XI
“เมีย? เมียมือสองน่ะเหรอ แกยังไม่เข้าใจที่ฉันเคยบอกไปหรือไง” หยางไอนึกว่าชายตรงหน้าจะฉลาด ที่ไหนได้โง่เหมือนกันที่ดูไม่ออกว่าร่างบางกำลังหลอกใช้แล้วก็โง่ขนาดไม่สนใจคำตักเตือน เพื่อนอุตส่าห์ช่วยแนะนำ กลัวว่าจะฉิบหายเลยอยากให้อยู่ห่าง ๆ ตัวอัปมงคล
“รู้ไหมลีลาที่เฟยฮวาเคยใช้กับแก ฉันก็เป็นคนสอนงานทั้งนั้น”
“ชีวิตนี้คงภูมิใจเป็นอยู่เรื่องเดียวสินะ ทำไม ปมในชีวิตเยอะจนต้องเอาเรื่องบนเตียงมาข่ม…?” ลมปากคนเป็นเรื่องที่จะปรุงแต่งยังไงก็ได้ แล้วแม้ว่าอีกคนจะเอ่ยความจริงแต่นี่ก็คือสิ่งที่พ่อค้าอวัยวะเลือกแล้วหลังจากยืนทนมองคนรักถูกรังแกต่อไปไม่ได้ “ไม่รู้จะสมเพชหรือเวทนาดีนะที่มีเมียคนเดียวแต่ดันรักษาไว้ไม่ได้ แถมเขายังหนีมาอีก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“มึง!” ชายสัญชาติจีนทำท่าจะทะลึ่งพรวดเข้าหา สงสัยจะลืมไปว่ามีปืนจี้หน้าผาก อาชาจึงต้องย้ำให้รู้สึกจนเกิดเสียงกระแทกดังกึก นึกว่าจะเกิดศึกชิงนางและทางคนคุมสำนักงานใหญ่เห็นว่าท่าไม่ดีเลยรีบปรี่เข้ามาขอไว้ คนถือปืนถึงได้ค่อย ๆ ยอมลดอาวุธลงไว้ข้างลำตัว
กลัวแทบตายว่างานรื่นเริงจะกลายเป็นงานศพแต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ก่อนที่คนพกอาวุธเข้ามาในงานจะขอตัวกลับก่อนเวลาและมือกร้านก็ไม่ลืมคว้าข้อแขนเล็กติดมือมาด้วย ฉุดคนสวยน้ำตานองหน้าให้ออกมาเจอกับลูกน้องซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูทางออกด้วยกัน
เฟยฮวายังสะอึกสะอื้นระหว่างยืนอยู่ท่ามกลางการอารักขาของชายชุดดำยามโดยสารอยู่ในลิฟต์ แล้วสัมผัสที่บีบฝ่ามือเบา ๆ ก็ทำให้ก้มมองจนกลายเป็นยิ่งร้องไห้หนัก แม้คนเย็นชาจะหันหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยังยืนกุมมือนิ่มไม่ปล่อยพลางค่อย ๆ ผสานนิ้ว เห็นใจแข็งแต่พอเห็นน้ำตามาก ๆ ก็ใจหวิวอยู่เหมือนกัน แต่ครั้นจะให้ปลอบโยนกันง่าย ๆ ก็ดูจะใจดีไปนิด คิดจะดัดนิสัยต้องเอาให้สุด อาชาพูดกับแค่ลูกน้องว่าจะเป็นคนขับกลับคอนโดเองเท่านั้น
ภายในรถพ่อค้าอวัยวะไม่แม้จะคุยกับเฟยฮวาที่ใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ดวงตาบวมช้ำมองวิวยามวิกาลผ่านกระจกหน้าต่าง ร่างบางแค่กำลังรวบรวมความกล้าก่อนหันกลับเข้ามาอีกทีเมื่อรถติดสัญญาณไฟแดง “ฉันขอโทษ”
ไม่อายที่จะต้องขอโทษก่อนเมื่อเป็นฝ่ายผิดและเพราะคิดดีแล้วถึงได้เริ่มพูดประโยคอ้อนวอน เฟยฮวาไม่อยากนอนกอดตัวเองอีกแล้ว “อย่าเมินฉันเลยนะ ฉันไม่เหลือใครแล้ว” แววตาเศร้าสร้อยมองเสี้ยวหน้าของสารถีที่ยังมองตรงไปข้างหน้าจนทำให้ไม่เห็นว่าแท้จริงส่อนัยน์ตาแบบไหน “ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าไล่ฉันไปเลยนะ” ท้ายประโยคจบลงพอดีกับที่รถสามารถออกตัวได้ แต่แทนที่สี่ล้อจะขับไปตามถนน รถยนต์นำเข้ากับเปิดไฟท้ายหักเลี้ยวขอเข้าข้างทาง ไฟท้ายส้มแดงสว่างวับ ณ เวลาเดียวกับที่ริมฝีปากบางจากฝั่งคนขับขยับเข้าบดเบียดริมฝีปากอิ่ม
อาชาได้ลิ้มรสชาติความเค็มจากคราบน้ำตาที่ติดปากกระจับขณะค้นพบว่าตัวเองโหยหาสัมผัสอันเกิดจากเฟยฮวาเหมือนกับวันแรกที่ได้จับต้อง แสนคิดถึงคนที่จู่ ๆ ก็ประหม่าตอนจะยกแขนคล้องคอ เพราะร่างบางไม่มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองยังมีสิทธิ์ จนพ่อค้าอวัยวะยิ่งเคลื่อนชิด คนคิดมากจึงยอมปิดเปลือกตาลงก่อนจะหลงอยู่ในรสจูบที่ห่างหาย
เริ่มถ่ายทอดความคิดถึงผ่านท่าทาง ให้ริมฝีปากแนบสนิทชิดใกล้เหมือนวันก่อน ๆ จากต่างฝ่ายต่างก็ปากหนักเหลือเพียงความอ่อนยวบยาบ สัมผัสเนิบนาบบอกว่าไม่ได้อยู่แค่เพียงลำพัง ยังมีกันและกันท่ามกลางความวุ่นวาย จนรถขับผ่านไปหลายคันคนสองคนถึงเพิ่งได้ฤกษ์แยกย้าย
ก่อนจะเตลิดไปไกลพ่อค้าอวัยวะแค่อยากถามทั้งที่ก็เห็นความจริงมากับตาตัวเองแล้ว “นายไม่ได้รักมันจริง ๆ ใช่ไหม” นัยน์ตาคาดหวังจ้องลึกเข้ายังลูกตากวาง กระทั่งร่างบางส่ายหน้าโดยไม่ลังเล ใจที่เคยกรุ่นโกรธก็แยกโทษให้หมดแล้ว “งั้นก็ดี ถ้าฉันเผลอฆ่ามันตายจะได้ไม่มีใครมานั่งร้องห่มร้องไห้เพราะเสียใจ”
เฟยฮวาเบาใจเรื่องที่ชายหนุ่มเหมือนจะหายโกรธจนยอมคุยด้วยแต่ในขณะเดียวกันก็หนักใจกับประโยคพร้อมฆ่าคนตายของคนที่ยังไม่ยอมเคลื่อนหน้าไปไกล “อย่าให้ถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยนะ”
“ทำไม ตกลงยังเป็นห่วงมัน?”
“ฉันเป็นห่วงนาย หยางไอไม่ใช่คนดี หมอนั่นเลวได้มากกว่าที่นายคิดซะอีก”
“ฉันก็เลวได้ไม่ต่างจากมันนักหรอก นายคิดว่าถ้าฉันหยุดแล้วมันจะยอมหยุดด้วยหรือไง” อาชาพูดถูกต้องและนั่นเป็นความจริงที่ทำให้สีหน้าของร่างบางหม่นหมองลงทันตา “ถ้าไม่ตายกันไปข้างนึงก็อย่าหวังเลยว่ามันจะเลิกตามตอแย” เพราะเฟยฮวาตระหนักได้ว่าตัวเองคือพาหะนำพาความอันตรายมาสู่อีกคน “ฉันขอโทษนะ” น้ำเสียงละห้อยดังขึ้นในความเงียบ ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจปะปน
อาชาพยายามโทษตัวเองมากกว่าใคร คิดถึงเหตุการณ์ในวันที่ร่างบางขอให้เลี้ยงดูก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่ตกปากรับคำ ถ้าจู่ ๆ ปล่อยมือในวันที่ลำบาก หากทำแบบนั้นลงไปมีหวังคงตกนรกหลายขุมน่าจะตกหลุมลึกกว่าเดิม ในเมื่อเริ่มมาด้วยกันแล้วก็ต้องถึงจุดหมายปลายทางด้วยกันอย่างปลอดภัย จะลองเชื่อใจร่างบางดูอีกสักครั้ง ถ้าจะพังก็ให้มันรู้ไป อนาคตก็คืออนาคตจริงไหม จะไปเดือดเนื้อร้อนใจกับมันทำไมกัน สู้อยู่กับปัจจุบัน ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ทุกอย่าง
“ฉันยกโทษให้” พ่อค้าอวัยวะยืนยันผ่านคำพูดแล้วรุดใบหน้าเข้าใกล้จากที่ใกล้อยู่แล้ว แสงไฟจากรวงร้านข้างทางทำให้เห็นแววตาของกันและกันอย่างชัดเจน “แต่ทำยังไงก็ได้ให้ฉันรู้สึกว่านายไม่ได้อยู่กับฉันเพราะความจำเป็น” จนต่างฝ่ายต่างเห็นความหวั่นไหวและรู้สึกใจสั่น
ด้านในอกซ้ายก้อนเนื้อหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ก่อนสองริมฝีปากจะเคลื่อนเข้าประกบกันอีกหน บดเบียดเสียดสีจนเกิดความร้อนจาง ๆ ทแยงปาก เฟยฮวาจูบตอบอาชาอย่างแผ่วเบาขณะเอาวงแขนรั้งคอแกร่งไว้ ส่วนมือใหญ่ก็รั้งแผ่นหลังบางให้ยิ่งเขยิบเข้าใกล้ท่ามกลางเสียงการจราจรตอนสี่ทุ่มที่ยังมีรถอยู่มากมาย แต่เสียงจ้อแจไม่อาจดึงความสนใจ เสียงหัวใจต่างหากที่กำลังฟัง มันโห่ร้องอย่างยินดีปรีดาเหมือนกับว่ามีงานรื่นเริง
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผละออกจากกันไม่ทันไร ก็เป็นพ่อค้าอวัยวะที่เข้างับกลีบปากนิ่มลิ้มรสเนื้อหวานราวกับหิวโซ ไม่รู้ว่าอาชาจะยอมกลับมาทำหน้าที่คนขับรถเมื่อไหร่ จนไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้วเกิดซ้ำ เจ้านายก็ทำตามใจโดยไม่สนหัวอกลูกน้องที่ต้องจอดรถรอต่อท้ายอยู่อีกสามคัน ลืมวันลืมคืน ลืมหมดทุกอย่างแค่เพราะได้กกกอดร่างบางอีกครั้ง
นานแสนนานที่ไฟเลี้ยวเข้าข้างทางของรถยังสว่างไสวเหมือนความรู้สึกบางอย่างที่ลุกโชน แต่อัตราการกะพริบของมันคงไม่ไวเท่าอัตราการเต้นของหัวใจคนสองคนที่ยิ่งดึกก็ยิ่งโดนอารมณ์อิทธิพลของดวงจันทร์เข้าครอบงำ
จูบแรกเพื่อรำลึกความหลัง จูบสองเพราะยังรู้สึกไม่พอ จนขอจูบรอบที่สามก็แล้ว แว่ว ๆ ว่าจะมีรอบที่สี่ ดูท่าจะไม่มีใครยอมเสียเวลา ใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าทดแทนกับสี่วันที่เคยเสียไป
เวลาดึกดื่นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาหรอก แต่เพราะดันได้ยินเสียงก็อกแกกดังอยู่นอกห้องนอน มะตูมถึงได้ลืมตาแล้วลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจอยู่บนเตียงหลังเล็ก ถ้าเป็นคนอื่นแรก ๆ ก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นขโมยขโจรขึ้นบ้าน แต่เมื่อผ่านไปหลายคืนจนกลายเป็นสิบ ๆ วัน ก็รู้ทันว่านั่นคือเสียงของบุคคลที่เพิ่งกลับมาบ้านเอาป่านนี้
แถมกลับมาแบบไม่มีสติเหมือนทุกวัน ร่างเล็กชินเสียแล้วกับภาพที่พอเปิดประตูห้องออกมา เมื่อเปิดไฟก็เจอบิดายืนโงนเงนเอนตัวทำท่าจะล้มเนื่องจากดื่มเหล้ามากไป หลังจากหายออกไปจากบ้านเมื่อเย็นก็กลับมาตอนดึกด้วยสภาพเมามาย เดือดร้อนให้คนเป็นลูกรีบเข้าไปประคองเพราะหวิดจะล้มหัวฟาดพื้น แต่พอยืนเองได้ก็โวยวายว่าไม่ต้องมายุ่งกับกู
ฟังดูจากน้ำเสียงก็จะรู้ว่าพ่อไม่รัก ออกแนวชังด้วยซ้ำทำเหมือนอีกคนไม่ใช่ลูกชายด้วยการเริ่มด่าท่อ เวลาเมาทีไรคนเป็นพ่อจะขุดทุกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาพรรณนา หาว่าเพราะลูกชายเมียตนถึงได้ตาย ไม่เคยโทษตัวเองที่เอาเงินไปเล่นการพนันจนหมดเงินในการใช้รักษาพยาบาล สงสัยมะตูมเคยสะสมบาปหนามาจากชาติที่แล้วถึงได้อาภัพซ้ำซ้อน ขนาดตอนที่พยายามทำงานหนักอีกคนก็ยังไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ทุกเงินบาทที่หามาได้ก็ไม่เคยลืมแบ่งปันให้พ่อพอประมาณ แต่ถ้ารู้ว่าการให้เงินอีกคนบ่อย ๆ จะทำให้ยิ่งติดเหล้า ร่างเล็กจะซ่อนกระเป๋าเงินให้มิด
ลูกชายไม่คิดเกรงกลัววิธีคาดคั้นขอเงินของบิดา เวลาเมากลับมาพ่อก็จะอารมณ์ร้ายและใช้ความรุนแรง ไม่แปลกที่จะรู้สึกชินชาเพราะโดนตบหน้าเป็นประจำ จำการบรรยายที่ไปขายแก้วตาแล้วบนหน้ามีร่องรอยฟกช้ำได้ไหม รอยเก่าหายไปรอยใหม่ก็มาทันที เพราะถือคติเป็นลูกที่ดีไม่ควรตอบโต้ผู้มีพระคุณ มะตูมจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้กระทำ จนมุมปากช้ำก็ยังยืนสงบ นัยน์ตากลมโตปรากฏความเรียบเฉย เคยเจอซ้อมมาหนักจนรู้ว่าอีกแป๊บเดียวมันก็จะผ่านไป เมื่อพ่อหายเมามือและเท้าก็จะขยับช้าลง คงยืนได้ไม่นานเท่าไหร่สังเกตจากท่วงท่าที่พร้อมจะล้มพับได้ตลอดเวลา ดังนั้นร่างเล็กจึงแค่ยืนรอเวลาให้อีกคนหมดฤทธิ์ ก่อนจะเป็นคนช่วยหามปีกเข้าห้องนอนหลังจากที่จู่ ๆ พ่อก็วูบหลับไป คนตัวเล็กกำลังพาร่างที่ใหญ่กว่าเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เทซ้ายทีขวาทีแล้วปล่อยร่างหนักลงบนเตียง เพียงแค่ห่มผ้าให้ แล้วค่อยเช็ดเลือดข้างมุมปากตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย
มะตูมเดินกลับเข้ามาในห้องตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับตาและไม่แม้แต่จะคิดหาหยูกยามาใส่บาดแผล แค่ปล่อยให้มันเหือดแห้งไปเองตามธรรมชาติ รีบหลับเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ยังมีอะไรรอคอยอยู่อีกมากมาย เข้าใจว่าอีกไม่นานความเจ็บช้ำก็จะจางหายจึงไม่ใส่ใจตัวเองเหมือนที่หมอเถื่อนเคยว่า
ร่างเล็กนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองตลอดเวลา แถมยังรีบตื่นมาทำงานแต่เช้า แม่บ้านวัยเยาว์เข้าห้องคนที่ยังไม่ตื่นได้ด้วยเพราะกุญแจสำรองและเริ่มไล่เก็บข้าวของรกรุงรัง เสื้อผ้าทั้งที่ใส่แล้วและยังไม่ได้ใส่ ตบหมอนบนโซฟาให้เข้ารูปเข้ารอยแล้วค่อยไปทำอาหารเช้า
สหรัฐคนขี้เซางัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นข้าวต้มก่อนจะแบกท้องที่มีแต่ลมลุกขึ้นจากเตียง หมอเถื่อนเดินเอียงหัวสะบัดไปมาเพื่อให้สมองตื่น แล้วหยุดยืนเลิกชายเสื้อยืดรัดรูปขึ้นพลางใช้มือเกาหน้าท้องระหว่างมองตามแผ่นหลังแม่บ้านรุ่นจิ๋ว “มาแต่เช้าเชียวนะวันนี้”
“ผมก็มาแบบนี้ของผมทุกวัน” หันมาตอบโดยไม่สบตาขณะฉวยภาชนะที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะแก้วแล้วหันกลับไปยืนคนข้าวต้มในหม้อ มะตูมไม่ได้ชวนหมอเถื่อนคุยต่อแต่อย่างใดแต่แล้วก็เกือบทำทัพพีหลุดจากมือเนื่องจากตกใจ เพราะอีกคนพลิกตัวให้หันกลับไปมองอย่างกะทันหัน
จนดวงตาต่างขนาดผสานกันและนั่นทำให้สหรัฐเห็นใบหน้าร่างเล็กชัดๆ ตอนแรกนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นบาดแผลเพราะยังตื่นไม่เต็มตา แต่พอได้เห็นในระยะใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นหมอหรือเปล่าที่ทำให้มีเลือดห่วงคนไข้หรือความจริงแล้วกำลังห่วงในฐานะผู้ชายคนนึง
“หน้านายไปโดนอะไรมา” ฝ่ามือหนากุมแก้มนิ่มแผ่วเบา หัวแม่โป้งลูบเข้าที่รอยช้ำข้างมุมปากจนร่างเล็กอึกอักทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเงยหน้าให้สัมผัสและรับรู้ความอบอุ่นแรกหลังจากที่ไม่ได้รับมานาน
หรือว่าวันร้าย ๆ กำลังจะผ่านพ้นไปเพราะผู้ชายที่แสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อน
ตอนช่วยทำแผล ดวงตากลมโตมองแค่สัดส่วนบนใบหน้าของอีกคนจนโดนมองตอบถึงได้หลบตา สหรัฐมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำต่อเล็กน้อยแล้วส่ายหัวทั้งที่ยิ้มบางๆ ขำร่างเล็กสงสัยเด็กจะเพิ่งเคยมีใครดูแลและในขณะที่รู้สึกห่วงใย สหรัฐจะดีใจมากนะถ้าตัวเองคือคนแรกที่ได้ทำแผลให้มะตูม
ด้วยความที่อยู่ในช่วงเจ้าหน้าที่คุมเข้ม กิจการค้าอวัยวะจึงจำเป็นต้องหยุดต่ออีกสองสามวัน ดังนั้นวันทั้งวันหมอเถื่อนเลยได้มีเวลาพักอยู่แต่กับห้องและมีเวลามากพอจะคาดคั้นร่างเล็กว่าได้บาดแผลมาจากไหน ตามตื๊อจะเอาคำตอบให้ได้แต่ถามเท่าไหร่อีกคนก็เอาแต่ตอบว่าหกล้ม มะตูมเอาแต่อมพะนำจนสหรัฐเองก็ไม่อยากจะวอแวและแม้จะรู้ดีว่าร่างเล็กโกหกก็ไม่โกรธ คนเรามีเหตุผลในการปกปิดบางอย่างเสมอนั่นแหละ
“ถ้าฉันรับอุปการะเด็ก นายว่าจะเป็นยังไง” ระหว่างนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันบนโต๊ะแก้ว เสียงนุ่มที่เอ่ยถามแบบไม่มีการเกริ่นนำก็ทำให้แก้วตากลมโตยอมเลิกก้มมองจานแล้วเงยหน้าขึ้นแทน
“แล้วพี่มาถามผมทำไม” เอ่ยถามกลับอย่างซื่อ ๆ
“ก็ภายในห้องนี้มีแค่ฉันกับนาย” ร่างเล็กค่อย ๆ พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจหลังได้ยินคำตอบ
แล้วค่อยวกกลับมาตอบคำถามที่เคยถูกถามค้างไว้ “ผมว่าก็ดีครับ”
ในฐานะที่รู้ซึ้งถึงความลำบากคงจะดีมาก ๆ ถ้ามีใครสักคนรับเด็กน้อยไปดูแลตั้งแต่แบเบาะและส่งเสียให้มีการศึกษา โตมาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ แถมสหรัฐก็ดูไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไร น่าจะเป็นเสาหลักให้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะปล่อยให้อีกคนเอ่ยต่อ มะตูมขอถามอีกสักเล็กน้อยเพราะยังแอบสงสัย “แล้วพี่ไม่อยากแต่งงานมีลูกเองเหรอครับ ภรรยาในอนาคตจะยอมรับได้เหรอถ้ารู้ว่าพี่รับเลี้ยงเด็กทารกไว้ก่อนแต่งงานน่ะ”
“เด็กทารกที่ไหน” หมอเถื่อนถามเสียงสูงขณะขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่คนนั่งฝั่งตรงข้ามถาม “นายไง…” สหรัฐชี้หน้าร่างเล็กด้วยส้อมเป็นการย้ำแล้วค่อยใช้ส้อมอันเดิมจิ้มเนื้อหมูเข้าปากระหว่างอธิบายด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “เด็กที่ว่าฉันหมายถึงนาย”
อย่าเพิ่งคิดว่ามีเงินเหลือใช้ แต่จริง ๆ ก็มีเหลือพอจ่ายค่าเทอมโรงเรียนเอกชนนั่นแหละ
หลังจากนั่งตะแคงนอนตะแคงคิดมาทั้งคืน เดิมทีก็ไม่ใช่ประเภทจะยื่นเงินให้ทุกคนที่ตกยากหรอก แต่มะตูมถือเป็นกรณียกเว้น ดันไปล่วงรู้และเห็นชีวิตความเป็นอยู่เข้าเลยยากจะทำเป็นไม่สนใจ ทั้งอายุก็ไม่มาก โรงเรียนก็ไม่ได้ไป ไหนจะมีพ่อที่ดูท่าขี้เมาเอาเงินไปลงกับเหล้าอีก
วันนั้นที่ไปส่งถึงบ้านหมอเถื่อนแทบหลีกให้ชายวัยกลางคนอ้วกไม่ทันและดันได้รู้ธาตุแท้ตอนผู้ใหญ่แบเงินขอธนบัตรหลังจากแนะนำตัวว่าเป็นนายจ้างของร่างเล็กที่ยืนหน้าเสีย ถ้าให้เดาสหรัฐว่ารอยช้ำบนแก้มนิ่มก็คงไม่พ้นฝีมือคนเมาหรอก นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้รีบออกปากขอรับอุปการะคนที่นิ่งเงียบไป มะตูมแค่คิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด
“ผมเหรอ?”
“ถ้าอยากกลับไปเรียนหนังสือ ฉันก็จะส่งให้เรียน” หมอเถื่อนดูไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ยังเจริญอาหารเย็นได้ดี ผิดกับร่างเล็กที่เลิกสนใจอาหารและเริ่มจ้องหน้าคนพูดจาเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย มะตูมพยายามจะมองหาท่าทีล้อเล่น ซึ่งพอดีกับที่สหรัฐเงยหน้ามาเห็น ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นการถามร่างเล็กว่ามีอะไร
“ทำไมพี่ถึงต้องดีกับผมมากขนาดนี้ด้วย”
“แล้วไม่ดีหรือไงที่มีคนรัก เอ่อ …หมายถึงคนเอ็นดูน่ะ”
“ตอบให้ตรงคำถามหน่อยสิ” เมื่อเห็นมะตูมจริงจัง สหรัฐเลยนั่งหลังตรงและวางช้อนลงบ้าง “ฉันเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องชาย แล้วพอเจอนายก็ถูกชะตาดี ถือเป็นนุ่งเป็นน้องคนนึง”
“น้องชาย?”
“หรือถ้าอยากเป็นมากกว่านั้นก็บอกกันได้นะ” เผลอหลุดปากจากที่ยิ้มหน้าระรื่นต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เรื่องกำลังจะดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่หลุดพูดความในใจลึก ๆ ที่อุตส่าห์แอบซ่อนไว้
สหรัฐรีบยกมือยกไม้โบกสะบัดปฏิเสธหน้าตายขณะมะตูมใช้นัยน์ตาโปน ๆ จ้อง บอกไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไร ไม่รู้ว่าโกรธกันหรือเปล่าหรือตกลงจะเอายังไง ร่างเล็กเงียบไปเกือบห้านาทีขณะที่หมอเถื่อนเริ่มก้มหน้าก้มตาหาอะไรทำ พอจับช้อนได้ก็ตักน้ำแกงเข้าปากไปพลาง ๆ
“ผมต้องคุยกับพ่อก่อน” ก่อนคนนั่งซดน้ำจะชะงักแล้วเงยคางขึ้นทั้งที่ช้อนยังคาริมฝีปาก
ส่วนร่างเล็กก็เริ่มจับช้อนอีกครั้งขณะเอ่ยต่อเสียงเรียบ “เรื่องส่งเรียนห้ามคืนคำเด็ดขาดนะ” มะตูมก้มหน้าตักข้าวเข้าปากพลางยิ้มบาง ๆ ยามเห็นหมูหนึ่งชิ้นมีคนสละไม่กินแล้วตักใส่จานให้
ตามประสาคนมีเงินจะออกมาเดินเที่ยวห้างบ้างก็ไม่แปลก คนทั้งคู่เลือกทานอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อแรกของวันตอนเข็มสั้นชี้เลขหนึ่งส่วนเข็มยาวชี้เลขสิบสอง เพราะเมื่อคืนดันสนุกกันจนเพลินไปหน่อยพลอยทำให้ตื่นสาย ไหนกว่าจะได้อาบน้ำอีกล่ะ เฟยฮวานึกว่าตัวเองมีลูกที่ต้องคอยดูแล พอแต่งตัวให้คนแก้ผ้าเสร็จถึงได้ฤกษ์เสด็จออกจากคอนโด
ปัจจุบันอาชานั่งด้านนอกและให้ร่างบางนั่งด้านใน สลับกันป้อนใช้ช้อนร่วมกันอย่างไม่นึกรังเกียจท่ามกลางเสียงลุ้น “อ้ามมม” พูดก็พูดเถอะเฟยฮวากำลังอายแปลก ๆ จนต้องมองซ้ายมองขวาแล้วเอามือป้องปากเวลาอ้างับช้อน
ตอนจะดีก็ดีใจหาย ตอนจะร้ายก็ร้ายจนน่ากลัวนั่นคือคำนิยามของพ่อค้าอวัยวะ คนเมื่อสองสามวันก่อนกับคนในวันนี้เรียกได้ว่ามีพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่จำเป็นต้องสังเกตให้วุ่นวายแค่การคีบเส้นให้แล้วคอยใช้กระดาษทิชชู่ช่วยเช็ดนั่นก็ไม่ใช่อิริยาบถปกติแล้ว ส่วนเรื่องแววตาไม่ต้องพูดถึง มีแต่ความทะลึ่งตึงตังมองร่างบางอย่างกับกินแทนซูชิ เฟยฮวาแกล้งทำสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วท้ายที่สุดก็หลุดหัวเราะเพราะอีกคนดัดเสียงเล็กเสียงน้อย อ้อนด้วยน้ำเสียงสองขณะฉวยมือนิ่มขึ้นไปหอมไปดม เอามืออีกข้างช่วยทัดปอยผมที่แอบหยักศกกับใบหูเล็กพลางเอ่ยถึงกำหนดการ วันนี้ทั้งวันพ่อค้าอวัยวะจะให้เวลากับร่างบางเต็มที่
แต่พูดยังไม่ทันขาดคำจู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดัง อาชาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วทำท่าจะไม่ยอมรับ รอให้เสียงเรียกเข้าดับไปเองในคราแรกและเมื่อมันดังในหนที่สองจนเริ่มรอบที่สาม เฟยฮวาไม่อยากให้อีกคนเสียงานเพราะตนเลยพยักหน้าอนุญาต อาชาตัดสินใจกดรับและทำมือทำไม้ขอเวลาออกไปคุยนอกร้านอาหารที่มีคนพลุกพล่านสักครู่ แต่แม้ตัวจะอยู่ไกลกันประมาณสี่เมตร แต่คนสองคนก็ยังเห็นกันผ่านกระจกร้าน
เฟยฮวานั่งเท้าค้างมองคนยืนเท้าเอวคุยโทรศัพท์ พ่อค้าอวัยวะโบกมือรับจนริมฝีปากอิ่มเผลอยิ้มหวานให้ นัยน์ตาสีน้ำตาลไล่มองสัดส่วนบนใบหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเพลิดเพลินกระทั่งขายาวเดินกลับเข้ามาในร้าน ร่างบางถึงได้รีบหันตัวกลับมาอีกด้านและทันเห็นอีกคนถอนหายใจขณะนั่งลงข้าง ๆ
“มีอะไรเหรอ”
“คนจากสำนักใหญ่เรียกตัว”
“งั้นก็ไปกันเลยสิ” เฟยฮวาทำท่าจะลุกขึ้นยืนในทันทีที่พูดจบแต่มือกร้านก็รีบห้ามจับเอวคอดให้นั่งลงตามเดิม “แต่ฉันสัญญาแล้วว่าจะให้เวลากับนายทั้งวัน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันไปสำนักงานใหญ่กับนายก็ถือว่าได้ใช้เวลาด้วยกันแล้วนะ”
“มันต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ” อุตส่าห์ได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งทีมันก็ต้องมีไปดูหนังฟังเพลงเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ ไม่ใช่จบวันหวาน ๆ ด้วยการที่ตนเข้าไปคุยงานและให้ร่างบางนั่งรออยู่หน้าห้องจนไม่ต้องไปไหนกันต่ออีก ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจึงกำลังคิดวิธีหลีกเลี่ยงหาข้ออ้างเฉไฉ
ขณะร่างบางเหมือนจะปิ๊งไอเดียออก “งั้นนายรีบไปรีบมาดีไหม เดี๋ยวฉันรอที่นี่เอง” เฟยฮวาเสนอความคิด ซึ่งมันก็คล้ายจะเป็นทางออกที่ดีถ้าไม่ติดอยู่ที่เรื่องนึง “แต่มันอันตรายนะ”
มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อาชาไม่ไว้ใจให้ใครดูแลร่างบางนอกจากตัวเองจริง ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดเรื่องความปลอดภัยของเฟยฮวา จนคนนั่งมองทนดูใบหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ไหวพยายามใช้น้ำเสียงนุ่ม ๆ เข้าลูบ
“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา แล้วนายจะเอายังไงล่ะ” เฟยฮวาถามด้วยความสงสัยก่อนตบท้ายด้วยมุกที่คงพอทำให้พ่อค้าอวัยวะมีอารมณ์ขันขึ้นมาบ้าง “ห้ามตอบว่าเอาฉันนะ”
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด อาชาหลุดยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยิน “รู้ทันอีก”
“ฉันอยู่ได้” เห็นอีกคนกำลังสบายใจเลยใช้โอกาสนี้ยืนยันอย่างหนักแน่น ฝ่ามือนิ่มวางบนท่อนแขนแกร่งแล้วลูบเบา ๆ เพื่อให้เบาใจ
สุดท้ายอาชาก็ยอมตกลง ไม่อยากขัดใจคนนัยน์ตาเป็นประกายแต่ก่อนจะไปก็ต้องอธิบายข้อแม้กันก่อน
“งั้นฉันจะให้ลูกน้องทั้งหมดอยู่กับนายที่นี่ โอเคไหม” พอเห็นใบหน้าสวยพยักขึ้นลงจึงได้พูดเรื่องต่อไปต่อ “และนายต้องนั่งอยู่แต่ในร้านนี้ สั่งทุกอย่างมากินได้เลยระหว่างรอฉันกลับมา”
“มีหวังท้องแตกตายกันพอดี”
“แล้วฉันจะรีบไปรีบมา” คนอยู่สีหน้าเป็นปกติ มีแต่คนจะไปที่ทำหน้างอไม่พอใจ
เฟยฮวาให้รางวัลก่อนไปทำงาน มองซ้ายมองขวาแล้วคว้ามือกร้านมาหอม ไม่ยอมทำมากกว่านั้นเพราะจำนวนคนในร้านก่อนจะยกมือโบกให้ยามพ่อค้าอวัยวะเดินผ่านกระจก ร่างบางเห็นอีกคนยืนตกลงกับลูกน้องแค่ชั่วครู่แล้วรีบก้าวเดินไปจนหายลับจากสายตา
กระทั่งนัยน์ตาสีน้ำตาลหันกลับมาเห็นจำนวนอาหารบนโต๊ะแล้วก็ต้องถอนหายใจ อะไรจะมากมายขนาดนี้ตอนที่อยู่กันสองคนก็ไม่เห็นจะดูเยอะแยะสักเท่าไหร่ แต่พอเหลือตัวเดียวก็กลายเป็นกองพะเนินเท่าภูเขา ตอนที่พ่อค้าอวัยวะกลับมายังไม่รู้เลยว่าจะจัดการหมดหรือเปล่าเถอะ
จนดวงตากลมหันไปเจอเหล่าลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าร้านอาหาร เฟยฮวาทำการกวักมือเรียกให้เข้ามาด้านในแล้วเอ่ยเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามว่ากินด้วยกันไหม โดยที่รู้ว่าอีกหกคนจะส่ายหน้าปฏิเสธ พอเห็นเป็นเช่นนั้นเลยเปลี่ยนเป็นประโยคคำสั่ง อ้างสิทธิ์ความเป็นเมียเจ้านายชี้นิ้วให้ลูกน้องนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วกินทุกอย่างแทนตนหรือจนกว่าอาหารทุกจานจะหมด
ร่างบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่ออีกหกคนเชื่อฟังนั่งเกร็งเวลาขยับตะเกียบคีบเส้น เห็นจะไม่พอกินเลยเลื่อนจานอื่น ๆเข้าไปให้จนลูกน้องต้องรีบก้มหัวกันเป็นพัลวัน เฟยฮวากวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารแบบกลับบ้านอีกหลาย ๆ ชุด ใจดีแบบสุด ๆ ในวันที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากที่ร่ายรายการอาหารที่จะซื้อกลับไปฝากพวกลูกน้องพ่อค้าอวัยวะเสร็จ ร่างบางก็ลุกขึ้นยืนจนลูกน้องที่เหลือลุกขึ้นตามมือยังถือชามไม่ปล่อย เฟยฮวาหัวเราะเล็กน้อยแล้วบอกทุกคนว่าไม่ต้องตามไปหรอกฉันแค่จะออกไปเข้าห้องน้ำข้าง ๆ พูดจบร่างบางก็หมุนตัวออกไปจากร้าน
คนแวะมาเข้าห้องน้ำใช้เวลาทำธุระส่วนตัวแค่ไม่นานและกำลังล้างมืออยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ เฟยฮวายิ้มให้ตัวเองระหว่างสะบัด ๆ มือไปด้วย ฝึกยิ้มสวย ๆ รอต้อนรับอีกคนกลับมา แล้วค่อยเดินออกมาเกือบจะถึงหน้าประตู แต่จู่ ๆ ก็สะดุ้งตกใจยามที่ชายชุดดำก้มหน้าก้มตาเข้ามาดัก
“มีอะไร อาชามาแล้วเหรอ”
“พอดีนายโทรมาตามให้คุณเฟยฮวากลับไปที่คอนโดด่วนครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ” ร่างบางย่นคิ้วด้วยความสงสัยแต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าถ้าปุบปับจะให้กลับแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน คนต้องกลับจึงไม่เกี่ยงงอนหรือดึงเวลาเพื่อถามอะไรซอกแซก แค่จะแวะกลับไปจัดการเคลียร์บิลในร้านอาหารก่อน แต่ท่อนแขนใต้สูทสีดำก็ยื่นขวางทางพลางพูดว่าทุกคนไปรอที่รถกันหมดแล้วครับ
คนเป็นเมียพ่อค้าอวัยวะจึงพยักหน้ารับแบบเข้าใจระคนมึนงง “เชิญทางนี้ครับ”
เฟยฮวาเดินตามการนำทางของชายชุดดำที่พาลัดเลาะผ่านผู้คนมากมายจนมาเจอทางออกที่เชื่อมกับลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า เห็นว่ามีรถสีดำมาจอดเทียบท่ารอรับ แทบจะไม่ต้องเดินไปไกลก็ได้ก้าวขึ้นรถขณะคนด้านนอกรีบปิดประตูให้ ชายชุดดำรีบเดินอ้อมบริเวณหน้ารถยนต์ หยุดหันรีหันขวางก่อนขึ้นรถมานั่งเทียบตำแหน่งสารถีแล้วไม่รีรอที่จะสั่งให้ออกรถอย่างรวดเร็วราวกับรีบร้อน ตอนขับวนเพื่อหาทางออกก็ไม่ลืมล็อกประตูอัตโนมัติสี่ด้านจนคนนั่งตรงเบาะหลังหันมองบรรยากาศภายในรถด้วยความสนใจ
ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปจนเกือบใกล้จะถึงปากทางออก นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่รถอีกคันเพิ่งขับถอยเข้าช่องจอดก่อนจะดับเครื่องสนิทบิดกุญแจออกแล้วก้าวลงจากรถ
เผอิญคนที่สำนักงานใหญ่โทรมาแคนเซิลการให้เข้าไปหา อาชาเลยรีบบึ่งรถกลับมาหาเฟยฮวาที่ห้างทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะมองท้ายรถคันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไป ระหว่างโยนกุญแจรถเล่นคิดแต่ว่าจะเซอร์ไพรส์อีกคนยังไง โดยหารู้ไม่ว่าบางทีอาจเป็นตัวเองที่กำลังจะถูกเซอร์ไพรส์ เพราะเมียไปกับใครก็ไม่รู้
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลังติดตามข่าวสาร