VII
“หมายค้น?”
คนคุยโทรศัพท์ถึงกับทวนประโยคอย่างไม่แน่ใจ พ่อค้าอวัยวะหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปม
“หมายความว่าไง ในเมื่อฉันก็จ่ายเงินครบทุกเดือน” อาชากำลังหงุดหงิดอย่างมากฟังได้จากน้ำเสียง ก่อนจะจบบทสนทนาด้วยการตัดสายก่อนตอนอีกฝ่ายร่ายเหตุผลยืดยาวจบ
“มีเรื่องอะไรเหรอ” เฟยฮวาที่เดิมทีนั่งอยู่ยังต้องลุกเดินมาดูใกล้ ๆ
“มีปัญหานิดหน่อย” …ไม่หรอก ความจริงมันก็เป็นปัญหาใหญ่ อาชายอมจ่ายส่วยทุกเดือนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของกิจการ ถึงอยู่มาได้นาน ตลอดเวลาหลายปีไม่เคยขาดสักสลึงและทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะโอนเงินเข้าบัญชีนายตำรวจท้องถิ่นไป แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับรีบโทรมารายงานว่าจะมีหมายค้น คนใหญ่คนโตมีคำสั่งลงมากะทันหัน ถึงได้โทรมาแจ้งเพื่อต้องการให้เตรียมตัวรับมือ
“งั้นมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยนายได้บ้างไหม”
“กลับไปนั่งที่โซฟาแล้วยิ้มสวย ๆ”
“แต่ว่า…”
“ฉันกำลังหงุดหงิดนะเฟยฮวาและฉันไม่อยากพาลอารมณ์เสียใส่นาย”
สายตาอาชาน่ากลัว แผ่รังสีความหัวเสียจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แอเรียโดยรอบ
เฟยฮวายังต้องหอบความห่วงใยกลับไปนั่งที่โซฟาตามคำสั่ง ไม่อยากก่อปัญหาเพิ่ม ซ้ำเติมอีกคนด้วยการทำตัวเกะกะ นัยน์ตากลมทำแค่เฝ้ามอง สังเกตสีหน้าเคร่งเครียดของเจ้านายที่คอยสั่งให้ลูกน้องขนย้ายของจำเป็นไปซ่อน แม้จะเป็นเลขาแต่ร่างบางก็มีหน้าที่แค่นั่งมองความเคลื่อนไหวอย่างเดียว แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยที่ก็ยังไม่รู้ว่าที่อาชาต้องเดือดร้อนก็เพราะตัวเอง
ในยามที่ทุกคนเร่งทำงานแข่งกับเวลาเฟยฮวาว่างมากพอที่จะคิดฟุ้งซ่าน มันสังหรณ์ใจยังไงชอบกล แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรมาพิสูจน์ข้อสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย ขอภาวนาว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความปกติ ไม่ได้มีใครแอบอยู่เบื้องหลัง นั่งนึกแล้วหวั่นใจ จู่ ๆ คำว่าหยางไอก็แวบเข้ามาในสมอง
ร่างบางสะบัดหน้าเผื่อว่าชื่อที่ไม่ควรนึกถึงจะหลุดออกไปจากความคิด เปล่าประโยชน์จะนึกถึง จึงหาอะไรทำ เดินเข้ามาถามเสียงอ่อน “นายหิวอะไรไหม เดี๋ยวฉันลงไปหาอะไรให้กิน”
“ขอเบียร์กระป๋องเดียวก็พอ” ใจคอจะไม่มองหน้ากันหน่อยเหรอ ร่างบางแหงนคอแทบเมื่อยแต่คนตัวสูงกว่าก็ยังกวาดสายตามองไปทางอื่น กระทั่งรู้สึกว่ามีคนยืนจ้อง อาชาถึงได้เห็นสีหน้ายุ่ง ๆ ของภรรยา พ่อค้าอวัยวะเกือบถามว่าเป็นอะไร แต่สัมผัสมือที่เอื้อมแตะท่อนแขนตัวเองไว้ก็เรียกความสนใจให้ก้มลงมอง ก่อนจะเงยสบตาเจ้าของมือนิ่มนั้นอีกครั้ง
“ฉันไม่อยากให้นายเครียดนะ” เฟยฮวาเอ่ย ทั้งที่เคยไม่อยากให้อีกคนเรียกว่าเมียสักเท่าไหร่ แต่ในเวลาที่อาชาอาจจะลำบากจนอยากได้เพื่อน เฟยฮวาเลยพยายามเตือนความจำคนกังวลว่ายังมีตนนะ แค่อยากทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยให้เป็นผู้ฟังก็ยังดี “ฉันเป็นเมียนายจำได้ไหม”
ไอ้เราก็นึกว่าไม่สบายตรงไหน อาชาถอนหายใจโล่งอกไปทีระหว่างยินดีรับความห่วงใยนั้นมา เฟยฮวายังเป็นคนที่เหนือความคาดหมายเสมอ จนเมื่อควานมือหากันเจอ ยามสองมือกุมกันไว้ ไหล่กว้างซึ่งแบกภาระหนักจึงค่อยคลายความเกร็ง “ทำไมจะจำไม่ได้ สวยออกขนาดนี้” อาชาพาร่างบางหลีกหนีออกมาจากทางเดินที่วุ่นวาย ให้ลูกน้องจัดการขนย้ายกองเอกสารต่อ ส่วนคนเป็นเจ้านายขอเวลาอ้อนเมียสักแป๊บ นั่งลงบนโซฟาแล้วแนบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ อ้อมวงแขนโอบรอบเอวคอด กอดคนที่ยืนวางฝ่ามือไว้บนบ่า
“เป็นห่วงฉันเหรอ” แหงนคอถามแล้วใช้ปลายจมูกโด่งขยี้กับหน้าท้อง ชวนจั๊กจี้จนเฟยฮวาต้องเตือนว่าเราอยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่สองต่อสองภายในห้องนอน แต่อาชาก็ยังอ้อนต่อไปจนร่างบางจนใจ ยอมยืนให้อีกคนฟัดเพื่อบำบัดความเครียด ส่วนตัวเองก็เปลี่ยนมายืนสร่างผมอีกคนเล่นระหว่างถามในเรื่องที่สงสัย “ปกติเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ่อยหรือเปล่า” หมายถึงต้องรีบขนข้าวของออกจากทั้งชั้น ทำเหมือนว่าไม่เคยใช้งานบริเวณนี้
“ไม่หรอก” บอกได้ก็บอก ไม่ถือเป็นความลับมากมาย สุดท้ายพอตำรวจมาตรวจสอบร่างบางก็จะรู้ทุกอย่างอยู่ดี “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกหมายค้น” คนใหญ่คนโตที่ไหนมันเกิดระแคะระคายขึ้นมา แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันให้มันยกพวกมาตรวจ พอไม่เจอจะได้หน้าแตกกลับไป
“มันจะไม่กระทบกับงานของนายใช่ไหม”
“ถ้าย้ายทุกอย่างทันก็ไม่มีปัญหา”
“แต่หลังจากนี้ตำรวจจะต้องคอยจับตาดูนายแน่” พอแก้ปัญหาตรงนี้ก็ใช่ว่าจะจบเลย เคยดูหนังสายลับตำรวจจะส่งคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวและมันจะยิ่งทวีความเลวร้าย วันใดวันนึงก็ต้องเกิดปัญหาที่สองตามมา “แล้วเราจะทำยังไงกันดี”
“เราเหรอ? นายดูเป็นกังวลกว่าฉันอีกนะเนี่ย”
“เพราะฉันกลัวนายไม่มีเงินเลี้ยงฉันต่างหาก”
“ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วงกันจริง ๆ” เฟยฮวายิ้มอย่างผู้ชนะ โดยมีอาชาคอยส่งสายตาหมั่นไส้ให้ ถ้าไม่ติดว่าคนพลุกพล่านอาจมีการเอาคืนให้สาสม แต่ระหว่างที่สู้รบกันผ่านการสบตา คนไม่รู้อะไรเลยก็ก้าวเข้ามาในห้อง
“เกิดอะไรขึ้นวะ” สหรัฐมีสีหน้าสงสัยยามมองความวุ่นวายภายในห้องสลับกับหน้าคนที่พอจะให้คำตอบได้
“หมายค้น” โดนขัดจังหวะจนเผลอทำหน้าเซ็งและยิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่เมื่อร่างบางถอยห่าง เนื่องจากอยากให้มีเวลาคุยกับคุณหมอประจำกิจการดี ๆ “ฉันให้แกลางานตลอดอาทิตย์”
“แล้วรายได้ฉันล่ะ” ถ้าหยุดก็เท่ากับว่าไม่ได้เงิน
“ไอ้หน้าเลือด”
“เงินทองเป็นของนอกกาย แต่ต้องใช้ทุกวันจริงไหมไอ้พ่อค้าตับ”
“รวยแล้วยังจะงกอีก” อาชาฉีกยิ้มเหี้ยมก่อนจะนึกอะไรออก เข็มนาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแต่ว่าหมอผ่าตัดเพิ่งจะเสด็จมาเมื่อกี้ “แล้วนี่เพิ่งจะมาทำงานเหรอ นาฬิกาบ้านแกตายหรือไง”
“สวัสดีครับเฟยฮวา” รู้ว่าจะถูกเล่นงานเลยรีบไหวตัวทันถ่วงที ร่างบางไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะทักทายยังไงตอบจนเมื่อเห็นแววตาชอบใจของคนที่ทักทายก่อน ตอนนั้นเฟยฮวาจึงยิ้มให้ สมรู้ร่วมคิดในการกลั่นแกล้งอาชา “มองนาน ๆ แล้วยิ่งเพลินนะครับ” หมอเถื่อนหยอดอย่างออกหน้าออกตาจนขาคนลุกขึ้นยืนชักกระตุก อาชาลุกขึ้นมายืนบังร่างบาง ยืนกั้นกลางสองสายตาจะได้ส่งหากันไม่ได้
“จะไปไหนก็ไปไอ้หมอเวร” ถ้าเป็นเวลาปกติคงได้มีวางมวย แต่ด้วยเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน พ่อค้าอวัยวะเลยทำมือปัด ๆ เหมือนไล่หมูไล่หมา จะไปตายเอาดาบหน้าที่ไหนก็ไป
“เห็นว่าเครียดอยู่หรอกนะ” สหรัฐไม่ถือสาแล้วถามวกกลับเข้ามาในเรื่องงาน “แกสั่งให้ลูกน้องไปขนของในห้องฉันหรือยัง” ด้วยความที่อุปกรณ์ทางการแพทย์มันมีราคาแพงเลยไม่อยากจะสั่งให้ใครแบกห่ามไปมาสุ่มสี่สุ่มห้า “ยัง รอแกมาคุมเอง”
“ดี งั้นเดี๋ยวฉันไปดูอุปกรณ์ก่อน”
แต่ก่อนหมอเถื่อนจะไป พ่อค้าอวัยวะก็ออกปากรั้งตัวไว้แค่ช่วงสั้นๆ “เย็นนี้ว่างไหมไอ้หมอเวร ว่าจะหาคนช่วยหารค่าเหล้า”
“นัดเวลามา”
“สถานที่บ้านฉัน”
“แต่อาจจะพาคนอื่นไปด้วยนะ”
“ทุ่มนิด ๆ”
“ดีล/ดีล” สองน้ำเสียงเอ่ยพร้อมกันก่อนจะแยกย้ายหันไปทำหน้าที่คนละทิศคนละทาง ส่วนร่างบางพอหลังจากโดนตบก้น คนมีงานเลยสั่งให้ไปนั่งรอแบบสวย ๆ ต้องยิ้มด้วยถ้าเมื่อไหร่หันมามอง แต่เฟยฮวาลองไม่ยิ้มยามอาชามองมา ทำสีหน้าหยิ่งทระนงแล้วยกนิตยสารขึ้นปิดหน้า
กว่าพ่อค้าอวัยวะจะคุมการขนย้ายจนภายในห้องเหลือโซฟาตัวเดียวที่ร่างบางนั่งก็ปาไปหลายชั่วโมงกว่า จนอ่านนิตยสารหมดไปหลายเล่มและเริ่มหิวท้อง เฟยฮวาเอ่ยบอกจะลงไปชั้นล่างอีกครั้งและคนยืนคุยกับลูกน้องก็ไม่ได้รั้งไว้ เห็นว่ายังไงก็อยู่ภายในตึกที่มีคนของตัวเองพลุกพล่าน เฟยฮวาเองก็ไม่ระวังตัวเดินลงชั้นล่างซึ่งเป็นร้านอาหารแล้วเดินเข้าไปหลังครัว ขออาหารอะไรก็ได้ง่าย ๆ สองที่และระหว่างที่รอก็ออกมายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดสตางค์ ร่างบางคุยกับพนักงานหญิงด้วยหัวข้อวันนี้ลูกค้าเยอะไหม ดวงตากลมแค่กวาดมองไปรอบ ๆ แบบผ่าน ๆ
โดยที่ไม่ทันรู้ว่าตัวเองกำลังยืนเป็นเป้านิ่งให้ชายสองคนจ้องมองอีกทอด ก่อนสองแววตาน่ากลัวจะเซหลบยามมีผู้ชายเดินเข้ามากอดเอวเป้าหมาย อาชาลงมาข้างล่างได้เหมาะเจาะพอดี งานข้างบนเหมือนจะเรียบร้อยให้ลูกน้องทยอยขนออกด้วยทางประตูหลังร้าน
พ่อค้าอวัยวะกระซิบข้างกกหูเล็กว่าไปกินอาหารญี่ปุ่นกันและแน่นอนว่าร่างบางต้องทำตามบัญชา ฝากพนักงานขอโทษป้าแม่ครัวอย่างเกรงใจเพราะดันสั่งให้ทำอาหารเก้อ เฟยฮวาไม่ทันอยู่เจอตัวเพื่อขอโทษเองเพราะคนขายาวฉุดมือเร่งให้เดินตาม แล้ววันนี้อาชาก็อาสาเป็นคนขับรถยนต์เอง
ค่อยเหมือนคู่รักคนธรรมดา มีสามีเป็นคนขับ ส่วนภรรยาก็นั่งประจำตำแหน่ง มันเป็นครั้งแรกที่เฟยฮวาไม่เผลอเหม่อมองออกไปนอกรถอย่างโหยหาอิสระ ดวงตากลมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสารถีตลอดเวลา จนคนรู้ตัวหันมายิ้มให้และนั่นเอาร่างบางยิ่งสบายใจ เฟยฮวาผ่อนคลายและยอมให้อีกคนใช้กระดาษช่วยเช็ดมุมปาก ระหว่างอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นก็คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั่งอาชาเอ่ยปากถึงหัวข้อใหม่ “เดี๋ยวคืนนี้นอนที่บ้านนะ”
“บ้านนาย?”
“ใช่ บ้านจริง ๆ ไม่ใช่คอนโด” อาชามีบ้านหลังโตอยู่หนึ่งหลังแถวชานเมืองมหานคร แต่ถามว่าได้กลับมานอนบ่อยแค่ไหน บอกเลยว่าเดือนนึงไม่เกินสองครั้ง “เรียกว่าบ้านร้างน่าจะถูกกว่า”
“นายไม่ค่อยได้กลับมาอยู่ที่นี่เหรอ” เอียงคอมองบรรยากาศนอกหน้าต่างรถอย่างสนใจ กว่าจะฝ่ารถติดออกมาได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ ล้อรถมุ่งตรงเข้าสู่เขตตัวบ้านทุกด้านล้อมด้วยรั้วรอบขอบชิด ก่อนชายชุดดำที่ขับรถล่วงหน้ามาก่อนจะวิ่งตามรถนำเข้าที่จอดเทียบบันไดหน้าบ้าน เปิดประตูด้านเฟยฮวาพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพอย่างสุภาพหนึ่งที
เฟยฮวายิ้มรับและยืนรอคนที่ลงจากรถอีกด้าน อาชาคุยเรื่องจัดการความเรียบร้อยกับลูกน้องเล็กน้อย จนขายาวก้าวมาเทียบกับคนที่ยืนคอย แล้วค่อยพลางตอบคำถามที่ร่างบางถามค้างไว้
“ไม่ค่อยได้กลับมาหรอก ฉันว่าบ้านมันใหญ่เกินไป”
“แล้วซื้อไว้ทำไม”
“ให้ลูกน้องกับแม่บ้านอยู่” ดูใจบุญสุนทานขึ้นมาแต่ว่าอาชาเองก็พูดความจริงทุกประการเช่นกัน
ก่อนจะเดินนำเข้าตัวบ้านที่ด้านหน้าเป็นประตูไม้สลักขนาดใหญ่ ก็บ้านสไตล์คนรวยอย่างที่นิยายเรื่องอื่น ๆ เคยบรรยายมา มีสองชั้นด้านบนมีปีกซ้ายปีกขวา ตรงกลางมีบันไดให้เดินและเลือกได้ว่าจะแยกไปทางไหน ประยุกต์กันระหว่างสไตล์ไทยกับฝรั่ง บ้านหนึ่งหลังมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน สะอานสะอาดแม้ว่าจะแทบไม่มีคนเข้ามาอยู่บ้านเลยก็ตาม
“คือฉัน …ขอถามเรื่องครอบครัวนายได้ไหม” ร่างบางแค่สงสัยและพร้อมเข้าใจด้วยถ้าอีกคนจะมองด้วยสายตาด่าว่าไร้มารยาท แต่เจ้าของบ้านกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม
อาชาตอบตามความจริง “กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เกิด แล้วนายล่ะ” จงใจถามกลับเพื่อหวังว่าจะได้ความจริงจากริมฝีปากอิ่มเหมือนกัน แต่เฟยฮวานิ่งอยู่นานก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น “พวกท่านเสียไปนานแล้วล่ะ”
“งั้นแล้วที่ผ่านมานายอยู่กับใคร” ถามน้ำเสียงสบาย ๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็ลอบสังเกตอาการอึกอัก
ร่างบางเลือกหลบตาเป็นอันดับแรก แปลกที่ไม่พูดจาฉะฉานเหมือนเดิม เฟยฮวาเริ่มเม้มปากกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างที่พอจะใช้เปลี่ยนประเด็นที่คุย “นั่นเสียงรถนี่ สงสัยหมอมาแล้ว”
“เฟยฮวา” พอร่างบางจะเฉไฉ มือใหญ่รีบคว้าข้อแขนขาวไว้ท่ามกลางการส่ายหน้ากลับ เฟยฮวาไม่ได้ขยับหนี การตอบโต้เดียวที่ร่างบางทำคือการเผยแววตาเศร้า น้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะสั่งได้จนพ่อค้าอวัยวะยอมใจอ่อน
ปล่อยไปก่อนตอนสองขาสั้นสับเดินหนีไป
คนเดินหนียังไม่ถึงขั้นน้ำตาไหลแค่นัยน์ตาแดงก่ำจนหมอเถื่อนร้องถามนามเดินสวน เฟนฮวาปฏิเสธว่าไม่ได้เจ็บปวดตามร่างกายตรงไหน ก่อนคนเดินตามมาจะยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าใช่ฉันแกล้งเมียตัวเองจนเกือบทำให้ร้องไห้ สหรัฐเลยย้ายเป้าหมายในการปลอบเป็นการด่า ชี้หน้าอาชาว่าไม่รู้จักเป็นคนอบอุ่นเอาซะเลย
พูดอย่างกับแกเคยมีมุมแบบนั้น เกิดสงครามน้ำลายและดูท่าจะวางมวยในไม่ช้า จนเฟยฮวาต้องพาเด็กชายอีกคนซึ่งติดรถมากับหมอเถื่อนหลบไปก่อน ตอนเห็นสีหน้าเลิ่กลั่กรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก มะตูมเองก็ยังงง ๆ ยกมือไหว้ร่างบางที่น่าจะอายุมากกว่าอย่างสุภาพ ริมฝีปากอิ่มทำท่าจะถามว่าตัวเองอยู่ไหนขณะเดินเข้ามาในบ้านคนอื่นอย่างเชื่องช้า ไหนหมอบอกว่าจะพาส่งกลับบ้านแล้วตกลงนี่มันบ้านใคร บ้านตนก็ไม่ใช่สักหน่อย
“เป็นน้องชายหมอเหรอ” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยยามคนเดินนำหันกลับมาถามเสียงใส
“เปล่าครับ” มะตูมตอบกลับนำมาซึ่งแววตาสงสัย
เฟยฮวาไม่ได้ตั้งใจจะซักประวัติ แต่ด้วยความที่เราทั้งคู่เหมือนลงเรือลำเดียวกัน ถูกปล่อยให้ยืนคว้างกลางบ้าน ถ้าหันไปอีกด้านจะเห็นว่าสองคนที่ตอนแรกเดินตามเข้ามาได้ย้ายไปนั่งตั้งวงลงขวดกันแล้วตั้งแต่หัววัน
“แล้วทำไมถึงมาด้วยกันกับหมอล่ะ”
“ผมเป็นแม่บ้านน่ะครับ”
“แม่บ้าน? หมายถึงทำความสะอาดบ้านน่ะเหรอ”
“ครับ”
“แปลกดีแฮะ” เห็นร่างเล็กพยักหน้ารับก็ยิ่งแปลก ตอนแรกนึกว่าเป็นพี่น้องเพราะลองได้เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้แสดงว่าต้องสำคัญ แต่อีกคนดันบอกว่าตัวเองเป็นแค่แม่บ้าน แล้วคนเป็นนายจ้างต้องบริการลูกจ้างดีขนาดนั้นเลยเหรอ
“แปลกยังไงเหรอครับ”
“เปล่าหรอก” ทำให้อยากแล้วจากไป เฟยฮวาแค่โอบไหล่แคบให้เดินไปด้วยกันระหว่างแนะนำตัวว่าชื่อเฟยฮวา สัญชาติจีนแต่พูดภาษาไทยได้ ส่วนมะตูมก็แนะนำตัวเองบ้างถึงจะร่างเล็กแต่ช่วยงานแบกหามได้ ส่วนมากจะเล่าว่าเคยทำงานอะไรมาก่อน ตอนแรกเริ่มด้วยเคอะเขินแต่เผอิญคุยกันถูกคอ พอผ่านไปสักระยะบรรยากาศอึดอัดก็ผ่อนคลาย
กลายเป็นว่านั่งกินขนมเค้กด้วยกัน โดยมีป้าแม่บ้านยกมาเสิร์ฟให้ถึงห้องรับรองแขก แยกมาอยู่กันสองคนจนนาฬิกาประจำบ้านดังลั่นตอนสามทุ่ม หนึ่งหนุ่มด้านนอกจึงเดินเข้ามาหาขณะถือขวดเหล้า สหรัฐไม่ได้เมาเขาแค่มึน ๆ ยังสามารถยืนพูดคุยได้
“ไหนคุณว่า…พี่บอกว่าจะพาผมกลับบ้านไง” มะตูมถามและลุกขึ้นมาคุยด้วยความไวแสง ระหว่างอีกคนมีเจตนาจะหลอกก็ไม่ใช่จะแกล้งก็ไม่เชิง แค่ยกขวดเหล้าให้เด็กน้อยดูรู้นะว่านี่คืออบายมุข “เห็นไหมฉันดื่มเหล้า” กฎข้อห้ามเขาว่าเมาแล้วไม่ขับ
ความจริงขี้เกียจขับรถกลับเพราะยังอยากสนทนาพาทีกับไอ้พ่อค้าอวัยวะ อีกอย่างก็ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะเข้ากับเมียเพื่อนได้ หมอเถื่อนเลยสบายใจไปอีกเปราะถ้าขอให้คืนนี้เฟยฮวาดูแลแทนคงไม่มีปัญหา แต่ดูท่าสิ่งที่จะเป็นปัญหาก็คือตัวเด็กซะเอง
“งั้นเดี๋ยวผมกลับเองก็ได้”
“เดี๋ยวให้ลูกน้องอาชาไปส่งให้แทนก็ได้ครับ”
“เมียฉันนี่หน่อมแน้มจริง” เสียงที่สี่มาพร้อมเจ้าตัว คนเป็นผัวส่ายหัวไปมาเมื่อภรรยาตามอะไรไม่ทันแล้วดันจะพยายามช่วยส่งเหยื่อกลับบ้านอีก “คืนนี้นายนอนที่นี่นั่นแหละ” อาชาย้ำให้เด็กน้อยเข้าใจสถานการณ์ บอกเป็นนัยบอกว่าจะไม่มีใครไปส่งนายกลับบ้านทั้งนั้น
“แต่”
“หรือจะขัดคำสั่งผู้ใหญ่”
และก็เป็นเฟยฮวาที่ใจกล้า “มะตูมก็แค่อยากกลับบ้าน ไม่ได้ขัดคำสั่งใครสักหน่อย”
“ปกป้องคนอื่น เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” ชี้หน้าคาดโทษสงสัยแอบกรุ่นโกรธตั้งแต่ตอนร่างบางพยายามปิดบังความลับ ฤทธิ์น้ำเมาชักจะทำให้เก่งกับเมีย ต้องได้เคลียร์กันไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง แต่ถึงจะปากไวแต่มือไม้ยังสงบเพราะเข้าใจว่ามีคนอื่นอยู่ร่วมบ้าน แค่หันมาบอกเด็กอีกครั้ง “นอนที่นี่เข้าใจไหม”
“แต่ผมมีบ้านให้ต้องกลับนะ” ร่างเล็กเสียงดังขึ้นมาหน่อยตอนคนไม่คุ้นหน้าหันหลังกลับไป แล้วคนก้าวเดินออกไปก็ตะโกนตอบกลับ “ไม่กลับสักวันบ้านมันก็ไม่หายหรอก”
“ฝากด้วยนะครับเฟยฮวา” สหรัฐที่ยังยืนอยู่ร้องขอให้คนร่างบางช่วย ด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกร่างบางเลยตกปากรับคำบอกจะจัดการให้ ในเมื่อไม่มีใครยอมไปส่ง จะปล่อยให้เด็กกลับคนเดียวกลางค่ำกลางคืนก็คงไม่ดี
“ไปเถอะมะตูม ข้างบนน่าจะยังมีห้องว่างอยู่นะ”
เจ้าของชื่อเกือบจะแย้งอีกให้ได้ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเฟยฮวา แค่ไม่ยอมมองหน้าตอนเดินผ่านจนสหรัฐคิดว่าร่างเล็กคงงอน แต่เอาไว้ตอนก่อนนอนเดี๋ยวจะขึ้นไปง้อ ขอเวลาสังสรรค์ตามประสาผู้ชายที่ห่างหายจากน้ำอำพันมานาน มัวแต่ทำงานจนแทบลืมรสชาติความขมพร่าไปแล้ว
ด้านล่างมีคนสองคนกำลังชนแก้ว ส่วนด้านบนมีคนที่กำลังเลือกห้องให้แขกนอนสักห้อง เฟยฮวาออกตัวว่าเขาไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริงหรอกนะ นี่ก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกันจึงพาเดินออกห้องนั้นพาเข้าห้องนี้ จนมาจบที่ห้องทางด้านปีกซ้าย มีเตียงขนาดใหญ่และสะอาดพอสำหรับนอน ร่างบางให้ร่างเล็กนั่งรออยู่บนเตียงก่อน ส่วนตัวเองก็เอื้อมมือเปิดตู้เสื้อผ้า จะหาผ้าขนหนูหรืออะไรก็ได้ให้อีกคนใช้เช็ดตัวหลังจากอาบน้ำเสร็จ กระทั่งมะตูมเห็นมือขาวปิดประตูตู้และในมืออีกข้างถือผ้าขนหนูแล้วหันกลับมา หวังจะชวนคุยเพื่อฆ่าเวลาแต่ว่าดันเปิดประเด็นอะไรก็ไม่รู้
“ที่ผู้ชายคนนั้นพูดว่าเมีย…”
“อาชาน่ะเหรอ ดูเป็นคนหยาบคายใช่ไหมล่ะ” เฟยฮวาไม่ถือสาที่เด็กชายสนใจเรื่องของผู้ใหญ่ ความจริงมะตูมก็ไม่ใช่เด็กทารกที่อ่อนต่อโลก คงจะเคยเจอคำศัพท์พวกนี้มาแล้ว ถึงแววตาจะซื่อแต่คงรู้ว่าอะไรคือผัวอะไรคือเมีย “หมอนั่นน่ะปากร้าย แต่ลึก ๆ แล้วใจดีนะ”
“แต่ผมเห็นเขาดุคุณ ทะเลาะกันเหรอครับ” มะตูมตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ก่อนเฟยฮวาจะเป็นฝ่ายหัวเราะน้อย ๆ ขณะยื่นผ้าขนหนูให้ก็คอยตอบคำถามไปด้วย
“ก็ฉันดันไม่บอกความจริงกับเขาไปน่ะสิ”
“แล้วทำไมไม่บอกเขาไปล่ะครับ”
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่พร้อมจะรับฟังในสิ่งที่เราต้องการบอก แถมบอกไปแล้วก็ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง เขาอาจจะสมเพชเวทนาหรือแย่กว่านั้นอาจถึงขั้นขับไล่ไสส่งฉันออกไปจากชีวิตเลยก็ได้”
“เรื่องที่คุณปิดบังไว้มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันสิ แต่นายรู้ไว้แค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีก็พอ” คนอายุเยอะกว่ายิ้มเพื่อให้คนอายุน้อยสบายใจ “เอาล่ะ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ก่อนฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืนแล้วดันแผ่นหลังให้ออกเดิน
“แต่เรื่องบางเรื่องก็ต้องลองดูนะครับ ลองบอกไปเราถึงจะรู้ว่าเขาพร้อมจะอยู่ข้างเราหรือเปล่า”
“เอาไว้ฉันกล้าเมื่อไหร่แล้วจะลองดูนะ”
“ผมว่าคุณทำได้”
“เข้าไปอาบน้ำได้แล้ว” เฟยฮวาตัดบทสนทนาด้วยการส่งร่างเล็กเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวห้องนอนแล้วปิดประตูให้ ร่างบางยืนถอนหายใจขณะที่มือยังกุมลูกบิดเอาไว้อยู่
ใช่ว่าไม่อยากรู้ว่าอาชาจะใช่คนที่พร้อมอยู่เคียงข้างหรือไม่ ความหวังเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้ามีมากไปก็อันตราย ยิ่งคลุกคลีด้วยกันนานไปก็ยิ่งกลัว เป็นครั้งแรกที่เริ่มกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวชายหนุ่มจะเปลี่ยนไปถ้าได้รับรู้ความจริง
“มายืนทำอะไรตรงนี้” กลิ่นเหล้าคลุ้งมาพร้อมน้ำเสียงคุ้นเคยทำเอาร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เฟยฮวารีบหันหลังกลับภายในอ้อมกอดแน่นหนาก่อนจะเห็นผิวหน้าพ่อค้าอวัยวะแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ พออีกคนผลูลมหายใจก็ได้กลิ่นบุหรี่ผสมกับความมึนเมามาด้วย “นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหมอล่ะ”
“มันกำลังเดินตามขึ้นมา” อาชาหลับตานึกว่ากำลังหลับกลางอากาศ ก่อนลืมตาและดันร่างบางเข้าพิงผนัง จนเฟยฮวาจำเป็นต้องตั้งการ์ดเอาฝ่ามือดันอกคนเมาไว้ ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนและมันไม่เหมาะแน่ถ้าคนในห้องน้ำเดินออกมาเจอภาพผู้ใหญ่กำลังทำเรื่องไม่ดี
“งั้นเดี๋ยวฉันพานายไปนอนก่อน โอเคไหม”
“ไม่โอเค” อย่างกับเครื่องตอบอัตโนมัติ เอ่ยสวนทันควันแล้วค่อยเริ่มก้มหน้าก้มตา
เหมือนจะเมาแต่เอาเข้าจริงก็ยังมีสติพอจะละเลงริมฝีปากทั่วลำคอระหง อาจจะหลงลืมไปบ้างว่าอะไรควรอะไรไม่ควรเมื่อเห็นผิวขาวเย้ายวนใจ แต่ก็ถูกห้ามไว้ด้วยเสียงหวาน เฟยฮวากำลังหาแผนจัดการคนที่พอเมาก็ชักเดาอารมณ์ยากอยู่ “เดี๋ยวมะตูมออกมาเห็นนะ”
“เจอเด็กนั่นแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ดูห่วงกันจังเลยนะ”
“ฉันห่วงนายมากกว่า”
“ทำเป็นพูดดี พูดให้ฉันดีใจเล่นจะได้ไม่หาเรื่องต่อใช่ไหม”
“นายเมาแล้วนะ”
“แล้วไง เมาแล้วทำไม” เมาแล้วก็ดูร้ายกาจขึ้นเป็นกองยังไงล่ะ
นัยน์ตาติดขวางหลุบตามองร่างบางอย่างกับจะหาเรื่องและจะไม่มีวันหายเคืองถ้าเฟยฮวาไม่เล่าเรื่องที่ปิดบังไว้
ต่อให้ต้องทำตัวเลวทรามก็จะเค้นความลับมาให้จงได้
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง