสระงับความกระหายเอาไว้ในอกขณะที่ปากก็ตอบอีกฝ่ายไปกว่าอะไรก็ได้แล้วแต่จะซื้อมา แต่ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั้นจู่ๆ เขาก็เพิ่งจะรู้สึกผิดสังเกตกับบางอย่างที่อีกฝ่ายได้พูดออกมาเมื่อครู่

               “ไหนทวนอีกที เรานัดกันว่ายังไง?” จอสหันไปถามทวนเพื่อดูคำตอบของอีกฝ่ายอีกครั้ง

               “ก็สองทุ่มไงครับ เดี๋ยวผมไปหาที่ห้องของคุณเลย” วินทร์ตอบกลับมาเหมือนเมื่อครู่

               “แล้วรู้เหรอว่าเราอยู่หลังไหน?” จอสจับพิรุธได้ “นี่คงไม่ได้กะจะรับปากส่งๆ แล้วชิ่งเบี้ยวหนีไปหรอกนะ…”

               “แหม ลืมถามเลยครับ” วินทร์แก้ตัวน้ำขุ่นๆ “แล้วอยู่หลังไหนล่ะครับ? “

               “7A” จอสตอบ ตามองเขม็งอย่างไม่ไว้วางใจ

               “ได้เลยครับ เดี๋ยวสองทุ่มเจอกันครับ” วินทร์ตอบรับแบบสบายๆ เหมือนไม่ได้รับผลใดๆ จากสายตานั้น

               “เดี๋ยวก่อน” หลังจากเห็นเล่ห์เหลี่ยมแบบเนียนหน้ามึนเมื่อครู่ จอสรู้ดีว่าอีกฝ่ายถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายแต่เอาเข้าจริงนายคนนี้ก็รอบจัดแสบสันต์กว่าภูหลายเท่า ดังนั้นเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่เบี้ยว และเจ้าตัวขนทองที่นั่งลิ้นห้อยอยู่นี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เข้าที “หมานายน่ะ เดี๋ยวเราดูแลให้จนกว่าจะสองทุ่ม”

               “ไม่ดีมั้งครับ” วินทร์ส่ายหน้าดิก “โจโฉน่ะ ติดเจ้าของมาก มันไม่ยอมไปกับคุณหรอก”

               “แน่ใจเหรอ?” จอสถามก่อนจะผิวปากเป็นสัญญาณเรียก

               สิ้นเสียงผิวปาก โจโฉก็ดิ้นจนหลุดจากสายจูงอีกรอบและกระโจนเข้ามาหาจอสทันที มันพยายามตะกุยตะกายแต่เมื่อเด็กหนุ่มผิวปากอีกครั้งพร้อมส่งสัญญาณมือทำท่าให้นั่งลง มันก็ยอมนั่งแต่โดยดี และเมื่อผิวปากอีกครั้งพร้อมกับหมุนข้อมือไปมา มันก็ล้มตัวลงนอนและกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ทำเอาผู้เป็นเจ้าของอย่างดาวินทร์ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ซ้ำยังเจือไปด้วยความรู้สึกเสียหน้าที่หมาของตนเชื่อฟังคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอมากกว่าเจ้านาย หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีที่อีกฝ่ายพูดมานั้นผิด จอสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นมือไปขอสายจูงจากวินทร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็หมดหนทางจะต่อสู้จึงจำใจต้องส่งให้

               “รีบๆ มารับหมาคืนไปล่ะ อย่าลืมนะ สองทุ่ม 7A จะมาก่อนเวลาก็ได้ ไม่ว่า” จอสยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า

               “ได้…” วินทร์ดูเจ็บใจที่พลาดท่าแต่ก็หมดทางจะดิ้นรนเมื่อลูกรักถูกจับเป็นตัวประกันอย่างสมยอม

               “ไปรอพ่อแกมารับกันดีกว่าโจโฉววววว” จอสคล้องสายจูงและออกวิ่งนำให้โจโฉตาม

               “ขาไม่เจ็บแล้วเหรอครับ?” วินทร์ตะโกนถามไล่หลังไป

               จอสได้ยินก็จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่กำลังแสดงละครฉากบาดเจ็บค้างเอาไว้ เด็กหนุ่มรีบชะลอฝีเท้าลงและทำเป็นเดินกระเผลกให้อีกฝ่ายเห็น วินทร์ส่ายหน้ารู้สึกอายแทนกับการซดโป๊ะแตกชามใหญ่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดง เขายืนมองจนกระทั่งจอสจูงโจโฉหายลับพ้นเนินเขาไปจึงค่อยถอนหายใจออกมาและทรุดนั่งลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากความตึงเครียดที่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดเพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอาการใดๆ แล้ว แม้จะทุลักทุเลแต่วินทร์ก็ถือว่านี่เป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของตน

               โจโฉเป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาอย่างดีและมีอุปนิสัยรับแขกเป็นเลิศ มันชอบเล่นกับคนแปลกหน้า จริงๆ แล้วมันชอบเล่นกับทุกคนยกเว้นเจ้าของตัวเอง ดังนั้นวินทร์จึงตั้งใจจูงมันออกมาหลังจากเห็นจอสออกมาจากห้องเพื่อใช้เป็นสื่อในการเข้าหา เพราะเคยได้รับรู้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ว่าอีกฝ่ายชอบสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือโจโฉจะเล่นแรงจนเป้าหมายเกือบจะดับอนาถคาเกาะเช่นนี้

               สามวันมาแล้วนับจากวันแรกที่จอสเชคอินเข้าพัก แม้อีกฝ่ายจะผ่านการอำพรางตัวจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแต่เขาในฐานะเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้รู้ดีแขกผู้มาเยือนคือใครจากเอกสารที่ใช้ประกอบการเข้าพัก หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าเฝ้ารอที่จะเข้าไปทำความรู้จักหลังจากได้แต่เฝ้าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์และปกนิตยสารมานานสองนาน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะจอสเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องพักไม่ยอมออกมาเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึง แม้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเสี่ยงที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บหนัก แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้…

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
              เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มพอดิบพอดี จอสหันมองรอบตัวตรวจดูสภาพความเรียบร้อยของห้องพักเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงความเป๊ะของเสื้อผ้าหน้าผมของตนในกระจก เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดวาดภาพเอาไว้ในหัวแล้วจึงค่อยเดินตรงไปเปิดประตูรับเหยื่อเข้าสู่ลานเชือด

              “ตรงเวลาดีจังเลย ห่วงหมาหรือห่วงคนเจ็บกันเนี่ย?” จอสถามโดยไม่ลืมโปรยยิ้มกระชากใจแบบที่เคยเรียกเสียงกรี้ดจากแฟนคลับได้ทุกครั้งที่ทำ

              “ห่วงหมาครับ” วินทร์กลั้นยิ้ม แต่ก็รู้ตัวดีว่าใบหน้ากำลังแดงอย่างห้ามไม่ได้จากพลังทำลายล้างของรอยยิ้มนั้น

              “นู้นน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ดูแลอย่างดี” จอสชี้ไปยังโจโฉที่ตอนนี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน

              “ไปให้มันนอนบนเตียง เสียนิสัยหมด” วินทร์เอ็ดเอาก่อนจะรีบไปปลุกโจโฉและพามันลงจากเตียง จากนั้นจึงส่งถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ถือมาให้กับเจ้าของห้อง “นี่ครับ คิดว่าดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในละแวกนี้แล้วนะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากดาราหรือเปล่า”

              “อาหารจะถูกปากหรือไม่ มันอยู่ที่ว่ากินกับใคร…” จอสรับถุงมาก่อนที่กลิ่นหอมฉุยซึ่งโชยออกมาจากด้านในจะกระตุ้นให้เขาเปิดออกดู ของข้างในเป็นอาหารทะเลเผาหลากชนิด “แต่อันนี้ก็จัดว่าโอเคอยู่ ใช้ได้ๆ”

              วินทร์ซ่อนความดีใจที่อีกฝ่ายชอบสิ่งที่ตนหามาเอาไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขามองดูบรรยากาศในห้องที่จอสเลือกจะปิดไฟหลักแล้วใช้ไฟสลัวแทนเพื่อเพิ่มบรรยากาศ อีกทั้งยังมีดอกไม้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไปแอบเด็ดมาจากสวนของรีสอร์ทจัดวางใส่ในแก้วน้ำเพื่อประดับโต๊ะกินข้าว หากเป็นคนอื่นวินทร์คงจะโมโหและต่อว่าไปแล้วกับการที่ดอกไม้ซึ่งดูแลเองกับมือถูกเด็ดมาใช้ส่วนตัวตามใจชอบ แต่เห็นว่าเป็นจอสด้วยฉันทคติที่มีจึงทำให้กฎระเบียบต่างๆ กลายเป็นยืดหยุ่นไปได้เสียหมด

              ในขณะเดียวกับทางด้านของจอสแม้มือจะสาละวนจัดวางอาหารขึ้นโต๊ะ แต่ตาก็ยังแอบจ้องลอบมองเหยื่อของตนในค่ำคืนนี้ มั่นใจในลางสังหรณ์อันแม่นยำว่าอีกฝ่ายก็คงจะพอมีใจสมยอมอยู่บ้างโดยสังเกตจากอาการเขินอายที่ถึงแม้จะพยายามปกปิดแต่ก็หลุดแสดงออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ เด็กหนุ่มพยายามคิดวางแผนว่าต่อจากนี้จะเอาอย่างไรต่อเพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ แน่นอนว่าต้องใช้การรุกคืบที่รวดเร็วเพราะนี่ไม่ใช่การจีบ ไม่เหมือนอย่างเคสของภูที่จะสามารถมานั่งคุยกันทั้งคืนแล้วปล่อยกลับไปโดยไม่มีอะไรบุบสลายได้ ครั้งนี้กับวินทร์ มันคือเรื่องของความใคร่ล้วนๆ เนื้อหนังเน้นๆ

              “นี่อายุยี่สิบเจ็ดแล้วเหรอเนี่ย?” จอสตกใจกับอายุของอีกฝ่าย หลังจากการคุยบนโต๊ะอาหารทำให้รู้ถึงรายละเอียดส่วนตัวของกันและกันมากขึ้น จริงอยู่ที่แค่มองจากภายนอกก็พอเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะอายุมากกว่าตน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากกว่าขนาดนี้ “แล้วแบบนี้เราต้องเรียกพี่หรือเปล่า?”

              “ไม่ต้องหรอกครับ เอาแบบตามสบายกันดีกว่า” วินทร์รีบบอกปัดเพราะโดยส่วนตัวก็ไม่ชอบการเป็นฝ่ายอายุมากกว่าอยู่แล้ว

              “เรียกพี่ดีกว่า…” เมื่อรู้อายุจริงของวินทร์แล้วจอสก็ยากที่จะทำใจมองข้ามได้ “พี่เองก็ตามสบายนะ ไม่ต้องคุณต้องผมกับผมก็ได้”

              วินทร์พยักหน้าว่าตกลงตามนั้น จอสหยิบก้ามปูชิ้นสุดท้ายขึ้นมาใส่ปากและดูดเนื้อจนเกลี้ยง การหมกตัวอยู่แต่ในห้องด้วยอารมณ์หม่นหมองทำให้ความอยากอาหารถดถอยไปตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา วันนี้เมื่อความรู้สึกโดยรวมเริ่มดีขึ้นความหิวจึงกลับมาเป็นสามเท่าเช่นกัน เด็กหนุ่มจัดการสวาปามอาหารทะเลทั้งหมดซึ่งน้ำหนักรวมกันไม่ต่ำกว่าสี่กิโลกรัมจนเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที แม้จะเอาน้ำหนักเปลือกออกแล้วแต่ปริมาณเนื้อที่ลงท้องไปก็ถือว่าเยอะมากอยู่ดี ในขณะที่วินทร์ผู้เป็นเจ้าภาพจัดหามาเซ่นกลับนั่งเฉยไม่แตะเลยแม้แต่นิดเดียว

              “นี่พี่จะไม่กินอะไรจริงๆ เหรอ?” จอสวางก้ามปูซึ่งตอนนี้เหลือแต่วิญญาณลงบนจาน

              “มาถามคำนี้ตอนเหลือแต่เปลือกกุ้งกระดองปูแล้วเนี่ยนะครับ?” วินทร์หัวเราะในลำคอ หลังจากนั่งมองจอสกินอย่างดุเดือดมาเกือบครึ่งชั่วโมง

              “ก็ถ้าจะกินเดี๋ยวจะได้ซื้อเพิ่ม คราวนี้ผมออกเองก็ได้” จอสเช็ดปากกลบเกลื่อนความอายก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดล่อลวงต่อทันที “ขอแค่พี่หิวอ่ะ ผมก็พร้อมจะเสิร์ฟให้”

              “เสิร์ฟเจ้านี่ก่อนเลย หิวแน่นอน” วินทร์ชี้ไปทางโจโฉที่ตื่นนอนแล้วและกำลังนั่งรออย่างมีความหวังถึงส่วนแบ่งจากโต๊ะอาหาร

              “เฉไฉเก่ง ตีมึนเก่งนะ…” จอสไม่ยอมให้วินทร์ดิ้นหลุดง่ายๆ “ถามดีๆ ไม่ยอมกินแบบนี้ สงสัยต้องจับป้อนให้ถึงปากซะล่ะมั้ง…”

              “คิดจะปีนเกลียวเหรอครับ?” วินทร์เอาอายุมาข่ม

              “ปีนแล้วได้ก็จะปีนครับ” จอสลุกจากเก้าอี้มาป้วนเปี้ยนอยู่ด้านหลังของวินทร์ มือทั้งสองข้างยกขึ้นบีบนวดเบาๆ เพื่อกล่อมให้ผ่อนคลาย “พี่ก็อยากให้ปีนไม่ใช่หรือไง ถึงได้ยอมมา…”

              “รู้ได้ยังไง พี่อาจจะแค่มารับหมากลับเฉยๆ ก็ได้” ใบหน้าของวินทร์ร้อนวูบวาบไปตามสัมผัสของอีกฝ่าย

              “ถ้าพี่จะมาแค่นั้นจริงๆ ตอนนี้พี่ก็กลับได้เลย” จอสปล่อยมือออก มั่นใจมากกว่าอีกฝ่ายไม่มีทางลุกหนี

              “โอเค…” ทว่าวินทร์กลับลุกขึ้นและคล้องสายจูงเข้าที่ปลอกคอโจโฉก่อนจะเปิดประตูพาออกไปนอกห้องพัก

              อ้าวเฮ้ย… ไปจริงว่ะ… จอสงงเป็นไก่ตาแตก ถึงกับไปต่อไม่เป็นเมื่อหมูไม่ยอมอยู่ในอวยอย่างที่คิด เด็กหนุ่มพยายามคิดย้อนกลับไปว่าตนทำอะไรผิดพลาดหรือข้ามขั้นตอนหรือเปล่า เพราะทั้งที่ทุ่มเทเสน่ห์ออกไปหมดตัวแล้วอีกฝ่ายทำไมถึงยังเดินออกไปได้อย่างหน้าตาเฉย ความวิตกกังวลทำให้เขาหมดความมั่นใจจนถึงกับต้องพ่นลมหายใจตัวเองออกมาดมเพื่อค้นหาว่าใช่สาเหตุหรือไม่ และในขณะที่จอสกำลังยกแขนขึ้นดมหากลิ่นตัวตามใต้วงแขนอยู่นั้น ประตูห้องพักก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับวินทร์ซึ่งกลับมาโดยไร้เงาของโจโฉ

              “อ้าว…” จอสงงยิ่งกว่าเดิม “ก็เมื่อกี้ออกไปแล้วนี่…”

              “ก็เมื่อกี้มารับหมากลับไงครับ” วินทร์ปิดประตูแล้วเดินตรงเข้ามาหาจอสที่ยืนงงอยู่ “ธุระเรื่องหมาเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ก็ถึงเวลาของธุระส่วนตัวเจ้าของหมาบ้างแล้ว”

              วินทร์ก้าวเข้ามาประชิดตัวจอสซึ่งยังยืนงงงวยปรับอารมณ์ไม่ทันอยู่ตรงหน้า ก่อนที่สองมือจะประคองศรีษะของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วประกบริมฝีปากของตนเองเข้าไป จอสซึ่งตั้งตัวไม่ทันถึงกับตกใจจนตาเบิกโพลงและเม้มปากปิดแน่นก่อนจะค่อยๆ เผยออ้าออกรับจูบของอีกฝ่ายเมื่อเริ่มตั้งสติได้ มืออุ่นหนาของวินทร์ซึ่งขยับบีบนวดศรีษะที่ประคองจับอยู่เบาๆ ร่วมจังหวะไปกับการสอดลิ้นเข้าไปสำรวจช่องปากของจอสนั้นมอบสัมผัสที่ผ่อนคลายเป็นเลิศ ปลายลิ้นที่ช่ำชองหยอกเย้ากับริมฝีปากสลับกับวนเวียนเข้าไปสอดไล้เบียดเสียดกับลิ้นของอีกฝ่ายข้างใน และตอนนั้นเองที่จอสได้ค้นพบอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างวินทร์กับภูนอกจากเรื่องของรูปร่างและอายุ นั่นคือความชำนิชำนาญในการจูบซึ่งทำเอาจอสที่เคยมั่นใจว่าไม่เป็นรองใครในเรื่องแบบนี้ถึงกับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดเดินไปเลย

              “เดี๋ยว! ขอเวลานอก!” จอสผลักอีกฝ่ายออกเมื่อเริ่มรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน เด็กหนุ่มหอบจนตัวโยน แข้งขาอ่อนปวกเปียกจนต้องควานหาที่เกาะเพราะยืนตรงไม่ไหว

              “อะไรกันครับ… ไหนเมื่อกี้บอกพร้อมจะเสิร์ฟให้พี่ไม่ใช่เหรอ?” วินทร์หัวเราะหึ ก่อนจะขยับเท้ารุกไล่ตามจอสที่พยายามถอยหนีจนกระทั่งต้อนอีกฝ่ายไปจนมุมยังขอบเตียงนอน “ถามเองยิกๆ ว่าพี่จะกินไหม พอพี่จะกินจริงๆ แล้วหนีทำไมครับ?”

              “เดี๋ยว… เดี๋ยวนะ…” ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนจอสว่าสิ่งที่กำลังจะดำเนินต่อไปจากนี้เขาอาจจะต้องตกอยู่ในสถานะที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบซื้อเวลาหาทางเอาตัวรอด “เรามานั่งคุยกันอีกแป้ปนึง ให้รู้จักกันดีกว่านี้ดีไหม?”

              “เรื่องคุยไว้ทีหลังก็ได้ครับ..” วินทร์ออกแรงผลักเพียงเบาๆ ร่างซึ่งประคองอยู่บนขาที่แทบจะทรงตัวไม่ไหวอยู่แล้วของจอสก็หงายล้มลงไปนอนแผ่บนเตียงทันที

              แรงกระแทกเค้นลมออกจากปอดจอสจนเกลี้ยง เด็กหนุ่มหน้ามืดจนเห็นดาวขณะที่ตาพยายามโฟกัสมองร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายเตียงอย่างหวาดหวั่นในสิ่งที่อีกฝ่ายจะทำเป็นอย่างต่อไป จริงอยู่ที่เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากล่อลวงหวังจะพาอีกฝ่ายขึ้นเตียงแต่นั่นก็ด้วยเจตนาที่จะเป็นฝ่ายกระทำไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำแบบนี้ แม้จะเห็นท่าไม่ดีแต่จอสก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ร่างกายของตนไม่แสดงถึงการต่อต้านมากเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ในสถานการณ์ซึ่งเสี่ยงต่อการตกเป็นฝ่ายรับเช่นนี้เขาควรจะรีบยันตัวลุกขึ้น อาจจะผลักอีกฝ่ายจนล้มแล้ววิ่งหนีออกไปก็ย่อมได้ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นในความเป็นจริง มีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวแรงขึ้นในทุกขณะที่สายตาเอาแต่จับจ้องมองเนื้อหนังใต้ร่มผ้าที่เผยออกมาขณะอีกฝ่ายเหยียดชูแขนขึ้นและถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก

              อาจเป็นเพราะเขาช่างดูเหมือนเจ้ากระรอกนั่นเสียเหลือเกิน… จอสให้เหตุผลกับตัวเอง

              วินทร์โถมร่างเปลือยท่อนบนของตนลงมาคร่อมทับร่างของจอสเอาไว้ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะสอดเข้าใต้เสื้อและลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องของเด็กหนุ่มผู้อยู่เบื้องล่าง ปลายนิ้วลากสะกิดหยอกเย้ากับติ่งเนื้อที่ปลายยอดอกสร้างสัมผัสอันชวนให้สติหลุดก่อนจะก้าวเข้าสู่ขั้นถัดไปเมื่อเสื้อถูกเลิกเปิดขึ้นและวินทร์แทนที่ปลายนิ้วนั้นด้วยปลายลิ้นแทน จอสร่างเกร็งกระตุกเฮือกใหญ่เมื่อสัมผัสถึงปลายลิ้นนุ่มร้อนผ่าวซึ่งโลมเลียอยู่บนยอดอกของตนราวกับจะกวาดกลืนกินรสชาติใดๆ ที่เคลือบอยู่บนนั้น มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มยกขึ้นและเสยเส้นผมของวินทร์ซึ่งตกลงมาปรกใบหน้าให้ขึ้นไปทัดอยู่หลังหู สายตาจ้องมองใบหน้างามของอีกฝ่ายซึ่งกำลังปรนเปรอความสุขให้ตนอย่างหลงไหล สติหลุดลอยไปไกลจนเกินจะกู่กลับ

              จอสขยับสะโพกยกขึ้นเปิดทางให้เมื่อรู้สึกได้ถึงมือของอีกฝ่ายซึ่งเปลี่ยนเป้าหมายมาพยายามถอดกางเกงของตนออก จนเมื่อมันหลุดออกพ้นปลายเท้าไปแล้ววินทร์จึงค่อยถอดของตัวเองออกด้วยเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มต้องรู้สึกประหม่าจากการต้องเปลือยกายเพียงฝ่ายเดียว กระทั่งร่างกายเหลือแต่เพียงเนื้อหนังเปลือยเปล่าทั้งคู่เขาจึงค่อยก้มหน้าโน้มลงมาอีกครั้งและประทับจูบเบาๆ เข้าที่เนินเนื้อใต้สะดือของจอสก่อนจะค่อยๆ ขยับเลื่อนจูบต่ำลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ จอสร้องครางลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อส่วนปลายของมันถูกกลืนกินผ่านริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้าไปจนสุดทาง วินทร์บรรจงโลมไล้มันด้วยช่องปากของตนอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่ละทิ้งซึ่งจังหวะอันเร่งเร้า เสียงลมหายใจของจอสยิ่งหอบถี่กระชั้นขึ้นทุกขณะ ก่อนที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาทั้งร่างจะเกร็งกระตุกราวกับถูกไฟช๊อต จอสร้องครางออกมาอย่างสุดกลั้น กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเกร็งเขม็ง สะโพกยกลอย ปลายเท้าเหยียดตรงค้างอยู่อย่างนั้นขณะที่ทุกหยาดหยดที่หลั่งออกมาถูกอีกฝ่ายกลืนกินลงคอไปจนหมดโดยไม่รังเกียจ

              “กินไปหมดเลยเหรอ…?” จอสถามเสียงอ่อย ตายังเห็นดาวระยิบระยับไม่หาย แต่ก็ยังไม่วายมีแก่ใจจะพูดแซวอีกฝ่ายอยู่ “ไหนบอกหลังหกโมงไม่กินอะไรแล้วไง?”

              “ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วคิดเองเออเองนะครับ” วินทร์เลียริมฝีปากของตนคล้ายกับยังไม่อิ่ม “พี่บอกว่าหลังหกโมงจะไม่ทานมื้อหนักแล้ว แต่อาหารว่างแบบนี้ ทานได้…”

              วินทร์ขยับเคลื่อนตัวขึ้นมาและก้มหน้าลงประกบปากกับจอสอีกครั้งเพื่อให้เด็กหนุ่มได้กลืนกินรสชาติของตนเองที่ค้างคาอยู่ในปากเขาเข้าไปด้วย แม้จะเคลิ้มไปกับรสจูบแต่จอสยังพอมีสติจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แข็งและร้อนราวกับเหล็กอังไฟซึ่งนาบอยู่บนหน้าท้องของตนในขณะที่อีกฝ่ายโถมตัวทับลงมาและรู้ได้ในทันทีว่าเกมนี้ยังไม่จบ หลังกำหนัดคลายลงจากการปลดปล่อยเมื่อครู่ความกลัวก็เริ่มกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง จอสจึงตัดสินใจต่อรองเพื่อหาทางออกแบบไม่ต้องเจ็บตัวให้กับตนเอง

              “เอาเป็นว่า… เดี๋ยวผมทำให้แบบที่พี่ทำให้ผมเมื่อกี้ก็แล้วกันนะ” จอสขยับตัวจะลุกขึ้นแต่ก็โดนอีกฝ่ายกดให้นอนราบลงไปเหมือนเดิม

              “นายไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละครับ อยู่เฉยๆ ก็พอ” วินทร์ตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มใสซื่อที่ถอดแบบมาจากภูได้เป๊ะทุกกระเบียด ซึ่งนั่นทำให้จอสขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนอกเหนือจากความรู้สึกที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนจับขึ้นเขียงเชือด

              “พี่ไม่เอาน่า…ผมไม่เคยรับนะ ไม่อยากด้วย” เมื่อข้อเสนอแลกเปลี่ยนตกไป จอสจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งข่มขู่แทน “ถ้าผมไม่ยอม มันก็คือการข่มขืนนะ คุกนะ บอกเลย”

              “งั้น…” วินทร์ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะได้คำตอบแทบจะในทันที “พี่ก็แค่ต้องทำให้นายยอมให้ได้สินะครับ”

              “ไม่! ยังไงก็ไ..ม่…. อื้ออออ”

              วินทร์ไม่ปล่อยให้จอสได้มีโอกาสพูดปฏิเสธอีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ริมฝีปากนุ่มชื้นประกบกลับเข้ามาอีกครั้ง เด็กหนุ่มพยายามดิ้นรนขัดขืนพร้อมกับปิดปากแน่นเพื่อยืนยันความไม่สมยอมของตนเอง ทว่าก็ทำได้ไม่นานเมื่อทันทีที่สายตาเผลอสบเข้ากับดวงตาใสซื่อเป็นประกายคู่นั้น จอสก็แพ้ทางจนอ่อนระทวยและเผลออ้าปากรับจูบของอีกฝ่ายโดยไม่ทันจะรู้ตัว ขณะที่ลิ้นของวินทร์บุกรุกคืบคลานเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขาในโพรงปากนั้น ในหัวของจอสก็ยังเต็มไปด้วยความคิดพิศวงสงสัยว่าชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ซ่อนความร้อนเร่าราวกับเปลวเพลิงเอาไว้ภายใต้ใบหน้าไร้เดียงสานั้นได้อย่างไร หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรกเขาจะไม่มีทางพาตัวเองมาข้องเกี่ยวให้เสียเชิงชายอย่างแน่นอน

              ไฟราคะที่เพิ่งมอดดับไปถูกกระตุ้นจนลุกฮือขึ้นมาอีกรอบ ริมฝีปากของวินทร์เคลื่อนเปลี่ยนเป้าหมายมายังซอกคอของจอส เขาขบเม้มและดูดดุนสลับกับลากลิ้นโลมเลียอย่างชำนาญ เด็กหนุ่มขนลุกทั่วทั้งร่างในขณะที่เนื้อตัวเกร็งเขม็ง แขนทั้งสองข้างตอนนี้ถูกมือแข็งแรงของวินทร์จับรวบชูขึ้นตรึงเอาไว้เหนือหัวเตียงไม่ให้ดิ้นรนหรือปัดป้องขัดขืน ซึ่งจอสมองว่าไม่จำเป็นเลย เพราะแค่สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำกับตนอยู่ในตอนนี้ก็มากพอจะทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงจะต้านทานแล้ว ในขณะที่ริมฝีปากกำลังสาละวนกับซอกคอของเด็กหนุ่มอยู่นั้น วินทร์ก็แทรกเบียดลำตัวเข้ามากลางหว่างขาของจอสจนเขาจำต้องอ้ากางขาออกรับ ชายหนุ่มขยับตัวเคลื่อนลงจนใบหน้าอยู่เกือบถึงแก่นกายของอีกฝ่ายซึ่งกำลังชูคอแข็งขันขึ้นมาอีกรอบแม้จะเพิ่งถึงจุดหมายไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา จอสหลับตาเตรียมใจรับสัมผัสด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงใช้ปากจัดการกับมันเหมือนเช่นที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่าสิ่งนั้นกลับไม่เกิดขึ้น ริมฝีปากของวินทร์เคลื่อนผ่านมันไปก่อนจะจูบลงที่ต้นขาด้านในของเด็กหนุ่ม ปลายลิ้นเลียไล้ลากเป็นแนวยาวจนสุดทางก่อนจะย่ามใจใช้ฟันขบกัดเนื้ออ่อนบริเวณนั้น

              “ฮึก…” จอสพยายามกลั้นเสียงครางของตนเอาไว้ในลำคอแต่ทว่ามันก็ยังหลุดออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความเป็นต่อที่มีอยู่

              “ไงครับสุดหล่อ…” วินทร์ถามพลางแหงนตาขึ้นมองขณะที่ปากยังไม่ละจากจุดนั้น “เปลี่ยนความคิดหรือยัง?”

              “ไม่…” จอสยังดื้อดึงไม่ยอม “ไม่เอา พอได้แล้ว…”

              “ปากนายบอกไม่…” วินทร์โฉบเลียเนื้ออ่อนบริเวณขาหนีบอีกครั้งแล้วใช้ริมฝีปากจูบเข้าไปแรงๆ ร่างของจอสสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกไฟช๊อต เสียงครางน่าอายหลุดออกจากปากมาอีกครา ทำให้วินทร์รู้ได้ในทันทีว่าตนกำลังจะเป็นผู้มีชัยชนะเหนือเกมนี้ “แต่ร่างกายนายบอกว่าชอบนะครับ…”

              จอสพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงจนไม่อาจเถียงได้ เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดพยายามข่มอารมณ์ที่ลุกโชนให้สงบลงหากทว่าก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งวินทร์รุกล้ำเข้าไปจนถึงซอกหลืบซึ่งไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องจอสก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวราวกับเปลวเพลิงสุม ผิวกายร้อนรุ่มราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทุกอณูของประสาทรับรู้กรีดร้องขอการปลดปล่อย ท่อนขาเกร็งจนปลายเท้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ มือข้างหนึ่งของวินทร์เอื้อมขึ้นมาจับยังใบหน้าของจอส ปลายนิ้วสอดเข้ามาในปาก เด็กหนุ่มอ้ารับและใช้ลิ้นโอบรัดมันตอบสนองจนเปียกชุ่มก่อนที่เจ้าของนิ้วจะถอนมือกลับไปและจ่อนิ้วซึ่งเปียกลื่นไปด้วยน้ำลายนั้นเข้าที่ปากช่องทางซึ่งปิดสนิทจากนั้นจึงออกแรงดันให้สอดผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ

              “อย่า! เจ็บ!” จอสร้องห้ามพร้อมกับถดตัวหนีเมื่อรู้สึกถึงการบุกรุก ทว่าก็ไปไหนไม่รอดเมื่อวินทร์จับรั้งตัวเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

              “อดทนหน่อยนะครับ อีกแป้ปนึงก็ดีขึ้นแล้ว พี่สัญญาจะไม่ทำให้นายต้องเจ็บมาก” วินทร์กระซิบกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยนขณะที่มือก็ยังดำเนินการเบิกเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากดูดดุนที่ยอดอกสลับกับไซร้ซอกคอของเด็กหนุ่มเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้คลายจากความเจ็บที่กำลังเผชิญ

              เมื่ออาการเกร็งเริ่มผ่อนคลายลงจอสก็รู้สึกถึงนิ้วของอีกฝ่ายซึ่งเคลื่อนเข้าออกอยู่ในร่างกายของตน ความเจ็บเริ่มจางหายจนกลายเป็นความหฤหรรษ์เมื่อปลายนิ้วเฉียดผ่านจุดเร้นลับบางอย่างภายในซึ่งไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่งยวด วินทร์ค่อยๆ ปรับเพิ่มระดับจากหนึ่งนิ้วเพิ่มขึ้นเป็นสองและสามอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มแอ่นสะโพกยกรับสัมผัสอันแปลกใหม่ที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

              “ชอบไหมครับ?” วินทร์ถาม แต่เพียงแค่ดูอาการของจอสเขาก็ได้คำตอบ “ไม่เจ็บแล้วล่ะสิ เก่งมากเลย เด็กดีของพี่…”

              “อย่า… อย่าลึกมาก…” จอสพยายามห้ามแต่สะโพกที่เอาแต่แอ่นรับไม่ยอมถอยทำให้คำพูดนั้นดูไม่น่าเกรงขามเท่าไหร่นัก “อ่ะ…. อา… พอแล้ว… ไม่ไหวแล้ว..”

              “อยากเปลี่ยนจากนิ้วเป็นอย่างอื่นหรือยังครับ?” วินทร์ถาม เป็นคำถามเพื่อยืนยันความสมัครใจก่อนปฏิบัติการจริงจะเริ่ม

              “….” จอสปิดปากไม่ยอมตอบ ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำนั้นฟ้องทุกอย่างแล้ว วินทร์เห็นความดื้อของเด็กหนุ่มแล้วก็ชวนให้เอ็นดูระคนหมั่นไส้จึงแกล้งถอนนิ้วออกจนเกือบหมดแล้วดันกลับเข้าไปใหม่พรวดเดียวสุดทาง จอสตาเหลือกหลุดครางออกมาดังลั่น “อึ๊ก!!! อ๊า!!”

              “ถามก็ตอบกันบ้างสิครับ” วินทร์ขอร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แววตาข่มขู่อยู่ในทีว่าหากจอสยังดื้อ การลงโทษในครั้งต่อไปจะหนักกว่านี้ “ว่ายังไงครับ จะตอบคำถามพี่ได้หรือยัง?”

              “จะทำอะไรก็ทำ…” จอสตอบเสียงเกือบจะเป็นกระซิบ

              “อะไรนะครับ?” วินทร์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

              “จะทำอะไรก็รีบทำเลย! ” จอสตอบอีกครั้งด้วยเสียงดังเกือบจะเป็นตะโกน เด็กหนุ่มหันหน้าหลบไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย อับอายจนเกินจะบรรยายกับการต้องร้องขอให้ผู้อื่นทำอะไรแบบนี้กับตน

              เมื่อได้ยินคำยินยอมจากปากของอีกฝ่าย วินทร์จึงค่อยถอนนิ้วออกมาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ชายหนุ่มขยับตัวเข้าจ่อประชิดอยู่กลางหว่างขาของเด็กหนุ่มซึ่งนอนตัวสั่นอยู่เบื้องล่าง ขาข้างหนึ่งของจอสถูกวินทร์จับยกขึ้นพาดบนบ่าก่อนที่เขาจะขยับจัดท่าทางจนได้ที่ จอสรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากบางสิ่งซึ่งใหญ่โตกว่านิ้วมากซึ่งกำลังจ่ออยู่บริเวณปากทางเข้าก่อนจะค่อยๆ ดันเข้ามา เด็กหนุ่มตัวเกร็ง มือทั้งสองข้างจิกผ้าปูเตียงแน่นขณะที่ช่วงล่างรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดจนแน่นตื้อจากสิ่งที่บุกรุกเข้ามา

              “อย่าเกร็งครับ ผ่อนคลายไว้ เด็กดีของพี่” วินทร์กระซิบบอกขณะที่สะโพกก็ยังพยายามดันเข้ามาโดยช้าๆ แต่ไม่ให้ขาดตอน ความคับแน่นที่โอบรัดอยู่นั้นทำให้เขาแทบจะอดกลั้นต่อไปไม่ไหวอยากกระแทกเข้าไปให้สุดในครั้งเดียว หากแต่ก็พยายามอดทนเพื่อมอบความทรงจำที่ดีที่สุดให้กับครั้งแรกของจอส “อีกนิดเดียวก็จะเข้าไปหมดแล้วครับ อดทนนะ”

              “อือ…” จอสพยักหน้ากัดฟันกรอด พยายามอดทนตามที่อีกฝ่ายบอก

              วินทร์หยุดสะโพกแช่คาเอาไว้เมื่อดันเข้าไปจนสุดทาง จนกระทั่งรู้สึกว่าช่องทางนั้นเริ่มผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้วจึงค่อยขยับอย่างช้าๆ และเนิบนาบ ความเจ็บปวดเริ่มจางหายไปกลายเป็นความเสียวซ่าน สองแขนของจอสยกขึ้นโอบรัดรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ขณะที่ร่างถูกกระแทกกระทั้นจากเบาและทวีเป็นแรงขึ้นเรื่อยๆ เส้นขนทั่วร่างลุกชันเมื่อวินทร์ก้มหน้าลงซุกไซร้ซอกคอและลามขึ้นมาเลียที่ใบหู

              “ตัวจริงนายหล่อกว่าในโทรทัศน์มากเลยรู้ไหม?” วินทร์มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายในยามนี้ที่แม้จะบิดเบี้ยวเหยเกจนหมดท่า แต่เขาก็ยังคิดว่ามันช่างหล่อเหลาไม่ผิดจากเวลาปกติ “ขนาดทำหน้าบิดเบี้ยวแบบนี้ยังหล่อมากเลย”

              “รู้ตัวน่า…” จอสตอบ นึกดีใจที่ใบหน้าของตนคงแดงก่ำอยู่แล้วจนอีกฝ่ายคงดูไม่ออกว่าคำถามเมื่อครู่ทำให้เขาเขินมากแค่ไหน

              “ไม่ใช่แค่หล่อ… แต่ยังน่ารักมากด้วย” วินทร์ยกมือขึ้นจับบนศรีษะของจอสแล้วลูบไปตามแนวผม “ขอบคุณนะครับที่ให้พี่ได้เป็นคนแรกของนาย”

              คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หัวใจของจอสเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม ร่างของเด็กหนุ่มเปิดอ้าขารับแรงกระแทกที่อีกฝ่ายโถมเข้ามาหนักหน่วงขึ้นในทุกขณะ มือเกร็งขยุ้มเส้นผมยาวสลวยของอีกฝ่ายไว้แน่น เสียงหอบหายใจผสมกับเสียงครางกระเส่าและเหงื่อที่เปียกชุ่มทั่วร่างของทั้งคู่บ่งบอกว่าจุดสิ้นสุดกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า วินทร์ขยับสะโพกอัดกระแทกเข้ามาแบบหนักแน่นเน้นย้ำอีกเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างในหัวจะสว่างไสวไปหมดด้วยแสงของดอกไม้ไฟซึ่งประทุขึ้นจากทั้งสองฝั่งโดยพร้อมเพรียงกัน


To be continued...

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :pighaun: ร้อนแรงมากกกกก

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
 :a5:  o22 โอ้มายก้อดๆๆๆๆๆๆ ไหงเปนงี้อะ ทำไมจอสโดนกิน  :heaven

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆๆ  นุ้งจอส

กะจะเสียบเขา  สุดท้ายถูกเขาเสียบ

น่าวงวาร

 :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
กรี๊ดดดด เข้ามาลงชื่อให้กำลังคนแต่งก่อนค่ะ
เดี๋ยวกลับมาอ่านนะจ๊ะ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 2

          กว่าจอสจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นในวันต่อมาเวลาก็ล่วงเลยจนย่างเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว เด็กหนุ่มปวดไปทั้งร่างกายรู้สึกเหมือนผ่านการใช้แรงงานอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ตามผิวกายเต็มไปด้วยรอยจ้ำและแผลเล็กๆที่วินทร์บรรจงใช้ริมฝีปากกับคมฟันฝากเอาไว้ แต่จุดที่ดูจะสาหัสสากรรจ์ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบั้นท้ายที่ทั้งเจ็บระบมและแสบ แม้เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้นด้วยตนเองจะไม่พบบาดแผลฉีกขาดแต่แค่อาการบวมอักเสบที่เป็นอยู่นั้นก็ทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกจนแทบจะกลายเป็นคนพิการไปครึ่งตัวแล้ว

          วินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้วตอนที่จอสตื่นขึ้นมา มีเพียงข้อความบนกระดาษโน้ตซึ่งแปะทิ้งเอาไว้เหนือหัวเตียงที่บอกว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องขึ้นฝั่งไปทำธุระในเมืองจึงต้องขอตัวกลับไปก่อนที่เขาจะตื่น หัวใจของจอสเบาหวิวเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตนอยู่ตามลำพัง จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์เพียงข้ามคืนคงไม่อาจจะถือเป็นเรื่องจริงจังได้ แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกทั้งยังเพิ่งจะได้บางสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่เคยมอบให้ใครไป จอสจึงอดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ว่าอย่างน้อยตนก็ควรได้รับความเอาใจใส่จากคู่นอนของตนมากกว่าที่เป็นอยู่นี้

          หลังจากต้องใช้ความพยายามอย่างมากจนเรียกได้ว่าเกินควรในการอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้อย่างทุลักทุเล จอสซึ่งยังคงตัดความรู้สึกที่ว่าตนเป็นฝ่ายถูกทิ้งออกไปไม่ได้จึงประคองสังขารออกมาจากห้องและพยายามจัดท่าทางการเดินให้ดูเป็นปกติ ขณะที่สายตาก็มองหาสะเปะสะปะไปอย่างไร้จุดหมายเผื่อว่าจะพบกับวินทร์ซึ่งอาจจะกลับมาที่เกาะแล้วและอยู่ที่ไหนสักแห่งในตอนนี้ แต่หลังจากความพยายามผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบตัว อีกทั้งอาการบาดเจ็บยังเรียกร้องให้ร่างกายหยุดพัก เด็กหนุ่มจึงยอมถอดใจและหย่อนกายลงนั่งบนพื้นทรายนุ่มริมชายหาด สายตามองเหม่อออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า

          กะจะฟันเค้า พอเอาเข้าจริงโดนเค้าฟันซะเองแถมยังเป็นการฟันแล้วทิ้งอีกต่างหาก จอสสะเทือนใจกับชีวิตช่วงนี้ที่ทุกอย่างดูจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเลย แต่อีกฟากหนึ่งเขาก็โล่งอกที่ความสัมพันธ์คืนเดียวของตนจบลงอย่างเรียบง่ายไม่มีปัญหาหรือการคร่ำครวญใดๆจากอีกฝ่ายตามมาให้ปวดหัว เด็กหนุ่มยังจดจำครั้งสุดท้ายที่เขาทำอะไรทำนองนี้ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักกับภูและได้พบกับเด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่งขณะแคสต์งาน ซึ่งแม้ก่อนเริ่มจะตกลงกันจนเป็นที่เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีการผูกมัด เป็นแค่ความสนุกร่วมกัน แต่พอเอาเข้าจริงอีกฝ่ายก็กลับอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมเลิก ซ้ำยังคอยตามรังควาญจนชีวิตเขาอยู่ไม่เป็นสุขไปพักใหญ่ ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อวินทร์เป็นฝ่ายยอมจากไปเองโดยไม่ต้องรอให้คู่กรณีเอ่ยปาก แม้จะรู้สึกเหมือนโดนทิ้งแต่ในใจจอสก็อดไม่ได้ที่จะมีความยินดีแฝงอยู่

          ก็แน่สิ… ก็ไอ้หมอนั่นมันมีแต่ได้กับได้… มันจะต้องคร่ำครวญอะไรอีก จอสเดือดอยู่ในใจ เพราะแม้จะยินดีที่จากไปแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคืองที่ถูกพรากพรหมจรรย์

          เสียงคลื่นและลมทะเลที่พัดโชยเข้าฝั่งมาช่วยกล่อมอารมณ์ของจอสให้สงบลงทีละน้อย เด็กหนุ่มเริ่มปรับสภาพจิตใจตัวเองให้เข้าที่เข้าทางได้ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นแค่อีกครั้งหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ อาจจะง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วยซ้ำเพราะความมืดแสนน่ากลัวที่คอยกระซิบบอกให้เขาเกลียดชังชีวิตซึ่งเคยเกาะกินอยู่ในสามัญสำนึกได้จางหายไปจนหมดแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยเกือบจะทำสำเร็จและฝากรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เหล่านี้ไว้บนท้องแขนเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ แต่มันจะไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ จอสก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังเดียวดายอีกต่อไปแล้ว

          เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็นอย่างเต็มตัว แสงแดดลดทอนความเข้มข้นลงจนไม่แสบผิวอีกต่อไปแล้ว จอสเอนหลังลงบนพื้นทรายและหลับตาเพื่อซึมซับบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายนี้ไว้ ทว่าขณะที่กำลังปล่อยกายปล่อยใจไปจนเกือบเคลิ้มหลับนั้นก็ถูกรบกวนโดยสัมผัสเปียกแฉะชวนจั๊กจี้ที่เกิดขึ้นข้างแก้มจนต้องลืมตาขึ้นมาดูว่ามันคืออะไรก่อนจะพบเข้ากับใบหน้าของโจโฉซึ่งนั่งลิ้นห้อยจ้องมองอยู่ข้างศรีษะ เมื่อมันเห็นเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วจึงทำการเลียเข้าที่ใบหน้าเป็นการทักทายอีกหนึ่งที

          “นึกว่าใคร…” จอสยันตัวลุกขึ้นมาและกวักมือเรียก “มานี่มา…”

          โจโฉกระโดดเข้าใส่ตามคำเชิญทันทีโดยไม่รีรอ แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่พอๆกับกระสอบข้าวทำให้มันโถมทับร่างของจอสจนหงายลงไปกับพื้นทรายอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่ถือสากับเนื้อตัวที่เลอะทรายจัดการกอดรัดฟัดเหวี่ยงเล่นกับสุนัขต่อทั้งอย่างนั้น แต่ก็สนุกได้ไม่เต็มที่เมื่ออาการบาดเจ็บบริเวณบั้นท้ายยังคอยส่งสัญญาณเตือนให้ต้องสะดุ้งอยู่เป็นระยะ และในตอนนั้นเองที่จอสนึกขึ้นได้ว่าหากโจโฉอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเจ้าของๆมันก็ย่อมอยู่แถวนี้เช่นกัน เพียงคิดเท่านั้นหัวใจก็พาลเต้นตึกตักขึ้นมาอีกรอบขณะที่สายตาก็กวาดมองรอบตัวหาอย่างมีความหวัง 

          “หาใครอยู่เหรอครับ?” เสียงของวินทร์กระซิบถามเขาที่ข้างหู

          จอสรีบหันกลับไปหาต้นเสียงก่อนจะพบว่าใบหน้าของทั้งสองในขณะนี้จ่อประชิดกันอยู่จนปลายจมูกแทบจะเฉี่ยวชนกันได้ ด้วยความตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกทั้งยังมาจ้องหน้าตนด้วยสายตาที่ชวนให้แพ้ทางนั่นอีก จอสจึงตอบสนองกลับไปโดยอัตโนมัติด้วยการผงกศรีษะโขกใส่หน้าผากของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ จนต่างฝ่ายต่างหงายลงไปกองกับพื้นทรายทั้งคู่

          “อูยย…” วินทร์ร้องครางด้วยความเจ็บ แรงกระแทกนั้นมากพอจะทำให้เขาเห็นดาวทั้งที่ฟ้ายังไม่มืดด้วยซ้ำ “ทักทายกันแรงจังเลยครับ”

          “ไปไกลๆเลย!” จอสขู่ฟ่อใส่ “ไอ้พวกบ้ากาม บังคับขืนใจเด็ก”

          “อายุเกินสิบแปดนี่เรียกเด็กไม่ได้แล้วนะบอกเลย” วินทร์ลอยหน้าลอยตาแย้ง “แล้วพี่ไปขืนใจนายตอนไหนครับ?”

          “ยังจะมีหน้ามาถามอีก” จอสยันตัวลุกขึ้นยืนแต่ก็เป็นไปอย่างลำบากยากเย็นเพราะอาการเจ็บบั้นท้ายคอยรั้งเอาไว้

          “ถ้าพูดถึงเรื่องเมื่อคืน…” วินทร์ทำท่านึกย้อนความทรงจำ “เห็นมีแต่คนสมยอมนะครับ”

          “ไม่มี!” จอสไม่ยอมรับ

          “แล้วใครพูดนะประโยคนี้น่ะ… จะทำอะไรก็รีบทำเลยยยยย” วินทร์ล้อเลียนด้วยน้ำเสียงแบบจอสตอนที่พูดประโยคเดียวกันนี้เมื่อคืน

          รองเท้าแตะข้างหนึ่งลอยเข้าหน้าวินทร์ทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ จอสซึ่งอับอายที่โดนขุดพฤติกรรมไร้สติตอนเข้าด้ายเข้าเข็มมาล้อจนทนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ไหวจึงรีบเดินหนีไปทั้งที่ยังสวมรองเท้าแค่ข้างเดียว แต่ก็ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่แขนจะถูกอีกฝ่ายที่วิ่งตามมาทันฉุดรั้งเอาไว้

          “ปล่อยเซ่!” จอสโวยวายพร้อมกับพยายามสะบัดมือออกแต่ยิ่งทำอีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น เมื่อสู้แรงไม่ได้จอสจึงสู้ด้วยปากแทน “ปล่อย! ไม่งั้นจะเรียกให้คนช่วยแล้วนะ!”

          “เอาสิครับ” วินทร์ไม่ห้ามกลับยุส่งด้วยซ้ำ “ถ้าอยากให้คนบนเกาะเค้ารู้กันทั่วว่ามีดาราเพิ่งเสียตัวเมื่อคืน ก็เอาเลย”

          “พี่ไม่กล้าหรอก” จอสบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วย!!!”

          “เรียกมาเยอะๆ จะได้ฟังกันทีเดียวเลยว่าน้องจอสหนุ่มแบดบอยตัวแสบจริงๆแล้วนอกจอเมื่อคืนนี้เป็นเด็กน่ารักขนาดไหน” วินทร์แสยะยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

          “หนอย…” จอสหยุดร้องเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกล้าทำจริงตามที่พูด

          “ดีมาก…” วินทร์ลูบหัวจอสเหมือนเล่นกับสุนัข “พี่น่ะไม่แคร์หรอกถ้าใครจะรู้ แต่พี่รู้ว่านายจำเป็นต้องแคร์…”

          “ไม่รู้จักคำว่าอายบ้างหรือไงหา?” จอสหงุดหงิดเกินทนกับท่าทางแบบผู้ชนะของอีกฝ่าย

          “ไม่เห็นมีอะไรต้องอายนี่ครับ” วินทร์ออกแรงดึงให้ร่างของจอสเข้ามาชิด “หนุ่มชาวเกาะบ้านนอก ได้น้องจอสดาราดังทำเมีย ไม่มีอะไรน่าอายซักนิดเลย”
    
          ครั้งนี้เมื่อไม่สามารถก้มลงไปถอดรองเท้าแตะที่เหลืออีกข้างมาประทับตราบนหน้าอีกฝ่ายได้เหมือนเมื่อครู่ จอสจึงเปลี่ยนวิธีมาเป็นการยกขาขึ้นและกระทืบไปที่เท้าอีกฝ่ายอย่างแรงแทน ความเจ็บและตกใจทำให้วินทร์เผลอผ่อนแรงมือที่จับกุมจอสเอาไว้ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมพลาดโอกาสทองนั้นรีบสลัดแขนจนหลุดออกมาเป็นอิสระและใส่เกียร์หมาโกยอ้าวหนีกลับรีสอร์ทด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่สังขารอันบอบช้ำจะสามารถทำได้
   
          อยู่ไม่ได้แล้ว มีแต่อายกับอาย ไปหาที่อื่นอยู่เอาก็ได้วะ… จอสรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าหลังจากตระหนักได้ว่าหากยังอยู่ร่วมกับวินทร์ที่นี่ ตนก็มีแต่เสียทั้งตัวเสียทั้งหน้า เด็กหนุ่มขยุ้มเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบบลวกๆก่อนจะรูดซิปปิด และในขณะที่กำลังเข้าไปเก็บข้าวของจำพวกของใช้ส่วนตัวที่วางอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำนั้นเอง หูก็พลันแว่วได้ยินเสียงดังกริ๊กคล้ายลูกบิดประตูถูกปลดล๊อค จอสชะโงกหน้าออกจากห้องน้ำมาดูก่อนจะพบว่าวินทร์ได้ตามเข้ามาถึงในห้องแล้วอีกทั้งกำลังนำเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งยัดใส่กระเป๋าไปเมื่อครู่ออกมาใส่ไม้แขวนจัดวางไว้ในตู้เหมือนเดิม
   
          “ทำบ้าอะไรฟะ!!” จอสโกรธจัด เป็นความโกรธที่ผสมกับความกลัวจากการที่รู้สึกว่ากำลังถูกต้อนจนมุม
         
          “จะไปไหนครับ?” วินทร์ถามเสียงเรียบ ขณะที่มือสะบัดเสื้อเชิ๊ตของจอสซึ่งยับยู่ยี่จากการถูกขยำยัดลงกระเป๋าให้คลี่ออกก่อนจะนำใส่ไม้แขวน “เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย โกรธพี่เรื่องอะไร?”

          “แล้วนี่เข้ามาได้ยังไง?” จอสงงว่าเขาล๊อคห้องไว้แล้วทำไมวินทร์ถึงตามเข้ามาได้

          “พี่ก็เข้าได้ทุกหลังแหละครับ” วินทร์ชูกุญแจพวงใหญ่ในมือให้ดู แต่ละดอกมีเลขประทับบ่งบอกเอาไว้ว่าเป็นของหลังไหนบ้าง “ทีนี้รู้หรือยังว่าเมื่อวานนี้ทำไมพี่ถึงไม่จำเป็นต้องถามว่านายอยู่หลังไหน”

          “อย่าบอกนะ…” จอสประติดประต่อใจความทั้งหมดเข้าด้วยกันก่อนจะสะพรึงกับผลลัพท์ที่ได้

          “ใช่เลยครับ” วินทร์ฉีกยิ้มใบหน้าสว่างไสว “ที่นี่ของพี่เอง”

          “งั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…” จอสขยายผลจากข้อมูลที่ได้รับ เพราะหากวินทร์เป็นเจ้าของที่นี่และรู้ว่าเขาพักอยู่หลังไหนตั้งแต่แรก ก็เท่ากับว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่วินทร์จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร “การแสดงงั้นเหรอ?”

          “ก็แค่พยายามเข้าหาแบบที่นายสบายใจที่สุดน่ะครับ” วินทร์ยอมรับ “เพราะดูจากวันแรกที่เชคอิน ก็พอเดาได้ว่านายไม่ต้องการให้ใครจำได้”

          “ไอ้ตอแหลเอ๊ย!” ความโกรธของจอสทวีขึ้นด้วยความเสียหน้าจากการที่เพิ่งรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อในแผนการของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เริ่มต้น

          “ช่างกล้าที่จะว่าคนอื่นด้วยคำนี้” วินทร์ยิ้มเยาะ “ทั้งที่ตัวเองก็วางแผนยึดหมาหลอกล่อให้พี่มาห้องแท้ๆ”

          “ออกไปเลยป่ะ!” จอสเถียงไม่ออก

          “ไม่ออก” วินทร์ยืนกอดอกนิ่งไม่ขยับ “ทีนี้บอกพี่มาได้แล้วว่าโกรธอะไร พี่ไปทำอะไรให้”
   
          “ไม่โกรธ แต่ไม่อยากสนใจ ไม่อยากยุ่งด้วย เรื่องของเรามันจบแล้ว วันไนท์สแตนด์ไม่เข้าใจหรือไง” แม้ปากจะพูดไล่  แต่ในใจจอสก็แอบหวาดหวั่นว่าอีกฝ่ายจะเชื่อตามนั้นและหันกลับออกไปจริงๆ
   
          “ถ้าไม่โกรธก็ไม่จำเป็นต้องหนี” วินทร์มองไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าของจอส

          “ก็ไม่ได้หนี แค่ไม่ชอบที่นี่แล้ว จะย้ายที่พัก” จอสแก้ตัว

          “ไม่มีที่อื่นให้พักแล้วล่ะครับ ตอนนี้บนเกาะเต็มหมดทุกที่แล้ว ถ้านายไม่อยู่ที่นี่ก็คงต้องไปนอนริมหาด” วินทร์พูดกดดันให้จอสเปลี่ยนใจ

          “ได้!” จอสไม่ยอมแพ้ “นอนริมหาดก็นอน ดีกว่านอนรีสอร์ทพวกบ้ากาม ไม่มีความรับผิดชอบ”

          “อ้อ… นี่เองที่โกรธ” วินทร์จับบางสิ่งที่จอสเพิ่งหลุดเผยออกมาได้ “ที่แท้ก็โกรธที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวนี่เอง”

          “ไม่ใช่โว๊ย!” จอสหน้าแดงก่ำ เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดความรู้สึกจริงๆออกไป

          “ถ้าโกรธเรื่องนั้นก็ขอโทษนะครับ” วินทร์ขยับเดินเข้ามาใกล้ขึ้น หลังจากดูรอบๆจนมั่นใจแล้วว่าจอสคงไม่มีอะไรที่สามารถคว้ามาขว้างใส่ตนได้อีก เขาหยิบถุงของร้านขายยาจากในกระเป๋ากางเกงออกมาและส่งให้กับจอส “เมื่อเช้าพี่ตื่นมาก็สายมากแล้ว ก็เลยรีบขึ้นฝั่งไปซื้อนี่มาให้ เพราะบนเกาะมันไม่มีร้านขายยา มีแต่สถานีอนามัย แล้วนายก็คงไม่อยากไปหาหมอด้วยอาการแบบนี้หรอก”

          จอสรับถุงใบนั้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ใจหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะยังซ่อนลูกไม้อะไรเอาไว้อยู่หรือไม่ เขาเปิดออกดูข้างในและพบกับยาเหน็บสำหรับแก้อาการอักเสบของทวารหนัก เพียงแค่นึกถึงวิธีการใช้มันก็มากพอที่จะสร้างความอับอายให้แก่ตัวเองได้แล้ว จอสส่งมันกลับคืนไปให้กับวินทร์ทันที

          “เอาคืนไป” จอสยื่นถุงให้ “ขอบคุณที่ไปซื้อมาให้โดยที่ไม่ได้ขอ แต่คนอย่างจอสไม่ต้องใช้ของพรรค์นี้หรอก เดี๋ยวก็หาย”

          “ไม่ได้ครับ นายต้องใช้ นี่คือความรับผิดชอบจากพี่” วินทร์ยืนกรานคำเดิม “ของแบบนี้ไม่หายเองง่ายๆหรอก ถ้าไม่ใช้นายก็ต้องเดินท่าประหลาดๆแบบนี้ไปอีกหลายวัน ไม่อายคนหรือไง?”

          “ประหลาดตรงไหนฟะ!?” จอสตะโกนถามอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าท่าทางการเดินของตนดูปกติดีแล้ว

          “ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ?” วินทร์ทำหน้าประหลาดใจ “นี่พี่ทำลายความมั่นใจนายเลยสิเนี่ย?”

          ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์รู้ตัวนะว่าทำบ้าอะไรกับความรู้สึกของคนอื่นเค้าไว้บ้าง จอสแดกดันอยู่ในใจ แม้จะหายโกรธเรื่องที่ถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพังเมื่อตอนตื่นนอนเพราะรู้เหตุผลของอีกฝ่ายแล้ว แต่ก็ใช่ว่าความอับอายจะหายไปตาม แม้กระทั่งในเวลานี้แล้ว กับชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีทางพฤตินัยเป็นคนแรกในชีวิตของตน จอสยังไม่อาจจะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆโดยไม่สะทกสะท้านได้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่วินทร์หันมาหรือจังหวะที่ทั้งสองเผลอสบตาเข้าหากัน เด็กหนุ่มก็จำต้องเบนสายตาหรือเบือนหน้าหนี สีหน้าถูกกลบเกลื่อนเอาไว้ด้วยอารมณ์โกรธและหงุดหงิดฉุนเฉียวเพียงเพื่อไม่ให้ถูกมองทะลุไปถึงความประหม่าที่ซ่อนเอาไว้ภายใน

          จอสพยายามบอกกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่การตกหลุมรัก เขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันทางด้านความสัมพันธ์ของตนเองที่จะไม่มีวันหลงใหลคลั่งไคล้หรือคิดจริงจังกับคนที่เพิ่งมีสัมพันธ์กันแค่ข้ามคืนเด็ดขาด หากเขาตัดสินใจแล้วว่าคนนี้มีไว้เพื่อความสนุกมันก็จะต้องจบเพียงเท่านั้นไม่มีวันพัฒนาได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นความรู้สึกประหลาดที่กำลังรบกวนจิตใจอยู่นี้มีที่มาจากอะไรกันแน่ จอสคิดเอาเองว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะความคลึงกันอย่างน่าประหลาดระหว่างวินทร์และภู เพราะยิ่งมองแบบเพ่งพินิจจอสก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนเป็นภูในวัยผู้ใหญ่ที่นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับมาแก้แค้นตนกับสิ่งที่เคยถูกกระทำเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้จอสยิ่งรู้สึกเสียหน้ามากขึ้น

          เสียตัวให้คนอื่นยังไม่หมดความมั่นใจเท่าเสียให้ไอ้กระรอกซื่อบื้อนี่เลย…

          มันไม่ใช่เพียงแค่ความคล้ายคลึงกันของหน้าตา จอสมั่นใจในจุดนี้อีกเช่นกัน วินทร์มีบางอย่างที่ทำให้เขาแพ้ทางโดยธรรมชาติ เป็นบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้ ไม่ใช่เพราะสู้ไม่ได้แต่เป็นเพราะไม่อยากสู้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแม้ปากของจอสจะคอยพูดขับไล่ไสส่งวินทร์อยู่แทบจะตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน แต่ลึกๆนั้นเขากลับรู้สึกดีที่อีกฝ่ายกลับมาหาและกลัวเหลือเกินว่าจะวินทร์จะหนีหายไปอีกครั้ง

          “เนี่ยตั้งแต่เจอกันที่หาดก็เห็นนายเดินแบบนี้ตลอดเลย” วินทร์ไม่พูดเปล่าสาธิตท่าทางประกอบให้ดูอีกต่างหาก

          ครั้งนี้เป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของจอสที่ลอยเข้ามาปะทะร่างของวินทร์แบบเต็มๆ นี่ไงล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงอยู่ด้วยไม่ได้ เหตุผลในการเกลียดขี้หน้าหาง่ายกว่าเหตุผลในการชอบเสมอ จอสฉวยโอกาสที่วินทร์ยังมึนไม่หายรีบเดินออกมาข้างนอกแต่พอก้าวพ้นประตูห้องออกมาก็เจอกับโจโฉซึ่งนั่งดักรออยู่เป็นด่านที่สอง

          “ถอยไป!” จอสสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปอีกทาง

          แต่ครั้งนี้โจโฉกลับนิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นจอสขยับไปทางไหนมันก็ย้ายไปนั่งดักไม่ยอมให้ผ่านไปได้โดยเด็ดขาด ครั้นเมื่อเด็กหนุ่มสามารถใช้ความว่องไวหลบฝ่าออกไปได้มันก็ยังตามมากัดชายเสื้อรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย ในตอนนั้นเองวินทร์ก็เดินตามออกมาข้างนอกจนทัน

          “ไม่ต้องตามมาเลย ไม่อยู่แล้ว ค่าพักเท่าไหร่ก็ว่ามา จะจ่ายให้” จอสร้องห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้

          “ไม่คิดเงินหรอกครับ” วินทร์เลิกล้อเลียนจอสแล้วกลับเข้าสู่ใบหน้าจริงจัง “แค่นายอยู่ต่อก็พอ”

          “รู้หรอกว่าหวังอะไรอยู่” จอสรู้ทัน “อย่าหวังซะให้ยากเลย”

          “ถ้าจะบอกว่าไม่หวังก็คงเป็นการโกหก” วินทร์ยอมรับตามตรง “แต่ถ้านายไม่ยินยอม นายไม่ต้องการมันก็จะไม่เกิดขึ้นครับ”

          “งั้นแค่ผมไม่ยอม ก็เท่ากับอยู่ที่นี่ไปฟรีๆได้ตลอดใช่ไหม?” จอสพยายามยั่วยุ

          “ก็จนกว่านายจะสบายใจ” วินทร์ไม่ขัดข้อง “พี่ไม่รู้หรอกนะครับว่านายเจออะไรมา แต่การที่คนดังที่น่าจะมีงานชุกแทบทุกวันอย่างนาย อยู่ๆก็หยุดการทำงานแล้วมาหมกตัวอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่”

          “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” จอสเสียงอ่อยลดท่าทีคุกคามลง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมอบเจตนาที่ดีให้ “ถ้าอยากให้อยู่ขนาดนั้นก็จะอยู่ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าไม่รีวิวหรือโฆษณาให้หรอก ช่วงนี้ไม่ทำงาน”

          “เรื่องพวกนั้นไม่จำเป็นหรอก เอาเป็นว่าอยู่ให้สบายใจนะครับ ขาดเหลืออะไรก็โทรเข้าไปแจ้ง” วินทร์ยอมปล่อยให้จอสมีเวลาส่วนตัว “แต่ถ้านายอยากจะไปจริงๆ พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะรั้งตัวไว้ ก็แค่รอให้ถึงหลังเที่ยงพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ อาจจะมีแขกที่รีสอร์ทอื่นเชคเอาท์แล้วมีห้องว่างให้นายเข้าพักได้”

          “ถ้าฟรีก็อยู่ เท่านี้แหละ” จอสพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนยอมอยู่ต่อเพราะไม่ต้องเสียเงิน ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องการเงินไม่เคยเป็นปัญหากับเขาเลยแม้แต่น้อย “เดี๋ยวจะพังห้องให้เละเทะเลย แล้วอย่ามาคิดค่าเสียหายทีหลังก็แล้วกัน”

          “ค่าเสียหายเป็นเงินคงไม่คิด” วินทร์ยิ้มมุมปาก “แต่ถ้านายทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้รู้กันครับว่านายจะต้องชดใช้ยังไง”

          วินทร์เดินตรงเข้ามาและหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มก่อนจะโน้มตัวก้มลงมาหา จอสรีบหลับตาไม่อยากต้องจ้องใบหน้านั้นในระยะประชิดเพราะกลัวจะปกปิดอาการที่ซ่อนเอาไว้ไม่อยู่ วินทร์มองดูอาการเกร็งประหม่านั้นอย่างเอ็นดูก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะขโมยหอมแก้มจอสซักฟอดหนึ่งให้หายคิดถึงเพราะรู้ดีว่ามันคงทำให้อีกฝ่ายเขินอายมากกว่าเดิมแล้วเตลิดหนีไปอีกรอบ บางทีทุกสิ่งอาจดีขึ้นถ้าปล่อยให้มันเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคืนนี้พวกเขาได้กระโดดข้ามขั้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วต่อไปจากนี้คงได้เวลาย้อนขั้นบันไดลงมาทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น

          ใบหน้าของวินทร์ก้มเลยต่ำลงไปก่อนจะหยิบสายจูงของโจโฉขึ้นมาและพาเดินออกไปจากตรงนั้น จอสเปิดตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของวินทร์ห่างไกลออกไปจากตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเกลียดตัวเองที่รู้สึกผิดหวังกับการที่อีกฝ่ายเพียงแค่เดินจากไปเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรส่งท้ายอย่างที่คาดคิดเอาไว้ว่าจะโดน จอสพยายามบอกกับตัวเองว่าดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องพักของตน ถุงใส่ยาเหน็บวางอยู่บนหัวเตียง วินทร์ไม่ยอมเอามันกลับไปด้วย จอสหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพลิกอ่านดูวิธีการใช้บนกล่อง แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกอัปยศอดสูกับการต้องมาทำอะไรแบบนี้กับตัวเอง เด็กหนุ่มโยนมันทิ้งไปไว้บนเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตาม แรงกระแทกส่งความเจ็บจี้ดพุ่งตรงจากบั้นท้ายขึ้นมาอีกระลอก ยาเหน็บจึงเริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง

          อาบน้ำก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน…  จอสตกลงใจเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำไป


To be continued...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
:pighaun: ร้อนแรงมากกกกก

รับน้ำแข็งไปประคบเย็นซักถุงมั้ยครับ  :hao6:



:a5:  o22 โอ้มายก้อดๆๆๆๆๆๆ ไหงเปนงี้อะ ทำไมจอสโดนกิน  :heaven

ช่วงนี้ชีวิตน้องดูจะไม่ค่อยได้ดั่งใจ  :hao5:



:pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆๆ  นุ้งจอส

กะจะเสียบเขา  สุดท้ายถูกเขาเสียบ

น่าวงวาร

 :z1: :z1: :z1:

ทำไมเหมือนสะใจมากกว่าสงสาร  :ling3:



กรี๊ดดดด เข้ามาลงชื่อให้กำลังคนแต่งก่อนค่ะ
เดี๋ยวกลับมาอ่านนะจ๊ะ

ตอนสองมาแล้ว อย่าลืมมาติดตามนะครับ  :katai4:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อีพี่วินทร์ ท่าทางจะร้ายเนอะ จอสสู้ๆ ลูก  :katai1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เขาเรียกว่า "แพ้ทาง" จ้ะนุ้งจอส

แต่นะ...แค่ถูกเสียบเนี่ย  พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาช่างคล้ายกับสาวน้อยเลยนะ  อิอิ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 3

          การสอดยาเหน็บไม่ส่งผลเสียใดๆ ทั้งสิ้นทางกายภาพ แต่กลับสร้างหายนะทางจิตใจได้อย่างมหาศาล หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเรียบร้อยแล้วจอสยังรู้สึกจิตตกหดหู่กับการกระทำชำเราตัวเองอยู่ทั้งคืนจนกระทั่งผล็อยหลับไป จนเมื่อตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าความรู้สึกจึงค่อยดีขึ้นพร้อมๆ กับอาการอักเสบที่จางหายไปจนแทบไม่เหลือ จอสบิดขี้เกียจพลางเหยียดแข้งเหยียดขายืดเส้นสายตามร่างกายที่ตึงยึดเพราะว่างเว้นจากการออกกำลังกายมาพักใหญ่ บนเกาะเล็กๆ แห่งนี้คงไม่มีฟิตเนสหรือยิมสำหรับให้เขาได้ฟิตเพิ่มพูนกล้ามเนื้อเหมือนอย่างในเมืองดังนั้นการวิ่งและกายบริหารด้วยตัวเองเพียงเล็กๆ น้อยๆ อาจจะพอช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง

          จอสอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดและกางเกงวอร์มสำหรับออกกำลังกาย หลังจากสวมรองเท้าสำหรับวิ่งเสร็จเรียบร้อยก็จึงเปิดประตูออกมาข้างนอกและวิ่งเหยาะๆ อยู่กับที่เพื่ออบอุ่นร่างกาย ก่อนจะชะงักหยุดฝีเท้ากลางคันเมื่อหันไปเจอเข้ากับวินทร์ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกประดับประดาข้างทางเดินของรีสอร์ทเอาไว้อยู่ ลำพังการรดน้ำต้นไม้นั้นไม่ได้ชวนให้ตกใจสักเท่าไหร่ หากว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังกระทำมันโดยอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนสวมเพียงกางเกงผ้ายืดขายาวตัวเดียวซึ่งขอบเอวร่นต่ำลงจนเกือบจะเห็นพงหญ้าสีดำอยู่รำไร

          ทำไมต้องมาเห็นอะไรแบบนี้แต่เช้าเลยวะเนี่ย… จอสปวดหัวตึ๊บ รู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบแต่ก็พยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า ทว่าก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จอสจะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาต่อภาพที่เห็น ในเมื่อเนื้อหนังทุกส่วนที่ยามนี้ถูกปกปิดอยู่ภายใต้กางเกงของอีกฝ่ายยังคงเปล่าเปลือยเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ และย้ำเตือนถึงความรู้สึกที่มันฝากเอาไว้ในร่างกายของเขาเมื่อยามที่ชำแรกแทรกตัวผ่านเข้าไปในช่องทางอันคับแน่น เด็กหนุ่มกำมือแน่นจนปลายเล็บจิกเข้ากับเนื้ออุ้งมือเพื่อให้ความเจ็บดึงตัวเองกลับออกมาจากเปลวเพลิงราคะที่กำลังคุโชนขึ้นมาอย่างหยุดยั้งไม่ได้

          “ตื่นแล้วเหรอครับ?” วินทร์วางสายยางลงกับพื้นก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา

          “ยังหรอก นี่ละเมอออกมา” จอสกวนประสาทกลับไปทันที

          “ละเมอเดินออกมาแบบนี้อันตรายแย่ อยากให้อุ้มกลับไปนอนต่อไหมครับ?” วินทร์รับมุกและไม่รีรอที่จะฉวยโอกาส

          “ไม่ต้องอ่ะ ตอนนี้ตื่นแล้ว” จอสเตรียมชิ่งหนี “พี่รดน้ำต้นไม้ไปเหอะ ผมจะไปวิ่งเรียกเหงื่อซักหน่อย”

          “ทำอย่างอื่นก็เรียกเหงื่อได้เยอะพอกันนะครับ…” วินทร์ยื่นใบหน้าเข้ามาประชิดจนปลายจมูกชนเนื้อแก้มของจอส

          “อย่างเช่นชกหน้าเจ้าของรีสอร์ทใช่มะ?” จอสไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ใจมากไปกว่านี้ เพราะจากประโยคเมื่อครู่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าการที่วินทร์มารดน้ำต้นไม้ให้เขาเห็นในสภาพเหมือนนายแบบปกนิตยสารปลุกใจแม่ม่ายแบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางหมากยั่วยวนให้อีกฝ่ายหวั่นไหวแล้วงับเหยื่อที่วางไว้ และเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นตัวตนที่ชอบเอาชนะของจอสก็ไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายถูกยั่วเพียงข้างเดียวอีกต่อไป

          ไวเท่าความคิด จอสดึงวิญญาณนายแบบมืออาชีพกลับมาเข้าร่างและทำการถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออกด้วยท่วงท่าที่ผ่านการฝึกปรือจากการทำงานมาแล้วนับร้อยครั้ง แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวเพียงช่วงสั้นๆ แต่ทุกการขยับเขยื้อนถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อขับเน้นจุดเด่นอันเป็นเสน่ห์ของร่างกายออกมาให้ได้มากที่สุด โชคดีที่รอยจ้ำแดงทั้งหลายที่วินทร์ฝากทิ้งไว้ตามร่างกายเมื่อคืนก่อนจางหายไปจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เด็กหนุ่มหันไปมองชายเจ้าของรีสอร์ทเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อการอวดเนื้อหนังมังสาของตน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสะใจกับชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ นี้เมื่อสีหน้าตะลึงงันของอีกฝ่ายนั้นช่างตลกจนไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายได้ถูก

          “ชอบไหมครับ?” จอสถามทิ้งหางเสียงยั่วยวน

          “ก็ไม่ปฏิเสธครับ” วินทร์กลืนน้ำลายพยายามดึงสติกลับมาและทำหน้าให้เป็นปกติ

          “ถ้าชอบก็ดูให้เต็มตาเลยครับ เพราะต่อจากนี้ไปพี่ก็มีสิทธิ์แค่ดูเฉยๆ แล้ว” จอสแทรกลมหายใจเข้ามาในประโยคเพื่อให้เสียงที่พูดออกมาฟังดูอบอวลไปด้วยกลิ่นราคะ เขาโยนเสื้อที่เพิ่งถอดออกมาให้กับวินทร์ก่อนจะออกวิ่ง “ฝากด้วย ไปก่อนนะครับ แล้วเจอกัน”

          “เรื่องแบบนี้ต้องยกให้เค้าเลย มืออาชีพจริงๆ …” วินทร์บ่นพึมพำกับตัวเอง ตามองเสื้อที่อยู่ในมือก่อนจะยกมันขึ้นมาสูดดมกลิ่นอายจากร่างกายของจอสที่ยังติดค้างอยู่บนนั้น

          อาจเป็นเพราะห่างเว้นจากการออกกำลังกายมานานเกินไปหรือการวิ่งบนพื้นทรายทำให้เสียแรงในการทรงตัวมากกว่าการวิ่งบนพื้นผิวปกติ หลังจากออกวิ่งและลงมาจนถึงชายหาดได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีจอสก็เริ่มเหนื่อยจนหอบ ซ้ำร้ายอาการเจ็บที่คิดว่ายาเหน็บได้ขจัดจนหายไปหมดแล้วนั้นก็ยังย้อนกลับมากำเริบ เด็กหนุ่มตัดสินใจไม่ดึงดันฝืนต่อเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ เขาหยุดและแวะนั่งพักยังร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์ริมชายหาดที่บริการอาหารเช้าสำหรับนักท่องเที่ยว จอสสั่งแพนเค้กกับไข่และเบคอนชุดใหญ่พร้อมเครื่องดื่มเป็นนมสดกับน้ำผลไม้อย่างละหนึ่งแก้วก่อนจะจ่ายเงินแล้วมานั่งรออาหารที่โต๊ะ

          อาหารมาเสิร์ฟในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เด็กหนุ่มค่อยๆ บรรจงใช้มีดส้อมหั่นแพนเค้กกับเบคอนเป็นชิ้นพอคำแล้วเอาเข้าปากพร้อมกัน รสหอมหวานจากเนยและแป้งฟุ้งตลบปากให้ความรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์แถมยังพ่วงมาด้วยความเค็มและมันจากเบคอนที่ช่วยกระตุ้นความเจริญอาหารให้เพิ่มมากขึ้นอีก นี่คืออาหารที่ทำให้จอสมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เพราะรสชาติของมัน แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่ได้ลิ้มรสความทรงจำบางอย่างที่แสนจะเลือนรางในอดีตก็จะหวนกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเสียงหวานสดใสของแม่ที่ร้องเรียกให้เขาลุกจากเตียงในยามเช้า กลิ่นของเนยที่ฟุ้งอยู่ทั่วครัว และกลิ่นหอมจากกาแฟดำในถ้วยใบใหญ่ของพ่อ

          เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างล้นพ้นจนไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะสิ้นสุดลงได้…

          จอสกระดกนมขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ล้างรสชาติที่ติดปากอยู่ให้ลงคอไปพร้อมกับภาพความทรงจำเหล่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะนึกถึงสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว ป่านนี้แม่คงทำแพนเค้กให้ลูกที่เกิดจากครอบครัวใหม่อยู่ที่ไหนสักแห่ง และอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีลูกอย่างเขา ในขณะที่พ่อเองก็คงวุ่นวายแต่กับงานและบรรดาผู้หญิงที่อายุห่างจากลูกตัวเองไม่เคยเกินห้าปี

          ตลับใส่ยาถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงวอร์มก่อนที่จอสจะเขย่าให้เม็ดยาข้างในหลุดออกมา เด็กหนุ่มมองยาสามเม็ดบนอุ้งมือของตนและรู้สึกว่าบางทีพวกมันอาจจะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุดในชีวิต เขาหย่อนมันเข้าปากแล้วกลืนก่อนจะดื่มน้ำผลไม้ตามลงไปครึ่งแก้วเพื่อให้คล่องคอ จากนั้นจึงเอนหลังพิงพนักของเก้าอี้ เหยียดขาผ่อนคลายและมองวิวทะเลเบื้องหน้าพลางจิบน้ำผลไม้ที่เหลือไปเรื่อยๆ นานแล้วที่กระแสแห่งชีวิตไม่ได้สงบนิ่งเช่นนี้ หากไม่นับเรื่องไม่คาดฝันกับวินทร์เมื่อคืนก่อนก็นับว่านี่เป็นการพักผ่อนอันน่าประทับใจแม้สาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นจะชวนให้เจ็บอกเมื่อนึกถึงก็ตามที

          ถ้าเจ้ากระรอกนั่นมาอยู่ตรงนี้ด้วยก็คงดีนะ… อาจจะฟังดูเหมือนไม่รู้จักตัดอกตัดใจเลิกรา แต่แม้กระทั่งในขณะนี้จอสก็ยังคงคิดถึงแต่ภู นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันในกองถ่ายแฟชั่นตอนนั้นเขาเพียงแค่ชอบในรูปร่างหน้าตาและบุคลิกของอีกฝ่ายที่ดูน่ารังแกให้ร้องไห้เพื่อจะได้ปลอบโยนในภายหลังและตั้งใจจะเพียงแค่เล่นสนุกด้วยเหมือนเช่นคนอื่นๆ ที่เคยผ่านมา แต่หลังจากที่เขาได้เป็นประจักษ์พยานการพูดคุยปรับความเข้าใจระหว่างภูกับกรรณอยู่เงียบๆ ในขณะที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ได้เห็นแววตาที่ภูใช้มองกรรณในทุกเวลาที่อยู่ด้วยกันและรู้ได้ทันทีว่ามันคือแววตาของคนที่จะไม่ทอดทิ้งคนที่ตนรักอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นเองที่ทำให้จอสอยากเป็นผู้ครอบครองหัวใจดวงนั้นจนยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งกลายเป็นปีศาจร้าย

          รู้งี้ยึดนาฬิกาไว้แล้วลากมาฟันที่คอนโดซะตั้งแต่วันแรกให้จบๆ ไปก็ดี ไม่น่าพาไปส่งบ้านเลย... จอสนึกเสียดายขึ้นมา เพราะหากทำเช่นที่คิดเอาไว้แต่แรก เรื่องก็คงไม่ยืดเยื้อจนเผลอไปหลงรักอีกฝ่ายแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นคนอกหักแบบทุกวันนี้ แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะมีแต่แง่ร้าย อย่างน้อยที่สุดคนโดดเดี่ยวอย่างเขาก็ได้เพื่อนแท้มาหนึ่งคน ด้วยสายตาที่ภูมองมาขณะให้คำมั่นในคืนสุดท้ายที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน จอสรู้ดีว่าถึงแม้จะไม่ใช่สถานะคนรักอย่างที่คาดหวังเอาไว้ แต่ภูก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปอย่างแน่นอน

          สัมผัสของพลาสติกเย็นเยียบที่นาบลงบนไหล่เปลือยทำให้จอสสะดุ้งโหยงตื่นจากภวังค์ที่กำลังปล่อยอารมณ์ให้จมจ่อมอยู่ เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตนเองก่อนจะพบว่าด้านหลังของตนในเวลานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งประมาณด้วยสายตาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังยืนยิ้มอยู่ ในมือมีขวดน้ำซึ่งเมื่อสังเกตจากไอเย็นที่แผ่ออกมาและน้ำในขวดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแล้วคาดว่าน่าจะเพิ่งถูกนำออกมาจากช่องฟรีซ เมื่อเห็นจอสหันหน้ามาเด็กหนุ่มก็คนนั้นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งคล้ายกับรอให้อีกฝ่ายเริ่มทักทาย แต่จอสก็เอาแต่นิ่งอึ้งเพราะนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือใคร

          “จอส?” เด็กหนุ่มคนนั้นเรียกชื่อของอีกฝ่ายคล้ายจะถามยืนยันตัวตนว่าใช่หรือไม่

          “อ่ะฮะ…” จอสพยักหน้า การถูกคนแปลกหน้ารู้จักนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับเขาแต่อย่างใด

          “หัสนัยน์ เวย์โอลต์?” เด็กหนุ่มคนนั้นขานอีกชื่อหนึ่งเพิ่มเติมขึ้นมา

          “หืมมม…” นี่สิที่ทำให้จอสประหลาดใจได้ ชื่อนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้

          จอสเพ่งดูใบหน้าของอีกฝ่ายขณะที่สมองพยายามนึกให้ออกว่าเค้าเป็นใคร มีบางอย่างบนใบหน้านั้นที่มอบความรู้สึกอันคุ้นเคยให้แก่สายตาแต่ทว่าก็ยังไม่มากพอจะทำให้ระลึกถึงได้ ข้อมูลสำคัญที่มีอยู่ในเวลานี้คืออีกฝ่ายรู้ชื่อจริงของจอสซึ่งไม่เคยถูกเปิดเผยออกสื่อ นั่นก็หมายความว่าจะต้องเป็นใครสักคนที่เคยอยู่ร่วมสังคมกับเขาในช่วงก่อนเข้าวงการ

          “จำไม่ได้จริงดิ?” เด็กหนุ่มคนนั้นถามขึ้นหลังจากให้เวลาจอสนึกคำตอบจนรู้สึกว่านานเกินไปแล้ว

          “หึ… จำไม่ได้” จอสส่ายหน้า แม้จะมีความรู้สึกคุ้นเคยเป็นเครื่องยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ตนเคยรู้จักจริงๆ แต่จู่ๆ จะให้มานึกออกทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้ “ขอโทษที เอาเป็นว่าช่วยแนะนำตัวใหม่อีกครั้งได้ไหม?”

          “งั้นที่เค้าว่ากันว่าไม่มีใครลืมความรักครั้งแรกได้ สงสัยจะไม่จริงซะแล้ว” เด็กหนุ่มคนนั้นเฉลยตัวตนออกมาโดยอ้อม “อย่างน้อยก็ไม่จริงสำหรับมึงแน่นอนล่ะคนนึง”

          จอสรู้ดียิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ว่าตนไม่เคยลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับความรักครั้งแรกอย่างที่อีกฝ่ายได้กล่าวหา เขายังจำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นจูบแรกในห้องสมุดยามเย็นอันไร้ผู้คนหรือกระทั่งกลิ่นเมนทอลจากบุหรี่ที่มักจะติดอยู่ตามเสื้อผ้าของเขาคนนั้นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นแค่เรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจำไม่ได้

          ถ้ามันมาในรูปแบบเดิมน่ะนะ…
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2018 13:13:56 โดย lolito »

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
         จอสถลึงตามองดูอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น หากนี่คือวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ก็นับว่าเจ้าหมอนี่มาไกลจากจุดเริ่มต้นมาก จากเด็กมัธยมหน้าตี๋หล่อตาใสไร้เดียงสาที่ไม่ว่าจะมองจากภายนอกยังไงก็เป็นคุณหนูลูกผู้มีอันจะกินได้กลายสภาพมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าหล่อคมแบบพิมพ์นิยม ผมไถข้าง เจาะหูเรียงเป็นทาง และยังไม่นับรอยสักแนวเซอร์เรียลระดับที่ทำให้จอห์น เลนน่อนบนท้องแขนของเขากลายเป็นภาพเด็กวาดเล่นบนผนังไปเลย ซึ่งในความคิดของจอสนั้นภาพลักษณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ดูจะตรงกับนิสัยตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายมากกว่าคราบเด็กไร้เดียงสาในวัยมัธยมซึ่งเคยหลอกเขาจนติดกับมาได้แล้วครั้งหนึ่ง

         “ใช่มึงจริงๆ เหรอเนี่ย ไอ้มีน…” จอสยังคงตกตะลึงไม่หาย

         หนังสือที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับปก ประโยคนี้คือคำจำกัดความของมีนวัชร์ หรือมีน บุตรชายคนเดียวของตระกูลอัศวโสภณเจ้าของธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเสียงและเครื่องดนตรีรายใหญ่ของประเทศ ด้วยนิสัยที่ห่ามและบ้าระห่ำสุดชีวิตผิดกับหน้าตาที่สุดแสนจะคุณหนูผู้ดีมีสกุลรุณชาติ ดูเรียบร้อยปราศจากพิษสง จอสสามารถพูดได้เต็มปากว่าความไร้เดียงสาตามประสาวัยแรกหนุ่มของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้นด้วยการคบหากับมีน ความสัมพันธ์สุดโลดโผนโจนทะยานของทั้งคู่ดำเนินมาเป็นระยะเกือบสามปีก่อนที่มันจะจบลงพร้อมๆ กับชีวิตมัธยมในพิธีจบการศึกษา ไม่มีความขัดแย้งหรือปัญหาใดๆ มาเป็นสาเหตุ มีนให้เหตุผลเพียงแค่ว่าความรักของเด็กมัธยม ก็ควรจบเมื่อพ้นวัยมัธยม เพื่อที่ต่างคนจะได้มีโอกาสพบเจออะไรใหม่ๆ บ้าง ซึ่งจอสก็ตกลงตามนั้นเพราะรู้ว่าถึงตนจะไม่ยอมอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนความคิดอยู่ดี และนั่นจะทำให้เขาต้องกลายเป็นฝ่ายที่ถูกทิ้งในความสัมพันธ์นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้

         “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ… ทั้งที่กูไม่เคยลืมมึงเลยนะ ขนาดเลิกกันตั้งนานแล้วพอมาเห็นมึงในทีวีกูก็ยังจำได้ จำได้แม่นเลยว่าไอ้นี่แหละ…” มีนขยับหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูของจอส “ที่มันเปิดซิงกูในห้องน้ำโรงเรียน”

         “ถ้ามึงทำตัวแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาทัก กูก็ไม่ต้องมานั่งนึกให้เสียเวลาหรอก” จอสกรอกตามองบน ระอากับความกร้านโลกของอีกฝ่ายที่ดูจะทวีมากขึ้นกว่าสมัยมัธยมหลายเท่า

         “หุ่นดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะเนี่ย” มีนไม่พูดเปล่า ยื่นมือเข้ามาจะลูบแผงกล้ามหน้าท้องของจอส

         จอสตกใจกับความปากว่ามือถึงของอีกฝ่ายรีบเอี้ยวตัวขยับหลบจนมือนั้นพลาดเป้ามาปะป่ายบนท้องแขนของเขาแทน สัมผัสผิวด้านนูนจากรอยแผลเป็นที่ถูกหมึกสีของรอยสักปกปิดพรางเอาไว้ทำให้มีนถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบดึงมือกลับมา

         “แล้วนี่มาเที่ยวเหรอ?” มีนถามขึ้นมา

         “ก็ประมาณนั้น มึงล่ะ?” จอสถามกลับไป

         “เปล่า ตอนนี้กูอยู่ที่นี่” มีนฉีกยิ้มเหมือนภาคภูมิใจ “กูหนีพ่อกูมาอยู่คนเดียวได้เกือบปีแล้ว”

         “ฉิบหาย…” จอสเพิ่งรู้ตัวว่าเจอเด็กหนีออกจากบ้าน “แล้วนี่มึงกินอยู่ยังไงเนี่ย?”

         “กูเป็นดีเจให้ผับที่หาดนี่ไง” มีนตอบ “ที่พักก็พักบ้านพักที่เจ้าของผับเค้าจัดให้ ก็โอเคนะมึง เงินก็ดี ทิปจากแขกก็เยอะ”

         “อยู่บ้านสบายๆ ไม่ชอบ” จอสว่าเข้าให้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายแน่จริงที่อยู่ด้วยตัวเองมาได้เกือบปี

         “ก็พ่อจะจับกูแต่งงานกับลูกสาวเพื่อนเค้า” มีนบอกสาเหตุแห่งการหนีออกจากบ้าน “กูบอกเค้าไปแล้วว่ากูไม่ได้ชอบผู้หญิง เค้าก็บอกว่ากูจะชอบอะไรไม่สำคัญ แต่กูต้องมีเมีย ต้องมีทายาทสืบสกุล กูเลยบอกว่าถ้าพ่ออยากให้ลูกสาวเพื่อนมีผัวมาก พ่อก็แต่งกับเค้าเองไปเลยแล้วกัน ต่อจากนั้นกูก็หนีมาอยู่นี่แหละ”

         “พ่อมึงนี่มีศรัทธาในตัวลูกมากเลยนะที่คิดว่าลูกจะทำหลานให้อุ้มได้” จอสกัดอีกฝ่ายไปเบาะๆ มือเอี้ยวไปคว้าบั้นท้ายของมีนที่อยู่หลังพนักพิงเก้าอี้ “เค้าคงไม่รู้ว่ามึงน่ะไม่ถนัดการทำ ถนัดเรื่องถูกทำซะมากกว่า”

         “โอ้โห… นี่สิหัสนัยน์คนเดิมที่คิดถึง” มีนตบมือเปาะแปะ

         “แล้วทำไมมึงตื่นซะเช้าเลย ไหนว่าทำงานกลางคืน” จอสถามเพราะดูจากเวลาแล้วตอนนี้มีนน่าจะอยู่บนเตียงนอนมากกว่า

         “ยังไม่ได้นอนต่างหาก” มีนแก้ใหม่ให้ถูกต้อง “ว่าแต่มึงพักที่ไหนเนี่ย?”

         “รีสอร์ทตรงเนินเขานู้น” จอสชี้ไปยังทิศทางที่ตนเพิ่งวิ่งจากมา “ถามทำไม? อยากไปนอนด้วยเหรอ?”

         “ถ้าบอกว่าอยาก มึงจะให้ไปไหมล่ะ?” มีนตอบกลับมาด้วยคำถามหยั่งเชิง

         “กูว่าอย่าเลย…” จอสนึกขึ้นมาได้ว่าที่นั่นมีบางสิ่งที่พร้อมจะเข้ามาทำให้เขาขายหน้ากับคนรู้จักได้ตลอดเวลาอยู่

         “ก็ตามใจ กูนอนห้องกูก็สบายดีอยู่” มีนทำเป็นไม่แคร์กับการถูกปฏิเสธทั้งที่แอบเสียหน้าอยู่นิดๆ เพราะคิดว่าถ่านไฟเก่าอาจจะยังพอมีเชื้อไฟอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หมดหวังจึงหยอดทิ้งท้ายเปิดทางให้อีกฝ่ายเอาไว้ “ถ้ามึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จะมานอนห้องกูบ้าง กูก็ไม่ใจร้ายกับมึงแบบที่มึงทำกับกูเมื่อกี้หรอกนะ”

         “มึงไปนอนเถอะ เหนื่อยเปล่าๆ” จอสรู้ทันการยั่วยุนั้น

         “โอเค…” มีนผละออกไปที่เคาท์เตอร์บาร์น้ำของร้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกระดาษในมือ “นี่เบอร์โทรกับที่อยู่กู อย่าโทรมาก่อนห้าโมงเย็นเพราะกูจะหงุดหงิดมากถ้าถูกกวนตอนนอน”

         “ใครว่ากูจะโทรไป ชีวิตวัยรุ่นกูเข้าสู่ด้านมืดก็เพราะมึง ตอนนี้กูหลุดพ้นแล้วกูไม่กลับไปหรอก” จอสรับกระดาษมาและขยำเป็นก้อนให้มีนดูต่อหน้า “แล้วอีกอย่างมึงบอกกูเองตอนจบม.หกไม่ใช่เหรอ? ว่าคนเราต้องออกไปพบเจออะไรใหม่ๆ ไม่ใช่จมกับอะไรเดิมๆ”

         “ก็ไม่รู้สิ แล้วแต่มึงเลย” มีนยักไหล่ ทำหน้าอมยิ้มเหมือนมั่นใจในการคาดคะเนของตน “กูว่าทั้งกูและมึงตอนนี้ ต่างคนต่างก็ไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักกันทั้งคู่นั่นแหละ”

         มีนแตะไหล่ของจอสและตบเบาๆ สองสามทีก่อนจะเดินออกไปจากร้าน เด็กหนุ่มมองอดีตรักในวัยเรียนของตนเดินจากไปจนกระทั่งลับสายตาจึงค่อยถอนหายใจออกมา การเผชิญหน้ากับมีนโดยไม่คาดฝันทำให้เขาเกือบตั้งตัวไม่ทัน แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะกลับไปคบหาเป็นคนรักกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่มีนจะติสต์แตกและขอจบความสัมพันธ์แบบเอาแต่ใจเหมือนเช่นคราวนั้นอีก แต่ถ้าเป็นแค่ความสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราวตามประสาวัวเคยขาม้าเคยขี่ มันก็จัดว่าไม่ใช่ข้อเสนอที่เลวร้ายอะไร เขายังจดจำได้ในทุกประสาทสัมผัสว่าร่างกายของมีนมอบความรู้สึกสุดวิเศษแค่ไหนยามเมื่อเขาได้พาตัวเองเข้าไปสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับมัน อีกทั้งจอสยังมั่นใจว่ามีนจะเห็นดีเห็นงามกับความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดนี้ด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงคลี่กระดาษแผ่นที่ตนเพิ่งขยำจนเละคามือออกมาอีกครั้งและพับให้เรียบร้อยก่อนจะยัดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเผื่อต้องใช้ในอนาคตแม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าอนาคตที่ว่านั่นคงยังไม่ใช่ในเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ

         เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ทจอสรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่นิดหน่อยที่พบว่าตนกำลังมองหาวินทร์โดยไม่รู้ตัวเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ถูกปลูกฝังลงในจิตใต้สำนึก เขาสั่งตัวเองให้เลิกสนใจคนพรรค์นั้นและคิดว่าโชคดีแล้วที่วินทร์ไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆ ให้เสียสุขภาพจิตก่อนจะตรงดิ่งกลับไปยังห้องพักของตน จนเมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยจึงออกมานั่งรับลมด้านหน้าก่อนจะเห็นโจโฉกำลังวิ่งเล่นอยู่ไกลๆ บนชายหาดด้านล่าง จอสรู้ทันทีว่าวินทร์ต้องอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นด้วย และเมื่อนึกถึงใบหน้าแสนตลกของวินทร์เมื่อช่วงเช้าขึ้นมาแล้วเด็กหนุ่มก็ยังขำไม่หาย บางทีการแกล้งยั่วอีกสักรอบก็เป็นความคิดที่เข้าท่า จอสคิดเช่นนั้นก่อนจะสวมรองเท้าและเดินลงเนินเขาไปยังชายหาดด้านล่าง ในหัววางแผนเป็นฉากๆ ว่าจะสร้างสถานการณ์ปลุกเร้าอีกฝ่ายอย่างไรบ้าง

         เมื่อลงมาถึงชายหาด จอสแอบหลบตรงมุมหลังต้นมะพร้าวเพื่อมองหาเป้าหมายก่อนจะพบว่าวินทร์นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ไม่ห่างไกลออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่นัก ทว่าในเวลานี้แผนที่วางไว้ดูจะทำตามไม่ได้เสียแล้ว เมื่อจอสพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตามลำพังในเวลานี้ บนแคร่หลังเดียวกับที่วินทร์นั่งอยู่มีเด็กหนุ่มผมสั้นซึ่งประมาณด้วยสายตาแล้วอายุน่าจะน้อยกว่าจอสด้วยซ้ำกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอาบแดดอยู่บนนั้น ทั้งสองกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอย่างถูกคอเหมือนสนิทสนมกันมานานปี

         และนั่นทำให้จอสไม่พอใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง…

         จอสไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขาตัวเองก้าวเดินออกไปแล้วในขณะที่สองตายังจับจ้องคนทั้งคู่บนแคร่อยู่ เด็กหนุ่มเดินโฉบเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะผ่านเลยไปเหมือนว่าตนบังเอิญผ่านมาและไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าวินทร์กำลังนั่งอยู่แถวนั้น หางตาชำเลืองมองย้อนกลับไปดูท่าทีตอบสนองของอีกฝ่ายก่อนจะพบว่าวินทร์ก็มองมาทางตนเช่นกันแต่กลับไม่ร้องทักหรือพูดอะไร เขาเพียงแค่มองแล้วก็หันกลับไปสนใจเด็กหนุ่มบนแคร่นั่นตามเดิม จอสยังไม่ยอมแพ้ เขาตรงเข้าไปเล่นกับโจโฉเพื่อดึงความสนใจจากเจ้าของๆ มัน เด็กหนุ่มสิ้นหวังจนยอมทำแม้กระทั่งถอดเสื้อออกและลุยลงไปเล่นน้ำทะเลให้ตัวเลอะทั้งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ เพียงเพื่อจะสร้างฉากการขึ้นจากน้ำในแบบที่เคยสะกดทุกสายตาได้เสมอ แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ เมื่อทุกการกระทำล้วนสูญเปล่าเพราะแม้จะทำทุกอย่างแล้วแต่วินทร์ก็ยังไม่แม้แต่จะโบกมือทักทายเขาด้วยซ้ำ นั่นทำให้จอสอารมณ์เดือดปุด โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงรีบขึ้นจากน้ำและเดินกลับเข้ารีสอร์ทไปทันที

         จอสอาบน้ำล้างคราบน้ำทะเลออกจากร่าง แต่ไม่อาจล้างความเดือดดาลออกจากอารมณ์ได้ การถูกเมินใส่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ และยิ่งรับไม่ได้มากขึ้นเมื่อถูกเมินขณะกำลังเรียกร้องความสนใจเช่นนี้

         ไอ้คนอวดดีนั่น… มันกล้าดีมาจากไหนถึงทำแบบนี้กับคนแบบจอส วาโย!

         แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าความโกรธมากมายนี้มาจากความเสียหน้า แต่ทว่าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงอันแสนจะน่าละอายที่เสียดแทงขึ้นมาในอกเป็นระยะๆ ว่าต้นเหตุแห่งความไม่พอใจที่แท้จริงคือการที่วินทร์ให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มคนนั้นมากกว่าเขา เด็กหนุ่มรู้ดีว่ากำลังแสดงอาการเป็นเด็กงี่เง่าแต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่อารมณ์ตามปกติธรรมชาติที่จะสามารถข่มได้ด้วยขันติ เปลวเพลิงแห่งโทสะโหมลุกขึ้นมาจนหัวใจรุ่มร้อนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เห็นบาดแผลที่ต้นคอของภูในวันที่ติดฝนอยู่ใต้สะพานนั้น จอสส่งเสียงคำรามออกมาลั่นห้องน้ำเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะบันดาลโทสะกวาดทุกอย่างที่วางอยู่หน้ากระจกทิ้งลงพื้น

         ใจเย็นๆ พอแล้ว… พอ… แกจะให้มันกลับมาอีกไม่ได้ ไอ้จอส… แกต้องหยุดเดี๋ยวนี้!!

         เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นจากด้านนอก จอสสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปรับสภาพอารมณ์ตัวเองแต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เด็กหนุ่มตัดสินใจพึ่งตัวช่วยฉุกเฉินรีบควานหาขวดยาจากกองสิ่งของที่ตนเพิ่งกวาดทิ้งจากหน้ากระจกลงมาบนพื้นเมื่อครู่ ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาเปิดฝาออกแล้วหยิบกลืนลงคอไปหนึ่งเม็ด เสียงล๊อกที่ลูกบิดถูกไข จอสรู้ทันทีว่าวินทร์คงผิดสังเกตที่เคาะนานแล้วแต่เขายังไม่ยอมมาเปิดจึงถือวิสาสะไขเข้ามาดู

         “จอส?” เสียงวินทร์ร้องเรียกมาจากนอกห้องน้ำ “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

         “มะ… ไม่เป็น” จอสพยายามควบคุมลิ้นที่เกร็งแข็งของตนให้ออกเสียงเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ผมไม่เป็นไร ออกไปได้แล้ว”

         “พี่จะมาบอกว่าเย็นนี้ถ้าจะทานอะไรก็สั่งจากร้านข้างล่างได้เลย บอกกับที่ร้านว่าให้ลงบิลชื่อพี่ไว้” วินทร์บอกกับจอส “พอดีพี่ต้องขึ้นฝั่งไปธุระ อาจจะกลับมาดึก”

         “ไปไหนก็ไปเหอะ” จอสคุมเสียงไม่ให้สั่นในขณะที่โทสะกำเริบขึ้นมาอีกรอบจากสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่

         “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ” วินทร์เคาะที่ประตูห้องน้ำเบาๆ “นายโอเคแน่นะ?”

         “ก็บอกไม่เป็นไรไง! รีบๆ ไปเหอะ น่ารำคาญว่ะ” จอสกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ตะคอกตอบกลับไป

         ไม่มีเสียงตอบกลับจากวินทร์หลังประโยคนั้น มีเพียงเสียงประตูห้องพักข้างนอกที่เปิดออกก่อนจะปิดอีกครั้ง จอสออกมาจากห้องน้ำเมื่อมั่นใจว่าวินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เขาทรุดนั่งลงปลายเตียงทั้งที่ตัวยังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ผิวตั้งแต่หน้าอกขึ้นไปแดงเถือกเป็นปื้นจากเลือดในกายที่สูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง โกรธจนแทบจะเสียสติเมื่อนึกถึงว่าวินทร์ให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่มคนนั้นมากแค่ไหน อารมณ์ด้านลบส่งผลเสียต่อการคิดและตัดสินใจเสมอ เช่นเดียวกับในตอนนี้ที่เบอร์โทรและที่อยู่ของมีนกำลังจะได้บรรลุผลตามจุดประสงค์ที่เจ้าของๆ มันตั้งไว้ก่อนส่งมอบมาแล้ว

         เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่… แล้วพี่จะต้องเสียใจที่ให้ความสำคัญกับมันมากกว่าผม…

         จอสเช็ดตัวจนแห้งก่อนจะแต่งตัวแล้วหยิบตะกร้าผ้าใช้แล้วมาเทเสื้อผ้าข้างในนั้นลงบนพื้น กางเกงตัวที่ใส่ออกไปวิ่งเมื่อตอนเช้าถูกหยิบขึ้นมาและล้วงเอากระดาษใบเล็กๆ ที่พับเก็บไว้ข้างในกระเป๋าออกมาคลี่ดู เด็กหนุ่มกดหมายเลขสิบหลักที่เขียนอยู่บนนั้นลงไปในโทรศัพท์แล้วโทรออก เสียงสัญญาณดังขึ้นเกือบสิบครั้งจึงมีผู้รับสายด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความงัวเงียและหงุดหงิด

         “ฮัลโหล ใครวะเนี่ย!?” เสียงของมีนร้องถามมาอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวนเวลาพักผ่อน

         “กูเอง แฟนเก่ามึงน่ะ” จอสตอบกลับไป

         “อ้าว หัสนัยน์ ว่างายยย” น้ำเสียงของมีนเปลี่ยนเป็นสดใสต้อนรับทันที

         “คืนนี้มึงทำงานไหม?” จอสถาม

         “จริงๆ ก็ทำ แต่ถ้ามีเรื่องน่าสนใจพอจะให้หยุด กูก็โทรให้อีกคนไปแทนกูได้” มีนตอบโดยไม่ลืมจะบอกความเป็นไปได้ให้อีกฝ่ายได้รู้

         “มึงโทรเลย” จอสบอก “เดี๋ยวเย็นนี้กูจะเข้าไปหา ขอนอนด้วยหน่อย ที่นี่แม่งน่าเบื่อว่ะ”


To be continued...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
อีพี่วินทร์ ท่าทางจะร้ายเนอะ จอสสู้ๆ ลูก  :katai1:

จะปราบพยศเด็ก ก็ต้องแพรวพราวนิดนึงครับ  :impress2:



:pig4: :pig4: :pig4:

เขาเรียกว่า "แพ้ทาง" จ้ะนุ้งจอส

แต่นะ...แค่ถูกเสียบเนี่ย  พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาช่างคล้ายกับสาวน้อยเลยนะ  อิอิ

สงสัยจะแพ้ทางหนักไปหน่อย เขี้ยวเล็บหลุดหมดเลย  :z3:



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จอส ทำร้ายตัวเองอีกแล้วนะ  :katai1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไบโพลาร์กำเริบ

เพราะพี่วินทร์ไม่สนใจ  แม้จะขนอ้อยมาทั้งไร่ก็ไม่สน

น่าสงสารนุ้งจอสจัง

แต่...จอสไปจุดจุดจุดกับมีน  พี่วินทร์รู้เข้าจะทำไงน้อ

สงสัยนุ้งจอสจะโดนหนักแน่ ๆ

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 4

          มีนนั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้านอันเป็นที่พักซึ่งผู้เป็นนายจ้างจัดหาให้ มันเป็นบ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่โต แต่ถ้ามองว่ามีผู้อาศัยเพียงแค่คนเดียวก็นับได้ว่ามีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ จอสลอบมองต้นขาขาวเนียนของอีกฝ่ายซึ่งเผยออกมาจากขากางเกงยามเมื่อนั่งไขว่ห้าง แม้ภาพลักษณ์โดยรวมจะดูโตเป็นผู้ใหญ่และกร้านแดดกร้านลมมากขึ้น แต่ผิวเนื้อกายใต้ร่มผ้าเหล่านั้นยังดูเนียนละเอียดน่าสัมผัสไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มโบกมือทักทายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับรู้การมาถึงของตนแล้ว ในขณะที่มีนเมื่อเห็นจอสเดินเข้ามาก็พ่นควันบุหรี่ในปากออกมาใส่หน้าเขาแทนการทักทาย

          “มึงยังสูบยี่ห้อนี้อยู่อีกเหรอวะ?” จอสจำกลิ่นเมนทอลอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้

          “อะไรที่มันดีอยู่แล้วก็ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม” มีนตอบก่อนจะโยนก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วยืนขึ้นใช้เท้าบี้เหยียบให้ไฟดับสนิท “เพียงแต่ตอนเรียนจบกูอาจจะรู้ตัวช้าไปนิดว่าอะไรดีหรือไม่ดี ก็เลยมีพลาดทำของดีหลุดมือไปบ้าง”

          “ของบางอย่างลองหลุดมือไปแล้วก็ไม่มีวันได้คืนหรอก” จอสบอกเจตนาที่มาให้ชัดเจน “บอกไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน ว่าไม่มีคำว่ารีเทิร์นสำหรับกูกับมึงแน่นอน วันนี้กูเบื่อเลยแค่หาอะไรทำเฉยๆ ไม่มีพันธะอะไรต่อทั้งนั้น เสร็จแล้วก็ทางใครทางมัน”

          “อันนั้นเป็นเรื่องของอนาคต” มีนไม่รีบร้อน “แต่ปัจจุบันนี้ มึงเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า กูมีเซอร์ไพรส์ไว้ให้มึงด้วย”

          จอสมองมีนอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะเท่าที่รู้จักกันมาถ้าเจ้าหมอนี่พูดคำว่าเซอร์ไพรส์ก็บอกได้เลยว่ามันต้องไม่ธรรมดาจริงๆ และส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่ไม่ดีเสียด้วย แต่เมื่อตัดสินใจพาตัวเองมาถึงนี่แล้วอย่างไรก็คงถอยลำบาก จอสพยายามนึกถึงแต่จุดประสงค์ในการมาที่นี่ เขาต้องทำบางอย่างเพื่อให้วินทร์ได้สำนึกว่าตนเองนั้นได้ทำพลาดครั้งใหญ่ลงไปแล้วสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสาย บางทีเขาอาจจะยอมให้มีนฝากรอยจ้ำไว้ที่ลำคอเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายชอบทำตั้งแต่สมัยที่ยังคบหากันอยู่ หรือจะเป็นร่องรอยหลักฐานใดๆ ก็ได้ที่ทำให้วินทร์ได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นตัวสำรองที่จะมาให้ความสำคัญด้อยจากคนอื่นได้

          ไม่ใช่ว่าแคร์อะไรหรอกนะ มันก็แค่เรื่องของศักดิ์ศรี! คนแบบจอสไม่ใช่คนที่ใครจะมาทำเป็นเมินใส่ได้!

          เมื่อเดินผ่านประตูหน้าของบ้านเข้าไป จอสก็พบว่าบรรยากาศด้านในนั้นมืดสนิทจนต้องหยุดยืนเฉยๆ เพื่อปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งจึงจะพอมองทัศนวิสัยรอบตัวได้ชัดเจนขึ้นบ้าง ภายในบ้านถูกจัดอย่างเรียบง่ายมีเพียงเครื่องเรือนพื้นฐานเท่าที่จำเป็น ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าเด็กหนีออกจากบ้านอย่างมีนคงไม่มีเงินติดตัวมามากพอจะซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเพิ่ม อีกทั้งนี่ก็เป็นเพียงแค่บ้านพักชั่วคราวที่นายจ้างจัดหาให้ ไม่มีใครรู้ว่ามีนจะทำงานที่นี่ไปได้อีกนานแค่ไหน แค่เวลาเกือบปีตามที่อีกฝ่ายได้กล่าวอ้างมาหากเป็นความจริงก็ถือว่าเขาทนอยู่กับสิ่งเดิมๆ ได้นานจนเกินปกติวิสัยแล้ว

          มีนถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ออกด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับจอสซึ่งมองดูอย่างเกร็งๆ แม้จะเป็นเรือนร่างที่เคยเห็นมาจนหมดทุกสัดส่วนแล้วก็เถอะ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปหลายปีทำให้มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเยอะมาก รอยสักของมีนที่บนท่อนแขนเมื่อช่วงเช้านั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมด เมื่อไม่มีเสื้อปิดบังไว้จอสจึงเห็นว่าลวดลายเหล่านั้นยึดครองพื้นที่ผิวหนังเกินครึ่งหนึ่งของร่างกายท่อนบนเลยทีเดียว แต่ด้วยผิวพรรณที่ละเอียดขาวใสตามแบบลูกคนมีชาติตระกูล ทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมกลับไม่ออกมาดูสกปรกเลอะเทอะ ซ้ำยังขับลวดลายเส้นเหล่านั้นให้สีสันของมันออกมาเด่นชวนมองกว่าปกติ

          หลังจากถอดเสื้อออกมีนเดินเข้ามาประชิดร่างของจอสแล้วคล้องแขนกอดรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นมาเพื่อประกบริมฝีปาก เด็กหนุ่มผงะหน้าถอยออกด้วยความตกใจเพราะยังไม่ทันตั้งตัว จริงอยู่ที่เขาตั้งใจจะมาเพื่อสิ่งนี้และมีนก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน มากกว่านี้ก็เคยทำด้วยกันมาแล้ว แต่จะด้วยความตื่นสถานที่ๆ ไม่คุ้นเคยหรือรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปมากก็ตาม มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มต้นเร็วเกินไป บางทีการนั่งคุยกันก่อนสักครู่อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการอุ่นเครื่อง จอสอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าความคิดเช่นนี้ช่างไม่สมกับเป็นตัวเขาเลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเปลี่ยนแปลงจากคนที่พร้อมจะเริ่มสัมพันธ์สวาทได้ตลอดเวลาไม่ว่าที่ไหนขอเพียงแค่ถูกใจในตัวของอีกฝ่าย กลายมาเป็นคนที่ชอบความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป

          “อะไร พอไม่ใช่แฟนแล้วจูบมึงไม่ได้เหรอ?” มีนกระซิบถาม

          “กูเหม็นบุหรี่” จอสแก้ตัว พยายามหลบสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองตนในความมืดสลัวนั้น

          “เมื่อก่อนไม่เห็นจะบอกว่าเหม็น” มีนเปลี่ยนเป้าหมายมาจูบเข้าที่ลำคอของจอสเบาๆ

          “ก็เมื่อก่อนกูคิดว่ากูรักมึง” จอสขนลุกเกรียวจากสัมผัสที่ต้นคอ

          “มึงไม่ได้แค่คิด มึงรักกูจริงๆ” มีนจูบซ้ำที่เดิมอีกครั้งก่อนจะลามมาที่ใบหูของอีกฝ่าย

          “ไม่ กับมึงมันแค่ความหลง มึงทำกูจนใจแตกเสียผู้เสียคน ตอนนี้กูรู้แล้วว่าความรักจริงๆ มันเป็นยังไง” จอสไม่ยอมให้อีกฝ่ายชักนำความคิดเหมือนในอดีต

          “โตแต่ตัวนะมึงน่ะ” มีนดูไม่สบอารมณ์กับการที่จอสแข็งขืน “เชื่ออะไรเป็นเด็กไร้เดียงสาไปได้”

          “การที่กูไม่ได้กร้านโลกจนหัวใจหยาบกระด้างแบบมึง ไม่ได้แปลว่ากูไร้เดียงสานะ” จอสแก้ไขความคิดอีกฝ่ายเสียใหม่ “มึงก็น่าจะรู้ดีที่สุด ว่าถ้าจะมีคำไหนที่ความหมายห่างไกลตัวกูแบบสุดๆ ไร้เดียงสาคือหนึ่งในนั้น”

          “พิสูจน์ให้กูเห็นสิ” มีนเลื่อนมือลงมาและตะปบเข้าที่เป้ากางเกงของจอส “ทำให้กูเชื่อว่ามึงไม่ไร้เดียงสา”

          “ก็ได้” จอสเหนื่อยจะเล่นเกมสงครามประสาทต่อ “คุยกับมึงนานๆ กูจะหมดอารมณ์ซะก่อน”

          มีนยื่นใบหน้าเข้ามาอีกครั้งราวกับเชื้อเชิญ จอสประทับริมฝีปากของตนลงไปนาบประกบกับอีกฝ่ายโดยไม่รีรอเพื่อลบคำสบประมาทที่ว่าตนเป็นเด็กไร้เดียงสา เขาออกแรงบดขยี้กลีบบางสวยของริมฝีปากคู่นั้นอย่างไม่ปราณีก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปในช่องปากอันร้อนผ่าวของมีนซึ่งเจ้าตัวก็เผยออ้าออกรับอย่างยินดีราวกับกระหายจะลิ้มรสชาติของมัน มือทั้งสองของจอสเปะป่ายลูบไล้ผิวเนื้อกายเนียนละเอียดนั้นไปทั่วก่อนจะสอดล้วงผ่านขอบเอวของกางเกงเข้าไปฟอนเฟ้นหนั่นเนื้อนุ่มมือที่บั้นท้าย

          แม้ริมฝีปากจะถูกประกบปิดแต่ก็ยังได้ยินเสียงครางของมีนที่เล็ดลอดออกมาจากในลำคอซึ่งบ่งบอกถึงความพอใจในสัมผัสที่ได้รับ มีนผละออกจากริมฝีปากของจอสเพื่อพักหายใจก่อนจะโผซบกลับลงไปอีกครั้งยังบริเวณข้างศรีษะของอีกฝ่าย ปลายลิ้นฉ่ำร้อนแลบออกมาและไล้เลียไปตามซอกมุมของใบหู จอสขนลุกเกรียวทั่วร่างเมื่อโดนเล่นงานเข้ายังจุดที่สุดแสนจะอ่อนไหว ขณะที่ช่วงเอวก็รู้สึกได้ว่าเสื้อที่กำลังสวมใส่อยู่ได้ถูกเลิกถอดขึ้นมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งมาสุดที่ใต้วงแขน จอสพักมือที่คลึงเคล้นบั้นท้ายของมีนเอาไว้แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อเปิดทางให้เสื้อหลุดออกไปโดยง่าย

          มีนละความสนใจจากใบหูและลำคอมาลิ้มรสผิวกายบนแผ่นอกของจอส เด็กหนุ่มลากปลายลิ้นร้อนฉ่านั้นไปรอบติ่งเนื้อยอดอกของอีกฝ่ายสลับกับการครอบริมฝีปากลงไปดูดดุนมันจนเม็ดเล็กนั้นแข็งเป็นไตขึ้นมาเช่นเดียวกับบางสิ่งที่แม้ตอนนี้ตอนนี้จะยังถูกปิดซ่อนอยู่เบื้องใต้เนื้อผ้าของกางเกง แต่ก็เริ่มจะสำแดงอาการตื่นตัวตอบสนองกับสิ่งเร้าจนคับแน่นบริเวณเป้าไปหมด ความรู้สึกอึดอัดเริ่มทวีขึ้นจนกลายเป็นปวด จอสขยับมือลงมาจะปลดกระดุมกางเกงยีนที่ใส่อยู่ออกเพื่อปลดปล่อยเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านในให้เป็นอิสระแต่มือของมีนก็เข้ามาจับห้ามเอาไว้

          “อยู่เฉยๆ …” มีนบอกกับจอสขณะที่มือไล้ลูบสัมผัสพลังแห่งวัยหนุ่มของอีกฝ่ายที่อัดแน่นอยู่ในเป้ากางเกง “กูถอดให้ดีกว่า… กูชอบเป็นคนแกะของขวัญเอง มันตื่นเต้นดี…”

          “เอาเลย มากกว่านี้มึงก็เคยทำมาแล้ว” จอสไม่ขัดศรัทธา

          มีนย่อตัวลงจนใบหน้าลดระดับเสมอกับเป้ากางเกงของอีกฝ่ายก่อนจะบรรจงแกะกระดุมกางเกงยีนออกทีละเม็ด จนเมื่อหลุดออกหมดจึงค่อยแง้มผ้าให้เปิดออกและจูบเบาๆ ลงไปยังท่อนเนื้อที่คับแน่นอุดอู้อยู่ใต้กางเกงชั้นใน ปลายลิ้นจรดลงที่ปริเวณปลายของมันแล้วเลียตวัดผ่านเนื้อผ้าลงไป จอสสะดุ้งเฮือกเกร็งตัวคล้ายจะขยับหนีแต่มีนก็จับสะโพกตรึงรั้งเอาไว้ไม่ให้ไปไหนได้พ้น ขอบเอวยางยืดของกางเกงในถูกดึงถลกให้ร่นลงจนในที่สุดเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในก็หลุดพ้นที่คุมขังออกมาสู่โลกภายนอก แต่อิสรภาพนั้นก็มีอายุไม่ยืนยาวเท่าไหร่เมื่อไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นมันก็ถูกกลืนกินผ่านริมฝีปากของมีนเข้าไปจากปลายจนสุดถึงต้นตอ

          จังหวะแห่งลิ้นและริมฝีปากที่ดูดดุนถี่กระชั้นเล่นงานจอสจนอยู่หมัด มือทั้งสองข้างเผลอขยุ้มเส้นผมของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนน่ากลัวจะหลุดติดมือออกมา ร่างกายเกร็งสั่นสะท้านทุกครั้งที่ริมฝีปากแสนร้ายกาจของคู่ขารูดโลมเลียไปตามท่อนลำซึ่งบัดนี้ชูผงาดแข็งขันพร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่ของมัน ทว่าในตอนนั้นเองสัมผัสของอ้อมแขนหนาใหญ่ซึ่งโอบคล้องเข้ามาจากทางด้านหลังก่อนจะจรดปลายนิ้วลงเขี่ยหยอกเย้าบนยอดอกก็ทำให้จอสสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครา ขาเริ่มสั่นจนหมดแรงจะยืนเมื่อถูกปลุกเร้าจากสองทางในเวลาเดียวกัน ทว่าแม้สติจะเริ่มหลุดลอยจากความเคลิบเคลิ้มแต่จอสก็ยังพอฉุกคิดขึ้นมาได้ทันว่าหากมือของมีนยังคงรั้งสะโพกเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมคลาย แล้วคู่นี้เป็นมือของใครกันที่กำลังเล้าโลมร่างกายท่อนบนของตนอยู่

          “อะไรวะเนี่ย!” จอสดิ้นรนสะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุมมาได้และรีบหันไปประจันหน้ากับบุคคลที่สามผู้นั้น "มึงใครวะเนี่ย!?"

          “เฮ้ย ใจเย็น” มีนยันตัวลุกขึ้นยืน “มึงจะโวยวายทำไมวะ?”

          “ไม่โวยวายได้ไง ก็มึงพาคนแปลกหน้ามาอ่ะ” จอสย้อนถามกลับไปขณะที่มือสาละวนเก็บน้องชายตัวเองเข้ากางเกงตามเดิม

          “เนี่ยอ่ะเหรอ?” มีนชี้ไปที่หนุ่มตาน้ำข้าวหุ่นล่ำตัวสูงเกือบสองเมตรที่ยืนทำหน้าตกใจอยู่ “ไม่ใช่คนแปลกหน้า นี่อังเดร เพื่อนกูเอง”

          “เพื่อนมึงไม่ใช่เพื่อนกู!” จอสโวยลั่นบ้านก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวม “มึงคิดอะไรของมึง? บ้าไปแล้วเหรอ?”

          “ก็นี่ไงเซอร์ไพรส์” มีนทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก “พอมึงโทรมา กูก็มานั่งคิดดู ก็มีแบบนี้นี่แหละที่กูกับมึงยังไม่เคยลอง”

          “มึงไปลองกับคนอื่นเถอะ” จอสไม่เอาด้วย

          จอสหุนหันออกมาจากบ้าน มีนวิ่งตามออกมาทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อและรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะออกไปถึงถนนแต่ก็โดนผลักออกจนลงไปคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น จอสโกรธจนหน้ามืดตามัวไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น รู้สึกเหมือนโดนหักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการหลอกมาเป็นของเล่นให้คนอื่น แต่ก็ไม่อาจจะโทษว่าเป็นความผิดของมีนเพียงผู้เดียวได้ ในเมื่อตนก็เป็นผู้ที่เต็มใจมาที่นี่เองเพียงเพื่ออยากจะใช้มีนเป็นเครื่องมือในการปั่นหัววินทร์

          “ไอ้ห่า...” มีนพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ทรุดลงไปอีกรอบ “ขากูเจ็บ… มึงทำข้อเท้ากูพลิก!”

          “เออ เจ็บสิดี!” จอสไม่สงสาร “มึงเจ็บตัว กูเจ็บใจ ถือว่าแลกกันไปแล้วกัน!”

          “มึงจะมาดัดจริตเจ็บใจอะไร เอากันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ทำตัวเหมือนเด็กยังไม่เคยเสียตัว!” มีนเถียงกลับมา “ก็แค่สนุกกัน ไม่ใช่ว่ากูหลอกมึงมาขายให้คนอื่นที่ไหน”

          “แบบนี้กูไม่สนุก กูไม่ชอบ” จอสชี้หน้ามีนให้หยุดพูดและพอเสียที “ถึงกูจะไม่ใช่คนดี แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ว่ายังไงกูก็จะไม่ทำเด็ดขาดอยู่”

          “นี่ไม่ใช่มึงเลยอ่ะ” มีนส่ายหน้าผิดหวัง “จอสที่กูรู้จักไม่ใช่พวกน่าเบื่อแบบนี้”

          “บางทีมึงอาจจะไม่เคยรู้จักกูจริงๆ เลยก็ได้ไอ้มีน” จอสมองหน้าอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างในอดีตเริ่มปะทุขึ้นมาเหมือนสะเก็ดไฟจากเปลวเพลิง “ส่วนกูตอนนี้ กูรู้จักมึงดีเลยล่ะ และมันก็ทำให้กูดีใจมากที่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”

          “งั้นมึงก็ไปให้พ้นๆ หน้ากูเลย!” มีนวักดินบนพื้นขึ้นมาซัดใส่จอส

          “กูก็จะไปอยู่นี่ไง” จอสเตะฝุ่นใส่อีกฝ่ายกลับไป

          “ที่ผ่านมากูคิดมาตลอดว่าคงมีแต่มึงคนเดียวที่อยู่กับกูได้ เพราะเรามันเหมือนกัน” มีนก้มหน้าพูด น้ำเสียงแม้จะยังกร้าวอยู่แต่ก็ฟังรู้ว่ามีความอ่อนแอแฝงในนั้น “ตอนนี้ก็รู้แล้ว คนแบบกูมันก็แค่นี้แหละ ขนาดคนที่ไม่มีใครต้องการแบบมึง ยังไม่ต้องการกูเลย…”

          จอสมีคำพูดเจ็บแสบอยู่มากมายที่จะใช้ตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไป แต่เมื่อเห็นบางอย่างในแววตาคู่นั้นของมีน เขาก็ตัดสินใจกลืนมันกลับลงคอไปแล้วเพียงแค่เดินจากมาเฉยๆ

          คนที่ไม่มีใครต้องการ เข้าใจคิดนะ… จอสอดนึกชมอีกฝ่ายไม่ได้ที่สามารถนิยามประโยคสั้นๆ แต่อธิบายตัวตนของเขาได้อย่างครบถ้วน ถึงแม้จะกำลังโกรธจัดที่ถูกหลอกแต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้จอสเกิดความกังวลขึ้นในใจ เขาไม่อาจรู้ได้ว่าตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ไม่ได้เจอกันมีนได้พบเจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง แต่แววตาที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นสะท้อนเงาแห่งความเจ็บปวดออกมา เป็นความเจ็บแบบที่เจ้าตัวกำลังชาชินและคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จอสมั่นใจว่าดูไม่ผิดเพราะรู้จักและคุ้นเคยกับแววตาเช่นนี้ดีจากการเห็นมันบนใบหน้าตัวเองในกระจกเงามาเกือบทั้งชีวิต

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
          เมื่อเป้าหมายแห่งความโกรธถูกหันเหออกจากวินทร์มาเป็นมีน จอสก็พบว่าอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของตนนั้นได้กลับมาสงบเข้าที่ ความขุ่นเคืองยังพอหลงเหลือตกค้างอยู่แต่ไม่ได้มากจนคิดจะทำอะไรโง่ๆ เพื่อประชดอีกฝ่ายต่อไปแล้ว มันมักเป็นเช่นนี้เสมอถ้าเป็นเรื่องของการเมินเฉยหรือตีตัวออกห่าง ความโกรธจากสาเหตุอื่นๆ ไม่เคยเลยที่จะทำให้อาการของมันกำเริบ แต่หากเป็นเรื่องของความหึงหวงเช่นเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นกับภู หรือความรู้สึกว่าใครบางคนกำลังหมดความสนใจใส่ใจในตัวของเขา มันก็จะระเบิดขึ้นมาอย่างเหนือการควบคุมของสติสัมปชัญญะ

          เหตุผลที่มันเป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของจอสก็คือกลัวจะต้องกลับไปอยู่โดดเดี่ยวอีกครั้ง เขาเคยผ่านชีวิตแบบนั้นมาแล้วอย่างสะบักสะบอมและเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจที่ชื่อว่าความเหงาซึ่งคอยหลอกหลอนเขาอยู่ทุกค่ำคืนยามที่ต้องข่มตาหลับลงตามลำพัง ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนที่จอสรู้สึกว่าสามารถเติมเต็มช่องว่างในหัวใจได้ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ยอมให้คนๆ นั้นจากไปไหน แม้นั่นจะหมายถึงการบังคับข่มขู่ก็ตามที

          งานในวงการเป็นสิ่งที่ตอบสนองความใคร่แสวงหาความผูกพันธ์ของจอสได้ในระดับหนึ่ง เมื่อชื่อเสียงนำพามาซึ่งความสนใจที่ผู้คนรอบข้างพากันเทมาให้กับเขาอย่างล้นหลาม เขามีแฟนคลับที่ไม่ว่าเขาจะกระดิกตัวทำอะไรก็พร้อมจะสนับสนุน หรือเพียงแค่เปลี่ยนสเตตัสในโซเชียลบอกว่ากำลังป่วย ทุกคนก็เป็นห่วงราวกับตัวเองเป็นพ่อแม่และเขาคือลูกแท้ๆ ที่เบ่งออกมาเอง บางคนถึงกับอาสาจะพาไปหาหมอและออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้ด้วยซ้ำ แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกลายเป็นดาบสองคม เพราะเมื่อจิตใจเคยชินกับการถูกพะเน้าพะนอเอาใจเหมือนเป็นที่หนึ่งเหนือใครอยู่เสมอ หากวันหนึ่งความสนใจจากผู้คนเหล่านั้นจางหายไปหรือถูกถ่ายเทไปให้กับคนอื่น เด็กหนุ่มจะรู้สึกเหมือนถูกหักหลังจนเกิดภาวะล่มสลายทางอารมณ์ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเรื่องของวินทร์ในวันนี้

          ป่านนี้จะกลับมาหรือยังนะ แล้วจะพาไอ้เด็กนั่นกลับมาด้วยไหม… จอสนึกสงสัยด้วยใจที่เป็นกังวล แม้อารมณ์โดยรวมจะสงบลงแล้วแต่เขาก็ยังไม่อยากจะกลับไปที่รีสอร์ทในตอนนี้ ด้วยกลัวว่าหากพบเจอกับวินทร์หรือที่ร้ายกว่านั้นคือเจอวินทร์ซึ่งอยู่กับเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น อารมณ์ที่เพิ่งสงบลงไปก็คงไม่แคล้วจะพลุ่งพล่านเดือดดาลขึ้นมาอีก จอสไม่เคยชอบเวลาที่ตนเป็นแบบนั้น เพราะเมื่อสติสัมปชัญญะหวนคืนกลับมาอีกครั้งเด็กหนุ่มก็จะต้องมานั่งเสียใจกับร่องรอยความเสียหายที่ตนทำไว้ ไม่ว่าจะกับตนเองหรือคนรอบข้าง

          เมื่อกลับมาถึงบริเวณด้านหน้าทางเข้าของรีสอร์ท จอสลอบมองเข้าไปดูลาดเลาจนมั่นใจแล้วว่าวินทร์ไม่อยู่แถวนั้นจึงค่อยเดินเข้าใจตั้งใจจะเข้าไปเก็บข้าวของแล้วไปหาที่พักใหม่ ระหว่างทางกลับมาเมื่อครู่เขาลองสอบถามรีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งดูแล้วและพบว่ายังมีห้องพักว่างอยู่จากแขกที่เพิ่งออกไปเมื่อช่วงเที่ยง แม้สภาพโดยรวมของห้องพักจะไม่ได้ดูดีเท่าที่นี่แต่ก็คงดีต่อสภาพจิตใจและอารมณ์มากกว่า

          เมื่อกลับเข้ามาในห้อง จอสจัดการเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า ครั้งนี้เขาไม่ได้รีบร้อนมากเหมือนเมื่อคืนก่อนเพราะสังเกตเห็นจากตอนที่เดินเข้ามาแล้วว่าในสำนักงานมีเพียงพนักงานต้อนรับหญิงที่นั่งจัดการเอกสารต่างๆ อยู่ตามลำพังบ่งบอกให้รู้ว่าวินทร์ยังคงกลับมาไม่ถึงเกาะ จอสรูดซิปปิดกระเป๋าเมื่อจัดเก็บทุกอย่างลงไปหมดแล้ว เด็กหนุ่มหยิบเงินสดจำนวนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าสตางค์ก่อนจะวางไว้ที่หัวเตียงพร้อมกับกระดาษซึ่งเขียนบอกให้วินทร์รู้ว่านี่คือเงินค่าที่พักสำหรับตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ ความรู้สึกหดหู่เกิดขึ้นในใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงว่าการจากลากำลังจะมาถึงโดยไม่มีโอกาสได้ร่ำลากันให้เป็นเรื่องเป็นราว จริงอยู่ที่ถึงแม้จะโดนวินทร์จับเปลี่ยนสถานะบนเตียงแถมยังถูกล้อเลียนให้เจ็บใจ แต่อีกมุมหนึ่งจอสก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความปรารถนาดีต่างๆ มากมายที่ชายผู้นี้กึ่งๆ ยัดเยียดให้ มันมีความหมายจริงๆ สำหรับคนที่ป่วยทางใจอย่างเขา

          ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ ขอโทษด้วยที่ทำตัวแย่ๆ ใส่ จอสเขียนลงในกระดาษเตรียมจะนำไปแปะไว้ที่หน้าประตูห้องพัก ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปก็ต้องรีบขยำกระดาษแผ่นนั้นแล้วโยนทิ้งไปข้างหลังเมื่อพบว่าวินทร์ยืนดักอยู่ข้างนอก ชายหนุ่มยังคงหายใจกระหืดกระหอบจากการที่รีบวิ่งขึ้นจากท่าจอดเรือบริเวณชายหาดมายังที่นี่ และยิ่งเมื่อเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่อยู่ในมือของจอสอาการร้อนรนบนใบหน้าก็ยิ่งแสดงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น

          “จะไปไหนเหรอครับ?” วินทร์ชี้ไปที่กระเป๋าในมือจอส

          “อย่ายุ่ง…” ถึงแม้เมื่อครู่นี้ในใจจะเพิ่งอาลัยอาวรณ์อีกฝ่ายไป แต่เมื่อมาเจอกันต่อหน้า อาการปากแข็งก็กำเริบขึ้นมาอีกจนได้

          “มันดึกแล้ว นายไม่คุ้นพื้นที่ ออกไปอันตรายนะครับ” วินทร์ไม่พูดเปล่า พยายามแย่งกระเป๋ามาจากมือของจอส

          “ไปห่วงคนที่ควรห่วงเถอะ” จอสพูดออกไปโดยไม่ทันคิดว่ามันฟังดูเหมือนการหึงหวงอีกฝ่ายไม่มีผิด

          “โกรธอะไรอีก? เห็นอารมณ์เสียตั้งแต่ตอนที่พี่เข้ามาหาเมื่อเช้าแล้ว” วินทร์ยังไม่รู้ว่าตนทำอะไรกับความรู้สึกของจอสเอาไว้

          “ไม่ได้โกรธ สบายใจหรือยัง?” จอสโกหกให้อีกฝ่ายเลิกเซ้าซี้ “แล้วทีหลังจะไปไหนมาไหนกับใครก็ไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

          “พูดถึงนูเหรอ?” วินทร์ถามกลับมาพร้อมกับชื่อของใครบางคนซึ่งจอสคาดว่าน่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น

          “นูไหนอีกล่ะ ผมไม่รู้จักบรรดาผู้คนในชีวิตของพี่หรอกนะ” จอสขี้เกียจสนใจให้อารมณ์เดือดขึ้นมาอีกรอบ

          “ก็เด็กที่นายเห็นเมื่อเช้าไง นั่นดนู น้องชายพี่เอง ปกติมันเรียนที่กรุงเทพ พอดีมันมาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนหลังสอบเสร็จก็เลยแวะมาเอาเงินค่าเรียนพิเศษด้วยเลย พี่ก็เลยขึ้นฝั่งไปธนาคารกับมัน เพราะบัญชีทุนการศึกษาพี่ไม่ได้ทำเอทีเอ็มไว้ ต้องถอนเอาอย่างเดียว แล้วไหนๆ ก็มาแล้วก็เลยกินข้าวดูหนังกันบ้าง พี่น้องนานๆ เจอกันที” วินทร์แก้ความเข้าใจผิดให้จอส “ถ้าไม่เชื่อเอาเบอร์จากพี่แล้วโทรไปถามเค้าเองเลยก็ได้ ทีหลังถามก่อนสิแล้วค่อยหึง”

          “ใครหึงฟะ!? ” จอสโดนจี้ใจดำเข้าพอดี

          “เมื่อเช้าขอโทษที่ต้องทำเป็นไม่สนใจ นายก็ต้องเข้าใจนะ ถึงจะเป็นพี่น้องมันก็ยังมีบางเรื่องที่บอกกันไม่ได้” วินทร์พยายามอธิบาย “นี่พี่ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ก็รีบกลับมาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ”

          “โว๊ย! ไม่เกี่ยวกันเลย!” ใบหน้าของจอสร้อนฉ่า อับอายที่ถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “ก็บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วไงว่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พี่ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าจะไปก็ไม่รั้ง”

          “ก็ได้ ไม่รั้งก็ได้ งั้นก็จ่ายค่าพักมาครับ” วินทร์แบมือยื่นไปหาจอส ใบหน้าเริ่มยิ้มเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายหายเข้าใจผิดและไม่คิดจะหนีไปแล้ว

          “โน่น บนหัวเตียง วางไว้ให้แล้ว” จอสชี้ไปยังเงินที่วางไว้อยู่บนหัวเตียง

          “โหย… แค่นั้นไม่พอหรอกครับ” วินทร์มองแล้วส่ายหน้า

          “นั่นก็ห้าพันแล้ว!” จอสโวยลั่น “แล้วจะเอาเท่าไหร่ ว่ามา จะได้จ่ายให้จบๆ”

          “สองล้าน” วินทร์แจ้งราคา

          “เรื่องนี้ต้องถึงสคบ. แน่” จอสรู้ดีว่าตนถูกชาร์จราคาเพิ่มจากปกติหลายเท่าอย่างแน่นอน “จะบ้าเหรอสองล้าน โรงแรมห้าดาวยังไม่แพงเท่านี้เลย”

          “ไม่จ่ายก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นครับ” วินทร์ใช้อำนาจความเป็นเจ้าของสถานที่ “ถ้าไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องอยู่ทำงานชดใช้จนกว่าจะปลดหนี้ได้”

          “แจ้งตำรวจเลยง่ายกว่า” จอสเสนออีกหนทางหนึ่งให้

          “ก็ได้ คดีแบบนี้โทษไม่ได้หนักอะไร แต่คู่กรณีเป็นดารา ยังไงก็คงได้ออกสื่อแน่ๆ” วินทร์เริ่มคำนวนส่วนได้ส่วนเสียเพื่อนำผลลัพท์มาข่มขวัญจอส “งั้นพี่นั่งเขียนร่างเตรียมเอาไว้เลยดีกว่า ว่าจะเล่าอะไรให้นักข่าวเค้าฟังบ้าง”

          “หยุดเลยนะเว้ย!” จอสขู่ฟ่อ

          “ให้โทรเรียกตำรวจมาเลยไหม?” วินทร์ไม่เลิก

          “ไม่ต้อง!” จอสวางกระเป๋าลง

          “ถ้างั้นตกลงว่าจะจ่ายเหรอครับ?” วินทร์ยังเล่นสนุกกับจอสต่อ เขาแกล้งเดินเข้ามาประชิดตัวเด็กหนุ่มและคว้าเข้าที่บั้นท้าย “ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินก็ได้นะครับ จ่ายเป็นอย่างอื่นมา เดี๋ยวค่อยมาประเมินราคากันว่าจะหักลบหนี้ได้เท่าไหร่”

          “เหรอ งั้นที่จ่ายไปครั้งก่อน หักลบไปได้เท่าไหร่แล้วล่ะ?” จอสดึงมืออีกฝ่ายออก “น่าจะสักล้านห้าได้แล้วมั้ง”

          “อืม ถ้าจะให้ประเมินจริงๆ ก็น่าจะราวๆ หมื่นนึง” วินทร์เผยราคาต่ำกว่าที่จอสประเมินไว้เป็นร้อยเท่า

          “มันจะดูถูกกันเกินไปแล้วนะเว้ย!” จอสโวยวายลั่นกับราคาค่าตัวของตนที่โดนกดลงจนถูกกว่าตอนถ่ายปกนิตยสารสมัยเข้าวงการใหม่ๆ เสียอีก

          “หมื่นนึงนี่รวมค่าเปิดซิงไปแล้วด้วยนะ” วินทร์ขยี้ซ้ำไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ “เพราะงั้นถ้าจ่ายอีกงวดหน้า ก็จะหักค่าเปิดซิงออกไป ก็คงเหลือรอบละห้าพัน”

          “รอบละห้าพัน ก็ต้องสี่ร้อยครั้งกว่าจะสองล้าน” จอสไม่เข้าใจว่าตนจะคำนวณไปทำไม แต่ก็ทำไปแล้ว

          “ถ้าจ่ายวันละรอบ ปีกว่าๆ ก็หมดหนี้แล้วครับ” วินทร์สรุปให้ “ถ้าวันไหนขยัน อยากจ่ายหลายรอบ หนี้ก็หมดเร็วขึ้นนะ”

          “แต่ถ้าเจ้าหนี้ตาย หนี้ก็สูญใช่ไหม?” จอสค้นพบหนทางปลดหนี้ที่ง่ายกว่ามาก

          “เจ้าหนี้คนนี้ไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ” วินทร์ก้มหน้ามาข้างหูของจอสก่อนจะงับเบาๆ ที่ติ่งหูแล้วกระซิบ “เพราะเพิ่งจะกินเด็กสดๆ ซิงๆ มาคนนึง เห็นเค้าว่ากันว่า กินเด็กแล้วอายุจะยืน”

          จอสกระทุ้งศอกใส่หน้าท้องของวินทร์เต็มแรงแล้วหยิบกระเป๋ากลับเข้าห้องพักไปทิ้งอีกฝ่ายที่กำลังจุกจนตัวงอเป็นกุ้งให้อยู่ข้างนอก วินทร์แม้จะจุกเจ็บจนเห็นดาวระยิบระยับแต่ก็ยังอารมณ์ดีจนยิ้มไม่หุบจากการที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายหึงหวงตนจนเก็บอาการไม่อยู่

          เห็นแสบๆ ห้าวๆ ไม่คิดว่าจะน่ารักได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย… วินทร์นึกเอ็นดูจอสขึ้นมา จากเริ่มแรกที่เป็นแค่ความชื่นชอบทางรูปร่างหน้าตา แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเผยตัวตนความเป็นเด็กน้อยที่ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกแบดบอยออกมาทีละน้อย ความรู้สึกที่มีก็เริ่มพัฒนาขึ้นเป็นความผูกพัน จริงอยู่ที่ถึงแม้จุดเริ่มต้นของมันจะเป็นแค่เรื่องฉาบฉวยและจนถึงตอนนี้ก็ยังอาจจะเป็นเช่นนั้นอยู่ แต่ตราบใดที่จอสยังอยู่ที่นี่ไม่หนีไปไหน วินทร์มั่นใจว่าความสัมพันธ์จะต้องพัฒนาไปเป็นอะไรที่ยั่งยืนกว่านี้ได้อย่างแน่นอน


To be continued...
[/b]

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นังวินทร์ หน้าเลือด ต้องฟ้อง สคบ.  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ติดตามจ้า  จอสน่ารัก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆ   แพ้ทางตลอดนะนุ้งจอส

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
กลับมาแล้วค่าาาาา
ตามอ่านครบ4ตอนแล้ว
เรืีองนี้ทำให้เราเข้าใจและเห็นใจจอสมากขึ้น
ขอใครสักคนที่เข้าใจจอสจริงๆค่ะ...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
Episode 5

          “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

          จอสในสภาพเพิ่งตื่นนอนมาหมาดๆ เพราะเสียงโครมครามจากภายนอกที่รบกวนการหลับร้องถามขณะที่ตากวาดมองไปยังอุปกรณ์ทำสวนนานาชนิดที่วินทร์นำมากองไว้ด้านหน้าห้องพัก มีทั้งจอบ เสียม พลั่วและอื่นๆ อีกมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต ในขณะที่วินทร์ก็ยังคงเข็นพวกถุงใส่ดินและปุ๋ยเข้ามาเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มไม่สามารถมองอีกฝ่ายซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพเหงื่อชุ่มร่างจนเสื้อเปียกแนบติดเนื้อในได้เต็มตา จะด้วยเพราะทำให้หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนอันน่าอัปยศนั้นหรือเพราะภาพที่เห็นทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำแถมยังรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างก็ตามที

          “งานของนายไงครับ” วินทร์ตอบพร้อมกับยกดินล๊อตสุดท้ายออกจากรถเข็น เขาขกแขนข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากออกก่อนจะดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดตามลำคอ “ก็อย่างที่บอกเอาไว้ ถ้าไม่จ่ายเป็นเงิน ก็ต้องจ่ายเป็นแรงงาน”

          “นี่ยังตลกไม่เลิกใช่ไหมเรื่องสองล้านน่ะ” จอสปวดหัวกับสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนายั่วยุทางกามารมณ์ แต่ภาพของกล้ามเนื้อหน้าท้องชุ่มเหงื่อจนเป็นเงาวาวซึ่งเผยออกมายามดึงชายเสื้อขึ้นนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะ “ไหนวันนั้นบอกว่าให้อยู่ฟรี เล่นตุกติกนี่หว่า”

          “ก็ให้อยู่ฟรีแล้วยังคิดหนี คงต้องมีอะไรผูกมัดกันบ้างแล้วล่ะ” วินทร์นั่งลงพักเหนื่อยบนกองถุงใส่ดิน

          “แล้วพี่มีสิทธิ์อะไรมาผูกมัดผม” จอสร้องขอเหตุผล “ผมจะอยู่ต่อหรือจะไปก็เรื่องของผมสิ”

          “สิทธิ์ในความเป็นสามีมั้งครับ” วินทร์งัดเอาคำซึ่งเป็นดั่งหมัดฮุกออกมาใช้

          “มีอะไรกันแค่คืนเดียวอย่าเพิ่งสำคัญตัวผิดเลย” จอสทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับคำนั้นเพื่อปกปิดความอาย “ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะมีแฟนแล้ว”

          “ถ้ามีแล้ว เค้าอยู่ไหนล่ะครับ?” วินทร์ถามหา “ทำไมปล่อยแฟนมาเที่ยวคนเดียว “

          “เค้าไม่ว่าง ทำงานอยู่” จอสโกหกต่อให้หมดม้วน

          “ไม่มีแฟนจริงๆ ด้วย” วินทร์จับไต๋ได้ทันที

          “ไปให้พ้นๆ เลยปะ” จอสหงุดหงิดที่ตื่นมาก็ต้องเจอเรื่องให้เสียหน้าแต่เช้า

          “จะไปได้ยังไง บอกแล้ววันนี้นายมีงานต้องทำ” วินทร์กลับเข้าประเด็น “เดี๋ยวเอาพวกต้นไม้ที่เพิ่งซื้อมาไปลงดินกันครับ”

          “แล้วทำไมผมต้องทำตามที่พี่สั่งด้วยไม่ทราบ?” จอสไม่ยอม

          “ถ้าไม่นับเรื่องแทนค่าเช่า ก็ถือซะว่าออกกำลังกาย มีอะไรทำบ้างจะได้ไม่เบื่อไงครับ” วินทร์ให้เหตุผล

          จอสไม่เถียงอะไรต่อเพราะเหตุผลที่อีกฝ่ายให้มาก็ฟังดูเข้าทีอยู่ การใช้ชีวิตบนเกาะถ้าไม่ได้มาท่องเที่ยวโดยตรงเหมือนพวกชาวต่างชาติก็นับว่าเป็นชีวิตที่ขาดสีสันมากพอสมควรอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีอะไรที่พอจะทำเพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวันไปได้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้งร่างกายก็ยังโหยหาการได้ออกกำลังกายตามประสาคนที่เคยทำเป็นมาจนเป็นกิจวัตร เมื่อหยุดไปไม่ได้ทำก็มักจะเกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแล้ว จอสตามวินทร์ลงไปยังสวนหย่อมด้านล่างก่อนจะสวมถุงมือกับรองเท้ายางที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้เพื่อทำการนำบรรดาต้นไม้หลากหลายชนิดที่วินทร์สั่งมาจากในเมืองลงปลูกในพื้นดินของสวน แรกเริ่มเด็กหนุ่มทำลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอย่างทุลักทุเลจนวินทร์เห็นว่าหากปล่อยให้ทำเองต่อไปนอกจากต้นใหม่จะไม่ได้ขึ้นแล้วต้นเก่าก็อาจจะตายด้วยเขาจึงรีบมาดูแลกำกับทุกขั้นตอน เมื่อได้มืออาชีพมาสอนผลงานก็ดีขึ้นมากจนสามารถทำเองได้อย่างคล่องแคล่วหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ต้น

          “ดีครับ เก่งมาก” วินทร์เอ่ยปากชม “หัวไวเหมือนกันนะเนี่ย สอนแป้ปเดียวก็ทำเป็นแล้ว”

          “คนอย่างจอสน่ะ ทำอะไรก็ออกมาดีหมดแหละ” จอสยกหางตัวเองแบบไม่เสียเวลาถ่อมตัว

          “จริงๆ ไม่เถียง” วินทร์พยักหน้าเออออห่อหมก “ขนาดคืนก่อนนู้น เพิ่งเคยครั้งแรกยังทำออกมาได้ดีเลย”

          “ไม่ทำแม่งละ! ” จอสโยนเสียมในมือทิ้งด้วยความโมโห

          “อย่างอนสิ” วินทร์รั้งตัวไว้ก่อนที่จอสจะทันได้ลุกขึ้น

          “ก็ชอบล้อเรื่องนี้ทำไมล่ะ” จอสตัดสินใจพูดตรงๆ ถึงความไม่พอใจที่มีอยู่ “พี่ได้ผมแล้ว โอเค พี่ชนะผมแพ้ ผมยอมรับ เข้าใจแล้ว พี่ก็สะใจอยู่เงียบๆ ก็ได้มั้ง ไม่ต้องคอยเอามาพูดให้ผมเจ็บใจหรอก”

          “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้รู้สึกสะใจอะไรกับเรื่องนี้เลยนะ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชนะหรือนายแพ้เลยด้วย” “วินทร์อธิบาย “ขอโทษนะ ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี พี่ก็แค่… ถ้าไม่แกล้งแหย่นายด้วยเรื่องนี้ก็ไม่รู้จะคุยกับนายเรื่องอะไรแล้ว…”

          “ก็มีเรื่องอื่นให้คุยอีกตั้งเยอะแยะ” จอสถอนหายใจออกมาเมื่อเหตุผลของอีกฝ่ายนั้นฟังแล้วโกรธไม่ลงจริงๆ

          “ไม่รู้สิ พี่ก็อายุมากกว่านายหลายปี ไม่ค่อยรู้หรอกว่าเด็กรุ่นนายเค้าคุยอะไรกัน ชอบอะไรกันบ้าง” วินทร์ปล่อยแขนจอสเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเลิกพยายามจะลุกหนีแล้ว

          “ผมชอบอ่านหนังสือ” จอสก้มหน้าบอกสิ่งที่น้อยคนนักจะรู้ให้วินทร์ฟัง “ผมชอบการ์ตูน ชอบต่อฟิกเกอร์ แค่นี้พอจะหาเรื่องคุยได้รึยัง?”

          “หน้าไม่ให้เลยอ่ะ…” วินทร์ไม่อยากเชื่อว่าจอสจะเป็นเด็กโข่งของแท้

          “ตกลงจะคุยดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม?” จอสโมโหขึ้นมาอีกรอบ

          “โอเคๆ นายชอบอ่านหนังสือ” วินทร์เลิกแซว “งั้นเรามาคุยเรื่องหนังสือที่นายชอบกันดีกว่า”

          เนื่องจากวินทร์ไม่ได้เป็นหนอนหนังสือ ดังนั้นการคุยเรื่องหนังสือของทั้งคู่จึงเป็นการให้จอสเล่าเรื่องราวของหนังสือที่เขาอ่านแล้วชอบหรือประทับใจและบอกถึงเหตุผลว่าทำไมจึงชอบเรื่องราวเหล่านั้น ระหว่างที่คุยมือก็ยังทำงานส่วนที่เหลือต่อไปด้วยเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดดาหลาต้นสุดท้ายก็ถูกนำลงไปอยู่บนพื้นดินเป็นที่เรียบร้อย เป็นอันสิ้นสุดงานของเช้าวันนี้ จอสนอนแผ่ลงบนพื้นหญ้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการที่ต้องก้มหลังขุดดินมาเป็นระยะเวลานานก่อนจะรู้สึกในไม่กี่วินาทีต่อมาว่าวินทร์ได้ล้มตัวลงนอนแบบเดียวกันที่ข้างๆ ตัวเขา

          แสงแดดจากดวงอาทิตย์ยามสายสาดส่องลอดผ่านร่มเงาของต้นไม้ลงมายังพื้นเบื้องล่าง สร้างประกายแสงระยิบระยับจนตาของจอสพร่ามัวเมื่อมองย้อนขึ้นไป ลมทะเลหอบเอากลิ่นอายของเกลือและชายหาดขึ้นมาด้วยยามเมื่อพัดเข้าฝั่ง เด็กหนุ่มสูดหายใจอย่างสดชื่นแม้ร่างกายจะเหนื่อยเจียนตายกับงานที่เพิ่งทำแต่กลับรู้สึกผ่อนคลายและสงบอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเอียงคอหันไปมองข้างๆ วินทร์ก็นอนอยู่ตรงนั้นและมองไปบนท้องฟ้าเช่นกันหากแต่แววตาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นกลับดูราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่

          “คิดอะไรอยู่เหรอครับ?” จอสถาม

          “ถามหน่อยได้ไหม?” วินทร์เอียงคอหันมาถาม “ทำไมนายถึงมาหลบอยู่ที่นี่?”

          “จริงๆ มันก็น่าอายอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับ…” จอสไม่อยากบอกแต่ก็ตัดสินใจไม่ปิดบัง “ผมอกหักมา…”

          “จากใคร?” วินทร์คิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนแบบไหนที่กล้าปฏิเสธความรักจากจอส

          “เดาไม่ยากหรอก” จอสไม่พูดออกมาตรงๆ “ภาพที่เห็นในทีวี มันก็ไม่ใช่การแสดงเสมอไปนะ”

          “หมายถึงคนนั้นน่ะเหรอ ที่ชื่อภู” วินทร์คิดตามที่อีกฝ่ายใบ้มา

          จอสพยักหน้า แม้กระทั่งตอนนี้การได้ยินชื่อของภูก็ยังทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บในอกอยู่ เป็นความเจ็บในแบบที่ไม่ได้ทำให้ร้าวรานจนทุรนทุรายแต่ทรมานจากความโหยหา ในบางเวลาจอสเคยตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าหากเขามีสภาพจิตใจเป็นปกติเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป ภูจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาได้มากขนาดนี้หรือไม่ หากเขาไม่ได้เป็นคนที่โหยหาใครสักคนที่พร้อมจะเคียงข้างเขาได้เสมอ ที่ตรงนี้ในหัวใจจะยังเป็นของภูอยู่หรือเปล่า ไม่อาจรู้ได้เลย และก็คงไม่สำคัญเพราะปัจจุบันมันเป็นเช่นนี้ไปแล้ว

          มันไม่สำคัญหรอก เพราะถึงยังไงเค้าก็ไม่เอาแก!! อีกเสียงอันเกรี้ยวกราดในใจของจอสตะโกนเสริมมาให้

          “นึกว่าเป็นแค่คู่จิ้นกันเฉยๆ ที่ไหนได้ชอบกันจริงเหรอ” วินทร์ประหลาดใจกับความลับที่เพิ่งรับรู้มา

          “ผมชอบเค้า เค้าไม่ได้ชอบผม ไม่งั้นจะเรียกอกหักเหรอ” จอสอธิบายให้ชัดเจนขึ้น “เค้ามีแฟนอยู่แล้ว”

          “แล้วแผลที่แขนนั่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่ไหม?” วินทร์ถามถึงสิ่งผิดปกติที่ตนเห็นมาตั้งแต่คืนแรกที่อยู่ด้วยกันแต่ยังไม่กล้าถามจนกระทั่งบัดนี้

          “เนี่ยอ่ะเหรอ…” จอสยกแขนขึ้นให้อีกฝ่ายมองเห็นถนัดตา “ไม่เกี่ยวกันหรอกครับ นี่มันก่อนหน้าที่ผมจะเจอเขาตั้งนานแล้ว”

          “เกิดอะไรขึ้น?” วินทร์อยากรู้ที่มาของแผลเหล่านั้น

          “ไว้ให้เรารู้จักกันดีกว่านี้ก่อน แล้วผมจะบอกนะ” จอสยังไม่สะดวกใจที่จะเล่ามุมมืดของชีวิตตนให้คนที่เพิ่งเจอไม่กี่วันฟัง

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ” วินทร์ไม่ได้ต้องการคำตอบหากอีกฝ่ายไม่สบายใจที่จะพูดถึง “แค่รู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากการที่นายอกหักมาก็พอแล้ว ถึงจะรักใครมากแค่ไหน ก็ต้องรักตัวเองให้มากกว่านะ”

          “จะเป็นพ่อแล้วหรือไง?” จอสทำเป็นพูดเล่นกลับไป ทั้งที่คำพูดแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของวินทร์นั้นทำให้ความโหยหาบางอย่างซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจได้กลิ่นสิ่งที่มันต้องการและปีนกลับแสดงตัวขึ้นมาอีกครั้ง

          “ทำกันไปแบบนั้นคงเป็นไม่ได้แล้วพ่อน่ะ แต่อย่างอื่นก็พอได้อยู่” วินทร์แกล้งถามทีเล่นทีจริง “แล้วไงล่ะ อยากให้พี่เป็นอะไร?”

          “ไม่อยากให้เป็นอะไรเลย” จอสทำเป็นเล่น

          “แต่พี่อยาก…” วินทร์ไม่เล่นด้วย “มันอาจจะเร็วไป เราเพิ่งเจอกัน นายเองก็เพิ่งเสียใจมา เพราะฉะนั้นพี่จะไม่เร่งรัดอะไรนายหรอก แค่อยากบอกให้นายรู้ไว้ก็พอ เผื่อว่าสักวันนึงเมื่อนายพร้อม นายจะให้โอกาสพี่ได้รักนายบ้าง”

          ถ้าพี่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นยังไง พี่จะยังรักผมอย่างที่พูดได้หรือเปล่า? คำถามผุดขึ้นมาในใจของจอส แม้ความรู้สึกของวินทร์จะเป็นสิ่งที่พอคาดเดาได้อยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำสารภาพจากอีกฝ่ายโดยตรงก็ทำให้หัวใจของจอสพองโตขึ้นมาด้วยความสุขอย่างห้ามไม่ได้ นานมากแล้วที่ไม่มีใครแสดงออกว่าใส่ใจในความรู้สึกของเขาแบบนี้ ทว่าความสุขนั้นก็ไม่อาจจะเบ่งบานได้เต็มที่เมื่อรู้ดีว่าบางทีตนอาจจะไม่ดีพอที่จะคู่ควรรับความรักจากใครทั้งสิ้น

          “เอาไว้พี่รู้จักผมดีกว่านี้แล้วค่อยมาว่ากันดีกว่าครับ” จอสตัดสินใจให้เวลาทำหน้าที่ของมันเองในการหาคำตอบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายขอมาจะเป็นไปได้หรือไม่ “ถ้าวันนึงพี่รู้จักผมแบบทะลุปรุโปร่งแล้ว พี่อาจจะไม่อยากเป็นอะไรกับผมเลยก็ได้”

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
          วินทร์ทำตามคำพูดที่ว่าจะไม่เร่งรัดจอสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองนอนพักอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่งจนกระทั่งแสงแดดของยามส่ายเริ่มทวีความร้อนแรงมากขึ้นจึงค่อยพากับลุกและนำอุปกรณ์ทั้งหลายไปเก็บยังหน้าห้องพักของจอสซึ่งบัดนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่เก็บอุปกรณ์การทำสวนชั่วคราว การใช้แรงงานเรียกเหงื่อออกมาได้เยอะจนเด็กหนุ่มรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวและอยากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเต็มแก่ แต่ติดที่วินทร์ซึ่งถึงแม้จะเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้วแต่ก็ยังวนเวียนแถวนี้อยู่ไม่ยอมไปไหนสักที

          “มีอะไรอีกป่ะเนี่ย?” จอสทนไม่ไหวต้องถามออกไป

          “จะบอกว่าเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จไปกินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวเลี้ยงเอง” วินทร์ตอบ

          “ได้ ของฟรีไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว” จอสตกลงแล้วรีบไล่แบบอ้อมๆ “งั้นเดี๋ยวอาบน้ำก่อนแล้วเจอกันข้างล่างเลยนะ”

          “จะต้องให้เสียเวลามากทำไม ทำไมไม่ลงไปพร้อมกันเลย” วินทร์ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

          “ก็จะอาบน้ำ!” จอสคันเนื้อตัวจนหงุดหงิดเต็มแก่

          “ก็นี่ไง อาบด้วยกัน เสร็จแล้วก็ลงไปกินข้าวพร้อมกันเลย เสื้อผ้าพี่เตรียมมาเปลี่ยนแล้ว” วินทร์พูดพลางหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากถุงใบที่วางอยู่ใกล้ๆ ซึ่งน่าจะถูกนำมาพร้อมกับบรรดาอุปกรณ์ทำสวนเมื่อเช้าโดยที่จอสไม่ทันได้สังเกต

          “ไม่เอา!” จอสเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ในแผนการของอีกฝ่ายมาแต่แรก “ลงไปอาบที่ห้องน้ำของตัวเองสิ อันนี้ห้องน้ำลูกค้า”

          “แต่นายไม่ใช่ลูกค้านี่ ตอนนี้นายเหมือนพนักงานคนนึง พนักงานกับเจ้านายก็อาบด้วยกันได้อยู่แล้ว” วินทร์เถียงแบบหน้ามึน

          “ไม่เอา ไหนบอกจะไม่เร่งรัดไง ทำไมทำงี้อ่ะ” จอสเตือนความจำให้วินทร์ถึงสิ่งที่พูดไว้

          “ที่บอกจะไม่เร่งรัดน่ะมันเรื่องของความรัก” วินทร์เล่นลิ้นเป็นศรีธนญชัย “แต่เรื่องนี้เราเคยบรรลุจุดหมายกันไปรอบนึงแล้ว ดังนั้นไม่ถือว่าเป็นการเร่งรัดหรอกนะครับถ้ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”

          “จะเรื่องนี้หรือเรื่องอะไรก็ห้ามเร่งรัด! ” จอสไม่ยอมให้อีกฝ่ายโมเมเอาประโยชน์เข้าตัว “ถ้าชอบผมก็ต้องให้เกียรติผมด้วย ไม่ใช่หวังแต่จะมาทำแบบนี้”

          “มันจะฟังดูแล้วน่าเชื่อถือกว่านี้นะถ้าประโยคเมื่อกี้มันไม่ได้ออกมาจากปากคนที่วางแผนหลอกพี่มาฟันตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า” วินทร์ยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าประชิดตัวจอสซึ่งถอยกรูดหนีเข้าไปในห้องพัก

          “ก็ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง เรากำลังดูใจกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เมื่อไม้ขู่ไม่ได้ผลจอสจึงจำต้องลดศักดิ์ศรีมาใช้มารยา “เมื่อกี้ตอนเราคุยกัน ผมรู้สึกดีกับพี่มากเลยนะ อย่าให้เรื่องนี้มาทำลายทุกอย่างที่เกิดขึ้นเลย”

          “อาบน้ำด้วยกันเฉยๆ มันจะไปทำลายอะไรได้ยังไง?” วินทร์ตีหน้าซื่อ “บอกแล้วไงครับ ถ้านายไม่ร้องขออย่างอื่นเพิ่มเอง พี่ก็ไม่ฝืนใจนายอยู่แล้ว”

          ก็นั่นแหละที่อันตรายยิ่งกว่าฝืนใจอีก… จอสรู้ดีว่าสิ่งที่กลัวอยู่นั้นไม่ใช่กลัวว่าอีกฝ่ายจะดึงดันฝืนใจแต่เป็นความกลัวว่าตัวเองจะสมยอมให้เขาทำต่างหาก เด็กหนุ่มยังคงจดจำได้ว่าเทคนิคในการเกลี้ยกล่อมเล้าโลมของวินทร์นั้นเจนจัดจนน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน ขืนปล่อยให้ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่ลับ ไม่วายเขาต้องได้เจ็บตัวซ้ำรอยเดิมอีกแน่ แต่ทว่าในอีกฟากหนึ่งของความคิดนั้นก็กลับเป็นปฏิปักษ์กับด้านที่ปฏิเสธ เมื่อมองในแง่ที่ว่าเขาเองก็รู้สึกดีกับวินทร์และวินทร์ก็บอกชัดเจนว่าชอบและอยากจะคบหากับเขา แล้วจะมีเหตุผลใดอีกที่จะต้องอิดออดไม่ยอมมีอะไรกับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าชอบเราและเราก็ชอบเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเคยเกิดขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ

          “คิดนานจังเลย” วินทร์กระตุ้นเมื่อเห็นจอสเอาแต่นิ่งเงียบคล้ายกำลังลังเลใจ

          “ครั้งนี้ถ้าบอกไม่ก็คือไม่นะ” จอสมีเงื่อนไข “อาบน้ำเฉยๆ ห้ามทำอะไรเกินกว่านั้น”

          “พี่เคยฝืนใจนายเหรอ?” วินทร์ทำเป็นตีหน้าซื่อ

          “นั่นล่ะตัวดีเลย…” จอสนึกขึ้นมาว่าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันไหม

          การอาบน้ำร่วมกับผู้อื่นครั้งแรกในชีวิตของจอสผ่านพ้นไปได้ด้วยดี วินทร์ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยหากเด็กหนุ่มไม่ยินยอม ดังนั้นถึงแม้อารมณ์จะพาไปจนอีกฝ่ายสมยอมแล้ว แต่เมื่อจอสขอร้องให้เขาหยุดจากความเจ็บที่เกินทนเนื่องด้วยอาการอักเสบจากครั้งแรกยังไม่หายสนิท วินทร์จึงยอมหยุดเจ้าน้องชายที่กำลังล่วงล้ำเบิกทางให้พอเพียงเท่านั้นแม้ใจจะอยากพาตัวเองเข้าไปให้สุดเพื่อลิ้มรสชาติความคับแน่นด้านในอีกรอบมากเพียงไหนก็ตามที

          “เราลองคบกันดูไหม?” วินทร์ถามขึ้นมาหลังอาบน้ำเสร็จขณะที่จอสกำลังนั่งจ่ออยู่หน้าพัดลมเพื่อเป่าผมบนศรีษะให้แห้งสนิท

          “จำได้ว่าพี่เป็นคนพูดเองนะว่าจะไม่เร่งรัด” จอสเตือนสติให้

          “ก็ไม่ได้หมายถึงเป็นแฟน แค่อยู่ในสถานะคบหากัน” วินทร์อธิบาย “นายจะได้ลงไปอยู่บ้านพี่ที่ด้านล่างได้ ไม่ต้องมานอนห้องพัก”

          ”กลัวเสียรายได้ล่ะสิ” จอสดักคอพยายามเลี่ยงออกจากประเด็นที่อีกฝ่ายกำลังเสนอ “ใช่สิ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะนี่ ให้ผมอยู่นี่ก็เสียห้องไปเปล่าๆ ห้องนึง”

          “เรื่องแค่นั้นพี่ไม่สนใจหรอก ถ้าตกลงจะคบกัน นายจะนอนนี่ต่อก็ได้ หรือจะลงไปบ้านพี่ก็ได้” วินทร์ชี้แจงตัวเองให้ชัดเจน "แล้วนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเร่งรัดอะไร แค่ถ้ามันชัดเจนว่าเราคบกันอยู่ พี่ก็จะได้ปฏิบัติตัวกับนายแบบคนใกล้ชิดได้ ถ้ายังไม่ตกลงคบแล้วไปทำตอนนี้ นายก็จะหาว่าพี่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนายอีก”

          “แล้วใครบอกว่าผมอยากคบกับพี่?” จอสปั้นรอยยิ้มชั่วร้ายมาประดับบนหน้าหมายจะให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความคิด “บางทีความสัมพันธ์ระหว่างเราอาจจะจบลงพร้อมๆ กับวันหยุดของผมก็ได้นะ”

          “นายยังไม่อยากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เราเพิ่งเจอกันไม่กี่วันเอง แต่สำหรับพี่ พี่โอเคกับนายนะ ไม่ใช่เพราะนายเป็นดาราหรือนายหน้าตาดี แต่นายมีบางอย่างที่ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่จะรักนายและทำให้นายรักพี่ได้” วินทร์รู้เจตนาของสิ่งที่จอสพูดมา “ก็ถือว่าเป็นการทดลองคบ ไหนๆ เราทั้งคู่ก็ไม่ได้คบใครอยู่พอดี ลองดูว่าเราเข้ากันได้หรือไม่ได้ ถ้าหมดวันพักผ่อนของนายแล้วนายต้องกลับไปกรุงเทพ ก็ค่อยตัดสินใจตอนนั้นแล้วกันว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะจบหรือว่าจะได้ไปต่อ”

          “ถ้าถึงตอนนั้นแล้วผลของมันคือทุกอย่างต้องจบลงล่ะ” จอสถามกลับไป “เราจะไม่โกรธกันใช่ไหม?”

          ไม่อยากเชื่อเลยว่าคำถามพรรค์นี้จะหลุดออกมาจากปากตัวเอง… จอสประหลาดใจกับการที่คนซึ่งมีความคิดมาโดยตลอดเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ว่าหากไม่รักก็เกลียดกันไปเลยจะเป็นผลดีกว่าการต้องมายืดเยื้อเป็นเพื่อนพี่น้องกันทั้งที่ใจเจ็บ มาในตอนนี้คนๆ นั้นกลับกริ่งเกรงที่จะเสียความสัมพันธ์ที่มีถึงขนาดร้องขอไม่ให้อีกฝ่ายเกลียดตนหากสิ่งที่หวังนั้นเป็นไปไม่ได้ นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รากแห่งความสัมพันธ์ซึ่งผู้อื่นเป็นคนปลูกสามารถหยั่งลึกลงไปในหัวใจของจอสได้อีกครั้ง และเขาก็รู้ดีว่ายิ่งมันลงไปลึกมากเท่าไหร่ ยามเมื่อถูกถอนออกไปความเจ็บปวดก็จะยิ่งมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ถอนมันเอง

          “ถ้าสุดท้ายแล้วมันยังไม่ได้จริงๆ พี่ก็ไม่โกรธนายหรอกครับ” วินทร์ตอบ “แต่ตอนนี้เราทั้งคู่มาพยายามกันให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะ ถือว่าเป็นช่วงเรียนรู้กันและกัน”

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นจอสก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้ ชีวิตคนโดดเดี่ยวอย่างเขามีความทรงจำอันอ้างว้างและมืดมนมากพอแล้ว แม้กระทั่งความรักครั้งแรกกับมีนก็ยังแทบจะเรียกได้ว่าไม่น่าจดจำ ออกจะน่าละอายด้วยซ้ำเมื่อนึกถึง ความรักจากบรรดาแฟนคลับหรือผู้คนที่มาชื่นชอบก็แสนจะบางเบาและฉาบฉวย ดังนั้นหากจะมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาในชีวิตอันอับเฉานี้ แม้จะเพียงแค่วูบเดียวแต่มันก็ยังควรค่าที่จะไขว่คว้าเอาไว้ อีกทั้งการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนก็อาจจะช่วยให้ทำใจเป็นเพื่อนกับภูได้ง่ายยิ่งขึ้น

          วินทร์ช่วยจอสเก็บข้าวของส่วนตัวก่อนจะพาเด็กหนุ่มลงไปยังบ้านพักของตนซึ่งอยู่บริเวณด้านล่างของเนินเขา โจโฉรีบวิ่งมาต้อนรับที่ประตูรั้วทันทีที่เห็นเจ้านายของตนกลับมาพร้อมกับแขกคนพิเศษ จอสตรงดิ่งเข้าไปเล่นกับมันปล่อยให้วินทร์เอากระเป๋าของตนเข้าไปเก็บข้างในจนกระทั่งเหงื่อท่วมตัวหมดแรงกันทั้งคนทั้งสุนัขจึงได้ยอมเลิกราและตามอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน

          บ้านพักของวินทร์แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างกับห้องพักเก่าของจอสบนรีสอร์ทในด้านการออกแบบ จะต่างออกไปก็เพียงมีเครื่องเรือนตกแต่งและเครื่องอำนวยความสะดวกที่เยอะขึ้น และมีห้องนอนซึ่งแยกออกมาจากส่วนของห้องรับแขกอย่างเป็นสัดเป็นส่วน จอสอดเป็นกังวลไม่ได้หลังจากสำรวจดูจนทั่วแล้วพบว่ามีห้องนอนเพียงห้องเดียวเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องนอนร่วมเตียงกับวินทร์โดยไม่มีทางเลือกเว้นแต่จะหนีลงมานอนพื้นซึ่งก็คงดูเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเมื่อมองในแง่ที่ว่าทั้งสองต่างก็ตกลงคบกันแล้ว แม้จะยังไม่ชี้ชัดระดับความสัมพันธ์ว่าเป็นคนรักก็ตามที

          “พี่เอาเสื้อผ้านายใส่ในตู้ไว้แล้ว ส่วนพวกของใช้ส่วนตัวเดี๋ยวให้นายจัดเองดีกว่า” วินทร์เดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าของจอสออกมาจากในห้อง “พี่เห็นมีขวดยาจากโรงพยาบาลอยู่สองสามขวด นายมีโรคประจำตัวด้วยเหรอ?”

          “อ่า ชะ ใช่ครับ” จอสใจหล่นวูบไปอยู่ปลายเท้าเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าความลับของตนอยู่ในกระเป๋าใบนั้น โชคยังดีที่วินทร์ไม่ได้อ่านฉลากของมัน

          “เป็นอะไร? อันตรายมากไหม? พี่ต้องรู้ไว้ก่อนจะได้ช่วยนายระวังอีกแรง เพราะบนเกาะไม่มีโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรอกนะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาจะลำบาก” วินทร์เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันไม่คาดฝัน

          “ไม่อันตรายมากหรอก แค่ภูมิแพ้น่ะครับ” ถึงแม้จะโกหกชื่อโรคแต่จอสก็ไม่ได้โกหกที่ว่ามันไม่อันตรายมาก เพราะโรคนี้หากจะมีใครเป็นอันตรายเพราะมันก็คงจะเป็นคนรอบตัวของเขาเสียมากกว่า

          “เห็นหน้าใสๆ มีกล้ามท่าทางแข็งแรง ที่ไหนได้ป่วยเป็นกับเค้าด้วย” วินทร์ดูโล่งอกหลังจากได้ฟังคำตอบ

          “ก็เป็นได้เหมือนคนอื่นทุกอย่างนั่นแหละครับ แค่ไม่ค่อยจะคร่ำครวญให้ใครฟัง” จอสตอบกลับไปด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นการตัดพ้อ

          หรือถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือไม่มีใครจะให้คร่ำครวญด้วยต่างหาก จอสนึกย้อนกลับไปเมื่อช่วงสมัยยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมในเวลาที่พ่อกับแม่เพิ่งจะแยกทางกันใหม่ๆ และเขายังไม่ชินกับชีวิตที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ในกลางดึกคืนหนึ่งที่เขาต้องทนทรมานจากอาการปวดท้องจนกระทั่งทนไม่ไหวต้องพาตัวเองลงไปยังล๊อบบี้ของคอนโดและขอให้ใครสักคนที่อยู่แถวนั้นช่วยพาเขาไปส่งโรงพยาบาลแล้วจึงได้รู้จากคำวินิจฉัยของแพทย์ว่ามันคืออาการไส้ติ่งอักเสบซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดเป็นการด่วน แต่เนื่องจากอายุของจอสยังไม่บรรลุนิติภาวะ การผ่าตัดจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองนั่นทำให้เขาต้องรอจนเกือบเช้ากว่าที่จะสามารถติดต่อให้พ่อของเขามาเซ็นเอกสารให้และเข้ารับการผ่าตัดได้ และหากนั่นยังไม่หนักหนาพอก็ยังมีช่วงเวลาแห่งการพักฟื้นที่เขาต้องเผชิญกับมันตามลำพังอีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ

          “แต่อยู่กับพี่เป็นอะไรต้องบอกนะ” วินทร์เข้ามากอดเด็กหนุ่มจากทางด้านหลัง “ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเกิดงอนอะไรขึ้นมา ก็ต้องบอกต้องถาม จะได้แก้ไขทัน”

          “จะได้แก้ตัวทันด้วยใช่ไหม?” จอสต่อประโยคให้

          “รู้มากจริงๆ เด็กฉลาด” วินทร์หอมแก้มเข้าฟอดหนึ่งก่อนจะผละออก “จะจัดของก่อนเลยไหม? หรือจะออกไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับมาจัด?”

          “จริงๆ ไม่มีอะไรต้องจัดแล้วล่ะครับ พวกนี้เอาไว้ในกระเป๋าก็ได้ จะได้ไม่เกะกะข้างนอก เวลาจะใช้หาง่ายดี” จอสรูดซิปกระเป๋าปิดแล้ววางเก็บข้างในตู้เสื้อผ้า “รีบไปหาอะไรกินดีกว่า หิวแล้วล่ะ ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลย”

          เมื่อพูดจบจอสตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องแต่วินทร์ก็กลับขยับมาปิดทางขวางประตูเอาไว้ เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัยว่าจะเอาเช่นไรกันแน่แต่ก็โดนตอบโต้กลับด้วยการขยับรุกไล่ให้ถอยหลังกลับเข้ามา มือข้างหนึ่งของวินทร์ยกขึ้นดึงประตูให้ปิดในขณะที่อีกข้างออกแรงดันจอสให้นั่งลงบนเตียง

          “ไหนบอกจะไปกินข้าวไง…” จอสเริ่มรู้สึกว่าพาตัวเองมาติดกับ

          “กินที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวสั่งให้มาส่ง” วินทร์ยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู “แต่ช่วงนี้ท่าทางที่ร้านลูกค้าคงเยอะ เรามาหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอดีกว่าไหม?”

          “ไม่เอา บอกแล้วไงว่ายังเจ็บอยู่” จอสถอยกรูด

          “ก็แล้วถ้าพี่อยากทำจริงๆ จะยอมทนเจ็บได้หรือเปล่า?” วินทร์รุกไล่เข้ามาจนจอสจนมุมเมื่อถอยไปชนกับขอบเตียงนอน

          “อย่านะ… อย่าเห็นแก่ตัวแบบนั้นสิ…” จอสหมดทางไปต่อจำต้องนั่งลงบนขอบเตียง “พี่ไม่อยากทำให้ผมเจ็บหรอก ใช่ไหม?”

          “ใครจะไปรู้ บางทีพี่อาจจะชอบแบบนั้นก็ได้” วินทร์ดันให้จอสนอนลงแต่เมื่อเด็กหนุ่มแข็งขืนจึงเปลี่ยนจากมือดันมาเป็นใช้ร่างกายโถมทับลงไปแทน “เวลาเห็นหน้านายตอนเจ็บแล้วมันก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ”

          “ไอ้ซาดิสต์” จอสพยายามดิ้นรนแต่ด้วยต้นขาก็ถูกทับตรึงเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ” ปล่อยนะเว้ย! ”

          “ไม่ปล่อยครับ” วินทร์ส่ายหน้าทำหน้ายียวน “ถ้าอยากให้ปล่อย น้องจอสก็ต้องพูดเพราะๆ อย่าลืมสิตอนนี้เราคบกันแล้วนะ พูดหวานๆ ทำตัวน่ารักบ้างจะเป็นอะไรไป”

          “ไม่มีทาง!” จอสลั่น “คนแบบจอส ไม่มีทางยอมทำอะไรไร้ศักดิ์ศรี ไร้ยางอายแบบนั้นแน่!”

          “งั้นมาลองดูว่าจะจริงอย่างที่พูดไหม” วินทร์ยิ้มมุมปากก่อนจะก้มลงใช้ปลายจมูกซุกไซร้ที่ซอกคอของจอส

          “อืออออ” จอสสะบัดศรีษะต่อสู้แต่เรี่ยวแรงกลับค่อยๆ จางหายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงจูบและลมหายใจอุ่นชื้นของอีกฝ่ายที่รินรดต้นคอ “ปล่อย!”

          “บอกแล้วไงให้พูดเพราะๆ” วินทร์ไม่หยุด ซ้ำยังเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นข้างใบหู “ถ้ายังทำตัวไม่น่ารักก็จะต้องโดนแบบนี้ต่อเรื่อยๆ นั่นแหละ”

          “อ๋อยยย พอแล้ววว” จอสดิ้นเร่าๆ ร้องเสียงกระเส่า “ไม่เอาแล้ว พี่ครับ จอสขอร้อง พอนะครับ”

          “หือว่าไงนะ?” วินทร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “พูดอีกทีซิ”

          “พี่วินทร์ครับ พอแล้ววว” จอสโยนศักดิ์ศรีที่ค้ำคอทิ้งจนหมดเพื่อเอาตัวรอดจากตรงนี้ให้ได้ “อย่าแกล้งจอสแบบนี้ พอนะครับ”

          ไม่ไหวแล้ว! โครตน่ารักเลย วินทร์หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดเมื่อเห็นอาการอ้อนวอนที่จอสเพิ่งแสดงออกมา แม้จะอยากฟัดต่อให้สมใจอยากแต่เขาก็เลือกจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ดึงดันหากอีกฝ่ายไม่ยินยอม ที่ทำไปเมื่อครู่ก็เพียงแค่หวังจะแกล้งจอสเล่นเพียงนิดหน่อย แต่ผลลัพท์ที่ได้นับว่าเกินความคาดหมายอย่างมหาศาล วินทร์ยันตัวลุกขึ้นปล่อยให้จอสเป็นอิสระ เด็กหนุ่มรีบกระโจนออกจากเตียงแล้วแก้ตัวว่าที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นแค่การแสดงเท่านั้นก่อนจะเผ่นหนีออกนอกห้องนอนไปทันที วินทร์มองภาพเหล่านั้นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูและขบขันแล้วจึงค่อยเดินตามออกไป



To be continued...

ออฟไลน์ lolito

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-1
นังวินทร์ หน้าเลือด ต้องฟ้อง สคบ.  :katai1:

ราคารวมค่าบริการพิเศษ  :o8:



ติดตามจ้า  จอสน่ารัก

ยินดีครับ ตามจนจบนะ เรื่องนี้ไม่ยาวมาก เพราะเดี๋ยวจะรวมเล่มกับภาคหลักแล้ว  :katai4:



:pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆ   แพ้ทางตลอดนะนุ้งจอส

มาดูว่าน้องจะกลับมาเป็นผู้นำกับเค้าบ้างได้มั้ย ตอนนี้สภาพกลายเป็นช้างเท้าหลังไปแล้ว  :hao5:



:L2: :pig4:

ยินดีต้อนรับกลับมาครับ ติดตามกันจนจบเนอะ เรื่องนี้ไม่ยาวๆ  :katai2-1:



กลับมาแล้วค่าาาาา
ตามอ่านครบ4ตอนแล้ว
เรืีองนี้ทำให้เราเข้าใจและเห็นใจจอสมากขึ้น
ขอใครสักคนที่เข้าใจจอสจริงๆค่ะ...

ยินดีต้อนรับกลับมาครับ เรื่องนี้ตั้งใจอยากให้คนอ่านแล้วเข้าใจจอสมากขึ้นจริงๆ แล้วก็จะเฉลยปมเกี่ยวกับตัวเค้าที่ไม่ได้เล่าในเนื้อเรื่องหลักด้วยครับ ติดตามจนจบนะครับ เรื่องนี้คงไม่ยาวเท่าของน้องภูเพราะเวลาในเรื่องมันแค่สามเดือนกว่าๆเท่านั้นเอง ของน้องภูตั้งสามปี 5555  o13



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จอส ยอมๆ ไปเถอะ ดูแล้วแพ้หมดทุกทางเอย  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ขอบคุณการลงอย่างสม่ำเสมอ

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
จอสเค้าน่าเอ็นดูนะคะ​ สงสารอ่ะ​ คนมีปม​ หวังว่าพี่วินทร์จะรักและเอ็นดูไปตลอด​ ยอมรับน้องให้ได้ :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด