┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 88761 ครั้ง)

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #90 เมื่อ10-08-2018 11:54:54 »

-10-


วันนี้นับเป็นวันที่สองแล้วตั้งแต่ที่ฝนตกลงมาจนทุกคนต้องหลบอยู่ในบ้านของตัวเอง คงยกเว้นแค่ผมกับภามที่ดันมาติดอยู่ที่กระท่อมของไม้ หลังจากเราพากันมาดูอาการน้องลมตอนเช้า ไม่ใช่สิ...นอกจากผมกับภาม ยังมีหญิงสาวไม่ได้รับเชิญอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย คุณไฟบอกผมว่าถ้าร้ายใส่ตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีปลาคงหนีไปก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายเลยแกล้งให้อภัย ทำเพียงกีดกันไม่ให้ปลาเข้าใกล้น้องลม แต่เมื่อไหร่ที่เข้าเกาะ เขาบอกผมว่าปลาต้องเจอดีแน่นอน

เอาเถอะ เรื่องในครอบครัวผมไม่อยากยุ่ง

“คุณ...ทานไหมคะ”

แต่เรื่องนี้เนี่ย...

หากใครมาได้ยินเข้าคงคิดว่าปลากำลังเอาอกเอาใจคุณไฟเต็มที่ แต่ถ้าได้มานั่งอยู่กับผมตอนนี้ ทุกคนจะต้องกลอกตาแรงๆ เหมือนกันชัวร์ เพราะคนที่ปลากำลังยิ้มหวานและพยายามดันขนมให้กินไม่ใช่คุณไฟซึ่งกำลังอุ้มน้องลมอยู่...แต่เป็นภามต่างหาก

“เอาจริงดิ” ผมพึมพำแล้วยกมือตบหน้าผากตัวเองแบบหน่ายๆ จะว่าขำมันก็ขำ แต่สงสารมากกว่า

ไม่ได้สงสารภามนะ...สงสารปลา

เจ้าของใบหน้าปลาตายไม่แม้แต่จะเหลือบตาไปมองคนที่พูดด้วย เขาเอาแต่มองไปทางหน้าต่างซึ่งถูกปิดสนิท ไม่ได้เปิดอ้าเหมือนปกติ ผมไม่รู้ว่าภามกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนเขาจะอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่าหันมาพูดคุยกับคนอื่น ถึงอย่างนั้นแววตาว่างเปล่าที่ดูประหลาดไปกลับทำให้ผมยิ้มไม่ออก

“ภาม” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปแตะฝ่ามือเย็นเฉียบของเขา คราวนี้ภามไม่ได้เมินเหมือนตอนทำกับปลา แต่เขาหันหน้ากลับมาหาผมช้าๆ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว หากสิ่งที่เปลี่ยนไปคือฝ่ามือที่พลิกหงายขึ้นเพื่อจับมือผมกลับ

“ไม่เป็นไร”

ไม่เชื่อ...

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากคนที่ตอนแรกนอนหลับตาอยู่บนฟูกทำให้ผมรู้สึกตัวและดึงมือที่ถูกจับกุมไว้เมื่อครู่ออกมาทันควัน ไม้ยกมือเหมือนจะขอโทษทั้งที่ปากกำลังยิ้ม “โทษๆ ไม่ได้อยากขัดนะ แต่แม่นั่นมองพวกเอ็งตาจะถลนอยู่แล้ว”

ผมหันไปมองปลาแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะตอนนี้เธอเบิกตากว้างจนแทบถลนออกมาตามที่ไม้พูดจริงๆ แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็รีบเก็บอาการแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่ทันแล้วแม่คุณ...

จะว่าไปก็น่าสนุกอยู่นะ ดูแววตาไม่ยอมแพ้ของเธอสิ

“ฉันง่วง” ผมหันไปทำตาปรือใส่หน้าภามแบบจงใจ ขณะที่สายตาสอดส่องเหมือนพยายามมองหาที่นอน ติดอยู่ตรงที่ตอนนี้บนฟูกมีคุณไฟกับน้องลมนั่งอยู่ ทั้งยังมีไม้นอนเอนกายอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่ามันย่อมไม่เหลือที่ตรงไหนของฟูกให้นอนได้อีก...ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วแหละ

ฝ่ามือใหญ่ของคนไม่ชอบพูดมากยื่นเข้ามาหา ก่อนเขาจะออกแรงไม่มากนักเพื่อดันหัวผมให้นอนลงบนตักตัวเอง ผมแอบขำเมื่อเห็นปลาทำหน้าตกอกตกใจหนักกว่าเดิม รู้สึกสบายใจขึ้นมากจนเผลอขยับตัวขยุกขยิกเพื่อจัดท่า เมื่อสบายตัวแล้วก็เริ่มง่วง จากที่คิดว่าจะแกล้งคน กลับกลายเป็นง่วงจริงๆ ตามที่พูดเสียอย่างนั้น

ยิ่งถูกลูบหัวแบบนี้...เป็นใครจะทนไหวกัน

“ไหนบอกว่าไม่ให้นอนเกินแปดชั่วโมงไง” ผมชวนภามคุยโดยไม่สนใจปลาอีก ตอนนี้รู้สึกหนักที่หนังตาทั้งสองข้างจนแทบไม่ได้ยินเสียงคุณไฟที่กำลังคุยกับไม้อยู่ด้วยซ้ำ ลองเป็นแบบนี้อีกไม่นานต้องหลับแน่

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว”

สัมผัสของฝ่ามือที่ลูบหัวจางหายไปช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกจั๊กจี้ที่คางแทน ผมส่งเสียงอืออาเมื่อโดนกวน แต่ก็นั่นแหละ...ไปๆ มาๆ กลายเป็นรู้สึกสบายจนต้องเอียงหน้าเข้าหาอีกแล้ว

ในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่โลกแห่งความฝัน ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแหลมสูงของใครสักคนพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็มีคนตะคอกกลับด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน มันน่ารำคาญมากเสียจนต้องย่นคิิ้วด้วยความไม่พอใจ

“เงียบ” เสียงออกคำสั่งสั้นๆ ซึ่งเป็นเพียงเสียงเดียวที่ผมจับใจความได้ดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เสียงงุ้งงิ้งน่ารำคาญหยุดชะงักลง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังรบกวนการนอนของผมอีกเลย

ฝนตกแล้วสบายจังเลยนะ...ชักชอบฤดูฝนแล้วสิ










วันนี้ฝนไม่ได้ตกนานเท่าเมื่อวานที่กินเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น ถึงอย่างนั้นท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้มไม่มีทีท่าว่าแดดจะออกเลยแม้แต่น้อย ผมออกมาเดินเล่นด้านนอกเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝนหยุดตกพอดี แน่นอนว่าภามตามติดมาด้วยเหมือนเป็นเงาตามตัว แต่เห็นแก่ที่เขาสละตักให้นอนอยู่นานสองนาน ผมเลยคิดว่าจะหยุดกวนตีนและหยุดหาเรื่องก่อนสักวันสองวัน

“ถ่ายอะไรน่ะ” ผมเดินไปนั่งยองๆ ข้างช่างภาพติดกล้องซึ่งกำลังจับจ้องไปที่ผืนทรายและชะงักค้างอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีโดยไม่ยอมหันมาตอบ จนกระทั่งลูกปูตัวเล็กๆ ผุดขึ้นมาจากกองทราย เสียงกดชัตเตอร์ถึงได้ดังขึ้นพร้อมกับคำตอบ

“ปู”

“แล้วนาย..."

“ทำอะไรเหรอคะ”

ลืมไปเลยว่ามีตัวแถม...

ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายขณะชันตัวลุกขึ้นยืน แม่นางคนนี้ไม่ยอมแพ้เลยจริงๆ ถึงขนาดทิ้งโอกาสออดอ้อนเจ้านายให้หายโกรธเพื่อมาเดินตามผู้ชายคนอื่น ไม่รู้ว่าท่าทีที่ผมแสดงกับภามในกระท่อมไม่ช่วยให้เธอคิดได้บ้างเลยหรือไง

เอาเถอะ...แล้วแต่เลย

คิดได้แบบนั้นผมเลยตั้งท่าจะเดินไปที่อื่น หากข้อมือกลับถูกรั้งไว้โดยคนด้านหลังซึ่งหยุดถ่ายปูแล้วลุกขึ้นตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“จะไปไหน”

“อา…” ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้สึกคันยุบยิบที่ใจ ได้แต่บอกตัวเองว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบปลาผมคงไม่รู้สึกรำคาญและหงุดหงิดมากเท่านี้ แต่เพราะเป็นปลาซึ่งทำตัวไม่ดีกับเด็กน้อยตัวเล็กๆ ผมถึงได้อยากจะเหวี่ยงเธอออกไปให้ห่าง

นั่นแหละ...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขมวดคิ้วจนหน้าย่นยามเห็นมือข้างหนึ่งของเธอกำลังจะแตะแขนภาม และคงไม่เผลอดึงแขนอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาหาตัวเองเพื่อไม่ให้มือเล็กๆ ของเธอโดนตัวเขา

ผมรักเด็ก เพราะรักเด็กถึงได้เกลียดคนที่ทำร้ายเด็กสุดๆ ใช่...นั่นแหละเหตุผล

“คุณปลามีอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อตอบคำถามในใจตัวเองได้แล้ว ผมเลยเดินไปยืนอยู่หน้าปลา บังภามเอาไว้ด้านหลัง ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะยอมให้เธอมายุ่งกับเพื่อนร่วมเดินทางของผมไม่ได้

“เอ่อ...ปลาก็แค่อยากคุยด้วยน่ะค่ะ” เธอยิ้มหวาน แต่คนช่างสังเกตอย่างผมมีหรือจะมองไม่เห็นความไม่พอใจที่เผลอแสดงออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็นะ...ใครๆ ก็ชอบคนหน้าตาดี ถ้าผมไม่ได้ดูเหมือนเต้าหู้นุ่มนิ่มขี้โรคขนาดนี้เธอต้องมีลังเลบ้างละ เพราะความหล่อของเราสูสีกัน

“อา...แต่ผมว่าคุณปลากลับไปพักดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“แล้วคุณไม่กลัวตัวเองไม่สบายเหรอคะ”

“กลัวสิครับ แต่ผมไม่อยากปล่อยให้ภามเดินถ่ายรูปคนเดียว” ผมยิ้มอย่างนึกสนุกแล้วเกาะแขนอุ่นๆ ที่อยากเอากลับไปซุกนอนไว้ เพียงเท่านั้นคุณเธอก็กัดฟันกรอดในทันที หากยามหันไปมองภามกลับเปลี่ยนสีหน้าได้ไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี

“คุณชอบถ่ายรูปเหรอคะ ยังไงรบกวนถ่ายให้ปลาทีได้ไหมคะ”

พลาดแล้ว...

“พูดเลย” ผมแซะไหล่ภามแล้วกระซิบบอกเขาเบาๆ ไม่ลืมพยักหน้าสำทับอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมองเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ

“คุณ...”

“ไม่”

สั้น ง่าย ได้ใจความ

คิดอยู่แล้วว่าเขาต้องตอบอะไรกลับไปแบบเจ็บแสบ แต่เพิ่งรู้วันนี้เองว่าคำว่า ‘ไม่’ คำเดียวมันมีพลังทำลายล้างมากขนาดไหน ดูหน้าปลาเหวอไปเลย เอาเข้าจริงผมคิดว่าปลายังเด็กอยู่เลยนะ อายุน่าจะพ้นวัยมหา’ลัยมาไม่นาน คุณไฟบอกว่าเธอเป็นหลานสาวของคนงานในบ้าน เห็นว่าเรียนเกี่ยวกับเด็กมาโดยตรง มีใบประกอบวิชาชีพพร้อม เขาถึงไว้ใจยอมให้ดูแลน้องลม

ไม่คิดว่าจะกล้าทำร้ายเด็ก แถมยังจ้องจะจับพ่อเด็ก หนักสุดคือคิดจะเปลี่ยนใจมาจับคนข้างกายผมแทนเนี่ยแหละ

“ไปกันเถอะ” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วดึงแขนภามให้เดินออกมาจากตรงนั้น ปลาคงอับอายมากอยู่เหมือนกันถึงได้หมุนตัวรีบเดินจากไป ไม่ตามมาเกาะแกะพวกเราอีก

บรรยากาศเย็นๆ จากฝนที่เพิ่งตก ทั้งยังมีลมทะเลสำทับทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ แม้จะหนาวอยู่บ้าง แต่ก็ยังชอบมากกว่าอากาศร้อนๆ เวลาเหนียวหรือรู้สึกไม่สบายตัวผมจะหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ จำได้ว่าตอนทำงานที่โรงพยาบาลแรกๆ เคยถอดกาวน์ ถือกระเป๋าสตางค์เดินออกไปนอกโรงพยาบาลเพื่อหาอะไรกินท่ามกลางอากาศร้อนๆ ในเวลาเที่ยงตรงของวันจันทร์ แค่แดดก็จะเป็นลมตายอยู่แล้ว มาเจอฝูงชนเบียดเสียดซ้ำเข้าอีก วันนั้นผมยอมเดินกลับโดยไม่ได้ซื้ออะไรไปเลยแม้แต่อย่างเดียว

“คิดอะไรอยู่” เสียงทักราบเรียบทำให้หลุดออกจากภวังค์ได้อย่างง่ายดายเหมือนเช่นทุกครั้ง ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะแคร์ภามมากเกินไปหน่อย จะเมินยังไม่เคยเลยสักครั้ง

“นึกถึงอากาศในเมือง” ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกตอบไปตามตรงอยู่ดี

“ยิ้มหน่อย”

ปากฉีกยิ้มตามคำบอกโดยอัตโนมัติ รู้ตัวอีกทีก็ถูกกล้องส่องหน้าแล้วกดชัตเตอร์ไปแล้ว

แชะ!

“หันข้าง ไม่ต้องมองกล้อง”

หมุนตัวตามโดยไม่ถามอะไร

แชะ!

เนี่ย...ก็เป็นซะอย่างนี้

ก่นด่าตัวเองในใจเรียบร้อยแล้วถึงได้สติกลับมา ผมเดินเข้าไปทำหน้าตึงใส่กล้อง หน้ายื่นเข้าไปจนชิดเลนส์ซึ่งเจ้าของถือแนบใบหน้าตัวเองอยู่ ก่อนจะทำตาโตๆ ใส่ ไม่คาดคิดว่าจะ...

แชะ!

“ต้องขอบคุณไหมที่ไม่เปิดแฟลช” ผมถามทั้งที่ยังรักษาสีหน้าให้ดูไม่พอใจอยู่

“ทำหน้าอะไร...ผมระวังอยู่แล้ว ไม่ทำคุณตาบอดหรอก” ว่าแล้วก็ใช้มือใหญ่ๆ ของตัวเองยื่นมาลูบหัวผมเหมือนจะปลอบทั้งที่หน้ายังเป็นปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง โคตรของความไม่เข้ากันสุดๆ

“ไม่ต้องมาหลอกเล่นหัวเลย”

“ไม่ได้หลอก ขนคุณนุ่ม”

“เดี๋ยวนะ...ขน?”

แน่นอนว่าผมเป็นผู้ชายทั่วไปที่มีขนเป็นปกติ อาจจะบางจนถูกเพื่อนบอกว่าเป็นผิวจิ้งจกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดถึงขั้นมีขนใดๆ ขึ้นอยู่บนหัวเหมือนที่ถูกกล่าวหา หากสัมผัสที่กำลังลูบหัวกันอยู่ไม่เลิกนั้นกลับบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไร

ผม = ขน

ดูเหมือนจะถูกมองเป็นสัตว์ไปแล้ว...

“เหมือนแมว” ภามยังคงพูดออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจสีหน้าของคนโดนกระทำอย่างผมเลยแม้แต่น้อย

ถึงจะเผลอให้เกาคางไปสองที แอบเอาหน้าถูมือไปสองที หรือแม้แต่ยอมให้ลูบหัวอยู่อย่างตอนนี้สอง...สองหรือสามทีนี่ละ แต่ผมก็ยังเป็นคนอยู่เถอะ ไม่ใช่แมว

“เอามือออกไปเลย” เมื่อตั้งสติได้แล้วผมเลยปัดมือภามออกเบาๆ ยังคงไม่กล้าลงแรงเยอะเพราะกลัวโดนเอาคืน

หลังจากรู้จักกันมาสักพัก ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นพวกไม่ยอมคน และจะไม่ยอมแบบกระทำออกมาให้เห็น เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก เพราะงั้นเวลาจะทำอะไรคงต้องคิดดีๆ ขืนทำให้เจ็บคงมีแต่โดนเอาคืน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ไม่น่าลองทั้งนั้น ยิ่งเป็นผมด้วยแล้ว ไม่รู้ทำถึงคิดว่าเจ้าบ้านี่ต้องเอาคืนเป็นสองเท่า

“ไปนั่งเล่นกันไหม”

“นั่งเล่น?” ผมหันไปมองคนพูดด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าภามจะชวนไปทำอะไรแบบนั้นมาก่อน อีกอย่าง... “อากาศแบบนี้เนี่ยนะ”

ถึงฝนจะหยุดตกไปแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังขมุกขมัวไม่มีทีท่าว่าจะสว่างขึ้น ขืนเดินไปไกลๆ แล้วฝนตกขึ้นมาคงเปียกแบบไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือกล้องราคาแพงที่เขาคล้องคออยู่

“คุณชอบอากาศแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“รู้…” ได้ยังไง

เกือบกลืนประโยคที่อยากถามลงไปไม่ทันแล้วไง หากพูดออกไปแล้วได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดตอกกลับมา คงมีแค่ผมคนเดียวที่ทำตัวไม่ถูก ช่วงนี้เขาชอบแสดงท่าทีแปลกๆ อยู่ด้วย

“มาเถอะ” ภามดันหลังผมให้เดินตามไปข้างหน้า เราออกห่างจากบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็หยุดเท้าลงเมื่อมองกลับไปแล้วพบเพียงรอยเท้าสองคู่ที่เดินเคียงข้างกันมาเป็นทางยาว

ด้านหน้าคือท้องฟ้ามืดครึ้มตัดกับขอบทะเลไกลสุดสายตา ด้านหลังคือป่าไม้แน่นขนัดจนมองแทบไม่เห็นอะไรด้านใน ทว่าจุดที่ช่างภาพข้างกายผมเลือกนั่งลง กลับเป็นบริเวณหาดทรายขาวซึ่งมีคลื่นน้ำทะเลพัดมากระทบ จากที่คิดว่าจะโดนฝนจนเปียกคงไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะเขาเล่นนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำทะเลไหลมาหาจนกางเกงเปียกชุ่มไปทั้งตัวอย่างจงใจ

“ทำไมนั่งตรงนี้” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วค่อยนั่งลงเพื่อไม่ให้เปียกไปด้วย

“มานี่สิ” ภามหันมาเรียก แต่เมื่อเห็นผมไม่ขยับ เขาเลยถอนหายใจ ก่อนจะถอยหลังมาอยู่ข้างกัน “รู้ไหมทำไมคนชอบมาทะเล”

“ก็ต้องเพราะอยากเล่นน้ำทะเลสิ” ถามอะไรแปลกๆ

“คิดตื้น” เขาว่าแล้วผลักหัวผมเบาๆ เกลียดตัวเองจริงๆ ที่ไม่ได้รู้สึกแย่เวลาถูกเล่นหัว

“แล้วเพราะอะไร”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“…” ขนาดคิดคำด่าในใจยังคิดไม่ออกเลย ให้ตายเถอะ

“แต่สำหรับผม เวลาที่ร่างกายได้สัมผัสธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ มันทำให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ” ดวงตาที่จับจ้องไปยังท้องฟ้ามืดครึ้มยังคงว่างเปล่าดั่งเช่นทุกครั้ง มันไม่ได้สะท้อนภาพของสิ่งใดอยู่ในนั้นเลยนอกจากความเงียบสงบ

ผมหงุดหงิด...ที่ตัวเองยังคงรู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอยู่เหมือนเดิมไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราเจอกัน และหงุดหงิด...ที่จู่ๆ ก็ขยับกายไปด้านหน้า ปล่อยให้ร่างกายได้สัมผัสกับน้ำทะเลทั้งที่ไม่อยากเปียก แค่เพียงเพราะได้ฟังคำพูดประโยคหนึ่ง

“เย็น” จากที่ว่าจะทำเท่ กลับต้องพูดออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้สัมผัสน้ำทะเลเย็นเฉียบผิดคาดไปไกล

“หึ”

หัวเราะแบบนี้คือรู้อยู่แล้วแน่ๆ

“มานี่เลย” ผมหันไปดึงแขนคนด้านหลังให้ขยับมานั่งข้างกัน ลำพังเรี่ยวแรงของตัวเองคงไม่สามารถเคลื่อนรูปปั้นอย่างภามได้ ดีที่เจ้าตัวยอมขยับมาหาอย่างว่าง่ายโดยไม่คิดขัด รอบกายเรามีเพียงความเงียบเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงปล่อยให้กายท่อนล่างโดนน้ำทะเลอยู่แบบนั้น

ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับบรรยากาศดีๆ อดคิดตามคำพูดที่เขาบอกไม่ได้

เวลาร่างกายได้สัมผัสธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ มันทำให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ

คงจะจริง...

ผมเคยถามตัวเองว่า ถ้าเกิดไม่ได้เป็นหมอตามที่คิดฝันไว้ในวัยเด็ก ไม่ได้เป็นนายแพทย์อนาคินอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร คนที่กลัวความเจ็บปวดจนไม่อยากเล่นกีฬา ใช้เวลาสองปีเพื่อคิดว่าจะลองเสี่ยงเข้าฟิตเนสไปเล่นกล้ามดีไหม หากไม่ใช่หมอแล้วจะอยากทำอะไร

คำตอบคือว่างเปล่า...คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว

“ภาม ตอนเด็กๆ นายเคยฝันอยากเป็นอะไรไหม” ความคิดไม่ตกถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคาดหวังจะได้รับคำตอบแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนคนอายุน้อยกว่าข้างกายน่าจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด เผลอๆ อาจจะรู้มากกว่าผมเสียอีก

“ผมจำไม่ได้”

ถอนคำพูด...ขอถอนคำพูด

“เอ่อ...งั้นถ้าโตขึ้นมาหน่อยล่ะ” อยากจะยกมือปาดเหงื่อเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าอากาศมันเย็นจนไม่มีเหงื่อไหลออกมาสักหยดละก็นะ

“อยากเป็นนักเดินทางมั้ง” ภามตอบเสียงเรียบ

“นายเรียนจบอะไรมา” ผมถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด มีโอกาสถามหลายครั้งแล้วลืมทุกที มานึกออกก็ตอนนี้

“ภาษาไทยเรียกว่า...นิเทศ”

“ไม่แปลกใจเลย”

“แล้วคุณล่ะ”

“ฉันก็เรียนหมอไง...” จากที่คิดว่าจะตอบแค่นั้น ไม่รู้เพราะอะไรยามหันไปสบตาเขาผมถึงได้พูดต่อ “ฉันอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก เป็นเป้าหมายและความฝันเพียงอย่างเดียวมาโดยตลอด ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่ได้เป็นหมอแล้วจะเป็นอะไร”

ฝ่ามืออุ่นร้อนที่วางทับลงมาไหล่ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกปลอบโดยไร้คำพูด ทั้งที่สิ่งที่พูดไปไม่มีอะไรบ่งบอกว่าผมกำลังเสียใจหรือกังวลอยู่เลยสักนิด เจไดคนนี้ควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงได้ดีมาตลอด แม้จะหลุดไปบ้างตอนอยู่กับภาม แต่ผมก็มั่นใจว่ายังไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรน่าเป็นห่วงให้เขาเห็น

แล้วทำไม...ทำไมถึงได้ทำเหมือนรู้ทันไปหมด ตั้งแต่ที่เจอกันบนรถไฟจนถึงตอนนี้

“มันไม่ได้สำคัญที่ถ้าไม่ใช่หมอแล้วจะเป็นอะไร คุณควรคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะมีเป้าหมายต่อมากกว่า” เสียงพูดด้วยความเข้าอกเข้าใจปนหงุดหงิดหน่อยๆ ทำเอาผมเหวอไปชั่วขณะ “บอกแล้วใช่ไหมว่าต้องหาวิธีแก้ไขความรู้สึกที่เป็นอยู่ มันคือเรื่องเดียวกันนั่นละ”

“อะ…”

“ลองพูดสิ่งที่อยากทำมาสิ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”

ผมโคลงหัวไปมาแล้วพยายามนึกตามคำพูดของเขา อะไรที่อยากทำงั้นเหรอ ถ้าเอาที่นึกออกตอนนี้ก็คงเป็น...

“นอน”

“…”

“มองแบบนั้นทำไมเล่า ก็ตอนนี้คิดออกแค่นี้” ไม่ได้โกหกสักหน่อย แค่คิดว่าอยากทำอะไรมันก็ว่างเปล่าไปหมดแล้ว ไม่ได้ตั้งใจกวนตีนเลยสักนิด มองเหมือนจะเข้ามาฆ่ากันงั้นแหละ “กลัวนะเนี่ย”

“…ผมอยากตีคุณจริงๆ”

“ห้ามนะ!” อดถลึงตาขู่ไม่ได้เมื่อเห็นภามจ้องมองมาเหมือนอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม

จากตอนแรกที่เข้าสู่ช่วงเครียดกันแบบไร้เหตุผล จู่ๆ ก็เหมือนบรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว ผมได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่ภามเงียบไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จวบจนท้ายที่สุด...ในตอนที่ผมกำลังจะชวนเขากลับ ภามก็พูดออกมาช้าๆ จนผมที่กำลังจะลุกขึ้นต้องนั่งลงเหมือนเดิม

“ผมชอบดูภาพธรรมชาติจากในคอมฯ ตอนนั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีคืออะไร รู้เพียงว่าเวลามองพวกมัน ผมรู้สึกสบายใจ...สบายใจทั้งที่ไม่ได้ไปจริงๆ เลยด้วยซ้ำ บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตของตัวเองตลอดมามันมืดมนมากจนมองแทบไม่เห็นแสงสว่าง แค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้สบายใจได้แล้ว”

“แล้วทำไมนายไม่ไปล่ะ” ผมหันไปถามอย่างสนอกสนใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินภามพูดถึงเรื่องของตัวเอง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากถามเรื่องอดีตของเขาก่อน แต่ใจผมกลับบอกว่าทำถูกแล้ว ให้เขาพูดออกมาเองอาจจะดีกว่า

“ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร ไม่เคยคิดว่าอยากไปด้วยซ้ำ” ภามกะพริบตา ดวงตาคู่นั้นทอประกายอ่อนแสงลงเล็กน้อยยามพูดประโยคถัดไป “เก้ากับพี่เป็นคนบอกให้ผมลองตั้งเป้าหมาย ให้ลองคิดว่าอยากทำอะไรดู หลังจากผ่านไปสักพัก ผมถึงได้รู้ว่าการเดินทางคือคำตอบ”

“งั้นก็ดีแล้วนี่”

“แต่มันยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ผมเผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อถูกหันมามองด้วยแววตาและสีหน้าที่สื่อความหมายบางอย่าง ผมยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ “ผมเคยอิจฉาพี่ที่มีเก้าอยู่ข้างกาย...”

“นี่นาย...นายเคยชอบเก้าเหรอ!”

“…” ภามทำสีหน้าปลาตาย “ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวแน่”

“เอ้า...” อะไรล่ะ เป็นใครก็ต้องเข้าใจแบบนั้น...รึเปล่า

“ผมแค่อิจฉาที่พี่มีเก้าอยู่ด้วยแล้วดูมีความสุข เพราะงั้นเลยคิดมาตลอดว่าถ้าตัวเองมีบ้างก็คงจะมีความสุขเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่าผมชอบเก้าเสียหน่อย”

“รู้แล้วๆ หยุดทำท่าเหมือนจะฟาดกันสักทีเถอะน่า” เห็นไหมเนี่ยว่ากลัวขนาดไหน ถ้าไม่ติดว่าอยากเผือกต่อคงลุกหนีไปแล้วแน่ๆ

“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนกันได้ ผมถามจริงๆ เถอะ จะสามสิบอยู่แล้วทำไมพวกคุณถึงนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” เขาขมวดคิ้วเหมือนจะจริงจังแล้วพูดคำที่ทำให้ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงตาย “เหมือนเด็ก”

“ฉันไม่เปลี่ยนที่ไหนเล่า นอกจากนายแล้วฉันก็...”

ผมกัดริมฝีปากไว้เมื่อเกือบเผลอพูดอะไรออกไปตามที่ใจคิด จะให้พูดได้ยังไงว่าตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่ได้เจอเขา ขืนพูดออกไปแบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการบอกว่า...

“ผมพิเศษเหรอ”

“คิดไปเอง!”

“ตอบไวแสดงว่าโกหก” ดวงตาว่างเปล่าคล้ายมีประกายระยิบระยับ ดูน่ามองจนเผลอจ้องค้างอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าริมฝีปากเรียบเป็นเส้นตรงนั้นยกขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มมุมปากไปแล้ว

“อะแฮ่ม...” ผมกระแอมเรียกสติแล้วรีบหันหน้าหนีเพราะไม่อยากขายหน้าไปมากกว่านี้ “แล้วคิดไว้ยังว่าจบทริปนี้แล้วจะไปไหนต่อ”

ดูเหมือนภามจะรู้ว่าผมจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่หันหน้ากลับไปมองท้องฟ้าแล้วตอบออกมา

“ยังไม่ได้คิด เพราะบางทีถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดลงหลักปักฐานอยู่ที่ไหนสักที่ ผมอาจจะไม่ไปไหนแล้ว”

“อ้อ…”

หลังจากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เราต่างก็จมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าภามกำลังคิดอะไร แต่ตัวเองกลับนึกถึงเรื่องที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้

อยากทำอะไรนะ...นอกจากนอนแล้วยังอยากทำอะไรอีก

“คุณได้แหวนวงนั้นมายังไงเหรอ” คำถามที่ไม่คาดคิดดังขึ้นจากปากของคนที่เงียบไปนาน ผมหันหน้าไปมองเขาด้วยความงุนงง แต่ก็ยังควักแหวนออกมาจากใต้เสื้อเพื่อพิศมอง

“มีคนให้มา”

“…”

“เขาเป็นเพื่อนทางไกลของฉันเอง ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมลูบแหวนในมือเบาๆ สัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนจากการแกะสลักที่คงไม่ใช่ฝีมือของช่างทั่วไป “สมัยยังเรียนอยู่ฉันเคยทำโครงการร่วมกับมหา’ลัย ให้นักศึกษาแพทย์พูดคุยกับคนไข้ที่อยู่คนละซีกโลก จนวันหนึ่งคนคนนั้นบอกว่าเขาจะเดินทางไปเที่ยวรอบโลก คงไม่ได้ตอบอีเมลบ่อยๆ อีก เราเลยตกลงแลกของขวัญกันเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเขาก็ส่งแหวนนี่มาให้ แต่จนถึงตอนนี้ฉันยังอ่านข้อความบนแหวนไม่ออกเลย”

“ตั้งใจมองสิ”

“นายพูดเหมือนตัวเองอ่านออก”

“…” มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยคือคำตอบของคำถาม

“จริงดิ!” ผมเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เคยให้เพื่อนและใครหลายคนช่วยกันอ่านแล้วก็ยังไม่พบคำตอบ อย่าบอกนะว่าคนข้างกายผมอ่านออกจริงๆ “บอกหน่อยสิว่ามันสลักไว้ว่าอะไร”

“คุณต้องหาคำตอบเอง” ภามส่ายหน้า ชัดเจนว่ายังไงก็ไม่มีทางบอกแน่ๆ

“โธ่…” จากที่ตื่นเต้นกลับต้องถอนหายใจแบบเซ็งๆ แล้วห่อไหล่ลงอย่างหดหู่ “ไอ้บ้านั่นจะรู้ไหมว่าฉันต้องทนเก็บความสงสัยไว้นานกี่ปี มาเจอคนที่อ่านออกแล้วยังไม่ยอมบอกอีก ของที่ให้ไปก็ไม่รู้จะเก็บรักษาไว้หรือเปล่า บางทีอาจจะไม่สนใจ เผลอๆ โยนของของฉันทิ้งไปแล้วมั้ง”

“ไม่มีทาง”

“มั่นใจจังนะ” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นภามเถียงทันควัน เขาจะไปรู้อะไร ไม่ใช่ว่าคนทั้งสองฝ่ายจะต้องคิดแบบเดียวกันเสียหน่อย บางทีคนคนนั้นอาจจะไม่ได้คิดว่าของที่ผมให้เป็นสิ่งสำคัญก็ได้

“ถ้าเขาไม่สนใจ คุณคงไม่ได้แหวนวงนั้นมา”

จะว่าไปก็...

“จริงของนาย” ลืมไปเลยว่านี่มันของแพง คงเป็นอย่างที่ภามพูด เจ้านั่นต้องคิดว่าผมเป็นเพื่อนบ้างแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ของแบบนี้มา “ถ้าได้เจอต้องขอโทษสักหน่อย เผลอมองในแง่ลบไปเยอะเลย”

ภามจ้องหน้าผมนิ่งก่อนจะส่ายหน้าหน่าย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาถอนหายใจออกมาโดยไม่คิดปิดบัง

“บื้อจริงๆ เลย”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้ว เมื่อกี้เสียงคลื่นกระทบฝั่งพอดี ไม่ได้ยินเลยว่าพูดอะไร

“เปล่า”

“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพูด ยังจะมาตอแหลอีก” อดบ่นพึมพำเบาๆ ไม่ได้ คิดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ยินเหมือนกัน แต่ผมลืมไปเลยว่าภามมันผิดปกติ

“จำได้ไหมว่าผมพูดว่าอะไร” เจ้าของเสียงหรี่ตาลงแล้วจ้องมองมาด้วยแววตาว่างเปล่าที่ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย

“อะ...อะไรเหรอ”

‘ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวแน่’

ฉิบหาย...

ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินนี่หว่า ทำไมต้องมาหูดีเอาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

“อยู่นิ่งๆ” คำสั่งสั้นห้วนได้ผลชะงัก เมื่อร่างกายผมแข็งค้างไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะกลัวคำสั่งของเขา หรือเพราะใบหน้าคมคายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้โดยเจตนา ลมหายใจคล้ายจะฉุดกระชากไป พร้อมๆ กับที่หัวใจ...

งับ...

หัวใจยังไม่ทันได้เต้นแรง

“โอ๊ย!” ผมกุมหูตัวเองไว้แล้วจ้องมองใบหน้าปลาตายด้วยแววตาโกรธเคืองทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า

“ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวคูณสองแน่” รอยยิ้มร้ายปรากฎขึ้นบนริมฝีปากบางเฉียบอย่างหาได้ยาก ไหนบอกไม่รู้จักความสุขไงวะ แล้วรอยยิ้มสะอกสะใจ มีความสุขเสียเต็มประดาของมึงคืออะไรหา!

ไอ้บ้าภามมันกัดหูผม!


———————————



TALK : อนาคินก็จะเป็นแนวเรื่อยเปื่อย แฮปปี้ ชีวิตดี โดยเต๊าะไปวันๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของหมอแก่กับช่างภาพหน้าตายไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ค่ะ เวลาเขียนนี่ผ่อนคลายมาก อยากจะไปเที่ยว ฮือออ อีกพักใหญ่ก็จะออกจากเกาะ(ตอนยี่สิบนู่น) ไปผจญชีวิตในเมือง หวังว่าจะชอบความชิวๆ ลมพัดเย็นดีนี้น้า

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #91 เมื่อ10-08-2018 11:55:17 »

-11-



“พ่อหมอหน้าตาดูสดใสขึ้นหรือเปล่าจ๊ะ”

“จริงเหรอครับน้าต้อย” ผมหันไปยิ้มแฉ่งให้น้าต้อย มือยกขึ้นจับหน้าจับตาตัวเองด้วยความตื่นเต้น

ตอนแรกคิดว่าหลังจากโกนหนวดออกไปแล้ว ถึงจะมีสภาพดีขึ้นบ้าง แต่ความโทรมบนใบหน้าก็คงรักษาไม่ได้ง่ายๆ โชคดีที่ความโทรมแปรผันตรงกับน้ำหนัก พองานยุ่ง ไม่ดูแลตัวเอง กลายเป็นไม่ค่อยได้กินอะไรไปด้วยน้ำหนักเลยลดลง นอกจากกล้ามที่หายไปจนทำให้ดูตัวเล็กลงก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะถ้าผมโทรมแล้วกินเยอะจนอ้วนขึ้นมา ถึงเวลานั้นคงลำบากกว่านี้หลายเท่า

หลายวันมานี้ผมตื่นเช้าตามภามไปวิ่งออกกำลังต่อเนื่องมาสักพักแล้ว พอได้ยินคนมาทักว่าดูสดใสขึ้นย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา สัญญาเลยว่าถ้ากลับไปทำงานต่อรอบนี้จะไม่ปล่อยให้โทรมเหมือนเดิมแน่...ถ้าทำได้นะ

“จริงสิจ๊ะ ดูมีน้ำมีนวลขึ้น เวลายืนกับพ่อหนุ่มแล้วเหมาะสมกันมากเลย”

“…”

เอาความตื่นเต้นดีใจเมื่อกี้คืนมาทันไหม

“ไปเถอะ” ภามสะกิดแขนผมแล้วผงกหัวให้น้าต้อย ไม่รอให้ได้รับคำตอบเขาก็ดึงแขนให้เดินตามไปทางหาดในทันที ท่าทางเจ้าตัวคงรู้ว่าผมอารมณ์บูดอยู่ ถึงได้หันมาปลอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความจริงใจ “คุณดูสดใสขึ้นจริงๆ”

ถ้าผมอารมณ์ดีเมื่อไหร่เขาจะเฉยๆ แต่ถ้าผมอารมณ์เสียปุ๊บ อีกฝ่ายจะอารมณ์ดีปั๊บ เป็นคนกวนตีนสุดๆ เลยว่าไหม

“เหอะ...ตอนแรกที่ฉันดูเหมือนเต้าหู้ นั่นเพราะไม่มีเวลาออกกำลังกายหรอก” ถ้ามีเวลาเหมือนเดิม มีหรือจะยอมแพ้หุ่นฟิตๆ นั่น หมั่นไส้จริงๆ เลย

“ต่อให้ออกกำลังคุณก็ยังเหมือนเต้าหู้อยู่ดี”

“เอ๊ะ!”

“ตัวขาวๆ เนื้อนุ่มนิ่มแบบนี้ไม่ดีตรงไหน” เขาหันมาเอียงคอถามหน้าตาเฉย

“แล้วตรงไหนที่ว่าดีเล่า เนื้อนุ่มนิ่มมันหมายความว่าเริ่มมีไขมันส่วนเกินไม่ใช่หรือไง” ผมชักสีหน้าแล้วสาวเท้ายาวๆ พยายามเดินนำไปด้านหน้า แต่แค่แวบเดียวคนด้านหลังก็ตามมาทันเพราะมีช่วงขาที่ยาวกว่า

“หมายความว่าผิวเนียนนุ่มน่ากัดต่างหาก”

“พะ...พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง” จากที่กำลังเร่งฝีเท้า กลับกลายเป็นต้องหยุดชะงักกะทันหัน ผมกุมหูตัวเองแล้วเบิกตากว้างมองคนเลวที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมาหน้าตาเฉยด้วยความตกใจ หวาดกลัวว่าเขาจะเข้ามากัดหูกันอีก

“เป็นอะไร” ภามยื่นมือมาหา แต่ผมรีบก้าวถอยหลัง

“อย่าเข้ามาใกล้นะ จำไม่ได้หรือไงว่าทำอะไรเอาไว้”

กว่าความเจ็บปวดจะหายไป ผมนั่งเม้มปากอดทนอดกลั้นน้ำตาคลออยู่ตั้งนาน แต่ไอ้ตัวต้นเหตุกลับทำหน้าตาเฉยชาเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด สุดท้ายแค่ยื่นมือมาลูบหัวกันเหมือนจะปลอบ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือผมต้องมานั่งเกลียดตัวเองอยู่ตั้งนานเพราะดันไม่กล้าเอาคืน ทั้งยังไม่โกรธเลยสักนิด ตื่นเช้ามาแบบงงๆ เพราะโดนปลุกให้ไปวิ่งยังเดินตามเขาต้อยๆ ออกไปเฉยเลย

“จำได้ รู้ว่าโกรธ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” ภามตอบด้วยเสียงโมโนโทนตามปกติ หากสิ่งที่ผิดปกติไปคือใบหน้าที่ดูสับสนยามก้มลงมองมือตัวเอง “ลูบหัวแล้วไม่หายเหรอ”

หยุดทำท่าทางเหมือนเด็กแบบนั้นนะ

ยัง...ยังอีก

“ขอโทษ” ผมถอนหายใจขณะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงท้อแท้ สุดท้ายก็แพ้จนได้ “พูดว่าขอโทษแบบจริงใจ”

คนฟังกะพริบตาช้าๆ ท่าทางดูแปลกใจชัดเจน แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นขบขันเหมือนคนที่จับทางได้ ผมเผลอกลอกตาก่อนจะรีบเดินต่อเพราะไม่อยากเสียหน้าไปมากกว่านี้ แต่เดินได้เพียงก้าวเดียวแขนก็ถูกดึงให้หมุนตัวกลับไปหาคนด้านหลังด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากเกินไปจนทำให้เจ็บ

“ขอโทษ”

“…”

เสียงที่ไม่ได้เป็นโมโนโทนเหมือนปกติทำให้ผมนิ่งค้างอยู่นาน ไม่รู้ว่าเราสบตากันแล้วเงียบไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่แววตาที่ดูจริงจังคู่นั้นตรึงผมให้หยุดอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับแม้จะถูกปลายนิ้วของอีกคนแตะลงเบาๆ ที่ใบหูซึ่งถูกกัดไปเมื่อหลายวันก่อน

“ปะ...ไปเถอะ” สุดท้ายก็เป็นผมที่ปัดทุกความรู้สึกแปลกๆ ออกแล้วหมุนตัวเดินต่อ ครั้งนี้ไม่ได้ถูกรั้งไว้อีก แต่ได้ยินเสียงฝีมือก้าวตามมาจากทางด้านหลังติดๆ

อันตรายจริงๆ...

บริเวณหาดในวันนี้ครึกครื้น อาจเพราะเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์ที่ฝนไม่ตก ทุกคนเลยกลับมาทำงานออกเรือหาปลาได้ตามปกติ แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พวกผู้หญิงคงยังจัดการงานบ้านไม่เสร็จเลยไม่ได้มาอยู่แถวนี้ มีเพียงผู้ชายหลายคนที่กำลังเตรียมเรือออกไปหาปลา เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาคุณไฟที่ยืนอุ้มน้องลมอยู่ โดยไม่ลืมแกล้งทำตัวเนียนๆ เดินเข้าไปหา

“สวัสดีครับ!” เสียงทักอย่างกะทันหันคงทำให้เด็กชายตัวน้อยตกใจพอควร จากที่กำลังเอาหน้าพาดบ่าคุณพ่อ ถึงได้สะดุ้งหันมามองผมตาโต

“คุณหมอ...พี่ชายก็มาด้วย” รอยยิ้มเล็กๆ กับเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมยิ้มออก หลายวันมานี้พอเราสนิทกันมากขึ้น อีกทั้งคุณไฟยังไม่ให้ปลาเข้าใกล้ กลายเป็นว่าน้องลมอาการดีขึ้นหลายส่วน แม้จะน่าเป็นห่วงอยู่แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าซึมๆ เหมือนเดิมแล้ว

ส่วนเวลาที่ยิ้มกว้างและพูดมากที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่...

“ไอ้หนู!”

“หัวหน้า!” เด็กตัวเล็กหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงก่อนจะโผเข้าหาจนคุณพ่อที่อุ้มอยู่ตัวแทบเซ ไม้อุ้มน้องลมแล้วยกขึ้นสูงพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้ เพียงเท่านั้นเด็กน้อยก็หัวเราะคิกคักแล้วกอดหัวหน้าของตนเอาไว้แน่น

ดูเหมือนน้องจะติดเจ้าไม้เข้าให้แล้ว

“รีบไปขึ้นเรือเถอะ ข้ากับไอ้ดำจะไปส่ง” ไม้หันมาบอกเราแล้วเดินนำไปขึ้นเรือก่อน ตามด้วยคุณไฟที่เดินตามไปต้อยๆ ปิดท้ายด้วยปลาซึ่งตอนนี้...

หญิงสาวที่เคยสวยถูกมัดมือมัดเท้าไว้แน่นหนา หน้าตาหมดสภาพดูแทบไม่ได้ ตอนผมเห็นเมื่อวานยังตกใจ แต่น้าต้อยบอกว่าคุณไฟเป็นคนจัดการเอง เห็นว่ากลัวถึงเกาะแล้วอีกฝ่ายจะรู้ตัวทันหนีไปก่อน เลยจับมัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ชาวบ้านช่วยแบกไปขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว

“เอากระเป๋าสตางค์มาแล้วใช่ไหม” ผมหันไปถามคนข้างกายอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ภามพยักหน้า จากนั้นเราจึงเดินไปขึ้นเรือพร้อมกัน

คุณไฟบอกพวกชาวบ้านว่าถ้าฝนหยุดตก ออกเรือได้เมื่อไหร่เขาคงไปเลย เพราะต้องกลับไปทำงานแล้ว ที่สำคัญคืออยากเอาตัวปลากลับไปรับโทษด้วย หลังปรึกษากันและฟังข่าวคราวอะไรเรียบร้อย ลุงเหมเลยสั่งให้ไม้กับดำพาพ่อลูกกับพี่เลี้ยงไปส่งที่ฝั่งในวันนี้ แล้วให้อยู่จัดการธุระในเมืองให้วันสองวัน ผมที่ได้ยินพอดีเลยขอติดเรือเข้าฝั่งด้วย จะว่าเบื่อก็คงใช่ แต่ก็ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ เพราะเริ่มคุ้นเคยกับชาวบ้านจนอยากเห็นวิถีชีวิตของพวกเขามากกว่านี้แล้ว สุดท้ายเมื่อคุยกับภาม เราเลยตัดสินใจจะเข้าเมืองไปเที่ยวสักหน่อย เสร็จแล้วค่อยกลับมาพร้อมไม้ ทำตามแผนที่เคยคิดว่าจะอยู่บนเกาะให้ครบหนึ่งเดือนเช่นเดิม

เรือที่ใช้บรรจุผู้โดยสารถึงเจ็ดคนเป็นเรือยอร์ชส่วนตัวขนาดเล็กของคุณไฟ ซึ่งพวกชาวบ้านช่วยกันซ่อมให้เรียบร้อยแล้ว คุณไฟถึงขนาดบอกว่าจะยกเรือลำนี้ให้ เพราะคงไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายลุงเหมเลยบอกว่าจะช่วยดูแลให้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มาเที่ยวอีก จะให้คนไปขับให้แน่นอน ไม่ต้องให้คุณไฟขับมาเองแบบตอนแรก

ดำรับหน้าที่เป็นคนขับ ชายผิวคล้ำแลดูตื่นเต้นไม่น้อย คงเพราะปกติได้ขับแต่เรือประมงของเกาะ ไม่ได้แตะเรือหรูแบบนี้มากนัก ส่วนคุณไฟกับไม้พาน้องลมไปนั่งเล่นตากลมอยู่หน้าเรือ มีเพียงผมกับภามที่นั่งอยู่ในห้องเป็นเพื่อนดำ อ้อ...มีปลาที่นั่งตัวสั่นอยู่ท้ายเรือซึ่งถูกล็อกไว้กับเบาะอย่างเดียวดายอีกคน

“ดำอย่าลืมนะว่ามีเด็กอยู่หน้าเรือ” ผมรีบเอ่ยเตือนเมื่อเห็นท่าทางอยากลองของเสียเต็มประดาของคนขับ ไม่รู้ว่าเอ่ยตรงใจหรือยังไงอีกฝ่ายถึงได้สะดุ้งจนตัวโยนแล้วหันมาหัวเราะใส่

“ไม่ลืมหรอกน่าไอ้หมอ” คนขี้อ้างหันขวับกลับไป ก่อนจะออกเรือช้าๆ เพื่อให้คนอื่นๆ ตั้งตัวทัน แต่มีหรือผมจะไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง ลองถ้าไม่บอกสิ ต้องมีคนกลิ้งตกเรือแน่นอน

ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก บวกกับระยะทางที่ไกลพอควร ทำให้เราต้องใช้เวลาอยู่บนเรือนานกว่าที่คิด โชคดีที่ไม้เอาน้ำกับของว่างขึ้นมาไว้บนเรือก่อนแล้ว พอหิวผมก็แค่หันไปบอกคนข้างกายที่นั่งอยู่ข้างลังเสบียง รอเขายื่นของที่ต้องการมาให้ สบายเสียยิ่งกว่าสบาย

“ดำ” ผมเรียกคนขับเรือที่ดูสนุกสนานไม่เลิกแม้จะขับมาสักระยะแล้ว

“ว่าไง”

“ทำไมคนที่เกาะถึงได้เข้าฝั่งแค่เดือนละครั้งล่ะ เป็นข้อตกลงกันเองเหรอ” เริ่มจากถามเรื่องนี้ก่อนเลยแล้วกัน จริงๆ ผมก็สงสัยมาสักพักแล้ว แต่คิดว่าพวกชาวบ้านอาจจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในเมืองมากนัก ถึงได้สร้างข้อตกลงร่วมกันแบบนั้น ซึ่งเอาเข้าจริงก็แปลกนะ...ข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องซื้อ ไหนจะบรรดาขยะอีก แต่ถ้าบอกว่าซื้อมาตุนไว้ทีเดียวเยอะๆ ก็เป็นไปได้อยู่มั้ง

“หา...เอ็งพูดเรื่องอะไร”

“…” ระหว่างที่กำลังขบคิด กลับเป็นผมเสียเองที่ต้องงง เมื่อได้ยินสิ่งที่ดำพูดออกมา

“ใครบอกเอ็งว่าต้องรอเป็นเดือน รอเป็นเดือนแล้วพวกข้าจะอยู่ยังไง จะเอาอะไรแดกเล่า พ่อค้ามันไม่ได้มาเอาของเองถึงเกาะหรอกนะ”

ผมหันไปสบตาภามแทบจะทันทีที่ดำพูดจบ ใบหน้าปลาตายไม่มีวี่แววของความสงสัย เหมือนเจ้าตัวไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ต่างจากผมที่กำลังงงโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นอย่างที่ดำพูด แสดงว่าลุงเหมโกหกงั้นเหรอ แล้วลุงเหมจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

“ลุงเหมโกหกเราไปทำไม” ตอนแรกผมคิดจะถามดำไปตรงๆ แต่คิดไปคิดมาอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่องด้วยถึงได้พูดออกมา เห็นแบบนั้นเลยหันมากระซิบคุยกับภามสองคนแทน

“โดนสั่งไว้”

“หา” ผมหัวไปขมวดคิ้วใส่ภาม “นายรู้ได้ไง”

“…”

“เอาเหอะ” ไม่ตอบแบบนี้ก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อแล้ว ผมก็ไม่ใช่พวกเซ้าซี้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่าไหร่ “ที่นายเดาก็ถูก บางทีอาจมีคนสั่งไว้ ถึงจะไม่รู้ว่ายังไง แต่ฉันว่าไอ้เก้าต้องมีส่วนรู้เห็นแน่ๆ”

มันยิ่งขี้แกล้งและกวนตีนอยู่ ต้องมีส่วนร่วมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ผมฟันธง ว่าแต่...พ่อคุณจะจ้องกันอีกนานไหม แล้วไม่ได้จ้องธรรมดาด้วยนะ จ้องอย่างกับผมทำอะไรผิด

“แล้วนี่เป็นไร ลืมหยิบปากมาเหรอ” ผมอดกัดไม่ได้ เมื่อพบว่ายังถูกจ้องไม่เลิก หากคราวนี้เขาไม่ได้เงียบรับคำแล้ว แต่ตอกกลับมาอย่างรวดเร็วตามประสาคนกวนตีน

“ดูเหมือนคุณจะหยิบปากมาเกินมากกว่า”

“นายด่าฉันพูดมากเหรอ”

“เปล่า ก็แค่ยังพูดไม่หยุดเลยตั้งแต่เช้า”

นั่นแหละคือด่าโว้ย จะบอกว่าเปล่าเพื่อ

ผมถอนหายใจแรงๆ ระบายอารมณ์ ไม่อยากหันไปคุยกับเขาให้ปวดหัวแล้ว แต่เพราะยังมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน ท้ายที่สุดเลยต้องหันไปชวนคุยอีกรอบ

“แล้วจะเอายังไง”

“หมายถึง?”

“ถ้าเป็นอย่างที่ดำว่า เรือจะออกตอนไหนก็ได้ เราก็ไม่ต้องติดอยู่บนเกาะเป็นเดือนแล้วไง นายอยากไปที่อื่นหรือเปล่า” ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถามภามเหมือนจะให้เขาตัดสินใจไปหมด แต่ผมคิดว่าตัวเองเป็นพวกอะไรก็ได้อยู่แล้ว ดังนั้นถึงจะรู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

“คุณอยากไปไหนหรือเปล่า”

“ไม่มีจุดหมายเลย” ผมตอบตามตรง ยังไงที่มาเกาะนี้ก็เพราะตามเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย

“งั้นอยู่ต่อให้ครบเดือนไหม”

“เป็นครั้งแรกที่ได้ยินนายออกความเห็นเลยนะเนี่ย” ดูท่าภามคงจะติดใจเกาะแล้วแน่ๆ เพราะปกติเวลามีคนมาถามอะไรเขามักเงียบ นอกเหนือจากเรื่องสร้างบ้านแล้วก็แทบไม่ได้ออกความเห็นเลย หลังจากนั้นมีแค่ผมคนเดียวที่คอยตอบคำถามหรือตัดสินใจมาโดยตลอด

“คุณได้กลับเข้าไปในเมืองเมื่อไหร่จะเข้าใจเอง”

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะหลังจากที่ภามพูดออกมา เขาก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างเรือในทันที ราวกับไม่อยากพูดอะไรแล้ว ผมที่หน้าไม่หนาเท่าไหร่เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วบอกว่าช่างมัน ก่อนจะมองออกไปด้านนอกบ้างเพื่อลบคำสบประมาทที่บอกว่าตัวเองพูดมาก

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงฝั่งในช่วงเที่ยง สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเท้าเหยียบพื้นคือกวาดสายตาไปรอบด้าน เผื่อว่าจะเห็นคุณลุงที่เคยพาเราไปส่ง จะได้ถามเรื่องที่คาใจว่าทำไมถึงกล้าพาเราไปส่งที่เกาะเสียที แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวเมื่อไม่มีวี่แววของเรือสปีดโบ๊ทอยู่เลย

มีอีกทาง...

ผมหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้เลยขึ้นมา ไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อไม่เห็นสายที่ไม่ได้รับเลยแม้แต่สายเดียว เพียงแต่ข้อความในไลน์เด้งไปอยู่ที่ 999+ เรียบร้อยแล้ว ผมไม่เสียเวลากดเข้าไปอ่าน แต่กดโทรไปหาไอ้คนเลวตัวต้นเรื่องในทันที ทว่ากดย้ำอยู่หลายครั้งก็ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะรับสาย ไอ้โซก็เหมือนกัน

ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่ว่างหรอก แต่เพราะรู้ทันมากกว่าเลยไม่รับสาย ผมกดเข้าไปในไลน์ ทิ้งข้อความก่นด่าเพื่อนเลวสองตัวในแชทกลุ่มสามคนประมาณห้าหกบรรทัด เรียบร้อยแล้วจึงเก็บโทรศัพท์เข้าที่แล้วหันไปมองพวกคุณไฟที่เพิ่งพากันลงมาจากเรือ

“ไอ้เก้ามันไม่รับสายฉัน” ผมบ่นให้เงาตามตัวฟัง นับวันยิ่งเคยชินกับการถูกเดินตามขึ้นทุกที “ถ้าเป็นนายโทรมันจะรับไหม”

“รับ”

โห...มั่นอกมั่นใจ โคตรของความสองมาตราฐาน อันที่จริงถึงไม่รับภามก็โทรหาพี่ภู พี่ชายตัวเองได้อยู่แล้ว รายนั้นไม่ว่ายังไงก็ต้องตามตัวไอ้เก้าให้มาคุยได้แน่ๆ แต่ประเด็นคือ...

“บอกทีว่านายหยิบโทรศัพท์มา”

“ไม่ได้เอามา”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหนเล่า!

“มีคนมา” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ ขณะมองไปทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองด้วย คนมาใหม่เป็นผู้ชายสามสี่คน เหมือนจะเป็นลูกน้องของคุณไฟซึ่งเขาเคยบอกว่าจะให้มาเอาตัวปลาไป ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรหนึ่งในนั้นก็อุ้มปลาแบกขึ้นบ่าแล้วพาตัวไปอย่างรวดเร็ว ก่อนคนที่เหลือจะเดินนำเขาไปนอกหาด เพื่อขึ้นรถคันหนึ่งซึ่งจอดรออยู่ก่อนแล้ว

“ไอ้หมอ!” ไม้โบกไม้โบกมือทั้งที่อุ้มน้องลมอยู่ ผมเลยเดินไปหาโดยมีภามตามไปด้วย ที่ตรงนั้นมีคุณไฟยืนรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนคนของเขายืนประจำที่พร้อมขึ้นรถตลอดเวลา

“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ สำหรับทุกอย่างเลย”

“ไม่เป็นไรครับคุณไฟ” ผมยิ้มแล้วหันไปทักทายเด็กน้อยที่เกาะไม้ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแทน “น้องลมดูแลตัวเองดีๆ นะครับ เอาไว้เจอกันใหม่นะ”

“ครับ” น้องพยักหน้าแล้วยิ้มสดใส ไม่มีทีท่าว่าจะดื้อเลยแม้แต่น้อยยามคุณไฟยื่นมือมาอุ้มไปขึ้นรถ ผมอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นพวกเขาไม่ได้หันไปร่ำลาไม้ แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่โบกมือให้อยู่ด้านข้าง...ดูท่าคงลากันไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแน่ๆ

ท้ายที่สุดเมื่อรถของคุณไฟออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงเราสามคน ไม่นับดำที่บอกว่าจะนอนอยู่บนเรือ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ลงมา ตอนแรกผมนึกห่วงอยู่หน่อยๆ แต่เมื่อเห็นความหรูหราในเรือแล้วก็...เป็นผมก็นอนได้วะ

“งั้นเดี๋ยวข้าจะแยกไปทำธุระให้ลุงเลยแล้วกัน มาเจอกันที่นี่พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้านะ”

“โอเค” ผมพยักหน้ารับคำ แล้วปล่อยให้ไม้เดินไปก่อน ส่วนตัวเองหันกลับมาหาคนไม่มีปากอีกที “แล้วเราจะเอายังไงกันดี”

“หาที่พัก”

“โอเค”

เราเดินไปหาที่พักกันแบบเงียบๆ ไม่มีใครกวนตีนใครก่อน เป็นบรรยากาศแบบที่นานๆ จะรู้สึกสักที ทว่าเมื่อเดินข้ามถนนมาที่ฝั่งตัวเมือง ผมกลับต้องชะงักไปพักใหญ่ ภาพของความวุ่นวายที่ไม่ได้เห็นมานานทำเอารู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย ผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่ รถหลายคันที่แล่นสวนกันไปมา หรือแม้แต่ร้านอาหารหรือร้านค้าเต็มสองข้างทางที่เพิ่งรู้สึกว่ามันดูไม่สบายตาเอาเสียเลย

จู่ๆ ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็ตีวนเข้ามาในใจ...

จะว่าไปแล้วมันก็น่าแปลก...ตอนที่ผมอยู่ในเมือง เดินทางกลับบ้านด้วยถนนเส้นเดิมๆ ทำกิจวัตรประจำวันแบบเดิมๆ ผมรู้สึกเบื่อจนต้องมองหาความแตกต่าง ตอนอยู่บนเกาะเองก็เหมือนกัน พอไม่มีอะไรให้ทำก็เบื่อ แต่มันกลับเป็นความเบื่อคนละแบบกัน ผมยังคงยิ้มเมื่อได้พูดคุยกับพวกชาวบ้าน ยังคงตื่นเต้นเมื่อพวกเขาพูดอะไรแปลกๆ ให้ฟัง แต่ถ้าอยู่ไปนานๆ มันกลายเป็นความเคยชิน แบบนั้นก็ต้องเบื่ออยู่ดีเหมือนยามอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือไง

ถึงอย่างนั้น...ก็ยังรู้สึกเหมือนมันแตกต่างกันอยู่ดี อะไรบางอย่างบอกผมว่าถ้าอยู่บนเกาะต่อไปแบบนี้ ผมจะไม่เบื่อเหมือนยามอยู่ในเมืองแน่นอน

ตัวแปรคืออะไรกันนะ...

“ถ้าคุณได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสักระยะ เวลากลับเข้ามาในเมือง คุณจะเห็นความแตกต่างของมัน” เสียงเนือยๆ ของคนหน้าปลาตายพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนเขาจะหันมาสบตาผมแล้วถามคำถามเดียวกันกับตอนที่อยู่บนเรือ “คุณจะอยู่ต่อให้ครบเดือนไหม”

เมื่อได้กวาดสายตามองไปรอบด้านอีกครั้ง สุดท้ายผมก็ตอบออกไปตามความรู้สึก

“อยู่”

อย่างน้อย...ก็ขอให้คำตอบชัดเจนกว่านี้อีกสักนิด

น่าแปลก...ทั้งที่ช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่น ฝนตกแทบจะวันเว้นวัน แต่หาดนี้ก็ยังได้รับความสนใจไม่น้อย เห็นได้จากบรรดานักท่องเที่ยวที่พากันใส่ชุดว่ายน้ำเดินล่อนไปล่อนมา หรือแม้แต่ร้านค้าที่เปิดขายของกันอย่างคึกคัก ผมได้ยินไม้บอกว่าตอนค่ำแถวนี้จะมีตลาดด้วย ถ้าไม่ง่วงมากเกินไปน่าจะได้ออกมาเดินเที่ยว

โรงแรมที่ผมกับภามเลือกเป็นโรงแรมสี่ดาว อยู่ไม่ไกลจากหาด ดูแล้ววุ่นวายน้อยที่สุดหากนับจากบรรดาที่พักที่เดินผ่านมาทั้งหมด เราเอาของไปฝากไว้แล้วเดินตัวปลิวออกมาด้านนอก เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน โชคดีที่วันนี้ไม่ได้มีแดดมากนัก ไม่งั้นผมคงทำใจออกมาไม่ไหว แค่เจอไอแดดเข้าไปก็จะเป็นลมแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงทุกวัน แต่ยอมรับความจริงในใจเงียบๆ และหลีกเลี่ยงมันก็ยังดีกว่าเป็นลมไปกลางคันเพราะฝืน

“นายอยากไปไหน”

“แล้วแต่คุณ”

เอาเถอะ...ตัดสินใจแทนจนชินแล้ว

ดูจากสภาพการณ์ จะให้ไปเล่นน้ำทะเลหรือไปเดินริมหาดคงไม่ไหว เราอยู่บนเกาะเห็นน้ำที่ใสสะอาดและสวยกว่าตรงนี้หลายเท่าอยู่แล้ว เพราะงั้นน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อนในบริเวณนี้เลยไม่ได้ดูน่าเล่นเลยสักนิด ผมยกมือเกาหัวด้วยไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน ที่คิดไว้ก็มีแค่ตลาดตอนค่ำ แล้วก็ไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อย แต่นอกเหนือจากนั้นไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร

“งั้นไปซื้อของแล้วไปนั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมไหม อีกชั่วโมงเดียวก็เข้าห้องพักได้แล้ว”

“ได้” ภามพยักหน้าแล้วเดินตามผมเป็นลูกเป็ด ซึ่งแน่นอนว่าความดูดีของเจ้าตัวทำให้ใครต่อใครจ้องมองมาเหมือนมองของประหลาด แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือพอสายตาเหล่านั้นเบนมาเห็นผมที่เดินนำ พวกเขาล้วนหันไปซุบซิบกันด้วยความเขินอาย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กมหา’ลัยตรงนั้น ซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นสาววายทั้งกลุ่ม

ขนาดแค่เดินตามนะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามีจับไม้จับมือจะ...

“ระวัง”

ผมสะดุ้งเมื่อถูกขัดจังหวะความคิดด้วยฝ่ามือร้อนๆ ของคนด้านหลังที่รั้งต้นแขนกันไว้แล้วดึงเข้าหาตัวจนหน้าเกือบกระแทกอกแข็งๆ นั่น แต่เพราะเข้าใจว่าเมื่อกี้ตัวเองเหม่อจนเกือบเดินออกนอกถนน ผมเลยหันไปผงกหัวขอบคุณเขา

“ขอบใจ”

“มานี่” ว่าแล้วคนที่เพิ่งช่วยชีวิตกันไว้ก็ดันผมเข้าไปเดินด้านใน ส่วนตัวเองเดินอยู่ด้านนอกติดถนน กลายเป็นเราเดินควบคู่กันแล้ว ไม่ได้เดินนำกับเดินตามเหมือนตอนแรก ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งในเวลาที่กำลังจะเดินผ่านกลุ่มสาวๆ ที่จ้องกันตาเป็นมันเหล่านั้น...

“ฉันบอกแล้วว่าเขางอนกัน”

“คนตัวสูงหล่ออ่า”

“เหมาะสมกันสุดๆ เขาเป็นแฟนกันจริงๆ ด้วยอะแก”

นั่นไง...

“รีบไปเถอะ” ผมขยับเข้าไปใกล้ภามแล้วกระซิบกระซาบบอกเขา ใครจะไปคิดว่าคนตัวสูงจะโน้มหน้าลงมาหาเหมือนให้พูดใหม่เพราะไม่ได้ยิน เล่นเอาเสียงกรีดร้องจากสาวๆ ดังขึ้นหนึ่งระดับ ผมไม่เสียเวลาพูดใหม่ แต่รีบดึงแขนเขาให้เดินไวๆ ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวเป็นบ้า...

ซุปเปอร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมคือจุดหมายปลายทางที่ผมเลือก เราแยกย้ายกันเดินไปหาข้าวของที่ตัวเองต้องการ ผมพุ่งตรงไปที่โซนขนมเป็นลำดับแรก ก่อนจะเลือกมาหลายอย่าง ไม่ได้คำนึงถึงน้ำหนักหรือระดับน้ำตาลหากกินมันเข้าไปเลยแม้แต่น้อย คิดว่าอยากกินอะไรก็หยิบมาหมด กะว่ายังไงก็จะซื้อไปฝากเด็กๆ บนเกาะอยู่แล้วด้วย กินกันนานๆ ทีคงไม่เป็นไร

หลังจากหยิบของใส่ตะกร้าจนเต็ม ผมเลยเดินไปหาภามที่เห็นอยู่ไกลๆ รายนั้นไม่ได้ถือตะกร้า ในมือมีแค่ของชิ้นเล็กๆ อยู่เพียงสองสามชิ้น พอเห็นเขาเริ่มหยิบชิ้นใหม่ ผมเลยยื่นตะกร้าไปให้หย่อนของลงมา

“ที่โกนหนวด...”

เดี๋ยวนะ ซื้อไปทำไมเยอะแยะวะเนี่ย

“เผื่อเอาไว้” เขาว่าแบบนั้นแล้วเอาตะกร้าไปถือไว้เอง

สรุปสุดท้ายภามก็เป็นคนจ่ายเงินทั้งหมด โดยที่เกินครึ่งเป็นของที่ผมเลือกซื้อ ซึ่งถามว่ารู้สึกอะไรไหม ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะจงใจไม่หยิบกระเป๋าสตางค์มาอยู่แล้ว ต้องโทษที่เขาเป็นคนดีมากเกินไปต่างหาก

“เสี่ยสายเปย์นี่นา” ผมเอาไหล่แซะภามแบบที่ชอบทำบ่อยๆ แล้วหัวเราะเมื่อเขาหันมาขมวดคิ้วมอง

“คงใช่”

“โห...ยอมรับด้วย”

“เฉพาะกับคุณ”

“…”

“ก้มหน้าทำไม...แล้วนั่นจะเดินไปไหน”

จากที่เป็นฝ่ายเริ่มแกล้งก่อน ลงท้ายทีไรต้องโดนกลับตลอด ผมยกมือยอมแพ้แล้วรีบเดินหนีไอ้บ้าด้านหลัง แม้จะรู้ว่าต่อให้หนียังไงก็หนีไม่พ้นก็ตาม ขายาวเป็นเปรตแบบนั้น ต่อให้วิ่งก็คงโดนตามได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้...

ขอแค่ไม่เห็นหน้ากันก็พอ เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะระเบิดเฉยเลย

หลังจากกลับไปถึงโรงแรมโดยใช้เวลาในการเดินเพียงห้านาที ผมลองเข้าไปถามพนักงานเรื่องขอเข้าห้องก่อนเวลา ซึ่งเขาก็ตกลงให้เข้าห้องก่อนได้ ทั้งยังอุตส่าห์อัปเกรดห้องให้หรูขึ้นในราคาเท่าเดิมด้วย

สุดท้ายเราก็ได้มานั่งเอ๋ออยู่ในห้อง...

นั่งเอ๋อ...พร้อมกับกลีบกุหลาบรูปหัวใจบนเตียง ผ้าเช็ดตัวที่พับเป็นหงส์คู่ และที่พีคสุดคือห้องอาบน้ำแบบซีทรูที่ผมสำรวจดูแล้วพบว่าไม่มีม่านบังหรืออะไรเลย เรียกได้ว่าโป๊เปลือยเห็นหมดเปลือก ถ้าอยากปิดคงต้องเอาผ้ามาขึงเอง

“อย่าบอกนะว่าแม้กระทั่งพนักงานโรงแรมก็เป็นสาววาย” ผมอดบ่นพึมพำไม่ได้

คำว่าสาววายนี่ได้ยินมาตั้งแต่สมัยอยู่มัธยม เหมือนเพื่อนจะอธิบายว่ามันคือผู้หญิงที่ชอบเห็นผู้ชายรักกันเองหรืออะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจตอนมันอธิบายนัก มันบอกว่าในกลุ่มไม่มีคนหน้าตาดีคนอื่นให้เอามาจับคู่กับผม ตอนนั้นเลยรอดไป แต่พอขึ้นมหา’ลัย ผมเห็นเพื่อนอย่างไอ้โซได้ขึ้นเพจ ถูกจับคู่กับพี่กีล์ซึ่งโตกว่าสามปี แล้วสุดท้ายดันได้รักกันจริงๆ คบกันมาตั้งแต่มันอยู่ปีหนึ่งจนตอนนี้อายุเท่าผมแล้วก็ยังรักกันดี ไหนจะคู่ไอ้เก้าอีก เห็นแบบนั้นก็อดคิดในใจไม่ได้

ดูเหมือนความรักจะไม่ได้เกี่ยวกับเพศเลย...

“คิดอะไร” แรงสะกิดเบาๆ ที่ข้างแก้มทำให้ผมรู้สึกตัว ก่อนจะหันไปมองหน้าคนถามซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง

“เรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมตอบไปแบบนั้น แต่เหมือนอีกคนจะไม่เชื่อ เขาถึงได้จ้องค้างไม่ยอมหันไปไหน แล้วก็เป็นผมเองที่ต้องยอมแพ้ “แค่นึกถึงเรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกัน”

“…ความรัก?”

“จำได้ว่าตอนเด็กๆ ฉันมักจะเห็นเพื่อนผู้ชายเข้าไปแกล้งพวกที่ชอบเพศเดียวกันตลอด ทั้งยังต่อว่าด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา ตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร น่าจะต้องขอบใจตัวเองที่โง่ตามเพื่อนไม่ทัน แต่ที่ได้ยินบ่อยที่สุดน่าจะเป็นเรื่องความรักของคนกลุ่มนี้ไม่มีความแน่นอน เป็นความรักประเดี๋ยวประด๋าว” ในช่วงเวลาที่พูด ผมยกยิ้มจางอยู่ตลอดเวลายามนึกถึงอดีต น่าแปลกที่จำหน้าตาพวกเพื่อนที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้แล้ว แต่กลับจำคำพูดไม่น่าฟังพวกนั้นได้แม่นยำและชัดเจนราวกับมีคนพูดอยู่ข้างหู “พอมามองย้อนกลับไป เห็นเพื่อนตัวเองกับคนรักอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีแล้วก็ยังรักกันดีอยู่ ฉันเลยคิดว่าความรักไม่ได้เกี่ยวกับเพศเลย”

เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ อีกทั้งภามยังนั่งเงียบไม่มีทีท่าว่าจะตอบ ผมเลยยักไหล่ก่อนจะเอนตัวนอนลงบนเตียง ทับกองกลีบกุหลาบไปทั้งแบบนั้น

“เมื่อปีก่อน...ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานเล็กๆ ของเพื่อนพ่อคนหนึ่ง” ภามพูดออกมาช้าๆ ขณะเอนกายลงนอนด้านข้าง “พวกเขาทั้งคู่ยิ้มตลอดเวลา ดวงตาเป็นประกายเหมือนเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน ไม่รู้ทำไมเวลาที่ได้ยินถ้อยคำสัญญาสาบานว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน ผมถึงได้เชื่อหมดใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันทิ้งกันจริงๆ”

“…”

“อาจเพราะเวลาของคนทั้งคู่ไม่ได้เหลือเยอะนักถ้าเทียบกับพวกเรา ผมเลยคิดว่าเขาคงจะอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย”

“นายบอกว่า...เพื่อนพ่อเหรอ”

“ใช่ เพื่อนพ่ออายุหกสิบ คนรักของเขาอายุห้าสิบแปด” เสียงหัวเราะหึดังขึ้นเบาๆ เมื่อคนพูดเห็นผมผุดลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองหน้าเขาด้วยความตกใจ “และเขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย”

“…”

“ผมอาจยังไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจคือมันเป็นสิ่งสวยงาม...” ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเบือนมาสบ สะกดไว้ให้จ้องมองกลับโดยไม่อาจละสายตา “ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม”



—————————

 




ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #92 เมื่อ10-08-2018 11:55:38 »

-12-


“อ่า…”

“คุณหน้าแดง เป็นอะไรหรือเปล่า” ภามเอียงหัว มองมาเหมือนกำลังสำรวจและพยายามทำความเข้าใจกับท่าทีที่ผมแสดงออกไป ขนาดไม่ต้องส่องกระจกยังรู้เลยว่าหน้าตาจะต้องเหวอมากแน่ๆ บวกกับความร้อนที่ข้างแก้มแล้วยิ่งเข้าไปใหญ่

ให้ตายเหอะ...เขาก็พูดธรรมดา มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ยไอ้เจได

“เปล่า” ผมโบกมือไปมาแล้วหันหน้าหนี ก่อนจะเอนกายลงนอนบนเตียงนุ่มเพื่อตัดบท

ความรักคือสิ่งสวยงามไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครงั้นเหรอ...

ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินประโยคนี้จากคนที่ดูไร้ประสบการณ์โดยสิ้นเชิง

“คุณชอบเปลี่ยนเรื่องเวลาไม่อยากตอบคำถาม” คนด้านข้างยังคงกัดไม่ปล่อย “นิสัยเหมือนเด็กเวลาทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร บางทีก็เกลียดความอยากรู้ต้องรู้ของไอ้บ้านี่เหลือเกิน ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันอยากรู้จริงๆ หรืออยากกวนตีนกันแน่

แต่ตอนนี้ไม่ไหวละ ขี้เกียจสงสัย เปลือกตาเหมือนจะปิดยังไงไม่รู้

“จะนอนเหรอ”

“อื้อ...” เพราะแกนั่นแหละทำให้ฉันง่วง

“นอนเถอะ”

ในช่วงเวลาที่รู้สึกคล้ายสติกำลังจะหายไป ผมมองเห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบของใครคนหนึ่งในระยะประชิด ขณะที่กำลังคิดว่าเขาจะทำอะไร อีกฝ่ายกลับออกแรงลากแขนทั้งสองข้างของผมเหมือนกำลังลากศพ เพื่อเอาไปวางแหมะไว้บนหมอนแทนที่จะห้อยเท้าอยู่บนพื้น ผมส่งเสียงอืออาเป็นเชิงขอบใจ ก่อนจะพลิกกายหาท่าสบายเพื่อนอนหลับอย่างจริงจัง

คราวนี้จะไม่มีอะไรมารบกวน...

เสียงกิน...เสียงกินอาหารแบบผู้ดีนั่นมันอะไรกัน

ผมรู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยตรงเข้ามาในโพรงจมูก จนประสาทสัมผัสที่ใกล้จางหายถูกกระตุ้นให้ทำงานอีกครั้ง แถมท้องยังร้องโครกครากเสียงดังแบบไม่อายใคร โอเค...ไม่นอนก็ไม่นอน

ต้นกำเนิดเสียงคือร่างสูงใหญ่ของคุณชายภามที่นั่งไขว่ห้างกินมาม่าอยู่บนโต๊ะติดประตูระเบียง ตอนซื้อของอยู่ในร้าน นอกจากที่โกนหนวดกับของอีกสองสามชิ้น ผมเห็นเขาหยิบมาม่ามาใส่ตะกร้าแค่กระป๋องเดียว ยังคิดในใจอยู่เลยว่าทำไมไม่ซื้อของกินอย่างอื่นด้วย แต่มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว...

นอกจากหอมแล้วยังล่อคนขี้เซาให้ตื่นได้ด้วย

“ยอมแพ้แล้วเหรอ” คนนิสัยไม่ดีเอ่ยถาม เสียงโมโนโทนติดจะขบขันอยู่นิดหน่อย ผมฟังแล้วได้แต่ทำหน้าตึง ลุกขึ้นนั่งโดยไม่คิดจัดหัวฟูๆ ของตัวเองให้เข้าที่

“ส่งมานี่เลย” ว่าแล้วยื่นมือออกไปหา กะให้เขาส่งมาให้ จะได้รีบกินให้หมดแล้วนอนต่อ แต่ภามกลับส่ายหน้า คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเหมือนกำลังตำหนิผมอยู่

“มานั่งกินดีๆ”

เบื่อพวกคุณชายจริงโว้ย

แล้วถามว่าทำอะไรได้ไหม...ได้ไม่ได้ก็มานั่งจ๋อมอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว

“กินได้ยัง” ผมถามเสียงเนือย ง่วงก็ง่วง หิวก็หิว โชคดีที่ครั้งนี้ภามไม่ได้ขัดขวางอะไรอีก เขายื่นถ้วยมาม่ามาให้ แล้วกลับไปนั่งกอดอกมองด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้เหมือนเดิม

กว่าจะรู้ตัวว่ากินหมดจนไม่เหลือแม้แต่น้ำสักหยด ก็ตอนที่ได้เงยหน้ามองเจ้าของมาม่าซึ่งน่าจะได้กินไปเพียงคำเดียว ผมยิ้มแหย ลืมตัวไปเสียสนิท แล้วยังมีหน้าส่งถ้วยเปล่าไปให้เขาด้วยนะ

“ไม่เหลือสักหยด” ภามก้มลงมองกระป๋องแล้วพลิกถ้วยคว่ำลงเป็นการพิสูจน์ ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาพูดนัก เพราะไม่เหลือสักหยดจริงๆ

“หิวนี่นา”

“ตอนอยู่บนเรือก็กิน”

“กินไปนิดเดียวเอง”

“คุณนี่เหมือนแมวจริงๆ” คนตัวสูงส่ายหน้าหน่าย “ไปนอนเถอะ”

“นายไม่ห้ามฉันเหรอ” ผมเบิกตากว้างมองภามด้วยความแปลกใจ ตอนแรกคิดว่าเขาจะต่อว่าเรื่องกินแล้วนอน หรือไม่ก็หาเรื่องมาบีบบังคับ หลอกล่อไม่ให้นอนเหมือนตอนเอาอาหารมาล่อเสียอีก

“ถ้ายังไม่รีบไปนอนจะหาเรื่องห้าม”

เพียงเท่านั้นผมก็รีบโดดขึ้นไปนอนบนเตียงทันที จริงๆ กินแล้วเอนตัวลงนอนมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก แต่ถือว่าที่นั่งคุยเมื่อกี้คือพักแล้วละกัน ผมหลับตาปี๋ แกล้งทำเหมือนหลับแบบจริงจัง รอบนี้ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ดูเหมือนภามจะยอมให้ผมหลับแล้ว คิดได้แบบนั้นความง่วงก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ผมหลับตาลงแล้วปล่อยให้สติล่องลอยไปในที่สุด

ครืด ครืด

โอเค...ไม่นอนก็ไม่นอน

“…ใคร”

[เจได]

ผมรีบผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ตัวเองลืมไปเสียสนิทว่าควรโทรหา หากเวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่น่าถามคำถามนัก เพราะน้ำเสียงของคนสวยแลดูตึงเครียดไม่น้อย

“แม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ปกติแม่ผมไม่ใช่คนที่ชอบโทรศัพท์มาหาเท่าไหร่ นอกจากจะมีเรื่องด่วนจริงๆ แม้แต่ตอนที่ผมไปใช้ทุนแม่ยังไม่เคยโทรมาสักสาย มีแต่ตัวเองที่โทรไป ท่านบอกว่าไม่อยากรบกวนเวลาผมทำอะไรอยู่ แต่ถ้าโทรมาขอให้รู้เอาไว้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เพราะแบบนั้นตอนขึ้นเกาะมาถึงไม่มีสายที่ไม่ได้รับจากแม่เลยสักสาย

[แม่คิดว่าจะติดต่อลูกไม่ได้เสียอีก]

“เหมือนแม่รู้เลยว่าผมไปอยู่เกาะมา” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “วันนี้เข้าฝั่งพอดีครับ นี่ก็กะจะโทรหาคนสวยอยู่เลย”

อันที่จริงคือลืมไปแล้ว...

[ยังจะกล้าโกหกแม่อีกนะเจ้าลูกคนนี้]

“แล้วนี่แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

[เดี๋ยวมืดๆ แล้วรอพ่อเขากลับมาคุยกับเราเองดีกว่า แม่แค่โทรมาลองดูว่าจะติดต่อได้ไหม]

“วันนี้ติดต่อได้แน่นอน ผมจะกลับเข้าเกาะพรุ่งนี้เช้า”

[จ้ะ เที่ยวให้สนุกเถอะ แม่จะให้พ่อโทรไปอีกที]

“ครับผม”

หลังจากกดวางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วผมก็ได้แต่นั่งนิ่งนึกถึงเรื่องที่พ่ออยากคุยด้วย รายนั้นไม่เคยติดต่อผมก่อนเลยสักครั้ง ถ้าถึงขั้นให้คนสวยโทรมาเช็คก่อนแบบนี้คงเป็นเรื่องสำคัญแน่ แต่แม่ผมเป็นคนประเภทที่ถ้าบอกว่าไม่พูดก็คือไม่พูด บอกว่าไว้ก่อนคือไว้ก่อน เพราะงั้นต่อให้ออดอ้อนยังไง ถ้าท่านว่าจะรอพ่อก็คือต้องรอเท่านั้น

“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงเนิบๆ จากคนที่ยังนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมเอ่ยทักขึ้นมา คงเพราะเห็นผมรับโทรศัพท์แล้วนิ่งไปนาน

“ไม่มีอะไร แม่ฉันแค่โทรมาบอกว่าพ่ออยากคุยด้วยน่ะ เดี๋ยวดึกๆ คงโทรมาอีกที”

ภามพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เขายกกาแฟที่ซื้อมาขึ้นดื่มด้วยท่าทางมีมาด พอได้มาเห็นอีกฝ่ายในลุคแบบนี้แล้วผมอดอิจฉาหน่อยๆ ไม่ได้ เป็นคนประเภทที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูดีนี่มันน่าหมั่นไส้ชะมัด

อาจเพราะถูกรบกวนหลายรอบจนรู้สึกว่าขืนพยายามหลับต้องมีเรื่องน่าปวดหัวอะไรเกิดขึ้นอีกแน่ ผมเลยตัดสินใจเปิดทีวีดูการ์ตูนฆ่าเวลา เพราะมันทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่เอะอะต้องดูการ์ตูนตลอด จะว่าไปก็คงหลังจากสอบเข้าแพทย์มั้งที่ผมแทบไม่ได้เปิดทีวีอีกเลย นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้

“คุณเป็นหมออะไรเหรอ” จู่ๆ คนที่ย้ายตัวมานอนพิงเตียงข้างผมก็ถามขึ้นมาลอยๆ ทำเอาเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน จากที่กำลังหัวเราะการ์ตูนเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง

“ถ้าภาษาชาวบ้านก็หมอเด็ก”

“อา…” ภามพยักหน้าเข้าใจ “ปกติหมอเด็กเขาต้องทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ไหม”

“…นี่ด่าเหรอ” ผมมองหน้าภามด้วยแววตาว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าคำตอบคืออะไร แต่เขาก็ยังส่ายหน้าแล้วอธิบายต่อ

“ไม่ได้ด่านะ แค่รู้สึกเหมือนคุณยังเป็นเด็ก เลยสงสัยว่าหมอเด็กเขาต้องทำตัวเด็กเหมือนคุณไหม”

“สรุปนายจะว่าฉันเหมือนแมวหรือเหมือนเด็กกันแน่”

เดี๋ยว...นี่ถามประชด คุณท่านจะทำหน้าคิดหนักเพื่ออะไร

“แมว”

“…”

“…”

ผมถอนหายใจเมื่อพบว่าภามยังคงจ้องหน้ากันเหมือนจะให้ตอบคำถามของเขาให้ได้ ประมาณว่าถ้าแกไม่ตอบฉันก็จะจ้องแกอยู่แบบนี้ อะไรประมาณนั้น

“ฉันก็แค่ร่าเริงผิดปกติไปบ้างเพราะไม่ได้พักผ่อนมานาน”

“ผมเห็นคุณยิ้มตลอดเวลาตอนที่คุยกับเด็ก”

คงหมายถึงน้องลม

“ฉันชอบเด็ก ถึงได้เลือกเรียนเฉพาะทางด้านนี้ แต่พอถึงเวลาทำงานจริงมันไม่ใช่ว่าเราจะได้เล่นกับพวกเขาไง บางทีเด็กเจ็บป่วยมาหา ร้องไห้ไม่หยุด จากที่ดีใจเพราะจะได้เล่นด้วย มันเลยกลายเป็นปวดใจตามเพราะเห็นพวกเขาไม่สบายจนต้องมาหาหมอถึงโรงพยาบาล” ผมไม่ได้สนุกเลยสักนิดเวลาที่เห็นเด็กๆ ที่โรงพยาบาล เพราะถ้าได้เจอ นั่นหมายความว่าพวกเขาเจ็บป่วยอีกแล้ว แบบนั้นใครจะดีใจหรือสนุกได้ลง เห็นพวกเขาร้องไห้แล้วผมก็เศร้าใจไปด้วย

“เหมือนเวลาผมทำงาน” ภามพูดแทรกขึ้นมา “ผมชอบถ่ายรูป ชอบธรรมชาติ แต่บางครั้งเวลาคนสั่งงานเข้ามาแล้วรีเควสว่าจะเอาภาพแบบนั้นแบบนี้ ผมต้องทำตามจนไม่มีอิสระในการถ่ายแบบที่ชอบเลย ถ้าไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าไม่รับถ่ายภาพคนคงจะลำบากกว่านี้”

“นายทำงานด้วยเหรอ”

“รับบ้างบางเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ากลุ่มเดิมๆ ทำพวกโปรโมทการท่องเที่ยวหรือเอารูปลงหนังสืออะไรพวกนั้น”

“ดีนะ ได้เที่ยวตามที่ใจอยากแล้วยังได้ทำงานไปด้วย” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก เขาจะต้องมีชื่อเสียงพอสมควรแน่นอน ลูกค้าถึงได้ตามติดขนาดนี้แม้จะไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทาง “แล้วนายไม่ได้กลับบ้านไปหาพี่บ้างเลยเหรอ”

“นานๆ ที” เขาตอบแล้วทำหน้าครุ่นคิด “อันที่จริงผมมีคอนโดของตัวเอง ปกติถ้ากลับไปก็ชอบขลุกอยู่คอนโดเพื่อทำงานหรือส่งงานมากกว่า”

“มิน่าไอ้เก้ามันถึงได้บ่นนักบ่นหนาว่านายไม่ยอมกลับบ้าน”

ตอนนั้นผมทำงาน ไม่ได้คุยไลน์อะไรกับมัน แต่พอมาอ่านย้อนหลังแล้วพบว่าไอ้เก้าบ่นเรื่องภามยาวเป็นสิบบรรทัดให้ไอ้โซฟัง มันบอกว่าตัวเองต้องคอยรองรับอารมณ์แฟนที่หงุดหงิดแบบเงียบๆ เพราะน้องชายไม่ยอมกลับไปหา มีครั้งหนึ่งถึงขั้นไปดักรอที่คอนโดตอนได้ยินว่าภามจะกลับอังกฤษ กลับกลายเป็นอีกฝ่ายลงเครื่องปุ๊บนั่งรถไปนอนโรงแรมปั๊บ เพราะวันถัดไปจะบินต่อเลย ทำเอาคนเจ้าเล่ห์อย่างไอ้เก้าหัวลุกเป็นไฟ จนผมอยากจะถามเหลือเกินว่า...

มึงถ่ายทอดนิสัยให้น้องผัวเองไม่ใช่เรอะ

ตอนนั้นไอ้โซสมน้ำหน้ามันเผื่อผมไปหลายประโยค จนกระทั่งไอ้เพื่อนเวรมันจับได้ว่าผมแอบอ่านนั่นแหละ เล่นซะปิดโทรศัพท์หนีแทบไม่ทัน

“แล้วนายไม่คิดถึงพี่ชายบ้างเหรอ ถึงไม่ค่อยกลับไปเยี่ยม” ผมถามอย่างอดไม่ได้ ดูแล้วพี่ชายภามน่าจะรักและห่วงน้องชายตัวเองมาก ซึ่งผมคิดว่าภามเองก็คงไม่ต่างกัน สังเกตเอาจากแววตาและน้ำเสียงยามพูดถึงพี่ตัวเองก็รู้แล้ว

“พี่ไม่ค่อยอยากให้ผมเดินทางไกล ถ้าไปเจอบ่อยๆ คงโดนโน้มน้าวจนต้องเปลี่ยนใจไปทำงานกับพี่แทนแน่ๆ” เขาตอบแล้วถอนหายใจเหมือนจะคิดหนัก ดูท่าก็คงอยากเจอพี่ แต่ก็อยากเดินทางด้วย

“เข้าใจเลย” ผมตบบ่าภามด้วยความเข้าใจ “ก็เอาแบบนี้ดิ นายก็...”

ผมพูดนู่นพูดนี่นำเสนอวิธีการให้ภามสารพัด จากชั่วโมงเริ่มกลายเป็นหลายชั่วโมง พูดจนคอแห้งแล้วแห้งอีก คุยกันยันท้องฟ้ามืดมิดผมถึงได้รู้ตัวว่าอีกฝ่ายแทบจะพูดออกมาแบบนับคำได้ มิน่าทำไมเหนื่อยนัก...

ระหว่างที่กำลังเตรียมตัวลงไปเดินตลาดริมทะเล ผมเห็นภามนั่งดูกล้องอย่างตั้งใจ ดูท่าอีกฝ่ายคงพกไปถ่ายรูปด้วย แล้วลองก้มหน้าดูสภาพตัวเอง...นอกจากจะใส่รองเท้าแตะแล้วผมยังไม่ได้ถืออะไรสักอย่าง คิดได้ดังนั้นเลยคว้ากระเป๋าสตางค์ที่ไม่ใช่ของตัวเองมาถือไว้ให้ โดยไม่ลืมหันไปฉีกยิ้มใส่เจ้าของ

“เดี๋ยวดูแลเงินให้เอง”

ภามมองหน้าผมแล้วลุกขึ้นยืน มองนิ่งอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มรู้สึกเหมือนเหงือกแห้ง แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเป็นอันตกลงจนได้ หึ...นอกจากจะไม่ต้องใช้เงินตัวเอง เจ้าของเงินยังอนุญาตให้ใช้เงินเขาได้ตามสะดวกด้วย คงไม่มีอะไรสบายได้เท่านี้แล้ว

ตลาดกลางคืนเป็นตลาดที่มีลักษณะคล้ายๆ กับงานวัดในรูปแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งสองข้างทางติดถนนเต็มไปด้วยร้านขายของมากมาย ทั้งที่เป็นร้านในตัวตึกอยู่แล้วและร้านตามรถเข็นที่เอามาตั้งขายของ มีนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ดูคล้ายจะสนใจพวกร้านทำกิจกรรมกันสุดๆ กระทั่งร้านสาวน้อยตกน้ำยังมี

จะว่าไปแล้วก็น่าให้ภามไปลองเล่นดู เห็นจ้องตาไม่กะพริบ สงสัยไม่เคยเห็นมาก่อน

“ถ้าอยากกินอะไรบอกได้เลยนะ เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง” ผมหันไปบอกเขาพร้อมตบกระเป๋ากางเกงตัวเองดังแปะๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นแววตาเหมือนอยากจะด่าของอีกคน

“กินไม่เป็นสักอย่าง” ภามว่าแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ

“งั้นเริ่มจากนี่ก่อนเลย” ผมคว้าแขนคนข้างกาย ลากจูงให้ข้ามถนนไปหยุดอยู่หน้าร้านค้าจากรถเข็นร้านหนึ่งซึ่งมีคุณลุงยืนปิ้งของที่ผมต้องการอยู่ “เอาสองฟองครับลุง”

“ได้เลยพ่อหนุ่ม”

เมื่อได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบจ่ายเงินแล้วพาภามมาหลบอยู่ตรงต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง จริงๆ ก็อยากเดินซื้อแล้วมานั่งกินทีเดียวอยู่หรอก แต่ดูจากความยาวของถนนแล้ว ท่าทางกว่าจะเดินสุดของกินคงหายร้อนก่อน

“ไข่?” ภามขมวดคิ้วมองของในมือผมนิ่ง กะแล้วเชียวว่าต้องไม่รู้จัก เห็นแบบนั้นผมเลยแกะเปลือกออก เอาซีอิ๊วใส่ ก่อนจะส่งไปให้ถึงปาก

“รีบกินตอนร้อนๆ เร็ว”

ภามกะพริบตามองหน้าผมเหมือนกำลังสงสัยอะไร แต่พอผมเขย่ามือเป็นเชิงบอกให้ก้มลงมากินสักที เขาก็ก้มลงกัดไข่ที่แกะเปลือกออกแล้วแต่โดยดี ใบหน้าปลาตายคล้ายจะแสดงอารมณ์แปลกๆ ออกมาจนดูน่าขำ ไม่ต้องรอให้ผมถามว่าเป็นยังไง อีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาเอง

“ติดคอ”

“ไม่แปลก” ผมหัวเราะก๊าก เอาไข่ที่เหลือเกินครึ่งยัดใส่ปากในคราวเดียว “มันเรียกว่าไข่ปิ้ง”

“ชื่อธรรมดามาก” เขาว่าแล้วหันหลังเดินไปซื้อน้ำเปล่าที่ร้านใกล้ๆ แต่แล้วเมื่อทำท่าจะควักกระเป๋า เหมือนจะคิดได้ว่าเงินทั้งหมดอยู่ที่ผมถึงได้กวักมือเรียกยิกๆ สีหน้าย่ำแย่กว่าเดิมหนึ่งระดับ สงสัยกัดโดนไข่แดงเข้าเต็มๆ มั้ง มิน่าตอนผมกินต่อถึงได้ไม่รู้สึกฝืดคอเลย

เหมือนว่ายิ่งดึกคนจะยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เดินกันเต็มถนนจนแทบไม่มีที่ให้รถผ่านไปผ่านมา ผมจับชายเสื้อภามไว้เหมือนเด็กๆ เพราะกลัวว่าจะหลงแล้วหากันไม่เจอ ของกินส่วนใหญ่ที่ซื้อมาคุณชายช่วยถือให้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมจะกันไม่ให้ถ่ายรูปนะ แต่ถามดูแล้วเขาบอกว่ายังไม่ถ่ายต่างหาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าถ้าอย่างนั้นจะเอากล้องมาทำไม

“หน้ากากๆ” ผมชี้ให้ภามดูร้านขายหน้ากากด้วยความตื่นเต้นก่อนจะลากเขาให้เดินตามไป มันเป็นแค่หน้ากากพลาสติกธรรมดาๆ แบบที่พ่อแม่ชอบซื้อให้เด็กๆ ใส่ แต่คงเป็นเพราะผมไม่ได้เที่ยวมานานมากเกินไป แค่เจออะไรที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ เลยตื่นเต้นไปหมด

“อันนี้เหมาะกับคุณ” ภามเอาหน้ากากอันหนึ่งมาทาบหน้าผม มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ อันหาได้ยากขึ้นชั่ววูบ ทำเอาผมเผลอชะงักไปจังหวะหนึ่ง และทำให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนที่มองตามเขาทั้งหลายหวีดร้องกันจนแทบเป็นลมไปด้วย

ผมอุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจบรรดาสาวๆ ทั้งหลายแล้วนะ เพราะเห็นพวกเธอไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรนอกจากมองตาม แต่ครั้งนี้ชัดสุดๆ เอาเถอะ...เห็นคนหน้าปลาตายยิ้ม เป็นใครก็ต้องใจเต้นเป็นเรื่องปกติ เพราะงั้นที่ผมเผลอใจเต้นไปก็ไม่ได้แปลกอะไรเหมือนกัน

“อันนี้ของนาย” เมื่อได้สติกลับมาแล้วผมเลยสวมหน้ากากเสือสีเหลืองหน้าตาตลกให้เขา มองดูผลงานแล้วได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองก็ใส่หน้ากากแมวสีชมพูหน้าตาตลกไม่แพ้กันอยู่ จนกระทั่งภามยื่นมือไปผลักกระจกร้านให้ส่องมาที่หน้าผมนั่นแหละถึงได้รู้ตัว

สรุปเรากลายเป็นผู้ใหญ่อายุเกือบสามสิบที่ใส่หน้ากากของเล่นสำหรับเด็กสิบขวบไปแล้ว...

“ผมอยากกินอันนั้น” ภามกระตุกแขนเสื้อผมแล้วชี้ไปที่รถเข็นหมูปิ้งที่อยู่ห่างจากร้านหน้ากากไปสี่ร้าน ผมได้แต่ก้มลงมองถุงของกินสารพัดอย่างที่เขาถืออยู่เงียบๆ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วเดินไปซื้อให้ เพราะคิดได้ว่าของกินส่วนใหญ่ผมเป็นคนเลือกทั้งนั้น ภามแทบไม่ได้ออกความเห็น สงสัยหมูปิ้งคงน่ากินมากจริงๆ เขาถึงได้พูดออกมา

“เอาห้าไม้พอไหม” ผมหันไปถามคนอยากกิน

“ปกติคุณกินกี่ไม้”

“สิบ แต่นี่เรามีของกินเยอะแล้ว”

“งั้นห้าก็ได้”

เมื่อตกลงกันได้แล้วผมก็หันไปสั่งหมูปิ้งห้าไม้  ทันเห็นคุณป้าขำนิดหน่อยเมื่อมองหน้าเราสองคนพอดี ถึงตอนซื้อหน้ากากจะไม่ได้คิดอะไร แต่พอเจอแบบนี้ก็เริ่มเขินอยู่เหมือนกัน

“เดี๋ยวซื้อนี่แล้วไปหาที่นั่งกินกันดีกว่า” ผมหันไปกระซิบบอกภาม ซึ่งเขาเองก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ได้ว่าอะไร

อันที่จริงบริเวณที่นั่งรอบต้นมะพร้าวก็มีที่ให้นั่งอยู่หลายจุด เพียงแต่ในยามนี้ผมหันไปทางไหนก็มีแต่คนเต็มไปหมด เมื่อกี้เดินผ่านได้ยินสาวๆ ด้านข้างคุยกับเพื่อนว่าตลาดปลายเดือนจะคึกคักเป็นพิเศษ

มิน่าคนถึงได้เยอะอย่างกับหนอน

ในเมื่อหาที่นั่งไม่ได้ สุดท้ายเราเลยต้องเดินหิ้วถุงอาหารเป็นสิบถุงลงไปบนหาด ใช้รองเท้าต่างเก้าอี้กันไม่ให้เปื้อนมากนัก แล้วเอาหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาปูตรงกลางไว้วางอาหาร โชคดีที่แสงจากตลาดพอจะส่องลงมาถึงจุดที่ผมกับภามนั่งอยู่บ้าง มันเลยไม่ได้วังเวงมากนัก แต่เสียงจากจุดที่ผู้คนอยู่กลับไม่ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว มาเริ่มสงสัยว่าเดินลงมาไกลไปไหมก็ตอนนี้

“มันเงียบไปไหม” ผมหันไปขอความเห็นจากคนข้างกาย กะว่าถ้าเขาพยักหน้าจะได้ขยับขึ้นไปด้านบนหน่อย

“เงียบๆ ก็ดีแล้ว”

“โอเค” เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้เรื่องมากอะไรอยู่แล้ว

เราสองคนต่างหันหน้าออกไปมองทะเล มีแค่มือที่หยิบของกินเข้าปากเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักอิ่ม ผมนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่อากาศเย็นขนาดนี้แต่ฝนกลับไม่มีทีท่าว่าจะตก เหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจให้เที่ยวเสียเหลือเกิน

“ถ้าออกมาจากเกาะแล้ว เราจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี” ผมหาเรื่องถามออกไปตามประสาคนไม่ชอบบรรยากาศแปลกๆ จะว่าสงบเกินก็คงไม่ใช่ รู้แค่ว่ามันทำให้คันยุบยิบในใจโดยไร้เหตุผล แต่ไม่รู้ว่าคำถามมันตอบยากหรือยังไง ภามถึงได้นิ่งค้างไปนานมากจนผมต้องหันไปมองเพื่อทวงถาม

ทำหน้าแปลกใจทำไม...ไม่ใช่ว่าเราตกลงว่าจะเที่ยวด้วยกันสองเดือนเหรอ หรือผมยังไม่ได้ตกลงวะ

“ผมอยากไปเหนือ” พ่อคนรู้ทันรีบตอบเมื่อเห็นผมเริ่มสับสน แม้จะไม่แน่ใจนักว่าได้ตกลงไปหรือเปล่า แต่ผมก็ปล่อยผ่านไป เพราะยังไงก็ไม่มีจุดหมาย มีคนไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

“เลือกซะทิศทางตรงกันข้ามเลยนะ” ผมบ่นแบบไม่จริงจังนักแล้วหยิบขนมเบื้องเข้าปาก แต่กัดคำเล็กๆ มันไม่สะใจ ต้องยัดเข้าไปทั้งชิ้นถึงจะอร่อยเต็มปากเต็มคำ

แชะ!

“อีกแอ้ว” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ภามทั้งที่ยังคาบของกินไว้ในปาก ทว่านอกจากจะไม่สำนึกแล้ว เขายังกดถ่ายซ้ำอีกรอบด้วย กว่าจะกลืนของกินลงท้องได้หมด คาดว่าน่าจะโดนถ่ายรูปน่าเกลียดๆ ไปแล้วเกินสามรูป “อย่าบอกนะว่าเอากล้องมาเพื่อถ่ายฉันน่ะ”

“ใช่”

เกลียดความตอบหน้าตายของเขาจริงๆ

ผมดึงกล้องมากดดูรูป แล้วก็ตามคาด หน้าตาตัวเองในนั้นดูน่าเกลียดสุดๆ นอกจากของกินจะเต็มปากแล้วยังมีหน้ากากแมวที่ผมดึงขึ้นไปไว้บนหัวช่วยเสริมให้หน้าตาดูตลกกว่าเดิมหลายเท่าด้วย ถึงแสงจะสวยขนาดไหน เห็นหน้าไม่ชัดอย่างไร มันก็ยังดูออกว่าเป็นผมอยู่ดี

“น่าเกลียด” บ่นแล้วตั้งท่าจะกดปุ่มลบ แต่แค่คิดจะทำเจ้าของกล้องก็ยื่นมือมาดึงกล้องของตัวเองคืนไปอย่างรวดเร็ว

“ห้ามลบ”

“อยากเก็บไว้ให้กล้องหมองก็ตามใจ ว่าแต่นายถ่ายแบบไม่ใช่ทีเผลอบ้างก็ได้มั้ง เดี๋ยวเป็นนายแบบให้” ไหนๆ ก็อยากถ่ายรูปผมนัก ช่วยถ่ายให้ดูเป็นผู้เป็นคนบ้างเถอะ เผื่อจะเอารูปสวยๆ ไปใช้ได้บ้าง

“คุณจะเป็นนายแบบให้?” ภามทวนคำ หน้าตาเหมือนจะประหลาดใจไม่น้อย

“ก็ใช่น่ะสิ จะให้ทำท่าอะไร บอกมาได้เลย” ผมชะงักไปวูบหนึ่งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “แต่นายไม่ชอบกำกับนี่นา แล้วฉันก็ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาท่าด้วย”

“ถ้าแค่จัดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แบบเดียวกับตอนอยู่บนเขา อย่างนั้นผมทำได้”

อ๋อ...ตอนอยู่บนเขาช่วงที่ผมเบลอๆ เขาก็เข้ามาจัดท่าให้นี่นะ ถึงจะไม่ค่อยรู้สึกตัวก็เถอะ

“งั้นเริ่มยังไงดี” ผมขยับตัวขยุกขยิกเตรียมพร้อม

“หันตัวไปทางทะเล ทำท่าตามสบาย พอผมบอกค่อยหันหน้ามายิ้มให้กล้อง” เขาออกคำสั่งรวดเดียวจบและส่ายหน้าเมื่อเห็นผมทำท่าจะเอาหน้ากากบนหัวออก “เอาไว้แบบนั้นแหละ”

“มันไม่ดูตลกเหรอ”

“ไม่”

เอาเถอะ ว่าไงว่าตามกัน

ผมหันตัวกลับไปทางทะเล ชันเข่าทั้งสองขึ้นแล้วเอาแขนกอดไว้ ได้ยินเสียงแชะดังอยู่สองครั้งก่อนเขาจะบอกให้หันไป ผมทำตามที่ภามบอก ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ อารมณ์ตอนนี้สดใสมากจนไม่ต้องฝืนเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งได้กินอิ่มแล้วยังได้นอนเยอะติดต่อกันมาหลายวัน ไม่มีอะไรแฮปปี้เท่านี้แล้ว

“มีอะไรเหรอ” จากที่กำลังยิ้มพร้อมกับขยับเอียงตัวไปมาหาองศา จู่ๆ ช่างภาพก็หยุดกะทันหัน เขาลดกล้องลงต่ำแล้วยื่นมือมาหา ผมได้แต่มองปลายนิ้วยาวที่แตะลงบนมุมปากของตัวเองด้วยความตกใจ หัวใจคล้ายจะกระเด็นหลุดออกไปด้านนอกเมื่อปลายนิ้วนั้นยังคงปัดไปมาที่ริมฝีปากอยู่นานหลายวินาที

“เลอะ” ภามพูดแค่นั้นแล้วถอนมือออกไป ผมจ้องตาเขาเขม็งจนคล้ายสติจะหลุดลอยตามไปด้วย ซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยกกล้องขึ้นกดถ่ายต่อแต่อย่างใด เขาแค่มองผมกลับนิ่งๆ ด้วยแววตาที่ไม่ได้นิ่งตาม

ทีในเวลาแบบนี้ดันอ่านแววตาคู่นั้นไม่ออก แถมยังก้มหน้าหลบก่อนด้วย น่าอับอายชะมัด

ครืด ครืด

ฉิบ...หัวใจจะวาย

เสียงโทรศัพท์ของผมดังแทรกบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเรา...หรือแค่ผมฝ่ายเดียวก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือคนที่โทรมาได้ช่วยชีวิตผมไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

“พ่อ?”

[เจได] เสียงของตาแก่ที่ปกติจะกวนใส่หรือดูเนือยๆ ยามนี้จริงจังเหมือนกำลังจะคุยเรื่องคอขาดบาดตาย ทำให้ผมต้องรีบขยับตัวตั้งตรงแล้วดึงสติกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว

“ครับ”

[แกอาจต้องกลับมาไวกว่าปกติสักหน่อย]

“เกิดอะไรขึ้นครับพ่อ” ผมขมวดคิ้วหน้าเครียด ต้องมีเรื่องราวจำเป็นมากเกิดขึ้นแน่ถึงได้โดนตามตัวกลับ เพราะพ่อแม่ผมไม่ใช่คนที่จะมาเปลี่ยนใจอะไรในภายหลัง และถ้าพ่อเร่งเองแบบนี้ เห็นทีต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับ...

[จำคนไข้เด็กที่เคยถูกส่งตัวมาจากภูเก็ตได้หรือเปล่า...]

คนไข้ของผมจริงๆ ด้วย

“จำได้ครับ”

[เมื่อวานพ่อได้รับสายจากผู้ปกครองของเด็กคนนั้น...]

ผมรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากพ่อด้วยใบหน้าเคร่งเครียด สมองถูกใช้งานอย่างหนักเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวของคนไข้แสนคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินข่าวมาพักใหญ่ สุดท้ายเมื่อพ่อวางสายไปแล้ว ผมก็ยังนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่านานเท่่าไหร่เหมือนกัน จนกระทั่งถูกแตะที่ฝ่ามือซึ่งกำไว้แน่นเบาๆ ถึงได้รู้ตัว

“ขอโทษนะภาม ดูเหมือนฉันจะไปเหนือกับนายไม่ได้แล้ว” สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อรู้สึกตัวคือการหันไปหาคนข้างกายแล้วเอ่ยคำขอโทษออกมา

ทั้งที่เพิ่งตกลงกันไปแท้ๆ แต่กลับต้องมายกเลิกแบบนี้...

“ผมเข้าใจ” เขาพยักหน้าให้แล้วก็เงียบไป ผมมองสำรวจใบหน้านั้นอยู่นาน นานจนพบว่าไม่มีอารมณ์ใดๆ แฝงอยู่ทั้งสิ้นถึงได้ถอนหายใจออกมา

“ฉันไม่แน่ใจว่านายจะอยากรู้เรื่องไหม...” แล้วก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจจนได้

เกลียดตัวเองจริงๆ ที่นึกอยากอธิบายก็อธิบายขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้ขอเลยสักคำ

“…”

“เมื่อปีก่อนมีคนไข้คนหนึ่งถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลในภูเก็ตมาที่โรงพยาบาลของฉัน เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุสิบห้าสิบหกซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ”

“…”

“เด็กคนนั้นชื่อระฟ้า”


——————————


 




ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #93 เมื่อ10-08-2018 11:56:36 »

-13-



น้องระฟ้าเป็นเด็กผู้ชายวัยมัธยมที่ถูกส่งตัวจากภูเก็ตเข้ามาที่กรุงเทพฯ เมื่อหลายเดือนก่อนก่อน เหมือนทางผู้ปกครองของน้องเป็นผู้ระบุเองว่าต้องการให้เข้ามาตรวจร่างกายใหม่ทั้งหมดที่นี่ ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลเกิดจากอะไร แต่อาจเป็นเพราะรู้จักกับพ่อผมเป็นการส่วนตัวก็ได้ ตอนนั้นผมเป็นคนรับเคสน้องไว้ เมื่อตรวจเบื้องต้นเสร็จแล้วก็ส่งต่อไปให้แพทย์เฉพาะโรคหัวใจอีกที

ตามคาด...น้องเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ในขั้นแรกไม่ต้องทำการผ่าตัดในทันที แต่ต้องทานยาช่วยอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนั้นน้องก็กลับไปภูเก็ตเหมือนเดิม

ส่วนเหตุผลที่ผมถูกพ่อเรียกตัวกลับไป เป็นเพราะเมื่อวันสองวันก่อน ผู้ปกครองของน้องโทรมาบอกว่าอาการของน้องไม่ดีขึ้นเลย เหมือนจะแย่ลงด้วย เลยอยากจะพาเข้ามาที่โรงพยาบาลอีก ถ้าต้องผ่าตัดด้วยวิธีใดๆ ก็ตามแล้วน้องยินยอมก็จะทำโดยไม่รอเวลา

นั่นแหละปัญหา...

“ฉันเคยดูแลน้องระฟ้าอยู่พักหนึ่ง ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสนิทกันจนน้องยอมเชื่อฟัง เด็กคนนั้นน่าสงสารมาก เวลาเป็นอะไรจะชอบเก็บไว้ในใจ ดูเหมือนไม่ไว้ใจใครเลยสักคน ผู้ปกครองที่ว่าไม่ใช่ญาติที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นป้าแม่บ้านที่แม่น้องให้มาดูแลแทน เพราะตัวเองวุ่นวายอยู่กับธุรกิจจนไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก”

“เด็กนั่นติดคุณใช่ไหม”

ผมเงยหน้ามองภามด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“น้องระไม่ได้แสดงอาการต่อต้านใครเลย จะจับฉีดยา จับตรวจ ทำอะไรน้องก็จะนิ่ง แต่หน้าเศร้าๆ เหมือนทุกข์ใจอยู่ตลอดของน้องทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ดี ถ้าไม่ได้รับความยินยอมจากคนไข้ หรือถ้าคนไข้ไม่อยากรักษา ต่อให้พยายามแค่ไหนก็คงช่วยไม่ได้ทั้งหมด”

“ผมเข้าใจ” ภามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้าเขาบ่งบอกว่าเข้าใจจริงๆ ตามที่พูด ผมได้แต่เอียงหัวมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็ปล่อยผ่านไปโดยไม่ได้ถามอะไร

“น้องระฟ้าเห็นฉันเป็นเหมือนพี่คนหนึ่งน่ะ ถ้าฉันช่วยพูดจนเข้าใจ น้องจะฟังแล้วยอมทำตาม หมอคนอื่นก็บอกเหมือนกันว่าน้องฟังแค่ฉันคนเดียว เวลาทำตามก็ดูเต็มใจมากขึ้นด้วย”

“คุณพ่อคุณเลยอยากให้กลับไปดูแลเด็กคนนั้นสินะ”

“ใช่” ผมพยักหน้า

พ่อผมรู้จักกับแม่น้องระ ท่านบอกว่าแม่น้องสนใจแต่งานมาตั้งแต่น้องยังเด็ก หลังแยกทางกับสามีก็เลยทำงานหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พออะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วถึงจะปลีกตัวมาได้บ้าง แต่ยังไม่เต็มที่เท่าไหร่ น้องเลยไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ ปกติก็มีแค่ป้าแม่บ้านที่คอยเลี้ยงดูและสั่งสอน ส่วนพ่อแท้ๆ หลังจากแยกทางกันก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว

“คุณต้องกลับไปตอนไหน” ภามหันมาถาม ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจอะไร กลับกันเขาดูเข้าอกเข้าใจผมมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ

“น้องจะบินมาวันที่ห้าของเดือนหน้า แต่ฉันคงต้องกลับไปรอก่อนสองสามวัน” เท่ากับว่าหลังจากครบหนึ่งเดือนบนเกาะแล้ว ผมต้องเดินทางกลับทันที

“เข้าใจแล้ว” อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเงียบไป

นายโอเคหรือเปล่า...

ผมเม้มปากแล้วกลืนคำถามนั้นลงคอ ขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจว่าจะถามแบบนั้นออกไปเพื่ออะไร แล้วจะให้ถามเขาได้ยังไงกัน แต่ว่า...หน้าตาที่ดูราบเรียบนั่นทำให้ผมอึดอัดใจเหลือเกิน มันเป็นสีหน้าแบบเดียวกับตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรก ไม่ใช่สีหน้าของภามคนที่อยู่กับผม เพราะถ้าเป็นภามที่อยู่กับผม ต่อให้ใบหน้าเขาดูเรียบเฉย น้ำเสียงโมโนโทนขนาดไหน แต่ผมมักจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้นได้ชัดเจนเสมอ เขามักจะแสดงความรู้สึกออกมาโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้ไม่มีเลย...

“ตอนฉันอาบน้ำเมื่อเช้า นายได้แอบดูเปล่าเนี่ย” ผมแกล้งถามติดตลก แม้จะรู้ว่าถ้าถามไปแล้วจะต้องหน้าไหม้เองก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีว่าบรรยากาศตอนนี้

“เปล่า”

ปกติต้องกวนตีนกันไม่ใช่เหรอ...

ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะภามทำเหมือนอยากตัดบท เมื่อคืนก่อนกลับมาที่เกาะ เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ผมตั้งใจจะเล่าเรื่องน้องระฟ้าให้เขาฟังตอนถึงห้อง แต่แค่เอนตัวลงนอนก็เผลอหลับสนิทในทันที ขนาดตื่นเช้ามาอาบน้ำในห้องน้ำซีทรูที่ไม่มีอะไรปกปิด เขายังนั่งเช็คกล้องเงียบๆ ไม่หันมาคุยหรือกวนตีนเลยสักคำ จนกระทั่งกลับมาถึงกระท่อมที่เกาะแล้วก็ยังเงียบอยู่ ตอนแรกผมคิดว่าโดนโกรธที่ชิงหลับไปก่อน แต่ทำไมเล่าจบแล้วยังทำเย็นชาอยู่อีกล่ะ

“นาย...โกรธฉันเหรอ” เสียงอ่อยลงสองระดับโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ สาบานได้

“ไม่ได้โกรธ แต่ไม่พอใจ”

“เอ่อ...ไม่เล่นตัวหน่อยเหรอ” แบบ...พูดว่าเปล่าให้ง้อก่อนอะไรแบบนี้

“เพื่ออะไร” คนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่พอใจง่ายๆ หันมาขมวดคิ้วใส่ผมที่กำลังกะพริบตาปริบๆ มองอยู่ก่อนแล้ว “ทำหน้าแมวใส่อีก”

หน้าแมวมันเป็นยังไงวะ...

“นายไม่พอใจที่ฉันรับปากว่าจะไปเที่ยวด้วยแต่ไม่ได้ไปเหรอ”

“เปล่า เรื่องที่คุณต้องกลับไปดูแลคนไข้ผมเข้าใจดีอยู่แล้ว”

“แล้ว...”

“ทำไมตอนที่คุยโทรศัพท์เสร็จถึงไม่พูดให้ผมฟัง” ภามถอนหายใจ ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นไม่พอใจชัดเจนแบที่ไม่คิดปิดบัง “คุณเอาแต่ทำหน้าเครียดจนผมคิดว่ามีอะไรร้ายแรง พอกลับมาห้องบอกจะเล่าแล้วยังชิงหลับอีก”

“นี่นาย...” เป็นห่วงเหรอ

ท้ายประโยคถูกเก็บไว้ในใจเมื่อรู้สึกได้ว่าหากพูดออกไปคงเป็นตัวเองที่ต้องเงิบกับคำตอบ เพราะแค่คิดตามก็รู้สึกคันยุบยิบในใจแบบแปลกๆ แล้ว

“ขอโทษนะ” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเขี่ยแขนเขาเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าขอโทษจริงๆ ยกโทษให้เถอะ

ทำไงได้ล่ะ...คนมันพูดไม่เก่งนี่หว่า

“หึ” ภามส่ายหน้าหน่าย มือยื่นมายีหัวผมแบบไม่เกรงใจคนอายุมากกว่า แล้วถามว่าผมทำยังไงเหรอ...ตอบได้เลยว่าก้มหน้านิ่งและยินยอมแต่โดยดี เพราะนอกจากเสียศักดิ์ศรีที่ไม่มีเหลืออยู่แล้วไป มันยังทำให้ผมรู้สึกสบายมากจนอยากจะเอนตัวนอนไปเลยด้วยซ้ำ

“เกือบลืม!” ผมผงกหัวขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ภามที่ชะงักไป “ในเมื่อเหลือเวลาน้อยแล้ว มาใช้ชีวิตให้สนุกกันดีกว่า ลุกเร็วเข้า!”

ลืมไปเลยว่าตอนอยู่บนเรือผมคุยกับไม้ว่าจะขอติดเรือไปดูเขาจับปลาด้วย เพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้ไปเสพวิถีชาวบ้านแบบจริงจังเลยสักครั้ง คิดได้ดังนั้นก็รีบคว้าแขนคนที่ยังนั่งนิ่งให้ลุกขึ้นยืน ไม่ลืมคว้ากล้องเขามาสะพายไว้ให้แทน ก่อนจะลากจูงกันออกจากบ้านแล้วมุ่งตรงไปทางหาด

ภามไม่มีปัญหาหรอก ขายาวแถมยังแข็งแรงแบบนั้น จะวิ่งไปหาดคงใช้เวลาไม่นาน ยิ่งเราคุ้นชินกับเส้นทางแล้วด้วย แต่ประเด็นคือผมเองนี่สิ วิ่งไปหอบไปอย่างกับคนเป็นโรค ออกกำลังกายก็เพิ่งเริ่มไม่นาน แถมยังหยุดพักไปแล้วด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมสภาพตัวเองในเวลานี้ถึงได้ดูอ่อนแอเป็นเต้าหู้ ทั้งเหงื่อที่ไหลออกมาเยอะจนเหมือนกำลังอาบน้ำ แล้วยังหน้าซีดๆ ที่ทำเอาภามถามด้วยความไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

กว่าจะมาถึงหาดได้ต้องให้คนตัวโตกว่าประคองเดิน สรุปเสียเวลายิ่งกว่าเดินธรรมดาสองเท่า

“ไม่ดูสภาพตัวเองเลยนะไอ้หมอ” ไม้หัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสภาพผมที่ยังต้องเกาะภามยืนอยู่

“คิดว่าจะมาไม่ทัน” ผมหอบแฮ่กขณะพูดตอบด้วยเสียงเหมือนคนใกล้ตาย

“ข้าลืมบอกว่าจะออกเรือช้าหน่อย รอไอ้ดำไปดูเมียมัน เห็นบอกว่าไม่สบาย”

“…” รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด

“เฮ้ยๆ เมียเอ็งจะเป็นลมแล้ว!”

เพราะมึงนั่นแหละ!

“คุณ…” เสียงเรียกของภามทำให้ผมได้สติกลับมา โชคดีที่ยังไม่ถึงขั้นล้มลงไปกองกับพื้น

คนที่ช่วยประคองผมไว้ส่งน้ำที่เอามาจากไหนไม่รู้มาให้ ก่อนจะเอากล้องหนักๆ ที่ผมห้อยคออยู่ไปสะพายไว้เอง ซึ่งมันทำให้ผมหายใจสะดวกขึ้นเยอะเลย

“ไม่เป็นไร” ผมโบกมือไปมา พยายามยืนตัวตรงด้วยแรงตัวเอง แต่แค่คิดจะยืนก็เอนไปเอนมาทำท่าจะล้มแล้ว สุดท้ายได้แต่เกาะแขนภามไว้แน่นแล้วเปลี่ยนคำพูด “เป็น...เป็นละ พาไปนั่งที”

“…”

อันนี้ผมตาลายหรือภามทำหน้าเหนื่อยใส่จริงๆ วะ

หลังจากนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงดำก็เดินทำหน้าเครียดออกมาจากชายป่า เขาหันมามองผมกับภามที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปซุบซิบกับไม้จนอีกคนที่กำลังยิ้มเปลี่ยนสีหน้าตามไปด้วย ไม้ขมวดคิ้วฉับ ท่าทางดูคิดหนัก จนสุดท้ายเขาก็วิ่งเหยาะๆ มาหาผมกับภาม

“โทษทีว่ะ พวกเอ็งคงไปด้วยไม่ได้แล้ว”

“มีอะไรหรือเปล่าไม้” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ อาการหน้ามืดเหงื่อออกหายไปหมดแล้วเมื่อได้นั่งพักตากลมเย็นๆ

“หัวหน้าบอกว่าถ้าพวกเอ็งเป็นอะไรไปคงรับผิดชอบไม่ไหว” ดำที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมาตอบแทน แล้วก็โดนเพื่อนตบหัวเข้าไปหนึ่งทีแบบเต็มแรง

“ปากมึงนี่นะไอ้ดำ!”

“ไม่เป็นไรหรอก พวกนายไปเถอะ คิดดูแล้วถ้าฉันเป็นลุงเหมก็คงกลัวเหมือนกัน” ผมพยักหน้าให้ไม้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ รอจนทั้งคู่เดินจากไปแล้วถึงได้หันมาฮึดฮัดกับภามแทน “แล้วจะวิ่งมาให้เหนื่อยทำไมวะเนี่ย”

“ถือว่าออกกำลังกาย” คนตัวสูงตอบง่ายๆ น้ำเสียงเจือความขบขันไว้สองส่วน เอาซะผมไปต่อไม่ออก

“จะว่าไปพอเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันฉันเลยคิดได้” ผมยืนกอดอกทำหน้าตาจริงจัง ขณะหันไปมองเรือของไม้กับดำที่กำลังจะออกจากฝั่ง “เรื่องที่ลุงเหมโกหกว่าหนึ่งเดือนจะเข้าฝั่งหนึ่งครั้ง ฉันว่าไม้ต้องรู้ด้วยแน่ๆ คงมีแค่ดำที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับใครเขา”

เพราะแบบนั้นดำถึงได้ยอมบอกผมตรงๆ แล้วเมื่อกี้ก็เหมือนกัน ไม้ทำเหมือนอยากหาเหตุผลอื่นมาพูด แต่ดำกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อนจนโดนเพื่อนตบหัว จะมองยังไงก็ไม่ใช่เรื่องปกติชัดๆ

“ขี้สงสัย” ภามพูดลอยๆ แล้วดึงแขนผมให้เดินตามไป

“ก็มันน่าสงสัยนี่ นายไม่อยากรู้บ้างหรือไง”

“ไม่อยาก”

แปลกคน...เรื่องเกี่ยวกับตัวเองแท้ๆ ยังไม่อยากรู้

“เอาเถอะ เดี๋ยวคงได้รู้เอง” ผมยักไหล่แล้วปล่อยเลยตามเลยตามประสาคนไม่คิดมาก จะอย่างไรเหตุผลที่ลุงเหมโกหกก็คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรมากมาย แล้วพวกชาวบ้านก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับเราด้วย เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆ เมื่อไหร่ผมค่อยถามออกไปตรงๆ แล้วกัน

“แค่เดินธรรมดาคงไม่เป็นลมไปอีกนะ”

คำพูดจิกกัดด้วยเสียงโมโนโทนอย่างนี้ ถ้าผมไม่ได้รู้จักภามคงคิดว่าถูกนางร้ายหาเรื่องอยู่ แต่เพราะรู้จักนั่นแหละถึงได้รู้ว่าเขาแค่กวนตีนหน้าตายแบบไม่รู้ตัว

“ไม่แล้ว ว่าแต่นายจะจูงฉันไปไหนเนี่ย”

“คุณบอกให้ใช้ชีวิตให้สนุกไม่ใช่เหรอ ตามมาเถอะ”

ถ้าตอนนั้นผมรู้...

ถ้าตอนนั้นผมรู้สักนิดว่าภามจะพาไปทำอะไร ผมจะไม่มีทางตามเขาไปง่ายๆ แน่นอน









“ไอ้วอก มาช่วยข้าทำหน้าต่างที”

“ข้าอยากทำกำแพง”

“เฮ้ย! เอ็งทำประตูพังหมดแล้วเห็นไหมเนี่ย”

“ข้าศึกปูบุกประตูหลัง กำลังจะประชิดในอีกสิบเก้าปู ขอกำลังเสริมด่วน!”

ความวุ่นวายและเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กอายุไม่เกินสิบขวบเกือบสิบคนนี่คืออะไร อยากจะถามเหลือเกินว่าแค่ก่อปราสาททรายต้องจริงจังขนาดนี้ไหม เด็กนี่ก็ดีจังเลยน้า...เล่นสนุกได้กับทุกเรื่อง ต่อให้อยู่บนเกาะที่ไม่ค่อยมีกิจกรรมให้เล่นเยอะนักยังหาเรื่องเล่นได้อีก

แล้วทำไมผมมาอยู่ตรงนี้ได้วะเนี่ย...

“พี่หมอ หนูทำหลังคาไม่ถึง” เสียงของน้องตาลซึ่งกำลังพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปสร้างหลังคาทำให้ผมได้สติ คงเป็นเพราะตัวเล็กกว่าเพื่อนเลยฝ่าเข้าไปไม่ได้

“แตง ขยับให้น้องเข้าไปเล่นด้วย” ผมสะกิดไหล่พี่ชายเจ้าตาลที่ใช้อาณาเขตเยอะที่สุดในกลุ่ม พอเจ้าตัวหันมาเห็นตาแป๋วๆ ของน้องก็ยอมขยับให้ สุดท้ายเด็กชายตาลตัวน้อยก็มุดเข้าไปได้สำเร็จ

“พี่หมอมาช่วยหนูสร้างไหมจ๊ะ”

“เด็กๆ เล่นกันเลย พี่โตแล้ว” พอตาลได้ยินผมพูดแบบนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก หันไปก่อปราสาทแล้วพูดคุยเสียงดังกับบรรดาพี่ชายคนอื่นๆ

ผู้ชายอายุเฉียดสามสิบแบบผมจะเข้าไปเล่นอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน...

สิบห้านาทีผ่านไป

“ข้าจะพังปราสาทของพวกเจ้าให้หมดเลย!”

“ปีศาจ ปีศาจหมอบุกแล้ว!”

“ทหาร ไปเอาอาวุธมาเร็วเข้า!”

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ผมคลานเข้าไปหากลุ่มทหารเกือบสิบคนช้าๆ แล้วเริ่มจากการดึงตัวทหารที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเข้าหาตัว ก่อนจะก้มลงฟัดพุงจนทหารตาลหัวเราะคิกคัก ยกมือยอมแพ้และนอนแผ่ลงไปกับพื้นในที่สุด

“ยอมแพ้เสียดีๆ ไม่อยากนั้นข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าเลยสักคน”

“อย่าคิดจะทำลายปราสาทของพวกเราเลยเจ้าปีศาจ!” ทหารแตงซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าชี้ดาบที่ทำจากใบมะพร้าวมาที่หน้าผม “ฆ่ามัน!!”

“โอ๊ย!” ผมยกมือปัดป้องดาบสีเขียวหลายเล่มที่ถูกฟันลงมาที่ตัวเอง แต่ก็ไม่อาจสู้ฝั่งที่มีจำนวนมากกว่าได้ สุดท้ายได้แต่ล้มลงไปคลุกอยู่กับทราย มือกุมอกที่เจ็บปวดเพราะถูกแทงเข้าเต็มๆ “ขะ...ข้าตายแล้ว”

“พวกเราชนะแล้ว!”

“เย้!”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะด้วยความยินดีของผู้ชนะ ทหารตาลที่ควรจะตายไปแล้วกลับลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นไปกับเขาด้วย มีเพียงร่างของปีศาจตัวโตที่นอนแผ่หมดสภาพอยู่บนพื้น

ว่าแต่ทหารดีใจมากไปไหม...เหยียบปราสาทตัวเองพังกันหมดแล้วนั่น

แชะ!

“นี่เจ้ากล้าถ่ายรูปข้าในสภาพแบบนี้รึ!” ผมชี้หน้าคนตัวสูงที่ยืนอยู่นอกวงและกำลังหันกล้องมาหาด้วยความหัวร้อน เมื่อกี้ตอนที่เป็นปีศาจอยู่ก็ได้ยินเสียงแชะรัวๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าได้ภาพถ่ายน่าอนาถของผมไปกี่ใบแล้ว

“เล่นใหญ่มาก”

เพราะใครล่ะ...ใครที่มันบอกว่าจะพามาใช้ชีวิตให้สนุกโดยการลากมาหาฝูงเด็ก

“เดี๋ยวค่อยว่ากัน มาช่วยหน่อย” พอเห็นเจ้าทหารทั้งหลายหันไปเฮฮากันเองไม่สนใจศพปีศาจแล้ว ผมก็รีบชูไม้ชูมือขอให้คนที่ยืนถ่ายรูปอยู่นอกวงมาโดยตลอดเข้ามาช่วย ตอนนี้หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่รู้จะลุกเองยังไงแล้ว

“เล่นเป็นเด็ก” ภามถอนหายใจแต่ก็เข้ามาช่วยดึงแขนผมให้ลุกขึ้นนั่ง

“ไม่คิดเหมือนกันว่าเล่นกับเด็กเต็มตัวมันจะเหนื่อยขนาดนี้”

ตอนอยู่โรงพยาบาลผมแค่พูดคุย ถามโน่นถามนี่ พยายามทำให้เด็กๆ สนิทกับตัวเอง ไม่เคยถึงขั้นต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวเปลืองแรงอะไรมากมาย แต่พอได้ลองมาเล่นเองเจ็บเองจริงๆ แล้ว...แค่บิดตัวกระดูกก็ส่งเสียงเตือนแล้วเนี่ย

“พี่หมอ!”

“ว่าไงตัวแสบ” ผมกางแขนออกเมื่อเห็นเจ้าตาลวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหา พอเห็นช่องว่างปุ๊บเจ้าตัวก็นั่งลงมาตรงช่องว่างระหว่างขาผมปั๊บ ทั้งยังเงยหน้ายิ้มแฉ่งโชว์ฟันหลอให้ภามด้วย

“พี่ชายก็นั่งลงสิจ๊ะ” ว่าแล้วมือเล็กก็ยื่นไปกระตุกกางเกงขาสั้นของภามเบาๆ ผมเห็นคนที่ยืนถือกล้องอยู่แอบถอนหายใจ แต่ก็ยังนั่งลงบนทรายตามคำชวนของเจ้าตัวน้อย

“ทีนี้บอกมาได้หรือยังว่าต้องการอะไร”

ตาลยิ้มเขินเมื่อได้ยินคำถามของผม นิ้วเล็กจ้อยชี้ไปที่ปราสาททรายซึ่งถูกเหยียบจนย่อยยับไปแล้ว ก่อนจะหันไปมองพวกพี่ๆ ที่กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่

“เมื่อกี้หนูแทบไม่ได้สร้างปราสาทเลย พวกพี่ๆ ก็ไม่อยากสร้างกันแล้ว พี่หมอกับพี่ชายช่วยหนูได้ไหมจ๊ะ” คำขอแบบอ้อนๆ ของเจ้าเด็กฟันหลอทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ถ้าเทียบกับพี่ชายที่ดูผิวคล้ำกว่าและดูแก่นๆ แล้ว ต้องบอกว่าตาลเป็นเด็กผู้ชายที่เรียบร้อยมากจริงๆ ไม่แปลกที่ใครๆ ต่างก็เอ็นดู

“ได้สิ มาสร้างกัน” พอผมพูดจบเด็กน้อยก็ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ตักทรายของเด็กมาวางไว้ใกล้ๆ แล้วลงมือทันที เห็นแบบนั้นผมเลยคลานไปอยู่ด้านข้าง ตั้งหน้าตั้งตาช่วยตาลสร้างปราสาทอย่างจริงจัง โดยไม่ลืมกวักมือเรียกคนหน้าตายให้เข้ามาช่วยกันด้วย

“นายก็มาเร็วๆ”

“ผมเหรอ” ภามทำหน้ายุ่ง ตากะพริบปริบๆ เหมือนจะถามย้ำ “ผมทำไม่เป็น”

“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวหนูสอนเอง” คนที่ดูเคร่งเครียดกับการก่อปราสาทที่สุดในกลุ่มเงยหน้าแจกยิ้มสดใส พร้อมพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะบอกให้เชื่อใจได้เลย สุดท้ายคุณชายภามผู้ไม่เคยก่อปราสาททรายก็ต้องเข้าร่วมขบวนการจนได้

เจ้าตาลตั้งหน้าตั้งตาใช้มือเล็กๆ ก่อกองทรายโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองใครเลย แต่คงเพราะว่ามือเล็กเกินไป ทั้งยังไม่มีประสบการณ์เหมือนพี่ๆ รูปร่างที่ออกมามันเลยเหมือนเอาทรายมากองๆ รวมกัน ทั้งยังบูดเบี้ยวไปมาอีกต่างหาก ส่วนผู้ใหญ่อีกคน...รายนั้นยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ จนกระทั่งผมเงยหน้าขึ้นมอง เขาถึงได้ขมวดคิ้วแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่ติดจะงุนงงอยู่หน่อยๆ

“จะสร้างหลายคนได้ยังไง ถ้าไม่วางแผนจะออกมาเหมือนกันเหรอ”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองภามด้วยแววตาเหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า เขาใช้ชีวิตมายังไงเนี่ย ไม่เคยก่อปราสาทไม่ว่า แต่เล่นคิดเหมือนกำลังจะทำปราสาทจริงๆ ไม่ใช่ปราสาททรายของเด็กเล่น แบบนี้มันยิ่งกว่าเด็กอีกเจ้าบ้า

“ที่ทำเพราะต้องการความสนุก ไม่ได้จะสร้างปราสาทของจริงนะ ใจเย็น”

“…” ภามร้องอะออกมาคำหนึ่ง ก่อนเขาจะก้มหน้าก้มตารวบรวมทรายขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ แม้ใบหน้าจะยังราบเรียบ แต่คนช่างสังเกตอย่างผมย่อมมองเห็นใบหูแดงๆ นั่นอยู่แล้ว

“อะแฮ่ม” ผมกระแอมเบาๆ เพื่อกลืนเสียงหัวเราะลงไป เห็นท่าทีเหมือนเด็กขี้เก๊กทำผิดนั่นแล้วแกล้งไม่ลงจนได้

ปราสาททรายที่เกิดจากการสร้างของเด็กอายุน้อยหนึ่งคน คนแก่หนึ่งคน และผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเล่นทรายอีกหนึ่งคน คงไม่ต้องบอกว่าสุดท้ายมันจะออกมาเป็นยังไง เพราะนอกจากจะดูไม่เหมือนปราสาทแล้ว เจ้าตาลยังเผลอหมุนตัวพลาดจนก้มจุ่มลงไปบนทราย ทำลายกำแพงไปหนึ่งส่วนกับตัวปราสาทเบี้ยวๆ บูดๆ อีกสองส่วน สภาพตอนนี้เหมือนเอาทรายมากองเป็นก้อนขี้หนึ่งกอง ไม่ได้คล้ายปราสาทเลยแม้แต่นิดเดียว

“เหมือนปีศาจเลย!”

โชคดีที่เจ้าตาลเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีสุดๆ คงลืมไปแล้วว่าตอนแรกจะสร้างอะไร เมื่อกี้ตอนนั่งทับยังทำท่าจะร้องไห้อยู่เลย นี่วิ่งฉิวไปหาพวกพี่ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่เสียแล้ว

“เด็กหนอเด็ก” ผมส่ายหน้าขำๆ อยากเข้าไปขยี้หัวกลมๆ นั่นสักที แต่มือเลอะแบบนี้คงไม่ดีนัก อีกอย่าง...ตอนนี้เอาเวลาไปสนใจเด็กตัวโตหน้าตายที่กำลังทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านข้างดีกว่า “เป็นอะไร”

ภามเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจและหงุดหงิดสุดๆ เหมือนโดนขัดใจ ทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

“ยังสร้างไม่เสร็จ ทำไมหยุดกลางคัน”

มีเด็กจริงจังกับการสร้างปราสาททรายอยู่ตรงนี้อีกคน...

“พังไปเกินครึ่งแบบนั้นยังไงก็ไม่รอดอยู่แล้ว นอกจากว่านายจะสร้างใหม่” เอาเหตุผลเข้าพูดก่อนแล้วกัน เพราะขืนไม่จริงจังตามผมคงได้หลุดขำออกมาจริงๆ แน่

“งั้นก็สร้างใหม่”

“ใจเย็น” ผมยกมือห้ามเมื่อเห็นคนพูดตั้งท่าจะลงมือสร้างใหม่จริงๆ ตามที่ว่า “นายจริงจังไปไหมเนี่ย”

“คุณไม่หงุดหงิดเหรอเวลาตั้งใจจะทำอะไรแล้วมันไม่สำเร็จ”

ไม่นะ...

ได้แต่ตอบในใจเพราะกลัวว่าถ้าพูดไปตามตรงอาจจะโดนแยกเขี้ยวใส่ ผมหัวเราะแหะๆ แล้วหลบสายตา เพียงเท่านั้นภามก็ขมวดคิ้วฉับแทบจะทันที

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นน่า นายก็รู้ว่าฉันเป็นพวกเฉื่อยชาแถมยังขี้เกียจ” ต่อให้สร้างเสร็จเดี๋ยวก็ต้องทิ้งไปอยู่ดี ผมยังแอบขอบคุณอยู่เลยที่เจ้าตาลล้มทับปราสาทตัวเอง จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำต่อทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันจะออกมาดูแย่ขนาดไหน

“คุณไม่ควรคิดแบบนั้น” ดวงตาที่ดูราวกับมองทะลุไปถึงความคิดของผมเบือนมาสบ ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ “แค่ปราสาททรายอาจไม่เป็นไร แต่อย่าคิดแบบนั้นกับทุกเรื่อง ถ้าไม่ลองพยายามไปเรื่อยๆ คุณก็ไม่มีทางพัฒนาได้หรอก”

“ฉันอายุจะสามสิบแล้วนะ ไม่รู้จะพัฒนาอะไรแล้ว”

“อะไรจะเบื่อโลกขนาดนั้น” ภามทำหน้าเนือย ถ้าตบหัวผมได้เขาคงตบไปแล้ว “พูดอย่างกับคนอายุแปดสิบ”

“ไม่ถึงเฟ้ย”

“คุณยังพัฒนาได้อีก อย่างน้อยก็อายุ”

“อายุ?”

“อายุสมอง”

“ไอ้คนเลว!” ผมปาทรายใส่หลังภามอย่างเหลืออด ทำเอาเสื้อราคาแพงสีขาวสะอาดเปื้อนทั้งทรายทั้งน้ำเป็นหย่อมๆ แต่ไม่รู้สึกผิดหรอก เขาว่าผมก่อนนี่หว่า

“โทษที” มือที่กำลังจะปาใส่อีกรอบหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำขอโทษที่ไม่คาดคิด แต่ในวินาทีถัดมาหน้าผมก็ยิ่งแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์โมโห เมื่อได้ยินคำพูดจากปากเขา “ลืมไปว่าอาจจะพัฒนาไม่ได้แล้ว”

“เอาทรายไปแดก!”

“...”

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าที่หันไปตามแรงสะบัดของมือตัวเองซึ่งใช้ปาทรายใส่เขาเมื่อคู่ ผมว่าผมปาใส่ตัวนะ ทำไมภามหันหน้าหนีแล้วทำท่าเหมือนโดนปาใส่ตาแบบนั้น หรือว่าจะเศษทรายเข้าตา

“มาดูหน่อย” อาการร้อนรนเกิดขึ้นแทบจะทันทีที่เห็นเขานิ่งไปและไม่ยอมหันกลับมา ผมคลานเข้าไปหาแล้วใช้มือจับไหล่ภามให้หันกลับมามองหน้ากัน แต่เขายังใช้หลังมือที่สะอาดของตัวเองวางทับตาซ้ายอยู่ ผมเลยมองไม่เห็นว่าอาการเป็นยังไง “เอามือออกเร็วเข้า”

ขวดน้ำดื่มที่พกไว้ถูกหยิบมาเปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนผมจะดึงมือภามมาล้างพร้อมกันกับมือตัวเองจนสะอาด แล้วค่อยเทน้ำใส่มือเขาอีกรอบ

“แสบไหม รีบเอาน้ำล้างก่อน”

“คุณ…”

“อย่าเพิ่งพูดมาก เอาน้ำล้างตาก่อน” ผมดุแล้วดึงมือเขามาเทน้ำใส่อีกรอบ เพราะน้ำที่เทให้ตอนแรกไหลลงพื้นไปหมดแล้ว

ยังอีก...ยังนิ่งอยู่อีก

“คุณจะดูสมกับเป็นหมอแค่ตอนเวลาเห็นคนเจ็บเหรอ” ภามกะพริบตาถามเสียงเรียบ ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะเจ็บตาหรืออะไรเลยสักนิด ผมได้แต่ขมวดคิ้วฉับ โน้มตัวเข้าไปแล้วแหวกตาเขาดูด้วยตัวเอง

“นี่นายโกหกเหรอ”

“ยังไม่ได้โกหกอะไรสักคำ”

“แล้วเมื่อกี้ที่ทำเหมือนทรายเข้าตา...”

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณคิดไปเอง” เจ้าของใบหน้าปลาตายตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ เหมือนจะบอกว่าผมมั่วไปเอง เขาก็แค่หันไปด้านข้างเฉยๆ

ไอ้คนตอแหลเอ๊ย!

“นายน่าจะไปสมัครเป็นนักแสดงนะ แค่ปรับสีหน้าให้มีหลายอารมณ์หน่อยก็เป็นตัวร้ายได้สบายละ” ผมกัดเบาๆ อย่างอดไม่ได้ แล้วดูหน้าดิ...ไม่ทราบว่าพ่อคุณไปอารมณ์ดีมากจากไหน ก่อนหน้านี้ยังจริงจังใส่ผมอยู่เลย

“ถ้าคุณเป็นนางเอกผมจะลองคิดดู” รอยยิ้มหยันที่มุมปากถูกส่งมาให้ พร้อมๆ กับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน ทั้งยังหันมาปัดตูดใส่ผมโดยตั้งใจด้วย

ดูมัน!

“แหม...พ่อตัวร้าย”

กวนตีนกันนักใช่ไหม...

ผมลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดจะปัดทรายออกจากตัว เพราะยังไงมันก็เละเทะไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่แล้ว สายตาหรี่มองเป้าหมายที่กำลังยืนหันหลังให้อย่างพิจารณา และเมื่อเห็นจังหวะที่เหมาะสมแล้ว ผมก็พุ่งตัวเข้าไปกระโดดขี่หลังไอ้บ้าที่บังอาจสบประมาทกันอย่างเร็ว

“กวนตีนนักใช่ไหมไอ้ตัวร้าย!” พอล็อกคอเขาไว้แน่นจนเราทั้งคู่เอียงตัวไปด้านหลังแล้ว อีกฝ่ายเลยจำเป็นต้องเอามือมาจับขาผมที่ลอยอยู่กลางอากาศตามสัญชาตญาณ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเอาตัวที่เละเทะจนดูแทบไม่ได้ของตัวเองมาวางแหมะอยู่บนแผ่นหลังของภาม และส่งมอบความสกปรกต่อให้เขาอย่างเต็มตัว

“คุณนี่มัน...” เสียงบ่นงึมงำในลำคอดังขึ้นเบาๆ ก่อนผู้พูดจะหยุดไปเหมือนไม่รู้จะด่ายังไงดี

“นางเอกขี่คอตัวร้ายไง ไม่ได้เหรอ”

หูอยู่ใกล้เหลือเกิน กัดแม่งสักทีดีไหมเนี่ย

“ถ้าคุณคิดจะกัดหูผม เตรียมตัวกระแทกพื้นได้เลย” เสียงเรียบเย็นตามสไตล์ของคนรู้ทันทำเอาผมเบิกตากว้าง มือที่รับน้ำหนักขาของผมอยู่กระชับเล็กน้อยเหมือนจะใช้เตือน ว่าหากทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมาเขาจะปล่อยตูดกระแทกพื้นแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย

“ทำไมต้องรู้ทันไปหมด” ผมพูดแบบเซ็งๆ แล้ววางคางลงบนบ่าภาม หมดแรงจะเล่นด้วยแล้ว

“คุณคิดอะไรมันก็แปะอยู่บนหน้าหมด”

“ได้ข่าวว่าตอนนี้ฉันอยู่บนหลังนาย” แล้วจะเห็นหน้าได้ยังไง

“ฟังจากเสียง”

“นายสังเกตฉันอยู่ตลอดเวลาเลยหรือไงเนี่ย”

“…”

“เงียบทำ...”

“ใช่”

“หา?”

“คนเรามักจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น...คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอ”


—————————




TALK :

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องอื่น อันนี้คือTimeline


ออกซิเจน (โซโล่กีล์) เจไดอยู่ปี1 ---> ไนโตรเจน (ภูเก้า) เริ่มเรื่องเจไดอยู่ปี2 ---> อนาคิน (ภามเจได) เจไดอายุ...กำลังจะ30


ซึ่งทุกเรื่องไม่ต้องอ่านต่อกันก็ได้ค่ะ ใครไม่ชอบอันไหนก็ข้ามได้เลย แค่ตัวละครแวบไปแวบมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2018 00:12:54 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #94 เมื่อ10-08-2018 11:57:00 »

-14-



อันที่จริงแล้ว...นอกเหนือจากเรื่องเรียนผมก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่นัก หลายครั้งที่ทำหน้าเหมือนเข้าใจ หลายครั้งที่ทำเป็นขำกลบเกลื่อน บางทีเผลอเหม่อจนไม่ได้ฟังคนอื่นพูดก็มี ซึ่งหากให้จัดอันดับสถานการณ์ที่ผมไม่เข้าใจมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานคงติดอันดับไปแล้วเรียบร้อย

คำพูดพวกนั้นมันคืออะไร หมายความว่ายังไง หัวสมองว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกไปแล้ว ขนาดโดนแบกขึ้นหลังกลับมาจนถึงกระท่อมของเรา ผมยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าถูกจูงให้เดินไปอาบน้ำก็ตามไปง่ายๆ เขาบอกให้ใส่ผ้านุ่งก็ทำตาม พอหัวถึงหมอนแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

นี่ผมผ่านเมื่อวานมาได้ยังไงเนี่ย คิดไม่ออก

“เป็นอะไรของคุณ” เสียงราบเรียบติดจะงัวเงียของคนที่นอนอยู่ด้านข้างดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวขยับกายลุกขึ้นนั่ง ผมที่กำลังพลิกไปพลิกมาเลยต้องลุกขึ้นตามไปด้วย ภามขมวดคิ้ว หัวยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แต่ก็ไม่อาจลดทอนความดูดีจนน่าหมั่นไส้ของเขาลงได้เหมือนเคย “ทำไมตื่นเช้า”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

จริงๆ เพราะเอ็งนั่นแหละ

“คุณไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้” เขาเอียงคอบิดขี้เกียจ มือไม้ยาวเก้งก้างกางยืดไปมาคล้ายต้องการเรียกสติ และไม่กี่วินาทีถัดมา เจ้าตัวก็หันหน้ามามองผมโดยที่ไม่มีความง่วงงุนหลงเหลืออยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย “ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ ไม่ลืมปัดมือที่ทำท่าจะยื่นมาแตะหน้าออกไปด้วย “คิดอะไรเพลินๆ เฉยๆ”

“เพลินข้ามวัน”

“พูดมาก”

ภามไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเมื่อโดนผมต่อว่าและทำหน้าตึงใส่ เขาแค่ยักไหล่ หน้าตาดูอารมณ์ดีทั้งที่ถูกปลุกให้ตื่น ซึ่งนั่นแหละที่น่าหมั่นไส้ เมื่อวานตัวเองพูดอะไรออกมาไม่รู้ตัวเลยหรือไง ถึงได้ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้

“นายไม่สนใจได้ ฉันก็ไม่สนใจได้เหมือนกัน”

“บ่นอะไร”

“ยุ่ง” ผมถลึงตาใส่ภามแบบเคืองๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเคืองอะไร ก่อนจะมุดออกจากมุ้งนอนเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ

ตื่นเช้าแบบนี้ต้องเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นสักหน่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีโอกาสได้ดูเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนไม่มีเวลาหรืออะไรนะ แต่ต้องบอกว่าผมไม่เคยตื่นเช้าเลยมากกว่า ขนาดไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อก่อนยังตื่นทีหลังชาวบ้านเขาตลอด นัดยังไงก็ไม่เคยทันเสียที

ดูเหมือนผมจะเป็นพวกขี้เซาระดับสิบมาแต่ไหนแต่ไร พอบวกกับมาทำงานด้านนี้แล้วด้วยเลยยิ่งเข้าไปใหญ่ จะขอบคุณภามดีไหมเนี่ยที่ทำให้ผมตื่นเช้าได้ เพราะวันนี้มันเช้ายิ่งกว่าปกติที่เราออกไปวิ่งกันอีก ฟ้ายังไม่มีแสงเลยด้วยซ้ำ

“จะไปไหน” คนที่มุดมุ้งตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ถาม น้ำเสียงดูมีความประหลาดใจมากพอสมควร

“จะไปอาบน้ำ เสร็จแล้วจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย” ผมตอบไปตามความจริงโดยไม่กวนตีน เพราะกะจะให้เขาไปด้วยกันอยู่แล้ว คงไม่คิดว่าหมอเจไดจะเดินขึ้นเขาตอนฟ้ามืดเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นคนเดียวนะ

เผื่อไม่รู้...นอกจากจะกลัวเจ็บแล้วผมยังกลัวผีด้วย จะบอกว่ากลัวทุกอย่างที่คนใจเสาะกลัวก็ว่าได้ ยกเว้นกลัวความสูงนะ อันนั้นแค่หวาดเสียวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นร้องห่มร้องไห้อะไร

“ไม่คิดว่าคุณจะเอ่ยปากอยากไปไหนเอง ปกติขี้เกียจตลอด”

“เงียบๆ แล้วมาอาบน้ำเร็วๆ เลย”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกับภามอาบน้ำพร้อมกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ ถึงการหันไปเห็นกล้ามท้องแน่นๆ ของเขาจะทำให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนผ่าวได้ทุกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้มากมายเหมือนช่วงแรกๆ อีกแล้ว

ขึ้นเขาครั้งนี้ผมเตรียมตัวมาดีกว่าครั้งก่อนมาก ยิ่งเป็นช่วงเช้าๆ ก็ยิ่งรู้สึกหนาว ขืนใส่เสื้อชั้นเดียวอาจแข็งตายเพราะความอ่อนแอเกินปกติของตัวเอง ดังนั้นเสื้อคลุมตัวหนาสองชั้นกับผ้าพันคอที่ไม่รู้ว่าเอาใส่กระเป๋ามาตอนไหนจึงถูกหยิบมาใช้ แม้จะถูกภามมองด้วยแววตาเหมือนกำลังมองตัวประหลาด แต่ผมก็ไม่สนใจ

“เอาเสื้อคลุมมาตัวเดียวก็พอ” เขาส่ายหน้าหน่ายแล้วทำท่าจะดึงเสื้อไปจากผม ดีที่รั้งไว้ได้ทัน

“แค่ตอนอาบน้ำก็จะหนาวตายอยู่แล้ว บนนั้นต้องหนาวมากแน่ๆ เอาไปสองตัวดีแล้ว”

“คุณมีผ้าพันคออีกนะ”

“นายยังไม่เข้าใจว่าฉันอ่อนแอและกากขนาดไหน” ผมตบบ่าภาม แต่ก็ยอมโยนเสื้อกลับไปไว้บนกระเป๋าเหมือนเดิม เพราะไม่อยากเถียงต่อจนเวลาลากยาวไปมากกว่านี้ “เอาเป็นว่าถ้ามันหนาวมากจนทนไม่ไหว ฉันจะแย่งเสื้อนายแล้วกัน”

ภามกลอกตาให้ผมเห็นจังๆ ถึงใบหน้าจะราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้เขาอาจคว้ากระเป๋ามาฟาดหัวกันก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมเลยรีบเดินออกไปด้านนอก มุ่งหน้าตรงไปยังทางขึ้นเขา ได้ยินเสียงคนถือถุงเสบียงเดินตามอยู่ด้านหลัง

ในช่วงเช้าที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำเงิน การเดินขึ้นเขาคงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก แต่ก็แลกมากับอากาศเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกสบายใจจนลืมเรื่องระยะทางไปได้บ้าง ถึงจะยังต้องหยุดพักอยู่รอบสองรอบ แต่ผมก็เดินมาถึงศาลาบนเขาได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีภามช่วยเหมือนครั้งแรก ขนมที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนขึ้นฝั่งถูกแบกมาทั้งหมดโดยคุณชายผู้ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ภามเอาขนมออกมาจากถุงที่ผมโยนให้เขาถือ ก่อนจะขมวดคิ้วขณะก้มลงมองมัน

“ขนมพวกนี้กินมากไม่ดี”

“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมโบกมือไม่ใส่ใจแล้วจัดการแกะถุงแรกออก ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่อีกนิดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ตื่นนอนแล้วก็ต้องกินก่อนเป็นอันดับแรก

“ถ้าผมเป็นหมอประจำตัวของคุณ คุณคงโดนฟาดไปแล้ว” ใบหน้าจริงจังกับน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายของภามทำเอาผมที่กำลังนั่งชันเข่ากินขนมหยุดชะงักกะทันหัน คนแบบภามมองจิกไปก็ไม่ได้อะไรหรอก ต้องทำแบบนี้

“กินเข้าไปเลย” พอเอาขนมยัดปากคุณชายเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถอยกลับมานั่งหัวเราะเสียงดังจนฟันแทบร่วงอยู่คนเดียว ดูหน้าภามดิ เบี้ยวจนไม่รู้จะเบี้ยวยังไง ท่าทางคงไม่ชอบขนมจุกจิกมากจริงๆ

“ของพวกนี้ทำให้เสียสุขภาพ”

“นายยังเคี้ยวมันอยู่เลยนะ” ผมขำจนหน้าดำหน้าแดง ยิ่งเห็นหน้าตึงๆ ของคนที่บ่นไปเคี้ยวไปก็ยิ่งขำ ท้องฟ้าเริ่มสว่างกว่าเดิมแล้วด้วย อีกไม่นานพระอาทิตย์คงขึ้น มิน่าถึงได้เห็นหน้าเขาชัดขนาดนี้

“ผมไม่อยากให้มันหกเลอะเทอะ”

“ขี้อ้าง”

หลังจากจัดการขนมไปแล้วสองห่อ ผมก็เริ่มขนของไปที่ริมเขา จุดที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัดเจนที่สุด ผ้าผืนหนึ่งที่ถือมาด้วยถูกปูลงบนพื้น ก่อนเราทั้งคู่จะนั่งไหล่ชนกันรอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเงียบๆ

สำหรับภาม ผมคิดว่าเขาคงเห็นความสวยงามของธรรมชาติมาจนชินแล้ว แม้ในมือจะถือกล้องเตรียมพร้อมถ่าย แต่ก็ไม่ได้มีทีท่ากะตือรือร้นอะไร ต่างจากผมที่พยายามทำหน้านิ่ง ทั้งที่ในใจตื่นเต้นแทบตาย

เกือบลืมไปแล้วว่าเวลาได้มาเที่ยวมันมีความสุขขนาดไหน...

“มาแล้ว” คนด้านข้างเอ่ยเตือนขณะยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบวางขนมลงแล้วหันไปมองตาม

ภาพพระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ ลอยขึ้นจากเส้นบรรจบของขอบฟ้าและผืนน้ำกว้างใหญ่ทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะ แสงสีส้มนวลซึ่งเปร่งประกายสะท้อนผืนทะเลดูสวยงามจนน่าใจหาย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ความเงียบครอบคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงจากธรรมชาติ เสียงชัตเตอร์ของกล้อง และภาพพระอาทิตย์ซึ่งลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้ถูกหยุดเวลาไว้แต่อย่างใด

“คุณ”

“หา?”

แชะ!

ผมขมวดคิ้วใส่หน้าภามเมื่อรู้ตัวว่าถูกเรียกให้หันไปมองกล้องอีกแล้ว หากแค่คิดจะอ้าปาก เสียงกดชัตเตอร์ก็ดังขึ้นรัวๆ เหมือนจะบอกให้รู้ว่าเขาไม่อยากฟังสิ่งที่ผมพูด ทำเอาผมหมดอารมณ์จะบ่น ทั้งยังประชดประชันด้วยการฉีกยิ้มแล้วทำหน้าตลกๆ ใส่กล้องอยู่หลายท่า และแน่นอนว่าเจ้าบ้าหลังเลนส์นั่นมันกดชัตเตอร์ตามรัวๆ แบบไม่หยุดเลยสักวินาที

“พอเลย” เมื่อหมดความอดทนแล้วผมเลยเอามือไปปิดเลนส์กล้องไว้ ภามโผล่หน้ามาจากด้านหลัง ก่อนคิ้วเข้มจะเลิกขึ้นน้อยๆ คล้ายจะกวนตีน

“พอแล้วเหรอ”

“เอามาให้ฉันถ่ายนายบ้าง” ผมแบมือรอให้ภามส่งกล้องมาให้ ซึ่งเขาก็ส่งมาให้จริงๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม้จะตะหงิดใจอยู่นิดหน่อยที่เขาดูว่าง่ายเหลือเกิน แต่ผมก็เลือกจะปัดความสงสัยนั้นทิ้งไป แล้วหันมาเพ่งสมาธิอยู่กับการพยายามหามุมกล้องที่ดูสวยที่สุดในความคิดของตัวเองแทน

“อีกนานไหม” นายแบบเริ่มถามทั้งหน้าตึง สงสัยเห็นผมเล็งไปเล็งมาไม่ยอมกดชัตเตอร์สักที

“ใจเย็น ของดีต้องรอหน่อย”

ผมใช้เวลาอยู่นานหลายนาทีกับการพยายามหามุมกล้องแบบพวกมืออาชีพ สุดท้ายได้มาสองรูป ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้ได้ทั้งสองรูป แต่ไม่ใช่ว่าเพราะคนถ่ายหรอก เป็นเพราะนายแบบแม่งดูดีทุกมุมเลยต่างหาก แล้วนี่จะเล็งไปทำไมตั้งนานวะเนี่ย กดๆ ไปก็จบแล้ว

“คุณปรับแสงสว่างไปหน่อย พอรวมกับแสงอาทิตย์รูปเลยจ้าเข้าไปอีก...” คุณช่างภาพมืออาชีพก้มลงมองแล้ววิจารณ์ไม่หยุดปาก ท่าทางกับคำพูดดูตั้งใจยิ่งกว่าตอนกวนตีนผมหลายเท่า เห็นแบบนั้นเลยต้องปล่อยให้เขาพูดไป ถึงจะฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เถอะ

“เอาจริงๆ นะ ฉันว่ารูปมันขาดอยู่อย่างเดียว” ผมพูดขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นภามเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าปลาตายเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงสงสัย “รอยยิ้ม”

ภามขมวดคิ้วฉับแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ และในช่วงเวลาที่เขาตั้งท่าจะอ้าปากเถียง ผมใช้แรงทั้งหมดไปกับการบังคับถือกล้องตัวใหญ่ด้วยมือเดียว ส่วนมือที่ข้างยื่นไปกดมุมปากของอีกคนให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

แชะ!

“โอย...ข้อมือจะหัก” ทำตัวเองแท้ๆ เลย

“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” ภามบ่นเบาๆ แล้วดึงข้อมือผมไปนวดให้ ถึงจะปวดหน่อยๆ จนใจไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เพราะความตื่นเต้นที่จะอวดรูปให้เขาดูมีมากกว่า

“ดูนี่เร็ว” ผมรีบยื่นกล้องให้เขาดูรูปล่าสุดด้วยความภาคภูมิใจ

ในรูปคือใบหน้าของภามซึ่งดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่จริงๆ หากไม่นับว่ามีนิ้วผมจิ้มอยู่ที่มุมปาก ทั้งยังมีพื้นหลังเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่กับทะเลที่ดูสวยงาม พอประกอบกับแสงจางๆ จากพระอาทิตย์ที่อยู่อีกฝั่ง แม้จะไม่เห็นในภาพแต่มันก็ทำให้องค์ประกอบต่างๆ ดูละมุนกว่าปกติ ขนาดใบหน้าปลาตายของภามยังดูสดใสและอ่อนโยนขึ้นเลย

“เป็นไง ฉันถ่ายสวยไหม” ที่ถามนี่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเลยนะ แค่ยิ้มกว้างรอรับคำชมอยู่ก็เท่านั้นเอง

“ก็…” คนที่กำลังก้มลงพิจารณาภาพถ่ายเอียงหัว ท่าทางเหมือนกำลังมองอย่างตั้งใจจริงๆ จนผมอดเกร็งตามไปด้วยไม่ได้ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็แค่เงยหน้ามองแล้วพยักหน้า “ใช้ได้”

“ธรรมดา” ผมสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่สนใจ ทั้งที่ยิ้มจนปวดแก้มไปหมด อกนี่ก็ยืดจนไม่รู้จะยืดยังไงแล้วเนี่ย

“บ้าบอ” ภามถอนหายใจยาวเหยียด หากมุมปากกลับปรากฎรอยยิ้มแบบที่ไม่ต้องให้ผมบังคับ ได้ข่าวว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรน่าตลกเลยนะ แสดงว่าถ้านึกจะยิ้มก็ยิ้มได้นี่หว่า “มองอะไร”

“มองนายยิ้ม” ตอบไปตามตรงพร้อมยื่นหน้าไปมองใกล้ๆ ถึงรอยยิ้มจะหายไปแล้วแต่ก็ตามคาด...เขาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นจริงๆ ด้วย “นายไปทำอะไรมา”

“อะไร”

“ทำไมถึงดูสดใสกว่าเดิม” ถึงหน้าตาจะดูราบเรียบไม่ได้แตกต่างอะไรจากช่วงแรกที่ได้เจอกัน อีกทั้งดวงตายังคงดูว่างเปล่าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความสดใสแบบที่อธิบายไม่ถูกซึ่งแผ่ออกมาจากตัวภาม มันเหมือนกับว่าเขาแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“เหรอ”

“อย่างเมื่อกี้นายก็ยิ้มให้ฉัน” ผมสันนิษฐานเรื่องราวต่อเป็นทอดๆ

“อ่า”

“เมื่อวานก็พูดแปลกๆ กับฉัน”

“…”

“แถมยังดูอารมณ์ดีบ่อยๆ ตอนอยู่ด้วยกัน”

มันหมายความว่ายังไง...

ผมเงยหน้าขึ้นมองภามด้วยความไม่เข้าใจ คาดหวังว่าจะให้เขาตอบอะไรออกมาสักอย่าง อย่างน้อยถ้าไม่เข้าใจเหมือนกันจะบอกว่าไม่รู้ก็ยังดี แต่นี่เขากลับจ้องหน้าผมนิ่ง ทำราวกับกำลังอมพะนำโดยที่ตัวเองเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างอยู่แล้ว และมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

“เหตุผลที่ผมชอบถ่ายรูป ยามเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นเพราะภาพถ่ายสามารถจดบันทึกเรื่องราวได้” แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังทำให้ผมหายใจผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง หากมันก็ยังดึงดูดกันไว้ได้เหมือนเช่นทุกครั้ง “ผมเป็นคนจดบันทึกไม่เก่ง พูดไม่เก่ง แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง วันหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่ได้เจออาจจางหายไปก็ได้”

“เพราะงั้นนายถึงชอบถ่ายรูป...”

“สำหรับผม รูปที่ถ่ายออกมาด้วยความต้องการของตัวเองไม่ใช่แค่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของสถานที่ที่เดินทางไป แต่มันบอกเรื่องราวได้มากมาย แม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามนั้น”

จำได้ว่าตอนที่ผมกดย้อนดูรูปเก่าๆ ของเขา ตัวเองเอาแต่สนใจความสวยงามและความสมบูรณ์แบบของภาพ ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรไป ที่แท้มันก็ไม่ได้ขาด...แต่เป็นเพราะภามมองเห็นโลกในรูปแบบนั้น เขาอยู่ในอารมณ์แบบนั้นจริงๆ ต่างหาก

“ที่คุณเคยบอกว่าเราจะเห็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น นั่นเป็นเหตุผลที่ในภาพถ่ายของผมไม่มีผู้คนอยู่เลย...จนกระทั่งมาเจอคุณ” ภามพูดช้าๆ เหมือนต้องการให้ผมตั้งใจฟัง ดวงตาที่ดูราวกับเป็นหลุมลึกคู่นั้นจ้องมองผมนิ่งราวกับจะดูดให้หล่นลงไป

โชคดี...โชคดีที่ผมเกาะขอบหลุมไว้ทัน

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” เสียงที่พูดทั้งดูสูงและสั่นเกินปกติไปมากโข จะดูอย่างไรก็ไม่มีความเป็นธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นเกราะป้องกันตัว...และป้องกันใจของผมที่กำลังสั่นระรัวเอาไว้ได้ ผมรวบรวมสติแล้วหลบสายตาภาม พร้อมกับที่พยายามลุกขึ้นยืนช้าๆ หวังทำลายบรรยากาศอันน่ากระอ่วนกระอ่วนนี้ด้วยการ...หนี “ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า”

แรงกระชากที่ข้อมือโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมตัวเอน โชคดีที่ตัวต้นเหตุทำตัวเป็นต้นไม้ใหญ่ยืนนิ่งเป็นที่พึ่งพิง เต้าหู้อย่างผมเลยไม่หล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น แต่หากรู้ว่าเมื่อได้ประชิดร่างสูงใหญ่แล้วจะถูกล็อกเอวไว้แน่นแบบนี้ ผมคงต้องขอเวลาคิดดูอีกทีว่าจะยอมล้มลงไปแต่แรกดีหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้...ไม่ทันแล้ว

“คิดว่าจะหนีไปได้ตลอดเหรอ” น้ำเสียงเรียบเย็นที่กระซิบอยู่ข้างใบหูทำให้ผมขนลุกขนพอง ยิ่งรู้ว่าตอนนี้ลำตัวของเราทั้งคู่ต่างแนบชิดกันด้วยความตั้งใจของเขา ใจผมก็ยิ่งสั่นไหวจนปวดในอกไปหมด

“ปล่อย” จะสั่นทำไมวะเสียงเนี่ย โอย...

“คุณจะ...” จู่ๆ ภามก็ชะงักไปขณะที่กำลังจะก้มหน้าลงมาพูดอะไรบางอย่างกับผม เขาขมวดคิ้วแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า และในวินาทีถัดมาผมก็ถูกลากไปที่ศาลาราวกับเป็นกระสอบทราย เรื่องดีๆ มีเพียงอย่างเดียวคือถูกปล่อยตัวแล้ว

อ้อ...แต่ข้อมือยังโดนจับไว้แน่นอยู่

ในช่วงเวลาที่กำลังคิดจะถามว่าเขาลากผมมาที่ศาลาทำไม หยาดฝนก็เทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าแบบไม่ให้ตั้งตัว ถึงจะไม่ได้รุนแรงขนาดพายุเข้า แต่ก็ทำให้เราเดินลงจากเขาไม่ได้แน่ๆ นอกเสียจากจะอยากลื่นตาย

ประเด็นคือ...ได้ข่าวว่าเมื่อกี้พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น และที่สำคัญยิ่งกว่าคือกูกำลังจะชิ่งหนี แล้วทำไมมึงต้องมาตกตอนนี้หา!

“หนีไม่ได้แล้วสินะ” คนเลวที่กอบกุมข้อมือผมอยู่พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ก่อนเขาจะปล่อยมือออก คงเพราะเห็นว่ายังไงผมก็หนีไม่ได้แล้วแน่ๆ

“เออ”

“คุณโกรธเหรอ”

“เปล่า”

“แต่คุณพูดว่าเออ”

“ไม่ได้โกรธ”

“ปากไม่ตรงกับใจ” ภามส่ายหน้าหน่าย ทั้งยังยกมือขึ้นโคลงหัวผมราวกับเป็นเด็กๆ และนั่นทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เรานั่งอยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน แต่พอพยายามจะถอยห่าง เขาก็ยังขยับตามมาอีกเป็นเงาตามตัว สุดท้ายผมได้แต่ปล่อยเลยตามเลยแล้วหันออกไปด้านนอก ไม่สนใจคนที่อยู่ด้านข้างอีก

สายฝนที่โปรยปรายลงมา แม้จะไม่มีทีท่าว่าจะตกหนักขึ้นหรืออะไร แต่ดูแล้วคงไม่หยุดง่ายๆ แน่ ขืนเป็นแบบนี้คงจะลงไปกินข้าวเช้าไม่ทัน คงต้องขอบคุณที่ผมขนขนมขึ้นมากินด้วยมากขนาดนี้ อีกอย่าง...โชคดีมากจริงๆ ที่เอาเสื้อหนาๆ กับผ้าพันคอขึ้นมา เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะหนาวจนตัวสั่นแล้ว ศาลาที่เรานั่งกันอยู่ถึงจะไม่ได้คับแคบอะไรนัก แต่ลมพัดฝนเข้ามาตลอดแบบนี้ ยังไงก็ต้องเปียกนิดหน่อยอยู่ดี

“อย่าหันหน้าต้านลม มานั่งตรงนี้” ภามขยับมานั่งขวางทางลมแล้วหมุนตัวผมให้หันไปในทิศทางเดียวกันกับเขา ความอบอุ่นของอกกว้างที่แนบชิดอยู่กับแผ่นหลังของผมทำให้หัวใจที่เพิ่งสงบลงกลับมาเต้นกระหน่ำอีกครั้ง ถึงแม้ภามจะไม่ได้สอดมือเข้ามากอดหรือแตะต้อง แต่การนั่งอย่างแนบชิดแบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย

“นายไม่หนาวหรือไง”

เอาตัวมาบังลมบังฝนให้กันแบบนี้...

“ไม่เป็นไร”

ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรก็เถอะ แต่ว่า...

ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อถอดผ้าพันคอผืนใหญ่ออก ก่อนจะหันไปด้านหลังแล้วเอามันไปพันรอบคอของคนตัวสูงที่ตอนนี้เปียกไปแล้วหลายส่วน จากนั้นจึงดึงรั้งผ้าให้ปิดบังหัวเขาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“โดนฝนแบบนี้ไม่ดีเลย” ถึงจะเป็นละอองฝนก็ทำให้ไม่สบายได้เหมือนกัน แต่จะให้ลุยกลับตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ หวังว่าฟ้าฝนคงเห็นใจ หยุดให้เราได้ลงไปด้านล่างก่อนคนที่ปกป้องผมอยู่จะไม่สบาย

พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพขึ้นมา ผมก็เริ่มเครียด แม้ใจจะยังเต้นแรงจากความใกล้ชิดและสิ่งที่เขาทำให้ ทั้งยังมีผลพวงมาจากเรื่องที่เขาพูดอีก แต่ยามนี้สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุดคือสุขภาพของภาม บนเกาะนี้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้มีมากมายนัก ถ้าเป็นไข้หรือไม่สบายธรรมดาอาจพอถูไถและรักษาได้ แต่ขืนเป็นยิ่งกว่านั้นขึ้นมาจะแย่เอา

“เป็นอะไร” เสียงถามจากด้านหลังทำให้ความกังวลที่สะสมไว้ทวีคูณขึ้นมากกว่าเก่า สุดท้ายเลยตัดสินใจหันหน้าไปครึ่งหนึ่งแล้วถามเขาเพื่อความสบายใจของตัวเอง

“นายเคยป่วยเป็นอะไรมาก่อนหรือเปล่า แพ้อะไรบ้าง หรือเคยมีอาการผิดปกติอะไรไหม เวลาไม่สบายปกติหนักมากถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า แล้ว...”

“หยุด” เขาถอนหายใจพร้อมๆ กับที่ยื่นมือมาปิดปากผม “ผมไม่เป็นไร ยังไงก็ได้ผ้าพันคอของคุณมาช่วยปิดหัวแล้ว ที่สำคัญคือผมแข็งแรงกว่าคุณหลายเท่า ระวังตัวเองให้ดีก็พอ”

“แต่…”

“เอาเป็นว่าถ้าอยากช่วย คุณแค่ขยับมาให้ชิดผมก็พอ”

ในตอนแรกผมตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกได้ว่าภามอาจจะหนาวจนต้องการความอบอุ่น ตัวเลยขยับถอยไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ ร่างกายของเราแนบชิดกันจนผมสัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งเต้นเป็นจังหวะอย่างมั่นคงของเขา

ขณะที่ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อไม่ให้ดูเหมือนเกร็งมากเกินไป ภามกลับทำลายทุกความตั้งใจของผม ด้วยการใช้แขนแข็งแกร่งของเขาโอบเอวกันไว้จากทางด้านหลัง ทั้งยังวางคางลงมาบนไหล่ด้านซ้าย ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดมาหาราวกับต้องการตอกย้ำให้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

ที่แย่คือผมไม่ได้รังเกียจสัมผัสเหล่านั้นเลย...

และที่แย่ยิ่งกว่าคือผมดันรู้สึกอบอุ่น...จนไม่อยากผละออกไปจากอ้อมกอดนี้

“เรามาเล่นเกมกันไหม”

“สภาพนี้เนี่ยนะ” ผมตั้งใจถามติดตลก แต่เสียงขำกลับติดอยู่ในลำคอไม่ยอมหลุดตามออกมาด้วย “อยู่ที่นี่จะเล่นเกมอะไรได้”

“เกมตอบคำถาม ถ้าใครตอบไม่ได้ก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ และต้องตอบตามความจริงเท่านั้น”

“ถ้าชนะจะได้อะไร”

“อะไรก็ตามที่คนชนะต้องการ”

ผมนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งเพื่อคำนวณผลได้ผลเสียในใจ แต่ยังไม่ทันได้คิดอย่างถี่ถ้วน อ้อมแขนที่กอดเอวไว้กลับกระชับแน่นกว่าเดิมราวกับต้องการเร่งให้ตอบ และมันทำให้ทุกอย่างในหัวผมโล่งไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็เผลอพยักหน้าไปแล้ว

เอาเถอะ...อย่างน้อยก็อาจทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติได้บ้าง เพราะตอนนี้มันเต้นแรงจนผมไม่รู้ว่าคนที่กอดตัวเองอยู่จะได้ยินหรือเปล่าแล้ว

“ฉันเริ่มก่อน” ผมรีบพูดเพราะอยากทำให้ตัวเองหลุดออกจากความรู้สึกนี้เสียที และเมื่อรู้สึกได้ว่าภามขยับศีรษะตอบรับแล้วจึงเริ่มถาม “ทำไมนายถึงดูรักพี่ชายนัก”

“ใครๆ ก็รักพี่น้องของตัวเองไม่ใช่หรือไง แต่ถ้าคุณหมายถึงทำไมผมถึงดูรักพี่ชายตัวเองมากจนผิดปกติ นั่นเป็นเพราะผมเคยคิดว่าเขาเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่และรักผมจริงๆ”

“แล้ว...”

“ตาผมก่อน” ภามยกมือปิดปากผมไว้ น้ำหนักที่ไหล่คล้ายจะกดลงมาหนักขึ้นเป็นการเตือนให้รู้ว่าผมกำลังจะทำผิดกฎ รู้แล้วน่า ไม่ต้องเอะอะแตะเนื้อต้องตัวจะได้ไหม “ก่อนมาเจอผม คุณเคยมองเห็นใครอยู่ในสายตาเป็นพิเศษ แบบที่ไม่ใช่การสังเกตไปทั่วเหมือนปกติไหม”

คำถามอะไรเนี่ย...

“ต้องถามคำถามและตอบคำถามภายในสามวิ”

“ตอนแรกไม่ได้บอกนี่” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่หน้าปลาตายของคนที่ยังยึดไหล่กันอยู่แบบเคืองๆ ไม่เห็นตอนแรกจะอธิบายกติกาข้อนี้

“ถ้าไม่เพิ่มกติกา คุณคงใช้เวลาคิดคำตอบทั้งวัน” เขาตอบเสียงเรียบ ซึ่งผมก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ เพราะมันคงเป็นแบบนั้นจริงๆ “ตอบสิ”

“ไม่เคย”

คล้ายผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนด้านหลัง แต่เพราะมัวแต่ใส่ใจกับคำถามสามวิ เลยไม่ทันได้สนใจอะไรมากนัก ว่าแต่จะถามอะไรต่อดี...

“หนึ่ง”

“นาย...นายกอดฉันทำไม”

สิ้นคิด...คำถามสิ้นคิดอะไรวะเนี่ย!

“เพราะผมอยากกอด” คำพูดที่ตอบออกมาโดยไม่ต้องหยุดคิดสร้างผลกระทบให้อย่างจัง ผมนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาไขลาน ไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น คล้ายสติจะหลุดไปพร้อมกับคำตอบนั้นแล้ว และในเวลาที่รู้สึกตัว เสียงกระซิบที่บ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ก็ดังขึ้นพอดี “คุณแพ้แล้ว”

ขี้โกง...

“นายต้องการอะไร”

“ต้องการให้คุณฟังผมพูดให้จบ”

ผมเม้มปากแน่นเพราะรู้ดีว่าเขาจะพูดต่อจากเรื่องอะไร ถึงจะอยากลืมขนาดไหน แต่แค่ก้มลงมองกล้องที่ถูกคนด้านหลังส่งมาให้อุ้มไว้ราวกับเป็นลูกตั้งแต่ตอนฝนตกก็จำได้แล้ว

“ถ้าฉันหัวใจวายตาย นายต้องรับผิดชอบแน่”

“หึหึ...ทั้งที่เดาออกว่าผมจะพูดอะไร ยังคิดว่าตัวเองจะหัวใจวายอีกเหรอ” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วถามอย่างอารมณ์ดี อารมณ์ดีเสียจนผมอยากจะเขวี้ยงกล้องออกไปด้านนอก เผื่อจะกลับมาจริงจังได้บ้าง

“ก็เพราะเดาได้นั่นแหละ ถึงรู้ว่าหัวใจจะวาย” เกลียดความฉลาดที่บทจะเกิดก็เกิดขึ้นมาแบบง่ายๆ ของตัวเองเหลือเกิน ขอกลับไปโง่เหมือนเดิมจะได้ไหม

“ถ้างั้นก็ตั้งใจฟัง ถ้าดื้อผมจะกัดคอคุณ”

แค่คำขู่ก็จะทำให้หัวใจวายตายแล้ว...ให้ตายเถอะ ที่ชวนให้เล่นเกมก็เป็นแผนของเขานี่เอง ไอ้คนเลวเอ๊ย!

“ฉันไม่เคยทำผิดกติกา แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้”

จะพาเกริ่นนำอีกนานไหม จะพูดอะไรก็พูดมาสักทีเถอะ ใจมันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ตอนแรกผมนึกแบบนั้นจริงๆ อยากให้เขาพูดๆ ออกมาให้จบไปเลยทีเดียว ถึงจะไม่มั่นใจนักว่าถ้าได้ยินอะไรแล้วจะเป็นลมไปก่อนหรือเปล่า แต่พอเจอเข้ากับความเงียบจากทางด้านหลัง มีเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคาแบบนี้ จะไม่ให้ผมจิตตกได้ยังไง หรือบางทีผมควรเป็นลมไปเลยนะ เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น

“คุณเป็นคนเพียงคนเดียวที่ผมมองเห็นอยู่ในสายตาตลอดเวลา และเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกอยากยิ้มเวลาอยู่ใกล้ๆ”

“…”

ตึกตัก ตึกตัก

“ถ้าความพิเศษนั้นเรียกว่าชอบ...ก็คงใช่”

“นะ...นายอาจจะคิดแบบนั้นเพราะฉันเป็นคนเดียวที่อยู่ใกล้ชิดนายมาตลอดในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้นะ”

อีกอย่าง...นี่มันแค่ไม่กี่อาทิตย์เองที่เราได้เจอกัน ความชอบพอกันมันเกิดได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ แบบนั้นมันจะมั่นคงได้ยังไง

“ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับคนอื่น ต่อให้พยายามตอบรับหรือยอมให้พวกเขาเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม” ภามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบที่ทำให้ผมเถียงไม่ออก “คุณอาจจะคิดว่าเวลามันสั้นเกินไปกับคำว่าชอบใครสักคน ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่คนเราถ้าเริ่มรู้สึกว่าชอบใครแล้วก็ต้องลองเข้าหาไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นจะสมหวังได้ยังไง”

“เอ่อ…”

“ถึงผมจะยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองอีกสักพัก แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีทางที่สุดท้ายแล้วคุณจะรู้สึกโดยที่ผมไม่รู้สึกแน่ เพราะผมมั่นใจว่าคุณคือคนที่กำลังตามหา”

“…”

“ตอนแรกที่ผมถ่ายรูปคุณ เป็นเพราะผมอยากจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณเอาไว้ เพื่อบอกให้รู้ว่าคุณคือเพื่อนร่วมเดินทางคนแรกของผม แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...”

ผมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าฝนหยุดตกตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ยามที่เจ้าของอ้อมกอดด้านหลังผละออกไป แล้วจับไหล่ให้หันไปหา ผมก็ทำได้เพียงเอนตัวตามแล้วมองสบดวงตาคมคู่นั้นด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ”

“นาย..."

“และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน...”

“…”

“จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม”

ดูเหมือนผม...

กำลังจะเป็นลม



—————————-





ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #95 เมื่อ10-08-2018 11:57:16 »

-15-



หลังจากโดนสารภาพรักต่อหน้าต่อตา ทางเลือกควรจะมีเพียงตอบรับกับปฏิเสธ หรือหากจะเพิ่มทางเลือกที่สาม มันก็ควรเป็นคำตอบแบ่งรับแบ่งสู้สำหรับคนไม่แน่ใจ ประมาณว่าขอเวลาคิด ขอให้แน่ใจอีกหน่อยอะไรพวกนั้น แต่ผมได้ทำลายทุกความเชื่อดั้งเดิมไปหมดแล้ว ด้วยการเพิ่มทางเลือกที่สี่เข้าไปในนั้น มันคือสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึง และไม่ว่าใครก็คงทำซ้ำไม่ได้

ผมเป็นลมใส่หน้าภาม...

แม้ยามฟื้นคืนสติจะรีบบอกว่าเป็นเพราะตากฝน แต่เหตุผลบ้าบอแบบนั้นมันฟังขึ้นเสียที่ไหน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ผมเห็นเขาทำตัวตามปกติ ไม่มีท่าทีจะพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีก กลายเป็นผมดูร้อนรนไปคนเดียว ถามว่ารนขนาดไหน...รนขนาดที่ว่านอนไม่หลับซ้ำอีกคืน ตาบวมจนไม่รู้จะบวมยังไง

มันต้องเป็นเพราะผมยังไม่ได้ปฏิเสธภามไปตามตรงแน่ ถึงคำพูดของเขาจะเป็นการสารภาพรักที่ดูคล้ายจะบอกให้รู้ว่าจะเข้าหา ประมาณว่าจะจีบ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องยอมรับแล้วให้เขาทำตามที่คิด

ถ้าไม่ชอบก็พูดไปเลยว่าไม่ชอบ ถ้าจะปฏิเสธก็ควรพูดตรงๆ ไปเลย ดังนั้น...

“ภาม” ผมหันไปหาคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงจริงจังเต็มที่ ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องปฏิเสธให้ได้ แต่ว่า...

“หืม”

“เอ่อ...” จู่ๆ เสียงที่อัดอยู่ในลำคอก็จางหายไปเสียเฉยๆ เมื่อได้มองสบดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองกันอยู่ก่อนแล้ว ผมพยายามอ้าปาก ตั้งท่าจะพูดอยู่อีกหลายรอบ แต่สุดท้ายก็มีเพียงความว่างเปล่า ถ้อยคำปฏิเสธแรงๆ ที่เตรียมไว้ไม่มีหลุดออกไปสักคำ

“จะพูดอะไร” ภามถามซ้ำอีกรอบ

“คือฉันคง...” รับความรู้สึกของนายไว้ไม่ได้หรอก

แค่นี้ทำไมพูดไม่ได้วะเนี่ย เป็นบ้าอะไรไอ้เจได ก็แค่พูดออกไปตามที่สมองสั่ง

“ชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม” เหมือนภามจะเป็นฝ่ายหมดความอดทนกับผมก่อน เขาลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนผมให้ลุกตามไปด้วย จากนั้นก็จัดการลากให้เดินออกไปด้านนอกโดยไม่คิดถามความเห็นกันเลยสักคำ

“นายจะพาฉันไปไหน”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างคุณจะลืมกินข้าว”

ด่าตะกละเลยก็ได้ถ้าจะขนาดนี้

ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าลืมกินข้าวน่ะยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเขารู้ว่าผมไม่ได้นอนเพราะเรื่องของตัวเอง ถึงตอนนั้นผมคงขายหน้ายิ่งกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า ยังไม่นับรวมเรื่องที่ไม่กล้าปฏิเสธนั่นอีกนะ

ภามลากผมมาที่บ้านน้าต้อยผู้เสียสละครัวและวัตถุดิบทำอาหารให้เราทำกินกันได้ตามสบาย ตอนแรกๆ ผมเกรงใจแทบตาย แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าไอ้บ้าภามมันไปตกลงกับน้าแกเรื่องค่าอาหารเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ถ้าแตงไม่บอกผมก็คงไม่รู้เลย ตัวต้นเรื่องหรือก็ไม่คิดจะบอก ปล่อยให้เรานั่งเครียดอยู่ได้ตั้งนาน นิสัยเสียจริงๆ

“ผมอยากกินไข่เจียวอีก”

“รับทราบครับคุณชาย”

หน้าที่ในการทำอาหารกลายเป็นของผมไปโดยปริยาย เมื่อคุณชายให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นคนจ่ายเงิน ดังนั้นผมเลยต้องเป็นคนทำ ถึงมันจะดูแหม่งๆ อยู่นิดหน่อยตรงที่ว่าทำไมผมต้องให้เขาจ่ายให้ แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นผมโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว เพราะเมนูแต่ละอย่างที่ภามอยากกินมันก็ไม่ได้เกินความสามารถมากนัก อีกอย่างคือผมเองก็รู้สึกดีเหมือนกัน ที่ได้รื้อฟื้นวิถีชีวิตเดิมๆ ก่อนที่งานจะยุ่งจนหัวหมุน สุดท้ายเลยปล่อยเลยตามเลย ยอมทำข้าวทำปลาให้เขากินแลกกับการที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว

นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ทำกับข้าวกินเอง ได้มาเที่ยวมันก็ดี...

“นี่”

“เฮ้ย!” ตะหลงตะหลิวปลิวกระจายไปตามความตกใจจนแทบสิ้นสติ คนยิ่งจิตอ่อนๆ อยู่ด้วย ไอ้บ้านี่ยังกล้ามาพูดเป่าลมใส่หูผมอีก!

“ตกใจแรงมาก”

“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมหันไปตีแขนภามโดยไม่ออมแรง ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จนคล้ายจะหลุดออกมานอกอก ส่วนไอ้คนถูกตีนอกจากจะไม่สำนึกแล้ว ยังมีหน้ามายกยิ้มกวนตีนหน้าเตะส่งมาให้ด้วย

บทจะยิ้มก็ยิ้มใหญ่เลยนะเอ็ง น่าหมั่นไส้ฉิบ

“ผมเห็นคุณเหม่อ” เขาพูดหน้าตาย เหมือนจะมีเหตุผลอยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้ามากระซิบถึงข้างหูหรือเปล่า แค่เรียกหรือสะกิดก็พอแล้ว แต่ขืนพูดออกไป คนอย่างภามต้องคิดว่าผมขวัญอ่อนเพราะเขาแน่ๆ

“เหม่อนิดเหม่อหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ได้ แต่ถ้าไข่ไหม้อีกคุณกินตรงส่วนที่ไหม้แล้วกัน”

“รู้แล้วน่า” ผมตัดบทโดยการหันไปคว้าตะหลิวอีกอันมาพลิกไข่ ถึงสีจะคล้ำไปหน่อยแต่ก็ยังไม่ได้ไหม้แบบที่คิด “กรอบกำลังดี”

“ผมชอบกินนิ่มๆ”

“…”

ถ้าเอาตะหลิวฟาดหัวภาม ผมต้องโดนโทษอะไรบ้างนะ

เรานั่งกินข้าวไข่เจียวหมูสับกันจนหมดโดยใช้เวลาไม่ถึงสองนาที ผมหิวจนแทบจะกินจานได้ทั้งใบ ทั้งยังเป็นคนกินไวอยู่แล้ว แต่ที่น่าแปลกคือคุณชายที่ปกติจะกินข้าวในรูปแบบของผู้ดี กว่าจะกินหมดเอาเวลาไปวิ่งเล่นรอบเกาะได้หนึ่งรอบ มาวันนี้เขากลับกินเร็วไม่แพ้ผม ทั้งยังกินเกลี้ยงแบบที่ไม่เหลือข้าวเลยสักเม็ดด้วย

“ทำไมวันนี้นายกินไว” ผมถามอย่างอดไม่ได้ระหว่างที่กำลังรวบจานสองใบเพื่อเอาไปล้าง

อ่าใช่...หน้าที่ล้างจานเป็นของผมเอง แม่บ้านไหมล่ะ

“นี่คุณได้ดูเวลาบ้างหรือเปล่า”

“กำลังจะเที่ยงไง อ๋อ...วันนี้มากินข้าวช้านายเลยหิวสินะ” ที่แท้ก็โมโหหิวเลยกินไว

“เฮ้อ…” ครั้งนี้ภามถอนหายใจใส่หน้าผมแรงๆ เขาดึงจานไปถือไว้แล้วเดินตรงไปล้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ผมได้แต่ทำตาโตมองตามหลังไปด้วยความตกใจ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ผมยังไม่เคยเห็นเขาล้างจานเลยนะ รู้ตัวอีกทีก็วิ่งดุ๊กดิ๊กตามไปอยู่ด้านหลังแล้ว

“นายไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย”

“ปกติคุณเป็นคนขี้ลืมระดับไหน”

คำถามของภามทำให้ผมต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาด แต่อาจเป็นเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตามองเขาล้างจานอยู่ ปากเลยเผลอตอบออกไปโดยอัตโนมัติ

“ถ้าไม่ใช่เรื่องในวิชาชีพก็ขี้ลืมอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเหม่อรับปากแล้วจำไม่ได้มากกว่า”

อันนั้นน่าจะบ่อย ผมเป็นพวกมีสมาธิเวลากำลังตั้งใจทำอะไรสักอย่างมาก ช่วงอยู่มหา’ลัยจำได้ว่านั่งอ่านหนังสือแล้วมีเพื่อนมาชวนไปเตะบอล ปากอืออารับคำไปแต่จริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ จนมันมาด่านั่นแหละถึงรู้สึกตัว เวลาผมตั้งใจอยู่ เรื่องเดียวที่จะทะลุเข้ามาทำลายสมาธิได้มีเพียงเรื่องของคนไข้เท่านั้น

ดูเหมือนภามจะหมดความอดทนกับผมแล้วเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอีกรอบ คนตัวสูงหมุนตัวมาหา จ้องหน้ากันเหมือนจะกดดัน แต่ผมยังไม่พร้อมสบตาเขาในเวลานี้เลยได้แต่เบนหน้าหนีแบบโคตรจะไม่เป็นธรรมชาติ

“เมื่อวานคุณรับปากว่าจะไปเล่นกับเด็กๆ ตอนสิบเอ็ดโมง”

“หา” ผมตาโต ในหัวนึกอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อวานนอกจากตอนลงจากเขาแล้วเจอเจ้าตาลโดยบังเอิญ ผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับใครเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่าตาลชวนตอนที่ผมสติหลุดจากเรื่องที่ภามพูดอยู่ เลยเผลอรับปากไปแบบไม่รู้ตัว

“นึกออกหรือยัง”

“ยัง แต่รีบไปเร็ว” ว่าแล้วก็คว้าข้อมือหนาของอีกคนมากำไว้แล้วออกแรงลากให้วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ปกติพวกเด็กๆ จะนัดเจอกันที่หาด ตรงจุดที่พวกผู้ใหญ่ทำงานกันก่อน แล้วค่อยพากันไปเล่นที่อื่น ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดเด็กพวกนั้นต้องยังรออยู่แน่ๆ

ผมวิ่งไปในทิศทางที่คุ้นเคยจนเริ่มรู้สึกหอบ ขาก้าวช้าลงโดยไม่รู้ตัว เพิ่งนึกได้ว่าครั้งก่อนวิ่งไปแบบนี้แล้วสภาพเป็นแบบไหนก็ตอนที่เริ่มรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดซ้ำอีกรอบ

“วิ่งแบบนี้เดี๋ยวก็หน้ามืดอีกหรอก” เสียงเตือนดังขึ้นจากคนที่กำลังวิ่งตามแบบสบายๆ อยู่ด้านหลัง ผมอยากหันไปบอกเขาว่าไม่ทันแล้ว แต่เหมือนภามจะรู้ตัวก่อน เขาถึงได้หยุดวิ่งแล้วกระชากแขนให้ผมหยุดตามไปด้วย

“โอย…” เบื่อความอ่อนแอของตัวเองจนอยากจะเป็นลมตายให้รู้แล้วรู้รอด

แต่เดี๋ยวนะ...เป็นลมเหรอ

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานวาบเข้ามาในหัวเหมือนกำลังกรอเทปย้อนกลับ ผมยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมไว้นวดขมับเพื่อสะกิดจิตให้ลืมมันไปอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าท่าทางเช่นนั้นจะทำให้อีกคนเป็นห่วงจนก้าวเข้ามาคว้ามือกันไว้อีกข้าง

“โอเคหรือเปล่า” ใบหน้าคมคายในระยะประชิดที่ดูเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ต้องกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะดึงสติคืนมาได้

“ไม่เป็นไรแล้ว” ผมดึงแขนทั้งสองข้างออกมาเบาๆ ซึ่งภามก็ยอมปล่อยแต่โดยดี หากบรรยากาศรอบด้านกลับดูกระอักกระอ่วนขึ้นมากะทันหัน แม้อาจเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว แต่มันก็ไม่โอเคเอาเสียเลย “ไปกันเถอะ”

เมื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ที่อธิบายไม่ถูกได้แล้ว ผมก็ตั้งใจสาวเท้าเดินอีกครั้ง จะอย่างไรก็ต้องไปขอโทษเด็กพวกนั้นก่อน ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ไปถึงแล้วไม่เจอใครเลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยจะได้รู้สึกดีขึ้นหน่อยที่พวกนั้นไปเล่นกันโดยไม่รอ แต่ก็ทำได้แค่คิด เมื่อพบว่าเด็กๆ เกือบสิบคนเหล่านั้นกำลังนั่งเล่นกันอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดนัดพบอย่างพร้อมเพรียง

“พี่หมอกับพี่ชายมาแล้ว!” เจ้าตาลที่หันมาเห็นผมกับภามเป็นคนแรกตะโกนบอกพี่ๆ เสียงดัง ก่อนร่างเล็กจะวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาจูงมือผมกับภามให้เดินเข้าไปรวมกลุ่ม

“พวกเราคิดว่าพี่จะไม่มาแล้ว” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ

“แตงบอกว่าพวกพี่อาจจะนอนอยู่ เราเลยไม่ไปกวน”

“แม่บอกว่าให้เล่นได้ถึงสี่โมงแหละ”

“พี่ไปกับพวกเรานะ”

ผมมองเจ้าของเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่วิ่งไปมารอบกายด้วยความรู้สึกหลากหลาย นอกเหนือจากความรู้สึกผิดที่เห็นเด็กๆ ยังรอ มันยังมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ได้เห็นว่าพวกเขาไม่คิดจะกล่าวโทษผมเลยแม้แต่น้อยรวมอยู่ด้วย

ทั้งๆ ที่ยังเด็กอยู่ อยากงอแงอะไรตามวัยก็ได้แท้ๆ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะไม่พอใจหรือหงุดหงิดที่ต้องรอเลย

“ถ้าเป็นผมเมื่อก่อน บ้านคงแตกไปแล้ว” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ ดูเหมือนจะคิดไม่ต่างกันกับผมนัก

“คงเพราะชาวบ้านเลี้ยงดูพวกเขาไม่เหมือนเรา” พวกเขายังไม่รู้จักเทคโนโลยี เป็นผ้าสะอาดที่ผู้ใหญ่ช่วยกันเลี้ยงดูมาอย่างดีที่สุด ผมได้แต่หวังว่าเมื่อโตแล้วเด็กเหล่านี้จะยังเป็นคนดี ไม่หลงงมงายไปกับแสงสีของคนในเมืองง่ายๆ “เด็กๆ อาจยังไม่รู้จักกับความโหดร้ายของโลกภายนอก”

“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก” คนที่ยืนอยู่ข้างผมส่ายหน้า ก่อนจะโน้มตัวลงไปอุ้มเจ้าตาลขึ้นมา “ถามสิ”

“ถามอะไร”

ภามไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขาเป็นฝ่ายมองดวงตาแป๋วแหว๋วของตาล แล้วเอ่ยถามออกมาด้วยตัวเอง

“นายได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”

“เรียนจ้ะ” เจ้าตาลเกาะคอเสื้อภามไว้แล้วพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเราทุกคนเข้าไปเรียนในเมือง สุดสัปดาห์จะกลับบ้านหนึ่งครั้ง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เราเลยกลับมาอยู่ที่เกาะ”

ผมมองหน้าตาลด้วยความแปลกใจ แปลกใจทั้งกับคำตอบที่ได้รับ และแปลกใจที่ภามถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็หันกลับไปคุยกับน้องอีก

“เพื่อนที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”

“ช่วงแรกเพื่อนๆ ไม่ยุ่งกับหนูเลย พวกเขาบอกว่าหนูมาจากบ้านนอก” เด็กน้อยทำหน้าเศร้า แต่แค่แป๊บเดียวก็กลับมายิ้มฟันหลอได้เหมือนเดิม “แต่พอหนูบอกว่าเกาะของหนูที่พวกเขาเรียกว่าบ้านนอกมีอะไรอยู่บ้าง แล้วเราได้เล่นอะไรกันบ้าง พวกเขาก็เข้ามาฟังกันใหญ่เลย แล้วยังบอกให้หนูพามาเที่ยวด้วย”

“พวกนั้นชอบแกล้งตาล” เสียงพูดแทรกดังขึ้นมาจากร่างเล็กๆ ของแตงที่เกาะขากางเกงผมอยู่ นอกจากนั้นเด็กคนอื่นๆ ยังหยุดเล่นแล้วเดินมายืนล้อมผมกับภามไว้ด้วย ต่อจากนั้นเสียงฟ้องเจี๊ยวจ๊าวก็ดังขึ้นจากรอบด้าน

ผมกะพริบมองท่าทางไม่พอใจของเด็กๆ โดยไม่รู้จะทำยังไงดี แต่ที่น่าแปลกคือ...พวกเขาเอาแต่ฟ้องเรื่องของเจ้าตัวเล็กเพียงอย่างเดียว ไม่ได้พูดถึงเรื่องของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“แล้วพวกเราไม่เจอปัญหาบ้างเหรอ” ผมก้มลงถาม

“ไม่สำคัญหรอก พวกเราดูแลตัวเองได้” หลังจากแตงพูดจบ คนอื่นๆ ก็เอาแต่บอกว่าใช่ตามกันเป็นทอดๆ

“ตาลเป็นน้องเล็ก แล้วพ่อแม่ทุกคนก็บอกให้พวกเราดูแลน้อง” 

“ถึงพวกเด็กในห้องจะไม่แกล้งน้องแล้ว พวกห้องอื่นๆ ก็ยังแกล้งอยู่ดี”

“แต่หนูมีความสุขเวลาที่พี่ๆ ทุกคนเข้ามาปกป้องนะจ๊ะ” เจ้าน้องเล็กที่ถูกภามอุ้มไว้พูดขึ้นมาเสียงดัง ทำให้เสียงจอแจรอบด้านหยุดลงตามไปด้วย “อันที่จริงอยู่ที่โรงเรียนสนุกมากเลยจ้ะพี่หมอ หนูโดนแกล้งนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงหนูก็จะไปฟ้องคุณครูอยู่ดี”

“ขี้ฟ้องนะเรา” ผมหัวเราะขำขณะยื่นมือไปขยี้หัวทุยของตาล

“หนูตั้งใจเรียนเพราะจบมาจะได้มีงานทำ มีเงินมาเลี้ยงดูทุกคนจ้ะ” เจ้าเด็กฟันหลอพูดจาน่าเอ็นดูจนแม้แต่ภามที่ทำหน้าราบเรียบมาตลอดยังดูมีสีหน้าอ่อนลง พวกพี่ๆ ที่ได้ยินน้องพูดแบบนั้นเองก็เหมือนกัน หันมายิ้มแฉ่งแล้วพยักหน้าหงึกหงักยืนยันกันยกใหญ่

“ผมจะเป็นหมอเหมือนพี่หมอแหละ จะได้มาประจำอยู่ที่เกาะ คอยช่วยเหลือลุงๆ ป้าๆ ได้”

“ผมจะเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติ พ่อแม่จะได้ไม่่ห่วงเวลาผมขอไปเล่นทะเลกับเพื่อน”

“หนูอยากเป็นนางงามค่ะ ถ้าหนูอยู่ในจอโทรทัศน์ หนูต้องมีเงินเยอะแยะมาเลี้ยงดูแม่แน่ๆ”

สารพัดความฝันและเป้าหมายถูกพูดออกมาทีละอย่าง จากบอกแค่สั้นๆ เริ่มกลายเป็นเล่าเรื่องราวออกมามากมาย พูดกันไม่หยุดปากจนผมถูกภามดึงแขนให้นั่งลงกับผืนทรายแล้ว เด็กๆ ก็ยังพูดอยู่ แม้จะต่างความคิด ต่างความฝัน หากสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดร่วมระหว่างพวกเขา คือการบอกว่าตัวเองทำเพื่อทุกคนบนเกาะ

ตอนที่ผมบอกว่าเด็กๆ ยังไม่ได้เจอกับความโหดร้ายของโลกภายนอก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมภามถึงบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมด

พวกเขาไม่ได้อยู่แต่ในเกาะแบบที่ผมคิด กลับกันคือเด็กทุกคนได้ไปโรงเรียน ได้เห็นวิถีชีวิตของคนในเมืองแล้ว พวกเขาถูกแกล้ง ถูกมองว่าประหลาด เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำลายความเชื่อมั่นที่มีได้ มันอาจจะเป็นความเข้มแข็งที่ได้รับมาจากผู้ปกครอง หรือการเลี้ยงดูที่ถูกสั่งสอนมา แต่ทั้งหมดทั้งมวล ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด...คงเป็นความรักและความผูกพันของทุกคนที่นี่

“ทำไมถึงรักเกาะขนาดนั้นล่ะ” เสียงถามด้วยความข้องใจของภามทำให้ผมหลุดจากภวังค์ และเงยหน้าขึ้นมองเด็กๆ เพื่อรอคำตอบตามไปด้วย ทุกคนหันหน้ามองกัน มองไปมองมาจนมาหยุดอยู่ที่น้องตาล แล้วเด็กที่อายุน้อยที่สุดก็ยิ้มกว้างพร้อมตอบออกมาอย่างชัดเจน

“เพราะที่นี่มีทุกคนอยู่ไงจ๊ะ” รอยยิ้มไร้เดียงสากระจายอยู่เต็มใบหน้าของเด็กทุกคน ผมมองเห็นความจริงใจและความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตากระจ่างใสทุกคู่ “ทุกคนที่นี่คือความสุขของพวกหนู”

อะไร...

ถามเด็กแล้วหันมามองทำไม ต้องการอะไรเล่า

“แล้วพี่ชายล่ะจ๊ะ” เสียงใสๆ ของเจ้าตาลเอ่ยถาม “ทำไมพี่ชายถึงรักพี่หมอ”

เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าแม้แต่เด็กก็คิดว่าผมกับภามเป็นแฟนกัน

ผมหัวขวับไปขมวดคิ้วใส่หน้าภาม เป็นการบอกใบ้ให้เขาแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าไม่น่าไว้วางใจ อาการเสียวสันหวังก็วาบขึ้นมาแทบจะทันที

“ยังไม่ใช่รักหรอก” ภามก้มลงบอกน้อง “ตอนนี้แค่ชอบ”

“…”

“และถ้าถามว่าทำไมชอบ...” สิ้นประโยคนั้น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงมาที่ผม ในแววตามีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างปรากฎอยู่ชัดเจน

“…”

“คงเป็นเพราะฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นสิ่งที่ตามหามานาน”

ตึกตัก ตึกตัก

แววตาของเขา...ย้ำให้รู้ว่าสิ่งที่ผมได้ยินมันคือเรื่องจริง และทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าไม่ได้รู้สึก หัวใจไม่รักดีกลับทรยศคำสั่งของสมองที่บอกให้เฉยชาเข้าไว้ แล้วเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

“พี่หมอหน้าแดงแหละ!”

“พี่หมอเขิน!”

“พี่หมอไม่ยอมมองหน้าพี่ชายเลย!”

“…” ขอบคุณที่ทำลายบรรยากาศ

ผมกระแอมเบาๆ เพื่อเรียกสติ แสร้งทำเป็นหูทวนลมไปกับคำแซวมากมายจากพวกเด็กตัวจ้อยที่วิ่งวนไปวนมาอยู่รอบกายจนดูน่าปวดหัว ใจจริงผมอยากมองเมินภามต่อไป ทำราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่ลองคิดสภาพผู้ใหญ่สองคนนั่งอยู่ตรงกลางวง มีเด็กหลายชีวิตวิ่งล้อมเป็นวงกลม แบบนั้นจุดโฟกัสของสายตาจะหนีไปไหนพ้น นอกจากต้องมองคนที่นั่งอยู่ฝ่ังตรงข้ามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่แค่มอง...ก็รู้สึกเหมือนจะถูกดูดเข้าไปอีกแล้ว

“พอเลยๆ จะไปเล่นน้ำไหมเนี่ย” ผมผุดลุกขึ้นยืนแล้วกอดอกถามเด็กๆ ซึ่งแน่นอนว่าแค่ได้ยินคำว่าเล่นน้ำ ทุกคนต่างหยุดชะงักแล้วกระโดดไปมาอย่างดีอกดีใจ

เมื่อไม่กี่วันก่อนผมกับภามไปขอร้องพ่อแม่เด็กๆ บอกว่าจะพาพวกเขาไปเล่นน้ำ แล้วจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี ทุกคนคงเห็นว่าผมเป็นหมอด้วยเลยยอมปล่อยให้ไป แตงบอกว่าปกติคนในหมู่บ้านไม่อนุญาตให้ไปเล่นน้ำกันเอง จะเล่นแถวที่จอดเรือก็ไม่ได้ด้วย ต้องมีผู้ปกครองพาไปเล่นเท่านั้น ที่นัดแนะกันมาวันนี้ ถึงจะจำไม่ได้ว่าเผลอรับปากไป แต่ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะขอให้พาไปเล่นน้ำนั่นแหละ ไหนๆ ก็ขออนุญาตมาตั้งนานแล้ว

อีกอย่าง...ผมเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาที่เกาะ ยังไม่ได้เล่นน้ำทะเลเลยสักครั้ง

จุดที่ผมกับเด็กๆ พากันเดินมาเล่นน้ำ เป็นจุดที่อยู่ห่างจากฟากที่พวกชาวบ้านอยู่กันพอควร เด็กๆ บอกว่าเวลาพ่อแม่ว่างจะพามาเล่นตรงจุดนี้ ผมเลยเริ่มจากการกำกับดูแลและบอกข้อห้ามในการเล่นน้ำ ชี้ให้พวกเขาดูว่าเล่นได้ถึงจุดไหน และใช้เวลาได้นานเท่าไหร่ โชคดีที่ทุกคนตั้งใจฟังและปฏิบัติตามมาก เลยไม่มีปัญหาอะไรนัก

ผมกับภามนั่งอยู่บนฝั่ง มองดูเด็กๆ เล่นกันโดยไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย เพราะอยากให้ทุกคนอยู่ในสายตาตลอดเวลา คิดว่าถ้าหมดเวลาแล้วค่อยให้พวกเขากลับ ถ้าอยากเล่นเองค่อยเล่นตอนนั้นก็ไม่สาย

จะว่าไป...เห็นภาพเด็กๆ เล่นกันแล้วก็นึกถึงสมัยมาเล่นกับเพื่อนอยู่เหมือนกัน

“นายเคยมาทะเลกับเพื่อนไหม” ผมถามขึ้นมาลอยๆ เพื่อทำลายความเงียบระหว่างเราทั้งคู่

“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเก้าเป็นเพื่อนคนแรกและคน...ไม่สิ”

“หือ”

“อันที่จริงก่อนได้เจอเก้า ผมก็มีเพื่อนคนหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ในเวลานั้นผมไม่รู้ว่าคำว่าเพื่อนคืออะไร” ภามพูดออกมาช้าๆ และน่าแปลกที่ผมรู้สึกเหมือนเขากันกลับมามองกันวูบหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปทางเดิม “เขาพยายามเข้าหาผม ทั้งที่ผมเอาแต่ตอบกลับไปอย่างเย็นชา แต่แม้จะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยทิ้งผมไปเลย จนกระทั่งผมออกเดินทาง ถึงได้หยุดติดต่อกัน แถมช่องทางการติดต่อเพียงหนึ่งเดียวที่มี ผมดันลืมไปแล้วด้วย”

“แย่เลยนะ” ผมยื่นมือไปตบบ่าภามดังแปะๆ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวสักวันก็คงได้เจอกันอีก”

“หึ...นั่นสิ”

อะไรคือการทำหน้าตาเหมือนจะด่าผมว่าซื่อบื้อ...

จากที่คิดว่าจะให้เด็กๆ เล่นน้ำกันไม่เกินหนึ่งชั่วโมง กลายเป็นผมโดนอ้อนสารพัด ไม่ลงน้ำก็ต้องมาวิ่งเล่นกันอยู่บนหาด กว่าจะไล่ให้กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าได้กินเวลาไปเกือบสี่ชั่วโมง แค่เดินกลับไปส่งเด็กทุกคนก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว ผมกะจะกลับบ้านเลย เอาไว้ค่อยไปเล่นน้ำวันหลัง แต่พอเห็นคนที่เดินตามต้อยๆ พาไปไหนก็ไปไม่มีปากเสียง ผมก็เปลี่ยนใจพาเขาเดินกลับไปที่หาดเหมือนเดิม โดยแวะเข้าไปเอาผ้าขนหนูที่บ้านติดมาด้วยสองผืน

หลังจากเดินมาถึงจุดเดิมที่เด็กๆ เล่นน้ำกันแล้ว ผมก็เดินลุยลงน้ำทันที ก่อนจะหยุดเท้าเมื่อระดับน้ำอยู่บริเวณตาตุ่ม จำได้ว่าครั้งก่อนที่ภามให้นั่งเอาตัวท่อนล่างสัมผัสน้ำมันทำให้ผมรู้สึกสบายมาก ดังนั้นครั้งนี้ผมจะพัฒนาไปอีกขั้น...ด้วยการเอนตัวลงนอนแนบพื้นทรายทั้งตัวไปเลย

“คุณทำอะไร”

“ลงมานอนเร็วเข้า” ผมกวักมือเรียกภามที่กำลังก้มหน้าลงมองกันอยู่ คล้ายวูบหนึ่งเหมือนเห็นแววตาขบขันของเขา แต่จากนั้นไม่นานมันก็กลายเป็นความระอาใจแทน

“นี่มันวิธีเล่นน้ำแบบใหม่หรือไง”

“นายไม่...แค่กๆ” เวรกรรม น้ำพัดเข้ามาแรงไปหน่อยจนเข้าจมูกเฉยเลย

“บ้าบอ” ถึงจะว่าแบบนั้น แต่เขาก็ยังนั่งลงด้านข้างแล้วช่วยดึงตัวผมให้ขยับขึ้นไปสูงกว่าเดิมอีกนิด คราวนี้น้ำเลยไม่เข้าหน้าแล้ว ผมยกมือข้างเดียวทำท่าเหมือนจะไหว้ภาม ก่อนจะดึงแขนเขาแล้วเขย่าเบาๆ

“นอนลงมาเร็ว” สุดท้ายหลังจากโดนเขย่าจนรำคาญหรือยังไงก็ไม่รู้ ภามก็ล้มตัวลงนอนข้างผมในที่สุด ถ้าเวลานี้มีแดดเราคงกลายเป็นปลาตากแห้งไปแล้ว แต่ก็เพราะไม่มีนั่นแหละ คนไม่ชอบแดดอย่างผมถึงได้ทำแบบนี้ “ฉันอยากลองทำแบบนี้มาตลอดเลย สมัยมากับเพื่อนแดดร้อนจนไม่กล้าทำ พอเข้าช่วงเย็นกับช่วงค่ำก็ชอบโดนลากให้ไปทำอาหารจนอดเล่นทุกที”

“คุณทำอาหารให้เพื่อนกิน?”

“ไอ้พวกนั้นมันเป็นลูกคุณหญิงคุณชาย ทำอะไรกินเองไม่เป็นหรอก มีแค่ฉันนี่แหละที่ทำได้ตั้งแต่จุดเตายันล้างจาน” เวลามาเที่ยวกับเพื่อนผมแทบจะกลายเป็นตัวสารพัดประโยชน์ ทำได้ทุกอย่างจนเหมือนมาช่วยบริการคุณหนูคุณชายทั้งหลาย แต่มันก็สนุกมากเลยละ

“แล้วทำไมช่วงที่ได้เวลามาพัก ถึงไม่คิดติดต่อเพื่อนล่ะ”

ผมโยกหัวถูกับทรายไปมา ใจครุ่นคิดถึงช่วงเวลานั้น จะว่าไปแล้วก็จริงของภาม ช่วงที่ตัดสินว่าจะมาพักตามที่พ่อแม่บอกผมแทบไม่ได้นึกถึงเพื่อนเลย

“ตอนแม่บอกให้ลองออกมาตามหาความหมายของชีวิต ฉันนึกแค่ว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายลืมไปเลยว่าจะไปหาเพื่อนก็ได้” ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองภามแล้วพูดติดตลก “อีกอย่าง...ถ้าฉันทำแบบนั้นก็คงไม่ได้เจอนายใช่ไหมล่ะ”

“…”

ฉิบหาย...พูดไม่คิดอีกแล้วกู

ผมรีบหันหน้ากลับมาเมื่อมองเห็นแววตาที่ดูเปลี่ยนไปของภาม รวมทั้งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

“ทำไมคุณถึงไม่ปฏิเสธล่ะ”

“อะไรเหรอ”

“ถ้าคุณไม่ชอบผม ทำไมคุณถึงไม่ปฏิเสธ” เขาถามชัดเจน ในน้ำเสียงไม่มีความกังวลหรือความเขินอายอะไรแฝงอยู่เลย ต่างจากผมที่หน้าแทบไหม้ทั้งที่ไม่มีแดดเลยสักนิด

อะไรวะเนี่ย จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“เอ่อ...”

จะให้ตอบว่าฉันก็กะจะปฏิเสธนั่นแหละ แต่ปากมันไม่ยอมพูดงี้เหรอ ภามได้ขำจนตีนกาขึ้นแน่

“คุณยังเฉยอยู่แบบนี้ หมายความว่ายอมให้ผมจีบใช่หรือเปล่า”

“นี่หน้านายโบกปูนกี่ชั้นวะเนี่ย” ผมหันขวับไปถามอย่างอดไม่ได้ แล้วก็พบว่าภามเอียงคอมองกันอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าปลาตายของเขายังคงเหมือนปลาตายเช่นเคย “พูดแบบนี้ออกมา ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่รู้สึก”

“…”

คล้ายจะบอกใบ้ให้รู้ เมื่อเขาคว้ามือข้างหนึ่งของผม เอาไปวางแหมะไว้บนอกตัวเอง ในดวงตาว่างเปล่ามีประกายระยิบระยับน้อยๆ ที่คอยหลอกล่อ เหมือนจะวางแผนผลักผมให้หล่นลงไปในหลุมที่เคยปีนขึ้นมาได้ทันอีกรอบ

แต่ว่า...

“เอ่อ...ภาม”

“ว่า”

“หัวใจนายอยู่ข้างขวาเหรอ”

“…”

“ไม่เป็นไรนะ ฉันก็ขายหน้าบ่อยๆ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ ไอ้บรรยากาศที่สร้างมาเมื่อกี้จางหายไปแบบกู่ไม่กลับเรียบร้อยแล้ว

“อันที่จริงผมแค่อยากให้คุณขำ”

เอ่อ...ช่วยหยุดทำหน้าตายแล้วพูดเหมือนคาดการณ์ไว้แล้วที

จะมองยังไงก็พลาดแบบไม่น่าให้อภัยชัดๆ

ถ้าจะโรแมนติก อยากเอามือไปแปะให้รู้ว่าใจเต้นแรงขนาดไหน ทีหลังก็ช่วยเช็คตำแหน่งหัวใจตัวเองก่อนสิโว้ยยยย!



——————————



ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #96 เมื่อ10-08-2018 11:57:53 »

-16-


วันแรกตากฝนเกือบสองชั่วโมง วันที่สองไปนอนเล่นให้ตัวเปียกอีกสองชั่วโมง คงไม่ต้องถามว่าวันที่สามจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแค่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมก็ต้องขดตัวเป็นกุ้ง มือกุมขมับเพราะปวดหัวจี๊ดแทบจะทันที ร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงเท่าไหร่อยู่แล้ว ทั้งยังเจอเชื้อโรคมามากมาย พอไปตากฝนเล่นน้ำติดๆ กันแบบไม่คิด ไม่แปลกที่จะไม่สบาย ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้คงตบหัวผมคว่ำแล้วบอกว่าเป็นหมอประสาอะไร ทำไมไม่ดูแลตัวเอง ซึ่งอันที่จริงทั้งพ่อทั้งผมต่างก็ไม่ดูแลตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

“ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อน” คนที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคนป่วยไปโดยอัตโนมัติสะกิดแขนผมเบาๆ ใบหน้าปลาตายของเขาดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง อีกทั้งคิ้วยังขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว

“รู้แล้ว” ผมพยายามดันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก อาการปวดหัวเกือบทำให้ยอมแพ้แล้วล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ แต่เพราะโดนรั้งแขนไว้อย่างรู้ทัน สุดท้ายเลยทำได้เพียงขยับไปพิงผนังไว้

อันที่จริงตั้งแต่ตื่นขึ้นมาผมก็ไม่เห็นภามอยู่ในบ้านแล้ว ตอนแรกคิดว่าเขาจะไปออกกำลังกายหรืออาบน้ำ แต่พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมชามข้าว ผมถึงได้รู้ว่าเขาคงจะสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าผมไม่สบาย ถึงได้ออกไปหาข้าวหายามาให้ ทั้งยังดูเป็นห่วงผมมากด้วย

“ไม่สบายแบบนี้คุณทรมานหรือเปล่า” ภามถามขึ้นในระหว่างที่กำลังตักข้าวต้มป้อนเข้าปากผม

“ไม่สบายก็ต้องทรมานอยู่แล้ว” ผมตอบกลับตามความจริง แต่พอเห็นใบหน้ายุ่งยากใจเหมือนอยากถามแต่ไม่รู้จะใช้ถ้อยคำยังไง ในตอนนั้นถึงได้เข้าใจความหมายของคำถาม เขาคงเห็นว่าผมเป็นพวกใจเสาะ กลัวความเจ็บปวดแทบทุกอย่าง เลยอยากรู้ว่าเวลาไม่สบายแล้วรู้สึกแย่ถึงขนาดนั้นด้วยไหม “ถ้าไม่สบายแบบนี้ ฉันก็เหมือนคนทั่วไปแหละ”

ยกเว้นอยู่เรื่องหนึ่ง...ดูเหมือนเวลาไม่สบายหรือเหนื่อยจนทนไม่ไหว ผมจะต้องการสิ่งยึดเกาะมากเป็นพิเศษ

“จะไปไหน” อยากจะตีมือที่ยื่นไปรั้งชายเสื้อเขาไว้เหลือเกิน แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะแค่เห็นภามทำท่าจะลุกขึ้นไปหลังป้อนข้าวผมหมด มือไม่รักดีมันก็ยื่นไปรั้งเขาไว้เองโดยอัตโนมัติ

“ผมจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ คุณกินยาก่อน” ภามพูดด้วยสีหน้าเช่นเดิมพร้อมยื่นยามาให้ หากดวงตากลับมีประกายสดใสวาบผ่านจนผมเผลอหลบสายตา เขาดึงมือผมออกจากชายเสื้อตัวเองเบาๆ จากนั้นเอามาวางแปะไว้บนฟูกเหมือนเดิม “คุณนับหนึ่งถึงสิบผมก็มาแล้ว”

“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย” ผมบ่นอุบอิบ เอายาเข้าปาก แล้วบอกตัวเองว่าเป็นเพราะพิษไข้เล่นงาน ในใจถึงได้นับเลขตามจริงๆ

จนกระทั่งผมนับถึงเก้า ภามที่เดินออกไปนอกบ้านก็กลับเข้ามาด้านในอีกครั้งพร้อมขันน้ำกับผ้าขนหนูหนึ่งผืนในมือ คนตัวสูงทรุดตัวลงนั่งข้างผม แล้วเอาผ้าจุ่มทิ้งไว้ในน้ำ ก่อนจะหันมาจับชายเสื้อผ้าไว้ ตั้งท่าจะถอดเต็มที่

“นั่งตรงๆ หน่อย ผมถอดเสื้อคุณไม่ได้”

“ไม่ไหว” ผมส่ายหน้า แค่ขยับตัวก็ปวดหัวไปหมดแล้ว ถึงจะบอกว่าเวลาไม่สบายก็เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าปวดหนักขนาดนี้ ผมว่าเดี๋ยวคงมีน้ำตาซึมในไม่ช้า

“ไม่เป็นไร” ภามพูดแค่นั้นแล้วขยับเข้ามาใกล้ เขาใช้มือข้างหนึ่งดันหัวผมอย่างระวังระวังให้ซบลงบนไหล่ตัวเอง ก่อนจะช่วยถอดเสื้อให้ช้าๆ “ถ้าเย็นก็กอดผมไว้”

สัมผัสเย็นเยียบของผ้าขนหนูชุบน้ำวางทาบลงมาบนแผ่นหลังทำให้ผมสะดุ้งจนเผลอกอดเขาไว้แน่นจริงๆ ตอนนี้ร่างกายสูงใหญ่ของภามเปรียบเสมือนหลักยึด ที่ผมรู้สึกว่าหากไม่ได้เกาะไว้คงต้องปวดหัวจนร้องไห้ ยิ่งคิดแบบนั้นก็ยิ่งกอดเขาไว้แน่น จะมีแค่ตอนที่ภามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ให้ปล่อยมือ ผมถึงจะยอมปล่อย แล้วพอเขาเช็ดหน้าเช็ดตา เช็ดตัวด้านหน้าให้หมดแล้วก็โผเข้าไปกอดไว้เหมือนเดิม

“นายดูคล่องจัง” ผมพูดด้วยเสียงอ่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง หน้าฟุบพาดบ่าภามไว้เหมือนตุ๊กตาถ่านหมด “เคยทำแบบนี้ให้ใครหรือไง”

“ไม่เคย”

“แล้วทำไม...”

“เพราะเป็นคุณ”

ตอบไม่ตรงคำถามเลย ไอ้บ้า

หลังจากที่ไม่ได้ต่อบทสนทนาเพิ่ม ภามก็กลับมาจับผมใส่เสื้อผ้าเป็นตุ๊กตาอีกครั้ง แต่พอเขาตั้งท่าจะผลักให้ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ผมก็ยึดเกาะแผ่นหลังกว้างนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย

“ไม่เอา แบบนี้สบายกว่า”

“ป่วยแล้วงอแงเป็นลูกแมวขี้อ้อนเลย” คนที่ถือโอกาสลูบหัวผมพึมพำเสียงค่อย คล้ายจะมีเสียงหัวเราะจางๆ ติดมาด้วย แต่ผมไม่มีอารมณ์ไปสนใจ เพราะตัวภามอุ่นมากจริงๆ อุ่นจนทำให้ลืมเรื่องที่เขาพูดไปหมดเลย

ตอนที่สติกำลังจะจางหายไป ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกแกะตัวออกมาจากหลักยึดเกาะ ทั้งร่างถูกดันให้นอนราบลงบนฟูก ถึงอย่างนั้นความอบอุ่นที่กำลังจะจางหายไปก็ยังทำให้รู้สึกตัวจนคว้าคนตัวอุ่นเข้ามากอดไว้เหมือนเดิมได้ทัน แม้ทั้งร่างจะถูกทับจนหนักและอึดอัดไปหมดก็ไม่เป็นไร

“ผมจะทำยังไงกับคุณดีนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนข้างแก้มทำให้ขนลุกซู่ แต่เพราะเปลือกตาหนักเกินกว่าจะเปิดออก ผมเลยทำได้เพียงหันหน้าหนีไปด้านข้างแล้วกระชับอ้อมแขนรัดคนพูดให้แน่นกว่าเดิม

ในช่วงเวลาที่ยังพอรู้สึกตัว ผมรู้สึกเหมือนคนด้านบนขยับกายเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าผมยังกอดแน่นไม่ปล่อย เขาก็กระซิบเบาๆ ให้นับหนึ่งถึงสิบ เพียงเท่านั้นเรี่ยวแรงที่ใช้ทั้งหมดก็จางหายไป ในใจผมเริ่มนับหนึ่งช้าๆ พร้อมกันกับที่เขาขยับตัวออกไป น้ำหนักที่จางหายทำให้หายใจสะดวกขึ้น แต่กลับมีความหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่ และในเวลาที่ผมนับถึงห้า ร่างทั้งร่างก็ถูกรั้งเข้าไปหาความอบอุ่น ทั้งตัวถูกกอดรัดไว้จนเผลอยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

สบายจัง...



ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงกลางวันเพราะโดนปลุก ถึงจะยังมึนๆ ลุกไม่ขึ้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปวดหัวหนักเท่าตอนแรกแล้ว คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาช่วยส่วนหนึ่ง ส่วนคนที่คอยดูแลและเข้ามาปลุก ในยามนี้กำลังยกชามข้าวออกจากถาดอาหาร ผมมองใบหน้าด้านข้างของภามนิ่งงัน คิดไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องขอบคุณเขาอย่างจริงจังให้ได้ ถ้าภามไม่สนใจกัน ไม่เข้ามาคอยดูแล อาการของผมคงแย่กว่านี้ แม้จะไม่ถึงตาย แต่ต้องทรมานจนอยากร้องไห้แบบไม่ต้องสงสัย

“กินข้าวก่อน” ข้าวต้มหมูที่ถูกเป่าจนหายร้อนแล้วยื่นมาจ่ออยู่ตรงหน้า หลังจากที่คนพูดช่วยพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงผนังไว้เหมือนตอนเช้า ผมมองความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของเขาด้วยความตื้นตัน อดรู้สึกอบอุ่นในใจไม่ได้

นานเท่าไหร่แล้วที่เอาแต่ดูแลคนไข้โดยไม่ได้ดูแลตัวเองเลย นอกจากแม่ที่ดูแลตอนเด็ก นี่อาจนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนมาดูแลผมแบบนี้

“ขอบคุณนะ” สุดท้ายก็ตอบแทนออกมาได้เพียงคำพูด ผมยกยิ้มให้ภามอย่างจริงใจ เป็นยิ้มที่ไม่มีอะไรแฝงอยู่นอกจากอยากขอบคุณจริงๆ แล้วเขาก็ให้คำตอบโดยการคลี่ยิ้มจางส่งกลับมา เห็็นแบบนั้นผมเลยยิ่งยิ้มกว้างพร้อมกับอ้าปากกินข้าวที่ถูกยื่นมาให้อย่างสบายใจ “ยิ้มเก่งแล้วนะเรา”

คนถูกแซวชะงักมือที่กำลังตักข้าวต้มไปเพียงครู่เดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผมแล้วส่งแววตาจริงจังมาให้

“ดูเหมือนเวลาอยู่กับคนที่ชอบ ผมจะมีความสุขจนเผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัวน่ะ”

“แค่กๆ” ไอ้บ้าเอ๊ย! สำลักหมดแล้วเห็นไหมเนี่ย

“กินน้ำก่อน” ขวดน้ำเปล่าถูกยื่นมาให้ พร้อมๆ กับที่ตัวต้นเหตุช่วยลูบหลังผมเบาๆ รอจนหายไอแล้ว ผมถึงได้กลับไปขมวดคิ้วจ้องเขาเหมือนเดิม

“ทีงี้พูดว่าความสุขได้ง่ายๆ เลยนะ มั่นใจแล้วหรือไง”

ภามกะพริบตาปริบๆ หัวเอียงนิดๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วตอบออกมาเสียงเรียบไร้ความลังเล

“มั่นใจแล้วว่าเวลาอยู่กับคุณผมมีความสุข แค่ยังไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นความสุขถาวรหรือเปล่า คงต้องใช้เวลามากกว่านี้”

“อะ…”

“แล้วคุณล่ะ”

“อะไร” ผมหยุดมือที่กำลังลูบแก้มแดงๆ ของตัวเองแล้วเงยหน้ามองคนถาม

“เวลาอยู่กับผม คุณไม่มีความสุขเหรอ”

“ไม่…”

“ไม่มีเลยเหรอ” คล้ายน้ำเสียงราบเรียบกับสีหน้าปลาตายจะหมองลงเล็กน้อยจนผมใจกระตุก แม้แต่มือที่กำลังตักข้าวต้มก็หยุดตามไปด้วย ทำเอาผมร้อนรนจนเผลอพูดออกไปแบบไม่คิด

“ไม่ใช่ไม่มี...”

“แสดงว่ามี” ภามเลิกคิ้ว ตาเป็นประกาย

“ไม่รู้!” ผมตัดบทเสียงดังแล้วหยิบยามากิน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เขาอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงถามว่าอิ่มแล้วเหรอหรืออะไรก็ตามที่คนด้านหลังพูดอีก

ความสุขเหรอ...

กับคนที่เฉื่อยชามาหลายปี แทบจะใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไร้จุดหมาย จู่ๆ ก็ได้กลับมายิ้ม กลับมาหัวเราะอีกครั้ง ทั้งยังมีคนคอยดูแลแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะมี แล้วอย่างนี้จะไม่มีความสุขได้ยังไง

“ปากแข็ง”

ผมเม้มปากแน่น ไม่ตอบโต้คำต่อว่าเสียงขันที่ภามพูดขึ้นมา เพราะรู้ตัวดีอยู่แล้ว ก็แค่ไม่อยากยอมรับออกไปตรงๆ เฉยๆ นี่ถ้าไอ้เพื่อนสองตัวอยู่ตรงนี้ พวกมันต้องบอกว่าผมซึนเหมือนพ่อแน่ๆ

ปกติผมก็เป็นคนขี้เกียจและง่วงนอนง่ายอยู่แล้ว พอหัวถึงหมอนไม่ว่าจะง่วงมาก่อนหรือเปล่าก็ยังหลับได้อยู่ดี ดังนั้นแม้ว่าจะเพิ่งตื่นมากินข้าวได้ไม่นาน แต่พอไม่มีอะไรมารบกวนก็กลับมาง่วงอีกรอบ จนกระทั่งกำลังเคลิ้มๆ แล้วได้ยินเสียงคนที่เงียบไปนานดังขึ้นมา ผมถึงได้กลับมาตาสว่างอีกครั้ง

“เช็ดตัวก่อน” ภามดึงแขนปวกเปียกของผมให้หันกลับไปนอนหงาย แต่พอเห็นผมไม่ยอมลุกขึ้นมาให้ความร่วมมือ แค่นอนตาปรือมองเขาเงียบๆ อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าหน่ายแล้วเข้ามายกตัวขึ้นเพื่อถอดเสื้อให้เอง อีกทั้งปากยังพูดเหมือนจะบ่นงึมงำไม่หยุดด้วย “ทำไมตัวเล็กแบบนี้ ผอมเกินไปแล้ว”

“อย่าจ้อง” ถึงสติจะไม่เต็มร้อยก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครมาจ้องร่างเปล่าเปลือยของตัวเองที่มีแค่บ๊อกเซอร์ได้นะเว้ย ผมรีบยกมือกอดอกเมื่อเห็นว่าภามเช็ดตัวส่วนบนให้เสร็จแล้ว

“กินก็เยอะ เอาอาหารไปเก็บไว้ตรงไหนหมด”

“ไขมันนี่ไง” ผมเปิดเสื้อที่เขาเพิ่งใส่ให้แล้วเขี่ยพุงตัวเองให้ดู

“แค่นี้เนี่ยนะ”

“มันก็ยังนุ่มนิ่มอยู่ดี อย่างกับเต้าหู้ ดูอ่อนแอสุดๆ...อะ” ผมสะดุ้ง เกือบจะหน้าเขียว ต้องเม้มปากไว้แน่นเพื่อสะกดอาการเจ็บที่หน้าท้อง

เขาบีบพุงผม!

“เจ็บเหรอ” ภามปล่อยมือแล้วเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดูรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นน้ำตาผมหยดลงมาหนึ่งแหมะ คนตัวโตก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เขาคว้าตัวผมให้ลุกจากที่นอนไปพิงอกตัวเองไว้ นิ้วกร้านเกลี่ยน้ำตาออกจากหางตาให้อย่างเบามือ ต่างจากเรื่องที่ทำเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง “ขอโทษ ผมไม่คิดว่ามันจะเจ็บ”

“ฉะ...ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจ็บ” ถ้าเป็นเวลาปกติอาจจะเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นทำให้น้ำตาหยดได้ น่าจะเป็นเพราะผมป่วยอยู่ด้วย ความอ่อนแอเลยทวีคูณขึ้นหลายเท่า คิดได้แบบนั้นแล้วก็เผลอซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นๆ ของภามมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“คุณจะนอนอีกหรือเปล่า”

“ชวนคุยหน่อย ยังไม่อยากนอน” ผมตอบแล้วจัดท่านั่งให้สบายกว่าเดิม ส่วนภามกลายเป็นเสานุ่มๆ แสนอบอุ่นให้ซุกเข้าหาไปแล้ว “เดี๋ยวนอนเกินแปดชั่วโมงแล้วจะโดนกล้องฟาดหัว”

คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวผมจนเคลิ้มหนักกว่าเดิม

“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่านอนเกินก็ไม่ว่าแล้ว”

“จำไม่ได้”

“ผมเอากล้องฟาดหัวคนที่ตัวเองชอบไม่ลงหรอก”

“ไม่ต้องย้ำบ่อยได้ไหม” ขยันพูดเหลือเกิน ไอ้คำว่าชอบเนี่ย แล้วยังมีหน้ามาจับตัวผมโคลงไปมาอย่างถูกใจอีกนะ ถึงจะเข้าใจว่าการจับเนื้อต้องตัวระหว่างเรามันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ทั้งจูงไปจูงมา ให้อุ้มหรือโดนอุ้ม ล่าสุดคือกอดและพิงอย่างที่กำลังทำ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอาคำว่าชอบมาเสริมด้วยก็ได้มั้ง

“คุณอ้อนคนอื่นแบบนี้บ่อยไหม” ดูเหมือนภามจะเลือกหัวข้อได้ตรงกับสิ่งที่ใจผมคิดอยู่เหลือเกิน

“นอกจากพ่อแม่ นายเป็นคนแรกที่รู้ว่าฉันกลัวความเจ็บปวด แล้วนายคิดว่าคนที่รักษาภาพพจน์สุดๆ แบบฉันจะกล้าไปอ้อนใครไหม”

จริงอยู่ที่นิสัยผมอาจจะเหมือนแมว ชอบเข้าไปเกาะแกะและชอบความอบอุ่น แต่ก็ต้องโทษที่เขาดันชอบให้ทำแบบนั้นด้วยไม่ใช่หรือไง ใช่ว่าผมจะทำกับใครไปทั่วเสียหน่อย ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาดันรู้ความลับของผมนั่นล่ะ ทีนี้เลยไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรให้รักษาเลย

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” ต่อให้ไม่ต้องเงยหน้ามอง ผมก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงจะต้องยิ้มอยู่แน่ๆ

“เหอะ...อย่าพูดเหมือนตัวเองพิเศษไปหน่อยเลย ฉันก็แค่ขี้เกียจปฏิเสธเฉยๆ หรอก”

“…ปฏิเสธแค่คำเดียว มันสั้นกว่าประโยคที่คุณพูดตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ต้องมาเถียง ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนเรื่องๆ” ผมตีอกแน่นๆ ของเขาไปหนึ่งทีแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้เป็นก้อนกลมๆ พอนั่งท่านี้ถึงได้รู้ว่าภามตัวโตกว่าขนาดไหน ตอนที่ฝนตกแล้วถูกกอดนั่นยัง...

หยุดคิดเรื่องนั้นเดี๋ยวนี้เลย

“เป็นอะไร ทำไมหน้าแดง” คนพูดเอามือวางแหมะลงมาวัดไข้ จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเคร่งเครียดของเขาอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไร”

“มั่นใจเหรอว่าไม่อยากนอนพัก” ภามถามย้ำอีกรอบ คงเห็นผมตาปรือเหมือนจะหลับ แต่พอส่ายหัวปฏิเสธเขาก็ไม่ได้บังคับอะไร แค่เอาผ้าขนหนูอีกผืนที่ยังไม่ได้ใช้จุ่มน้ำ แล้วเอามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนผมตาสว่างขึ้นนิดหน่อย

“ถ้านายชอบฉันจริงๆ ที่ทำอยู่นี่ได้ประโยชน์เต็มๆ เลยนะ” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเอาหัวถูไหล่เขาเพื่อหาจุดที่สบายต่อการพิงระยะยาวอีกครั้ง

“หืม”

“ก็ได้กอด ได้จับนู่นจับนี่”

“อ่า...แล้วคุณยังเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย” เขาพูดเป็นเชิงเห็นด้วย

“ฉันแค่ไม่สบายหรอก”

“ง้ันคงต้องภาวนาให้ไม่สบายบ่อยๆ ใช่ไหม” ภามส่งเสียงหืมออกมาเบาๆ แล้วก็ส่ายหน้าไปพร้อมๆ กัน “ไม่ดีกว่า ผมไม่อยากให้คุณทรมาน”

“คนดี”

“คุณไม่ชอบเหรอ...” เขาพูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางผมให้เงยหน้ามองตัวเอง และแม้จะยังเห็นว่าใบหน้านั้นราบเรียบเหมือนเคย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มร้ายกาจปรากฎขึ้นแวบหนึ่ง “ไม่ชอบให้ผมเป็นคนดี?”

ถ้ากัดจมูกโด่งๆ นั่นสักทีจะเป็นอะไรไหมนะ...

“ขี้เกียจคุยด้วยแล้ว”

“แย่เลย ว่าจะบอกเรื่องที่มีคนกำลังทำขนมอยู่สักหน่อย” ภามถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะเสียดาย ในขณะที่ผมหูผึ่ง ตาโต หายง่วงโดยสิ้นเชิง

“ขนมอะไร”

“อ่าว...”

“ไม่ต้องกวนตีนเลย บอกมาดีๆ” ผมผละตัวออกมาชี้หน้าภามเคืองๆ แต่เพราะยังมึนอยู่เลยต้องเอนกลับไปพิงไว้เหมือนเดิม ซึ่งเขาก็อ้าแขนเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว

“บัวลอย”

“จริงดิ” โห...ไม่ได้กินมานานขนาดไหนแล้วนะ แค่คิดก็น้ำลายหกแล้ว “นายรู้จักหรือเปล่า”

“เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยกิน”

“งั้นไปกินกัน” บอกตรงๆ ว่าผมอยากจะลุกขึ้นวิ่งไปเองตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ติดอยู่ที่ว่าผมคงไปไม่ไหว ถึงมันจะฝืนเดินไปไหนได้ แต่คนที่กลัวความเจ็บปวดและความทรมาน คงไม่ต้องบอกว่าจะไปหรือเปล่า แค่ลุกยังไม่อยากเลย

“เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

“ไม่ได้ นายเดินกลับมาก็หายร้อนแล้ว”

ภามก้มหน้าลงสบตาผมที่มองเขาอยู่แต่แรกแล้ว ก่อนคิ้วเข้มจะเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงแปลกใจ เมื่อเห็นว่าผมกำลังยิ้มแฉ่งให้อย่างอารมณ์ดี และน่าจะส่งสายตาวิบวับเป็นประกายไปให้ด้วย

“จะเอาอะไร” มือใหญ่ขยี้หัวกันแบบไม่สนใจอายุ แต่วินาทีนั้นผมไม่คิดอะไรแล้ว เพราะเรื่องที่จะขอสำคัญกว่า

“พาไปหน่อย”

ดูเหมือนภามจะเข้าใจแล้วว่าผมต้องการอะไร เขาส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนระอาใจ แต่ก็ยังเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนามาสวมให้พร้อมกับผ้าพันคอที่ตากจนแห้งแล้ว หลังมองสำรวจว่าผมกลายเป็นดักแด้แล้วหรือยังถึงได้ผละออกแล้วหันหลังมาให้ ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อ ผมก็กระโจนเข้าไปขี่หลังเขาโดยไม่ต้องคิด พอได้แนบใบหน้าลงกับไหล่กว้างแล้ว แม้จะถูกยกขึ้นจนตัวลอย พาเดินออกจากบ้านไปทั้งแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกปวดหัวหรือทรมานอีก

“คุณไม่กลัวคนอื่นติดหวัดหรือไง” คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีเอ่ยถามระหว่างที่กำลังพาผมเดินไปตามทาง

“ฉันหยิบหน้ากากอนามัยมาแล้ว” ผมยื่นมือไปด้านหน้า ชูหน้ากากอนามัยที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาให้เขาดู เพียงแต่ตอนที่อยู่ในบ้านไม่คิดว่าต้องใส่ แล้วกับภามตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะใกล้ชิดขนาดนั้นด้วย “นายน่ะโอเคหรือเปล่า ฉันได้เผลอจามใส่ไหม”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนคุณ” บอกไว้เลยว่าถ้าเขาไม่ได้กำลังลำบากแบกผมไว้บนหลัง คอขาวๆ นั่นต้องมีรอยกัดแรงๆ สักทีแน่นอน

ต่อให้บอกว่าชอบแค่ไหน จะอย่างไรภามก็คือภามที่กวนตีนเหมือนเดิมอยู่ดี

ตอนแรกผมเข้าใจว่าคนที่ทำขนมอยู่น่าจะเป็นน้าต้อย ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ อย่างที่คิด แต่ไอ้ที่ไม่คาดคิดก็คือการที่บรรดาผู้หญิงและเด็กในหมู่บ้านต่างพากันมาอออยู่ที่นี่ทั้งหมด แล้วยังไงเหรอ...แล้วพวกเขาก็เห็นว่าผมถูกภามแบกมากันถ้วนหน้าน่ะสิ!

“พี่ชายให้พี่หมอขี่หลังมาแหละ!” เสียงเจ้าตาลดังมาก่อนเป็นคนแรก

“ว้าววววว”

“คิกๆ น่ารักกันจังนะจ๊ะ”

แล้วเสียงต่อๆ ไปก็ดังมาจากรอบด้าน ผมนึกขอบคุณที่เอาหน้ากากอนามัยมาใส่ไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกเขาจะเห็นสีหน้าตัวเองในยามนี้ เห็นทีที่ไม่ตกใจอะไรกันเลยคงเป็นผลมาจากที่ถูกคิดว่าเป็นผัวเมียกันตั้งแต่แรก ควรดีใจไหมวะเนี่ย

“นั่งตรงนี้ก่อน” ภามวางผมให้นั่งลงตรงบันไดขึ้นบ้านน้าต้อย เพราะที่อื่นๆ ถูกจับจองไปหมดแล้ว อีกทั้งเขายังหันไปห้ามเด็กๆ ที่จะวิ่งเข้ามาหาให้ด้วย

ห้ามโดยการยกมือกันไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“พี่หมอเป็นอะไรเหรอจ๊ะ” ตาลทำหน้าตาเป็นห่วง เกือบจะมุดรอดขาภามมาหาผมแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโดนคว้าคอเสื้อไว้ได้ก่อน

“พี่ไม่สบาย เด็กๆ อย่าเพิ่งเข้ามานะ เดี๋ยวติดหวัดแล้วจะแย่เอา” พอได้ยินแบบนั้นฝูงเด็กถึงยอมหยุดอยู่กับที่

“หนูไปเอาขนมมาให้เองจ้ะ” เจ้าเด็กตาลฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กไปที่ครัว

พอคนอื่นๆ เห็นว่าเข้ามาเล่นกับผมไม่ได้เลยพากันเดินไปเล่นทางอื่น ไม่ลืมหันมากวักมือเรียกน้องเล็กที่ยกถ้วยบัวลอยมาให้ผมกับภามสองถ้วยด้วย เจ้าตาลทำหน้าลังเลยกใหญ่ คงอยากอยู่คุยกับผม แต่ก็อยากไปเล่นกับพี่ๆ เหมือนกัน จนสุดท้ายผมต้องไล่ให้ไปเล่น เด็กน้อยถึงยอมวิ่งไปหาพี่ๆ

“เอาหน้ากากออกแล้วรีบกินสิ เดี๋ยวหายร้อน” ภามเอ่ยเตือนเมื่อเห็นผมยังนั่งนิ่งมองเด็กๆ อยู่

“ฉันนั่งตรงๆ ไม่ได้ มึนหัว” ผมตอบตามตรง ขนาดตอนนี้หัวยังพิงราวบันไดอยู่เลย เริ่มคิดแล้วว่าฝืนตัวเองเกินไปหน่อย แต่ทำไงได้...ของกินก็สำคัญ

“งั้นขึ้นไปบนบ้านเถอะ เมื่อกี้ผมขอน้าไว้แล้ว” ภามวางถ้วยบัวลอยของตัวเองลงแล้วหันมายกผมอุ้มจนตัวลอยโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ อาจเพราะชินแล้วทั้งยังหมดแรง ผมเลยพิงไหล่เขาเงียบๆ แต่โดยดี รอจนถูกวางลงบนเบาะนั่งแล้วถึงได้เอนหัวพิงผนังไว้ “รอตรงนี้ก่อน ผมจะไปเอาขนมมาให้”

“อื้อ”

พอได้เข้ามาอยู่ในบ้านแบบนี้แล้ว เสียงเล่นของเด็กๆ กับเสียงพูดคุยของชาวบ้านด้านนอกก็ดูเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาระหว่างรอ ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อรู้สึกเหมือนมีสัมผัสเย็นๆ แตะลงบนแก้ม แล้วก็พบว่ามันคือปลายนิ้วเย็นเฉียบของภามนั่นเอง

“โอเคแน่นะ” เขาขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนไม่มั่นใจนักว่าจะแบกผมกลับไปนอนดีหรือเปล่า

“โอเค” ผมยื่นมือไปรับถ้วยบัวลอยมาถือไว้ รอยยิ้มถูกส่งไปให้คนมองโดยอัตโนมัติเพื่อบอกว่าไหวจริงๆ “นายก็รู้ว่าฉันใจเสาะ ถ้าไม่ไหวไม่มีทางโกหกหรอก”

“ให้พูดอีกที”

“…เอาจริงๆ ก็ไม่ไหวนิดหน่อย แต่โดนของกินล่ออยู่ ใจเลยบอกให้สู้” รับสารภาพทั้งหน้าแหยพร้อมกับตักบัวลอยคำแรกเข้าปาก ผมตาโตด้วยความตกใจกับรสชาติที่ไม่ได้สัมผัสมานาน “อร่อย นายกินเร็ว”

ภามทำหน้าเหนื่อยหน่ายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน แต่เขาก็ยังยกถ้วยบัวลอยขึ้นตักกินตามที่ผมบอก และแล้วใบหน้าคมคายก็ยู่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังกินของแสลง เขาหยุดมือแล้วยื่นถ้วยของตัวเองมาให้ผมทันที

“หวาน”

“ไม่ชอบของหวานเหรอ” ผมรับถ้วยบัวลอยของเขามาวางไว้ข้างตัวโดยไม่ปฏิเสธ

“ไม่ชอบเท่าไหร่” ภามตอบโดยที่ยังจ้องหน้าผมอยู่ “ครอบครัวผมไม่ชอบทานของหวาน...ยกเว้นเก้า”

“ไอ้เก้า...”

แค่ได้ยินชื่อเพื่อนสนิท ผมก็รู้สึกเหมือนความอยากอาหารจะน้อยลงนิดหน่อย ไอ้เก้ามันบ้าชาเขียวเข้าขั้นวิกฤติ เห็นกินได้เป็นกิโลแบบไม่กลัวอ้วนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง...เพราะช่วงมหา’ลัยผมดูแลหุ่นมาก เวลาเห็นใครกินอะไรก็ต้องควบคุมตัวเองไว้ให้ทำหน้าตาเฉยชาไม่สนใจ ทั้งที่จริงๆ อยากกินแทบตาย

“อันที่จริงถ้านับคุณไปด้วย...ครอบครัวผมก็จะมีคนชอบของหวานสองคนแล้ว”

“หยุดพูดอะไรแบบนั้นด้วยหน้าตาเฉยชาจะได้ไหม” แทบจะสำลักบัวลอยอยู่แล้วเนี่ย “ฉันยังไม่ใช่ครอบครัวของนายสักหน่อย”

“ยังไม่ใช่...แต่ในอนาคตอาจจะใช่”

เพราะไม่รู้จะเถียงอะไร ปากเลยได้แต่อ้าแล้วหุบอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที สุดท้ายก็เป็นผมเองที่หลบตาแล้วจ้วงบัวลอยเข้าปากคำโต ใช้เวลาไม่นานนักขนมหวานทั้งสองถ้วยก็หมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่น้ำสักหยดเดียว

“แน่นพุงไปหมดแล้ว” ผมยกมือลูบพุงและเปลี่ยนเรื่องหน้าด้านๆ โชคดีที่ภามไม่คิดแกล้งพูดเรื่องเดิมต่อ เขาแค่เอาถ้วยไปวางรวมกัน แล้วหันมายกมือแปะหน้าผากผมเพื่อวัดไข้อีกที

“กินเสร็จแล้วก็รีบกลับเถอะ ตอนนี้แดดยังไม่แรงมาก”

“ขอนั่งพักก่อนได้ไหม” ขืนโดนแบกไปทั้งแบบนี้ ผมกลัวว่าจะไปอ้วกใส่หลังเขาจนโดนแบบที่เคยโดนอีก แค่ครั้งเดียวก็เข็ดแล้ว ขอเถอะ

“พ่อหมอ” น้ำเสียงใจดีอันเป็นเอกลักษณ์ของน้าต้อยดังขึ้น พร้อมกับที่ท่านเดินเข้ามาหาผมกับภาม ในมือถือชามข้าวแบบมีฝาปิดมาด้วยใบหนึ่ง “น้าเอาขนมไข่มาให้ลองทานจ้ะ ตอนแรกเห็นว่าไม่สบาย เอาบัวลอยไปให้คงหายร้อนพอดี น้าเลยว่าจะให้เด็กๆ เอาขนมไข่ไปให้”

ขนมก้อนฟูสีน้ำตาลส้มส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล จากที่บอกว่าอิ่มเมื่อกี้ คล้ายว่าท้องจะกลับมาร้องซ้ำอีกรอบ และดูเหมือนสีหน้าของผมคงแสดงออกชัดเจนมากด้วยว่าอยากกินต่อ คนด้านข้างถึงส่งเสียงกระแอมเตือนแล้วทำหน้าดุๆ ใส่

“ถ้ากินไม่หมดก็เอากลับไปที่บ้านได้นะจ๊ะ ปิดฝาให้แน่น ถึงจะไม่ร้อนแล้วก็ยังทานได้อยู่”

“ขอบคุณมากนะครับน้าต้อย” ผมส่งยิ้มกว้างไปให้น้าต้อยแล้วดึงชามขนมมาถือไว้ พอเห็นว่าน้าแกพยักหน้าและเดินจากไปแล้วก็รีบเปิดฝาออกพร้อมหยิบขนมไข่ก้อนกลมมากัดคำโต

“เมืื่อกี้เพิ่งบอกว่าอิ่ม”

“ยังมีที่ว่างอีกนิดหน่อย”

“ปกติคนไม่สบายเขาจะกินอะไรไม่ค่อยลงไม่ใช่เหรอ” ภามถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะข้องใจมากจริงๆ เขาทำหน้าแปลกๆ ในยามที่่ผมยื่นขนมไปจ่อปากแล้วบอกว่าไม่หวาน แต่เมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้าก็ยอมอ้าปากในที่สุด “ติดคอ”

“ฉันถือคติว่าถ้ามีเวลาให้กินแล้วต้องกินให้หมด”

เพราะถ้าไม่มีเวลา แม้แต่ข้าวสักคำยังหาเวลากินได้ยากเลย ดังนั้นมีเวลามากขนาดนี้จะไม่กินให้หมดได้ยังไงกัน เสียดายแย่ ต้องตุนไว้ในท้องก่อน

“เอาเถอะ” คนฟังพูดเหมือนจะเข้าใจและไม่เข้าใจอยู่ในที เขาดันมือผมที่ยื่นขนมไข่ไปให้ออกแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธ และในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ขนมไข่ที่น้าต้อยทำมาให้เผื่อเอาไปกินที่บ้านก็เหลือไม่ถึงครึ่ง พร้อมกันกับที่ผมรู้สึกแน่นท้องและมึนหัวขึ้นมากะทันหัน

“ภาม…”

“หืม”

“ไม่ไหวแล้ว อยากกลับบ้าน”

“…”

อย่ามองแบบนั้นนะ ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย...


————————



ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #97 เมื่อ10-08-2018 11:58:47 »

-17-


หลังจากไม่สบายอยู่สามวัน ผมได้เข้าถึงแก่นแท้ของการเป็นราชา แค่นอนอยู่เฉยๆ ก็มีคนเอาข้าวเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ ขนาดจะอาบน้ำยังไม่ต้องทำเองเลย เพราะตอนวันที่สองผมเริ่มทนความเหม็นเน่าของตัวเองไม่ไหว แม้ตัวจะยังอุ่นๆ อยู่ก็ดื้อจะไปอาบน้ำให้ได้ จบลงด้วยการถูกแบกเข้าไปในห้องน้ำแล้วนั่งยิ้มแฉ่งบนเก้าอี้ ปล่อยให้อีกคนถูเนื้อถูตัวและสระผมให้ สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

“ข้างขวายังไม่แห้งเลย” ผมเอียงหัวไปด้านซ้ายเพื่อให้คนด้านหลังเช็ดหัวได้สะดวก สัมผัสไม่หนักไม่เบาจนเกินไปทำให้สบายตัวจนเผลอฮึมฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดี จะมาโทษผมไม่ได้หรอกนะ ก็เขาเต็มใจทำให้เอง

“สระผมติดกันมาสองวันแล้ว ยังไม่หายดีแท้ๆ” ภามบ่นแบบไม่จริงจังนัก

“ก็มันเหนียวหัว”

ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เป็นพวกที่ต้องสระผมทุกวันมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่ว่าต้องเข้าเวรข้ามวันหรือเหนื่อยจนหลับคาเตียง เวลาอาบน้ำก็ยังทำตัวเหมือนเดิมคือสระผมทุกวัน พอต้องมาหมักไว้สองสามวันแบบนี้เลยทนไม่ได้ อีกอย่างคือผมหายปวดหัวแล้วด้วย ต้องขอบคุณภามที่ดูแลดีเหลือเกินนั่นแหละ

ถึงจะทำเหมือนยอมตามใจผมตลอด แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก อย่างเรืื่องอาบน้ำนี่ก็ตั้งกฏว่าถ้ายังไม่หายดีจะอาบได้วันละครั้งเท่านั้น เมื่อวานผมแอบขัดคำสั่ง หนีไปอาบน้ำตอนภามไปเอาข้าว สิ่งที่เกิดขึ้นคือโดนอุ้มออกมาจากห้องน้ำหน้าตาเฉย ทั้งตกใจและแปลกใจจนโดนจับแต่งตัวเสร็จแล้วก็ยังเหวออยู่ นับจากนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ลองดีอีกเด็ดขาด ขนาดเรื่องอาบน้ำเขายังไม่ยอม ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเป็นเรื่องอื่นจะทำยังไง

“คุณมั่นใจนะว่าหายดีแล้ว” ภามถามย้ำเป็นรอบที่สอง แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะถามอีกครั้งเดียว ถ้ายังตอบเหมือนเดิมก็จะไม่ห้ามอีก

“หายแล้วจริงๆ” ผมพยักหน้าหงึกหงักยืนยัน “จริงๆ เดินไหวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ยังขี้เกียจอยู่ ให้นายบริการก็สบายดี”

“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ มือยื่นมาลูบแก้มผมแบบที่ชอบทำบ่อยๆ ในช่วงสองสามวันมานี้ “จะอยู่เฉยๆ ต่อก็ได้”

“ก็อยากอยู่หรอก แต่กลัวเป็นง่อยไปซะก่อน” อันที่จริงเป็นเพราะผมอยากตอบแทนภามบ้างต่างหาก ไม่ได้ทำกับข้าวให้คุณชายกินมาหลายวันแล้ว ถึงเวลากลับไปทำหน้าที่เสียที อีกอย่าง... “เหลือเวลาอีกไม่นานก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว ฉันไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ”

“อา…"

“นายบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า” ผมส่งยิ้มให้ภาม แล้วก็ได้รับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูชัดเจนขึ้นทุกวันตอบกลับมา

ผมกับภามเดินไปหาข้าวกินที่บ้านน้าต้อยก่อนเป็นลำดับแรก ตอนนี้ทุกคนคงไปรวมกันที่หาดหมดแล้ว รอบด้านถึงได้เงียบขนาดนี้ ไข่เจียวของผมยังคงน่ากินเหมือนทุกครั้ง พอคราวนี้เพิ่มผัดคะน้ามาอีกจาน คงไม่ต้องบอกว่าคนที่รอกินข้าวอยู่จะพอใจขนาดไหน

“ตอบแทนที่ช่วยดูแลมาหลายวัน”

“ไม่เป็นไร ตอนคุณไม่สบายผมก็ได้ประโยชน์เยอะเหมือนกัน” ภามตอบอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะตักผัดคะน้าคำแรกเข้าปาก “อร่อย”

“นายได้ประโยชน์อะไร”

“วันนั้นคุณก็พูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าผมชอบคุณจริงๆ ผมจะได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะได้จับนู่นจับนี่” เขาพูดหน้าตาเฉย ทำเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่ผมเกือบสำลักข้าว ลำบากคนที่คอยดูแลมาตลอดหลายวันต้องช่วยลูบหลังให้อีก “แถมคุณยังอ้อนเป็นแมวด้วย”

สรุปจะช่วยลูบหลังหรือจะช่วยให้สำลักหนักกว่าเดิมวะเนี่ย

“กินข้าวไปเลย” ผมผลักหน้าคนกวนตีนให้หันกลับไปมองจานข้าวตัวเอง พอเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดอะไรต่อถึงตักข้าวคำต่อไปขึ้นมากิน

ในระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ ปรากฏว่าเจ้าตาลวิ่งดุ๊กดิ๊กกลับมาเอาของที่บ้านพอดี หลังเห็นว่าผมไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยและออกมาข้างนอกได้แล้ว เจ้าตัวเล็กก็ดีอกดีใจยกใหญ่ ถึงขนาดเข้ามาช่วยล้างจาน จากนั้นก็จับมือผมกับภามคนละข้าง พากันวิ่งไปที่หาด ปากพูดจ้อไม่หยุดว่าวันนี้วางแผนจะทำอะไรกับพี่ๆ บ้าง

“พวกเราจะไปเดินเล่นรอบเกาะกัน พี่หมอกับพี่ชายไปด้วยนะจ๊ะ” โดนอ้อนด้วยหน้าเด๋อๆ ของเด็กน้อยแล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไง จากที่คิดไว้ว่าจะไปช่วยงานชาวบ้าน สรุปก็ไม่ได้ช่วยอีกจนได้

จะว่าไปตั้งแต่มาถึงที่นี่ผมกับภามยังไม่เคยได้ไปช่วยงานจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่เคยลองถามนะ แต่พวกเขาไม่ให้เราทำอะไรเลยต่างหาก อย่างคราวนั้นก็ไม่ให้ไปกับเรือประมง ครั้นจะไปช่วยแยกปลาก็พากันปฏิเสธยกใหญ่ แต่ละคนทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผี ยิ่งยามเห็นว่าภามจับปลาขึ้นมาตัวหนึ่ง ลุงเหมแทบจะวิ่งสี่คูณร้อยมาปัดไม้ปัดมือให้เขา ทั้งยังออกคำสั่งเด็ดขาดต่อหน้าทุกคนว่าเราสองคนจะอยู่ในฐานะนักท่องเที่ยวเท่านั้น ห้ามใช้งานอะไรเด็ดขาด

ผมว่านักท่องเที่ยวยังได้ทำเยอะกว่าเราเลยเถอะ...

“พี่ๆ ยังไม่เคยเห็นบ้านนายใช่ไหมจ๊ะ พวกหนูจะพาไปนะ”

บ้านนายก็น่าสนใจ...

ว่าแต่เจ้าตาลจะพูดตรงใจผมเกินไปหรือเปล่านะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กผมคงคิดว่าน่าสงสัยไปแล้ว เพราะเจ้าตัวทำราวกับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อดึงผมออกจากความสนใจเดิมอย่างไรอย่างนั้น แต่เอาเถอะ...คงบังเอิญแหละมั้ง

“พี่หมอเป็นหัวหน้าแล้วกัน!”

“แต่แม่ข้าบอกว่าคนเป็นผัวต้องเดินนำหน้าเมียนะ แบบนั้นพี่ชายก็ต้องเป็นหัวหน้าสิ”

“ข้าเห็นด้วยกับไอ้แตง”

“หนูก็เห็นด้วยกับพี่แตงจ้ะ พี่ชายเป็นสามี ต้องดูแลพี่หมอสิ”

เด็กๆ ล้อมวงถกเถียงกันเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึงเหรอ...

“…” ภามพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเห็นด้วยกับเด็กๆ อีกที

“พยักหน้าทำบ้าอะไร” ส่วนผมโวยวายกับเด็กไม่ได้ เลยต้องหันมาลงกับเขาแทน

ดูเหมือนขบวนการหลายสีของเจ้าตัวเล็กทั้งหลายต้องการแต่งตั้งหัวหน้าอย่างเป็นทางการ ผมกับภามเลยกลายเป็นตัวเลือกให้พวกเขาเถียงกัน ตอนแรกๆ ก็เหมือนจะเลือกผมกันเยอะ แต่พอเจ้าแตงพ่นคำว่าผัวเมียออกมาที สถานการณ์เปลี่ยนทันควัน ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าคนที่นี่เลี้ยงลูกหลานอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาจะรู้ความหมายของผัวเมียเร็วก็ไม่แปลก แต่ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ไหม

ก่อนหน้านี้ผมเคยอุ้มเจ้าตาลมาสอนอยู่เหมือนกัน บอกว่ามันเป็นคำที่ไม่สมควรพูดในวัยนี้ ใครจะคิดว่าเด็กตัวน้อยจะยิ้มแฉ่งแล้วเปล่ี่ยนศัพท์เป็นสามีภรรยาให้แทน ผมถึงขนาดเคยถามไม้ว่าคนที่นี่เขาไม่มองว่าชายรักชายเป็นเรื่องแปลกเหรอ และคำตอบที่ได้ก็ทำเอาตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม้บอกว่าทุกคนเข้าใจและมองเป็นเรื่องปกติ ขนาดนายยังมีคนรักเป็นผู้ชายเลย

ชักจะมีอะไรแปลกๆ เยอะไปละ

“สรุปว่าพี่ชายเป็นหัวหน้านะ”

ผมหลุดจากภวังค์เพราะเห็นเจ้าแตงเดินมากระตุกขากางเกงภาม ทำท่าเหมือนกำลังมอบตำแหน่งสำคัญให้ ซึ่งคนตัวสูงที่กำลังถือกล้องอยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากพยักหน้าแล้วตอบรับสั้นๆ

“อ่า”

ภามกลายเป็นหัวหน้าขบวนการหลายสีไปแล้ว...

เมื่อตกลงกันได้ ผมก็เดินตามฝูงชนไปเรื่อยๆ ที่น่าตลกคือหัวหน้าคนใหม่เป็นผู้เดินนำขบวน แล้วเด็กๆ ก็เดินตามโดยไม่ขัดสักคำไม่ว่าภามจะเดินไปไหน ขนาดเขาเดินไปถ่ายรูปริมทะเล ทุกคนก็ยังเดินตามไปเป็นแถว ทั้งดูน่ารักและน่าขันไปพร้อมกัน

“ถ้าจะไปดูบ้านนายแล้วไม่อยากเดินลัดป่า หัวหน้าต้องเดินอ้อมเกาะไปทางนั้นครับ” เด็กคนหนึ่งทำท่าตะเบ๊ะรายงานหัวหน้าที่เอาแต่สนใจการถ่ายภาพ ภามยกกล้องออกแล้วเหลือบมองแค่นิดเดียว จากนั้นเขาก็เดินไปตามทางที่ว่าโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ที่น่าทึ่งคือแทนที่เด็กๆ จะไม่พอใจหรือแอบบ่น พวกเขากลับหันไปคุยกันว่าหัวหน้าโคตรเท่ซะงั้น

ดี...เอาเข้าไป

“นายกลายเป็นหัวโจกไปแล้ว” ผมกระซิบบอกภามขำๆ และยิ่งขำเข้าไปใหญ่เมื่อเด็กเตี้ยทั้งหลายทำท่าเหมือนอยากฟังหัวหน้าพูดด้วย แต่เพราะตัวเล็กเกินไป ยืดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน

“พวกเขาเรียกคุณว่าเมียหัวหน้า”

ผมหน้าเหวอ ตั้งแต่เดินมายังไม่เคยได้ยินเลยนะ หรือว่าพลาดไปตอนไหน แต่ในเมื่อถามภามไปก็ไร้ประโยชน์ ผมเลยหยุดเท้าแล้วหันกลับไปชี้หน้าฝูงเด็กเรียงตัว

“ใครบังอาจมาเรียกพี่ว่าเมียหัวหน้า”

เจ้าของดวงตากลมสดใสเกือบสิบคู่กะพริบปริบๆ พร้อมกัน ก่อนจะหันไปมองหน้า พูดคุยราวกับกำลังปรึกษา และส่งตัวแทนเป็นเจ้าตัวเล็กของกลุ่มออกมาพูด

“ยังไม่มีใครเรียกเลยนะจ๊ะ แต่ถ้าพี่หมออยากให้เรียกแบบนั้น พวกเราก็จะเรียกแบบนั้นจ้ะ...ภรรยาหัวหน้า”

บอกทีว่าตาลมันไม่ได้จงใจกวนตีน...

“เมียหัวหน้า หัวหน้าไปโน่นแล้ว” เจ้าแตงชี้นิ้วไปด้านหลัง และนั่นทำให้ผมรู้สึกตัว

ในเมื่อเด็กๆ ไม่ได้พูด งั้นก็หมายความว่า...

“ไอ้บ้าภาม!!”

“พูดแบบนั้นกับสามีไม่ดีนะจ๊ะ แม่บอกหนูว่าสามีภรรยาต้องเคารพกัน”

“…”



บ้านนายที่ผมกับภามเคยมองจากบนเขาแล้วบอกว่าสวย ยามนี้ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้า ต้องใช้คำว่าโคตรสวยถึงจะถูก ตรงจุดที่พวกเรากำลังยืนอยู่เป็นจุดสิ้นสุดของผืนทราย ต่อจากจุดนี้ไป ถ้าอยากเข้าใกล้บ้านต้องเดินไปตามทางลาดยาวที่ปูเป็นพื้นหิน น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่มาทำทางเอาไว้ตรงนี้ แต่ถ้าให้ผมเดาคงเอาไว้กันไม่ให้เวลาเข้าออกบ้านต้องเหยียบทรายจนเลอะเทอะละมั้ง

“พวกเราจะเล่นรอกันตรงนี้นะจ๊ะ” ตาลกระตุกชายเสื้อผมแล้วยิ้มให้ นั่นทำให้ผมที่กำลังจะก้าวเดินตามภามไปบนทางลาดรู้สึกตัว เมื่อหันไปมองจึงพบว่าพวกเด็กๆ ไม่ได้เดินตามมาด้วย พวกเขายังคงยืนอยู่บนพื้นทราย ไม่ได้ก้าวขึ้นมาบนพื้นหินแม้แต่ก้าวเดียว

“ทำไมล่ะ ไม่ไปดูด้วยกันเหรอ” ผมหันกลับไปหาเด็กๆ แล้วถามด้วยความสงสัย

“เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปจ้ะ”

“นายห้ามเหรอ”

“แม่ผมห้าม”

“พ่อผมด้วย”

“แม่หนูก็ห้ามจ้ะ”

ดูท่าทางพ่อแม่ทุกคนคงห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไปในอาณาเขตบ้านนาย คงจะเคารพนายมากจริงๆ แต่ที่น่ายิ้มก็คือการที่เด็กๆ ยอมทำตามทั้งที่จะแอบซนก็ได้นี่ละ

“เข้าใจแล้ว งั้นพี่ก็จะไม่...”

“มานี่” ยังไม่ทันพูดจบประโยค คนที่ควรเดินนำไปนานแล้วก็จับข้อมือผมไว้และออกแรงลากให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็เปลี่ยนมาโอบไหล่ใช้แรงบังคับให้เดินตามไปพร้อมกันแทน กว่าผมจะรู้ตัวก็เดินออกห่างจากเด็กๆ มาเกินสิบก้าวแล้ว

“เดี๋ยวก่อน”

“ทำไม” ภามขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อผมขืนตัวไว้ไม่เดินต่อ

“จะปล่อยเด็กๆ ไว้แบบนั้นได้ไง” ผมว่าก่อนจะหันไปมองด้านหลัง แล้วก็พบว่าพวกเด็กๆ นั่งลงพูดคุยกันอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน แต่ถึงอย่างไรเราก็มาไกลจากบริเวณที่พวกชาวบ้านอยู่พอสมควร จะให้ปล่อยพวกเขาไว้ไม่สมควรแน่

“ผมบอกแล้วว่าให้รอนิ่งๆ ห้ามขยับ”

“แต่…”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่แป๊บเดียว” สุดท้ายภามก็ลากผมเข้าไปในบริเวณบ้านจนได้

คุณช่างภาพลากผมเดินไปโน่นไปนี่รอบบ้าน ทั้งยังบังคับให้กลายเป็นนายแบบจำเป็น ยืนห่อเหี่ยวเก๊กท่าอยู่ตรงจุดที่เขาบอก เรียกได้ว่าทำตัวเหมือนเจ้าของบ้านโดยแท้ นี่ถ้าประตูไม่ได้ล็อกอยู่เขาคงลากผมเข้าไปถ่ายด้านในด้วยแล้ว

“จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ” ผมพูดด้วยความเกรงใจ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรที่เข้ามาในเขตบ้านของนายหรอกนะ เพราะพวกเราไม่ได้โดนห้ามเหมือนเด็กๆ แต่พอเดินวนไปวนมาเหมือนโจรมากเข้า จิตใจอันหยาบกระด้างของผมก็เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ไม่มีใครว่าหรอก”

“ถ้าเด็กๆ เอาไปพูด พวกชาวบ้านจะไม่โยนเราออกไปจากเกาะใช่ไหม”

“หึ” ภามหัวเราะในลำคอเบาๆ มือยื่นมาขยี้หัวผมเหมือนจะหมั่นไส้จนหัวที่ยุ่งอยู่แล้วยุ่งหนักกว่าเดิม “ไม่มีใครกล้าโยนคุณหรอก”

“อะ…"

“นอกจากผม”

“ขอบคุณ” ผมหน้าหงิก นึกอยากเตะขาคนกวนตีนแก้หัวร้อนอยู่เหมือนกัน แต่กลัวจะโดนเอาคืนหนักกว่าเดิมเลยได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ

เมื่อภามเดินถ่ายรูปรอบบ้านจนครบทุกซอกทุกมุมแล้ว เราก็เดินกลับมาหาลูกน้องของเขาที่นั่งเล่นเฮฮากันอยู่ เด็กๆ ชี้ชวนให้เราไปนั่งเล่นที่ชิงช้าอีกฝั่งซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของบ้าน ตรงจุดนั้นนอกจากจะมีชิงช้าที่แขวนอยู่กับต้นไม้ใหญ่แล้ว ยังมีม้าหน้าตาตลกอยู่สามสี่ตัวด้วย ท่าทางคงเอาไว้ประดับมากกว่าเอาไว้นั่งเล่นกันเอง

“แล้วเราไปเล่นตรงนั้นได้เหรอ” ผมก้มลงถามตาลที่เดินอยู่ด้านข้าง

“คนรักของนายบอกให้พวกเราเล่นได้จ้ะ”

“ใจดีจังนะ”

“มากๆ เลย” เจ้าตาลยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงคนรักของนาย

“แล้วเขาชื่อ...”

“เมียหัวหน้ามานั่งเร็ว!”

ผมคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำเรียกขานจากเจ้าตัวเล็กทั้งหลายที่กำลังกวักมือเรียกยิกๆ ชี้ให้ไปนั่งบนชิงช้าที่มีอยู่เพียงที่นั่งเดียว โดยมีหัวหน้ากลุ่มยืนตั้งท่าเหมือนจะช่วยไกวชิงช้าให้อยู่ด้านหลัง

แล้วทำไมกูต้องทำตามคำพูดเด็กวะเนี่ย!

“แรงๆ เลยหัวหน้า!”

“ต้องแรงๆ ถึงสนุกนะหัวหน้า!”

ความเจี๊ยวจ๊าวนี้...

“จะให้ทำตามที่เด็กพูดไหม” เสียงพูดของคนที่โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมจากทางด้านหลังทำเอาขนลุกสู้จนเกือบหล่นจากชิงช้า ที่นั่งยิ่งแคบๆ อยู่ ยังมีหน้ามาแกล้งกันอีก

“ถ้านายทำ คืนนี้ไปนอนนอกมุ้งเลย” ผมหันไปขู่เสียงเข้ม แต่แทนที่ภามจะกลัว เขากลับเลิกคิ้วแล้วทำหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“พูดเหมือน...”

“อะไร”

“เปล่า”

“พูดเหมือนเวลาภรรยางอนสามีเลยจ้ะ...โอ๊ยๆๆ หนูเจ็บ” เจ้าตาลร้องโอดโอยเมื่อผมหันไปบีบปากเล็กๆ ช่างจ้อนั่นด้วยความหมั่นไส้ พวกพี่ๆ ก็ไม่ได้ปกป้องอะไรเลย เห็นน้องงอแงแล้วหัวเราะขำกันยกใหญ่

ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าเวลาไปทะเลแล้วเห็นบ้านพักมีชิงช้าอยู่ด้านนอก ทำไมเพื่อนคนอื่นๆ ถึงได้ดูตื่นเต้นดีใจนัก ที่บอกว่าเป็นจุดถ่ายรูปสวยอาจนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญคงเป็นเพราะมันรู้สึกดีเอามากๆ ยามมีคนคอยช่วยผลักชิงช้าอยู่ด้านหลัง ลองคิดภาพยามตัวเองโดนลมโกรกหน้า โดยที่ตัวไม่โดนแดดเพราะอยู่ใต้ต้นไม้ ขณะที่สายตาทอดยาวออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของทะเลกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดดูสิ มันทำให้รู้สึกดีและสบายใจไปพร้อมๆ กันจริงๆ นะ

แชะ!

“เอาใหม่” ผมหันไปพูดกับคนแอบถ่ายอย่างอารมณ์ดีแล้วฉีกยิ้มกว้างให้กล้อง คล้ายจะเห็นอีกฝ่ายชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะมีเสียงแชะดังตามมา ภามลดกล้องลง ใบหน้าฉายชัดถึงความแปลกใจ คงงงว่าทำไมผมถึงอารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน

“ยังไม่หายดีเหรอ”

“คนอารมณ์ดีดันมาแช่งให้ไม่สบาย”

“คิดว่าสติไปหมดแล้ว”

จะหยุดอารมณ์ดีก็เพราะนายเนี่ยแหละ

“หัวหน้า ผมขอลองถือได้ไหม” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นแทรกประโยคสนทนาของผมกับภาม เมื่อหันไปมองก็พบว่าคนพูดคือเจ้าแมน เด็กที่ตัวโตที่สุดในกลุ่ม อีกฝ่ายกำลังจ้องกล้องภามด้วยสายตาวิบวับ ท่าทางสนอกสนใจน่าดู คนอื่นๆ ก็พลอยมองตามอย่างมีความหวังไปด้วย คงคิดว่าถ้าแมนได้ถือ พวกเขาก็คงได้ถือเหมือนกัน

“ไม่ได้”

แต่นี่ใคร...นี่มันภามผู้ไม่สนใจโลกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นหัวหน้าที่ได้รับความนับถือ เจ้าพวกตัวจ้อยอาจจะปล่อยโฮเพราะได้ยินเสียงเย็นชาไร้อารมณ์นั่นไปแล้วก็ได้

“ภาม” ผมสะกิดแขนภามเพื่อเตือนสติให้เขารู้ว่ากำลังคุยกับเด็ก พอเป็นเรื่องกล้องแล้วไม่รู้ทำไมเสียงถึงดูดุขึ้นสองระดับ เป็นผมก็กลัวเถอะ เจ้าตาลตัวสั่นแล้วนั่น “ถ้าให้ไม่ได้ก็อธิบายด้วยเหตุผล เด็กๆ ไม่ดื้อหรอก”

 ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าการพูดเหมือนจะสอนแบบนี้มันดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็เลือกพูดออกไปตามตรง โชคดีที่ภามไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอะไร เขาแค่พยักหน้าเงียบๆ เหมือนจะบอกว่าเข้าใจเท่านั้น จะว่าไปแล้วตอนช่วงแรกที่เจอกันแล้วผมบอกว่าจะคอยบอกคอยสอนถ้าเขาพูดอะไรไม่ควร อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกันนี่นะ ตอนนี้ก็คงเหมือนตอนนั้นนั่นละ

“ของสำคัญ” ภามพูดขึ้นมาโดยไม่เกริ่น คนฟังก็มองไปเถอะตาปริบๆ จนผมต้องสะกิดแขนเขาเป็นเชิงบอกให้ขยายความ ใบหน้าปลาตายเลยคล้ายจะดูยุ่งยากใจขึ้นมานิดหน่อย “กล้องนี่เป็นของสำคัญ ต้องรักษาไว้ให้ดี”

กับคนอื่นละพูดน้อยเหลือเกิน ไม่เห็นเหมือนเวลาอยู่กับผมเลย แต่เอาเถอะ...ช่วยหน่อยก็ได้

“เด็กๆ มีของสำคัญที่ไม่อยากให้ใครแตะต้องไหม” ผมดึงเจ้าตาลมาใกล้ๆ แล้วส่งยิ้มให้เด็กทุกคนที่กำลังทำท่าครุ่นคิด ซึ่งหลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาก็เริ่มพยักหน้ายอมรับต่อกันเป็นทอดๆ

“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับหมอนข้างของตัวเอง”

“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับคุณต้นไม้”

“หนูไม่ชอบให้ใครยุ่งกับกล่องดินสอที่แม่ซื้อให้จ้ะ”

“เห็นไหม ใครๆ ก็มีของสำคัญใช่ไหมล่ะ” ผมพูดช้าๆ ให้พวกเขาคิดตาม “สำหรับพี่ชายกล้องตัวนั้นก็ต้องสำคัญมากๆ เหมือนกัน พี่เขาถึงไม่อยากให้ใครแตะต้อง เด็กๆ เข้าใจพี่เขาเนอะ”

ในตอนที่พูดออกไปผมเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง ชะงักเพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถึงขนาดเคยใช้มันถ่ายภาพเจ้าของกล้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ต้องรีบปัดความสงสัยออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องโดยคนที่กำลังพูดถึง และผมไม่พร้อมจะสบตาเขาในยามนี้

“กล้องเป็นของสำคัญมากๆ ของหัวหน้าใช่ไหมครับ”

“เราเข้าใจแล้ว”

“ขอโทษนะหัวหน้า” แมนเดินไปดึงชายเสื้อของหัวหน้าขบวนการเบาๆ เป็นเชิงเรียก แล้วเด็กน้อยก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างสวยงาม บ่งบอกถึงมารยาทที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี รวมถึงเด็กๆ คนอื่นๆ ด้วย

“ไม่มีใครผิดหรอก” ผมพูดแทนเมื่อเห็นภามมองโดยไม่ตอบอะไร “หัวหน้าไม่ได้โกรธพวกเราแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

เด็กๆ มองหน้ากันเหมือนยังไม่มั่นใจ แต่แล้วเมื่อภามพยักหน้าเป็นเชิงย้ำคำพูดของผมอีกครั้ง พวกเขาก็กลับไปยิ้มได้เหมือนเดิม ทุกคนสลับกันมานั่งบนชิงช้าให้ผมกับภามช่วยกันผลัก จวบจนวนครบรอบแล้วเจ้าแมนถึงบอกว่าเรือของพ่อน่าจะกลับมาแล้ว อยากไปช่วยขนของลงจากเรือ เราเลยตกลงกันว่าจะกลับพร้อมกันหมด เพราะเด็กคนอื่นก็อยากไปหาพ่อแม่เหมือนกัน

“มีอะไรหรือเปล่า” ภามถามขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่เราเดินกลับโดยให้พวกเด็กๆ กระโดดโลดเต้นเดินนำหน้า เขาคงเห็นว่าผมเดินช้าและแอบเหลือบมองตัวเองอยู่บ่อยครั้งเลยนึกสงสัย

“นาย...” ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากจนเกินไปทำพิษเข้าจนได้ “บอกว่ากล้องเป็น...”

“เป็นของสำคัญ ต้องรักษาไว้ให้ดี และผมไม่เคยให้ใครแตะต้องมัน” เขาพูดแทรกทีเดียวจบ แล้วอธิบายต่อโดยไม่รอให้ถาม “ไม่เคยแม้แต่คนเดียว ถ้าคุณจะถามว่าแม้แต่เก้ากับพี่ก็ไม่เคยเหรอ คำตอบคือใช่”

“แล้วทำไมฉันถึง...” ผมหยุดเดิน ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน จวบจนคนที่อยู่ด้านหน้าหยุดเท้าแล้วหันกลับมามองกัน ความรู้สึกแปลกๆ ก็แทรกเข้ามากะทันหัน ราวกับจะบอกว่าผมเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้คิดว่าคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว และคุณเองก็รู้ดี”

ต้องรู้สิ...ก็พูดชัดเจนขนาดนั้น ชัดเจนจนผมไม่มั่นใจเลยว่า ‘ชอบ’ ที่ว่า มันคือชอบในแบบที่กำลังคิดหรือเปล่า

“ไปกันเถอะ” สุดท้ายผมก็ปัดความรู้สึกและบรรยากาศประหลาดทิ้งไป โดยการก้าวเดินไปด้านหน้าและไม่คิดยกเรื่องเดิมขึ้นมาพูดอีก แต่ในขณะที่กำลังจะกำจัดความสับสนในใจไปได้ คนที่อยู่ด้านหลังกลับทำลายทุกอย่างจนป่นปี้ด้วยคำพูดประโยคเดียว

“ชอบของผมหมายถึงชอบแบบคนรัก”

อ่านใจได้หรือไงวะเนี่ย...ไอ้บ้าเอ๊ย!

ผมรีบจ้ำเท้าไปตามทางโดยไม่หันไปตอบอะไรภามอีก ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี กระทั่งยามที่เราเดินกลับมาถึงหาดและเด็กๆ วิ่งไปหาพ่อแม่แล้ว เขาก็ยังมองผมไม่เลิก มองจนต้องหันไปทำหน้ามุ่ยใส่เหมือนจะถามว่ามีอะไรนั่นละ เจ้าตัวถึงเผยรอยยิ้มจางๆ ที่มองแทบไม่เห็นออกมาแล้วละสายตาไปทางอื่น

“บ้า” ขอแอบด่าหน่อยเถอะ

ขณะที่ผมกำลังคิดว่าควรจะแอบด่าอะไรภามต่อดี ในที่สุดเรือประมงลำใหญ่ที่มีพ่อของแมนเป็นหนึ่งในลูกเรือก็เข้ามาจอดเทียบท่า เด็กๆ ตั้งท่าจะวิ่งไปที่สะพาน แต่โดนพวกผู้หญิงดึงตัวไว้ก่อน ผ่านไปสักพักคนจากบนเรือถึงได้ทยอยกันขนลังของลงมาจากเรือทีละคนสองคน

“ไปช่วยกันเถอะ” ผมหันไปบอกภามแล้วเดินนำเขาไปที่ท่าเรืออย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบ

พวกผู้ชายที่ช่วยกันขนของลงมาจากเรือดูท่าทางเหนื่อยล้า แม้จะมีคนที่ไม่ได้ออกเรือไปช่วยขน ก็ยังถือว่าล่าช้ามากพอสมควร หากผมช่วยได้ก็อยากจะช่วย แม้ไม่อยากเหนื่อยและรู้ตัวดีว่าไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้ชาย แต่ประเด็นคือ...

“พวกหนูจะไปไหนจ๊ะ” น้าต้อยเป็นคนแรกที่เอ่ยรั้งผมกับภามไว้ เมื่อพวกเราทำท่าจะก้าวนำพวกเขาไปหาเรือ และเสียงของน้าก็ทำให้พวกผู้หญิงที่ยืนรออยู่ตรงนั้นหันมามองตามไปด้วย

“ผมจะไปช่วยขนของครับ”

“ตายแล้ว...” น้าต้อยยกมือปิดปาก ท่าทางตกใจ ทุกคนที่มองเราอยู่ก็มีท่าทางคล้ายกัน

“น้าต้อยมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหรี่ตามองน้าต้อยและคนอื่นๆ อย่างสำรวจ เลิกล้มความคิดที่จะไปช่วยขนของแล้ว เพราะแค่ดูท่าทียังรู้เลยว่าพวกเขาต้องไม่ยอมให้ผมกับภามออกแรงแน่นอน

คำถามคือทำไม

“เอ่อ...พวกผู้ชายไปช่วยเยอะแล้วจ้ะ พวกหนูไม่ต้องช่วยหรอก เหนื่อยเปล่าๆ”

“งั้นเดี๋ยวพวกผมช่วยคัดปลา...”

“ไม่ได้!” เสียงประสานจากใครหลายคนทำเอาผมสะดุ้งจนเผลอก้าวถอยหลังไปนิดหน่อย แต่เมื่อตั้งสติได้แล้วกลับมองเห็นเรื่องราวประหลาดๆ มากมาย

ช่วยขนของก็ไม่ให้ ช่วยคัดปลาก็ไม่ได้...

จำได้ว่าตอนผมจับปลา พวกน้าๆ ยังแค่ทำหน้าตาประหลาดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่าพอเปลี่ยนเป็นภามจับทุกอย่างถึงได้หยุดชะงัก เหมือนจะมีความโกลาหลขนาดย่อมเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

ผมหันไปมองหน้าภามโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มจับสัญญาณบางอย่างได้ และยิ่งได้เห็นใบหน้าไม่รู้สึกรู้สาของเขา สิ่งที่สงสัยในใจก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เหลือเพียงรอให้ใครบางคนมาตอบคำถามทั้งหมดเพื่อคลายข้อข้องใจเท่านั้น

“ทุกคนปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”

“อะ...อะไรเหรอจ๊ะ"

นั่นไง...แม้บางคนจะพยายามทำเหมือนไม่เข้าใจ แต่ท่าทีสะดุ้งจนตัวโยนเหมือนผู้กระทำความผิดถูกจับได้ของใครหลายคน มีหรือที่ผมจะมองไม่เห็น

เคยคิดว่าจะเอาไว้ถามทีหลังเหมือนกัน แต่อีกไม่กี่วันก็ต้องไปแล้ว ผมขอคำตอบตอนนี้เลยดีกว่า

“ภาม มาด้วยกันหน่อย” ผมหันไปบอกภามพร้อมจูงมือเขาไปหาลังน้ำแข็งลังหนึ่งที่เพิ่งถูกขนลงมาโดยไม่ฟังคำทัดทานของชาวบ้าน จากนั้นก็จัดการเปิดลังแล้วบังคับเอามือใหญ่ของคนข้างกายจุ่มลงไปในลังน้ำแข็งซึ่งมีปลาอยู่ด้านใน

ตามคาด...เสียงร้องด้วยความตกใจและแรงดึงจากด้านหลังเกิดขึ้นแทบจะทันที

“นายน้อย!” เป็นลุงเหมที่เข้ามาดึงตัวภามออกไปแล้วยกมือเขาขึ้นดูอย่างตกอกตกใจ ทั้งที่ผมแค่เอามือภามไปแตะปลาเท่านั้นเอง

ว่าแต่เมื่อกี้ลุงแกเรียกภามว่าอะไรนะ...นายน้อยงั้นเหรอ

ผมกระแอมเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน และนั่นทำให้ลุงเหมรู้สึกตัว แกเงยหน้ามองผมแบบเหวอๆ แม้แต่คนที่กำลังขนของก็ชะงักค้างไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดทั้งที่มีคนอยู่หลายสิบคน มีเพียงผมเท่านั้นที่ขยับโดยการหันหน้าไปมองชาวบ้านทีละคน แม้แต่เด็กๆ เองก็เงียบสนิทแล้วหลุบตาลงต่ำเช่นกัน

“อีกไม่กี่วันผมกับภามต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาเยี่ยมที่นี่อีก” ดูเหมือนทุกคนจะสะดุ้งกันเล็กน้อย คล้ายไม่คาดคิดว่าอีกไม่กี่วันผมกับภามจะต้องไปจากที่นี่แล้ว แต่ยิ่งเห็นว่าพวกเขาตกใจกันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้นเท่านั้น “ถ้าทุกคนคิดว่าเอาไว้ให้ถึงเวลาแล้วค่อยสารภาพ ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีนะครับ”

“…”

“ที่นี้จะบอกความจริงกับผมได้หรือยัง”


————————————


ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #98 เมื่อ10-08-2018 12:00:56 »

-18-



เงียบจนแทบไม่ได้ยินกระทั่งเสียงหายใจเป็นอย่างไร ผมเพิ่งรู้ซึ้งในวันนี้เอง หากไม่มีเสียงคลื่นกระทบฝั่งกับเสียงลมพัด เกรงว่าเกาะแห่งนี้คงดูไม่ต่างจากเกาะร้าง เพราะแม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี ต้องใช้เวลานานเกือบห้านาที ลุงเหมถึงเริ่มขยับเขยื้อนโดยการหันไปสั่งให้คนเอาของลงจากเรือให้หมด เห็นใบหน้านิ่งสงบเหมือนคนปลงตกนั่นแล้ว ผมคิดว่าวันนี้ตัวเองคงได้รับคำตอบที่ต้องการแน่

“ไปนั่งรอกันก่อนเถอะ” ลุงเหมหันมาบอกผมพร้อมรอยยิ้มแห้ง มือโบกไล่ให้พวกผู้หญิงพาเด็กออกห่างไปก่อน ผมเห็นแบบนั้นเลยพยักหน้า ไม่ได้เซ้าซี้รีบเอาคำตอบอะไร แค่หมุนตัวเดินไปนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ใต้เงาร่มไม้ โดยมี ‘นายน้อย’ ที่ลุงเหมเผลอเรียกเมื่อครู่เดินตามติดมาด้วย

ภามไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ยามนั่งลงข้างกายผมเหมือนปกติ แต่ก็ไม่ได้ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเหมือนทุกครั้งที่ต้องนั่งเฉยๆ เช่นกัน ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมอยากคุยด้วย ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ผมต้องแอบมองเขาด้วยความหมั่นไส้

ทำเหมือนรู้ทันไปหมดแบบนี้ จะไม่ให้หมั่นไส้ได้ยังไง

“นายคงไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรด้วยใช่ไหม” ผมหันไปถามภามตรงๆ พร้อมจ้องมองดวงตาคมว่างเปล่าคู่นั้นนิ่งงัน และภามก็ยังเป็นภามคนเดิม...เขาไม่ได้หลบสายตาผมแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรับรู้ได้ถึงความหนักแน่นที่ส่งผ่านมา ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด

“ผมไม่เคยโกหกคุณ”

“ตอบไม่ตรงคำถามนี่”

“ถ้าการไม่พูดคือการปิดบัง ทุกคนก็คงมีเรื่องปิดบังกันเป็นร้อยเรื่อง” เขาพูดแค่นั้นแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อช้าๆ เหมือนอยากให้ผมค่อยๆ คิดตามไปด้วย “แต่ถ้าคุณหมายถึงปิดบังที่เป็นการพยายามบิดเบือนความจริงหรือพูดโกหก คำตอบที่ผมบอกไปเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว”

ผมไม่เคยโกหกคุณ...

“รู้แล้วน่า” ผมเบือนหน้าหลบสายตาเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ช่วงนี้เกิดขึ้นบ่อยเหลือเกิน

“มีสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เอาไว้...เกี่ยวกับผม” ภามยื่นมือมาแตะไหล่กันอย่างถือวิสาสะ เหมือนจะบอกให้หันกลับไปฟังสิ่งที่เขาพูดต่อ และมันน่าเจ็บใจตรงที่ผมไม่เคยปฏิเสธอะไรได้เลย ทำได้เพียงหันตามไปอย่างกับลูกแมวที่เดินตามเจ้าของต้อยๆ และที่ยิ่งกว่านั้นคือดันนั่งนิ่งปล่อยให้เจ้าของยกมือเกลี่ยแก้มกันได้ง่ายๆ เนี่ยแหละ

เข้าใจคำว่ารู้ตัวแต่ทำอะไรไม่ได้ก็ตอนนี้

“อะไร” และในเมื่่อปฏิเสธสัมผัสพวกนั้นไม่ได้ ผมเลยได้แต่หาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจทั้งของตัวเองและของเขาแทน

“ผมเป็นพวกที่ไม่ชอบพูดเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนนอก...” ภามเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมทำหน้าเหมือนจะบอกว่ารู้อยู่แล้วน่า “ดังนั้นเวลาใครสงสัยอะไร ต่อให้รู้บางทีก็ไม่คิดจะพูดออกไป”

“ต่อให้ถามเหรอ”

“ถ้าอยากตอบก็จะตอบ แต่ถ้าไม่อยากตอบ บางทีก็เมินไปเลย”

“ใจร้ายชะมัด” ผมแกล้งพูดแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“แต่คุณไม่ใช่คนนอก เพราะงั้นถ้าคุณถาม ผมจะตอบ”

“แล้วถ้าฉันไม่ได้ถาม แต่นายรู้อยู่แล้วล่ะ”

ภามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ผมมองว่ามันดูดีและกวนตีนไปพร้อมๆ กัน แล้วสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมมองสักเท่าไหร่

“ก็แล้วแต่เรื่อง ถ้าคิดว่าไม่บอกแล้วจะสนุกก็คงปล่อยให้คุณหาคำตอบเอง”

ไอ้คนเลวขี้แกล้ง!

ผมถลึงตาใส่หน้าคนพูดด้วยความหัวร้อน อยากจะเข้าไปบีบหน้าตาที่ดูดีผิดธรรมชาตินั่นให้ยับยู่ยี่ดูสักที แต่ติดอย่างเดียว ติดตรงที่ทำไม่ได้เพราะกลัวเขาเอาคืนเนี่ยแหละ

“มันแย่ยิ่งกว่าคนนอกไหมเนี่ย” ฟังไปฟังมาเหมือนจะบอกว่าเพราะเป็นผมเลยได้รับสิทธิ์พิเศษแบบที่ไม่น่าใช่สิทธิ์พิเศษยังไงก็ไม่รู้

“ผมจะตอบทุกเรื่องที่คุณถามตามความจริง แค่นั้นยังไม่พิเศษอีกเหรอ” ภามเอียงหัวถาม รูปประโยคคล้ายไม่ต้องการคำตอบ แต่ใบหน้าฉายชัดว่าถ้าไม่พูดก็จะจ้องอยู่แบบนี้

“พิเศษก็พิเศษ” ผมตัดบทเพราะไม่อยากเถียงด้วยอีก ไม่ว่าจะสรุปให้ดีอีกสักกี่รอบ ยังไงมันก็หนีไม่พ้นเรื่องที่เขาต้องการแกล้งผมอยู่ดี

หลังจากหันไปสนใจภามอยู่นานจนเกือบลืมไปแล้วว่าเหตุผลที่มานั่งรอคืออะไร เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง พวกชาวบ้านก็พากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองหมดแล้ว มีเพียงลุงเหมกับไม้เท่านั้นที่กำลังเดินตรงมาหาผมกับภาม หน้าตาทั้งคู่ดูเคร่งเครียดอย่างกับกำลังจะเดินเข้าลานประหาร

เดี๋ยวก่อน แค่จะถามความจริงเองนะ ไม่ได้โกรธสักหน่อย จะเกร็งอะไรปานนั้น

“ลุงขอโทษด้วยนะครับ” เดินเข้ามาถึงปุ๊บคุณลุงก็พูดขอโทษปั๊บโดยที่ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่คำพูดยังดูสุภาพนอบน้อมขึ้นหลายส่วนราวกับกำลังพูดกับเจ้านาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหันไปมองภาม ลุงแกดูหงอกว่าเดิมประมาณสองเท่าได้ หงอจนผมต้องเรียกความสนใจกลับมาเพราะสงสาร

“ลุงพูดความจริงมาเถอะครับ ไม่มีใครโกรธหรอก ผมแค่อยากรู้เหตุผล”

“แต่ว่า...” ลุงเหมทำท่าทางลังเล ตายังเหลือบมองภามเป็นระยะจนผมต้องแอบเอาศอกกระทุ้งแขนคนด้านข้างเป็นการเตือนให้เขาพูดอะไรออกมาสักอย่าง พอลุงเหมหายเกร็งแล้วเราจะได้คุยกันเสียที

“พูดความจริงให้หมด” ภามพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติและไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรต่ออีก

“ครับนายน้อย เชิญคุณหมอถามมาได้เลยครับ” ลุงเหมหันมามองผมด้วยแววตาจริงจัง คำพูดที่เปลี่ยนไปกะทันหันไม่เหมือนปกติทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาแก้ไขมัน

“วันนั้นที่ไม้กับดำไม่ให้พวกผมขึ้นเรือไปหาปลาด้วย น่ันเป็นเพราะอะไรครับ”

“ลุงเป็นคนบอกไอ้ไม้กับไอ้ดำไม่ให้พาพวกคุณไปเอง เพราะกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วจะรับผิดชอบไม่ไหวครับ”

“ถ้าอย่างนั้นตอนที่พวกผมอยากช่วยงาน หรือแม้แต่ตอนที่ภามจับปลา ทำไม...”

“เพราะมันไม่เหมาะสม” ไม้ที่ยืนเงียบอยู่ตั้งแต่ต้นตอบคำถามแทนลุงเหม “กับเอ็งยังไม่เท่าไหร่ แต่กับคนที่พวกเราทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นใคร จะให้มาทำงานหนักหรือมาจับปลาพวกนั้นได้ยังไงกัน”

ถ้าพูดมาขนาดนี้แล้วยังเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้อีกก็คงโง่เต็มทน ผมยกมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ เบาๆ แต่นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว มันยังปวดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินลุงเหมพูดต่อด้วย

“อันที่จริงเรือที่เกาะไม่ได้ออกแค่เดือนละครั้งหรอกครับ พวกเรามีทั้งนายหน้าที่มารับปลาเองและต้องไปส่งที่ฝั่ง บางครั้งก็ต้องไปซื้อของใช้หรือพาเด็กๆ ไปเรียน แต่เพราะช่วงนี้พวกมันปิดเทอมกันพอดีก็เลย...”

ก็เลยประจวบเหมาะแบบพอดิบพอดีสินะ

“ถ้าผมเดาไม่ผิด...” ผมเงยหน้ามองลุงเหม “ที่ลุงต้องทำแบบนั้นเป็นเพราะโดยสั่งไว้ใช่ไหม”

“ครับ” ลุงเหมทำสีหน้าลำบากใจ มือหยาบกร้านยกขึ้นปาดเหงื่อป้อยๆ ทั้งยังส่งสายตาไปให้ไม้ เหมือนจะบอกให้อีกฝ่ายรับช่วงต่อด้วย

เดี๋ยวนะ แค่สารภาพความจริงมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ

“จำลุงที่พาเอ็งเข้ามาส่งได้ไหม” ไม้ถามพร้อมกับหลบสายตาเมื่อเห็นผมพยักหน้า “แกเข้ามาที่เกาะได้ เพราะพวกเรามีเจ้านายคนเดียวกัน และแฟนนายก็สั่งไว้แล้วให้พาเอ็งกับนายน้อยมาส่งอย่างปลอดภัย”

“เอาล่ะ ผมขออีกคำถามเดียว” ผมยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นไม้ทำท่าจะพูดต่อ “นายกับแฟนนายที่ว่าชื่ออะไร”

ไม้หันไปมองสบตากับลุงเหมเหมือนจะขอความเห็น และเมื่อเห็นลุงแกพยักหน้า เขาก็หันหน้ากลับมาตอบผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่พร้อมจะปลิวหายไปกับสายลมได้ทุกเวลา แต่น่าแปลกที่มันกลับดังสะท้อนอยู่ในหัวผมชัดเจนจนคิดว่ามีคนมากระซิบอยู่ข้างหู

“คุณภูกับคุณเก้า”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหน...

วินาทีที่ได้ยินคำตอบ ราวกับเหตุการณ์ท้ังหมดที่มีลอยกลับมาปรากฏให้เห็นเป็นฉากๆ ตั้งแต่ที่เราหาที่ไปไม่ได้และภามบอกว่าเก้าแนะนำให้มาเกาะนี้ เจอเรือสปีดโบ๊ทแล่นเข้าหาดทั้งที่แถวนั้นไม่น่าใช่ท่าเรือ ลุงคนนั้นพามาถึงเกาะที่เป็นเกาะส่วนตัวได้โดยไม่หวาดกลัว พวกชาวบ้านช่วยกันปิดบังเรื่องการออกจากเกาะ คงมีแค่ดำคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องแล้วเผลอบอกผมเข้า ไหนจะตอนที่ไม้พูดเหมือนคุ้นหน้าภามอีก

มันไม่ใช่เพราะเขาเคยเจอภามมาก่อน แต่เขาเคยเจอพี่ชายภามมาก่อนต่างหาก

“นายรู้เรื่องหรือเปล่า” ผมหันขวับไปถามคนข้างกายที่นั่งเงียบอยู่นาน แล้วก็พบว่าภามมองมาอยู่ก่อนแล้ว

“รู้แค่เกาะนี้เป็นของพี่” เขาตอบง่ายๆ “ที่เหลือปะติดปะต่อเรื่องได้เอง”

ถ้าผมรู้ว่าเกาะนี้เป็นของใครก็เดาเรื่องได้หมดเหมือนกันนั่นแหละ

“แล้วทำไมไม่บอก”

“คุณไม่ได้ถาม”

“…”

เข้าใจแล้วว่าเรื่องที่เขาพูดก่อนหน้านี้คืออะไร ที่แท้ก็เห็นเป็นเรื่องสนุกเลยไม่บอกนี่เอง ผมเม้มปากแน่น อยากจะอ้าปากด่าอะไรคนหน้าปลาตายสักสองสามประโยค แต่พอนึกได้ว่าเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย ทั้งยังไม่เคยโกหกผมจริงๆ คำด่ามันก็หลุดออกมาไม่พ้นคอ

ตอนนั้นที่ผมบ่นๆ กับภามเรื่องที่ลุงเหมโกหกเราว่าออกจากเกาะได้เดือนละครั้ง ผมเคยถามเขาแบบไม่จริงจังว่าลุงเหมโกหกเราไปทำไม แล้วคำตอบก็คือ...โดนสั่งไว้ มันไม่ใช่ว่าเขาโกหก เรียกว่าตอบตรงคำถามเป๊ะๆ เลยด้วยซ้ำ เป็นผมเองที่โง่ไม่เข้าใจและเดาไม่ออก ไหนจะตอนที่ผมบอกว่าอยากเข้าไปในบ้านนายแล้วเขาพูดเหมือนพาเข้าไปได้อีก แค่คิดถึงภาพตอนตัวเองพูดราวกับภามจะงัดบ้านเข้าไปเป็นโจร ผมก็อยากเอาหัวโขกเสาตายด้วยความอับอายแล้ว

ที่บอกว่าถ้าถามแล้วจะตอบตามความจริง ภามไม่ได้โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไอ้เก้า...” ผมกัดฟันกรอด สาบานว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้งจะต้องเตะตูดมันให้ได้ บังอาจวางแผนให้ผมกับภามมาติดเกาะ สร้างเครือข่ายไว้พร้อมเลยนะไอ้เพื่อนเวร ไม่รู้ว่ามันวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนไหน

แต่ก็เพราะแบบนั้นถึงได้โล่งขึ้นเยอะ...

บอกตามตรงว่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าหากเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เป็นฝีมือของไอ้เก้า ตัวเองยังจะพูดว่าไม่โกรธได้ไหม เป็นเพราะเรารู้จักกันมานาน แกล้งกันไปมาสารพัด จะบอกว่าเคยชินแล้วก็คงไม่ผิด เพราะผมก็เคยแกล้งมันแรงๆ เหมือนกัน อีกอย่าง...ถ้ามันไม่คิดแผนบ้าๆ นี่ขึ้นมา ผมก็คงไม่ได้เจอชาวบ้าน ไม่ได้เจอเด็กๆ แล้วไม่ได้เจอ...ภาม

เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

หลังจากเห็นภามโบกมือให้ลุงเหมกับไม้เดินออกไปแล้ว ผมก็พุ่งเข้าไปกำคอเสื้อเขาไว้แน่นโดยไม่คิดตอบคำถามที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนั่น

“เล่ามาให้หมดเลย”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าปลาตายดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะหัวเราะแต่ก็ไม่ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถลึงตาใส่ เพราะรู้ดีว่าภามกำลังขำอยู่ในใจ แต่คนตัวสูงไม่คิดตอบในทันที เขาเพียงลุกขึ้นยืนแล้วใช้แรงที่มีมากกว่าดึงมือผมให้เดินตามไปโดยไม่คิดอธิบาย

ไม่รู้เหมือนกันว่าภามลากผมเดินมาไกลขนาดไหน รู้เพียงว่าสองขาอันอ่อนแอเริ่มเมื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาเดินจ้ำเอาๆ ไม่รู้จะเดินเร็วไปไหน ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาภามเป็นฝ่ายลากให้ผมเดินตาม จนเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วผมถึงได้สะบัดแขนตัวเองที่เขาจับกุมไว้เบาๆ เป็นเชิงเตือน เพียงเท่านั้นคนด้านหน้าก็หยุดเท้าแล้วหันมามองทันที

“เหนื่อยเหรอ”

“เหนื่อย...” ผมหน้าตึง อยากทรุดตัวลงไปนั่งเต็มแก่ “ถ้านายจะเดินต่อก็แบกฉันไปแล้วกัน ไม่เดินแล้ว”

ภามเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าแน่ใจนะ ทั้งยังตั้งท่าจะเข้ามาแบกจริงๆ ตามที่ผมประชดไป โชคดีที่ยกมือห้ามไว้ได้ทัน ไม่งั้นเขาต้องทำตามที่บอกโดยไม่มีข้อแม้แน่นอน

รู้หรอกว่าแข็งแรง...แต่ไม่ต้องโชว์มากก็ได้มั้ง

“ยังไม่ถึงเลย”

“นายจะพาฉันไปไหน”

เมื่อเอาความเมื่อยทั้งหมดที่มี หลังจากเดินไปเดินกลับระหว่างท่าเรือกับบ้านนายมารวมกัน พอบวกกับที่โดนลากให้เดินมานี่อีก เรียกว่าเมื่อยอาจจะน้อยไป เพราะแข้งขาเริ่มประท้วงจนต้องทรุดลงน่ังยองๆ จริงๆ แล้ว

“ไปบ้านพี่” ภามตอบเสียงเรียบ

“ไปทำไม”

“คุณอยากเข้าไปดูไม่ใช่เหรอ หรือจะไปนอนที่นั่นเลยก็ได้”

“แล้วของ...” ผมเงียบไปกะทันหันเมื่อเห็นคนตัวสูงย่อตัวลงหันหลังให้ ไม่รู้ด้วยความเคยชินหรืออะไร ผมถึงได้ขยับเข้าไปเกาะหลังเขาไว้โดยอัตโนมัติ ภามลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าด้านข้างดูราบเรียบไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย เขาจับขาผม ในขณะที่ผมกอดคอเขา พาดคางไว้บนบ่ากว้าง ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติมากจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ

“เดี๋ยวค่อยกลับไปเก็บก็ได้”

ที่เขาพูดมันก็เข้าท่าดีอยู่หรอก เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มๆ ไม่ได้อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ ไม่มีไฟฟ้าใช้ แม้แต่น้ำยังต้องกินน้ำขวดที่ไม่ได้แช่ตู้เย็น ถ้าได้เข้าไปอยู่ในบ้านเจ้าของเกาะคงจะสบายขึ้นหลายส่วน อาจจะสบายยิ่งกว่าตอนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตัวเองที่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แต่ว่า...

“กลับกันเถอะ”

“…ไม่อยากไปเหรอ”

“อยาก” ผมตอบตามตรง “แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว และเพราะเหนื่อย...ถึงอยากกลับบ้าน”

“อีกนิดก็ถึงแล้ว”

“บ้านของเรา”

“…”

ผมไม่รู้ว่าภามทำสีหน้าแบบไหนเพราะรีบหันหน้าออกไปมองทะเลด้านข้างก่อน แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเขาหันมาจ้อง แม้แต่ขายาวที่กำลังก้าวเดินก็หยุดชะงักตามไปด้วย ผมเผลอขมวดคิ้วเมื่อรับรู้ได้ว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วขึ้น และต่อให้อยากผละออกมาเพื่อปกปิดมันไว้ก็คงไม่ทันแล้ว ในเมื่อแผ่นอกของผมแนบติดอยู่กับแผ่นหลังของเขาตั้งแต่แรก

“เข้าใจแล้ว” เสียงพูดแผ่วเบาที่แฝงความยินดีไว้หลายส่วนดังขึ้น พร้อมกันกับที่เจ้าของร่างหมุนตัวเดินตัดเข้าไปในป่า ไม่ได้ตรงไปยังบ้านเจ้าของเกาะอีก ผมฝังหน้าลงกันไหล่ภาม ไม่ได้พูดอะไรต่อ ระหว่างทางกลับบ้านจึงมีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัด

“นายยังไม่ได้เล่าเลยนะ” คิดว่าจะลืมเรื่องที่พูดค้างไว้หรือไง

“ตอนแรกผมคิดว่าจะไปเล่าที่บ้านพี่”

“อา…” ผมเงียบไปเพราะคิดว่าภามคงจะรอให้ถึงบ้านก่อนแล้วค่อยตอบคำถาม แต่แล้วก็ต้องผิดคาดเมื่อเขาชะลอฝีเท้าลงให้เดินช้ากว่าเดิม ในเวลาเดียวกันกับที่เริ่มพูดเรื่องของตัวเองออกมาช้าๆ

“เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่ผมกำลังจะกลับอังกฤษหลังไปเที่ยวมาหลายเดือน เก้าถามว่าหลังจากนั้นจะไปที่ไหนต่อ พอบอกว่ายังไม่ได้วางแผนไว้ เขาเลยแนะนำให้มาที่ประเทศไทย”

โห...มึงวางแผนนานเป็นเดือนเลยเหรอไอ้เก้า

“แล้วไงต่อ”

“พอมาถึงเก้าก็ซื้อตั๋วรถไฟไว้ให้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณรู้ เก้าแนะนำให้เรามาที่นี่ เรื่องอื่นๆ ผมไม่รู้ แค่พอจะเดาได้จากสายตาของคนบนเกาะแล้วก็คำพูดหลายๆ อย่าง”

“เดี๋ยวนะ...” ผมยกมือข้างหนึ่งกุมขมับ อีกข้างยังเกาะภามไว้เพราะกลัวตก

จะว่าไปตั๋วรถไฟนี่แม่ก็เป็นคนซื้อให้เหมือนกัน แถมตอนที่จะออกเดินทางแม่ยังให้ไอ้เก้าโทรมาช่วยพูดให้ผมยอมออกมาเที่ยวอีก เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าคนสวยร่วมมือกับไอ้เก้า

“อันที่จริงผมคิดว่าคุณจะรู้ตั้งแต่เห็นศาลาแล้ว”

“ทำไม”

“ไม่เห็นจริงๆ เหรอว่าตรงทางเข้าศาลามีชื่อเก้าเขียนอยู่” ภามถามด้วยน้ำเสียงข้องใจหน่อยๆ แต่ทำเอาผมหน้าชา เพราะเป็นคนขี้สังเกต จะไม่เห็นได้ยังไงว่ามีคำว่า ‘อชิรา’ เขียนไว้บนเสาของศาลา

แต่คิดว่าเป็นชื่อศาลาเฉยๆ...

“ไม่ได้นึกถึงเลยสินะ”

“ใครจะไปคิดเล่า” ได้แต่ตอบอุบอิบกลับไปแบบเพลียๆ ถึงจะขี้สังเกตอย่างไร มันก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกช่างมันเถอะของผมได้อยู่ดี พอเห็นอะไรไม่เข้าใจ ถ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็พร้อมลืมและปล่อยมันไปได้ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นมาตลอด

“คุณโกรธไหม”

“โกรธ?”

“โกรธที่ถูกหลอกมาที่นี่ ถูกชาวบ้านโกหก แล้วก็ถูกทำให้...” เสียงนั้นชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนคนถามกำลังลังเลกับอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังตัดสินใจพูดออกมาจนจบประโยค “ถูกทำให้ต้องมาติดอยู่กับผมนานเป็นเดือน”

ผมไม่แน่ใจนักว่าภามพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ตัวเองกลับรู้สึกคันยุบยิบในใจเหมือนจะหงุดหงิดที่ได้ยินคำถามนั้นยังไงก็ไม่รู้ และสุดท้ายก็กลั้นความหงุดหงิดไม่ไหว จนต้องลงมือฟาดไหล่แกร่งของคนที่แบกตัวเองไว้แรงๆ หนึ่งที แม้จะต้องเป็นฝ่ายเจ็บมือเอง ในขณะที่เขาไม่เจ็บเลยสักนิดก็ไม่เป็นไร แค่ได้ลงโทษคนที่กล้าถามคำถามนั้นออกมาก็พอ

“ถ้าจะโกรธก็ต้องโกรธไอ้เก้ามากกว่า มันเป็นตัวต้นเรื่องทุกอย่าง แต่เพราะมันฉันถึงได้มาใช้ชีวิตแบบสบายๆ ที่นี่ แล้วจะโกรธไปเพื่ออะไร”

“…”

“แล้วไอ้ประโยคสุดท้ายนั่นน่ะ ขืนพูดออกมาอีกจะตบปากให้ ถามบ้าอะไรไม่เข้าเรื่อง” ผมทุบไหล่ภามอีกทีด้วยความหมั่นไส้ “มีคนแบกไปแบกมาเวลาเมื่อย ถ้าขี้เกียจก็ร้องหาให้อุ้ม นี่มันความฝันของฉันชัดๆ แล้วจะโกรธหรือไม่พอใจไปเพื่ออะไร”

“…ใจดีจังนะ”

ผมไม่พูดอะไรแต่รีบดิ้นลงจากหลังภามเมื่อเห็นกระท่อมหลังน้อยอยู่ในสายตา พอถูกปล่อยลงมาแล้วก็รีบวิ่งไปที่กระท่อมโดยไม่คิดรอคนที่ช่วยแบกมา จะยังไงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจตัวเอง ขืนอยู่ใกล้เขาแล้วได้ยินเสียงอ่อนๆ พร้อมรอยยิ้มจางนั่นอีกต้องเป็นอันตรายแน่ หนีมาสงบจิตสงบใจก่อนเป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดแล้ว

หลังจากท่องยุบหนอพองหนอจนครบสิบรอบ ภามก็เปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านพร้อมใบหน้าปลาตายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ดูจะแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย...แปลกตรงที่เขายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ แปะอยู่บนใบหน้า จนใจที่เพิ่งสงบของผมกลับมาเต้นกระหน่ำอีกรอบ ไอ้ที่ท่องและควบคุมตัวเองไปเมื่อกี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

“ปวดหัวหรือรู้สึกไม่สบายตัวหรือเปล่า” เขาถามขณะทรุดตัวลงนั่งด้านข้างผม

“ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อยอย่างเดียว”

“ยืดขามาสิ” เขาตบลงบนฟูกเป็นเชิงบอกให้ยืดขาวางลงตรงนั้น ซึ่งผมก็ทำตามโดยไม่อิดออด เพราะเคยชินกับเวลาที่ภามบอกให้ทำนั่นทำนี่ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการที่เขาจับขาผมไปวางพาดบนตักตัวเอง ก่อนจะเริ่มบีบนวดให้ช้าๆ ด้วยน้ำหนักที่ไม่มากเกินไปจนทำให้เจ็บ และไม่น้อยเกินไปจนไม่รู้สึก

“ทำอะไรน่ะ” ผมสะดุ้งจนตัวโยน ตั้งท่าจะดึงขากลับมา แต่คนรู้ทันจับมันไว้แน่น ไม่ให้โอกาสขยับแม้แต่นิดเดียว “ภาม...”

“ไม่เป็นไร”

“แต่…"

“กับคุณไม่เป็นไร” เจอประโยคนั้นเข้าไปใครจะเถียงต่อได้ ผมเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง มือสองข้างกำฟูกนอนเพื่อระบายความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้ในใจ

และแน่นอนว่าสุดท้ายก็เผลอเอนตัวลงนอนตามประสาคนรักความสบาย...

“ขึ้นบนหน่อย”

“ตรงนี้เหรอ”

“อือ…” ผมครางฮือด้วยความพอใจ ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคง เอามือเท้าหัวมองคนนวดพร้อมรอยยิ้มชมเชย “นายเก่งมาก”

“ลูกแมวจริงๆ”

ไม่เป็นไร...ไม่โกรธ

(ต่อด้านล่าง)
.
.




ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #99 เมื่อ10-08-2018 12:01:20 »






“ถ้าเป็นแมวแล้วจะสบายขนาดนี้นะ ฉันยอมเป็นแมวตั้งนานแล้ว” เจอแบบนี้ให้นอนเฉยๆ ทั้งวัน กลิ้งไปกลิ้งมาไม่ต้องลงจากเตียงก็โอเค สวรรค์ชัดๆ

“ถ้าไม่ใช่แมวของผมก็ไม่สบายแบบนี้หรอก” เสียงของคนที่กำลังบีบนวดให้ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังเคลิ้ม ปากเลยเผลอขยับตอบไปโดยไม่รู้ตัว

“ก็แมวของนายไง”

“หึหึ”

ฝ่ามือที่กำลังบีบนวดหยุดชะงักลงอย่างตั้งใจราวกับต้องการให้ผมทบทวนคำพูดของตัวเอง และมันก็ได้ผลมากด้วย เพราะแค่ความสบายหายไป สติสตังที่ใกล้หลุดลอยไปเต็มทีก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนบนใบหน้าตัวเอง และมั่นใจว่าแก้มสองข้างต้องกลายเป็นสีแดงก่ำแล้วแน่นอน ซึ่งสายตาที่ภามจ้องมองมาก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าผมคิดถูก

“ลืมไปให้หมดเลย” ผมออกคำสั่งไม่เต็มเสียงนัก พร้อมกับชักเท้าออกมาวางไว้บนฟูกเหมือนเดิม เมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย

“จะลืมยังไง เพิ่งพูดไปไม่ถึงนาที”

“งั้นให้อีกนาที ลืมไปให้หมดเลย” หลังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จบแล้ว ผมก็พลิกตัวไปอีกด้านแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้ทันที

“จะนอนแล้วเหรอ ยังไม่ได้อาบน้ำกินข้าวเลยนะ”

“นอนพักแป๊บเดียว”

“อีกไม่นานก็มืดแล้ว เดี๋ยวค่อยนอนทีเดียว” คนที่อยู่ด้านหลังยื่นมือมาหา แต่ผมที่แอบหันไปมองกลิ้งตัวหลบไปด้านข้าง พันตัวเองกับผ้าห่มจนกลายเป็นก้อนซูชิที่โผล่ออกมาแค่หัวได้ทันเวลา

“ขอนอนก่อน”

“เดี๋ยวค่อยนอน” ภามยังยืนยันคำเดิม สีหน้าปลาตายคล้ายอ่อนอกอ่อนใจอยู่ไม่น้อย เขายื่นมือมาแกะผ้าห่มออก แต่เพราะผมทับมันไว้อีกฝ่ายเลยแกะไม่ได้

“ไม่ไหวแล้วจริงๆ ดูดิ ตาจะปิดแล้วเนี่ย” ผมพยายามทำหน้าให้ดูน่าสงสาร เพราะรู้ดีว่าถ้าภามจะเอาจริงขึ้นมา กับแค่การแกะตัวผมแล้วลากไปอาบน้ำกินข้าวเป็นเรื่องง่ายมาก “วันนี้มีแต่เรื่องให้ตกใจจนปวดหัวไปหมดแล้ว”

“คุณเพิ่งบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว”

เบื่อคนจำแม่น...

“ตอนนี้เป็นแล้วไง ขอนอนหน่อยนะ”

หลังจากออดอ้อนบวกโกหกหน้าตายอยู่นาน ในที่สุดคุณชายก็ยอมถอนหายใจแล้วพยักหน้า ผมแทบจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่เพราะยังต้องรักษาท่าทีน่าสงสาร เลยทำได้แค่แอบยิ้มแล้วหลับตาปี๋เหมือนกลัวภามเปลี่ยนใจ แม้จะได้ยินเสียงพูดว่าลูกแมวอะไรสักอย่างก็ไม่สนใจ

ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความฝัน อยู่ตรงใจกลางระหว่างการหลับและการตื่น ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนอบอุ่นที่แตะลงบนแก้ม มันเป็นสัมผัสอันแสนคุ้นเคยของปลายนิ้วกร้านซึ่งชอบถือโอกาสเอามาแตะหน้าผมบ่อยๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือผมดันชื่นชอบสัมผัสนั้น ชอบมากจนต้องเผลอเอาหน้าไปคลอเคลียอยู่บ่อยครั้ง จนกว่าเจ้าของมันจะยอมวางทั้งมือลงมาเพื่อส่งผ่านความอบอุ่นและความสบายใจมาให้

“คุณกำลังจะทำให้ผมเคยตัว” เสียงแผ่วเบาของเจ้าของมือกระซิบอยู่ที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดแก้มจนผมต้องเอียงหน้าหลบ ทั้งที่ตายังปิดสนิทไม่อาจฝืนลืมขึ้นมาได้

“ฮื่อ…”

นายก็ทำให้ฉันเคยตัวเหมือนกันนั่นละ ทำให้สบายจนเคยตัว ทั้งตามใจ ทั้งดูแล ทั้งอุ้ม ทำให้ทุกๆ อย่างเท่าที่ฉันต้องการให้ทำ แล้วแบบนี้ถ้าต้องกลับไปใช้ชีวิตในแบบของหมอเจไดจะทำยังไง

“ยังไม่หลับเหรอ” น้ำเสียงของภามแลดูแปลกใจไม่น้อย คงเพราะเห็นผมทำท่าเหมือนหลับแต่กลับขมวดคิ้ว ทั้งยังส่งเสียงอืออาตอบรับ ไม่ได้เงียบแบบที่ควรเป็น

“อือ”

“ไม่นอนหรือไง”

“นอน”

ทันทีที่ฝืนตอบออกไปเป็นคำพูด สัมผัสที่เกลี่ยอยู่บริเวณแก้มก็ละออกไป ผมลืมตาพรึบพร้อมๆ กับที่ผุดลุกขึ้นนั่ง หงุดหงิดทั้งที่ไม่ได้นอนและโดนขัดใจ ส่วนเขาทำหน้างงไม่หาย เหมือนยังไม่เข้าใจว่าผมโกรธอะไร

“เป็นอะไร”

“เอามือมานี่” ผมแบมือ จ้องหน้าภามอย่างเอาเรื่อง ไม่คิดจะตอบคำถามนั้นด้วย รอจนเขาเอามือตัวเองมาวางทับไว้แล้ว ผมก็รีบกุมมือนั้นไว้ราวกับกลัวว่ามันจะหายไป เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอาหน้าซุกมืออุ่นๆ นั่นทันที

ภามจ้องหน้าผมเหมือนยังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่สุดท้ายเมื่อเขาเบนสายตามามองมือตัวเองที่ผมเอาซุกแก้มไว้ ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นก็พราวระยับ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน

“ไม่หลับตาเหรอ” เสียงราบเรียบที่ดูอบอุ่นแบบแปลกๆ เอ่ยถาม

“กำลังมองไม่ให้นายเอาของของฉันไป”

“ของ?” เขาทำหน้างง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมกำของในมือแน่นขึ้นเป็นคำตอบ “มือผม?”

“ตอนนี้เป็นของฉัน”

ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ อะไรจะดีไปกว่าอุณหภูมิร่างกายของคนอื่นกัน ถ้าไม่ติดว่ายังไม่ได้อาบน้ำ ผมคงสั่งให้เขาลงมานอนด้วยแล้วกอดร่างอุ่นๆ นั่นไว้ทั้งตัวแบบหน้าด้านๆ ไปแล้ว ถึงรู้ว่าใจจะต้องเต้นแรง แต่พอเริ่มชินขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะต้องรู้สึกดีมากๆ เแน่นอน

เพราะเคยแอบทดสอบมาแล้วตอนภามหลับ...

“นับวันคุณยิ่งเหมือนแมวมากขึ้นทุกที”

ผมไหวไหล่ไม่สนใจ สองตาปิดลงโดยไม่คิดต่อปากต่อคำ

อย่างที่เคยบอก...

ถ้าเป็นแมวแล้วสบายขนาดนี้ ผมเป็นแมวก็ได้ หมอเจไดเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว



——————————




ตรงส่วนนี้ขอพื้นที่อธิบายนิดนึงนะคะ เพราะอาจมีหลายคนคิดว่าสิ่งที่เก้าทำมันคือการยุ่งมากเกินไป(อันนี้จริง) แล้วก็เป็นการบังคับเพื่อนแบบที่เพื่อนไม่ได้ต้องการ(อันนี้ไม่ใช่น้า)

อันที่จริงส่วนตัวเราไม่ได้มองว่าสิ่งที่เก้าทำมันคือการบังคับนะคะ เก้าวางแผนกับแม่เจไดให้คนสองคนได้เดินทางไปด้วยกันเพราะรู้ดีว่าทั้งคู่ต่างต้องการเพื่อนและไม่ควรอยู่คนเดียว
 วางแผนกับคนที่เกาะ บอกว่าถ้าพวกนั้นมาแล้วให้โกหก จะได้กักให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เรื่องโกหกอันนี้เป็นไปได้ที่จะโกรธ แต่ก็โกรธเพราะเรื่องนี้ได้อย่างเดียวแหละ ซึ่งก็อย่างที่เจไดบรรยายบอกว่าตัวเองกับเก้าชินแล้วเรื่องแกล้งกัน อีกอย่างคือดันมารู้ความจริงตอนที่ผูกพันกับทุกอย่างไปแล้วเลยไม่ได้อะไรเท่าไหร่

ประเด็นคือเก้าทำเพื่อช่วย จะโกรธก็ไม่ลง
ถ้าใครจำได้น้องภามเคยบอกว่าถ้าเจไดไม่แก้ความรู้สึกที่เป็นอยู่(ความว่างเปล่า) เจไดจะแย่ ก็หมายถึงแบบนี้แหละค่ะ บางทีเจไดอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า หรืออาจกลายเป็นพวกเข้าสังคมไม่ได้ อะไรพวกนี้เป็นไปได้หมด แม่กับเก้าเองก็เห็น เลยตกลงกันว่าจะทำแบบนี้

แต่อย่าลืมว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเจไดเลือกเองทุกอย่าง เลือกจะตามภามไป ซึ่งภามก็เลือกไปตามที่ที่เก้าแนะนำเอง ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนนั้น นอกจากที่โดนชาวบ้านโกหกว่าเรือออกเกาะได้เดือนละครั้ง ที่เหลือคือพวกเขาทั้งคู่เลือกเองหมดเลยนะ

บางคนอาจจะไม่ชอบเก้าไปเลยเพราะยุ่งไปหมด แต่จริงๆ เราคิดถึงเหตุผล พยายามใส่ความเป็นเหตุเป็นผลลงไปในเรื่องนะ ถึงบางอย่างจะดูเป็นไปได้ยากก็ตาม (อันที่จริงถ้าบางคนจะคิดว่าเราใส่เก้ามาเป็นสีสันเฉยๆก็ได้นะ แต่ความจริงเราก็แอบคิดเหตุผลด้วยเหมือนกันตอนเขียน)

ตัวละครเก้าถูกวางคาแรกเตอร์มาตั้งแต่ไนโตรเจนให้มีนิสัยแบบนี้ ตอนที่จะหาเรื่องให้เจไดไปติดเกาะ เราคิดว่ามันต้องมีตัวกระทำ ไม่ควรให้เจไดยอมแบบลอยๆ ต้องมีเหตุผลสักนิดก่อน ก่อนที่มันจะกลายเป็นความรู้สึกอยากอยู่ต่อด้วยตัวเอง แล้วโชคร้ายที่เก้าดันมีนิสัยนั้น และที่สำคัญคือเราต้องการให้ ‘พี่ชาย’ ของภามมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าใครได้อ่านไนโตรเจนมาคงเห็นว่าภามกับพี่ภูรักกันมาก และในเรื่องนี้ก็มีใส่ให้เห็นอยู่บ้างเหมือนกันว่าภามรักพี่ภูขนาดไหน

แต่ด้วยคาแรกเตอร์พี่ภูมันไม่เข้ากับบทบาทที่เราอยากมอบให้ หน้าที่นั้นเลยตกไปเป็นของเก้าที่เป็นแฟนพี่ภูและเป็นเพื่อนเจไดแทนค่ะ (รู้จักทั้งสองฝ่าย)

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้ต้องการอธิบายให้คนที่หมั่นไส้เก้าและหาว่ามันเผือกเกินรู้สึกชอบมันมากขึ้นนะ
เราแค่อยากอธิบายที่มาที่ไป อยากให้ทราบว่าที่เขียนไปต้องการสื่ออะไร เพราะโดนส่วนตัวก็ค่อนข้างคิดเยอะเรื่องเหตุผลของการกระทำต่างๆของตัวละคร ชอบให้ทุกการกระทำมีที่มาที่ไปค่ะ

อันที่จริงเราก็หมั่นไส้เก้าเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นแหละ แต่พออ่านเรื่องของมัน เห็นว่ามันคิดอะไรอยู่ แล้วมันเป็นเด็กบ้าบอขนาดไหน ก็อยากให้ทั้งหมั่นไส้แล้วก็รักมันไปด้วยนะ
 
ส่วนใครที่บอกว่าเจไดอาจจะนิสัยแบบนี้เลยไม่โวยวาย ใช่ส่วนหนึ่งค่ะ แต่อยากบอกว่าจริงๆ เจไดก็แสบไม่แพ้เก้าหรอกนะ
แสบขนาดไหนติดตามได้ในเล่มนะ อิอิ (แอบขายของ)

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นเลยค่ะ //โค้ง




TALK : หมอเจไดเป็นคนง่ายๆ กากๆ แบบนี้แหละ... เรื่องนี้ไม่มีมาม่าให้กินค่ะ เก็บหม้อได้เลยยย อยากให้ทุกคนอ่านอนาคินแล้วรู้สึกผ่อนคลายเหมือนตอนที่เราเขียนนะ ตอนเขียนเรื่องนี้เราแฮปปี้มาก รู้สึกเหมือนได้พักผ่อน อยากไปเที่ยวมากกกก ใครที่กำลังเหนื่อยหรือท้อแท้ หวังว่าน้องภามกับนังหมอจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างนะคะ : )

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
« ตอบ #99 เมื่อ: 10-08-2018 12:01:20 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
«ตอบ #100 เมื่อ10-08-2018 12:03:03 »

-19-


ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยความรู้สึกสดชื่นจนถึงขีดสุด ตานี่ใสปิ๊งจนไม่รู้จะใสยังไง หันไปมองนาฬิกาบอกเวลาเพิ่งจะหกโมง สงสัยว่าจะนอนนานไปหน่อยเลยตื่นมาเช้าขนาดนี้ได้ แต่สิ่งที่ผิดปกติคืิอท้องที่ร้องโครกครากไม่หยุด หิวมากจนต้องเอามือลูบท้องป้อยๆ และมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานไม่ได้กินอะไรเลยในช่วงเย็น จำได้ว่าจะงีบสักชั่วโมงแล้วค่อยลุกไปกินข้าวอาบน้ำ แต่เหมือนจะหลับยาวยันเช้า

แล้วทำไมภามไม่ปลุก...

“ภะ…” ผมหุบปากฉับเมื่อสายตาหันไปเห็นร่างของคนตัวสูงนอนฟุบอยู่ข้างฟูก ถึงจะมีมุ้งช่วยกันยุงไว้ได้ แต่ท่านอนของเขาไม่ได้ดูสบายเลยสักนิด ยิ่งเมื่อมองเห็นว่าฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งถูกผมจับไว้แน่น ความรู้สึกผิดก็ยิ่งท่วมท้นหัวใจ

เมื่อวานนอกจากจะนวดขาให้ผมจนหลับไปแล้ว ท่าทางเขาคงไม่อยากปลุกเพราะเห็นผมหลับสบาย ทั้งยังเสียสละมือให้จับไว้จนถึงเช้าด้วย ดูจากเสื้อผ้าแล้วยังเป็นชุดเดิมอยู่เลย เราคงไม่ได้อาบน้ำกันทั้งคู่ และภามก็น่าจะยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน

ผมปล่อยมือเขาออก พยายามอย่างยิ่งไม่ให้เกิดเสียงหรือขยับตัวแรงจนอีกฝ่ายตื่น ก่อนจะเอาผ้าห่มที่ใช้คนเดียวมาทั้งคืนไปห่มให้เขา ใจจริงอยากดันให้ขึ้นไปนอนบนฟูกดีๆ ด้วย แต่ถ้าทำแบบนั้นคนที่มีความรู้สึกไวอย่างภามต้องรู้สึกตัวแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมเลยค่อยๆ คลานออกจากมุ้งนอนโดยระมัดระวังทุกท่วงท่า ท้ายที่สุดก็ออกมายืนอยู่ด้านนอกจนได้

สิ่งแรกที่ผมทำเมื่ออกมาจากมุ้งแล้วคือการเดินไปคว้าตะเกียงที่ตั้งอยู่มุมห้องมาถือไว้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก ถ้าจะเดินไปบ้านน้าต้อยโดยไม่ถือตะเกียงไปด้วย ผมคงเป็นบ้าตายก่อน เพราะทุกครั้งที่ต้องไปไหนมาไหนมักจะมีภามไปเป็นเพื่อนเสมอ จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะเดินไปที่อื่นโดยไม่มีภามไปด้วยก็ไม่ผิดนัก

เขาอยากกินอะไรนะ...

โชคดีที่อย่างน้อยเวลาหกโมงก็ไม่ได้มืดมิดมากเกินไปนัก ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหาเรื่องมาคิดเรื่อยเปื่อยเพื่อดึงความสนใจของตัวเองออกจากอะไรที่ไม่ดี จวบจนเดินมาถึงบ้านน้าต้อยแล้วถึงโล่งอก เพราะน้าแกตื่นมานั่งตำอะไรบางอย่างบนแคร่ไม้หน้าบ้านตั้งแต่เช้า

“น้าต้อย”

“อ่าว...ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ” น้าต้อยเงยหน้ามองผมแล้วยิ้มกว้าง มือกวักเรียกให้เดินไปนั่งลงข้างกัน ทำให้ผมได้เห็นว่าแกกำลังตำน้ำพริกอยู่ ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นน้ำพริกอ่อง

“น้ำพริกอ่องใช่ไหมครับ ผมเพิ่งรู้ว่าคนใต้ทานกันด้วย”

“น้าก็ชอบหาเมนูนู่นนี่มาปนกันไปเรื่อยแหละจ้ะ พวกเราอยู่ง่ายจะตายไป เดี๋ยวพ่อหมอแบ่งไปทานกับนายน้อยด้วยเลยนะ น้าทำเผื่อไว้เยอะเลย”

“เอาใจกันขนาดนี้ คิดจะแก้ตัวเรื่องที่หลอกผมใช่ไหมเนี่ย” ผมพูดแซวอย่างไม่จริงจังนัก แล้วน้าต้อยแกก็หัวเราะตาม ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าคำตอบคือใช่

“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะ แล้วนี่จะมาทำอาหารใช่ไหม”

“ครับ ภามยังหลับอยู่ ผมเลยว่าจะทำไปให้เขากินทีเดียว”

“งั้นมาช่วยน้าทำดีไหม” ว่าจบน้าแกก็ลุกขึ้นยืน ถือถาดที่มีวัตถุดิบในการทำน้ำพริกอ่องไปที่เตาด้วย ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบเดินตามไป ไหนๆ ก็ไหนๆ ช่วยน้าต้อยทำแล้วแบ่งไปกินเลยก็ดีเหมือนกัน ภามจะได้ทานอาหารหลากหลายหน่อย เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขากินแต่ไข่เจียวจนหน้าจะเป็นไข่เจียวอยู่แล้ว

“เดี๋ยวผมจุดเตาให้เอง”

การจุดเตาถ่านกลายเป็นเรื่องง่ายเมื่อได้ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่นาน ผมใช้เวลาอยู่ที่ครัว ช่วยน้าต้อยทำอาหารอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ไม่นานนักน้ำพริกอ่องหน้าตาน่าทานก็ถูกแบ่งมาส่วนหนึ่ง พร้อมกับผัดผักและไชโป๊ผัดไข่ที่ถูกใส่ไว้ในปิ่นโต แค่ได้กลิ่นผมก็ท้องร้องแล้ว

“แล้วนี่จะกลับกันเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ” น้าต้อยถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังตักข้าวใส่ปิ่นโตให้ผม

“อีกสามวันครับ”

“ไวจังเลยเนอะ”

“นั่นสิ” ผมยิ้มจาง ยังจำภาพตอนวันแรกที่มาถึงที่นี่ได้อยู่เลย เด็กตัวดำสองคนที่วิ่งเล่นอยู่บนหาดแล้วมองมาด้วยสีหน้าหวาดๆ ยามเห็นสภาพของผมกับภามที่เละเทะไม่มีชิ้นดี หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มองมาด้วยความตกใจยามเห็นผมกับภามที่มาในฐานะนักท่องเที่ยว “เผลอแป๊บเดียวก็จะครบเดือนแล้ว”

พอคิดแล้วก็ใจหายอยู่เหมือนกัน

“ถ้ากลับไปแล้ว เอาไว้ว่างๆ ก็มาเยี่ยมกันบ้างนะจ๊ะ” น้าต้อยส่งปิ่นโตให้ผมพร้อมรอยยิ้ม

“แน่นอนอยู่แล้วครับ”

ถึงจะไม่รู้ว่าจะว่างตอนไหน แต่สถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในความทรงจำที่น่าจดจำของผม ยังไงก็ต้องกลับมาแน่นอน

ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ท้องฟ้าก็สว่างจนไม่ต้องพึ่งพาแสงจากตะเกียงแล้ว ผมเดินจ้ำเอาๆ แค่แป๊บเดียวก็มาโผล่อยู่หน้ากระท่อมหลังเล็กในที่สุด ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ผมคิดว่าจะได้เห็นภามนั่งพิงผนังกดดูรูปถ่ายในกล้องแบบที่เคยเห็นทุกวัน เพราะปกติเขาจะตื่นช่วงนี้ตลอด แต่ผิดคาด...ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนอนดึกขนาดไหน คนที่ตื่นเช้าอยู่เสมอถึงยังนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม ทั้งยังไม่เปลี่ยนท่าเสียด้วย

จะว่าไปแล้วนอกจากคืนนั้นที่เขานอนดิ้นจนมาถีบผมเข้า คืนต่อๆ มาก็ไม่เห็นว่าเขาจะดิ้นอะไรนะ

“ภาม…" ผมทดลองเรียกคนที่กำลังหลับเบาๆ คิดไว้ว่าถ้ายังไม่ตื่นก็จะรอ ถึงอาหารจะเย็นไปหน่อยแต่ก็ยังกินได้อยู่ เห็นแก่ที่เขาให้ผมยืดฟูกกับมืออุ่นๆ มาทั้งคืน แต่คนที่นอนอยู่ในมุ้งข้างฟูกกลับรู้สึกตัวแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพร้อมขยับออกมาจากมุ้ง ใช้สองตาแดงๆ ปรือปรอยจ้องมองมาที่ผมเหมือนจะถามว่าเรียกทำไม

“…แสบตา” ภามขมวดคิ้ว ตาหรี่ลงข้างหนึ่งเหมือนยังสู้แสงไม่ไหว  พอผนวกรวมกับหัวฟูๆ ที่ดูน่าตลกแล้วก็ทำให้มาดคมเข้มลดลงไปได้ไม่น้อย

“เมื่อคืนนอนกี่โมง”

“น่าจะ...เที่ยงคืน”

“ทำไมนอนดึกขนาดนั้น มันมีอะไรให้ทำด้วยเหรอ” ผมมองหน้าภามด้วยความงุนงง ต่อให้เป็นพวกนอนดึกขนาดไหน แต่ในสถานที่ีที่ไม่มีอะไรให้ทำเลยแม้แต่อย่างเดียว ยังไงก็ต้องพยายามข่มตาหลับอยู่ดี แล้วผมนอนไปก่อนตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดดี เท่ากับภามต้องอยู่เฉยๆ หกหรือเจ็ดชั่วโมงเลยนะ

“มองหน้าคุณ”

“…”

ผมหันไปหยิบปิ่นโตมาแกะออก วางกับข้าวไว้ตรงกลาง ชั้นที่เป็นข้าวสองชั้นยื่นให้ภามชั้นหนึ่งและเป็นของผมอีกชั้นหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ลงมือตักน้ำพริกคำแรกมากินเงียบๆ โดยไม่คิดเรียก แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาตามลมก็ไม่สนใจ

“นี่คืออะไร” คนอยู่เป็นชะโงกหน้าไปมองน้ำพริกอ่องทั้งที่ยังยิ้มนิดๆ อยู่ ท่าทางน่าหมั่นไส้จนผมอยากจะเข้าไปขยี้หัวฟูๆ นั่นให้เละกว่าเดิม

“เรียกว่าน้ำพริกอ่อง ไม่เผ็ด ลองกินดู”

“อา…” ภามทำตัวว่าง่ายด้วยการตักน้ำพริกเข้าปาก สีหน้าปลาตายคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วมองผมตาใส “มะเขือเทศ?”

“ใช่”

“ผมชอบกินมะเขือเทศ”

“ชอบก็กินเยอะๆ”

ดูเหมือนภามจะมีความสุขกับการกินอาหารมื้อนี้มากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเพราะอดมาตั้งแต่เมื่อคืน หรือเพราะได้กินมะเขือเทศแบบที่ตัวเองบอกว่าชอบกันแน่ คำพูดคำจาและสีหน้าเหมือนเด็กๆ ของคนเพิ่งตื่นทำให้ผมต้องยิ้มจางอย่างอดไม่ได้ ลองมาเห็นสีหน้าภามตอนนี้ ใครไม่ยิ้มก็เก่งเกินมนุษย์แล้ว

หลังจากกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอาผ้าทั้งของตัวเองและของภามไปซักตามหน้าที่ที่ไม่รู้ว่าได้รับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เพราะเคยชินกับการนอนหอตอนเรียน ซักผ้ารีดผ้าเอง ไม่ได้จ้างร้านเพราะขี้เกียจเดินลงจากชั้นบน เรื่องแค่นี้เลยจิ๊บจ๊อยมาก

ส่วนภามทำอะไรน่ะเหรอ...

ในช่วงแรกคุณชายผู้ไม่เคยซักผ้าเองเอากล้องมาถ่ายรูปผมตอนทำตัวเป็นแม่บ้าน ต่อมาเริ่มกลายเป็นนั่งจ้องเฉยๆ ชวนคุยบ้างบางเวลา และในส่วนของตอนนี้นั้น...

แชะ!

“คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

มาครบทั้งถ่ายรูป จ้อง และชวนคุย ที่สำคัญคือถือข้าวที่ยังกินไม่หมดออกมาด้วย

“หกโมง” ผมตอบพร้อมกับขยี้ผ้าไปด้วย “เมื่อคืนนอนยาวไปหน่อย แล้วนายก็ไม่ยอมปลุกด้วย”

“ผมเห็นคุณนอนสบายเลยไม่อยากกวน”

“ใจดีจังนะ ทั้งไม่ปลุกแล้วยังยกมือกับที่นอนให้ทั้งคืนเลย” ว่าแล้วก็เหลือบมองคนใจดีขำๆ แต่นอกจากภามจะไม่ขำแล้ว เขายังตอกกลับจนผมเกือบหน้าหงายด้วย

“แลกกับที่ได้มองหน้าคุณตอนหลับ เห็นคุณส่งเสียงอ้อแอ้แล้วอ้อนเป็นลูกแมว ผมถือว่าคุ้ม”

“อะแฮ่ม...” ผมกระแอมเบาๆ พยายามอย่างยิ่งเพื่ออดกลั้นไม่ให้ความร้อนพุ่งไปที่แก้มทั้งสองข้าง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลมากนัก “จะว่าไปทำไมนายไม่นอนดิ้นแล้วล่ะ จำได้ว่าวันแรกๆ ยังถีบฉันอยู่เลย”

จู่ๆ เสียงช้อนที่กำลังตักข้าวของอีกคนก็เงียบหายไปกะทันหัน เงียบไปนานจนน่าแปลกใจ ผมเงยหน้ามองภามงงๆ ยิ่งเห็นหน้าตาราบเรียบไร้ความรู้สึกของเขาที่ไม่ได้ดูอารมณ์ดีเหมือนเดิมก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าเผลอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

ก็ไม่นะ...แค่ถามว่าทำไมไม่นอนดิ้นแล้วเอง

“…ฝันร้าย” ภามพูดขึ้นมาเบาๆ ดวงตาคู่คมมองเหม่อไปไกล ราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่เพียงลำพัง

“…”

“ผมจะนอนดิ้นแค่เวลาฝันร้าย”

ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแล้วผมถึงรู้สึกหน่วงในอกแบบแปลกๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเสียงแผ่วเบาของเขาหรือเป็นเพราะใบหน้าที่ดูหมองลงนั่นกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรผมก็ไม่ชอบใจทั้งนั้น หากเมื่อคิดอ้าปากพูดกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปกันแน่ สุดท้ายเลยได้แต่เม้มปากไว้แน่นแล้วก้มหน้าก้มตาซักผ้าในมือต่อไป

บรรยากาศแบบนี้...ผมไม่ชอบเลย



ถึงแม้วันนี้ท้องฟ้าจะสดใสมากเพียงใด แต่ความอึมครึมกลับตามติดผมมาโดยตลอด ราวกับมีเมฆฝนลอยตามตัว ทำให้อารมณ์ที่ควรดีเพราะได้นอนเยอะหมองหม่นลงตามไปด้วย เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับคนที่เอาแต่เงียบ ผมเลยทำได้แค่ฉีกยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยชวนเขาให้ไปเดินเล่นด้วยกัน ภามพยักหน้าเงียบๆ ไม่หือไม่อือ เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ รู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงหน้าบ้านเจ้าของเกาะโดยไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียว

ปกติถ้าต้องเดินไกลขนาดนี้ผมคงรีบหาที่นั่งแล้วบ่นว่าเมื่อย ไม่ก็รีบบอกให้เขาเปิดประตูแล้วเขาไปนอนแหมะอยู่ด้านใน แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่มีอยู่เลยในสมอง ใจเอาแต่พะวงคิดถึงเรื่องความรู้สึกของภามจนกังวลไปหมด

“เข้าไปข้างในเถอะ” คนตัวสูงพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูกระจก เขาหยิบกุญแจดอกหนึ่งที่ได้มาจากลุงเหมออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อไขเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปด้านในอย่างเหม่อลอย ทิ้งให้ผมยืนอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง

ฝันร้ายของภามคืออะไรกันแน่...ทำไมถึงทำให้เขาเป็นได้ขนาดนี้

ผมถอนหายใจยาวเหยียด รู้ตัวดีว่าถ้ามันทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรถามออกไป ถ้าภามอยากพูดก็คงพูดออกมาเอง สิ่งที่น่าคิดคือต้องทำอย่างไรเขาถึงจะกลับมากวนตีนผมได้เหมือนเดิมต่างหาก

“ผมจะไปเอาน้ำมาให้” ภามหันมาบอกแล้วเดินหายไปหลังกำแพง ในขณะที่ผมทำได้เพียงนั่งลงบนโซฟารับแขก ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะสนใจความสวยงามของสถานที่แห่งนี้

ไม่ใช่ความผิดตัวเอง...แต่ก็เหมือนใช่อยู่ดี

ผมนั่งขัดสมาธิทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่บนโซฟานุ่มที่น่าจะมีราคาพอสมควร พอได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากอีกทางแล้วก็รีบเงยหน้ามอง เห็นภามยื่นขวดน้ำเย็นที่ไม่ได้แตะมานานมาให้แบบพอดิบพอดี

“ขอบใจ”

ภามนั่งลงบนโซฟาข้างผมเงียบๆ ไม่แม้แต่จะชวนคุย ทั้งยังไม่หันมามองหน้ากันแบบที่มักทำจนกลายเป็นเรื่องปกติ เป็นผมเองเสียอีกที่อยู่ไม่สุขเพราะเห็นเขาเปลี่ยนไป จนอดก่นด่าตัวเองในใจไม่ได้...

อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังควบคุุมอารมณ์ไม่ได้อีก

“ผมเห็นข้างบนมีระเบียง...” ในที่สุดภามก็ทำลายความเงียบด้วยการหันมามองหน้าผม “คุณอยากขึ้นไปดูไหม”

“ไป!” นาทีนี้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่หลุดจากบรรยากาศแบบนี้ไปได้ก็พอ

เมื่อเห็นว่าภามดูเป็นปกติแล้ว ผมก็โล่งใจตามไปด้วยจนมีอารมณ์มองสำรวจบ้านในที่สุด ด้วยฐานะของครอบครัวภาม ผมคิดว่าเขาน่าจะหาบ้านที่หรูหรามากกว่านี้ได้อีกหลายเท่า แต่คงเพราะเอาไว้พักผ่อนจริงๆ นอกจากด้านนอกที่สวยงามมากๆ แล้ว ด้านในก็ไม่ได้มีของตกแต่งอะไรมากนัก แค่คงสไตล์เรียบหรูและดูแพงเอาไว้

แม้แต่ทางเดินขึ้นชั้นบนก็เป็นเพียงบันไดสีขาวเรียบๆ ไม่มีลูกเล่นอะไร ที่น่าสนใจที่สุดน่าจะเป็นประตูสองบานบนชั้นสอง ซึ่งบานหนึ่งมีสติกเกอร์รูปกีตาร์และไมค์แปะอยู่เต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นห้องไอ้เก้าแน่ๆ เพียงแต่ผมไม่คิดว่ามันจะยอมนอนแยกห้องกับพี่ภูนี่สิ ถ้างั้นประตูสีขาวเรียบๆ อีกบาน...

“พี่เคยบอกว่าบ้านทุกหลังของเขาจะมีห้องสำหรับผม” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ เสียงดูอ่อนลงหลายระดับ เหมือนจะกลับมาเป็นตัวเองเต็มที่แล้ว แม้แต่บรรยากาศมืดมนก็จางหายไปด้วย จนผมได้แต่ยกมือไหว้พี่ภูอยู่ในใจ อยากจะขอบคุณเหลือเกินที่ช่วยเหลือทั้งที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ

“งั้นนี่คงเป็นห้องนาย” ผมพยักพเยิดไปที่ประตูอีกบาน

“ดูทำหน้า” เจ้าของห้องส่ายหน้าหน่าย มือยกขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ โดยไม่ขออนุญาต แต่คงเพราะความอยากรู้อยากเห็นมีมากเกินไป ผมเลยเอาแต่จ้องจะรอให้เขาเปิดประตูอย่างเดียว ไม่คิดหันไปว่าหรือทำหน้าหงิกใส่

เมื่อทนมองสีหน้าของผมต่อไปไม่ไหว ภามก็เปิดประตูเข้าไปด้านในในที่สุด จากที่คิดว่าห้องของเขาจะต้องเรียบหรูและดูดี ผมกลับต้องเลิกคิ้วมองอย่างงุนงง เมื่อเห็นเพียงเตียงใหญ่หนึ่งเตียง ตู้ไม้หนึ่งตู้ โต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งตัว ห้องน้ำหนึ่งห้อง ไม่มีของตกแต่งอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งโคมไฟประดับหรือแจกันอะไรก็ไม่มี

“ฉันคิดว่าพี่นายจะแต่งห้องให้แบบหรูๆ ซะอีก”

“ปกติผมแต่งเอง”

“หืม” ผมเดินเข้าไปหาภามอย่างสนอกสนใจ เมื่อเห็นเขายื่นกระดาษใบหนึ่งมาให้ บนนั้นไม่มีมีข้อความยาวเหยียดอะไร มีเพียงตัวอักษรภาษาไทยสั้นๆ ซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนที่ผมคุ้นเคยดี

‘พี่ภูโอนค่าแต่งห้องให้แล้ว บาย’

ไอ้เก้า...

“นายไม่รู้เลยเหรอว่าพี่โอนค่าแต่งห้องให้แล้ว หรือเขาโอนให้ตอนอยู่บนเกาะ” อดหันไปถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เพราะถ้าที่นี่สร้างไว้นานแล้ว ภามก็น่าจะรู้สิว่าพี่ชายโอนเงินให้

“ผมไม่เคยเข้าไปดูบัญชีที่พี่โอนเงินให้”

“ทำไมล่ะ”

“แค่เงินตัวเองก็ใช้ไม่หมดแล้ว”

“…”

ต้องรวยขนาดไหนถึงกล้าพูดประโยคนี้

ผมเมินคำพูดเขาแล้วเดินสำรวจรอบห้อง ถึงจะแน่ใจว่าคงไม่มีอะไรน่าสนใจเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร จวบจนเมื่อเดินมาถึงประตูระเบียง แสงที่สะท้อนเข้ามาในตาจากช่องว่างเล็กๆ ที่ผ้าม่านแง้มอยู่ก็ทำให้ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมรีบกระชากม่านให้เปิดออก จนได้เห็นสระว่ายน้ำบนชั้นสองที่ไม่ได้ใหญ่เท่าสระชั้นล่าง แต่กลับน่ากระโดดลงไปเล่นแบบสุดๆ นี่ถ้ามีเครื่องดื่มเย็นๆ ไว้จิบขณะแช่น้ำชมวิวตอนค่ำคงเหมือนขึ้นสวรรค์

“มองจนตาจะเป็นรูปดาวแล้ว” เสียงแซวจากคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกตัว หันหน้าไปมองเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ไม่คิดว่าจะมีแบบนี้ด้วย ตอนมองจากบนเขาเห็นแค่เป็นสระว่ายน้ำก็ตื่นเต้นแล้ว ไม่ได้สังเกตเลยว่าแบ่งเป็นสองชั้น”

“พี่คงอยากให้เก้าเอาไว้ผ่อนคลาย”

นั่นสินะ...ถึงจะไม่ได้ทำงานทางสายดนตรีตามที่เรียนมา แต่ไอ้เก้ามันก็ยังเล่นกีตาร์อยู่เป็นประจำ อารมณ์ศิลปินคงเกิดง่ายขึ้น หากมีสถานที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ แบบนี้เป็นตัวช่วย

“แล้วนายล่ะ”

“ผม?”

“ใช่ นายชอบสถานที่แบบนี้หรือเปล่า” ผมเดินไปทรุดตัวลงนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำอยู่ริมสระ พร้อมหันไปกวักมือเรียกอีกคนให้มานั่งลงข้างกัน ภามชะงักอยู่แค่แป๊บเดียวก็เดินมาหาผมตามคำเรียก

“ชอบสิ”

“ฉันคิดว่านายจะชอบแต่อะไรที่เป็นธรรมชาติ”

“หืม”

“ก็สระนี่มนุษย์สร้างไง คิดว่าจะชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติอย่างเดียวซะอีก พวกทะเล น้ำตก ภูเขา อะไรพวกนี้” ขนาดถ่ายรูปคนยังไม่ชอบเลยนี่นะ ถ้าบอกว่าไม่ชอบสระว่ายน้ำแบบนี้เหมือนกันผมก็ไม่แปลกใจหรอก

“ผมเคยบอกคุณแล้วว่ามีข้อยกเว้น” ภามพูดขึ้นลอยๆ น้ำเสียงดูเป็นปกติมากจนผมคิดว่าเขาอาจลืมเรื่องฝันร้ายไปแล้ว “ก็เหมือนที่คุณเป็นข้อยกเว้นในการถ่ายรูปของผม สระว่ายน้ำเองก็เป็นข้อยกเว้นเหมือนกัน”

“ไม่ได้เกี่ยวกันเลย” ผมหันไปผลักไหล่ภามด้วยความหมั่นไส้ จับนู่นจับนี่มาเชื่อมกันมั่วไปหมด ดูก็รู้ว่าจงใจพูดเพราะอยากแกล้งชัดๆ

“หึ” เขาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธอะไร “ถ้าไม่นับกลิ่นคลอรีนก็โอเคอยู่”

“รู้ไหมทำไมฉันอยากเป็นหมอ”

ภามหันหน้ามามองผม ดูท่าทางงุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ถูกถามเรื่องนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

“ไม่รู้”

“ตอนเด็กๆ ฉันเคยจมน้ำมาก่อน” ยังจำกลิ่นและรสชาติของคลอรีนในสระได้อยู่เลย แค่คิดก็อยากสำลักแล้ว “มารู้สึกตัวตอนที่ถูกพ่อปั๊มหัวใจพอดี ตอนนั้นฉันโคตรเจ็บเลย ทรมานจนแทบบ้า”

“เพราะสำลักเหรอ”

“เปล่า เพราะพ่อปั๊มหัวใจนั่นแหละ ปวดอกไปหมด”

“…”

“ตั้งแต่นั้นก็คิดมาตลอดว่าอยากเป็นหมอ แม้ว่าตอนโตขึ้นจะรู้แล้วว่าหมอรักษาตัวเองไม่ได้ก็ตาม” ผมหัวเราะให้กับความคิดแบบเด็กๆ ของตัวเอง จำได้ว่าตอนนั้นพ่อชอบซื้อชุดของเล่นคุณหมอให้เล่นอยู่แล้วด้วย พอประกอบกับมาจมน้ำเลยยิ่งอยากเป็นเข้าไปใหญ่ “ฉันคิดว่าโตขึ้นจะต้องเป็นหมอให้ได้ เวลารักษาตัวเองจะได้ไม่เจ็บ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่มี รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นหมอเด็กไปแล้ว”

“พ่อแม่คุณรู้เรื่องนี้ไหม” ภามถามด้วยสีหน้าปลาตาย อีกนิดจะเหมือนศพอยู่แล้ว

“รู้สิ ตอนได้ยินแม่เกือบเป็นลม” ตอนนั้นแม่ผมบ่นปวดหัวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายวัน ส่วนพ่อเงียบกริบไปนานหลายนาที คงไม่คาดคิดว่าผมในวัยเด็กจะเอ๋อได้ขนาดนั้น

“สมควรอยู่”

“เล่าเรื่องนายบ้างสิ” ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขอบสระแล้วหันไปหาเขาทั้งตัวเพื่อให้มองหน้ากันได้สะดวกขึ้น “อะไรก็ได้ พูดมาเลย”

“คุณอยากรู้เรื่องผม?”

“ก็...คงใช่” ทำไมฟังรูปประโยคคำถามแล้วมันรู้สึกแปลกๆ วะ จะกลับคำก็ไม่ทันแล้วด้วย

“ผมชื่อภาม...”

“เป็นประโยคเริ่มต้นที่ห่วยมาก” ประโยคต่อไปต้องบอกชื่อจริงกับนามสกุลแน่ๆ ผมแอบขมวดคิ้ว ในขณะที่ภามเอียงคอสงสัยเหมือนไม่เข้าใจว่าพูดผิดตรงไหน

“ผมชอบกินไข่เจียว ชอบกินมะเขือเทศ ชอบถ่ายรูป ชอบเดินทาง แล้วก็ชอบ...”

“พอเลย” ผมรีบยกมือห้ามแล้วมองภามตาขวาง บอกให้เล่าเรื่องตัวเองก็เอาของที่ชอบมาเป็นแถบ ไม่มีข้อมูลอะไรให้ล้วงความลับเลย “ปล่อยให้นายพูดว่าชอบอะไรบ้างคงต้องใช้เวลาทั้งวัน”

“แล้วก็ชอบคุณ”

“ยังไม่...” อะไรนะ

“แล้วก็ชอบคุณ” ภามพูดย้ำด้วยสีหน้าปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง เป็นผมเองที่หน้าแทบไหม้เพราะอับอายแทนคนหน้าหนา

“นายจะพูดบ่อยแบบนี้ไม่ได้นะภาม”

ไม่มีใครเคยบอกเหรอว่าเวลาสารภาพรักหรือจะจีบชาวบ้าน คนส่วนใหญ่เขาจะพูดแค่ครั้งเดียวตอนสารภาพ หลังจากนั้นจะพูดอีกทีก็ตอนที่ใจตรงกันไปแล้ว หรือไม่ก็แตกหักไปเลย

ช่วยอย่าเล่นนอกตำราจะได้ไหม แค่นี้ก็รับไม่ทันแล้ว

“ผมแค่ตอบคำถาม” เขาพูดด้วยความมั่นใจ

“โอเค ฉันผิดเอง”

“ผมไม่ได้ว่าคุณผิด”

“เปลี่ยนเรื่องกันไหม” ผมยกมือยอมแพ้ น้อมรับความผิดพลาดและทุกสิ่งไว้ที่ตัวเอง ยังไงก็เถียงไม่ออกอยู่แล้ว ขออนุญาตเปลี่ยนเรื่องกันหน้าด้านๆ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

“ผมแล้วแต่คุณ” ต้องขอบคุณไหมที่ยอมพยักหน้าตามน้ำ

“ถ้าออกจากเกาะแล้ว นายจะนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ พร้อมฉันหรือเปล่า” ครั้งหนึ่งภามเคยบอกผมว่ายังไม่มีแผน แต่ตอนนี้เหลือเวลาอยู่แค่ไม่กี่วัน เขาน่าจะคิดเอาไว้แล้วแต่ยังไม่ได้พูดออกมา

“ผมคงไปภูเก็ตก่อน”

“อา…”

คงต้องไปหาพี่ชายกับไอ้เก้าที่ภูเก็ตสินะ จะว่าไปแล้วพอพูดถึงเรื่องนี้ก็อดใจหายไม่ได้ ผมรีบสะบัดหน้าทิ้งความรู้สึกแปลกๆ ในใจออกไปแล้วหาเรื่องคุยต่อ

“ถ้ามีเวลาฉันก็อยากไปภูเก็ตเหมือนกัน ไอ้เก้าชวนไปตั้งหลายรอบแล้วไม่มีโอกาสเสียที”

“ถ้าคุณว่างผมจะพาไป”

“พูดเหมือนนายจะอยู่กับฉันไปตลอดงั้นแหละ” ผมพูดติดตลก นักเดินทางอย่างเขาจะออกเดินทางตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่แน่หลังจากกลับไปภูเก็ตแล้วภามอาจจะเดินทางไปที่อื่นต่อเลยก็ได้

“คุณจำที่ผมพูดไม่ได้สินะ”

“หือ”

ภามถอนหายใจเมื่อเห็นผมทำหน้างง ใบหน้าปลาตายดูเหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

“ความจำสั้นจริงๆ...”

“อย่าบ่นมากน่า ฉันเป็นพวกโง่ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเรียนอยู่แล้ว” ผมถอนหายใจตามไปด้วย นี่ถ้าไม่ใช่ตัวเองก็อยากจะด่าอยู่เหมือนกันว่าจะบื้ออะไรปานนั้น

“คุณเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต อะไรพวกนั้นสินะ”

“จะบอกว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิงหรอก” ก็ตอนเจอเขาข้ามถนนกับบนรถไฟผมยังก่นด่าความโลกกลมอยู่เลยนี่นะ แต่จะว่าเชื่อก็คงไม่ใช่อีก “ฉันเป็นพวกมองแค่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าน่ะ...อย่างที่เจอนายบนรถไฟก็คิดอยู่เหมือนกันว่าโลกกลม แต่ถ้าจะให้คาดเดาอนาคตแล้วเชื่อว่าอีกสิบปีโลกจะกลมจนได้มาเจอกันอีกก็คงไม่ใช่”

จะบอกว่าผมเป็นพวกอยู่กับปัจจุบันก็ได้...ยกเว้นที่ชอบพร่ำเพ้อเรื่องหุ่นของตัวเองในอดีตไว้หนึ่งเรื่อง

“สรุปว่าต้องเห็นจะๆ หรือรู้เรื่องอะไรแบบตรงๆ ถึงจะเข้าใจ” ภามทำหน้าเนือย “ว่าง่ายๆ คือเป็นพวกที่ถ้าพูดอ้อมๆ ใส่จะไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยสักอย่าง”

“อย่าพูดเหมือนฉันโง่มากได้ไหม อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าชาวบ้านบนเกาะโกหกนะ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ พยายามเรียกร้องความฉลาดให้ตัวเองอย่างสุดความสามารถ

“คุณใช้เวลานานมาก ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้นานแล้ว”

“ฉันแค่ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนเยอะๆ มานานเกินไปหน่อย”

“ผมก็ว่างั้น...ชีวิตคุณคงติดอยู่กับงานมากเกินไป” เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ดีแล้วที่มาเที่ยวบ้าง ถึงจะไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรง่ายขึ้นก็เถอะ”

ผมหน้าหงิกแทบจะทันทีที่ภามพูดจบ ในใจเริ่มวางแผนถีบคนตกน้ำเงียบๆ

“ถ้ารู้แล้วเวลามีอะไรก็พูดกันตรงๆ แล้วถ้าจะให้ดีช่วยเรียกชื่อกันด้วยจะดีมากเลย ไหนว่าไม่ได้จำชื่อฉันไม่ได้แล้วก็ไม่ได้ไม่อยากจำไง”

“…ต้องเรียกด้วยเหรอ”

“นี่นายไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอเวลาอยู่กับคนเยอะๆ แล้วเรียกคุณอย่างเดียว ฉันจะไปรู้ไหมว่านายเรียกใคร” ถึงในปัจจุบันจะยังไม่มีเหตุการณ์ให้สับสนก็เถอะ แต่ถ้าเขาทำแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานผมคงคิดว่าตัวเองชื่อคุณแน่

“ที่แท้ก็อยากให้ผมเรียกชื่อ...” ภามหัวเราะหึเบาๆ ในลำคอ ในหน้าฉายชัดว่าต้องการแซวเต็มที่ “เดี๋ยวก็ได้ยินเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”

“แล้วแต่เลย” ผมตัดบท ขี้เกียจเถียงกับคนบ้าแล้ว

เรานั่งนิ่งแช่ขาอยู่ในน้ำแบบนั้นนานเกือบชั่วโมง ถึงจะมีแดดแต่ก็ไม่ได้ร้อนมากมายอะไร อาจเป็นเพราะมีหลังคาบังแสงบริเวณขอบสระไว้ได้บ้าง และน่าแปลกที่ผมรู้สึกสบายใจทั้งที่บรรยากาศระหว่างเรามีเพียงความเงียบ มันผ่อนคลายมากจนต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะรู้สึกว่าควรกลับเข้าไปด้านในได้แล้ว ผมหันกลับไปหาคนด้านข้าง มองเห็นสีหน้าว่างเปล่าของเขาแล้วพาลนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าควรแก้ไขอะไรบางอย่าง แต่ตอนนั้นกลับคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงจนต้องปล่อยให้เขาเยียวยาตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาทำสำเร็จแล้วหรือแค่แกล้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ดูเหมือนตลอดเวลาที่นึกถึงเรื่องนั้น ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่าทำไมถึงได้รู้สึกแย่นักทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเราเลย แล้วก็ยังไม่ได้คำตอบจนถึงตอนนี้ แต่เมื่อตัดความสงสัยออกไป ผมก็เข้าใจในที่สุดว่าสิ่งที่ควรทำในเวลานี้คืออะไรกันแน่

“ภาม”

“หืม”

“ช่วงหลังๆ ที่นายไม่นอนดิ้น เป็นเพราะไม่ได้ฝันร้ายแล้วใช่ไหม”

ภามมองหน้าผมนิ่ง สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่างุนงง คงไม่เข้าว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า

“คงใช่”

“แน่สิ” ผมฉีกยิ้มกว้าง ส่งผ่านความสดใสออกไปจนหมด

“…”

“นั่นเพราะมีฉันอยู่ด้วยไงเล่า แล้วนายจะกลัวฝันร้ายไปทำไมอีก”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่นาทีที่เราจ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น จวบจนเมื่อผมคิดจะทำลายความเงียบด้วยการชวนเข้าบ้าน ปลายนิ้วหยาบกร้านของคนด้านข้างก็แตะลงบนแก้ม พร้อมๆ กับที่เขาส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในลำคอ

วินาทีนั้นผมได้เห็นรอยยิ้มของคนคนหนึ่งที่ไม่ได้สวยงามอะไร แต่กลับสลักลงลึก...และกลายเป็นรอยยิ้มที่ชัดเจนที่สุดในความทรงจำ


————————-

(ตอนที่20 เลื่อนลงด้านล่างเลยค่ะ ข้ามไปสามสี่เมนต์)

TALK : เราลืมพาสเล้าค่ะ 555 เพิ่งหาเจอเลยมาลงรวดเดียวเลยยยย ฝากอนาคินอีกรอบด้วยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-08-2018 19:48:06 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #101 เมื่อ10-08-2018 12:25:32 »

โอ้โห หน้า4ถี่ยิบเลยนะคะคุณชช.5555 คิดถึงเจไดในเล้ามากกกกกก ดีใจด้วยนะคะที่จำพาสได้แล้ว รอคุณหมอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่า :-[

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #102 เมื่อ10-08-2018 12:50:35 »

 :mc4: เย้!! ส่วนตัวชอบอ่านที่เล้ามากกว่า ดีใจด้วยนะคะที่หาพาสเจอแล้ว 55555

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #103 เมื่อ10-08-2018 18:25:01 »

โอ๊ยยยย จุใจ ขอบพระคุณค่ะ คิดถึงคนเขียนมากๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #104 เมื่อ10-08-2018 19:43:36 »

ยาวจุใจ ชอบๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #105 เมื่อ10-08-2018 19:45:58 »

-20-



เวลาเป็นสิ่งที่น่าแปลก...

ตอนอยากให้เดินเร็วกลับเดินช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน แต่ในตอนที่อยากให้เดินช้าเผลออีกทีก็พ้นวันไปแล้ว ผมไม่มั่นใจนักว่าตัวเองอยู่ในจุดที่อยากให้เวลาเดินเร็วหรือเดินช้า ไม่เคยมั่นใจเลยนับจากมาถึงเกาะนี้ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านและเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่งที่คิดกับเราเกินเพื่อน จวบจนถึงเมื่อวานนี้ก็ยังไม่แน่ใจ

แต่ในวันนี้...วันสุดท้ายที่จะได้อยู่บนเกาะก่อนจะต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ผมกลับรู้สึกอยากให้เวลาเดินช้าเป็นครั้งแรก นึกอยากย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ได้มาที่นี่ใหม่ๆ ได้เจอชาวบ้าน เจอเด็กๆ หรือแม้แต่เจอภาม อยากใช้ช่วงเวลาพักผ่อนที่มีให้คุ้มค่ากว่านี้ ซึ่งก็คงทำได้แค่คิด เพราะไม่ว่าผมจะต้องการแบบไหน เวลาก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุดอยู่ดี

“คุณมองนาฬิกาทำไม” เสียงทุ้มต่ำของคนไม่ค่อยพูดดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าตัวเอื้อมมือมาดึงนาฬิกาในมือผมไปถือไว้เอง ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ฉายแววประหลาดใจ คงเพราะเขาไม่เคยเห็นผมนั่งจ้องนาฬิกานานขนาดนี้

“กำลังคิดว่าเวลาเดินไวเป็นบ้า เผลอแป๊บเดียวก็ต้องกลับแล้ว” ผมถอนหายใจยาวเหยียด เวลาได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนนานๆ คงต้องมีความผูกพันอยู่แล้ว ทั้งกับสถานที่และกับผู้คน แล้วจะไม่ให้หดหู่ได้ยังไงกัน

“ถ้าว่างค่อยมาใหม่ก็ได้”

“ฉันไม่ได้ว่างบ่อยน่ะสิ”

“เพราะคุณคิดเองว่าไม่ว่างต่างหาก” ภามสวนทันควัน ใบหน้าปลาตายดูเหนื่อยหน่าย เหมือนกำลังด่าผมอยู่ในใจยังไงก็ไม่รู้ “เป็นคุณเองที่ยึดติดอยู่กับงานจนมองไม่เห็นอย่างอื่นเลย ทุกอาชีพมีเวลาทั้งนั้น ต่อให้น้อยแค่ไหนก็ยังพอใช้พักผ่อนได้ แต่ที่คุณไม่มี เป็นเพราะคุณมองไม่เห็นเอง”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองหน้าภามด้วยความงุนงง สมองพยายามประมวลผลตามอย่างหนัก แล้วก็คิดไปถึงตอนที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล สภาพตัวเองที่แทบจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการกิน นอน ทำงาน วนเวียนไม่รู้จบ วันพักผ่อนหรือวันลาก็ไม่เคยใช้ พอเห็นภาพแล้วก็อดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ผิดเลยสักนิด เป็นผมเองที่ไม่รู้จักหาเวลาพักผ่อน ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามกรอบก็เป็นเพราะวางแผนและทำตัวเองทั้งนั้น

“นับวันนายยิ่งทำตัวเหมือนพ่อฉันมากขึ้นเรื่อยๆ” พ่อผมปากไม่ตรงกับใจจะตาย ให้มาบอกมาสอนอะไรแบบนี้ยังไม่เคยด้วยซ้ำ มีแต่มองอยู่ห่างๆ แล้วให้แม่เข้ามาเตือนอย่างเดียว ลองเอามาเปรียบเทียบกับภามแล้ว เขาทำเกินพ่อผมไปแล้วเนี่ย

“ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็น...”

“หยุด!”

ไม่พูดเปล่า ผมรีบยกมือปิดปากคนหน้าหนาไว้อย่างรวดเร็ว ใจแทบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ขืนปล่อยให้เจ้าตัวพูดจบประโยค ต้องมีคนดิ้นตายตรงนี้หนึ่งคนแน่ๆ กว่าจะควบคุมตัวเองได้ก็หายใจหอบไปหมด ผมถลึงตามองภามที่ทำเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายดึงมือผมออกจากปากตัวเองแล้วเอาไปจับไว้แน่น

“หยุดเครียดแล้วไปใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มเถอะ” เขากระชับมือให้แน่นขึ้น ก่อนจะก้มลงทำอะไรบางอย่างกับนาฬิกาแล้วส่งกลับมาให้ ผมมองเข็มนาฬิกาที่หยุดค้างอยู่ที่เจ็ดโมงเช้าเงียบๆ จ้องจนรู้ว่าสิ่งที่ภามทำเมื่อกี้คือการกดหยุดเวลาของนาฬิกาเอาไว้

แต่คำถามคือ...ทำไม

“นายหยุดเวลา...”

“มาเถอะ” ภามลุกขึ้นยืนพร้อมดึงแขนผมติดมือไปด้วย แล้วก็เหมือนเคย...เขาคงลืมไปแล้วว่าขาตัวเองยาวขนาดไหน ถึงได้ลากผมจ้ำเอาๆ โดยไม่สงสารคนขาสั้นกว่าเลยแม้แต่น้อย ไอ้เราจะบอกว่าให้ช้าลงหน่อยก็ไม่ได้ เพราะแค่อ้าปากก็เหนื่อยแล้ว กว่าภามจะรู้ตัวก็ตอนที่ผมขืนตัวไว้เต็มแรง พยายามกระชากแขนออกจากมือใหญ่ที่จับกุมไว้จนขึ้นรอยแดงเป็นปืด

เจ็บจนเผลอทำหน้าบิดเบี้ยว แต่ก็ไม่ได้มากมายจนถึงขั้นอยากร้องไห้

“เหนื่อย” ผมสะบัดแขนปวกเปียกของตัวเองไปมาแล้วมองรอยแดงที่แขนแบบเซ็งๆ

“ขอโทษ” ภามที่น่าจะเพิ่งรู้สึกตัวหันมาพูดเสียงแผ่ว ใบหน้าปลาตายดูหมองลงจนผมต้องรีบโบกไม้โบกมือไปมาอย่างร้อนรน

“ไม่เป็นไร...ฉันเป็นพวกโดนอะไรนิดหน่อยก็ตัวแดงอยู่แล้ว ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นหรอก”

คงเพราะเป็นพวกผิวขาวจากการไม่ได้ออกแดดนาน แค่โดนอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันถึงได้เห็นชัดแบบนี้ ช่วงแรกๆ ที่มาถึงเกาะผมยังนึกอยู่เลยว่าตัวเองน่าจะดำขึ้นบ้าง ถ้าผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนคงดูดีไม่น้อย ใครจะไปคิดว่านอกจากจะมาเจอฝนแล้ว ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยงานอะไรสักอย่าง ไอ้ที่ขาวอยู่แล้วเลยยังขาวอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้แตกต่างจากตอนไปๆ กลับๆ ระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเลยสักนิด

“อยากให้ผมพาไปหรือเปล่า” คนที่ยังทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดไม่หายเอ่ยถามเสียงค่อย

“ไม่เป็นไร แค่เดินช้าๆ ก็พอ” ผมเข้าใจดีว่าภามต้องการถามว่าอยากให้อุ้มหรือแบกไปหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาปกติผมคงตอบรับโดยไม่ลังเล แต่พอคิดไปคิดมาถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรทำนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้... “นายอุตส่าห์หยุดเวลาให้ทั้งที ฉันอยากทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า”

ผมกลัวว่าตัวเองจะเสพติดการมีอยู่ของภามมากเกินไป จนตอนที่เราแยกจากต้องลำบากใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

เราเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พูดคุยอะไรต่อ ต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ มีเพียงเสียงฝีเท้าย่ำดินซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าเรายังคงอยู่ด้วยกันเท่านั้น จวบจนเมื่อมาถึงบ้านน้าต้อย ผมถึงได้หลุดออกจากภวังค์แล้วเผยรอยยิ้มออกมา เพราะนอกจากเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งทำอาหารอยู่แล้ว ยังมีฝูงเด็กที่ตื่นเช้าผิดปกติวิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ ด้วย

“พี่ๆ มาแล้ว!” เจ้าแตงที่หันมาเห็นผมกับภามเป็นคนแรกส่งเสียงเรียก ทำให้คนอื่นๆ หยุดชะงักแล้วหันมามองตามไปด้วย

“พรุ่งนี้พี่หมอกับหัวหน้าจะกลับกันแล้วเหรอ”

“ยังไม่กลับไม่ได้เหรอ”

“อยู่ต่อนะ”

เสียงเจี๊ยวจ๊าวงอแงของเด็กน้อยที่พากันเข้ามาเกาะแกะพันแข้งพันขาดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มรู้สึกเหมือนจะหูอื้อ ขนาดภามยังขมวดคิ้วน้อยๆ เลย

“อย่าไปกวนพี่เขาสิ เจ้าพวกนี้นี่!” น้าต้อยส่ายหน้าหน่ายอย่างหนักอกหนักใจ เพราะต่อให้ตะโกนห้ามยังไง เด็กๆ ก็ยังไม่ยอมหยุดงอแงกันเสียที กว่าผมจะกล่อมให้เงียบได้ก็ใช้เวลาเกือบสิบนาที จนหูส่งเสียงวิ้งๆ ไปหมดแล้ว

เจ้าตาลที่ยึดครองพื้นที่บนตักผมอย่างถือวิสาสะส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าให้ฟังยกใหญ่ บอกว่าวันนี้พวกตนนัดกันมาช่วยน้าต้อยเตรียมกับข้าวสำหรับเย็นนี้ ซึ่งพวกชาวบ้านตกลงกันว่าจะจัดงานเลี้ยงริมหาด เป็นเหมือนการเลี้ยงส่งผมกับภาม ถึงเมื่อวานตอนได้ยินผมจะพยายามปฏิเสธขนาดไหนก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้พวกเขาทำตามใจ

“ที่บ้านคนอื่นก็ช่วยกันเตรียมกับข้าวไว้เหมือนกันจ้ะ แต่พี่ๆ ไปขอช่วยที่ไหนก็โดนไล่ให้ไปเล่น เลยมารวมตัวกันที่บ้านหนูแทน” ตาลบอกแล้วยิ้มแฉ่ง เหมือนจะอวดว่าแม่ตัวเองใจดีนักหนา ถึงยอมให้ทุกคนมาช่วยได้

ก็สมควรอยู่หรอก...ขนาดผมยังปวดหัวเลย น้าต้อยต้องมีภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งมากแน่ๆ

หลังจากหาอะไรกินเรียบร้อยแล้ว ผมกับภามก็พากันเดินต่อไปที่หาด ซึ่งน้าต้อยบอกว่าพวกผู้ชายพากันขนอุปกรณ์ไปจัดเตรียมกันอยู่ คราแรกผมนึกว่างานเลี้ยงส่งพวกเราจะเหมือนงานเลี้ยงต้อนรับ ที่แค่ก่อกองไฟแล้วร้องรำทำเพลง กินปลาย่าง กินเหล้า เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่เหมือนครั้งนี้จะไม่ใช่แบบที่คิด เพราะแทบจะทันทีที่เดินมาถึงหาด ผมก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

นอกจากกองไฟที่น่าจะเตรียมเอาไว้จุดไฟสร้างความอบอุ่นแล้ว ยังมีอุปกรณ์เตรียมพร้อมสำหรับทำอาหารมากมาย ทั้งเตาย่างบาร์บีคิว เตาถ่าย กะทะ จานหลายสิบใบที่วางกองกันไว้ และที่สำคัญคือมีเต้นท์นอนหลายสิบหลังวางเรียงกันอยู่เป็นตับ

แล้วพวกเขาจะกางให้ใครถ้าไม่ใช่ตัวเอง...นี่คงกะเมากันยันเช้าแน่นอน

ครั้งก่อนผมเคยถามน้าต้อยว่าหลังจากเมาหลับคาหาดแล้ว พวกผู้ชายนอนกันแบบนั้นยันเช้าเลยหรือเปล่า แต่น้าแกบอกว่าพวกเขารู้ลิมิตตัวเอง ถ้ามีเมียอาจจะเมาได้มากหน่อย เพราะเมียจะมาลากกลับ แต่พวกที่ไม่มี พอสลบไปพักหนึ่งแล้วจะลุกขึ้นมาเดินมึนๆ กลับบ้านเอง ฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร ผมอดนับถือความสามารถของทุกคนไม่ได้ ลองถ้าเป็นพวกเพื่อนผมนะ กินเหล้าเมาสลบเหมือดเมื่อไหร่ ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่ตื่นอยู่ดี

“พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว...” ผมทอดสายตามองพระอาทิตย์ที่ลอยขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ไหนว่าหยุดเวลาแล้วไง ทำไมวันนี้ผ่านไปเร็วนักล่ะ”

ภามทำหน้าตาเคร่งขรึม ดวงตาว่างเปล่าไม่กระดุกกระดิก แต่คิดเหรอว่าผมจะไม่สังเกตเห็นคิ้วที่มุ่นลงน้อยๆ ของเขา พอเห็นท่าทีเคร่งเครียดไม่รู้จะตอบอะไรของคนตัวสูง ผมก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

“กล้ากวนผมเหรอ”

“เฮ้! ฉันยังไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยนะ...” แค่คิดว่าจะโดนอะไรหากเผลอพูดไม่เข้าหูเขาอีกรอบก็ปวดหัวตุบๆ ราวกับความเจ็บปวดจากตอนนั้นที่โดนงับหูย้อนกลับมาเล่นงานอีกรอบอย่างไรอย่างนั้น

คนหน้าปลาตายถอนหายใจแล้วส่ายหน้าหน่าย ก่อนเขาจะยื่นมือมาลูบแก้มผมแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“ไปที่อื่นเถอะ พวกเขาไม่ให้เราช่วยหรอก”

สัมผัสอ่อนโยนจากมือเย็นเฉียบที่แตะลงบนแก้มยังคงส่งผลต่อหัวใจโดยตรง แม้ผู้กระทำจะหันหน้าเดินนำไปแล้วก็ตาม ผมขมวดคิ้วหงุดหงิด มือทุบอกตัวเองเบาๆ เป็นเชิงบอกให้สิ่งที่อยู่ในนั้นเต้นช้าลง อยากถามตัวเองเหลือเกินว่ายังไม่ชินอีกหรือไงที่โดนแตะเนื้อต้องตัว แต่เมื่อถามแล้วกลับต้องเครียดหนักกว่าเดิมเพราะคำตอบของมัน

ถ้าแค่แตะตัวก็อาจจะชิน...แต่กับสัมผัสที่แฝงความอ่อนโยนมาด้วย ยังไงก็ไม่มีทางชินเด็ดขาด

ผมลอบถอนหายใจขณะมองตามแผ่นหลังกว้างตั้งตรงของคนที่ดูดีไปหมดทั้งที่มองไม่เห็นใบหน้า จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่าทำไมพอเป็นเรื่องภาม ผมถึงควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ แล้วก็เอาแต่คิดว่าเป็นเพราะผมมองเขาเป็นศัตรู เป็นอริที่ติดอยู่ในความทรงจำมานาน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก คนเฉื่อยชาอย่างผมจะไปแค้นเคืองใครได้นานกัน เพราะถ้าคิดแบบนั้นคงไม่ตามใจภามตั้งแต่แรก ไม่ยอมเปลี่ยนสถานะให้เขากลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ไม่ยอมให้เขาแบกไปแบกมา

แต่ที่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้...บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันกับคนอื่นตั้งแต่แรกแล้ว

“เหนื่อยแล้วเหรอ”

เพราะไม่รู้ว่าควรตอบรับแววตาและคำถามแสดงความเป็นห่วงนั้นยังไง ผมจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปล่อยให้เขาเดินกลับมาหาแล้วเช็ดเหงื่อให้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากใบหน้าคมคายเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“นายจะพาฉันไปไหน”

“เดินรอบเกาะ เก็บความทรงจำเอาไว้จนกว่าจะมีโอกาสได้มาอีกครั้ง” ภามตอบเสียงเรียบ หัวคิ้วมุ่นลงเล็กน้อย น่าจะหงุดหงิดที่เหงื่อผมไหลไม่ยอมหยุด เช็ดออกแล้วก็ผุดขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม

“นายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ทุกที่แล้วเหรอ” ผมดึงมือใหญ่ออกจากหน้าตัวเองแล้วเป็นฝ่ายช่วยภามเช็ดเหงื่อบ้าง อย่างน้อยก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว ทั้งยังไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ผมควรทำตัวดีๆ เพื่อตอบแทนน้ำใจเขาสักหน่อย จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

“ถ่ายวันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกันหรอก ไปกันเถอะ” พูดจบเขาก็ยื่นมือมาหา และทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องปกติที่ผู้ชายสองคนควรทำ ไม่รู้ทำไมผมถึงยอมวางมือลงไปบนนั้น แล้วปล่อยให้เขาจับกุมพาเดินไปตามทางอย่างง่ายดาย

เราเดินจับมือกันขึ้นไปบนเขาเป็นที่แรก น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยกับการขึ้นเขาครั้งนี้เลยสักนิด ออกจะคิดว่าเร็วเกินคาดเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชินแล้ว หรือเพราะเหม่อมากเกินไปจนไม่รู้สึกตัวว่าเดินมาไกลขนาดไหน ผมยังคงถูกภามจัดท่าจัดทางให้กลายเป็นนายแบบจำเป็นเหมือนเดิม แตกต่างกันที่ครั้งนี้ผมบอกว่าจะถ่ายเขาด้วย เราสลับกันถ่ายรูปอยู่นาน จนสุดท้ายผมเป็นฝ่ายควักโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องทิ้งไว้นานแล้วขึ้นมา

“มาถ่ายรูปคู่กัน”

อย่างน้อยจะได้เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวด้วยกัน ไม่ใช่มีแต่รูปเดี่ยวไปหมด

“รูปคู่?” เสียงประหลาดใจแบบสุดขีดของภามทำให้ผมที่กำลังยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นถึงกับชะงัก ยิ่งยามหันไปเห็นดวงตาเป็นประกายของเขาที่จ้องมองมาที่ตัวเองก็ยิ่งอึ้ง

แค่ขอถ่ายรูปคู่ต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ...

“อย่าบอกนะว่าไม่เคยถ่ายรูปคู่กับใครเลย”

“ไม่เคย” ภามยิ้มจาง พร้อมดันผมให้ขึ้นไปยืนนำหน้าเขาไว้ ก่อนคนตัวสูงกว่าจะโน้มใบหน้าลงมา แนบแก้มเย็นเฉียบของเขาติดกับแก้มของผม

“เอ่อ...จะแนบชิดไปไหม” เห็นไหมว่ามือที่ถือโทรศัพท์สั่ันไปหมดแล้ว

“ถ่ายเร็วเข้า”

เมื่อเห็นว่าผมยังนิ่งไม่ยอมกดถ่าย เขาก็คว้าโทรศัพท์ไปถือไว้เอง ทั้งยังกดปุ่มถ่ายรัวๆ แบบไม่เกรงใจคนหน้าเอ๋อที่ลืมยิ้มเลยแม้แต่น้อย เรียบร้อยแล้วยังมีหน้าไปกดดูรูปคนเดียวแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยนะ

“เดี๋ยว...” ถ่ายใหม่ก่อน

“พอออกจากเกาะแล้วส่งรูปให้ผมด้วย” ภามยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงให้ผมเสร็จสรรพ จากนั้นคว้าข้อมือกันไว้ ลากให้เดินต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนผมที่สมองไหลไปไหนแล้วไม่รู้มีหรือจะตามทัน ได้แต่เดินต๊อกแต๊กตามเขาไปทั้งที่ยังไม่มีสตินั่นแหละ

เออดี...

ที่ภามบอกว่าจะพาเดินรอบเกาะเพื่อเก็บบันทึกความทรงจำเอาไว้ เขาทำตามที่ว่าจริงๆ โดยการจูงผมเดินไปพักไปจนวนรอบเกาะ มาหยุดพักรอเวลาอยู่ที่บ้านพี่ภูนานหน่อย เพราะพวกชาวบ้านน่าจะเริ่มงานเลี้ยงกันเย็นๆ กลับไปตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรทำอยู่ดี เพราะคุณชายไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานหนัก แค่จะจับเตายังโดนห้ามเลย

ในเวลานี้ผมไม่ได้เปิดทีวีหรือนอนตากแอร์อะไรทั้งนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกใจหายเพราะจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแล้ว ดังนั้นเลยเลือกเดินมานั่งอยู่บนเตียงอาบแดดริมสระว่ายน้ำ ยึดกล้องราคาแพงของภามมาดูเล่นฆ่าเวลาแทน

ทุกครั้งที่กดเลื่อนภาพแล้วเห็นทิวทัศน์ที่เขาถ่าย ผมอดร้องว้าวออกมาเบาๆ ไม่ได้ เพราะมันทั้งสวยงามและน่ามองไปหมด ที่บอกว่ามีลูกค้าติดต่องานซ้ำๆ ยิ่งได้เปิดดูผมก็ยิ่งเข้าใจ ถ้าเป็นเรื่องของภาพที่เขาอยากถ่ายด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะกี่ภาพก็ออกมาสวยงามตรึงตาตรึงใจไปหมด แต่ที่น่าปวดหัวคือ...

ทำไมมีรูปกูเยอะกว่าวิวอีกวะเนี่ย

ไม่ใช่แค่นั้น เพราะถึงภามจะเข้ามาจัดท่าทางให้ผมบ่อย ภาพถ่ายออกมาสวยเพียงใด แต่เกินครึ่งมักเป็นรูปถ่ายทีเผลอหรือเวลาที่ผมทำหน้าเอ๋อมากกว่า นี่ถ้าไม่ใช่หน้าตัวเองก็อยากหัวเราะอยู่หรอก แต่เพราะมันใช่เนี่ยสิ ผมเลยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ทำอะไร”

“นายถ่ายรูปฉันตอนทำหน้าตลกๆ เยอะกว่าหน้าดีๆ อีก” ผมเงยหน้าบ่นเมื่อได้ยินเสียงทักจากทางด้านข้าง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเดียวกัน พร้อมกับยื่นน้ำส้มแก้วหนึ่งมาให้พอดี

“เวลาเห็นคุณทำหน้าแบบนั้นผมมักจะยิ้มตามไปด้วย”

“เลยถ่ายมันแต่หน้าตลกๆ ว่างั้น”

“แบบดีๆ ก็มี” ภามดึงกล้องไปกดยุกยิกๆ ก่อนจะส่งมาให้ผมดูอีกรอบ

ภาพที่เขาเปิดให้ดูคือภาพที่ถ่ายริมทะเล คงเป็นตอนที่เรานั่งอยู่บนหาด ในรูปผมไม่ได้มองกล้อง แต่กำลังนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปด้านหน้า มีพื้นหลังเป็นหาดทรายขาวกับน้ำทะเลและท้องฟ้าครบทุกอย่าง แต่กลับไม่ดูขัดเลยสักนิด เพราะมันเป็นรูปที่ดูดีและน่ามองมากจริงๆ เมื่อกี้ที่ผมนั่งไล่ดูแล้วไม่เห็นคงเป็นเพราะกดรัวจนข้ามไปโดยไม่รู้ตัว

“ต้องเป็นเพราะนายแบบหล่อแน่ๆ” ผมพูดติดตลก มือกดเลื่อนดูรูปต่อ แล้วก็สะดุดเข้ากับรูปภามที่ตัวเองเคยถ่ายไว้ตอนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน มันเป็นรูปที่ผมใช้นิ้วกดมุมปากเขาให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่ต่อให้เผลอหรืออย่างไรคนในรูปก็ยังดูดีจนน่าอิจฉาอยู่เหมือนเดิม “รูปนี้ฉันถ่ายสวยมาก”

“เพราะนายแบบ”

“เดี๋ยวนี้ชมตัวเองแล้วเหรอ” ชมแบบหน้าไม่กระดิกด้วยนะ หน้าตายยังไงก็ยังตายอยู่อย่างนั้น มีแต่คำพูดที่บ่งบอกถึงความมั่นใจเต็มร้อย ขนาดผมยังไม่มั่นเท่านี้เลย

“แล้วไม่จริงหรือไง”

“…”

ลำไย!












หาดทรายซึ่งเป็นที่ตั้งของเต้นท์หลายสิบหลังและกองไฟอีกไม่ต่ำกว่าสามกองดูคึกคักมากเป็นพิเศษ ยิ่งยามพวกชาวบ้านที่กำลังจัดเตรียมอาหารหันมาเห็นพวกผมเข้า พวกเขาก็ยิ่งเฮฮา ส่งตัวแทนเป็นเด็กสองคนมาจูงมือเราไปนั่งอยู่บนขอนไม้ที่วางอยู่ข้างกองไฟ มีคนเดินถือจานอาหารมาให้พร้อมโดยไม่ต้องกระดิกตัวไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว

อภิสิทธิ์ของนายน้อยภามนี่มันดีจริงๆ...

“เต้นท์หลังนั้นของพี่สองคนนะจ๊ะ พวกหนูช่วยกันกางให้เองเลยนะ” เจ้าตาลชี้นิ้วไปที่เต้นท์สีเทาหลังใหญ่ซึ่งแยกออกมาจากกลุ่มเต้นท์ของคนอื่นๆ ด้วยท่าทีอวดๆ น่าหมั่นไส้เสียจนผมต้องดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นไปหนึ่งที

“ไปเอาเต้นท์มาจากไหนกันเยอะแยะเนี่ย”

“พี่เก้าให้มาจ้ะ!”

“พี่เก้า?” ทีตอนแรกไม่ยอมเรียกชื่อไอ้เก้า สงสัยโดนห้ามไว้จริงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าแม้แต่เด็กพวกนี้ก็รู้เห็นเป็นใจไปกับผู้ใหญ่ด้วย ให้ตายเถอะ

“พี่เก้าบอกว่าถ้าหนูสอบได้ที่หนึ่งจะให้รางวัล พอสอบได้จริงๆ หนูเลยบอกว่าอยากได้บ้านเล็กๆ แบบที่พับเก็บได้ เอาไว้ให้พวกลุงๆ น้าๆ นอนเวลาสลบกลางหาดทราย แล้วพี่เก้าก็ให้บ้านพวกนี้มาจ้ะ” เจ้าตาลยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันหลอ หน้าตาสดใสขึ้นสิบระดับเมื่อพูดถึงพี่ชายคนโปรด ส่วนผมได้แต่กลอกตาแรงๆ หวังว่าไอ้เก้าจะไม่สอนอะไรแปลกๆ ให้เด็กคนนี้

“ไปหาอะไรกินไป” ผมโคลงหัวเด็กตาลเบาๆ แล้วพูดเป็นเชิงไล่ เมื่อเจ้าตัวได้ยินแล้วก็ยิ้มจนตาปิด ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปหาพี่ๆ ของตัวเองที่กำลังมุงโต๊ะอาหารอยู่อย่างรวดเร็ว เหลือแค่ผมกับภามที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคน

งานเลี้ยงของชาวบ้านยังคงบรรยากาศสบายๆ แบบที่ใครอยากทำอะไรก็ได้เหมือนเคย พวกเขานั่งล้อมวงพูดคุยกัน มีบ้างที่เดินมาหาผมกับภามแล้วบอกลาล่วงหน้า เพราะคิดว่าอาจสลบจนไม่ทันได้ไปส่งขึ้นเรือในวันพรุ่งนี้ ผมยิ้มรับจนปากแห้ง ต่างจากนายน้อยที่นั่งจิบเหล้าเงียบๆ ไม่พูดไม่จา อย่างมากก็แค่พยักหน้าและอือออตามเท่านั้น

ภามหยิบกล้องขึ้นมากดถ่ายรูปแค่ช่วงสิบนาทีแรก หลังจากนั้นเขาก็เดินเอากล้องไปเก็บในเต้นท์ของเราที่ถูกจัดไว้ให้ แล้วกลับมานั่งลงข้างผมเงียบๆ เหมือนเดิม มีบ้างที่ลุกไปหยิบของกินจากโต๊ะตัวยาวที่มีอาหารวางเรียงรายไว้มาให้ แต่นอกจากนั้นก็เงียบ มองไปรอบๆ อย่างเดียว

“รำระบำชาวเกาะ~”

“เดี๋ยวๆ...” เพลงนั่นมันอะไรกัน ผมหันไปมองต้นเสียง แล้วก็ต้องกลั้นขำจนปวดท้อง เมื่อเห็นพวกเด็กๆ เดินไปล้อมวงเต้นรำด้วยเพลงที่ได้ยินบ่อยๆ ในตอนเด็ก “เด็กสมัยนี้ยังใช้เพลงนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย”

“เพลง?”

“หืม...นายไม่เคยได้ยินเหรอ” ผมหันไปมองหน้าภาม เห็นใบหน้าว่างเปล่าของเขายามจับจ้องไปที่เด็กๆ ก็รู้สึกคันยุบยิบในใจขึ้นมาอีกแล้ว

“ไม่เคยได้ยิน”

“ไม่แปลกหรอก ก็นายอยู่ต่างประเทศนี่”

“อา…” ภามอ้าปาก ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบไม่ยอมพูดออกมา ความคันยุบยิบที่ใจผมเลยยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก จากที่ไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว

มันคือความกังวล...

ผมไม่ชอบให้ภามทำหน้าตาว่างเปล่าแบบนั้น

(ต่อด้านล่าง)
.
.

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #106 เมื่อ10-08-2018 19:46:18 »


“มานี่เร็ว” เมื่อแน่ใจแล้วว่าควรทำอย่างไร ผมก็รีบคว้าข้อมือคนหน้าปลาตายเอาไว้ แล้วออกแรงลากให้ลุกขึ้นยืน เดินตรงไปหากลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ที่ร้องรำทำเพลงกันอยู่รอบกองไฟ

พอเห็นว่าผมกับภามเดินเข้าไปในวง ไม้กับดำที่ตีกลองพลาสติกอยู่ก็ชี้ชวนให้คนอื่นๆ หันมาดู เสียงเฮฮาต้อนรับดังขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่วงถูกแหวกออกให้เราเดินไปอยู่ด้านใน และไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงร้องเพลงและเสียงให้จังหวะก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“รำเร็วเข้าจ้ะ” เจ้าตัวเล็กที่อยู่ใกล้ที่สุดบอกแล้วยกมือขึ้นตั้งวงพร้อมสรรพ

เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของคนหลายคน เมื่อผมเริ่มออกท่าทางตั้งวงแบบแข็งๆ ตามแบบฉบับของคนไม่ถนัดด้านนี้ ถึงอย่างนั้นเมื่อเห็นว่าการส่ายเอวนิดส่ายเอวหน่อยมันทำให้ใครบางคนเริ่มมีสีหน้าผ่อนคลาย ความอับอายที่พยายามฝังไว้ลึกๆ ก็จางหายไป ผมใส่จังหวะแล้วจับมือทั้งสองข้างของภามให้กางออกตามกัน

“เต้นเร็ว” จะเต้นหรือรำก็ไม่รู้ล่ะ เพราะคนรอบวงก็มั่วซั่วไม่แพ้กันหรอก ขอแค่ภามยอมทำ ผมมั่นใจว่าตัวเองต้องขำแน่นอน

“ผมทำไม่เป็น”

“ปล่อยไปตามธรรมชาติ” ว่าแล้วก็ยกมือภามขึ้นแล้วเดินลอดใต้แขนเขาเหมือนเรากำลังเต้นรำกันอยู่ ทั้งที่เสียงเพลงไม่ได้เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว

“หึ…” คนหน้าปลาตายยังนิ่งอยู่ได้แม้จังหวะกลองจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น ส่วนผมที่เดินไปเต้นไปรอบตัวเขาแทบจะสติหลุดไปแล้ว ต้นเหตุคงหนีไม่พ้นเหล้าที่ถูกหยิบยื่นให้หลายต่อหลายแก้วในระหว่างที่กำลังเต้นบ้าบอไปมา

“ฮ่าๆ คุณหมอเมาแล้วว่ะ”

“คนรักของนายน้อยตลกดีนะครับ”

“ดูเต้นเข้าสิ”

สารพัดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จากคนรอบตัว ผมอยากจะหันไปบอกว่าตัวเองไม่ได้เมาอยู่เหมือนกัน แค่มึนนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่คิดไปแล้วให้พวกเขาเข้าใจแบบนี้ก็ไม่เสียหาย สุดท้ายเลยหันมาสนใจการพยายามทำให้นายน้อยของทุกคนโยกเอวเหมือนเดิมแทน

“ทำไมยืนนิ่งเป็นตอไม้แบบนี้”

“คุณเมาหรือเปล่า”

“ไม่เมา มึน” ผมตอบแล้วโบกมือไปมา ก่อนจะหลับตาลงเมื่อรู้สึกมึนหัวจนเต้นต่อไม่ไหว รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากออกจากวงเต้นรำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เสียงเพลงที่เบาลงเรื่อยๆ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนด้านหน้ากำลังพาผมออกห่างจากพวกชาวบ้าน และน่าแปลกที่สายตาซึ่งเบนไปทางใดก็พบแต่สีทึมๆ ไปหมดกลับมองเห็นแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเดินนำได้อย่างชัดเจนจนน่าตกใจ

“เป็นอะไร” ภามหันหน้ากลับมาหา เหมือนผมจะมองเห็นหน้าเขาเป็นประกายวิ้งๆ ตัดกับสีท้องฟ้าด้านหลังโดนสิ้นเชิง และเมื่อการกระตุกมือขืนตัวไม่ยอมเดินต่อได้ผลแล้ว ผมก็สะบัดๆ แขนตัวเองจนเขายอมปล่อยมือออก

“อุ้มหน่อย” แขนทั้งสองข้างยื่นไปด้านหน้า ทำท่าขอให้อุ้มแบบที่เด็กๆ ชอบใช้กับพ่อแม่ และคนหน้าตายก็ตอบรับด้วยการเดินเข้ามาหา หันหลังให้ผมโถมตัวเข้าไปเกาะเป็นลูกลิง ก่อนจะออกเดินไปตามทางอีกครั้ง

เสียงร้องเพลงและพูดคุยจากด้านหลังยังคงตามติดมา แม้จะเบาลงไปมากแล้วก็ยังพอได้ยินอยู่บ้าง ภามเริ่มเดินช้าลงเมื่อเสียงเหล่านั้นจางหายไป แล้วก็หยุดเท้าในที่สุด...ยามเดินมาถึงจุดที่มีเพียงเรา

“มองไม่เห็นอะไรเลย” ผมบ่นงึมงำ มองไปทางไหนก็มีแต่สีดำมืดมิดไปหมด ทั้งยังไม่มีพระจันทร์คอยให้แสงสว่างเลยด้วย

“ผมยังมองเห็นคุณ”

“อื้อ เห็นนายเหมือนกัน” แก้มขาวๆ อยู่ชิดปากแค่นิดเดียว ถ้ากัดไปจะอร่อยไหมนะ “อยากยืนเองแล้ว”

ผมตัวเซจนเกือบล้มลงไปกองอยู่กับผืนทราย เมื่อถูกปล่อยตัวให้ยืนเองไม่มีใครให้ยึดเกาะ ดีที่อีกคนคว้าข้อมือกันไว้ได้ทัน สภาพตอนนี้เลยยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง ไม่ได้ลงไปคลุกคลีกับทรายจนเละไปทั้งตัว

“ยืนไม่ไหวแล้วยังบอกไม่เมาอีก” เสียงถอนหายใจดังขึ้นข้างหู พร้อมๆ กับที่เอวถูกรวบเข้าหาจนลำตัวแนบชิดคนพูด ผมเอนหัวพิงอกเขาอย่างอ่อนแรง รู้ทั้งรู้ว่ามีสติเต็มร้อย ไม่ได้เมาจนไม่รู้ความ แต่ก็ยังไม่ยอมปฏิเสธอะไรออกไป

“นี่...”

“ว่าไง”

“นาฬิกาน่ะ...เดินต่อแล้วใช่ไหม”

“คุณก็รู้ว่าเราหยุดเวลาไม่ได้” ภามเอ่ยเสียงแผ่วเบา ในขณะที่ผมได้แต่หลับตาลง สองมือกำชายเสื้อเขาไว้แน่น “สิ่งที่ผมกดหยุดเอาไว้ไม่ใช่เวลาแบบที่คุณคิด"

“แล้วนายหยุดอะไร”

“หยุดความรู้สึกของตัวเอง” เขากระชับอ้อมแขนที่กอดเอวผมไว้ให้แน่นขึ้น “ไม่ใช่หยุดเพราะไม่อยากให้มันเดินไปด้านหน้า...แต่เป็นหยุดไว้ที่คุณ”

“…”

“ผมเคยบอกคุณว่าถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดก็อาจจะไม่ไปไหนแล้ว”

“…”

‘บางทีถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดลงหลักปักฐานอยู่ที่ไหนสักที่ ผมอาจจะไม่ไปไหนแล้ว’

“แล้วที่คุณบอกว่าผมพูดเหมือนจะอยู่กับคุณตลอดไป...”

“…”

‘พูดเหมือนนายจะอยู่กับฉันไปตลอดงั้นแหละ’

“ถ้าผมตอบว่าใช่...คุณจะว่ายังไง”

ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ไม่มีแม้แสงจันทร์หรือดวงดาวใดๆ ประสาทสัมผัสทุกอย่างถูกปิดกั้นไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น คงมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ดังเข้าโสตประสาทซึ่งชัดเจนที่สุด

วินาทีนั้น...ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงยินยอมให้ริมฝีปากของเขาแนบชิดลงมา สัมผัสที่ได้รับอย่างอ่อนโยนแม้มองไม่เห็นทำให้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้ร่างกายนั้นบดเบียดเข้าหา ยอมถูกกักตัวไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง กลายเป็นเพียงคนอ่อนแอคนหนึ่งที่ละทิ้งเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เพียงเพื่อให้ได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของคนที่ตัวเองปฏิเสธเรื่อยมา

ผมหลับตาลงพร้อมๆ กับสติที่เริ่มจางหาย เมื่อถูกจูบจนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน ยอมปล่อยให้เขาอุ้มจนตัวลอยได้ตามใจ แม้ยามถูกก้มลงจูบอีกครั้งก็ยังไม่ส่งเสียงประท้วง

“อนาคิน...”

อา...

“นายเรียกชื่อฉันแล้ว”   



————————



TALK : แหม...

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #107 เมื่อ10-08-2018 19:56:27 »

สนุกมากๆเลยค่ะ <3

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #108 เมื่อ10-08-2018 20:14:34 »

จากทีแรกที่ใจหวิวๆเพราะรู้ว่าเค้าต้องห่างกันแล้ว มาตอนนี้คือไม่ไหวแล้วค่ะ เหมือนจะล้ม โอยยยยยยย ละมุนไปหมดน้องเอ๊ย :m17:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #109 เมื่อ12-08-2018 09:42:19 »

ความละมุนนี้มัน.... :-[ :-[ :-[ :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
« ตอบ #109 เมื่อ: 12-08-2018 09:42:19 »





ออฟไลน์ arakanji

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #110 เมื่อ12-08-2018 18:59:49 »

สนุกดี เราอ่านรวดเดียวเลย
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ GuNNiEZz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #111 เมื่อ17-08-2018 11:55:13 »

สนุกมากกกกกกคร่ะ

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
«ตอบ #112 เมื่อ19-08-2018 19:17:15 »

-21-


ในโลกใบนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ประเภทที่ต่อให้กินเหล้าจนเมาแทบตายยังไงก็ยังจดจำได้ทุกสิ่ง ผมไม่แน่ใจนักว่าเพื่อนสมัยมัธยมหรือมหา’ลัยเป็นแบบนั้นกันกี่คน แต่หากจะเริ่มนับหนึ่ง ผมคงต้องชี้นิ้วมาที่ตัวเองเป็นลำดับแรก ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนผมจะถูกจัดอยู่ในประเภทคอแข็งน่าตาย ถูกสถาปนาให้เป็นคนที่คอแข็งที่สุดในทุกรุ่น แม้จะไม่ได้ดื่มมานานจนตอนแรกมีงงๆ และไม่ชินไปบ้าง แต่พอกลับมาแตะอีกครั้ง ก็เข้าถึงความรู้สึกเดิมๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ขนาดเมายังจดจำได้ทุกเรื่อง...แล้วนับประสาอะไรกับอีแค่การแกล้งเมา

ทุกถ้อยคำ ทุกสัมผัส ทุกอย่างที่ได้ยินและได้พบเมื่อวานชัดเจนอยู่ในห้วงคำนึงมาโดยตลอด นับตั้งแต่ลืมตาตื่นมาในตอนเช้า จวบจนยามนี้ที่ต้องเข้ามาเก็บข้าวของที่บ้านใส่กระเป๋า ภาพเหล่านั้นก็ยังฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว

“ไปกันเถอะ” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับดึงกระเป๋าไปถือไว้ให้เอง ผมได้แต่เงยหน้ามองคนที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเงียบๆ ตั้งแต่ตื่นเช้ามาจนไปกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้ว ภามก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกเลย

ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่เพราะสนใจมากต่างหาก ถึงได้แคร์ความรู้สึกกันขนาดนี้ ที่เขาไม่พูดถึง เป็นเพราะรู้ดีว่าผมยังสับสนและไม่พร้อมตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือ...มันไม่ใช่บรรยากาศพาไปแน่นอน

“ไม้กับดำจะขับเรือไปส่ง” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ เหมือนต้องการชวนคุย ในขณะที่ผมทำได้เพียงส่งเสียงอืออาตอบรับแล้วมองตามแผ่นหลังของเขาต่อไปเงียบๆ

พอเดินมาสักพักถึงได้รู้ตัวว่าเราออกห่างจากกระท่อมหลังเล็กที่สร้างขึ้นมาด้วยกันมากจนหันกลับไปก็ไม่เห็นแล้ว ผมใจหายวาบ คล้ายเท้าจะก้าวต่อไม่ออก ไม่เคยรู้สึกหนักใจกับการต้องจากสถานที่แห่งหนึ่งไปมากขนาดนี้ ขนาดเมื่อวานยังทำตัวปกติได้อยู่เลย มาวันนี้ที่ต้องไปโดยไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ กลับทำให้หน่วงใจจนอยากจะ...

“อยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหมนะ”

เสียงเดินที่อยู่ด้านหน้าหยุดชะงักลง คนตัวสูงหมุนตัวหันกลับมาหา ใบหน้าแปลกใจบ่งบอกชัดเจนว่าได้ยินสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ ภามเดินจนมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือข้างที่ว่างยกขึ้นแตะแก้ม บังคับให้ผมเงยหน้าสบตาเขา

“ได้” เขาตอบ ปลายนิ้วขยับเล็กน้อยเหมือนจะปลอบกัน “แต่เชื่อเถอะว่าอยู่ไปสักพักคุณจะไม่คิดแบบนั้น ยังมีคนอื่นๆ ที่รอคุณอยู่ในเมืองอีกมากมาย คุณทิ้งพวกเขาไปไม่ได้หรอก”

“อือ” ผมถอนหายใจ รู้คำตอบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แล้วก็เข้าใจที่ภามจะสื่อด้วย ความรู้สึกโหยหาจะเกิดขึ้นก็แค่ตอนแรกๆ เท่านั้น มันเป็นเพราะผมได้วางภาระที่มีมานาน ได้ใช้ชีวิตแบบที่เป็นตัวของตัวเอง

หรือว่าความหมายของชีวิตที่ตามหา สิ่งที่ขาดหายไป จะหมายถึงการได้ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ในเกาะแห่งนี้กันนะ

“แต่ว่า...”

“…”

“ถ้าวันไหนคุณคิดว่าอยากมาอยู่ที่นี่จริงๆ อยากใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีอะไรเลย...ผมจะมาอยู่กับคุณ” ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววจริงจัง เหมือนกำลังให้สัญญาที่ไร้ข้อผูกมัด มีเพียงคำพูดและการแสดงออกเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเขาจะทำตามนั้นจริงๆ

“จะบ้าหรือไง” ผมหัวเราะเบาๆ มือยกขึ้นผลักแขนภามเป็นเชิงหยอกล้อ “ขืนทำแบบนั้น พี่นายตามมาฆ่าฉันแน่”

ภามยกยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ใบหน้าจริงจังเคร่งเครียดแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขาลูบแก้มผมอีกครั้งแล้วขยับมาอยู่ด้านข้างเพื่อให้เราเดินไปพร้อมกันได้

“ผมไม่ได้โกหกนะ”

“รู้แล้วน่า” ทำหน้าจริงจังปานนั้น ใครจะกล้าหาว่าขี้โม้

บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดทำให้บรรยากาศหดหู่ดูดีขึ้นหลายระดับ ผมเริ่มยิ้มออก ไม่ได้หันกลับไปมองกระท่อมที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย เพราะรู้ดีว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาอีกครั้งแน่ๆ

“ผมมีเรื่องอยากถาม” จู่ๆ ภามก็พูดขึ้นมาในระหว่างที่เรากำลังเดินตรงไปที่หาด ผมหันหน้าไปมองเขานิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าฟังอยู่ “เมื่อวานคุณไม่ได้เมาใช่ไหม”

“โอ๊ย!”

จะ...เจ็บนิ้วโป้ง สะดุดรากไม้แบบโง่ๆ เฉยเลย

“ซุ่มซ่าม” คนที่ช่วยยึดจับแขนกันไว้ได้ทันบ่นงึมงำ มือที่กำแขนผมไว้เปลี่ยนเป็นโอบไหล่ พยุงให้ลุกขึ้นยืนตรงๆ ได้แทน อยากจะขอบคุณอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าเจ็บนิ้วจนน้ำตาซึม พูดอะไรแทบไม่ออกไปแล้วตอนนี้ “เจ็บมากเหรอ”

ภามวางกระเป๋าถือของผมลงบนใบไม้แห้งกองหนึ่ง รวมถึงถอดเป้ที่หลังเขาไว้วางไว้ข้างกันด้วย เมื่อเรียบร้อยแล้วคนตัวสูงก็หันกลับมาหา พยุงผมไปนั่งทับกระเป๋าตัวเองไว้แล้วคุกเข่าลง

“จะ...จะทำอะไร” ผมบีบมือเขาไว้แน่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอดรองเท้าให้

“ขอดูนิ้วหน่อย เจ็บไม่ใช่เหรอ” ภามเอาเท้าผมไปวางไว้บนหน้าขาตัวเอง ก่อนจะออกแรงบีบนวดให้เบาๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ได้สะสายตาขึ้นมาแซวหรือด่าอะไรแบบที่คิดไว้

ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่น้ำตาหายไปพร้อมๆ กับความเจ็บปวด สมาธิจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยของคนใจดี

“ดีขึ้นไหม” เขาเงยหน้าขึ้นถาม สบเข้ากับดวงตาของผมที่กำลังมองอยู่เข้าอย่างจัง

“ดีขึ้นแล้ว”

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ภามว่าแล้วพยุงผมลุกขึ้นพร้อมสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้นหลัง ถือกระเป๋าของผมไว้ด้วยมือซ้าย และใช้มือขวาโอบไหล่กันไว้เหมือนกลัวว่าผมจะล้มอีก

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธออกไป ทำไมถึงไม่บอกว่าไม่เจ็บแล้วเดินเองได้ หรือบางที...อาจเป็นเพราะผมเห็นคราบดินเละๆ ที่ติดอยู่บนเข่าของเขา ตอนที่อีกคนทรุดตัวลงดูนิ้วเท้าให้อย่างใส่ใจ

เพราะงั้นถ้าภามอยากดูแล แล้วคนที่ชอบถูกดูแลอย่างผมจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร

ในตอนที่เราเดินไปถึงหาด พวกชาวบ้านและเด็กๆ ก็มารออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนไม่ได้ดูเศร้าเสียใจที่พวกเรากำลังจะไป พวกเขาล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามาร่ำลาอย่างอบอุ่น แม้แต่เจ้าตาลที่ตัวเล็กสุดก็ยังฉีกยิ้มให้กัน ทำเอาผมแอบอับอายอยู่ในใจ เพราะดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่แสดงออกในทิศทางตรงกันข้าม โชคดีที่ตอนเฟลๆ แล้วร้องงอแงไม่อยากกลับมีแค่ภามคนเดียวที่ได้ยิน

“พี่หมอกับหัวหน้าต้องมาหาพวกเราอีกนะจ๊ะ” ตาลเดินเข้ามากอดผมไว้แน่น อ้อมแขนเล็กๆ ที่แสนอบอุ่นทำให้ผมยิ้มออก เด็กพวกนี้ก็คงไม่อยากให้เราจากไป แต่เพราะรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาถึงได้มาส่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และคาดหวังว่าจะได้เจอกันอีกในครั้งหน้า

“พี่จะกลับมาหาแน่นอน” เกี่ยวก้อยสัญญากับเด็กจิ๋วเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเข้าไปร่ำลาพวกชาวบ้านที่ช่วยดูแลเราอย่างมีน้ำใจมาโดยตลอด

“พ่อหมอต้องดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ หาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง ตอนเจอกันทีแรก น้าคิดว่าหมีแพนด้ามาเอง” น้าต้อยพูดติดตลกขณะเข้ามากอดผมเป็นคนสุดท้าย “ฝากดูแลนายน้อยด้วยนะ น้าเห็นแกไม่พูดกับใครเลย ถ้าขาดหมอเจไดไปคงแย่”

นี่ไม่ได้ถูกจ้างมาใช่ไหม...

“ครับ” ผมรับคำเสียงแห้ง ก่อนจะเดินตามภามไปขึ้นเรือ เมื่อหันกลับไปอีกครั้งก็เห็นทุกคนกำลังโบกไม้โบกมือให้อย่างร่าเริง เด็กๆ ตะโกนบอกว่าจะรอกันเสียงดังสนั่น ไม่มีความซึ้งอะไรเลย ยิ่งยามเห็นเจ้าตาลสะดุดอากาศหน้าทิ่มพื้น เสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้นไปอีกจนผมสบายใจตามไปด้วย

สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย...หวังว่าจะได้กลับมาอีกในเร็วๆ นี้นะ

“เข้ามาข้างในเถอะ” ภามเดินมาหาแล้วแตะไหล่ผมเบาๆ เกือบจะซึ้งที่เป็นห่วง คิดว่าจะกลัวเจ็บเท้าอยู่อะไรแบบนี้ อ๋อเปล่า... “เดี๋ยวก็ซุ่มซ่ามตกลงไป”

“ไม่ได้โง่ไหม” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่หน้าเขาแล้วเดินนำเข้าไปในห้อง

เรือที่ไม้เอามาส่งผมกับภามคือเรือของคุณไฟที่ทิ้งเอาไว้ เขาบอกว่ามันเร็วและปลอดภัยที่สุดแล้ว เพราะถ้าให้นายน้อยนั่งเรือประมงเข้าฝั่ง ลุงเหมที่ออกเรือไปหาปลาตั้งแต่เช้าต้องตีจนตายแน่ๆ เมื่อเช้าผมก็เหมือนจะได้ยินดำพูดอยู่เหมือนกัน ว่าถ้าไม่มีเรือที่คุณไฟทิ้งไว้ ต้องมีคนตื่นเช้าเข้าฝั่งไปเอาเรือส่วนตัวของนายมารับชัวร์ๆ

อะไรจะขนาดนั้น...

น่าแปลกที่ครั้งนี้เวลาผ่านไปเร็วมากจนน่าตกใจ ผมหันไปมองหน้าเรืออีกทีก็เห็นฝั่งเมืองอยู่ไกลลิบๆ แล้ว อีกไม่นานก็คงถึง คิดแล้วก็แอบถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะทันทีที่เท้าแตะพื้นฝั่ง นั่นหมายความว่าชีวิตของผมในฐานะหมอเจไดที่ถูกพักไว้ต้องดำเนินต่อไปอีกครั้ง ภาระงานมากมายคงโถมเข้าใส่จนปวดหัวไปหมด

“ขอโทรศัพท์หน่อย” คนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมา พร้อมทั้งยื่นมือมารอรับของที่ต้องการ ซึ่งผมก็ส่งให้ง่ายๆ โดยไม่ถามอะไร หางตาเห็นแวบๆ ว่าเขาเข้าหน้าไลน์และหน้าโทร คงกำลังแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันอยู่ “เดี๋ยวถ้าถึงภูเก็ตแล้วผมจะส่งรูปที่เกาะทั้งหมดให้คุณอีกที”

“โอเค”

“คุณจะกลับกรุงเทพฯ ยังไงนะ รถไฟใช่ไหม”

“เปลี่ยนใจแล้ว ฉันว่าจะกลับรถทัวร์” ไหนๆ ขามาก็มารถไฟทั้งที ทริปนี้เอาให้ครบไปเลยแล้วกัน เครื่องบินผมเคยนั่งบ่อยแล้วสมัยไปเที่ยวตอนยังเรียนอยู่ เหลือก็แต่รถทัวร์ที่ยังไม่เคยนั่งแบบจริงๆ จังๆ นอกจากเวลาไปค่ายกับเพื่อน

“อา…”

หลังจากผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที สุดท้ายเรือก็เข้ามาจอดเทียบฝั่งจนได้ ผมนั่งนิ่งเป็นตอไม้ มองดำกับไม้ที่พากันเดินลงไปจากเรือก่อนโดยไม่ได้ลุกตามไป ในใจยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่อยากคุยกับภามก่อนที่จะต้องแยกไปคนละทาง ไม้บอกว่าเขาจะพาผมไปส่งที่สถานีขนส่ง ส่วนดำจะพาภามไปสนามบิน ทุกคนแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่รอให้เราเดินแยกกันไปขึ้นรถสองคันที่เตรียมไว้

แต่ถ้าผมยังนั่งบื้อ ไม่ยอมพูดอะไรอยู่แบบนี้ เราคงไม่ได้ไปไหนสักที

“ภาม…” คล้ายประโยคที่อยากพูดถูกลืมไปชั่วขณะ ยามได้มองสบตาคนที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

เราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม...

ผมเม้มปากแน่น กลั้นคำถามที่อยากรู้เอาไว้ในใจ ด้วยเกรงว่าถ้าส่งเสียงออกไปจะเผลอแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น โชคดีที่ภามไม่ได้คาดคั้น เขาแค่มองกลับมานิ่งๆ จนผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“จำที่ผมเคยบอกว่าจะช่วยตามหาในสิ่งที่คุณขาดได้ไหม” แล้วก็เป็นเขาที่ทำลายบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนใจโดยการเปลี่ยนเรื่อง ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะถามอะไร และทำไมถึงพูดต่อไม่ออก

“จำได้”

ภามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยามได้รับคำตอบและการพยักหน้าหงึกหงักยืนยันอย่างมั่นใจ

“อันที่จริงผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับไว้หรือเปล่า”

“คืออะไร” ผมเลิกคิ้วรอฟังด้วยความประหลาดใจปนสนอกสนใจ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ขาดคืออะไร ถ้าเขารู้แล้วบอกได้ตรงจุดจริงๆ ผมคง...

“คุณกลับไปรอที่กรุงเทพก่อน เดี๋ยวสิ่งนั้นจะไปหาคุณเอง”

เป็นงั้นไป...

อยากจะอ้าปากด่าอะไรสักคำก็พูดไม่ออกอีก ยิ่งเห็นใบหน้าเฉยชาที่ดูคล้ายจะขำแต่ไม่ขำก็ยิ่งไม่รู้จะพูดอะไร เกลียดความจงใจทำให้อยากรู้แล้วจากไปจริงๆ

“แล้วนายล่ะ เจอหรือยังความสุขที่เคยบอก” ผมเปลี่ยนเรื่องไปถามเขาบ้าง เพราะรู้ดีว่าต่อให้คาดคั้นยังไง ภามก็ไม่ยอมพูดอะไรไปมากกว่านั้นแน่นอน ถ้าเขาบอกให้รอก็ต้องรออยู่ดี

“ผมเคยบอกแล้วว่าเวลาอยู่กับคุณผมมีความสุข แค่ยังไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นความสุขถาวรหรือเปล่า” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาหา ยกกระเป๋าผมไปถือไว้ให้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราควรจะไปได้แล้ว “แล้วถ้าจะถามว่าถาวรหรือยังก็คงขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ ว่าจะยอมให้ผมอยู่ข้างๆ ไปตลอดได้ไหม”

ผมอ้าปากค้าง มองคนที่ยังไม่ยอมเดินไปไหนราวกับกำลังรอคำตอบด้วยใจที่เต้นแรง สุดท้าย...ก็พูดออกมาได้เพียงคำเดียว

“ไม่...ไม่รู้”

ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบอะไร

ภามยกมือขึ้นแตะแก้มผม บังคับให้เงยหน้ามอง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วส่งแววตาที่ดูเข้าอกเข้าใจมาให้

“ไม่เป็นไร ผมรอได้”

“…” ผมเม้มปากแน่นแล้วเดินไปตามแรงจูงของเขา

เราเดินลงมาจากเรือพร้อมกัน โดยที่คนด้านข้างดูจะเป็นห่วงเท้าผมมากเหลือเกิน เพราะก่อนจะถึงฝั่ง เราจำเป็นต้องลุยน้ำทะเลสูงครึ่งแข้งเข้าไปก่อน ใจจริงผมอยากบอกว่ามันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่พอเห็นเขามองและคอยประคองอยู่ตลอดก็เปลี่ยนใจไม่พูดอะไร รอจนเท้าเหยียบทราย ภามก็ส่งกระเป๋าให้ดำกับไม้แล้วหันมาหา...เป็นครั้งสุดท้าย

“เอาไว้เจอกัน” ผมเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน พร้อมกับยกยิ้มให้อย่างจริงใจ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ทริปนี้สนุกมาก”

ไม่ใช่แค่ได้เจอกัน แต่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันแทบทุกอย่างตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีค่าสำหรับผมมาก แม้จะใจหายหน่อยๆ และแอบรู้สึกอยากจับเขายัดใส่กระเป๋าแบกกลับบ้านไปด้วย จะได้มีคนคอยดูแลอยู่ตลอด แต่ในความเป็นจริงผมย่อมรู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้

“เอาไว้เจอกัน” ภามลูบหัวผมอีกครั้ง ก่อนเขาจะหมุนตัวเดินตามหลังดำไป ทุกอย่างดูเป็นปกติมากจนผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับเขาไม่ได้ใจหายหรือดูโหยหากันเลยสักนิด...ทั้งที่บอกว่าชอบแท้ๆ

ผมมองตามหลังภามไปจนระยะทางระหว่างเรากว้างขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ทนไม่ไหว...

“ภาม!”

“หืม” เขาหันกลับมา คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

“ฉันไม่ได้เมา”

ที่ถามว่าไม่ได้เมาใช่ไหม...คำตอบคือใช่

และถ้าอยากถามว่าเต็มใจใช่ไหม....คำตอบก็คือใช่เหมือนกัน

ผมเต็มใจให้เขาจูบ

“ผมรู้อยู่แล้ว” ภามยิ้ม...และมันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา “รอก่อนนะ”

แล้วผมก็ได้เข้าใจ...

เพราะจะรีบมาหา นายถึงได้ไม่ดูโหยหาใช่ไหม ที่รีบไป...ก็เพราะจะทำธุระให้เสร็จไวๆ ใช่หรือเปล่า

คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบมากมายดังก้องอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา แม้ยามเห็นเขาก้าวเท้าขึ้นรถไปแล้ว ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองป้ายทะเบียนของรถคันที่เขานั่งไปจนสุดสายตา

“ฉันจะรอ”



ไม้ขับรถพาผมไปส่งถึงสถานีขนส่ง รวมถึงจัดการเรื่องตั๋วและนั่งรอเป็นเพื่อนอย่างอดทน ผมไล่ให้กลับไปก่อนก็บอกว่ายังไงก็ต้องรอดำที่ไปส่งภามอยู่ดี แล้วก็อย่าหวังเลยว่าฝ่ายนั้นจะปล่อยให้ภามนั่งรอคนเดียว ขืนทำแบบนั้นต้องโดนตีตูดลายแน่นอน

“แค่ความผิดโทษฐานไปบอกความจริงเอ็งตอนนั้น มันก็จะโดนลุงเหมสำเร็จโทษอยู่หลายทีแล้ว” ไม้ว่าขำๆ แล้วยัดไก่ที่ผมซื้อให้เข้าปาก

จะว่าไปแล้วที่ผมรู้ความจริงเรื่องเรือเข้าเกาะและเรื่องอื่นๆ ต้นเหตุก็มาจากตอนเข้าฝั่งไปส่งคุณไฟกับน้องลม ดำเอามาบอกหมดเลยนี่นะ ใครจะไปคิดว่าแค่ถามอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วเขาจะเผยความลับออกมาจนหมดแบบนั้น

“ไม่คิดว่าดำจะเอามาพูดเหมือนกัน”

“ไอ้ดำมันโง่แถมยังขี้ลืมจะตาย” ไม้ถอนหายใจยาวเหยียด “ตอนลุงเดินไปบอกทุกคนให้เก็บเป็นความรับ มันก็นั่งแทะปลาอยู่ข้างข้าแท้ๆ เผลอแป๊บเดียวลืมหมดละ”

“อย่าว่าเพื่อนแบบนั้นเลย” ผมแสร้งทำตัวเป็นคนดีทั้งที่ขำไม่แพ้กัน ยังไงก็ต้องขอบคุณดำนั่นแหละ ไม่งั้นผมคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยแน่ๆ

หลังจากนั่งรอรถกันอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดรถทัวร์ก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลา คนที่นั่งรออยู่หลายคนแบกกระเป๋าเดินไปขึ้นรถ ไม้เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ยกกระเป๋าไปเก็บให้ผม เห็นร่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายแล้วผมได้แต่ส่ายหน้าหน่าย ตัวก็เล็กกว่าแล้วยังจะดื้อถือกระเป๋าให้อีก ถึงจะดูมีเนื้อมีหนังและมีแรงมากกว่าก็เถอะ แต่ผมไม่ใช่นายน้อยที่เขาต้องมาเอาใจเสียหน่อย

“ไม่ต้องบริการขนาดนี้ก็ได้ นี่ไม่ใช่ภามนะ” ผมว่าติดตลก แต่ไม้กลับหันหน้ามาตอบจนแทบไปต่อไม่ได้

“เมียนายน้อยก็ถือเป็นเจ้านายเหมือนกันนั่นแหละ ไปขึ้นรถได้แล้วครับผม”

“ไว้เจอกัน” รีบไปก่อนจะได้เตะคนส่งท้ายดีกว่า

“บายเมียนายน้อย”

กวนตีน...

เมื่อขึ้นมานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบหันไปมองนอกหน้าต่าง เห็นไม้กระโดดโบกไม้โบกมือให้เป็นเด็กๆ จะว่าไปแล้วก็ลืมแกล้งแซวเรื่องคุณไฟไปเลย ไม่รู้ยังได้ติดต่อกันหรือเปล่า คิดได้ดังนั้นผมเลยขยับปากเป็นคำว่าคุณไฟซ้ำไปซ้ำมา พออีกฝ่ายหรี่ตาอ่านปากรู้เรื่อง ท่าทางร่าเริงก็จางหายไปแทบจะทันที กลายเป็นใบหน้ามึนตึงแทน นี่ถ้าชูนิ้วกลาวใส่ได้ ไม้คงชูใส่ผมไปแล้ว

หลังจากรถออก ไม่มีเพื่อนคุยเหลืออยู่เลยสักคน โทรศัพท์ที่ไม่ได้แตะนานเลยถูกหยิบขึ้นมาโดยไร้ทางเลือก ผมถอนหายใจเมื่อเห็นข้อความเป็นพันในไลน์ แล้วยังมีสายที่ไม่ได้รับอีกสิบกว่าสาย ไม่รู้ว่าเบอร์ใครบ้าง แต่เลื่อนๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีสายสำคัญอะไร ทว่าในตอนที่กำลังจะกดออกจากโปรแกรม โทรศัพท์ที่ผมปิดเสียงไว้ก็สั่นอยู่สองครั้ง ด้านบนจอมีคนชื่อ asdf ทักมา

asdf: ถึงบ้านแล้วบอกด้วย

asdf: เดินทางปลอดภัย

Anakin: ภาม?

asdf: ผมเอง

Anakin: ไหนบอกว่าไม่ถนัดภาษาไทยไง ทำไมพิมพ์คุยได้

asdf: เรียนมาแล้ว แต่อาจจะพลาดอยู่บ้าง

Anakin: เหรอ...

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมใช้เวลาไปกับการพูดคุยไลน์ จวบจนผ่านไปพักหนึ่งเขาถึงได้บอกว่าตัวเองต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว แชทไลน์ที่ผมคุยบ้าบอกับภามเกือบร้อยข้อความถูกปิดท้ายด้วยสติกเกอร์คนละหนึ่งตัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปโดยให้สัญญาว่าถ้าใครถึงก่อนจะต้องทักมาบอก

แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยวะเนี่ย...

asdf: *ส่งของขวัญ*

asdf: ผมให้คุณ บาย

ผมกะพริบตาปริบๆ ตามองสติกเกอร์แมวที่อีกคนส่งมาให้เงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจกดโหลดและใช้งานมันในทันที

Anakin: *สติกเกอร์แมวไฟลุก*

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ...สงสัยคงไปขึ้นเครื่องแล้ว

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุดเลยนะ” เสียงพูดที่ดังขึ้นจากทางด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งเฮือก เกือบปล่อยโทรศัพท์ในมือทิ้ง ดีที่ตั้งตัวได้ทันก่อน “ขอโทษด้วยจ้ะ ยายไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนั้น”

คุณยายสูงอายุที่นั่งข้างผมหัวเราะเบาๆ จนตาปิด ดูจากลักษณะท่าทางแล้วคงจะมาคนเดียวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผมเผลอยิ้มกว้างขนาดไหน ถึงปล่อยให้ท่านเห็นจนทักขึ้นมาได้

“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมค้อมศีรษะลงอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พ่อหนุ่มไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลย ยายแค่เห็นสีหน้ามีความสุขมากเลยอดทักไม่ได้” คุณยายยิ้มกว้างจนผมต้องยิ้มตามไปด้วย จากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันมาก่อน กลายเป็นนั่งพูดคุยกันไปตลอดทาง คงเพราะเราเดินทางกันตอนกลางวันด้วยเลยไม่มีใครง่วง เวลาจะพูดอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจคนอื่นๆ มากนัก เพราะพวกที่มาด้วยกันพูดคุยดังกว่าที่ผมกระซิบคุยกับคุณยายหลายเท่า

“คุณยายมาคนเดียวเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ ยายว่าจะไปเซอร์ไพร์สหลานน่ะ” คุณยายจิตหัวเราะคิกคักแล้วหันมาถามผมบ้าง “แล้วพ่อหนุ่มล่ะจ๊ะ”

“จริงๆ ผมมาเที่ยวที่นี่น่ะครับ ที่กลับกรุงเทพครั้งนี้คือกลับมาทำงาน มาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว” พูดแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ยังรู้สึกเหมือนได้พักไม่เต็มอิ่มเลย

“ช่วงเวลาพักผ่อนมันสบายใช่ไหมล่ะ” ท่านพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนเข้าใจความรู้สึกของผมเป็นอย่างดี “ตอนสาวๆ ยายก็ทำงานหนักเหมือนกัน ได้พักทีเหมือนขึ้นสวรรค์เชียว”

“แล้วตอนทำงานหนักๆ หรือไม่รู้จะทำอะไรดี คุณยายท้อบ้างไหมครับ”

“ก็มีบ้างนะ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์นั่นแหละ อยู่ที่ว่าใครจะตกอยู่ในช่วงเวลานั้นช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

“แล้วทำยังไงเหรอครับ”

“ยายโชคดีที่เจอตาไวจ้ะ” ท่านหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งมาให้ผม มันคือรูปภาพเก่าๆ เป็นสีขาวดำของชายหญิงคู่หนึ่ง “เวลาท้อก็มีคนให้กำลังใจ บอกให้รู้ว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร ยายเคยอยากเลิกเป็นพยาบาลเหมือนกัน เพราะมันเหนื่อยเหลือเกิน นอกจากทำงานหนักแล้วยังไม่มีเวลาให้ตาอีกต่างหาก”

“…"

“แต่ว่านะ...มันคือชีวิตของยาย จะทิ้งไปก็คงไม่ได้”

ชีวิต...ของคุณยายงั้นเหรอ

“คุณตาท่านก็เข้าใจคุณยายใช่ไหมครับ”

“เพราะเข้าใจเราถึงอยู่ด้วยกันได้จ้ะ ถ้าตาไม่เข้าใจ บอกให้ยายเลือกระหว่างอาชีพที่รักกับตัวเอง ยายคงร้องไห้แน่ๆ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นที่ยังคงดูสุขภาพดียื่นมารับรูปถ่ายคืนไป “เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะได้รู้เองว่าคนที่เข้าใจเรา คือคนที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว”

“คุณตาน่ารักมากเลยครับ” ผมชื่นชมจากใจจริง โดยไม่คิดอยากถามเลยสักนิดว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน เพราะถึงอย่างไร การที่คุณยายยังคงคิดถึงและยิ้มอยู่เสมอเพียงแค่ได้พูดถึง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณตายังคงอยู่ในหัวใจของท่านตลอดมา

หลังจากอยู่บนรถนานหลายชั่วโมงจนฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ จนได้ เพียงแค่ได้ก้าวเท้าลงมาจากรถ ลมกลางคืนก็พัดเข้ามากระทบใบหน้า เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เคยสัมผัสมาเกือบทั้งชีวิต แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้คิดว่ามันแปลกไป

ไม่รู้ว่าแปลกที่สถานที่...หรือแปลกที่ตัวเองกันแน่

“แม่ครับ!” เสียงเรียกด้วยความร้อนรนดังขึ้น พร้อมๆ กับที่มีคุณลุงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาแล้วเข้ามาประคองคุณยายจิตไว้แทนผม

“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ ได้บอกหลานหรือเปล่าว่ายายจะมาหา”

“ไม่ได้บอกครับ ก็แม่ไม่ให้ผมบอก ดื้อจริงๆ เลย บอกแล้วว่าเดี๋ยววันหยุดผมจะพาเด็กๆ ไปหาอยู่แล้ว ยังจะเหนื่อยนั่งรถมาเองอีก”

ผมยืนมองสองแม่ลูกเถียงกันด้วยรอยยิ้ม จวบจนเมื่อคิดว่าสมควรไปได้แล้ว เลยคิดจะเดินเนียนออกไปเงียบๆ ไม่คาดคิดว่าจะถูกรั้งเอาไว้ก่อน

“พ่อหนุ่ม” คุณลุงส่งยิ้มจางมาให้เมื่อเห็นว่าผมหันไปหาตามคำเรียก “ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลแม่ลุง”

“ไม่เป็นไรครับ”

หลังจากร่ำลากันอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่คุณลุงแกเดินไปซื้อน้ำมาให้ผมเป็นการขอบคุณ จะไม่รับก็ไม่ได้ เพราะขืนไม่รับคงได้คุยนานกว่าเดิม ผมเลยต้องรับมาถือเอาไว้โดยไม่ลืมยกมือไหว้ท่านทั้งคู่

“กลับบ้านดีๆ นะจ๊ะ” คุณยายจิตยกมือขึ้นลูบไหล่ผมเบาๆ เป็นการส่งท้าย “แล้วก็...”

“ครับ?”

“คนที่ทำให้พ่อหนุ่มยิ้มกว้างได้มากขนาดนั้น อย่าลืมเก็บรักษาเอาไว้ดีๆ นะ”

ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพียงลำพังพักใหญ่ ใจนึกถึงหลายสิ่งที่คุณยายพูดออกมา แล้วยังพาลนึกไปถึงหน้าภามจนต้องหยิบโทรศัพท์ออกมากดบอกเขาว่าถึงกรุงเทพฯ แล้วด้วย พอเห็นรูปโปรไฟล์สีดำในจอไลน์ของเขา คำพูดประโยคสุดท้ายที่คุณยายบอกก็ย้อนกลับมาเข้ามาในสมองอีกครั้ง

ก็ถ้าเขาไม่หายไป...ผมก็คงไม่ไล่ให้ไปไหนอยู่แล้ว

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมได้กลับมาถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว พอถึงพรุ่งนี้ก็คงต้องเข้าโรงพยาบาล ไปทำงานและใช้ชีวิตในฐานะหมอเหมือนเดิม แต่ก็อย่างที่คุณยายว่า...มันคือชีวิตของผม อาชีพหมอคือส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว เพราะงั้นจะทิ้งไปก็ไม่ได้

ยิ่งได้มองไปรอบๆ เห็นผู้คนมากมายที่นอนบ้างนั่งบ้างอยู่เต็มชานชาลา ผมก็ยิ่งเข้าใจในสิ่งที่คุณยายพูด จำได้ว่าตอนจะนั่งรถไฟ ผมเคยมองภาพของคนอื่นๆ ด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกแปลกๆ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าสงสัยอะไร มาวันนี้ถึงได้เข้าใจว่าคนทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง บางคนลำบาก ฐานะไม่ดี กว่าจะเดินทางได้ต้องใช้เวลานานเพื่อเก็บเงิน แต่กลับมีความสุขแค่เพราะจะได้กลับไปเจอหน้าครอบครัวหรือคนสำคัญที่อยู่ไกลกัน

ผมเองก็เป็นเหมือนทุกคน เป็นเหมือนคุณยาย ทั้งชีวิตต้องผูกติดอยู่กับการเป็นหมอ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็เป็นสิ่งที่เลือกแล้ว ที่มันว่างเปล่าขนาดนี้ อาจเป็นเพราะกำลังรอใครสักคนที่จะช่วยดูแลยามกลับไปถึงบ้านแล้วรู้สึกเหนื่อย คอยปลอบโยนเวลารู้สึกท้อ ใครสักคนเหมือนที่คุณยายมีคุณตา เหมือนที่พ่อมีแม่ ใครสักคนที่เข้าใจในสิ่งที่เราเลือกแล้ว และอยากเข้ามาแชร์ความรู้สึกเหนื่อยล้าของชีวิตไปด้วยกัน

ความหมายของชีวิต เหตุผลในการมีชีวิต หนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่

ถึงจะยังตอบไม่ได้ว่าใช่แบบที่คิดหรือเปล่า หรือบางทีอาจจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากยอมรับ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจ...

ดูเหมือนว่าผม...จะได้รับการเยียวยาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว


—————————-

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
«ตอบ #113 เมื่อ19-08-2018 19:44:12 »

อ่านตอนนี้แล้วยิ้มไม่หุบเลยค่ะ ถึงจะแอบใจหายนิดๆตอนที่ต้องออกจากเกาะแล้ว รอเค้ากลับมาเจอกันอีกนะคะ แต่ภามคงไม่ปล่อยให้หมอรอนานแน่ๆเลย555

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
«ตอบ #114 เมื่อ19-08-2018 20:13:21 »

จากกันเพื่อมาเจอกันอีกครั้ง . .. ยิ้มตามเลยค่ะน่ารักมากเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
«ตอบ #115 เมื่อ20-08-2018 02:29:55 »

กลับมาใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบตามปกติแล้ว  :katai4:

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3322
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
«ตอบ #116 เมื่อ21-08-2018 15:34:01 »

ไม่ได้เข้ามาอ่าจสักพักนึง มายาวแบบจุใจมากเลยค่ะ



ตอนจากการ ภามดูใจเย็นจัง ในขนาดที่พี่หมอ ดูนอยๆ


ชอบเค้ากลับแล้วละจ๊ะหมอจ๊า

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
«ตอบ #117 เมื่อ22-08-2018 19:50:14 »

-22-


ปกติเวลาได้กลับไปในสถานที่ที่ไม่ได้กลับมานาน เขาต้องมีช่วงอารมณ์ยืนหล่อ พร่ำเพ้อพรรณนาถึงความคิดถึงและอะไรต่างๆ นานาอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่แทบไม่เคยอยู่ห่างบ้านแล้วต้องจากบ้านไปนานๆ มันน่าจะเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน หากไม่ใช่ว่าแค่ก้าวเท้าลงมาจากรถ เงยหน้ามองบ้านเดี่ยวขนาดกลางอยู่เพียงสิบวิ เสียงทุ้มของตาลุงคนหนึ่งก็ดังขึ้นแบบพอดิบพอดี

“ยืนเกาไข่อยู่ได้ ยังไม่รีบเข้ามาอีก”

“ตาลุงข้างบ้านมาอยู่ในรั้วบ้านผมได้ไงเนี่ย” ผมทำสีหน้าประหลาดใจ ขณะมองคนแก่ที่กำลังยืนเก๊กอยู่ตรงสวนเล็กๆ ของบ้านตัวเอง พุงพุ้ยแล้วยังกล้าถอดเสื้ออีก แล้วนั่นอะไร...สายยางเหรอ “กินยาผิดขวดเหรอลุง ทำไมมารดน้ำตอนเกือบสี่ทุ่มเนี่ย”

“ปากดีนะไอ้หนวด”

“ไม่หนวดแล้ว...เฮ้ย!” จากที่กำลังจะอวดหน้าใสๆ ให้ดู กลายเป็นผมต้องกระโดดหนีน้ำเป็นการใหญ่ เพราะคนที่มีอาวุธอยู่ในมือเล่นฉีดใส่ผ่านรั้วแบบไม่เกรงอกเกรงใจเสื้อผ้าและกระเป๋าที่ผมถืออยู่เลยสักนิด “พ่อ!”

“ยังรู้นี่ว่าฉันเป็นพ่อ!” ตาลุงข้างบ้านยกนิ้วชี้หน้าผมแล้วกระทืบเท้าด้วยความโมโห “บังอาจเรียกลุงข้างบ้าน เดี๋ยวจะโดน”

“ยังไม่ชินอีกหรือไง” ผมบ่นงึมงำแล้วเดินไปเปิดรั้ว นาทีนี้อยากอาบน้ำนอนเต็มแก่แล้ว แถมยังไม่ได้ไปทักคนสวยเลยด้วย คุยกับตาลุงนี่ไปก็เสียเวลาเปล่า น่าจะใช้เวลาไปกับการตีกันมากกว่าคุยดีๆ

“พรุ่งนี้บ่ายเข้าโรงพยาบาลไปดูตารางงานด้วย” คนที่ยังรดน้ำต้นไม้ไม่เลิกพูดทิ้งท้าย พอผมส่งเสียงอือออตอบรับก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก

บ้านหลังกลางที่ผมอยู่กับพ่อแม่เป็นบ้านที่ซื้อไว้นานแล้ว ชั้นล่างมีห้องรับแขก ห้องครัว ห้องเก็บของ ส่วนชั้นบนมีห้องแค่สองห้อง คือห้องพ่อแม่กับห้องผม แต่เพราะมีแค่สองห้องนั่นแหละ เลยไม่ต้องปันส่วนไปใช้ทำอย่างอื่น พื้นที่ด้านในถึงได้มีมากตามไปด้วย

ครั้งหนึ่งผมเคยถามแม่ว่าอยากซื้อบ้านใหม่ไหม แต่ท่านบอกว่าอยากจะอยู่ที่นี่กับพ่อไปจนแก่ เพราะเป็นบ้านที่เก็บเงินซื้อกันเอง ซึ่งถ้าผมอยากไปซื้อบ้านของตัวเองก็ยินดี เพราะพวกท่านอยากให้ผมมีพื้นที่ส่วนตัว แค่เสาร์อาทิตย์กลับมาหาก็พอแล้ว ฟังแล้วเหมือนจะดีนะ แต่มันดันออกมาจากปากพ่อ ผมเลยสรุปได้ว่า ตาแก่นั่นต้องการไล่กันไปชัดๆ ตัวเองจะได้อยู่กับแม่สองคน แค่นึกถึงก็หมั่นไส้แล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นผมตอบพ่อกับแม่ไปว่า ถ้ามีคนรักเมื่อไหร่ก็คงจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน ถ้าเขาเต็มใจน่ะนะ แต่ว่า...เห็นทีคงจะยาก นานแล้วที่ผมไม่ได้สนใจใครเลย...

ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ มือหยิบมันขึ้นมาเปิดดูโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเผยยิ้มออกมาโดยไร้เหตุผล ยามเห็นว่าคนที่ทักมาอย่างได้จังหวะคือใคร

asdf: ถึงบ้านหรือยัง

Anakin: ถึงแล้ว

asdf: ฝันดี

Anakin: ฝันดี *สติกเกอร์กระต่ายนอนหลับ*

ภามก็ยังเป็นภามที่พูดและพิมพ์ทุกอย่างแบบกระชับ ทั้งยังดูเข้าใจกันแม้ไม่ได้เห็นหน้า เขาคงรู้ว่ามันถึงเวลานอนของผมแล้วถึงไม่ได้ชวนคุยหรือพูดอะไรต่อ ทั้งที่ตัวเองมีเวลาเยอะแยะ เพราะน่าจะยังไปไม่ถึงที่หมายเลยด้วยซ้ำ

“ใครน้ามายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าบันได”

“คนสวย!” ผมเงยหน้าร้องเรียกคุณแม่คนสวยที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุดด้วยความดีใจ คิดถึงจนเผลอปล่อยกระเป๋าลงพื้นแล้ววิ่งตึงตังขึ้นบันไดไปกอดไว้แน่น

“อะไรกันลูกคนนี้ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้” ถึงจะว่าแบบนั้นแต่มือเล็กๆ ที่ไม่ได้นุ่มนิ่มของคนพูดก็ยังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

“คิดถึงคนสวยจังเลย”

“เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาอ้อนเถอะ ไปอาบน้ำนอนไป”

“หน้าผมง่วงมากเลยใช่ไหม” ผมเงยหน้าถามแล้วหัวเราะอารมณ์ดี ทำไงได้ ก็มันถึงเวลานอนแล้วนี่นา

“ง่วงมาก แต่ดูได้เพราะเอาหนวดออกไปแล้ว ถ้าให้เดาคงโดนใครบังคับมาล่ะสิ” คนสวยหรี่ตารู้ทัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายหน้าหน่ายแทนเมื่อเห็นผมผละออกมาแล้วเดินลงไปหยิบกระเป๋า เป็นสัญญาณของการตัดบทเพราะไม่อยากตอบ

“ไปนอนดีกว่า” ว่าแล้วก็จุ๊บแก้มใสหนึ่งที “ฝันดีครับ”

“เรานี่นะ...” แว่วเสียงทอดถอนใจดังขึ้นจากทางด้านหลัง แต่เพราะผมวิ่งเข้าห้องมาแล้วเลยไม่ได้ยินอะไรมากไปกว่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีแล้วแหละ ถึงคนสวยจะใจดีขนาดไหน แต่ถึงคราวจะบ่นขึ้นมาก็ทำเอาหูชาได้เหมือนกัน

ห้องนอนของผมเป็นห้องนอนที่เอาไว้ใช้นอนจริงๆ นอกจากของบางชิ้นที่ตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่เด็กอย่างพวกกรอบรูป สิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงของใช้จำเป็นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ หรือแม้แต่โคมไฟ ทุกอย่างคือผมใช้จริงทั้งหมด ส่วนไอ้ของตกแต่งอย่างอื่น จำได้ว่าขนไปทิ้งตั้งแต่ปีก่อน เพราะรู้สึกว่ามันทำให้ห้องสกปรกง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าผมรักความสะอาดอะไรขนาดนั้นนะ แต่ขี้เกียจทำความสะอาดต่างหาก

ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นแม่บ้านที่จ้างมาจึงไม่ได้เข้ามาทำความสะอาดในห้อง ทุกอย่างต้องทำเองทั้งหมด แม้แต่การล้างห้องน้ำก็ด้วย จะว่าไปแล้วกระทั่งแม่หรือพ่อก็แทบไม่ได้เข้ามาในห้องเลย นอกจากผมจะเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เอง

หลังจากอาบน้ำอะไรเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะนอนหลับเป็นตายตามปกติ มาวันนี้ผมกลับนอนไม่หลับซะอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าห้องนอนของตัวเองกว้างขวางเกินไป เตียงก็ใหญ่ไป เสียงแอร์ก็ดังน่ารำคาญ และที่สำคัญ...

หมอนข้างไม่ได้ช่วยให้หลับสบายขึ้นเลย

ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ผมก็ยังนอนไม่หลับเสียที สุดท้ายต้องยอมแพ้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแบบเซ็งๆ และในเวลาที่กำลังจะกดเข้าไลน์นั่นเอง...

ครืด ครืด

สายเรียกเข้า

[เหงาเหรอ] เสียงทุ้มต่ำจากปลายสายทำเอาผมหน้าตึง จากที่เอ๋อๆ กดรับสายไปแบบงงๆ กลายเป็นสติสตังกลับเข้าร่างเพราะโดนรู้ทันทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“มั่ว ใครเหงา ไม่มี๊!”

[เสียงสูงเชียว]

“แกล้งเล่นหรอกน่า” ผมหัวเราะ จู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล “แล้วโทรมาได้ไง ฝันดีกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

[ก็ลองโทรดู ถ้าคุณรับแสดงว่ายังไม่หลับ]

“รู้ดีจริงๆ กินอาหารยี่ห้ออะไรเนี่ย” ขอหน่อยเหอะ ยังไงตอนนี้เขาก็ทำอะไรผมไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องกลัวอยู่แล้ว

[ปากดี ระวังจะโดน] ภามทำเสียงคาดโทษ ผมเผลอขนลุกไปแป๊บหนึ่ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอยู่ไกลกันขนาดไหน ปากช่างหาเรื่องก็กลับมาทำงานอีกครั้ง

“จะทำอะไรได้”

[หึ…]

เดี๋ยวก่อน มันแค่ขำหึคำเดียวเองนะ แล้วผมจะหวาดเสียวไปทำไมวะเนี่ย

“ว่าแต่นายเถอะ ถึงหรือยัง” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเพราะเริ่มไม่แน่ใจในสวัสดิภาพของตัวเอง ถึงตอนนี้เขาจะทำอะไรผมไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าเผลอเจอกันแล้วจะลืมนี่หว่า ยิ่งเป็นพวกกัดไม่ปล่อยอยู่ด้วย

[วันนี้ผมนอนในเมืองก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปรีสอร์ท]

“แล้วนี่ไอ้เก้ามันจะอยู่ไทยอีกนานหรือเปล่า” จะว่าไปตั้งแต่เดือนก่อนที่มันกลับมาไทย ผมก็ยังไม่ได้เจอมันเลย ไอ้โซอาจมีโอกาสมากกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็อยู่ไทย ถ้าขึ้นมากรุงเทพฯ ก็หาเวลาไปเจอได้ แต่ไอ้เก้าที่นานๆ มาทีน่าจะนัดเจอกันหน่อย อย่างน้อยขอให้ได้เตะมันสักทีน่าจะช่วยให้หายแค้นได้บ้าง

[เก้าเพิ่งกลับมาไทยอีกรอบเมื่อวาน ครั้งนี้พี่มาดูงานด้วย น่าจะอยู่สองสามวัน]

“งั้นคงไม่ได้เจอ” บางทีผมก็สงสัยว่ามันจงใจหรือเปล่า คงกะให้ผมลืมเรื่องที่มันทำไว้ก่อนมั้งถึงจะยอมมาเจอกัน ระยะเวลาแค่สองสามวัน กว่าจะจัดการงานเสร็จมันก็ต้องกลับแล้ว นับประสาอะไรกับการมาหาผมที่โรงพยาบาล ถ้าไม่ติดว่างานเยอะ ต้องเข้าเวรอะไรอีกมากมาย ผมคงไปเตะมันถึงสนามบิน

[แล้วคุณจะกลับไปทำงานวันไหน] เสียงโมโนโทนจากปลายสายเอ่ยถาม

ถ้าผมไม่รู้จักภามหรือเคยใช้ชีวิตร่วมกับเขามาเป็นเดือน ลำพังได้ยินแค่เสียงไร้อารมณ์นี่คงคิดว่าเจ้าตัวเป็นคนเย็นชาแบบสุดติ่ง แต่เผอิญผมรู้จักเขาดี เห็นหน้าปลาตายนั่นแสดงอารมณ์มาแล้วก็เยอะ แค่เสียงราบเรียบเหมือนไม่อยากคุยที่แตกต่างจากประโยคชวนคุยเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงเลยไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก

“มีเวลาพักพรุ่งนี้อีกวัน แต่ฉันว่าช่วงบ่ายจะเข้าไปดูตารางงานหน่อย ต้องไปคุยรายละเอียดเรื่องน้องระฟ้าด้วย” ผมกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย

[งั้นก็นอนได้แล้ว]

“นายก็ด้วย”

[อ่า]

“ฝันดี”

[ฝันถึงผมด้วย]

คะ...ใครสอนเขาพูด!

ผมดึงโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอด้วยความตกใจ เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝั่งกดตัดสายไปพอดี เอาอีกแล้ว...ชอบพูดให้ตาค้าง ปล่อยให้สมองตื้ออยู่ฝ่ายเดียว เสร็จแล้วตัวเองก็นอนสบายใจเฉิบแบบไม่คิดอะไร เลวจริงๆ

แต่ก็แปลกเหมือนกัน...

ไม่รู้ทำไมหลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้ว ผมถึงได้ง่วงขึ้นมากะทันหันจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว



เช้าวันต่อมา หลังจากเผลอตื่นในเวลาเดียวกันกับยามอยู่บนเกาะ ผมนึกคึกอะไรไม่รู้ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมข้าวของไปวิ่งที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน วิ่งๆ เดินๆ อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงกลับเข้าบ้าน แล้วก็ได้รับแววตาตกอกตกใจจนแทบสิ้นสติของคนสวยกับคุณป้าแม่บ้านที่เพิ่งมาถึงเป็นรางวัล

“คุณหมอเจได!” หญิงสูงวัยร่างท้วมวิ่งเข้ามาหาผมแล้วพลิกตัวไปมายกใหญ่ ทำเหมือนกำลังมองหาความผิดปกติ ไอ้เราก็นึกว่าคิดถึง ไม่ใช่เลย... “เป็นอะไรไปคะเนี่ย ทำไมตื่นเช้าได้”

“แล้วนั่นอะไร...” แม่เดินเข้ามาจับแขนผมอีกคน “อย่าบอกนะว่าลูกไปวิ่งมา”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ตกใจอะไรกัน”

“ตายแล้ว วันนี้ไม่ต้องตากผ้านะพี่ดา ฝนตกหนักแน่ๆ”

ผมกลอกตามองผู้หญิงสองคนคุยกันด้วยสีหน้าบูดๆ อยากเข้าไปแทรกอยู่หรอกนะ แต่เพราะรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้แม่ๆ คุยกันทีไร ใครเข้าไปแทรกต้องโดนเตะออกจากวงทุกที สุดท้ายเลยได้แต่ยืนมองตาแป๋วรอให้ทั้งคู่หันมาสนใจเอง

“บอกป้ามาเถอะค่ะว่าเป็นอะไร” ป้าดาหันมาทำหน้าเครียดใส่ผมอีกครั้ง “ไปหาหมอดีไหมคะ หรือไม่ก็ให้คุณพ่อดูอาการสักหน่อย”

“โอย...จะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ ป้าดาไปทำข้าวให้ผมกินดีกว่า หิวจนไส้แห้งแล้วเนี่ย” ผมโอดครวญแล้วตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร พร้อมเกี่ยวแขนสองสาวให้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ”

กว่าจะใช้เวลาสร้างความมั่นใจให้คุณแม่บ้านที่ผมรักเหมือนเป็นคนในครอบครัวเข้าใจได้ ก็กินเวลาไปนานเกือบสิบห้านาที จนกระทั่งท้องไส้ที่บิดแล้วบิดอีกส่งเสียงร้องออกมาดังสนั่นนั่นแหละ ป้าดาถึงยอมปล่อยแขนผมแล้วเดินไปเข้าครัว

“ผมขอไข่เจียวหมูสับด้วยนะครับป้า!” ผมตะโกนย้ำอีกรอบ

เพียะ!

“แม่บอกว่าอย่าตะโกนไง” คนสวยขมวดคิ้วทำหน้าดุ ในขณะที่ผมได้แต่ลูบแขนตัวเองป้อยๆ แค่ตะโกนนิดเดียวต้องตีกันด้วย โชคดีที่ยังยั้งแรงไว้บ้างเพราะแม่รู้อยู่แล้วว่าผมกลัวเจ็บขนาดไหน

“ใจร้ายจังเลย”

“เรานี่นะ...” แม่ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตีผมอีกรอบ แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าจากนางยักษ์เป็นคุณนายช่างสงสัยในเสี้ยววินาที “เดี๋ยวนี้ชอบกินไข่เจียวด้วยเหรอ แม่ไม่เห็นรู้เลย”

“ไม่ได้ชอบสักหน่อย”

“แล้วทำไมถึงบอกให้ป้าดาทำให้กินล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยบ่นอยากกิน”

“แค่กินตามภะ...”

ฉิบหาย...

“หืม...ดูเหมือนจะมีเรื่องที่แม่ไม่รู้เยอะเลยนะ” เสียงอันน่าสยดสยองของคุณผู้หญิงทำเอาผมขนลุกซู่ มองเห็นอนาคตครึ่งวันเช้าของตัวเองแทบจะทันทีว่าต้องทำอะไร

โดนซักฟอกจนขาวสะอาดแน่นอน...

“อันที่จริง ผมมีเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่ง...แบบว่าเจอระหว่างทางน่ะ” ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ พร้อมกับแอบมองคนสวยเป็นครั้งคราว นั่นไง...ตาเป็นประกายเชียว

“ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนยอมเดินทางไปกับคุณหมอหน้าหนวด แล้วนี่เขายังทำให้ลูกยอมโกนหนวดได้ด้วยใช่หรือเปล่า” คุณผู้หญิงของบ้านถามแล้วยิ้มบาง ฟังนิดเดียวก็เชื่อมต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว

“เดาเก่งจังนะ”

“ไม่ต้องมาชมแล้วพยายามหาทางเปลี่ยนเรื่องทีหลังละ” คำพูดของคนรู้ทันทำให้ผมเผลอเบะปากออกมาครู่หนึ่ง ดีที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็นเข้า ไม่งั้นต้องเข้ามาบีบปากกันแน่ๆ “เล่าต่อเลย เจอเพื่อนแล้วยังไงต่อ”

“แล้วก็โดนไอ้เก้าหลอกให้ไปเกาะ...เดี๋ยวนะ” ผมชะงัก นึกถึงตอนถูกหลอกให้ไปติดเกาะกับภามแล้วพบว่าทุกอย่างเกิดจากการวางแผนเอาไว้หมด และแผนเหล่านั้นจะสำเร็จไม่ได้เลย หากผมไม่ได้บังเอิญไปเจอภามบนรถไฟ ซึ่งเขาบอกว่าเก้าเป็นคนแนะนำและจัดการตั๋วให้ทั้งหมด แล้วคนที่จองตั๋วให้ผมก็คือ...

“รู้ช้านะเนี่ย”

“แม่วางแผนกับไอ้เก้าตามที่ผมคิดจริงๆ ด้วย...”

“อย่าเรียกว่าวางแผนเลย แม่แค่คุยกับหนูเก้าว่าจะหาเพื่อนให้ลูกสักคน เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้นเฉยๆ” คนสวยยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “ใครจะไปคิดว่าจะได้ผลดีเกินคาด ทั้งช่วยทำให้ลูกแม่ยอมโกนหนวด แล้วยังช่วยให้มีชีวิตชีวาขึ้นด้วย ขนาดข้าวยังทำท่าจะกินตามเขาเลย”

“ผมก็แค่ชินหรอกน่า” ผมรีบอ้างไปก่อน ทั้งที่ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงอยากกินตามเขา แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเคยชิน หลังจากที่ได้ทำและกินมาหลายมื้อมากกว่า

หลังจากที่ภามบ่นอยากกินไข่เจียวแทบจะทุกมื้อ ผมที่เป็นคนทำอาหารให้เขากินย่อมต้องกินแบบเดียวกันตามไปด้วยอยู่แล้ว หลังจากกินมันมาแทบทุกวันตลอดหนึ่งเดือน จะแปลกอะไรหากผมจะเคยชินและนึกถึงจนอยากขึ้นมาอีก

“ถ้าชินแล้วทำไมไม่เบื่อล่ะ ปกติคนที่ทำอะไรซ้ำๆ จะเบื่อไม่ใช่เหรอ ลูกเองก็เข้าใจดีนี่”

“ผม…” ทั้งที่คิดว่าจะเถียงอะไรกลับไปได้ แต่ผมกลับต้องหุบปากฉับ เพราะไม่มีอะไรให้เถียงเลยแม้แต่อย่างเดียว

จริงอย่างที่คนสวยบอก...ตอนอยู่กรุงเทพฯ ผมเบื่อไปหมดทุกอย่าง เพราะเห็นและทำซ้ำๆ จนกลายเป็นความเคยชิน พอเคยชินแล้วก็ไม่อยากทำอีก แต่นี่กลับบอกว่าเคยชินเลยอยากทำต่อ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

“เอาเถอะ แม่ไม่ยุ่งเรื่องนั้นหรอก” คนพูดวางมือลงบนไหล่ ก่อนจะส่งยิ้มจางมาให้ผม “พอจะเข้าใจความหมายของชีวิตหรือยัง”

“ผม...ไม่แน่ใจ”

“พูดสิ่งที่ลูกอยากพูดออกมาเถอะ”

ผมเงียบไปนานเพราะไม่มั่นใจนักว่าอยากพูดอะไรออกไป ภาพการเดินทางตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับภาม สิ่งที่ได้ทำร่วมกับเขาและชาวบ้าน หรือแม้แต่ยามเดินทางกลับที่ได้เจอกับคุณยายโผล่ขึ้นมาในหัว ผมได้พบเจอเหตุการณ์มากมายที่ไม่รู้ว่าควรอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร

แต่กลับรู้สึกว่าคำถามของแม่ไม่ได้ตอบยากแบบที่เคยคิด...

“ชีวิตของผมคือการได้เป็นหมอรักษาคนไข้ ผมไม่เคยเสียใจที่เลือกทางนี้ครับแม่” ต่อให้เหตุผลตั้งต้นมันดูตลกขนาดไหน แต่ผมก็ตั้งใจและทำสำเร็จจนมาถึงวันนี้ แม้จะเหนื่อยและเบื่อการใช้ชีวิตของตัวเองไปบ้าง แต่ผมไม่เคยนึกเสียใจกับสิ่งที่เลือกไปแล้ว

“งั้นเหรอ...”

“ตอนอยู่บนเกาะ ผมได้เห็นเด็กๆ ที่นั่นวิ่งไปวิ่งมา เล่าเรื่องที่โรงเรียนของพวกเขาให้ฟัง เห็นกระทั่งวิถีชีวิตและการทำงานในแบบฉบับของชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกอย่างทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าทุกคนต่างมีชีวิตในแบบของตัวเอง และพวกเขาต่างใช้ชีวิตเพื่ออะไรบางอย่าง”

“อะไรบางอย่างที่ว่าคืออะไรล่ะ”

ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม นึกย้อนกลับไปตอนได้เห็นใบหน้าของเด็กๆ ที่พูดคุยกันงุ้งงิ้งเกี่ยวกับเรื่องราวของความฝันมากมากที่มีจุดมุ่งหมายเป็นอย่างเดียวกัน

“เด็กๆ บอกว่าตอนโตขึ้นพวกเขาอยากเป็นอะไร แต่ละอย่างที่พูดมาทำเอาผมปวดหัวไปหมด แต่ก็น่าแปลก เพราะทุกคำตอบล้วนมีจุดมุ่งหมายสำคัญในแบบเดียวกัน...คือพวกเขาจะทำเพื่อคนบนเกาะ ทำเพื่อพ่อแม่และทุกคน”

“งั้นเหรอ...” แม่อมยิ้ม ดวงตาห่วงใยของท่านยังคงจับจ้องมาที่ผม ราวกับจะบอกว่าขอแค่พูดออกไป ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็จะรับฟัง

“ตอนกลับผมเจอคุณยายคนหนึ่งบนรถ...ท่านเคยเป็นพยาบาลครับแม่” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับคุณยายระหว่างทาง “คุณยายบอกว่าตัวเองก็เคยเป็นเหมือนผม เหนื่อยและท้อ แต่เพราะอาชีพนี้คือชีวิตของท่าน ท่านจึงไม่อาจทิ้งมันไปได้”

“แล้วท่านผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมายังไงล่ะ”

“ท่านบอกว่าท่านมีคุณตาที่คอยให้กำลังใจและคอยอยู่ข้างๆ ครับ”

“…”

“แล้วท่านยังบอกอีกว่า...เวลาท้อ ยามได้เห็นว่ามีใครคอยอยู่เคียงข้าง เราจะรับรู้ได้ว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร”

ระหว่างที่กำลังนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้าน ผมใช้เวลาส่วนมากไปกับการคิดว่าตัวเองเคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นบ้างไหม เริ่มจากทบทวนชีวิตมหา’ลัย ยามมีคนรักที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ แล้วก็ต้องส่ายหน้าแทบจะทันที ผมไม่เคยสนใจพวกเธอ สุดท้ายเลยไปกันไม่รอด ตลอดมาแทบไม่เคยคิดจริงจังถึงขั้นอยากสร้างครอบครัวเลยสักนิด บางทีอาจเพราะเป็นฝ่ายโดนเข้าหาตลอด ไม่เคยถูกใจหรือเข้าไปพูดคุยกับใครก่อนด้วย

“แม่เห็นด้วยกับคุณยายนะ” แม่เรียกสติผมกลับมา โดยการวางมืออุ่นๆ นั้นลงบนมือผมแล้วจับเอาไว้หลวมๆ “ในเมื่อลูกได้ทุกอย่างที่เคยวาดหวังมาไว้ในมือแล้ว ไม่แปลกที่ลูกจะมองไม่เห็นความตื่นเต้นในชีวิตอีก ถ้าเจไดมั่นใจว่าชีวิตคือการได้เป็นหมอจริงๆ แล้วการได้เดินทางไปท่องเที่ยวทำให้รู้สึกดีได้แค่ชั่วคราว หรือไม่ได้ทำให้มองเห็นหนทางใดๆ เพิ่มเติม แสดงว่าชีวิตของลูกมั่นคงมากพอแล้ว”

“…”

“สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ตามหา บางทีอาจจะเป็นใครสักคน...ใครสักคนที่จะช่วยดูแลตัวขี้เกียจของแม่ได้”

“ผมมีพ่อกับแม่...”

“ในระหว่างที่ยังไม่เจอ พ่อกับแม่จะเป็นคนคนนั้นให้ลูกก่อน แต่ว่านะเจได...เราทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง หน้าที่ของพ่อกับแม่เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลลูกไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่เราไม่อาจเติมเต็มลูกได้ทุกส่วน ลูกก็รู้ใช่ไหม” ท่านยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือมาปัดผมออกจากใบหน้าให้ “พ่อกับแม่ทำหน้าที่แทนคนคนนั้นของลูกได้ แต่เราไม่อาจอุดรูที่ว่างเปล่าของลูกได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าลูกเจอคนไม่ดี พ่อกับแม่จะคอยเยียวยา แต่ถ้าลูกเจอคนที่ดีและเหมาะสมกับตัวเองเมื่อไหร่...แม่อยากให้ลูกรักษาเขาเอาไว้ให้ดี”

‘คนที่ทำให้พ่อหนุ่มยิ้มกว้างได้มากขนาดนั้น อย่าลืมเก็บรักษาเอาไว้ดีๆ นะ'

ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของคุณยายที่ซ้อนทับคำพูดของแม่ได้แบบพอดิบพอดี ต่างกันที่แม่ไม่ได้เอ่ยออกมาว่าคนคนนั้นคือใคร แต่คุณยายกลับพูดออกมาอย่างชัดเจน

คนที่ทำให้ผมยิ้มกว้างในตอนนั้นจะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่...

“มาทานข้าวแล้วคอยคุยกันต่อเถอะค่ะ” เสียงพูดแทรกจากป้าดาที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องดังขึ้น ก่อนที่ท่านจะเดินเข้ามาหาแล้วจูงมือผมให้เดินตามไปเหมือนตอนเด็กๆ

อาจเพราะตัวเองยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด การได้กินไข่เจียวที่อยากกิน หรือปลานึ่งของโปรดจึงไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นดีใจมากเท่าไหร่นัก และเหมือนคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยจะสังเกตเห็น ถึงได้พยายามตักอาหารมาให้บ่อยๆ จนกระทั่งผมกินต่อไม่ไหวแล้วถึงได้วางช้อนส้อมลง พร้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างและมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว

ท่านหันไปหาป้าดา พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าจะขออยู่กับผมสองคน รอจนป้าดาเดินออกไปแล้วถึงได้พูดออกมา

“ยังมีอะไรจะบอกแม่อยู่ไหม”

แม่ก็ยังเป็นแม่ที่เข้าใจและมองผมออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ผมรู้สึกเหมือนทิ้งอะไรเอาไว้ที่นั่น” ผมถอนหายใจ ความรู้สึกใจหายต่างๆ นานาที่สะสมมาตลอดถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อได้อยู่กับคนที่เข้าใจตัวเองมากที่สุด “มันเหมือนกับชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ที่นั่นแล้ว...”

“บอกแม่ได้ไหมว่าตอนนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ลูกคิดถึงอะไรบ้าง”

“คิดถึงกระท่อม...แม่รู้ไหมครับว่าผมกับภามสร้างบ้านกันเองด้วย ถึงส่วนใหญ่ผมจะนั่งมองก็เถอะ นอกจากนั้นยัง...” เรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอระหว่างที่ยังอยู่บนเกาะถูกเล่าออกมาทีละเรื่อง ยกเว้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแปลกๆ ระหว่างผมและเขาที่ยังเก็บไว้เป็นความลับต่อไป

“แปลกนะ...” คนสวยพูดแทรกขึ้นมายิ้มๆ “ไปเที่ยว เจอธรรมชาติสวยๆ ได้ลองสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน แต่เรื่องพวกนั้นที่แม่บอกไป เราแทบจะพูดออกมาเป็นเรื่องท้ายๆ”

“…”

“นานแล้วนะที่เราไม่ได้แสดงท่าทีมีความสุขหรือยิ้มออกมาจากใจเหมือนเมื่อครู่”

ผมนิ่งไปนานเพราะไม่คาดคิดว่าแม่จะพูดแบบนั้นออกมา หากเมื่อคิดตามและพิจารณาดูดีๆ แล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ขนาดตัวเองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มรู้ทันของคนพูด ผมก็รีบเก็บท่าทีแล้วลุกขึ้นไปกอดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเอาไว้

“เวลาผมอยู่กับแม่ก็มีความสุขอยู่แล้ว”

“จ้า พ่อคนปากหวาน” คนสวยหันมาหยิกแก้มผมเบาๆ “เราไม่ต้องเหมือนพ่อไปหมดทุกอย่างก็ได้นะ”

“ผมเหมือนพ่อตรงไหน” ผมเบะปาก แค่ได้ยินว่าเหมือนตาแก่ก็ต้องร้องยี้ในใจแล้ว อ้วนลงพุงแล้วยังซึนแบบนั้น ใครจะไปอยากเหมือน

“ทุกตรงเลย โดยเฉพาะนิสัยเด็กๆ กับปากแข็งๆ เนี่ย” ว่าแล้วก็บีบปากผมจนกลายเป็นปากเป็ด

“ไม่ต้องมาว่าเลย”

คนสวยถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนจะเหนื่อยหน่ายกับการพูดคุยครั้งนี้พอสมควร แต่คงเพราะชินแล้ว ทั้งกับนิสัยของผมและนิสัยของพ่อ รอแป๊บเดียวก็ปล่อยวางและกลับมาจริงจังได้อย่างรวดเร็ว

“ที่บอกแม่ว่าชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ที่นั่น...”

“…”

“ถามตัวเองให้ดี ว่าเป็นเพราะสถานที่...หรือเป็นเพราะใคร”

เป็นเวลาเนิ่นนานที่ผมนิ่งค้างไปกับคำถามนั้นโดยไม่อาจตอบอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว และแม่ก็ไม่ได้เร่งรัด แค่จับแขนผมไว้แล้วรอคอยเงียบๆ แต่คนที่ลนลานกลับกลายเป็นผมเอง เพราะแค่ได้ยินคำถามง่ายๆ ที่ควรจะตอบได้ในทันที กลับต้องนิ่งค้างไปนานเพราะเสียงไม่ยอมหลุดออกมา

“ผมไปเตรียมตัวเข้าโรงพยาบาลดีกว่า ไม่คุยด้วยแล้ว” เพราะไม่อยากตอบคำถาม ผมเลยก้มลงจุ๊บแก้มนุ่มนิ่มของแม่แรงๆ แล้ววิ่งจู๊ดขึ้นไปห้องแบบเด็กๆ โดยไม่สนใจคำต่อว่าที่ดังไล่หลังมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกหรือคิดผิด ที่กลับมาจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองเพียงคนเดียวอีกรอบ

เพราะสถานที่หรือเพราะใคร...

การได้ใช้ชีวิตในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นเองมา ได้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมายบนเกาะร่วมกับคนอื่นๆ ความทรงจำที่แสนสวยงามและสนุกสนานเหล่านั้นจะยังตราตรึงอยู่ตลอดไป กลายเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้ยิ้มได้เสมอ เพียงแต่ว่า...

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าคลังรูปภาพที่แทบจะว่างเปล่า มีรูปอยู่ไม่ถึงร้อยรูป นับเป็นหน้าตัวเองได้ประมาณยี่สิบรูปถ้วน และประมาณสิบรูปในนั้นเป็นรูปถ่ายรัวๆ ที่ผมถ่ายคู่กับใครคนหนึ่งซึ่งติดอยู่ในความคิดมาตลอดตั้งแต่แยกจากกัน

“อะ...ไอ้บ้าภาม”

เพราะไม่ได้สนใจกดเข้าคลังภาพไปดูรูปคู่แบบจริงๆ จังๆ ผมเลยไม่ได้เห็นว่าตอนที่เขาเอาไปกดถ่ายเอง มันมีรูปที่เจ้าตัวหันหน้ามามองระหว่างที่ผมทำหน้าเด๋อใส่กล้องอยู่ด้วย ไหนจะรูปที่เอาแก้มมาแนบกันสามสี่รูปอีก แค่เห็นหน้าก็ร้อนวูบวาบ ไม่รู้ด้วยความโกรธหรือความอาย

แต่ไม่รู้ทำไม...กดลบไม่ลง

ต้องเป็นเพราะเขาบอกว่าให้ผมส่งรูปให้ด้วยแน่ๆ ถ้าผมไม่ส่งให้ ภามก็จะไม่ส่งรูปจากกล้องมาให้เหมือนกัน ก็คนคนนั้นเจ้าคิดเจ้าแค้นจะตายไป...ใช่ๆ รูปสวยๆ ที่กล้องภามมีเยอะจะตาย ถ้าไม่ได้มาคงเสียดายแย่

ปากแข็งเข้าไปเถอะ

ใครปากแข็งวะ...

มึงมันซึนไม่ต่างจากพ่อเลยไอ้เจได

ไม่ได้ซึนสักหน่อย...

ผมก้มหน้าลง มือยกขึ้นกุมขมับที่ปวดหนึบไปหมดจากการพยายามเถียงตัวเองไปมา ใจจริงอยากถอนหายใจออกมาแรงๆ ด้วย เพราะเหมือนความคิดที่สับสนวนเวียนไปมาคล้ายจะหยุดลงกะทันหัน ยามเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่อยากจะยอมรับมากเท่าไหร่นัก

เพราะสถานที่หรือเพราะใคร

สิ่งที่ขาดหายไป

หนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่

ทุกเรื่องเหมือนจะเชื่อมโยงกันไปหมด

ซึ่งบางทีผมอาจรู้คำตอบดีอยู่แล้ว...

.

.

แต่ไม่เอาอะ ขอเวลาทำใจอีกแป๊บ

   

—————————



TALK: คบก็เหมือนไม่คบไปแล้วอะเอาจริง จูบก็ยอมให้จูบ ถ่อวว นังแมวเล่นตัว แค่สถานะน้องภามบอกรอได้

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
«ตอบ #118 เมื่อ22-08-2018 20:02:23 »

พามาให้พ่อแม่ดูตัวเลย  :mew4:

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
«ตอบ #119 เมื่อ22-08-2018 20:16:49 »

เจไดน่าเอ็นดูมากกกกก อยากบีบปากคนกากแบบคนสวยบ้าง5555 แต่หมออย่าเล่นตัวนานนะคะ คนทางนี้กลัวหมอจะโดนเต๊าะจนพรุน :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด