———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XVII (15/11)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XVII (15/11)  (อ่าน 49469 ครั้ง)

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.X (21/10)
«ตอบ #30 เมื่อ21-10-2018 20:33:43 »

X




พ่อค้าอวัยวะถือคติเรื่องผัวเมียต้องเคลียร์กันภายในและห้ามให้ใครเข้ามาสอดเด็ดขาด ดังนั้นจึงลงกลอนล็อกประตูห้องหลังบอกลูกน้องให้ลงไปตรวจตราด้านล่างหลังจากไอ้เวรที่มาก่อกวนยอมล่าถอยไป ที่อาชาออกปากไล่ให้ทุกคนออกห่างก็เพื่อหวังให้ร่างบางสบายใจ โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเผลอทำหน้ายักษ์ ใครบางจะกล้าเล่าความเป็นมา 

อาชาทำสีหน้าเคร่งเครียด เคยบอกไปหรือยังว่าเกลียดพวกโกหก คงเพราะไม่เคยทำเองเลยยิ่งไม่ชอบใจเวลามีคนมาทำใส่ ไม่แน่ใจว่าเฟยฮวายังจำกฎข้อเดียวของการอยู่ร่วมกันได้ไหมและไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าถามไปแล้วจะได้คำตอบ แต่หนนี้อาชาจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว แม้จะแลกมาด้วยการทะเลาะกันยกใหญ่ก็ตาม คนยืนกอดอกทำการเรียกชื่อคนนั่งหลบสายตาบนโซฟาด้วยชื่อเต็มผ่านน้ำเสียงกดดัน  “เสี่ยวเฟยฮวา”

น้ำเสียงเย็นยะเยือกกดอุณหภูมิห้องให้ยิ่งดิ่งลงต่ำ ทำเอาหายใจไม่คล่อง ร่างบางแทบจะไม่มองอะไรมากไปกว่าหาจุดโฟกัสบนพื้นที่เหยียบ เฟยฮวายังเงียบเหมือนต้องการเล่นสงครามก่อนจะเห็นปลายเท้าใหญ่ขยับใกล้เข้ามา ซึ่งพอดีกับตอนที่ปลายคางถูกคว้ามือกร้านบังคับให้เงยหน้าขึ้น จนนัยน์ตาสีน้ำตาลได้สบกับสีตาบรั่นดีของคนที่ยืนค้ำหัวเข้าอย่างจัง     

“หมอนั่น… ชื่อหยางไอ” 

“แล้ว?”  คำตอบแรกสั้นไปต้องการคำอธิบายอย่างละเอียดยิบ อยากรู้ตั้งหลายเรื่องและเลือกเริ่มจากเรื่องเงินที่อีกคนหยิบยืมไปก่อน  “นายยืมเงินฉันไปแล้วทำไมมันถึงเป็นคนเอามาคืนล่ะ มันหมายความว่าไง”

“ฉันติดหนี้”  ลังเลแต่ในที่สุดก็พูดออกมา ยิ่งผสานสายตาก็ยิ่งรู้ว่าพ่อค้าอวัยวะเอาจริงจนเข้าใจว่าตัวเองมีสิทธิ์โดนยิงทิ้งได้ทุกเมื่อ เพื่อรักษาชีวิตก่อนจะพูดเลยต้องคิดให้มาก ๆ เฟยฮวาระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำแต่นั่นยิ่งทำให้อาชาจับพิรุธได้ ร่างบางบอกความจริงไม่หมด ตัดเรื่องราวในอดีตจนหดเหลือแค่ประโยคห้วน ๆ   

“ฉันขอคำอธิบายมากกว่านายติดหนี้”

“หมอนั่นเป็นเจ้าหนี้”

“เฟยฮวา”  ไม่รู้ว่าร่างบางจงใจกวนประสาทหรือไม่แต่พ่อค้าอวัยวะก็คิดไปในแง่นั้นเรียบร้อย ด้วยความที่หงุดหงิดอยู่เป็นทุน พออีกคนพูดอะไรผิดหูนิดหน่อยอารมณ์ก็พลอยจะขึ้นได้ง่าย ๆ

พ่อค้าอวัยวะถอยหายใจออกยาว ๆ แล้วหายใจเข้าลึก ๆ พยายามข่มใจให้เย็นขณะเตือนสติตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้กำลัง อย่างน้อยก็ห้ามพลั้งมือตบใคร อย่าทำร้ายร่างบางด้วยอารมณ์เพราะรู้ดีว่ามันจะจบไม่สวย จนเมื่อใจสงบได้สุดท้ายจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเรียบ   

“ก่อนจะมาเจอฉัน นายเคยอยู่กับมันมาก่อนใช่ไหม แล้วไหนว่าอยู่คนเดียว”

“ฉันเลิกยุ่งกับหมอนั่นไปตั้งนานแล้ว”

“งั้นมันจะมาตามทวงนายคืนทำไม”  อาชาพูดตามที่คิดและอิงเหตุผลจนคนกึ่งโกหกเงียบไป  “แถมสายตามันก็ยังดูมีเยื่อใยให้นาย เคยเป็นคนรักกันมาก่อนเหรอ”

“เปล่า ฉันไม่ได้รักหยางไอ”

“แต่มันรักนายใช่ไหม”  ถามอย่างตรงไปตรงมาและประโยคเหล่านั้นเหมือนจะไม่ห่างไกลจากความจริงสักเท่าไหร่ขณะคนนั่งฟังรู้สึกราวกับโดนขุดเรื่องในวันวาน คล้ายกับชายหนุ่มที่ปล่อยมือจากปลายคางรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตนจนหมดเปลือก  “นายหนีมันมางั้นสิ …ใช่ไหม”

“ฉันกับหมอนั่นไม่ได้เป็นอะไรกัน สถานะมีแค่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้”

“ไม่ใช่ว่าพ่อเป็นคนสร้างหนี้แล้วนายต้องกลายเป็นคนที่ชดใช้หนี้แทนเหรอ”

“นาย”

“ทำไม ฉันก็แค่เดาหรือว่าฉันพูดถูก” 

ใช่… อาชารู้ว่าตัวเองมาถูกทาง เห็นจากสีหน้าตกใจของร่างบางก็เข้าใจว่าน่าจะเดาอะไรไม่ผิด คำพูดของตนอาจจะไปตรงกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตและอาจเป็นเรื่องเดียวกับที่อีกคนพยายามปกปิดอยู่ 

บางทีคงไม่อยากให้ใครล่วงรู้ชีวิตว่าเคยเป็นเด็กชายคนที่หายไปจากคฤหาสน์ แต่พ่อค้าอวัยวะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน เฟยฮวาคือเด็กคนนั้นไม่ผิดแน่ แต่ถึงจะมั่นใจเกือบเต็มร้อย อาชาก็ยังลองพูดเหมือนค่อย ๆ โยนหินถามทาง  “คนที่หายไปเป็นสิบ ๆ ปีจะโผล่มาที่นี่ได้ยังไงล่ะจริงไหม”  ยิ่งสังเกตจากอาการหลบสายตาและนั่งผสานมือไว้แน่นบนตัก เท่านี้อาชาก็ได้คำตอบ ไม่มีใครตอบคำถามได้ชัดเจนเท่าร่างบางอีกแล้วล่ะ











ไม่ได้ทะเลาะกันแต่พฤติกรรมที่หันนอนตะแคงไปคนละฝั่งเตียงก็ดูไม่ต่างจากคนที่เพิ่งผ่านการมีปากเสียงกันมาสักเท่าไหร่ พ่อค้าอวัยวะหลับไปได้ร่วมชั่วโมงขณะที่เฟยฮวายังคงลืมตาในความมืดมิด ความกลัวในยามหลับกลับมาทักทาย หลายคืนก่อนได้อ้อมกอดอบอุ่นเป็นภูตพิทักษ์ฝันร้ายแต่พอได้กลับมานอนเพียงลำพังเลยยังไม่ชินในคืนแรก 

ระหว่างทำตัวเหมือนคนแปลกที่แปลกทางจนนอนไม่หลับ ก็กำลังคิดถึงเรื่องที่คุยไปเมื่อบ่าย ตนไม่ได้โกรธเคืองที่อีกคนพูดจาตรง ๆ แบบนั้นและเพิ่งนึกได้ว่าเป็นตัวเองที่หลงลืมเรื่องสำคัญ พ่อค้าอวัยวะคงไม่ปล่อยให้เดินลอยไปลอยมาโดยไม่สืบประวัติ มันเลยยิ่งเหมือนตนพยายามฝืนโกหกต่อไปอย่างหน้าด้าน ๆ กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีจนสมควรที่จะถูกอีกคนโกรธ เฟยฮวาไม่โทษใครหรอกนอกจากตัวเองและเล็งเห็นถึงอนาคตภายในภาคหน้า นัยน์ตากลมส่อแววเศร้าเงาน้ำใสส่องประกายในความมืดสนิท ก่อนจะปิดเปลือกตาเพื่อซ่อนอารมณ์อันอ่อนไหว หลับไปเมื่อไหร่แทบไม่รู้ตัวจนมารู้ตัวอีกทีตอนที่พลิกร่างกลับมาแล้วเห็นว่าคนข้างกายหายไป

พ่อค้าอวัยวะแค่ทิ้งโน้ตไว้ เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ว่ามีงานต้องไปจัดการและอาจหายไปทั้งวัน ซึ่งมันก็เป็นแค่ข้อความธรรมดาที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่คนนั่งบนเตียงกลับสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน แม้จะรู้สึกไม่ดีแต่ก็พยายามเดินหน้าลุกขึ้นไปจัดการตัวเองตามกิจวัตรประจำวัน 

ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนอีกด้านที่เดินหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาชาลุกขึ้นยืนเมื่อการประชุมเรื่องหุ้นส่วนคนใหม่เสร็จสิ้นและไม่คิดอยู่ทักทายชายสัญชาติจีนที่กำลังวางแผนว่าจะเปิดร้านค้าอวัยวะสาขาสองในไทย อาชาไม่เคยหวงธุรกิจแต่เผอิญอีกคนดันเป็นศัตรูไม่ใช่มิตร เห็นได้ชัดว่าหยางไอกำลังพยายามแทรกแซงไปทั่ววงการตลาดมืดเหมือนปรสิตและคิดจะเข้ามาก่อกวนอย่างจงใจ ถ้าไม่เพราะต้องอยู่ทานอาหารเที่ยงกับคนคุมสำนักงานใหญ่ พ่อค้าอวัยวะคงจะรีบขอตัวกลับ ไม่ปล่อยให้ผู้ชายตาขวางขยับมายืนขนาบข้าง ทำอย่างกับเป็นเพื่อนสนิทยามส่งเสียงทักทาย 

“สีหน้าเมื่อวานกับวันนี้ดูต่างกันนะ” 

ชายสวมสูทดำสองคนยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องรับประทานอาหารและการที่หยางไอทักก็ทำให้ความอยากอาหารของอาชายิ่งลดลงไปอีก อย่าว่าแต่ฉีกยิ้มเลย อาชาไม่เคยรู้สึกส้นเท้ากระตุกเท่านี้มาก่อน โดยเฉพาะตอนได้ยินคนจีนพูดถึงชื่อบุคคลที่สาม  “หรือว่าทะเลาะกับเฟยฮวามาล่ะ” 

แทบจะหันกลับไปซัดคนที่ทำเป็นรู้มากอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานด้วย แถมยังชวนคุยต่อทั้งที่ก็เห็นว่าอีกคนไม่อยากสนทนาพาที เพราะพ่อค้าเงินกู้มีวิธีจะดึงความสนใจ หยางไอหงายการ์ดในฐานะที่เคยเป็นคนใกล้ชิดและคิดโอ้อวดว่ารู้จักร่างบางที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร พยายามแสดงตัวว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่เฟยฮวายอมพลีกายให้ด้วยการเล่า โดยเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น

ชายสัญชาติจีนยืนพูดไปพลางระหว่างรอดูปฏิกิริยา

เปรยขึ้นมาว่า  “นี่เฟยฮวาคิดถึงฉันมากจนขนาดต้องหาผัวใหม่ที่หน้าตาคล้ายฉันเลยเหรอเนี่ย”

“ที่บ้านคงขาดกระจกสินะ”  ว่าจะไม่ตอบโต้แต่มันอดไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าพลาดที่เผลอเล่นไปตามเกมอีกคนที่พ่นแต่เรื่องน่าขำ อาชาเกือบจะกลับหันหลังเดินเข้าข้างในห้องอาหารแต่ก็ดันเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินประโยคเรื่องใต้สะดือแล้วเผลอกำมือโดยไม่รู้ตัว

“เฟยฮวาใช้ปากเก่งนะ”  หยางไอยังเอ่ยต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา รู้แค่ว่าสนุกดีตอนที่เห็นชายไทยยืนตีสีหน้านิ่งแต่แววตาราวกับมีวิญญาณร้ายเข้าสิง กระทิงหนุ่มควันออกหู ส่วนงูพิษก็พร่ำต่อไป  “ฉันชอบเวลาที่เฟยฮวาใช้ปากช่วย แหม ผู้ชายด้วยกันเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอายหรอกน่า” 

จะตายเพราะปากยังไม่รู้ตัว  “เราก็เหมือนมีเมียคนเดียวกันจริงไหม” 

หยางไอไม่กลัวท่าทีขบกราม ตัวดีภายในสมองกำลังห้ามพ่อค้าอวัยวะว่าอย่ามีเรื่องขณะตัวร้ายบอกว่าเรื่องอะไรจะปล่อยให้ไอ้เวรมันหยามอยู่ฝ่ายเดียวท่ามกลางน้ำเสียงที่ยังเอ่ยด้วยความพึงพอใจ  “ผัวเก่ากับผัวใหม่ก็น่าจะทำความรู้จักกันไว้ เผื่อวันใดวันนึงอาจจะได้มีโอกาสใช้บริการเฟยฮวาร่วมกัน ถ้าสองต่อหนึ่งอย่างเฟยฮวาก็น่าจะสบายอยู่นะ”

“มึง!”  ใครทนได้ก็ช่างหัวมัน ส่วนอาชาตัดสินใจกระชากคอเสื้อหยางไอ ชายร่างสูงกว่าผลักร่างอีกคนเข้าผนังระหว่างใช้ท่อนแขนดันเข้าที่ลำคอ แต่ขนาดจะตายอยู่แล้วก็ยังกล้าหัวเราะร่า แม้ว่าลำคอจะถูกท่อนแขนหนักกดไว้จนแทบหายใจไม่ออกก็ยังอุตส่าห์พยายามบอกอะไร ให้คนโมโหฟังไว้เป็นความรู้ประดับหัว  “รู้ไว้ด้วยว่าแกกำลังถูกหลอกใช้”

อาชาใกล้ฟิวส์ขาดเต็มทนขณะที่โดนปั่นหัวด้วยถ้อยคำที่ความจริงก็เหมือนจะถูกต้อง
 
“เฟยฮวาหนีมาจากฉันแล้วก็หวังใช้แกเป็นที่พึ่ง”  คนฟังนิ่งไปไม่รู้ว่าเพราะกำลังอึ้งหรือเปล่าแต่มันก็เข้าแผนคนจงใจยุแหย่ แค่ใส่สีตีไข่ ใช้คำพูดทำลายความสัมพันธ์ ถ้ายังจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้ก็เอาสิ  “ถ้าการที่เฟยฮวาอยู่กับฉันคือความจำใจ เฟยฮวาก็อยู่กับแกเพราะความจำเป็นเหมือนกัน”






มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.IX (08/10)
«ตอบ #31 เมื่อ21-10-2018 20:34:22 »





คนหายไปตั้งแต่เช้ากลับเข้ามาที่คอนโดในตอนหัวค่ำและยกมือห้ามทันทีเมื่อคนที่รอทำท่าจะเดินเข้ามาช่วยถอดเสื้อสูทตัวนอก เฟยฮวาหน้าเสียยามอาชาเอ่ยย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องจนบรรยากาศเวลาอยู่กันสองต่อสองยิ่งดูเลวร้าย คล้ายมีควันขมุกขมัวบดบังระหว่างคนสองคน

ต้นอาทิตย์ยังดูฟ้าโปร่งดีแต่พอปลายอาทิตย์ดันเหมือนกับมีพายุเข้า เมฆครึ้มลอยตัวต่ำอยู่ภายในห้องจนมองไปทางไหนก็ให้ความรู้สึกหมองหม่น คนตัวสูงเดินผ่านร่างบางราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา จนแข้งขาคนยังยืนอยู่กับที่แทบหมดเรี่ยวแรงดื้อ ๆ ถ้าพ่อค้าอวัยวะจงใจแกล้งเย็นชาก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมและเฟยฮวาก็สัมผัสได้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น ไม่งั้นอีกคนคงไม่ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแค่เพียงเพราะถอดเนคไทไม่ได้ แล้วแม้อีกคนจะบอกว่าไม่ให้ช่วย แต่ร่างบางก็ยังเลือกขัดคำสั่ง เดินเข้าหาแล้ววางมือบนเนคไท   

“ฉันบอกว่าไม่ต้องไง”  เพิ่งเคยได้ยินการออกปากไล่เป็นครั้งแรก แต่เฟยฮวาก็ยังดื้อรั้นจนกระทั่งเกิดเป็นการยื้อแย่ง อาชาออกแรงบีบมือขาวอยู่นานเพื่อให้ปล่อย ส่วนคนที่คอยปิดปากสนิทก็ยังพยายามฝืนจะขยับ ก่อนจะเป็นคนใจแข็งที่ยอมพ่ายแพ้ให้กับความเด็ดเดี่ยว มือใหญ่คลายแล้วเหลียวมองไปทางอื่น ยืนให้ร่างบางช่วยปลดปมเนคไทและเพราะว่ามัวหันไปสนใจอย่างอื่น เลยไม่ทันเห็นอาการสองมือสั่น

ดวงตากลมโตที่เอาแต่โฟกัสเส้นเนคไทปรากฏความเสียใจ เฟยฮวาเกือบร้องไห้ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนอ่อนแอเลยสักนิด ปกติจะคิดก่อนเสมอว่าร้องไปเพื่ออะไร แต่จู่ ๆ มาถูกพ่อค้าอวัยวะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย น้ำตามันก็พานจะไหลเองซะอย่างนั้น
   
“มันบอกว่านายอยู่กับฉันเพราะความจำเป็น จริงอย่างที่มันพูดหรือเปล่า”  อาชาไม่เล่าหรืออธิบายอะไรให้มากความ แค่ถามคำถามด้วยความสงสัยขณะยอมหันสายตากลับมาสบและพบว่าร่างบางช้อนนัยน์ตามองใบหน้าอยู่ก่อนหรืออาจจะตลอดเวลา
 
“แล้วถ้าฉันตอบอะไรไป คำตอบของฉันจะเปลี่ยนสิ่งที่นายคิดอยู่ในตอนนี้ได้ไหม”  เฟยฮวารู้ว่าท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่านมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจชายหนุ่มเอนเอียงไปกับคำบอกพวกนั้นแล้ว ถึงจะเลือกถามออกมาแต่ความจริงคนตรงหน้าก็มีคำตอบอยู่ในใจ ถ้าพูดอะไรไปก็คงไม่เชื่ออยู่ดี   

“ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพัก” 

พ่อค้าอวัยวะเป็นฝ่ายหันหลังเดินหนีก่อนที่จะปิดประตูห้องทำงานตัดขาดการรับรู้ว่ามีอีกคนอยู่ร่วมห้อง อาชาแค่อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อไขข้อข้องใจ อยากเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรและเหตุอะไรที่ทำให้รู้สึกนอยด์แบบนี้ กลับมานั่งคิดถึงช่วงเหตุการณ์แรก ๆ ที่ตอนนั้นความสัมพันธ์ก็ดูจะเริ่มผ่านจากการซื้อบริการที่เมื่อผ่านไปคืนเดียวก็น่าจะจบกัน แต่สุดท้ายหลายวันผ่านไปเสี่ยวเฟยฮวาก็ยังเดินเข้านอกออกในอาศัยร่วมชายคา

หรือว่าความผูกพันจะเริ่มทำงานภายในระยะเวลาช่วงสั้น ๆ แล้วพัฒนาไปเป็นความชอบพอ อาชาพอเข้าใจทฤษฎีที่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันไปแถมใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางร่วมกันแทบทุกวัน มันต้องเกิดสายใยอะไรสักอย่างบ้างแหละ แต่ที่ข้องใจก็คือทำไมเพิ่งจะมารู้สึกกับคนนี้ คนที่ดูจะมีความลับมากมาย นิสัยก็เหมือนจะเข้าถึงยาก

ส่วนถ้าพูดถึงเรื่องความรักน่ะ อาชาแทบจะลืมไปหมดแล้วหลังจากยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย เพราะมีโอกาสตายได้ทุกเมื่อเลยไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยว แต่ก็เป็นเสี่ยวเฟยฮวาคนแรกอีกเหมือนกันที่ปรากฏกายขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ และดันเป็นบุคคลที่ตรึงใจได้มากที่สุด พูดว่าชอบได้เต็มปาก เพราะถ้าไม่สนใจก็คงไม่มานั่งเครียดอย่างนี้และทำสีหน้าเหมือนคนท้องผูก กำลังเป็นทุกข์โดยรู้สาเหตุ

เส้นผมที่เคยจัดทรงอย่างเท่ถูกสางอย่างลวก ๆ พ่อค้าอวัยวะคงจะฝังตัวอยู่ในห้องทำงานอีกนานถ้าไม่ดันลืมโทรศัพท์เอาไว้กับเสื้อสูทที่อยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงจำใจต้องออกมาแล้วก้าวขาไปห้องรับรองและเห็นหมอนกองวางอยู่บนโซฟาคล้ายกับถูกใครจัดเป็นเตียงนอน เป็นตอนนั้นเองที่เฟยฮวาเดินหน้านิ่งออกมาจากห้องนอนขณะตอนสวนกันแทบไม่มองหน้า มีคนเดียวที่เหมือนจะเหลือบหางตาดูระหว่างส่งเสียงห้ามตัวเองในใจ ในเมื่อสวมบทเป็นคนโกรธอยู่เลยเลือกเดินหนี อาชาเดินปรี่เข้าห้องนอนเพื่อจะเดินไปยังห้องเก็บเสื้อผ้าแต่ขาก็ต้องชะงัก

เมื่อบางอย่างยังดูเหมือนเดิมในยามที่ความสัมพันธ์กำลังสั่นคลอน บนเตียงมีชุดนอนจัดวางไว้ให้และผ้าขนหนูผืนประจำ ความจริงอาจจะไม่เคยบรรยายว่าร่างบางปรนนิบัติถึงขั้นนี้แต่ทีนี้ก็คงรู้กันแล้วนะ ความประณีตและความใส่ใจมันยังบ่งบอกอีกว่าต่อให้มีปัญหา เฟยฮวาก็ยังเต็มใจจะเป็นคนดูแลเหมือนเดิม

จนจิตใจพ่อค้าอวัยวะเริ่มเอนเอียงอีกครั้งตอนสมองออกคำสั่งว่าช้าก่อน อย่าเพิ่งหลงเชื่อและลืมคำพูดของหยางไอไป ถ้าทุกอย่างที่ร่างบางทำคือการประจบเอาใจเพื่อให้ยอมให้อยู่ด้วยต่อล่ะ แต่ก้อนเนื้อในอกซ้ายก็แย้งแถมด่าว่าชายหนุ่มน่ะว่าประสาท อยู่กับร่างบางด้วยกันทุกวันยังไม่รู้อีกเหรอว่าอันไหนเสแสร้งแกล้งทำหรืออะไรคือพฤติกรรมที่ออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ อาชานิ่งไปขณะปล่อยให้สมองกับหัวใจตีกันเองอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

ส่วนเฟยฮวาที่ค่ำคืนนี้อาศัยโซฟาเป็นสถานที่พักพิงก็เอาแต่นอนนิ่ง ถ้ามองจากแผ่นหลังคงคิดว่ากำลังหลับ แต่ความจริงกำลังเหม่อลอยและหลงทางอยู่ในภวังค์ความคิด เข้าใจว่าคนผิดก่อนไม่มีสิทธิ์ต่อว่าและยังโชคดีด้วยซ้ำที่เจ้าของห้องไม่ออกปากไล่ให้ไปพ้น ๆ ซะตั้งแต่วันนี้ ส่วนถ้าพรุ่งนี้จะถูกไล่ให้ออกจากคอนโดก็ไม่โกรธหรอก ร่างบางแค่โกรธตัวเองที่ปากหนักไม่ยอมบอกอะไรซะตั้งแต่เนิ่น ๆ และพอเกิดกลับใจจะมาพูดเอาเวลานี้มันก็คล้ายจะสายไปเสียแล้ว แถมตอนที่คุยกันก็ทันเห็นแววตาเคลือบแคลงใจด้วย บางทีเวลาของตัวซวยคงจะใกล้หมดลงสักที

เฟยฮวาไม่มีหนทางอะไรอื่นนอกจากพยายามทำใจยอมรับกับผลของการกระทำ กับประโยคคำถามของพ่อค้าอวัยวะ ถ้าให้ตอบร่างบางก็จะตอบว่าใช่ เพราะมีความจำเป็นไงถึงได้เลือกเข้าหาและจะพูดต่อไปอีกว่า ‘แต่ฉันสาบานได้ ความรู้สึกในวันนั้นกับวันนี้มันต่างกันแล้ว’ จะให้ไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนหรือจะให้สารภาพต่อหน้ารูปปั้นพระเจ้าก็ได้ จะได้ถามพระองค์เหมือนกันภายในเวลาแค่ไม่นาน คนสองคนมีโอกาสจะเชื่อใจกันได้มากแค่ไหน ความสัมพันธ์ของเราที่ยังไม่เหนียวแน่นพอมันจะแปรเปลี่ยนไหมหรือว่าลูกไม่สมควรอยู่กับใครเลยจริง ๆ ดวงของลูกต้องอยู่คนเดียวไปจนตายอย่างนั้นน่ะเหรอ จะขออยู่เคียงใครสักคนคงไม่ได้เลยใช่ไหม

พอคิดจะฝากชีวิตไว้ที่ใครก็ต้องมีเหตุให้พลัดพรากกันอีกแล้วสินะ… หลังมือขาวยกขึ้นปาดหน้าแก้มเพราะหลังจากที่นอนคิดอะไรเพ้อเจ้อน้ำตาก็เอ่อเต็มสองเบ้าตา เฟยฮวาค่อยลุกขึ้นนั่งบนโซฟาเมื่อรู้ว่ายามเช้ามาเยือน ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนขึ้นบนท้องนภาเพื่อทำหน้าที่ให้แสงสว่างระหว่างเป็นตนคนเดียวที่รู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในความมืดมิด

เสียงปิดประตูห้องทำให้รู้ว่าอีกคนได้ออกไปทำงานตามปกติและไม่มีคำทักทายเป็นวันที่สอง หลังจากปฏิบัติกิจวัตรเสร็จเรียบร้อย นอกจากนั่งเหม่อลอยมองฝุ่นละอองในอากาศ ร่างบางก็แทบจะไม่ขยับทำอะไรเลย ทั้งที่เคยเพลียถ้ากลางคืนไม่ค่อยได้นอน แต่ตอนบ่ายก็แล้วกลับยังนั่งตาโตรออาชากลับมา

เฟยฮวาแค่อยากจะเห็นใบหน้าที่ดู ๆ ไปแล้วก็มีแววแห่งความอ่อนล้าเหมือนกัน 

เพราะดันนอนไม่หลับทั้งคืนด้วยอีกคนแต่ก็ยังทนทำเป็นใจแข็ง ปล่อยให้ร่างบางนั่งกินข้าวเย็นคนเดียว ส่วนตัวเองก็หนีมานั่งอยู่คนเดียวที่ปลายเตียงนอน พ่อค้าอวัยวะแค่อยากนอนหลับสักตื่นแล้วฟื้นขึ้นมาอีกทีตอนที่ความอึดอัดภายในอกซ้ายหายไป อยากทำอะไรก็ได้ที่มันมีประโยชน์กว่านั่งถอนหายใจทิ้งไปวัน ๆ ฝ่ามือกร้านยกขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองราวกับคนคิดไม่ตก แผ่นหลังกว้างคดโค้งและไม่ยืดตรงสง่าผ่าเผยเหมือนเก่า ข้อศอกเท้ากับหน้าขาขณะเอามือปิดใบหน้า สุดท้ายแล้วคนที่ทำตัวราวกับใจจืดใจดำก็กำลังน้ำตาตกใน ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกกระทำให้เสียความรู้สึก ลึก ๆ แล้วอาชากำลังน้อยใจและเลือกใช้การไม่พูดกันเป็นการดัดนิสัยคนนอนหลังให้บนโซฟา

แล้วนี่ก็เข้าคืนที่สองแล้วที่มายืนกอดอกมองอีกคนอยู่ข้างขอบประตู

เฟยฮวาจะไม่มีทางรับรู้ถ้าไม่ยอมหันหลังกลับมา แค่เปิดใจและเปิดตาก็จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด แล้วมันก็ไม่ผิดที่คนเราเคยมีอดีตอันเลวร้าย …ร่างบางพยายามจะคิดให้ได้เช่นนั้นขณะชะเง้อคอหาโอกาส ตื่นก่อนตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นและรีบลุกยืนยามร่างสูงโปร่งเดินผ่าน

“ฉัน…”  สงสัยไม่ได้พูดภาษาไทยหลายวันริมฝีปากมันเลยขยับแบบติด ๆ ขัด ๆ แต่ขณะที่เฟยฮวาพยายามจะเริ่มบทสนทนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ พ่อค้าอวัยวะก็ยังหันหลังให้เหมือนเดิมและเดินออกไปจากห้องอย่างเย็นชา จนกระทั่งเกิดฉากเสียน้ำตา ใบหน้าสวยเปียกปอนตอนที่ยืนนิ่ง แล้วทิ้งไว้แค่เพียงอาการบวมของเปลือกตากับสีหน้าหมองเศร้า เอาแต่ทนทุกข์ขนาดลุกนั่งพยายามหาอะไรทำแต่ยังฟุ้งซ่าน เฟยฮวาเริ่มกลัวความห่างเหินมากกว่าเรื่องอนาคตของตัวเอง

ในสภาพที่ต่างคนต่างอยู่แต่ทั้งคู่กลับดูไม่มีความสุขไปพร้อม ๆ กัน คนสองคนเลือกจะหันหลังให้กันและตัดฉากยิ้มแย้มออกไปจากบทละคร ท่ามกลางแสงที่เปิดไว้ให้ความสว่างหลังพระจันทร์เปลี่ยนกะทำงานกับพระอาทิตย์ เฟยฮวาคิดไว้ว่าจะเข้าไปทักทายพ่อค้าอวัยวะอีกครั้ง ร่างบางยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนทั้งที่ค่อนข้างไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย เคยใช้ความสวยให้เป็นประโยชน์แต่กับสถานการณ์แบบนี้อีกคนคงไม่สนใจและขี้คร้านจะไล่ตะเพิดตั้งแต่เห็นหน้า ดังนั้นคนอยากขอแก้ตัวจึงต้องตระเตรียมคำพูดให้ดี อย่าวกวน เอาแต่เนื้อไม่เอาน้ำ แต่ระหว่างที่กำลังซักซ้อมประตูที่ปิดอยู่จู่ ๆ ก็เปิดออกจนสองสายตาหลบกันไม่ทัน นัยน์ตาสีบรั่นดีกับนัยน์ตาสีน้ำตาลผสานกัน ก่อนจะเป็นเฟยฮวาที่สังเกตเห็นเสื้อผ้าหน้าผมของอีกคน หัวค่ำป่านนี้พ่อค้าอวัยวะเตรียมจะไปไหน ใส่สูทซะเต็มยศจนอดไม่ได้ที่จะถาม  “จะไปไหนเหรอ”   

ปกติก็มีแค่ตอนเช้าที่ออกไปทำงาน แต่วันนี้ดันมีงานพิเศษขึ้นมา ก็งานเลี้ยงต้อนรับไอ้เวรที่พยายามจะพาตัวเองเข้ามาสู่วงการมืด แค่ที่จีนยังไม่พอยังอยากจะมีจุดยืนในไทยโดยใช้เงินเป็นใบเบิกทาง สงสัยว่างมากจนต้องหาอะไรทำ 

“ไปงานเลี้ยง”  นี่เป็นประโยคแรกที่อาชายอมพูดกับเฟยฮวาหลังจากผ่านมาแล้วร่วมสามคืนสี่วัน  “ไปด้วยกันไหมล่ะ”  และนี่เป็นประโยคที่สองที่ทำให้ประกายตาคนถูกชักชวนปรากฏความหวังขึ้นมา  “เผื่อนายจะอยากไปหาผัวเก่า”  ก่อนประโยคที่สามจะทำเอากลับไปเซื่องซึม

ลืมอารมณ์อยากไปด้วยจนหมดเพราะคำพูดประชดประชัน เฟยฮวาปฏิเสธด้วยการส่ายหน้า แต่สุดท้ายก็ถูกบังคับให้มาด้วยอยู่ดี เนื่องจากคนที่บังคับอยากจะเห็นท่าทีของร่างบางเวลาอยู่กับไอ้เวรนั่นอีกครั้ง เพื่อจะได้ตัดความลังเลหนึ่งอย่างออกไป อยากจะรู้ว่าไม่ได้รักหยางไอจริงเหรอ แล้วพอพาเข้ามาในงานเลี้ยงพ่อค้าอวัยวะก็เริ่มปฏิบัติการปล่อยร่างบางให้ยืนอยู่เพียงลำพัง เฟยฮวาซึ่งสวมชุดสูทขนาดพอดีหลังจากที่แวะเช่าระหว่างเดินทางมายืนลังเลว่าจะขยับไปรวมกลุ่มกับพ่อค้าอวัยวะดีไหมหรือจะแฝงตัวไปกับผ้าม่าน เพราะไม่รู้จักใครสักคนในงาน มีแต่คนทำงานด้านมืดที่มารวมตัวกันท่ามกลางแสงไฟที่ให้ความสว่าง แล้วคนอย่างร่างบางก็เตะตาน้อยที่ไหน

เดิมทีคงไม่มีใครกล้าแหยมเพราะดันมากับคนชื่ออาชา แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันมันมีคนนึงที่กล้ามากพอก็หยางไอเจ้าเก่าที่เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจและมือยังไวเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด โอบเอวร่างบางเข้ามาชิดกับสีข้างตัวเองและถ้าไม่ติดว่าคนเยอะคงมีการละเลงจูบเพื่อรำลึกความหลัง อยากจะกกกอดนอนเคียงกายร่างเสี่ยวเฟยฮวาจะแย่

“ปล่อยฉัน”  แต่คงมีแค่เจ้าพ่อเงินกู้ที่คิดแบบนั้น เฟยฮวารีบดันตัวเองออกเพราะรังเกียจ ขนลุกและขยะแขยง หยางไอเหมือนของแสลงที่แค่เห็นก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะร่างบางอยู่ด้วยความอดทนจนได้อิสระมากอบกุมไว้ และจะไม่มีทางกลับไปอยู่ในกรงนกอีก  “ฉันบอกให้ปล่อย”

“ทำไม จะไปหาผัวใหม่งั้นสิ”  แต่ก่อนไม่ให้สะดีดสะดิ้งมากแต่หลังจากมีอีกคนคุ้มกะลาหัวเลยเพิ่งคิดเล่นตัวขึ้นมาสินะ  “ดูให้ดี ๆ สิเฟยฮวาที่รัก มันไม่ได้สนใจอะไรนายเลยสักนิด”  และหยางไอเป็นคนบังคับร่างบางให้หันกลับไปมองบุคคลที่สามซึ่งกำลังคุยกับคนอื่นอยู่อย่างออกรส

จนนึกว่าเป็นคนละคนกับที่อยู่คอนโด อาชาดูมีความสุขดี ยิ้มทีก็ยังดูมีเสน่ห์ ผิดกับเฟยฮวาที่ขยับปากพูดไม่ออก จะบอกปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้เพราะท่าทางของอีกคนก็ดูไม่สนใจตนแล้วจริง ๆ  “นายก็เห็นนี่ว่ามันไม่เอานายแล้ว”  วันก่อนยุอีกคนที วันนี้ก็มายุคนนึงต่อ ไม่รู้ว่าจะนิยามหยางไอด้วยคำว่าอะไร แต่นับเป็นความร้ายกาจและชาญฉลาดในการใช้คำพูด  “ไม่มีใครอยากอยู่กับคนมีอดีตอย่างนายหรอกนะที่รัก”

โชคดีว่าคนฟังเป็นเฟยฮวาซึ่งค่อนข้างรู้กมลสันดานหยางไอดีจึงไม่มีท่าทีโอนอ่อนสักเท่าไหร่และเลือกตอกกลับไป  “งั้นฉันก็จะอยู่คนเดียว”  แล้วสะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุม   

“กลับไปกับฉันดีกว่าน่าเฟยฮวา ฉันจะลืมทุกอย่างที่นายเคยทำกับฉันไว้” 

รวมถึงเรื่องที่ร่างบางเคยใช้มีดแทงตนก่อนจะหนีมาประเทศไทยคนเดียวด้วย

“ฉันพร้อมอภัยให้นายได้เสมอนะที่รัก”  กระซิบข้างใบหูขาวเป่าหูเหมือนพ่อมดร้าย   

“แต่ฉันไม่มีทางให้อภัยลูกชายคนที่ฆ่าพ่อแม่ฉัน…”  เฟยฮวาตัดสินใจผลักอีกคนจนกระเด็นก่อนจะถูกกระชากจนช่วงแขนแทบหลุดจากบริเวณหัวไหล่ ร่างบางไม่มีทางเลือกมากนักเลยพยายามส่งสายตาหาพ่อค้าอวัยวะให้ช่วย ด้วยความที่คล้ายเหตุทะเลาะวิวาทจนคนผ่านไปผ่านมาเริ่มมองอย่างสนใจ มีเพียงคนเดียวที่ชายตามองมาแล้วเบือนหนีไป นั่นทำให้เฟยฮวาต้องช่วยตัวเองไปโดยปริยายด้วยการยื้อ

สู้มือใหญ่ด้วยการชักท่อนแขนกลับก่อนอีกคนจะขย้ำเนื้อต้นแขน บีบแน่นจนมั่นใจว่าผิวหนังใต้ร่มผ้าต้องขึ้นเป็นรอยและคนโดนกระทำเกือบร้องไห้ซึ่งไม่ใช่ความเจ็บแต่เพราะความน้อยใจล้วน ๆ ต้องให้ด่วนจากไปก่อนใช่ไหมถึงจะพอใจ สายตาตัดพ้อมองไปยังอาชา จนน้ำตาไหลหนึ่งหยดระหว่างสองคนยื้อแย่ง หยางไอหงุดหงิดจนเริ่มออกแรงใช้กำลัง

ฝ่ามือหนึ่งง้างขึ้นกลางอากาศเพราะตั้งใจจะตบร่างบางโดยไม่เกรงใจสถานที่ คนสัญชาติจีนไม่สนใจประชาชีที่มองมาอย่างตกตะลึงแต่ก็ไม่มีใครกล้าทะลึ่งพรวดเข้ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน

เฟยฮวาจำเป็นต้องเอาตัวรอดเหมือนกับในช่วงตอนที่ยังเป็นเด็ก จำได้ว่าตอนยังเล็กตนเลือกหลับตาลงเพื่อไม่ให้เห็นภาพอันโหดร้าย ร่างบางรู้ว่าสุดท้ายฝ่ามือใหญ่จะสัมผัสเข้าที่ข้างแก้ม ความป่าเถื่อนจะแนบลงมาเวลาที่มีพฤติกรรมดื้อรั้น เฟยฮวาจึงหลับตาและกัดฟันรออย่างยอมรับชะตากรรม รออยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้สัมผัสความเจ็บปวดสักที

จนในวินาทีที่ลืมตา น้ำสีใสก็ยิ่งไหลบ่า นึกว่าจะปล่อยให้ตายแล้วค่อยเข้ามาเก็บร่างกันซะอีก เฟยฮวาพยายามฝืนฉีกยิ้มด้วยความดีใจที่สุดท้ายก็มีคนพร้อมจะยอมปกป้องสักที แถมยังเป็นคนที่คาดหวังว่าอยากให้เป็น แม้มีน้ำตาคอยบดบังการมองเห็นแต่ใบหน้าอีกคนก็ยังเด่นชัด เห็นแววตามุ่งมั่นยามหันกระบอกปืนเข้าจี้ที่หน้าผากคนซึ่งยังวาดมืออยู่ในอากาศ หยางไอชะงักไปยามความเย็นจากปลายปืนสีดำขลับชนเข้าที่ผิวหนังอย่างกับจะบอกว่าไม่ได้ขู่แต่กูเอาจริง อาชาก็ยังคือกระทิงเลือดร้อนตอนวางนิ้วอยู่ในตำแหน่งเตรียมลั่นไก  “จะตบเมียกู ต้องข้ามศพกูไปก่อน…” 











----------------------------------------------------
Tag  #PONR  #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน  ลั่นดาล 

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.X (21/10)
«ตอบ #32 เมื่อ21-10-2018 22:21:10 »

ดีที่อาชาจบสวย
จะไปขโมยน้องเฟยฮวาคนสวยมาไว้ที่บ้านอยู่แล้ว

ดีใจที่อาชาหมางเมินเฟยฮวาจบในตอนเดียว
ไอ้หยางไอคนยุแยงตะแคงรั่วต้องโดนจัดการ


 :pig4:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.X (21/10)
«ตอบ #33 เมื่อ22-10-2018 06:14:59 »

คิดถึงน้องเฟยยยยยย​ พระเอกมาช่วยล้าว
'จะตบเมียกู​ ข้ามศพกูไปก่อน'​ :mew1: :oo1:

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.X (21/10)
«ตอบ #34 เมื่อ25-10-2018 19:15:49 »

XI



“เมีย? เมียมือสองน่ะเหรอ แกยังไม่เข้าใจที่ฉันเคยบอกไปหรือไง”  หยางไอนึกว่าชายตรงหน้าจะฉลาด ที่ไหนได้โง่เหมือนกันที่ดูไม่ออกว่าร่างบางกำลังหลอกใช้แล้วก็โง่ขนาดไม่สนใจคำตักเตือน เพื่อนอุตส่าห์ช่วยแนะนำ กลัวว่าจะฉิบหายเลยอยากให้อยู่ห่าง ๆ ตัวอัปมงคล   

“รู้ไหมลีลาที่เฟยฮวาเคยใช้กับแก ฉันก็เป็นคนสอนงานทั้งนั้น”

“ชีวิตนี้คงภูมิใจเป็นอยู่เรื่องเดียวสินะ ทำไม ปมในชีวิตเยอะจนต้องเอาเรื่องบนเตียงมาข่ม…?”  ลมปากคนเป็นเรื่องที่จะปรุงแต่งยังไงก็ได้ แล้วแม้ว่าอีกคนจะเอ่ยความจริงแต่นี่ก็คือสิ่งที่พ่อค้าอวัยวะเลือกแล้วหลังจากยืนทนมองคนรักถูกรังแกต่อไปไม่ได้  “ไม่รู้จะสมเพชหรือเวทนาดีนะที่มีเมียคนเดียวแต่ดันรักษาไว้ไม่ได้ แถมเขายังหนีมาอีก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

“มึง!”  ชายสัญชาติจีนทำท่าจะทะลึ่งพรวดเข้าหา สงสัยจะลืมไปว่ามีปืนจี้หน้าผาก อาชาจึงต้องย้ำให้รู้สึกจนเกิดเสียงกระแทกดังกึก นึกว่าจะเกิดศึกชิงนางและทางคนคุมสำนักงานใหญ่เห็นว่าท่าไม่ดีเลยรีบปรี่เข้ามาขอไว้ คนถือปืนถึงได้ค่อย ๆ ยอมลดอาวุธลงไว้ข้างลำตัว   

กลัวแทบตายว่างานรื่นเริงจะกลายเป็นงานศพแต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ก่อนที่คนพกอาวุธเข้ามาในงานจะขอตัวกลับก่อนเวลาและมือกร้านก็ไม่ลืมคว้าข้อแขนเล็กติดมือมาด้วย ฉุดคนสวยน้ำตานองหน้าให้ออกมาเจอกับลูกน้องซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูทางออกด้วยกัน

เฟยฮวายังสะอึกสะอื้นระหว่างยืนอยู่ท่ามกลางการอารักขาของชายชุดดำยามโดยสารอยู่ในลิฟต์ แล้วสัมผัสที่บีบฝ่ามือเบา ๆ ก็ทำให้ก้มมองจนกลายเป็นยิ่งร้องไห้หนัก แม้คนเย็นชาจะหันหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยังยืนกุมมือนิ่มไม่ปล่อยพลางค่อย ๆ ผสานนิ้ว เห็นใจแข็งแต่พอเห็นน้ำตามาก ๆ ก็ใจหวิวอยู่เหมือนกัน แต่ครั้นจะให้ปลอบโยนกันง่าย ๆ ก็ดูจะใจดีไปนิด คิดจะดัดนิสัยต้องเอาให้สุด อาชาพูดกับแค่ลูกน้องว่าจะเป็นคนขับกลับคอนโดเองเท่านั้น

ภายในรถพ่อค้าอวัยวะไม่แม้จะคุยกับเฟยฮวาที่ใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ดวงตาบวมช้ำมองวิวยามวิกาลผ่านกระจกหน้าต่าง ร่างบางแค่กำลังรวบรวมความกล้าก่อนหันกลับเข้ามาอีกทีเมื่อรถติดสัญญาณไฟแดง  “ฉันขอโทษ”     

ไม่อายที่จะต้องขอโทษก่อนเมื่อเป็นฝ่ายผิดและเพราะคิดดีแล้วถึงได้เริ่มพูดประโยคอ้อนวอน เฟยฮวาไม่อยากนอนกอดตัวเองอีกแล้ว  “อย่าเมินฉันเลยนะ ฉันไม่เหลือใครแล้ว”  แววตาเศร้าสร้อยมองเสี้ยวหน้าของสารถีที่ยังมองตรงไปข้างหน้าจนทำให้ไม่เห็นว่าแท้จริงส่อนัยน์ตาแบบไหน  “ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าไล่ฉันไปเลยนะ”  ท้ายประโยคจบลงพอดีกับที่รถสามารถออกตัวได้ แต่แทนที่สี่ล้อจะขับไปตามถนน รถยนต์นำเข้ากับเปิดไฟท้ายหักเลี้ยวขอเข้าข้างทาง ไฟท้ายส้มแดงสว่างวับ ณ เวลาเดียวกับที่ริมฝีปากบางจากฝั่งคนขับขยับเข้าบดเบียดริมฝีปากอิ่ม

อาชาได้ลิ้มรสชาติความเค็มจากคราบน้ำตาที่ติดปากกระจับขณะค้นพบว่าตัวเองโหยหาสัมผัสอันเกิดจากเฟยฮวาเหมือนกับวันแรกที่ได้จับต้อง แสนคิดถึงคนที่จู่ ๆ ก็ประหม่าตอนจะยกแขนคล้องคอ เพราะร่างบางไม่มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองยังมีสิทธิ์ จนพ่อค้าอวัยวะยิ่งเคลื่อนชิด คนคิดมากจึงยอมปิดเปลือกตาลงก่อนจะหลงอยู่ในรสจูบที่ห่างหาย

เริ่มถ่ายทอดความคิดถึงผ่านท่าทาง ให้ริมฝีปากแนบสนิทชิดใกล้เหมือนวันก่อน ๆ จากต่างฝ่ายต่างก็ปากหนักเหลือเพียงความอ่อนยวบยาบ สัมผัสเนิบนาบบอกว่าไม่ได้อยู่แค่เพียงลำพัง ยังมีกันและกันท่ามกลางความวุ่นวาย จนรถขับผ่านไปหลายคันคนสองคนถึงเพิ่งได้ฤกษ์แยกย้าย

ก่อนจะเตลิดไปไกลพ่อค้าอวัยวะแค่อยากถามทั้งที่ก็เห็นความจริงมากับตาตัวเองแล้ว  “นายไม่ได้รักมันจริง ๆ ใช่ไหม”  นัยน์ตาคาดหวังจ้องลึกเข้ายังลูกตากวาง กระทั่งร่างบางส่ายหน้าโดยไม่ลังเล ใจที่เคยกรุ่นโกรธก็แยกโทษให้หมดแล้ว  “งั้นก็ดี ถ้าฉันเผลอฆ่ามันตายจะได้ไม่มีใครมานั่งร้องห่มร้องไห้เพราะเสียใจ”

เฟยฮวาเบาใจเรื่องที่ชายหนุ่มเหมือนจะหายโกรธจนยอมคุยด้วยแต่ในขณะเดียวกันก็หนักใจกับประโยคพร้อมฆ่าคนตายของคนที่ยังไม่ยอมเคลื่อนหน้าไปไกล  “อย่าให้ถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยนะ”

“ทำไม ตกลงยังเป็นห่วงมัน?”

“ฉันเป็นห่วงนาย หยางไอไม่ใช่คนดี หมอนั่นเลวได้มากกว่าที่นายคิดซะอีก”

“ฉันก็เลวได้ไม่ต่างจากมันนักหรอก นายคิดว่าถ้าฉันหยุดแล้วมันจะยอมหยุดด้วยหรือไง”  อาชาพูดถูกต้องและนั่นเป็นความจริงที่ทำให้สีหน้าของร่างบางหม่นหมองลงทันตา  “ถ้าไม่ตายกันไปข้างนึงก็อย่าหวังเลยว่ามันจะเลิกตามตอแย”  เพราะเฟยฮวาตระหนักได้ว่าตัวเองคือพาหะนำพาความอันตรายมาสู่อีกคน  “ฉันขอโทษนะ”  น้ำเสียงละห้อยดังขึ้นในความเงียบ ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจปะปน

อาชาพยายามโทษตัวเองมากกว่าใคร คิดถึงเหตุการณ์ในวันที่ร่างบางขอให้เลี้ยงดูก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่ตกปากรับคำ ถ้าจู่ ๆ ปล่อยมือในวันที่ลำบาก หากทำแบบนั้นลงไปมีหวังคงตกนรกหลายขุมน่าจะตกหลุมลึกกว่าเดิม ในเมื่อเริ่มมาด้วยกันแล้วก็ต้องถึงจุดหมายปลายทางด้วยกันอย่างปลอดภัย จะลองเชื่อใจร่างบางดูอีกสักครั้ง ถ้าจะพังก็ให้มันรู้ไป อนาคตก็คืออนาคตจริงไหม จะไปเดือดเนื้อร้อนใจกับมันทำไมกัน สู้อยู่กับปัจจุบัน ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ทุกอย่าง

“ฉันยกโทษให้”  พ่อค้าอวัยวะยืนยันผ่านคำพูดแล้วรุดใบหน้าเข้าใกล้จากที่ใกล้อยู่แล้ว แสงไฟจากรวงร้านข้างทางทำให้เห็นแววตาของกันและกันอย่างชัดเจน  “แต่ทำยังไงก็ได้ให้ฉันรู้สึกว่านายไม่ได้อยู่กับฉันเพราะความจำเป็น”  จนต่างฝ่ายต่างเห็นความหวั่นไหวและรู้สึกใจสั่น   

ด้านในอกซ้ายก้อนเนื้อหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ก่อนสองริมฝีปากจะเคลื่อนเข้าประกบกันอีกหน บดเบียดเสียดสีจนเกิดความร้อนจาง ๆ ทแยงปาก เฟยฮวาจูบตอบอาชาอย่างแผ่วเบาขณะเอาวงแขนรั้งคอแกร่งไว้ ส่วนมือใหญ่ก็รั้งแผ่นหลังบางให้ยิ่งเขยิบเข้าใกล้ท่ามกลางเสียงการจราจรตอนสี่ทุ่มที่ยังมีรถอยู่มากมาย แต่เสียงจ้อแจไม่อาจดึงความสนใจ เสียงหัวใจต่างหากที่กำลังฟัง มันโห่ร้องอย่างยินดีปรีดาเหมือนกับว่ามีงานรื่นเริง

ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผละออกจากกันไม่ทันไร ก็เป็นพ่อค้าอวัยวะที่เข้างับกลีบปากนิ่มลิ้มรสเนื้อหวานราวกับหิวโซ ไม่รู้ว่าอาชาจะยอมกลับมาทำหน้าที่คนขับรถเมื่อไหร่ จนไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้วเกิดซ้ำ เจ้านายก็ทำตามใจโดยไม่สนหัวอกลูกน้องที่ต้องจอดรถรอต่อท้ายอยู่อีกสามคัน ลืมวันลืมคืน ลืมหมดทุกอย่างแค่เพราะได้กกกอดร่างบางอีกครั้ง

นานแสนนานที่ไฟเลี้ยวเข้าข้างทางของรถยังสว่างไสวเหมือนความรู้สึกบางอย่างที่ลุกโชน แต่อัตราการกะพริบของมันคงไม่ไวเท่าอัตราการเต้นของหัวใจคนสองคนที่ยิ่งดึกก็ยิ่งโดนอารมณ์อิทธิพลของดวงจันทร์เข้าครอบงำ

จูบแรกเพื่อรำลึกความหลัง จูบสองเพราะยังรู้สึกไม่พอ จนขอจูบรอบที่สามก็แล้ว แว่ว ๆ ว่าจะมีรอบที่สี่ ดูท่าจะไม่มีใครยอมเสียเวลา ใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าทดแทนกับสี่วันที่เคยเสียไป   










เวลาดึกดื่นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาหรอก แต่เพราะดันได้ยินเสียงก็อกแกกดังอยู่นอกห้องนอน มะตูมถึงได้ลืมตาแล้วลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจอยู่บนเตียงหลังเล็ก ถ้าเป็นคนอื่นแรก ๆ ก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นขโมยขโจรขึ้นบ้าน แต่เมื่อผ่านไปหลายคืนจนกลายเป็นสิบ ๆ วัน ก็รู้ทันว่านั่นคือเสียงของบุคคลที่เพิ่งกลับมาบ้านเอาป่านนี้ 

แถมกลับมาแบบไม่มีสติเหมือนทุกวัน ร่างเล็กชินเสียแล้วกับภาพที่พอเปิดประตูห้องออกมา เมื่อเปิดไฟก็เจอบิดายืนโงนเงนเอนตัวทำท่าจะล้มเนื่องจากดื่มเหล้ามากไป หลังจากหายออกไปจากบ้านเมื่อเย็นก็กลับมาตอนดึกด้วยสภาพเมามาย เดือดร้อนให้คนเป็นลูกรีบเข้าไปประคองเพราะหวิดจะล้มหัวฟาดพื้น แต่พอยืนเองได้ก็โวยวายว่าไม่ต้องมายุ่งกับกู

ฟังดูจากน้ำเสียงก็จะรู้ว่าพ่อไม่รัก ออกแนวชังด้วยซ้ำทำเหมือนอีกคนไม่ใช่ลูกชายด้วยการเริ่มด่าท่อ เวลาเมาทีไรคนเป็นพ่อจะขุดทุกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาพรรณนา หาว่าเพราะลูกชายเมียตนถึงได้ตาย ไม่เคยโทษตัวเองที่เอาเงินไปเล่นการพนันจนหมดเงินในการใช้รักษาพยาบาล สงสัยมะตูมเคยสะสมบาปหนามาจากชาติที่แล้วถึงได้อาภัพซ้ำซ้อน ขนาดตอนที่พยายามทำงานหนักอีกคนก็ยังไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ทุกเงินบาทที่หามาได้ก็ไม่เคยลืมแบ่งปันให้พ่อพอประมาณ แต่ถ้ารู้ว่าการให้เงินอีกคนบ่อย ๆ จะทำให้ยิ่งติดเหล้า ร่างเล็กจะซ่อนกระเป๋าเงินให้มิด

ลูกชายไม่คิดเกรงกลัววิธีคาดคั้นขอเงินของบิดา เวลาเมากลับมาพ่อก็จะอารมณ์ร้ายและใช้ความรุนแรง ไม่แปลกที่จะรู้สึกชินชาเพราะโดนตบหน้าเป็นประจำ จำการบรรยายที่ไปขายแก้วตาแล้วบนหน้ามีร่องรอยฟกช้ำได้ไหม รอยเก่าหายไปรอยใหม่ก็มาทันที เพราะถือคติเป็นลูกที่ดีไม่ควรตอบโต้ผู้มีพระคุณ มะตูมจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้กระทำ จนมุมปากช้ำก็ยังยืนสงบ นัยน์ตากลมโตปรากฏความเรียบเฉย เคยเจอซ้อมมาหนักจนรู้ว่าอีกแป๊บเดียวมันก็จะผ่านไป เมื่อพ่อหายเมามือและเท้าก็จะขยับช้าลง คงยืนได้ไม่นานเท่าไหร่สังเกตจากท่วงท่าที่พร้อมจะล้มพับได้ตลอดเวลา ดังนั้นร่างเล็กจึงแค่ยืนรอเวลาให้อีกคนหมดฤทธิ์ ก่อนจะเป็นคนช่วยหามปีกเข้าห้องนอนหลังจากที่จู่ ๆ พ่อก็วูบหลับไป คนตัวเล็กกำลังพาร่างที่ใหญ่กว่าเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เทซ้ายทีขวาทีแล้วปล่อยร่างหนักลงบนเตียง เพียงแค่ห่มผ้าให้ แล้วค่อยเช็ดเลือดข้างมุมปากตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย

มะตูมเดินกลับเข้ามาในห้องตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับตาและไม่แม้แต่จะคิดหาหยูกยามาใส่บาดแผล แค่ปล่อยให้มันเหือดแห้งไปเองตามธรรมชาติ  รีบหลับเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ยังมีอะไรรอคอยอยู่อีกมากมาย เข้าใจว่าอีกไม่นานความเจ็บช้ำก็จะจางหายจึงไม่ใส่ใจตัวเองเหมือนที่หมอเถื่อนเคยว่า

ร่างเล็กนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองตลอดเวลา แถมยังรีบตื่นมาทำงานแต่เช้า แม่บ้านวัยเยาว์เข้าห้องคนที่ยังไม่ตื่นได้ด้วยเพราะกุญแจสำรองและเริ่มไล่เก็บข้าวของรกรุงรัง เสื้อผ้าทั้งที่ใส่แล้วและยังไม่ได้ใส่ ตบหมอนบนโซฟาให้เข้ารูปเข้ารอยแล้วค่อยไปทำอาหารเช้า

สหรัฐคนขี้เซางัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นข้าวต้มก่อนจะแบกท้องที่มีแต่ลมลุกขึ้นจากเตียง หมอเถื่อนเดินเอียงหัวสะบัดไปมาเพื่อให้สมองตื่น แล้วหยุดยืนเลิกชายเสื้อยืดรัดรูปขึ้นพลางใช้มือเกาหน้าท้องระหว่างมองตามแผ่นหลังแม่บ้านรุ่นจิ๋ว  “มาแต่เช้าเชียวนะวันนี้”

“ผมก็มาแบบนี้ของผมทุกวัน”  หันมาตอบโดยไม่สบตาขณะฉวยภาชนะที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะแก้วแล้วหันกลับไปยืนคนข้าวต้มในหม้อ มะตูมไม่ได้ชวนหมอเถื่อนคุยต่อแต่อย่างใดแต่แล้วก็เกือบทำทัพพีหลุดจากมือเนื่องจากตกใจ เพราะอีกคนพลิกตัวให้หันกลับไปมองอย่างกะทันหัน

จนดวงตาต่างขนาดผสานกันและนั่นทำให้สหรัฐเห็นใบหน้าร่างเล็กชัดๆ ตอนแรกนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นบาดแผลเพราะยังตื่นไม่เต็มตา แต่พอได้เห็นในระยะใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นหมอหรือเปล่าที่ทำให้มีเลือดห่วงคนไข้หรือความจริงแล้วกำลังห่วงในฐานะผู้ชายคนนึง   

“หน้านายไปโดนอะไรมา”  ฝ่ามือหนากุมแก้มนิ่มแผ่วเบา หัวแม่โป้งลูบเข้าที่รอยช้ำข้างมุมปากจนร่างเล็กอึกอักทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเงยหน้าให้สัมผัสและรับรู้ความอบอุ่นแรกหลังจากที่ไม่ได้รับมานาน

หรือว่าวันร้าย ๆ กำลังจะผ่านพ้นไปเพราะผู้ชายที่แสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อน

ตอนช่วยทำแผล ดวงตากลมโตมองแค่สัดส่วนบนใบหน้าของอีกคนจนโดนมองตอบถึงได้หลบตา สหรัฐมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำต่อเล็กน้อยแล้วส่ายหัวทั้งที่ยิ้มบางๆ ขำร่างเล็กสงสัยเด็กจะเพิ่งเคยมีใครดูแลและในขณะที่รู้สึกห่วงใย สหรัฐจะดีใจมากนะถ้าตัวเองคือคนแรกที่ได้ทำแผลให้มะตูม     

ด้วยความที่อยู่ในช่วงเจ้าหน้าที่คุมเข้ม กิจการค้าอวัยวะจึงจำเป็นต้องหยุดต่ออีกสองสามวัน ดังนั้นวันทั้งวันหมอเถื่อนเลยได้มีเวลาพักอยู่แต่กับห้องและมีเวลามากพอจะคาดคั้นร่างเล็กว่าได้บาดแผลมาจากไหน ตามตื๊อจะเอาคำตอบให้ได้แต่ถามเท่าไหร่อีกคนก็เอาแต่ตอบว่าหกล้ม มะตูมเอาแต่อมพะนำจนสหรัฐเองก็ไม่อยากจะวอแวและแม้จะรู้ดีว่าร่างเล็กโกหกก็ไม่โกรธ คนเรามีเหตุผลในการปกปิดบางอย่างเสมอนั่นแหละ

“ถ้าฉันรับอุปการะเด็ก นายว่าจะเป็นยังไง”  ระหว่างนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันบนโต๊ะแก้ว เสียงนุ่มที่เอ่ยถามแบบไม่มีการเกริ่นนำก็ทำให้แก้วตากลมโตยอมเลิกก้มมองจานแล้วเงยหน้าขึ้นแทน

“แล้วพี่มาถามผมทำไม”  เอ่ยถามกลับอย่างซื่อ ๆ

“ก็ภายในห้องนี้มีแค่ฉันกับนาย”  ร่างเล็กค่อย ๆ พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจหลังได้ยินคำตอบ

แล้วค่อยวกกลับมาตอบคำถามที่เคยถูกถามค้างไว้  “ผมว่าก็ดีครับ” 

ในฐานะที่รู้ซึ้งถึงความลำบากคงจะดีมาก ๆ ถ้ามีใครสักคนรับเด็กน้อยไปดูแลตั้งแต่แบเบาะและส่งเสียให้มีการศึกษา โตมาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ แถมสหรัฐก็ดูไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไร น่าจะเป็นเสาหลักให้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะปล่อยให้อีกคนเอ่ยต่อ มะตูมขอถามอีกสักเล็กน้อยเพราะยังแอบสงสัย  “แล้วพี่ไม่อยากแต่งงานมีลูกเองเหรอครับ ภรรยาในอนาคตจะยอมรับได้เหรอถ้ารู้ว่าพี่รับเลี้ยงเด็กทารกไว้ก่อนแต่งงานน่ะ”

“เด็กทารกที่ไหน”  หมอเถื่อนถามเสียงสูงขณะขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่คนนั่งฝั่งตรงข้ามถาม  “นายไง…”  สหรัฐชี้หน้าร่างเล็กด้วยส้อมเป็นการย้ำแล้วค่อยใช้ส้อมอันเดิมจิ้มเนื้อหมูเข้าปากระหว่างอธิบายด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ  “เด็กที่ว่าฉันหมายถึงนาย” 

อย่าเพิ่งคิดว่ามีเงินเหลือใช้ แต่จริง ๆ ก็มีเหลือพอจ่ายค่าเทอมโรงเรียนเอกชนนั่นแหละ

หลังจากนั่งตะแคงนอนตะแคงคิดมาทั้งคืน เดิมทีก็ไม่ใช่ประเภทจะยื่นเงินให้ทุกคนที่ตกยากหรอก แต่มะตูมถือเป็นกรณียกเว้น ดันไปล่วงรู้และเห็นชีวิตความเป็นอยู่เข้าเลยยากจะทำเป็นไม่สนใจ ทั้งอายุก็ไม่มาก โรงเรียนก็ไม่ได้ไป ไหนจะมีพ่อที่ดูท่าขี้เมาเอาเงินไปลงกับเหล้าอีก

วันนั้นที่ไปส่งถึงบ้านหมอเถื่อนแทบหลีกให้ชายวัยกลางคนอ้วกไม่ทันและดันได้รู้ธาตุแท้ตอนผู้ใหญ่แบเงินขอธนบัตรหลังจากแนะนำตัวว่าเป็นนายจ้างของร่างเล็กที่ยืนหน้าเสีย ถ้าให้เดาสหรัฐว่ารอยช้ำบนแก้มนิ่มก็คงไม่พ้นฝีมือคนเมาหรอก นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้รีบออกปากขอรับอุปการะคนที่นิ่งเงียบไป มะตูมแค่คิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด 
   
“ผมเหรอ?”

“ถ้าอยากกลับไปเรียนหนังสือ ฉันก็จะส่งให้เรียน”  หมอเถื่อนดูไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ยังเจริญอาหารเย็นได้ดี ผิดกับร่างเล็กที่เลิกสนใจอาหารและเริ่มจ้องหน้าคนพูดจาเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย มะตูมพยายามจะมองหาท่าทีล้อเล่น ซึ่งพอดีกับที่สหรัฐเงยหน้ามาเห็น ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นการถามร่างเล็กว่ามีอะไร 

“ทำไมพี่ถึงต้องดีกับผมมากขนาดนี้ด้วย”

“แล้วไม่ดีหรือไงที่มีคนรัก เอ่อ …หมายถึงคนเอ็นดูน่ะ”

“ตอบให้ตรงคำถามหน่อยสิ”  เมื่อเห็นมะตูมจริงจัง สหรัฐเลยนั่งหลังตรงและวางช้อนลงบ้าง  “ฉันเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องชาย แล้วพอเจอนายก็ถูกชะตาดี ถือเป็นนุ่งเป็นน้องคนนึง”

“น้องชาย?”

“หรือถ้าอยากเป็นมากกว่านั้นก็บอกกันได้นะ”  เผลอหลุดปากจากที่ยิ้มหน้าระรื่นต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เรื่องกำลังจะดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่หลุดพูดความในใจลึก ๆ ที่อุตส่าห์แอบซ่อนไว้

สหรัฐรีบยกมือยกไม้โบกสะบัดปฏิเสธหน้าตายขณะมะตูมใช้นัยน์ตาโปน ๆ จ้อง บอกไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไร ไม่รู้ว่าโกรธกันหรือเปล่าหรือตกลงจะเอายังไง ร่างเล็กเงียบไปเกือบห้านาทีขณะที่หมอเถื่อนเริ่มก้มหน้าก้มตาหาอะไรทำ พอจับช้อนได้ก็ตักน้ำแกงเข้าปากไปพลาง ๆ

“ผมต้องคุยกับพ่อก่อน”  ก่อนคนนั่งซดน้ำจะชะงักแล้วเงยคางขึ้นทั้งที่ช้อนยังคาริมฝีปาก

ส่วนร่างเล็กก็เริ่มจับช้อนอีกครั้งขณะเอ่ยต่อเสียงเรียบ  “เรื่องส่งเรียนห้ามคืนคำเด็ดขาดนะ”  มะตูมก้มหน้าตักข้าวเข้าปากพลางยิ้มบาง ๆ ยามเห็นหมูหนึ่งชิ้นมีคนสละไม่กินแล้วตักใส่จานให้













ตามประสาคนมีเงินจะออกมาเดินเที่ยวห้างบ้างก็ไม่แปลก คนทั้งคู่เลือกทานอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อแรกของวันตอนเข็มสั้นชี้เลขหนึ่งส่วนเข็มยาวชี้เลขสิบสอง เพราะเมื่อคืนดันสนุกกันจนเพลินไปหน่อยพลอยทำให้ตื่นสาย ไหนกว่าจะได้อาบน้ำอีกล่ะ เฟยฮวานึกว่าตัวเองมีลูกที่ต้องคอยดูแล พอแต่งตัวให้คนแก้ผ้าเสร็จถึงได้ฤกษ์เสด็จออกจากคอนโด

ปัจจุบันอาชานั่งด้านนอกและให้ร่างบางนั่งด้านใน สลับกันป้อนใช้ช้อนร่วมกันอย่างไม่นึกรังเกียจท่ามกลางเสียงลุ้น  “อ้ามมม”  พูดก็พูดเถอะเฟยฮวากำลังอายแปลก ๆ จนต้องมองซ้ายมองขวาแล้วเอามือป้องปากเวลาอ้างับช้อน

ตอนจะดีก็ดีใจหาย ตอนจะร้ายก็ร้ายจนน่ากลัวนั่นคือคำนิยามของพ่อค้าอวัยวะ คนเมื่อสองสามวันก่อนกับคนในวันนี้เรียกได้ว่ามีพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่จำเป็นต้องสังเกตให้วุ่นวายแค่การคีบเส้นให้แล้วคอยใช้กระดาษทิชชู่ช่วยเช็ดนั่นก็ไม่ใช่อิริยาบถปกติแล้ว ส่วนเรื่องแววตาไม่ต้องพูดถึง มีแต่ความทะลึ่งตึงตังมองร่างบางอย่างกับกินแทนซูชิ เฟยฮวาแกล้งทำสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วท้ายที่สุดก็หลุดหัวเราะเพราะอีกคนดัดเสียงเล็กเสียงน้อย อ้อนด้วยน้ำเสียงสองขณะฉวยมือนิ่มขึ้นไปหอมไปดม เอามืออีกข้างช่วยทัดปอยผมที่แอบหยักศกกับใบหูเล็กพลางเอ่ยถึงกำหนดการ วันนี้ทั้งวันพ่อค้าอวัยวะจะให้เวลากับร่างบางเต็มที่

แต่พูดยังไม่ทันขาดคำจู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดัง อาชาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วทำท่าจะไม่ยอมรับ รอให้เสียงเรียกเข้าดับไปเองในคราแรกและเมื่อมันดังในหนที่สองจนเริ่มรอบที่สาม เฟยฮวาไม่อยากให้อีกคนเสียงานเพราะตนเลยพยักหน้าอนุญาต อาชาตัดสินใจกดรับและทำมือทำไม้ขอเวลาออกไปคุยนอกร้านอาหารที่มีคนพลุกพล่านสักครู่ แต่แม้ตัวจะอยู่ไกลกันประมาณสี่เมตร แต่คนสองคนก็ยังเห็นกันผ่านกระจกร้าน

เฟยฮวานั่งเท้าค้างมองคนยืนเท้าเอวคุยโทรศัพท์ พ่อค้าอวัยวะโบกมือรับจนริมฝีปากอิ่มเผลอยิ้มหวานให้ นัยน์ตาสีน้ำตาลไล่มองสัดส่วนบนใบหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเพลิดเพลินกระทั่งขายาวเดินกลับเข้ามาในร้าน ร่างบางถึงได้รีบหันตัวกลับมาอีกด้านและทันเห็นอีกคนถอนหายใจขณะนั่งลงข้าง ๆ

“มีอะไรเหรอ”

“คนจากสำนักใหญ่เรียกตัว”

“งั้นก็ไปกันเลยสิ”  เฟยฮวาทำท่าจะลุกขึ้นยืนในทันทีที่พูดจบแต่มือกร้านก็รีบห้ามจับเอวคอดให้นั่งลงตามเดิม  “แต่ฉันสัญญาแล้วว่าจะให้เวลากับนายทั้งวัน”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันไปสำนักงานใหญ่กับนายก็ถือว่าได้ใช้เวลาด้วยกันแล้วนะ”

“มันต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ”  อุตส่าห์ได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งทีมันก็ต้องมีไปดูหนังฟังเพลงเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ ไม่ใช่จบวันหวาน ๆ ด้วยการที่ตนเข้าไปคุยงานและให้ร่างบางนั่งรออยู่หน้าห้องจนไม่ต้องไปไหนกันต่ออีก ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจึงกำลังคิดวิธีหลีกเลี่ยงหาข้ออ้างเฉไฉ

ขณะร่างบางเหมือนจะปิ๊งไอเดียออก  “งั้นนายรีบไปรีบมาดีไหม เดี๋ยวฉันรอที่นี่เอง”  เฟยฮวาเสนอความคิด ซึ่งมันก็คล้ายจะเป็นทางออกที่ดีถ้าไม่ติดอยู่ที่เรื่องนึง  “แต่มันอันตรายนะ”

มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อาชาไม่ไว้ใจให้ใครดูแลร่างบางนอกจากตัวเองจริง ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดเรื่องความปลอดภัยของเฟยฮวา จนคนนั่งมองทนดูใบหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ไหวพยายามใช้น้ำเสียงนุ่ม ๆ เข้าลูบ 

“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา แล้วนายจะเอายังไงล่ะ”  เฟยฮวาถามด้วยความสงสัยก่อนตบท้ายด้วยมุกที่คงพอทำให้พ่อค้าอวัยวะมีอารมณ์ขันขึ้นมาบ้าง  “ห้ามตอบว่าเอาฉันนะ”

ซึ่งก็เป็นไปตามคาด อาชาหลุดยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยิน  “รู้ทันอีก” 

“ฉันอยู่ได้”  เห็นอีกคนกำลังสบายใจเลยใช้โอกาสนี้ยืนยันอย่างหนักแน่น ฝ่ามือนิ่มวางบนท่อนแขนแกร่งแล้วลูบเบา ๆ เพื่อให้เบาใจ

สุดท้ายอาชาก็ยอมตกลง ไม่อยากขัดใจคนนัยน์ตาเป็นประกายแต่ก่อนจะไปก็ต้องอธิบายข้อแม้กันก่อน 

“งั้นฉันจะให้ลูกน้องทั้งหมดอยู่กับนายที่นี่ โอเคไหม”  พอเห็นใบหน้าสวยพยักขึ้นลงจึงได้พูดเรื่องต่อไปต่อ  “และนายต้องนั่งอยู่แต่ในร้านนี้ สั่งทุกอย่างมากินได้เลยระหว่างรอฉันกลับมา”

“มีหวังท้องแตกตายกันพอดี”

“แล้วฉันจะรีบไปรีบมา”  คนอยู่สีหน้าเป็นปกติ มีแต่คนจะไปที่ทำหน้างอไม่พอใจ

เฟยฮวาให้รางวัลก่อนไปทำงาน มองซ้ายมองขวาแล้วคว้ามือกร้านมาหอม ไม่ยอมทำมากกว่านั้นเพราะจำนวนคนในร้านก่อนจะยกมือโบกให้ยามพ่อค้าอวัยวะเดินผ่านกระจก ร่างบางเห็นอีกคนยืนตกลงกับลูกน้องแค่ชั่วครู่แล้วรีบก้าวเดินไปจนหายลับจากสายตา

กระทั่งนัยน์ตาสีน้ำตาลหันกลับมาเห็นจำนวนอาหารบนโต๊ะแล้วก็ต้องถอนหายใจ อะไรจะมากมายขนาดนี้ตอนที่อยู่กันสองคนก็ไม่เห็นจะดูเยอะแยะสักเท่าไหร่ แต่พอเหลือตัวเดียวก็กลายเป็นกองพะเนินเท่าภูเขา ตอนที่พ่อค้าอวัยวะกลับมายังไม่รู้เลยว่าจะจัดการหมดหรือเปล่าเถอะ

จนดวงตากลมหันไปเจอเหล่าลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าร้านอาหาร เฟยฮวาทำการกวักมือเรียกให้เข้ามาด้านในแล้วเอ่ยเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามว่ากินด้วยกันไหม โดยที่รู้ว่าอีกหกคนจะส่ายหน้าปฏิเสธ พอเห็นเป็นเช่นนั้นเลยเปลี่ยนเป็นประโยคคำสั่ง อ้างสิทธิ์ความเป็นเมียเจ้านายชี้นิ้วให้ลูกน้องนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วกินทุกอย่างแทนตนหรือจนกว่าอาหารทุกจานจะหมด 

ร่างบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่ออีกหกคนเชื่อฟังนั่งเกร็งเวลาขยับตะเกียบคีบเส้น เห็นจะไม่พอกินเลยเลื่อนจานอื่น ๆเข้าไปให้จนลูกน้องต้องรีบก้มหัวกันเป็นพัลวัน เฟยฮวากวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารแบบกลับบ้านอีกหลาย ๆ ชุด ใจดีแบบสุด ๆ ในวันที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากที่ร่ายรายการอาหารที่จะซื้อกลับไปฝากพวกลูกน้องพ่อค้าอวัยวะเสร็จ ร่างบางก็ลุกขึ้นยืนจนลูกน้องที่เหลือลุกขึ้นตามมือยังถือชามไม่ปล่อย เฟยฮวาหัวเราะเล็กน้อยแล้วบอกทุกคนว่าไม่ต้องตามไปหรอกฉันแค่จะออกไปเข้าห้องน้ำข้าง ๆ พูดจบร่างบางก็หมุนตัวออกไปจากร้าน

คนแวะมาเข้าห้องน้ำใช้เวลาทำธุระส่วนตัวแค่ไม่นานและกำลังล้างมืออยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ เฟยฮวายิ้มให้ตัวเองระหว่างสะบัด ๆ มือไปด้วย ฝึกยิ้มสวย ๆ รอต้อนรับอีกคนกลับมา แล้วค่อยเดินออกมาเกือบจะถึงหน้าประตู แต่จู่ ๆ ก็สะดุ้งตกใจยามที่ชายชุดดำก้มหน้าก้มตาเข้ามาดัก

“มีอะไร อาชามาแล้วเหรอ”

“พอดีนายโทรมาตามให้คุณเฟยฮวากลับไปที่คอนโดด่วนครับ”

“มีเรื่องอะไรเหรอ” 

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ”  ร่างบางย่นคิ้วด้วยความสงสัยแต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าถ้าปุบปับจะให้กลับแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน คนต้องกลับจึงไม่เกี่ยงงอนหรือดึงเวลาเพื่อถามอะไรซอกแซก แค่จะแวะกลับไปจัดการเคลียร์บิลในร้านอาหารก่อน แต่ท่อนแขนใต้สูทสีดำก็ยื่นขวางทางพลางพูดว่าทุกคนไปรอที่รถกันหมดแล้วครับ 

คนเป็นเมียพ่อค้าอวัยวะจึงพยักหน้ารับแบบเข้าใจระคนมึนงง  “เชิญทางนี้ครับ”

เฟยฮวาเดินตามการนำทางของชายชุดดำที่พาลัดเลาะผ่านผู้คนมากมายจนมาเจอทางออกที่เชื่อมกับลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า เห็นว่ามีรถสีดำมาจอดเทียบท่ารอรับ แทบจะไม่ต้องเดินไปไกลก็ได้ก้าวขึ้นรถขณะคนด้านนอกรีบปิดประตูให้ ชายชุดดำรีบเดินอ้อมบริเวณหน้ารถยนต์ หยุดหันรีหันขวางก่อนขึ้นรถมานั่งเทียบตำแหน่งสารถีแล้วไม่รีรอที่จะสั่งให้ออกรถอย่างรวดเร็วราวกับรีบร้อน ตอนขับวนเพื่อหาทางออกก็ไม่ลืมล็อกประตูอัตโนมัติสี่ด้านจนคนนั่งตรงเบาะหลังหันมองบรรยากาศภายในรถด้วยความสนใจ

ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปจนเกือบใกล้จะถึงปากทางออก นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่รถอีกคันเพิ่งขับถอยเข้าช่องจอดก่อนจะดับเครื่องสนิทบิดกุญแจออกแล้วก้าวลงจากรถ

เผอิญคนที่สำนักงานใหญ่โทรมาแคนเซิลการให้เข้าไปหา อาชาเลยรีบบึ่งรถกลับมาหาเฟยฮวาที่ห้างทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะมองท้ายรถคันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไป ระหว่างโยนกุญแจรถเล่นคิดแต่ว่าจะเซอร์ไพรส์อีกคนยังไง โดยหารู้ไม่ว่าบางทีอาจเป็นตัวเองที่กำลังจะถูกเซอร์ไพรส์ เพราะเมียไปกับใครก็ไม่รู้






















----------------------------------------------------
Tag  #PONR  #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน  ลั่นดาล 

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XI (25/10)
«ตอบ #35 เมื่อ25-10-2018 21:40:31 »

เอ้าาาาา น้องงงงงลงมาลูกกก โดนหลอกแล้ว แง  :ling3:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XI (25/10)
«ตอบ #36 เมื่อ25-10-2018 21:47:36 »

น้องเฟยยยยย
คนที่สำนักงานใหญ่ร่วมมือกับหยางไอใช่ไหม
อาชาสู้ๆ พาเมียกลับบ้านให้ได้นะ

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XI (25/10)
«ตอบ #37 เมื่อ26-10-2018 01:06:57 »

ลูกน้องอาชาโดนซื้อตัวป่าวเนี่ย พาน้องกลับมาให้ได้นะอาชา

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XI (25/10)
«ตอบ #38 เมื่อ26-10-2018 11:47:27 »

แงงงงง ลุ้นไปเรื่อยๆ

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XI (25/10)
«ตอบ #39 เมื่อ27-10-2018 00:19:25 »

XII



ยามที่กำลังเดินขึ้นบันไดเลื่อนมีความคิดอยู่มากมายวันนี้จะดูหนังเรื่องอะไรกันดีนะ ความจริงพ่อค้าอวัยวะก็ห่างหายจากการหาความบันเทิงใส่ตัวเองมานาน แถมต้องยอมรับว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ปกติวัยผู้ใหญ่ก็ชวนกันทำอยู่ไม่กี่อย่าง ตอนนี้เลยต้องมาเดินระลึกว่าระหว่างช่วงเป็นวัยรุ่นเคยทำอะไรลงไปบ้างและอะไรที่ร่างบางน่าจะพึงพอใจ 

แต่การวางแผนทั้งหลายแหล่ก็จำต้องถูกพับเก็บใส่กระเป๋า  “เกิดอะไรขึ้น”  เมื่อขายาวก้าวเข้ามาใกล้บริเวณหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วพบว่าลูกน้องวิ่งวุ่นเหมือนกำลังหาของหาย

“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น!”  คนเราจะรู้สึกได้ถึงลางร้ายง่ายกว่าลางดีและเพราะว่าตรงนี้ไม่มีคนที่สมควรจะยืนอยู่ อาชาก็แทบจะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครบอกและเริ่มออกวิ่งพล่านหลังลูกน้องรายงานว่าคุณเฟยฮวาขอตัวไปเข้าห้องน้ำแต่สุดท้ายก็ไม่เดินกลับมาที่โต๊ะ

อาชาเก็บเรื่องจัดการลูกน้องที่หละหลวมในการรักษาความปลอดภัยไว้ทีหลังและยกเรื่องตามหาร่างบางมาไว้เป็นอันดับแรก พ่อค้าอวัยวะพยายามแจกแจงงานให้ไปทำ สามคนวิ่งไปทางซ้าย อีกสองคนวิ่งไปทางขวา คนหนึ่งวิ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อขอดูกล้องวงจรปิด ส่วนคนเดียวที่วิ่งไปทั่วบริเวณโดยไม่คิดชีวิตก็คือคนเป็นเจ้านาย

ภายในห้างขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มันไม่เหมือนกับหนึ่งฉากในหนังที่สามารถเห็นแค่แผ่นหลังไว ๆ แล้วก็วิ่งเข้าไปคว้าตัวมากอดก่อนจะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงมันไม่เคยง่ายดาย ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านพ่อค้าอวัยวะยืนหันรีหันขวาง เคว้งคว้างอยู่กลางห้างระหว่างหายใจหอบ ร่างกายเหมือนจะยอมแพ้แต่จิตใจไม่ยอมหยุดค้นหา อาชายังเชื่อว่าจะเจอเฟยฮวาที่อาจเล่นซนจนเดินหลงไปกับฝูงชนอันแน่นขนัด วิ่งชนไหล่ใครบ้างก็ยังไม่มีเวลาหันมากล่าวขอโทษ คนรีบอย่าถือสา ตามร่างกายเหงื่อซึมประปรายกับนัยน์ตาแดงก่ำ ขายาวสับไม่หยุดขณะพูดพึมพำเรียกชื่อร่างบางซ้ำ ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงคำว่าเสียศูนย์ ก้อนเนื้อหัวใจในอกซ้ายมันบีบคั้นอย่างรุนแรง

มันดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานจนสร้างความเจ็บปวดให้ทางกาย

อาชาเคยคิดว่าตัวเองใหญ่คับโลกและคงอยู่เหนือพระเจ้า ไม่เคยเชื่อเรื่องการเข้าโบสถ์ ไม่ชอบสวดมนต์อ้อนวอนหรือขอพรให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเลยสักนิด แต่จะผิดไหมถ้าคิดกลับใจและอยากขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยชี้นำทาง อย่างน้อยก็ช่วยปกป้องร่างบางแทนลูกด้วยในตอนที่ยังไปช่วยไม่ได้ ได้โปรดอย่าปล่อยให้ดวงใจของลูกตกอยู่ในอันตราย ถ้าเขาเป็นอะไรไปลูกก็เหมือนปางตายไปด้วย หรือถ้าคิดจะทำร้ายกันก็ช่วยอย่าใช้วิธีแบบนี้ มาลงที่ลูกเลยสิจะไปลงกับคนที่ลูกรักทำไม

อาชาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ขออะไรมากนอกจากขอเสี่ยวเฟยฮวากลับคืนสู่อ้อมอก   

“ว่าไง ได้เรื่องอะไรบ้างไหม!” 

สงสัยคนบนฟ้าจะสงสารคนกลับตัวกลับใจถึงได้ส่งข่าวดีมาตามสาย พ่อค้าอวัยวะรีบวิ่งไปตามเส้นทางที่ลูกน้องโทรมาบอกเพื่อให้มาดูกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ พอเห็นภาพร่างบางเดินตามชายชุดดำขยับเป็นภาพเคลื่อนไหวอาชาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ อยู่ใกล้แต่ไม่สามารถจับต้องได้เลยสักนิด ถ้าได้เจออีกครั้งสัญญาจะกอดแน่น ๆ จะหวงแหนให้สมกับที่เป็นคนพิเศษ ต้องเป็นหยางไอแน่นอนที่ต่อกรตรง ๆ ไม่ได้ก็เลยใช้วิธีสกปรก

หลังจากได้ภาพจากกล้องวงจรปิดจากภายในลานจอดรถมาแบบชัด ๆ รถทุกคันจำเป็นต้องขับผ่านกล้องเลยทำให้มองเห็นทะเบียนรถ ดังนั้นพ่อค้าอวัยวะจึงรีบต่อสายหาคนที่ไว้วางใจได้สั่งให้ช่วยตรวจสอบ ยอมจ่ายไม่อั้นสำหรับค่าข้อมูลและเริ่มพูดดังขึ้นเมื่อคนปลายสายยังชักช้า คนร้อนใจแทบด่ากราดหันมาจ้องลูกน้องด้วยสายตาดุดันเรียงตัว ลูกน้องหน้าเจื่อนเป็นแถวเมื่อแววตาน่ากลัวมาราวกับต้องการฆ่า ถ้าไม่ยิ้มก็คือใบหน้าของคนเย็นชาที่แสนใจร้ายดี ๆ นี่เอง แถมพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจากที่ควบคุมตัวเองได้ก็ไม่ต่างจากปีศาจซึ่งสั่งให้ลูกน้องเตรียมอาวุธกันให้พร้อม 

พอปลายสายตอบคำถามและรายงานถึงที่อยู่ซึ่งตามได้จากจีพีเอส คนได้ยินคำตอบก็แทบเหาะเหินเดินนำแล้วตามด้วยลูกน้องอีกเป็นพรวน เนื่องจากมีเรื่องด่วนกำลังเสริมจึงมารวมตัวกันและรถคันแรกพุ่งทะยานออกจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว ก่อนตามอีกหลายคันติดๆ เสียงประตูปิดเป็นทอด ๆ สะท้อนทั่วบริเวณชั้นล่างสุดของตัวห้าง

ซึ่งต่างกับลานจอดรถอีกด้านที่เพิ่งจะมีการจอดรถและคนยืนรอรับก็รีบเปิดประตูบริเวณเบาะหลังก่อนจะอุ้มร่างคนสลบสไลออกมา เฟยฮวาหลับไปเพราะฤทธิ์ยาที่ใช้ราดบนผืนผ้าขนาดกลาง เหตุที่ให้ต้องทำให้หลับก็เพราะเมื่อขับรถมาได้ครึ่งทางคนนั่งมาด้วยดันเริ่มไหวตัวทัน พอมองบรรยากาศโดยรวมร่วมกับบริเวณสองข้างทางก็เริ่มโวยวาย ลูกน้องที่ปกติทำตามแต่คำสั่งนายใหญ่เลยใช้วิธีโปะยาสลบหลังหักหลบล้อรถเข้าข้างทาง รอจนกระทั่งคนร่างบางได้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แล้วค่อยจัดการหาเชือกมามัดข้อมือขาวเอาสองแขนเรียวไพล่กันด้านหลัง

ปัจจุบันเฟยฮวาตัดขาดจากการรับรู้และอยู่เฉย ๆ เหมือนตุ๊กตาให้คนอุ้มเดินพาเข้าลิฟต์ นิ่งสนิท ขนาดเสียงเปิดปิดประตูก็ยังไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ จนร่างนอนราบไปบนผ้าปูเตียงก็ยังปิดเปลือกตา ดูท่ายาจะออกฤทธิ์ไปสักพัก หรือบางทีการได้หลับลึกก็อาจจะเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าคนที่เหม็นเบื่อ

เพื่อความเป็นส่วนตัว หยางไอรีบสะบัดมือไล่ให้ลูกกระจ๊อกรีบออกไปจากห้องพักชั่วคราวทันที อยากได้เวลาย่ำยีคนที่แสนคิดถึงเต็มแก่ แต่ปกติแล้วไม่ชอบมีอะไรกับท่อนไม้ เลยกะรอให้ร่างบางตื่นก่อนสอดใส่ตอนสะลืมสะลือน่าจะมัน

ระหว่างรอก็แค่นั่งขำขันกับแผนการตื้น ๆ ของตน ใช้คนในสำนักงานใหญ่ให้เป็นประโยชน์ เรียกอีกคนออกมาหา พอพาตัวร่างบางมาได้ก็คืนคำทำเป็นโทรแคนเซิล เกิดมาฉลาดมันดีแบบนี้แหละ แค่ใช้สมองนิด  คนอารมณ์ดีผิวปากเป็นทำนองเพลงไปพลาง ๆ ขณะลดตัวลงนั่งร่วมเตียง ทำเพียงสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มแค่ผิวเผิน เกิดอยากจะดมเลยก้มปลายจมูกลงไปใกล้ ๆ หน้าแก้ม แค่ได้ฟังเสียงหายใจเข้าออกของคนสลบก็มีความสุข ไม่ลืมจูบขมับแรง ๆ ให้ชื่นใจ

เฟยฮวาก็เหมือนสารเสพติดที่พอได้ใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้ลุ่มหลง ยังคงเป็นดอกไม้แสนงดงามแม้จะผ่านความคาวโลกีย์มามากมาย อันที่จริงร่างบางก็ไม่เคยทอดร่างให้ใครนอกจากตน อ่อ จะมีอีกคนก็คือไอ้เวรนั่นที่บังอาจเอาปืนจี้หน้าผากตน คิดจะเล่นกับคนชอบเอาชนะก็ต้องรู้จักเตรียมแพ้ ด่าตนว่าแค่เมียคนเดียวกลับดูแลไม่ได้ งั้นขอดูหน่อยสิว่าไอ้คนที่ด่าจะมีปัญญาปกป้องเมียตัวเองยังไง ถ้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วเมียก็กลายเป็นของคนอื่นอยู่ดียังจะยอมรับได้หรือเปล่า

“ตื่นขึ้นมาเล่นด้วยกันสักทีสิลูกกวางของฉัน”  ก้านนิ้วยาวเกลี่ยแก้มใสเล่น

หยางไอยังรู้สึกรักใคร่และฝักใฝ่คนที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เจ็บจนต้องเย็บบริเวณหน้าท้องและเกิดรอยแผลเป็น เห็นยามหลับดูสิ้นฤทธิ์แต่เวลาตื่นกลับร้ายใช่ย่อย จะไม่ปล่อยให้ร่างบางได้มีโอกาสทำร้ายซ้ำสองแล้วหนีไป จะใช้โอกาสในคราวนี้คิดบัญชีทบทั้งต้นทั้งดอก อย่าหวังว่าจะได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน แม้แต่ใบหน้าไอ้เวรนั่นก็จะไม่มีสิทธิ์เห็นอีกตลอดกาล
 
หยางไอหลุดจากภวังค์ตอนอีกคนหันนอนตะแคงข้างและครางด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ฤทธิ์ยาจะทำให้เพลียและอ่อนแรง แข้งขาเคลื่อนไหวได้ช้าขณะม่านตาค่อยๆขยายจนเผยแก้วตาใส นัยน์ตาสีน้ำตาลเห็นแสงแดดซึ่งส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องแต่พอมองผ้าม่านดี ๆ แล้วดูไม่คุ้นเคย เลยลองหันมองบรรยากาศรอบ ๆ ดูบ้าง

เฟยฮวาเห็นหลายอย่างแปลกตาก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งหลังจากเห็นใบหน้าคนนั่งร่วมเตียง แค่ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจก็ขนลุกขนพอง ไม่จำเป็นต้องรำลึกเหตุการณ์ก่อนถูกพาตัวมา ร่างบางกำลังคิดแค่ว่าจะหาทางเอาตัวรอดยังไง พอดีกับที่เข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกมัด ภายในใจหวั่นวิตกแต่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย เคยรับมือได้และคิดว่าน่าจะรับมือไหว

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันเพื่อหยั่งเชิงก่อนหยางไอจะทำเป็นหยอกเอินยื่นมือมาจะสัมผัสร่างกาย ส่วนเฟยฮวาก็รีบถดกายหนี มีพื้นที่ไม่มากให้ขยับ กระทั่งมือใหญ่เอื้อมจับข้อเท้าขาวก็ราวกับได้ยินเสียงระฆังแห่งการต่อสู้ดังขึ้น ร่างบางไถลลื่นไปกับเตียงนอนแต่ตอนที่หยางไอเกือบจะได้ขึ้นคร่อม โชคดีที่ว่าขาไม่ถูกมัด ดังนั้นคนไม่ยอมท่าเดียวเลยยันฝ่าเท้าเข้าที่หน้าอกแข็ง ถีบเต็มแรงจนคนคุกคามกระเด็นไปไกล 

ร่างบางรู้ว่าการกระทำของตนมันจะเป็นการเติมเชื้อไฟแต่ใครจะยอมทนให้รังแกอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าปกป้องตัวเองได้ก็ต้องลองทำไปพลางๆ ไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่างก็ต้องสู้จนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ เฟยฮวารีบลุกขึ้นมานั่งและคลำหาปมที่ใช้ในการมัดเชือกท่ามกลางเสียงขบกราม

เพราะหยางไอเกลียดพวกประเภทขัดคำสั่ง ยิ่งดีดดิ้นมากยิ่งไม่ชอบ เพราะในโลกนี้มีคนยอมอยู่ใต้อาณัติให้ตั้งมากมายเลยติดนิสัย แถมร่างบางเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่ยอมปรนนิบัติอย่างจงรักภักดี พอมาเจอตอนพยศแบบนี้จึงทำให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยถึงปานกลาง หลังจากตั้งศูนย์ได้ก็หัวเราะเหมือนคนเพิ่งคิดเรื่องตลกออกและบอกเลยว่าเป็นเรื่องตลกร้าย ปกติน่ะถนัดใช้กำลังอยู่แล้ว ถ้าอีกคนปรารถนาก็จะจัดให้ ขอกันดี ๆ ก็ได้เพราะพร้อมสนองให้อยู่ตลอดเวลา รอจังหวะที่เฟยฮวาเผลอจึงเจอตบจนเลือดกบปาก มันก็ไม่แปลกจากฉากใช้ความรุนแรงในละครสักเท่าไหร่ คนบาดเจ็บรับรู้รสชาติเลือดในทันทียามที่พยายามจะลุกขึ้นมา ซึ่งดันเป็นเวลาเดียวกับที่ถูกตบซ้ำจนร่างล้มคว่ำกับเตียงนอน ก่อนจะถูกบังคับให้เงยหน้าด้วยฝ่ามือใหญ่ที่กระชากเส้นผมและจากที่อมเลือดอยู่ในปากเลยถุยใส่

หยางไอแทบเต้นเป็นเจ้าเข้าตอนใช้หลังมือเช็ดน้ำลายผสมเลือดที่เปรอะเปื้อนหน้า แล้วค่อยใช้พละกำลังเข้าข่มเหง คนสองคนละเลงตัวบนผ้าปูเตียงนอนซะยับ คนแข็งแรงกว่าพยายามจับร่างบางให้อยู่นิ่ง ๆ ระหว่างขึ้นทับพลางเริ่มซุกไซ้ใช้ปากขบรอบลำคอขาว  “ปล่อยฉัน!”  เฟยฮวากัดเข้าที่หัวไหล่หนาจนจมเขี้ยว ไม่ได้กัดแค่แป๊บเดียวยังมีขยี้ปลายฟันจนหยางไอส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษาและเวลาโกรธมือไม้มันก็ไป พอกระชากผมร่างบางได้ก็จับศีรษะให้กระแทกกับฟูกเตียงนอนซ้ำ ๆ ย้ำคิดย้ำทำด้วยความโมโหจนคนตั้งตัวไม่ทันเริ่มมึนงง โลกของเฟยฮวาถูกเขย่า โคลงเคลงราวกับล่องเรือน้อยอยู่กลางมหาสมุทร อะไรหยุดความเกรี้ยวกราดไม่ได้   

จะมาโทษว่าตนใจร้ายก่อนได้ไงในเมื่ออีกคนเป็นฝ่ายเริ่มขัดขืนเอง มือใหญ่จับหัวร่างบางกระแทกกับเตียงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยให้ลงไปนอนขด เฟยฮวาไอจนหน้าดำหน้าแดง กระเทือนถึงมุมปากที่แตก หมดเรี่ยวแรงจะต่อกรตอนถูกทาบทับ เหลือเพียงปากที่ขยับเรียกชื่ออาชาไม่หยุดและนั่นยิ่งทำให้หยางไอฉุนจัด หมัดนึงต่อยเข้าที่ท้องน้อยจนความเจ็บปวดค่อย ๆ แพร่กระจาย เฟยฮวาจึงไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือนัก

ร่างบางพยายามปัดป้องด้วยแรงเฮือกสุดท้าย หลบเลี่ยงการซุกไซ้อย่างอ่อนล้า สองขาถูกแยกจากกัน หยางไอย่ามใจเมื่ออีกคนไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อต้าน สามารถลูบคลำได้ตามใจชอบ หอมแก้มเนียนจนชุ่มปอดระหว่างถอดเสื้อสูทตัวเองว่องไว เป้าหมายเหนือการเล้าโลมก็คือการประกบจูบลงไป แต่ยังไม่ทันขยับ สงสัยลืมสั่งว่าห้ามให้ใครเข้ามารบกวน ลูกน้องถึงได้กล้าเปิดประตูเข้ามาเพราะว่ามีเหตุด่วนเหตุร้ายจริง ๆ  “นายครับ…” 

หยางไอหลับตาข่มอารมณ์หงุดหงิดเมื่อถูกรบกวนจังหวะดี ๆ ในชีวิต ก่อนจะคิดว่าเสียงลูกน้องก็เหมือนเสียงนกเสียงกา โฟกัสกับของดีตรงหน้า จะขอจูบให้หนำใจแต่ก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกนายครับเป็นหนที่สอง  “นายครับ”

“อะไร!”  รำคาญเกินกว่าจะไม่สนใจและต้องการคำอธิบายดี ๆ ตอนที่หันกลับมาจ้องหน้าลูกน้องเหมือนจะกินหัว ใจคนศักดิ์น้อยกว่าก็กลัวเจ้านายแต่เพราะกลัวความฉิบหายที่เกิดขึ้นกับด้านล่างมากกว่าถึงบากหน้ามาเชิญให้อีกคนลงไปดูพร้อมกัน  “นายลงไปดูเองดีกว่าครับ”  หยางไอมีท่าทีลังเลในตอนแรกแต่พอนึกได้ว่าร่างบางคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาวิ่งหนีจึงยอมตีตัวออกห่าง เดินออกไปจากห้องพร้อมลูกน้อง

ปล่อยให้เฟยฮวานอนเดียวดาย มองเพดานแล้วจิตนาการถึงหน้าชายคนรัก  “ฉันอยากกอดนายจังอาชา”












เดิมทีก็ไม่ใช่ประเภทพวกชอบท้าตีท้าต่อย

แถมน้อยครั้งที่จะเป็นฝ่ายเปิดศึกเพราะระลึกถึงปัญหายาวเหยียดที่จะตามมาเป็นหางว่าว แต่นั่นก็คือความคิดเก่าเก็บของคนเคยรักความสันโดษ คนในปัจจุบันพร้อมหมัดแลกหมัด จะจัดการหมาลอบกัดทุกตัวที่คาบของรักไป แต่ก่อนจะได้ยืดเส้นยืดสายอย่างจริงจังอาชากำลังหมุนห่วงเหนี่ยวไกปืนเล่นขณะนั่งบนเก้าอี้ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ เป็นเก้าอี้มนุษย์ใส่สูทดำที่มีแขนขาแต่ใบหน้านี่เลือดอาบจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ย้ายร่างแน่นิ่งมาวางกองรวมกัน ไว้ถือเป็นการรียูสใช้ของเก่าให้เป็นประโยชน์ คนเป็นลูกน้องจัดการเก็บกวาดพวกเห็บหมัดให้คนเป็นนายที่ไม่ได้ออกแรงเองตั้งแต่ยกแรก

พ่อค้าอวัยวะแค่นั่งหล่อ ๆ ระหว่างรอหยางไอลงมาดูความพินาศ ชั้นหนึ่งของตึกเก่าเอาไว้สร้างเป็นเซฟเฮาส์หลอกตาคนภายนอกปรากฏแต่ความเสียหาย ด้านนอกไม่เท่าไหร่แต่ด้านในผนังเพิ่งจะถูกประดับด้วยลวดลายใหม่ กระสุนปืนฝังยังได้กลิ่นเขม่าคละคลุ้ง แถมต้องเสียลูกน้องไปเกือบสิบชีวิต ถ้ามาเห็นภาพเข้าคงได้ร้องวี๊ดว๊ายเสียเชิงชายก็คราวนี้ มีแต่ลูกกระจอกกิ๊กก๊อกคอยอารักขามันน่าปลอดภัยตรงไหน บินข้ามประเทศมาไกลทั้งทีจะหาพวกฝีมือมาคุ้มครองตัวเองหน่อยก็ไม่ได้ …นัยน์ตาว่างเปล่าปรากฏแววสมเพชตอนคิดได้เช่นนั้น

ก่อนอาชาจะลุกขึ้นยืนเป็นสัญญาณเตรียมพร้อมขณะหยางไอหอบลูกน้องมากลุ่มใหญ่และหยุดยืนเว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งเมตร แล้วพ่อค้าอวัยวะก็เป็นฝ่ายบอกถึงเหตุผลในการมา  “จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน เมียฉันอยู่ไหน”

“เก่งนักก็หาให้เจอสิ”

คนบุกรุกบอกว่าจะไม่อ้อมค้อมและในเมื่อเจ้าบ้านไม่ยอมตอบจึงตัดสินใจเล็งปลายปืนที่ใบหน้า แล้วตามมาด้วยเสียงชักปืนอีกนับสิบกระบอก ปลายทางของอาวุธร้ายคือฝ่ายตรงข้ามและถ้ามีใครสักคนทำปืนลั่นก็จะเหมือนกับโดมิโนที่ล้มกันเป็นทอด ๆ
“เมีย-กู-อยู่-ไหน!”  แม้จะเป็นเป้าหมายของปืนหลายกระบอกแต่ก็ยังกล้าตะคอกออกไป

จนหยางไอได้แต่ส่ายหัวให้กับความกล้าหาญ แล้วหันกลับมายิ้มหวานประหนึ่งไม่กลัววายชีวิน ทำเป็นพูดเล่นลิ้น เอ่ยกลอุบายที่เพิ่งนึกได้สด ๆ  “ป่านนี้คงจะขึ้นเครื่องไปแล้วมั้ง”

“มึงหมายความว่าไง มึงจะพาเฟยฮวาไปไหน”  คิ้วคนถามขมวดอย่างไม่เข้าใจ

“กลับบ้านไง ลูกกวางฉันหาย ฉันก็ต้องมารับกลับบ้านสิถูกไหม”  ระหว่างแจกแจงก็ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มขำกับความขี้ระแวงของลูกน้องของอาชา แค่ตนขยับ มือพวกนั้นก็กระชับปืนให้ยิ่งแน่นขึ้นทันที  “ถึงเวลาเครื่องออกแล้วด้วยสิ มัวช้าระวังไม่ทันนะ”  กลัวจะคลาดกันเลยอยากให้ได้ไปเจอ สายตาเจ้าเล่ห์เพทุบายเหมือนจะบอกพ่อค้าอวัยวะว่าให้ตามไปสิแล้วได้ทียิ้มกว้าง

พอเอาเรื่องร่างบางมาอ้าง คนเก่งก็กลายเป็นคนโง่เง่า พ่อค้าอวัยวะลดปืนลงแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป เจ้านายยกมือห้ามลูกน้องว่าไม่ต้องตามคนที่บุกมาทำความเดือดร้อนถึงถิ่น หยางไอเหมือนงูร้ายที่มีลิ้นสองแฉก หลังจากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทยอยขับออกไปเจ้านายก็ลั่นวาจา ถึงเวลาต้องเคลื่อนย้ายก่อนคนถูกหลอกจะวกกลับมาชิงเมียของมันไป

เฟยฮวาถูกพาตัวลงมาจากชั้นบนสุดแล้วลิฟต์ก็หยุดที่ชั้นใต้ดิน ใบหน้านั้นซีดเผือดไร้เลือดฝาดตอนชายชุดดำพาขึ้นยานพาหนะ รถแวนสีดำเปิดประตูรอต้อนรับอยู่ก่อน คนปวดท้องพยายามฝืนแรงดันต้านแรงผลักเพราะไม่อยากขึ้นรถ ประวิงเวลาจนกระทั่งหยางไอเดินตามมาสมทบและเป็นคนผลักร่างบางให้เขยิบเข้าไปด้านในภายในแรงเดียวเท่านั้น 

แต่ในจังหวะที่ขายาวเตรียมจะก้าวขึ้นรถคนเดียวกัน เสียงปืนหนึ่งนัดก็ชะงักงันได้ทุกอย่าง กระสุนถากรองเท้าหนังไปเพียงเล็กน้อยตามความต้องการของคนยิงสกัด แล้วทุกคนในบริเวณก็หันมาเห็นคนถือปืนเดินฉายเดี่ยวมาแต่ไกล เดินลงทางลาดเพื่อย่นระยะเข้ามาใกล้ขณะให้ลูกน้องจอดรถทุกคันทิ้งไว้ด้านบนเพื่อปิดหนทางเข้าออกของลานจอดรถและทยอยเดินตามลงมา จะไม่มีคนไหนได้ออกไป ถ้าต้องตายก็ต้องตายด้วยกันทั้งหมดที่นี่

“มึงนี่มันจีนแดงจริง ๆ มีแต่พวกกินหญ้าเท่านั้นแหละที่เชื่อมึง”  สิ้นประโยคพอดีกับที่ประตูรถถูกปิดดังปึง เจ้าพ่อเงินกู้หันร่างกลับมาแต่คราวนี้สีหน้านิ่งสนิทท่ามกลางความเงียบที่มากพอจนทำให้ได้ยินเสียงร้องเรียก

คนถูกขังอยู่ภายในรถแวนพยายามส่งเสียงดัง ทุบกระจกหลังรถเพื่อส่งสัญญาณการมีตัวตนให้คนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เฟยฮวาน้ำตาไหลเป็นสายเมื่อได้เห็นอาชาที่มองตรงมาตาไม่กะพริบ จะบอกว่าพ่อค้าอวัยวะยิ้มด้วยความโล่งใจก็ไม่ถูก รู้แต่ว่ามีความสุขที่ได้เห็นใบหน้าหวาน ถึงต้องมองผ่านกระจกกั้นก็ตาม

ในยามสบตากัน อาชาก็ยิงกระสุนนัดแรกเข้ากลางหน้าอกลูกกระจ๊อกที่ทำท่าจะลอบยิงและนัดที่สองเหมือนเป็นการเปิดศึกสงครามโลกครั้งที่สาม หมดเวลาพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ห่ากระสุนพุ่งสาดเข้าใส่กันเหมือนฉากแอคชั่น

ณ ลานจอดรถมีคนตายจริงและสิ่งที่ทุกคนรีบทำก็คือหาที่กำบัง อาชาแนบแผ่นหลังกับเสาปูน กระชับอาวุธพลางนับหนึ่งถึงสามในใจ ใช่ว่าไม่มีสิทธิ์ตายตามลูกน้องไปอีกคน แต่ถ้ามัวกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไร แล้วใครจะช่วยร่างบางออกมาจากรถคันนั้น เสียงลั่นไกดังสนั่นหวั่นไหวจนหูอื้อตาลาย โชคดีที่จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำถอยมาล้มพับอยู่ใกล้ ๆ จึงใช้เป็นตายตัวแทน เอาร่างมาทำเป็นโล่กำบังรับกระสุนจากข้างหน้าขณะเดินเข้าหารถคันดำให้ได้ใกล้มากที่สุด

จุดหมายเดียวของการยิงตอบคือเสี่ยวเฟยฮวาที่หมอบหลบตรงที่วางเท้า พร้อมภาวนาให้ทุกอย่างจบลงสักที

ดวงตากลมโตคอยจ้องมองประตูที่ขยับไปมาเหมือนกับว่ามีคนจะเปิดออกแต่ก็ถูกขัดขวางอยู่ร่ำไป ก่อนจะได้เห็นหน้าคนรักที่กำลังเอาสันปืนทุบขมับฝั่งตรงข้ามเมื่อยามกระสุนหมดแม็กและเฟยฮวาก็สะดุ้งสุดตัวตอนหัวแข็ง ๆ กระแทกลงมากับตัวรถซ้ำ ๆ อาชาจับคอหนาแล้วเอาอีกฝ่ามือนึงกดหัวพวกดื้อด้านที่สุดท้ายก็ต้านความเจ็บปวดไม่ไหวสลบไสลไหลลงไปนอนกองอยู่ข้างล้อ ซึ่งพอหมดตัวเกะกะก็เตรียมจะคว้าที่จับประตู จิตใจจดจ่อกับคนอยู่ในรถมากไปเลยไม่ทันระวัง โดนถีบเข้ากลางหลังจนร่างด้านหน้ากระแทกเข้ากับรถ

พ่อค้าอวัยวะได้ยินเสียงคนด้านในหวีดร้องด้วยความเป็นห่วงอย่างชัดเจนขณะรีบพลิกร่างกายที่ปวดระบมเพื่อหลบกำปั้น แล้วหาจังหวะยันหน้าอกคืน ยืนตั้งการ์ดได้ไม่ทันไรก็ต้องออกหมัด อาชาโดนซัดกลับเข้าที่โหนกแก้ม แต่อีกฝ่ายก็ได้ของแถมเป็นหมัดเบิ้ลสองของนักเทควันโดสายแดงที่เกือบได้สายดำแต่เพราะความขี้เกียจเลยไม่ไปสอบเลื่อนสาย ข้อนิ้วแข็ง ๆ ชกเข้าที่เบ้าตาซ้าย อาศัยตอนอีกคนยืนมึนงงค่อยเหวี่ยงวงแขนพร้อมกำปั้นจนได้กลายเป็นแจ็คผู้ล้มยักษ์

ถ้าหากเก่งกาจสมดั่งฉายาและมีดวงดีเหมือนเด็กชายในนิทานปรัมปราก็ดีสิ  “อาชา!”  เจ้าของชื่อหันรีหันขวางก่อนจะเห็นจังหวะเฟยฮวาโดนกระชากลงจากอีกฝั่งของรถแล้วถูกแบกขึ้นหลัง ชายชุดดำหวังพาเข้าข้างในตัวตึกตามคำสั่งเจ้านายที่ชอบใช้ทีเผลอ เจอศัตรูหันหลังให้จึงเข้ารัดคอด้วยท่อนแขนหนา สีหน้ามาดมั่นกัดฟันกรอดตอนลงแรงจนคนถูกกระทำหน้าดำหน้าแดงไปหมด เกร็งขมับจนเห็นเป็นเส้นเลือด ต้องเดือดร้อนแน่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ร่างบางก็กำลังรอความช่วยเหลืออยู่ด้วย อาชาจึงตัดสินใจกระทุ้งข้อศอกไปด้านหลังจนเข้ากลางหน้าท้องแข็งอย่างจัง หยางไอไม่ทันระวังก็เลยเจ็บจนเผลอปล่อยมือ

ก่อนคนทั้งคู่จะเปลี่ยนมาเป็นยื้อแย่งแข่งความยาวของช่วงแขนเมื่อเห็นปืนตกอยู่ไม่ไกล จะปืนใครก็ช่างแต่พอเห็นว่าอีกคนเกือบเอื้อมหาปืนได้ก่อน ตอนนั้นพ่อค้าอวัยวะจึงถีบอาวุธร้ายจนมันไถลไปไกลแล้วค่อยเตะเสยคางคนยังไม่ทันลุกขึ้นมายืนตั้งหลัก อยากลอบกัดกันก่อนทำไม ทำให้เคียดแค้นก่อนก็ต้องโดนเอาคืน อย่าหวังว่าจะได้ยืนขึ้นมาอีกเลย 

อาชาเตะเสยไปอีกทีแล้วขึ้นคร่อมหยางไอที่ล้มลงนอนหงาย ถ้าไม่ใช่กระดูกหน้าก็ต้องกระดูกมือที่มีการแตกหักเพราะคนด้านบนลงแรงกำปั้นเต็มรัก สร้างบาดแผลที่ตอนแรกแค่ช้ำสักพักมาเป็นน้ำเลือดจนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว

เลือดชั่วของเจ้าพ่อเงินกู้กำลังไหลออกจากโพรงจมูก รวมถึงมุมปากแต่คนมากเล่ห์ยังไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ เอื้อมมือบีบคอคนด้านบนได้ในจังหวะชุลมุนแล้วอาชาก็บีบคอกลับ ขย้ำรอบลำคอจนต่างฝ่ายต่างส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เจ้าป่าสองตัวกำลังคำรามด้วยความทรมานก่อนจะเป็นตัวบนที่ถูกหามปีกออกไป ลูกน้องเข้ากระชากให้ออกห่างจากเจ้านายที่ลุกมานั่งบ้วนน้ำลาย หยางไอทำท่าจะเข้าจัดการอีกคนที่โดนลูกน้องตัวเองจับตัวไว้ แต่พอเข้าใกล้ก็ถูกยันเข้าที่ยอดอก คงลืมไปว่าถ้าตัวเองมีลูกน้องได้พ่อค้าอวัยวะเองก็มีได้เหมือนกัน คนชั้นวรรณะเดียวกันถูกลากออกไปสู้ตัวต่อตัว เหลือแต่หัวหน้าที่ยืนหอบหายใจด้วยสภาพสะบักสะบอมพอกัน

สองสายตาน่ากลัวสอดผสาน และเต็มไปด้วยแรงอาฆาตขณะต่างคนต่างอ่านใจกันเองออก ผู้ชายสองคนกระโดดเข้าสู่การประลองวิ่งแข่งขัน เพื่อปืนกระบอกเดิมอาชาดันเริ่มวิ่งได้ไวกว่าจึงไม่แปลกที่จะคว้าปืนได้ ร่างกายไถลไปกับพื้นแล้วรีบลั่นไกปืนเล็งเข้าที่หน้าขาหยางไอทันที

แล้วลูกน้องที่เห็นเจ้านายบาดเจ็บก็เริ่มชะงักชัก ทำอะไรไม่ถูกและคิดล่าถอย รวมถึงชายชุดดำอีกสองคนที่ก็ปล่อยเฟยฮวาทิ้งไว้กลางทางจนร่างทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นระหว่างได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน น่าจะเป็นเสียงรถตำรวจที่กำลังขับมาจากที่ไกล ๆ นัยน์ตากลมโตปรากฏความหวัง

“เฟยฮวา!”  ร่างบางหันตัวเข้าหา อยากจะโผเข้ากอดแต่ติดที่ข้อมือถูกมัด

เฟยฮวารอจนกระทั่งมือกร้านช่วยแกะปมเชือกออกให้อย่างรวดเร็ว แล้วรีบโถมร่างใส่คนที่คุกเข่าเอาวงแขนกอดรัดตอบ อาชาพยายามปลอบคนร้องไห้อย่างหนักด้วยการลูบแผ่นหลังระหว่างกระซิบเสียงเบาว่าไม่เป็นไร กลับกันเฟยฮวายิ่งน้ำตาไหลบ่า วงแขนสั้นรัดลำคอแกร่งไว้แน่น กอบโกยความใกล้ชิดที่เป็นเหมือนฝัน ใช้สัมผัสยืนยันว่าอีกคนมีตัวตนจนความกลัวค่อย ๆ เจือจาง
“มึง!”  แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง ร่างบางคือคนที่เห็นภาพหยางไอลุกขึ้นมาหลังจากคว้าปืนกระบอกที่พ่อค้าอวัยวะไม่ยอมถือติดมือมาด้วยได้ จนสบโอกาสลั่นไก 

กระสุนซึ่งเดินทางไวกว่าคำพูดเสมอพุ่งมาหาในจังหวะที่เป็นใครก็หลบไม่ทัน อาชาตัดสินใจกอดเฟยฮวาจนจมอกจนรู้สึกถึงแรงสะเทือนร่วมกัน กระสุนหนึ่งนัดน่าจะฝังอยู่ที่บริเวณแผ่นหลังท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ร่างบางน้ำตานองขณะเป็นฝ่ายโอบกอดร่างของคนที่ยังไม่ทันหมดสติ

พ่อค้าอวัยวะพยายามที่จะทำเป็นรู้ตัวตลอดเวลาแต่ว่าก็ฝืนอาการอ่อนล้าไม่ได้ จึงเป็นเฟยฮวาที่รีบเขย่าตัวให้ตื่น อาชายื่นมือขึ้นเพื่อหวังจะช่วยเช็ดน้ำตาแต่เพราะดวงตากำลังฝ้าฟาง ใบหน้าคนรักดูเลือนรางและบิดเบี้ยว อีกนิดเดียวเกือบสัมผัสได้แต่มือก็ตกลงข้างกายเสียก่อน ชีพจรเต้นอ่อนเต็มทีขณะที่เฟยฮวาประคองนอนลงบนตักแล้วตบแก้มกร้านหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ลืมตา ร่างบางรีบเรียกหาความช่วยเหลือเมื่อตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่

“นายตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมามองหน้าฉันก่อน!”

อาชายังนอนหายใจแต่แผ่วเบาเหลือเกิน ตกลงมันเป็นความบังเอิญหรือเพราะเสี่ยวเฟยฮวาเป็นตัวนำความโชคร้ายมาจริง ๆ แล้วสิ่งไหนจะช่วยยืนยันได้บ้างว่าพ่อค้าอวัยวะจะรอดหรือว่าละครเรื่องนี้พระเอกจะตายตั้งแต่กลางเรื่อง 






















----------------------------------------------------
Tag  #PONR  #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน  ลั่นดาล 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XI (25/10)
« ตอบ #39 เมื่อ: 27-10-2018 00:19:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #40 เมื่อ27-10-2018 07:32:48 »

อาชาต้องฟื้นขึ้นมาหาน้องเเล้วววว ไม่ิอยากให้น้องคิดว่าตัวเองเป็นตัวโชคร้ายอีกเลย

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #41 เมื่อ27-10-2018 08:05:45 »

ฉากบู๊ระทึกใจมากค่ะ
อยากเข้าไปร่วมซัดหยางไอด้วยคนเลย

อาชาเป็นพระเอกต้องไม่ตายนะ
น้องเฟยก็อย่าคิดมากจนหนีไปนะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #42 เมื่อ27-10-2018 10:39:13 »

พระเอกไม่ตายหรอกลูกกกกกก​ อาชาฟื้นมาหาน้องงงงง :ling1:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #43 เมื่อ27-10-2018 10:54:36 »

รอเขาหวานกันอยู่นะ   :hao7:

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #44 เมื่อ27-10-2018 17:03:09 »

พี่อาชา นี่พระเอกจริงๆ น้องเฟยรอพี่อาชานะ

ออฟไลน์ ppseiei

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #45 เมื่อ27-10-2018 21:22:38 »

อาชาต้องไม่ตายยยยย รีบฟื้นมาหาน้องเฟยนะคุณพี่

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #46 เมื่อ28-10-2018 14:54:14 »

XIII



พ่อค้าอวัยวะตกอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ฟื้นขึ้นมากลางทางระหว่างเห็นแสงจากหลอดไฟบนเพดานด้วยความพร่าจนไม่อาจระบุได้ว่าตกลงตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน ภาพทุกอย่างมันสลับสับเปลี่ยนด้วยความว่องไวจนสายตาเบลอ ๆ ไม่สามารถจับโฟกัสท่ามกลางเสียงสนทนาจากสถานที่ไกล ๆ ได้ยินเหมือนคนหูแว่ว 

สองข้างแนวเตียงเหล็กมีทั้งหมอทั้งพยาบาลร่วมถึงญาติวิ่งตามอย่างใกล้ชิด แต่คนนอนหายใจรวยรินก็ไม่อาจแยกแยะว่าใครเป็นใคร รู้สึกได้ว่ามีคนจับมือแต่ไม่มีเรี่ยวแรงบีบกลับ คิดว่าจำสัมผัสได้แต่ไม่สามารถตอบสนองยามจิตใจล่องลอยและวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง

สภาวะใกล้หมดสติเป็นเหตุให้บุคลากรทางแพทย์รีบเข็นเตียงคนบาดเจ็บผ่านเขตประตูปลอดเชื้อ แต่เมื่อเฟยฮวาทำท่าจะวิ่งตามเข้าไปด้วย มันช่วยไม่ได้ที่คนนอกจะถูกกักบริเวณ ถึงจะเป็นญาติก็ต้องทำตามกฎด้วยการรออยู่ข้างนอก ประตูเลื่อนถูกล็อกอัตโนมัติจากด้านในและป้ายไฟข้างประตูก็โชว์เลขห้องที่กำลังใช้ผ่าตัด แต่มันไม่บอกเวลา ร่างบางจึงไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน เฟยฮวาใจเสียจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ระหว่างยืนเกาะประตูกระจกไม่ไปไหน ความกลัวมันประดังประเดเข้ามา หวั่นว่าอาจได้เห็นหน้าอีกคนเป็นครั้งสุดท้าย ไม่เคยอยากคิดในแง่ร้าย แต่บังคับให้ตายสมองก็ไม่ให้ความร่วมมือ คิดออกแต่เรื่องเลวร้ายซ้ำไปซ้ำมา     

“พี่เฟยฮวา!”  เจ้าของชื่อหมุนตัวหันหาคนเรียกทันทีแล้ววิ่งปรี่เข้ามากอดคนตัวเล็กกว่า เวลานี้มะตูมไม่ต่างจากหลักยึดอันเข้มแข็ง เป็นกำแพงให้คนเสียน้ำตาพักพิง

“ไม่เป็นไรนะครับ คุณอาชาจะต้องปลอดภัยนะ”  ฝ่ามือเล็กยกขึ้นลูบแผ่นหลังที่ยังสะเทือนตามแรงสะอื้น ก่อนจะเงยหน้าสบตาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อยากให้คนเป็นหมอช่วยพูดอะไรสักหน่อย 

“ไอ้อาชามันหนังเหนียวจะตายไปครับ มันไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก” 

ถ้าถามในฐานะคนเป็นหมอขอพูดตามตรงเลยว่าเวลาคนถูกยิงมามีสิทธิ์เป็นตายเท่ากัน แต่ด้วยหน้าที่นั้นก็จำเป็นต้องพูดให้ญาติคนเจ็บเบาใจ ปลอบให้ทุเลาความกังวลและสหรัฐก็ไม่คิดว่ามันเหนือบ่ากว่าแรงขณะเชื่อด้วยซ้ำว่าคนแข็งแรงอย่างพ่อค้าอวัยวะไม่มีทางลาโลกไปเร็วนัก นั่นน่ะหัวแข็งตัวพ่อ ต่อให้โดนมากกว่าหนึ่งนัดขี้คร้านวันสองวันจะรีบลุกขึ้นมาอ้อนเมีย คงไม่ยอมนอนเป็นผักนาน ๆ หลังจากที่ยอมเสี่ยงตายไปช่วยเมียกลับบ้านได้แล้วหรอก

แล้วจะบอกเลยว่าตนเนี่ยแหละคือพระเอกตัวจริงที่ส่งตำรวจไปช่วยเพื่อนผู้บ้าระห่ำ โชคดีที่ว่าดันแวะเข้าไปหากะจะกินมื้อค่ำที่ร้านอาหาร พามะตูมไปด้วยเพื่อถือว่าช่วยอุดหนุนกิจการหลอก ๆ ของพ่อค้าอวัยวะ แต่ขณะกำลังตักข้าวเข้าปากก็เห็นว่าลูกน้องกำลังอยู่ในช่วงวุ่นวาย จึงอ้างสิทธิ์ใช้ความเป็นหมอสอบถามคำตอบมา จนได้ความว่าหัวหน้าพาลูกน้องไปช่วยของรัก ไปสักที่ที่อยู่แถบชานเมืองและความจริงก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตนักหรอก แต่เพราะลูกน้องดันกระซิบบอกว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา แถมปกติไอ้พ่อค้าอวัยวะก็ไม่เคยมีใครกล้ามาหาเรื่อง แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องทำการบ้านมาดีหรืออย่างน้อยก็มีอำนาจเสมอกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หมอเถื่อนรีบต่อสายหาสหายซึ่งเป็นตำรวจที่พอจะช่วยเก็บงำความลับให้ได้ เลือกคนที่ว่าพอความวุ่นวายจบลง เรื่องทุกอย่างก็จะไม่แดงขึ้นมาให้เด่นหราบนหน้าหนังสือพิมพ์

สหรัฐรีบเดินออกห่างหลังชูโทรศัพท์ให้มะตูมดูว่ามีสายเข้า เกรงว่าสัญญาณมือถือจะรบกวนเครื่องมือทางการแพทย์เลยเดินออกมาไกล หมอเถื่อนถือสายแนบหูแล้วตอบรับ งึมงำกลับด้วยความสงสัยระหว่างหันมองกลับไปเห็นร่างเล็กค่อย ๆ พาคนร้องไห้ไปนั่ง

ถึงแม้จะยังใช้คำว่าสนิทสนมกันไม่ได้ แต่คนปลอบใจก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเช็ดน้ำตา รู้สึกเป็นเกียรติมากกว่าด้วยซ้ำที่อีกคนไม่ปฏิเสธความหวังดี มะตูมที่นั่งยอง ๆ เอื้อมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนสองแก้มเนียนแผ่วเบาแล้วตบหัวเข่าคนนั่งอยู่สูงกว่าตอนเอ่ยว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

ก่อนร่างเล็กจะหันมองใบหน้าของคนเดินกลับเข้ามาสมทบที่แย้มยิ้มให้เล็กน้อย สหรัฐขยับปากชมเด็กน้อยว่าเก่งมากระหว่างยืนกอดอกพิงผนัง ปากยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่สมองกำลังคิดถึงประโยคที่เพิ่งได้ยินก่อนจะวางสายโทรศัพท์ เพื่อนที่เป็นตำรวจจำเป็นต้องปล่อยหยางไอไปเพราะผู้ใหญ่ขอมา อีกอย่างต่างฝ่ายต่างก็ยิงกันจึงถือว่าเจ๊ากัน เข้าโรงบาลฯ ด้วยกันทั้งคู่  ดูท่าไอ้พ่อค้าอวัยวะจะไม่ได้สู้กับพวกขี้หมูขี้หมาจริง ๆ ซะด้วย มีคนช่วยหนุนจนหลุดจากตะรางแบบนี้คงมีแบ็คดีใช้ได้ เห็นแววความพังระเนระนาดมาแต่ไกลและคนอย่างอาชาจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อผู้ชายหน้าสวยคนเดียวเนี่ยนะ หิมะจะตกในหน้าร้อนก็คราวนี้นี่แหละ

หมอเถื่อนก็ได้แต่ภาวนาให้ไอ้พ่อค้าอวัยวะอยู่รอดปลอดภัยและอย่าได้ทิ้งให้เมียเป็นหม้ายเด็ดขาด ดูจากอาการที่ร่างบางเสียอกเสียใจ อาชาโชคดีแล้วที่มีคนรัก เป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ ทีนี้ก็เหลือแค่ตื่นขึ้นมาให้เห็นเองกับตา รีบตื่นขึ้นมาสารภาพรักซะเมียจะได้หายเสียขวัญ

สหรัฐยืนคิดอะไรคนเดียวอยู่นานก่อนอาสาออกไปหาซื้ออะไรมาให้คนอีกสองคนกินรองท้อง เห็นว่าคนบาดเจ็บคงยังไม่ออกมาได้ง่าย ๆ จึงให้มะตูมกับเฟยฮวานั่งรอ ร่างบางเองก็พอควบคุมตัวเองได้บ้างแล้ว น้ำตาหายไปเหลือแค่แววตาหมองเศร้าระหว่างเอาแต่จ้องไปที่บานประตูอย่างรอคอยและในยามที่ร่างเล็กข้างกายคะยั้นคะยอให้ดื่มน้ำสักหน่อย เฟยฮวาก็เอาแต่ส่ายหน้า
“กินอะไรสักหน่อยนะครับ”  มะตูมเข้าใจว่าคงไม่มีอารมณ์อยากกิน แต่คนเพิ่งหยุดร้องไห้ได้หมาด ๆ หน้าซีดมากจนกลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีกคน มือเล็กจึงจำต้องยัดก้อนขนมปังใส่มือ   
   
เฟยฮวาถือขนมปังเอาไว้ในอุ้งมือเป็นพัก อารมณ์อยากอาหารแทบไม่มีแต่ก็ยอมที่จะเอาของกินเข้าปากเพื่อความสบายใจของอีกสองคน แต่มันก็เป็นอาหารมื้อเย็นที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย แถมเต็มไปด้วยความทรมานและเจ็บปวดจนยามที่อ้าปากงับจู่ ๆ น้ำตาก็ไหล เคี้ยวไปเศร้าไปอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัด กัดหนึ่งคำก็คิดว่าคนในนั้นจะหิวน้ำไหม จะมีแรงสู้กับโชคชะตาไหวหรือเปล่านะ รีบออกมาสักทีสิอาชา ฉันรอได้แต่อย่านานได้ไหม… เวลายังเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ขณะร่างบางถือขนมปังคามือจนมันเย็นชืด เฟยฮวาเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมขยับไปไหน ผิดกับอีกสองคนซึ่งลุกยืดเส้นยืดสายบ้างท่ามกลางบรรยากาศเงียบเหงา ก่อนลูกน้องจะทยอยเข้ามายืนเฝ้าอยู่ห่างๆ และยังคงเป็นร่างบางคนเดิมที่ดีดตัวลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วและรีบวิ่งไปหาหมอที่เดินออกมาจากประตูเลื่อนอย่างร้อนรน คนร้อนใจถามว่าคนด้านในเป็นอย่างไรบ้าง หมอจึงพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ พลางตอบอย่างใจดีว่าปลอดภัย กระสุนไม่ได้โดนในจุดที่สำคัญ   

“ญาติรบกวนช่วยตามไปกรอกประวัติคนบาดเจ็บด้วยนะคะ”  เฟยฮวาที่ดีใจจนเขย่ามือของมะตูมไม่หยุดเกือบจะหลงเดินตามพยาบาลไป แต่เผอิญสำนึกได้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวพ่อค้าอวัยวะเลยนอกจากชื่อกับอาชีพ สหรัฐจึงอาสาทำหน้าที่นั้นแทนและแตะแขนร่างบางว่าไม่เป็นไร 

“เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า เฟยฮวารออยู่ที่นี่นะ จะได้เจอมันตอนออกมาด้วย”
 
คนได้ฟังพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วไม่ลืมขอบคุณอีกคนที่เดินตามพยาบาลไป ทิ้งไว้แค่ร่างเล็กที่กำลังยืนยิ้มน้อย ๆ ให้ร่างบาง เฟยฮวายิ้มกว้างตอบกลับแล้วค่อยหันไปมองบานประตู ขนาดตนยังรู้สึกอึดอัดที่ไม่รู้ประวัติอีกคนจนไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ …นายเองก็คงจะอึดอัดที่ไม่รู้จักเกี่ยวกับตัวฉันเหมือนกันใช่ไหมอาชา

ร่างบางตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่าง จะเหลือก็แค่รอให้พ่อค้าอวัยวะตื่นขึ้นมาฟัง หมอบอกว่าฤทธิ์ยาสลบอาจยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย คนบาดเจ็บจึงไม่ได้ฟื้นสติในทันทีและยังไงถ้ามีความเคลื่อนไหวก็ให้กดเรียกพยาบาลได้ตลอดเวลาอย่าคิดว่ามันเป็นการรบกวน

ก่อนหมอเจ้าของไข้จะชวนพยาบาลสองคนเดินออกไปจากห้องพักฟื้นวีไอพี ปล่อยให้ญาติได้มีเวลาอยู่กับคนไข้และมะตูมก็อาสาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนร่างบางในคืนนี้ แต่คนที่พามาด้วยกับส่ายหน้าบอกว่าเด็กต้องกลับบ้านนอน สหรัฐไม่สนสายตามองค้อนแต่อย่างใดขณะเฟยฮวาก็ช่วยพูดให้ร่างเล็กเข้าใจ ยังไงอีกคนก็ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นแค่ตนเฝ้าคนเดียวก็น่าจะพอ

“แต่ว่า”

“เรากลับกันก่อนดีกว่า”  หลังจากตบหน้าขาเพื่อนที่ยังนอนนิ่งบนเตียงเหล็กเบา ๆ แล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมใหม่ สหรัฐก็คว้าต้นแขนเล็กให้เดินออกไปจากห้องสีขาวด้วยกัน มะตูมจึงจำต้องรีบหันมาโบกมือให้เฟยฮวาเป็นการลา ร่างบางสวนกลับด้วยประโยคขอบคุณนะ กระทั่งประตูห้องปิดลง

จนภายในห้องคงเหลือแต่ความเงียบเฉียบ สองเท้าเหยียบย่างเข้าใกล้คนนอนหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ กลัวคนยังไม่รู้สึกตัวจะเจออากาศเย็นจนจับไข้เลยมัดปมเชือกเสื้อของทางโรงพยาบาลให้ยิ่งกระชับแล้วค่อยก้มใบหน้าลงต่ำ ริมฝีปากนุ่มทาบบนหน้าผากซีดเซียวอยู่นาน เฟยฮวาไล่จุมพิตเปลือกตาที่ยังปิดสนิทและเลื่อนปากลงเพื่อจูบชิดสันจมูกโด่ง หอมบริเวณข้างแก้มตอบและลอบจูบริมฝีปากแห้งผากอย่างแผ่วเบา ถือเป็นรางวัลให้คนเก่งที่ต่อสู้จนรอดปลอดภัย ไม่มีอะไรจะมอบให้นักหรอกนอกจากความในใจ …ฉันรักใครอยู่นายจะอยากรู้ไหมนะ

หลังจากที่ปิดไฟจนภายในห้องมืดสนิท ร่างบางก็กลับมานั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่เคียงข้างเตียงเหล็กแล้วฉวยมือกร้านมากุมไม่ปล่อย ให้ดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างเป็นแสงสว่างนำทางน้อย ๆ จะคอยจับมืออยู่อย่างนี้เวลาที่หลงจะได้ไม่รู้โดดเดี่ยว ระหว่างเฝ้ามองใบหน้าของคนที่ยังหลับตาพริ้ม เสียงเบาพึมพำว่ารีบตื่นขึ้นมานะ

คนนั่งเฝ้าปฏิญาณว่าจะไม่นอนตลอดทั้งคืน จนค่อนคืนก็แล้ว ดวงตากลมโตก็ยังลืมค้างไว้อย่างแน่วแน่ เพราะแค่กลัวจะพลาดโอกาสสำคัญ อยากให้พ่อค้าอวัยวะเห็นว่าตนนั้นอยู่ตรงนี้เสมอและรอเจอเป็นคนแรก เฟยฮวารอคอยอย่างมีความหวัง นั่งวาดภาพว่าจะดูแลคนบาดเจ็บอย่างไรดี จนกระทั่งไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน

จนเมื่อสายของวันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

เป็นคนนอนบนเตียงเหล็กต่างหากที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วรีบหลับลงใหม่ สายตายังสู้แสงธรรมชาติไม่ได้เลยต้องขอเวลาสักครู่ ระหว่างรู้สึกว่าช่วงขาชาและขยับไม่ได้ อาชาพยายามประมวลผล คิดเป็นฉากต่อฉากจนเข้าใจเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงได้มานอนเกลือกกลิ้งที่นี่ โดยที่ตอนแรกก็เผลอเข้าใจไปอีกว่าอาจจะมีอาการข้างเคียงเป็นอัมพาตช่วงล่างเนื่องจากโดนยิงที่แผ่นหลังซึ่งรวมเส้นประสาทไว้มากมาย แต่ที่ไหนได้เพราะมีคนกำลังใช้ต้นขาตนหนุนแทนต่างหมอนตลอดหลายชั่วโมงจนทำให้เกิดอาการเหน็บชา คนเฝ้าหลับไปทั้งที่ยังจับมือคากันไว้

“เฮ้…”  เสียงแหบเอ่ยแผ่วเบาเท่าที่มีแรงเพื่อต้องการปลุก แต่สงสัยรีบลุกนั่งไปหน่อยเลยเกิดอาการเจ็บแผล ไหนจะเพราะขำที่ตกลงว่าใครกำลังเฝ้าใครสุดท้ายเลยส่งเสียงครวญคราง ทำเอาคนขี้เซาสะดุ้งตื่นพลางลุกยืนขึ้นอย่างดีใจ

จากที่งัวเงียหายง่วงเป็นปลิดทิ้งก่อนโผเข้ากอดคนที่อ้าแขนรอรับอย่างรู้งาน เฟยฮวาคงจะลืมว่าชายหนุ่มกำลังเจ็บ แถมคนเจ็บก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร อดทนอดกลั้นความระบมของบาดแผลไว้แล้วปล่อยให้ร่างบางได้กอดจนหนำใจ ให้กอดจนกว่าจะหายคิดถึง  “ร้องไห้อีกแล้ว”

เสียงแหบพึมพำยามรู้สึกได้ถึงแรงสั่น กอดกันแน่นจนรับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังสะอื้นเสียน้ำตา 

“เป็นห่วงฉันมากขนาดนั้นเชียว”  ถามพลางยิ้มกว้าง เพราะถึงร่างบางจะไม่ตอบเป็นคำแต่การกระทำก็สำคัญกว่าเสมอ เจอแหย่เข้าไปแทนที่จะโกรธจนถอยห่างแต่กับกระชับอ้อมกอด แทบจะปีนขึ้นมานอนร่วมเตียงกับพ่อค้าอวัยวะที่เอียงตัวไปมาเพื่อปลอบคนเจ้าน้ำตา

“ไหน ฉันขอดูหน้าหน่อย”  ไม่เห็นหน้าค่าตากันจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงได้แล้วมั้ง และทั้ง ๆ ที่คนเจ็บขอดูหน้าแต่คนผละออกไปกับส่ายหัวหลบ ขอเวลาปาดน้ำตาเพราะกลัวว่าจะสภาพเหมือนศพและไม่สวยเหมือนเดิม กระทั่งชายหนุ่มบนเตียงเริ่มร้องโอดโอยอีกครั้ง ร่างบางจึงรีบหันกลับมาและรู้ว่ามันเป็นแผน

สองแขนยาวรั้งเอวคอดเข้ามากอดใกล้ ๆ ขณะแหงนใบหน้ามองจ้องจนแก้มเนียนที่เริ่มแดงโดยไม่มีสาเหตุ เป็นคนเจ็บใช่ว่าจะส่งสายตาเจ้าชู้ไม่ได้และพ่อค้าอวัยวะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าตอนได้เห็นมุมปากอิ่มช้ำ  “เจ็บมากไหม” ร่างบางส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ่งรู้สึกอายเมื่อสายตาเดิม ๆ ยังจ้องเขม็ง

“มีอะไร”  เฟยฮวายกมือขึ้นลูบหน้ากลัวว่าจะมีอะไรติดจนทำให้ดูตลกและอาชาก็เป็นฝ่ายดึงข้อมือขาวข้างนั้นลงพลางเลื่อนมือจนนิ้วทั้งสิบได้สอดผสานกัน  “แค่คิดถึงน่ะ”  อาการเฉียดตายทำให้ยิ่งตระหนักว่าควรจะพูดในสิ่งที่รู้สึกจริง ๆ ออกไปทันที  “คิดถึงมากที่สุดเลย”

“ฉันก็คิดถึงนาย”  คิดถึงอยู่ตลอดจนไม่เป็นอันทำอะไร ร่างบางเดินเข้าใกล้อีกก้าวก่อนจูบหน้าผากแผ่วเบาช่วยปัดเป่าภยันอันตราย สุดท้ายสำหรับอาชา เฟยฮวาก็คือนางฟ้าแม่ทูนหัวที่เนื้อตัวนุ่มนิ่มเกินห้ามใจ พ่อค้าอวัยวะหอมต้นแขนขาวที่อยู่ใกล้ปลายจมูกให้หายชื่นใจแล้วค่อยออดอ้อน ช้อนตามองอย่างน่าสงสาร  “หิวน้ำ”

“จริงด้วย เดี๋ยวฉันไปรินน้ำมาให้นะ”  ลืมไปว่าเพิ่งฟื้นคงต้องกระหาย แต่เพราะอีกคนยังกอดเอวไม่เลิกจะเดินไปเลยไม่ถนัด พอหันกลับมาอีกทีก็ยังเห็นสายตาเว้าวอนและตอนนั้นเองที่เฟยฮวาเพิ่งเข้าใจความหมาย  “แต่หมอบอกว่าถ้านายฟื้นเมื่อไหร่ให้กดปุ่มเรียกพยาบาล”

“ช่างหมอช่างพยาบาลไปก่อนได้ไหม”

แล้วริมฝีปากที่ก้มลงมาประกบกับมุมปากคนถามก็ถือเป็นคำตอบว่าทำไมจะไม่ได้ล่ะ










“โว้ยยยย!” 

เสียงโวยวายต่อท้ายด้วยเสียงดังโครมคราม ถ้วยชามข้าวคนไข้ถูกปัดลงจากโต๊ะเสริมโดยที่จำนวนอาหารยังเต็ม เดือดร้อนให้พยาบาลที่ยืนอยู่ในบริเวณต้องก้มลงเก็บกวาด ไม่ใช่ข้าทาสแต่ก็เหมือนใช่เพราะคนไข้รายนี้ช่างเอาใจยากและขี้หงุดหงิด สงสัยเป็นเพราะฤทธิ์จากการถูกยิงที่ขา

หยางไอนั่งทำหน้ากรุ่นโกรธอยู่บนเตียงเหล็กขณะกล่าวโทษดินฟ้าอากาศด้วยความหัวเสีย เจ้าพ่อเงินกู้รู้สึกขัดอกขัดใจเพราะหมอยังไม่อนุญาตให้เดิน ซึ่งพอเกิดคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวก็เท่ากับว่าไม่สามารถรีบกลับไปจัดการมารคอหอยได้ทั้งที่อยากให้มันรีบตาย ๆ ไปซะ     

“กูจะฆ่ามึงให้ได้!”  การตีงูต้องดูให้มั่นใจว่ามันตาย ไม่งั้นมันจะกลับไปทำร้ายด้วยความเคียดแค้นอีกครั้ง …ถือว่าอาชาพลาดที่ปล่อยให้ศัตรูยังมีชีวิต  “มึงกับกูไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกัน!”

มือกร้านหยิบหมอนรองแผ่นหลังแล้วขวางเข้าใส่พยาบาลที่กำลังลุกขึ้นยืนหลังจากเก็บกวาดจานกระเบื้องเสร็จอย่างแรง กระทั่งหญิงสาวล้มลงไปจนข้าวของกระจัดกระจายระเนระนาด จากที่ขัดหูขัดตาอยู่แล้วจึงยิ่งสร้างความน่ารำคาญเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเรียกหาลูกน้องข้างนอกให้รีบเข้ามาแล้วสั่งให้ช่วยพาผู้หญิงชุดขาวออกไปให้พ้น ๆ หน้าสักที

“อย่าหวังว่าพวกมึงจะมีความสุข”  ลูกคนเดียวลึก ๆ แล้วล้วนเป็นเด็กเอาแต่ใจและแม้จะได้ของเล่นเปลี่ยนใหม่ไม่ซ้ำกัน แต่ว่าก็มักมีของเล่นชิ้นโปรดปรานอยู่ในดวงใจเสมอ แม้ตอนโตมาจะเผลอไผลได้กับคนอื่นไม่เลือกเวลา แต่ว่าเฟยฮวาก็คือหนึ่งเดียวในใจ ไม่งั้นไม่ตามเทียวไล้เทียวขื่อให้เสียเวลาทำมาหากินหรอก กล้าบอกว่าหวงได้อย่างเต็มปาก

หยางไอรักร่างบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตกหลุมรักตั้งแต่วันแรกที่ได้พบเจอกัน ในวันที่พ่อพาเด็กผู้ชายตัวเล็กเนื้อตัวมอมแมมและเปื้อนคราบเลือดกลับมาที่บ้านด้วย พอจับอาบน้ำแต่งตัวซะใหม่ถึงได้เห็นว่าเด็กผู้ชายหน้าหวานนั้นสวยสดตั้งแต่ยังเยาว์วัย หลังจากที่บิดาซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเงินกู้อยู่ในตอนนั้นออกปากบอกว่านี่คือสมาชิกใหม่ของบ้านและฝากให้ช่วยดูแลน้องดี ๆ เด็กชายวัยรุ่นก็พยายามที่จะเข้าหาเพื่อผูกมิตรและค่อย ๆ ชวนคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระ แต่ว่าอีกคนกับเมินอย่างไร้เยื่อใย บอกแค่ว่าไม่อยากคุยกับลูกฆาตกร

ตอนนั้นหยางไอในวัยสิบหกก็ไม่รู้เรื่องนักหรอก จนวันที่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เล่มเก่า ๆ รื้อเอาออกมาดูด้วยความสนอกสนใจ จึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงได้เย็นชากับตัวเองนัก ที่แท้พ่อแม่ของเฟยฮวาก็ถูกพ่อตนฆ่าตายคาคฤหาสน์ เลยไม่แปลกที่จะมีการปฏิบัติตัวอย่างต่อต้าน เฟยฮวาในวัยสิบสี่พยายามหลบหนีอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกจับกลับมาที่เก่า ก่อนจะโดนสั่งให้อดข้าวอดน้ำอยู่บ่อย ๆ และไม่น้อยกว่าสามครั้งที่เด็กชายซึ่งถูกพากลับมาพยายามฆ่าตัวตาย จนประมุขของบ้านสั่งขังให้อยู่แต่ในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีกระจก ไม่มีมุมไม่มีสัน จนวันนึงหยางไอเข้ามาช่วยพูดไกล่เกลี่ยกับคนเป็นพ่อ ขอให้ช่วยยกโทษให้ร่างเล็กที่ยังไม่สามารถยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่กำลังค่อย ๆ โตเป็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สมวัย เด็กหนุ่มอาสาและออกปากว่าจะเป็นคนดูแล ตักเตือนและสั่งสอนคนดื้อรั้นเอง

แต่หารู้ไม่ว่ากลับกลายเป็นตัวเองซะเองที่ถูกสอนให้เข้าใจว่าการเป็นคนดีไม่ได้ทำให้อีกคนยอมเปิดใจ ความพยายามภายในเวลาหลายปีดูไร้ความหมาย ไร้ค่าเมื่อคนที่อายุน้อยกว่าปีสองปียังตีตัวออกห่างอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ เฟยฮวาไม่เคยด่าทอผ่านคำพูดให้ยืดยาว แต่นัยน์ตาเศร้าจะจ้องเหมือนต้องการกินเลือดกินเนื้อ มองจนให้รู้สึกกระดากภายในใจไปเอง กระทั่งถึงวันที่ร่างเล็กกลายเป็นเด็กวัยมอปลาย ร่างกายเปล่งปลั่ง อย่างกับคนที่เกิดมาผิดเพศ หยางไอเห็นวิวัฒนาการของเฟยฮวาอยู่ทุกเชื่อวันจนความรู้สึกมันค่อย ๆ คิดเลยเถิดไปไกล

ความจริงหยางไอก็ไม่อยากใช้วิธีการอันหยาบโลน แต่เข้าใจอารมณ์ของคนที่หลงรักแต่กับถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไปไหม ไม่ได้อยากหลวมตัวเข้าไปทำชั่วแต่หัวสมองคิดออกแต่วิธีนี้ เด็กหนุ่มรู้ว่าครอบครัวเฟยฮวาเป็นหนี้พ่อตนโดยบังเอิญอีกครั้ง ดังนั้นตัวร้ายในหัวจึงสั่งให้สวมบทเป็นคนใจโฉด ขอคนที่นับวัน ๆ ยิ่งงดงามกับคนเป็นพ่อ ไหน ๆ ร่างบางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูจะเป็นการใช้หนี้ตั้งแต่วันที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์เลยสักนิด หยางไอวัยสิบเก้าย่างยี่สิบจึงคิดวิธีให้

ในเมื่อรักก็ต้องมีความอยากได้ อีกอย่างวัยก็ถึงเวลาเหมาะสม เคยข่มใจได้แต่ไม่ใช่ตลอดไป สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้ร่างบางมากกกอดด้วยข้ออ้างล้างหนี้และคงจะเป็นคนเดียวที่มียินดีปรีดากับค่ำคืนที่ไม่เต็มไปด้วยความขัดขืน แต่ไม่ว่าจะยืน นั่งหรือนอนร่างบางก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ เฟยฮวายังหายใจได้แต่เหมือนขาดแคลนคำว่าชีวิตชีวา ใบหน้าสวยก็ยังเย่อหยิ่งและตายด้านจนหลายครั้งหยางไอก็ต้องหลอกตัวเองว่ากำลังมีความสุข

มันเป็นสุขที่ทุกข์ถนัดในเวลาเดียวกัน นอนด้วยกันทุกวันแต่ความสัมพันธ์ดี ๆ ไม่เคยคืบหน้า ยิ่งเข้าหาเหมือนยิ่งถอยห่างและร่างบางไม่เคยมีคำว่าเห็นใจ ปรนนิบัติให้ซะดิบดีแต่มันเป็นกระทำที่แฝงไปด้วยความจำใจ ปฏิบัติไปวัน ๆ เหมือนหุ่นยนต์จนหลายต่อหลายครั้งตนทนไม่ไหว เคยพลั้งมือใช้กำลังไปในคราวแรกและก็ถึงคราวตามมาของครั้งที่สอง ชายหนุ่มเริ่มมองว่าการใช้ความรุนแรงเป็นการแก้ปัญหาถ้าร่างบางขัดใจก็จะตบตี จนอยู่ในจุดที่มีความรักให้แต่อารมณ์อยากเอาชนะก็มากขึ้นเหมือนกัน แต่มันน่าแปลกตรงที่ว่าเฟยฮวาไม่เคยแม้แต่จะร้องห่มร้องไห้ให้เห็น ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดเจียนตาย

แล้วก็เป็นเมื่อวานที่ได้เห็นเป็นบุญตาขณะรู้สึกอิจฉาจนเลือดขึ้นหน้าถ้าตำรวจไม่เข้ามาก็คงได้ยิงซ้ำ เพราะเกลียดภาพที่เฟยฮวากำลังร้องไห้ให้กับอาชาที่ล้มลงไปนอนกอง ภาพน้ำตานองและกรีดร้องปานจะขาดใจยังวนเวียนเป็นฝันร้ายในหัว นอกจากตัวที่อยากได้ก็ยังมีความห่วงใย ตนอยากได้หัวใจของร่างบาง แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้แล้วดูท่ามันคงจะยิ่งยากเกินไป สุดท้ายก็เหลือแต่วิธีเดิม ๆ เริ่มมาจากความร้ายกาจ ถ้าจะให้เปลี่ยนเป็นคนดีกลางคันมันก็คงไม่สมเหตุสมผล จนกว่าจะตายกันไปข้างหรือถ้าระหว่างตกนรกแล้วเผอิญเดินสวนกัน ตนก็จะฆ่าไอ้เวรนั่นให้ตายซ้ำ ๆ แล้วก็เชิญเฟยฮวาที่อยู่บนโลกตัวคนเดียวร้องห่มร้องไห้เสียใจได้ตามสบาย 

…เพื่อขอให้ไว้ชีวิตอาชา  “ฉันจะทำให้นายก้มหัวขอร้องฉันให้ได้ เฟยฮวา” 









มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XII (27/10)
«ตอบ #47 เมื่อ28-10-2018 14:56:45 »




“มันคือการเอาตัวรอดน่ะ” 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสำหรับเฟยฮวามันคือการพยายามมีชีวิตรอด  “ฉันเคยถูกซ้อมเพราะว่าไม่ยอมตามใจหมอนั่น”  สักพักมาแล้วที่น้ำเสียงราบเรียบค่อย ๆ เล่าให้คนนอนกอดฟัง

คนสองคนกำลังแย่งเตียงเหล็กโรงพยาบาลกันนอน ร่างบางหนุนท่อนแขนหนาแทนหมอน ส่วนพ่อค้าอวัยวะนอนตะแคงข้างขณะริมฝีปากยังจูบซ้ำ ๆ ประทับคาไว้ที่หน้าผากมน

“ฉันเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าจะไม่ยอมตายง่าย ๆ จนกว่าจะได้หลุดพ้นจากคนพวกนั้น หยางไอบอกฉันว่าพ่อติดหนี้อยู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันต้องอยู่เพื่อใช้ร่างกายชดใช้หนี้แทน”

“นายอยู่กับไอ้เวรนั่นตั้งหลายปี แต่ทำไมดูเหมือนหนี้จะไม่ลดลงเลยล่ะ”

“มันไม่มีทางลดหรอกตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นั่น หยางไอบอกว่าต้องเสียเงินเลี้ยงฉันไปตั้งมากมาย ฉันเลยตัดใจเรียนแค่มอปลาย เพราะว่าไม่อยากให้มีหนี้เพิ่ม ค่าเทอมมหาลัยฯมันน้อยซะที่ไหน”   

“แล้วนายหนีมาได้ยังไง”

“คงเรียกว่าฟลุ๊คได้ล่ะมั้ง ปกติหยางไอจะเข้าหาฉันก็ต่ออยากเรื่องอย่างว่า วันนั้นที่เคาน์เตอร์บาร์เบียร์ด้านล่างคฤหาสน์ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจฉันหยิบมีดปากผลไม้แถวนั้นขึ้นมาแทงหมอนั่น”

“แทง?”  อาชาถึงขั้นถอยใบหน้าออกเพื่อมองหน้าเฟยฮวาที่แหงนมองตอบให้ชัด ๆ

“ใช่ ฉันแทงสุดแรงเพราะไม่อยากให้หยางไอลุกขึ้นมาได้อีก ฉันกลัวเขาจะลุกขึ้นมาทำร้ายอีกก็เลยแทงซ้ำ แล้วก็รีบคลำกระเป๋าเงินตามตัวหมอนั่นแล้วค่อยรีบวิ่งออกจากบ้าน โชคดีว่าวันนั้นพ่อของหยางไอมีงานเลยพาลูกน้องยกโขยงไปด้วยกันเกือบหมด เหลือไว้แต่พวกคนขี้เกียจ”

พ่อค้าอวัยวะกลับมานอนเบียดร่างบางเหมือนในตอนแรกอีกครั้งและกระชับอ้อมกอดนอนฟัง

ส่วนคนสวยก็กอดเอวตอบพลางเริ่มเล่าต่อ  “ความจริงฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาไกลขนาดนี้หรอก ตอนนั้นฉันรีบเอาบัตรของหยางไอไปกดเงินออกมาจากบัญชี ดีว่าหมอนั่นไม่เคยมีความลับกับฉัน ฉันจึงรู้รหัสและทิ้งบัตรกับของทุกอย่างไว้ที่ถังขยะ ฉันหาห้องเช่าเพื่อซ่อนตัวสักพักและเริ่มคิดว่าควรไปจากจีนเพื่อความปลอดภัย นายคงรู้ว่าจีนเป็นแหล่งปลอมแปลงได้ทุกอย่าง ใช้เวลาไม่นานฉันก็ได้พาสปอร์ต แล้วก็เลือกจะมาที่นี่”

“ทำไมไม่เลือกไปให้ไกลกว่านี้ล่ะ”

“ภาษาอังกฤษฉันแย่เกินไป ฉันได้ภาษาไทยเพราะแม่เคยสอนตอนเป็นเด็ก แม่ฉันเป็นคนไทยน่ะ แถมสวยกว่าฉันตั้งร้อยเท่าพันเท่า”  จู่ ๆ เบ้าตาก็เอ่อไปด้วยน้ำ แต่เพราะเฟยฮวากำลังก้มหน้า อีกคนเลยไม่มีสิทธิ์เห็น ร่างบางรีบใช้หลังมือยกเช็ดน้ำตาลวก ๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไป”  อาชาพยายามจะเชยคางเพราะอยากเห็นสีหน้า จนเห็นนัยน์ตาแดงก่ำก็นึกสงสาร อารมณ์คือไม่อยากรู้เรื่องราวอะไรแล้วทั้งนั้น แค่กอดเนื้อตัวคนข้างกายไว้จนจมอก หวังว่าตนคงจะช่วยเยียวยาได้  “ไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้นะถ้านายไม่สบายใจ”

“ไม่หรอก ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้วล่ะ”  เฟยฮวาเอ่ยเสียงเบา ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอพ่อค้าอวัยวะ ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบอยู่เป็นนาทีก่อนที่เสียงแหบจะถามโดยที่ไม่รู้ว่านั่นอาจกลายเป็นขุดความทรงจำของร่างบางให้ยิ่งลึกลงไปอีก 
“แล้วมันเกี่ยวกับที่นายชอบนายฝันร้ายด้วยไหม” 

“ฉันได้ยินเสียงปืนดังซ้ำไปซ้ำมาในความฝัน”  เสียงนั้นเริ่มสั่นโดยไร้สัญญาณเตือน  “ฉันเห็นแม่ถูกยิงต่อหน้าต่อตา”  เหมือนเขื่อนที่พังทลาย เฟยฮวาไม่เคยพูดหรือเล่าให้ใครฟังนับตั้งแต่เกิดเรื่อง มันเป็นหลายสิบปีที่ไม่รู้จะเอาไประบายกับใคร ไม่เคยร่ำไห้เพราะความคิดถึงพ่อแม่ให้ใครเห็น

“วันนั้นแม่เอานมมาให้ฉันในห้องนอน แต่ว่าดันมีเสียงดังเกิดขึ้นซะก่อนแม่เลยวางแก้วนมรีบออกไปดู ฉันอยู่บนเตียงเพื่อรอให้แม่มาจูบราตรีสวัสดิ์ แล้วแม่ก็รีบร้อนวิ่งกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งแล้วบอกให้ฉันหนี”  เนื้อตัวที่เคยอยู่นิ่งกับเคลื่อนไหว ร่างกายผอมบางกำลังสั่นตามแรงสะอื้น   

“พอเถอะ ไม่ต้องเล่าแล้ว”

“เราสองแม่ลูกจับมือกันวิ่งออกจากห้องและออกมาเจอพ่อนอนกองอยู่ตรงหน้าบันได”

“เฟยฮวา”

“แม่รีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อแล้วกรีดร้อง แล้วฉันก็มองเห็นแม่ถูกยิงต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นฉันแค่กลัวว่าพวกท่านจะถูกยิงซ้ำเลยรีบวิ่งเอาตัวเข้าไปบัง  ฉันกอดร่างของพ่อแม่ไว้แล้วร้องไห้ไปด้วย” 

เพราะสายตาเว้าวอนราวกับจะบอกว่าช่วยรับฟังฉันหน่อย อาชาจึงเปลี่ยนจากการพยายามห้ามเป็นสวมกอดให้แน่นขึ้นจนไม่เหลือช่องว่างและถ้าอยากร้องก็ร้องให้พอ ตนพร้อมจะเป็นเบาะรองน้ำตา คอยรองรับเวลาอีกคนต้องการ

การกระทำของพ่อค้าอวัยวะเหมือนจะปลอบเฟยฮวาอยู่เสมอว่าไม่เป็นไร ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายสัมผัสได้อย่างชัดเจนและความอบอุ่นนั้นก็เป็นเหมือนของวิเศษคอยช่วยเยียวยา จิตใจที่พะว้าพะวังเพราะเรื่องในอดีตกับแผลในใจที่เคยถูกกรีดกำลังค่อย ๆ สมาน หยาดน้ำตาผลิตช้าลง     

“ตอนแรกฉันนึกว่าตัวเองจะตายไปด้วยซึ่งฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น แต่พ่อของหยางไอไม่ยอมฆ่าฉัน เขาลากฉันเดินลงจากบันได มันเหมือนกับว่าบ้านถูกปูพรมไปด้วยเลือดสีแดง ทุกคนภายในบ้านตายกันหมด ลูกน้องของพ่อก็ไม่เหลือสักคน”  ร่างบางไม่ได้อยากจดจำเรื่องราวเลวร้าย แต่สีแดงเป็นสีที่จำได้ง่ายที่สุด ชุดของทุกคนเปื้อนเลือดขณะนอนเกลื่อนเป็นผักปลา  “ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ฉันรู้ว่าแค่ว่าตอนนั้นฉันช่วยอะไรใครไม่ได้เลย”

“มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย”  อาชาแย้ง

แล้วเฟยฮวาก็แย้งกลับทันที  “ไม่ มันคือความผิดฉัน ฉันคือตัวซวยสำหรับทุกคน”

“เฟยฮวา”  น้ำเสียงเป็นกังวลเอ่ยปรามร่างบางที่ชักโทษตัวเองเกินไป

ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย พ่อค้าอวัยวะเชื่อว่าคนเราจะตายไม่ใช่เพราะดวงคนอื่นและคนที่ต้องยืนดูคนอื่นถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาก็ไม่ใช่คนผิดเช่นกัน อีกอย่างตอนนั้นร่างบางก็ยังเด็กเกินกว่าจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยังเล็กเกินไปที่จะต่อกรกับพวกคนใจร้าย เข้าใจว่าการเคยเป็นคุณหนูคงไม่ง่ายที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียวเป็นเวลาหลายปี เฟยฮวามีสิทธิ์เสียใจ ไขว้เขวไปกับคำพูดของคนพาลที่ดูท่าคงคอยพูดเป่าหูว่าเป็นตัวซวยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แล้วการพูดว่าร้ายใส่ตัวเองของร่างบางก็ทำให้คนนอนฟังสัญญากับตัวเองในใจดัง ๆ ว่าจะต้องไม่เป็นอะไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้นัยน์ตาเศร้าเห็นว่ายังมีคนรอดปลอดภัยอยู่อีกทั้งคน ตนจะอยู่ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยตามวัยชรา ไม่ใช่ตายห่าเพราะกระสุน เฟยฮวาจะได้เป็นหลุดพ้นจากคำครหาและสถานะตัวซวย ตนจะช่วยให้ร่างบางเป็นอิสระเอง

“สำหรับฉัน นายมีค่ามากกว่าคำแย่ ๆ แบบนั้นนะเฟยฮวา”   
 
“แต่ฉันอยากมีประโยชน์ ไม่ใช่เป็นแค่ลูกที่ไม่มีกระทั่งโอกาสไปร่วมงานศพพ่อแม่ ฉันไม่เคยทำอะไรได้เลยนอกจากพยายามหนี ฉันปกป้องใครไม่ได้เลย”

“นายตัวแค่นี้จะไปปกป้องใครไหว”  ร่างกายใหญ่กว่าถอยห่างเล็กน้อยแล้วค่อยใช้มืออีกข้างช่วยเช็ดคราบน้ำตา ผืนผ้าจะไปอบอุ่นอะไรเท่าฝ่ามือที่แม้จะดูใหญ่เทอะทะแต่ยามที่วางทาบบนหน้าแก้มแล้วกุมไว้แผ่วเบา คนสองคนเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอที่ต่อเข้ากันพอดี  “ปกป้องแค่ตัวเองต่อไปเพื่อฉันก็พอ เข้าใจไหม” 

สายตาโหยหากันอยู่ตลอด นอนมองใบหน้ากันและกัน

“ฉันกลัวจริง ๆ นะอาชา หมอนั่นเคยพูดว่าจะฆ่าทุกคนที่ฉันรัก…”  พ่อค้าอวัยวะเพิ่งเคยรู้ว่าการเอ่ยอย่างช้า ๆ แล้วเว้นวรรคสามารถทำให้หัวใจเต้นแรงได้มากล้น ลุ้นจนตัวโก่งว่าอีกคนจะเอ่ยอะไรต่อ  “แล้วฉันก็รักนาย…”  พอได้ยินประโยคบอกรัก ริมฝีปากคนฟังก็ประกอบกับฝีปากคนพูดจนทำให้หยุดสนทนาไปชั่วขณะ ความบางและหนานุ่มขยับดูดดุนกันอย่างเนิบนาบ จูบซับแค่ภายนอกอย่างละเมียดละไมระหว่างสองลมหายใจปนเป็นสายลมเดียวกัน

เฟยฮวาใบหน้าขึ้นสียามที่สายตาลึกซึ้งลอบมอง เหมือนจิ้งจอกที่กำลังตกหลุมรักลูกกวาง  “ฉันไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอกน่า เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวไม่สวยนะ”  วิธีเบี่ยงความสนใจของอาชาใช้ได้ผล เพราะคนร่างบางกำลังให้ความสนใจกับความอายไม่ใช่มัวแต่ระลึกถึงเรื่องในอดีต  “จะว่าไปฉันเองก็เริ่มถูกใจนายตั้งแต่ตอนที่นายร้องไห้ให้เห็นครั้งแรก”

“นายสั่งให้ลูกน้องแก้ผ้าฉันแล้วก็บังคับให้อมปืนบ้า ๆ นั่น ไหนจะเรื่องที่นายผิดสัจจะ ยิงคนต่อหน้าฉันอีก”

“ฉันยิงสายของตำรวจต่างหาก”

“แสดงว่านายใช้ฉันเป็นข้ออ้างเพื่อยิงคนงั้นเหรอ”  ปลายคางแหงนขึ้นยามถามกลับอย่างไม่ค่อยพอใจ  “นิสัยไม่ดี”  ก่อนที่กำปั้นจะทุบอักเข้าที่แผงอกล่อนจ้อน อาชานอนสวมเสื้อโรงบาลฯแต่ไม่มัดเชือกผ้า ฝ่ามือขาวเลยมีโอกาสได้ตีถึงเนื้อหนัง ตบเสียงดังจนน่ากลัวว่าจะสะเทือนถึงแผ่นหลังอย่างแน่นอน  “ฉันเจ็บอยู่นะ ถ้าฉันตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”  คว้าข้อมือขาวไว้ ด้วยความไม่ทันคิดเลยพลั้งปาก เดือดร้อนต้องรีบปลอบร่างบางที่จู่ ๆ ก็เบะปากอยากร้องไห้ เพราะไม่ชอบคำว่าตายน่ะสิ

“โอเค ๆ ฉันไม่พูดแล้ว จะไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้น ตกลงไหม”  เฟยฮวากลายเป็นเด็กว่าง่ายที่พยักหน้าขึ้นลง แต่ริมฝีปากยังเม้มไว้ระหว่างนิ้วใหญ่ยกขึ้นสัมผัส นวดความตึงเครียดให้คลาย อาชาใช้โอกาสเล่นริมฝีปากนุ่มนิ่มไปเพลิน ๆ  “เมื่อก่อนไม่เห็นร้องไห้ง่ายขนาดนี้เลย”

“ก็เพราะนายนั่นแหละ”  กลีบปากตามงับปลายนิ้วหัวแม่โป้งเบาๆ ถือเป็นการเอาคืนเมื่อพ่อค้าอวัยวะยินยอม แถมชอบใจมองสายตาไม่กะพริบก่อนกระซิบกระซาบให้ได้ยินถนัดกันแค่ระหว่างสองคน นอนหายใจรดเหนือร่องปากกันและกัน  “เมียใครทำไมขี้แยจังห๊ะ”

“เมียนาย”

“เดี๋ยวนี้กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยนะ ไหนเมียใคร ฉันขอฟังให้ชัด ๆ อีกที”

“เมียอาชา”

“ทำไมพูดห้วน ๆ แบบนี้ล่ะ”  เห็นร่างบางยังเหลือความเศร้าจึงกะจะหาอะไรแกล้ง  “ไหนพูดเมียพี่อาชาซิ เร็วเข้า เดี๋ยวอปป้าไม่รักนะ”  พูดไปเพราะไม่ได้คิดว่าจะเป็นการหางานให้ตัวเอง กระทั่งแค่แวบเดียวผ่านไป นัยน์ตากลมสั่นคลอนเหมือนสั่งได้และเป็นตอนนั้นเองที่อาชาเพิ่งสำนึกว่าพูดอะไรผิดไป คำว่าตายกับไม่รักคือสองคำต้องห้ามสำหรับเสี่ยวเฟยฮวา  “รัก ๆ ถึงนายไม่พูดฉันก็รัก”  พ่อค้าอวัยวะลนลานจนคำสารภาพดูขาดความโรแมนติก แต่ถึงจะไม่หวานซึ้งกินใจก็ล้วนส่งตรงมาจากใจ กลายเป็นร่างบางที่ชอบถ้อยคำซึ่งไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอย ชอบริมฝีปากที่ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหา  “ฉันยอมหมดแล้ว อยากได้อะไรก็เอาไป เอาความรักฉันไปแล้วห้ามคืนเด็ดขาด เข้าใจไหม”  สายตาแน่วแน่นั้นทำเอาเฟยฮวายกยิ้มบาง  “ถ้านายมีคนอื่นในใจนอกเหนือจากฉัน มันตาย นายสาหัส”  และยิ่งยิ้มกว้างกับประโยคขู่

ดวงตากลมดูยังไงก็ไม่ปรากฏความหวาดกลัว แถมยังเอาตัวเข้าไปใกล้ความอันตรายและกระชับกอดคนที่เตือนว่าจะฆ่าให้ตายถ้าคิดนอกใจไว้อย่างแนบแน่น  “หยาบคายจัง”

“ฉันไม่ได้แค่ขู่หรอกนะ”

“ฉันรู้”  เฟยฮวาหลับตาลงและถอนหายใจโล่งอก รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากบ่า ถ้ารู้ว่าการเล่าอดีตให้ใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังมันฟังแล้วจะรู้สึกดีอย่างนี้ ร่างบางคงจะรีบตามหาอาชาให้ไว ไม่ปล่อยให้ผ่านมานานจนรู้สึกเสียดายเวลา  “แต่ยังไงนายก็ไม่มีทางได้ทำร้ายฉันหรอก”

ตอนแรกนึกว่าเสียงหวานจะต่อท้ายอีกสักประโยคเพื่อตัดจบตอน แต่รอจนเป็นพัก ร่างบางก็ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรแถมนิ่งเงียบไปจนทำให้อาชาสงสัย แต่จะก้มหน้าดูว่าทำอะไรก็เจอแต่กลุ่มผม จะให้ผลักคนนอนกอดจมอกก็ไม่อยากทำ ใบหน้าฟกช้ำจึงหันมองภาพสะท้อนในกระจกหน้าต่าง ในเวลากลางคืนยิ่งทำให้เห็นเงาคนสองคนนอนกอดกันบนเตียงเหล็กแจ่มชัด พ่อค้าอวัยวะไม่อยากปลุกหรือขัดเมื่อเห็นอีกคนกำลังหลับ เหตุผลที่ไม่ขยับปากพูดเลยก็เพราะความเพลียรุมเร้านี่เอง นอนแก้มยุ้ยเป็นเด็กน้อยขณะอาชามองฝ่ามือตัวเองที่ค่อย ๆ ลูบคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือใบหน้าขาวเนียนผ่านกระจกหน้าต่างที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นกระจกเงา 

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะปกป้องนายเอง”  พึมพำจนแทบไม่ได้ยิน แต่สำหรับคนนอนใกล้ชิดตัวติดเป็นแฝดอย่างร่างบางกลับได้ยินชัด แต่ยังทำเป็นเนียนแกล้งหลับต่อไป แค่เขยื้อนตัวราวกับยังนอนท่าไม่ค่อยสบายจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าขมับตัวเองกำลังถูกหอม  “ฉันรักนาย”  มาพร้อมถ้อยคำบอกรักแว่ว ๆ แต่ฟังแล้วกับสะท้อนดังก้องอยู่ในหู เฟยฮวานอนอมยิ้ม หลับตาพริ้มขณะเอ่ยตอบกลับเปิดเผยกลาย ๆ ว่าไม่ได้หลับตั้งแต่แรก  “ฉันก็รักนาย”

แค่มีนาย ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว






















----------------------------------------------------
Tag  #PONR  #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน  ลั่นดาล 

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #48 เมื่อ28-10-2018 15:08:05 »

หูย ไม่เสียแรงลุ้น ไม่นึกว่าพ่อค้าอวัยวะเถื่อนจะมีมุมอ้อนเมีหลงเมียแบบนี้ค่ะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #49 เมื่อ28-10-2018 17:02:25 »

น้องเฟยเด็กน้อยน่าเอ็นดู น่าปกป้องมากเลย

อาชาไม่น่ายิงหยางไอตรงขาเลย น่าจะขยับไปสักนิด :m16:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
« ตอบ #49 เมื่อ: 28-10-2018 17:02:25 »





ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #50 เมื่อ28-10-2018 18:52:38 »

ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ เข้าชมรมคนรักเมียอีกคนแล้วพี่อาชา

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #51 เมื่อ28-10-2018 22:36:48 »

รักอาชาแบบนี้ที่สุด ไม่มีความลับต่อกันแล้วเนอะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #52 เมื่อ29-10-2018 19:46:11 »

เอ็นดูความน้อนนน พอพี่เค้าเเหย่ว่าจะไม่รักก็น้ำตาจะไหล พี่อาชาก็เเพ้น้ำตาเมียตัวเองจังเลยยย ให้น้อนอ้อนพี่อีกเยอะๆเลย เอาให้ไปไหนไม่ได้เลยย

ออฟไลน์ moonoi1000

  • I'm a realist dreaming the impossible
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #53 เมื่อ30-10-2018 00:17:19 »

ดีงามพระรามแปดเก้าสิบ

ออฟไลน์ นินนินนิน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #54 เมื่อ30-10-2018 05:54:39 »

เข้มข้น ดุเดือด เชือดเฉือน ประดุจซีรีย์ฮ่องกง สนุกมากเลยค่ะ ติดงอมแงม อ่านรวดเดียวเลย

ออฟไลน์ Quatree

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #55 เมื่อ30-10-2018 23:47:22 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #56 เมื่อ31-10-2018 22:35:50 »

การใช้ภาษาของไรต์คือโคตรของโคตรดีอะ สุดยอด :katai2-1: :mew1:

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #57 เมื่อ01-11-2018 17:51:56 »

XIV




ไม่มีความรักใดพิเศษเท่าความรักที่เต็มไปด้วยความเข้าใจกันหรอก ยิ่งบอกความจริงไปมากเท่าไหร่สายสัมพันธ์ของคนสองคนก็ยิ่งแน่นแฟ้นและเพิ่มความหวงหวนเป็นหลายเท่าตัวสำหรับอาชา พ่อค้าอวัยวะกลัวร่างบางจะปลิวไปตามลมจึงกอดจมอกระหว่างปล่อยให้ลมโกรกหน้ายามทอดสายตาไปไกล

หลังจากช่องว่างถูกอุดด้วยความเชื่อใจ ไม่หลงเหลือความลับที่ปกปิดต่อกัน เฟยฮวาเป็นฝ่ายชวนอาชาขึ้นมาบนสวนดาดฟ้า ถือว่ามาเก็บบรรยากาศโรงพยาบาลก่อนกลับบ้านภายในบ่ายนี้ โดยมีอีกคนกอดจากทางด้านหลัง

ไหล่กว้างซ้อนทับไหล่แคบ แผ่นหลังบางแนบแผงอกหนาระหว่างยืนมองท้องนภาอันกว้างใหญ่ อาชาพยายามชี้ให้ดูว่าก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้านั่นคือสัตว์ชนิดใด แต่คนยืนอยู่ในอ้อมแขนก็ส่ายหน้าว่าไม่ใช่สักหน่อย คอยขัดซ้ำ ๆ จนทำให้พ่อค้าอวัยวะหมั่นไส้ ไม่วายดัดเสียงปฏิเสธเลียนแบบและก็เรียกเสียงหัวเราะได้แทบจะทันที นานแล้วที่เฟยฮวาไม่ได้หัวเราะอย่างเต็มใจ หลากหลายอารมณ์ที่เคยซุกซ่อนไว้หวนคืนกลับมาหลังจากที่ได้อาชาคอยช่วยกระตุ้นทีละนิด 

พ่อค้าอวัยวะเหมือนยาวิเศษและเป็นวิตามินชนิดเข้มข้น จนทำให้ร่างบางไม่อยากไปไหนไกลเพราะอยู่ใกล้แล้วคล้ายจะได้รับพลังเยียวยา แล้วคนที่ถูกกอดอยู่ก็รู้ว่าอีกคนคิดเหมือนกัน ยิ่งหันตัวกลับมาและเจอสายตาลึกซึ้งก็ยิ่งแน่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความก็เข้าใจได้โดยง่ายว่าต่างฝ่ายต่างกำลังเสพติดพลังรักษาจากกันจนถอนตัวไม่ขึ้น

คนตัวเล็กกว่ายืนเขย่งปลายเท้าพยายามจะทำตัวให้สูงเท่ากับคนตัวใหญ่กว่าที่ก้มหน้าลงมาตามประสาคนรู้งาน ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน ทั้งคู่ยืนต้านทานอย่างแรงกล้า ปอยผมปลิวไสว ก้านนิ้วยาวช่วยปัดเส้นผมออกจากใบหน้าเนียนให้ขณะบดจูบริมฝีปากอิ่มไปด้วยอย่างแนบแน่น สองแขนของอาชารั้งเอวคอดเข้ามาขณะสองแขนของเฟยฮวาโอบกอดรอบเสื้อคนไข้ไว้ สลัดความเขินอายเหมือนเด็กสาวออกไปเพราะไม่อยากเสียแต่ละวินาทีอันมีค่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงจูบให้เหมือนเป็นจูบสุดท้ายเสมอ จูบเหมือนเราไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนานและกำลังโหยหาวันคืนที่เคยเป็นของกันและกัน เฟยฮวาอยากจะบอกผ่านการจูบตอบว่าไม่ใช่แค่หัวใจที่ได้มอบให้ไปเท่านั้น แต่ฉันจะเป็นของนายแค่คนเดียวตลอดกาล ขณะอาชาเองก็รับรู้ได้ถึงสัญญานั้นก่อนเกิดการลงนามเซ็นยอมรับ ประทับตราด้วยจูบ

แล้วสายลมกรรโชกแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นความแผ่วเบา ราวกับจะบอกฤดูพายุเข้ากำลังใกล้จะเคลื่อนไป อยากให้คนทั้งคู่จับมือกันไว้แล้วอดทนกับอุปสรรคไปอีกสักนิด สำหรับอาชาต่อให้อีกนานก็พร้อมสู้ไหว แค่มีร่างบางอยู่ใกล้ ๆ ก็พร้อมจะสู้ยิบตาและจะด้วยอนุภาคแห่งความรักหรืออะไรก็ตามแต่ แค่เฟยฮวาก็กอดตอบก็คล้ายได้มอบพรให้ พ่อค้าอวัยวะถอนริมฝีปากแล้วเปลี่ยนเป็นหอมกระหม่อมบางอย่างแสนรัก

อย่างกับฉากอวสานแต่ความจริงแล้วเป็นเพียงการเริ่มต้นสู่บทใหม่ ปลายคางร่างบางเกยอยู่บนช่วงบ่ายามลืมตาจนเห็นความใสแจ๋วดุจกระจก เดตนอกสถานที่คงจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีการพูดประโยคบอกรัก ผลัดกันสลักข้อความขยับปากเอือนเอ่ยอย่างบรรจง ไม่มีใครอุปโลกน์ไปเองว่านี่คือความรักและต่างก็ยืนยันว่านี่คือความรัก   

ก่อนจะโดนขัดจังหวะ หมอเถื่อนเคาะผนังแถวนั้นเพื่อเป็นการขออนุญาต สหรัฐมาตามคนทั้งคู่ให้กลับลงไปข้างล่างหลังจากเป็นคนเดินเรื่องติดต่อขอกลับบ้านให้คนบาดเจ็บจนเสร็จเรียบร้อย ยืนคอยอยู่ในร่มกระทั่งคนเดินโอบเอวกันก้าวเข้ามาใกล้ จึงได้หาเรื่องแซวเล่น  “ให้มันน้อย ๆ หน่อย ฉันอิจฉา”

“กลับไปหาเด็กแกไป”  ไล่แบบเป็นจริงเป็นจัง ไม่เคยนึกอยากให้อีกคนไปให้พ้นหน้าเท่าตอนนี้มาก่อน แล้วพ่อค้าอวัยวะที่เริ่มจะรู้สึกตึงแผ่นหลังก็กลอกตาหน่ายเมื่อหมอเถื่อนย้อนว่าเด็กมันยังอายุไม่ถึงสิบแปด  “เพิ่งรู้ว่าคนอย่างแกกลัวกฎหมายกับเขาก็เป็นด้วย”

“เฟยฮวาดูสิ มันกำลังพยายามยุให้ผมปล้ำเด็ก”

“แต่อาชาเขายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ”  นึกว่าจะรับมุกแล้วยอมอยู่ข้างหมอเถื่อนเพื่อกลั่นแกล้งคนเจ็บ แต่ที่ไหนได้สุดท้ายความรักก็ทำให้คนตาบอด เฟยฮวาเลือกปกป้องคนที่ประคองเอวตัวเองไว้ขณะยิ้มให้สหรัฐที่ยืนทำหน้าเซ็ง ฟังน้ำเสียงอวดเบ่งก็ได้แต่ส่ายหน้า  “นี่เมียใคร เมียฉันไง”

ชั่วโมงนี้ไม่มีใครหน้าบานได้เท่าอาชาอีกแล้ว หลังจากต่อสู้ทางวาจาจนชนะก็เป็นฝ่ายออกเดินนำพลางโอบเอวร่างบางให้เดินตาม ทำท่าจะเดินตัดหน้าคนที่สุดท้ายก็หลุดยิ้มขำ แต่ไม่ลืมกระแอมไอจนอาชาเข้าใจว่านั่นเป็นสัญลักษณ์บอกถึงบางอย่าง ทั้งที่ไม่อยากห่างคนรักสักเท่าไหร่แต่จำต้องปล่อยให้คนพยักหน้าเข้าใจเดินไปก่อนสักสามสี่ก้าว แล้วพ่อค้าอวัยวะจึงถอยเท้าเดินลงมาให้เสมอเท่ากับหมอเถื่อนที่กระซิบกระซาบ ถามให้ได้ยินกันแค่ระหว่างสองคน
 
“พอออกจากโรง’บาล แล้วแกจะเอายังไงต่อ”

“คงพาเฟยฮวากลับไปอยู่บ้าน มีคนคุ้มกันเยอะขนาดนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า”

“คิดว่าจะปลอดภัยไปได้นานแค่ไหน”

“ไม่หรอก ความจริงมันไม่ปลอดภัยเลย แต่ฉันแค่อยากให้เฟยฮวารู้สึกอุ่นใจ”

“ตกลงเอาจริงแล้วใช่ไหม”  คนโดนถามแค่ยักไหล่แทนคำตอบ ไม่ยอมพูดเรื่องตัวเองแล้วเปลี่ยนประเด็นเป็นเอ่ยประโยคขอความช่วยเหลือ 

“ช่วงนี้ขอยืมตัวเด็กแกมาหน่อยสิ ฉันอยากให้เฟยฮวามีเพื่อน”

“อะไร ๆ ก็เฟยฮวา ท่าจะอาการหนักนะเนี่ย”  สหรัฐขอแซวตามประสาคนโสดและก็อดดีใจด้วยไม่ได้ สุดท้ายอีกคนก็ยอมตกล่องปล่องชิ้นกับใครสักที  “งั้นเดี๋ยวจะลองคุยกับเด็กมันดูให้ แต่น่าจะยอมอยู่แล้วล่ะถ้าขอให้มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเฟยฮวา แล้วเรื่อง…ไอ้หยางไอล่ะ”

สีหน้าผ่อนคลายกลายเป็นเคร่งเครียดภายในวินาทีแค่เพราะได้ยินชื่อที่ค่อนข้างแสลงหู อาชาดูไม่สบอารมณ์นักขณะหันมองหน้าหมอเถื่อนที่มองกลับด้วยความสงสัยก่อนส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อดันเข้าใจว่าอีกคนจะให้ไปจับปืนแทนมีดผ่าตัด  “ฉันเป็นหมอ ฉันฆ่าใครไม่เป็นหรอกนะ” 

“ก็ไม่ได้จะบอกให้แกไปฆ่าใครตายสักหน่อย”  พ่อค้าอวัยวะถอนหายใจค่อยซะที่ไหน แถมทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย แค่คิดว่าจะต้องไปเจอหน้าศัตรูคู่อาฆาตก็เซ็งจะตายชัก  “ฉันก็แค่จะถามว่าไอ้เวรนั่นออกจากโรงพยาบาลหรือยัง”

“จะทำอะไรนึกถึงแผลที่หลังตัวเองไว้หน่อยก็ดี”

“ฉันจะไปหาอย่างสันติหรอกน่า”  มือใหญ่ตบลงบนบ่าคนทำสีหน้ากังวล แล้วคนเป็นหมอเถื่อนก็ผายมือเชิญบอกให้เดินไปก่อนเลยครับ ซึ่งอาชาก็พยักหน้ารับแล้วรีบก้าวขาให้ทันร่างบาง ตลอดทางเดินกลับห้องพักยังตัวติดกันตลอด จะแยกกันก็ตอนขาออกจากโรง’บาล      

เฟยฮวาพยายามถามว่านั่นนายจะไปไหน แต่อาชาก็ตอบเพื่อความสบายใจว่าไปทำธุระ แล้วรับปากว่าจะรีบบึ่งรถกลับไปหาที่บ้านถ้าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พอสัญญาว่าจะไม่ให้คอยนาน ร่างบางถึงได้ยอมปล่อยท่อนแขน แต่ไม่วายแหงนหน้ามองตาละห้อยระหว่างที่ล้อทั้งสี่ค่อย ๆ เคลื่อน อาชาไม่ลืมทำมือทำไม้ให้เลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นด้วยเมื่อคนสวยยังเอาแต่โผล่หน้าออกมา  “ฉันฝากด้วย”  พ่อค้าอวัยวะฝากฝังไปยังคนขับหน้าตาคุ้น ๆ ซึ่งคุณหมอสหรัฐที่พยักหน้ารับก่อนเพิ่มระดับความเร็วเร่งตามคันหน้า รักษาระดับความเป็นกึ่งกลางขณะด้านหลังมีรถอีกสองคันปิดขบวน

อาชายืนมองจนไม่เห็นป้ายทะเบียนรถคันสุดท้าย ก่อนเป็นฝ่ายชวนลูกน้องที่เหลือออกเดินทางบ้างระหว่างถามหาซองเงินก้อนใหญ่ที่คงใช้ไปได้ทั้งปีทั้งชาติ มันเป็นเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนที่แม้จะเป็นคนหามาเองแต่ก็ไม่รู้สึกเสียดายถ้าจะต้องใช้จ่ายไป คนที่ยังมีผ้าพันแผลพันรอบกายภายในร่มผ้าเข้าใจว่าคำว่าอิสรภาพมันมีราคาที่ต้องจ่ายจึงพยายามจะทำให้มันถูกวิธี มาดีและรู้อยู่หรอกนะว่าเขตโรงพยาบาลเป็นเขตปลอดความรุนแรง แต่เพื่อความอุ่นใจจึงให้ลูกน้องเดินตามอยู่ห่าง ๆ และไม่จำเป็นต้องถามทางกับพยาบาลให้เสียเวลา

“ฉันขอพบเจ้านายพวกแกหน่อย”  แค่เห็นลูกน้องคอยยืนเฝ้าอยู่มากมายก็รู้แล้วว่านี่คงเป็นห้องเจ้าพ่อมาเฟียใหญ่และอาชาก็ไม่ได้รู้สึกหัวเสียสักเท่าไหร่ที่มีปืนหลายกระบอกส่องมาที่บริเวณศีรษะ แค่ยกฝ่ามือขึ้นเสมอหน้าเหมือนยอมยกธงขาว จะเข้าถ้ำก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ

“ใจเย็นพวก ที่นี่โรงพยาบาล”  ก่อนพ่อค้าอวัยวะจะผ่านด่านแรกได้ด้วยการที่คนด้านในตะโกนว่าให้มันเข้ามาได้ พูดคำหยาบเหมือนไม่รู้เลยว่าแขกสำคัญจะได้ยิน แต่สิ่งที่แขกทำกับคนบาดเจ็บที่ขาก็หยาบคายไม่ต่างกันหรอก ออกแรงปาซองเงินไปบนหน้าตักแต่ระหว่างทางดันกระทบโดนขา

“โอะ โดนแผลเหรอ เจ็บหน่อยนะ”  เดินเข้ามาใกล้พร้อมสีหน้าบ่งบอกว่าสุดแสนจะสะใจ ถนัดเหลือเกินเรื่องทำให้ศัตรูคู่อาฆาตรู้สึกหมั่นไส้กว่าเก่า แย้มยิ้มก่อนรีบพูดเข้าเรื่อง  “หนี้ที่เฟยฮวาติดแกทั้งหมด เงินสดไม่ขาดสักบาทแล้วก็ไม่ต้องถอนด้วยถ้ามันเกิน”

“แค่นี้ง่ายไปมั้ง”  แน่นอนว่าหยางไอที่พยายามซ่อนความเจ็บปวดบริเวณขาไว้ไม่ยอมรับ เพราะรู้ว่าถ้ายอมก็เท่ากับว่าหมดโอกาสตามจับร่างบางกลับไป ถ้าไม่เหลือหนี้ต่อกันแล้วเจ้าพ่อเงินกู้จะใช้อะไรเป็นข้ออ้างในการชำระแค้น

“แล้วแกจะทำให้ทุกอย่างมันยากไปทำไม”  อาชารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไง แต่ก็ถือว่าให้แล้วเพื่อความสบายใจ ส่วนจะรับหรือไม่รับนั่นก็เป็นอีกเรื่อง พยายามลดความโกรธเคืองลงและเลือกคุยอย่างมีสติ  “แค่เอาเงินไปแล้วฉันก็จะถือว่าหายกัน”

“รู้ไหมเวลาเห็นหน้าแกแล้วฉันยิ่งรู้สึกอยากเอาชนะ”  แต่ดูท่าหยางไอจะไม่อยากคุยด้วยดี ๆ ยิ้มร้ายเหมือนมีแผนการซึ่งอาชาก็พออ่านเกมออกระหว่างหยอกเอินด้วยคำพูดแนวชวนหาเรื่องพอ ๆ กัน 

“เวลาเห็นหน้าแก ฉันเองก็อยากซัดปากแกสักหมัดสองหมัดเหมือนกัน”

พ่อค้าอวัยวะหันตัวกลับทันควันเพราะเหม็นเบื่อเต็มทน เหม็นทั้งกลิ่นคนกลิ่นยา ไม่อยากเสวนากับคนพูดไม่รู้เรื่องให้เสียน้ำลาย แต่ยังไม่ทันได้เลื่อนประตูหูก็ได้ยินประโยคตักเตือนซะก่อน
   
“แล้วแกจะต้องเสียใจ...” 

ตอนแรกก็ว่าจะไม่ต่อความยาวสาวความยืด แต่ยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ไหวจึงหันกลับมาพูดอะไรสักหน่อย  “ฉันเสียใจแน่ ถ้าไม่ได้ฆ่าแกให้ตายคามือ”  และนั่นคือเวลาเดียวกับที่ประตูถูกเปิดเลื่อนจากคนด้านนอก ลูกน้องรีบเดินเอาโทรศัพท์เข้ามาให้เจ้านายที่ยังลุกเดินไปไหนไม่ค่อยได้สะดวก

พ่อค้าอวัยวะจึงถือโอกาสล่ำลาโบกมือว่าฉันกลับก่อนแล้วกันตอนเห็นอีกคนดูท่าจะมีเรื่องยุ่ง ๆ ให้ต้องรีบจัดการ อาชาเดินออกไปจนไม่ทันได้เห็นอาการกำหมัดของหยางไอและเจ้าพ่อเงินกู้พอจินตนาการใบหน้าหัวเราะเยาะของคนจากไปออก หลังคนในสายโทรมาบอกว่าบริษัทเงินกู้ที่จีนกำลังถูกสอบสวน หยางไอก็เชื่อว่าคนที่เดินออกไปจากห้องต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน  “ยังมีเรื่องอีกเรื่องครับนาย โกดังเก็บอาวุธผิดกฎหมายโดนลอบวางเพลิงครับ”  คนได้ยินกำโทรศัพท์แทบแหลกคามือขณะไฟแค้นยิ่งลุกฮือจนลืมไปว่าตัวเองก็เคยใช้วิธีการสกปรก

คงไม่เคยถูกตอกกลับเลยยิ่งคับอกคับใจความโกรธมันฝังแน่นอยู่ภายในเต็มไปหมด

ส่วนคนเดินออกจากห้องพักฟื้นมาก็แค่ผิวปากและยิ้มกว้างอย่างเริงร่าขณะยกมือเซย์ไฮเด็กน้อยที่อยู่บริเวณแถวนั้น อารมณ์ดีจัดระหว่างจินตนาการไปไกลว่าถ้าเฟยฮวามีลูกได้แล้วเด็กผู้หญิงจะน่ารักเหมือนแม่ไหม แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะสอนให้ยิงปืนเป็นตั้งแต่เจ็ดแปดขวบควบกับการเรียนศิลปะป้องกันตัว อาชาลูบหัวเด็กน้อยด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง





มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2018 18:38:51 โดย กระเหี้ยนกระหือรือ »

ออฟไลน์ กระเหี้ยนกระหือรือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XIII (28/10)
«ตอบ #58 เมื่อ01-11-2018 17:55:54 »




“ผมว่าเป็นวันอื่นดีกว่าไหมครับ”  ถ้านับจำนวนรอบอย่างจริงจัง มะตูมน่าจะพูดประโยคกึ่งถามความเห็นไปแล้วประมาณแปดรอบ ร่างเล็กไม่ยอมเดินห่างคนที่กำลังเดินนำ ขาสั้นสับตามหมอเถื่อนที่หันกลับมาพูดแค่ว่าเดี๋ยวฉันจะจัดการเองขณะเปิดประตูรั้วบ้านคนอื่นอย่างถือวิสาสะ

สหรัฐมีธุระกับคนเป็นพ่อของร่างเล็ก ตั้งใจว่าจะมาคุยเรื่องการรับอุปถัมภ์ จำได้ไหมที่มะตูมเคยบอกว่าจะคุยกับพ่อดูก่อน แต่หมอเถื่อนดันเป็นประเภทร้อนใจในเรื่องสำคัญ ขืนรอให้คุยเองอาจจะต้องรอเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ไหน ๆ เย็นนี้ก็ว่าง มาส่งร่างเล็กแล้วก็ถือโอกาสคุยต่อเลย 

“วันนี้พ่ออาจจะยังไม่กลับมา”  มะตูมแค่พยายามจะหาข้ออ้างเพราะยังไม่อยากให้อีกคนเจอบิดาผู้ชื่นชอบสุรา แต่ว่ารองเท้าเจ้ากรรมก็ได้กลายเป็นหลักฐานการกลับบ้านมาของพ่อ สหรัฐจึงเคาะประตูไม้สองสามครั้งพอเป็นพิธีแล้วค่อยเปิดเข้าไปและได้กลิ่นเหล้าโชยจนต้องย่นจมูก

“กลับมาได้สักทีนะ ไอ้ลูกไม่รักดี!”  เป็นคำต้อนรับที่เล่นทำเอาแขกของบ้านชะงักไป

ผิดกับลูกชายที่แม้บิดาจะด่าสาดเสียเทเสียแค่ไหนก็ยังรีบเดินเข้าไปพยุงตัว กลัวคนหลับหูหลับตาชี้หน้าด่าจะล้มหัวฟาดพื้น ร่างเล็กยืนอยู่ข้าง ๆ หวังเป็นไม้ค้ำยัน แต่ไม่นานก็ถูกคนเมาปลิ้นผลักออกจากตัวจนกระเด็นกระดอน ตอนแรกคิดว่าจะล้มแต่ก็ได้หมอเถื่อนช่วยรับจับลำตัวไว้

แล้วมะตูมก็ถูกดันให้ยืนอยู่เบื้องหลังและเป็นสหรัฐที่ขยับขึ้นมายืนเป็นคนกลางพลางแนะนำตัวอย่างสุภาพ ชายหนุ่มกำลังจะทำความเคารพหลังเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองจบ แต่เพราะคนตรงหน้าโงนเงนทำท่าจะล้มอีกเลยต้องรีบเข้าไปหามปีกและประคองแทน 

“แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันทำไม”  พอเมาสายตาก็ยิ่งไม่ดี เห็นเงาลาง ๆ ไม่คุ้นเลยชี้หน้าคนที่อุตส่าห์พยายามจะช่วย  “พ่อนายเป็นแบบนี้มานานแค่ไหน เคยคิดจะพาไปหาหมอบ้างหรือเปล่า” 

สหรัฐถามยามพยุงคนเมาเข้าหาโซฟาผ้าแล้วค่อยปล่อยตัวหนัก ๆ ให้ลงนอนราบ โดยมีมะตูมเข้ามาช่วยจับเนื้อตัวคนเป็นพ่อ จัดท่าจัดทางการนอนของคนสะลึมสะลือด้วยความชำนิชำนาญ หมอเถื่อนยืนมองแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าร่างเล็กคงใช้ชีวิตแบบนี้มานานมากแล้วสินะ 

“ปกติพ่อนายดื่มเหล้าแบบนี้ทุกวันเลยหรือไง”

“ครับ”  ไม่จำเป็นต้องโกหกให้มากความเพราะเชื่อว่ายังไงคนถามก็รู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว

“แล้วเขาก็ซ้อมนายบ่อยด้วยใช่ไหม”  นัยน์ตากลมรีบช้อนขึ้นมองใบหน้าคนยืนค้ำหัวอยู่ทันที ก่อนจะเป็นสหรัฐที่เฉลยไขข้อข้องใจ  “ถึงนายไม่บอก ฉันก็รู้ และต่อให้นายจะหกล้มจริงแต่ที่หน้าก็ไม่มีทางช้ำเป็นจ้ำ ๆ แบบเมื่อหลายวันก่อนหรอก”

“ตกลงผมไม่เคยโกหกพี่ได้เลยใช่ไหม”  คนโดนถามแค่ยักไหล่แล้วไม่ยอมตอบกลับ

หมอเถื่อนแค่ขยับตัวลงนั่งยอง ๆ ด้านข้างพลางเฝ้ามองอาการของคนนอนบนโซฟาที่กระสับกระส่ายไปมาเพราะฤทธิ์เหล้า  “พ่อนายเหมือนเป็นพวกแอลกอฮอล์ลิซึ่มเลยนะ”

“แล้วพ่อจะเป็นอะไรมากไหมครับ”  มะตูมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรหรือร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน แต่เพราะคนเป็นหมอกำลังวินิจฉัยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี คนที่เป็นลูกชายเลยฉายความกังวล     

“พ่อนายเคยมีอาการตัวสั่นเวลาไม่ได้ดื่มบ้างไหม”  ร่างเล็กนั่งระลึกความทรงจำไปได้ไม่ไกลก็ค่อย ๆ พยักหน้ารับ  “ต้องดื่มแล้วถึงจะหายสั่นใช่ไหมล่ะ”  สหรัฐยังพูดไปขณะคนข้างกายผงกหัวขึ้นลงแผ่วเบา  “แล้วเคยบอกให้พ่อลดดื่มเหล้าบ้างหรือเปล่า”   
“ผมพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก”  ใช่ว่าไม่เคยบอกแต่หลังจากลองพูดไปก็รู้ว่ามันได้ไม่คุ้มเสียกันเลย เพราะเคยต้องดูแลรักษาตัวเองอยู่เกือบวันสองวัน กว่าแผลจะหายทันก็ชวดงานดี ๆ ไป

ความจริงแล้วมะตูมเองก็อยากให้พ่อหายขาดจากของมึนเมาทั้งหลาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าทำงานหาเงินงก ๆ ไปวัน ๆ รู้ดีว่าตัวเองกำลังเป็นคนผลักดันให้สุขภาพของอีกคนยิ่งย่ำแย่แต่ถ้าไม่ให้เงินเอาไปซื้อสุรา พ่อก็คล้ายคนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาฆ่าลูกชายตัวเองให้ตาย สำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดแล้ว ความรู้สึกตอนกำลังถูกบีบคอนั้นมันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่ว่าจะนึกถึงอีกกี่ครั้งก็ยังทำให้รู้สึกหายใจลำบาก

สหรัฐเองก็สังเกตเห็นความตึงเครียดได้จากท่าทีที่นิ่งเงียบไป เห็นร่างเล็กนั่งเหม่อลอยไปไกลเลยพยายามดึงสติกลับมา มือใหญ่วางบนศีรษะกลมแล้วโยกให้โคลงเคลงเบา ๆ  “ฉันเข้าใจ”  ฝ่ามือกร้านลูบผมเผ้าเส้นลื่นไปมาขณะแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนคนอายุน้อยกว่าจะพยายามดึงข้อมือข้างนั้นออกเพราะรู้สึกไม่คุ้น แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่าเสียแรงเปล่า นอกจากจะไม่เอามือออก ยังแกล้งใช้ฝ่ามือกดจนอีกคนหดคอ หมอเถื่อนยิ้มพอใจเมื่อตัวเองดูจะทำให้ร่างเล็กเครียดได้

แล้วก็ยิ่งมีความสุขไปใหญ่เมื่อมะตูมไม่ได้พยายามปฏิเสธสัมผัสอีกต่อไป  “วันนี้คงต้องล้มเลิกแผนคุยกับพ่อนายไปก่อนแล้วล่ะ”  ฝ่ามือเลื่อนลง คงเหลือวงแขนที่คอยโอบบริเวณหัวไหล่แคบไว้หลวม ๆ ทำเนียนแต๊ะอั๋งระหว่างคิดว่าอีกคนคงจะไม่รู้สึกรู้สา แต่ว่าหน้าแก้มเนียนกำลังปรากฏสีระเรื่อและเพื่อปกปิดอาการประหม่า มะตูมจึงได้แต่หันหน้ามองคนเป็นพ่อ เกร็งคอแทบเคล็ดขณะตัวแข็งค้างอย่างผิดธรรมชาติ  “แล้วพี่จะกลับเลยหรือเปล่า”  ร่างเล็กก็แค่อยากจะชวนคุยเพราะบรรยากาศมันเงียบเหงาแปลก ๆ แต่คำพูดคำจากับกลายเป็นว่าเหมือนกำลังไล่ คนพูดผิดจึงรีบหันกลับมาแล้วยกมือยกไม้ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น

ขณะสหรัฐยิ้มขันและพยักหน้าเข้าใจ พูดไปจะหาว่าคุยแต่ขอพูดหน่อยก็แล้วกัน สหรัฐพอรู้ว่าอีกคนมีลักษณะนิสัยเป็นเช่นไรและรู้ด้วยว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยกับความเป็นคนตรง ๆ เด็กตัวเท่านี้คงจะเก็บซ่อนเรื่องราวอันหนักอึ้งเอาไว้กับตัวมากมาย แล้วจะคิดว่าตนพยายามเต๊าะเด็กก็ได้ แต่อยากให้รู้ไว้อย่าง เพราะร่างเล็กเองนั่นแหละที่ทำตัวน่าเอ็นดู จะรู้ไหมว่าตัวเองเป็นคนน่ารัก มีคำพูดสมัยเก่าเก็บที่ว่าถ้าอยากได้ลูกสาวต้องเข้าทางพ่อแม่ แล้วเพราะว่ามีจิตสำนึกอยู่บ้าง เห็นคนตกยากเลยอยากช่วย  “ไว้ฉันจะลองคุยกับพ่อนายให้ เรื่องที่ให้เพลา ๆ ดื่มเหล้าน่ะ”

“แต่พ่ออาจจะไม่พอใจพี่ก็ได้นะ”  มะตูมรีบแย้งแล้วเอ่ยต่ออีกประโยคด้วยน้ำเสียงเบา “แล้วพ่อก็อาจจะไม่ยอมให้พี่อุปการะผมด้วย”  ร่างเล็กเศร้าสร้อยเหมือนคนที่ลึก ๆ แล้วก็กลัวว่าโอกาสได้เรียนหนังสือจนจบมอปลายจะหลุดลอยไป ซึมลงถนัดตาจนฝ่ามือใหญ่ต้องคอยลูบที่บ่า  “ไม่ต้องห่วง ฉันมีวิธี”  โฆษณาชวนเชื่อแต่ไม่ใช่เพื่อหลอกเด็กให้ดีใจ 

“ฉันทำให้พ่อนายเซ็นยอมรับการอุปการะภายในสามวินาทียังได้เลย”

“ยังไง”

“ไม่บอก เอาไว้คุยกับพ่อนายก่อน แล้วถ้าไม่ยอมค่อยจัดการ”

“พี่คงจะไม่ทำร้ายพ่อผมหรอกใช่ไหม”

“เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”

“สามารถควักลูกตาคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกอะไร”

“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวนายจะเป็นรายต่อไป”  มือกร้านข้างที่ว่างยกขึ้นชี้หน้าคาดโทษ
 
แทนที่คนอายุน้อยกว่าจะกลัวกลับลอยหน้าลอยตา หลุดยิ้มจนแก้มอูมขึ้นมาอย่างลืมตัว ส่วนหมอเถื่อนผู้กลัวว่าถ้าทักแล้วร่างเล็กจะรีบหุบยิ้มเลยทำเป็นเนียนไป กระแอมไอพลางลอบมองสีหน้าที่เหมาะกับรอยยิ้มเป็นพัก ๆ แอบเฝ้าดูคนน่ารักที่ยังแสดงอารมณ์ร่วมอื่น ๆ เป็น เห็นแล้วก็อดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ถ้ามุมปากฉีกไปถึงใบหูได้ก็คงจะทำ สหรัฐขยับยิ้มกว้างอย่างออกหน้าออกตาจนดวงตากลมหันมาเห็นแล้วสงสัย อะไรทำให้ผู้ชายข้างกายดูความสุขจังจนกระทั่งเห็นเงาสะท้อนในแก้วตาสีเข้ม พอเห็นเป็นเงาหน้าตัวเองเต็ม ๆ ก็เกิดใจเต้นแรง

มะตูมแสร้งหาอะไรอย่างอื่นทำแทบไม่ทัน แต่จะลุกขึ้นอย่างกะทันหันก็ไม่ได้เพราะขาเป็นเหน็บ เจ็บ ๆ ซ่า ๆ ไปทั่วขาหนึ่งข้างและร่างเล็กก็เขินอายเกินกว่าจะให้อีกคนที่ยังยิ้มแก้มปริช่วย 

ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง สหรัฐคิดว่าตัวเองน่าจะกลับไปก่อน แต่เพราะรู้สึกไม่อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่นอนด้านนอก ถ้าจะปล่อยให้คนตัวเล็ก ๆ แบกพ่อเข้าไปนอนเองก็ไม่ใช่เรื่องจึงออกปากอาสา ทำความดีก่อนที่จะกลับไป  “เดี๋ยวฉันพาพ่อนายเข้าไปนอนในห้องให้เอง”  ลุกขึ้นทำท่าจะช่วยพยุงตัวคนเมาจนหลับขึ้นมา แต่ร่างเล็กกลับไม่ยอมขยับหนีแถมทำท่าดูมีพิรุธ คนยืนอยู่ก็สงสัย ลดตัวลงนั่งใกล้ ๆ อีกครั้ง  “เป็นอะไร”

มะตูมไม่ได้บอกในทันทีบวกกับมีอาการอึกอักจนคนรอฟังต้องเร่งให้รีบพูด สหรัฐจะไม่หยุดถามว่าตกลงเป็นอะไรตราบใดที่คนนั่งก้มหน้ายังไม่ยอมบอกความจริง จนมะตูมทนความตื้อไม่ไหวและจำเป็นต้องพูดในสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องแสนน่าอาย  “เป็นเหน็บที่ขา” 

สหรัฐระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจตามที่ร่างเล็กได้จินตนาการไว้ หมอเถื่อนทำให้คนเป็นเหน็บยิ่งรู้สึกอับอายพลางก้มหน้างุดแทบมุดไปกับพื้นบ้าน ก่อนจะออกอาการต่อต้านเมื่อมีมือกร้านพยายามยืดขาตัวเองและช่วยบีบนวด

หมอเถื่อนยังยิ้มอวดฟันขณะทำการปฐมพยาบาลเบื้องตน คนเป็นหมอไม่มีทางรังเกียจคนไข้ ยิ่งถ้าเป็นรายที่ถูกใจใฝ่ปองเล็ก ๆ ด้วยแล้ว อย่าว่าแต่วางขาพาดตัก ให้พาดลงมาหนัก ๆ ที่บ่ายังได้ ...ไม่สิ นั่นเป็นเรื่องที่เรทเกินไป สหรัฐพยายามปรับภาพความคิดซะใหม่แล้วพูดอะไรที่ดูภูมิฐาน  “ทีหลังเป็นอะไรก็ต้องรีบบอกรู้ไหม”  นิ้วโป้งค่อยกดคลึงใต้ฝ่าเท้าก่อนจะเพิ่มน้ำหนักจนร่างเล็กกระตุก รีบเอื้อมมือเข้าหาราวกับจะห้ามปรามมือข้างที่พยายามช่วยนวดนั้น

“ฝึกไว้ พอฉันเป็นผู้ปกครองนายเมื่อไหร่ นายก็ต้องรายงานฉันทุกเรื่อง”  แต่ก็ไม่ทันกินคนแรงเยอะกว่าหรอก ถูกแกะมือออกได้ก็กลับมาจับฝ่าเท้าเล็กได้ใหม่ ใครจะดื้อเงียบกว่ากันก็ให้มันรู้ไปสิ แล้วถ้าคนอย่างสหรัฐมีความตั้งใจว่าจะช่วย อะไรหรือสิ่งใด ๆ บนโลกก็ขัดไม่ได้

“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”  อยากทำก็ปล่อยให้ทำและเมื่ออาการเหน็บชาดีขึ้นแล้วก็รีบบอกอย่างที่อีกคนพูดว่าให้ทำ 

“แน่นะ”  สหรัฐถามย้ำแล้วเมื่อเห็นร่างเล็กพยักหน้าเลยยอมยกท่อนขาขาววางลงกับพื้น ลุกขึ้นยืนก่อนแล้วตอนอีกคนจะลุกตามก็แบมือเป็นสัญลักษณ์ให้จับ มะตูมที่ยังมีอาการชาเล็กน้อยก็กลัวตัวเองจะล้มพับเลยจับแค่ปลายนิ้วกร้านเป็นที่ยึด แต่มือที่แบอยู่ก็ยื่นสอดเข้าใต้ฝ่ามือเล็กอย่างถือวิสาสะ กลายเป็นสองฝ่ามือต่างขนาดแนบจับกันสนิท

ไม่รู้ว่าอีกคนจะกำลังคิดอะไรอยู่ไหม แต่ร่างเล็กน่ะค่อนข้างคิดไปไกลเลยทีเดียว 

“พี่ปล่อยมือผมก่อนสิ”  มีเหตุผลหลายประการที่อยากบอกเพื่อให้อีกคนปล่อยมือหลังจากยืนขึ้นได้ด้วยขาตัวเอง  แต่ร่างเล็กก็เลือกจะพูดแค่บางข้อ โดยการยกเรื่องพ่อขึ้นมาอ้าง  “ถ้าไม่ปล่อยแล้วพี่จะพยุงพ่อผมขึ้นมาได้ยังไง” 

สหรัฐทำสีหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วค่อยจำใจปล่อยมือเล็กด้วยความเสียดาย หมอเถื่อนเคลื่อนย้ายร่างกายคล่องแคล่วก่อนเดินเข้าพยุงร่างคนเมาจนหลับขึ้นจากโซฟาอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย โดยมีมะตูมคอยเป็นผู้ช่วยในบางจังหวะ จัดท่าพ่อให้ยกแขนโอบลำคอของคนประคอง   

มะตูมรีบเดินขึ้นนำหน้าคนทั้งสองเพราะต้องเป็นคนช่วยเปิดประตูห้องนอนอีกที ก่อนที่จะได้ยินประโยคขอบใจ สหรัฐเอ่ยขณะเดินผ่านหน้าและช่วยพาบิดาร่างเล็กนอนลงบนเตียงโดยสวัสดิภาพ จับขาหนักยกขึ้นจากพื้น จับแขนที่ยื่นออกจากเตียงให้ ดูแลใส่ใจประหนึ่งเป็นญาติ ระหว่างจัดท่ามีการเงยหน้าส่งยิ้มให้กับคนยืนอยู่ตรงบานประตู สงสัยเพราะแสงไฟมันดูส้ม ๆ อมเหลืองด้วยละมั้ง ภาพที่ร่างเล็กกำลังเฝ้ามองจึงยิ่งให้อารมณ์สวยงามกว่าทุกวัน หรือเพราะว่าวันนี้อาจจะกินอะไรผิดสำแดงมา ดวงตากลมจึงไม่อาจละออกจากคนที่คอยสร้างความประทับใจ 

สหรัฐไม่ได้ปฏิบัติหรือทำอะไรให้รู้สึกว่าผิดแปลกแตกต่างจากทุกวัน แต่ความดีของหมอเถื่อนนั้นช่างเสมอต้นเสมอปลาย สะสมมาทีละเล็กทีละน้อย และความรู้สึกดี ๆ ก็ค่อย ๆ พอกพูนจากกองทรายจนใกล้จะกลายเป็นภูเขาอยู่ภายในใจของคนที่ยืนเอาสองแขนไพล่หลัง มะตูมกำลังแอบจับมือตัวเองที่ครั้งนึงเคยถูกใครอีกคนสัมผัสระหว่างกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเกร็ง ๆ แล้วร่างเล็กก็แค่เดินตามออกมาหลังจากอีกคนบอกว่าคงต้องกลับก่อนแล้ว

“ส่งฉันแค่นี้ก็พอ”  แก้วตาใสเหมือนจะลดประกายลงทันตายามถึงช่วงโบกมือลาตรงหน้าประตูบ้านแทนการเดินไปส่งถึงรั้ว ตัวหมอเถื่อนหันกลับมาขณะอยู่ในระดับต่ำกว่าและแม้ว่าลูกชายเจ้าของบ้านจะยืนอยู่บนพื้นสูง แต่ความสูงของทั้งคู่กับดูเสมอกัน  “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

สหรัฐพยักหน้ารับแล้วค่อยพูดอีกประโยคสวน  “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปนอนกับฉันสักคืน”  เกิดความเงียบเข้าครอบงำเมื่อชายหนุ่มเหมือนจะใช้คำพูดคำจาผิด  “หมายถึงไปนอนที่ห้องฉันแทนสักคืนดีไหม”

“พ่อเมาขนาดนั้นคงลุกขึ้นมาซ้อมผมไม่ได้หรอก”

พอคิดภาพตามแล้วก็เห็นด้วย  “งั้นก็ตามใจ” 

คนเตรียมกลับไม่เซ้าซี้ก่อนเอ่ยประโยคปิดท้าย  “แล้วเจอกันพรุ่งนี้”  ก่อนเดินจากไปมีการยีผมเส้นเล็กเล่น เห็นศีรษะกลมของคนอายุน้อยกว่าเป็นของเล่นไปได้ พอลูบหัวเสร็จก็ยกมือบายและไม่ลืมทำท่าบอกว่าให้อีกคนใส่กลอนประตู ถึงจะอยู่ในเขตชุมชนก็ต้องระวังขโมยขโจรไว้บ้าง

หมอเถื่อนยืนรอจนเห็นร่างเล็กปิดประตูบ้านและหูได้ยินเสียงลงกลอนจากด้านใน ช่วงขายาวถึงได้ก้าวเดินต่อขณะขวงกุญแจรถเล่นและเป็นคนลงมือล็อกรั้วบ้านให้อย่างเรียบร้อย

โดยไม่รู้ว่ามีคนคอยแอบดูทุกการกระทำจากซอกผ้าม่านหน้าต่าง ริมฝีปากอวบอิ่มกล้าแย้มยิ้มกว้างยามอยู่ตามลำพังขณะยกฝ่ามือหนึ่งข้างขึ้นสัมผัสศีรษะตัวเองไปพลางๆ มะตูมกำลังควานหาไออุ่นซึ่งยังติดอยู่ที่ปลายเส้นผมไม่ไปไหน พร้อมมืออีกข้างซึ่งทาบทับไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ ก้อนเนื้อในอกซ้ายมันเต้น คล้ายจะเป็นอาการแรกเริ่มของคนตกหลุมรัก 








--------------------------------------------
มีข่าวดีมาแจ้งค่า พี่อาชากับน้องเฟยฮวา จะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ รักคุณ นะคะ เกร้ดดดดดดดดดดดด
ส่วนรายละเอียดอื่นๆเดี๋ยวตุ๊กติ๊กมาบอกอีกทีค่ะ ได้รับข่าวดีเมื่อคืนตื่นมาก็ยังยิ้มหน้าบาน อิอิ

Tag  #PONR  #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน  ลั่นดาล 

ออฟไลน์ juthamart

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ———— POINT OF NO RETURN ———— UP.XV (01/11)
«ตอบ #59 เมื่อ01-11-2018 20:28:31 »

คู่หลักก็เหมือนกำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ คู่รองก็ยิ่งดีไปใหญ่อ่านเเล้วหวั่นไหวเเทนน้องมะตูมเลย น้อนนนนนน คุณหมอคนรว้ายย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด