XVI
เสียงเครื่องยนต์วันนี้ดูฉุนเฉียวพิกล แถมขับวนเข้ามาภายในรั้วบ้านด้วยความหุนหันเป็นพิเศษ สี่ล้อเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเหมือนอารมณ์ที่พุ่งติดเพดานของคนขับ ยางบดเบียดกับพื้นถนน เข้าโค้งจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
เสียงดังไม่ได้ลั่นแค่บริเวณด้านหน้าทางเข้าประตู แต่ยังดังเข้ามาด้านในจนคนที่นั่งคุยกันอยู่ภายในห้องรับแขกรีบหันมอง สามดวงตาจ้องไปในทิศทางเดียวกันด้วยความตกอกตกใจ
ก่อนจะเป็นเฟยฮวาที่ลุกขึ้นจากโซฟา เพราะหมายจะรีบเดินออกไปต้อนรับคนกลับบ้าน
“อาชา วันนี้หมอพามะตู…” แต่ประโยคบอกเล่าก็มีอันต้องขาดหาย เพราะใบหน้าบอบช้ำและยับเยินของคนกลับมาดึงสติสตางค์ไปจนหมด คนช็อกทำอะไรไม่ถูก และในวินาทีที่รีบปรี่จะเข้าไปดูอาการ พ่อค้าอวัยวะกับแค่เปรยนัยน์ตาขวางมองผ่านเสียอย่างนั้น “หน้านาย…” เฟยฮวาชะงัก มือขาวยังยื่นค้างด้วยความเป็นห่วงอยู่ในห้วงอากาศตอนที่จู่ ๆ อาชาก็เดินผ่านตัวไปราวกับว่าไม่เห็นหัว ร่างบางต้องหมุนตัวเพื่อมองตามแผ่นหลังกว้าง
ร่างบางที่ยังสับสนตัดสินใจเดินตามพ่อค้าอวัยวะเข้ามาภายในห้องรับแขก โดยมีแขกของบ้านนั่งทำสีหน้าแตกต่างกัน ดวงตากลมโตของมะตูมเลิ่กลั่กยามเห็นคราบเลือดแห้งกรังบนใบหน้าคนเพิ่งกลับมา ส่วนคนเป็นหมอก็เผยแววตาสงสัย นั่งมองเจ้าของบ้านพยายามปลดเนคไทออกจากรอบคอด้วยความหงุดหงิด สีหน้าสหายเหมือนพร้อมจะปลิดชีพใครทุกเมื่อ
เพื่อประกาศกร้าวไปเลยว่ากำลังไม่พอใจ อาชาระบายอารมณ์ผ่านการถอดเสื้อสูทตัวนอกแล้ววางพาดฟาดไปกับโซฟา เรียกว่าเกือบโดนหน้าสหรัฐ จากบรรยากาศดี ๆ ก็เริ่มมีกลิ่นมาคุ นัยน์ตาดุไม่ได้ลดดีกรีลงเลย ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามและในยามนี้ก็คงมีแค่คนเดียวที่กล้าจะซักไซ้คนที่พ่นลมหายใจร้อน ๆ เหมือนมังกรผู้สั่งสมความโกรธไว้กับตัวมาตลอดทั้งปีทั้งชาติ เฟยฮวาคือหน่วยกล้าตายที่คิดว่าตัวเองสามารถรับมือไหว
“เกิดอะไรขึ้น หน้านายไปโดนอะไรมา” นอกจากความกังวล แววตายังปนไปด้วยความหวั่นใจและการที่อีกคนไม่ยอมตอบกลับ ก็แอบทำคนกล้าหาญเสียความมั่นใจอยู่เหมือนกัน และขณะนั้นก็กวาดสายตามองตามร่างกาย พอเสื้อตัวนอกหายไปจึงได้เห็นว่าพ่อค้าอวัยวะมีบาดแผลทั้งที่ฝ่ามือและหน้าท้อง “เดี๋ยวฉันรีบไปหายามาทำแผลให้นายนะ”
“ไม่ต้อง” มันเป็นสองคำที่ทำเอาร่างบางก้าวขาไม่ออก แล้วต้องกลับมายืนเฉย ๆ เพื่อคิดทบทวนว่าตนทำอะไรผิด ซึ่งเฟยฮวาก็คิดออกอยู่ไม่กี่อย่าง “อาชา…ฉัน” จากหันด้านข้างยังพอได้เห็นสีหน้า จู่ ๆ พ่อค้าอวัยวะก็เปลี่ยนเป็นหันแผ่นหลังให้และยืนนิ่งบ้าใบ้จนคนห่วงใยยิ่งสลด
รับรู้ได้ถึงความมึนตึงของอีกคนอย่างแจ่มชัด “ฉันขอโทษนะ ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้นายเจ็บตัวอีกแล้วใช่ไหม” เฟยฮวาจะถือเอาความนิ่งเป็นการตอบว่าใช่ ก่อนนัยน์ตากลมจะเหลือบมองอีกสองคนที่เหลือเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ยังไงปัญหาก็ต้องได้รับการแก้
คงจะจริงที่ว่าเมื่อคนเรามีความรักจะยิ่งอ่อนแอและหวั่นไหวง่ายกว่ากิ่งไม้ซะอีก รวมถึงชอบคิดเล็กคิดน้อย พออีกคนเปลี่ยนไปหน่อยก็หวาดกลัวและสำหรับคนมีคำสาปร้ายติดมากับตัวอย่างเฟยฮวา จิตใจยิ่งเปราะบางเมื่อคนที่เป็นเหมือนบ้านหลังเดียวไม่เหลียวแลเหมือนเคย
“นายคงโมโหที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉันขอโทษจริง ๆ นะ” นัยน์ตากลมหลุบตามองปลายเท้าระหว่างขุดเอาความหลังของตัวเองขึ้นมา ก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมไม่จำว่าอยู่กับใครก็ทำให้เขาเดือดร้อน “สุดท้ายแล้วฉันก็ยังเป็นได้แค่ตัวปัญหาสำหรับนาย แต่ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยจริง ๆ นะ” น้ำตามันพาลจะไหลจนต้องรีบเงยหน้า
อาศัยว่าอีกคนหันหลังเลยคงยังไม่เห็นดวงตาแดงก่ำ เฟยฮวากำชายเสื้อไว้เหมือนเด็กน้อยที่เข้าใจสถานะของตัวเองยามอยู่ในบ้านหลังใหญ่ หลังจากหยิ่งผยองพองขนเหมือนคนไม่เจียมเนื้อเจียมตัวมานาน ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองก็เป็นแค่เฟยฮวาคนน่ารำคาญที่นำความโชคร้ายมา
ยิ่งเห็นบาดแผลบนร่างกายคนที่รักมากเท่าไหร่ ความคิดที่เคยแอบซ่อนไว้ก็ยิ่งผุดขึ้นมา ถ้าเลือกได้ก็อยากให้พ่อค้าอวัยวะปลอดภัย แต่นั่นหมายถึงการต้องไม่มีตนอยู่ข้าง ๆ
“ฉันลองมาคิด ๆ ดูแล้ว ความจริงฉันน่าจะเป็นฝ่ายไปดีกว่า…”
หลังจากอีกคนถูกยิงคราแรก ร่างบางก็แอบคิดอะไรแบบนี้เรื่อยมา และแม้อยากจะแก้ต่างว่าไม่ใช่เพราะตน แต่หลักฐานมันทนโท่ บางทีชีวิตของอาชาอาจจะกินดีอยู่ดีและมีความสุขสบายมากกว่านี้ถ้าไม่มีคนอย่างตนเข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีหนที่สาม สภาพเจ็บช้ำกลับมาของพ่อค้าอวัยวะถือเป็นเหตุผลมากพอให้เฟยฮวาเสียสละความสุขส่วนตนแลกกับที่อีกคนจะได้กลับไปมีชีวิตปกติสุข “ฉันไม่ควรจะอยู่เพื่อสร้างปัญหาให้นายต่อ” แต่ถึงปากจะพูดเช่นนี้ออกไป แต่ภายในใจไม่มีใครอยากอยู่ห่างจากคนรักจริง ๆ หรอก แม้บอกทางแก้ปัญหาออกไป แต่ในใจก็ยังหวังให้ชายหนุ่มยื้อ ที่เฟยฮวาเว้นวรรค ไม่พูดประโยคต่อก็คือกำลังรอให้อีกคนหันมาแล้วบอกว่าอย่าไป คนน้ำตาไหลยังหลงเหลือความหวังว่าจะได้ยินประโยคสั่งห้าม แต่คนที่เป็นความหวังเดียวกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง น้ำตาจึงยิ่งทิ้งตัวอัตโนมัติ
ดันเผลอคิดว่าอีกคนคงไม่ต้องการกันจริง ๆ แล้ว แววตาที่มองเห็นดูพร่าเลือน ภาพแผ่นหลังกว้างเหมือนไกลออกไปในความรู้สึกระหว่างนึกได้แต่เรื่องที่ทำให้ตัวเองยิ่งเสียอกเสียใจ เบะปากร้องไห้จนหลุดสะอื้นก่อนยืนก้มหน้า
จนมะตูมรีบลุกขึ้นมา แต่สหรัฐคว้าแขนว่าอย่าได้เดินเข้าไปยุ่งเรื่องของคนสองคน
แขกของบ้านจำต้องทนมองสีหน้าตายด้านของคนใจร้ายขณะมีผู้ชายร่างบางอีกคนนึงยืนร้องไห้อยู่เบื้องหลัง ทั้งที่ก็อยากช่วยแต่ด้วยสถานะคนนอกมันค้ำคอ
“ตะ แต่ก่อนจะไป ขอให้ฉันได้ทำแผลให้นายก่อนเถอะนะ ให้ฉันได้ตอบแทนนายสักหน่อยก็ยังดี” น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวถึงข้อเสนอสุดท้ายเพราะลึก ๆ แล้วก็อยากถ่วงเวลาไว้อีกสักนิด อ้างการปฐมพยาบาลเพราะอยากมองใบหน้าคนรักให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย “ให้ฉันช่วยเถอะนะ แล้วฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนายเลย”
“พี่เฟยฮวา…” คำพูดแบบนั้นพอใครได้ฟังก็อยากเข้าไปกอดปลอบ ก่อนเจ้าของชื่อจะยิ้มบาง ๆ ตอบร่างเล็กที่แสดงสีหน้าเป็นกังวล จนอาจจะดูมากกว่าคนที่ยืนหันหลังให้ด้วยซ้ำ
เฟยฮวาใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ “งั้นเดี๋ยวฉันไปเอากล่องยามาทำแผลให้นะ”
สองขาล้ารีบเดินออกมาโดยที่ยังไม่รู้เลยว่ากล่องยาที่ว่านั้นปกติแล้วอยู่ไหน คนกำลังจะไร้บ้านหลงทิศหลงทางและยืนคว้างอยู่ตรงกลางทางเดินโล่ง ๆ ขณะน้ำตาไหลระลอกใหม่ จนเด็กรับใช้ที่เดินผ่านมาตกใจและเห็นท่าทางไม่ดีเลยรีบเข้ามาสอบถามว่าเป็นอะไร ร่างบางจึงปากปัดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและได้โอกาสถามว่ากล่องยาหาได้จากที่ไหน
“เดี๋ยวหนูไปหยิบให้เองดีกว่าค่ะ” เฟยฮวาพยายามฝืนส่งยิ้มให้คนที่ยังไม่รู้ว่าตนกำลังจะกลายเป็นอดีตเจ้านายของบ้าน “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” ร่างบางรีบเร่งฝีเท้าก้าวห่างออกมาขณะเดินเลี้ยวลดตามที่หญิงสาวอีกคนบอก จนเจอกล่องยาสามัญในตู้กระจกติดผนังและทั้ง ๆ ที่ตู้มันก็ไม่ได้อยู่สูงมาก แต่สงสัยเป็นเพราะกำลังเหนื่อยกายไม่ใช่แค่ที่ใจ เฟยฮวาถึงพยายามเขย่งเท้าเท่าไหร่หรือเอื้อมมือแค่ไหนก็ไม่ถึงเป้าหมายสักที ขัดใจจนพาลทำให้น้ำตาไหลซ้ำ พอจับขอบตู้ได้ก็ดันล้ม นั่งก้มหน้ากับพื้นขณะโทษตัวเองว่าไม่เอาไหน
ไหล่แคบสั่นราวกับมีธรณีพิบัติภัยเกิดขึ้น จะยืนก็อ่อนล้า แข้งขาไม่ยอมขยับขณะปริมาณน้ำตาก็กำลังจะทำให้เกิดอุทกภัย สำหรับเสี่ยวเฟยฮวาแล้วโลกทั้งใบกำลังค่อย ๆ ล่มสลาย
หลายอย่างประดังประเดเข้ามา เหนือกว่าการซัดเซพเนจรเช่นคนไร้บ้านคือจะทนอยู่กับการขาดอาชาได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านี้มีชีวิตยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แชร์ร่วมกัน หันไปทางไหนก็เจออยู่ในสายตาตลอด แล้วนับจากนี้จะให้นอนกอดใคร ไม่เคยแม้แต่จะซ้อมการกลับไปใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ลืมเลือนวิธีการการเดินเดี่ยว ๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
จะอยู่ต่อไปได้ยังไงในเมื่อขายแม้แต่จิตวิญญาณให้อีกคนไปจนหมดสิ้น
“ไหนว่าจะมาเอายาไปทำแผลให้ฉัน…” เฟยฮวารีบหันมองเจ้าของประโยคคำพูดเย็นชาด้วยความร้อนรน ก่อนพยายามลุกขึ้นยืนและยื่นมือจะหยิบกล่องยาในตู้ให้จงได้ ระหว่างร้องไห้ไปก็เขย่งปลายเท้าสุดแรงก่อนจะถูกมือถลอกปอกเปิกแย่งหยิบกล่องปฐมพยาบาลไปต่อหน้าต่อตา
“ฉันขอโทษ” คนร่างบางกลับมายืนก้มหน้าแล้วจิกเล็บกับฝ่ามือหลังทำตามคำกล่าวของตัวเองไม่ได้ “ฉัน ขะ ขอโทษนะอาชา” ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งขาดใจ เสียงขาด ๆ หาย ๆ ในยามหลับตา จะยื่นมือออกไปขอกล่องยาก็ไม่กล้าเช่นเก่า จะเอายังไงต่อไปก็ไม่ได้ทันคิดเหมือนกัน
“หยุดร้องไห้เฟยฮวา”
“เปล่านะ ฉันไม่ได้ร้อง” สองมือรีบยกขึ้นปาดน้ำตาต่อหน้าพ่อค้าอวัยวะที่มีสีหน้าผ่อนคลายกว่าเก่า แต่ยังขาดความขี้เล่นและเป็นอีกคนนึงซึ่งทำให้ร่างบางหวาดกลัวจนตัวหดเหลือคืบ ยามจะเอ่ยขอเลยละล้าละลัง เงยใบหน้าแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย “ขอกล่องยาให้ฉันเถอะนะ”
ยื่นฝ่ามือออกไประหว่างกลั้นลมหายใจอยู่นาน เฟยฮวายืนรออีกคนอนุญาตอย่างคนขาดความมั่นใจและน้ำตาไหลเพราะรู้สึกเสียใจอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงสวรรค์ดังอยู่ตรงหน้า เป็นพ่อค้าอวัยวะที่เดินเข้าหาแล้วยัดหูหิ้วกล่องยาใส่อุ้งมือขาว “อยากได้ก็เอาไปสิ”
อาชาเหมือนเทพบุตรที่สวมชุดของซาตาน ดวงตาเย็นชานั้นจ้องเฟยฮวาไม่กะพริบยามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำของตัวเองอย่างไม่รีบร้อนไปด้วย ค่อยแหวกรอยแยกของผ้าให้คนยืนเช็ดน้ำตาได้เห็นถนัด ๆ รอยกรีดจากของมีคมพาดเป็นทางยาวแนวนอนบริเวณลอนกล้าม
“จะทำแผลให้ฉันไม่ใช่เหรอ" เห็นร่างบางมัวแต่ยืนมองจึงทักท้วงขึ้นมา ทำเอาคนน้ำตาคลอด้วยความเป็นห่วงรีบพยักหน้าตอบรับ เฟยฮวาจับกล่องยาแล้วพยายามจะเปิดมันอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ลุกลี้ลุกลนจนเปิดได้แต่กลายเป็นทำข้าวของด้านในร่วงหล่นกระจัดกระจาย
เดือดร้อนให้ต้องรีบคุกเข่าและก้มลงเก็บเป็นพัลวันท่ามกลางเสียงถอนหายใจที่ดังเคล้าอยู่ในบรรยากาศและเฟยฮวาก็รู้ดีว่านั่นเป็นเสียงผ่อนลมหายใจที่แสนเหนื่อยหน่ายของอาชา
“แค่เปิดกล่องยายังทำไม่ได้ แล้วนายจะใช้ชีวิตข้างนอกยังไงเฟยฮวา” คำถามที่เอนเอียงไปในเชิงเหยียดหยามทำให้คนอยู่ต่ำกว่าเม้มปากระหว่างพยายามจะเทแอลกอฮอล์รดสำลีด้วยมืออันสั่นเทา และเผลอเอาราดรดมือตัวเองจนชุ่มและเหือดแห้งไป สิ่งเดียวที่หยดลงบนหลังมือแล้วไม่สลายก็คือน้ำตาและมันไหลบ่าเมื่อคนยืนอยู่เอ่ยประโยคที่เฟยฮวารอมาตลอดหลายสิบนาที “คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้นายไปง่าย ๆ หรือไง”
“ลุกขึ้นมา” เฟยฮวาช้อนนัยน์ตามองคนออกคำสั่งทันที แล้วส่งสายตาถามว่าฉันไม่ได้มีอาการหูฝาดไปเองใช่ไหม ร่างบางรอจนแน่ใจว่าอาชาจะไม่เปลี่ยนคำพูด จึงลุกขึ้นแล้วยืนรอว่าคนตรงหน้าจะเอ่ยอะไร “กอดฉัน” ทำนบน้ำตาทลาย น้ำตาล็อตแรกกลายเป็นเด็ก ๆ ไปเลย ร่างบางรีบเดินเข้าสวมกอดคนเอ่ยอย่างไม่ลังเลใด ๆ
ท่อนแขนขาวโอบรอบแผ่นหลังกว้างไว้แน่น แหงนคางเกยบ่าหนาแล้วส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมาโดยไม่อายใคร “ขอโทษ ฉันขอโทษที่พาลใส่นาย” โดยมีฝ่ามือใหญ่คอยลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบประโลม ยกขึ้นลูบผมเส้นหนาสลับกันไปมาขณะหลุดยิ้มเวลาโดนทุบคืน อาชายืนให้ร่างบางแก้แค้นทุบตามร่างกายได้ตามสบาย ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนมากกว่าเก่า เหมือนแผลมันถูกปล่อยไว้นานจนเข้าสู่ระบบด้านชาไปเองโดยปริยาย
ก็ใช่ที่ว่าเจ็บ แต่มันไม่เจ็บเท่ากับตอนได้ยินถ้อยคำตัดพ้อต่อว่าตัวเองเป็นตัวปัญหาของร่างบาง พ่อค้าอวัยวะไม่เคยคิดว่าการพยายามกางปีกป้องปกอีกคนเป็นเรื่องที่ทำให้เดือดร้อนหรือนำภัยมาสู่ตัว และสิ่งเดียวที่ตนกลัวก็คือการคุ้มครองดวงใจไว้ไม่ได้ บางทีเฟยฮวาอาจลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันมีการเอาคืนตามประสาลูกผู้ชายผสมเข้ามาด้วย ซึ่งต่อให้มีการโยกย้ายไล่กันออกจากบ้าน ก็ใช่ว่าสงครามแห่งศักดิ์ศรีจะจบลงโดยทันที
“ฉันผิดไปแล้ว เฟยฮวายกโทษให้ฉันนะ”
“นะ นายไม่ผิดหรอก ทุกอย่างมันผิดที่ฉันเอง ฉันเป็นคนนำความเดือดร้อนมาให้นาย” ปัดป่ายหน้าแก้มกับเนื้อผ้าบริเวณไหล่ แล้วผละร่างออกเปลี่ยนเป็นประคองเอวพ่อค้าอวัยวะไว้หลวม ๆ “ถ้าฉันไม่อยู่สักคน ชีวิตนายอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็ได้” เบะปากจนพ่อค้าอวัยวะนึกเอ็นดู
“เด็กโง่ แล้วนายคิดว่าจะไปอยู่ที่ไหน ในเมื่อฉันคือบ้านของนาย” ฝ่ามือใหญ่ใช้เป็นกระดาษซับความเปียกปอนที่แก้ม ส่วนเฟยฮวาก็ยังแอบงอนน้อย ๆ แต่พอได้อีกคนคอยช่วยเช็ดน้ำตาก็ใจอ่อน แพ้รอยยิ้มกะล่อนที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา สงสัยพ่อค้าอวัยวะคงหายหงุดหงิดจากเรื่องนอกบ้านแล้ว
“ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัวนะ แต่ว่าฉันไม่อยากไปจากนายจริง ๆ” สิ่งที่เลือกมีผลดีกับตัวเองแต่เป็นผลร้ายกับชายคนรักแน่นอน และเฟยฮวาก็ยังเลือกเอาความสุขของตัวเองก่อนทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้อาชามีชีวิตแบบผ่อนส่ง จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ไม่เป็นไร นายไม่ได้เห็นแก่ตัวคนเดียวสักหน่อย” ก้านนิ้วยาวปัดปอยผมที่บังหน้าออกให้แล้วเกลี่ยผิวใบหน้าแดง ๆ เล่นอย่างเพลิดเพลิน “นายอาจจะยังต้องร้องไห้เพราะฉันอีกมาก” คนเดินทางผิดก็ต้องใช้ชีวิตแบบผิด ๆ และสิ่งที่ตามติดมาก็คือความตาย อาชาตระหนักและเข้าใจว่าพญามัจจุราชเริ่มเคลื่อนไหว จ้องจะทำลายและหมายเอาชีวิต
“ฉันขอโทษที่ทำให้เสียใจ แต่ถ้าฉันยอมปล่อยให้นายไป มีหวังฉันได้ขาดใจตายแน่”
ฝ่ามือใหญ่โอบศีรษะกลมเข้าหาตัวด้วยความแผ่วเบาขณะอีกคนพร้อมก้าวชิด กอดกันจนแนบสนิทท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อย ๆ คลี่คลาย หวังว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีในเร็ววัน
“พี่เฟยฮวาจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างเล็กนั่งแทบไม่ติดขณะชะเง้อชะแง้ แต่แย่หน่อยที่คอสั้น มะตูมก็เลยไม่ทันได้เห็นอะไร ก่อนจะโดนคำพูดของหมอดึงความสนใจ ดวงตากลมโตมองสีหน้าคนเอ่ยประโยค “คิดว่าคนอย่างไอ้อาชาจะกล้าซ้อมเมียที่รักหรือไง” ด้วยท่วงท่าสบายๆแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ยามความกังวลยังค้างคาตกตะกอนในใจ
“แต่เมื่อกี้เขาดูอารมณ์เสียมากเลยนะครับ”
“ที่เดินตามไปก็คงไปขอปรับความเข้าใจนั่นแหละ”
“แต่ว่า…”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ผมสิบแปดแล้ว”
“ได้ไง?” สหรัฐสงสัยเสียงสูงขึ้นมาพร้อมขยับท่านั่ง จากหลังพิงพนักอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนมานั่งตัวตรง บ่งบอกถึงความกระตือรือร้นและความอยากรู้เต็มที่ “นี่อย่าบอกนะว่าวันนี้เป็นวันเกิดนาย…?” มะตูมไม่ตอบแต่จ้องหน้าคืน แล้วเลื่อนสายตาขึ้นตามการยืนเต็มความสูงของอีกคน “เป็นวันเกิดทั้งทีไหนนายบอกมาสิว่าอยากได้อะไรล่ะ เค้ก ของขวัญ เพิ่มเงินเดือน?”
ร่างเล็กเคลื่อนหน้าซ้ายขวาเล็กน้อยเพื่อปฏิเสธน้ำใจ ไม่ได้รู้สึกเสียดายเพราะไม่ได้ต้องการข้าวของตั้งแต่แรก ก่อนจะทำให้สหรัฐแปลกใจด้วยการขอให้ช่วยพาไปที่ ๆ หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างอยู่ห่างจากตัวเมืองกรุงไปไกลและในที่สุดสี่ล้อยานยนต์ก็หยุดจอดในบริเวณลานปูนขนาดไม่กว้างสร้างเป็นที่จอดรถแค่ชั่วคราว ก่อนจะต่างคนต่างถือเอาช่อดอกไม้เล็กๆลงจากรถ คนเป็นหมอขยับเดินเสมอร่างเล็กแล้วถามด้วยความสำรวมว่านายมาที่นี่บ่อยเหรอ
ส่วนมะตูมก็แค่พยักหน้าแล้วอธิบายต่อด้วยประโยคยาว ๆ อีกว่าถ้ามาเองต้องนั่งรถประจำทางหลายต่อหลายต่อ และต่อจะให้ยากเย็นหรือลำบากกว่านี้ ก็จะดั้นด้นมาอย่างไม่ลดละ เพราะร่างเล็กกลัวว่าคนเป็นมารดาจะเหงา เขามักมาในวันอื่นด้วยนอกเหนือจากวันเกิด
คนสองคนกำลังเดินโดยปราศจากเสียงพูดคุยยามย่างเข้ามาในสถานที่สงบร่มเย็นเพื่อถือเป็นการให้เกียรติและไม่รบกวนเหล่าผู้เสียชีวิตซึ่งมีป้ายชื่อปักไว้ให้ดูต่างหน้าพร้อมข้อความอาลัยรักอยู่บรรทัดล่างสุด
สุสานคือสถานที่ฝังร่างของคนที่เรารักและยังคงอยู่ในความทรงจำ คนรู้ทางเดินนำชายหนุ่มซึ่งเดินตามขึ้นเนินเขาลูกเตี้ย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เสมือนเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้และความเสียใจ แต่มะตูมก็ยิ้มออกด้วยความดีใจยามได้เห็นป้ายชื่อคุ้นตาที่ช่างแสนคิดถึง
แล้วการที่ร่างเล็กก้มลงวางช่อวางดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็คล้ายเป็นการบอกอีกคนให้เข้าใจว่าได้มาถึงสถานีปลายทาง คนร่างสูงกว่ารอให้คนเป็นลูกชายเดินถอยออกมา แล้วค่อยก้าวเข้าไปความเคารพใกล้ ๆ และวางช่อดอกไม้ไว้เคียงข้างกับดอกไม้อีกช่อ
“ตามสบายนะ” ไม่จำเป็นเอ่ยขอ คนเป็นหมอก็พร้อมจะให้เวลากับคนร่างเล็กเต็มที่
สหรัฐยืนหลบฉากและยืนห่างออกไปเพื่อให้มะตูมได้มีความเป็นส่วนตัวกับคนเป็นแม่ที่แม้จะสลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับหน้าดินหลังจากสิ้นอายุไข แต่สำหรับร่างเล็ก มารดายังคงมีตัวตนภายในจินตนาการเสมอ พบเจอได้บ่อยครั้งในความฝันอันแสนงดงาม
“แม่สบายดีไหมครับ” ถามด้วยประโยคเดิม เริ่มต้นเหมือนครั้งแรกที่จำต้องแบกร่างไร้วิญญาณมาฝังกลบเอาไว้ที่นี่ “วันนี้ผมอายุสิบแปดเต็มแล้วนะ ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมได้เกิดมา” มะตูมชอบเล่าเหมือนเคย เอ่ยทั้งที่รู้ว่าอีกคนจะไม่ตอบกลับมา แต่แม่ก็ถือว่าเป็นผู้ฟังที่ดีมาโดยตลอด …เป็นเหมือนผู้กุมความลับ ทุกความรู้สึกทุกประโยคบอกเล่าที่ระบายออกไป มะตูมมั่นใจว่ามารดาจะไม่เอาไปบอกใครต่อแน่นอน
“ผมพาเขามาให้แม่รู้จักด้วย เขาชื่อสหรัฐครับ เขาเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมเอง” ร่างเล็กแค่หันมองใบหน้าคนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ อย่างกับรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง สหรัฐจึงยกยิ้มอ่อนโยนจนเป็นมะตูมที่ต้องหลบหน้า หันกลับมามองป้ายชื่อด้วยอาการใจเต้นเหมือนเป็นโรคหัวใจ
“เขาเป็นคนดีครับ สำหรับผมน่ะนะ” เสียงนุ่มว่าติดตลก ก่อนนัยน์ตาจะสลดไปเมื่อต้องเริ่มพูดอะไรที่เป็นการโกหก “พ่อสบายดีครับ พ่อกำลังพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อผมอยู่”
“อีกอย่างผมใกล้จะเรียนจบแล้วนะครับแม่” เพื่อแค่ทำให้คนตายสบายใจ ต่อให้ต้องโกหกพกลมใหญ่โตคนเป็นลูกก็พร้อมจะทำ เพราะยามมีก็มีกันอยู่เท่านี้ แล้วจะให้ไปถนอมน้ำใจใครที่ไหน
“ผมคิดถึงแม่นะ” ไม่คิดว่าประโยคธรรมดาจะเรียกน้ำตาได้ แต่มันก็แค่คลอเบ้าและไม่ได้ไหลอย่างเป็นจริงเป็นจัง ร่างเล็กยิ้มหวานเท่าที่จะหวานได้ เพราะอยากให้คนเป็นแม่ที่อาจจะอยู่บนสรวงสวรรค์จดจำภาพลักษณ์ตัวเองที่มีแต่ความสดใส “แล้วผมจะดูแลพ่อเอง แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ แล้วผมจะช่วยดูแลเขาให้เองอีกที” มีแต่คนตายเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าลูกชายกำลังฝืนเข้มแข็ง สหรัฐจึงจำต้องแทรกเข้ามาเพื่อเป็นเสาหลักให้ร่างเล็กพักพิง
ยามยืนจ้องมองอยู่เบื้องหลัง คนอื่นอาจจะเห็นว่าแผ่นหลังเล็กนั้นช่างนิ่งสงบสมเป็นลูกผู้ชาย แต่ตนกับเห็นได้แต่ความเปราะบางและอาการตัวหดเล็กลงอย่างกับรับน้ำหนักโลกทั้งใบไว้ที่บ่า จนกลัวว่าจะล้มต่อหน้าหลุมศพคนเป็นมารดา หลังจากลั่นวาจาว่าจะรับช่วงดูแลต่อ สหรัฐเอ่ยขออนุญาตคุณแม่ร่างเล็กในใจ
ก่อนขยับเข้าใกล้และยืนในตำแหน่งขนาบข้างแล้วค่อยสอดมือจับกับมือเล็กที่เกร็งขึ้นมา
มะตูมเหมือนจะสะบัดออก แต่พอคนเป็นหมอหันมองแล้วส่งรอยยิ้มกว้างให้จนดวงตากลายเป็นสองขีด ริมฝีปากอิ่มก็คล้ายจะแย้มยิ้มตามโดยคงความเป็นธรรมชาติมากกว่าฝืนทำ
ก่อนดวงตากลมจะก้มลงมองตามการโค้งคำนับ สหรัฐทำความเคารพป้ายหลุมศพอีกครั้งก่อนประกาศดังๆออกมากว่าคราแรกว่าจะแบกรับการดูแลโดมะตูมด้วยความเต็มใจ
โดยมีสายลมโบกและหญ้าสีเขียวโยกไหวเป็นระลอกคลื่น คนสองคนยืนจับมือกันท่ามกลางพยานนับร้อยพันร่าง แม้แต่มารดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ก็ยังรับรู้และร่วมยินดี
สุสานไม่มีดอกไม้ขึ้นมานาน แต่ดอกรักกำลังเบ่งบานที่นี่
--------------------------------------------
หลังจากนี้จะพยายามเขียนทอร์คให้ยาวขึ้นนะคะ อาจจะเป็นการบ่นขิงข่าอะไรไปเรื่อย เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้สึกใกล้กันอีกนิดนึง ด้วยแนวนิยายที่เขียน(เข้าถึงยาก) บวกกับที่ผ่านมาๆไม่ค่อยพูดเลยกลัวนักอ่านจะคิดว่าตุ๊กติ๊กเย็นชาและไม่น่าคบ ฮ่า ตุ๊กติ๊กมาอย่างสันติและเป็นมิตรมั่กๆค่ะ ออกจะแบ๊วๆด้วยซ้ำ ʕథ౪థʔ ขอบคุณสำหรับยอดวิวและคอมเม้นด้วยน้า ส่วนรายละเอียดหนังสือเมื่อไหร่ยังไงเดี๋ยวมีการแจ้งให้ทราบแน่นอนค่ะ อันนี้เป็นทวิตเตอร์สำหรับอัพเดตนิยายของตุ๊กติ๊กค่ะ @9crimessss สามารถกดติดตามได้น้า ขอบคุณอีกครั้งค่า จุ๊บ
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร