┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 88782 ครั้ง)

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
« เมื่อ06-04-2018 15:46:09 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------------------------------------------------


►ANAKIN  อนาคิน◄

“หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ”

"นาย..."

“ และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน…”

"..."

“จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม”



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2018 15:38:44 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #1 เมื่อ06-04-2018 15:49:29 »

-0-


คนที่รู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป

ส่วนใหญ่มักจะตั้งตารอโดยไม่รู้ตัว

คนบางคนตั้งใจแทบตายกลับไร้ซึ่งเงา

เฝ้ารอชั่วชีวิตกลับไร้วี่แวว

แต่กับบางคนที่รู้ว่าขาด หากไม่เคยคิดหากลับได้มาครอบครองอย่างง่ายดาย

ก่อนเคยคิดว่าโชคดี

ทว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง ‘ผม’ ก็เข้าใจ

มันไม่ใช่เพราะไม่คิดหาจึงได้มา

แต่เป็นเพราะ ‘เขา’ ช่วยพยายามในส่วนที่ขาด

‘เรา’ ถึงได้มีกันจวบจนทุกวันนี้



ทำไมคนเราถึงร่าเริงได้ขนาดนั้น...

ผมมองภาพเด็กผู้ชายสองคนในชุดนักศึกษาหัวเราะใส่กันเสียงดังแบบไม่สนใจโลกด้วยแววตาเฉื่อยชา ถึงแม้จะตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรนัก เด็กสองคนนั้นไม่ได้หน้าตาดี และต่อให้หน้าตาดี หรือต่อให้ผมชอบผู้ชาย ณ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำให้ผมสนใจได้มากเท่าหนังตาตัวเอง

อา...จะปิดอีกแล้ว

“มึงดูตาลุงนั่นดิ”

เสียงที่ดังเข้าหูไม่ได้ทำให้ผมสะกิดใจอะไรในวินาทีแรก แต่แล้วเมื่อประโยคต่อไปดังตามมา ผมเลยจำเป็นต้องฝืนถ่างหนังตาที่ใกล้จะปิดเต็มทีออกเพื่อหันไปมองเจ้าของเสียง

“จ้องพวกเราใหญ่เลย เฒ่าหัวงูเปล่าวะ”

ภาพที่เห็นคือเด็กสองคนที่ทำตัวน่ารำคาญมาโดยตลอดกำลังทำตัวน่ารำคาญมากขึ้นโดยการหันมานินทาผมระยะเผาขน

“ไม่มั้ง ใส่เสื้อกาวน์ด้วย ไม่ใช่หมอเหรอวะ”

“หมอห่าไรหนวดเฟิ้มขนาดนั้น โทรมฉิบหาย บอกว่าเป็นคนไร้บ้านยังน่าเชื่อกว่าเลย”

อดคิ้วกระตุกหน่อยๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินคำนินทาเหมือนเกลียดกันมาสิบชาติ แต่ผมก็ยังทำหน้าง่วงอ้าปากหาวไม่สนใจต่อไป ใจคิดเพียงว่าเมื่อไหร่กาแฟที่สั่งจะได้เสียที ผมจะได้ไสหัวไปจากตรงนี้ ไม่ต้องโดนสายตาหลายคู่จับจ้องเหมือนเป็นตัวสกปรก

“ไอ้ห่านี่...ไปว่าเขาอย่างนั้น เดี๋ยวเขาได้ยินก็มีเรื่องหรอก”

เออ...รู้ตัวสักที

“ไม่ได้ยินหรอกน่า”

โทษนะน้อง...พี่ไม่ได้หูหนวก

“ไม่ได้ยินก็ไม่ควรนินทาโว้ย ไปเร็วๆ เลย เดี๋ยวก็โดนพี่ที่กองประกวดแดกหัวหรอก”

อ๋อ...ที่แท้ก็เด็กปีหนึ่ง ว่าแต่หน้าแบบนั้นได้ประกวดกับเขาด้วยเหรอวะน่ะ

ผมส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความอ่อนใจ ได้แต่หวังว่าน้องคณะตัวเองจะไม่ส่งคนหน้าตาแบบไอ้เด็กนั่นไปทำให้คณะอับอายขายขี้หน้า เห็นแบบนี้ผมก็เคยเป็นเดือนคณะมาก่อนนะ ถึงไอ้เด็กนั่นจะด่าแบบนั้น แต่ตำแหน่งรองเดือนมหา’ลัยน่าจะการันตีได้พอสมควรว่าผมเคยดูดีขนาดไหน

อืม...เคย

มองสภาพตัวเองในกระจกของร้านกาแฟแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด

หัวฟูๆ กับหนวดเคราเฟิ้มเพราะขี้เกียจโกนนี่คงปิดบังความดูดีของผมไปจนหมดแล้ว ไหนจะขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้านี่อีก แล้วอะไรคือท้องแบนๆ นุ่มนิ่มกับแขนที่ไร้ซึ่งกล้ามเนื้อ หมดสภาพเดือนคณะที่เคยขึ้นไปถอดเสื้อโชว์หุ่นฟิตปั๋งบนเวทีเสียสนิท ตอนนี้สภาพใกล้เคียงกับเต้าหู้ยี้เต็มทน จับตรงไหนก็อ่อนนุ่มปวกเปียก ทุเรศตัวเองก็ทุเรศ แต่จะให้ลุกขึ้นออกกำลังกายก็ขี้เกียจ

“คุณหมอเจไดคะ กาแฟได้แล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายกัน ในเมื่อชีวิตติดอยู่กับโรงพยาบาลแบบนี้ ถามว่ามีใครบังคับหรือเปล่าก็ไม่ ทุกอย่างผมเลือกเองทั้งนั้น คิดแล้วก็เครียด เครียดแล้วก็ต้องดูดกาแฟให้หายง่วง

‘หมอเจได’ คือชื่อที่ใครหลายๆ คนใช้เรียกผม จำได้ว่าตอนจบใหม่ๆ แล้วได้เข้ามาทำงาน ได้มีห้องตรวจเป็นของตัวเองครั้งแรก ผมดีใจจนเนื้อเต้น เพราะในที่สุดก็ทำตามความฝันของตัวเองสำเร็จ ผมทุ่มเทให้กับการรักษาคนไข้จนลืมเรื่องอื่นๆ ไปจนหมด ทั้งเลิกเที่ยว เลิกออกกำลังกาย เลิกมันหมดทุกอย่าง ชีวิตผูกติดอยู่กับงานที่ตัวเองเลือกเพียงอย่างเดียว

แล้วตอนนี้เหรอ...

‘นายแพทย์อนาคิน’

ตามองป้ายชื่อประจำตัวด้วยความว่างเปล่า เพิ่งนึกได้เมื่อผ่านมาสามสี่ปีหลังทำงานว่าตัวเองแทบไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต ไฟที่มีให้การทำงานในตอนแรกมอดดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมยังคงตั้งใจรักษาคนไข้ ยังคงฝืนยิ้มไม่ให้คนไข้กลัวนักแม้หน้าตาโทรมๆ นี่จะไม่เอื้อเท่าไหร่ ผมเคยคิดว่าแค่ทำงานเลี้ยงครอบครัวให้พ่อแม่ภูมิใจก็พอ อย่างอื่นช่างหัวมัน ผมไม่ได้ต้องการอะไรเสียหน่อย

แต่สุดท้าย...อะไรบางอย่างก็ยังขาดหายไปอยู่ดี

ผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้สิ่งที่หายไปมันจำเป็นกับตัวเองตรงไหน แล้วก็นั่นแหละ...ช่างหัวมันเหมือนเคย คิดแล้วก็เหนื่อยจนต้องก้มหน้าลงเพื่อพักสายตา แต่เมื่อเห็นรายชื่อคนไข้ในความดูแลที่ยาวเป็นแถบ แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแย่ลงซะงั้น

อยากย้อนกลับไปตอนเรียนมหาลัย...ไม่สิ...ต้องบอกว่าตอนมัธยม อย่างน้อยชีวิตก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนี้

จะว่าไปไอ้เด็กสองคนนั้นที่นินทาผม...

เพิ่งจะนึกออกว่ามันใส่ไทด์ของคณะแพทย์...

หึ...

จบมหา’ลัยเมื่อไหร่ เดี๋ยวมึงรู้เลย!










“เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณหมอ”

ไม่เจอได้ไหม...

“เจอกันครับ”

ผมฉีกยิ้มให้คุณพยาบาลพอเป็นพิธีแม้ไม่รู้ว่าเธอจะเห็นหรือเปล่า จากนั้นก็รีบสะพายกระเป๋าประจำตัวแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเตียงนอน และอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการเดินไปขึ้นรถโดยไม่ต้องโดนเรียกตัวกะทันหัน

นั่นไง! ขอแค่ได้ออกประตูนั้นไปก็จะไม่มีอะไรมาฉุดรั้งผมไว้ได้อีก...

มือที่กำสายสะพายกระเป๋ากำแน่นขึ้น ขณะที่มืออีกข้างดึงปีกหมวกให้ปิดใบหน้ามากกว่าเดิมโดยตั้งใจ ผมรีบสาวเท้าเดินให้ไวขึ้น อีกนิดเดียว...

“คุณหมอเจไดครับ”

“…”

“คุณหมอครับคุณหมอ” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้รอยยิ้มที่เกือบจะมีเลือนหายไปกลางอากาศ

ผมหยุดเท้าทั้งสองข้างก่อนจะถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งแล้วหันกลับไปมองคนเรียก บุรุษพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าจำไม่ผิดหมอนี่น่าจะชื่อตูน ตาม ตาน อะไรสักอย่าง ผมเคยคุยด้วยอยู่ไม่กี่ครั้ง และดูเหมือนแต่ละครั้งจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

“ว่าไงครับ”

“ท่านผอ.ฝากบอกว่าวันนี้จะกลับไปทานข้าวด้วยนะครับ”

“…”

“ผมขอตัวนะครับ” นายตูนตานตามอะไรสักอย่างยกมือไหว้ผมอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปในทันที ทิ้งให้ผมยืนทำหน้าตายอยู่คนเดียวที่ด้านหลัง

สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้...

นอกจากตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ที่เคยโดนเรียกไปคุยด้วยและบอกให้ตั้งใจทำงาน คนคนนั้นก็ไม่เคยเรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวอีกเลย ถึงจะบอกว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย แต่สำหรับ ‘พ่อลูก’ ที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันมาสามปีมันก็ออกจะแปลกไปหน่อย ยิ่งให้คนมาบอกเหมือนจะให้ผมรอกินข้าวด้วยแบบนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่...

ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงได้รู้เอง

เมอซิเดสสีดำคันโปรดที่เคยดีใจนักหนาตอนได้ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นอีกแล้ว วินาทีนี้อยากจะหายตัวกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วนอนหลับแบบไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย อย่างน้อยก็ขอให้ดวงตาช้ำๆ นี่ดีขึ้นสักนิดก็ยังดี

ถนนที่คุ้นเคย...

สองข้างทางที่คุ้นเคย...

ร้านค้าที่คุ้นเคย...

ทำไมชีวิตคนเราถึงต้องติดอยู่กับอะไรที่ซ้ำซากจำเจแบบนี้นะ

เลือกเองไม่ใช่เหรอ

เออ...รู้แล้วน่า ย้ำตัวเองจัง

รถก็ยังติดเหมือนเคย...

นั่นไง เลขหนึ่งร้อยยี่สิบสีแดงขึ้นมาอีกแล้ว

ระหว่างที่รถติดไฟแดงอยู่คันหน้าสุด ผมทอดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความเบื่อหน่าย มองทั้งเสาไฟต้นเดิม ต้นไม้ต้นเดิม ทางม้าลายที่เดิม ตึกหลังเดิม พยายามมองหาอยู่นานว่ามีอะไรที่ไม่ใช่สิ่งเดิมๆ บ้าง คำตอบคือ...ไม่มี

ส่วนคนพวกนี้แม้หน้าตาจะไม่เหมือนเดิม แต่เพราะผมไม่เคยจำหน้าได้อยู่แล้ว คำกำจัดความว่า ‘เดิมๆ’ เลยถูกใช้กับพวกเขาเช่นกัน

เมื่อไหร่จะไฟเขียวเสียที...

69

68

67

66

65

64…

ทันทีที่ละสายตาออกจากตัวเลขสีแดง ผมถูกร่มคันหนึ่งดึงดูดสายตาไปจนหมด...

มันเป็นร่มสีดำที่ดูตัดกับท้องฟ้าสีสว่างในเวลานี้โดยสิ้นเชิง อดคิดไม่ได้ว่าคนถือคงกลัวแดดน่าดูถึงได้เอาร่มมากางในเวลาข้ามถนนแบบนี้ แต่แล้วความคิดก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อไล่สายตาลงมาแล้วพบว่าเขาเป็นผู้ชาย...

61

60…

วินาทีนั้นผมเผลอจ้องมอง ‘เจ้าของความแตกต่าง’ นั่นโดยไม่รู้ตัว และในตอนนั้นเองที่ผมถูกดูดเข้าไปในห้วงอวกาศสีดำสนิทไร้ก้นบึ้ง...ยามเมื่อดวงตาสีดำสนิทบนใบหน้าสมบูรณ์แบบหันมาสบกันพอดี

หกสิบวินาทีที่ผมถูกดึงเข้าไป...

และหกสิบวินาทีที่ผมหาทางออกไม่เจอ...

เช่นเดียวกับที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน


————————-




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2018 15:57:08 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #2 เมื่อ06-04-2018 16:05:59 »

หมดกัน หมอเจไดของคนแก่ ไมหมดไฟเสียแล้วล่ะ  :z3:

ออฟไลน์ คุณจัตวา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #3 เมื่อ06-04-2018 16:07:34 »

 :o8:ภาษาสวยจังดลย

ออฟไลน์ Guitar.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #4 เมื่อ06-04-2018 19:07:43 »

ใครเน้ออ ที่ทำให้คุณหมอสนใจได้ขนาดนี้ :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #5 เมื่อ06-04-2018 20:17:59 »

ใครกันนะ?

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #6 เมื่อ07-04-2018 13:24:45 »

น้องภามมมม :กอด1:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #7 เมื่อ07-04-2018 17:44:23 »

ปูเสื่อรอค่า  :katai2-1:

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #8 เมื่อ07-04-2018 18:39:02 »

เดี๋ยวนะ ภามนี่คือคนเดียวกับที่เราคิดใช่มั้ยยยยยย นุ้งภามมมมม
รออ่านเลยค่า  :m3:

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #9 เมื่อ07-04-2018 21:32:23 »

ภามเจได มาแล้ว   :m3:
หรือว่าเจได จะตกหลุมรักน้องภามตั้งแต่โดนกอดรัดฟัดเหวี่ยงเมื่อครั้งโน้นนนนน
เหมือนตั้งแต่พี่ภูน้องเก้าจะได้สมหวังในรักไปแล้ว อีกนานเลยกว่าภามกับเจไดจะมาพบกันอีก
หวังว่าจะมีน้องเก้ากับโซมารับเชิญให้หายคิดถึงนะคะ จะได้ครบแกงค์ ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
« ตอบ #9 เมื่อ: 07-04-2018 21:32:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #10 เมื่อ07-04-2018 21:47:54 »

มารออ่าน

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 889
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #11 เมื่อ08-04-2018 09:49:57 »

มารออ่าน :katai5:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
«ตอบ #12 เมื่อ12-05-2018 19:21:12 »

-1-



ผมมั่นใจว่าตัวเองฉลาดและมีความจำเป็นเลิศ...

บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ติดนิสัยหน้าด้านหลงตัวเองมาจากใคร แม้จะมีเพื่อนสนิทประเภทนั้นอยู่คนหนึ่งก็ตาม และด้วยความที่ผมฉลาดแถมยังมีความจำเป็นเลิศ มันเลยทำให้ผมค่อนข้างจะจดจำคนที่สำคัญกับตัวเองได้แม่นยำ และหากให้พูดถึงคนสำคัญแล้ว ผมขอแบ่งออกเป็นสองประเภท

หนึ่งคือประเภทสำคัญกับชีวิต ประมาณว่าเคยทำอะไรดีๆ ให้หรือผมรู้สึกดีๆ ด้วย เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิท อะไรแบบนั้น ส่วนอีกประเภทคือจำฝังใจ ฝังใจแบบลืมไม่ลง คนประเภทนี้ผมนึกออกอยู่แค่คนเดียว เคยเจอเมื่อนานมาแล้ว คิดว่าน่าจะหกเจ็ดปีได้มั้ง เราเจอกันแค่ครั้งเดียว ไม่สิ...

ถ้านับเมื่อสามสี่ชั่วโมงก่อนด้วยก็เจอกันสองครั้งแล้ว

ครั้งแรกผมเจอเขาเพราะไปงานวันเกิดเพื่อนสนิทชื่อเก้าที่บ้านมัน ตอนนั้นผมกำลังดีใจที่เจอเพื่อนซึ่งห่างหายกันไปนาน แต่ในระหว่างที่แกล้งมันแล้วกำลังจะวิ่งหนี ผมดันไปสบตากับใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้าอย่างจัง

‘ภาม! จับตัวมันไว้’

ดวงตาคู่นั้นตรึงขาของผมให้หยุดอยู่กับที่ มันลุ่มลึกและว่างเปล่าในแบบที่ผมไม่เคยเห็น รู้ตัวอีกทีก็ถูกรวบตัวเข้าไปกอด ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด จวบจนเมื่อใครคนหนึ่งกระซิบบอกให้ปล่อยเขาถึงยอมปล่อย ผมวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวเพื่อนไล่ทันแต่เป็นเพราะขายขี้หน้า!

กูเล่นกล้ามมาตั้งนาน มึงตัวผอมนิดเดียว ถึงจะสูงกว่าแต่ก็ไม่ควรสู้แรงไหวปะวะ!

อย่าว่าแต่ดิ้นไม่หลุดเลย เกิดมาผมไม่เคยโดนผู้ชายกอดแบบนั้นมาก่อน แล้วอย่างนี้จะให้เฉยอยู่ได้ยังไง คนชื่อ ‘ภาม’ ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำว่าเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่งในทันที

จะว่าไปทั้งหน้าตาทั้งหุ่นที่เห็นเมื่อวาน...ทำไมพัฒนาไปในทิศทางตรงข้ามกับกูนักวะ!

แค่มองผ่านๆ ยังรู้เลยว่าคนที่ผมเจอเมื่อวานมันตัวสูงและหุ่นดีขนาดไหน แล้วลองย้อนกลับมามองตัวเอง เอาแค่ความตุ้ยนุ้ยของพุงก็แพ้ขาดแล้ว เมื่อก่อนผมมีกล้ามอยู่บ้างยังสู้เขาที่ตัวผอมแห้งไม่ไหว คราวนี้ไม่ตอบสืบเลยว่าถ้าโคจรกลับมาเจอกันอีกจะเป็นยังไง

ก๊อก ก๊อก

“เจได มากินข้าวได้แล้วลูก คุณพ่อมาแล้วนะ”

เวร...จากที่ว่าจะนอนให้เต็มที่ กลายเป็นคิดแต่เรื่องเจ้านั่นจนไม่ได้นอนซะงั้น

“เจได...”

“ครับแม่” ผมตะโกนตอบแม่เสียงยานคาง ขาก้าวเดินไปที่ประตูแบบอืดอาดยืดยาด แล้วก็ได้เห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของคุณแม่คนสวยตามคาด

“จะสามสิบแล้วนะเรา ยังทำตัวเป็นเด็กไปได้” คนสวยบ่นเบาๆ แต่ก็ยอมลูบหัวผมที่เอาหน้าเข้าไปซุกที่ซอกคอท่านแบบอ้อนๆ

“อย่าย้ำนักสิ ผมยังไม่อยากแก่นะ” ถึงมันจะเป็นความจริงที่อายุใกล้จะถึงเลขสามเต็มทีแล้วก็เถอะ

“ไม่ต้องกลัวแล้วมั้ง สภาพเราก็สี่สิบเข้าไปแล้ว” คนสวยพลิกหน้าผมไปมาเหมือนเป็นลูกหมาลูกแมวแล้วบ่นต่อ “ดูสิ...แม่บอกให้โกนหนวดโกนเคราให้เรียบร้อย คนไข้ไม่คิดว่าเราเป็นโจรบ้างหรือไงเนี่ย”

“ผมไม่มีเวลานี่นา กลับมาบ้านหัวถึงหมอนก็อยากนอนจะแย่แล้ว”

“เรานี่ไม่เหมือนหนูเก้าเลย เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งเอาของฝากมาให้แม่ รายนั้นสะอาดสะอ้านหน้าตาน่าเอ็นดูไม่ต่างจากตอนปีหนึ่งเลยสักนิด”

“แม่อย่าพูดถึงมันนะ!” ผมหน้าตึงเมื่อได้ยินชื่อไอ้เพื่อนเวร หนอย...มึงหายไปตั้งหลายเดือน ของฝากก็ไม่มีให้ แถมยังมาแย่งชิงความรักแม่กูไปหมดเลยนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าไอ้กระต่ายจิตใจผิดปกติอย่างนั้นทำไมใครๆ ถึงได้รัก หมั่นไส้เว้ย!

“ตายแล้วเจได! ทำไมเรียกเพื่อนว่ามัน หนูเก้าน่ารักจะตาย” คนสวยที่เริ่มกลายเป็นแม่มดยื่นมือมาบีบปากผมแรงๆ เป็นการทำโทษเหมือนตอนเด็กๆ นี่ไง...ดูซะก่อนว่าไอ้เก้ามันน่าหมั่นไส้ขนาดไหน มันทำให้ผมโดนทำโทษอีกแล้ว “แม่ไม่คุยด้วยแล้ว รีบๆ ลงมาทานข้าวเดี๋ยวนี้เลย อย่าปล่อยให้คุณพ่อรอนาน”

จะว่าไปพอได้ยินแม่พูดถึงไอ้เก้าขึ้นมาแล้วอดคิดถึงมันไม่ได้ ถึงจะปากร้ายแกล้งกันเป็นบ้าเป็นบอมาหลายปี แต่ผมกับมันรวมถึงเพื่อนอีกคนที่ชื่อโซโล่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่ง ไอ้สองคนนั้นมันเรียนคณะเดียวกัน ขณะที่ผมเรียนคณะแพทย์อยู่คนเดียว ปกติก็แทบไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว คิดว่าพอจบจะได้เจอก็ยังไม่ได้เจออีก เพราะกว่าจะไปใช้ทุน ไปเรียนต่อสารพัด ได้เจอกันปีละครั้งสองครั้งก็ถือว่าเก่งแล้ว ที่สำคัญคือพวกมันมีแฟนตั้งแต่อยู่มหา’ลัย พอเรียนจบคนหนึ่งเลยไปทำงานอยู่อังกฤษ อีกคนไปอยู่ภูเก็ต ทิ้งให้ผมเหงาๆ เป็นคนไม่มีใครอยู่คนเดียว พูดแล้วเครียด...

ในฐานะที่เคยเป็นรองเดือนมหา’ลัย ผมย่อมมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาหาในช่วงนั้น แล้วก็ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่าผมเคยมีแฟนมาไม่น้อยกว่าห้าคน...แต่ไปไม่รอดสักคน พอเริ่มหมดช่วงสีสัน ต้องมาจริงจังกับชีวิตแทน รู้ตัวอีกทีก็เลิกสนใจเรื่องแบบนั้นไปแล้ว

บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘อะไรที่ขาดหายไป’ ของผมมันอาจจะหมายถึงคนข้างกายหรือเปล่านะ แต่โตมาจนจะสามสิบอยู่แล้วยังไม่เห็นเจอคนถูกใจเสียที แถมผมยังขี้เกียจเกินกว่าจะไปตามหาอีก เพราะงั้น...ช่างหัวมันเถอะ

“อยู่แบบนี้ก็สบายใจดีอยู่แล้ว”

เหรอ...

“ช่างหัวมัน”

เหรอ...

“ช่างแม่งงงงง”

ไม่จริงใจเลยให้ตายเถอะ...

ผมขยี้หัวยุ่งๆ ของตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ วินาทีนี้คงต้องช่างมันไปก่อนจริงๆ เพราะขืนไปช้ากว่านี้นอกจากจะโดนแม่ตีปากแล้วท่าทางจะโดนพ่อเตะเข้าให้ด้วย ขืนไอ้เพื่อนสองตัวรู้ว่าไอ้เจไดอายุเกือบสามสิบคนนี้ยังโดนพ่อแม่ลงโทษเหมือนเด็กสิบขวบอยู่ พวกมันต้องล้อผมไปอีกสิบปีแน่ เชื่อเถอะ

“ไม่ลงมากินพรุ่งนี้เลยล่ะ”

“ลงมาก็ดีแล้วน่า...แล้วนี่พ่อช่วยรักษามาดผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนดังหน่อยจะได้ไหม” ผมชักสีหน้าใส่คนเป็นพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เห็นที่โรงพยาบาลหัวเรียบหน้ายิ้มแต่งตัวเนี้ยบ ลองมาดูที่บ้านก่อนเถอะ ทั้งหัวฟู ตาโบ๋ แถมยังใส่กางเกงตัวเดียวเดินไปเดินมารอบบ้าน ไม่เกรงใจพุงย้วยๆ เลยตาลุงเอ๊ย!

“ฉันยังเป็นแค่ที่บ้าน แต่แกนี่เคยคิดจะรักษาหน้าบ้างไหม ทั้งที่บ้านทั้งที่โรงพยาบาลเหมือนกันหมด” ตาลุงเอาตะเกียบชี้หน้าผมแล้วบ่นจนสำลัก ลำบากคนสวยต้องหยิบแก้วน้ำส่งไปให้

“พ่ออย่าบ่นมากน่า บอกมาตรงๆ เลยดีกว่าว่ามีเรื่องอะไร” พูดง่ายๆ คือเข้าเรื่องเถอะก่อนจะตีกันตาย

“เจได...”

“หยุดเลย” ผมยกมือทำรูปกากบาทจนคนที่กำลังจะพูดติดสถานะมึนงงไปชั่วขณะ “อย่ามาทำหน้าตาจริงจังทั้งที่นั่งพุงย้อยอยู่ได้ปะ ไม่มีความเข้าเลยลุง”

“ไอ้เจได!”

“หยุดเลยทั้งพ่อทั้งลูก ให้แม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวโดยไม่ทะเลาะกันสักวันจะได้ไหมเนี่ย”

ผมกับพ่อสะบัดหน้าไปคนละทาง แต่ก็ยังยอมเงียบตามคำประกาศิตของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน เราใช้เวลากินข้าวด้วยกันนานพอสมควรโดยมีคนสวยคอยหาเรื่องมาชวนคุย แม้ส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้นเรื่องงานที่โรงพยาบาลก็ตาม จวบจนกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อถึงได้หันไปหยิบเอกสารอะไรสักอย่างส่งมาให้

“อ่ะ”

เมื่อถึงเวลาจริงจังผมก็ไม่เล่นลิ้นอะไรอีก มือยื่นไปรับเอกสารที่พ่อส่งมาให้แต่โดยดี แต่ก่อนจะได้อ่านรายละเอียดสายตาดันไปโฟกัสอยู่ที่หัวข้อด้านบนจนทำให้ต้องขมวดคิ้วอยู่นาน

“ลากิจส่วนตัว…”

“ใช่” พ่อรับคำง่ายๆ

“เดี๋ยวนะ” อ่านๆ ดูแล้วนี่มันชื่อกูไม่ใช่เรอะ

“ฉันจะเนรเทศแก” คนแก่พูดออกมาง่ายๆ แล้วยกมือเกาหัวแกรกๆ “เห็นแล้วรำคาญลูกตา ไปอยู่ไกลๆ สักเดือนเถอะ”

“ผมไม่ได้มีกิจอะไรจะลานะ!” ผมเสียงดังด้วยความลืมตัว อยากจะพุ่งตัวไปเขย่าตาแก่แรงๆ สักรอบ แต่หางตาเหลือบไปเห็นคนสวยขมวดคิ้วเลยได้แต่นั่งลงแล้วพูดเสียงค่อย “พ่อทำงี้ได้ไงเนี่ย”

“อย่าทำเป็นพูดไปหน่อยเลยไอ้ลูกหมาสกปรก”

โอ้โหพูดมาได้...แคะขี้ตาตัวเองก่อนไหม

“แกสะสมวันลาไว้จนเต็มแล้ว ถ้าเอาไปบวกกับวันลากิจที่ฉันให้ก็พักได้ตั้งสองเดือน เอาไปใช้ให้มันหมดๆ ไปเถอะ”

“แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลยไม่ใช่หรือไง” ผมขมวดคิ้วมองหน้าพ่อด้วยความไม่เข้าใจ ถึงจะมีฐานะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่พ่อไม่เคยใช้อำนาจในทางที่ผิดแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการมาบังคับหมอที่ไม่อยากหยุดงานให้หยุดงานแบบนี้เนี่ย

“คุณคะ เลิกกวนลูกแล้วพูดความจริงสักที” คนสวยตีแขนตาลุงแรงๆ หนึ่งที สาบานได้ว่าผมเห็นตาลุงแอบเบะปาก

“ผมไม่ได้กวน”

“คุณ…”

“แค่ให้มันพักงานไปค้นหาอะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง ที่พูดก็ชัดแล้วไม่ใช่หรือไง” พ่อพูดแค่นั้นแล้วลุกหนีเดินขึ้นไปชั้นบน

เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นล่ะ...ห่วงแทบตายยังไงถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ ไม่มีทางยอมพูดออกมาตรงๆ ไอ้เก้าเคยบอกผมว่ามันเป็นลักษณะนิสัยของคน ‘ซึน’ ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไรแต่ดูเหมือนครั้งนี้พ่อจะซึนอีกแล้ว

“พ่อของลูกนี่นะ...” แม่ถอนหายใจหน่ายเหมือนจะเหนื่อยใจกับพ่อ กำลังจะพยักหน้าเห็นด้วยอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าวินาทีถัดมาท่านหันมามองผมด้วยแววตาแบบเดียวกัน

“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ”

“กำลังคิดว่าพ่อลูกคู่นี้ยิ่งแก่ยิ่งเหมือนกันน่ะสิ”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคนสวย” มาปรักปรำกันแบบนี้ได้ไง

“หยุดเถียงแล้วมานั่งคุยกับแม่ก่อนจะได้ไปนอน”

สีหน้าจริงจังแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักจากคนใจดีทำให้ผมหงอลงเล็กน้อย ลองเป็นแบบนี้ขืนกวนตีนอะไรอีกได้โดนตีหน้าแหกแน่

“แม่รู้ใช่ไหมว่าทำไมพ่อถึงทำแบบนั้น” ผมเริ่มเปิดบทสนทนาก่อน

“ลูกก็รู้ดีว่าพ่อรักลูกมากขนาดไหน” คนสวยดึงมือผมไปกุมไว้ที่ตัก แววตาอ่อนโยนจ้องมองมาเหมือนจะบอกให้ผมหุบปากที่กำลังหาวก่อนจะโดนฟาด “หยุดทำนิสัยเหมือนพ่อสักที”

“ทำอะไร”

“อยากเดินขึ้นห้องใช่ไหมตอนนี้”

ผมไม่ตอบคำตอบเพราะมันเป็นจริงตามที่แม่ว่า ผมกับพ่อเหมือนกันตรงที่เราไม่ชอบเรื่องกดดันแล้วก็ไม่ชอบอธิบาย เวลาใครมาทำหน้าจริงจังใส่ถ้าไม่ใช่เรื่องงานขอเลือกเดินหนีดีกว่า จะว่ายังไงดี...แค่ต้องรับมือกับอะไรต่อมิอะไรตอนทำงานเรื่องปวดหัวก็มีมากอยู่แล้ว หากต้องเจียดความเครียดไปใช้กับเรื่องอื่นอีกคงเป็นบ้าตายเข้าสักวัน

“ถึงพ่อจะบอกให้บังคับลูกแค่นั้นพอ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ แต่แม่รู้ดีว่าคนขี้เกียจอย่างเจไดไม่มีทางคิดหาคำตอบของเหตุผลที่พ่อทำแบบนั้นแน่”

รู้จริง...

“อย่าคิดว่าพ่อกับแม่ไม่รู้เรื่องที่ลูกเบื่อหน่ายกับชีวิตจนทำตัวเหมือนหุ่นยนต์มากขึ้นทุกวัน”

“แต่เวลาผมอยู่กับแม่...”

“ไม่ว่าจะเวลาไหนแม่ก็ไม่อยากลูกเป็นแบบนั้น”

ผมถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อโดนรู้ทันไปหมด ถ้าให้เดาเรื่องที่แม่รู้ว่าผมทำตัวยังไงตอนอยู่ข้างนอกกับคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวคงมาจากพ่อนั่นล่ะ

“ลองถ้าแม่ไม่มาพูดเราคงใช้เวลาเกือบสองเดือนที่พ่อให้หมกตัวอยู่แต่ในบ้านแน่ จริงไหม” แม่ส่ายหน้าหน่ายขณะยกมือขึ้นลูบหัวผมแบบที่ชอบทำตอนเด็กๆ “เจได...ลูกยังไม่สามสิบเต็มเลยนะ อย่าเอาแต่คิดว่าช่างมันไปหมดทุกเรื่องสิ”

“ผมหมดไฟแล้ว” ผมยอมรับเสียงค่อย “มันเหมือนชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเหลืออยู่เลย แต่ว่า...ที่ผมตั้งใจทำงานรักษาคนไข้อยู่มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับแม่”

“ในฐานะของแพทย์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของคนไข้ เรื่องนั้นแม่ไม่เถียง แต่ในฐานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราคือชีวิตของลูกนะ”

“ชีวิต...”

“แม่ไม่ได้หมายถึงการที่ลูกมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพียงอย่างเดียว... พ่อแม่ลูกหรือครอบครัว มันไม่ใช่แค่หมอกับคนไข้นะเจได”

“แล้ว...”

แม่คงสังเกตเห็นความสับสนในดวงตาของผม ท่านถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนคิดไว้อยู่แล้ว

“ถ้าลูกยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าชีวิต ลองออกไปตามหามันดูบ้างดีไหม บางทีอาจจะได้เจอกับอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้นะ” คนตรงหน้าส่งยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน “แม่รู้ดีว่าชีวิตลูกผูกติดอยู่กับคำว่าอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันกับพ่อของลูก คราวนี้ลองใช้เวลาที่มีไปหาคำตอบดูเถอะว่าชีวิตของลูกอยากทำแค่นี้จริงๆ หรือเปล่า ไปทำอะไรก็ได้ที่ใจอยากทำ ไปไหนก็ได้ที่ใจพาไป...เสร็จแล้วค่อยกลับมา”

“…”

“เชื่อเถอะว่าลูกต้องได้คำตอบแน่”

ผมเดินกลับขึ้นห้องด้วยสติที่ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ คงเพราะจิตใจยังพะวงถึงเรื่องที่แม่พูดให้ฟังไม่เลิก งงเหมือนกันที่ตัวเองตอบคำถามง่ายๆ อย่างคำถามที่ว่าชีวิตคืออะไรไม่ได้ ผมรู้ดีว่าตัวเองเข้าขั้นอาการหนัก หนักจนถึงจุดที่คิดว่าทุกวันนี้มีหน้าที่แค่อยู่ไปวันๆ ก็พอแล้ว มันไม่มีเรื่องราวอะไรเรียกร้องความสนใจได้มากมายเหมือนสมัยเรียนที่มีเพื่อนอยู่รอบตัว ไม่มีใครชวนไปไหนมาไหนเวลาเบื่อ

เพื่อนสนิทของผมต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง และพวกมันก็มีความสุข

ผมก็มีชีวิตของตัวเอง แต่แปลกที่มันน่าเบื่อหน่าย

เราต่างกันตรงไหนนะ

ครืด ครืด

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดความคิดทำให้ผมได้สติ มือรีบคว้ามันมามองชื่อคนโทรเข้าที่โชว์อยู่บนหน้าจอแบบเหม่อๆ

“ว่า”

[แม่มึงโทรมาบอกให้กูช่วยไล่มึงออกจากบ้าน]

เสียงอารมณ์ดีจากปลายสายทำให้เส้นเลือดที่สมองผมเต้นตุบๆ ด้วยความฉุนเฉียว

“ไม่ต้องมาซ้ำเติมกู”

[ไม่ซ้ำเติมได้ไง นี่กูลากไอ้โซมาด้วยนะเนี่ย มึงไล่มันหน่อยดิไอ้โซ] ไอ้เพื่อนเวรทำเสียงกวนตีนใส่ผมแล้วเงียบหายไปเหมือนกำลังตีกับใครอยู่ ไม่นานนักเสียงทุ้มของเพื่อนสนิทอีกคนก็ดังขึ้นมาจากในสาย [ออกจากบ้านไปได้แล้ว]

“นี่มึงเป็นลูกไอ้เก้าหรือเปล่าเนี่ย เชื่อฟังมันจังวะ แล้วนี่ไปอยู่ด้วยกันได้ไง”

อย่างที่บอกว่าพวกมันสองคนแยกกันอยู่คนละที่ ไอ้เก้ามันอยู่อังกฤษกับแฟนมัน ส่วนไอ้โซเทียวไปเทียวมาหลายที่แต่โดยมากจะอยู่ภูเก็ตกับแฟนเหมือนกัน มีแค่หมาหัวเน่าอย่างผมที่ยังติดหนึบอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วทำไมวันนี้พวกมันถึงไปสุมหัวกันได้

 [กูกลับมาพักผ่อนที่ไทยเลยนั่งเครื่องมาหาไอ้โซ] ไอ้เก้าแย่งโทรศัพท์กลับไปพูด เหมือนผมจะได้ยินเสียงหมาโซบ่นพึมพำบอกว่าเอาแต่ใจอยู่ไม่ไกลนัก

แหม...พวกมึงก็เอาแต่ใจทั้งคู่นั่นล่ะ

“ไม่มาเยี่ยมกูบ้างหรือไง”

[กูไปแล้วแต่มึงทำงาน แม่มึงบ่นให้ฟังใหญ่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำท่าทางคล้ายหุ่นยนต์มากขึ้นทุกวัน ได้ข่าวว่ากล้ามหายเคราเฟิ้มลงพุงเลยไม่ใช่เหรอ ตลกว่ะ]

“ถ้าจะโทรมาตอกย้ำกูก็วางไปเลย”

[อะไรวะ...ไอ้เจไดคนเก่าหายไปไหนแล้วเนี่ย ไม่สนุกเลย น่าเบื่อ]

บอกตรงๆ ว่าตอนนี้จำแทบไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเจไดคนเดิมเป็นยังไง ผมรู้แค่ไอ้เก้ายังคงเป็นคนไม่ปกติที่มีความคิดความอ่านไม่เหมือนชาวบ้านตั้งแต่เจอกันตอนปีหนึ่งจวบจนมาถึงทุกวันนี้ ส่วนไอ้โซก็ยังชอบทำหน้าง่วงเหมือนเดิม ต้องถามว่าทำไมพวกมันถึงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดมากกว่า

“ที่มึงโทรมานี่ต้องการอะไรกันแน่” ผมถามออกไปตรงๆ มั่นใจว่าคนอย่างมันคงไม่ได้คิดโทรมากวนตีนเล่นแบบที่ทำอยู่หรอก เพราะถ้าจะทำแบบนั้นมันจะไม่โทรมาในเวลาที่รู้ว่าผมต้องการพักผ่อนอย่างตอนนี้แน่

[มันเป็นห่วงมึง...ไอ้เหี้ยโซ เอาโทรศัพท์มา!]

เสียงอึนๆ ของไอ้โซทำให้ผมยิ้มออก ท่าทางมันคงแอบแย่งโทรศัพท์ไปตอนที่ไอ้เก้าไม่ทันระวังตัว

“กูไม่เป็นไร”

[ฟังจากที่แม่มึงบอกแล้วไม่น่าใช่]

ผมได้ยินเสียงไอ้เก้าโวยวายอีกสองสามประโยคก่อนจะเงียบหายไป ดูท่าคงมีใครหาอะไรไปอุดปากมันได้เสียที

“แม่กูบอกอะไรพวกมึง”

[ไม่ต้องรู้หรอก...แล้วนี่จะไปหรือเปล่า]

“ไปไหน”

[ไปผจญภัยไง]

“พูดเป็นการ์ตูนเลยนะมึง” ผมหัวเราะ สมองโล่งขึ้นนิดหน่อยเมื่อได้คุยกับเพื่อน

[ขนาดเสียงหัวเราะยังไม่เหมือนคนแล้ว รู้ตัวไหม]

มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ...

“ไม่รู้ดิ...มันเหนื่อยๆ ว่ะ” พอได้พูดว่าเหนื่อยแล้วก็เหนื่อยขึ้นมาจริงๆ เลย ผมหลับตาลงทั้งที่ยังถือโทรศัพท์คาหูอยู่ เพิ่งรู้ว่าตาสองข้างล้าขนาดไหนก็ตอนนี้เอง “ถ้าเป็นมึง...จะไปไหมวะ”

[…ถ้ากีตาร์ไปกูก็ไป]

“ลืมไปเลยว่ามึงตัวติดพี่กีล์” กีตาร์หรือพี่กีล์คือแฟนสุดรักสุดหวงของมัน ผมลืมไปเลยว่าไอ้นี่มันตัวติดกับพี่เขาเป็นปาท่องโก๋

[ไปเถอะ...]

“ไอ้โซ...”

[ถ้าพลาดโอกาสไปแล้วมึงอาจจะเสียใจทีหลังก็ได้นะ]

“…”

[อย่าให้...เติมเงินมือถือให้กูด้วย!]

จะบ้าตาย...กูกำลังจะอินอยู่แล้วเชียว เสียงตะโกนของไอ้คนผิดปกติดันขัดอารมณ์ไปหมด ขนาดไอ้โซยังถอนหายใจด้วยความหัวเสียเลยคิดดู

[เอาเป็นว่าถ้าอาทิตย์หน้าไปหาแล้วยังเจอมึงอยู่ที่บ้าน ไอ้เก้ามันบอกว่ามันจะเตะตูดมึงให้ช้ำเลย]

ขู่น่ากลัวฉิบหายเลยไอ้เพื่อนเวร!












หลังจากคิดไม่ตกอยู่หลายวัน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจทำตามคำแนะนำของทุกคนโดยการจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้ววางทิ้งไว้ตรงมุมห้อง ทุกวันพอกลับจากโรงพยาบาลผมจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงนั่งจ้องมันนิ่งๆ เพื่อถามใจตัวเองว่าจะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม และในเมื่อคำตอบไม่ได้เปลี่ยนไป...

วันหยุดวันแรกในรอบหลายปี คุณหมอเจไดยืนอยู่ที่ชานชาลาและกำลังรอรถไฟซึ่งไม่เคยนั่งมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต

ได้โปรดอย่าถามหาจุดหมายปลายทาง บอกตรงๆ ว่าในหัวตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากตัวขี้เกียจ...ขี้เกียจจนต้องคิดว่าที่ทำอยู่นี่เอาจริงแน่นะ เปลี่ยนใจกลับบ้านตอนนี้เลยดีกว่าไหม

“ดอกไม้ไหมคะ”

“ไม่เอา...ไปตรงอื่นไป สกปรกจริง”

ผมหันหลังไปมองโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินประโยคสนทนาไม่พึงประสงค์ดังขึ้นไม่ไกลนัก นั่นไง...เด็กตัวนิดเดียวจริงๆ ด้วย ถึงเธอจะดูมอมแมมแต่ก็ไม่ได้สกปรกถึงขนาดต้องไล่ไปเสียหน่อย คนเรานี่นะ

“น้อง พี่เอาห้าดอก” ผมกวักมือเรียกเด็กขายดอกไม้จนน้องรีบวิ่งมาหา รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กที่ไม่เคยรู้จักทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ ในใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเด็กตัวเล็กแค่นี้ถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

ถึงจะกลายเป็นคนหมดไฟจนเกือบจะเฉื่อยชาไปแล้ว แต่ผมก็ยังเป็นผู้ชายใจดีแถมยังสปอร์ตสุดๆ อยู่เถอะขอบอก โดยเฉพาะกับเด็กนี่ไม่ได้เลย วิญญาณคุณหมอเจไดเข้าสิงร่างทันที

“เท่าไหร่คะ” ผมถามน้อง

“ห้าสิบบาทค่ะ”

“อืม...พี่ให้หนึ่งร้อยแล้วน้องเก็บไว้ดีไหม”

“ถ้างั้นพี่เอาไปสิบดอกนะคะ” น้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แต่ผมส่ายหน้าแล้วหยิบดอกไม้มาแค่ห้าดอก

“พี่ให้ค่ะ เอาแค่นี้พอ”

“ไม่...ไม่ได้นะคะ” ใบหน้าเล็กๆ ส่ายไปมาจนเส้นผมกระจัดกระจาย ผมมองด้วยความงุนงง หรือว่าน้องกลัวว่าจะเป็นการเอาเปรียบลูกค้านะ “ถ้าดอกไม้ไม่หมดคุณแม่ไม่ให้กินข้าวแน่เลยค่ะ พี่ชายเอาไปสิบดอกได้ไหมคะ”

“…”

ดอกไม้สิบดอกถูกยัดเข้ามาในมือก่อนเธอจะวิ่งหายไปด้วยความรวดเร็ว ผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ไปจนลับสายตา ในวินาทีนั้นเองที่เพิ่งได้เห็นภาพผู้คนมากมายที่กำลังรอรถไฟ บางคนนั่งบีบนวดขาตัวเองอย่างอ่อนล้า บางคนนั่งขายของชิ้นเล็กๆ ที่มีราคาไม่กี่บาท บางคนใส่เสื้อผ้ามอซอนั่งขอเศษเงิน ในชีวิตของคนที่ไม่เคยลำบากมาก่อน ผมคาดเดาไม่ถูกเลยว่าพวกเขารู้สึกยังไง ทว่ายังไม่ทันได้ครุ่นคิดถึงเหตุผลอะไรต่างๆ ให้มากไปกว่านั้น รถไฟก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลาพอดิบพอดี

เอาเถอะ บางทีขากลับผมอาจจะได้รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ติดค้างอยู่ในใจยามมองภาพเหล่านี้...

ผมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและก้าวเท้าขึ้นรถไฟตามประสาคนไม่ค่อยคิดเยอะและไม่อยากคิดเยอะ รถไฟที่ผมนั่งเป็นรถไฟชั้นสองซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน ตอนที่ให้แม่จัดการเรื่องตั๋วให้ก็ลืมถาม ขนาดตอนขึ้นมาบนขบวนยังไม่หันไปมองป้ายเลย

ใจคิดแค่...ช่างมันเถอะ

พอเหมาที่มันก็ดีแบบนี้ล่ะนะ นั่งคนเดียวไม่มีใครมาเกะกะสายตาหรือชวนคุยให้รำคาญ ใจจริงผมอยากให้เขามาปูเตียงให้เลยด้วยซ้ำจะได้นอนยาว แต่ไม่รู้ว่าฟ้าสว่างแบบนี้เขาจะปูให้ไหม เอาไว้พนักงานเดินมาใกล้ๆ แล้วค่อยถามละกัน

ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดระยะทางตั้งแต่รถไฟยังไม่ออกจนตอนนี้ทิวทัศน์เริ่มมีแต่ต้นไม้แล้วก็ยังมองอยู่ เพิ่งรู้ตัวว่านอกจากจะเป็นคนขี้เกียจแล้วตัวเองยังเป็นคนเรื่องมากด้วย เพราะพอไม่ได้เอนตัวลงนอนเหมือนปกติผมกลับนอนไม่หลับซะงั้น สงสัยจะเคยชินกับการนั่งทำงานมากเกินไป ถ้าไม่ได้เอนหลังคงไม่หลับแน่

จะว่าไปก็ไม่ได้พักเลยนะนี่นะ...เรียนจบแล้วใช้ทุน ใช้ทุนแล้วกลับไปเรียนต่อ จากนั้นก็ทำงานอย่างเดียวจนไม่มีเวลาไปไหนมาไหน คงเพราะเห็นพ่อทำงานไม่มีวันหยุดผมเลยเลือกไม่หยุดเหมือนกันแม้จะเป็นวันสำคัญตามโอกาสต่างๆ ดังนั้นนอกจากสมัยมัธยมที่ไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนแทบทุกอาทิตย์ หลังจากนั้นมาผมแทบไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนอีกเลย

“นั่งคิดถึงเรื่องเก่าๆ เป็นคนแก่เลยกู”

จะว่าไปพอนึกถึงเรื่องเก่าๆ...

ผมถอดสร้อยที่สวมอยู่ออกจากคอแล้วยกขึ้นดูในระดับสายตา จำได้ว่าเมื่อก่อนมันเคยเป็นจี้รูปใบไม้แต่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยแหวนเงินสลักลวดลายสวยงามวงหนึ่ง ผมได้แหวนวงนี้มาตอนทำกิจกรรมกับเพื่อนที่มหา’ลัย มันเป็นกิจกรรมระหว่างหมอกับผู้ป่วย ที่สำคัญคือมันไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศ เราติดต่อกันผ่านทางโครงการของโรงพยาบาลและสถานฟื้นฟูต่างๆ ทั่วโลก ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมจะได้รับอีเมลของคนไข้หรือหมอที่ได้จับคู่ด้วย จากนั้นก็จะคุยกันผ่านทางนั้น เป็นเหมือนกิจกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยรูปแบบหนึ่ง

คนไข้ของผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามานานเป็นสิบปี ผมใช้เวลาเกือบสองปีในการโต้ตอบกับเขาจนได้รับข้อมูลสำคัญหลายอย่าง ดูเหมือนเขาจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักในช่วงที่ยังเป็นเด็กจนกลายเป็นคนเก็บตัว ถึงจะไม่เคยเจอหน้ากันแต่แค่เห็นลักษณะการพิมพ์ของคนคนนั้นผมก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง ถ้าให้เดาตัวจริงต้องเย็นชามากแน่ เพียงแต่...หลังจากนั้นสองสามปีจู่ๆ เขาก็ส่งเมลมาบอกผมว่าตัวเองอาการดีขึ้นแล้วและกำลังจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ผมทั้งดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันเมื่อรับรู้ว่าถึงเวลาต้องแยกจากเพื่อนทางไกลคนนี้แล้ว เราตกลงกันว่าจะแลกของขวัญกันก่อนจะแยกย้ายกันไป แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้รับแหวนวงนี้มา

แหวนเงินแกะสลักเป็นลวดลายของตัวอักษรหน้าตาประหลาดที่ดูแล้วคงราคาแพงสุดๆ... อยากรู้เหมือนกันว่ามันอ่านว่าอะไร แต่ที่่แน่ๆ คงไม่ใช่ชื่อผมแน่ เพราะเราไม่เคยบอกชื่อกัน

กึก

ผมเบิกตาเล็กน้อยด้วยความตกใจเมื่อสร้อยในมือล่วงหล่นลงพื้นแถมยังกลิ้งไปไกลเพราะรถไฟกระตุก ดีที่หยุดอยู่แค่ตรงทางเดิน ไม่ทะลุไปที่เบาะคนขึ้น เห็นแบบนั้นผมเลยรีบลุกขึ้นเดินไปหยิบสร้อยขึ้นมาจากพื้นแล้วสวมเข้าคอไม่ให้มันหลุดมืออีก แต่ในวินาทีที่กำลังจะลุกขึ้นยืนหลังก้มลงไปเก็บของนั่นเอง...

รองเท้าของใครบางคนที่หยุดอยู่ตรงหน้าทำให้ผมรู้ตัวว่าน่าจะขวางทางเขาอยู่

“โทษทีครับ...”

เสียงที่มีคล้ายจะขาดหายไปเมื่อได้เงยหน้ามองคนตัวสูงเบื้องหน้าเต็มตา สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมไว้ได้ไม่ใช่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายหรือหุ่นน่าอิจฉาของเขา แต่เป็นดวงตาคู่คมสีดำสนิทเหมือนห้วงอวกาศไร้ก้นบึ้งคู่นั้น...

ผมถอนหายใจหน่ายขณะจ้องมองไอ้บ้าตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด

เหอะ...

กูเริ่มเกลียดทฤษฎีโลกกลมก็ตอนนี้ล่ะ



————————


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 22:05:56 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #13 เมื่อ12-05-2018 19:48:30 »

คุณหมอมาแล้ววววว คิดถึงจังเลยค่ะ ออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่เลยนะคุณหมอเจได :-[

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #14 เมื่อ13-05-2018 14:11:13 »

น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกก เจอกันแล้ววววววววว

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #15 เมื่อ13-05-2018 15:38:07 »

ทำไงดี อ่านไปแล้วเราหุบยิ้มไม่ได้เลย บ้าจริง  :-[

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #16 เมื่อ13-05-2018 18:02:02 »

 :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #17 เมื่อ14-05-2018 02:33:37 »

ใช่คนนั้นของหมอเจไดใช่ปะ ใช่ไหม ๆ  :m12:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #18 เมื่อ14-05-2018 09:13:45 »

อาจจะเป็นคนๆนั้นรึเปล่า

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #19 เมื่อ14-05-2018 11:39:11 »

กริสสสส รออออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
« ตอบ #19 เมื่อ: 14-05-2018 11:39:11 »





ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
«ตอบ #20 เมื่อ14-05-2018 16:16:14 »

รอค่ะ คิดถึงทุกคนเลยยยยยย :impress2:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #21 เมื่อ17-05-2018 18:25:44 »

-2-


มันเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจสุดๆ สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักสนิทสนม แต่เผอิญเคยเจอหน้าเลยต้องนั่งลงเพื่อพูดคุยตามมารยาท ประเด็นคือทั้งผมและเขาต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมาเสียที และถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นมาจากอะไร

เรายืนมองหน้ากันอยู่เกือบสองนาที...

มันเหมือนกับว่าถ้าใครหลบตาก่อนคนนั้นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แล้วคงไม่ต้องเดานะว่าใครแพ้ เป็นผมเองที่ต้องหาวิธีแก้ไขความหน้าแหกของตัวเองด้วยการเชื้อเชิญคนชนะให้นั่งลงคุยกัน

“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ นั่งคุยกันก่อนสิ”

ห่วยแตก...

เป็นการเชิญชวนที่ห่วยแตกหนักมาก ไม่รู้ตอนนั้นไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหนว่าเขาจะจำผมได้เหมือนกับที่ผมจำเขาได้ โชคดีที่คนตรงหน้าไม่ได้กระทืบเศษหน้าที่แตกยับของผมซ้ำอีกรอบ เพราะเขาแค่พยักหน้าแล้วนั่งลง

แล้วไงต่อ...

ผมชวนคุยไม่ถูกหรอกนะ นอกจากพูดคุยกับคนไข้แล้วแทบไม่ได้คุยกับคนรู้จักคนอื่นๆ เลย จะให้ถามว่าอาการเป็นไงบ้างก็ไม่น่าใช่ แต่จะให้นั่งเงียบอยู่แบบนี้มันก็ไม่ใช่อีก

“นาย...เอ่อ...หุ่นดีขึ้นนะ”

ไอ้เจได! ไอ้บ้าเอ๊ย! มีใครที่ไหนเขาทักกันแบบนี้บ้างวะ ถ้าเขามองว่าตัวเองกำลังโดยเต๊าะขึ้นมาจะทำไง ผมยกมือกุมขมับเมื่อรู้สึกเหมือนจะปวดหัวหนึบๆ ก่อนจะแอบเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบหวาดๆ ดีที่สีหน้าทื่อๆ ของเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ เนิ่นนานกว่าเขาจะพยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยออกมา

“ขอบคุณ”

กูไม่ได้ตั้งใจชมไหมล่ะ...

ถึงจะไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นผู้ชายที่น่าจะเกิดมาพร้อมพรจากพระเจ้า เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีมากถึงมากที่สุด ตาหูคอจมูกปากเหมือนถูกบรรจงปั้นขึ้นมาอย่างดี ทั้งยังเป็นส่วนผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออกที่ทำให้ดูรู้ว่าเป็นลูกครึ่งแม้จะมีผมและตาสีดำสนิท ไหนจะส่วนที่น่าอิจฉาที่สุด...หุ่นที่ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีนั่นอีก เอาแค่ส่วนสูงก็แพ้ขาดแบบต่อไม่ติดแล้วเถอะ ไม่ต้องตอกย้ำกันนักก็ได้

“คุณ...มองผม” เสียงทุ้มต่ำแหบนิดๆ เหมือนคนไม่ค่อยพูดของเขาทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย ตอนแรกแค่บอกขอบคุณสั้นๆ ยังไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นประโยคแบบนี้แล้วมันเห็นชัดพอควรเลย อีกอย่าง...แม่งทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นด้วย นี่นายจะได้รับพรมากไปแล้วนะ

“นายก็มองฉันเหมือนกัน” ผมรีบกระแอมเมื่อรู้สึกเหมือนเสียงตัวเองห้วนไปนิด แต่ที่พูดไปนั่นไม่ได้โกหกหรอกนะ เขาก็มองผมอยู่เหมือนกัน แถมยังมองแบบไม่ละสายตา สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว

ให้ตายเถอะ...ผมเกลียดดวงตาคู่นั้นชะมัด อ่านไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่

“อืม” ตอบสั้นๆ แล้วกลับไปนั่งนิ่งเหมือนเดิม

ปวดหัว...ตามปกติถ้ามันไม่มีอะไรทำเขาต้องขอตัวกลับที่นั่งของตัวเองกันไม่ใช่หรือไง

“…นายชื่ออะไรนะ” ผมชวนคุย

“ภาม”

เออ จริงๆ รู้อยู่แล้ว จำแม่นไม่ลืมเชียวล่ะ

“อ่า...ฉันชื่อเจได เราเคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อนจำได้ไหม”

“จำได้”

“นายดูแข็งแรงขึ้นจากตอนนั้นเยอะเลยนะ” เรื่องนี้ผมพูดจริง เพราะตอนนั้นเขาผอมมากแถมยังดูอ่อนแอขี้โรค ถ้าไม่ติดว่าตัวเองโดนกักตัวไว้ได้จนดิ้นไม่หลุดผมคงคิดว่าเจ้าตัวไม่มีเรี่ยวมีแรงจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ผมออกกำลังกาย” เขาตอบสั้นๆ เหมือนเดิม แต่เหมือนคราวนี้จะจับสังเกตได้ว่าผมไม่คิดชวนคุยต่อแล้วเลยพูดเพิ่มขึ้นมาอีกประโยค “คุณก็ดู...”

“…” พูดให้ถูกนะเอ็ง

“เปลี่ยนไป”

“ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองน่ะ” ผมยักไหล่ไม่แคร์

“รอ”

“หา…”  เดี๋ยวๆ บอกให้รอคำเดียวแล้วลุกขึ้นเลยแบบนี้ก็ได้เหรอ

ตอนแรกผมคิดว่าภามจะเดินกลับไปที่ที่ของตัวเองซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน แต่แล้วเมื่อเห็นเขาเดินไปค้นกระเป๋าที่อยู่ตรงเบาะด้านข้างพอดีผมเลยแทบกลอกตามองบน...เสือกนั่งใกล้กันอีกให้ตายเถอะ หลังจากนั่งกระดิกเท้ารออยู่ไม่นานนักคนที่ดูแล้วเด็กกว่าผมแน่ๆ ก็เดินกลับมานั่งพร้อมกับส่งของที่ทำให้ผมคิ้วกระตุกมาให้

“ที่...โกนหนวด?”

“อืม”

“…”

“…”

“เอ่อ...” คือไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเลยหรือไง ผมถอนหายใจเมื่อพบว่าคนตรงหน้ายังคงนั่งจ้องหน้ากันตาไม่กะพริบ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายอะไรต่อด้วย “แล้วยังไงต่อ”

“ให้”

“ให้ฉันทำไม”

“ผมไม่ต้องใช้” เขาบอก “แต่คุณต้องใช้”

“พูดง่ายๆ คือนายอยากให้ฉันโกนหนวดออกว่างั้น”

“คุณดูโทรม”

ตอบไม่ตรงคำถามเฟ้ย!

“มีหนวดก็ไม่เห็นเป็นไร โกนไปเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก” เพราะแบบนั้นเลยขี้เกียจโกนไงเล่า อีกอย่าง...เวลาเด็กๆ เห็นหนวดแล้วจะกลัวจนอยากรีบรักษาให้หายกันแทบทุกราย นั่นมันเรื่องดีนะบอกเลย

“คุณไม่เข้ากับมัน”

“ยังไง ฉันไม่เท่เหมือนคนอื่นๆ เหรอ” ไม่เคยดูหนังฝรั่งหรือไง เวลาพระเอกไว้หนวดเท่จะตายชัก ยอมรับก็ได้ว่านอกจากจะขี้เกียจแล้วผมยังอยากลองไว้ดูเผื่อจะเอาความแมนมาทดแทนกล้ามเนื้อที่หายไปได้บ้าง

“สกปรก” ภามพูดสั้นๆ แต่ทำเอาตีนผมกระตุกตาม

“นายว่าฉันเหรอ”

“คุณดูสกปรก”

“…”

“เมื่อก่อนคุณดูดีกว่านี้”

ยัง...ยังไม่เลิก

สาบานได้ว่าถ้าไอ้บ้านี่ไม่ได้แรงเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่าผมจะฆ่ามันให้ตายคารถไฟ เสร็จแล้วจะโยนศพออกนอกรถให้หายแค้นด้วย โชคร้ายตรงที่มันทั้งแรงเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่านี่แหละเลยทำได้แค่คิด

“จะให้โกนบนรถไฟเนี่ยนะ” ผมลองถามแล้วก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบ แต่แววตาที่จ้องมองกลับมาบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้านั่นตอบว่าอะไร “แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่นายพูดด้วย”

“ผมไม่รู้”

คำตอบของภามทำให้ผมขมวดคิ้ว ดวงตาไร้ก้นบึ้งคู่นั้นยังคงมองสบมาโดยไม่ละสายตา ผมแอบหงุดหงิดอยู่ในใจเมื่อยังคงอ่านความรู้สึกของเขาไม่ออก ว่ากันว่าดวงตาคือส่วนที่แสดงอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนที่่สุด หลายครั้งที่ผมรู้จักนิสัยของคนไข้ได้มากขึ้นจากการสังเกตดวงตาของพวกเขา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน หรือต่อให้โตมาแล้วปกปิดเก่งเพียงใดก็ควรมีช่วงเวลาที่สั่นไหวหรือปรากฏคลื่นอารมณ์เล็กๆ ให้เห็นบ้าง แต่มันไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้

ดวงตาของเขาว่างเปล่า...ว่างเปล่าแบบที่ไม่มีอะไรอยู่เลยจริงๆ หรือไม่ก็เพราะเขาปกปิดมันได้เก่งจนแม้แต่หมอที่เจอคนมามากมายอย่างผมยังมองไม่ออก

แต่ก็...ช่างมันเถอะ

“เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าหลังจากลงรถไฟไปแล้วนายยังมีโอกาสได้เจอฉันอยู่อีก ถึงตอนนั้นฉันจะยอมโกนหนวดตามที่นายต้องการ โอเคไหม”

ว่าไปนั่นเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางเจอ... อย่าหาว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แค่ผมยอมหาเรื่องมาต่อรองเป็นการรักษาน้ำใจก็ดีถมไปแล้วบอกเลย ผมกอดอกจ้องหน้าภามแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย

“อืม” ฝ่ายคนโดนท้าแค่พยักหน้าครั้งเดียวแล้วกลับไปเงียบเหมือนเดิม

“งั้นเอาคืนไป” ผมส่งอุปกรณ์โกนหนวดคืนให้เขา “เจอกันอีกเมื่อไหร่ปาใส่หน้าฉันได้เลย”

แน่นอนว่าไม่มีทางได้ปาแน่ ทฤษฎีโลกกลมนั่นมันใช้ได้ผลแค่ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ ลาขาด









รถไฟเดินทางไปถึงจุดหมายในช่วงดึก ณ เวลานี้ท้องฟ้ามืดมิด มองนาฬิกาแล้วบอกเวลาเที่ยงคืน ผมไม่ได้หันไปบอกลาหรือพูดอะไรกับภามอีกในตอนที่เราลงจากรถแม้จะรู้ว่าเขามองผมอยู่ จะว่ายังไงดี...มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ที่ร้องเตือนว่าขืนเรายังยุ่งเกี่ยวกันไปมากกว่านี้จะต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาแน่ๆ เพราะงั้นผมเลยเลือกเดินออกจากสถานีโดยไม่เหลียวหลังไปมองเขาอีกเลย

“ไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุดครับ” ผมบอกคนขับแท็กซี่ในทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ คุณลุงอายุน่าจะเกินสี่สิบสะดุ้งนิดหน่อยตอนเราสบตากัน แต่แค่วูบเดียวก็พยักหน้าหงึกหงักแบบหวาดๆ แล้วรีบออกรถ

เดี๋ยวๆ ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอลุง

ผมนั่งพิงเบาะรถขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง ตาเริ่มปรือๆ จวนจะหลับอีกรอบแม้จะนอนบนรถไฟมาเกือบห้าชั่วโมงแล้วก็ตาม เผลอแวบเดียวคุณลุงก็มาส่งถึงหน้าโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลนัก ผมจ่ายเงินเรียบร้อยก่อนจะลากกระเป๋าเดินเข้าโรงแรม เห็นพนักงานผงะแล้วได้แต่ถอนหายใจ

คนที่นี่เขาไม่เคยเห็นผู้ชายมีหนวดกันหรือไง ตกใจอยู่ได้

“ขอเปิดห้องหนึ่งคืนครับ”

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ตอนนี้โรงแรมเราห้องเต็มหมดเลยค่ะ”

“อ่า...แล้วแถวๆ นี้พอจะมีโรงแรมอื่นอีกไหมครับ หรือแค่ที่พักธรรมดาก็ได้”

อะไรจะซวยขนาดนี้วะ จะบอกว่าเป็นช่วงเที่ยวดูแล้วคงไม่ใช่ เพราะขนาดรถไฟที่ผมนั่งคนยังไม่เต็มเลยด้วยซ้ำ

“บริเวณนี้มีโรงแรมใกล้ๆ อีกสองแห่งค่ะ ถ้ายังไงทางเราจะเรียกรถให้นะคะ”

ผมพยักหน้าพร้อมทั้งบอกขอบคุณก่อนจะเดินตามพนักงานชายคนหนึ่งออกไปด้านนอกเพื่อขึ้นรถ คุณอาแท็กซี่ทำท่าทางสะดุ้งเหมือนคนอื่นๆ เมื่อสบตากับผม แต่อาจเป็นเพราะโดนสะดุ้งใส่มาแล้วหลายรอบเลยเริ่มชิน เขาพาผมมาส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่งติดชายหาดซึ่งน่าจะเป็นโรงแรมห้าดาว จากนั้นก็ปล่อยนายเจไดเอาไว้คนเดียว

เอาเถอะ ขอแค่ให้มีห้องสักคืน...

“ขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ห้องพักของเราเต็มทุกประเภทเลยค่ะ ดิฉันโทรไปเช็คที่โรงแรมข้างเคียงอีกแห่งให้แล้ว ดูเหมือนทางนั้นก็เต็มเหมือนกันค่ะ”

ซวยอะไรขนาดนี้... ทำไมแม่จองตั๋วรถไฟให้ผมแล้วไม่จองโรงแรมให้ด้วยนะ ถึงจะเข้าใจว่าอยากให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของการนั่งรถไฟมากกว่านั่งเครื่องบิน แต่เรื่องที่พักนี่มันเรื่องใหญ่นะคนสวย

“แล้วที่พักอื่นๆ แถวนี้ไม่มีเลยเหรอครับ”

“ถ้าเป็นโรงแรมที่ใกล้ที่สุด นอกจากโรงแรมที่คุณลูกค้าบอกว่าไปมาแล้ว อีกที่ก็ห่างไปเกือบห้าสิบกิโลค่ะ ส่วนพวกรีสอร์ทหรือที่พักอื่นๆ ทางเราไม่มีข้อมูลติดต่อจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

นั่นหมายความว่าถ้าไม่อยากถ่อไปไกลอีกห้าสิบกิโล ผมต้องไปวัดดวงหาที่พักอย่างอื่นเอาเองสินะ

ในขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรดี จู่ๆ คุณพนักงานกลับทำตาโตทั้งยังหน้าแดงจนดูน่าขัน แต่เพราะไม่มีอารมณ์ใส่ใจกับใครเท่าไหร่นักผมเลยได้แต่บอกลาเธอตามมารยาท

“ขอบคุณมากครับ” ผมก้มหัวเล็กน้อยแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไปตายเอาดาบหน้า แต่กลับต้องชะงักค้างเมื่อได้เห็นเหตุผลที่ทำเอาคุณผู้หญิงด้านหลังออกอาการหน้าแดง

ทำไมไอ้หล่อนี่มันมายืนอยู่ตรงนี้ได้!

เรากลับสู่สภาวะเหมือนตอนที่เจอกันวินาทีแรกบนรถไฟ...นั่นคือการยืนจ้องหน้ากันนานเกือบสองนาที แต่คราวนี้ผมเกือบร้องไชโยออกมาเมื่อภามเป็นฝ่ายละสายตาออกก่อน หากยังไม่ทันได้ดีใจ ร่างสูงจนน่าหมั่นไส้ของเขากลับเดินเอื่อยๆ ไปที่เคาน์เตอร์แล้วพูดออกมาแค่คำเดียว

“เช็คอิน”

แพ้...แพ้อีกแล้ว

ผมมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เข้าไปเช็คอินกับพนักงานสาวด้วยอารมณ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก นาทีนี้ง่วงนอนเต็มทนจนต้องกะพริบตาถี่ๆ ผมเห็นภามรับคีย์การ์ดมาจากพนักงานก่อนจะหันกลับมาหาแล้วจ้องหน้ากันเหมือนเดิม

อะไร...จะสื่ออะไร

ถ้าจะชวนนอนด้วยก็รีบชวนเลย ตามมารยาทเห็นคนรู้จักลำบากมันต้องทำแบบนั้นไม่ใช่หรือไง ผมพยายามทำตาโตๆ เพื่อสื่อความหมายโดยไม่ยอมพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว ถ้าทำแบบนั้นมันก็เหมือนแพ้ซ้ำแพ้ซ้อนไม่ใช่หรือไง แล้วจะให้ไปขอความช่วยเหลือโดยบอกว่าขออาศัยห้องอยู่ด้วยสักคืนได้ไหมมันก็แปลกๆ หรือเปล่า

ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำยังไง จู่ๆ คนที่ยืนจ้องผมนิ่งๆ มาโดยตลอดกลับหมุนตัวหันหลัง ทำท่าจะเดินไปขึ้นลิฟต์โดยไม่สนใจกันอีก ผมสะดุ้งจนเผลอคว้าแขนเขาไว้โดยอัตโนมัติ ภามหันกลับมาก็จริงแต่คราวนี้เขาจ้องมือผมนิ่งจนต้องรีบปล่อยออก

“คือว่า...ฉันง่วงมาก”

“…”

“แล้วเผอิญไม่ได้จองที่พักไว้”

“…”

ช่วยอย่าเงียบใส่จะได้ไหม อย่างน้อยจะตอบปฏิเสธหรืออะไรก็ทำสักอย่างสิ ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวเพื่อเดินออกไปจากโรงแรม ในเมื่อหาที่พักไม่ได้ก็ไปนอนมันริมหาดนั่นล่ะ ไม่เห็นยาก

เดี๋ยวๆ...นี่เดินจะถึงประตูอยู่แล้วนะ ไม่คิดจะรั้งไว้หน่อยหรือไง

ผมหมุนตัวกลับไป กะว่าจะด่าไล่หลังไอ้คนไม่มีน้ำใจตอนที่มันไม่รู้ตัว

“ไอ้…” คำด่าที่คิดไว้แทบจะกลืนลงคอเกือบไม่ทัน เมื่อใบหน้าคมคายเหมือนปลาตายของภามยังปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมเอนหัวมองไปด้านหลังเขา มั่นใจว่ายังไงก็เดินมาถึงประตูแล้วแน่ๆ หมายความว่า...เดินตามมาเหรอ “นายเดินตามฉันมาทำไม”

“…คุณบอกว่าง่วง ไม่ได้จองที่พักไว้”

“แล้ว...” ชวนสิ ชวนกูสิ

“…”

“นายนอนคนเดียวใช่ไหม”

เนิ่นนานกว่าภามจะกะพริบตา เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นคำตอบและเงียบไปอีก ผมยืนนิ่งอย่างอดทนเพื่อรอให้คนตรงหน้าชวนขึ้นไปนอนเสียที แต่ยัง...ยังนิ่งอยู่ ดูแล้วไม่น่าได้รับคำตอบใดๆ ต่อให้ยืนจ้องกันอีกเป็นชั่วโมงก็ตาม ผมอยากถามเหลือเกินว่าที่ยืนอยู่นี่คนแน่ใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ว่ามันหล่อเกินมนุษย์คงน่ากลัวพิลึก

โอเค...ยอมแพ้

“ขอนอนด้วยได้ไหม” สาบานได้ว่าเสียงไม่ได้อ่อยด้วยความอับอาย อย่างน้อยก็ไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ ล่ะ

“อืม” เขาตอบแล้วเดินนำไปที่ลิฟต์ ผมได้แต่ลากกระเป๋าตามไปหงอยๆ ในฐานะของผู้แพ้ ที่แท้ที่เดินตามหลังมาจ้องหน้ากันมันเหมือนเป็นการขู่ให้ยอมแพ้ชัดๆ ถึงจะไม่ได้พูดมากอะไรแต่กวนตีนใช่ย่อยนะเจ้านี่น่ะ

ห้องพักของภามเป็นห้องพักธรรมดาห้องหนึ่ง ผิดจากที่ผมคิดลิบลับ เพราะพี่ชายของเขาซึ่งเป็นแฟนไอ้เก้าเพื่อนผมเป็นคนมีฐานะ เรียกว่าเป็นมหาเศรษฐีก็คงไม่ผิด ตอนแรกเลยคิดว่าเข้ามาแล้วจะเจอห้องสวีทสุดหรูราคาแพงระยับของโรงแรมเสียอีก ถึงจะเสียดายไม่น้อยแต่ตอนนี้ขอแค่มีเตียงก็พอแล้ว

“ฉันขอนอนข้างซ้ายนะ” ผมหันไปบอกเจ้าของห้องตามมารยาท แล้วก็ตามคาด...เขานิ่งสนิท แค่จ้องมานิ่งๆ เหมือนเคย ใครสักคนเคยบอกว่าการเงียบคือการตอบรับ ดังนั้นผมถือว่าเขาอนุญาตแล้วกัน คิดได้ดังนั้นผมเลยตั้งท่าจะล้มตัวลงนอน อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวหัวก็จะถึงหมอนแล้ว

แล้วทำไมมันไม่ถึงสักทีวะ

“สกปรก” คนที่ดึงแขนผมไม่ให้ล้มตัวลงนอนเอ่ยเสียงเรียบ เขากระตุกมือทีเดียวผมก็แทบปลิวเป็นกระดาษกระเด็นออกไปอยู่นอกอาณาเขตที่นอน “ไปอาบน้ำ”

ภามยัดผ้าขนหนูผืนหนึ่งใส่มือผมพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำที่ไม่รู้ว่าหยิบมาตอนไหน ก่อนเขาจะดันหลังผมให้พุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ หากสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าถูกบังคับให้อาบน้ำคือผมดันลื่นพรมเช็ดเท้าจนตูดกระแทกพื้น สัญชาตญาณร้องเตือนให้จับขอบอ่างล้างหน้าไว้อย่างรวดเร็ว แต่มันไม่ทัน...ตูดผมวางแหมะอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว

“อ๊ากกกกกกกกก”

ผมร้องเสียงดังเพื่อระบายความเจ็บพร้อมกับที่น้ำตาหยดแหมะลงบนพื้นดังติ๋งๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงไม่โอเวอร์ขนาดนี้ แต่เพราะผมเป็นพวก ‘เจ็บนิดเดียวถึงตาย’ หรือง่ายๆ คือเป็นพวกเกลียดความเจ็บปวดทุกรูปแบบ อารมณ์เลยอ่อนไหวง่ายแม้จะแค่ตูดกระแทกพื้นจนชาเฉยๆ ก็ตาม

การอาบน้ำเป็นไปอย่างยากลำบากเมื่อน้ำตายังไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ เจ็บตูดก็เจ็บ แปรงฟันก็ต้องแปรง ภาพตอนนี้คงดูน่าอนาถมากแน่ๆ กว่าจะพันผ้าออกมานอกห้องได้ผมใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงจะหยุดร้องไปแล้วแต่ขอบตาช้ำๆ กับเสียงร้องตอนอยู่ด้านในคงทำให้คนด้านนอกตกใจไม่น้อย เพราะทันทีที่ผมออกมาเขาก็จ้องหน้ากันเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

“ลื่นล้ม” ผมบอกโดยไม่ต้องรอให้ถาม แต่ไม่คิดอธิบายว่าสำหรับคนอื่นตูดกระแทกพื้นแบบเมื่อกี้คือธรรมดามาก อันที่จริงเขาคงไม่ร้องกันด้วยซ้ำ ขืนบอกไปแบบนั้นคงเสียหน้าแย่ ใครเขาจะมาเชื่อถือหมอที่โดนอะไรนิดอะไรหน่อยเป็นร้องไห้แต่กลับบอกคนไข้ว่าคุณพยาบาลทำแผลไม่เจ็บเล่า จริงๆ คือถ้าเป็นหมอคงร้องจ๊ากตั้งแต่สำลีแตะโดนเนื้อแล้ว

“อ่อ”

ไอ้บ้านี่ก็ไม่คิดถามไถ่ตามมารยาทอะไรเลยสักนิด เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำเสียอย่างนั้น แต่ก็ดีเหมือนกัน...ผมจะได้มีเวลาทายาให้เรียบร้อย

หลังคิดได้ว่าควรทำอะไรก่อนผมเลยเดินไปหยิบเสื้อมาใส่ มีเพียงกางเกงที่ยังไม่ได้ใส่เพราะต้องรอทายาก่อน โชคดีที่เป็นคนขี้กลัวแบบแอบๆ เลยพกยาสามัญประจำบ้านติดตัวไว้ตลอด และยาทาแก้ช้ำก็เป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาคือ...ทำไมยามันเหลือนิดเดียววะเนี่ย แล้วถ้าปวดทั่วตูดควรทาตรงไหน...จะลองจิ้มก็ไม่ได้อีกกลัวเจ็บ เพราะงั้นเหลือแค่ทางเลือกเดียว

โอเค...มีเสียงน้ำแสดงว่ายังอาบน้ำอยู่ น่าจะมีเวลาอีกสักพัก

ผมถกผ้าขนหนูที่พันเอวทิ้งไปแล้วหันหลังให้กระจก รอยช้ำที่ก้นทั้งสองข้างแทบทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ มองยาที่มีอยู่แค่ปลายนิ้วก้อยแล้วหดหู่จนไม่รู้จะป้ายลงตรงไหนดี สุดท้ายผมเลยตัดสินใจป้ายยาตรงจุดที่คิดว่าช้ำมากที่สุด

อีกนิดเดียว...แตะเบาๆ ไม่เจ็บหรอก อีกนิด...อีกนิด

“เหี้ย!” สมาธิทั้งหมดที่มีแทบจะจางหายไปพร้อมเสียงร้องของตัวเองยามหันไปเห็นว่ามีใครบางคนกำลังมองมา

เอาล่ะ...อย่ากระโตกกระตาก ผู้ชายโป๊ใส่หน้ากันเป็นเรื่องปกติ แค่เปลือยท่อนล่างนิดเดียวไม่มีปัญหาหรอก

“มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามเสียงนิ่งเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่ในใจตะโกนหยาบคายด้วยความอับอายดังลั่น

“ตั้งแต่...” ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาฉายแววสับสนขึ้นวูบหนึ่งเหมือนนึกคำไม่ออก ผมรีบยกมือยั้งไว้ ลองถ้าคนหน้าปลาตายคิดหนักขนาดนี้ มันต้องไม่ใช่คำตอบที่ดีแน่ๆ

“คือ...พอดีฉันล้มในห้องน้ำแรงไปหน่อยเลยต้องทายา แล้วกระจกในห้องน้ำมันไม่ใหญ่พอจะมองเห็นว่าต้องทาตรงไหนน่ะ เนี่ย...มียาอยู่นิดเดียว ทาผิดจุดไปแย่เลยว่าไหม” เป็นการอธิบายอาการของตัวเองที่ทุเรศสุดๆ แถมยังเผลอยกนิ้วโชว์ยาที่ยังติดอยู่ตรงปลายนิ้วให้ดูด้วย

“ทาสิ”

“อะไรนะ”

“…” ภามไม่ตอบอะไร เขามองไปที่นิ้วของผมเป็นการย้ำคำพูด

“โอเค งั้นนายหันหลังไปสิ ไม่ก็กลับเข้าห้องน้ำไปอีกรอบ”

ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เงียบ แต่คนกวนตีนหน้าตายยังอุตส่าห์เดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วจ้องหน้าผมตาแป๋ว...เออ ไม่แป๋ว ตามันไม่มีแววอะไรเลยนี่หว่า

“ถึงเราจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่แค่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งแล้วจะมาแก้ผ้าใส่หน้ากันเลยเนี่ย มันออกจะแปลกไปหน่อยนะ” ผมพยายามเอาเหตุผลมาพูด แม้ในความเป็นจริงจะแก้ผ้าให้เห็นไปแล้วก็ตาม

“ผมไม่ถือ”

แต่ฉันถือ

“เอิ่ม...”

“อันที่จริง...” ภามพูดด้วยเสียงโมโนโทนของเขาขณะกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ตอนนี้คุณก็กำลังทำอยู่”

“…”

ปกติผมควรจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด มันแย่ตรงที่ดันเข้าใจทุกอย่างเลยนี่ล่ะ มานึกออกก็ตอนนี้ว่าตัวเองยังไม่ได้ใส่กางเกง ทั้งยังโชว์อะไรต่อมิอะไรให้คนในห้องดูมานานแล้วด้วย

“โทษที ลืม” ผมพูดเสียงนิ่ง เลียนแบบความเป็นโมโนโทนจากเขา ก่อนจะเดินไปคว้ากางเกงมาใส่เงียบๆ หากมองจากภายนอกผมคงเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าเจาะเข้ามาในใจตอนนี้จะรู้เลยว่าแอบกรีดร้องไปแล้วเป็นรอบที่หนึ่งพันพอดิบพอดี

“ไม่ทายาแล้วเหรอ”

ยังกล้าถาม...จะกัดไม่ปล่อยเลยใช่ไหมวะเนี่ย

“อันที่จริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก นอนเลยดีกว่า จะตีสองอยู่แล้ว” ผมตัดใจป้ายยาทิ้งกับกางเกงตัวเองแล้วเดินไปล้มตัวลงนอน คราวนี้ไม่มีใครมาขัดขวางอะไรอีก พอหัวถึงหมอนอารมณ์อับอายขายขี้หน้าหรืออารมณ์อื่นใดล้วนหายไปหมด เพราะสิ่งที่เข้ามาแทนที่มีเพียงความง่วงนอนจนถึงขีดสุด ผมจะถือว่าเรื่องที่ตัวเองไปแอ่นตูดโชว์ศัตรูหมายเลขหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน

เออใช่...นึกสงสัยมาตั้งนานว่าทำไมพอเป็นเรื่องของเจ้านี่แล้วผมถึงควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เลย แถมยังเหมือนจะไม่ได้เฉื่อยชาหรือเอาแต่คิดว่าช่างหัวมันแบบที่เป็นยามอยู่กับคนอื่นในเวลาปกติอีก ที่แท้ก็เพราะเป็นศัตรูนี่เอง...ใช่...ต้องใช่แน่ๆ

แล้วทำไมทั้งที่คิดว่าใช่แน่ๆ แต่ใจถึงบอกว่าไม่ใช่นะ

ช่างมันเถอะ...

ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่แน่นอน ในสถานที่ที่มืดมิดไม่มีอะไรอยู่เลยแบบนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือความฝัน และเพราะรู้แบบนั้นผมเลยตั้งท่าจะหยิกตัวเองให้ตื่น บอกตรงๆ ว่าการได้อยู่ตัวคนเดียวในที่แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกนะ เพราะนอกจากจะมืดแล้วยังน่ากลัวว่าจะมีอะไรโผล่มาอีกด้วย

“ฮึก…”

หยุดเลยไอ้เจได หยุดทำตัวเป็นคนขี้เสือกเหมือนเพื่อนมึงเดี๋ยวนี้

“ฮือ…”

ยังอีก...ไอ้ขาไม่รักดีแม่งก้าวไปหาต้นตอของเสียงเฉยเลย

“ช่วย...ฮึก...ช่วยด้วย”

ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เดินตามเสียงร้องไห้นั้นไปทั้งที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ความจริง บางทีอาจเป็นเพราะเสียงร้องไห้นั้นมันน่าสงสารเกินทน หรือเพราะมันเป็นเสียงของเด็กที่ผมแพ้ทางสุดๆ แต่สุดท้ายผมก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว...ด้านหลังของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กำลังเอาหน้าซุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่

“นี่…” ถ้ายื่นมือไปแตะไหล่แบบในหนังจะหันมาทำตาโบ๋ใส่ไหมวะ

โชคดีที่ในระหว่างที่ผมกำลังคิดเด็กชายตัวน้อยหันกลับมาหาพอดี ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบว่าหน้าตาเขาไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

“พี่ครับ ผมหนาวมากเลย”

“อ่า…" ยังไงดีวะเนี่ย สวมบทคุณหมอแบบตอนคุยกับเด็กๆ แล้วกัน “งั้นมาอยู่ใกล้ๆ พี่สิจะได้ไม่หนาว”

ผมทรุดตัวลงขัดสมาธิแล้วตบตักตัวเองเบาๆ ซึ่งน้องเขาก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วขยับมานั่งลงตรงกลางแต่โดยดี เด็กน้อยดึงมือผมให้กอดตัวเองไว้แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“อุ่นแล้ว”

“อือ” อดลูบหัวคนในอ้อมแขนไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเขา จะว่าไปหัวดำๆ กับตาดำๆ คู่นี้มันคุ้นดีนะ แต่จะแปลกอะไรในเมื่อคนไทยส่วนใหญ่ก็มีผมกับตาสีนี้อยู่แล้ว

เดี๋ยว...สีผมกับตาอาจจะใช่ แต่ใบหน้าหล่อแต่เด็กแถมยังเป็นลูกครึ่งแบบนี้ผมรู้จักอยู่แค่คนเดียว

“พี่…”

“…”

“คุณ...”

“เฮ้ย!”

ภาพเหตุการณ์ในความฝันถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริง ใบหน้าของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ถูกแทนที่ด้วยผู้ใหญ่ตัวโตๆ ที่ลอกตาหูคอจมูกปากมาจากกันแบบเป๊ะๆ และที่สำคัญคือเขากำลังมองผมด้วยใบหน้าปลาตายจากด้านข้าง

“คุณฝัน”

“ฝันร้ายเหรอ ขอบใจนะ” แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ฝันร้ายนี่หว่า หรือการฝันถึงเจ้านี่ตอนเด็กจะเป็นฝันร้าย

“ฝันดี...”

“แล้ว...” ปลุกทำไมล่ะ ผมเกือบจะขมวดคิ้วอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ว่าได้ยินประโยคต่อไปเสียก่อน

“ฝันดีจนหัวเราะไม่หยุด ผมนอนไม่หลับ”

ฉิบหาย...

“โทษที” ผมบอกเสียงอ่อยแล้วรีบลุกขึ้นนั่ง ไม่ใช่ว่าไร้จิตสำนึกจนไม่รู้ว่าห้องนี้เป็นของใคร อุตส่าห์แบ่งห้องแบ่งเตียงให้นอนแล้วยังต้องนอนไม่หลับอีก เป็นผมคงโมโหจนระเบิดไปแล้ว

“อืม”

ตามมารยาทต้องบอกว่าไม่เป็นไร เออลืม...ตรรกะธรรมดาใช้กับไอ้หน้าปลาตายไม่ได้ผล

“งั้นนายนอนเลย ฉันรอนายหลับก่อนแล้วค่อยหลับต่อ” ผมพยายามทำตัวแมนๆ ด้วยการยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อเขาให้ แต่ภามกลับนั่งนิ่งไม่หือไม่อือ เนิ่นนานกว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่จะก้าวเท้าลงจากเตียงและตรงไปที่กระเป๋าของตัวเอง

จากที่กำลังจะลุกตามไปดูว่าเขากำลังทำอะไรผมกลับต้องชะงักเมื่อบางสิ่งถูกปาใส่ตัว ถึงมันจะไม่เจ็บอะไรแต่พอโดนปาของใส่แบบนี้มันก็น่าตกใจอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ได้สนิทสนม ผมเกือบจะอ้าปากตำหนิอยู่แล้วหากไม่ได้ยินเจ้าตัวพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“คุณบอกให้ปาใส่หน้า แต่ผมว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ”

ผมกวาดสายตามองครีมกับที่โกนหนวดซึ่งถูกโยนมาเมื่อครู่อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะหัวเราะให้กับความซื่อของอีกฝ่าย หรือควรจะกระโดดถีบใบหน้าหล่อเหลานั่นข้อหากวนตีนก่อนดี

“นายเลยปาใส่ตัวแทน?”

“อืม”

อืม….อืม&$^&(@&(#^(@

“ฉันไม่!...”

“ถ้าคุณไม่ทำตามสัญญา ผมจะโยนข้าวของของคุณออกนอกระเบียง”

ไอ้คนเลว!

ผมคว้าอุปกรณ์สองอย่างไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืน ตามองหน้าภามอย่างเคียดแค้น...ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

เออ...แพ้มันหมดทุกเรื่อง พ้นวันนี้ไปแล้วขอให้อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยเถอะ สาธุ!


————————-



TALK: อยู่กับน้องภามหัวร้อนจนลืมเบื่อชีวิตแล้วคุณเจได ฮา

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #22 เมื่อ17-05-2018 18:41:30 »

เขินจนจะเป็นบ้าเลยค่ะ น้องภามค่าตัวแพงมากลูก555 ส่วนคุณหมอก็ไปโชว์ก้นให้เขาเฉยเลย ตลก :laugh:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #23 เมื่อ17-05-2018 19:06:52 »

คุณหมอจะถอดรูปโจรออกแล้ว เย่! :katai2-1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #24 เมื่อ17-05-2018 19:13:29 »

แพ้อีกแล้ว เจได  o18

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #25 เมื่อ17-05-2018 19:22:29 »

 :katai5: :katai2-1: :katai5: :katai2-1:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #26 เมื่อ17-05-2018 20:22:32 »

คิดถึงคุณหมอเจไดกับน้องภามมากกก เห็นชื่อเรื่องครั้งแรกแล้วงงอยู่พักใหญ่ พออ่านบทนำจบนี่กรี๊ดทันที ในที่สุดเซ็ตนี้ก็ครบคนสักทีถึงชื่อเรื่องจะไม่ค่อยเข้าพวกแต่เราก็เข้าใจได้555+
เจไดก็โวยวายหัวร้อนได้ตลอดส่วนภามก็นิ่งสยบทุกความเคลื่อนไหว อ่านแล้วคิดถึงพี่ภู สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ  รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #27 เมื่อ18-05-2018 02:00:30 »

555 เจอของดีเข้าไปแพ้เลยสิพ่อหนุ่ม

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #28 เมื่อ18-05-2018 10:45:49 »

คุณหมอเจได :)

ออฟไลน์ mayyiyi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
«ตอบ #29 เมื่อ19-05-2018 10:12:03 »

แพ้ทางสินะคุณหมอ :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด