MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020  (อ่าน 38719 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 22

พักใจชั่วคราว



[Beam Part]


“สักที! ไอ้เหี้ยเอ้ย สอบเสร็จสักที! ปิดเทอมแล้วโว้ย!” เสียงไอ้นิวที่ออกจากห้องมาเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มตะโกนดังลั่นหน้าประตูห้องสอบ จนนักศึกษาคนอื่นหันมามองอย่างตกใจ อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องสอบถึงกับต้องเอากระดาษม้วนตีหัวมันเป็นการทำโทษ ไอ้นิวได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพยอาจารย์ใหญ่ แล้วรีบเดินดุ่มๆ มาทางพวกผมอย่างอารมณ์ดี

“ฉลอง!”

“ไปคนเดียวเถอะไอ้ควาย กูจะกลับไปนอน” ปั้นโบกมือลาแล้วก็เดินออกไปทันที พวกผมพยักหน้ารับรู้ แล้วรีบไล่ให้มันไปเร็วๆ ไอ้เหี้ยนี่โต้รุ่งมาสอบ แม่งโคตรอึด ภาวนาให้มันกลับถึงห้องอย่างปลอดภัยเถอะครับ

“เอ้า! สอบเสร็จก็ต้องฉลองดิเฮ้ย ไม่รู้อะ พวกมึงต้องไปกับกู” ไอ้นิวว่าอย่างเอาแต่ใจ

“กูจะไปหาน้องมุ่ย” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“เออ กูว่าจะกลับไปนอนเหมือนกัน ง่วงชิบหาย” ไอ้ก้านก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน พวกผมอยู่ในสภาพจะตายแหล่มิตายแหล่กันอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าไอ้นิวมันไปเอาพลังมาจากไหน ถึงได้คึกขนาดนี้

“พวกมึงนี่แม่ง ไม่ไหวเลยว่ะ กูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้อ่านตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นไงล่ะ” นิวมันเป็นคนฉลาดแล้วก็ขยันครับ อ่านหนังสือทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านจะนอนไม่หลับ มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกผมเมากันอย่างหมา เลยพากันไปนอนห้องไอ้นิวซึ่งอยู่ใกล้ร้านเหล้าสุด กลางดึกผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นไอ้เหี้ยนี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ ทั้งๆ ที่ตาแม่งเยิ้มสัด คือสภาพร่างกายมันไม่ไหว แต่ด้วยความที่สมองสั่งให้อ่าน มันก็ต้องมานั่งอ่าน สุดท้ายก็หลับคาโต๊ะ กูล่ะเชื่อมึงเลย

“เป็นอย่างนี้แหละ ง่วงโว้ย!” ไอ้ก้านเดินตัวปลิวลงจากตึก ทิ้งผมกับไอ้นิวไว้ ซึ่งมันจะได้อยู่คนเดียวแน่นอน เพราะผมจะไปหาเด็กกากของผม

“เหี้ยบีม...”

“กูจะไปหาน้องมุ่ย”

“โหย เออ! ก็ได้วะ วันนี้ไม่ไปก็ได้ แต่ถ้าวันอื่นพวกมึงห้ามปฏิเสธกูเด็ดขาด” ผมพยักหน้าเร็วๆ แล้วเตรียมจะเดินออกไป แต่โดนรั้งไวซะก่อน

“อะไรอีก”

“แหม๊ กับเพื่อนทำมาเสียงแข็ง”

“แล้วมึงมีอะไร”

“กูอยากใส่ใจเรื่องของมึงกับน้องมุ่ยวะ อัปเดตหน่อยซิเพื่อนบีม” ไอ้นิวเอาตัวเข้ามาใกล้ ทำหน้าทำตาที่มองมาจากเชียงใหม่ยังรู้ว่าพร้อมเสือกมาก

“น้องชอบกู”

“ถุ้ย! มั่นหน้า”

“สัด”

“ให้กูเดา น้องต้องกำลังยึกยักอยู่แน่ๆ เลย” มันทำท่าลูบคางอย่างใช้ความคิด ผมเห็นแล้วอยากจะโบกให้หัวทิ่ม ทำมาเป็นรู้ดี

“มุ่ยไม่เคยมีแฟน เป็นเรื่องปกติที่จะต้องใช้เวลา” ผมยักไหล่อธิบายให้มันฟัง ไอ้นิวพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังไม่ปล่อยผมไป

“เดี๋ยวๆ กูยังเสือกไม่เสร็จ อันนี้กูอยากรู้ส่วนตัว”

“เร็วๆ ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูไปแล้วไม่เจอน้อง”

“กับน้องมุ่ยนี่ชอบจริงๆ ดิ” มันยกแขนขึ้นกอดอก เลิกคิ้วถามผม

“กูชอบน้องมุ่ย” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น ในแววตาไม่มีคำว่าล้อเล่นเจือปนอยู่ในนั้น ไอ้นิวเม้มปากตีหน้ายุ่งแต่เพียงครู่เดียวก็กลับมายิ้มเผล่เหมือนเดิม


ผัวะ!


ไอ้นิวตีลงมาที่ไหล่ผมอย่างแรงอย่างถูกใจในคำตอบของผม

“มันต้องอย่างนี้สิวะ ไอ้เพื่อนยาก! กูก็เอ็นดูน้องมันอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นเพื่อนน้องรหัสกู ไม่อยากให้มึงเล่นๆ กับความรู้สึกน้องเขา” ไม่กี่ครั้งที่เพื่อนผมคนนี้ทำหน้าเครียด ซึ่งมันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้

“น้องรหัสมึงใช้ให้มาหลอกถามกูรึไง” ผมเอ่ยออกไปอย่างรู้ทัน ถึงแม้ความเสือกของไอ้นิวจะเป็นอินฟินิตี้ แต่มันก็รู้ดีว่าเรื่องความรักของเพื่อนในกลุ่มไม่ใช่อะไรที่จะเอาออกมาพูดพร่ำเพรื่อ อย่างมากก็แค่แซวกันเท่านั้น ซึ่งนิวมันก็รู้ดี

“แฮ่ สมกับเป็นเพื่อนรักกูจริงๆ” นิวส่งยิ้มแหยมาให้ คงกลัวว่าผมจะว่าอะไรกลับไป

“เพื่อนก็ห่วงน้องมันจังเลยนะ” โป้ดูเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ก็ห่วงมุ่ยมากๆ เป็นคนที่เป็นมิตรคนหนึ่งนะเท่าที่สัมผัสได้ แต่พอรู้ว่าเป็นเพื่อนกับน้องมุ่ยมาตั้งแต่เด็กและวีรกรรมต่างๆ ที่น้องเล่าให้ผมฟัง ก็พอจะเดาออกว่าแม่งก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

“เออดิ กูจะปฏิเสธก็ไม่ได้ แหะๆ พอดีแอ๊วเพื่อนมันอยู่” ไอ้นิวส่งยิ้มเขินๆ มาให้ ขยับตัวบิดซ้ายบิดขวาอย่างอายๆ น่าถีบชิบหาย

“กูชอบมุ่ย ชอบมากคนนี้” แค่พูดชื่อก็นึกถึงรอยยิ้มกว้างทะเล้นๆ กับแววตาขี้เล่นประจำตัวของน้องมัน จนผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

“เดี๋ยวกูจำคำพูดมึงละเอาไปบอกไอ้เหี้ยโป้เลย ไอ้น้องเวรนี่ก็เซ้าซี้กูสัดๆ” ผมปล่อยให้ไอ้นิวยืนพิมพ์แชทรัวๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ


กับน้องมุ่ย...


เด็กน้อยหน้าตากวนตีนที่มักจะชอบหาเรื่องผมทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เพราะคิดเองเออเองไปต่างๆ นาๆ ว่าผมเป็นแฟนกับตาล ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ไปแค้นผมมาจากไหนนักหนา คิดแล้วก็ขำกับความตลกตาใสของน้อง

หน้าตาที่ไม่ได้โดดเด่นเกินกว่าใครแต่กลับมีเสน่ห์ล้นเหลือ ให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้หลงความเป็นน้องมุ่ยนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบเด็กคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น มุ่ยเป็นเด็กนิสัยน่ารัก เป็นห่วงคนอื่นเก่ง ขนาดผมที่ตอนแรกน้องมันเหม็นหน้าอย่างกับอะไร แต่ก็ยังมาบีมอย่างนั้น บีมอย่างโน้น บีมอย่างนี้ ฟังแล้วโคตรใจเหลว ผมรู้สึกรักชื่อตัวเองก็ตอนที่น้องมันเรียกนี่ล่ะครับ

ผมรู้ว่ามีคนเข้าหาน้องมันเยอะ แต่ไม่เคยเข้าถึง อย่าถามว่าเพราะอะไร ให้ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่บทแรกๆ นะครับ หึ

การที่ผมชอบน้อง มันเหมือนตัวเองกำลังเดินลงบันไดไปทีละนิดจนสุดทาง และในนั้นเสือกไม่มีประตูทางออกแม้แต่บานเดียว พอมองกลับขึ้นไปก็เห็นไอ้ตัวดีโบกมือหัวเราะคิกคักอยู่หน้าหลุม แล้วบันไดก็หายไปดื้อๆ ซะอย่างนั้น ทำให้ผมไม่สามารถที่จะขึ้นจากหลุมที่น้องมุ่ยไม่ตั้งใจขุดไว้ได้เลย

เออ ตัวผมเองก็รู้ดีว่าไม่ต้องการที่จะปีนขึ้นไปหรอก เต็มใจล้วนๆ

“เหี้ย...บีม หน้ามึงเยิ้มมากมึงรู้ตัวปะ ชิบหายละ เพื่อนกูเมาอากาศ”

“กวนตีน กูไปล่ะ”

“เออ โชคดีนะมึง”



.


.



“น้องมุ่ยไปแล้ว?”

“ใช่พี่ ออกไปตะกี๊ ก่อนพี่มา” เพื่อนน้องมุ่ยที่ชื่อเจ๋งตอบผม ตอนนี้ผมอยู่ที่ลานโต๊ะหินอ่อนหน้าคณะมุ่ย โชคดีที่เดินมาแล้วเจอเพื่อนๆ น้องมันนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ แต่ไร้วี่แววไอ้เด็กกากของผม

เอาจริงดิ ผมว่าผมรีบมาหาน้องมันสุดๆ แล้วนะ มั่นใจว่าน่าจะทันด้วย เพราะผมออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลา แต่กลับเจอเพื่อนน้องมันแทน

“ได้บอกรึเปล่าว่าไปไหน” ผมถามต่อ

“ไม่รู้ว่ะพี่ แต่แม่งดูลนๆ อะ ได้ยินมันพูดจะไม่ทันแล้วๆ อะไรสักอย่าง” หรือน้องมันหนีผมวะ หนีอีกแล้ว?

“มันไม่ได้หนีพี่หรอก คงจะไปไหนสักที่อะผมว่า” แก๊ปว่าขึ้นเหมือนรู้ทันความคิดผม เจ๋งก็พยักหน้าเห็นด้วยเสริมทับอีก

“เออ มันชอบเป็นแบบนี้เวลาจะไปเที่ยวอะ พี่ลองโทรหามันดูดิ” ผมพยักหน้ารับ แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาน้องมุ่ย แต่กลับเป็นเสียงโอเปอเรเตอร์ตอบกลับมาซะอย่างนั้น ปิดเครื่อง? แบตหมด? ไม่มีสัญญาณ?

“ไม่รับเหรอพี่” ผมส่ายหน้า กดเปิดลำโพงให้น้องสองคนได้ยิน จากนั้นก็กดวางสายไป

“เออ ไอ้เวร ผมก็ไม่รู้ว่ามันไปไหนว่ะพี่ มึงรู้ปะแก๊ป” แก๊ปส่ายหน้าเพราะไม่รู้เหมือนกัน ผมถึงกับต้องถอนหายใจออกมายาวๆ หนีกันได้นะน้องมุ่ย

“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่บีม ค่ำๆ พี่ค่อยโทรหามันอีกที แม่งเป็นงี้ทุกทีเวลามันไปเที่ยว” เจ๋งโบกมือเชิงไม่เป็นไร

“สรุปน้องมุ่ยไปเที่ยวเหรอ”

“ผมคิดว่างั้นนะ มันชอบปิดเครื่องตอนไปเที่ยว ติดต่อได้อีกทีก็ตอนมันกลับมาแล้วนั่นแหละ” แก๊ปอธิบายให้ผมฟัง โดยมีเจ๋งพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

“แล้วพอจะรู้ไหมว่า น้องมุ่ยจะกลับมาวันไหน”

“เออ ล่าสุดที่มันไปกี่วันนะ ไอ้แก๊ป” เจ๋งทำท่านึกแล้วหันไปถามเพื่อนตัวเอง

“อาทิตย์นึงมั้ง ถ้ากูจำไม่ผิด” แก๊ปนิ่งคิดไม่นาน แล้วก็ตอบกลับมา เหี้ย อาทิตย์หนึ่ง ไปเที่ยวโดยไม่บอกใครเนี่ยนะ หึ ตลกแล้ว

“เออ ใช่ๆ แม่งหนีไปทะเลคนเดียว ละเงียบไปเลยเหมือนตายอะ ฮ่าๆ”

“ยังไงพี่ก็ลองโทรหามันดูอะ เผื่อมันเปิดเครื่อง” ผมกล่าวขอบคุณน้องสองคน แล้วขอตัวกลับทันที น้องมุ่ยแม่งเล่นกูอีกแล้ว กูอยากจะบ้า


ไปไหนไม่บอกกันก่อน มันน่าตีจริงๆ ให้ตายสิ


หืม?


หรือที่น้องมันบอกขอเวลา...หมายความว่าอย่างนี้เหรอ


คิดแล้วถึงกับต้องกุมขมับ ผมว่าผมกลับห้องไปนอนก่อนดีกว่า ไฟนอลแม่งทำร่างกายผมล้าเหี้ยๆ ตอนค่ำค่อยโทรหาน้องอีกครั้งอย่างที่เพื่อนน้องมันบอก



.


.


.




1 อาทิตย์ ผ่านไป




ผมติดต่อน้องมุ่ยไม่ได้


ไม่ว่าจะเบอร์โทรศัพท์ ไลน์ ไอจี เฟซบุ้ก ไม่มีการตอบกลับจากไอ้เด็กกากใดๆ ทั้งสิ้น


น้องหนีเที่ยวหรือน้องแม่งหายตัววะ


เพื่อนน้องก็ไม่มีคำตอบให้ผมเหมือนกัน และบอกให้ผมใจเย็นๆ ไม่ต้องห่วงน้องมุ่ยหรอก น้องมันดูแลตัวเองได้ ผมรู้ว่าคนอย่างมุ่ยอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ก็เอาตัวรอดได้ทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นห่วง อยากให้น้องส่งข้อความหรืออะไรก็ได้มาบอกผมบ้างว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร


นี่น้องมันชอบผมจริงไหมวะ ไอ้เหี้ยเอ้ย


หนึ่งอาทิตย์แล้วน้องมุ่ย กลับมาสักทีเถอะ คิดถึงจะตายอยู่แล้ว


กลับมาเมื่อไร คงต้องคุยกันหน่อยแล้ว


“พี่บีม ทำไรอะ” เสียงทักจากบูน้องชายผมดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นว่ามันแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอก พร้อมกระดานวาดรูปของมัน

เหี้ย ยิ่งเห็นยิ่งคิดถึง เวรเถอะ

“นั่งเครียด”

“เดี๋ยวเฮียมุ่ยก็กลับมาแหละ พี่ก็รู้ว่าเฮียแม่งติสท์” ไอ้บูเดินไปหยิบรอเท้ามาสวมพลางพูดกับผมไปด้วย ที่ไอ้บูรู้เพราะผมก็บ่นๆ กับมันเหมือนกัน

“กูห่วง”

“เออ ไม่แน่ เย็นนี้เฮียมันคงติดต่อกลับมา ถึงจะติสท์แค่ไหนก็น่าจะรู้ว่ามีคนเป็นห่วง ไปล่ะ” ผมพยักหน้ารับ มองน้องมันเดินออกจากห้องไป




Rrrrrrrrrrr

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหยิบมาดู ก็เห็นเป็นเบอร์ไม่คุ้นตา ผมจึงกดรับทันทีด้วยหัวใจเต้นรัว คิดว่าต้องเป็นน้องมุ่ยแน่ๆ

“ฮัลโหล!”

(โอ๊ะ ตกใจเลย)

ไม่ใช่...

“นั่นใคร” ผมกรอกเสียงลงไป คิ้วขมวดแน่นขึ้นเมื่อไม่ใช่คนที่ผมคิด

(พี่ ผมโป้ๆ น้องรหัสพี่นิว)

“อืม มีอะไร” ผมปิดเปลือกตาเอนตัวลงกับโซฟานอกห้องนอน ยกขาขึ้นพาดโต๊ะกระจกพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดขมับเบาๆ ให้คลายความเครียดลงบ้าง น้องจะรู้ไหมว่าทำผมจะเป็นบ้าแค่ไหน

(พี่รู้หรือยังว่าไอ้มุ่ยมันอยู่ไหน)

“ยัง มึงรู้?” ผมถามกลับ

(ไม่ว่ะ ฮ่าๆ)

“สัด”

(เห้ยใจเย็นดิพี่ โห่ ทีอยู่กับคนอื่นนี่หยาบเหี้ยๆ เลยน้า แหม) น้ำเสียงล้อเลียนส่งกลับมา ทำเอาผมแทบอยากจะตัดสายทิ้งเดี๋ยวนั้น ไม่ใช่น้องมุ่ยก็อย่าเรียกร้องดิ

“ตกลงโทรมามีอะไร”

(คืองี้ กูอะสงสารมึงนะบีม อุ้ย หลุดพูดกูมึงเลยว่ะ ไม่ถือนะ เอาจริงๆ ก็อายุเท่ากัน)

“เออ มึงเข้าเรื่องสักที”

(เออ กูไม่รู้หรอกว่าไอ้เชี่ยมุ่ยไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋ที่ไหน แต่กูพอจะหาคนที่ติดต่อมันได้ สนใจปะ)

“ใคร”

(เห้ย เสียงเข้มเลยว่ะ)

“เอาดีๆ ดิ้ ไอ้โป้”

(แน๊ เป็นดุว่ะ – เต้มึงได้ยินเสียงแฟนไอ้มุ่ยเมื่อกี๊ปะ...) ดูเหมือนจะมีใครสักคนอยู่กับไอ้โป้ด้วย ผมปล่อยให้มันคุยกับคนนั้นจนพอใจ มันก็กลับเข้ามาในสายต่อ

(เดี๋ยวพาไปหา พี่มึงมาเจอกูที่หน้ามอละกัน) ผมตกลงนัดแนะกับไอ้โป้ สรุปได้ว่าผมต้องไปรับมันที่เซเว่นหน้ามอแล้วมันจะบอกทางผมเอง

เออ ขอให้ได้เรื่องละกัน





ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


“บ้านน้องมุ่ย?”

“เหี้ย! รู้ได้ไงอะ เคยมาเรอะ” โป้ทำหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด รถผมจอดสนิทอยู่หน้าบ้านน้องมุ่ย สรุปคือแม่งพาผมมาที่นี่ เออ ผมลืมคิดไปได้ยังไงวะ

“เคยมาส่ง”

“เว้ย บ่าน้อยนี่มันแฮ่นแต๊ว่ะ ปาป้อจายเข้าบ้าน” โป้หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

“บ้านเงียบ”

“อยู่ข้างในนั่นแหละ ไปๆ” ผมลงจากรถเดินตามมันไป และหยุดอยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน

“ฟ้าใส! ฟ้าใส! เฮียโป้มาหา!” เสียงตะโกนดังลั่น ผมถึงกับต้องหันมอง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร และตะโกนเรียกคนในบ้านต่อ ทำไมมันไม่กดออดหน้าบ้านวะ

“เฮีย...ใสบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าตะโกน ออดก็มี” ผมเห็นเงารางๆ ของผู้หญิงคนนึงที่เดินออกมาจากในบ้าน แล้วเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ

“เฮียชอบใช้ระบบเสียงอะ ฮ่าๆ” ประตูรั้วถูกคนอีกฝั่งดันให้เลื่อนออก ปรากฎผู้หญิงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเท่าเข่า ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์มองปราดไปที่ไอ้โป้ และเลื่อนสายตามามองผม ใบหน้าน่ารักที่ดูคุ้นตาเลิกคิ้วอย่างสงสัยเหมือนกำลังใช้ความคิด

“อ๋อ...”

“หือ? อะไรอะใส”

“เฮียคนนั้นที่มาส่งเฮียมุ่ย” น้องเห็นผมด้วยเหรอวะ

“ชื่อบีมๆ”

“รู้...เข้ามาก่อนดิ” น้องฟ้าใสผายมือเป็นการเชื้อเชิญ แล้วเดินนำเข้าบ้าน โดยมีผมและไอ้โป้เดินรั้งท้ายตามไป

น้องพาพวกผมมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย ก่อนจะนำน้ำมาให้พวกผมคนละแก้ว ไอ้โป้เดินไปล้มตัวนอนบนโซฟาตัวยาวของบ้าน ส่วนผมก็นั่งเก้าอี้โซฟาข้างๆ กัน โดยมีฟ้าใสยืนพิงสะโพกกับของโซฟามองผมด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ผมลอบสังเกตใบหน้าของฟ้าใส อืม คงจะคล้ายกันหมดสินะบ้านนี้ พอมองที่ดวงตาเฉี่ยวๆ ของน้องเขาก็ทำให้นึกถึงเด็กกากของผมทันที

แต่ฟ้าใสจะให้ความรู้สึกคนละแบบกับน้องมุ่ย ใบหน้าติดจะเรียบเฉยของน้องบวกกับน้ำเสียงเนิบนาบ และดูเหมือนจะเป็นเด็กไม่ค่อยพูดซึ่งต่างจากน้องมุ่ยโดยสิ้นเชิง ดูนิ่งและนุ่มลึกกว่า อันนี้พี่น้องกันจริงใช่ไหมครับ

“เฮียครามอะ” คราม? คงจะเป็นพี่อีกคน บ้านนี้มีพี่น้องสามคนเหรอ

“นอนตายอยู่ข้างบน” ฟ้าใสตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่เคยทำให้ผิดหวัง บ่ายสองแล้วนะ ฮ่าๆ”

“แก่แล้วก็งี้” ไอ้โป้ตบเข่าฉาดอย่างถูกใจ แล้วปรับตัวนอนเอกเขนกกับโซฟาตัวยาว พลางหยิบรีโมตที่วางอยู่ข้างๆ กันขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ดู

“อ่อ มึงมีไรจะถามก็ถามเลยนะ กูดูทีวีก่อน” มันว่าแค่นั้นแล้วหันกลับไปจ้องทีวีต่อ เออ พากูมาก็แค่พามาจริงๆ

“เฮียบีม?”

“เอ่อ ครับ”

“มาหาเฮียมุ่ยเหรอ”

“ใช่ครับ พี่มาหาน้องมุ่ย ฟ้าใสพอจะรู้ไหมครับว่าเจ้าตัวเขาอยู่ไหน” ผมเข้าเรื่องทันทีอย่างใจร้อน ในใจก็รอคำตอบอย่างคาดหวัง

“เฮียอะเหรอ ไม่อยู่มาอาทิตย์นึงแล้ว ไปเที่ยวมั้ง” ฟ้าใสส่ายศีรษะปฏิเสธ ทำผมใจแป้วอย่างเสียดายกับคำตอบที่ผมไม่อยากได้ยิน จะไม่มีใครรู้จริงๆ เหรอวะ มันจะเกินไปแล้วไอ้น้องมุ่ย

“ไม่รู้เลยเหรอครับว่าน้องอยู่ไหน”

“ไม่อะ เฮียมุ่ยไม่ได้บอกไว้”

“ฟ้าใสพอจะเดาได้ไหมครับ”

“อืม...”

“...”

“คิดไม่ออกอะ เฮียไม่เที่ยวซ้ำ ก็เลยเดาไม่ถูก”

“ครับ...” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หวังให้ความอึดอัดภายในใจมันลดลงบ้าง แต่ก็เหมือนเดิม ระหว่างเราเงียบกันไปสักพักโดยมีเพียงแค่เสียงจากในโทรทัศน์ที่เป็นตัวทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดจนเกินไป

“เอ้อ...เฮียครามอาจจะรู้ก็ได้นะ”

“เฮียคราม?”

“อื้อ เดี๋ยวไปเรียกหะ -”

“ใส! เฮียหิวข้าวแล้ว!” เสียงหนึ่งดังมาจากชั้นสองของบ้าน ทำให้พวกผมต้องหันไปมองตามเสียงนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ไม่นานเจ้าของเสียงก็เดินลงมา และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่า

นี่มันร่างแฝดของน้องมุ่ยชัดๆ

“ใส! มีอะไรให้เฮียกินบ้าง เหี้ย! ใครวะเนี่ย” ผมมองเฮียครามที่กำลังเดินเอื่อยเข้ามาอย่างอึ้งๆ เฮียครามคนนี้ทั้งสูงและร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมส่วน ใบหน้าที่เหมือนน้องมุ่ยเกินครึ่งแต่มีความคมมากกว่าขมวดคิ้วมองมาที่ผมอย่างงงๆ บนตัวของเฮียแกสวมเพียงบ็อกเซอร์สีเหลืองลายเป็ดน้อยกับเสื้อกล้ามลายกระทิงแดงย้วยๆ เล่นซะผมทำหน้าไม่ถูก

“เพื่อนเฮียมุ่ยอะ เอ๊ะ...เพื่อนใช่ไหมนะ?” น้องฟ้าใสแนะนำตัวผมกับเฮียคราม และไม่วายหันกลับมาถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ แต่ดวงตาเป็นประกายวาววับ เหมือนถูกใจที่ได้ล้อเลียนผม

โอเค ผมขอแก้ไขตรงที่บอกว่าฟ้าใสไม่เหมือนน้องมุ่ย

ไอ้ดวงตาเป็นประกายแบบนั้น แม่งคือน้องมุ่ยชัดๆ

“อ้าวเรอะ มีไรอะ ไอ้เหี้ยโป้! เหยิบไปดิ้ นอนแดกที่ชิบหาย” เฮียครามเดินดุ่มๆ มาตรงโซฟาตัวยาวที่มีไอ้โป้นอนเอกเขนกอย่างเคลิ้มๆ อยู่ พร้อมกับใช้เท้าเขี่ยมันตกพื้นอย่างไม่เบานัก แล้วก็ล้มตัวนอนแทนที่ซะเอง

“เจ็บนะโว้ยเฮีย!”

“นี่บ้านกู ขี้ข้าอย่างมึง โน่น รั้วหน้าบ้าน เชิญ” เฮียแย่งรีโมตมาจากมือโป้ แล้วก็กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ มือข้างนึงยกขึ้นแคะจมูกแล้วเอาไปป้ายหลังเพื่อนน้องมุ่ย หัวเราะเอิ้กอ้าก อย่างไม่แคร์สายตาใคร โดยเฉพาะผม

เหี้ย น้องมุ่ยร่างแยก

“แล้วไอ้แป๊ะยิ้มนี่มันมาทำไมเนี่ย” กู? กูรึเปล่าวะ?

“เขาชื่อบีม เพื่อนเฮียมุ่ย” ฟ้าใสขยายความอีกครั้ง เฮียครามหรี่ตามองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ทำเอาผมเย็นสันหลังวาบ


เหมือนโดนข่มแปลกๆ


ถึงแม้เฮียครามจะอยู่ในชุดปัญญาอ่อน แต่ผมรู้สึกได้ทั้งสายตาและความกดดันบางอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไรส่งมาที่ผม เจ้าของดวงตาคมปลาบยังมองจ้องอย่างไม่ลดละ จนฟ้าใสต้องสะกิด เฮียแกถึงจะยอมหยุดแล้วหันไปทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แล้วมาทำไมอะ ไอ้มุ่ยมันไม่อยู่หร้อก”

“แล้วเฮียรู้ไหมครับว่าน้องไปเที่ยวที่ไหน”

“รู้”

“ห้ะ!”

“แต่ลืม”

“เอ้า! ไอ้เฮีย ไหงงั้นอะ” เป็นไอ้โป้ที่บ่นออกมาแทนผม ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชายน้องมุ่ยกูโบกหัวทิ่มแล้วนะ กวนตีนจัด ไอ้เหี้ยนี่แม่งก็ห่วงเพื่อน แต่ทำกลบเกลื่อน เหอะ

“ก็กูลืมไงวะ มึงจะเอาไรอีกอะ กูลงมาหาน้ำดื่มตอนเช้ามืด เจอไอ้มุ่ยมันกำลังแบกเป้ออกจากบ้านพอดี มันก็บอกจะไปที่ไหนเนี่ยแหละ สักที่ แล้วก็ออกไปเลย กูง่วงๆ อะเลยได้ยินไม่ถนัด”

“...”

“กูท้อเลยว่ะ มีเฮียอย่างพี่มึงเนี่ย โว้ว!”

“ก็กูง่วง! ไอ้เด็กเหี้ยนี่ ไปๆ รู้แล้วก็กลับบ้านกลับช่องไปซะ รำคาญ” เฮียครามโบกมือไล่พวกผมแล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีอย่างไม่สนใจ


ผมถามคำนึงนะครับ


กูมาทำเหี้ยอะไรที่นี่?


เหี้ยเอ๊ย!


ขับรถมาเปลืองน้ำมันเปล่าๆ


“เอ้อ จริงสิ อาจจะอยู่กับพี่นายก็ได้นะ”


กึก!


การเอะใจของฟ้าใสทำให้ผมรู้สึกเหมือนสวรรค์มาโปรด ภายในใจเริ่มมีความหวังอีกครั้ง

“น่าจะใช่ๆ”

“พี่นาย?” ผมได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ จากน้องมุ่ย แต่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญสำหรับน้องมันมาก

“อือ เพื่อนพี่คราม”

“เพื่อนพ่อมึงดิ” เฮียครามตวัดเสียงดุ จากที่นอนเลื้อยอยู่บนเบาะโซฟาก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรงแน่ว สายตาคมจ้องไปที่ฟ้าใสอย่างเอาเรื่อง

“นี่น้องเอง พ่อเดียวกัน”

“อ้าวเหรอ โทษๆ เฮียหยอกเล่นน่า” ฟ้าใสกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วพยักเพยิดไปที่โทรศัพท์ของเฮียคราม

“เฮียโทรดิๆ” ไอ้โป้พูดเสริม

“ความจริง กูก็ไม่อยากโทรเท่าไรหรอก แต่เห็นว่าทุกคนกำลังเดือดร้อนเรื่องไอ้หมามุ่ยหนีออกจากบ้าน มันก็จำเป็นต้องโทรอะนะ” เฮียเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ บนหน้าจออยู่สองสามครั้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ทั้งที่ใบหน้าคมนั้นหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ใบหน้าหล่อเหลาทำหน้าเห็นใจผมสุดๆ แต่แม่งโคตรปลอม ปลอมเปลือกสัดๆ ผมจึงหันมองหน้าไอ้โป้อย่างขอความเห็น

“งี้แหละ บ้าๆ บอๆ มึงอย่าถือสา ไม่สิ มึงต้องชินอะพี่บีม ฮ่าๆ”

“อะแฮ่ม จะโทรแล้วนะ” เฮียครามกดโทรออกแล้วเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยินด้วย บนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฎชื่อ ‘พอนอ’


คนอะไรชื่อพอนอวะ


รออยู่นานจนเกือบจะหมดสัญญาณรอสาย ปลายสายก็กดรับพอดี


(ว่า...) ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มติดจะยานคาง

“หะ...เหี้ย!? พอนอรับโทรศัพท์! เหี้ยยย ฮืออ ฮึบ!” จู่ๆ เฮียครามก็ตะโกนเสียงดังด้วยอารามตกใจระคนดีใจ พูดผิดพูดถูกจับใจความไม่ได้ มือหนายกมือขึ้นปิดปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือปาดน้ำตาป้อยๆ สะอื้นฮักๆ นี่ก็ปลอม ดูปลอมมาก

ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝั่งนึง และจากนั้นก็เป็นเสียงสัญญาณ


ตู้ด ตู้ด ตู้ด


โดนตัดสาย...


...


เงียบกริบ


ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตัดสายทิ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงพี่ครามร้องไห้ เจ้าของโทรศัพท์ชะงักกึก ใบหน้าหล่อทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่คาดคิดว่าปลายสายจะทำอย่างนั้น

“เฮ้อ” ฟ้าใสถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ มือเรียวสวยยกขึ้นจรดสันจมูกแล้วขยับขึ้นลงไปคล้ายกับนวดให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ ส่วนไอ้โป้หลุดหัวเราะออกมาตั้งแต่โดนตัดสายจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด

“ฮ่าๆ รักพี่นายว่ะ ฮ่าๆ”

“เฮียคราม ลองโทรอีกครั้งดีไหมครับ เมื่อกี้สายอาจจะหลุด” ผมเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้เฮียครามต้องกระแอมไออีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นลง เฮียแกยกมือขึ้นนวดมุมปาก เกร็งหน้าตัวเองให้ตึง พยายามอย่างมากให้ตัวเองไม่หลุดกรี้ดออกมา

“เมื่อกี๊...ผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย” แก้ตัวจบเฮียครามก็ติดต่อกับอีกฝ่ายทันทีและเปิดลำโพงอีกครั้ง กูขอล่ะเฮีย เอาดีๆ

(เออ)

“พอนอ...” เหี้ย เสียงอย่างนุ่ม

(โทรมาทำไม นายไม่ว่าง) น้ำเสียงราบเรียบติดจะรำคาญนิดๆ ทำให้เฮียครามถึงกับหน้าเจื่อนลงนิดหน่อยแต่แวบเดียวก็กลับมาปกติ

“ไอ้มุ่ยมันอยู่กับนายปะ”

(นั่งอยู่ข้างนายเนี่ย - ใครอ้ะ! เฮียครามอ่อ) เสียงที่คุ้นเคยแทรกเข้ามาในสาย มันทำให้ผมทั้งรู้สึกโล่งใจและดีใจ หัวใจผมเต้นรัวเร็วขึ้นอย่าห้ามไม่อยู่ เมื่อได้ยินน้ำเสียงสดใสนั่น คิดถึงว่ะ


คิดถึงเหี้ยๆ


กลับมาได้แล้วไอ้เด็กกาก


อยากเจอ อยากกอด อยากไปหา


“อยู่ไหนกัน”

(ครามขี้เสือกอะ)

“พอนอ...”

(แต่ก็คิดถึงครามว่ะ - โอ๊ย! เลี่ยน! แหวะ!) เฮียครามลุกเดินหนีพวกผมออกไปเฉย ดูท่าจะมีความสุขน่าดูหลังจากโดนด่าไป ฮ่าๆ

“น่าจะกลับมาหลังปีใหม่ ถ้าให้เดานะ” ฟ้าใสเปรยออกมา มีไอ้โป้พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ผมกล่าวขอบคุณน้องและขอตัวกลับทันที

ไอ้ตัวดีของผม น่าจับตีจริงๆ ถามว่าผมโกรธไหม บอกตรงๆ ว่าโกรธมาก ทั้งห่วงทั้งโกรธ น้องทำเหมือนผมเป็นคนอื่น แค่จะไปเที่ยวบอกกันสักคำก็ไม่มี ทิ้งให้ผมเป็นบ้าอยู่คนเดียว แต่แค่ได้ยินเสียงไม่เห็นตัวก็ทำผมใจอ่อนยวบ ความโกรธที่มีถูกลดระดับลงจนเหลือศูนย์ มีแต่ความคิดถึงที่ล้นทะลักออกมา อยากจะเจอหน้าน้องไวๆ แล้วกอดให้จมอก ให้สมกับความดื้อของน้องมัน

เสียดายที่ไม่รู้ที่อยู่ของน้องมัน แต่แค่นี้ก็ทำให้ผมมโล่งใจแล้ว ถึงจะรู้ น้องมุ่ยก็คงยังไม่อยากให้ผมไปหาตอนนี้หรอกครับ ผมเองก็อยากจะให้เวลาน้องเหมือนกัน เอาไว้รอจัดการทีเดียวตอนน้องกลับมา หึ

“ถ้างั้น พี่กลับก่อนนะครับ” ผมบอกกับฟ้าใสที่ยังดูงงๆ กับเหตุการณ์อยู่ เจ้าตัวใช้เวลาประมวลผลแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าลงตอบกลับมา แล้วเดินหายเข้าไปในครัว

“กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวกูให้แฟนมารับ” ไอ้โป้ว่าแค่นั้น แล้วล้มตัวนอนต่ออย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“เออ”

ผมเดินออกมาหน้าบ้าน ยังไม่ทันถึงประตูรั้ว ก็รู้สึกถึงแรงสะกิดบริเวณไหล่ของตัวเอง พอหันกลับไปก็พบกับเฮียคราม

“ครับ?”

“มาคุยกันหน่อยดิ้”


เอื้อก


รู้สึกลำคอแห้งผากอย่างไร้สาเหตุ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกระหายน้ำหรือเฮียคราม ใบหน้าหล่อดูนิ่งขึ้นกว่าตอนที่อยู่ในบ้าน มุมปากยกยิ้มขึ้นบางๆ ไม่บ่งบอกความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

“นานไหมครับ”

“เออ แป้ปเดียว มึงรีบไง๊” เฮียครามถามพลางแคะเล็บตัวเองไปด้วย จึปากอย่างรำคาญใจ ขนาดไอ้การจึปากที่น้องมุ่ยชอบทำเวลาไม่พอใจอะไรสักอย่าง ยังเหมือนกันเลยครับ

“เฮียมีอะไรครับ” ผมตรงเข้าประเด็นทันที

“กูบอกพอนอละว่าให้ไอ้มุ่ยมันเปิดมือถือ ทำคนอื่นเขาวุ่นวายไปหม้ด” เฮียครามว่าด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ ผมพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ แล้วก็เงียบเหมือนเดิม

“...”

“ตกลงแล้วเฮียมีอะไรจะคุยกับผมครับ”

“ชอบไอ้มุ่ยเหรอมึงอะ”

“เอ่อ อ่อ ครับ” ผมตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะจู่ๆ เฮียก็เปิดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่มีการเกริ่นนำใดๆ ทั้งสิ้น

“อ้ำอึ้งไอ้สัด กูให้โอกาสตอบอีกที”

“ครับ ชอบครับ ชอบมาก”

“ถึงไหนแล้วล่ะ” กอดครับ จูบแล้วด้วย

“น้องขอเวลาครับ”

“มันชอบมึงรึเปล่า”

“น้องชอบผม” ผมไม่ได้คิดไปเอง อย่ามองกันอย่างนั้นดิ

“ไอ้เหี้ยนี่ก็มั่นหน้าดีเว้ย เอ้อ” จบคำ ระหว่างผมกับเฮียก็เกิดเดดแอร์ นานจนกลายเป็นตัวผมซะเองที่อึดอัดจากสายตาของเฮียครามที่ยืนมองพิจารณาผมอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที

“ผมชอบน้องมุ่ย”

“เออๆ กูก็พอจะรู้อยู่ อย่าย้ำให้มาก สะเทือนใจ” เฮียโบกมือปัดๆ อย่างไม่สนใจจะฟัง แววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจเจืออยู่ในนั้น แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร คงจะหวงน้องตามแบบฉบับของพี่ชาย แต่ดูจากรูปการณ์แล้วผมเดาว่าน่าจะยี่สิบปลาย ซึ่งเป็นเพราะว่าโตแล้วจึงไม่คิดจะทำอะไรเป็นเด็กๆ อย่างการห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับน้องมุ่ย จึงทำได้เพียงฮึดฮัดกับตัวเองเท่านั้น

ผมไม่อยากจะคิดเลย ถ้าหากพี่ชายน้องอายุไล่เลี่ยกันกับผม เรื่องคงไม่จบแค่การเรียกมาคุยแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่

“เฮียจะว่าอะไร -”

“ดูแลน้องกูให้ดีละกัน มันร้องไห้มึงตาย มันเสียใจมึงตาย เข้าใจนะ” เฮียว่าแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไปเลย แต่ผมมั่นใจว่าอย่างไรประโยคสุดท้ายนั้น เฮียจะต้องได้ยินแน่นอน

“ผมจะดูแลน้องมุ่ยให้ดีที่สุด ผมสัญญา”




********************************************************



มาแล้วค่าาาาา รีบปั่นสุดชีวิต ในส่วนของพาร์ทพี่บีมนั้น รู้สึกอิจน้องมุ่ยมากๆ ฮ่าๆ เอ็นจอยรีดดิ้งนะคะ รัก

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 23

คิดถึงใครแปลว่ารัก


“จะไปไหน” ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากรั้วบ้าน น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอยู่ข้างหลัง ทำผมสะดุ้งตกใจ พอหันไปก็เจอกับพี่พระนายยืนเท้าเอวเอียงคอมองอยู่ ดวงตาคู่คมปราดมองไปทางกระเป๋าเป้ใบขนาดกลางที่ผมสะพายไว้ คิ้วสวยขมวดน้อยๆ พลางเลิกขึ้นอย่างสงสัย

“งานเค้าเสร็จแล้วนะพี่นาย! หมดงานแล้วเที่ยวได้!” ผมโพล่งขึ้นมาอย่างเร็วปร๋อ กลัวอีกฝ่ายจะว่าเข้าให้

“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย ร้อนตัว” เจ้าของสองแขนเรียนเปลี่ยนอิริยาบถยกขึ้นมากอดอก ทำให้ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นมาอีกห้าร้อยเปอร์เซ็นต์

“ใครร้อนตัว ม...ไม่มี๊!” โอ๊ย เสียงสูงเชียวกู พี่มันแม่งจับไม่ได้เลยมั้งว่ามึงจะหนีเที่ยว ไอ้ควายมุ่ยเอ้ย

“บอกกูสิ ว่าทำท่าลับๆ ล่อๆ เนี่ย จะไปไหน”

“เค้า...มุ่ยจะไปเที่ยว” ผมส่งยิ้มแหะๆ ให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี อากาศก็ไม่ร้อนทำไมเหงื่อออกมือวะเนี่ย

“ออกไปทำไมแต่เช้า”

“มุ่ยจะไปเที่ยววัดตอนเช้าอะ แล้ว...แล้วก็จะขึ้นดอยด้วย” ผมตอบอย่างตะกุกตะกัก แล้วถลาเข้ากอดแขนพี่นายเป็นเชิงขออนุญาต แต่ก็ได้สายตาดุๆ กลับมาแทน

“ดอยไหน”

“ดอยเสมอดาว” ส่งตาปิ๊งๆ อ้อนด้วยก็ได้อะ

“จะไปคนเดียว?” ทำไมรู้สึกเสียงพี่มันแข็งๆ วะ มีแววจะอดไปเฉยเลย คือถ้าพี่มันพูดด้วยโทนนี้ทีไรไอ้มุ่ยต้องจอดทันที ห้ามกระดิกแม้แต่ปลายเล็บนิ้วโป้งตีน

“ตอนแรกจะชวนพี่แล้วอะ แต่เห็นงานยุ่งๆ เลยคิดว่าไม่ว่าง”

“กูบอกตอนไหนว่าไม่ว่าง ฮะ ไอ้เด็กดื้อ” พี่นายจับหัวผมแล้วโยกไปมา ทำเหมือนหัวกูเป็นเกียร์กระปุกเลยอะพี่มึง

“เอ้า...”

“รอกูก่อน เก็บของแป้ป” พี่นายหยุดมือแล้วผลักหัวผมออก ทำให้ตัวเองเซนิดหน่อย ดีนะจับผนังไว้ได้ทัน ไอ้เป้ที่แบกไปก็หนักใช่ย่อย

“พะ...พี่นายจะไปด้วยเหรอ”

“ทำไม กูไปด้วยไม่ได้หรือไง”

“เปล๊า เปล่าเลยเว้ย ไปเก็บของๆ เดี๋ยวรออยู่ตรงนี้จ้า” ผมผายมือเป็นการเชื้อเชิญพี่นายให้เดินเข้าบ้านด้วยท่าทีนอบน้อม รอจนลับสายตา ก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปลดเป้ลงจากหลังแล้วนั่งลงกับม้านั่งหน้าบ้านเพื่อรอพี่มันเตรียมตัว

ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจที่พี่นายไปด้วยนะ แค่กลัวโดนดุที่ไม่ได้ชวน ก็นึกว่างานส่วนของเจ้าตัวเขายังไม่เสร็จ ไอ้เราเลยไม่อยากรบกวน ให้พี่มันทำงานได้สะดวกๆ ส่วนผมก็จะออกไปหลั่นล้าแทน อิอิ





สองสัปดาห์ก่อนหน้า



“แท็กซี่ไหมครับ! แท็กซี่”

“วินมอ’ ไซต์ทางนี้ครับ ทางนี้”

ในที่สุดก็ถึงสักที การเดินทางครั้งนี้กินเวลาไม่นานเท่าไรแต่ทำเอาผมแทบอาเจียน ถึงกับต้องกินยาแก้เมารถกันไว้และหยิบยาดมขึ้นสูดยาวๆ

พอสอบเสร็จผมก็รีบกุลีกุจอเก็บข้าวของออกจากห้องสอบทันที บึ่งน้ององุ่นไปที่หอจัดแจงยัดเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ แล้ววนรถกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดอะไรให้เรียบร้อยพร้อมเลือกหยิบกล้องคู่ใจเวลาออกทริปไปด้วย ต่อจากนั้นก็เรียกแท็กซี่ให้มารับไปที่ขนส่งจังหวัดเพื่อหารถตู้ไปลงพะเยา แต่โชคร้ายที่มันหมดพอดีตอนผมไปถึง น้ำตาไหลเลยกู สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนบ้านก่อนเหมือนเดิม แล้วรอไปพรุ่งนี้เช้า

ซึ่งเช้ามืดก่อนจะออกจากบ้านดันป๊ะกับเฮียครามพอดี ก็บอกไว้ว่าเออไปเที่ยวนะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เฮียมันก็พยักหน้ารับรู้อย่างดิบดี แต่ตาแม่งคือหลับอยู่ หลังจากนั้นก็รีบมาขึ้นรถตู้ที่ขนส่งทันที ผมลงที่จังหวัดพะเยาก่อนเพื่อรอต่อรถทัวร์มาลงที่จังหวัดน่าน

ใช่ครับ ฟังไม่ผิด ผมมาเที่ยวน่าน อันที่จริงจะบอกว่าเที่ยวก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะสาเหตุจริงๆ ของการมาคือถูกพี่นายเรียกตัวมาใช้แรงงาน

คืนก่อนสอบวันสุดท้ายพี่นายโทรเข้ามาแล้วก็พูดรัวเร็วจนผมฟังแทบไม่ทัน แต่จับใจความได้แค่ว่าสอบเสร็จเมื่อไรให้ลงมาหาทันที ผมก็เออออตอบตกลงไป เพราะหนึ่งคือดีใจอยากเจอพี่มัน และสองคือผมอยากเที่ยวพอดี เลยไม่ทันได้บอกใครแม้แต่พวกไอ้เจ๋ง หรือแม้กระทั่งบีม ทริปฉุกละหุกสัดๆ

พอมาถึงพี่นายก็มารอรับแล้วพาไปกินข้าว จำได้ว่าคิดถึงพี่มันมาก คิดถึงแบบอยากแดกพี่มันเข้าไปทั้งตัวผมพูดจ้อไม่หยุดจนพี่มันรำคาญและเช้าวันถัดมาผมก็เสียงแหบ ซึ่งตื่นนอนมากูยังไม่ทันได้แตะโทรศัพท์เลยค้าบ พี่นายก็เปิดประตูเข้ามาปลุก สั่งให้รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะออกไปข้างนอกกัน

และสถานที่ที่พี่นายพามาคือร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่เหมือนจะยังไม่เสร็จดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากผมเข้าไปหาเจ้าของร้าน และได้ข้อสรุปทั้งหมดว่า พี่อาร์มเจ้าของร้านคาเฟ่แห่งนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของพี่นาย หลังจากทำธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลก็เริ่มเบื่อ เลยอยากหาอะไรอย่างอื่นทำเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ด้วยความชอบกาแฟเป็นทุนเดิมและพี่ฝ้ายภรรยาพี่เขาก็ชอบทำขนมอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดร้านนี้ขึ้นมา

ผมได้ฟังแล้วแบบ ไอ้เหี้ย ความคิดพี่แม่งโคตรเอา ทั้งพี่อาร์มกับพี่ฝ้ายก็เทคคอร์สทันที จนทั้งหมดทั้งมวลก็กลายมาเป็นร้านนี้นั่นล่ะ

ถามว่า เอ้า แล้วเกี่ยวอะไรกับผม คืองี้ ก็พี่อาร์มอยากให้พี่นายมาวาดผนังร้านให้ ซึ่งพี่ผมตอนแรกก็ว่าจะไม่รับนะ เพราะขี้เกียจ เออ ครับ ฟังไม่ผิดหรอก แกอยากเอาเวลาไปเที่ยวรอบโลกมากกว่ามานั่งทำงานตามแบบแผน คนรวยก็งี้แหละ แต่ที่รับเพราะพี่อาร์มอนุญาตให้พี่นายวาดอะไรก็ได้ตามใจเลย เอาที่อยากทำ และเชื่อในฝีมือพี่มัน

ตกลงดิครับ รออะไร ยิ้มหวานเลยอะพี่กู งานแบบนี้ล่ะชอบนัก และด้วยความที่ร้านไม่ใช่เล็กๆ พี่นายก็เลยต้องหาผู้ช่วย ซึ่งก็คือผมนั่นเอง

อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าผมไม่ถนัดลงสี พี่นายก็เหมือนกัน เราเลยตกลงกันว่าจะให้เป็นงานเส้นทั้งหมด พวกเราก็มานั่งวางไอเดียกันว่าจะวาดแบบไหนอะไรยังไง ถึงจะอิสระมากแค่ไหนก็ต้องมีกรอบกันไว้บ้าง ถ้างานที่ทำออกทะเลไปไกลแล้วเราจะตายกันทั้งหมดนะครับ ร้านเขาไม่ใช่แค่บาทสองบาทนะเอ้อ

ใช่ครับ หลังจากวันนั้นมาผมก็ง่วนอยู่แต่กับการวาดผนังของร้าน และนั่นก็ทำให้ผมแทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหนนอกจากบ้านพี่นายและร้านพี่อาร์ม วนอยู่อย่างนั้นเป็นอาทิตย์ โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนนั่นแหละที่เฮียครามโทรมาก็ได้รู้ว่า ทุกคนเป็นห่วง ทั้งเพื่อน ทั้งบีม

ชิบหาย! แม่งกูว่าแล้วใจกูมันตงิดๆ อะไรสักอย่างตั้งแต่อาทิตย์แรกที่มาถึงละ แต่ด้วยความที่ผมอินกับงานมากๆ เลยเผลอลืมไป


คิดถึงบีมไง!


คิดถึงบีมนี่เอง


เมื่องานในส่วนของผมเสร็จเรียบร้อยดีเหลือเก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย ผมก็กลับมาเปิดโทรศัพท์ดูอีกครั้งหลังจากไม่ได้แตะมันเลยจนแบตหมดด้วยความกระวนกระวายใจ และก็พบว่าโดนถล่มทั้งมิสคอล ไลน์ เฟส ไอจี หลักๆ ก็บีมอะ เพราะมันไม่เคยเจอผมเวอร์ชันหายตัว ต่างกับเดอะแก๊งที่คงพอจะเดาออก และที่หาทางติดต่อผมได้ก็คงจะเป็นไอ้โป้ที่ช่วยบีมมัน

ซึ่งอยากจะขอโทษมันจริงๆ ผมผิดเต็มประตูเลย ดันลืมไปซะสนิทว่ากูยังไม่ได้บอกบีมเลยนี่หว่า เลยคิดว่าจะง้อมันยังไงดีวะ พอเดินไปถามพี่นายก็โดนถีบกลับมาเพราะแกหลับอยู่ สุดท้ายวันนั้นเลยตัดสินใจลงรูปในอินสตาแกรมแล้วแท็กบีม ให้มันรู้ว่ากูยังอยู่ดีนะ ฮ่าๆ ผมตัดสินใจนานมากว่าจะลงหรือไม่ลงดี ไอ้เหี้ยเอ้ย ก็คนมันเขินอะครับ

หลังจากลงปุ้ป บีมก็โทรมาทันที มันโวยวายใส่จนหูจะดับ ผมก็ได้ถือสายฟังจนจะหลับแหล่มิหลับแหล่ แอบบอกมันว่าแดกน้ำหน่อยไหม เสียงแหบแล้วอะ


‘ไอ้เด็กเหี้ย’

‘โหลๆ บีม นี่กูเองอะ คนที่มึงบอกชอบไง’

‘เด็กโง่!’

‘ชื่นใจ จ้า กูเอง ชอบกูจริงป้ะวะ ด่าอย่างกับกูไปเผาบ้านมึงมางั้นแหละ’

‘ทำอะไรลงไป รู้ตัวไหม กูเป็นห่วงขนาดไหนรู้บ้างไหม’

‘อื้อออ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ นี่กูขอโทษมึงจะครบร้อยอยู่แล้วอะ คุยมาสองชั่วโมงกว่าแล้วเนี่ย หายโกรธดิ้เฮ้ย ดีกันๆ’

‘ถ้ากูหายบ้างนะน้องมุ่ย’

‘ทำไม จะหายไปไหน’

‘ไม่บอก’

‘อยากโดนเฮียมุ่ยถล่มเหรอบีม ห้ะ?’

‘พูดไปเรื่อยอะมึงอะ’

‘เฮอะ! คอยดูกูจะไปเผาบ้านมึง เผาคณะ เผามหาลัยมึงด้วย เผาสนามฟุตบอลมึงงงงงงงงง’

‘หึ’

‘หึหยัง? บ่าต้องมาหึ ขอซื้อไปทิ้งได้ป้ะไอ้หึๆ เนี่ย แม่งเอ้ย’

‘เมื่อไหร่จะกลับ’

‘โอ๋ๆ อดเอาแหมน้อยก๊า อีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับแล้ว’

‘เร็วๆ’

‘เออออออ’

‘เข้าใจ๋ก่อ โวยๆ หนา’

‘อึ้ยย หยังมาอู้กำเมือง บ่าต้องไปอู้จะอั้นกับไผเลยเน้อ ขาง’

‘ฮ่าๆ รีบกลับมาได้แล้ว’

‘อือๆ แป้ปเดียว’

‘...’

‘...’

‘คิดถึงมึงนะน้องมุ่ย คิดถึงเหี้ยๆ เลยว่ะ’

‘เออ’

‘...’

‘กูก็คิดถึงมึงสัดๆ เหมือนกัน’




หลังจากกดวางสาย ผมก็นั่งนิ่งแดกจุดอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที


/ยกมือทาบอก


คุณพระ


ภาษาเหนือเวอร์ชันบีม


หัวใจผมเต้นแทงโก้ได้นะรู้ยัง เชี่ยเอ้ยยยย

ผมเพิ่งรู้ว่าบีมมันอู้กำเมืองได้อ้ะ!? มันคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอครับ หน๊อย! กูจะไม่ยอมให้มึงไปพูดกับใครเด็ดขาด แม่งเอ้ย น้ำเสียงตอนพูดคือเว้าวอนมาก ผมอยากจะว้าปไปอยู่ใกล้มันซะเดี๋ยวนั้นเลยจริงๆ ให้ตาย แม่ง

นิสัยของบีมทำผมแพ้อย่างที่เคยบอก ทั้งชีวิตไม่เคยเจอใครแบบมันมาก่อน ไม่แปลกที่ผมจะทั้งทำตัวไม่ถูกเวลาต้องอยู่ใกล้บีมและมัวแต่ลีลาอยู่อย่างนี้ แล้วพอคิดว่าก่อนหน้านั้นบีมเคยไปพูดด้วยหน้าตาและน้ำเสียงแบบนั้นกับใครมาบ้าง อ้อหอ ตีนกูนี่กระดิกดิ้กๆ เลย ร่างกายอยากโดนปะทะสัดๆ

เฮ้อ แต่ผมก็ชอบบีม ให้พูดอีกร้อยรอบก็จะพูดว่าชอบบีม ซึ่งอันที่จริงมันอาจจะมากกว่าคำว่าชอบไปนานแล้วก็ได้ คำขอห่างจากผม ไม่ได้หมายความว่าผมจะหนี เหี้ย ไม่ได้หนีโว้ย ผมมาทำง๊าน! กลัวบีมเข้าใจผิดผมเลยอธิบายไปซะหมดเปลือก และบีมตอบกลับมาแค่ว่า ‘อยากเจอพี่พระนาย’

เชี่ยเอ้ย ทำยังไงดีวะน่ะ รถไฟต้องชนกันแน่ๆ

มันบอกว่าได้ยินผมพูดชื่อนี้บ่อยๆ เลยอยากเจอหน้าและทำความรู้จักเอาไว้ หึงกูก็พูด โด่เอ้ยไอ้บีมคนบ้า

พี่นายเป็นแฟนเฮียคราม เอาอะไรมาหึงกู บ้าบอ




“แล้วจองเต็นท์ จองอะไรเรียบร้อยแล้วรึยัง” พี่นายเดินออกจากบ้านพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ทะมัดทะแมงขึ้น ปกติพี่มันชอบใส่เสื้อตราห่านสีขาวย้วยๆ กับกางเกงผ้าบางลายช้าง ซึ่งไอ้กางเกงไม่เท่าไร แต่เสื้อเนี่ย ขาดจนไม่รู้จะปะตรงไหนแล้ว แต่พี่นายก็ตอบมึนๆ แค่ว่า มันใส่สบาย

ผมมองดูสัมภาระของพี่มัน เออ พอๆ กับผม เหมือนจะเยอะกว่าด้วยแฮะ

“เอาไปเองๆ” พี่นายพยักหน้า หันกลับไปล็อคประตูบ้านแล้วเดินเช็คความเรียบร้อยนิดหน่อย จากนั้นก็โบกมือไล่ผมเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน

“เดี๋ยวเอารถไป” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินลิ่วไปที่โรงจอดรถทันที

“ครับผ๊ม!”


.

.


“พี่นาย มุ่ยอยากแวะวัดภูมินทร์ก่อน” ผมรีบบอกพี่มันก่อนจะลืม เจ้าตัวพยักหน้ารับแล้วขับมุ่งตรงสู่ทางไปวัด พี่นายขับรถมาได้สักพักก็จอดแวะปั๊มเติมน้ำมันก่อน แล้วก็บอกให้ซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อมาตุนพร้อมกับยื่นแบงค์เทามาให้สามใบ ลาภปากกูแล้ว ผมนี่ดี๊ด๊าเลย

อันดับแรกก็ต้อง เยลลี่แบร์

ผมกวาดลงตะกร้าเป็นว่าเล่นอย่างอารมณ์ดี แต่จู่ๆ ก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีมืดดำข้างหลัง


ผัวะ!


เจ็บจี้ดถึงแกนสมอง

“จะเอาไปแดกหรือจะเอาถมดอย ให้มันพอดีหน่อย”

“ฮึ่ย” ผมจำใจหยิบน้องเยลลี่วางคืนบนชั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ กูจะฟ้อง! ฮือแม่ง มาอยู่กับพี่นายโดนตบหัวจนสมองจะไหลมารวมกันอยู่แล้ว ทีตัวเองนะพี่นาย โน่น ขนมถุงบนชั้นละกวาดลงตะกร้าเอาๆ โด่ อย่าให้ผมพูดครับ พี่นายตัวดีเลย ชอบกินนักไอ้พวกขนมกรุบกรอบทั้งหลายเนี่ย หลายปีก่อนนู้น โดนเฮียจับถอนไปซะหนึ่งซี่ น้ำตาไหลเลยอะ สมน้ำหน้า ฮ่าๆ


แปะ!


ผมตีต้นแขนลีนนั่นเบาๆ ทำให้มือใหญ่หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองผมตาขวาง

“จะเอาไปกินหรือจะเอาถมดอยครับคุณพี่พระนาย ให้มันพอดีหน่อยครับ” ฉีกยิ้มกว้างล้อเลียนฉบับสุภาพ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนบ้องหูอีก

“ยังไม่โตห้ามแดกขนมเยอะ อีกอย่างนั่นตังกูครับ” พี่นายส่งยิ้มเยาะเย้ยมาให้อย่างคนเหนือกว่า แล้วหมุนตัวเปิดตู้แช่เครื่องดื่มหยิบเอาน้ำขวดลิตรมาสี่ขวด เจ้าคนตัวสูงยัดตะกร้าขนมตัวเองใส่มือผมแล้ววางขวดน้ำลงมาพร้อมกัน

“มุ่ยหนัก” ผมโอดครวญด้วยท่าทีหน้าสงสาร แต่พี่นายก็ทำเฉย ดันหลังผมให้เดินตรงไปยังแคชเชียร์

“เดินไปจ่ายตังเจ้าหมามุ่ย”

“ไอ้เจ้าก้อน!”


ผัวะ!


แง


.

.


“สวยว่ะพี่ อากาศดีโคตรๆ ด้วย” เรามาถึงกันโดยสวัสดิภาพ อากาศในตอนเช้าค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว แต่พอบวกกับแสงแดดจ้าก็ทำให้อากาศไม่ร้อนไม่หนาวมากเกินไปกำลังพอดี ผมเดินถ่ายรูปทั่ววัดด้วยความหลงใหล โดยมีเจ้าก้อนเดินตามมาไม่ห่างกัน ในมือถือกล้องฟิล์มของเล่นใหม่ที่เล่นซื้อมาอย่างกับจะเปิดท้ายรถขาย เห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เฮ้อ คนรวยเขาเป็นแบบนี้นี่เอง

“หมามุ่ยไปยืนตรงนั้น” พี่นายชี้ไปยังมุมๆ นึง ผมด้วยความกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นแบบให้พี่นายถ่าย ก็รีบวิ่งทันที

“ทำหน้าดีๆ สิ ทำไมชอบทำหน้าหมาเหมือนคราม” พี่แกลดกล้องในมือลง ชี้ที่หน้าตัวเองให้ผมดู

“ถ่ายเลยเจ้าก้อน!”

“ไอ้เด็กหมามุ่ย”

ทุกครั้งแหละครับ เวลามาออกรอบกับพี่นายทีไร ต้องทะเลาะกันก่อนจะได้ถ่ายทุกที เห็นๆ กันอยู่ว่าพี่นายแม่งขี้แกล้ง หาว่าผมหน้าเหมือนหมา ให้เฮียเหมือนคนเดียวดิ นี่มันนายฟ้ามุ่ยสุดหล่อ หล่อกว่าใครในปฐพี จำไว้ด้วย

ผมชอบเรียกพี่นายว่าเจ้าก้อน เวลาโดนแกล้งหนักๆ เพราะนอกจากจะทำให้พี่มันหยุดด่าได้แล้ว ก็ทำพี่มันหน้าแดงได้อีก ไม่ได้เขินนะ โมโหทั้งนั้น ฮ่าๆ

เฮียครามคือจุดเริ่มต้นในการเรียกพี่นายว่าไอ้เจ้าก้อน ผมก็เรียกตาม แต่เอาจริงๆ ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกนะ ไม่เห็นจะก้อนตรงไหนเลย หุ่นอย่างกับยักษ์

“พี่นายๆ อยากถ่ายปู่ม่านย่าม่าน” ผมอาศัยจังหวะที่พี่นายกำลังเปลี่ยนกล้องอีกตัวเดินเข้าไปหา ทำหน้าหมาๆ เข้าไว้ไอ้มุ่ย เฮียจะได้เห็นใจ

“คนเยอะชิบหาย” บ่นๆ แต่ก็ยอมจูงมือพาผมเดินไป ก็จริงที่พี่มันพูด วันหยุดในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ผู้คนก็มักจะขึ้นเหนือมาเที่ยวพักผ่อนกัน โดยเฉพาะเมืองน่ารักๆ อย่างจังหวัดน่าน เรียกได้ว่ามีนักท่องเที่ยวทุกหย่อมหญ้า

และผมไม่พลาดที่จะอัพไอจีสตอรี่กับภาพที่มือผมถูกกุมไว้ด้วยมือใหญ่ๆ นั่น อวดทุกคนบนโลกว่า


‘ใจดีอีกแล้ว ไอ้เจ้าก้อน :)




“ไว้พระก่อน”

“โอเค” ผมพยักหน้ารับ แล้วหาที่ว่างๆ เดินแทรกเข้าไปนั่งกับพี่นาย

ขณะที่กำลังเดินทางมาผมก็อ่านข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดมาคร่าวๆ ก็พบความน่าสนใจของวัดภูมินทร์ จนทำให้ผมอยากมาดูให้เห็นเองกับตา โดยจุดเด่นของวัดนี้ที่ทำให้ผมสนใจคือ "พระอุโบสถจตุรมุข” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ โดยรวมเอาโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ ไว้ในอาคารเดียวกัน ในลักษณะการจำลองแผนภูมิจักรวาลตามความเชื่อแห่งพุทธศาสนา โดยมีพระประธานจตุรทิศปางมารวิชัย 4 องค์ หันหน้าออกสู่ประตูทั้ง 4 ทิศ ประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถแห่งนี้

และบอกเลยว่าผมไม่ผิดหวัง งดงามมากจริงๆ

ผมใช้เวลาค่อนข้างนานกับการซึมซับศิลปะรอบอุโบสถ และคงจะพลาดอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญไม่ได้เลย คือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันอยู่แล้วซึ่งก็คือ ภาพ “กระซิบบันลือโลก” หรือภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ที่เป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อสมัยโบราณ ในลักษณะกระซิบสนทนากัน

ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ผมอยากมาที่นี่จากการอ่านบทความแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ต ก็คือ คำกลอนอันสุดจะโรแมนติกที่เป็นภาษาเหนือจากปราญช์เมืองน่านนี่แหละ ซึ่งท่านได้แต่งคำเพื่อบรรยายถ้อยคำกระซิบของปู่ม่านย่าม่านนี้ว่า


“คำฮักน้องกูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว

จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาขะลุ้ม

จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป

ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวชายปี้นี้

จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…”


แปลว่า “ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”


อยู่กับผมน่ะ ดีแล้ว

ความรักของบีมฝากไว้ที่ผมอะ ดีที่สุดแล้ว


“เขินเนอะ” ผมอมยิ้มแก้มแทบแตกแล้วหันไปพูดกับพี่นายที่ยืนข้างกัน

“มั้ง”

“พี่นายต้องอ่านกลอนนี้ด้วยดิ มุ่ยเขินเลยว่ะ” ผมยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าพี่นาย ซึ่งแกก็ถืออ่านอยู่สักพัก แล้วก็ส่งคืน

“เฉยๆ”

“แหนะๆ” ผมเอียงคอยกยิ้มแซวหวังจะให้พี่มันเขิน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พี่แกเล่นมองภาพด้วยแววตานิ่งประดุจน้ำในหนอง ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงอารมณ์สุนทรีย์ใดๆ กับภาพจิตรกรรมฝาผนังและบทกลอน

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวที่ตั้งเต๊นท์เต็ม” นู่น พูดเสร็จก็เดินดุ่มๆ ออกไปนู่น


หึ้ยยยย

เห็นนะว่าหูแดงอะ กิ้วๆ


.

.


“โชคดีที่ยังไม่เต็ม” ผมปาดเหงื่อชื่มชมเต็นท์ขนาดกลางที่ผมตั้งด้วยตัวเอง และโชคดีอีกที่ตรงนี้วิวสวย มองเห็นบรรยากาศรอบๆ ได้โดยไม่มีอะไรบดบัง แต่มีไอ้เจ้าก้อนนั่งมองอย่างอารมณ์ดี แม่งเอ้ย ผมคือคนใช้ดีๆ นี่แหละวะ อยู่กับพี่มันอะ

หลังจากออกจากวัดมาเราก็แวะทานข้าว และซื้อของกินมาตุนเพิ่มอีกเล็กน้อย จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ดอยเสมอดาวที่รัก

อยากจะบอกว่ากว่าจะขนของเสร็จก็เล่นเอาหอบทั้งคู่ เพราะทางอุทยานห้ามนำรถขึ้นดอย ไอ้พี่นายตัวดีได้ทีไล่ให้ผมไปกางเต๊นท์แล้วเจ้าก็จะไปติดต่อเจ้าหน้าที่เอง ซึ่งแม่งโคตรกินแรง

“อากาศเย็นใช้ได้เลยอะพี่นาย” ผมกอดตัวเองลูบแขนขึ้นลงเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น มองพี่มันหยิบชุดออกมาจากเป้ของตัวเอง

“เออ เดี๋ยวมึงโทรสั่งหมูกระทะเลย กูไปอาบน้ำก่อน” ใช้กูอีกแล้ว

“รีบจังอะ สี่โมงครึ่งเอง”

“คนเยอะ หนาว” แปลว่าถ้าอาบดึกๆ คนจะเยอะและหนาว

“เร็วๆ นะเว้ยพี่” ผมตะโกนไล่หลังไปซึ่งก็ไม่รู้ว่าพี่มันได้ยินรึเปล่า แต่บอกไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็อาบช้ากวนตีนผมอีก ใครว่าพี่นายเป็นคนดีนี่เถียงขาดใจ

ขี้แกล้งที่หนึ่ง แถมยังดุยิ่งกว่าม๊าผมอีก ช่วงที่ผมเหี้ยๆ อะ บอกเลยว่าตีกันยิ่งกว่านี้ แล้วไม่ได้ตีแบบติดตลกนะ ทะเลาะจริงจังเลย แทบจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง

เอาดีๆ พี่นายนั่นแหละจะฆ่าผม กูคือสนามอารมณ์ดีๆ นี่เอ๊ง! แต่ว่าไม่ได้ เขาอะลูกรักเตียกับม๊าผม เวลามาที่บ้านทีไรนะ ผมกับเฮียครามคือเหมียนหมา กับข้าวนี่เต็มโต๊ะอย่างกับตรุษจีน ม๊าก็ชอบให้ท้ายว่าดุผมได้เลยถ้าดื้อ ส่วนเตียก็ ‘กระทืบมันเลยนะอาพระนาย ถ้าอาครามมันมีชู้ เตียอนุญาต!’

เตีย ม๊า นี่มุ่ยกับเฮียครามเอง

ผมเป็นท้อเลยว่ะ



รอนานพอๆ กับพี่นายมันอาบน้ำ หมูกระทะก็มาส่ง ผมลงไปรับตรงจุดรับของ อืม ไม่พอพี่นายกินหรอก รายนั้นน่ะปอบชัดๆ ดีนะที่ซื้อของสดอย่างอื่นเพิ่มมาด้วย

“หิวแล้วว่ะ” พี่มันเดินเช็ดผมตัวหอมฉุยกลับมา ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาได้กลิ่นอาหาร เมื่อพบต้นตอของกลิ่นหอมๆ จากตาปรือๆ ก็เป็นประกายวิบวับ

“มุ่ยเอามาแล้วอะ พี่นายเตรียมของบ้างเลย” ผมว่าแล้วมุดเข้าเต๊นท์หยิบอุปกรณ์อาบน้ำกับเสื้อผ้าเตรียมตัวจะไปอาบน้ำต่อจากพี่มัน

“ใช้กูอีกละ”

“อีกละอะไรของคุณครับ คุณพระนาย ผมเป็นทุกอย่างให้คุณแล้วครับในทริปนี้!”

“ไปไป๊ จะไปไหนก็ไป” ไล่เหมือนไล่หมาอะ ฮึ่ย! ทำอะไรไม่ได้นอกจากฮึดฮัดอยู่ในใจ สู้ก็แพ้แถมยังโดนด่ากลับมาอีกแน่ๆ เฮอะ แพ้บีมดีกว่าอีก ไม่โดนด่าแถมยังได้โอ๋ด้วย

“มุ่ยไปอาบน้ำมั่ง พี่นายรอนะ ใครกินก่อนเฮียครามไม่รัก!” ว่าแล้วก็ต้องรีบวิ่งทันที ขอกูแกล้งหน่อยเถ้อะ โดนมาเยอะแล้วโว้ย!


.

.


ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


ฉ่า!


“หมูกระทะบนดอยนี่มันสุดยอดเลยว่ะพี่นาย” ผมคีบหมูสไลด์ที่สุกแล้วใส่จานพี่มัน แล้วคีบปูอัดที่นอนลอยบุ๋งๆ ในน้ำซุปขึ้นมาใส่ถ้วยตัวเอง กว่าจะได้ฤกษ์นั่งกินก็หกโมงกว่าเกือบทุ่มแล้ว หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จก็เจอพี่มันนั่งทำหน้าเคียดแค้นมองตาขวางใส่ผม ผมหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อรับรู้ว่าพี่มันรอผมจริงๆ ด้วย

แต่พอกำลังจะย่อตัวนั่ง ก้นยังไม่แตะเสื่อดี มือปีศาจก็คีบเนื้อหมูวางแปะลงกับกระทะทันทีอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีหมูสุกๆ ทั้งหลายก็ลงไปอยู่บนจานพี่มันแล้ว

ผมอิ่มหลังจากกินมาได้แค่ครึ่งทาง ต่างจากพี่นายที่ยังคงกินได้ไม่หยุด แม่งกระเพาะหลุมดำชัดๆ กลายเป็นผมที่นั่งปิ้งหมูให้พี่มันแทน เออ ดีว่ะ

“กูบอกให้มึงกินเยอะๆ หมามุ่ย”

“อิ่มแล้วอะ”

“กินอีก เดือนหน้าชั่งน้ำหนักแล้วถ่ายรูปส่งมาให้กูดู ถ้ากูยังเห็นว่าน้ำหนักมึงไม่เพิ่มล่ะก็...”

“รู้แล้วววว ไม่เห็นต้องทำหน้าโหด” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเองแล้วคีบหมูสไลด์กับปูอัดลงน้ำซุป รอจนกว่าจะสุกระหว่างนี้เราก็ปล่อยให้เสียงเชียร์จากหมูกระทะเป็นตัวทำลายความเงียบแทน

เป็นเรื่องปรกติที่เวลาผมกับพี่มันอยู่ด้วยกันแล้วอยู่ๆ ก็เงียบไปแบบนี้ ถ้าไม่ได้เถียงกันก็อย่างนี้ล่ะ ไม่ได้อึดอัด หรือรู้สึกแปลกแต่อย่างใด กลับกับมันรู้สึกถึงความสบายใจมากกว่า เหมือนอยู่กับครอบครัว ซึ่งพี่นายก็คงคิดเหมือนผมแหละ เดาเอา

“เฮียครามอยากเจอพี่นะ”

“อืม” หมูเต็มปาก พูดไม่ได้ ไอ้เจ้าก้อนตะกละเอ้ย

“เฮียมันคิดถึงแหละ ดูออก”

“เอื้อก~...อือ” กำลังพยายามกลืนหมู

“แล้วจะกลับตอนไหนอะ”

“กลับพร้อมมึง อิ่มแล้วว่ะ” ถ้าไม่อิ่มก็ไม่มีอะไรให้พี่มึงแดกแล้วล่ะครับ เกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ผักใบเขียว ผมเคลียร์พื้นที่หลังจากที่เราสองคนอิ่มแปล้กันแล้ว เริ่มจากยกเตาไฟที่มอดแล้วออกวางนอกเสื่อ รวมถึงเหล่าซากอารยะธรรมจากทั้งของผมและพี่นายด้วย เช็ดทำความสะอาดเสื่อด้วยทิชชู่เปียกจนเห็นว่าสะอาดดีแล้วจึงกลับมานั่งเหมือนเดิม

“จริงป้ะ?”

“เออ เทน้ำให้หน่อย”

“อะ” ผมส่งแก้วน้ำให้พี่มัน “พี่นาย มีอะไรจะบอก”

“กูรู้มึงผัวแล้ว”


แปะ!


“พูดไม่เพราะ! ตีปาก!” มือกระตุกไปเองด้วยความตกใจ ผมยกมือสองข้างกุมหัวทันทีเพราะรู้ดีว่าต้องโดนสวนกลับแน่ๆ แต่เค้าตีเบาๆ เองนะ พี่นายก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆ ไอ้เด็กเวร ฮ่าๆ”

“ไม่ตบหัวกลับนะ มือมันไปเองห้ามโกรธมุ่ย พี่นายพูดไม่เพราะเอง” ผมแก้ตัวเสียงอ่อนกระเถิบตัวเองเข้าไปกระแซะพี่มัน เห็นใจกูที

“นึกถึงตอนมึงเด็กๆ ครั้งนั้นมึงก็ทำแบบนี้ ฮ่าๆ” ผมเห็นแววตาอ่อนโยนระคนเอ็นดูส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้สิ่งที่พี่นายพูดมาผมจะจำไม่ได้ก็ตามเถอะ แต่พี่มันอารมณ์ดีแล้วเนาะ ไม่น่าโกรธกูแล้วล่ะ

“จำไม่ได้”

“หมามุ่ยโง่ไง”

“อยากเลิกโง่ต้องทำยังไงอะ”

“ไม่ต้องหรอก แบบนี้น่ะดีแล้ว”


ตุบ!


“หัวไม่ใช่เบาๆ ไอ้เด็กดื้อ” ผมอาศัยจังหวะเผลอๆ แล้วล้มตัวนอนหนุนตักของพี่นาย หัวเราะคิกคักกับตัวเองอย่างชอบใจ ถึงจะบ่นแต่ก็ยอมให้หนุนเนาะคนเราอะ

“บีมอะ มาชอบมุ่ยเว้ย” เกริ่นด้วยความจริงก่อนอันดับแรก

“ยังไงต่อ”

“ก็...” จากนั้นผมก็เริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พี่นายฟัง เราสองคนไม่ได้เจอกันบ่อย แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเจอมาผมก็เล่าให้พี่มันหมดทุกครั้ง เล่าเฉยๆ บ้าง ขอความเห็นพี่นายบ้าง ซึ่งก็มักจะได้รับคำตอบดีๆ กลับมาเสมอ



“อืม หมดละ พี่นายว่าไงอะ”

“อือ ดาวสวยดี”

“พี่นาย...” ผมตีแปะลงหน้าท้องแกร่งเมื่อโดนขัดใจ แต่พี่มันก็ไม่ว่าอะไรพลางยื่นมือมาจับคางผมให้เงยหน้ามองฟ้าแทน

“หูว สวยจริงด้วย เหมือนทะเลดาวเลยอะ” สาบานเลย ผมยังไม่เคยเห็นดาวที่ไหนสวยเท่าที่นี่มาก่อน เป็นคืนฟ้าเปิดที่เป็นใจให้กับทริปของเรามากๆ ท้องฟ้ากว้างพร่างพราวไปด้วยหมู่ดาวนับร้อยพัน ระยิบระยับเต็มไปหมดและคล้ายกับอยู่ใกล้กับตัวเราจริงๆ สุดยอด ไม่ผิดหวังและประทับใจที่สุด

“นั่นสิ”

“เหมือนจะจับได้จริงๆ เลยอะ คิกๆ” ผมเอื้อมมือออกไปสุดแขนทำท่าจะคว้าดาวลงมา โดยมีพี่นายหัวเราะขำกับท่าทางเด๋อๆ ของผม

“บีมดูเป็นคนที่มีความอดทนดีนะ เอามึงอยู่เนี่ย” จู่ๆ พี่นายก็เข้าเรื่องซะตรงประเด็น ทำเอาผมที่กำลังเคลิ้มๆ หัวใจกระตุกไปแวบหนึ่งเลย

“บีมมันดีอะ มุ่ยชอบบีม”

“แล้วคบกันรึยัง”

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไม่กลัวโดนแย่งรึไง กูฟังจากที่มึงเล่าดูก็รู้ว่าหน้าตาดี ใครๆ ก็ชอบ” เลือดขึ้นหน้าเลย พูดเรื่องนี้แล้วร่างกายต้องการการปะทะ

“ใครแย่งมุ่ยจะไปทุบมัน”

“หึ กลับไปก็ขอเขาเป็นแฟนซะ ลีลาจริงๆ กูเป็นไอ้บีมคือรวบหัวรวบหางไปแล้ว”

“กลัวถ้าคบไปแล้วเลิกจะทำไงอะ”

“ก็แค่ร้องไห้ เสียใจ แดกเหล้าเท่านั้นแหละ”

“ฮื้อ ไม่เอางี้ดิ” ผมส่ายหน้าแรงๆ เมื่อไม่ถูกใจในคำตอบ

“มุ่ย อ้ายเคยสอนน้องว่าใด จำได้ก่อ” พี่นายใช้น้ำเสียงจริงจังคุยกับผม

“บ่าดีกึ้ดนัก กึ้ดเติงปัจจุบัน อนาคตก็คืออนาคต”

“ฮั่นล่ะ น้องกึ้ดว่าตี้ยะจะอี้ บีมจะฮู้สึกจะใด คนคอยเปิ้นจะเป็นจะใด?”

“เปิ้นจะอิด” (เขาจะเหนื่อย)

“อื้ม ก็แค่นั้น”

“ทำไมความรักเข้าใจยาก” ผมถามแล้วปล่อยให้พี่นายลูบศีรษะตัวเองเล่น พลางปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ และนึกถึงอีกคนที่อยู่ไกลกัน

“มันยากเพราะมุ่ยทำให้ยาก”

“ทำให้ง่าย ทำไง?”

“ก็ลองปล่อยมันดูสิ”

“ปล่อยเหรอ”

“ใช่ ปล่อยให้ความรักของมุ่ยเดินไปด้วยตัวของมันเอง อย่ากะเกณฑ์ให้กับความรักว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวสุดท้ายก็ต้องเลิกกัน ไปกันไม่ได้หรอก เราไม่ได้รักกันขนาดนั้น”

“...”

“ซึ่งมันไม่ใช่”

“...”

“ยิ่งทำแบบนั้น ความสัมพันธ์มันก็จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแล้ว ไอ้หมามุ่ย”

“มันหล่ออะพี่นาย ตัวเลือกมันเยอะมาก มุ่ยเหมือนเด็กแซ๊บที่ไปฮักเมาลูกสาวพ่อหลวงอะ”

“แต่บีมเลือกมึงไง”

“ก็...ใช่”

“อย่าดูถูกความรักของบีมมันสิ นิสัยไม่ดีเลยมึงเนี่ย” พี่นายตีแปะเบาๆ ลงกับเหม่งน้อยของผม เป็นการตักเตือนว่าผมกำลังทำนิสัยเสียอยู่และเลิกทำซะ

“ขอโทษ” พอมาคิดๆ ดูแล้ว ทำไมผมนิสัยแย่จังวะ แม่งสิ่งที่ทำเหมือนกำลังดูถูกความรักของบีมอยู่ชัดๆ เลย ให้ตายดิ อยากขอโทษแล้วกอดบีมแน่นๆ ชะมัด

“เข้าใจรึยัง”

“คิกๆ รู้แล้ว เข้าใจแล้วจ้า” พี่นายพยายามจะดันตัวผมออก แต่ผมไม่ยอมเลยยิ่งสอดมือเข้ากอดเอวพี่มันแน่น พลางซุกใบหน้าเข้ากับพุงแข็งอย่างอ้อนๆ

“ลุก ไอ้หมามุ่ย”

“พี่นาย...”

“ไม่ต้องมาอ้อน”

“ตอนนี้มุ่ยคิดถึงบีมมากๆ”

“ถ้าคิดถึงมากๆ แปลว่ารักใช่ไหม”

“อืม”

“...”

“เก่งมาก”

“...”

“โตได้สักทีนะ ไอ้หมามุ่ย”


.

.

.


พี่นายปลุกผมมาดูหมอกในตอนเช้ามืด ซึ่งผมเกือบจะเทด้วยซ้ำเพราะกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็เล่นเอาตีหนึ่งกว่า

ผมมองผู้คนที่เริ่มทยอยเดินมาตรงจุดชมวิวทะเลหมอก ในตอนเช้ามืดแบบนี้เมื่อมองไปจนสุดขอบฟ้าก็จะเห็นเส้นสีเหลืองทองของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้น ผมไม่พลาดที่จะหยิบกล้องคู่ใจมาเก็บภาพบรรยากาศทั้งหมดไว้ เหมือนอยู่บนก้อนเมฆจริงๆ เลยอะ ทะเลหมอกหนาๆ สวยมาก และหนาวมากด้วย บรื๋อ

“หลังจากนี้จะไปไหนต่อไหม” พี่นายที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มถาม

“ไม่รู้อะ อยากมาแค่นี้ พี่นายพาเที่ยวหน่อยดิ”

“กูก็ไม่รู้จะพาไปไหน แต่วันนี้เพื่อนกูเปิดร้านวันแรก เพราะฉะนั้นต้องกลับบ้านก่อน” เชี่ย เออว่ะ ลืมสนิท

“งั้นรีบเก็บของกันเลยเดี๋ยวไม่ทัน”



หลังจากนั้นก็คือเวลาแห่งการเร่งรีบ น้ำยังไม่ต้องอาบ เก็บของกันอย่างเดียวโลด ผมก็ดันลืมไปเลยว่าเพื่อนพี่นายชวนไปงานเปิดร้านวันแรก ไม่รู้จะทันรึเปล่าด้วย ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ อะ

“เราจะถึงบ้านมุ่ยกี่โมงอะ” ผมถามเมื่อพี่นายบอกว่าหลังจากเสร็จงานแล้วก็จะไปส่งผมเลยแล้วจะค้างด้วย เฮียครามแม่งดีใจเนื้อเต้นแล้วมั้ง

“เย็นๆ มั้ง กูไม่รีบ หรือมึงรีบ?”

“ไม่อะ เฮียครามไลน์มาถาม”

“บอกมันว่าเคลียร์ห้องตัวเองให้เรียบร้อยด้วย ไม่งั้นเจอกูทุบ”

“ฮ่าๆ โอเค”

เชื่อดิว่าตอนที่เฮียเห็นหน้าพี่นาย แม่งพูดติดอ่างอยู่คำเดียว


.

.


“พะ...พะ...”

“เอาเต็นท์เข้าไปเก็บก่อน แล้วค่อยมายกเป้กับอย่างอื่นไป” ผมพยักหน้ารับอย่างแข็งขันแล้วแบกแบกเต๊นท์เข้าบ้าน โดยมีเฮียครามยืนทำหน้าหมาตาถลนขวางประตูอยู่

“พอนอ...”

“เฮียครามหลบดิ้ มุ่ยหนักนะเนี่ย” ผมขยับเท้าเขี่ยขาเฮียมัน แต่ก็ยังไม่ยอมหลบ จนผมต้องใช้วิธีกระแทกตัวเข้ากับสีข้างจนเฮียครามเซออกไปเอง

“พอนอ...”

“ครามมาช่วยนายยกของ”

“พอน๊อ!!!!”

“ไอ้เหี้ยคราม! เสียงดังหาเตียมึงเหรอ กูบอกให้มาช่วยยกของโว้ย”

“ที่ร้ากกกก” ผมมองพี่ชายตัวเองที่วิ่งแถดๆ ไปหาพี่นายแล้วสวมกอดเข้าอย่างจังจนตัวพี่นายกระแทกเข้ากับตัวรถดังปัง พอ กูไม่อยากจะคิดสภาพหลังจากนี้

“ไอ้เหี้ยคราม!!”

“โอ๊ย! ที่รัก! ครามเจ็บ! อย่าจิกหัว!”





******************************

ทุกคนลืมเรารึยังคะ ฮืออ มาต่อให้แล้วน้าาา กลับมาอ่านกันเร็ววววว อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วนะคะ หลังจากนี้น้องมุ่ยของเราจะรุกเต็มที่ เอาใจช่วยน้องมุ่ยและเอ็นดูพี่บีมกันเยอะๆด้วยนะค้า

อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ดูแลตัวเองกันด้วยน้า

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 24

บีมของมุ่ย


ขณะนี้พวกเราทั้งสี่คนนั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะรับประทานอาหารของบ้าน โดยมีแม่ครัวฝีมือดีอย่างฟ้าใสอาสาโชว์ฝีมือในมื้อนี้ ทำให้บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง พอๆ กับตรุษจีนที่บ้าน ความจริงก็ต้องเป็นใสอะแหละ ทั้งบ้านเธอทำเป็นอยู่คนเดียว ผม พี่นาย เฮียคราม มีหน้าที่อย่างเดียวคือรอ และรอ

บอกเลยว่าผมคิดถึงฝีมือเจ้าใสสุดๆ จะได้กินข้าวแบบเต็มอิ่มสักที หลังจากที่ไปตะลอนกับพี่นายอยู่หลายอาทิตย์ แต่เดี๋ยวนะ ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวหมูสับ ผัดบล็อกโคลีกุ้ง ของโปรดพี่นายทั้งนั้นเลยนี่หว่า ใช่ซี้ ผมมันไม่สำคัญเลยสินะ น้องสาวคนดีถึงทำอาหารเอาใจพี่นายคนเดียวเลย ปวดใจว่ะ

แต่ยังมีน้ำพริกหนุ่มแคบหมูกับผักเคียงที่ผมกับพี่นายแวะซื้อมาจากตลาด ของโปรดหนึ่งเดียวบนโต๊ะทานข้าวที่ซื้อมาเอง อ่อแล้วก็มีน้ำพริกอ่องจากเมื่อเช้าที่ใสทำไว้อีก ทานมื้อนี้มื้อเดียวคืออิ่มยันชาติหน้า

“พี่นายจะมาอยู่กี่วันคะ” ฟ้าใสถามขณะตักกุ้งตัวโตจากต้มยำกุ้งน้ำข้นชามใหญ่วางลงบนจานของพี่นายอย่างเอาใจ

“ซักสองสามวัน เดี๋ยวพี่ก็กลับไปนอนบ้านแล้วค่ะ เดินทางสะดวกกว่า” น้ำเสียงนุ่มลงจนผมแทบอยากจะเบ้ปากซะเดี๋ยวนั้น ติดตรงที่ถ้าพี่มันเห็นคือกูโดนทุบอย่างไม่ต้องสงสัย กับผมนี่มีแต่ ไอ้มุ่ย! หมามุ่ย!

“พี่นายไม่อยู่นานกว่านี้อะ” ผมถามบ้างขณะหยิบแคบหมูจิ้มกับน้ำพริกหนุ่มแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวดังกร้วมๆ

“คนมีงานมีการทำ แค่นี้ก็จะไม่มีเงินแดกละ ถามไม่คิดเลยไอ้หมามุ่ย” น้ำเสียงสุดจะแข็งกระด้างหาที่เปรียบมิได้ ผมล่ะเซ็ง

“ยั้งก่อน แหม่ นี่มุ่ยเอง มุ่ยเป็นน้องพี่นายไง ทีคุยกับใสนี่เสียงหวานไปดิ โห่”

“เฮอะ” ทำเสียงฮึดฮัดใส่ผมแล้วก็ตักข้าวเข้าปากเต็มคำ

“ทานข้าวกันค่ะ วันนี้ใสทำเยอะแยะเลย มีแต่กับข้าวที่พี่นายชอบทั้งนั้น” ฟ้าใสอมยิ้มแก้มแทบแตกเมื่อเห็นพี่นายเจริญอาหารจากกับข้าวฝีมือตัวเอง

“ใส นี่ก็เฮียเอง เฮียพี่ชายฟ้าใสไง ทีตอนเฮียไม่เห็นเป็นงี้อะ” ทีผมนะแกงจืดก็หรูแล้ว

“เฮอะ” พี่น้องที่พลัดพรากกันชัดๆ ขนาดเสียง ‘เฮอะ’ ยังเหมือน

“เฮียครามดูใสดิ” ผมฟ้องกับพี่ชายคนโตที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

“อื้ม” ตอบรับนะ แต่ตามองพี่นายอย่างเดียว ยิ้มเหมือนเป็นบ้าอะ

“ถ้าครามยังไม่หยุดจ้องกันนะ นายจะทุบ” พี่นายวางช้อนลงแล้วหันไปทำหน้านิ่งใส่ แต่เฮียครามก็หาได้สนใจไม่ กลับยื่นมือมาลูบๆ แตะๆ แก้มพี่มันอย่างไม่กลัวความตาย

“คิดถึง ผอมไปหรือเปล่า แก้มอ้วนหายหมดแล้ว ทำงานหนักจนไม่มีเวลากินเลยเหรอนาย ไม่ได้นะ ถ้าไม่สบายจะทำยังไง”

“พี่นายไปเที่ยวต่างหาก ทำงานที่ไหนล่ะ” ผมตอบแทน

“คราวนี้ครามไม่อนุญาตให้เที่ยวนานๆ แล้วนะ ไปก็ไปคนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง ครามเป็นห่วง” เปลี่ยนจากลูบแก้มมากุมมือไว้ ทำหน้าหล่อเสียงนุ่มทุ้มเหมือนพระเอกละครหลังข่าว แต่กลับฉีกยิ้มกรุ้มกริ้มส่งให้พี่นาย ดูก็รู้ว่ากวนตีน

“ไอ้คราม...”

“ไอ้เจ้าก้อน ไม่มีนายอยู่แล้วครามเหง๊าเหงา ถามใสได้เลย ครามจะไม่ให้นายกินข้าวจนกว่าที่รักจะจุ๊บครามตรงนี้” พี่ชายผมจิ้มแก้มตัวเองบ่งบอกตำแหน่งที่ต้องการพลางทำปากจู๋เหมือนอ้อน

“แหวะ” เฮีย...มุ่ยถามจริง ถามจริงงง

“โอ๊ยยยยยย!”

“ใส พี่นายขอโทษนะคะ...ไอ้เหี้ยคราม! หยุดเล่นสักที มึงอยากหัวแตกจริงๆ ใช่ไหมหา! กูหิวจะตายอยู่แล้วมึงมัวแต่เล่น! ยัง ยังจะทำปากน่าเกลียดอีก อายน้องมันบ้างไหม! กูจะหยิกให้ตัวเขียวเลย” พี่นายองค์ลงแล้ว แกลุกขึ้นบิดหูเฮียครามให้ลุกขึ้นแล้วลากออกห่างจากโต๊ะทานข้าว จากนั้นก็ทั้งทุบทั้งหยิกกะเอาให้ตายกันไปข้าง เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ละครับ

คนเดียว และหนึ่งเดียวบนโลกนี้ที่ชอบยั่วโมโหพี่นายจนเส้นความอดทนขาดผึงทุกครั้งที่เจอหน้ากัน และมักจะมีร่องรอยกลับมาเสมอ รอยหยิกบ้าง รอยทุบบ้าง รอยตีนบ้าง ฮ่าๆ

“โอ๊ย! เจ็บแล้ว! ฮ่าๆ อย่าหยิกกู พอๆ ซี้ด! อย่าทุบบบ หัวกูแบะแล้วพอน๊ออออ”

“จะหยุดรึยัง?”

“ฮ่าๆ โอเคๆ พอแล้วๆ หายคิดถึงแล้ว” ตบตีกันได้สักพักใหญ่ก็ได้ฤกษ์กินข้าวจริงๆ สักที

“คนอย่างมึงนี่แม่งต้องโดนตีนกูสักทีจริงๆ อะ”

“เมื่อก่อนก็บ่อยอยู่นะ ฮ่าๆ”

“สัด”

“กินข้าวจ้ากินข้าว” ฟ้าใสตัดบทก่อนที่จะมียกที่สองเกิดขึ้น ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เห็นเฮียครามแกล้งพี่นายมาตลอด ยิ่งตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยนะ ตีกันทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ไม่รู้ไปรักกันอิท่าไหน บอกเลยว่าทั้งผมทั้งใสคือเป็นงง

แต่ก็ต้องขอบคุณที่พี่นายเข้ามาในชีวิตเฮีย ทำให้ผมได้รู้จักคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งที่ช่วยดึงผมออกมาจากจุดตกต่ำของชีวิต และผลักให้ผมออกมาเผชิญโลกที่แท้จริง พูดแล้วเศร้าอยากแดกเหล้าสักกรึ้บสองกรึ้บ

ถ้าผมไม่เจอพี่นาย ผมคงได้ตายข้างกองขยะที่ไหนสักที่แน่ๆ ฮ่าๆ

“เออ เอ็งบอกเพื่อนกับแฟนรึยังมุ่ยว่ากลับมาแล้ว” เฮียครามถาม

“ยังอะ เดี๋ยวค่อย เอ๊ะ! เมื่อกี๊เฮียว่าไง เพื่อนแล้วใครนะ?” ขี้หูผมคงเยอะอะ ได้ยินไม่ค่อยถนัด

“แฟนมึงไง ชื่อไรนะใส เออๆ ไอ้บีมอะไรนั่น”

“มันยังไม่ใช่แฟน! เฮียครามอย่ามามั่ว เดี๋ยวเจอทุบ” ผมโวยวายเสียงดัง ยกกำปั้นขึ้นขู่ เมื่อเฮียกำลังเข้าใจผิด แม่ง ใครบอกเฮียมันวะ แฟนอะไร้ เขาเรียกว่าอยู่ในสถานะคอมพลิเคทเตด

“เล่นตัวน่ามุ่ย มีคนมาชอบเอ็งจริงจัง ก็อย่าหักหาญน้ำใจเขา ขอคบไปดิ้” เฮียครามกลืนข้าวคำโต แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความหวงอย่างที่พี่ชายควรจะเป็น

“นี่เฮียไม่หวงข้าเหรอ”

“ไม่หวงอะไรล่ะ นั่งหน้ามุ่ยอยู่เป็นอาทิตย์หลังจากวันที่เฮียบีมมาหา บ่นอยู่นั่นแหละว่า ไอ้เด็กนั่นกล้าดียังไงมาชอบน้องกู ทำไมกูไม่เตะมันสักป้าปวะ นี่กูอนุญาตง่ายไปรึเปล่า ไม่ให้คบดีมั้ง ใสล่ะปวดหัว” ฟ้าใสตอบกลับมาเป็นชุด เล่นเอาเฮียครามนั่งทำหน้าบื้อเพราะโดนแฉ โดยมีพี่นายหัวเราะก๊ากพลางตบบ่าแกร่งอย่างชอบอกชอบใจ

“เฮียกะจะคีพคูลสักหน่อย ใสอะ...”

“ก็เรื่องจริงนี่นา”

“เฮียครามเด็กขี้หวง” ผมว่ายิ้มๆ ทำเอาเฮียหน้าบึ้งกว่าเดิม เฮียครามดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ก็หวงน้องไม่เบา แม้แต่ไอ้ลุ้ยลูกพี่ลูกน้องผม มันเป็นเด็กที่ตามคนไม่ค่อยจะทัน ทั้งผมและเฮียครามจึงห่วงและหวงเป็นพิเศษ จะชอบใครเขาทีต้องเอารูปมาให้เฮียมันแสกนกรรมก่อนทุกครั้ง จนลุ้ยมันบ่นๆ ว่า ‘ลุ้ยชอบใคร เฮียครามก็ไม่ชอบ งั้นคราวหลังลุ้ยจะไม่บอกแล้วว่าชอบใครบ้าง’ เฮียครามเหวออ้าปากหวอเลยเว้ย มีผมกับใสนั่งขำอยู่ข้างๆ เป็นตัวประกอบฉาก ฮ่าๆ

“วันหลังพามากินข้าวด้วยกันดิ อยากเจอเหมือนกัน” พี่นายพูดขึ้นโดยมีเฮียครามพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

“ยังไม่ได้ขอคบเล้ย! หยุดก่อนทุกคน”

“แล้วรอม๊ามาตัดริบบิ้นหรือไงอะ ก็ขอคบไปสิวะ”

“ก็จะขอนั่นแหละ มันก็ต้องมีจังหวะหน่อยไหมล่ะ จะให้อยู่ๆ เดินเข้าไปบอก เห้ย เป็นแฟนกันไหมวะ งี้เหรอ ไม่ได้ป้ะ”

“อุ้ปส์ คิก~” เฮียครามหลุดหัวเราะประหลาดๆ ออกมา และพอมองไปที่พี่นายก็เห็นแกชะงักมือที่กำลังตักผัดผักแวบนึง แล้วก็ตักต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ก็...ไม่เห็นแปลกนี่”

“เออ คิก~ ไม่แปลกหรอก เชื่อเฮีย มันต้องเคยมีสักคนเคยทำมาบ้างแหละ”

“จริงอะ จะขอก็ขอได้เลยเหรอ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“มึงจะรอหมาคาบไปแดกก่อนก็ได้ วันนั้นอย่าลืมตัดสูทมาใส่ด้วยล่ะ ดอกมงดอกไม้ให้พร้อม”

“พี่นายประชด!” ผมแหวเสียงดัง จนพี่นายส่ายศีรษะอย่างปลงๆ แล้วตักข้าวทานต่อทำหูทวนลมกับเสียงโวยวายของผม คนมันเขินไหมเล่า นึกหน้าบีมออกเลยอะ ไอ้หน้าหล่อๆ กับรอยยิ้มพิฆาตนั่น


ใจผมจะไม่ไหวเอา

เกิดมาผมไม่เคยแพ้อะไรเลยนะ

แพ้บีมคนเดียวนี่แหละ วุ้ย





Rrrrrrrr


“เฮียมุ่ยโทรศัพท์” ฟ้าใสยื่นมือถือส่งมาให้ผม เออ ลืมไปเลยว่าฝากโทรศัพท์ไว้กับน้อง

“ใครโทรมาอะ”

“เฮียเจ๋ง”

“เคๆ เดี๋ยวไปคุยโทรศัพท์แป้ป เหลือแคบหมูไว้ให้ด้วย” ว่าแล้วก็เอ่ยขอตัว จากนั้นเดินออกมายังห้องนั่งเล่นก่อนจะล้มตัวนั่งกับโซฟานุ่มแล้วกดรับสาย

“ว่า”

(ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย) เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของไอ้เจ๋งดังขึ้น ทำเอาผมต้องยกโทรศัพท์ออกจากหูเดาเลยว่าแม่งอยู่ร้านเหล้า ทั้งเสียงดนตรีเสียงคนให้โละไปหมด ข้ามปีมาไม่กี่วันก็เอาเลยนะไอ้พวกนี้ ทีกูละทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นลูกข่างเบลเบลด พูดแล้วเศร้า

“อะไรมึง”

(ห้ะ!? มึงว่าไงนะ พูดดังๆ ซิ ไอ้มุ่ย)

“กูถามว่ามึงโทรมาทำไม” ผมเพิ่มเสียงตัวเองลงไปอีกนิด

(อะไรน้า! ทำไมเสียงมึงเหมือนแมลงหวี่เลยวะ งุ้งงิ้งข้างหูกูเนี่ย พูดดังๆ หน่อยโว้ย!)

“ไอ้ควาย! มึงก็ออกมาข้างนอกสิเหี้ยเอ้ย! อยู่ในร้านจะได้ยินกูไหม” ไอ้เจ๋ง มึงทำให้กูดูโง่ ไอ้เพื่อนเหี้ย!

(อ๋อออ คืองี้!) มันเงียบไปอึดใจหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินและเเสียงดนตรีค่อยๆ เบาลง จนแทบไม่ได้ยิน เดาว่ามันเดินออกมานอกร้านเพื่อที่จะคุยกับผม

“ว่ามา”

(มึงอยู่ไหนอ้ะ!) เสียงแม่งลุกลี้ลุกลนมาก ทำเอาผมต้องขมวดคิ้วงง

“ไอ้สัด จะถามกูแค่นี้ทำเสียงเหมือนเรื่องคอขาดบาดตาย อยู่บ้านโว้ย กลับมาแล้ว” ผมตอบตามความจริง ถือว่าไอ้เจ๋งรู้เป็นคนแรกว่าผมกลับมาแล้วเลยนะเนี่ย

(เชี่ย! จริงดิ งั้นมึงดูนี่) เสียงฝีเท้าและเสียงดนตรีกลับมาตามเดิม ไอ้เจ๋งเปิดกล้องให้ผมดู และมันมืดตึ้ดตื๋อ

“ให้กูดูอะไรวะ”

(แป้ปนึง กูหาแสงแป้ป)

“กูไม่เห็นอะไรเลยสัด เมาแล้วก็ไปนอนไอ้ควายยยยย” ผมตั้งท่าจะวาง แต่หางตากลับสะดุดกับภาพบางอย่างในจอ

“กูแอบถ่ายอยู่เนี่ย มึงเห็นไหม!”

“...”

“พี่บีมมีชู้!”

“...”

(มาด่วนๆ เลย กูเห็นเพื่อนน้องมันดันจนตัวน้องจะเกยตักพี่บีมแล้ว! เหี้ยเอ้ย!)

“...”

(ร้านเฮียตั้มนะมึ -)




ไอ้เหี้ยเอ้ย!


เ- -ดแ-ม!


ผมกดตัดสาย เดินดุ่มๆ กลับมาที่โต๊ะอาหารด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ รู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่บนหัวกองเบ้อเริ่ม ซูลูซัมบาลู ซูลูบาซิกก้าเลยสัดเอ้ย

“พี่นาย!”

“เชี่ย ตกใจหมด มีอะไร”

“พาไปร้านเฮียตั้มหน่อย”

“ไปทำเหี้ยไร”

“ไปกระทืบคน”

“ห้ะ?”

“กระทืบชู้!”




.


.




ร้านเฮียตั้ม


“ให้กูอยู่รอไหม” พี่นายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมจับแขนรั้งผมไว้ก่อนที่จะเปิดประตูรถ

“ไม่ต้องอะ พี่นายกลับเลย” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พี่นายมองหน้าผมครู่หนึ่งเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูดและปล่อยมือจากแขนผม

“พี่นายไม่ต้องกังวล”

“ไม่คือกู -”

“ไอ้บีมตายแน่ พี่นายอย่าห่วง” ผมแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา เมื่อความคิดในสมองเริ่มแล่นไปไกลจากภาพที่คนสองคนอิงแอบแนบชิดกัน

“เออ ดีๆ นะเว้ย”

“โอเช”




ผมยืนรอจนรถพี่นายเคลื่อนออกไปจนลับสายตา จากนั้นก็เดินเข้าร้านอย่างหมายมาด วันนี้กูต้องเอาเลือดหัวใครสักคนออกให้ได้ กล้ามากนะมึง

จากภาพที่เห็นคือเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งนั่งข้างบีม โดยมีใครสักคนพยายามกระแซะให้ผู้ชายคนนั้นเขยิบเข้าไปแนบชิดกับบีมที่สุด จนตัวบีมมันขยับไม่ได้แล้วเพราะติดกับพนักโซฟา อีกนิดคือไอ้เด็กนั่นนั่งตักคนของผมแล้วอะ ผมไม่เห็นหน้าคนตัวเล็กคนนั้นเพราะแสงในร้านมันน้อยมาก อีกทั้งมุมจากการแอบถ่ายของไอ้เจ๋งก็โคตรเหี้ย เห็นหน้าบีมลางๆ หล่อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือฮอตมากกับการปลดกระดุมสองเม็ดบน


หึ ถึงความหล่อของมึงจะทะลุปรอทแต่อย่าหวังว่ามันจะช่วยอะไรได้

กล้านอกใจเฮียมุ่ยคนนี้

ไม่มึงก็กูต้องตายกันไปข้างนึง!


ผมเดินเข้ามาในร้าน เสียงเพลงจังหวะมันส์ๆ ดังจนปอดเต้นตุ้บๆ แต่ผมก็พยายามสอดส่องสายตามองหาโต๊ะบีม เหอะ คืนนี้ผมไม่พลาดที่จะใส่แว่นมาด้วย พูดเลยว่าชัดแจ๋ว มองชัดยันกรุงเทพฯ อะ

ผมเดินแทรกเหล่าผู้คนเข้ามาจนเกือบอยู่ส่วนด้านหน้าสุดของร้าน ก็เจอกับกลุ่มคนหน้าตาดีนั่งกันอยู่ที่โต๊ะมุมซ้ายสุด ดูท่าแล้วน่าจะกำลังกรึ่มๆ ได้ที่


โอ๊ะ!


นั่นไง ผมเห็นหัวเทาเพื่อนบีมแวบๆ นั่นคนตาตี่ กับรุ่นพี่ไอ้โป้ที่ชื่อนิว และอีกสองสามคนที่ผมไม่รู้จัก เพราะจากฝั่งที่ผมมองบีมน่าจะนั่งอยู่ด้านในสุดของโซฟาโดยมีไอ้เด็กที่เสื้อผ้าเหมือนเปี๊ยบกับในภาพนั่งบังอยู่ ทำให้ผมแทบมองไม่เห็นบีม แต่ก็พอเดาได้ว่ามันนั่งอยู่ตรงนั้น


เจอกู!


“ไอ้มุ่ย!” ผมก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคว้าแขนไว้ก่อน เตรียมจะหันกลับไปด่า แต่ก็พบว่าเป็นไอ้เจ๋งเพื่อนผมเอง หน้าเยิ้มแดงมาเชียวไอ้เพื่อนเวร

“สัด มึงปล่อยแขนกู กูจะไปทุบชู้มันให้หัวแบะ” ผมพยายามแกะมือของมันที่กำรอบแขนผม

“เดี๊ยววว! มึงจะเดินเข้าไปงี้เลยรึไง”

“เออ! มึงจะทำไม”

“เหี้ย! มานั่งสงบจิตสงบใจกับพวกกูก่อน มาๆ” สงบเหี้ยไรวะ ดูโน่น จะเกยตักกันอยู่แล้ว ห่าแม่งเอ้ย!

“เอาอะไรมาสงบ อีกนิดคือแม่งแดกกันแล้วมึงไม่เห็นรึไง” ผมบุ้ยปากไปทางฝั่งบีมให้ไอ้เจ๋งดู มันก็ได้แต่ลูบหลังผมให้ใจเย็นลง จากนั้นก็ลากผมให้เดินไปอีกทางหนึ่ง

ผมต้านแรงดึงของไอ้เจ๋งไม่ไหวเลยต้องยอมเดินตามมันมา ทั้งที่ใจแทบอยากเข้าไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน

“ไอ้เพื่อนน้องมุ่ยยยยย กลับมาแล้วว่ะ!” แก๊งเดิม เพิ่มเติมมีไอ้พี่เต้นั่งชิดอยู่กับไอ้โป้ ผมทรุดตัวลงนั่งกับที่ว่างอย่างไม่สบอารมณ์ ดีที่โต๊ะของผมกับบีมอยู่ตรงข้ามกันพอดี ทำให้ถ้าพยายามเพ่งมองจากฝั่งนี้ก็จะเห็นแก๊งบีมได้ค่อนข้างชัดเจน

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ สัด หายไปเที่ยวไหนไม่บอกพวกกูเลยนะ” ไอ้โป้ชงเหล้าให้ผมอย่างรู้หน้าที่

“เพิ่งกลับมาเมื่อเย็น” ผมตอบอย่างหงุดหงิด สายตาก็เหลือบมองแต่ฝั่งที่บีมนั่งอยู่

“อย่าเพิ่งหัวร้อน สักกรึ๊บก่อนดิ้ๆ หายเงียบไม่บอกพวกกูเลยนะน้องมุ่ย” ยื่นมาให้ก็ไม่ขัดศรัทธา ผมยกขึ้นดื่มหวังคลายความเดือดพล่านของตัวเองลง แต่ยิ่งมองก็ยิ่งอยากเข้าไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน เหี้ยเอ้ย! เป็นไรอะ แดกเหล้าแล้วกระดูกละลายเหรอ ตัวอ่อนเลยนะ แถมเซมาซบแขนบีมอีก

“ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใคร” ผมนั่งกำหมัดแน่นหายใจเข้าออกลึกๆ อย่าวู่วามไอ้มุ่ย อย่าวู่วาม

“กูได้ยินมาว่าวิศวะเขามีเลี้ยงสายนอกรอบกัน คนที่นั่งข้างๆ พี่บีมเหมือนเป็นน้องรหัสพี่ก้าน ใช่ป้ะวะไอ้โป้” ไอ้เจ๋งตอบผมพลางหันไปถามไอ้โป้อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เออ ชื่อมิน” ชื่อมอม้าเหมือนกันด้วย ขี้ลอกชิบเป๋ง โว้ย! หงุดหงิด!

“น้องมุ่ยชอบบ่านั่นก๋า โค้ะ หล่อสู้อ้ายบะได้สักกำ” ไอ้พี่เต้เบ้ปากขิงให้ผมฟัง แถมยังเขยิบออกจากไอ้โป้มากอดแขนกระแซะผมอีก

“บีมมันหล่อกว่ามึงล้านเท่าไอ้พี่เต้” ผมผลักหัวโล้นๆ ของพี่มันออกไปอีกทาง แล้วจ้องไปที่สองคนนั้นต่อ นั่นๆ ใกล้เกินไอ้เหี้ย! ใกล้เกิน หน้าแม่งจะฝังคอบีมอยู่แล้ว

“มานี่เต้ ไอ้มุ่ยมันหงุดหงิดอยู่ไม่เห็นเหรอ เดี๋ยวก็โดนฟาดปากซะหรอก” โป้ดึงไอ้พี่เต้กลับไปกอดเอวไว้เหมือนเดิม แหม่ กูละหมั่นไส้

“เดี๋ยวโดนไอ้มุ่ยทุบหรอกพี่เต้ ดูหน้ามัน ฮ่าๆ”

“อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ มึงอย่าคิดมาก” แก๊ปพูดเตือนสติ แล้วบีบไหล่ผมย้ำๆ เพื่อให้ใจเย็นลง

“กูว่ามินอะชอบพี่บีม แต่ไม่น่าเป็นคนกล้าขนาดนี้นะ เท่าที่เคยคุยมา” ไอ้โป้ออกความเห็นที่ดูเหมือนจะเชื่อไม่ได้จากภาพที่เห็นตอนนี้

“ดูๆ แล้วเพื่อนน้องมินอะตัวดี” เจ๋งเสริมทัพอย่างเห็นด้วย

“แล้วมึงไม่ไปกับนั่งกับเขาวะ มึงน้องรหัสพี่นิวนี่” ผมถามด้วยความสงสัย แต่ไอ้โป้ก็ยักไหล่ตอบแบบสบายๆ ว่า ไม่อยาก

“เออ กูว่าเพื่อนน้องมินมากกว่า พ่อสื่อเหรอวะ” ผมชะงักแวบนึงขณะกำลังกระดกเหล้าเข้าปากกับคำพูดของไอ้แก๊ป แล้วเบนสายตามองคนที่นั่งข้างไอ้เด็กตัวเล็กนั่น

“ดูเพื่อนมันดิ ดันจนมินแทบจะสิงพี่บีมละ” เออ จริงด้วยว่ะ ผมเห็นแววตาที่มันมองบีมกับเพื่อนมัน โอเค กูรู้ซึ้งละ จะเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนมึงนี่เอง สัด บีมของกู ไอ้เด็กเหี้ย ไปอ่อยคนอื่นไอ้ควาย

“อย่าไปใส่ร้ายน้องเขา อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เรานั่งห่างกันตั้งไกลมึงก็ว่าไปนั่น” แก๊ปเพื่อนผู้ประเสริฐของกู แต่มึงเห็นสายตาเด็กนั่นไหม แทบจะออกมาเป็นคำพูดว่า ‘พี่ต้องได้กับเพื่อนผม’

“เหี้ยมุ่ยใจเย็น หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ ทำตามกูๆ” ไอ้เจ๋งจับให้ผมหันหน้าไปหามัน แล้วพยายามให้ผมทำตามเพื่อลดความเดือดดาลในใจลง


ฟืด~


“ดีมากเพื่อน พุธ...โธ...พุธ...โธ”


ฟืด~


ผมหลับตาลงพยายามผ่อนลมหายใจตาม เรียกความคูลของตัวเองกลับมา ไม่เว้ยมุ่ย มึงโตแล้วจะโวยวายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ มึงต้องเท่ให้ได้อย่างพี่นายดิวะ หน้านิ่งๆ เข้าไว้ เป็นคนขรึม ท่องไว้ คนขรึม

“จะเอาไงต่ออะไอ้มุ่ย” เสียงแก๊ปถาม ผมจึงลืมตาขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“หน้ามึงเหมือนตึงโบอะมุ่ย ปากยิ้มแต่ตาแม่งแข็งอย่างกับใครเอาไม้จิ้มฟันไปถ่างไว้” ไอ้เหี้ยโป้ ไอ้ควาย

“เหี้ย น้องเขาซบพี่บีมว่ะ”


ขวับ!


“พุธโธไอ้มุ่ย พุธโธ”

“โอ๊ะ! น้องมันจับมือพี่บีมด้วย”


ปึ่ก!


กูไม่ทนแล้ว!


“กูจะไปหาบีม” ผมวางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะอย่างแรงพร้อมยันตัวเองให้ลุกขึ้น ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาสะบัดเล็กน้อย และกดหักนิ้วทีละนิ้วอย่างช้าๆ เสียงดังกร้อบๆ

“มึงไม่ได้จะไปกระทืบน้องมันใช่ไหม หักนิ้วทำไมไอ้สัด”

“เขาเรียกว่าการเตรียมพร้อม” ผมสะบัดข้อมือตัวเองอีกสองสามครั้ง ดึงแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นเพื่อความถนัด

“ให้พวกกูไปด้วยป้ะ เชี่ย พูดตรงๆ กูกลัวไอ้เด็กนั่นไม่ตายดี” ไอ้เจ๋งสะกิดพลางทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“กูไปคุยเฉยๆ อะไรของพวกมึง สังสรรค์อะรู้จักไหม” ผมว่าพลางหยิบแก้วของใครสักคนขึ้นมากระดกย้อมใจ แล้วเดินมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าผ่านหน้าเวทีที่มีนักร้องกำลังส่งเสียงร้องเพลงอย่างเมามันส์ จนมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะของบีม จุดมุ่งหมายของผมในค่ำคืนนี้



!!!



“บีม หึ...หึ...”

“น...น้องมุ่ย” ทั้งโต๊ะหันมามองผมเป็นตาเดียว โดยเฉพาะบีมที่เบิกตากว้างจนแทบจะถลนที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้

“เชี่ย! น้องมุ่ย!?”

“น้อง! มาได้ไงวะ?”

ผมเพิ่งจะได้เห็นหน้าบีมชัดๆ หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือน เหมือนมันจะหล่อขึ้นเลยว่ะครับ เอ๊ะ? หรือเพราะทรงผมใหม่ที่เซตแบบเสยขึ้นเลยทำให้เห็นโครงหน้าและสันกรามที่ชัดเจนนั่น รวมไปถึงการแต่งกายที่เรียกได้ว่าล่อเสือล่อตะเข้ที่แท้ ปลดทำเหี้ยอะไรกระดุมอะ เห็นแล้วอยากจะติดให้ถึงคอ ดีนะกางเกงมิดชิดดี ไม่ขาดๆ เกินๆ เหมือนของพี่รหัสไอ้โป้

ขณะที่ผมกำลังเดินมาที่โต๊ะ ผมก็แอบส่องแล้วเห็นว่าบีมทำหน้าเย็นชาสุดๆ เลยว่ะ ถึงไอ้เด็กข้างตัวจะชวนคุย บีมก็แค่ยิ้มให้เล็กน้อยแต่แววตากลับไม่ยิ้มตาม เหมือนมันพยายามจะดึงมือตัวเองออกนะ แต่เด็กนั่นก็ทำหน้าเบะร่ำๆ จะร้องไห้ จนบีมถึงกับมองบนอย่างเบื่อหน่าย ดีมากบีม ถ้ามึงทำตัวเริงร่าละก็ มึงได้ตายไปพร้อมกับเด็กลูกเจี๊ยบแน่

รวมๆ แล้ววันนี้บีมแม่งดีชิบหาย ใจเต้นนิดนึงเลยครับ จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีไอ้เด็กหน้าวอกนั่งอยู่ข้างๆ ผมแอบเห็นบ่าน้อยนั้นสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นผม หน้าขาวๆ จิ้มลิ้มมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัยระคนแปลกใจ

แน๊! มีจับแขนกันด้วย เดี๋ยวมึงเจอกู บะเดวคิงฮู้เลย เล่นกับไผบ่าเล่น มาเล่นกับคนอย่างเฮียมุ่ย

“ไอ้บีม กูไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน มึงแอบคบชู้สินะ หน๊อย! มันจะหยามหน้ากันเกินไปแล้ว กล้ามากนะ” ผมแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหดที่สุดในชีวิต พร้อมก้าวฉับเดินเข้าไปหาแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบีม ที่ยังคงจ้องมาที่ผมราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าไอ้มุ่ยตัวจริงอยู่ตรงนี้แล้ว

พอเหลือบตามองไปยังไอ้เด็กลูกเจี๊ยบก็เห็นแม่งนั่งหน้าซีดเผือดตัวสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือบีม โดยมีไอ้เพื่อนตัวดีส่งแววตาไม่เป็นมิตรมาให้ เห็นแล้วเกะกะลูกตา อยากจับมันสองคนโยนออกนอกร้านโคตรๆ เลยว่ะ


กูกลัวมึงตายแหละไอ้เหี้ยเอ๊ย! ซักฝุ่นไหมล่ะสัด

มอง มองหน้า เดี๊ยวปั้ดเสยแม่ง

กูอะตัวท็อป เทคนิค AAA รู้จักปะ ทำหน้าทำตากวนตีน อย่าให้กูขึ้น ลงยากนะบอกไว้ก่อน


“มุ่ย กลับมาเมื่อไร” บีมสะบัดมือเด็กคนนั้นออกจนเด็กลูกเจี๊ยบหน้าเหวอแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ผมใช้มือทั้งสองข้างดันตัวบีมให้นั่งลงเหมือนเดิม

“เหยิบ!”

“อ้ะ!”

“ไปกระแซะกับเพื่อนมึงนู่น ที่ตั้งกว้างนั่งเบียดบีมอยู่นั่นแหละ เป็นเหี้ยอะไร ขาดความอบอุ่นเหรอ กูซื้อผ้าห่มให้ไหม ขนเป็ด ขนไก่ ขนหมา เอาอะไรเลือกมา” จัดไปหนึ่งดอกพร้อมกับแทรกตัวลงนั่งระหว่างบีมกับเด็กหน้าวอก แล้วสอดประสานมือตัวเองกับบีมแน่น กระซิบกับมันว่าอย่าปล่อยเชียว ทำเอาบีมที่อึ้งไปพักนึงจากการกระทำของผม หัวเราะออกมาเบาๆ แววตากลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม และเป็นฝ่ายบีมเองที่กระชับมือแน่นจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้อากาศผ่านมือของเราสองคน

เขินเลยว่ะ ใจผมอ่อนยวบยาบหมดแล้วเนี่ย แต่ไม่! ผมต้องทำเท่ไว้ก่อน ใจแข็งไว้ไอ้มุ่ย!

“มึงเป็นใคร” เป็นเพื่อนไอ้เด็กนีออนที่ถามผมเสียงกร้าว พลางดึงตัวเพื่อนตัวเองที่กำลังช็อคกับคำด่าของผมเข้าหาตัวเอง ลูบเนื้อลูบตัวเด็กลูกเจี๊ยบใหญ่เลย ตัวมันพอๆ กับบีม แถมหน้าตาโหดอย่างกับไอ้ด่างข้างบ้าน โด่ กลัวมึงตายแหละไอ้สัด

ผมมองไอ้เด็กตัวเล็กที่เริ่มจะหายช็อคและกำลังทำหน้าเบะน้ำตาคลอจะไหลแหล่มิไหลแหล่ ชวนให้น่าสงสาร จะร้องก็ร้องออกมา ทำมาเป็นฮึบๆ เห็นแล้วน่ารำคาญ

“กูถามว่ามึงเป็นใคร กล้าดียังไงมาผลักเพื่อนกู”

“กูเป็นใครแล้วเกี่ยวอะไรกับมึง ชอบทำตัวเป็นพ่อสื่อนักเหรอมึงอะ ไม่อยากตายดีหรือไง” ผมเถียงกลับไปอย่างไม่ยอม เอาดี๊! เรื่องต่อปากต่อคำกูล่ะถนัดนัก พอนอสอนกูมา มึงมาเล้ย

“พูดเรื่องเหี้ยอะไร”


ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


“เด็กๆ ใจเย็นๆ กันก่อนครับ!” เสียงเพื่อนบีมแทรกขึ้นมาก่อนที่สถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม ผมเบ้ปากแล้วหันหน้าหนีมาอีกทาง ก็เห็นหน้าแป้นแล้นของบีมที่ส่งยิ้มแฉ่งมาให้ผม

“หึงเหรอ” เสียงกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาทำผมจักจี้ จนต้องระบายด้วยการตีไหล่หนาๆ นั่นหนึ่งป้าปแก้เขิน

“เดี๋ยวบีมก็จะโดนไม่ใช่น้อย” ผมแอบหยิกอีกหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้กับท่าทีของบีม ทำเป็นหัวเราะ เดี๋ยวมึงได้เคลียร์กับกูแน่

“อ่า วันนี้พวกพี่พาน้องมาเลี้ยงสายกันน้าน้องมุ่ย บรรยากาศกำลังสนุกเน้อ แหะๆ” คนหัวเทาพยายามหัวเราะเพื่อให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดลง ผมเหล่มองเด็กสองคนนั้นก็เห็นว่าเพื่อนมันกำลังปลอบเด็กลูกเจี๊ยบอยู่ วุ้ย ขี้แยชิบเป๋ง

“ใช่ๆ ใจร่มๆ แล้วเรามาดื่มกันดีกว่าเนาะ มาๆ พี่ชงให้” พี่นิวโบกมือปัดๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักแล้วสะกิดพี่หน้าโหดอีกคนให้ชงเหล้าให้ผม

“น้องมุ่ยคงไม่เคยเจอน้องสองคนนี้ เดี๋ยวพี่แนะนำให้รู้จักกันก่อนนะครับ ก้อง มิน นี่น้องฟ้ามุ่ย อยู่ปีหนึ่ง คณะศิลปกรรม น้องมุ่ยครับ นี่ ก้อง น้องรหัสไอ้ปั้น กับมินน้องรหัสพี่เอง” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งให้อย่างกวนๆ โดยมีไอ้ก้องส่งสายตาอัมหิตมาให้เหมือนกับพยายามระงับอารมณ์อยู่

“ค...คนนี้เหรอครับ ฟ้ามุ่ย” เสียงเล็กเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางแอบเงยหน้าขึ้นมองผม แต่พอเห็นผมถลึงตาใส่ก็หดหัวกลับเหมือนเดิม

“เรียกชื่อกูทำไม ใครให้เรียก”

“พูดดีๆ ไม่เป็นรึไงวะ เห็นไหมว่ามินกลัว”

“เสือก กูไม่ได้พูดกับมึง”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” เด็กยักษ์หมดความอดทนซะแล้ว มันทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ผม แต่เด็กลูกเจี๊ยบรั้งแขนไว้ก่อน พร้อมกับบีมที่ดึงตัวผมเข้าหา

“อย่ายุ่งกับมุ่ย” บีมเอ่ยเตือนเสียงเข้มจัดพร้อมกับใบหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัวที่ส่งออกมาผ่านแววตาคม

“ก้อง นั่งลง อย่ามีเรื่อง เราไม่ชอบ” พูดกับเพื่อนนะแต่สายตากลับมองมาที่บีม เหอะ มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเด็กนี่ชอบบีม แววตาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ปากแดงๆ นั่นเบะลงอย่างน่าเอ็นดู ชวนให้นึกถึงตุ้กตานุ่มๆ น่าจับบีบ มันเขี้ยวเลยว่ะ

ผมสังเกตว่าไอ้เด็กคนนี้แม่งตัวขาวชิบ มึงจะเรืองแสงอยู่แล้วนะนั่น ขอยืมไปส่องตอนห้องไฟดับได้ไหมวะ คนอะไรจะขาวขนาดนั้น

“เราชื่อมินนะ เป็นน้องรหัสพี่ก้าน”

“กูชื่อมุ่ย”

“อืม เราพอจะรู้” น้ำเสียงเศร้าๆ ฟังแล้วหดหู่ชะมัด หน้าไอ้เด็กนีออนไม่เหมาะกับหน้าบู้บี้อย่างแรง ไม่สนุกเลยว่ะ มันอ่อนอะ เหมือนผมกำลังรังแกเด็กสองขวบอยู่เลย

“รู้จักกูด้วยรึไง”

“อึ้ม พี่บีมเล่าให้ฟังเมื่อกี๊” ผมหันขวับกลับไปมองบีมเอาแต่ยิ้มอย่างเดียวแถมยังวางคางลงกับบ่าผมอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“บีมอย่ามากระแซะได้ปะ ขนลุก” ลมหายใจของบีมคลอเคลียอยู่ข้างแก้มไปจนถึงบริเวณลำคอ ทำให้ใบหน้าผมร้อนวูบวาบขึ้นมา พยายามเบี่ยงหนีแต่คนตัวสูงก็ตามเบียดกันได้ตลอด จนผมเหนื่อยและปล่อยเลยตามเลย

“คิดถึง”

“นี่คิดถึงบีม ยังแค่จับมือเฉยๆ เลยอะ ไม่ได้วอแวสักนิด”

“อันนี้คิดถึงมาก”

“คิดถึงเท่าโลกยังไม่พูดเลย อย่ามาเกทับได้ไหมวะ”

“โอ๊ย! กูจะอ้วก” เสียงพี่นิวพูดแทรกดังขึ้นทำให้ผมผละจากบีมแล้วนึกขึ้นได้ว่ายังต้องเคลียร์กับเด็กลูกเจี๊ยบอยู่นี่หว่า

“พวกมึงค่อยคิดถึงกันที่อื่นได้ไหมสัด กูละเบื่อ” พี่หน้าโหดยกแก้วขึ้นดื่มพลางทำหน้าเหม็นเบื่อจะแย่ ไม่มีคนให้คิดถึงอะดิ้ วุ้ยๆ

“มุ่ย...กับพี่บีมเป็นอะไรกันเหรอครับ” น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยออกมาแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยิน


เหี้ย...


“ผ่าน กูไม่ตอบ” เสียงจิ้จ้ะจากบีมดังขึ้นราวกับขัดใจในคำตอบ ผมต้องหันไปจุ๊ปากให้บีมอยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งกวน

“ส...แสดงว่ายังไม่ได้เป็นแฟนกัน ร...เรายังมีสิทธิ์สินะ” เด็กนีออนพูดพึมพำกับตัวเองทำให้ผมได้ยินไม่ชัด แต่ดูจากสีหน้าที่เริ่มดีขึ้น และรอยยิ้มเล็กๆ นั่น สิ่งที่มันคิดอยู่ในหัวต้องเป็นสิ่งที่ผมไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

“ไอ้เด็กหน้าวอก เมื่อกี๊มึงจับมือบีมทำไม” ผมตรงเข้าประเด็นทันที จนทำให้คนตรงหน้าสะดุ้งโหยงหันไปสะกิดเพื่อนพลางทำหน้าอ้อนให้ช่วยตอบ

“มันมืด”

“ตอบเหมือนกูโง่อะ มึงอ่อยบีมเหอะ ดูออก”

“ร...เราเปล่า! ไม่ใช่อย่างที่มุ่ยคิดนะ” มือไม้โบกปฏิเสธให้วุ่นไปหมด หน้าแดงแล้วแดงอีก แดงลามไปทั้งตัว

“อย่ามาอ่อย บีมมีคนที่ชอบแล้ว ใช่ไหม?” ผมถามแกมส่งสายตากดดัน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อให้ผมใจเต้นเล่นๆ

“ไม่รู้สิ”

“อ้าว! บีม ต่อยกับกูเลยเถอะ พูดงี้” ผมกระชากมือตัวเองออกทันทีด้วยความไม่พอใจ แต่บีมก็ไม่สะทกสะท้านมองผมด้วยแววตาวาววับ ไอ้ตัวดี ไอ้บีม มึงแม่ง

“มึงไม่เคยพูดอะไรนี่น้องมุ่ย”

“มึงก็รู้อะ”

“ไม่รู้หรอกถ้าน้องมุ่ยไม่พูด”

“เดาเอาดิ ง่ายๆ”

“เดาไม่ได้เลย”

“คิดสิ เรียนวิศวะนี่”

“ต่อให้เรียนหมอก็คิดไม่ออกหรอกนะ”

“บีม!”

“ครับ” ผมบอกเลยว่าผมเกลียดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากบีมมาก แม่งเอ้ย กูแพ้มันอีกแล้ว ฮึ่ย

“ถ้าพี่บีม! ...” เสียงเด็กลูกเจี๊ยบแทรกเข้ามาทำให้ผมกับบีมหันไปมอง มือเล็กๆ กำแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มันไม่ดีต่อใจกูแน่ๆ เวรเถอะ ไอ้เด็กเอสี่ อย่าพูดออกมาเชียวนะ

“ถ้าพี่บีมยังไม่มีใคร มิน...มิน...”

“พูดเลย” เสี้ยม ไอ้เหี้ยนี่ก็เสี้ยมจัง ไอ้ก้องต้องซักยกกับกูแล้วล่ะ

“มินขอจีบพี่บีมได้ไหมครับ” สิ้นเสียงคนตัวเล็กพูด

“เหี้ย!” เสียงอุทานประกอบฉากอันแสนน่ารักดังมาจากเพื่อนของบีม อืม ผมว่านาทีนี้ไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้วล่ะ


...


เหี้ย!


“ไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ...” เงียบไม่ถึงอึดใจ ผมก็กระเถิบตัวเองเข้าหาเด็กนั่นทีละนิด ตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง

“...”

“ไอ้เด็กนีออน...” เข้าหาทีละนิด จนใบหน้าของผมกับมันห่างกันเพียงไม่กี่คืบ

“...”

“พูดออกมาแบบนั้น...” ผมใช้ปลายนิ้วเชยคางเด็กน้อยให้เงยหน้ามามองกัน แววตากลมโตสั่นระริกแต่ก็แฝงด้วยความใจสู้

ผมยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำเวลาเจอพวกศรันย์ แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้อีก จนเห็นทุกรายละเอียดบนใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ไม่เว้นแม้กระทั่งริ้วสีแดงระเรื่อที่พาดผ่านช่วงหน้าแก้มลามไปถึงใบหูน้อยๆ นั่น


หลงกูละสิ้ ฮิฮิ

มองหน้ากู นั่นแหละ ดี มองให้ชัดๆ


“ไม่ให้หรอกนะ” ผมเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปกระซิบติดชิดใบหูแดงก่ำ

“ม...มุ่ย” เสียงครางเครือเอ่ยออกมาเรียกร้องให้ผมออกห่าง แต่ผมไม่ทำ หางตาแอบเห็นหยาดน้ำร่วงล่นผ่านแก้มใสนั่น ทำให้ผมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แกล้งคนอ่อนแอกว่า สะใจจริงโว้ย!

“บีมน่ะ ของกู”

“ฮึก...”

“ฟังอีกครั้งนะครับ”

“ออกห่างจากเพื่อนกู!” เป็นไอ้เหี้ยก้องที่ผลักตัวผมออกอย่างแรงจนเซไปชนเข้ากับอกแกร่งของบีม ไอ้เด็กเหี้ย ผลักมาได้ เจ็บชิบ

“ฮึก! ฮือ” ปล่อยโฮออกมาจนได้ กูยังไม่ทันทำอะไรเลย แกล้งนิดเดียวเองอะ

“ก้อง” เสียงเรียกคำรามต่ำอยู่ในลำคอ ของคนที่เอาตัวเองรองรับผมไว้ แต่ผมเอื้อมมือตบเบาๆ ที่อกแกร่งเป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งยุ่ง รู้ว่าอยากกระทืบไอ้เด็กห้าวตีนนี่แต่ยังไม่ถึงเวลาหรอกนะ

“ฟังไว้ ไอ้เด็กนีออน!” ผมลุกขึ้นยืนตะโกนเสียงกร้าว ซึ่งไม่รู้หรอกว่าดังแค่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าคนอื่นๆ ในร้านจะได้ยินหรือเปล่า นาทีนี้ผมสนแค่ทำยังไงก็ได้ให้เด็กมินจำใส่ใจไว้ให้แม่นๆ

“ฮือ”

“บีมอะของกู!”

“...”

“ว้าว...”

“กูชอบบีม!”

“เชรด...”

“กูชอบมันมาตั้งนานแล้วเด็กโง่! กูกลับมาก็เพื่อจะบอกว่าชอบมันนี่แหละ!”

“...”

“ชิบหาย! กล้ามากนะ มาขอจีบบีมต่อหน้ากู หน๊อย! ฝันไปอีกสิบชาติ ไม่ให้จีบโว้ย!”

“...”

“อย่าให้กูเห็นว่ามึงมาตามเจ๊าะแจ๊ะบีมนะ แค่วันนี้ก็เกินพอ กูหึงมาก! พูดเลย! ให้ตายดิวะ...”

“ฮือ...เราขอโทษ...ขอโทษที่ชอบพี่บีม”

“ขอโทษทำไม! อย่ามางอแงนะ! กูบอกเหรอว่าห้ามชอบบีม กูบอกว่าห้ามจีบ! บีมมีกูแล้ว”

“เราไม่เข้าใจ”

“ความชอบมันเลิกได้ง่ายๆ ที่ไหน กูเคยลองแล้ว อย่าโง่ ไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ!”

“ฮึก...มุ่ยหมายความว่าไง”

“ไม่รู้! กลับไปคิดเอง พี่กูบอกมาแบบนี้! กูจำเขามา!”

“...”

“ถ้ากูยังเห็นมึงมากระแซะๆ เข้ามาสิกับบีมอีกนะ กูจะเอา...นี่!” ผมมองกวาดทั่วโต๊ะหวังหาอะไรมาขู่ สายตาก็เหลือบไปเจออาวุธลับ

“เห็นช้อนไหม กูจะใช้มันเคาะหัวมึงให้ร้องไห้แงๆ เหมือนวันนี้อีก จะลองไหม หา!” ผมถลึงตาชูช้อนขึ้นขู่ เอาดิมึง กล้าไหมล่ะ


ตุ้บ!


“เหี้ยๆ จะล้มๆ”

“ฮือ มุ่ย เราขอโทษ!” จู่ๆ ไอ้เด็กนีออนก็โผเข้ามากอดผมเข้าอย่างจังจนตัวเองเซล้มลงกับโซฟา เวร! ดีนะไม่กระแทกกับพื้น

“เห้ย!” เสียงอุทานดังขึ้นอีกระลอกจากเหล่าเพื่อนบีม อย่าว่าแต่พวกนั้น ผมก็เห้ยเหมือนกัน


เดี๋ยว...

มึงมากอดกูทำไมเนี่ย!?


“อะ...อะไรของมึงไอ้ลูกเจี๊ยบ” ผมเป็นงงหนักมากเมื่อมันเอาแต่ซุกแล้วก็ซุกกับอกผม ร้องไห้แงๆ จนสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณนั้น มือไม้ยกขึ้นเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก สมองคิดไม่ตกว่าจะปลอบหรือจะผลักเด็กนี่ออกดี

“ฟื้ด...เราไม่รู้ เราแค่ชอบพี่บีม เรา...ฮึก ไม่รู้ว่ามุ่ยกับพี่บีมคบกัน”

“ยัง! กูยังไม่ได้ขอเลย มั่ว!”

“น...นั่นแหละ มุ่ยไม่โกรธเรานะ ไม่โกรธเราได้ไหม เราไม่จีบพี่บีมแล้ว ฮือ” แรงรัดจากอ้อมแขนเด็กนีออนแน่นขึ้น ใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบน้ำหูน้ำตาผละออกมาแล้วช้อนตาขึ้นมองอย่างขอความเห็นใจ


ม...เหมือนแมวเลยว่ะ


“มุ่ยยก ฮึก ยกโทษให้เรานะ”

แมว แมวชัดๆ ผมใช้มือสองข้างของตัวเองประกบเข้าที่ข้างแก้มเด็กลูกเจี๊ยบ บีบเข้าหากันจนหน้ายู่ คิ้วขมวดกันแน่นอย่างใช้ความคิด


เออ หน้าบู้บี้ชิบหาย


“กู -” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรแขนผมก็ถูกดึงออกจากคนข้างหลัง ทำให้หลุดจากอ้อมกอดของเด็กแมว

“อะไรของบีมเนี่ย...” สีหน้าถมึงทึงบ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมาชัดเจนจ้องมองมาที่ผมอย่างคาดโทษ แล้วหันไปพูดกับไอ้ก้องด้วยน้ำเสียงดุจัด


เหี้ย เสียงโหด เหมือนโกรธใครมา

มีแววว่าจะเป็นกู


“ดูแลเพื่อนมึงดีๆ ก้อง” ไอ้ก้องรับเพื่อนตัวเองที่เซเข้าหาไว้ได้ทัน แต่เหมือนเด็กแมวจะไม่ยอม พยายามสะบัดมือตัวเอง อ้าแขนจะวิ่งเข้ามาหาผม


กูถามจริง!?

เป็นอะไรของมึง!


“กลับกันได้แล้ว” บีมเปลี่ยนจากจับแขนมาโอบบ่าผมไว้หลวมๆ

“มุ่ย...ฮึก!” เรียกผมได้แอะเดียว ตาคู่สวยของบีมก็ตวัดมอง จนน้องมันถึงกับต้องฮึบไว้ด้วยความกลัวโดนดุ โดยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองมาที่ผมตาละห้อย

“พาเพื่อนมึงกลับไปพักซะ กูรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ อย่าทำอีก” บีมเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง สายตาทอดมองไปยังไอ้ก้องอย่างเฉยชาแต่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด และเป็นไอ้เด็กยักษ์ที่หลบตาบีมก่อน เอ๊ะ? แปลกๆ นะ

“อย่ายุ่งกับน้องมิน” บีมเอ่ยเสียงแข็ง จนผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตากับบีมอย่างไม่เข้าใจ เหมือนคนตัวสูงจะรับรู้ได้ถึงความงงงวยของผม แววตาคู่นั้นจึงกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง และกลายเป็นผมซะเองที่รู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ จนต้องหันหน้าหนี



“อะไรของบีมอะ”


“อย่ามองให้มาก”


“หวง?”


“ใช่”


“หวงมิน?”


“ไม่...”


“แล้ว...หวงใครอ่า” อะ อะ แกล้งๆ ถาม


“หวงมึง”



ไอ้บ้า...


พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย บีม


บีม เนี่ยน้า


...เหี้ยเอ๊ย จะกลั้นยิ้มไม่ไหวแล้ว ฮุบ!







********************************************

หวีดเด็กๆและพูดคุยกันได้ที่ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน

บีมของใครนะคะ?

มาแล้วค่ะทุกคนนน บทนี้สงสารน้องมินมาก แต่มุ่ยก็น่ารักมากๆเช่นกัน

ตอนต่อไปมาแอบดูพี่บีมน้องมุ่ยเค้าเคลียร์ใจกันนะคะ หุหุ

ฝุ่น PM 2.5 มาแล้ว อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านและดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

Follow me on twitter @chanadbears

ออฟไลน์ Nattharikan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้เลย เราข้ามเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี้ย สนุกมากๆเลยค่ะ เรื่อง​นี้จะเป็นอีกเรื่อง​หนึ่งที่จะกลับมาอ่านอีกบ่อยๆ มาต่อเร็วๆนะคะ  :pig4: :กอด1: :mew1:

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน
ตั้งแต่เมื่อคืน สนุกจนวางไม่ลง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 25

เราคงต้องเป็นแฟนกัน



“แล้ว...หวงใครอ่า”

“หวงมึง”

บีมแม่ง...

“ขี้โม้ว่ะบีม” ผมตีไหล่บีมที่พูดอะไรไม่รู้ออกมาหน้าตาเฉย ดันแว่นขึ้นพลางหลบสายตาบีมแล้วมองไปทางอื่น ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย มุมปากกระตุกยึกๆ อยากจะยิ้มกว้างๆ แต่ทำไม่ได้เพราะคีพคูลอยู่

“เขิน ดูออก” บีมเอียงคอมอง ยิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ

“ก็ตกกะปิดีนี่”

“ปกติ”

“ตึ่งโป๊ะ!”

“เขินแล้วเล่นมุกไม่ฮาเลย” บีมกลอกตามองบนขณะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มือแกร่งจับแขนผมแล้วดึงเข้าหาตัวเองโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังจะอ้าปากโวยวายแต่บีมก็ยกนิ้วขึ้นทาบริมฝีปากก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ผมหยุดพูด คิ้วเข้มขมวดเป็นปมพลางบึนปากขึ้นอย่างน่ารัก


ไอ้ตัวดี...


ไอ้ตัวดี!


“ไอ้มุ่ย! เป็นไงบ้างวะ? กูมาช่วยแล้ว” ไอ้เจ๋งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าท่าทางเป็นห่วงเหลือเกิน ตามด้วย แก๊ป โป้ แล้วก็พี่เต้

“เหี้ย มึงทำน้องร้องไห้เหรอ”

“กูเปล่าสักนิด ขู่นิดเดียวเอง ร้องดังไปนู่น อ่อนว่ะ”

“ฮึก มุ่ย”

“ไม่ต้องมาเรียกกูเลยไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ หุบปากมุบมิบของมึงแล้วกลับไปนอนเอ่เอ๊ไป๊ รำคาญจริงๆ” เสียงอึกอักของเด็กนั่นดังมาถึงผม ฟังแล้วอยากบีบปากเล็กๆ นั่นให้บี้แบนไปเลย อะไรมันจะเป็นนุ่มนิ่ม ตะมุตะมิขนาดนั้นวะ เป็นผู้ชายมันต้องฮึกเหิม! ใจๆ กันหน่อย จะมาร้องไห้งอแงอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เหอะ พวกมนุษย์กินพืชอ่อนแอก็งี้

“มุ่ย เราขอโทษนะ” ผมถลึงตาใส่เด็กนีออนที่ทำท่าจะโผเข้าหาผมอีกรอบ มันจึงหยุดกึกทันที แล้วเบะปากมองผมเหมือนน้อยใจที่ผมว่าเข้าให้

“ทำหน้าทำตา อยากโดนช้อนเคาะหัวรึไง” ผมชูอาวุธทำลายล้างขึ้นขู่ กะว่าจะเดินเข้าไปบีบแก้มย้วยๆ ของมันอีกด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็โดนมองแรงจากเพื่อนมันที่โอบไอ้ตัวเล็กไว้แน่น

“อย่ามาใกล้เพื่อนกู” เฮ้อ! ทำมาขู่

“อยากเข้าใกล้ตายล่ะ บอกเพื่อนมึงเถอะ” ผมเบ้ปากแลบลิ้นให้ โธ่เอ๊ย แค่ตัวใหญ่ทำมาเป็นขู่ เฮียมุ่ยคนนี้ไม่เคยกลัวใคร ชีวิตและจิตใจยกให้บีมคนเดียว มึงมันก็เป็นแค่ไก่บ้านจะมาสู้ไก่ชนอย่างกู ฝันอีกสิบชาติเถอะว่ะ

“ผม ผมขอโทษแทนก้อง”

“บอกว่าให้เงียบๆ พูดทำไม” ผมตวัดเสียงว่ากลับ ทำเด็กสะดุ้งอีกแล้ว

“ไอ้เหี้ยมุ่ยรังแกเด็ก”

“มุ่ยนี่มึงกากถึงขั้นด่าเด็กเหรอว่ะ”

“กับเด็กมึงยังไม่เว้น”

“โว้ยย! อะไรของพวกมึง” ผมมองสายตาเหยีดหยามของเดอะแก๊งแต่ละคน การที่เพื่อนกำลังรุมด่าผมคืออะไร แล้วดูหน้ามัน มองผมเหมือนเป็นไอ้เลวชาติชั่วรังแกเด็กตัวกะเปี๊ยกที่ไม่มีทางสู้ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเอ็นดูไปที่ไอ้เด็กหลอดไฟนั่น


กูเอง! กูเพื่อนมึงเอง


มันมาเจ๊าะแจ๊ะบีมของกูนะเว้ย


“น้องมันเด็กกว่ามึง ไปด่าเขาทำไม” ไอ้เจ๋ง ไอ้เหี้ย

“อ้ายหันตวยๆ น้องมุ่ยบ่าดียะจะอั้นก๊า เอ็นดูละอ่อนเปิ้น” พี่เต้ไม่พูด ไม่มีใครว่ามึง เชื่อกู

“พอๆ พี่ว่าเราแยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่าไหม นี่ก็ดึกมากแล้ว” เป็นพี่รหัสไอ้โป้ที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ ตัวผมถูกบีมกอดคอไว้ บีมไม่พูดอะไรแต่สายตาแสดงออกชัดว่าให้อยู่ตรงนี้ ผมได้แต่มองไอ้ก้องพาเด็กนีออนเดินออกจากร้านไป ไม่วายยังหันมาทำหน้าเบะใส่อีก เหลือเกินจริงๆ

“ไป ไอ้มุ่ย กลับบ้าน เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมพยักหน้าหงึกหงัก กำลังจะก้าวเดินตามไอ้โป้ไป แต่บีมก็รั้งผมแถมยังทำหน้าดุใส่กันอีก อิหยังวะฮึ?

“จะกลับบ้านแล้วบีม กูแวะมาโวยวายเฉยๆ” ผมหันบอกบีม พลางยกยิ้มกว้างให้ แต่คนตัวสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีก

“เฉยมากไอ้สัด ทำเด็กร้องไห้”

“หุบปากสัดโป้” ผมชูนิ้วพลางแลบลิ้นให้มันอย่างกวนตีน ไอ้โป้ทำท่าจะเข้ามาเตะแต่พี่เต้ก็รั้งไว้แล้วดุมันที่ว่าให้กับผม

“กลับกับกู น้องมุ่ย” ผมหันมาสนใจบีมอีกครั้ง ที่ตอนนี้กำลังฉีกยิ้มละมุน แต่ตาเป็นประกายวาววับทำเอาผมขนลุกเกรียว

“ส่งบ้านกูใช่ไหม?”

“ห้องกูครับ”

“วิ้ว~~”

“ผิวทำเหี้ยอะไร เดี๋ยวกระหังจะมาจกตับพวกมึง” ผมหันไปตวาดใส่เพื่อนเลว ที่สุมหัวกันหัวเราะคิกคัก

“ไปดีมาดีนะไอ้มุ่ย”

“แน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวเจอกูเตะเรียงตัวแน่” ผมชี้หน้าคาดโทษพวกมันไว้ แต่แม่งไม่สำนึก มองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย เป็นเหี้ยอะไรกันอีกอะ ไอ้พวกนี้

“จะมาได้รึเปล่าเถ้อ~”







ห้องบีม


“ไอ้บูไม่อยู่เหรอ” ผมยืนเกาะขอบประตูเยี่ยมหน้ามองเข้าไปในห้องสุดหรูที่เคยย่างกรายเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งภายในห้องกว้างนั้นไม่มีวี่แววน้องชายบีมเลย แถมยังเงียบสนิท ผมไม่ได้มาห้องบีมนานเหมือนกันนะ เออ พูดเหมือนมาบ่อย เปล่ามาแค่ครั้งเดียว เสือกเมาด้วยตอนนั้น

“เข้ามาไอ้น้องมุ่ย เปลืองแอร์” บีมกวักมือเรียกให้ผมเข้าห้อง รู้สึกแปลกๆ ว่ะครับ สมองมันบอกผมว่าถ้าเข้าห้องบีมไปแล้วจะไม่ได้ออกมาอีก


คิดมากไอ้มุ่ย ไร้สาระจริงๆ มึงนี่


ผมเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตูให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ และถอดรองเท้าแตะคีบวางไว้ข้างๆ ของบีม โห หมดนี่ซื้อกล้องผมได้หลายตัวเลยอะ จิ๊กสักคู่สองคู่บีมไม่รู้หรอก ฮ่าๆ

“มานี่เร็ว” ไอ้นี่ก็เรียกจังเลยเว้ย ผมเลยต้องผละจากร้องเท้าแบรนด์เนมของสองพี่น้อง แล้วเดินไปยังโซฟาตัวใหญ่ที่บีมนั่งอยู่ เออ เพิ่งได้สังเกตชัดๆ ว่า ห้องของบีมกว้างมาก ขนาดห้องที่อยู่สองคนแบบสบายๆ สามคนก็ยังเหลือๆ อะ แม่งลูกคนรวยนี่หว่า อิจฉาว่ะ

“บีมยังไม่ตอบกูเลย ไอ้น้องบูไม่อยู่ห้องเหรอ” ผมถาม

“มันไปเที่ยวกับเพื่อน”

“วุ้ย เดี๋ยวนี้ไม่หวงน้องมันละ?” ผมหรี่ตามองบีมยิ้มๆ ทำมาเป็นเก๊ก โธ่เอ๊ย ผมรู้หมดแหละ จริง! ว่าบีมหวงแล้วก็ติดน้องบูมันเอามากๆ ไม่งั้นคงไม่เครียดเป็นบ้าเป็นหลังเรื่องที่น้องมันจะเข้ามหา’ ลัยหรอก

เขาเรียกว่าอะไรนะ ค่อนๆ เบค่อนป๊ะ? เออ เบค่อนอะ ผมได้ยินบ่อยในการ์ตูนญี่ปุ่นที่พี่ชายมักจะติดน้องชายมากๆ

“หวงอะไร”

“เอ้า ที่ตอนนั้นมึงดุน้องไง เรื่องเรียนมันอะ” ผมทรุดตัวนั่งลงติดพนักพิงฝั่งขวา ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ โดยมีบีมนั่งอยู่อีกฝั่งมองมาที่ผมโดยไม่ละสายตา

“นั่นเรียกว่าห่วง”

“ก็เหมือนกันไหมวะ”

“ไม่เหมือน”

“ตรงไหน” บีมแม่งขี้เถียง ผมล่ะจนใจ

“ห่วงใช้กับน้องกับเพื่อน”

“เออ แล้วไงอะ”

“หวงใช้กับมึง น้องมุ่ย”

“...”

“...”

“มึงพูดหวาน แต่หน้ามึงเหี้ยมคือไรวะบีม” รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงแน่ๆ แต่ดูบีมตอนนี้ดิ ยิ้มโหดเหมือนโกรธใครมา

อะ คนๆ นั้นคือกูแน่นอน

“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะน้องมุ่ย” บีมมองมาที่ผมโดยนัยน์ตาคู่คมแสดงออกมาชัดเจน จนผมกวนตีนบีมไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาเศร้าๆ กลับคืน

แววตาคู่นั้นมีทั้งความห่วงหา โกรธ โมโห อ่อนใจ และโล่งใจ ถึงผมจะโง่เรื่องรักใคร่ แต่ตอนนี้ผมกลับอ่านมันออกหมด

และเมื่อมองย้อนกลับไปก็เพิ่งจะคิดได้ว่าที่ผ่านมาบีมแสดงออกอย่างชัดเจนอยู่เสมอ เป็นผมนั่นล่ะที่เลือกจะมองข้ามเพราะกลัวใจตัวเอง

“เออ รู้น่า อย่าทำเสียงดุดิ หน้ามึงยิ้มแล้วมึงอย่าเสียงเข้มดิ กลัวแล้วโว้ย”

“ไปอาบน้ำไป ดึกแล้ว” บีมสบตาผมอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือไล่ผมในขณะที่ตัวเองหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

“เอ้า ไหนบอกจะคุยกันอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“อาบน้ำแล้วค่อยคุย”

“บีมก็ไปอาบก่อนดิ”

“เดี๋ยวกูรอ น้องมึงอาบก่อน แปรงสีฟันแกะใหม่ได้เลยนะ อยู่ในตู้ใต้ซิงค์” บีมว่าปัดๆ โดยไม่มองกันเลยสักนิด ผมเลยกระเถิบตัวเองเข้าหาบีมแล้วดึงแขนเสื้อบีมให้หันมาสนใจกัน

“งอนกูเปล่าเนี่ย” ผมเอียงคอ ทำหน้าตาที่คิดว่าแบ๊วสุด เรียกร้องความสนใจจากบีม

“เปล่า มันดึกแล้ว คุยเสร็จจะได้นอนเลย” บีมหันมายิ้มอ่อนโยนให้พลางลูบหัวอย่างแผ่วเบา ทำเอาผมตาพร่าไปหมด แค่กๆ รู้สึกไข้ขึ้น ตัวร้อนเฉยเลยครับทุกคน ช่วยผมด้วย

“ไม่ได้งอนแน่นะ”

“เออครับ ไปอาบน้ำได้แล้ว”





หลังจากอาบน้ำเสร็จ บีมก็เข้าไปอาบต่อ ผมแอบจิ้กเสื้อยืดของบีมมาเปลี่ยนเพราะเหม็นกลิ่นเหล้าจากในร้านที่ติดเสื้อมา บวกกับกางเกงบอลตัวเดิมที่ใส่มาอยู่แล้ว เหอะ กางเกงบีมผมลองแล้ว หลุดตูดไม่มีชิ้นดี เลยใส่มันตัวเดิมนี่แหละ

ผมขึ้นมานอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงนุ่มในระหว่างรอบีมอาบน้ำ แจ้งเตือนเยอะเหมือนกันนะครับเนี่ย ผมนอนเคลียร์ข้อความต่างๆ ที่ส่งเข้ามาไม่ว่าจะทางแชทส่วนตัวเอย ทางเพจเอย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการติดต่อจ้างงานทั้งนั้น แล้วก็พวกเพื่อนพี่น้อง ซึ่งกับงานผมก็คุยรายละเอียดและคอนเฟิร์มไปแล้วสองสามคน ช่วงนี้จนมากครับ แทบจะกินแกลบอยู่แล้วเพราะม๊ายังไม่ส่งเงินมาให้ ลืมแล้วแหงๆ

แม้ว่าผมจะมีรายได้จากการรับจ้างถ่ายภาพบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเงินของที่เตียกับม๊า

ใดๆ นั้นล้วนเป็นข้ออ้างของคนใช้เงินโดยไม่คิด ใช่ครับทุกคน ผมเพิ่งกด cf กล้องฟิล์มตัวใหม่มาสามตัวจากการป้ายยาของพี่นายนั่นเอง ก๊ากกกก

มันอดไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้ว พนมมือขึ้นแนบอกทุกครั้งก่อนนอนว่าเดือนนี้จะไม่ซื้อกล้องอีกเด็ดขาด กิเลศทั้งหลายจงออกไป แต่พอพี่นายเอาภาพจากกล้องฟิล์มมาให้ดูเท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกที เงินไหลออกจากบัญชีเฉียดหมื่นแล้วครับ

ความจริงหมื่นกว่าครับ แหะ

ว่าแล้วก็โทรขอเงินม๊าดีกว่า

ผมถือโทรศัพท์รออยู่ซักพัก กะว่าจะรอฟังเสียงสัญญาณสุดท้ายถ้าม๊าไม่รับก็เดี๋ยวค่อยโทรพรุ่งนี้เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว แต่ขณะกำลังจะกดตัดสาย ม๊าก็กดรับพอดี

(ฮาโหล) น้ำเสียงสดใสตามประสาคนอารมณ์ดีของม๊าดังขึ้น ใจผมก็ฟูทันที คิดถึงจัง ไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว น้ำตาปริ่มแล้วครับ

“ม๊า มุ่ยเอง”

(หือ? อามุ่ย? อาตี๋เล็กเหรอคะ)

“เซอร์เยสเซอร์”

(ไอ้หยา อามุ่ยจริงๆ เหรอคะ ไม่ได้โกหกม๊านา) สำเนียงคนจีนดังชัดจนผมอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แง ผมคิดถึงม๊ากับเตียจัง สงสัยต้องหาเวลากลับบ้านจริงๆ จังๆ สักครั้งแล้ว

“มุ่ยเองหม่าม๊า สบายดีรึเปล่าคนสวย”

(ม๊าสบายดีๆ เจ้าตัวดีของม๊า คิดถึงจริงจังเลยค่ะ)

“คิดถึงเหมือนกันครับผม ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนเนี่ย แล้วอาเตียล่ะ”

(ม๊าดูหนังรอเตียกลับบ้านน่า อาเตียไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ เขา น่าจะกำลังกลับมาแล้วล่ะค่ะ)

“แล้วเตียขับรถไปคนเดียวเหรอ ต้องเมาด้วยแหงเลย”

(ม๊าให้เด็กขับรถไปส่งนา ไม่ต้องห่วงๆ)

“โอเชเลย ว่าแต่ม๊าลืมอะไรรึเปล่า”

(หือ? ลืมอะไรคะ อาตี๋รึเปล่าที่ลืมม๊า ไม่กลับบ้านกันเลยนะทั้งสามคน ม๊าเกือบงอนแหนะรู้ไหม) น้ำเสียงกระเง้ากระงอดชวนให้อยากกอด ทำเอาผมยิ้มกว้างจนปากจะฉีกอย่างอดไม่ได้ หม่าม๊าผมน่ะ เป็นสาววัยห้าสิบบวกๆ แต่ยังแจ๋วอยู่ ม๊าเป็นหญิงสาวอ่อนหวานพูดเพราะกับลูกหลานทุกคำ แถมยังสวยที่หนึ่งในใจผมกับเตียที่สุดเลยด้วย

“มุ่ยยังไม่ได้ค่าขนมเลยค้าบ”

(อุ๊ย ม๊าลืมเหรอเนี่ย ตายจริง อาตี๋มีเงินพอรึเปล่า เอ ม๊าเพิ่งฝากค่าขนมของเรากับเฮียเขาไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเองนะ น้องมุ่ย)

“มะ มุ่ยกินเยอะไงม๊า”

(ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปซื้อกล้องหมดนะคะ)

“ม๊า! รู้ได้ไงเนี่ย”

(ม๊ารู้เรื่องน้องมุ่ยทุกเรื่องค่ะ ที่อาตี๋ไปเจอเพื่อนเก่าที่โรงพยาบาลม๊าก็รู้)

“ไปเยี่ยมเฉยๆ นะม๊า ไม่มีอะไรเลย”

(ม๊ารู้เยอะมาก ก็รอว่าเมื่อไรอาตี๋น้อยของม๊าจะเล่าให้ฟังสักที เฮ้อ)

“มุ่ยมีเรื่องเยอะแยะ อยากเล่าให้ม๊ากับเตียฟังมาก เดี๋ยวอีกสองสามวันจะขึ้นไปหานะครับ”

(ม๊าจะรอเลยค่ะ อ๊ะ อาเตียของเรากลับมาแล้ว)

“ม๊า เดี๋ยวมุ่ย -”

(แค่นี้ก่อนนะคะน้องมุ่ย ม๊าออกไปรับป๊าก่อน ดูท่าจะเมากลับมา จริงๆ เลยเชียว)

“หม่าม๊า ค่าขนม -”

(อา ถ้าจะมาก็อย่าลืมชวนพ่อหนุ่มของเรามาด้วยนะอาตี๋ ฝันดีค่ะ)

“หม่าม๊า...ฮะ ฮะโหล ม๊า ค่าขนมมุ่ย ม๊า...” จู่ๆ ม๊าก็ตัดสายผมซะงั้น มีแววว่าเดือนนี้จะกินแกลบ เนื่องจากรู้ว่าผมเอาเงินไปถลุงกับกล้องหมด ฮือ เกาะเพื่อนกินละกันเดือนนี้

ม๊าจะดุผมบ่อยๆ ว่าอะไรไม่จำเป็นอย่าเพิ่งซื้อ ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง บ้านเราก็ไม่ได้รวยอะไรมาก เวลาจะใช้จ่ายอะไรต้องคิดดีๆ ว่าคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่เราจะซื้อ แต่กับเรื่องกล้องนี่ม๊าผมค่อนข้างตามใจเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบ และเป็นตัวที่ดึงผมออกมาจากชีวิตเด็กแว๊นในตอนนั้น ส่วนมากจะคอยเตือนอยู่ห่างๆ มากกว่า

เอาจริงๆ ผมไม่ได้มีกล้องหลายตัวอย่างที่ทุกคนคิดนะ ผมก็มีตามประสาเด็กที่ชอบถ่ายภาพทั่วไปเลย บางตัวพี่นายกับเฮียก็ซื้อให้เป็นของขวัญบ้าง

ก็เพิ่งจะมีกล้องฟิล์มที่พี่นายเอามาป้ายยากับผมนี่ล่ะ

ของมันต้องมีอะครับทุกคน เข้าใจผมนะ เค้?

ว่าแต่ม๊ารู้ได้ไงวะว่าผมไปทำอะไรมา แล้วไอ้ประโยคสุดท้ายนั่น ที่บอกให้พาพ่อหนุ่ม...


!!


นี่อย่าบอกนะว่าเรื่องบีมของผมม๊าก็รู้!?


วอท?


ม๊าเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มปะเนี่ย


แกรก


“เมื่อกี๊คุยกับใครน่ะน้องมุ่ย” ผมหันไปมองบีมที่ยืนเช็ดผมหน้าประตูห้องน้ำพลางเลิกคิ้วถาม คนตัวสูงในชุดเสื้อยืดใส่นอนกับกางเกงขาสั้น รวมกับทรงผมชี้โด่ชี้เด่ชื้นน้ำนั่น ทำไมมันดูมีออร่าจังวะ คือนึกภาพว่าผมคงไม่เท่าเท่ามันแน่ๆ อย่างมากก็ลูกหมาตกน้ำยืนสะบัดขนอยู่ อย่างว่าแหละครับ คนเท่อย่างผมก็จะมีช่วงเวลาที่ขี้เหร่บ้าง ไม่งั้นโลกมันจะไม่สมดุล เข้าใจนะครับ

“กับม๊า”

“ทำไมหน้าแดงอีกแล้ว” บีมเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง พลางกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา

“อะไรอะ?” ผมกระถดตัวเองเข้าไปยืนเข่าซ้อนหลัง จากนั้นก็ชะโงกหน้าคุยกับบีม

“เช็ดผมให้หน่อย” บีมยื่นผ้าเช็ดผมมาให้ แต่ผมไม่รับ

“มือด้วนเหรอ ไหน ดูดิ้” ผมยกแขนหนักๆ ของบีมขึ้นมาโบกแล้วก็ปล่อยทิ้ง “ก็ไม่ด้วนนี่หว่า เช็ดเองเดะ”

“เช็ดให้ไม่ได้เหรอ”

“...”

“...”

“กะ ก็เอาผ้ามาดิ โวะ ทำมาเป็นมอง...” ผมดึงผ้าเช็ดผมออกจากมือบีมแล้วก็โยนลงคลุมศีรษะคนหน้ายิ้ม แม่ง ละเมื่อกี๊มันช้อนตามองไง ผมก็ไม่มีทางเลือกอะ

“หัวจะหลุดแล้ว เขินเบาหน่อย”

“พูดมากว่ะ เงียบไปเลย” ผมเบามือลง พยายามใช้ผ้าซับน้ำออกจากเส้นผมให้ได้มากที่สุด ขยี้แรงๆ แบบที่ผมทำมันไม่ดีหรอกนะครับ จะบอกให้ ผมเผิมเสียหมด ต้องค่อยๆ ซับทีละส่วนจนทั่วศีรษะ แล้วจากนั้นก็ใช้ลมเย็นเป่าจนกว่าจะแห้งสนิท ความจริงสระผมตอนกลางคืนก็ไม่ดีหรอก รังแคกับเชื้อราถามหาแน่

“แล้วตกลงเมื่อกี๊ทำไมหน้าแดง”

“ก็บอกว่าคุยกับม๊าไง”

“คุยกับม๊าต้องเขินด้วยเหรอ”

“ม๊าพูดอะไรไม่รู้อะดิ...อย่าถามมากได้ปะ ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็หงุดหงิดเป็นนะเว้ย” ผมโวยวายเพื่อให้บีมเลิกซักไซร้ แล้วบอกให้นั่งดีๆ เพราะบีมเริ่มจะเอนตัวพิงกับอกผมแล้ว ตัวอย่างกับยักษ์ พิงมาเหมือนกูไม่หนักเลยมั้ง

“นั่งดีๆ ดิ้บีม กูจะล้มแล้วเนี่ย”

“พิงนิดพิงหน่อย โวยวายตลอด”

“เอ๊ะ! ต่อยกันเลยปะ พูดไม่หยุดเลยบีมอะ เอ้า ไดร์อยู่ไหน เอามาเป่าจะได้แห้งไวๆ กูง่วง” ยังมีหน้ามาหัวเราะหึๆ ให้กันอีกนะ มันน่าโดนตีสักป้าป

“อะ” บีมเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าจากนั้นก็เสียบปลั๊กใกล้ๆ กับที่นั่งกันอยู่ แล้วส่งให้ผมส่วนตัวเองก็นั่งไถโทรศัพท์เล่น เออดี ใช้กูเป่าผมให้แล้วตัวเองก็จะได้นั่งเล่นตามใจเฉิบ ผมย่นจมูกให้อย่างหมั่นไส้ มือข้างนึงจับไดร์ อีกข้างก็สางเส้นผมไปด้วย ใช้เวลาสักพักจากเส้นผมที่ชื้นน้ำก็แห้งสนิท

“เสร็จแล้ว เอาคืนไป แม่งปวดเข่าหมดเลยบีม” หลังจากยืนเข่ามาร่วมครึ่งชั่วโมง ขาท่อนล่างก็แสดงอาการชายุบยิบ ทำให้ผมเปลี่ยนอิริยาบถตัวเองไม่ได้ ถ้าขยับมันจะจักจี้น่ะทุกคน เหี้ยเอ้ย

“ไหนว่าเมื่อย ทำไมยังนั่งอยู่ท่านั้น” บีมยกยิ้มถาม แล้วเดินเข้ามาใกล้ พลางยื่นมือมา หมายจะคว้าแขนผมให้ลุกขึ้น

“หยุด!” ผมตะโกนห้ามเสียงดัง บีมชะงัก แล้วทำสีหน้าแปลกใจ เหี้ย.. เมื่อกี๊ขากระตุกนิดนึง โอย เมื่อไรจะหายสักทีวะ

“น้องมุ่ย”

“อย่าแม้แต่จะคิด เออะ! ไอ้บีม!” บีมพุ่งเข้ามาแล้วใช้แขนทั้งสองข้างรวบกอดบริเวณต้นขา แล้วอุ้มผมจนตัวลอยขึ้นจากเตียง

“ฮ่าๆ ซี้ด จักจี้! บีมปล่อย เหี้ย! โอย ขากู” ผมตีบ่าบีมรัวๆ ให้มันปล่อย แต่ตัวต้นเหตุก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังเอาแต่หัวเราะชอบใจกับท่าทางของผม

“ฮึบ ตัวหนักเหมือนกันนะเราอะน้องมุ่ย”

“มึงปล่อยกูเลย!”

“ได้”


ตุ้บ!


[BEAM PART]


“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ให้ปล่อยไม่ใช่ให้โยน” ผมจับเจ้าตัวดีโยนลงเตียงแล้วคลานตามขึ้นไปนั่งข้างกัน น้องมุ่ยด่าผมกระจาย พลางลูบขาทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นลง น่าจะกำลังเช็คดูว่าหายชารึยัง ปากเล็กๆ ของน้องบ่นออกมาไม่ขาดสาย มีร้อยคำ ด่าผมไปแล้วเก้าสิบ

“จะได้หายชาไง”

“กูนั่งเฉยๆ มันก็หายเองได้ไหม! ไม่เห็นต้องเล่นพิเรนทร์แบบตะกี๊เลย บีมแม่ง” น้องทำหน้ามุ่ยสมชื่อ คิ้วขมวดเป็นปมแน่น ตาเรียวรีนั่นจ้องมาอย่างคาดโทษ มือขาวฟาดลงมาที่แขนผมอย่างแรงจนขึ้นรอยมือ

“แดงเลยน้องมุ่ย กูเจ็บนะเนี่ย” ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ ทำให้น้องมันเริ่มเลิ่กลั่กที่ทำผมเจ็บ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาดู สองจิตสองใจอยู่อย่างนั้น และสงสัยคงตัดสินใจได้ว่าจะทำเมินผมดีกว่า จึงวางท่าสะบัดหน้าเชิดขึ้นให้รู้ว่าไม่ยอมโกรธมาก

“อะ เออ สมน้ำหน้า! ก็บีมแกล้งก่อนทำไมล่ะ” แอบเหล่ตามองด้วยแววตาเป็นห่วง แต่ก็ยังเก๊กอยู่ มันจริงๆ เลย มีใครน่ารักเท่าน้องมุ่ยอีกไหมวะ ตอบผมที คนอะไรแม่งน่ารักชิบหาย ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปซะทุกอย่าง

ใช่ว่าผมไม่เคยเจอคนที่น่ารักกว่านี้ หน้าตาดีกว่านี้ แต่กับน้องมุ่ยมันพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยไป ทุกอย่างลงตัวกับผมเป๊ะ ราวกับจับวาง

พอดีกับใจผมมาก

“ทำไมมึงต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยวะ...” ผมขยับตัวเองให้แผ่นหลังพิงเข้ากับหัวเตียง น้องมุ่ยมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจในท่าทางของผม แต่บนใบหน้าเล็กนั่นก็ปรากฎริ้วสีแดงจางๆ ขึ้น เขินกันอีกแล้ว ใจคอจะไม่ให้กูพักเลยใช่ไหมน้องมึง

“วะ เหวอ!” ผมกางขาออกแล้วงอตัวไปข้างหน้า สอดแขนเข้ารวบเอวบาง จากนั้นก็รั้งให้ตัวน้องเขยิบเข้ามาชิดกันจนแนบอก เด็กดื้อถึงกับตัวแข็งค้างกับการกระทำของผม ตาเบิกกว้างอย่างตกใจ

“อยู่นิ่งๆ” ผมแกล้งสั่งเสียงดุ ซบหน้าลงกับบ่าเล็กนั่นพลางวางคางเกยไหล่แล้วเอียงคอเข้าหาคนเขินจัด แดงไปทั้งตัวแล้วครับ อีกนิดผมว่าระเบิดแน่

“บะ บีม”

“ว่าไง”

“กูดูไม่ปลอดภัยเลยอะ” ปากเล็กเบะลงอย่างน่าสงสาร สองมือน้อยๆ พยายามแกะมือผมออกจากเอวเขา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เลยได้แต่ฮึดฮัดออกมากับตัวเอง ใครจะปล่อยวะ คิดถึงจะตายห่าอยู่แล้ว

“อยู่อย่างนี้เถอะ กูคิดถึง”

“บีมอย่ามาใช้เสียงแปดนะ กะ กูไม่เขินหรอกจะบอกให้ ปล่อยเลย”

“จริงเหรอ”

“อะ เออ”

“ตะกุกตะกักนะ”

“กู พะ พูดอย่างนี้ ปะ ปกติเลย อื้อ เอาหน้าไปห่างๆ” น้องมันยกมือขึ้นดันหน้าผมออก แต่ผมไม่ยอมเลยกดจูบลงกับฝ่ามือนิ่มนั่น ด้วยความตกใจน้องมุ่ยเลยตีปากผมดังแปะ แล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็วราวกับต้องของร้อน น้องฟาดมือลงกับขาผมดังป้าป เขินแล้วชอบตีว่ะ กว่าจะได้กอดได้ฟัดทีก็สุดจะยากเย็น แม่งต้องมาโดนฟาดจากเด็กขี้เขินนี่อีก

แต่ก็คุ้มนะผมว่า

“เจ็บไปหมดแล้วที่มึงตีเนี่ยน้องมุ่ย”

“มึงเล่นไม่รู้เรื่องเองนะ!”

“อยากให้รู้เรื่องกว่านี้ไหมล่ะ”

“บีม!”

“น้องมุ่ย”

“บีม!”

“น้องมุ่ย”

“บีม ไอ้บ้า!”

“น้องมุ่ย ไอ้คนน่ารักที่สุด”

“...”

“กอดเฉยๆ เลย ขอกอดหน่อยนะครับ” ผมชอบที่สุดเวลาที่น้องมุ่ยเถียงไม่ออก มันน่ามันเขี้ยวจนแปลออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เดี๋ยวก็ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ผ่านไปสองวิก็เปลี่ยนไปทำหน้าโกรธ ตาวาวโรธอย่างแค้นเคือง ปากเบะขึ้นแทบติดจมูก

ผมชอบทุกอิริยาบถ สีหน้า ท่าทาง การพูด

เรียกได้ว่าชอบทุกอย่าง

เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชอบน้องมุ่ย

“กูจะฟ้องพี่นายให้มาจัดการมึง” มุ่ยพูดขึ้น พลางหันมามองกันด้วยใบหน้าที่เจ้าตัวคิดว่าร้ายที่สุด นิ้วเรียวจิ้มจึกลงที่แก้มผมสามครั้งจากนั้นเปลี่ยนมาบีบแก้มค้างอยู่อย่างนั้น แล้วก็หัวเราะขึ้นมาซะเองจนตาหยี

“ไปเที่ยวกับพี่นายมาเหรอ”

“ใช่ๆ พี่นายเรียกไปช่วยงานอะดิ”

“ยังไม่เคลียร์เรื่องนั้นเลยนะ”

“ขออธิบาย” น้องยกมือขึ้นขออนุญาต ผมพยักหน้าแล้วปรับท่าทางของตัวเองให้สบายจะได้ไม่เมื่อย และผมยังไม่อยากปล่อยน้องออกจากอ้อมแขนตอนนี้ด้วย

น้องมุ่ยเหมือนจะลืมสนิทว่าตัวเองอยู่ใกล้กับผมมากแค่ไหน โดยการที่เบียดเข้าหาแล้วปรับท่านั่งของตัวเองให้สบายที่สุด นั่นคือการเอนตัวลงพิงตัวและศีรษะลงกับผมนั่นเอง แถมยังเงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่ให้กันอีก ผมกอดกระชับเอวน้องให้อยู่ในระดับที่พอดีไม่รัดแน่นจนมุ่ยอึดอัด เดี๋ยวก็บ่นขึ้นมาอีกว่าผมเรื่องมาก เรื่องเยอะ ฟังแล้วอยากจะปิดปากเล็กๆ ที่เจื้อยแจ้วไม่หยุดด้วยปากผมชะมัด มันเขี้ยว

“คืองี้บีม...” ผมปล่อยให้น้องอธิบาย ส่วนตัวเองก็ฝังใบหน้าเข้ากับซอกคอขาวที่หอมกลิ่นครีมอาบน้ำ กดริมฝีปากแนบย้ำๆ จนทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมา บางทีทนไม่ไหวจนเผลอขบแรงเกินไปก็โดนน้องมุ่ยฟาดๆ

มีใครเคยบอกไหมครับว่าเวลาที่คนที่เราชอบใช้พวกครีมอาบน้ำของเรา มันทำให้ความน่าจับกินเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“เนี่ย รอบหน้าเราไปเที่ยวดอยเสมอดาวกันบ้างมะ มันสวยมากเลยนะบีม กูอะอยากให้บีมเห็น วิวท้องฟ้านะ หูย แทบจะร้อยแปดสิบองศา กว้างยังงี้ ดาวนี่ระยิบระยับเต็มไปหมด พี่นายถ่ายทางช้างเผือกมาได้ด้วยแหละ เดี๋ยวเอาให้ดูๆ” มุ่ยหยิบโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมาจิ้มๆ แล้วยื่นมาให้ผม

“นี่ สวยป๊ะ อื้อ! เจ็บ มึงจะกัดคอกูให้ขาดเลยไหม เงยหน้ามาดูรูปก่อน” ฟาดแขนเสร็จก็กระตุกเส้นผมของผมอย่างแรง เลยต้องผละออกมาอย่างเสียดาย

อ่า แดงหมดเลย พรุ่งนี้น้องมันทุบกูแน่ๆ

“อื้ม สวย”

“อย่าเพิ่งซุก มีหลายรูป นี่ๆ มีรูปกูขี่หลังพี่นายด้วย จำได้ว่าโดนเตะกลับมาเพราะกระโดดขึ้นตอนพี่มันเผลอ ฮ่าๆ” ผมมองภาพที่มุ่ยชี้ให้ดู ก็เห็นตัวน้องมุ่ยกับผู้ชายตัวสูงอีกคน

“คนนี้ พี่นาย?”

“ใช่ พี่พระนาย โลกทั้งใบของนายฟ้ามุ่ยคนนี้”

“แล้วกูล่ะ”

“ไม่ต้องหึงนะ บีมก็เป็นโลกของนี่เหมือนกัน กูสร้างโลกสองใบไว้เองแหละ ฮิฮิ”

“เดี๋ยวจะโดน”

“ล้อเล่น มีบีมคนเดียวก็จะแย่ละ”

“ทำไม”

“แหม ทำเป็นเสียงเข้ม”

“มีกูแล้วมันยังไงน้องมุ่ย”

“ก็คือ..”

“พูดดีๆ ไม่งั้นจะโดนจับแดกวันนี้ ตอนนี้ ไม่รออะไรทั้งนั้น”

“ฮ่วย! ใจเย็นหน่อยดิ พูดแล้วๆ อย่ากัดคอกู เวร เป็นรอยหมดแล้วมั้ง”

“พูดมา”

“กูชอบบีม”

“...”

“ชอบมากเลยว่ะ ชอบมึงนะบีม กูไม่เคยชอบใครมาก่อน มึงคนแรกเลยนะ ไม่นับตอนประถมที่กูฮอตมาก แอ้ก! มึงรัดกูแน่นไป เบา ไอ้เหี้ย เบา” จู่ๆ ก็บอกชอบกัน ไอ้เด็กนี่แม่ง

“เห้ย เขินเหรอ”

“พอ...”

“กิ้วๆ ไหนเอาหน้ามาดู โห แดงเลยว่ะ อื้อ!” ผมจับมือมุ่ยที่กำลังจะเอื้อมมาแตะหน้าผมให้ออกห่าง แล้วกดจมูกลงกับแก้มนิ่มนั่นอย่างห้ามใจไม่ไหว จูบข้างแก้มซ้ำๆ จนน้องต้องร้องบอกให้พอ

มุ่ยน่ารักเกินไปจริงๆ น่ารักเหี้ย ใครมันจะทนได้วะ ผมไม่คิดว่าจะต้องมาเจอคนบ้าแบบน้องมัน ซึ่งพอได้เจอแล้ว ทำให้อยากเห็นหน้าอีก ตอนแรกคิดว่าแค่ถูกใจ แต่นานเข้ามันไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วแม่ง

ฟ้ามุ่ยเหมือนเป็นความน่ารักของโลกใบนี้ ที่ส่งมาให้ได้พบกัน ถ้าไม่มีน้ำตาล ผมคงไม่ได้เจอคนๆ นี้ เด็กเด๋อกะโหลกกะลาที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีที่สุด ชื่อฟ้ามุ่ย

และต่อให้ไม่มีเรื่องบู ผมว่ามุ่ยก็สามารถทำให้ผมตกหลุมรักได้ไม่ยากเลยจากความเป็นตัวตนของเขา และนั่นทำให้ผมตกหลุมรักมันซ้ำๆ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

“เด็กกากเอ๊ย”

“จะร่ายความชอบของกูให้มึงฟังนะ กูอยากบอกมาก เก็บไว้คนเดียวแล้วมันอัดอั้น อยากประกาศให้โลกรู้ว่าชอบบีม”

“...”



ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า



[FAHMUII PART]


ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกขวัญกำลังใจตัวเอง บีมแม่ง อย่ามองเยอะดิวะ ถ้ากูเขินเดี๋ยวก็พูดไม่รู้เรื่องอีก ใจเย็นเว้ยมุ่ย มึงทำได้ไอ้เพื่อนยาก

“ตอนแรกไม่ชอบหน้ามึงมากเลย รู้ตัวปะเนี่ย กูพยายามไฝว้มึงกับเรื่องของน้ำตาลมาตลอด แต่มึงดันเสือกเป็นไทป์ที่กูแพ้ทางสุดๆ ยิ้มมึงอะ น่ารักไปไหน ถามจริง”

“...”

“กูไม่เคยแพ้ใครเลยนะ แต่ชีวิตนี้ต้องมาแพ้รอยยิ้มบีมอะดิ”

“...”

“กูเขินบีมทุกครั้งแหละ แต่มึงก็ไม่รู้ ดูออกยากจะตาย ใช่ไหมล่ะ ใจกูอะเต้นตุบๆ ตลอดเวลาที่เราเจอกันเลย เหี้ย นึกว่าเป็นโรคหัวใจ เกือบโทรบอกเตียกับม๊าให้พาไปโรงพยาบาลแล้ว ทีนี้ก็ อ๋อ เห้ย กูไม่ได้เป็นโรค เขาเรียกว่าตกหลุมรัก”

“...”

“ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ความชอบที่กูมีให้บีมมันโคตรดีเลยว่ะ แบบใจฟูตลอดเวลาที่เจอมึงนะ”

“...”

“มึงคิดเหมือนกูปะบีม ว่าเราใจตรงกันอะ”

“...”

“เห้ยแบบ เออ ชอบกันขนาดนี้ก็คงต้องเป็นแฟนกันแล้วปะ ใช่ไหม?”

“...”

“เป็นแฟนกับมุ่ยนะบีม”

“...”

“ชีวิตนี้กูก็ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตาตัวเอง แต่ก็อยากชอบกับบีมนะ เพราะงั้นเรามาคบกัน - อื้อ!” ยังพูดไม่ทันจบดี ใบหน้าของบีมก็ขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากริมฝีปากหยักสวยพุ่งเข้ามาทาบทับกับริมฝีปากผมแนบสนิท

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับการจู่โจมของบีมที่เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากร้อนบดเบียดเข้ามาอย่างรุนแรงพร้อมกับลมหายใจหอบหนัก บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของคนตรงหน้าผมในตอนนี้ ซึ่งผมก็คือตัวกระตุ้นชั้นดีนั่นเอง

รับรู้ได้ถึงเรียวลิ้นที่ไล้เลียอยู่ตรงริมฝีปาก ทั้งขบเม้ม และดูดดึงไปตามกลีบปากบนและล่างอย่างเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นชื้นพยายามจะแทรกเปิดรุกล้ำเข้าไป ผมจึงสะดุ้งตกใจอัตโนมัติ และบีมเองก็คงรู้จึงผละใบหน้าออกแล้ววางหน้าผากลงแนบสนิทกัน ลมหายใจร้อนยังคงถูกระบายออกมาอย่างกระชั้น ผมสบตากับบีม ซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการ โหยหา และอยากครอบครอง บีมปิดเปลือกตาลงทั้งที่คิ้วสวยขมวดเครียด เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามข่มระงับความต้องการของตัวเองเพื่อไม่ให้ผมเตลิด

ถ้าผมปล่อยไว้แบบนี้ มันจะดูใจร้ายไปรึเปล่านะ

“ไม่เป็นไร” ผมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและสั่นเครือราวเสียงกระซิบ บีมเปิดเปลือกตามองทั่วใบหน้าผมและมาหยุดที่ริมฝีปาก บีมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองพลางกลืนน้ำลายลงด้วยความกระหาย แววตาผู้ล่าที่น้อยครั้งจะเห็นกลับสื่อออกมาอย่างชัดเจนและเต็มไปด้วยความต้องการ

“ยากมากเลยน้องมุ่ย รู้ตัวไหมว่าทำกูแทบบ้า”

“ถ้าแค่จูบ สะ สบายมาก กูชิว” ใจกล้ามากกู แต่เสียงสั่นเป็นรถแทรกเตอร์เลย

“หึ”

“แต่แค่จูบนะ”

“ปากเปื่อยแน่ น้องมุ่ย” ริมฝีปากนุ่มหยุ่นทาบทับลงมาอีกครั้ง คราวนี้มันนุ่มนวลและเบาบางราวกับปุยเมฆ บีมจูบซับลงกับมุมปาก ย้ำซ้ำๆ เป็นการปลอบให้ผมหายเกร็ง อีกทั้งยังเลื่อนขึ้นไปประทับที่หน้าผาก เปลือกตา จมูก แก้ม ทำให้ผมใจสั่นขึ้นมาอย่างบรรยายไม่ถูก เหมือนความรู้สึกมันเอ่อล้นขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกการประทับจูบของบีม

ปากหยักกดทับลงมาที่ริมฝีปากผมอย่างอ่อนโยน ผมหลับตาแล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่เริ่มรู้สึกตัวอีกทีเมื่อแผ่นหลังของตัวเองสัมผัสกับความอุ่นจากฟูกที่นอน ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ใต้ร่างของบีมแล้ว

“เปิดปากหน่อย คนดี” บีมกระซิบติดชิดริมฝีปากเสียงพร่า หน้าผมตอนนี้เห่อร้อนไปหมด มันต้องแดงมากแน่ๆ

“คะ แค่จูบนะ มากกว่านี้ ต่อยเลยนะ”

“ครับ” บีมส่งยิ้มละมุนมาให้ผม แล้วเราก็สัมผัสกันอีกครั้ง คราวนี้เรียวลิ้นร้อนค่อยๆ ดุนดันแทรกเข้ามา จนเมื่อเราสัมผัสได้ถึงกันและกัน สมองผมก็พลันขาวโพลน เราแนบชิดกันมากขึ้น บีมบดเคล้าริมฝีปากเข้ามาพลางเกี่ยวกระหวัดพันกับลิ้นของผมไปทั่ว

ลิ้นร้อนกวาดความหวานถ้วนทั่วโพรงปาก ราวกับจะซึมซับทุกตารางให้ได้มากที่สุดและจดจำให้ขึ้นใจ ตักตวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สมกับความรู้สึกที่ปะทุออกมา เวลาผ่านไป ผมค่อยๆ โต้กลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ดูเหมือนบีมจะชอบใจจนยิ่งรุกล้ำหนักขึ้น ทั้งขบกัดและเม้มดูด จนผมต้องตีเข้ากับต้นแขนในความซนของบีม และภายในห้องอันเงียบสงัดนั้น มีเพียงเสียงลมหายใจหอบหนักของเราสองคนที่ดังขึ้น

บีมถอนจูบออกอย่างช้าๆ แล้วพรมจูบลงมาเรื่อยตามลำคอ ขบกัดตรงที่เดิมแล้ววกขึ้นมาจูบซับที่หน้าผากของผม แววตาคู่นั้นของบีมสื่อความหมายออกมาจนเขาแทบไม่ต้องพูดอะไร ผมก็รับรู้ได้ทั้งหมด บีมแตะริมฝีปากลงข้างแก้มแล้วเลื่อนไปกระซิบเสียงแหบพร่าติดชิดใบหูอย่างแผ่วเบา

“พี่บีมรักน้องมุ่ย”

แล้วบีมก็ประทับจูบเข้ามาอีกครั้ง มือใหญ่เลื่อนเข้ามาประสานแน่น ให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ ผม ปล่อยให้กาลเวลาแห่งค่ำคืนนี้ดำเนินไปเนิ่นนานจนกว่าจะถึงอรุณรุ่งของอีกวัน





*****************************

ขออภัยหากมีคำผิด จะรีบกลับมาแก้นะคะ

เรากลับมาแล้วค่ะทุกโค้นนนน ขอสุมาเต๊อะเจ้า หายไปสอบมาค่ะ หลังจากนี้เราจะกลับมาอัพได้เร็วกว่าเดิมแล้วค่าาาา ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังรอ ไม่หนีหายไปไหน ขอบคุณทุกคอมเม้นที่เป็นกำลังใจให้อย่างดี รักๆ

ทีนี้ทุกคนก็จะพบเจอแต่ความหวาน หวานนนนนนนนน อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนนะคะ เอาใจช่วยนักเขียนก่อนน้า

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ คิดเห็นอย่างไรอย่าลืมแชร์ให้เราฟังด้วยยย

หรือจะเล่นได้ที่ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน

หรือติดตามเราได้ทางทวิตเตอร์ @chanadbears

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
คิดถึงมุ้ยคนหน้าตาดีไปวันๆ (ตรงไหน) 55555

ออฟไลน์ Nattharikan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มันเขี้ยวความมุ่ยจังเลยยยย น่ารักน่าเอ็นดูเนอะ  :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 26

ใจกาก อย่าปากเก่ง


เที่ยงนาฬิกาสามสิบนาที ผมและเดอะแก๊งกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โรงอาหารของมอ กว่าอาจารย์จะเลิกคลาสก็เลทไปเกือบสิบนาทีผมแทบไห้ พยายามส่งสายตาปริบๆ ร้องขอความเห็นใจจากอาจารย์ตั้งแต่เลทมาสองนาทีแรก แต่ก็หาได้สนใจไม่ กว่าจะมาถึงโรงอาหาร เดินไปซื้อข้าวที่คนเยอะอย่างกับหนอนนี่อีก หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว เซ็งเลยว่ะ

“มึง” ผมดูดน้ำแดงลงคออึกใหญ่แล้วเรียกความสนใจจากเพื่อน ข้าวไข่เจียวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าร้านป้าข้างหอบีม แต่เผอิญวันนี้กินข้าวมันไก่

“ว่า” เจ๋งเงยหน้ามองผมนิดหน่อยแล้วก็ก้มลงกินข้าวและไถหน้าจอโทรศัพท์ต่อ

“กูมาคิดๆ ดูแล้วนะ อันนี้จริงจัง”

“เออ ยังไงล่ะ”

“มึงว่ามอเราเปิดเทอมเร็วไปปะวะ” จากคำพูดของผมทำให้อีกสองคนชะงักแล้วเงยหน้ามามอง

“กูรู้สึกเหมือนมึงเพื่อน” ไอ้เจ๋งเอื้อมมือมาจับบ่าผมทำหน้าตาจริงจัง พลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

“นี่ไง กูไม่ได้คิดไปเองคนเดียว” ตบเข่าฉาดเลยกู ผมว่ามอเราควรปิดเทอมสักครึ่งปี คิดว่าไงกันบ้างครับ

“เพ้อเจ้อ พวกมึงอะ ปิดมาเดือนนึงแล้วสัด” คำตอบของแก๊ปมาเพื่อดับฝันของผม เพื่อนรักไม่เข้าใจว่ะ คือการที่คนเราต้องการพักผ่อนเนี่ย เดือนนึงมันไม่ได้เว้ย คือยังไม่ทันทำอะไรเลย หายใจพรืดเดียวเปิดเทอมละ มุ่ยไม่โอ

“ไม่ มันยังไม่พอ”

“ใช่ กูยังไม่ทันทำเหี้ยไรเลยอะแก๊ป กูลงใต้ไปเที่ยวทะเลที่บ้านอา ยังไม่ทันฉ่ำปอดก็ต้องบินกลับมาเรียน ผิวกูยังไม่ทันไหม้แดดเลยมึงดู” เจ๋งถกแขนเสื้อกับขากางเกงให้พวกผมดู

“ใช่ไหม แล้วที่กูเล่าให้พวกมึงฟังไงว่าต้องไปทำงานกับพี่นายตลอดเป็นอาทิตย์ๆ มันไม่แฟร์ปะวะ”

“เดี๋ยวสอบไฟนอลเสร็จก็ปิดเทอมใหญ่แล้ว รอสักนิกสักหน่อยจะตายรึไงพวกมึงอะ” แก๊ปแสดงสีหน้าละเหี่ยใจเมื่อได้ฟังความคิดของพวกผมสองคน แก๊ปคนดี มึงก็พูดได้สิ โธ่เอ๊ย มึงบินไปเที่ยวญี่ปุ่นสบายใจเฉิบ มีแค่กูนี่แหละที่ทำงานงกๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

“เพิ่งเปิดเทอมมึงอย่าพูดถึงไฟนอลดิ เออ แล้วกูถามจริง วิชามอของมหาลัยเรามันยากอะไรขนาดนั้นวะ เห็นคะแนนใน REG ยัง กูนี่อยากมุดท่อหนีเลย อนาถใจชิบ”

“มึงอ่อนไงเจ๋ง อย่าโทษมหาลัยดิ”

“สัด ภาษาไทยมึงได้เท่าไหร่ พูด”

“สิบห้า”

“เชี่ย เต็มสามสิบ?”

“เต็มสี่สิบ”

“ควายพอกัน” ไอ้เจ๋งหัวเราะเสียงดัง จนโต๊ะข้างเคียงหันมามอง

“กูไม่เข้าใจเลย ตอนทำนะกูนี่ฝนข้อสอบโช้ะๆ มั่นใจว่านี่แหละใช่ ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม แต่ทำไมคะแนนที่ออกมาถึงเหี้ยได้ขนาดนี้ แงไอ้สัด” ผมจำได้ว่าเตรียมตัวมาดีมาก ห้าบทแรกอ่านคืนเดียวก่อนสอบ ด้วยตัวผมเองนั้นเชื่อในปาฏิหาริย์เสมอมา วันไนท์มิราเคิล เคยได้ยินไหมครับ

“กูบอกให้อ่านหนังสือ แล้วพวกมึงทำอะไรกัน คนนึงก็เล่นเกม อีกคนก็เล่นกล้อง ไม่เป็นอันอ่านหนังสงหนังสือ จะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบ จะผ่านปีหนึ่งไหมพวกมึงอะ หน้าตาก็เหี้ย กูขอสมองดีๆ หน่อยเถอะ” แก๊ปผลักหัวผมกับไอ้เจ๋งหน้าแทบคว่ำลงจาน ว่าไม่ได้ครับ คุณแก๊ปเขาเป็นผู้มีพระคุณ หน้าตาดีน้อยกว่าผมนิดนึงแต่ฉลาด ถ้าไม่ได้ชีทสรุปวิชาต่างๆ จากคุณเขา ผมกับไอ้เจ๋งร้องเหมียนหมาแน่ๆ

“เฉลยผิดแหละ ดูออก” ผมเชื่ออย่างนั้น ถึงจะเป็นแบบ OMR มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง

“เออ กูก็ดูออก” เชี่ยเจ๋งแม่งขี้ลอก

“สู้ไฟนอลเอาเถอะพวกมึงอะ นะ”

“เอช้วนแน่นอนคนอย่างกู”

“เรื่องของมึงเลย” แก๊ปส่ายหัวอย่างปลงๆ แล้วลุกขึ้นหยิบจานข้าวไปเก็บ ผมยังเหลือเกินครึ่งจานส่วน

ไอ้เจ๋งอีกสามคำก็คงหมด ผมเลยรีบยัดเข้าปากแข่งกับมันจนเกือบสำลัก ไม่พ้นเพื่อนแก๊ปต้องหาน้ำหาท่ามาประเคนให้

“พวกง่าว กูล่ะเบื่อจริงๆ”

“ร้ายก็รักนะ เกเรยังไงก็รักนะ” เจ๋งแกล้งร้องเพลงหยอกมันแล้วกระแซะตัวเข้าหา จนเพื่อนรักรำคาญฟาดหลังเข้าให้ถึงจะหยุดเล่น วอนตีนจัดเลย

“เออ ไอ้มุ่ย เมื่อเช้ากูเห็นนะเว้ย”

“อะไร” ผมเลิกคิ้วถาม

“แอะ”

“แอะพ่อง ใบ้แดกเหรอ”

“แหน่ะ เหมือนมึงเขิน”

“เขินไรวะ”

“พี่บีมมาส่งมึง กูเห็นกับตา”

“แล้วไง” ผมยักไหล่แล้วเบ้ปากให้กับคำพูดของมัน เรื่องปกติไหมครับ คนเป็นแฟนกันรับส่งกันผิดตรงไหน ผิดตรงไหน พูด

“เห้ยๆ มาว่ะ หน้าไม่แดงแล้วว่ะ แก๊ปมึงดู”

“เล่นห่าอะไรของพวกมึงเนี่ย อย่ามาจับหน้ากู” ผมปัดมือไอ้เจ๋งที่ทำท่าจะเข้ามาจิ้มแก้ม พวกมันหัวเราะกับท่าทีของผม และยังไม่ยอมเลิกเสือก

“ถึงไหนแล้ววะ มึงกับพี่บีม”

“เสือกไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”

“เขินแล้วชอบด่ามึงอะมุ่ย กูรู้หมดอะ”

“กูล่ะอย่างจี้ ตีกันแทบตาย สุดท้ายตกหลุมเขาเฉย” แก๊ป ทีเรื่องนี้มึงล่ะมีบทบาทเชียวนะ

“อย่าเรียกว่าตกหลุม ไม่เคยตกเลย”

“แล้ว?”

“กูเดินลงไปเอง”

“ฮิ้ว~ กูล่ะอย่างชอบมึงเวอร์ชันนี้เลยน้องมุ่ย คนเหี้ยอะไรวะน่าหมั่นไส้ชิบหายเวลามีแฟน” ไอ้เจ๋งเอื้อมมือมาขยี้ศีรษะจนผมหลุดรุ่ย ต้องมัดใหม่เลยไอ้เหี้ย

“เท่าที่สังเกตมา กูว่ากูรู้อย่างนึง” แก๊ปเอ่ยขึ้นมา ทำให้ผมกับไอ้เจ๋งหันมามองอย่างสงสัย

“อะไรวะ”

“พี่บีมอะ ร้าย”


ป้าบ!


“แก๊ป มาให้กูกอดที” ผมตบโต๊ะฉาด แล้วอ้าแขนออกกระดิกนิ้วเรียกเพื่อนตัวเองเข้ามากอด แก๊ปมันยินยอมแบบงงๆ พลางตบหลังผมแปะๆ

“อะไรของพวกมึงเนี่ย”

“บีมแม่งโคตรร้าย ถ้าเป็นในหนัง ถึงหน้ามันจะพระเอกแค่ไหน แต่บีมน่ะเกิดมาเพื่อเป็นตัวร้ายชัดๆ” ที่สุดเลยครับ ผมน่ะต่อสู้กับบีมมาตลอดในช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม เหมือนมันเอาความเก็บกดก่อนหน้ามาลงตอนที่เราคบกัน เอะอะจูบ เอะอะจับ ทุกครั้งเวลาผมเผลอ แล้วประเด็นคือทำอะไรมันไม่ได้เลยไง

‘แฟนกันก็ต้องกอดกันนะน้องมุ่ย’

‘แฟนกันต้องจูบกันด้วย’


อ้าง! อ้างแบบนี้ตลอด สุดท้ายเป็นไง ยืนทื่อให้เขากอดจูบลูบคลำเลยตัวผม ด่าแม่งก็แล้ว ตีก็แล้ว ทำอะไรบีมไม่ได้เลย

ไม่ คือ ความจริงก็เคลิ้มนิดหน่อย

“กูเชื่อ”

“ใช่ไหม ธาตุแท้ของมันภายใต้หน้ากากรอยยิ้มนั่น พูดแล้วขนลุกเลย มึงดู” ผมชูแขนที่อยู่ๆ ขนทั้งหลายก็พร้อมใจกันลุกพรึ่บพรั่บเพียงแค่พูดถึงบีม

“รอยยิ้มเหี้ยไร มีแต่มึงคนเดียวที่พี่เขายิ้มให้ ไอ้มุ่ย” เจ๋งว่าขึ้น พลางคิดในใจคนเดียว กับมึงเขาก็ยิ้มให้ตลอดแหละ ลองมาเป็นพวกกูหรือคนอื่นสิ หึ

“แต่มันยิ้มทีไรกูไปไม่เป็นทุกทีเลยว่ะ พวกมึงว่าเป็นเพราะอะไร”

“...”

“หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที ใช่เธอหรือนี่ ที่คอยตลอดมา”

“...”

“บีมแม่งน่ารักชิบหาย คิดถึงสัด”

“กูเบื่อพวกอวดแฟน”

“ด้วย พอมีแฟนปุ้ปล่ะขิงจัง รำคาญ”

“พวกมึงไม่เข้าใจความน่ารักของบีม ร้ายก็รักนะ เกเรยังไงก็รักนะ”

“ร้องไปแล้ว”

“อ้าวเหรอ พอดีคิดเนื้อไม่ทัน”

“โว้ย!”

“แล้วมึงกับพี่บีม แบบ จึ้กๆ กันยังวะ” ไอ้เจ๋งโน้มตัวเข้าหาผม แล้วอมยิ้มกระซิบถามเสียงเบา ทำหน้าตาท่าทางกระมิดกระเมี้ยนจนน่าถีบ

“จึ้ก อะไรของมึง” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ อะไรวะ จึ้กๆ

“ไอ้นั่นไง เรื่องนั้นอะ”

“มึงก็พูดมาสิ ไม่บอกกูจะรู้กับมึงไหมเนี่ย”

“ก็ -”

“ไอ้เจ๋งมันจะถามว่ามึงกับพี่บีมได้กันยัง” แก๊ปถามขึ้นแทนอย่างรำคาญท่าทีของไอ้เจ๋ง ทำให้ทุกอย่างบนโต๊ะเงียบสนิท จนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักอย่างรุนแรง จู่ๆ อากาศก็ร้อนขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เหงื่อผุดซึมขึ้นตามไรผมจนต้องยกมือขึ้นปาดแล้วปาดอีก

“ทะ ทำไมพวกมึงขี้เสือกกันจังวะ” แล้วปากกูตะกุกตะกักทำส้นตีนไรเหรอ ฮือ

“อยากเสือกเฉยๆ”

“มะ มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเรื่องแบบนี้” ผมเสตาหลบไอ้หมาสองคนที่จ้องมาตาไม่กระพริบ แก๊ป ทำไมทีเรื่องอย่างนี้แก๊ปเร็วจังอะ

“เป็นกู พี่บีมเสร็จตั้งแต่วันแรกแล้ว”

“เออ ถ้ากูก็ไม่เกินสามวัน”

“มึงอ่อนเองรึเปล่าไอ้มุ่ย”

“ใครอ่อน! เฮียมุ่ยคือคนที่หล่อที่สุดในโลก!” โพล่งออกมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว ห้ามใครว่าผมกาก!

“พี่บีมไม่น่าปล่อยมึงมาถึงขนาดนี้นะ ใช่ปะแก๊ป”

“อาจจะรอให้เหยื่อตายใจก่อน” ผมมองมันสองคนซุบซิบๆ กันอย่างงงงวย ไอ้พวกนี้แม่ง วันๆ คิดแต่เรื่องยังเงี้ย

“เลิกพูด! ข้ามเรื่องนี้ไป ให้มันเป็นเรื่องของกูกับแฟนกู โอเค้”

“แฟน เต็มปากเต็มคำ” ไอ้เจ๋งเบ้ปากขึ้นอย่างหมั่นไส้

“ก็แฟนกูอะ มึงจะทำไมล่ะ”

“ก่อนหน้านี้ทำเป็นเล่นตัว ไอ้ควายเอ้ย”

“บีมแฟนกู”

“เออ ไอ้สัด เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วมั้ง”

“หึ เออ เหมือนตอนไอ้มุ่ยเข้าไปโวยวายกับพี่บีมเพิ่งเกิดเมื่อวาน นึกถึงละขำ” แก๊ปส่ายหัวขำๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอาทิตย์ก่อนๆ

“เขาเรียกปรับความเข้าใจ มึงใช้คำไม่ถูกอะแก๊ปเพื่อนรัก”

“ด่าซะมีนร้องไห้ ปรับมากมั้ง”

“เห้ย!”

“อุ้ปส์...”

“ชู่ว! มึงอย่าพูดชื่อนี้!”

“เออ เหี้ย กูลืม”

“ไม่แดกละ ขึ้นเรียนกันเหอะ” ผมและเดอะแก๊งกระวีกระวาดเก็บข้าวของลงกระเป๋าผ้าของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากม้านั่ง เสียงนรกก็ดังขึ้น

“มุ่ย!”


ป้าป!


“ไอ้เจ๋ง! กูบอกว่าอย่าพูด!”

“แง สุมาเต๊อะเพื่อนรัก”

“มุ่ย!” ผมค่อยๆ หันกลับไปตามเสียง ก็เห็นผู้ชายในชุดนักศึกษาวิ่งเตาะแตะมาทางผม เด็กนีออนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหอบหายใจแฮ่กๆ แล้วเงยหน้ามองผมพลางส่งยิ้มแฉ่งให้

มึงสิงตัวกูอยู่รึไง พูดชื่อปุ้ปมาปั๊ป ห่ามึงเอ๊ย

“มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย กูจะไปเรียนแล้ว บาย” ผมพูดรัวเร็ว กำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกมือขาวนั่นคว้าหมับที่แขนเข้าให้ซะก่อน

“ฮื่อ อย่าเพิ่งไปสิ เราคิดถึงมุ่ยนะ มาคุยกันก่อน”

“คุยเหี้ยไร ไม่คุย ชิ่วๆ เลย เด็กเปี๊ยก” บอกตรงๆ ผมไม่กล้าสะบัดแขนออก กลัวมีนมันปลิว ตัวอย่างกับลูกหมากระเป๋า อีกอย่างคือดันมีไอ้โหดหน้าเหี้ยมยืนจองเวรอยู่หลังมีน จ้องมาที่ผม สายตาแม่งเหมือนโกรธกูมาสิบชาติ

ตัวๆ เลยไหมล่ะ กูพร้อมเสมอ ช่วงนี้ร่างกายยิ่งต้องการปะทะยาแดง นัดเลยไหมล่ะ โด่ว

“เราเอาขนมมาให้ด้วยนะ”

“ไม่อยากกิน” ผมขยิบตายิบๆ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกสองคน เหมือนรู้งานอะ แม่งยืนเขี่ยโทรศัพท์เฉย ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กูเห็นนะมึงแอบหัวเราะกัน สัดเอ้ย

“เราซื้อมาให้มุ่ยโดยเฉพาะเลย”

“เมื่อไหร่จะเลิกตามกูซักทีวะ กูไม่ชอบ”

“แต่เราชอบมุ่ย” พูดอะไรคิดถึงใจคนฟังบ้าง อันดับแรกคือคิดถึงกูก่อนเลย จะโดนไอ้ก้องดักตีหัวตอนกลับบ้านไหม ไอ้เวร แม่งยืนกำหมัดแล้ว กรี้ดๆ

“กูมีแฟนแล้ว อยากเป็นน้อยเหรอ”

“มะ ไม่ใช่”

“ฟังเพลงตั้กแตนบ่อยสินะ อยากเป็นคนรัก ไม่อยากเป็นชู้ แซ่บนะมึงเนี่ย”

“เราเปล่า”

“แต่หน้ามึงแดงอะ เหี้ย กูไม่นิยมคบชู้นะเว้ย รักเดียวใจเดียวคือเฮียมุ่ยคนนี้ รู้จักเปล่า”

“เราหมายถึง เราอยากเป็นเพื่อนกับมุ่ย” กระพริบตาปริบๆ คิดว่าน่ารักรึไง ไม่ใช่บีมอย่ามาอ้อนเหอะว่ะ ขอร้องเลย ไม่ใจอ่อนให้ง่ายๆ หรอกนะ

“อยากเป็นเพื่อนกับกู ถามคนข้างหลังมึงรึยัง”

“ก้องก็อยากเป็น”

“ดูหน้ามัน อยากมากมั้ง” จะแดกหัวกูอยู่แล้ว ไอ้ฟายยย ดูเพื่อนมึงด้วย แดกแองกรี้เบิร์ดเป็นอาหารเหรอวะ ขมวดคิ้วเก่งเล้ย

“ก้อง อยากเป็นเพื่อนกับมุ่ยใช่ไหม”

“...”

“ก้อง”

“เออ”

“นี่ไง ทำไมมุ่ยไม่ยอมเล่นกับเรา เราตื๊อมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ” เด็กหน้าขาวทำปากยื่น ส่งสายตาอ้อนๆ มาให้ผม กระพริบตาปริบๆ ราวกับพยายามทำให้ผมใจอ่อน เหอะ ไม่ใช่บีมก็แย่หน่อยอะ

“อยากให้เล่นด้วยก็ทำตัวดีๆ ดิ กูไม่เล่นกับคนขี้แง หน้าแบ๊วแบบมึงหรอก”

“เราไม่ใช่ขี้แง”

“เหรอๆ อืม”

“มุ่ยยยยยย”

“ไม่อยากเล่นด้วยเลยว่ะ”

“เดี๋ยวเราซื้อขนมมาให้อีก เอาไหม”

“เก็บไว้แดกเองเถอะ”

“มุ่ยอะ”

“ไอ้ก้อง เพื่อนมึงอินอะไรกับกูนักหนาวะ มาเก็บไปดิ้” ผมเอนตัวชะเง้อไปคุยกับตนข้างหลังมีน ไอ้ก้องทำหน้าเหม็นเบื่อเหมือนไม่อยากจะเสวนากับผม ไอ้เวร กูอยากคุยกับมึงตายล่ะ เอาเพื่อนมึงไปเก็บสิ รับรองกูจะไม่เฉียดใกล้มึงแม้แต่นิดเดียว หางตาก็จะไม่มอง สาบานให้ฟ้าผ่าไอ้เจ๋งตาย

“มึงก็เล่นกับมันหน่อยไม่ได้รึไง”

“มึงก็เล่นกับมันอยู่แล้วอะ”

“ก็มันอยากเล่นกับมึง”

“กูไม่อยากเล่นด้วย มันไม่เท่ แก๊งกูมีใครหน้าแบ๊วอย่างมันบ้าง ดูดิ้ โหดๆ ทั้งนั้น” ผมชี้ไปทางไอ้สองตัวนั่น

“...เออ โหด”

“มุ่ย...”

“อะแฮ่ม ขอโทษนะ แต่มันจะบ่ายแล้วไอ้มุ่ย รีบเคลียร์เร็ว กูไม่อยากโดนเช็กสาย” ไอ้เจ๋งเดินเข้ามาจับแยก โล่งแล้วกู เห็นหน้าเด็กนี่นานๆ ไม่ได้เลยครับ เดี๋ยวเผลอจับแดก

“เออๆ กูจะไปเรียนแล้ว คราวนี้มึงต้องปล่อย”

“ก็ได้ แต่รับขนมของเราไปด้วยนะ” ถุงพลาสติกใบใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า ส่องๆ ดูก็เห็นเป็นพวกขนมขบเคี้ยวทั้งหลายแหล่ ผมไม่ชอบกินสักหน่อย

“วันหลังบอกเขาไม่เอาถุงพลาสติก รักษ์โลกไหมมึงอะ” ผมใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดันหน้าผากไอ้มีน จนมันเซแถ่ดๆ โดยมีไอ้ก้องรอประคองอยู่ด้านหลัง โอย กูจะอ้วก

“ได้ ได้เลย”

“ไม่ชอบกิน แต่จะรับไว้ มึงก็ไปได้ละ” มีนทำหน้าหงอยแต่กี่วิก็ยกยิ้มกว้างให้ผมเหมือนเดิม แล้วก็ผละออกไปยืนอยู่กับไอ้ยักษ์ก้อง

“งั้น บ้ายบายนะ”

“ชิ่ว”

ผมมองไอ้ยักษ์ที่ลากแขนคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามตัวเองกลับไป แต่ไม่วาย มีนมันยังหันกลับมาโบกไม้โบกมือให้อีกด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เด็กนีออน แล้วหันหลังเดินไปยังอาคารเรียนของตัวเอง

หลังจากวันนั้นที่มีเรื่องกัน คิดว่าชีวิตจะพบกับความสงบสุขที่แท้จริง แต่แม่งเอ้ย...มีนดันเข้ามาหาผมทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะตอนเที่ยง เลิกเรียน หรือเวลามีเรียนวิชามอก็จะพยายามมานั่งใกล้ๆ กับผม ซึ่งผมงงมาก เอ๋อแดกเลยครับ

ในใจคิด ไอ้เด็กนี่มาได้ไงวะเนี่ย พอถามบีมก็รู้ว่า น้องมาถามหาผม อธิบายกับบีมว่าชอบ อยากเป็นเพื่อนกับนายฟ้ามุ่ยคนนี้ แล้วก็อย่างที่เห็น เจอกันตลอดจนผมระแวง อย่าได้เอ่ยชื่อเชียว โผล่มาอย่างกับผี

ไม่ใช่ว่ารำคาญอะไรขนาดนั้น ไอ้มีนมันก็น่ารักดี เสียอย่างเดียวดันมียักษ์ปักหลั่นนามว่าก้องติดตามมาด้วย ผมก็ไม่อยากจะเสวนากับมันเท่าไหร่ แหงล่ะ เสือย่อมเห็นเสือด้วยกันทั้งนั้น

เสือก้องจ้องจะแดกเพื่อนตัวเอง

เซมๆ กับเสือมุ่ยที่จ้องจะแดกบีมนั่นแหละ






“กลับไงวะไอ้มุ่ย” หลังจากอาจารย์บอกเลิกคลาสปุ้ป ผมก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แล้วเก็บของใส่กระเป๋าย่ามตัวเอง ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เอ นี่แค่บ่ายสามนิดๆ เอง บีมเลิกตั้งสี่โมง กูจะไปอยู่ไหนดีวะ

“กับบีม”

“วุ้ย อิจฉา” พูดแค่นั้น สายก็เข้าพอดี ไอ้เจ๋งเลยเดินแยกออกไปรับโทรศัพท์

“สงสารพวกไม่มีแฟน ก็งี้แหละนะ”

“แล้วพี่เขามารับกี่โมง” แก๊ปถามพลางเก็บของไปด้วย

“บีมเลิกสี่”

“อ้าว เหลืออีกตั้งเกือบชั่วโมง ไปแดกเค้กกับพวกกูไหม”

“ไม่อะ กูจะไปหาไรกินกับบีมที่ถนนคนม่วน”

“ไอ้มุ่ย เจ้จิ้บเรียกคุยเรื่องนิทรรศการวันโอเพนเฮาส์ว่ะ”

“เออ กูลืมไปเลย” จำได้ลางๆ ว่าเจ้แกสั่งงานอะไรซักอย่าง ถ่ายภาพปะ

“เพื่อนแก๊ป งานด่วนเข้าพอดีเลยว่ะ ทำไงดี” ไอ้เจ๋งทำหน้าลำบากใจ เพราะมันสองคนคุยกันว่าจะไปลองเค้กสูตรใหม่ที่ร้านประจำเพิ่งทำออกมาวางขาย ตัวผมที่ไม่ใช่สายเค้กขนาดนั้นเลยขอบาย อีกอย่างมีนัดกับบีมอยู่แล้วด้วย

“วันอื่นไหมล่ะ กูยังไงก็ได้ แต่ครั้งหน้าคือมึงเลี้ยงกู”

“ได้เลยเพื่อนแก๊ป งั้นเลื่อนเป็นพรุ่งนี้นะ โทษทีว่ะเพื่อน ฮือ เค้กกู”

“เออ มึงรีบไปเถอะ เดี๋ยวกูจะไปซื้อของกินแล้วก็จะกลับหอละ” เราสองคนแยกจากไอ้แก๊ปแล้วรีบเดินไปขึ้นรถไอ้เจ๋ง ดีที่วันนี้ไอ้เจ๋งเอารถมาพอดี ไม่งั้นเดินกันขาลาก ระยะทางระหว่างชมรมกับอาคารเรียนวันนี้ใกล้กันซะที่ไหน

ผมส่งข้อความบอกกับบีมว่าให้มาหาที่ห้องชมรมเลยถ้าเลิกเรียนแล้ว ต้องทำให้ชินเลยครับกับการบอกว่าจะไปไหนมาไหนเนี่ย เข็ดจากรอบที่แล้ว ฮ่าๆ เพราะงั้นเวลาผมจะไปไหนที่นอกเหนือจากการไปเรียน ผมจะบอกบีมตลอด บางทีก็มีลืมบ้าง แต่ก็พยายามสุดแล้ว

ใครได้เป็นแฟนกับผมล่ะโชคดีตายเลย

เอาจริงๆ ความสัมพันธ์ของผมกับบีมตอนนี้ก็คือเป็นแฟนกันนะครับ โคตรดีใจเลยว่ะ แบบมีความสุขสุดๆ บีมแม่งดีมาก ตัวผมเองก็หล่อมาก ทุกอย่างลงตัวและเพอเฟค อาจจะมีทะเลาะตบตีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ตอนที่ผมตื่นสายแล้วบีมแม่งถีบผมตกเตียงงี้ หรือเวลาบีมลวนลามผมเกินเหตุ ก็โดนฟาดป้าปๆ รักกันครับ รักกัน

พูดเหมือนย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว

เห้ย เปล่านะครับ ผมลูกมีพ่อมีแม่ ทำอะไรต้องเข้าตามตรอกออกทางประตู ผมแค่จะไปนอนห้องบีมเมื่อน้องบูไม่อยู่ ซึ่งไอ้เด็กบูก็อาทิตย์นึงเสือกอยู่ห้องแค่สามสี่วัน ความจริงกะจะอยู่เป็นเพื่อนแค่เสาร์อาทิตย์ แต่บีมแม่งงอแงอะ ผมก็ต้องตามใจ ทุกวันนี้เสื้อผ้าในห้องตัวเองแทบไม่มี ขนไปอยู่ในตู้บีมเกือบหมดแล้ว

ไม่เป็นไรนะ

วันนี้แหละบีม

เฮียมุ่ยคนนี้จะไม่ทำให้บีมต้องร้องไห้อีก



“เจ้ พวกผมมาแล้ว” ไอ้เจ๋งเปิดประตูเข้าไป โดยภายในห้องมีโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกจัดวางให้เหมือนกับห้องประชุมขนาดเล็ก และให้เพียงพอต่อสมาชิกในชมรมด้วย ไอ้เจ๋งเดินเข้าไปทักทายคนอื่นๆ ในชมรม ดูท่าจะสนิทกันพอสมควรเลย แหงล่ะ หลังจากจบงานกีฬามอ ตัวผมก็ไม่ได้ย่างกรายเข้ามาที่นี่เลย ต่างจากไอ้เจ๋งที่มาทุกวี่ทุกวัน

“น้องมุ่ย” ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม ผมไม่พลาดครับ คนนี้ชื่อพี่แดน จำได้

“ครับ” ผมผงกศีรษะทักทาย แล้วก็สอดส่องสายตาหาที่นั่งให้ตัวเอง

“มานั่งข้างพี่ก็ได้นะครับ” พี่แดนชี้ตรงที่นั่งของตัวเอง ซึ่งเก้าอี้ข้างๆ ยังไม่มีคนนั่งพอดี ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังพี่เขาไป แล้วกวักมือเรียกไอ้เจ๋งให้ตามมาอีกที

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเรา” พี่แดนหันมาคุยกับผมพร้อมรอยยิ้มบาง

“ครับ”

“ปิดเทอมเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเที่ยวไหนรึเปล่า”

“ไปอยู่ ไปกับพี่”

“พี่ไม่ได้ไปไหนเลย ต้องอยู่เตรียมงานของมอ วุ่นวายมาก ฮะๆ” ปีสูงก็งี้สินะ แต่ผมคงไม่ยุ่งขนาดพี่มันอะ ไม่ได้อินกับกิจกรรมเท่าไร

“ครับ”

“ครับอย่างเดียวเลย ดูเงียบๆ ขึ้นรึเปล่าเรา”

“อ๋อ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

“พี่ถามได้ไหมครับว่าเรื่องอะไร”

“แฟน”

“ค ครับ?”

“ช่าย เครียดมาก นี่ดันเผลอทำแฟนเสียใจอะดิ กำลังหาวิธีง้ออยู่”

“น้องมุ่ย เอ่อ มีแฟนแล้ว?”

“ถูกต้อง”

“...บีมเหรอครับ”

“อือ รู้ได้ไงอะ เก่งว่ะ” ผมชูนิ้วโป้งให้เลย เดาเก่งสัด

“เอาล่ะ มากันครบแล้วนะ งั้นเริ่มประชุมกันเลยดีกว่า” เสียงเจ้จิ้บคนสวยดังขึ้น เรียกความสนใจจากคนในชมรมให้ตั้งใจฟัง

ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นสรุปงานที่ผ่านมาตลอดปีที่แล้ว แล้วก็เรื่องจิปาถะทั่วไปของตัวชมรมถ่ายภาพ ดีที่ได้ไอ้เจ๋งคอยสะกิดเรียกไม่ให้หลับอยู่ตลอด ไม่งั้นเจ้จิ้บแดกหัวผมแน่

“เอาล่ะ อย่างที่รู้กันนะว่าเดือนหน้าจะมีงานโอเพ่นเฮาส์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเราเนี่ย จะจัดบูธของแต่ละคณะขึ้นมาเพื่อแนะนำให้กับน้องๆ มัธยมที่สนใจ ปีนี้จะพิเศษขึ้นกว่าเดิมหน่อย คืองี้ ทางองค์การบริหารนักศึกษาอยากจะให้แต่ละชมรมจัดนิทรรศการเพิ่มขึ้นด้วย”

“โห เจ้ แค่บูธคณะก็จะแย่แล้วอะ” รุ่นพี่คนนึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก รวมถึงคนอื่นในชมรมที่เริ่มบ่นกระปอดกระแปด

“เออ ก็ทาง องค์การฯ เขาว่ามางี้อะ ฉันเถียงอะไรไม่ได้เว้ย”

“แล้วไงต่ออะ”

“ฟังต่อนะ คือฉันกับเพื่อนอีกหลายคนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยหรอกเลยลองค้านดู สรุปสุดท้ายเขาเลยให้จัดแค่สิบชมรมที่มีสมาชิกมากที่สุด เพื่อที่จะให้เป็นตัวดึงดูดเด็กๆ ทั้งหลายให้เข้ามอเราอีกทางหนึ่ง”

“แค่นี้นักศึกษาก็ล้นมอแล้วแม่ จะเอาอะไรนักหนา”

“ให้พวกชมรมกีฬาจัดดิ คนเยอะจะตาย”

“ประเด็นก็คือชมรมเรามีสมาชิกมากสุดเป็นอันดับที่เก้าพอดีเลยจ้า เพราะงั้นชมรมเราเลยต้องจัดนิทรรศการไง พวกแกทั้งหลาย”

“โห โคตรซวย”

“อย่าเพิ่งโห ฉันเกริ่นๆ กับพวกแกไว้แล้วไง ว่าให้ไปเริ่มงานตัวเองตั้งแต่ก่อนกีฬามอ เป็นไงบ้าง ถึงไหนละ”

“ลืมว่ะเจ้ นานเกิน จำไม่ได้แล้วโว้ยย” ไอ้เจ๋งว่าขึ้น เออ เอาจริงผมก็ลืมนะ

“ฉันบอกคอนเสปต์นิทรรศการยังวะแดน? ยังเหรอ เออๆ คืองี้ คอนเสปต์นะ ง่ายๆ เบๆ เลยอะ”

“เกลียดคำว่าง่ายอะ มันเคยมีคำนี้ในหัวเจ้ด้วยเหรอวะ” ไอ้เจ๋งเอียงคอกระซิบกับผม แม่งจริง สั่งแต่ละงานมีแต่งานยากๆ กูเป็นท้อ

“คอนเสปต์ คือ บังเอิญ”

“...”

“ฟังดูเกร่อนะ แต่มันอาจจะทำให้เกิดแรงผลักดันอะไรบางอย่างจากการที่น้องๆ ได้บังเอิญมาดูรูปของพวกเราก็ได้ ซึ่งฉันไม่จำกัดขอบเขตอะ ได้ทุกอย่าง ขอพวกแกแค่นี้ไม่เอาอะไรมาก กำหนดส่งงานคือสิ้นเดือนนี้จ้า”

“...”

“ง่ายใช่ไหมล่า ฉันรู้พวกแกทำได้”

“ง่ายก็เหี้ยแล้ว เจ้โว้ย!”



ต่อข้างล่างงับ

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้งับ


“เจ้แม่ง หางานมาฆ่ากูชัดๆ”

“กูลาออกทันปะวะ ชิบหาย ไม่น่าหลวมตัวมาอยู่กับมึงเล้ย” ผมกับเจ๋งเดินออกจากห้องชมรมมาในสภาวะจิตใจห่อเหี่ยว คนอื่นก็ไม่ต่างกัน

“ไม่ทันแล้วเพื่อน บังเอิญ โห่ แง” ผมตบบ่าไอ้เจ๋งอย่างเห็นใจ ตอนแรกผมก็ไม่ได้กดดันอะไรมาก กะว่าถ้าทำไม่ทันก็ไม่ส่ง คอนเสปต์แม่งยากนะเว้ย บังเอิญอะไรเนี่ย แต่พอเห็นสายตาคาดหวังอย่างแรงกล้าจากเจ้ที่ส่งมาทางพวกผมก่อนเลิกประชุมแล้วนั้น

ถ้าไม่ส่งงาน บอกได้คำเดียวว่า ตายห่าแน่

“น้องมุ่ย”

“อ้าว พี่แดน” ผู้ชายร่างสูงวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างหน้าเราสองคน

“จะกลับกันแล้วเหรอครับ”

“อ่า ใช่” ผมเกาหัวแกรกๆ แล้วตอบกลับไปแบบงงๆ สะกิดไอ้เจ๋งที่มัวแต่ทำหน้าบู้เหมือนหมาให้หันมาช่วยคุย

“จะกลับหอเหรอ หรือว่าไปไหนกันต่อ”

“ผมจะกลับหอพี่ แต่ไอ้มุ่ยมันจะไปกาดในเมือง” ผมพยักหน้าหงึกหงัก แวบหนึ่งผมเห็นแววตาดีใจเป็นประกายออกมาจากพี่แดน แล้วก็หายไป กลายเป็นส่งยิ้มละมุนละไมมาให้แทน แค่กูไปกาด มีอะไรให้น่าดีใจวะ

“อืม พี่จะเข้าในเมืองพอดีเลย ไปด้วยกันไหม”

“อ๋อ ไม่เป็นไรพี่ ผมไปกับบีม เดี๋ยวบีมมารับ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ พลางล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจะโทรหาบีม แต่จู่ๆ กลับมีแขนหนักวางพาดลงกับบ่าผมอย่างไม่ทันรู้ตัว แล้วดึงให้เข้าประชิด ซึ่งกลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคยทำให้เดาไม่ยากเลยว่าเป็นใคร

“มาแล้วเหรอ” ผมเงยหน้า ก็เจอกับใบหน้าอันคุ้นตากับรอยยิ้มที่คุ้นเคย มองทีไรแล้วใจสั่นทุกที เห้อ

“ไปกันยัง” บีมถาม

“เอาดิ ไอ้เจ๋ง กูไปก่อนนะ” ผมโบกมือลาเจ๋งมัน อีกฝ่ายพยักหน้าให้หนึ่งทีแล้วเดินแยกตัวออกไป

“เจอกันมึง”

“เออ พี่แดน ผมไปละ หวัดดีครับ” ผมหันไปยกมือไหว้ลาพี่แดน แล้วเดินออกมากับบีม มุ่งตรงไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล

“บีม ครั้งนี้หม่าล่ายี่สิบไม้ บีมเลี้ยง เคนะ”

“...”

“บีม มึงมองไรอะ ฟังกูอยู่ป้ะเนี่ย” ผมเงยหน้ามองบีมอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับ ก็เห็นว่าบีมยังคงมองไปทางด้านหลังอยู่จนผมต้องใช้สองมือจับใบหน้านิ่มๆ ให้หันกลับมา

“ฟังอยู่ครับ อยากกินไรไหนพูด”

“หม่าล่ายี่สิบไม้ มะพร้าวนมสดปั่น กินข้าวไรดีวะ อันนี้บีมคิดแล้วกัน กูคิดไม่ออก”

“ซูชิปะล่ะ”

“เพิ่งกินไปเมื่อวาน เอาผัดไทดีกว่า”

“ไหนบอกให้กูคิด”

“บีมแม่งไม่ตามใจเลยว่ะ”

“อยากกินไรอีก อะ พูดมา”

“เดี๋ยวซื้อขนมไปฝากพวกเด็กกากซักหน่อย นั่งฟังมันเล่นดนตรีด้วย เห็นไอ้โป้ว่ามาเปิดหมวกแถวนั้น” ผมพูดถึงเหล่ารุ่นน้องร่วมสถาบัน เพิ่งรู้ว่าหลายๆ กลุ่มออกมาทำกิจกรรมกันค่อนข้างเยอะ แล้วไอ้พวกเด็กๆ ที่เคยตามแก๊งผมสมัยก่อนนู่น มันก็ผันตัวมาตั้งวงเล่นดนตรีกัน แม่ง ได้ยินแล้วโคตรชื่นใจอะ พูดแล้วน้ำตาจะไหล ไม่คิดมาก่อนว่าเด็กกากพวกนี้จะทำอะไรดีๆ กับเขาก็เป็น

“ตามใจ”

“เยี่ยมยอด!”






“วันหลังนะ จะเอาน้ององุ่นไป แม่งแทบไม่มีที่จอดรถ” บีมเปิดประตูนำเข้าห้อง โดยมีผมเดินบ่นตาม พลางดูดน้ำมะพร้าวนมสดที่เหลืออยู่ก้นแก้วให้หมด ก่อนจะเดินดุ่มๆ ไปที่โซฟา แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง วันนี้โคตรเหนื่อย เปลืองพลังงานมาก

“อันตรายนะ ขี่กลางคืน”

“เฮียมุ่ยระดับไหนแล้วไอ้น้อง”

“เก่งมากเลยว่างั้น?”

“ของมันแน่อยู่แล้วป๊ะบีม โธ่” ผมวางแก้วน้ำลงกับโต๊ะกระจก แล้วเอนตัวนอนแนบกับหมอนอิงเล่นโทรศัพท์ไปด้วย

“เออ ไอ้น้องบูไม่กลับเหรอวันนี้”

“เห็นมันบอกจะไปกับเพื่อนที่เรียนพิเศษ”

“เด็กใจแตก เที่ยวทุกวัน”

เมื่อตอนเย็นผมกินไปเยอะมาก มากจนตกใจว่าทำไมตัวเองถึงกินได้ขนาดนั้น แล้วก็มานึกขึ้นได้ว่า อ๋อ บีมมันบ่นนั่นเอง กินอีกน้องมุ่ย อยากเป็นเด็กกากเหรอ คนจริงเขาไม่กินแค่นั้นหรอกนะ พูดอยู่นั่นแหละ บ่นจนหูชาแล้วชาอีก ไปอยู่กับฟ้าใสได้เลยอะ แม่เบอร์หนึ่งกับแม่เบอร์สอง ฮ่าๆ

“ไปอาบน้ำไป ตัวเหม็นว่ะ” บีมยกขาผมลงแล้วเข้ามานั่งแทนที่

“แป๊ป อัพเดตฐานข้อมูลก่อน เฮ้ย! น้ำตาลลงสตอรี่อยู่กาดเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วอะ โห่ เสียดายเลย” ผมหมุนตัวเองให้กลับมาอีกด้านหนึ่ง วางศีรษะลงกับหน้าขาของบีมอย่างเคยชิน โดยมีเจ้าของตักลูบผมให้เบาๆ จนแทบจะเคลิ้มหลับไปซะตอนนั้น

“น้องมึงจะสระผมเลยไหม”

“สระดิ เน่ามาสามวันละ”

“ถึงว่า อะไรเหม็นๆ มาตลอดทาง”

“เดี๊ยะๆ ไม่เหม็นซักกะนิด อุตส่าห์โรยแป้งมาเมื่อเช้าเลยนะเว้ย”

“ไอ้เด็กซกมก”

“สะอาดมากมั้งมึงอะ”

“ดมไหมล่ะ” บีมก้มหน้าลงมาจนจมูกของเราสองคนแตะกัน ผมเลยฟาดเข้าให้

“จะให้ดมผม แล้วก้มหน้ามาทำไมวะ”

“มันอยู่ส่วนเดียวกัน”

“ตอแหล”

“หยาบจังวะ แฟนใครเนี่ย” บีมใช้จังหวะที่ผมกำลังเผลอ บีบจมูกผมแล้วส่ายไปมา จนหัวเกือบตก ผมเลยเอาคืนด้วยการยื่นมือทั้งสองข้างบีมแก้มบีมแล้วดึงออก มันเขี้ยวว่ะ แก้มแม่งนิ่มกว่าผมอีก ได้ไงวะเนี่ย

“แฟนหมาบีม”

“หมามุ่ยนี่เอง”

“เดี๋ยวจะโดนเตะ”

“ถึงไหม เอางี้ก่อน”

“ลองป้ะล่ะ”

“ไม่ดีกว่า”

“อ่อน”

“ยอม”

“ไอ้คนกาก”

“จะด่ากัน หน้าอย่าแดงสิ หูด้วย”

“ร้อนเหอะ”

“เปิดแอร์ยี่สิบสามนะ”

“โค้ะ!”

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวเปิดเน็ตฟลิกซ์รอ”

“ไม่มีไรดูแล้วอะ ดูจนเบื่อ”

“วากาบอนด์ เห็นเขาว่าสนุก”

“โม้เปล่า”

“ไปอาบน้ำ แล้วมาดูด้วยกัน”

“เค้”

ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างขี้เกียจ พอเหนื่อยมา แล้วเจอกับแอร์ฉ่ำๆ แบบนี้ ผมแทบไม่อยากทำอะไรเลยอะ อ้อยอิ่งกับโซฟานุ่มๆ อยู่นานจนบีมต้องดึงตัวผมขึ้นแล้วลากไปไว้ในห้องน้ำ ทำเหมือนตัวกูไม่หนักเลยเนาะ

ชีวิตประจำวันที่มีบีมเพิ่มเข้ามามันดีมาก ในตอนแรกผมกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ เมื่อเรามีแฟน ใช่ มันเปลี่ยน แต่มันดีว่ะ ดีแบบคาดไม่ถึง ผมมีความสุขที่จะค่อยๆ เรียนรู้แล้วก็ปรับร่วมกันกับบีม

ทะเลาะกันไหมน่ะเหรอ ถามว่ามีตอนไหนไม่ทะเลาะกันบ้างน่าจะง่ายกว่า ผมดื้อ บีมก็ดื้อ มันชอบกวนตีนแล้วก็ทำตัวรุ่มร่ามอยู่บ่อยๆ ขี้งอนที่หนึ่งอีกตังหาก ผมก็ใช่ย่อยอะ ตีกันแต่ละที แทบจะฆ่ากันตายไปข้าง

ขลุกขลักหน่อยในตอนแรก ด้วยความที่ผมยังไม่เคยมีใคร แล้วบีมเองก็ดันมาชอบคนประหลาดแบบผมอีก แต่ผมชอบว่ะ ชอบมากๆ





“บีม อาบน้ำเสร็จแล้วเอาผ้าห่มออกมาด้วยนะ” ผมเดินเช็ดผมออกมาจากห้อง มืออีกข้างถือไดร์เป่าผม แล้วนั่งจุ้มปุ้กลงพื้นพรมใกล้กับปลั้กสามตา

“เค น้องมุ่ยอย่าลืมเป่าผมให้แห้ง”

“ได้” บีมจุ้บเหม่งผมหนึ่งทีแล้วเดินเข้าห้องไป บีมแม่งอาบน้ำนานอะ ผมนี่ห้านาทีก็เสร็จละ รวมสระผมด้วยเป็นสิบ บีมแม่งปาไปครึ่งชั่วโมง อาบหรือตายโทษที

ผมเลื่อนโทรศัพท์เล่นพลางเป่าผมไปด้วย เสียเวลาก็ตรงทำให้ผมแห้งนี่ล่ะ ถ้าปล่อยให้ชื้นเดี๋ยวบีมก็ด่าอีก เปลี่ยนทรงใหม่เลยมะ ตัดสกินเฮ้ดแบบพี่เต้เลยดีไหมครับ ถ้าเป็นผมแล้วแม่งโคตรเท่แน่นอนเลยอะ

รอจนผมแห้ง ผมก็เก็บไดร์เป่าผมแล้วย้ายตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา นอนเล่นเกม คุยกับเพื่อนไปเรื่อยจนเกือบจะหลับ บีมก็ออกมาพอดี

“วันหลังมึงนอนในนั้นไปเลยดิบีม”

“ไม่เอา นอนกอดน้องมุ่ยดีกว่า” บีมเดินออกจากห้องนอนมาพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่หนึ่งผืนและหมอนใบโตอีกหนึ่งใบ เจ้าตัวใช้ทีเผลอแกล้งโยนผ้าห่มคลุมตัวผมจนมิด แล้วอุ้มขึ้นจนตัวลอย

“ไอ้บีม! ปล่อยเลย”

“เจ็บๆ อย่าตี ฮ่าๆ” ผมฟาดมือรัวลงกับแผ่นหลังหนารัวๆ บีมเลยวางผมลงโดยที่ยังไม่เอาผ้าห่มออก ยังไม่ทันได้ด่าอีกรอบ แขนแกร่งก็คว้าเอวผมเข้าไปนั่งลงตรงกลางระหว่างขาแล้วกอดไว้อย่างนั้น

“นั่งดีๆ ไม่เป็นรึไง ไอ้บีมบ้า” มุดออกมาได้ก็ฟาดเข้าให้กับแขนหนักๆ นั่น บีมหัวเราะชอบใจจนตาเรียวหยีลง แถมยังกดให้แผ่นหลังของผมแนบเข้ากับอกตัวเอง จนระยะห่างระหว่างใบหน้าเราตอนนี้เหลือแค่คืบ พลางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมเราทั้งสองคนจนรับรู้ได้ถึงความอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของบีม

“จะดูหนัง”

“ยังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยน้องมุ่ย” ทำหน้าทำตา เนี่ย บีมมันชอบยังงี้ไง ผมสู้ไม่เคยได้เลย ให้ตายดิวะ

“ไหนวากาบอนด์อะไรอะ เปิดดูดิ้”

“รู้แล้ว ถ้าง่วงก็นอนเลยนะ” บีมลูบศีรษะผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มนุ่มๆ ที่ส่งมาให้ ทำเอาผมแทบเคลิ้ม

“เปิดๆ”

ผมชอบที่จะนั่งดูหนัง ดูทีวี ภายใต้อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของบีมมาก และมันกลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกคืนเวลาเราอยู่ด้วยกัน ชีวิตเหนื่อยๆ จากเรียน จากเรื่องน่าปวดหัวในแต่ละวัน ผ่อนคลายลงได้อย่างง่ายดาย ผมไม่รู้หรอกว่าการมีคนให้รักของคนอื่นเป็นแบบไหน แต่สำหรับผม แค่ได้อยู่ด้วยกันมันก็โอเคแล้ว โชคดีที่คนๆ นั้นเป็นบีม โชคดีจริงๆ



“หัวหน้ากี มันดูมีอะไรว่ะบีม หน้าแม่งอย่างโกงอะ” ผมตบปุลงกับผ้าห่มอย่างขัดใจ เมื่อซีรีส์จบไปแล้วอีกตอนหนึ่ง ค้างอะ ค้างโคตรๆ ทำไมตอนต่อไปไม่มาให้มันเร็วกว่านี้

“บริษัทไดนามิกก็น่าสงสัย” บีมวางคางลงกับศีรษะของผมแล้วพูดขึ้น

“กูว่ามันไม่ใช่คนดีอะบีม ความรู้สึกกูมันบอก โอ๊ย แม่ง ซีรีส์อะไรวะ โคตรสนุก” ใครยังไม่ได้ดูคือผมแนะนำเลยอะ แนะนำให้เราค้างไปด้วยกัน ฮ่าๆ สนุกจริง สถานการณ์ในซีรีส์มันคุ้นมาก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“ดึกแล้วนะ นอนก่อนไหม”

“อยากดูต่อ” ผมหันไปมองบีม กระพริบตาปริบๆ อย่างขอความเห็นใจ แต่บีมกลับส่ายศีรษะปฏิเสธพลางแกล้งทำหน้าดุให้ผมกลัว หน้าอย่างกับซามอย กลัวตายล่ะ โธ่เอ๊ย

“รอวีคหน้า จะเที่ยงคืนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอเราอะ”

“อีกตอนเดียว”

“ไปนอนกันดีกว่า” บีมไม่สนใจ กดปิดทีวีแล้ววางรีโมตบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา หึ เสร็จกู


ฟึ่บ!


“เฮ้ย! บีม” แตะแล้ว มือแตะรีโมตแล้ว แต่ไอ้ตัวดีรู้ทัน คว้าหนีไปต่อหน้าต่อตา ผมหันกลับมามองมันอย่างฉุนๆ บีมยกยิ้มล้อเลียนพลางชูรีโมตขึ้นหนีผม

“รู้ทันหรอก ดึกแล้วน้องมุ่ย ไม่เอา” นิ้วเรียวยกขึ้นส่ายไปมาตรงหน้าผม

“บีม มันค้างนะเว้ย!”

“พรุ่งนี้มาดูต่อ”

“จะดูตอนนี้”

“ไม่ให้ดู น้องมุ่ยจะทำไมอะครับ”

“ได้ เล่นงี้ใช่ไหม”


ฮึบ!


ผมพลิกตัวคร่อมบีมไว้แล้วยืดตัวชูมือขึ้นหวังจะแย่งรีโมตจากไอ้ตัวดื้อ แต่ด้วยความต่างกันของความสูง บีมจึงเอี้ยวหลบมือผมตลอด แขนแกร่งอีกข้างก็สอดรัดรอบเอวไว้ไม่ให้ลุกขึ้นได้ โว้ย!

“เอามา เอารีโมตมา”

“เหนื่อยยัง”

“แฮ่ก ยัง!” หอบนิดเดียวเอง

“เดี๋ยวก็ร่วงหรอก อยู่นิ่งๆ ดิ”

“บีมก็ให้รีโมตมาดี้ อะ...เฮ้ย!” เราปล้ำกันอยู่นาน ผมเลยใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันตัวกับพนักพิง ยกขาถีบเบาะโซฟาเพื่อจะยืนขึ้นให้ได้ แต่เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง ผมดันเหยียบเข้ากับผ้าห่มเลยพลาด ทำให้ทั้งตัวและใบหน้าโถมเข้าใส่บีมอย่างจัง จนรีโมตร่วงลงกับพื้น กลายเป็นตอนนี้ผมหลับตาปี๋กอดคอบีมไว้แน่นอย่างตกใจและกลัวตก ดีที่บีมคว้าเอวแล้วรัดไว้ได้ทันท่วงที ไม่งั้นได้หงายหลังทับกระจกโต๊ะแตกทะลุพุงแน่ๆ

“ไอ้เด็กดื้อ เกือบแล้วไหม” เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วงและถี่กระชั้นดังขึ้นข้างหู ทำให้ผมรู้ว่าบีมก็ตกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าผมจะพลาด

“เกือบตกเลยบีม”

“เล่นไม่รู้เรื่องไง ไอ้หมาเอ๊ย”

“เจ็บปากเลย เมื่อกี๊กระแทกกับตัวมึงอะบีม” ผมนั่งลงกับหน้าขาของคนตรงหน้าแล้วค่อยๆ ผละตัวเองออกมาสบตากับบีม แตะๆ ปากตัวเองที่รู้สึกเจ็บจากการชนเข้าอย่างแรงเมื่อครู่ โดยที่มืออีกข้างหนึ่งยังคงคล้องคอบีมอยู่

“ไหนมาดู บวมนิดนึงว่ะ ดีนะไม่แตก” บีมจับคางผมแล้วเชยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่คมจ้องมาที่ริมฝีปากผมเป็นจุดเดียว แววตาแสดงออกมาถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ไม่ต้องยิ้มเลย ซนจนได้เรื่อง เห็นไหมน้องมุ่ย”

“เจ็บๆ”

“สำออยรึเปล่า”

“ไอ้บีม”

“อะล้อเล่น บวมนิดเดียว พรุ่งนี้หาย”

“จะให้หายตอนนี้” ผมว่ากลับอย่างดื้อดึง เอียงคอสบตากับบีมอย่างเอาแต่ใจ เจ้าตัวถึงกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา แต่แววตาที่ส่งมานั้นกลับมีแต่ความเอ็นดูระคนห่วงใยทั้งนั้น

“ดื้อ”

“รู้ตัวว่ะ”

“แล้วจะให้ทำไง พี่ไม่มียาทาหรอกนะ”

“ทำไมต้องใช้ยา” ผมเลิกคิ้วขึ้น แกล้งคนตรงหน้าที่เริ่มจะรู้แล้ว ว่าผมกำลังจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ

“น้องมุ่ย...”

“ไม่เอายา...”

“แล้วจะเอาอะไร” แรงกอดรัดที่บั้นเอวแน่นขึ้น รวมถึงตัวผมที่ขยับตัวเข้าหาคนตรงหน้าจนทุกส่วนแนบชิดติดกัน เหลือเพียงใบหน้าของเราสองคนที่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“จะเอามึง”

“ไอ้เด็กดื้อ”

ผมขยับเข้าประทับริมฝีปากของบีมอย่างแผ่วเบาเพียงชั่ววินาทีในตอนแรก แล้วดึงใบหน้าตัวเองกลับมา มองสบตากับอีกฝ่าย บีมเหมือนจะอึ้งกับการจู่โจมของผมเล็กน้อย แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบเฉยที่แฝงไปด้วยอารมณ์รุนแรง บีมหลบตาพลางกัดริมฝีปากตัวเองราวกับต้องการหักห้ามใจ ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาให้กับการอดทนของคนเก่งตรงหน้า

“เดี๋ยวจะโดนดี”

“คนอย่างเสือมุ่ย กลัวที่ไหนวะ” ไม่ทันขาดคำ ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็พุ่งเข้ามาประทับเข้าหากันอย่างแนบแน่น ต่างจากตอนแรกที่เพียงแค่สัมผัส แต่ในขณะนี้กลับขบเม้มดูดดึงราวกับต้องการปราบความเอาแต่ใจและความดื้อดึงของอีกฝ่าย

มือใหญ่เอื้อมมาตรึงศีรษะเล็กให้อยู่กับที่ พลางบดเบียดริมฝีปากซ้ำลงไปอีกแต่ยังไม่ลุกล้ำใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ละเลียดชิมและจูบซับจนทั่วริมฝีปากรวมถึงพวงแก้มร้อน และจมูกที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ารัก จนคนตัวโต

กว่าอดไม่ได้ที่งับเข้าให้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วเอียงใบหน้าซบเข้าที่ลำคอขาวของอีกฝ่าย ใช้ริมฝีปากบางของตัวเองจูบซับทั่วบริเวณ ทั้งหลังใบหู แนวลำคอ ไม่เว้นแม้แต่การดูดดึงอย่างเอาแต่ใจกับช่วงบ่าเล็กนั่น จนเกิดรอยสีจางขึ้น

“กลัวรึยัง”

“มุ่ยมีพี่บี้เป็นไอดอล” จบคำทั้งคู่ก็ยิ้มออกมา บีมเสยผมขึ้นแล้วเหยียดยิ้มมุมปากพลางสบถคำออกมา ซึ่งจากสายตาของมุ่ยแล้ว

แม่ง โคตรฮอต

แล้วต่างฝ่ายก็ขยับเข้าหากันจนแนบชิดโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ชิมแล้ว แต่ลิ้นร้อนกลับแตะลงกับรอยแยกของริมฝีปากอย่างแผ่วเบาเป็นเชิงขออนุญาต ไม่ทันจะได้เอ่ยคำพูดใด ลิ้นร้อนก็แทรกเข้ามาทันที พลางไล่ต้อนลิ้นเล็กอย่างหยอกเย้า ทำให้จูบครั้งนี้กลับแนบสนิทมากขึ้นไปกว่าเดิม

ภายในห้องเงียบสนิท จะมีก็เพียงแต่เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงสัมผัสระหว่างกันที่ดังขึ้นอย่างน่าอาย แต่กลับไม่มีใครสนใจซักนิด สองมืออุ่นร้อนของร่างหนาสอดเข้าใต้เสื้อของคนตัวเล็กพลางเกาะกุมบริเวณช่วงเอว ลูบไล้ขึ้นมายังแผ่นหลังเรียบเนียน ซึ่งคนตัวบางกว่าก็ไม่ให้เสียชื่อเสือมุ่ยตามที่ตัวเองอ้าง สอดมือเล็กเข้ากับกลุ่มผมนิ่มแล้วขยำเบาๆ มืออีกข้างกดและลูบไล้บริเวณหลังคอของคนตัวสูงตามแรงอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงไปแล้วของทั้งสองฝ่าย

สัมผัสลึกล้ำกับลิ้นอุ่นชื้นจากคนทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร มุ่ยยืดตัวขึ้นยืนเข่าแล้วใช้มือข้างที่ขยำเส้นผมอยู่ก่อนหน้า จิกลงแล้วดึงเบาๆ ให้อีกฝ่ายแหงนหน้าขึ้นรองรับสัมผัสอันแนบแน่นอีกครั้ง และอีกครั้ง ฝ่ายบีมเอง ฝ่ามือซนๆ เกลี่ยไปตามของกางเกงยางยืดของคนตัวเล็กอย่างใจเย็น ค่อยๆ ดึงรั้งลงมาอย่างเชื่องช้า โดยที่อีกฝ่ายแทบจะไม่รู้สึกตัว เพราะมัวเมาไปกับรสจูบที่กำลังมอบให้แก่กัน มือใหญ่อุ่นร้อนแตะเข้ากับกับส่วนที่เป็นเนินออกมาเพียงชั่วครู่ ในใจตอนนี้พร้อมจะฉีกกระชากสิ่งที่ปกปิดร่างกายคนตัวขาวออกให้หมด เว้นแต่ว่า

“อะแฮ่ม!”

“****แม่ง! f***!”

“เหี้ย!!! ไอ้น้องบู!!”

“ครับ น้องบูเองครับ เฮียมุ่ย”





*****************************************

หากมีคำผิดต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านนะคะ จะกลับมาตามแก้ทีหลังงับ

ตัดตอนแบบนี้ไม่ใจร้ายไปใช่ไหมคะ /หลบถ้วยถังกะละมังไห

แฮ่ มาต่อให้เเล้วงับ ขออภัยนักอ่านทุกท่านที่หายไปนานอีกแล้ว งานเยอะและป่วยนิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากๆแล้ว ความจริงตอนนี้เป็นตอนที่เขียนนานมากๆตอนนึง เปลี่ยนไดอะล็อกหลายรอบ และจบไม่ค่อยลงด้วย แต่สุดท้ายก็จบตอนไดอย่างแฮปปี้

ซึ่งพาร์ทหลังๆต่อจากนี้ จะมีแต่ความขิง ขิง ขิง แล้วก็ขิงของน้องมุ่ย อาจไม่ได้หวือหวามากมายอย่างที่ทุกท่านคาดหวังไว้ แต่เราพยายามจะนำเสนอมาในรูปแบบของความรักทั่วๆไป ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และการใช้ชีวิตของคู่นี้ที่เขาไม่ได้โลดโผนอย่างในช่วงแรกๆ มาติดตามบทสรุปไปพร้อมกันนะคะ อีกไม่กี่ตอนแล้ว

ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนที่ให้มาจนถึงตอนนี้ รักทุกคนค่ะ

ขอบคุณจากใจ



พูดคุยกันได้ที่ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวนักเขียนได้ที่ทวิตเตอร์ @Chanadbears

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
น้องบูจะมาขัดจังหวะแบบนี้ไม่ด้ายยยยยย :sad11:

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 27

เสือมุ่ยออกโรง



ผมนั่งกอดอกหน้ามุ่ยด้วยอารมณ์คุกรุ่น ปรายตามองได้เด็กบูที่นั่งอยู่กับพื้นพรมด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี๊ยมประกอบกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บีมที่นั่งอยู่ข้างกันก็หัวเราะออกมาเป็นระยะพลางมองผมกับน้องบูสลับไปมา ตลกมากป้ะวะ แม่ง

“บู เฮียพูดตรงนี้ว่าเฮียไม่พอใจมาก”

“เฮียมุ่ย ก็บูไม่รู้อะ” น้องทำหน้าลูกหมาหงอยแล้วโอดครวญตอบกลับมา เฮอะ! กูไม่เห็นใจ กูพูดตรงนี้ว่าไม่เห็นใจอะไรทั้งสิ้น

ขณะที่ผมกับบีมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน ไอ้ลูกหมาบูก็ดันทะเล่อทะล่าเข้าห้องมา แม่งเอ้ย! เกือบได้เสียเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว ขัดจังหวะโคตรๆ เหี้ยเถอะ หงุดหงิดชิบหาย กว่ากูจะบิ๊วอารมณ์ตัวเองเพื่อเรียกความเป็นเสือมุ่ยในร่ายกายอันกำยำให้ออกมาผงาดได้ รู้ไหมว่าต้องใช้ความด้านของหน้าขนาดไหน ไอ้เด็กเหี้ย! กูจะแจ้ง!

แล้วทีนี้คือแม่งเข้าหน้าบีมไม่ติดแล้ว ที่มองแต่ไอ้น้องบูไม่ใช่อะไรนะ คือผมเขินบีมสัดๆ มีมันนั่งจับมือลูบไปลูบมาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปล่อยเลย รู้แหละครับว่าผมเขิน บีมก็เลยยังไม่ได้พูดอะไรออกมา คงกลัวว่าผมจะสติแตกไปมากกว่านี้ ได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาเป็นพักๆ ฮือ กูทำอะไรลงไปครับ ในหัวตอนแรกคือคิดไว้ว่าตื่นมาอีกทีตอนเช้าแบบหวานชื่น นอนมองตากันปิ๊งๆ มีความเขินอายให้กันเล็กน้อย แต่นี่มันอะไร! กูรุกบีมเองด้วยซ้ำอะ พอจบแบบนี้มันโคตรจะอยากมุดดินหนีเลยโว้ย

“ลูกอิช่างขัดรึไงวะมึงอะ ห้ะ?”

“ก็ใครจะไปรู้วะว่าเฮียกับพี่บีมจะปั้บปาดาเย้เยวู้ฮู้กัน” ไอ้น้องบูทำไม้ทำมือแสดงให้ดู ผมแทบจะยกตีนถีบหน้ามัน พอน้องมันเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของผมน้องมันก็กระพริบตาปริบๆ อ้อนมืออ้อนตีนอีกระลอก พลางเขยิบตัวเข้ามาบีบนวดขาอย่างเอาใจ

“เนี่ย มึงไม่เข้าใจคนมีแฟนไง บู คนเขาจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันมึงต้องหัดเรียนรู้ซะบ้าง” อย่าให้เฮียคนนี้ต้องสอนได้ไหม คนเป็นแฟนกันเขาจะทำอะไรกันบ้าง บูต้องคิดครับ น้องบูต้องคิด!

“สรุปบูผิดใช่ไหมอะ”

“ยังต้องถามอีกเรอะ มึงไม่ผิดแล้วจะเป็นใคร คราวหลังกูจะล็อคห้องไม่ให้มึงเข้ามา ปล่อยแม่งนอนตากยุงอยู่หน้าห้องนั่นแหละ” ผมจิ้มๆ หน้าผากนั่นหลายครั้งให้มันจำบวกกับอารมณ์หมั่นไส้หน้าตาท่าทางสำนึกผิดไม่จริงที่เหมือนกับพี่มันไม่มีผิดนั่น

“วันหลังเฮียโทรบอกดิ จะปั้ปปาดาเย้เฮวู้ฮู้กันวันไหนกี่โมงนานเท่าไร เฮียบอกบูเลย”

“สาบานกับกูว่านั่นคือมึงคิดแล้ว” เท้ากระดิกทันทีที่ไอ้น้องบูมันพูดเจื้อยแจ้วออกมา ยัง ยังไม่รู้สึก

“แน่นอน! บูจะได้ไปนอนกับเพื่อนไม่งั้นจะซื้อที่อุดหูอย่างดีมาอุดเลย รับรองไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น หรือถ้าได้ยินแว่วๆ บูจะคิดว่าบูหลอนแดกไปเอง เคป๊ะ”

อะ...ไอ้บู ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!


โป๊ก!


“โอ๊ย! เฮียดีดหน้าผากทำไมเนี่ย เจ็บ”

“บัดสีบัดเถลิง! มึงพูด...พูดอะไรออกมา ค...ใครมันจะไปทำแบบนั้น หยุดคิดเลยนะโว้ย!” รู้สึกได้ถึงไอความร้อนพุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว กูจะแจ้ง! มึงพูดอะไรของมึง กูจะแจ้ง ปราชิก! ฮือ

“...เฮ้ย! เฮียมุ่ยหน้าแดงทำไมอะ ดูๆ ลามยันคอแล้วเฮีย!” กูไม่ไหวแล้ว!


ผลัก!


“โอ๊ย! เฮียถีบทำม้าย เฮ้ยๆ พี่บีมจับเฮียมุ่ยไว้ ว้าก! อย่าเตะน้อง!” ยังไม่ทันจะลุกขึ้นไล่ถีบเด็กปากพล่อยตรงหน้า บีมก็เหมือนรู้ทัน สอดมือเข้ามาเกี่ยวเอวผมไว้ก่อนที่ผมจะลุกขึ้น พลางกอดรัดและดึงเข้าหาเจ้าตัวทำให้แผ่นหลังของผมแนบชิดติดกับแผ่นอกของบีมจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นจางๆ ซึ่งยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความร้อนบนใบหน้าผมให้พุ่งสูงมากกว่าเดิม ในหัวเหมือนมีดอกไม้ไฟแตกกระจายออกนับร้อยนับพันจนนับไม่ถ้วน

“ไอ้บู! ไอ้เด็กเหี้ย!”

“ไปแล้ว~”

“ไป! ไปนอนให้หนอนแดกเลยนะ หมดอารมณ์ทุกอย่าง กูจะกลับหอแล้ว เด็กเวรเอ๊ย!” ผมชี้ด่าไล่หลังน้องมันที่คว้าข้าวของวิ่งจู๊ดเข้าห้องปิดประตูดังปึง แล้วก็ต้องถอนหายใจหนักๆ ออกมา เผลอเอนพิงคนที่นั่งข้างหลังอย่างลืมตัว วันนี้ผมใช้พลังไปเยอะมากๆ ไม่ไหวอะ มานาหมดแล้วครับ

“หน้าแดงเลย” บีมลูบแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็บีบเข้าหากันจนหน้ายู่ ไอ้ตัวดีแม่งก็หัวเราะขึ้นมาทันที ผมจึงต้องสะบัดหน้าหนีด้วยแรงเฮือกสุดท้าย แต่ก็ทำได้เพียงหลุดจากการถูกจับแก้มแต่ไม่หลุดจากอ้อมกอดนี้

“พลังหมดแล้วเหรอ” บีมกระชับอ้อมกอดแล้ววางคางลงกับช่วงบ่าของผมพลางหันหน้าเข้าหาแล้วฉวยโอกาสที่ผมกำลังเผลอๆ หอมแก้มเต็มฟอดหนึ่งครั้งจนหน้าผมบี้ไปตามแรงกดจากริมฝีปากของคนตัวสูง


ดูมันทำกับผมดิ

ขิต

ขิตอีกแล้วกู แง


“ไม่โวยวายเลยว่ะ” บีมพึมพำอย่างประหลาดใจที่ผมไม่สู้กลับ ได้แต่นั่งหน้าแดงให้มันลวนลามอยู่อย่างนี้

“กูจะแจ้งให้หมด ทั้งพี่ทั้งน้อง” บีมระเบิดหัวเราะลั่นราวกับถูกใจในคำตอบ โดยมีผมสะบัดข้อมือด้วยแรงเท่ามดตีแปะๆ เข้ากับแขนแกร่งนั่นให้รู้ว่าผมกำลังจะงอแงจริงๆ แล้ว ถ้าบีมยังแกล้งไม่เลิก

“เพราะบีมคนเดียว” ทำอะไรไม่ได้ก็โทษบีมไว้ก่อน เรื่องโยนความผิดให้คนอื่น เก่งมากเลยผมอะ

“แต่น้องมุ่ยรุกก่อนเลยนะ” น้ำเสียงล้อเลียนดังขึ้นข้างหู ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าบีมกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ มันกวนตีนอะทุกคน ดูสิครับ หน้าตารึก็สู้ผมไม่ได้ นิสัยก็ไม่ดี ทำไมมีแต่คนชอบมันผมไม่เข้าใจ

“มึงอ่อยกูอะ”

“ก็อ่อยอยู่ตลอด ใครจะรู้ว่าน้องมึงจะสติแตกวันนี้” ยอมรับหน้าด้านๆ อย่างไม่อายฟ้าอายดิน มึงวางแผนไว้แล้วสินะ ว่ายังไงกูก็ต้องตกหลุม ไอ้บีมบ้า!

“มึงมันขี้โกง!”

“ตัวเองก็ใช่ย่อยเถอะ โดนเพื่อนยุมาใช่ไหม” บีมถามถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่ ทำให้ผมหน้าขึ้นสีอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ อายสัด

“เพื่อนก็แค่หนึ่งเปอร์เซนต์ อีกเก้าสิบเก้าคือความเป็นเสือในตัวล้วนๆ” ให้เขารู้ว่าเสือมุ่ยมันน่ากลัวขนาดไหน นี่ขนาดยังไม่ออกมาเต็มร่างนะ อิโถ่เอ๊ย

“โอ๊ย น่ารักชิบหาย”

“แอ่ก บีม กูจะหายใจไม่ออก ไอ้บ้าบีม ปล่อยโว้ย” จบคำคนข้างหลังก็กอดผมแน่นขึ้น จู่โจมหอมแก้มไม่หยุดทั้งซ้ายและขวาอีกทั้งยังน้วยใบหน้าเข้าหาเหมือนกำลังฟัดหมาอยู่

อ้าว เหี้ย กูเปรียบตัวเองเป็นหมา


โว้ย!


“ที่บ้านให้กินอะไรครับ ทำไมน่ารักขนาดนี้” ก็ไม่ต้องพูดใกล้หูไหม มันจักจี้ ไอ้บีมนี่!

“เนี่ย มึงยังรั้นจะให้กูร้องเพลงแม่ผ่องศรีอีกอะ ใจคอจะไม่ให้พักเลยใช่ไหม สแตมินากูหมดแล้วบีม ไม่เห็นใจกูเลยสักนิด นี่แฟนมึงนะ” บีมชอบท้าอะทุกคน แล้วจะให้ผมทำไงได้วะ กูคนบ้าจี้มึงก็รู้อยู่ ดีนะจำเนื้อเพลงไม่ได้ อิโถ่

“รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักมากอะ” บีมทำหน้าจริงจังขณะจ้องผมไปด้วยคล้ายกับว่านี่คือปัญหาระดับชาติ

“บีม มันเรื่องจริงอยู่แล้วป๊ะวะ คือรู้ตัวมาตลอดว่าหล่อเท่าโลก ภูมิใจซะเถอะที่มีแฟนหน้าตาดีขนาดนี้ หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ ลิมิเตดอิดิชั่น” ผมหล่อมาก เวลาส่องกระจกบางทียังเผลอเขินตัวเองเลย

“ปากนี้มันมุบมิบจังเลย มันเขี้ยว” บีมบีบปากผมแล้วก็ปล่อยพลางกดริมฝีปากลงมาจุ๊บเร็วๆ ย้ำอีกรอบหนึ่ง จนหน้าผมเห่อแดงขึ้นมาอีกไม่รู้รอบที่เท่าไร พยายามเบี่ยงหน้าแล้วยันหน้าบีมให้ออกห่าง หัวใจก็พลันเต้นระรัวอย่างกับจังหวะแทงโก้ แทดๆ แทดแท่แดด แทดๆ แทดแท่แดด

“ไม่แดกกูไปเลยล่ะบีม” พูดประชดเขานะ แต่ไม่กล้าสบตา โคตรป๊อดเลยกู ฮือ

“เดี๋ยวเลยเถิด รู้ว่าชอบจูบ แต่วันนี้พอก่อนดีกว่า”

“บีมแม่ง...”

“ปะ น้องมุ่ย เดี๋ยวพี่บีมไปส่ง อืม...หรือจะค้าง?”

“จะกลับเอง” ตอบแต่ยังไม่หันกลับไปมองหน้า หัวใจเหี้ย! เต้นเร็วอีกแล้ว ไอ้เวร! มึงพักบ้างไหมสัด เอาจังหวะปกติแบบคนอื่นเขาอะ ทำเป็นไหม!

“กลับเองได้ไง ดึกแล้ว” บีมจับผมสองแขนผมให้ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็จับหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากัน ถึงจะขืนตัวเองแค่ไหนก็สู้แรงหมีควายของบีมไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างไม่ลดละ

“เดินได้อยู่แหละ” กูพูดอะไรอะ ปากแม่งขยับไวกว่าสมอง เดินได้กับผีมึงไอ้มุ่ย ง่าวขนาด

“เขินแล้วพูดไม่รู้เรื่องอะน้อง ฮ่าๆ” บีมใช้สองมือประกบแนบเข้ากับแก้มผม บังคับให้เงยหน้าขึ้น แต่ผมไม่ยอมพยายามสะบัดยุกยิกๆ จนบีมมันคงรำคาญเลยขยับใบหน้าตัวเองเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน คนตรงหน้ายกยิ้มกว้าง กลอกตาสำรวจไปทั่วใบหน้าของผมทุกตารางนิ้วอย่างละเอียดด้วยแววตาเป็นประกาย

“อย่ามาจับหน้ากันนะเว้ย”

“รู้ตัวไหมว่าตัวเองหน้าแดงมาก”

“กูรู้ กูเก่ง”

“ครับ น้องมุ่ยเก่งที่หนึ่ง” มันพูดครับใส่ผมอีกแล้ว กูจะแจ้งจริงๆ แล้วนะ

“บีมอย่ามาครับเคริบแถวนี้ได้ป้ะ ไปไกลๆ เลย” ผมพยายามดันไหล่ไอ้หน้ามึนให้ถอยออกไป แต่ก็เหมือนดันกำแพง ไม่เขยื้อนแม้แต่น้อย แถมยังขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนปากจะแตะกันอยู่แล้ว

“น่ารักจนกูใจเจ็บไปหมดแล้ว” บีมจับมือผมขึ้นมาให้แตะลงกับบริเวณหน้าอกของคนตรงหน้า และมันก็ทำให้ได้รู้ว่า บีมเองก็ใจเต้นแรงไม่แพ้กับผมเลยเช่นกัน

“ก...กูหล่อเป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องธรรมชาติมันห้ามกันไม่ได้”

“ทีอย่างนี้ล่ะเถียงเก่ง”

“แบร่”

“อยากจุ๊บอีก” บีมยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกจรดกันพอดี พลางใช้สองมือประคองช่วงเอวให้ขยับเข้าใกล้มากขึ้นกว่าเดิม

“จุ๊บพ่อง อย่าแม้แต่จะคิด”


จุ๊บ!


พูดยังไม่ทันขาดคำ

“ไอ้บีม!”

“ชู่ว เดี๋ยวน้องบูได้ยิน” บีมยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากตัวเอง ทำหน้าเหมือนผมเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ มึงเลย! มึงคนเดียวเลยบีม ไอ้คนร้าย!

“กูไม่ให้จุ๊บไอ้คนชั่ว”


จุ๊บ!


ใครก็ได้เอามันออกไปจากผมที

“กูจะแจ้ง! ปราชิก!”

มันไม่จุ๊บแล้วครับ มันบี้ปากผมเลย

“อื้อ! ไอ้บีม ไอ้...บีมแม่งหยุดวอแวดิ้ มันแบบ...มัน...ไอ้ - แง...” กูไม่ไหวแล้ว ไอ้บีม ไอ้คนเลว นิสัยไม่ดีแต่ดันหน้าตาดีแล้วก็ยิ้มสวย ฮือ ไอ้คนบ้า กูจะฟ้องเฮียคราม กูจะฟ้องพี่นายให้มาทุบหัวมึง

“ฮ่าๆ กอดนะ เบะเลย โอ๋ๆ ใครแกล้งน้องมุ่ยวะ บอกพี่บีมเร็ว เดี๋ยวจัดการให้” เหมือนคนตัวสูงจะแกล้งจนพอใจแล้วจึงดึงผมเข้าไปกอดแน่นพลางฝังใบหน้าลงกับซอกคอ ยกมือขึ้นลูบหัวลูบหางผมเพื่อจะปลอบให้หายงอแง แต่โทษนะ เวลาบีมพูดริมฝีปากนุ่มๆ นั่นจะเฉียดไปเฉียดมากับผิวเนื้อผมตลอดเลย มึงมันคนอู้บ่าจ้าง คนนิสัยบ่าดี บ่าดีถึงตากูเน้อ เสือมุ่ยจะขย้ำหื้อตายเลย

“บีมนั่นแหละ! ไม่ต้องมากอดเลยนะ”

“ไว้โอกาสหน้านะครับ”

“หมายถึงทุบ?”

“หมายถึง...” โอเคเข้าใจ เกทอย่างลึกซึ้ง ประสูติ ตรัสรู้ ปริณิพพาน

“ไม่ต้องพูด”

“จริงๆ ไม่ได้เตรียมถุงยางกับเจลหล่อลื่นไว้ด้วย ว่าจะซื้อแล้วล่ะ แต่ไม่คิดว่าน้องมุ่ยจะรีบขนาดนี้”

“ฮือออ ไอ้เหี้ย...ไอ้คนเหี้ย” พูดทำไม มึงพูดทำมายยยย

“ครั้งหน้าพี่จะถามน้องบูว่าวันไหนมันไม่กลับห้อง ดีไหม”

“บ่าดี” ไม่ต้องมาขอความเห็นจากกู! กูจะไม่พูดกับมึงแล้ว

“น่ารัก”

“บ่าดีอู้เน้อ”

“น่ารักที่สุดเลย แฟนใครวะ”

“...”

“...หืม?”

“แฟนบีม...” ปฎิเสธไม่ได้อีก เรื่องจริงทั้งนั้น ฮือ






หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้เกือบสองอาทิตย์ ผมยังคงใช้ชีวิตปกติ ไปเรียน กินข้าว ตีกับเพื่อน ถ่ายรูป นอน วนลูปอย่างนี้เรื่อยมา เพิ่มเติมคือมีบีมเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตอีกคนหนึ่ง

การมีบีมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งนั้น บอกเลยว่าเซอไพรส์มาก คือก่อนหน้าผมก็นอน เล่น กิน ของผมมาแบบเดิมตลอด คิดว่ามันก็ดีแล้ว แต่พอมีบีม มันกลับดีขึ้นไปอีกอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผมทานข้าวนอกบ้านได้มากขึ้นอย่างน่าตกใจ บีมมักจะสรรหากับข้าวอร่อยๆ มาให้ผมกิน ซึ่งไม่ใช่ว่าที่ผ่านมามันไม่อร่อย แต่แค่ว่าอยู่กับบีมแล้วเจริญอาหารมากกว่าเดิม แหงล่ะ แม่งจ้องอย่างกับพร้อมจะแง่มอยู่ทุกครั้งเวลาที่ผมกินน้อยเกินไป

บีมแม่งดุอย่างกับหมา ขู่ว่าถ้าผมกินน้อยครั้งหนึ่งจะงดเยลลี่หนึ่งอาทิตย์

ใจร้ายมาก ไม่มีใครบนโลกใบนี้ขาดเยลลี่ได้หรอกนะ ผมเลยมีแรงบันดาลใจในการทานข้าวมากขึ้น จากหุ่นขี้ก้างกลายมาเป็นหุ่นขี้ก้างเลเวลเก้าสิบเก้า ใบหน้าผมดูมีน้ำมีนวลจนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ตัวผมทำไมมันช่างหล่อเหลาขนาดนี้นะ

รวมถึงการได้ออกไปเที่ยวกับบีมในมุมมองและความรู้สึกที่แตกต่างจากการเที่ยวคนเดียว ผมเพิ่งเข้าใจว่าการเที่ยวกับแฟนหรือคนที่เรารักมันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง มีคนให้เราได้แชร์ความคิด ความรู้สึก อยู่ตลอดเวลา ซึ่งบีมเองก็มีมุมมองที่ต่างจากผมอยู่พอสมควร ทัศนะคติของบีมสอนผมได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หลายอย่าง เหมือนได้มองโลกในมุมที่กว้างขึ้น

พี่นายเคยบอกว่านิสัยของผมมันเข้ากับคนอื่นยาก นอกเสียจากว่าตัวผมเองต้องการจะรู้จักกับคนนั้นจริงๆ แถมยังมีนิสัยเสียอย่างหนึ่งที่มักเอาตัวเองเป็นใหญ่ จะคิดจะทำอะไรเอาแค่ที่ตัวเองพอใจนอกนั้นก็ช่างหัวมัน การไม่แคร์คนของผมมันสุดโต่งมากเกินไป จนบางทีมันอาจทำให้ใครเสียใจโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยสักนิด ซึ่งไอ้สิ่งนี้มันดีกับแค่ในบางเรื่อง แต่กับสังคมคนหมู่มากแล้วมันค่อนข้างจะเป็นปัญหา ถามว่ามันเลวร้ายมากขนาดขั้นเลยเหรอ มันก็ไม่ใช่หรอก เพียงแต่ตัวผมเองดันนำนิสัยตรงนั้นมาใช้กับทุกสถานการณ์โดยไม่แบ่งแยกเลยต่างหาก

ผมเลยถามว่าแล้วบีมเสียใจไหมที่มาชอบคนแบบนี้ บีมยิ้มละมุนในแบบฉบับของเจ้าตัวแล้วอธิบายให้ฟังว่า การเป็นตัวของตัวเองของผมนั่นคือสิ่งที่บีมตกหลุมรัก โอ้โห แค่นั้นแหละ ใจกูเหลวเป๋วยิ่งกว่าเยลลี่ตากแดดซะอีก

บีมไม่ได้บอกให้ผมเลิกนิสัยนี้ซะ หรือบอกว่าอย่าทำอีก แต่แค่แชร์ให้ฟังว่าการที่เรารับฟังคนอื่นมากขึ้น ใจเขาใจเราหน่อย หรือการที่เราคิดก่อนพูดมันดีกว่าเราพูดในสิ่งที่คิดทุกอย่างออกไปจนหมด มันทำให้เกิดผลลัพธ์แบบไหนได้บ้าง


‘น้องมุ่ยไม่ต้องแคร์คนทั้งโลก แค่ใส่ใจคนที่ตัวเองรักกับคนรอบข้างที่ดีกับเราเท่านั้นก็พอแล้ว’


แม่งภาพตอนผมไล่ไอ้น้องมีนเด้งขึ้นเป็นฉากๆ เลย

นิสัยไม่ดีเลยคนเหี้ยไรเนี่ย


แล้วบีมก็บอกว่าความเป็นผม ก็สอนอะไรหลายอย่างให้บีมเหมือนกัน ผมนี่นั่งงง เอ๋อแดกเลยว่าคนกากๆ อย่างกูเนี่ยนะมีอะไรดีกับเขาด้วย เออ ถ้าไม่ใช่ว่ามันมีจริงๆ บีมก็คงหลงผมจนหัวปักหัวปำแล้วล่ะ

ทั้งหมดทั้งมวลก็คือการเกริ่นก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญที่ทำให้คนอย่างนายฟ้ามุ่ยต้องมายืนอยู่หน้าแผนกของใช้ผู้ชายด้วยใบหน้าหวาดระแวงขั้นสุด

“ก...กูต้อง ต้องเลือกยังไงนะ” ผมถองศอกเข้ากับเอวเพื่อน อย่างต้องการความเห็น

“...แล้วมึงเอากูมาทำไมอะ กู ด...ดูมีประสบการณ์มากมั้ง” ไอ้เจ๋งแหวใส่พลางมองซ้ายมองขวาด้วยตวามรู้สึกไม่ต่างกันกับผม

“มึงเป็นผู้ชายนะไอ้เหี้ย”

“แล้วมึงเป็นผู้หญิงรึไงไอ้ควาย”

“ก็กูไม่เคยอะ”

“กูก็ไม่เคยโว้ย” ผมกับไอ้เจ๋งมองหน้ากันแล้วนิ่งไปอึดใจก่อนต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทางอย่างขลาดอายในการกระทำครั้งนี้

ผมน่ะนะ ไม่ได้จะหมกมุ่นกับอะไรหรอก แต่คนเป็นแฟนกันนอกจากเรื่องความรักแล้ว ระ...เรื่องเซ็กส์ก็สำคัญไม่แพ้กัน แน่นอนว่าคนอย่างผมนั้นทั้งหล่อ โสด อยู่ในโหมดโหด แต่มีความรัก ซึ่งมันก็เป็นความรักในระดับจริงจังครั้งแรกในชีวิตเลย ผมรู้ว่าบีมอดทนและรอคอยจนกว่าจะพร้อม ไม่งั้นมันฟัดไปตั้งแต่วันที่ผมไปโวยวายกับมันที่ร้านเหล้าแล้ว

ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมจึงศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนัก และค้นพบว่ามันยากชิบหายเลย ผมรู้อยู่แล้วครับว่าไม่ใช่นายฟ้ามุ่ยที่เป็นฝ่ายเสียบแน่นอน จากการกระทำทั้งหลายที่ผ่านมามันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะงั้นเราต้องจัดการเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดให้ดีที่สุด ในเมื่อบีมไม่ยอมเริ่ม ก็ให้เป็นหน้าที่เฮียมุ่ยสุดหล่อคนนี้จัดการเอง

“...”

“กูว่าเราไปตั้งหลักตรงแผนกอื่นก่อนดีกว่า กูเห็นสายตาคนเดินผ่านไปผ่านมามองเราแปลกๆ ว่ะ”

“เหี้ย กูไม่ได้มาปล้นนะเว้ย!” ผมหลุดโพล่งออกมาทันทีด้วยความตกใจ แม่งเอ๊ย! ผมมาซื้อถุงยาง ผมไม่ได้มาปล้น อย่าเข้าใจผิดสิวะ


เผียะ!


“ตีกูทำไม!” ไอ้เจ๋งฟาดแขนผมทันทีแล้วลากผมออกมา จนมาหยุดอยู่ที่โซนเครื่องสำอาง ไกลมากมั้งห่างกันแค่สองโซน

“ไอ้ชิบหาย มึงจะเสียงดังหาเตียมึงเหรอ” มันโวยวายกับผมทั้งที่หน้าก็แดงไม่ต่างไปจากกันเท่าไร ผมจึงรีบสวนกลับไปทันที

“ก็กูมาซื้อถุงยาง กูไม่ได้มาปล้นอะ”

“ก็ดูมึงทำท่าดิ”

“มึงก็เหมือนกันเหอะ”

“ช่างแม่ง ประเด็นหลักๆ มันอยู่ที่ว่ามึงลากกูออกมาทำเพื่อ?”

“มึงดูเชี่ยวไง” ผมกรอกสายตามองไปทางอื่น พลางสะบัดมือไพ่หลังยกเท้าขึ้นเตะอากาศ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนไอ้เจ๋งทนไม่ไหวถึงกับโบกหัวผมอีกรอบอย่างไม่เบาแรง เจ็บนะโว้ยไอ้สัด

“เชี่ยวที่หน้ามึงสิ กูยังอยู่เตรียมอนุบาลหน่อมแน้มไม่ต่างจากมึงเท่าไรหรอก ไอ้เหี้ยโป้น่ะ แม่งบรรลุขั้นเซียนถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่ลากมันมาวะ”

“เหี้ยโป้ชอบล้อ เดี๋ยวมันเอาไปฟ้องเฮียกับพี่นาย กูจะอดแดกบีม” ไอ้เหี้ยนั่นกูตัดช้อยส์ออกคนแรกเลย มันต้องปากโป้งบอกเหล่าเฮียๆ แน่นอน เรื่องทำให้ผมอายไอ้เหี้ยโป้ล่ะถนัดนัก

“เต็มปากเต็มคำ พูดออกมาไม่อายฟ้าอายดิน” แล้วทำไมมึงต้องมองเหยียดกูขนาดนั้น นี่กูเพื่อนมึงนะโว้ย!

“เออน่า ไปช่วยกูเลือกหน่อยดิ้ล่ะ คนกันเองทั้งนั้น”

“ไอ้แก๊ปก็ว่างมึงไม่เอามันมาวะ”

“กูเขิน เพื่อนแก๊ปแม่งชอบอมยิ้มมีเลศนัยน์”

“หวยเลยมาตกที่กู?”

“เจ๋งเพื่อนรัก”

“ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนตีน”

“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

“ไอ้ฟายยยยย”

“เพื่อนด่าเท่ากับเพื่อนรัก”

“เฮ้อ ไหนๆ นอกจากถุงยางต้องซื้ออะไรอีก”

“กูไปเสิร์ชมาในพันทิป” ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าผ้า จิ้มรหัสปลดล็อคก่อนจะแตะเข้าแอปที่เปิดหน้าเว็บค้างไว้ แล้วโชว์ให้ไอ้เจ๋งดู

“มีอะไรบ้าง”

“เขาบอกว่า มี ถ...ถุงยางกับ จ...เจลหล่อลื่น” ผมอ้อมแอ้มตอบเสียงเบาอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“มึงอย่าเลิ่กลั่กดิ”

“ใครเลิ่กลั่ก ไม่มี๊”

“แล้วหมาตัวไหนมันยืนเหงื่อซกอยู่ข้างๆ กูเนี่ย”

“กูร้อนไง อากาศมันร้อน!”

“ในห้างเนี่ยนะ”

“เออ!”

“ชิบหายเถอะ แล้วถุงยางมันต้องเลือกยังไง” เรานิ่งกันไปครู่หนึ่งอีกครั้ง จนไอ้เจ๋งทนไม่ไว้ลากผมกลับมาที่เดิมพลางหยิบตะกร้าใส่ของติดมือมาด้วย

“ข...เขาบอกว่ามันมีหลายแบบอะ บ...แบบมีธรรมดา แบบบางๆ ฟะ...เฟเธอร์ไลท์ แล้วก็แบบมีก...กลิ่นสตอเบอรี่” ฮือ กูอยากร้องไห้ การจะยืดอกพกถุงของผมมันต้องลำบากขนาดนี้เลยเหรอ

“ม...มันมีขนาดด้วยอะ มึงเลือกดิ” ไอ้เจ๋งชี้มั่วๆ ไปยังชั้นวางผลิตภัณฑ์แล้วเสหน้ามองไปทางอื่น ไอ้ชิบหาย กูให้มึงมาช่วยเลือกไหม

“กูไม่รู้ขนาด”

“เอ้า แล้วทำไมมึงไม่วัดมา”

“พ่องสิ! กูก็เขินเป็นนะเว้ย”

“ของมึงเองมึงเขินทำเหี้ยอะไรไอ้น้องมุ่ย โอย กูอยากตาย แม่จ๋า” ไอ้เจ๋งใช้สองมือทึ้งผมตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย สบถด่าออกมาไม่หยุดปาก จนผมต้องดึงมือมันออกแล้วลากมันเข้ามายืนใกล้ๆ กัน

“มึงอย่าเพิ่งตาย มาช่วยกูเลือกก่อนเพื่อนรัก”

“แล้วในเว็บเขาบอกอันไหนดีกว่า”

“ม...มันก็แล้วแต่คนชอบอะ เนี่ย มึงอ่านดิ จะให้กูพูดทำไมกูเขินนะเว้ยไอ้ห่า” ผมยัดโทรศัพท์ตัวเองให้ไอ้เจ๋งแล้วหลับหูหลับตาโวยวายกับมันจนพนักงานเคาท์เตอร์หันมามองอย่างสงสัย ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มให้แล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ

“งั้นกูตัดสินใจให้ อืม...เอาแบบบางเฉียบนี่แหละ” เพื่อนรักกวาดสายตามองหารุ่นที่ต้องการ แล้วหยิบลงมาสามกล่องต่างไซส์กัน ทำเอาผมถึงกับเหวอ

“จ...เจ๋ง” ผมครางออกมาอย่างแผ่วเบา มือกะจะหยิบออกแต่ก็โดนมันตีมือเข้าให้ซะก่อน

“เอาไปหมดแม่งสามไซส์เนี่ยแหละ ถึงหน้างานมึงก็เลือกเอา”

“มึงว่ากูซ...ไซส์ไหน”

“ไม่ใช่ไซส์ใหญ่แน่นอน” ตอบอย่างมั่นใจโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด ความภูมิใจในน้องน้อยของตัวเองถึงกับเดือดดาลออกมา ผมโบกหัวมันกลับไปทีหนึ่ง โทษฐานดูถูกน้องน้อยสุดที่รักของผม


ผัวะ!


“ไอ้ฟายยย ดูถูกกูจังเลยมึงอะ”

“มึงชอบหลอกตัวเองไอ้มุ่ย ไหนๆ จ...เจลหล่อลื่น ไอ้เหี้ยนี่เลือกยังไงวะ ห่าแม่งเอ๊ย ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้กับมึงด้วย” มันวางตะกร้าลงกับพื้นพลันใช้สองมือขยี้ผมตัวเองอีกครั้งจนฟูฟ่องพลางร้องครางออกมาด้วยสีหน้าอมทุกข์

“ฝึกไว้ไอ้เจ๋ง สักวัน” ผมตบบ่ามันเพื่อปลอบใจ แล้วก็ได้สัญลักษณ์นิ้วกลางกลับมาอย่างซาบซึ้งไม่ต่างกัน

“...ได้ก็ได้กันอยู่สองคน เอากูมาเกี่ยวทำม้าย” ผมละความสนใจจากไอ้เจ๋งแล้วยืนมองผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นในรูปแบบต่างๆ อย่างมึนงง

“เชี่ยเจ๋ง กูเลือกไม่เป็นอะ”

“มึงหยิบๆ มาเถอะ ซักอัน”

“อันไหนอะ” มันละลานตาไปหมดจนผมตาลาย

“เอาอันที่แม่งดูปกติสุด นั่นๆ ไอ้ขวดฟ้าๆ เหมือนที่เขาบอกในกระทู้ รุ่นคลาสสิค..” ไอ้เจ๋งก้มอ่านชื่อจากในโทรศัพท์แล้วชี้ไปทางซ้ายมือของผมและสั่งให้หยิบมา ผมคว้ามาขวดหนึ่งกำลังจะวางลงในตะกร้า พลันชะงักขึ้นมาเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้

“เอากี่ขวด”

“มึงจะใช้อาบรึไง! ขวดเดียวก็พอโว้ย ไอ้แ_เ__ กูทำอะไรอยู่เนี่ย ฮือ”

“มึงอย่าทำหน้างั้นดิ มึงคือหน่วยกล้าตายของกูเลยนะ ให้กูปั้นหุ่นให้เลยไหม รางวัลวีรบุรุษ”

“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ขอแค่ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับกู๊!”






หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้สามวัน ผมก็ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามากที่สุดกับการศึกษาบทเรียนในครั้งนี้ ใครจะแน่นทฤษฎีได้มากเท่าผม ไม่มี๊! ไอ้เจ๋งแม่งหาว่าหมกมุ่นเพราะผมพกของสองสิ่งไว้กับตัวตลอดนับจากวันที่ไปซื้อกับไอ้เจ๋งวันนั้น อย่าเพิ่งมองผมอย่างนั้นดิ ทุกคน! มันคือการเตรียมพร้อม ใครจะรู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้น การพกของผมมันก็ไม่ผิด ถูกไหมครับ

ซึ่งวันนี้ แหม่ บอกเลยว่ามันคือฤกษ์งามยามดีที่สุดแล้ว บีมชวนมาทำงานที่ห้องของตัวเอง โดยที่ผมได้เลียบเคียงถามว่าไอ้น้องบูจะกลับมารึเปล่า ผลที่ได้คือน้องมันไปเที่ยวทะเลกับเพื่อน มะรืนถึงจะกลับ

จุดพลุสิครับ!

หึ ไอ้ตัวก้างขวางคอชิ้นเป้งได้ออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว มันช่างเหมาะเจาะอะไรขนาดนี้นะ บรรยากาศช่างเป็นใจเสียจริง หึหึหึ

จะไม่มีคำว่าล่มบอกเลย ได้เวลาเสือมุ่ยออกโรงแล้ว โฮกกก~~ ปิ๊ป!

“น้องมุ่ย”

“หะ..ว่า?” บีมเรียกขณะกำลังเดินเข้ามาหาผมที่นั่งกับพื้นพรม เจ้าตัวนั่งทำงานของตัวเองอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ตอนแรกก็นั่งพิงโซฟาทำงานด้วยกันอยู่หน้าทีวีนั่นแหละ แต่บีมมันชอบวอแว ผมเลยไล่ให้ไปนั่งที่อื่น ไม่งั้นงานไม่เดินสักทีหรอก

“น้องมึงเหม่ออะไร” คนตัวสูงนั่งลงกับโซฟาแล้ววาดแขนทั้งสองข้างโอบรอบตัวผม พลันกดจมูกลงกับแก้มอย่างเร็วๆ หนึ่งทีก่อนจะวางคางลงกับศีรษะของผม โดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงมามากเกินไป

“กูเหม่อเหรอ” เหี้ย ชิบหายแล้ว จะให้บีมรู้ไม่ได้ว่ากูมีแผนการ

“ใช่ มองหน้ากูแล้วขมวดคิ้วแน่นเลยเนี่ย เป็นอะไร” บีมเลื่อนศีรษะลงมาซบกับไหล่ของผมแล้วเลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้มบางตามแบบฉบับเจ้าตัว มันรู้ครับว่าผมแพ้ แต่บอกเลยว่ากูฝึกมาดี ยิ้มแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรกูได้หร้อก อย่ามาหลอกถามซะให้ยาก

“เปล่าสักหน่อย” ปฏิเสธไปก่อน เนียนๆ

“แน่นะ”

“เออดิ...” เนียนเปล่าวะ ฮือ

“เค แล้วมึงทำสไลด์ถึงไหนแล้ว อย่าลืมว่าต้องส่งให้เพื่อนก่อนสี่ทุ่ม” บีมเคาะนิ้วลงกับหน้าจอโทรศัพท์ผมสองทีเพื่อเตือนเวลา

“อีกห้าสไลด์ แล้วบีมอะ ทำงานเสร็จยัง” ผมเก็บความดีใจของตัวเองไว้แล้วถามกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย คีพคูลสุดอะไรสุด

“เสร็จแล้วไง ถึงได้เดินมาหา”

“อ่อ” ผมพยักหน้ารับ แล้วทำเนียนพิมพ์งานของตัวเองต่อ ไม่อยากตอบบีมเยอะ เดี๋ยวโป๊ะขึ้นมาทำไงล่ะครับ

นั่งทำงานได้สักพักโดยมีบีมโอบกอดอย่างหลวมๆ ไม่ยอมปล่อย บางทีก็แกล้งแหย่โดยการยื่นหน้ามาหอมแก้มเต็มฟอดแล้วก็โดนฟาดกลับไปตามระเบียบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สักพักนึง บีมก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง



ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


“หิวรึเปล่า เดี๋ยวกูจะลงไปซื้อข้าว”

“อยากกินเยลลี่” บนโต๊ะเต็มไปด้วยเศษซากห่อขนมที่กินหมดแล้ว ผมนั่งมองมันอย่างงๆ เพราะไม่รู้ว่าขนมหมดไปตั้งแต่เมื่อไร เนื่องจากเวลาทำงานเราก็จะรู้สึกเมื่อยล้าเป็นเรื่องธรรมดา จึงต้องเติมน้ำตาลให้ร่างกายสักหน่อย ขนมขบเคี้ยวอย่างอื่นเหลื่อแต่ซาก เยลลี่ของโปรดก็เช่นกัน รู้ตัวอีกทีล้วงห่อไปก็เจอแต่ความว่างเปล่าแล้ว

“หมดโควตา กินไปสองถุงแล้วมึงอะ อีกอย่างกูถามถึงข้าวไม่ใช่ขนม”

“บีมจะกินไรอะ” ถามเผื่อลอก ผมก็ไม่รู้จะกินอะไรเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาหน่อยๆ บ้างแล้ว

“ก๋วยเตี๋ยวมั้ง” บีมทำท่านึกอยู่สามวิแล้วจึงตอบ

“งั้น กูเอาเล็กโฟพิเศษ แล้วๆ เพิ่มแป้งกรอบกับหมึกกรอบเยอะๆ ด้วย” เมนูนี้บีมชอบกิน ซึ่งผมเคยชิมครั้งหนึ่งปรากฏว่ามันอร่อยมาก เจ้าเย็นตาโฟเลยกลายเป็นของโปรดจานใหม่ของผมอีกหนึ่งอย่างนอกจากไข่เจียวหมูสับ

“เค รอแป้ป” ผมพยักหน้ารับคำจากนั้นบีมก็โน้มใบหน้าลงมาจุ๊บหน้าผากผมหนึ่งทีแล้วก็ลุกขึ้น ผมมองบีมที่เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในห้องนอนจนกระทั่งบีมเดินออกจากห้องไป

เวลานี้แหละ

ผมคว้ากระเป๋าผ้าใบใหญ่ของตัวเองมาวางบนตักแล้วล้วงหาของที่ต้องการทันที ทำไมเศษถุงขนมมันเยอะจังวะ ไหนจะเศษกระดาษที่ไม่ได้ใช้แล้วนี่อีก

เจอแล้ว!

ผมลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าห้องนอนบีมพลางกระโดดขึ้นเตียง คลานขึ้นไปหยิบหมอนใบโตออกมาวางข้างๆ แล้ววางเจ้าสามกล่องกับอีกหนึ่งขวดไว้กับฟูกบริเวณหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบหมอนใบเดิมมาวางปิดทับ โดยไม่ลืมจัดให้มันเหมือนกับอยู่ในสภาพก่อนหน้าที่ผมจะเข้าห้องมา

เรียบร้อย

หึๆ ไปทำงานต่อดีกว่า





“เสร็จแล้วโว้ย” ผมชูมือขึ้นร้องเย้ ในที่สุดงานก็เสร็จซักที ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็พบว่าปาเข้าไปห้าทุ่มครึ่ง รีบส่งงานให้ไอ้แก๊ปเลยกู มันด่าเช็ดแล้วมั้งเนี่ย

“ช้า” บีมเอ่ยออกมาขณะนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาข้างหลังผม

“คนไม่มีศิลปะในหัวใจห้ามพูด”

“กูเห็นมึงลากเมาส์วางนั่นลบนี่จนกว่าจะผ่านไปได้หนึ่งสไลด์ จนกูหลับไปหนึ่งตื่นได้อะน้องมุ่ย” พูดมากว่ะ คนกากก็งี้แหละ ทำได้ไม่สวยเท่าเค้าแล้วก็พูดไปเรื่อย เบื่อๆ

“ไอ้ขี้โม้”

“หึ พอเถียงไม่ได้ก็เป็นซะอย่างนี้”

“เล่นเกมไปเลยไป รำคาญว่ะ บีมแม่งพูดมาก ยังไม่หายโกรธที่แย่งหมึกกรอบกูไปเลยนะ”

“ของกูเถอะ ตัวเองนั่นแหละจะมาขโมยหมึกกรอบในชามพี่ โทษกันได้ไง”

“โค้ะ!”

“เดี๋ยวจะโดน” บีมวางโทรศัพท์ลง ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจนหงายหลัง ผมเลยรีบลุกขึ้นเงื้อมือฟาดต้นขาไอ้ตัวดีอย่างเต็มแรงไปหนึ่งที พร้อมยืนกอดอกแสดงให้เห็นว่าใครกันแน่ที่เจ๋งที่สุด

“ทำไม กล้าเหรอ แน่จริงก็เข้ามาดิ้ พร้อมว่ะ”

“ไม่ล่ะ เหนื่อย”

“เอ้า!” ผมมองบีมที่กำลังยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา เจ้าตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาซ้อนหลังผมแล้ววางมือทั้งสองข้างลงกับช่วงเอวจากนั้นก็ดันให้เดินเข้าห้องนอน

“ไปอาบน้ำไปมึงอะ จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวงอแงง่วงนอนอีก”

“ไม่แน่จริงนี่หว่า ไอ้กาก” ผมดึงแขนบีมออกเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้วหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูง พลางพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย

“เคยลองเหรอ ถึงรู้ว่ากาก” นอกจากจะไม่โกรธที่โดนดูถูก บีมกลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วพลางก้าวเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะประชิด ใบหน้าหล่อฉีกยิ้มร้าย แววตาเป็นประกายราวกับกำลังมองเหยื่อตัวจ้อย

กู...กูคือเหยื่อเหรอ?

“ก...ก็บีมกากอะ ไม่ต้องลองก็รู้” เหยื่อคืออะไรไม่รู้จัก คนอย่างเฮียมุ่ยต้องเป็นเสือเท่านั้น!

“ลองไหม” แขนแกร่งสอดรัดรวบเอวแล้วดึงให้ตัวผมเข้าไปแนบชิดอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องวางมือลงกับช่วงบ่าของคนตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ สองเท้าก็ต้องเขย่งขึ้นเพราะความสูงที่ต่างกัน

“อ...อะไร เหยิบออกไปเลยนะ ไม่ต้องเข้ามาใกล้ อยากโดนตีอีกเหรอ คราวนี้กูจะฟา – อื้อ!” บีมอาศัยจังหวะที่ผมกำลังโวยวาย เลื่อนฝ่ามือนุ่มขึ้นมาประคองข้างแก้มผมแล้วลากผ่านไปยังท้ายทอยพลางดันให้เงยหน้าขึ้นรับจูบที่จู่โจมมาแบบไม่ทันตั้งตัว

“อ..ไอ้บีม กู – อื้อ!” ผมใช้แรงทั้งหมดของตัวเองผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง กะจะอ้าปากด่าด้วยความโมโห แต่ยังไม่ทันจบประโยคดี คนตรงหน้าก็ก้มลงประทับจูบปิดปากอีกครั้ง

รสจูบที่รุนแรงทำเอาผมเผลอกลั้นหายใจ บีมขบเม้มริมฝีปากทั้งบนและล่างพลางดูดดึงจนเกิดเสียงเป็นระยะ ลิ้นร้อนไล้เลียตามแนวฟัน ทำราวกับจะขออนุญาตแต่มันก็แค่นั้น เพราะบีมเพียงแค่อยากจะทำให้ผมตายใจกับความอ่อนโยน จากนั้นจึงสอดลิ้นเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผม เกี่ยวกระหวัดพันกันจนหัวตื้อไปหมด สองมือจากที่เคยทุบไหล่คนตรงหน้าอยู่เนืองๆ ก็พลันคลายออกกลายเป็นค่อยๆ เลื่อนไปโอบรอบคอของคนตัวสูงเพื่อยึดไว้ไม่ให้ตัวเองล้ม

ทำอย่างกับอดอยากปากแห้งมานาน ทั้งๆ ที่จูบกันทุกวัน บีมชอบวอแวอยู่ตลอด มานั่งทำตาใสยิ้มหวานอยู่ข้างๆ ผมก็ทนไม่ไหวอะดิ บางวันก็บอกว่าจะสอนจูบให้เก่งๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นตัวผมที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดของบีมทุกที จะมีก็แต่ครั้งนี้ที่รุนแรงเหมือนจะแดกผมเข้าไปทั้งตัว นี่คนหรือเครื่องดูดฝุ่นวะ ทั้งดูดดึงและเกี่ยวพันจนเกิดเสียงน่าอายขึ้นในความเงียบ กระทั่งน้ำสีใสเลอะออกมาตามมุมปาก บีมก็เอาใจด้วยการจูบซับให้ ไม่นานก็กลับเข้าไปกวาดต้อนในโพรงปากอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ เร่งให้เลือดในกายสูบฉีดแผ่ความร้อนกระจายทั่วใบหน้าและลำคอ

เนิ่นนานจนผมรู้สึกหายใจไม่ออกแต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมถอนจูบออกมาซักที ผมเลยฟาดมือลงกับบ่าของคนตัวสูงอย่างไม่เบาแรงเป็นการประท้วง ในใจคิดว่ามันต้องเจ็บบ้างแหละ แต่กลับไม่ทันคิดว่าบีมจะเอาคืนโดยการกัดริมฝีปากล่างของผมแทน จนรับรู้ได้ถึงรสชาติปะแล่มๆ กับกลิ่นสนิมที่ตีขึ้นจมูก

“ถ้าฟาดอีกจะกัด” บีมถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เล่นเอาเข่าแทบทรุด ผมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างโหยหา แข้งขาอ่อนแรงราวกับไปวิ่งมาร้อยโล ดีที่บีมช่วยพยุงไว้ ไม่งั้นคงได้ร่วงลงไปนอนกับพื้นจริงๆ

“เลือดออก บีมกัดปากกู...” ผมพูดออกมาอย่างเหนื่อยหอบ เอนศีรษะพิงอกคนตรงหน้าที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังขึ้นลงเพื่อปลอบใจ

“ไม่ต้องมาเบะ เมื่อกี๊พี่บีมก็เจ็บเหมือนกันนะ” น้ำเสียงกระเง้ากระหงอดนั่นทำผมอยากจะฟาดให้อีกสักป้าปสองป้าป ติดอยู่อย่างเดียวคือไม่มีแรง ขาก็ปวกเปียกเหลวเป็นเยลลี่บูด มือก็สั่น เหลือแต่ปากนี่แหละที่พอจะด่าออกมาได้

“แล้วบีมกัดทำไมอะ! กูหายใจไม่ออกบีมก็ไม่ปล่อย แน่จริงก็ตีกูคืนดิ ฮือ ปากบวมแน่ๆ ไอ้บีมบ้า”

“ตีไม่ลง กลัวน้องเจ็บ”

“แล้วที่มึงกัด กูไม่เจ็บเลยมั้ง” ผมเงยหน้าขึ้นมาเถียงอย่างไม่ลดละ บีมก็เอาแต่หัวเราะ ท่าทางไม่สำนึกผิดเลยสักนิด เล่นเอาผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“เขาเรียกว่ามันเขี้ยว”

“ให้กูกัดบีมบ้างไหมล่ะ ฮือ” จะกัดจนเป็นร้อนในเลยคอยดู แง่ง!

“โอ๋ๆ”

“ขอให้ลิ้นมึงเกี่ยวเหล็ก!”

“เราถอดไปตั้งนานแล้ว”

“ขอให้โดนรีเทนเนอร์บาดปาก!”

“น้องมุ่ยใส่ที่ไหนกันล่ะ”

“ฮือ!” หมดคำจะด่าแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย

“ทำไมวันนี้งอแงเร็วจัง ยังไม่เที่ยงคืนเลยนะ”

“ป..ปล่อยเลย กูจะอาบน้ำ” เวลาผ่านไปสักพักเรี่ยวแรงก็กลับคืนมา ถึงจะยังไม่คงที่แต่ก็มากพอที่จะดันบีมออกได้

“ไหวเหรอ” เกลียดไอ้หน้ายิ้มๆ ของบีมจัง ผมแพ้ เข้าใจไหมว่าผมแพ้ ฮือ

“ไหว!”

“ให้พี่ช่วย --”

“ไม่ต้อง! ไปไกลๆ เลย” ผมผลักบีมที่กำลังจะเดินตามเข้ามาออก แล้วปิดประตูห้องน้ำดังปึง ล็อคอย่างแน่หนาจากนั้นจึงพาร่างง่อยๆ ของตัวเองเดินมาที่อ่างล้างหน้า

“เหี้ย...” ในกระจกปรากฏภาพสะท้อนของตัวเองที่ขณะนี้อยู่ในสภาพหัวยุ่งฟูไม่เป็นทรง ยางรัดผมคลายตัวจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ ริมฝีปากบวมเจ่อราวกับโดนผึ้งต่อยมา ไหนจะใบหน้าแดงก่ำบ่งบอกความรู้สึกได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องสืบเลยว่าไอ้คนต้นเหตุมันจะพอใจแค่ไหนที่เห็นผมในสภาพแบบนี้


หมด!

หมดกัน!

ความคิดที่จะรุกบีมก่อนเหลือศูนย์

จิ๊! ขัดใจชิบ


ผมคิด! ผมวางแผนไว้ในหัวแล้วด้วย ว่าจะเป็นคนนำทางทุกอย่างเอง แม่งเอ๊ย ไม่คิดว่าตัวเองจะง่อยแดก โดนเขาจูบหน่อยก็อ่อนเปลี้ยเหมือนเยลลี่เดือด ไอ้ที่ผมยอมให้บีมจูบทุกวันเพื่อสั่งสมประสบการณ์มันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม!

คิดแล้วกูเป็นท้อ


ไม่!

มึงจะท้อไม่ได้ไอ้มุ่ย ยังไงคืนนี้บีมต้องเสร็จมึง จะไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ในค่ำคืนนี้ เสือมุ่ยยังไงก็ต้องเป็นเสือมุ่ยอยู่วันยังค่ำ หึ

บีมต้องกลายเป็นลูกไก่ร้องเจี๊ยบๆ อยู่ในกำมือผมอย่างแน่นอน!





หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ค่อยๆ แง้มประตู ชะโงกหน้ามองรอบห้อง ดูว่าบีมยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ปรากฏว่าไม่เจอ สงสัยไปอาบน้ำห้องข้างนอก หึ ทางสะดวก

ผมรีบวิ่งออกจากห้องน้ำด้วยความเร็วแสงแล้วกระโดดขึ้นเตียงขยับไปนั่งฝั่งที่ตัวเองนอนประจำ มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจอีกครั้งว่าบีมจะไม่โผล่มาแน่ๆ ก่อนจะใช้สองมือล้วงใต้หมอนหาเจ้าสิ่งที่ผมนำมาซ่อนไว้เมื่อตอนหัวค่ำ

ฮ่า! เจอแล้ว ยังอยู่ดี โล่งอก นึกว่าบีมจะเจอมันแล้วซะอีก ไอ้คนนี้หูตายิ่งกว่าสับปะรด รู้หมดว่าผมทำอะไรบ้าง ไว้ใจไม่ได้หรอกครับ

“น้องมุ่ยทำอะไร”

..!!

“กูเปล่าซ่อนถุงยางกับเจลหล่อลื่นไว้ใต้หมอนนะ!!!” ผมสะดุ้งตัวโยนอย่างตกใจ สองมือกำของใต้หมอนไว้แน่นพลางยกมือขึ้นราวกับโจรที่โดนตำรวจจับได้แล้วหันมาทางต้นกำเนิดเสียงด้วยความตระหนกสุดขีด

“...”

“...”

เงียบกริบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเครื่องปรับอากาศในห้องนอน บีมกำลังอึ้งขณะที่ตัวผมเองวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว

“เตรียมพร้อมขนาดนี้เลยเหรอ” บีมในชุดนอนยืนกอดอกพิงประตูเอ่ยถาม พลางยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำ

“...” เพราะว่าฉันคือวิญญาณ ผู้ทุกข์ทรมาน หลอกหลอนเธอมาตั้งนาน ไม่รู้ตัวว่าตาย~

“เครื่องค้างเลยว่ะ”

“...” ใครก็ได้ลากผมออกไปจากตรงนี้ที ฮือ ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองบีมเดินเข้ามาหาจนในที่สุดก็นั่งลงกับเตียงเอียงคอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก พลางยื่นนิ้วเรียวมาเกลี่ยข้างแก้มผมเบาๆ อย่างหยอกล้อเอ็นดู จากนั้นจึงก้มลงหยิบกล่องถุงยางที่ถูกผมปล่อยร่วงตกลงกับผืนผ้าห่มขึ้นมาดู คิ้วเข้มขมวดลงเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าถามผมราวกับสงสัยใคร่รู้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว

มึงกำลังแกล้งกู ไอ้บีม ฮือ



“แบบบางเฉียบ ซื้อมาสามกล่องเลยเหรอ อ๋อ คนละไซส์กัน”

“...”

“อันนี้เจลหล่อลื่น เก่งจังเลยน้องมุ่ย ข้อมูลแน่นนะเรา ความจริงไม่ต้องซื้อก็ได้นะ พี่มี --”



ฟึ่บ!



ผมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผลักบีมให้หงายหลังลงไปกับเตียงแล้วอาศัยจังหวะมึนงงวาดขาขึ้นคร่อมคนตัวสูงกว่า ทิ้งสะโพกลงกับช่วงเอวของบีมเนื่องจากส่วนสูงที่ต่างกันทำให้การขึ้นมาอยู่บนตัวบีมเป็นไปอย่างทุลักทุเล ดีที่มีบีมช่วยประคองสะโพกให้ผมนั่งตักดีๆ อีกแรง จากนั้นผมจึงใช้สองมือกดตรึงข้อมือแกร่งไว้ข้างตัวและก้มหน้าลงไปใกล้บีมที่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจในการกระทำของผม

“น...น้องมุ่ย?”

“ไหนๆ มึงก็ล่วงรู้ความลับของกูแล้ว งั้นก็เริ่มมันเลยแล้วกัน” ผมผละออกจากการขังบีมไว้ในอ้อมแขนแล้ววางมือลงบนแผ่นอกเพื่อยันตัวเองขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งดึงยางรัดผมออกแล้วโยนทิ้ง ยกยิ้มมุมปากเลียนแบบบีม ท่านี้ผมฝึกบ่อย กะเอาให้คนตรงหน้าละลายเมื่อเจอรอยยิ้มกระชากใจของผม หึหึหึ

“จะทำอะไร?”

“ชู่ว...” ผมวางนิ้วชี้แนบลงกับริมฝีปากตัวเองพลางส่ายหน้าเบาๆ ใช้สายตาที่คิดว่าร้อนแรงที่สุดจ้องไปที่ดวงตาคู่คมนั่น อะ...เอ่อ แต่ทำไมแววตาบีมมันดูเร่าร้อนกว่าผมวะ

“?”

“เคยได้ยินตำนานเสือมุ่ยไหม”

“...เสือ..มุ่ย?”

“วันนี้แหละ ถึงคราวที่มันจะผงาดให้โลกได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งแล้ว”

“หืม?”

“โดนแดกแน่บีม”





[BEAM]



ใบหน้าน่ารักยกยิ้มร้าย ซึ่งกำลังจะแสดงให้ผมเห็นว่าครั้งนี้เขาจะเอาจริง ไม่มีคำว่าเล่นอีกต่อไป เจ้าตัวลังเลอยู่อึดใจก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาจนปลายจมูกจรดกัน สองมือยันลงกับฟูกนุ่มข้างศีรษะผม ดวงตาเฉี่ยวที่ผมชอบมองมีแววของความเขินอาย จนแล้วจนรอดก็ยังไม่กดจูบลงมาอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้

“ไม่กล้าแล้วเหรอ?” ริมฝีปากขยับเสียดสีกันอย่างบางเบาเมื่อผมเอ่ยท้าทายคนตัวเล็ก ทำให้น้องมุ่ยส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมาที่โดนผมปรามาส

“บีมห้ามขำ” น้องสั่งเสียงดุ คิ้วขมวดลงบ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองก็ประหม่าไม่น้อย

“พี่บีมไม่ขำอยู่แล้ว”

“บีมยิ้มทำไมอะ!”

“น้องมุ่ยน่ารัก” หน้าแดงทุกครั้งเวลาผมเอ่ยปากชม จะว่าหลงจนโงหัวไม่ขึ้นก็คงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเดิน นั่ง กิน โมโห โวยวาย หรือแม้แต่ตอนหลับ ทุกอิริยาบถของเขาสำหรับผมมันน่ารักมาก ยิ่งเวลาปากเล็กๆ พูดออกมาไม่หยุด ผมยิ่งชอบ มันมุบมิบอยากจับจูบตลอดเวลา

“ฮึ่ย!” หลังคำสบถริมฝีปากสีแดงระเรื่อทาบทับลงมา นิ่งค้างไว้ชั่วครู่โดยที่ไม่มีการลุกล้ำใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ผละออก ทำแบบเดิมซ้ำๆ อีกหลายครั้ง จนกลายเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว มันเขี้ยวกับการกระทำยักแย่ยักยันที่น่าเอ็นดู จึงอาศัยจังหวะที่น้องกำลังจะผละออกใช้มือข้างนึงแตะลงกับลำคอขาว ค่อยๆ ลากไปยังท้ายทอยแล้วกดลงมาให้แนบริมฝีปากเข้าด้วยกันอีกครั้ง

น้องมุ่ยมีท่าทีตกใจจนเผลอเม้มปากสนิท ผมจึงค่อยๆ คลึงท้ายทอยให้น้องผ่อนคลาย มืออีกข้างที่ว่างก็สอดเข้าใต้ชุดนอนตัวบางพลางลากสัมผัสผิวเนื้อเนียนอย่างหลงใหล เรื่อยมาจนประกบเข้ากับสะโพกสวยที่ดึงดูดสายตาตั้งแต่น้องขึ้นคร่อมผมแล้ว ท่าทางอันตรายแบบนั้นแต่น้องกลับมองข้าม ทำให้ความร้อนในร่างกายของผมมันมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยั้งเอาไว้ก่อน เพื่อรอดูท่าทีของคนน่ารักที่เรียกตัวเองว่าเสือมุ่ย

ไม่น่าเชื่อว่าน้องมุ่ยที่ผอมขนาดนี้กลับซ่อนรูป เอวที่คอดเล็กน้อยเหมาะเจาะรับกับสะโพกที่ไม่ได้ผายอย่างผู้หญิงแต่ก็ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มทุกทีเวลาจับ ยิ่งช่วงนี้น้องกินเยอะมากขึ้นร่างกายก็มีน้ำมีนวลจนอดใจไม่ไหวที่จะบีบเค้นคลึงไปถ้วนทั่วสะโพกกลมกลึงนั่น

“...อื้อ”

เสียงครางหลุดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจยิ่งทำให้การควบคุมตัวเองของผมเป็นไปได้ยากขึ้นทุกที น้องมุ่ยอ้าปากรับจูบมากกว่าเดิม ลิ้นร้อนของเราทั้งสองพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมกัดริมฝีปากล่างฉ่ำน้ำเบาๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วดูดดึงกลับคืนให้อย่างเอาใจ น้องมุ่ยก็เลียนแบบโดยการกัดคืนและดูดดึงบ้างแต่แรงดูดที่มากเกินไปนิด เมื่อปล่อยออกมาจึงทำให้เกิดเสียง น้องมุ่ยชะงักพลางหน้าขึ้นสีอย่างเขินอาย ทำทีกลบเกลื่อนด้วยการกดจูบลงมาอีกครั้ง

ผมนึกไม่ถึงว่าความคิดของน้องมุ่ยจะไปได้ไกลขนาดนั้น ยอมรับว่าอึ้งไม่น้อยที่พอเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่เจอคือ มือเล็กนั่นกำกล่องถุงยางกับเจลหล่อลื่นไว้แน่น ปากร้องปฏิเสธเสียงดังทั้งที่หลักฐานคาตา ผมไม่รู้จะพูดยังไง เลยหยิบกล่องถุงยางขึ้นมาดูก็ดันมีครบทุกขนาดอีกด้วย น้องคงเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนหน้าหลายวันอยู่เหมือนกัน พอลองนึกถึงเจ้าเด็กหน้ามุ่ยยืนเลือกของสองสิ่งนี้อยู่ก็อดที่จะหลุดขำไม่ได้

ทำไมมันน่ารักได้ขนาดนี้นะ

น่ารักจนใจเจ็บ

ไหนจะคำพูดกับท่าทางประหลาดๆ ที่แสดงออกมาจนผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เสือมุ่ย? ไปเอาคำเรียกนี้มาจากไหนกัน การที่เจ้าตัวปราดเข้ามาขึ้นคร่อมผมพร้อมท่าทางราวกับแมวที่กำลังจะขย้ำหนูตัวจ้อยนั่นอีก เอ็นดูไม่ไหวแล้วจริงๆ ว่ะ ให้ตาย

การจูบครั้งนี้ของเรามันเนิ่นนานกว่าครั้งไหนๆ จากความกระหายอย่างรุนแรงผลัดเปลี่ยนมาเป็นความอ่อนโยนนุ่มละมุนและกลับไปร้อนแรงราวกับลาวาร้อนระอุที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่ออีกครั้ง ลิ้นเล็กนั่นไล่แตะทั่วปากทั้งบนและล่างพลางไล้เลียให้อย่างเอาใจ ใบหน้าใสค่อยๆ ผละจูบออกจนเห็นหยาดใสที่ติดปลายลิ้นโยงเป็นสายระหว่างกัน น้องมุ่ยเลียรอบริมฝีปากตัวเองพลางกัดเข้ากับปากล่างแล้วยกยิ้มกว้างให้กับเขา

เกือบหยุดหายใจเลยกู

น่าฟัดชิบหาย

ภาพเมื่อครู่ยังคงติดตาและวนซ้ำอย่างช้าๆ จนหัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรงและปลุกกระตุ้นบางสิ่งที่นอนสงบเงียบให้ตื่นขึ้นมา สำหรับน้องมุ่ยคงจะเป็นการยิ้มขำให้กับความเผลอไผลของตัวเอง แต่สำหรับผมแล้วมัน

แม่งโคตรยั่วเลยว่ะ


ต่ออีกยาวๆจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้ค้าบ


ฟึ่บ!


ผมอาศัยจังหวะที่น้องมุ่ยกำลังเผลอจับน้องพลิกตัวให้นอนหงายกับเตียงโดยมีผมขึ้นคร่อมแทน การกระทำอย่างกระทันหันทำให้น้องหลุดปากร้องว้ากพลางเบิกตากว้างอย่างตกใจ สองมือน้อยยกขึ้นยันกับอกผมโดยอัตโนมัติ

เส้นผมนุ่มสีธรรมชาติกระจายทั่วหมอนใบโต ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก ดวงตาเรียวเล็กคลอด้วยหยาดน้ำใสที่หากกระพริบตาลงเพียงหนึ่งครั้งก็คงร่วงหล่นลงมาระแก้มสีระเรื่อนั่น ริมฝีปากฉ่ำชื้นบวมเจ่อจากการจูบมาราธอนของเราสองคน ริมฝีปากสวยของน้องเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลมากที่สุด ปากบนบางเป็นรูปกระจับขณะที่ปากล่างจะหนากว่าให้ความรู้สึกน่าจูบตลอดเวลา

น้องมุ่ยไม่ใช่คนหน้าตาดีจนใครก็เหลียวมอง หรือเจอกันครั้งแรกเป็นต้องสะดุดตา ยังมีคนที่น่ารักและหน้าตาดีกว่าหรือหล่อเท่กว่านี้ให้พบเจออีกมากในมหาลัย แต่เมื่อไรที่ได้ลองสบตาคู่นั้นดูแล้ว คุณจะรู้ได้เองว่ามันเป็นเรื่องยาก ยากมากกับการที่จะไม่แอบหันกลับมามองเขาอีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ หรือทุกครั้งที่ได้พบเจอน้อง

“พี่ให้โอกาสตัดสินใจ”

“...”

“ผลักพี่ออกไป แล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ผมไม่อยากทำน้องเจ็บถ้าเลือกได้ ถ้าถึงขนาดนั้นแล้วน้ำตามาแน่ๆ ผมรับรอง ซึ่งผมไม่ชอบให้น้องมุ่ยร้องไห้ มันทำให้รู้สึกแย่ไปด้วย ใจมันอยากจะเจ็บแทนเขา

“...”

“ยังไงดี :) ” คนขี้เขินเอียงหน้าหนีซุกกับหมอนงุดๆ ไม่ยอมตอบจนเวลาผ่านไปซักพัก ผมคิดว่าคงต้องยอมแพ้และปล่อยน้องไป แต่ในขณะที่กำลังจะลุกออกจากการคร่อมตัวน้องอยู่ มือเล็กกลับเอื้อมมาดึงแขนเสื้อของผมไว้ก่อน

“บ...บีม”

“ครับ”

“ผิดโพ” น้อง...ว่าไงนะ?

“หื้อ?”

“ผิดโพ! ไม่ใช่อย่างนี้ บีมต้องลงไปนอน เดี๋ยวกูทำเอง!” หลับหูหลับตาพูดออกมารัวเร็วจนผมเบลอ ผิดโพ? คือเหี้ยไรวะ

“...ครับ?”

“กูอ่านมา น...ในกระทู้เขาบอกว่า ถ้า ถ้าขึ้นเอง จะ...จะเจ็บน้อยกว่า”

“...”

“...”

“น้องหมายถึง...อยากขึ้นเอง เหรอ?” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ที่น้องพูดออกมาเมื่อครู่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม

“ฮื้อ!” คนใต้ร่างพยักหน้าหงึกหงัก ความมุ่งมั่นฉายชัดออกมาจนผมรู้สึกได้ และอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วที่จะไม่หัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ”

เหี้ยเอ๊ย แม่งโคตรน่ารัก โคตรดี ดีชิบหาย ดีจนใจเจ็บ ผมไม่ยอมให้ใครมาเห็นความพยายามอันน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแน่ๆ จับแดกเลยได้ไหมวะ แดกแบบแง่มหัว ค่อยๆ เคี้ยวแล้วกลืนลงท้อง

“หัวเราะทำไม”

“พี่ตัดสินใจแล้ว”

“ห้ะ? ไรอะ”

“...ไม่ปล่อย”

“..?”

“ไม่ให้หนีแล้วครับ”

“ด...เดี๋ยว บีม ทำเป็นเหรอ”

“ครั้งแรกเหมือนน้อง”

“กูอะ กับสาวก็ไม่เคย แต่กับบีม กู...จะพยายามนะ”

“น่ารัก”

ผมโน้มตัวพร้อมกดใบหน้าลงไปฟัดจูบคนตัวเล็กอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ จูบซับจนน้องเริ่มเคลิ้ม ผมจึงยกสองมือขึ้นโอบรอคอไว้ ไม่นานก็รู้สึกถึงแรงกดบริเวณต้นคอให้การจูบของเราแนบชิดมากขึ้นกว่าเดิมโดยที่น้องมุ่ยน่าจะทำไปอย่างเผลอไผล

ผมผละออกให้น้องได้พักหายใจ จากนั้นจึงเลื่อนใบหน้าขึ้นไปจูบหน้าผากมนสวย ข้างขมับ และใช้จมูกลากผ่านข้างแก้มแล้วจรดจมูกที่ใบหูพลางเป่าลมบางเบาใส่ น้องมุ่ยขยับยุกยิก ปากน้อยๆ พึมพำว่าจักจี้ ผมจึงอ้าปากงับติ่งหูนิ่มแล้วขบเบาๆ อย่างย่ามใจ ทำให้น้องเผลอสะดุ้งตัวขณะเดียวกันที่วงแขนโอบรัดต้นคอของผมให้แนบลงมามากกว่าเดิม ซึ่งก็ผิดคาดที่เขาไม่ผลักออก แต่ก็ไดรับของขวัญเป็นความแสบคันจากการจิกเล็บลงกับผิวเนื้อรอบต้นคอที่โผล่พ้นคอเสื้อมา

ยิ่งน้องมุ่ยไม่ตอบโต้ยิ่งได้ใจ ผมลากไล้จมูกตามแนวลำคอขาว สูดดมความหอมจางอย่างไม่รู้เบื่อ ใช้มือข้างที่ว่างดึงคอเสื้อของน้องให้กว้างขึ้นและประทับจูบลงทั่วลำคอ บางจุดขึ้นรอยสีแดงระเรื่อเมื่อผมห้ามใจไม่ไหว แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะให้ไม่เกิดรอยขึ้นอีก เสียงครางอืออาจากน้องก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดี ให้อะไรๆ มันตื่นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


งับ!


ป้าป!


เต็มๆ หลัง ฝีมือไม่เคยตกเลยสักครั้งเดียว เยี่ยมที่สุด แฟนใครเนี่ย

“อย่ากัด!”

“มันเขี้ยว” ผมตอบกลับเสียงอู้อี้เพราะสาละวนอยู่กับการลากฟันขบกับผิวเนื้อบางและสูดดมซอกคอหอมกรุ่นจากคนในอ้อมแขน ครีมอาบน้ำอันเดียวกันแท้ๆ ทำไมตัวน้องถึงหอมฟุ้งออกมาได้ขนาดนี้นะ ขณะที่กำลังเพลิดเพลิน น้องก็จับหน้าผมแล้วดึงออกมามองหน้ากัน เสียงหายใจหอบเล็กๆ จากเขา ผมก็ยิ่งจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

“...มาจูบกัน” ได้ตามคำขอ ผมลากริมฝีปากผ่านผิวเนื้อที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมาจนไปหยุดอยู่ที่ปากสวยๆ ของน้อง จุ๊บหนึ่งครั้งอย่างปลอบโยนแล้วจึงค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวเก็บความหวานซึ้งจากโพรงปากเล็ก

ผมปลดกระดุมเสื้อตัวเองระหว่างที่กำลังมอบจูบให้กันจนกระทั่งถึงเม็ดสุดท้ายและถอดออกไป ผมถอนจูบออกมองน้องมุ่ยที่ปรือตาขึ้นมองการกระทำผม ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อผมจับมือของน้องให้วางทาบทับลงบนแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจ ซึ่งมันก็เต้นแรงไม่ต่างกัน

“ถอดสิ” ผมเอ่ยเสียงนุ่ม พยายามข่มอารมณ์ตัวเองที่พลุ่งพล่านไม่ให้เผลอทำรุนแรงกับน้อง แต่เพียงแค่หลับตาลงพลางสูดหายใจเข้าแวบเดียว เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นน้องมุ่ยจับชายเสื้อแล้วถอดออกอย่างไว แถมยังมองตาแป๋วสื่อว่า ‘ถอดแล้วนะ’ กลับมาอีก

ขาวชิบหาย

เล่นเอาผมหายใจสะดุดแวบหนึ่งเมื่อเห็นหน้าท้องแบนราบปรากฎลอนจางๆ ตามประสาผู้ชายทั่วไป ไล่มองไปจนถึงสองจุดสีชมพูจาง แต่กลับเด่นท้าสายตาให้ทำอะไรสัดอย่างกับมัน ซึ่งทำให้ความปราถนาในตัวน้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“..ด..เดี๋ยวบีม” ฝ่ามือนิ่มยันใบหน้าผมไว้ก่อนที่จะก้มลงหาจุดสีสวยที่เด่นชัดออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผิวเนียนลื่นมือกับผิวขาวๆ นั่นทำผมเบลอไปหมด ให้ตายสิวะ

“ว่าไง”

“ถ...ถอดกางเกงด้วยไหมอะ” ท่าทีเขินอาย แต่จับขอบกางเกงราวกับพร้อมจะดึงลงทันทีเมื่อผมให้สัญญาณ

“ถอดสิครับ”



พรึ่บ!



เหลือเพียงชั้นในสีขาวปกปิดน้องมุ่ยน้อยเอาไว้ เรียวขาขาวนั่นทำผมหายใจติดขัดอีกรอบ สัดส่วนช่วงขาที่ยาวกว่าช่วงตัวแถมยังเรียวสวยราวกับถูกจัดวางสรรค์สร้างมาอย่างดี

“บีมลูบกูทั้งตัวเลย”

“นุ่ม” ผมวางริมฝีปากพรมจูบทั่วลำคอและแผ่นอกบาง ทำให้น้องสะดุ้งทุกครั้งที่ผมแตะ อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศเมื่อสัมผัสกับผิวเนื้อขาวทำน้องสั่นนิดๆ ส่งผลให้จุดสีชมพูน่ารักลุกชันขึ้นตามไปด้วย

อยากกัด คำหนึ่งคำในหัวที่แวบขึ้นมา แต่จะให้ทำตามที่คิดเลยน้องอาจจะฟาดผมจนสลบได้ ฉะนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากการค่อยๆ ลูบไล้เรียวแขนและเรียวขาเพื่อสร้างความปั่นป่วนทางอารมณ์ให้ตัวเขารู้สึกมากขึ้นกว่านี้ ลากลามไปจนถึงต้นขาด้านในที่นุ่มมือจนอยากจะกัดให้ขึ้นรอยฟันให้ทั่ว

ผมผลักขาที่อ่อนปวกเปียกให้อ้ากว้างแล้วสอดตัวเองเข้ามาอยู่กึ่งกลาง ดันตัวขึ้นมองสภาพน้องที่ตอนนี้กำลังหอบหายใจหนัก เนื้อตัวขึ้นรอยสีแดงจากการบีบและรอยจูบพร่างทั้งตัว น้องมุ่ยพยายามผงกศีรษะขึ้นราวกับต้องการจะดูว่าถึงขั้นไหนแล้ว ด้วยดวงตาปรือปรอยกับปากบวมฉ่ำนั่น

อิโรติกสัด

“บีมชอบจับแรงด้วย”

“อืม...พี่บีมชอบ” ผมเออออรับคำอย่างไม่ค่อยมีสติเท่าไร ก้มตัวลงประคองน้องไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง สายตาจับจ้องแต่จุดสีหวานบนแผ่นอกนั่น จนรู้สึกได้ถึงความสงสัยจากน้องที่กำลังมองมา ผมเลยเคลื่อนตัวขึ้นไปมอบจูบให้กับเขาอีกครั้ง พลางเลื่อนมือจากต้นขาขึ้นมายังช่วงเอวสอบ ไล้มาจนถึงจุดหมายที่เล็งไว้ และเมื่อปลายนิ้วแตะเพียงแผ่วเบาก็ทำให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ แต่ความนุ่มนิ่มของเจ้าสิ่งนั้นทำให้ผมไม่อาจจะหยุดให้น้องปรับตัวไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงวางสองนิ้วลงแล้วคีบดึงขึ้นจนน้องหลุดเสียงน่ารักออกมา

“อะ..อื้อ!”

“เจ็บเหรอ” ผมกระซิบถามข้างใบหูนิ่ม อดไม่ได้ที่จะไล้เลียให้อย่างเอาใจ

“จ..จักจี้ เเล้วก็ขนลุก”

“คนดี”

ถามก็ตอบทุกครั้ง น่ารักจริงๆ

“อะ! บีมอย่าข..ขยี้”

“ปฏิเสธ แต่แอ่นอกให้ คิดว่าไง”



ป้าป!



ยังจะมีแรงตีอีกนะ

“อื้อ! บีม ฮื้อ ม...ไม่เอาแบบนี้” ผมผละออกจากใบหูขาวแล้ววางริมฝีปากครอบจุดสีชมพูอีกข้างหนึ่งเป็นการลงโทษ เล่นเอาน้องมุ่ยร้องเสียงหลง

“ลงโทษครับ”

“ไม่...มัน...ฮึก มัน” ข้างหนึ่งบดขยี้อีกข้างหนึ่งถูกดูดดึงจนเกิดเสียงน่าอายทำให้น้องร้องออกมากระท่อนกระแท่นไม่เป็นภาษา ผมจึงถือว่าฟังไม่รู้เรื่องแล้วปล่อยเบลอไป พลางใช้ลิ้นร้อนแตะสัมผัสหยอกเย้าจนฉ่ำวาวเต็มไปด้วยน้ำสีใส ทำให้น้องถึงกับยกมือดันบ่าผมออก แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่ไม่เท่าก่อนหน้าจึงไม่สามารถทำอะไรผมได้

“บีม! มากไป อะ...อย่ากัด” แผ่นอกขาวสะท้อนเฮือกยิ่งทำให้ผมได้ใจ ผละมืออีกข้างหนึ่งลากลงข้างลำตัวน้องจนไปถึงจุดกึ่งกลางที่มันไม่ได้นอนสงบอย่างที่คิด ผมวางมือกอบกุมส่วนนั้นผ่านปราการชั้นในสีขาวและลูบไล้เบาๆ เล่นเอาน้องมุ่ยผวาเฮือก

“บีม!” เสียงร้องตกใจพร้อมกับมือน้อยๆ ที่ใช้แรงทั้งหมดดันหัวผมขึ้น จนปากหลุดออกจากจุกน้อยๆ นั่น ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเสียดายเมื่อเห็นว่ามันยังแดงและบวมไม่พออย่างที่คาดไว้

“เอามือออกเลย!” พยายามจะทำเสียงดุทั้งใบหน้าแดงก่ำแบบนั้น ใครจะกลัวครับ

“เป็นเด็กสุขภาพดีสินะ” ผมเอ่ยแซว พลางลูบขึ้นลงตามความยาวผ่านเนื้อผ้า

“ไอ้ลามก!”

“ใครกันแน่ เป็นซะขนาดนี้แล้ว” ผมดึงชั้นในสีขาวให้ค่อยๆ เลื่อนลง ทำให้น้องมุ่ยน้อยดีดเด้งขึ้นมาทันทีตามอารมณ์ของเจ้าของ

“อย่ามองนะ ไอ้คนเลว!” คำด่าหลุดออกมารัวๆ แต่ผมก็เมินโดยการใช้มือข้างที่ว่าง ลูบไล้ผิวเนื้อนิ่มเด้ง และตีกระทบลงไปจนเกิดเสียง

“บีมตีก้นกู!”

“นุ่มมากเลยครับ เหมือนมาชเมลโล่”

“ฮ้าย ฮ้ายแต้ว่า ฮือ”

“ให้พี่บีมช่วยก่อนไหมครับ” ผมเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มละไม มองน้องมุ่ยที่กำลังโอดครวญกับตัวเอง มันน่ารักจริงเว้ย ไอ้เด็กคนนี้

“ช่วยไร..”

“ก็...ออกก่อนสักรอบหนึ่ง”

“...อ...ไอ้ขี้โกง! ฮะ...ฮื้อ! อย่าทำแบบนั้น” คำด่าหายไปกลายเป็นเสียงสะอื้นฮักดังออกมาเมื่อถูกรูดรั้งอย่างช้าๆ ริมฝีปากล่างถูกกัดอย่างอดกลั้น มือเล็กป่ายปัดลงกับเตียงพลางกำผ้าห่มแน่นด้วยอารมณ์รุนแรงที่มาจากการปรนเปรอน้องมุ่ยน้อยจากผม

“ช้า...ช...ช้าหน่อย”

“ว่าไงนะครับ พี่บีมไม่ได้ยินเลย” ผมแกล้งทำเป็นหูตึงให้เจ้าตัวฮึดฮัดเล่น น้องมุ่ยพยายามจะปัดมือผมออก แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเมื่อผมไม่ยอมซะอย่าง หากยังเพิ่มความเร็วขึ้นจนได้ยินเสียงหวานหอบครางถี่กระชั้นอย่างควบคุมอารมณ์แทบไม่อยู่แล้ว

“ร...เร็วอีก”

“ครับ?”

“จะ..จะถึง อ...เอามือ ออกไป” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นนั่นใช่ว่าฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่ผมแค่ไม่ต้องการทำตามคำขอและหยุดมือลงเอาเสียดื้อๆ จนน้องมุ่ยชะงัก ครางอื้ออึง สองขาพยายามจะหุบเข้าหากันแต่ทำไม่ได้ สองมือพยายามจะช่วยให้ตัวเองถึงความต้องการ แต่ก็ถูกผมปัดออก

“พูดเพราะๆ ก่อน”

“บีม..ช...ช่วย” น้ำตาปริ่มๆ คลอหน่วยตากับปากที่คว่ำเบะลงอย่างน่าสงสารยิ่งทำให้อยากแกล้งมากขึ้นไปอีก

“เพราะๆ ครับ”

“ฮึก..อ้ายบีม”

“...”

“อ้ายบีมช่วย น...น้องมุ่ย อื้อ”

“ตามคำขอครับ คนดี” เสียงหยาบโลนของการรูดขึ้นลงอย่างรัวเร็วดังคลอไปพร้อมกับเสียงครางระส่ำของน้องหมดคราบความเป็นเสือมุ่ยที่เจ้าตัวเปรยไว้ก่อนหน้า แผ่นอกแอ่นเหยียดขึ้นในจังหวะสุดท้ายก่อนจะปลดปล่อยทุกหยาดหยดออกมาพร้อมกับเสียงกระทบของแผ่นหลังที่ทรุดลงกับเตียง ของเหลวอุ่นร้อนทะลักออกมาเลอะทั่วมือผมแต่ก็ไม่นึกรังเกียจใดๆ

“บีม...เช็ด”

“ไม่เอาหรอก”

“หะ? บีม เดี๋ยว จะทำอะไร?!” ผมแยกขาตัวเองที่กำลังยืนเข่าดันเรียวขาของน้องให้แยกกว้างออกมากกว่าเดิมจนเห็นช่องทางเล็กที่ปิดสนิทซ่อนอยู่ระหว่างบั้นท้ายกลมกลึง จากนั้นจึงใช้มือข้างที่เลอะค่อยๆ ปัดป่ายและแตะลงรอบช่องทาง พลางกดนวดให้คลายอาการเกร็ง

“ตัวช่วยไงครับ”

“บีมแตะตรงนั้นได้ไง ฮือ ไอ้ชั่ว อะ! อย่ากดอย่างนั้น ฮืออ” น้ำตาไหลแหมะๆ ชวนให้น่าสงสาร แต่ขอโทษเถอะ พี่หยุดไม่ได้แล้วครับ ทางนี้เองก็ปวดจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว

“อย่าเกร็งนะ คนดี”

“บีมก็พูดได้ ฮึก! มาลองโดนเองไหมล่ะ” ปาดน้ำตาป้อยๆ แต่มืออีกข้างหนึ่งกลับควานหาบางสิ่งบางอย่าง บนเตียงแล้วยื่นมาให้ผม

“น้อง...”

“ฮือ เจล บีมคนชั่ว ใช้เจลด้วย บะเดวน้องเจ็บ”

“...น้องมุ่ย” ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ทุกอย่างแม่งเหนือความคาดหมายกูหมดแล้ว ไอ้คนที่ร้องห้ามตอนผมกำลังช่วยให้ถึงฝั่งมันหายไปไหนกัน

“ฮือ...ไอ้คนเหี้ย น่าอาย..น่าอาย..”

“ครับๆ” ผมเปิดฝาแล้วบีบออกมาในปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ ชโลมป้ายลงกับช่องทางเล็กนั่นให้ชุ่ม โดยมีซาวด์เอฟเฟค เสียงทุบปึกๆ ลงที่ต้นแขนมาเป็นระยะ

“กูขอขึ้นเองก็ไม่ให้ บีมแย่ที่สุด ฮึก”

“มันจะยากนะครับ แบบนั้น”

“ละมันจะใด เปิ้นอ่านมาท่านั้นคือเจ็บน้อยตี้สุดแล้วอะ”

“...”

”ฮือ ใจตั๋วกะจะหื้อน้องเจ็บก๋า”



ขิต

ลูกอ้อนบวกอู้กำเมือง

กูขิตโดยสมบูรณ์แบบ



“บ..บีม! ทำอะไร!” ผมไม่รีรอ รั้งกางเกงตัวเองลงแล้วถอดโยนไปอีกทาง ยกขาเรียวขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้างพลางหยิบหมอนมาวางรองสะโพกกันน้องเจ็บอีกทาง และบีบเจลลงทั่วนิ้วอีกครั้งให้เยอะที่สุด

“ใครให้อู้กำเมืองตอนนี้ครับ”

“ห...โห บีม...” ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเจอเข้ากับสิ่งที่มันมากกว่าของตัวเองดีดผึ่งออกมา ตาเรียวจ้องมองไม่กระพริบจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ที่มันมากขนาดนี้ก็เพราะใครล่ะครับ

“พี่บีมไม่ทนแล้วจริงๆ ว่ะ น้องมุ่ย”

“ม..มันเข้าได้เหรอ โห มันได้เหรอบีม” ผมอาศัยช่วงที่น้องเผลอจัดท่าทางให้ถนัดที่สุดแล้วเตรียมความพร้อมให้น้องมุ่ยก่อนอย่างใจเย็น

หมายถึงพยายามใจเย็นน่ะครับ

“เดี๋ยวก็ได้เอง”

“อะ! เดี๋ยว! อย่าเพิ่งสอดเข้ามา อื้อ!!” ผมวางนิ้วแตะลงกับช่องทางปิดสนิทและค่อยๆ กดเข้าไป ไม่ทันถึงครึ่ง น้องมุ่ยก็ร้องไห้จ้าออกมาด้วยความเจ็บ

“จ...เจ็บ! บีม น้องเจ็บ!” สองขาตกลงจากบ่าทันทีเมื่อน้องดิ้นพล่านด้วยความเจ็บ ผมเลื่อนตัวขึ้นจูบซับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทำให้ผมไม่กล้าขยับนิ้วตัวเองอีก แม้แต่จะดึงออกยังไม่กล้า

“ชู่ว...คนดี หายใจเข้าลึกๆ ไม่เกร็งนะครับ” พรมจูบทั่วใบหน้าใส อย่างปลอบโยน ปากพร่ำบอกกับน้องให้ผ่อนคลาย แต่คำว่าเจ็บก็แทงใจผมเหลือเกิน บางทีมันอาจจะยังไม่ถึงเวลา

“น้องเจ็บ...ฮึก”

“ครับ พี่บีมรู้แล้ว พี่บีมโอ๋” กดจูบข้างขมับซ้ำๆ พลางลูบผมนิ่มให้หายตกใจ กลั้นใจถอนนิ้วตัวเองออก แล้วประคองกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน

“...ฮึก”

“คนดี...อย่าร้องไห้ ถ้างั้นเราพอแค่นี้ดีไหม”

“ไม่!”

“..ค..ครับ?” น้องมุ่ยขมวดคิ้วยุ่ง ผลักผมออกพลางปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วก็พึมพำกับตัวเองเสียงเบาจนผมจับใจความไม่ได้

“จะพยายามไม่เจ็บ”

“พี่ว่า --”

“บีมก็เจ็บ น้องรู้ เราไปด้วยกันนะ” รอยยิ้มน่ารักกระแทกใจผมอย่างจัง อดไม่ได้ที่จะประทับจูบหวานซึ้งให้กันอีกรอบแล้วก็ผละออก ผมยกขาเรียวขึ้นพาดบ่าอีกครั้งแล้วทำตามแบบเดิม โดยการชโลมเจลมากกว่าครั้งก่อน และค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปทีละนิดกับช่องทางคับแคบนั่น

น้องมุ่ยคว้าต้นคอผมลงมารับจูบ ปากสวยบดเบียดอย่างรุนแรงราวกับต้องการระบายความเจ็บปวดที่ตนกำลังได้รับ ผมจูบตอบกลับไปเช่นกัน ใช้มือข้างที่ว่างบดขยี้จุดสีชมพูหวานเพื่อเพิ่มอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นมาทดแทนความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญ

ความคับแน่นโอบรอบนิ้วผมจนแทบขยับไม่ได้ ต้องคอยกระซิบบอกให้น้องอย่าเกร็ง ค่อยๆ สูดหายใจลึกๆ ผ่านไปชั่วครู่ช่องทางนั้นก็คลายลงเล็กน้อยเปิดโอกาสให้ผมสอดลึกเข้าไปได้จนสุดนิ้ว

“อื้อ!”

“เจ็บไหมครับ”

“จ...เจ็บ แต่ไม่เท่าเดิม” ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้าง จึงลองขยับเข้าออกอย่างช้าๆ ให้เจลทำงานตามประสิทธิภาพของมัน พร้อมกับป้อนจูบให้น้องด้วยอีกทาง ความเปียกลื่นทำให้ช่องทางคลายความฝืดเคืองลงได้บ้าง ผมกระซิบข้างใบหูเล็กขอเพิ่มเป็นสองนิ้ว น้องพยักหน้าพร้อมใบหูที่ขึ้นสีแดงเรื่อ ผมจึงค่อยๆ ถอนนิ้วออก และชโลมเจลอีกครั้งพร้อมสอดเข้าไปทั้งสองนิ้ว อย่าว่าแต่น้องที่ต้องใช้ความอดทนเลย ผมเองก็ไม่ต่างกัน ไอ้ส่วนแข็งขืนของผมมันก็ปวดจนเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน

“เก่งมากครับ รับได้หมดแล้ว เห็นไหม” ผมเอ่ยชมเมื่อเข้าไปจนสุดทางแล้วทั้งสองนิ้ว ขยับเข้าออกจนได้ยินเสียงเหนอะหนะออกมาให้น้องฟาดผมอีกครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ เขินจนหายเขินแล้วก็กลับไปเขินใหม่อีกรอบ น่ารัก

จนกลายเป็นสามนิ้วที่เข้าไปจนหมด ผมแช่ค้างให้น้องผ่อนคลายสักครู่ แล้วจึงขยับเข้าออกเบาๆ พลางค้นหาจุดที่ทำให้น้องรู้สึกดีไปด้วย

“อ้ะ! ตรงนั้น! บีม ย...อย่า”

“ตรงนี้สินะ” ผมกดย้ำ เมื่อน้องเริ่มคลายความเจ็บปวดแล้วแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ของความร้อนแรงที่พุ่งสูงขึ้นเป็นระยะ เสียงครางผะแผ่วนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวอีกต่อไป ถอนนิ้วทั้งสามออกมาทันที พลางรูดรั้งส่วนแข็งขืนของตัวเอง คว้ากล่องถุงยางอนามัยที่ซื้อเตรียมไว้ก่อนน้องมุ่ยมา แกะกล่องแล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งซองพลันฉีกออก จากนั้นก็นำมาสวมให้ตัวเองเสร็จสรรพ ขยับจ่อประชิดช่องทางชุ่มฉ่ำสีสดพลางชโลมเจลหล่อลื่นทั่วส่วนร้อนของตัวเองให้ได้มากที่สุดอีกครั้ง

“พร้อมไหม คนดี”

“ด...ได้ มาเลย ส...เสือมุ่ยพร้อม”

“พี่บีมจะทำเบาๆ”

“เสือมุ่ยเก่งอยู่แล้ว” ผมยกยิ้มด้วยความเอ็นดูให้กับคนตรงหน้า รัก รักจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ต้องเป็นน้องมุ่ย คนนี้คนเดียวเท่านั้น

“พี่บีมรักน้องมุ่ยนะครับ” ผมก้มหน้าลงกระซิบติดชิดริมฝีปาก สบตาคู่สวยที่กำลังมองกลับมาเช่นกัน

“รัก รักบีมเหมือนกันเลย” รอยยิ้มนี้แหละ ที่ทำให้ผมติดกับดัก ไปไหนไม่รอดซักที

ผมกดจูบอีกหนึ่งครั้งแล้วจับส่วนแข็งขืนดุนดันเข้าช่องทางฉ่ำชื้นอย่างช้าที่สุด เสียงร้องครางดังกว่าครั้งไหนๆ เล่นเอาอารมณ์ผมพุ่งสูงมากขึ้นไปอีก

“ถ้าเจ็บก็กัดพี่บีมนะ” ผมยื่นมือข้างที่ว่างไปวางตรงหน้าของน้องมุ่ย เจ้าตัวใช้สองมือจับไว้แน่นแล้วอ้าปากเตรียมจะงับลงมา ผมทำใจไว้แล้วว่ามันต้องเจ็บมากแน่ๆ แต่จนแล้วจนรอดสัมผัสที่ได้รับกลับมามีเพียงความเปียกชื้นและเสียงดูดดึงผิวเนื้อ

“ด...เดี๋ยวบีมเจ็บ” น้องมุ่ยไม่ได้กัด แต่ใช้ฟันขบทั่วหลังมือพลางดูดดุนเมื่อผมขยับส่วนร้อนของตัวเองเข้าช่องทางแดงก่ำ ไม่ได้เจ็บที่โดนกัดแต่แรงดูดก็รู้สึกจี๊ดๆ ไม่ใช่ย่อย

“พยายามด้วยกันนะ”

“...อื้อ”

“เชื่อใจพี่บีมนะครับ”

“เชื่อครับ...”

“เก่งมาก คนดีของพี่บีม”

เจลหล่อลื่นมีส่วนช่วยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่งั้นคงเป็นผมที่ยอมโลกสวยด้วยมือเรามากกว่าให้น้องยอมเจ็บเพื่อผม

ผ่านมาได้ครึ่งทาง ทั่วหลังมือก็เต็มไปด้วยรอยดูดรอยขบกัด ผมโน้มตัวประคองกอดพลางไล่จูบตามกรอบหน้าของน้องอีกครั้งเพื่อปลอบประโลมให้น้องผ่อนคลาย แล้วยืดตัวขึ้นมาเพื่อทำอะไรๆ ที่กำลังค้างคาให้มันสุดสักที

“อื้อ! บีม”

“...ครับ”

“ข...เข้ามาเลย” ช่องทางขยายรองรับสิ่งแปลกปลอมที่สอดเข้ามาได้มากขึ้น ผนังร้อนที่โอบรอบแก่นกายเต้นตุบๆ จนต้องคำรามในลำคออย่างสุดจะกลั้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความต้องการของตัวเองที่อยากจะเสือกไสให้เข้าไปจนสุดในทีเดียว น้องมุ่ยก็เร่งเขาจัง เดี๋ยวจะเจ็บไม่น้อยเลย ไอ้ตัวดี

“อย่ารีบสิครับ”

“หมดยังอะ...”

“อีกนิดเดียวครับ” ผนังนุ่มตอดรัดจนอดไม่ไหวที่จะคำรามออกมาระบายความรู้สึกพลุ่งพล่าน ผมกัดฟันเกร็งสะโพกกระแทกเข้าไปจนสุดทีเดียว ทำให้น้องมุ่ยถึงกับเกร็งตัวผวาเฮือกแล้วหวีดครางเสียงหลงในจังหวะเดียวกัน

“อะ... อื้อ อย่าเพิ่งขยับนะ”

“พี่บีมรอน้องพร้อม ซี้ด แต่อย่ารัดกันแน่นนักดิ” ผมแช่ตัวเองไว้ในนั้นยังไม่ขยับเพื่อให้ช่องทางคุ้นชินและคลายอาการเกร็งลง แม้จะรู้สึกอยากกระแทกแรงๆ ทุกครั้งที่ผนังอ่อนนุ่มเต้นตุบๆ ราวกับร้องเรียกให้ผมรีบจัดการกินคนตัวเล็กให้เต็มคราบจนร้องไห้ไม่ออก แต่ก็เป็นได้แค่ความคิด เรื่องจริงนั้นคือผมก้มลงไปจูบเอาใจคนใต้ร่าง ไล้เลียทั่วซอกคอ พรมจูบบริเวณแผ่นอกจนทั่วเพื่อปลอบโยน และเร่งเร้าให้อารมณ์ของคนตรงหน้าให้พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน

“ย...อย่า น้องนอนอยู่! บีม ฮึก!” ผมกอบกุมส่วนกลางกายขนาดน่ารักไว้ในมือ แล้วรูดรั้งให้เจ้าของมันเกิดอารมณ์อีกครั้ง

“หืม? ก็ตื่นแล้วนี่” แก่นกายน้องแข็งสู้มือผม ใบหน้าใสเหยเกจากแรงอารมณ์ สะโพกสวยกระดกรับจังหวะการรูดรั้งอย่างไม่รู้ตัว

เหี้ยแม่ง เกินไปน้องมุ่ย

“ให้พี่ขยับได้ยังครับ”

“อือๆ” พยักหน้ารัวแต่กลับหันหนีมุดลงกับหมอนใบโตงุดๆ ผมหลุดหัวเราะให้กับท่าทางน่ารักนั่น แล้วจึงค่อยๆ ขยับสะโพกดึงแก่นกายออกทีละนิดแล้วก็สวนกลับเข้าไปอย่างช้าๆ เช่นกัน ขณะที่มือก็ไม่หยุดโรมรันเจ้าเสือมุ่ยตัวน้อย ความเชื่องช้าแปรเปลี่ยนเป็นความเร็วไล่ขึ้นตามระดับ

“อึก...ฮึก! ช้าๆ น...หน่อย” มือนิ่มดันหน้าท้องผมอย่างสะเปะสะปะ อยากจะเบาให้อยู่หรอก แต่ผมในตอนนี้ไม่ไหวแล้วว่ะ ความรู้สึกจากการเสียดสีระหว่างแก่นกายกับผนังอุ่นร้อนที่ตอดรัดทุกจังหวะที่ผมกระแทกกระทั้นเข้าไป เสียงจากผิวเนื้อที่กระทบกันดังขึ้นอย่างหยาบโลนมาพร้อมกับเสียงครางอื้ออึงหวานหูจากคนใต้ร่าง ก็ยิ่งเร่งปฏิกิริยาในตัวผมให้พุ่งสูงมากกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อแก่นกายถูกดันเข้าไปยังส่วนลึกสุดข้างในกระทบกับจุดที่ทำให้น้องมุ่ยสะดุ้งอ้าปากร้องครางเสียงดังจากความเสียดเสียวที่ตนได้รับ ยิ่งทำให้ผมเกร็งสะโพกดันตัวเข้าไปย้ำกับจุดเดิมๆ ด้วยความปรารถนาอย่างถึงที่สุด

“อื้อ! อะ...บีม ตรงนั้น”

“คนดี...” ผมกระชับต้นขาเรียวสวยขึ้นพาดบ่าแล้วโถมตัวลงกอดรัดให้น้องอยู่ในอ้อมแขน สะโพกน้องมุ่ยถูกยกลอยขึ้นแทบไม่ติดเตียง เสียงครางดังขึ้นตามจังหวะสวนกระแทกดังขึ้นข้างหู ทำให้ต้องครางเสียงต่ำออกมาเมื่ออารมณ์ใกล้จะถึงจุดสูงสุด

“จ..จะออก อึก! บีม น้องจะ..ถึง ฮื้อ” จบประโยค ผมกระชับมือที่กอบกุมแก่นกายน้องไว้แน่น รูดรั้งรัวเร็วตามจังหวะการเคลื่อนกายของผมด้วยให้ไปพร้อมๆ กัน

“พร้อมกัน...นะครับ” เสียงหยาบโลนจากเจลหล่อลื่น เสียงคราง รวมถึงผนังอ่อนนุ่มที่รัดอย่างรุนแรงนั่น กระตุ้นให้ผมรัวสะโพกเร็วในจังหวะสุดท้าย ก่อนจะกระแทกเต็มแรงอีกครั้งแล้วปลดปล่อยความอัดแน่นทุกหยาดหยดของตัวเองออกมา ไม่ต่างกันกับน้องมุ่ยที่หวีดร้องกระตุกตัวหลายครั้งแล้วบีบรัดแก่นกายผมแน่นค้างไว้แล้วจึงปล่อยของเหลวอุ่นร้อนออกมาเช่นกัน แต่ก็ไม่ข้นเท่าครั้งก่อน

“ฮื้อ...” ผมทิ้งตัวแนบกับแผ่นอกน้องมุ่ย กดจูบขมับชื้นเหงื่อ ย้ำซ้ำๆ เพื่อให้น้องหายเกร็ง แขนเล็กโอบกอดรอบคอผมให้แนบชิดมากกว่าเดิมราวกับต้องการความอบอุ่นมากกว่านี้ ใบหน้าสวยแดงเรื่อ หลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากบวมอ้าออกเพื่อรับออกซิเจนอีกทาง ผมอดเอ็นดูไม่ได้จึงคอยลูบปลอบประโลมให้น้องจนกระทั่งกลับมาหายใจเป็นจังหวะปกติ

“อึดอัด” น้องมุ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขาดหาย ผมจึงกดจูบกลางหน้าผากสวยให้กับความน่ารัก แล้วค่อยๆ ถอนตัวออกมาจากช่องทางคับแน่นนั่น ถึงแม้บีมน้อยมันจะยังแข็งตัวอยู่แต่ผมก็ไม่อยากฝืนร่างกายน้องมุ่ยอีก แค่ครั้งเดียว ดูสภาพน้องดิ ให้ตาย ผมดันเผลอให้อารมณ์ตัวเองอยู่เหนือความควบคุมในจังหวะสุดท้าย กระแทกกระทั้นตามใจตัวเองจนหลงลืมว่าน้องจะเจ็บหรือเปล่า

“เก่งมาก คนดี” ผมเอ่ยกระซิบปลอบโยนให้น้องฟัง แล้วค่อยๆ ดันตัวเองขึ้น จับสองขาของน้องวางลงกับเตียงอย่างเบามือโดยมีน้องจ้องมองตาไม่กระพริบ กะว่าจะพาน้องลงไปแช่น้ำอุ่นให้สบายตัว แต่ยังไม่ทันลุกจากเตียงก็ถูกดึงมือน้อยดึงรั้งไว้ซะก่อน

“บีม...”

“ว่าไง”

“จะไปไหน”

“พี่จะพาน้องมุ่ยไปแช่น้ำอุ่น”

“...” น้องไม่ตอบ เอาแต่จ้องผมอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง อาจจะเจ็บจนพูดไม่ออกล่ะมั้ง

“ลุกไหวไหมครับ” น้องมุ่ยใช้สองแขนยันตัวเองขึ้นโดยมีผมช่วยประคอง เจ้าตัวหันมามองผมแล้วลดระดับสายตาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงส่วนที่มันยังไม่สงบของผม เล่นเอาขนลุกซู่ แล้วจึงตวัดสายตาขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้ง

“บีม”

“หืม?”

“อ...อีกรอบ...”

“..!!”


หูฝาด

ใช่แน่ๆ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอน งานเยอะเลยจะเบลอๆ หน่อย



ต่ออีกนิดจ้าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อสุดท้ายแล้วจ้า


พลั่ก!


“เสือ ม...มุ่ย ยังไม่ได้ออกโรงเลย ฮึบ” น้องมุ่ยอาศัยจังหวะที่ผมกำลังคุยกับตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง ผลักให้ผมนอนหงายลงกับเตียง ก่อนจะวาดขาขึ้นคร่อม เหตุการณ์คลับคล้ายคลับคลาจนต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ

“ทำอะไร...ครับ”

“ถ..ถ้ากูขึ้นให้แบบนี้...อ้ะ! เจ็บ” ก้อนกลมกลึงเบียดทับกับส่วนที่ยังไม่สงบพลางขยับเบาๆ ผมรู้สึกราวกับกระแสความร้อนแล่นไปรวมกันอยู่จุดศูนย์กลางในขณะที่ตัวเองกำลังมึนเบลอกับแผ่นอกขาวๆ ล่อตาล่อใจตรงหน้า พอลากสายตามองขึ้นไปยังใบหน้าใส ก็ปรากฏรอยยิ้มอันแสนน่ารักที่ส่งมาให้ ซึ่งพุ่งตรงกระแทกเต็มแรงจนหัวใจเต้นกระหน่ำรัว

แม่งเล่นกูแล้ว



“มัน...จะเจ็บน้อยลงอย่างที่เขาว่าปะ?”








**************************************

ขออภัยนักอ่านทุกท่านที่หายไปน๊านนนนนนนนน นานนนนน

แต่เรากลับมาแล้วค่ะ

พาเสือมุ่ยมาด้วย โฮกปิ๊ป!

ฉากนี้เขียนนานมากค่ะ กับการเขียนฉาก nc ครั้งแรกอาจจะมีเว้าแหว่งไปบ้างในเรื่องสำนวนภาษา ต้องขออภัยด้วยนะคะ T^T

แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจกันด้วยนะค้า



พูดคุยกันได้ที่

TWITTER : @chanadbears

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 28

เข้าใจความรักมากขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว
[/b]



แสงแดดในยามสายของวันส่องลอดผ่านผ้าม่านสีทึบให้เห็นเป็นเส้นสว่างพาดผ่านใบหน้าของคนตัวสูงที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงกว้าง แขนแข็งแรงวางพาดเอวเล็กของอีกคนที่กำลังนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาคนที่กำลังกอดเขาอยู่ ใบหน้าขาวเนียนละเอียดที่มุ่ยมักจะนึกอิจฉาในใจอยู่ตลอดว่าเกิดมาเคยเป็นสิวสักเม็ดไหม ตอนเด็กกินข้าวกับอะไรทำไมโตมาหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจดได้ขนาดนี้

เส้นผมยุ่งเหยิงที่กระจายทั่วหมอนใบโตไม่ได้ทำให้ความดูดีลดน้อยลง เปลือกตาสีอ่อนกับแพขนตาที่ยาวอย่างน่าหมั่นไส้ ไหนจะจมูกโด่งเป็นเส้นตรงที่รับกันพอดีกับริมฝีปากบางสวยเจือสีชมพูอ่อนๆ เมื่อมองต่ำลงมาก็เจอกับแผ่นอกแข็งแรงเรียงตัวสวยบนร่างเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาสะท้อนกับแสงที่ลอดผ่านเข้ามาจนมุ่ยตาพร่า รอยขบกัดจากฝีมือเขาขึ้นให้เห็นทั่วบริเวณจนอยากจะถามตัวเองเมื่อคืนอีกเช่นกันว่ามึงเอาความใจกล้าที่ไหนมาทำแบบนี้

ยิ่งคิดหน้าก็เริ่มแดง เมื่อไล่ระดับสายตาลงมามองแขนที่วางพาดกับเอวของเขานั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นตึงสมส่วนจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นมาจางๆ พอได้สังเกตบีมแบบนี้แล้ว มุ่ยก็เพิ่งเห็นว่าขนาดตัวของบีมกับเขามันต่างกันมาก ไม่น่าล่ะเมื่อคืนถึงอุ้มเขาลอยหวือเลย

“อืม...” เสียงครางในลำคอและการขยับตัวของคนตรงหน้าบ่งบอกว่าในอีกไม่ช้ากำลังจะลืมตาตื่น มุ่ยกระถดตัวเองเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ เปลือกตาสีอ่อนขยับเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้น

“อือ...เหี้ย!”

“อะไร” บีมตะโกนออกมาอย่างตกใจที่เห็นผมพลางยกมือขึ้นขยี้ตาให้คลายความง่วงงุน แล้วกระพริบตาถี่หลายครั้งให้ชินกับแสงยามสายของวัน

“ทำไม มานอนจ้องตาแป๋วอย่างนี้ล่ะ ตกใจหมด”

“แค่มองเฉยๆ เอง” ผมตอบตรงๆ ทำให้คนตัวสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดขำออกมา ริมฝีปากเปิดเผยอยิ้มจนตาโค้ง เจ้าของแขนแกร่งจากเดิมที่แค่วางพาดกลับสอดรัดช่วงเอวแล้วดึงเข้าหาตัวจนแนบสนิท ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะของผมให้ฝังอยู่กับลำคอหนา ความอบอุ่นที่มาจากร่างกายของบีมและมืออีกข้างลูบขึ้นลงทั่วแผ่นหลังผ่านเสื้อยืดตัวบางที่บีมหยิบมาสวมให้เขาก่อนจะหลับไปเมื่อคืนทำให้ผมเริ่มเคลิ้มและเบียดตัวเข้าแนบชิดหาไออุ่นนั้นมากกว่าเดิม

เนิ่นนานจนลมหายใจของร่างสูงเริ่มเป็นจังหวะราวกับพร้อมจะเข้าสู่นิทราอีกครั้ง ซึ่งผมจะไม่ปล่อยให้บีมหลับแล้ว บีมต้องตื่น!


เพียะ!


“...ตีอีกแล้ว” น้ำเสียงเนือยๆ กลั้วหัวเราะทำให้ผมอยากจะฟาดอีกร้อยที แต่ทำไม่ได้ไง เดี๋ยวบีมเจ็บ เพราะฉะนั้นต้องโวยวายเสียงดังๆ เข้าไว้

“เที่ยงกว่าแล้วมั้งบีม ตื่นดิ้ อย่ามาหลับน้ำลายไหลลงหัวกูนะเว้ย”

“ยังไม่อยากตื่นเลย” เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือใหญ่จากที่ลูบหลังให้กันอยู่ดีๆ กลับอยู่ไม่สุข เลื้อยลงต่ำมายังสะโพกแล้วบีบคืนอย่างมันเขี้ยวจนผมสะดุ้ง

“ไอ้บีม!”

“นิ่มๆ” ดูมันทำหน้า

“ไอ้คนชั่ว! ไอ้ลามก!” ทั้งด่าทั้งผลักออก วงแขนแข็งแรงก็ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“ว่าใคร”

“ว่าตัวเองนั่นแหละ!” ทั้งผลักทั้งหยิกจนเหนื่อย ไอ้กำแพงหินตรงหน้าก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เลยได้แต่กัดฟันมองหน้ามันอย่างคับแค้นใจ บีมยิ้มหน้าระรื่นพลางกดจูบที่ริมฝีปากหลายครั้งจนผมเขินแทบบ้า หมดแรงจะสู้จึงปล่อยให้มันกอดเลยตามเลย

“ลามก?”

“เออ บีมเลย บีมคนเดียว”

“แล้วเมื่อคืนใครขอขึ้น?”

“ม..แมวที่ไหนไม่รู้ มันหนีไปแล้ว!” โอ๊ย! ไม่น่าเลยกู ฮืออออ ตราบาปชีวิต

“อ้าว ไม่ใช่เสือมุ่ยคนนี้เหรอ”

“มั่ว! เอาที่ไหนมาพูด บีมม..แม่งมั่วแล้ว เหอๆ”

“รอยเต็มหน้าอกพี่เลยนะ ไม่รวมที่น้องมึงข่วนหลังอีกเนี่ย”

“ไร! ดูนี่ บ..บีมก็ทำเหอะ! ลายเป็นตุ๊กแกแล้วเนี่ย เจ๊ากันดิ” ผมแหวกคอเสื้อตัวเองออกให้บีมดูว่าตัวเองก็ใช่ย่อย ทั้งรอยกัดรอยขบแม่งเต็มหน้าอกลามไปยังหน้าท้อง ดูมันทำกับผมก่อนเถอะครับ

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม” บีมยกมือขึ้นทาบหน้าผากแล้วไล่แตะตามแก้มและลำคอเพื่อวัดอุณหภูมิ ไอ้คนนิสัยไม่ดีกำลังเปลี่ยนเรื่องครับ โหย อ่อนว่ะ

“คนเก่งเขาไม่เป็นไข้กันหรอก” ผมเชิดหน้าตอบ มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่ไม่สบาย เฮอะ

“หิวรึยัง”

“อืมๆ แดกช้างได้ทั้งตัว รู้ไหมว่ากว่าตัวเองจะตื่นอะ กูรอนานมาก” บีมคลายอ้อมกอดออกจากนั้นก็พลิกตัวนอนตะแคงพลางยกแขนขึ้นตั้งรองรับศีรษะตัวเองแล้วมองผมที่กำลังลูบพุงประท้วง

“แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะ”

“อยากนอนมองหน้าบีม”

“เด็กนี่”

“โง๊ย! เลิกยุ่งกับแก้มกูได้แล้ว อยากกินข้าว” มันพุ่งเข้าฟัดแก้มผมทันทีหลังจบประโยค อย่างกับโดนหมาเลียหน้า แถมยังกัดทั้งแก้มจมูกปากจนขึ้นน่าจะขึ้นรอยฟันไอ้หมาบีมทั่วหน้าหมดแล้ว แดกกูเลยเถอะ

“สั่งแกร๊บนะ อยากกินอะไร” หลังจากฟัดจนพอใจ บีมก็หยัดตัวนั่งพิงหัวเตียงแล้วหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าแอพหาร้านข้าว ผมเลื้อยตัวเองหันเท้าไปทางระเบียงแล้ววางศีรษะลงกับพุงแข็งๆ นอนต่างหมอน โดยมีมือใหญ่คอยลูบผมให้เบาๆ

“ชาบูหมูทะ” ผมตอบอย่างที่ใจคิด จู่ๆ หม้อไฟหม่าล่ากับเตาย่างเนยก็ลอยขึ้นมาในหัว ผมจำได้ว่ามีร้านเปิดใหม่อยู่ในซอยข้างมอ พวกไอ้โป้ไปกินมามันก็บอกว่าอร่อย น้ำลายไหลแล้วผม

“...”

“อะไรอะ”

“อยากกินอะไร มึงลีลาอะน้องมุ่ย”

“มึงสิลีลา โธ่เอ๊ย ก็อยากกินชาบูจริงๆ อะ ไม่ได้กินมานานแล้วเนี่ย” พูดแล้วท้องร้องเลย ไม่ได้ว่ะ วันนี้ผมต้องได้กิน

“เอาตอนนี้ก่อน ชาบูไว้ตอนเย็นจะพาไป”

“จริงนะ” ถ้าไม่พาผมไปผมจะร้องไห้จริงๆ ด้วย

“เออสิครับ ทีนี้ก็บอกมาได้แล้วว่าอยากกินอะไร” อยากกินอะไรที่เบาท้องหน่อยเพื่อที่ตอนเย็นจะได้จัดหนักจัดเต็ม ร้านไม่ปิดไม่กลับ

“ผัดไทกุ้งสด เอากุ้งเยอะๆ”

“เค” ผมนอนมองบีมที่กำลังจิ้มหน้าจอโทรศัพท์จึ้กๆ แหม่ ขนาดมองมุมเสยแบบนี้มันยังหล่อ รำคาญว่ะ

“บีมกินไรอะ”

“เหมือนน้องนั่นแหละ”

“ไอ้ขี้ลอก!”

“เอาแรงด่ามาจากไหนเยอะแยะวะ ไม่เหนื่อยเหรอเราอะ” บีมวางโทรศัพท์ลงข้างเตียงแล้วหันมาสนใจผม

“เฮอะ”

“หึ จะอาบน้ำเลยไหม”

“อาบดิ เหนียวตัวจะแย่” ถึงแม้ว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้ไม่มีเหงื่อก็เถอะ แต่จากการที่มันแห้งติดผิวทำให้ผมรู้สึกระคายจนอยากจะพุ่งลงน้ำมันซะเดี๋ยวนี้

“อาบด้วยกัน?”

“ตีนะ”

“ให้อุ้มไปด้วยไหม?”

“อยากหัวแตกเหรอ”

“ฮ่าๆ เออครับ เดี๋ยวรอรับข้าวให้ เราไปอาบก่อน”

“...”

“มองตาปริบๆ มันหมายความว่าไง หรือที่ไม่ลุกคือจริงๆ อยากอาบด้วยกันสินะ” ไม่พูดอย่างเดียวบีมก็ยกหัวผมขึ้นแล้ววางลงกับฟูกอย่างนุ่มนวลแล้วขยับตัวลงจากเตียงพลางสอดแขนเข้ามาข้างใต้ข้อพับขาและแผ่นหลังแล้วอุ้มขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว

“เห้ย! ปล่อยเลยนะ” ผมแกว่งขาดิ้นอย่างไม่ยอม แต่แค่ขยับความรู้สึกเจ็บก็แล่นจี๊ดจากบั้นเอวลามขึ้นหัวอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ย!” ผมเกี่ยวคอบีมไว้แน่นแล้วหมุนหน้าเข้าซุกช่วงไหล่แข็งแรง อ้าปากกัดเข้ากับผิวเนื้อเพื่อระบายความเจ็บปวด

“เป็นอะไร เจ็บตรงไหนน้องมุ่ย” บีมทรุดตัวนั่งลงทันทีแล้ววางผมไว้บนตัก เจ้าของมือใหญ่ลูบแผ่นหลังขึ้นลงหลายครั้งเป็นเชิงปลอบแล้วกระซิบถามข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ผมปล่อยปากของตัวเองออกเมื่อความเจ็บคลายลงกว่าเดิม ผิวขาวๆ ของบีมเมื่อเจอเข้ากับแรงกัดของผมทำให้เห็นรอยฟันชัดเจน แต่บีมก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด กลับกันดูเหมือนเจ้าตัวจะให้ความสนใจกับอาการของผมมากกว่า

“ขอโทษที่กัด”

“ช่างมัน เมื่อกี๊เป็นอะไร” คิ้วเข้มขมวดลงพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมมองสำรวจทั่วราวกับจะหาบาดแผลบนตัวผมให้เจอ

“ก็ดิ้นอะ...” ผมเสตามองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตาด้วย

“แล้ว?”

“ดิ้นแล้วมันเจ็บก้นไง! ขามันก็สั่นด้วย” ผมโวยวายเสียงดังกลบเกลื่อนความน่าอายของตัวเอง บีมนิ่งไปอึดใจและเมื่อเข้าใจความหมายของเรื่องทั้งหมดก็ระเบิดหัวเราะออกมาจนตาเป็นสระอิทั้งสองข้าง

“ฮ่าๆ”

“เพราะบีมนั่นแหละ!” ตอนแรกผมก็นึกว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร แต่พอตอนขยับตัวหนุนพุงบีมผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่าขาสั่นและปวดบริเวณเอว กะว่าจะนอนรอจนกว่าอาการจะเบาลงแต่ก็โดนบีมแกล้งซะก่อน

“ตัวปวกเปียกเป็นเยลลี่เหลวแต่ปากนี่ฉอดไม่หยุดเลยนะ” บีมพูดแหย่แถมยังจุ๊บปากไม่หยุด หน้ากูเปื้อนน้ำลายมึงหมดแล้ว ไอ้หมาบีม!

“กูไม่ได้ใช้ปากเดินโว้ย! แล้วก็เลิกยุ่งกับหน้ากูซักที” ผมยกมือดันหน้าบีมให้ออกห่าง แต่บีมก็ใช้แขนสองข้างรวบเอวผมเข้ามาใกล้แทนจนได้หอมแก้มผมไปเต็มฟอด ไอ้คนหน้าด้านเอ๊ย!

“เถียงเก่ง”

“พาไปหน่อยดิ” ไหนๆ ก็อุ้มแล้ว ส่งกูให้ถึงห้องน้ำด้วยเลยแล้วกัน

“พูดดีๆ”

“ดีๆ”

“อยากโดนฟัดอีกเหรอ”

“บีมอย่าลีลา อยากอาบน้ำแล้วเนี่ย”

“น้องมุ่ยอย่าขี้เขิน พูดก่อน”

“ฮ่วย!”

“เร็วสิ”

“...พี่บีม พาไปห้องน้ำหน่อย”


ฟอด!


“ชื่นใจ” แทบจะกลอกตามองบน ไอ้นี่มันหาแต่เรื่องหลอกจะแต๊ะอั๋งผมเท่านั้นแหละ มันน่าฟาดซักร้อยทีพันที

“เห้ยๆ ส่งแค่ตรงนี้พอ” ผมตีลงกับอกหนาเมื่อบีมทำท่าจะเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปทั้งๆ ที่ยังอุ้มผมอยู่

“เดี๋ยวส่งข้างใน”

“ไม่ต้อง! กูรู้นะว่าบีมคิดอะไรอยู่ หยุดเลย ไม่งั้นจะโดนทุบจริงๆ ด้วย” ผมดิ้นๆ อยู่ในอ้อมแขนจนบีมต้องวางผมลงเพราะกลัวผมเจ็บ เมื่อเท้าแตะพื้นก็เกือบจะทรุดลงจากอาการขาสั่นและไม่มีแรง บีมฉวยโอกาสกอดประคองเอวผมไว้แนบตัวแถมยังทำหน้าตากวนตีนล้อเลียนส่งมาให้อีก

“ไม่ไหวม้าง”

“ไหว! เมื่อกี๊แค่แกล้งเฉยๆ หรอก” ผมตีแขนหนาให้ปล่อย บีมก็ทำตามแต่ก็ยังช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง จนผมเริ่มยืนได้ขาไม่สั่นเหมือนเมื่อครู่แล้ว

“แกล้งเก่งจัง”

“เดี๊ยะบีม อย่ามาล้อ” ผมหันหลังเตรียมจะเดินเข้าห้องน้ำ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นเข้ามาทันทีที่ก้าวขาก็ทำให้ผมหยุดกึก พลางหันกลับไปสบตาคนที่กำลังมองผมอยู่เช่นกัน

“บีม”

“ว่าไง”

“มันเสียดๆ อะ” ถึงแม้ว่าบีมจะอ่อนโยนมากๆ แต่ก็ไม่พ้นความรู้สึกของครั้งแรกระหว่างเราที่ถึงแม้จะไม่เจ็บไม่แสบแต่มันก็รู้สึก

“จะทำอะไร!” ผมตวาดลั่นอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ บีมก็ถลกชายเสื้อผมขึ้นแล้วจับขอบกางเกงยางยืดหมายจะดึงลงแต่ผมไหวตัวทันรีบถอยกรูดเข้ามาในห้องน้ำแล้วใช้ประตูบังร่างกายตัวเองไว้ ยกนิ้วชี้หน้าบีมที่กำลังยืนยิ้มไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำเมื่อครู่แม้แต่น้อย

“จะดูว่ามันอักเสบหรือบวมรึเปล่า”

“ม..ไม่ต้องยุ่ง! ไอ้บ้า เอามือออกไปห่างๆ เลยนะ” ผมปัดมือใหญ่ที่ยื่นออกมาเป็นพัลวันให้ออกห่าง

“พี่จะดูให้”

“ไม่ต้อง! เดี๋ยวดูเอง ไป๊! ไปไหนก็ไปเลยนะ”

“จะเห็นเหรอ มันอยู่ข้างหลัง น้องมุ่ยต้องเอี้ยวตัว--”


ปัง!


“หึ”

ไอ้คนเหี้ยยยยยยยยยยยย







การอาบน้ำเป็นไปด้วยความทุลักทุเล ใช้เวลานานหน่อยแต่ก็สะอาดหมดจดทั้งตัว ผมแง้มประตูห้องน้ำแล้วชะโงกศีรษะออกมาดูลาดเลาแต่ก็ไม่เห็นบีมอยู่ในห้อง ผมจึงเดินออกมาในสภาพที่พันผ้าเช็ดตัวแค่ช่วงล่างแล้วรีบวิ่งไปล็อคประตูห้องนอนทันที กันบีมเปิดประตูมาเจอตอนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า

ผมเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วเลือกเสื้อยืดกางเกงบอลง่ายๆ มาใส่ ดีที่ทิ้งเสื้อผ้าตัวเองไว้ที่นี่อยู่บ้างจะได้ไม่ต้องขโมยบีมใส่อีก ใส่เสื้อมันเหมือนผมใส่เสื้อหมีอะ กางเกงนี่อย่าให้พูดถึง ดึงขึ้นปุ้ปไหลลงมากองที่ขาปั้ป เอาง่ายๆ คือต้องเอาหนังยางมารัดไว้ถึงจะใส่ได้ แม่งลำบากชิบ


ครืด


เสียงสั่นแจ้งเตือนในโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเลยหยิบขึ้นมาดู ก็ปรากฎว่าเป็นแจ้งเตือนล่วงหน้าที่ผมตั้งไว้เมื่อไรก็ไม่รู้


‘อีก 6 วันถึงวันเกิดบีม’


ชิบหาย

วันเกิดบีมวันศุกร์หน้านี่หว่า


ผมเกือบลืมไปเลยว่าจะทำอันนั้นให้บีมอะ แม่งเอ๊ย! อุตส่าห์วางแผนในหัวมาตั้งนานยังไม่ได้ไปขอยืมกล้องจากพี่นายเลย งานหยาบแล้วกู ไม่รู้ว่าพี่นายจะหนีเที่ยวไปไหนรึยังอีกด้วย

ผมเลื่อนหาคอนแทคพี่นายในโทรศัพท์แล้วกดโทรหาทันทีอย่างร้อนใจ อยู่เมืองไทยก่อนนะพี่นาย อย่าเพิ่งไปไหนเลยกูขอร้องล่ะ

(ว่า)

เชี่ย! รับแล้ว ปกติคือไม่ตัดสายทิ้งก็ไม่รับอะครับ แม่งปวดใจสัดๆ

“พี่นาย เค้ายืมกล้องโพลารอยด์หน่อย” ผมเข้าเรื่องทันทีอย่างไม่รีรอ ไม่ได้เลยครับ ถ้ามัวแต่อ้อมไปอ้อมมาพี่นายแม่งตัดสายทิ้งแน่นอน

(เอาไปทำอะไร) มีเสียงแทรกถามว่าใครดังเข้ามาในสาย น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้ผมทายถูกได้โดยไม่ต้องเดาเลยว่าคนนั้นคือเฮียครามคนเลวแน่นอน ตัวติดกันจังเลยนะเวลาผมไม่อยู่เนี่ย น้อยใจว่ะ

“จะเซอไพรส์บีมๆ”

(โอ้โห)

“เค้าไม่มีตังถอยกล้องโพลารอยด์แล้ว ซื้อกล้องฟิล์มมาตัวนึงเค้าหมดตูดแล้วเนี่ย” ผมทำน้ำเสียงให้น่าสงสารมากที่สุดเพื่อให้พี่นายใจอ่อน

(กับกูกับครามกับน้องใสเคยคิดจะทำบ้างไหม น้ำตาจะไหลเลยว่ะ เห็นผัวดีกว่าพี่)

“พูดไม่ดีตีปาก! ผ..ผัวเผออะไร หยาบคาย!” ประชดประชันกันจนใจเจ็บแถมยังพูดอะไรไม่รู้ออกมาอีก พี่นายแม่ง!

(ครามอย่าเพิ่งมายุ่ง...กูพูดเรื่องจริง อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ)

“อะไร! ม...เมื่อคืนก็แค่นอนจับมือกันเฉยๆ! ไม่ได้ทำอะไรเลย!” ทำไมพี่นายพูดเหมือนรู้อะไรเลยอะครับ!

(เมื่อคืน?)

“นอนจับมือ!” ผมย้ำอีกครั้ง กลัวว่าพี่มันจะไม่เชื่อ

(เคๆ)

“อือ นั่นแหละ” โล่ง ดีนะที่พี่นายเชื่อ ไม่ได้เอะใจอะไรมากมายจากคำพูดของผม

(เฮ้อ ประโยคที่ว่าเลี้ยงได้แค่ตัวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง) เสียงถอนหายใจยืดยาวอย่างคนปลงใจดังเข้ามาในสายกับคำพูดที่เหมือนกับรู้ทุกอย่างนั่นเล่นเอาผมนั่งเหงื่อแตกทั้งที่อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ เอ๊ะ หรือพี่มันจะรู้วะ?

“เค้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย พี่นายอย่ามามั่ว”

(มาเอาที่บ้านมึงพรุ่งนี้ละกัน เย็นๆ กูจะแวะเข้ามาให้) จบประโยคก็มีเสียงขลุกขลักกับเสียงก่นด่าของพี่นายแว่วเข้ามา และยังไม่ทันจะกดวางสายได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยขึ้นมาซะก่อน

(ไอ้หมามุ่ย! บ้านเบิ้นไม่กลับ พี่เพ่อน้องเนิ้งไม่เห็นฮงเห็นหัวกันแล้วใช่ไหม) ใช้คำฟุ่มเฟือยเยอะอะไรขนาดนั้นอะพี่กู

“บ่นๆ”

(ใช่ซี้ เฮียมันหมาหัวเน่า พอมีแฟนก็เฉดหัวเฮียทิ้ง แม่งเอ๊ย พูดแล้วน้ำตากูจะไหล) เสียงฮึกๆ ดังให้ได้ยินเป็นจังหวะ ทำเหมือนร้องไห้จริงๆ จนผมต้อกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย เชื่อก็ควายแล้ว

“เฮียอย่ามา เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าไปแล้วเนี่ย”

(กับเฮียขึ้นเสียงใส่ น้ำตาเฮียไหลถึงตีนแล้วนะ อยากให้รู้)

“ไม่ต้องมาทำเป็นงอน อาทิตย์ที่แล้วใครมันทิ้งน้องไปญี่ปุ่นกับพี่นายสองคนวะ ถ้าไม่ติดว่ามีนัดคนไข้แม่งคงไปไม่กลับแล้วอะ สร้างบ้านอยู่ที่นั่นแล้วมั้ง” ถึงตาผมฉอดกลับมั่ง ผมมารู้อีกทีก็ตอนที่เฮียอัพสตอรี่ไอจีว่าอยู่ญี่ปุ่นกับพี่นาย เรื่องนี้ยังไม่ได้สะสางเลยนะ

(เฮียรักมุ่ยเสมอมา)

“ไม่รักโว้ย! ทำมาโมโหกลบเกลื่อน ถ้ากลับบ้านไปไม่มีของฝากนะ คราวนี้จะให้พี่นายหนีไปไกลๆ เลย”

(เฮียรักมุ่ยที่สุด ของฝากเต็มกระเป๋าอยากให้น้องได้เห็น)

(นายเถอะที่ซื้อ ครามมัวแต่ซื้อของตัวเอง โมเดลวันพีซเต็มตู้เลยมุ่ย)

“นั่นไง! คำว่ารักน้องมันไม่มีอยู่จริง!” จบประโยคก็ตามมาด้วยเสียงเฮียที่งอแงกับพี่นายแล้วสายก็ตัดไปซะงั้น ถ้าของฝากผมไม่ถึงครึ่งของเฮียนะ พรุ่งนี้รอโดนถล่มได้เลยคอยดู ฮึ่ม

“น้องมุ่ย” เสียงเรียกพร้อมเสียงเคาะดังขึ้นหน้าประตูห้อง จึงนึกขึ้นมาได้ว่าล็อคไว้นี่หว่า ผมรีบวิ่งไปปลดล็อคแล้วเปิดประตูทันทีพร้อมรอยยิ้มแฉ่งให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ล็อคห้องทำไม” พอเปิดประตูออกมาก็เจอบีมยืนทำหน้าสงสัยอยู่ ภายใต้รอยยิ้มคือผมแอบเลิ่กลั่กอยู่ ทำหน้าปกติเดี๋ยวบีมก็จับได้มันก็จะไม่ใช่เซอไพรส์น่ะสิครับ

“ก็แต่งตัวอะ” ผมดันตัวบีมที่ขวางทางอยู่ออกแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่มีจานผัดไทกุ้งสดวางอยู่สองจานพร้อมส่งกลิ่นหอมยั่วให้น้ำลายไหลอยู่ตรงหน้า

“เมื่อกี๊ได้ยินเสียงคุย” บีมนั่งลงตามแต่ยังไม่หยุดถาม ในขณะที่ผมจ้วงเส้นผัดไทเข้าปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮือ อร่อยน้ำตาแทบไหล

“เฮียโทรมาไง”

“ท่าทางมีพิรุธ” บีมวางศอกลงกับโต๊ะแล้วเท้าคางมองผมตาไม่กระพริบ นี่คนรึผีวะ เซนส์มึงจะแรงไปไหนครับเนี่ย

“อะไรบีม คิดไปเอ๊ง” หลบสายตาอย่างแนบเนียนโดยการก้มนับกุ้งในจานตัวเอง ของผมมีสามตัวในขณะที่จานของบีม เห้ย ทำไมมีตั้งสี่ตัว ขี้โกงว่ะ

“เหอะๆ” บีมใช้ตาคู่คมจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ เหมือนพยายามจะกดดันให้ผมคายความลับออกมาให้ได้ เฮอะ! เสียใจด้วยนะบีม เฮียมุ่ยน่ะคือคนที่เก็บความลับเก่งที่สุดในโลกแล้วโว้ย ไม่มีทางที่คำว่าเซอร์ไพรส์วันเกิดจะหลุดออกจากปากก่อนถึงวันนั้นแน่นอน

“มองทำไมนักหนาเล่า กินข้าวดิ”

“ไม่ใช่กำลังคิดอะไรแผลงๆ ในหัวนะน้องมุ่ย”

“อะไรของบีม”

“ยิ้มแบบนี้ทีไรล่ะเป็นเรื่องตลอด กูไม่ไว้ใจเลยว่ะ ไม่ได้กำลังคิดแกล้งใครอยู่ใช่ไหมมึงอะ”

“พูดมาก ขโมยกุ้งแม่ง” ผมใช้โอกาสที่บีมกำลังพูดยกส้อมขึ้นแล้วพุ่งเข้าหาจานผัดไทของบีมพร้อมจิ้มกุ้งสีส้มตัวโตพลางเอามาวางในจานตัวเองทันที อา ครบแล้วสี่ตัว

“เปลี่ยนเรื่องเก่ง” บีมตักกุ้งในจานตัวเองแล้วเอามาวางบนจานของผมให้อีกตัว ไม่วายโดนขยี้ผมจนยุ่งเหยิงต้องมานั่งรวบใหม่ ซึ่งในที่สุดบีมก็เลิกซักไซร้ผมต่อแล้วตักผัดไทคำแรกเข้าปาก ผมจึงได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ หึๆ สำเร็จ ต่อให้บีมสงสัยบีมก็ได้แค่สงสัยต่อไปนั่นแหละ อย่ามาหลอกถามกันซะให้ยากเล้ย

“บีมทำไมชอบจับผิด อะๆ บอกก็ได้ พรุ่งนี้เฮียให้กลับบ้าน” ผมเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่อง

“แค่นี้?”

“ใช่”

“จริงดิ”

“จะเอาอะไรอีกอะ อ่อ บีมไปส่งด้วย” ขี้เกียจกลับหอก่อนอะ อีกอย่างบีมก็เคยเจอเหล่าพี่น้องของผมมาแล้วไม่น่าจะอะไรมาก มั้ง

“น้องมึงจะไปกี่โมง”

“เย็นๆ ซักสี่โมงก็ได้ บีมมีทำงานเหรอพรุ่งนี้” ผมถาม

“มีเรียนประมาณสิบโมงถึงบ่ายสองกว่าๆ เออ พรุ่งนี้ไอ้บูก็กลับมาแล้วนะ” เยี่ยมที่สุด ชวนไอ้น้องบูไปซื้อฟิล์มโพลารอยด์ดีกว่า

“จริงดิ งั้นพรุ่งนี้กูออกไปเล่นกับน้องมันนะ ส่วนบีมจะไปไหนก็ไปเลย ชิ่วๆ” หลังจากนั้นเราสองคนก็นั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย พอทานข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานอนเอื่อยดูหนังบนโซฟากับบีมจนผ่านไปไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง สิ่งเดียวที่รู้คือหมอนที่ชื่อบีมเนี่ยทั้งนุ่มและอุ่นที่สุดเลย





ในวันรุ่งขึ้นบีมที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยตอนไหนไม่รู้ จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาเขย่าตัวเพื่อปลุกให้ผมตื่น ไม่วายยังฉวยโอกาสลวนลามผมที่ยังงัวเงียไม่ตื่นดีโดยการหอมแก้มและฟัดทั่วหน้าจนมีแต่น้ำลายหมาบีมเต็มไปหมด อี๋ ไอ้คนซกมก

กว่าบีมจะพอใจเล่นเอาหน้าแทบยุ่ย ผมไล่เตะบีมให้ออกจากห้องแล้วก็เดินสโลเสลเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จจากนั้นก็เดินออกจากห้องมาเจอไอ้น้องบูนั่งกินข้าวอยู่หน้าทีวีพอดี น้องมันโบกมือทักทายแล้วตักข้าวเข้าปากคำโต ผมนึกขึ้นมาได้ว่าจะชวนน้องมันออกไปข้างนอกเลยเอ่ยชวนทันที ไอ้ตัวดีก็ตอบตกลงโดยไม่อิดออดและอาสาจะขับรถให้ด้วย ให้มันได้อย่างนี้สิวะน้องรักของเฮีย

ซึ่งก่อนบีมจะออกจากห้องเจ้าตัวพูดทิ้งท้ายว่าจะกลับมารับที่ห้องตอนบ่ายสามครึ่งแล้วก็กำชับผมเสียงเข้มว่าอย่าพากันไปหาเรื่องที่ไหนอีกเด็ดขาด

“ดูแลเฮียมึงด้วยบู”

“ไว้ใจได้”

“เกินไปเหอะ กูเคยหาเรื่องใครก่อนบ้าง ถามหน่อย มีแต่เรื่องมาหากูทั้งนั้น”

“เห็นท่าไม่ดีแล้วโทรมาหาพี่” บีมไม่มองหน้าผมแต่หันไปสั่งน้องตัวเอง เล่นเอาคิ้วกูกระตุกจึกๆ เลย มึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะเนี่ย

ช่วงสายรวบจนถึงบ่ายของวันผมได้ฟิล์มโพลารอยด์กลับมาจนจุใจ ไม่นับฟิล์มม้วนหลากชนิดอื่นๆ อีกต่างหาก ผมเล่าแผนการให้น้องมันฟังพร้อมกำชับให้เก็บเป็นความลับที่สุดของที่สุด อย่าปริปากบอกพี่มึงเด็ดขาด ไม่งั้นโดนผมเตะตูดแน่

และการที่จะให้น้องมันปิดเรื่องเซอไพรส์วันเกิดให้มิด ผมเลยต้องแปลงร่างเป็นอาเสี่ยสายเปย์สักหน่อย ด้วยการซื้อสีน้ำจากร้านขายอุปกรณ์ศิลปะให้น้องบูไปหนึ่งเซ็ตจุกๆ น้ำตาแทบไหล เรียกกูว่าท่านเฮียมุ่ยซะเถอะไอ้น้อง

ไม่เป็นไรครับ ถึงแม้ค่าขนมเดือนนี้จะร่อยหรอทั้งที่ยังไม่ถึงกลางเดือนแต่ผมยังมีเฮียคราม บีม และเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคนให้เกาะแดก แค่นี้ผมก็สบายใจแล้วครับ

ตอนนี้ผมนั่งเคี้ยวเยลลี่อยู่ในรถโดยที่บีมเป็นคนขับ ระหว่างทางก็แวะซื้อขนมของกินเล่นมาด้วย กะว่าจะเอามาฝากเฮียกับน้องแต่คงจะไม่ถึงอะ อยู่ในท้องผมหมดแล้ว ฮ่าๆ

รถคันสีดำเคลื่อนตัวมาจอดสนิทหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่อันคุ้นเคย ผมมองผ่านรั้วบ้านเข้าไปก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับรถยนต์สองคันที่จอดอยู่ ณ ลานจอดรถของบ้าน คันหนึ่งของเฮียครามอันนี้จำได้แม่น แต่อีกคันทั้งสีและทะเบียนไม่คุ้นเลย จะว่าของพี่นายรายนั้นก็น่าจะแว้นมอ’ ไซด์มา สรุปรถใครวะ

“บีม มีรถใครไม่รู้มาจอดในบ้านด้วย”

“เพื่อนเฮียรึเปล่า”

“ไม่รู้อะ ดีนะยังมีที่เหลือให้จอด เบียดๆ หน่อยนะบีม เดี๋ยวกูลงไปเปิดประตูรั้วแป้ป” ผมเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้ววิ่งอ้อมไปดันรั้วบ้านให้เปิดออกจนกว้างพอที่บีมจะขับเข้ามาได้ผมก็เลื่อนประตูรั้วปิดกลับไปเหมือนเดิม

บีมดับเครื่องเสร็จเรียบร้อยแต่ยังไม่ทันจะลงรถ เสียงเรียกที่คุ้นหูก็ดังขึ้นหน้าประตูบ้านทำให้ขนในร่างกายลุกชันโดยอัตโนมัติ

ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


“น้องมุ่ย”

“เย้ย! อ..อาม๊า”

“กลับมาได้ซักทีไอ้ตัวดี”

“อ..อาเตีย”

ผมยืนช็อคอยู่ตรงนั้น ตาเบิกกว้างจนแทบถลนที่เห็นเตียกับม๊ายืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่หน้าบ้านโดยมีเฮียคราม เจ้าใส และพี่นายยืนขนาบข้างทั้งสองฝั่ง สรุปรถคันไม่คุ้นตานั่นคือของเตียกับม๊าเหรอ!?

ชิบหายแล้ว

“ม...แหม๊ พร้อมหน้าพร้อมตาเชียวบ้านนี้ ฮะๆ” ผมยกยิ้มราวกับดีใจอย่างถึงที่สุดพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าลวกๆ รีบก้าวเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วแล้วสวมกอดหม่าม๊าที่รักก่อนคนแรก

“ใครว่าจะลงไปหาม๊าเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน” ม๊าพูดเสียงเรียบนิ่งแต่ก็ยอมกอดตอบทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย จึงผละออกมาหอมแก้มนิ่มทั้งสองข้างดังฟอดอย่างเอาใจ แล้วเอ่ยตอบกลับไปเสียงหงอยๆ

“มุ่ยไม่ว่างเลยม๊า มุ่ยยุ๊งยุ่ง งานเยอะมากจนจะทับน้องตายอยู่แล้วอะ” ด้วยความเป็นผู้หญิงใจดีของม๊าจึงทำนิ่งขรึมได้ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมา สองมือมุ่งตรงเข้ามาหยิกแก้มใสให้ยืดออกอย่างมันเขี้ยวในตัวลูกชายคนนี้

“เชื่อดีไหมเนี่ยเราน่ะ”

“เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใคร ฉันนี้แหละห่วงใย รักแท้และแน่จริง” ผมแกล้งร้องเพลงหยอกทำสาวสวยตรงหน้าหัวเราะเบาๆ

“กะล่อนจริงๆ” ผมสวมกอดแน่นๆ อีกครั้งแล้วผละออกมาหาชายชาตรีอันดับหนึ่งในดวงใจของผมอีกคน

“คิดถึงเตียเหมือนกัน” ผมโผเข้ากอดทันทีไม่รอให้เตียพูดอะไรทั้งนั้นพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเข้าให้อย่างเต็มฟอด

“ตัวดี ไม่ต้องมาอ้อน หึ” เตียสูงพอๆ กับเฮียคราม การที่อายุเยอะขึ้นไม่เคยทำลายความหล่อของผู้ชายคนนี้ได้ หน้าตาเหมือนผมอย่างกับแกะ! ให้ตายสิ ผมนี่มันหล่อได้พ่อจริงๆ

“อย่างอนน่า เตียต้องดีใจสิ การเรียนมหา’ ลัยของมุ่ยเป็นไปอย่างราบรื่นเลยนะ ไม่มีปัญหาสักกะแอะเดียว” ผมโม้เสียงดังอย่างภาคภูมิใจ หึๆ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ติดสินบนเจ้าใสไว้เยอะ เรื่องเลยไม่เคยถึงหูของเตียกับม๊า รอดตัวแล้วกู

“ไม่มี หรือเตียกับม๊าไม่รู้กันแน่ ฮึ”

“ไม่มี๊!”

“แล้วนั่นเพื่อนเรามาส่งหรือ ไม่เรียกเขาเข้ามาด้วยล่ะ ให้เพื่อนยืนรอได้ยังไงเด็กคนนี้” ม๊าถามพลางชะเง้อมองไปยังรถของบีม ผมจึงหันขวับกลับไปทันทีเมื่อเพิ่งนึกได้ ก็เห็นบีมยืนรออยู่ที่รถพลางส่งยิ้มมาให้


ชิบหายแล้วกู

บ้านถล่มแน่


“ใช่เพื่อนเร้อ”

“เฮียห้ามพูด!” ผมเอื้อมมือฟาดแขนเฮียครามดังเพียะโทษฐานที่พูดอะไรไม่รู้ออกมา แต่ด้วยความเป็นเฮีย สำนึกน่ะมีที่ไหน ยังลอยหน้าลอยตาพูดออกมาเฉย

“เฮียพูดได้ ไม่มีใครมาอุดปากไว้สักหน่อย อิอิ”

“อ้าว ไม่ใช่เพื่อนเราเรอะ” เตียถามอย่างสงสัย พอผมจะหันไปปฏิเสธ ม๊าก็อุทานออกมาก่อน

“หรือว่าเด็กคนนั้นคือพี่บีม พี่บีมใช่ไหมคะน้องนาย” ม๊าหันไปถามคนที่รู้เรื่องที่สุดในบ้านนี้ และคำตอบของพี่นายก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง

“ใช่ครับ”

ยกเว้นผม แง!

“น้องมุ่ย!” สองเสียงของสองบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านร้องเรียกประสานกัน ผมหลับตาปี๋เตรียมตัวโดนด่า ปากก็เอ่ยคำขอโทษเสียงดัง

“อย่าด่าน้อง น้องขอโทษ!” ม๊าไม่อยู่รอฟัง กลับรีบเดินเข้าไปหาบีมแล้วร้องเรียกเสียงหวานยิ่งกว่าชื่อลูกตัวเอง

“พี่บีมลูก” บีมยกมือไหว้อย่างสวยงามพร้อมรอยยิ้มอันแสนหล่อเหลาประจำตัว แล้วประคองม๊าที่จูงมือพาบีมเดินเข้ามาหาพวกเรา

“สวัสดีครับคุณน้า คุณอา”

“มาคุณนงคุณน้าอะไรกัน เรียกม๊ากับเตียนะลูกนะ” ม๊ายิ้มใจดีก่อนจะสวมกอดหลวมๆ แล้วจึงผละออกมาทำหน้าเศร้า ทำเอาผมเป็นงง ม๊าเป็นอะไรอะ เกิดอะไรขึ้น?

“ม๊าเห็นใจพี่บีม เหนื่อยมากไหมลูก” คนสวยของผมยืนลูบผมบีมแล้วทำหน้าเศร้าอย่างเห็นใจ บีมมองมาที่ผมแล้วส่งสายตาถามนี่คืออะไร ผมส่ายหน้ายึกยักอย่างไม่รู้เหมือนกัน

“ม๊า?” ผมแตะแขนม๊ากำลังจะเอ่ยแต่ไม่ทันคนตรงหน้าซะก่อน

“กับน้องมุ่ยเขาน่ะ เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าดื้อมากๆ ม๊าอนุญาตให้ดุได้เลยนะคะ”

“ม๊า! อะไรเนี่ย” เหวอเลยกู อยู่ๆ มาหาว่าผมดื้อได้ไงเนี่ยครับ คนดีกว่าผมก็นายกแล้ว

“ไม่ต้องพูดเลยเรา ทำพี่เขาเหนื่อยมากี่ครั้งแล้วอย่าคิดว่าม๊าไม่รู้นะ”

“ผมไม่เหนื่อยเลยครับ น้องมุ่ยน่ารักมาก”

“น่ารักกับผีน่ะสิเด็กคนนี้น่ะ”

“เตีย!” ผมหันไปแหวสุดหล่อที่ยืนข้างๆ กัน ทำหน้ามุ่ยบึนปากอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็โดนเขกหัวเข้าให้ดังป้อก แล้วเตียก็เอื้อมมือตบบ่าบีมสองสามครั้งพลางแสดงสีหน้าไม่ต่างกันกับม๊าเล่นเอาผมนี่ชอกช้ำระกำใจ นี่ลูกนะ นี่ลูกเอง แงงง

“เฮ้อ ไม่รู้หลงมาชอบเด็กดื้ออย่างนี้ได้ยังไง”

“เตีย! เตียหวงมุ่ยหน่อย นี่มุ่ยลูกชายเตียเอง!”

“อาบีม ถ้ามันดื้อนักนะ ก็เลิกไปเลย” เตียอย่ามาแช่งกันนะ!

“ไม่เลิก!” ผมตะโกนเสียงดัง เดินเข้าไปยืนข้างบีมแล้วคว้ามือใหญ่เข้ามาจับประสานแล้วชูขึ้นให้ทุกคนดู

“อะไร เตียไม่ได้คุยกับเรา”

“ไม่ให้เลิกหรอก ห้าม!” บีมบีบมือผมกลับราวกับจะบอกว่าให้ใจเย็นๆ ไม่เย็นมันแล้วโว๊ย!

“แล้วเป็นอะไรกันถึงไปห้ามเขาน่ะ หือ”

“คนนี้ชื่อบีม บีมเป็นแฟนมุ่ย!”

“...”

“แฟนมุ่ยเอง เราคบกัน บีมแฟนมุ่ย มุ่ยแฟนบีม!”

“...”

“อ้อ”


อะ อ้าว ไม่ตกใจกันหน่อยเหรอ


เป็นการตอบรับที่สั้นมาก ผมคิดไว้ในหัวว่าทั้งสองคนจะต้องตาถลนแน่นอน แต่นี่มันอะไร ใบหน้านิ่งเฉยกับคำตอบสั้นๆ นั่น ไม่ตกใจกันเลยเหรอครับเนี่ย

“เข้าบ้านกันดีกว่าครับทุกคน ไปนั่งคุยกันสบายๆ ในบ้านดีกว่า ตรงนี้มันร้อนนะ” พี่นายเอ่ยขัดขึ้นแล้วผายมือให้ทุกคนเข้าบ้านก่อนที่แสงแดดกำลังจะไล่มาถึงตัว

“...” ง่ายๆ อย่างนี้เลย?

“มาๆ เข้าบ้านกันลูก ม๊ามีเรื่องจะคุยกับพี่บีมเยอะแยะเลย” ม๊ากอดแขนบีมแล้วพากันเดินคุยกระหนุงกระหนิงเข้าบ้านเป็นคู่แรก ตามด้วยเสียงตะโกนเรียกของผมที่ไม่หันกลับมามองกันเลยสักคน

“ม๊าๆ น..น้องมุ่ยอยู่นี่ ม๊า เดี๋ยว ม๊า!”

“หมาหัวเน่าโว๊ย! หมาหัวน่าวววว” นี่ไง มันมีตัวเสี้ยมอยู่นี่ไง!

“ไอ้เฮีย!”

“ว้าก! อย่ามากัดเฮียนะเว้ย! นายช่วยด้วย!”





หลังจากนั่งถามไถ่กันสักพัก ฟ้าใสก็ขอตัวไปทำกับข้าวโดยมีพี่นายเข้าไปช่วยด้วยอีกแรง ผมยังนั่งหน้าสลอนคอยเถียงเวลาที่ม๊ากับเฮียครามแฉวีรกรรมของผมตอนเด็กๆ ผลสุดท้ายก็โดนม๊าไล่มาสับหมูอยู่ในครัว ห่วงบีมก็ห่วง เขายังงงอยู่เลยว่าทำไมปฏิกิริยาของทั้งคู่ถึงได้นิ่งขนาดนั้น ต้องพูดตรงๆ ว่าการที่ผมมีแฟนก็ว่าช็อคแล้ว นี่ยังเป็นบีมที่เป็นผู้ชายอีก

โอเคที่เฮียก็มีพี่นาย แต่วันที่เฮียครามกับพี่นายมาหาที่บ้านแล้วบอกกับเตียและม๊าว่ากำลังคบกันอยู่ วันนั้นบ้านแตกแค่ไหนผมยังจำได้ไม่ลืม

อิหยังวะ?

“สับนิ้วตัวเข้าไปด้วยสิ เหม่อขนาดนั้น” ใสทัก ผมถึงได้หลุดออกจากภวังค์ ก็เห็นว่าหมูที่ผมกำลังสับนั้นละเอียดอยู่ข้างเดียวอีกข้างยังเป็นหมูชิ้นอยู่เลย

“ใส ใสไม่เข้าใจเฮีย” ผมลงแรงสับๆ แล้วตัดพ้อน้องตัวเองไปด้วย ปากคอเราะร้ายเหมือนพี่นายเข้าไปทุกวัน น้องสาวคนดีของเฮียไปอยู่ที่ไหนแล้ว ฮืออ

“มีใครเข้าใจเฮียมั่ง อ่อ มีเฮียบีม”

“เอ๊ะ? หรือว่าเตียกับม๊ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเฮียคบกับบีมวะ” ผมฉุกคิดขึ้นมาได้แล้วหันไปถามใสที่กำลังชิมน้ำแกงในหม้อ

“รู้ตั้งนานแล้วเหอะ”

“เห้ย ใครบอก” ผมหยุดสับแล้วหันมาถามอย่างตกใจ

“เฮียครามดิ”

“หนอย!” กำหมัดแล้วกู กำหมัดแล้ว!

“กูด้วย” พี่นายหันมาตอบผมอีกคนแล้วจับปลานิลตัวใหญ่ลงทอดจนได้ยินเสียงน้ำมันโดนน้ำดังฉ่า

“พี่นาย!”

“เตียกับม๊าเขาถาม กูก็ต้องบอกไหม”

“เนี่ย อย่าบอกนะว่าวันนี้ก็หลอกให้มาเจอกันอะ”

พี่นายยกยิ้มมุมปากแต่ไม่พูดอะไร ทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่ากูโดนหลอกอีกแล้ว โว๊ยยยย

“เขา รับได้กันไหม ในตอนแรก”

“ก็อึ้งนะ แล้วหลบไปคุยกันสองคน จากนั้นก็ให้กูกับครามคอยดูให้” พี่นายยืนทิ้งสะโพกพิงกับเคาเตอร์ครัวพลางแกะเปลือกกระเทียมไปด้วย

“ไม่มีโกรธเลยเหรอ”

“ไม่รู้สิ แต่คงจะโกรธแน่ๆ ถ้าไม่ยอมพามาเจอสักที” ผมนิ่งให้กับคำตอบ แล้วหันมาสับหมูอีกครั้ง เห็นผมแบบนี้ผมก็กลัวนะ กลัวว่าความรักของผมกับบีมจะไม่ได้ไปต่อ ถึงไม่กล้าพามาเจอกันสักที ผมคงทำใจไม่ได้แน่ๆ ถ้าทั้งสองคนสั่งให้เลิก แน่นอนว่าผมคงดื้อที่จะยังคบกับบีมแต่เตียกับม๊าก็จะเสียใจเช่นกัน

ผมไม่ท้ออยู่แล้วถ้าวันหนึ่งจะต้องพิสูจน์ความรักให้เตียกับม๊าเห็น แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วเขาไม่ยอมเลยล่ะ ผมจะทำยังไง ยังคิดไม่ออกเลย

“อย่าคิดมาก เขาคงเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมาตั้งแต่ตอนกูกับเฮียมึงแล้ว”

“ฮือ”

“ไม่ต้องมาเบะ กับตัวเองกูยังสู้ไม่ถอย กับน้องโง่อย่างมึงกูก็ต้องสู้ให้หน่อยสิวะ”

“รักพี่นาย”

“ไม่ต้องมากอด อี๋ น้ำลาย! แม่งเอ๊ย” ผมโผเข้ากอดพี่นายอย่างแรงจนเซด้วยกันทั้งคู่ โดนด่าเช็ดเพราะเกือบชนเข้ากับกระทะ ผมเขย่งตัวหอมแก้มพี่มันสองข้างแล้วกอดแน่นๆ อีกทีก่อนจะผละออกมาแล้ววิ่งไปกอดฟ้าใสน้องรักอีกคน

“ใสว่ากับข้าวจะไม่เสร็จเพราะเฮียมุ่ยอะ”

“รักใสด้วย ฮือ”

“ง่ะ น้ำลายอะเฮีย”

“กูเอากล้องมาแล้ว อยู่ในห้องมึงอะ ไปเลือกดูเลย อยู่ตรงนี้เกะกะชิบ”

“หึ้ย เกือบลืมเลยอะ เดี๋ยวมานะ!” ผมตาลุกวาว ปล่อยมือจากการสับหมูมาล้างมือแล้ววิ่งออกจากครัวขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วโดยมีพี่นายตะโกนด่าตามหลังว่าห้ามวิ่งขึ้นบันได





มื้อเย็นของพวกเราผ่านไปได้ด้วยดี แต่ออกจะน่าหมั่นไส้นิดๆ ตรงที่ตอนนี้ผมคือหมาหัวเน่าตัวจริงเสียงจริง ส่วนบีมก็ขึ้นแท่นลูกรักของม๊าไปแล้ว ตักกับข้าวให้จนพูนไปหมด เฮอะ ก็แค่วันนี้วันเดียวแหละวะ

แต่ผมก็แอบดีใจนะที่ทุกคนดูชอบบีม ไม่เว้นแม้แต่กับเตียเองก็ดูชอบบีมมันเหมือนกัน ผมเห็นนั่งคุยเรื่องรถกันอย่างออกรสออกชาติ เฮ้อ โล่งเลยแฮะ

บีมต้องกลับไปนอนที่หอเพราะมีเรียนแต่เช้าในวันพรุ่งนี้เลยต้องกลับก่อนเพราะบ้านผมอยู่ไกลจากมหา’ ลัยค่อนข้างมาก ก่อนจะจากกันเตียกับม๊าก็ชวนให้ไปเที่ยวที่บ้านใหญ่ด้วย ผมก็ได้แต่ลอบยิ้มกึกๆ อยู่คนเดียว ทำไงดี ผมดีใจมากจนทนไม่ไหวแล้ว

“ขับรถกลับดีๆ นะลูก ถ้าง่วงก็จอดพักก่อน”

“ยังไม่สามทุ่มเลยม๊า”

“เอ๊ เด็กคนนี้ ก็ม๊าเป็นห่วงพี่เขา เราน่ะไม่ได้กลับไปด้วยยังจะมาขัดม๊าอีก” ผมทำปากขมุบขมิบล้อเลียนที่ม๊าพูด จนโดนพี่นายโบกเข้าให้ ความจริงแล้วก็จะกลับไปด้วยกันแหละครับแต่บีมก็ปฏิเสธ อยากให้ผมอยู่กับครอบครัวนานๆ ม๊าเลยยิ่งรักมันเข้าไปอีก

มุ่ยยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ ม๊าบอกรักมุ่ยสักคำยังอะ แง

“กลับดีๆ ล่ะอาบีม ถ้าง่วงก็จอดพักอย่างที่ม๊าเขาบอก”

“ครับเตีย ผมไปแล้วนะครับม๊า”

“เดินทางปลอดภัยลูก” เป็นผมที่เดินออกมาส่งบีมคนเดียว ก่อนที่บีมจะเปิดประตูรถ คนตัวสูงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ผมกะจะถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า แต่ก็ต้องกลืนมันไปพร้อมกับอ้อมกอดแข็งแรงของคนตรงหน้าอย่างงุนงง

“หือ?” ผมยอมกอดตอบแต่โดยดี นานเกือบนาทีบีมถึงผละออก ใบหน้าหล่อมองมาที่ผมโดยไม่แม้แต่จะละสายตาไปที่อื่นและจ้องค้างอยู่อย่างนั้น

“รักน้องมุ่ยนะเนี่ย รู้ใช่ไหม”

“ก็รักเหมือนกันป้ะ จะขิงว่ารักมากกว่าเหรอ”

“กูสัญญากับเตียกับม๊าว่าจะดูแลน้องมึงอย่างดีที่สุด”

“ทุกวันนี้ก็ดีมากแล้วนะ มากกว่านั้นคือกระเตงกูแบบเบบี๋แล้วอะ” บีมกดจูบบางเบากับหน้าผากผม แต่เนิ่นนานราวกับบีมต้องการให้ผมสัมผัสถึงความรู้สึกทั้งหมดของเขาที่มีให้กับผมคนนี้

“รักว่ะ หมามุ่ยเอ๊ย”

“รักว่ะ หมาบีมเอ๊ย”

ผมเข้าใจความรักมาอีกนิดหนึ่งแล้ว วันๆ หนึ่งมันจะเท่าไรกันเชียวกับการที่มีคนที่เรารักและรักเราอยู่ข้างๆ มันเพียงพอซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แค่เรามองหน้าและยิ้มให้กันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำบอกรักหวานๆ อื่นใดออกมาหรือการกระทำที่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา สุดท้ายแล้วเราทั้งคู่ก็ยังเข้าใจความหมายและความรู้สึกที่มีให้กัน

ว่ามันคือเรื่องจริง และชัดเจนที่สุดในใจของเราสองคนแล้ว





**************************

น่ารักกันเรื่อยๆ

คิดถึงนักอ่านทุกคนนะคะ

ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีสำหรับทุกคน เป็นวันแห่งความรักที่ได้มอบให้กับคนที่เรารักและรักเรา

ใครที่ยังไม่เจอความชัดเจนหรือรอเวลานั้นมาถึง ขอให้อย่าลืมรีบแสดงความรักให้กันทันทีเลยนะ

อยู่เป็นเพื่อนน้องมุ่ยกับพี่บีมไปจนถึงตอนหน้าเลยนะคะ ตอนสุดท้ายแล้ว อีกนิดเดียววว

ขอบคุณที่ติดตามกัน

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 29

HAPPY BEAM DAY



คลิก!

เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว สองสามวันมานี้น้องมุ่ยเอาแต่ถ่ายรูปผมเป็นว่าเล่น เห็นว่าได้กล่องโพลารอยด์ตัวใหม่มาจากพี่นายเลยอยากลองเทสดู ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร บางครั้งก็หยิบมาถ่ายให้น้องบ้างหรือถ่ายคู่กันบ้าง

แต่ผ่านมาสองวันน้องยังตั้งกล้องมาทางผมอยู่และไม่มีวี่แววว่าจะเลิกแม้แต่น้อย ถ่ายไปบ่นไปอยู่นั่น ปากเล็กมุบมิบๆ พูดอยู่คนเดียว พอผมถามก็ตอบมาว่าไม่มีอะไร ‘เรื่องของคนเล่นกล้อง บีมไม่เข้าใจหรอก’ พูดแค่นั่นแล้วก็ทำหน้ามุ่ยสมชื่อจากนั้นก็พึมพำกับตัวเองต่อ

“ล้างรูปออกมาคงเต็มห้อง” ผมเปรยขึ้นแล้วเดินมานั่งที่โซฟาข้างน้องแล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักนุ่มที่เจ้าของก็ยังคงง่วนอยู่กับกล้องฟิล์ม บนโต๊ะกระจกเกลื่อนไปด้วยฟิล์มหลากชนิดที่ผมก็ไม่รู้วิธีใช้งานของมันนอกจากน้องมุ่ยคนเดียว

“น่าจะมืด แสงไม่ค่อยพอ” นั่นไง บ่นอีกแล้ว

“ไปข้างนอกกันไหมล่ะ” ผมเอ่ยชวน

“หึ ไปไม่ได้ ตอนเย็นต้องไปทำบูธอีกแล้วเนี่ย เบื่ออะ” น้องทำหน้าเซ็งโลกแล้ววางกล้องลงกับโต๊ะ จากนั้นก็ดันตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งแล้วตัวเองก็ล้มตัวลงหนุนตักผมแทน สองแขนกอดเอวผมแน่นพร้อมกับที่ใบหน้าเล็กก็ซุกอยู่ที่หน้าท้อง ลมหายใจร้อนๆ ทำผมรู้สึกจักจี้จนต้องจับให้น้องมุ่ยนอนหงายแทน ก่อนอะไรๆ มันจะเลยเถิด

ช่วงนี้น้องมุ่ยต้องเข้าไปจัดบูธชมรมทุกวันยันดึกดื่น บางทีลืมกินข้าวจนผมต้องคอยเตือนอยู่ตลอด เจ้าตัวก็บ่นนะว่าไม่อยากทำ ขี้เกียจ อยากอยู่กับผมมากกว่า แต่จนแล้วจนรอดก็โดนเพื่อนลากไปอยู่ดี ผมเห็นแล้วก็ได้แต่เอ็นดู สภาพกลับมาแต่ละทีคืออาบน้ำเสร็จหัวถึงหมอนปุ้ปก็หลับปุ๋ยเลย

“อาทิตย์หน้าก็ว่างแล้ว อดทนหน่อยดิ”

“เหอะ”

ผมจุ้บเหม่งใสๆ หนึ่งทีเป็นการให้กำลังใจ มือพลางลูบผมนุ่มไปด้วยอย่างช้าๆ เส้นผมตรงที่อันเดอร์คัทเริ่มยาวขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าน้องมุ่ยไม่ได้สนใจมันหรืออยากจะปล่อยแล้วตัดทรงอื่น แต่จะทรงไหนผมก็ชอบหมดอยู่ดี

บวชมาเลยกูก็ชอบอะ

“แล้วนี้ถ่ายรูปกูไปตั้งเยอะจะเอาไปทำอะไร”

“ก็บอกแล้วว่าลองกล้อง”

“ลองมาสองวันยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

“อันนี้กล้องฟิล์มแล้วบีม โวะ บีมนี่ไม่รู้เรื่องเลย”

“มันเขี้ยวว่ะ” ผมก้มหน้าลงฟัดน้องจนได้ยินเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังลั่น เหมือนทุกอย่างที่กินจะไปกองอยู่ตรงแก้มหมด นุ่มนิ่มมากกว่าเดิมจนเหมือนกับแฮมสเตอร์ น่ารักสัด

“แล้วบีมก็ต้องไปทำบูธเหมือนกันไหมอะ” น้องคว้ามืออีกข้างของผมไปทาบแล้วก็จิ้มเล่นเพลินๆ เดี๋ยวก็สอดนิ้วตัวเองประกบกับมือของผม ดึงออกแล้วก็ประกบเข้าอีกที ไม่รู้ว่าชอบอะไรที่มือของผมนัก เวลาอยู่ด้วยกันก็ชอบเล่นแบบนี้ตลอดจนชิน วันไหนที่น้องไม่เล่นก็เป็นผมที่คว้ามือขาวนั่นมากุมไว้เองเหมือนกัน

“อืม กะว่าจะไปช่วยเด็กมันหน่อย” คณะผมก็มีจัดบูธไม่ต่างกัน แต่ตัวผมเองไม่ได้ลงแรงมากนัก ปล่อยให้ปีหนึ่งทำกันไป พวกผมก็จะคอยช่วยดูแลมากกว่า

“งั้นวันนี้กูนอนหอก็ได้ มึงจะได้ไม่ต้องเหนื่อยรับส่ง”

“อยากนอนกอดน้องมึง”

“กอดทุกวันจนตัวกูจะบี้เป็นเยลลี่บูดอยู่แล้ว มากกว่านี้ก็แดกกูเถอะนะ”

“เมื่อวานก็กินไปแล้ว”

“...”

“...”

“จะลุกแล้ว!”

“เขินๆ”

“ไม่ต้องมาล้อ!”

“ไหนดูหน้าหน่อย” ผมหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดเข้าไอจีเลื่อนหากล้องเพื่อจะอัพสตอรี่อันใหม่ โดยจ่อกล้องไปที่คนหน้าแดงที่ยกสองมือปิดหน้าส่ายศีรษะไปมาบนตัก

“ถ่ายอีกแล้ว! มึงจะอัพสตอรี่ให้เป็นจุดไข่ปลาเลยรึไงวะ ไอ้คนชั่ว!” เป็นเรื่องจริงที่อย่างที่น้องพูด วันไหนไม่ได้อัพเหมือนจะขาดใจ ก็น่ารักเองทำไมล่ะครับ ช่วยไม่ได้เลยนะเนี่ย

“น่ารักมาก” ผมพูดประโยคนี้ไปกี่คำแล้วนะ

“เกลียดคำว่าน่ารักจากปากบีมอะ” น้องมุ่ยฟาดลงกับแขนผมอย่างไม่เบามือ เล่นเอาจี๊ดเลย แต่ก็ชินเพราะโดนทุกวัน เขินทีไรลงไม้ลงมือตลอด

“ทำไม” ผมถาม

“ก็มันเหมือนกูน่ารักจริงๆ อะดิ โว๊ย! นี่คือเฮียมุ่ยคนเท่ บีมชอบทำนี่เสียภาพพจน์อะ” ความคิดที่ว่าตัวเองคือคนที่เท่ที่สุดในโลกนี่คงจะฝังลึกเอาไม่ออกแล้วล่ะผมว่า แล้วไอ้ท่าทางทำเป็นเท่ทำเป็นเก่งนี่ผมล่ะอย่างมันเขี้ยวเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งอยากแกล้ง

“น่ารัก”

“โว๊ย!”

“เคยฟังเพลงนี้ไหม แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร” ผมถามน้อง

“ไม่อะ”

“เดี๋ยวเปิดให้ฟัง”

“เพราะมากเลยเหรอ”

“ฟังแล้วนึกถึงน้องมุ่ย” ผมเปิดเพลงให้น้องมุ่ยฟัง เจ้าตัวนอนฟังไปขมวดคิ้วไป พอเพลงจบก็ถามผมทันทีด้วยความสงสัย

“เพลงมันดูไกลๆ อะ”

“บังเอิญได้ฟังตอนน้องมุ่ยหนีเที่ยว” พูดแค่นั้น จากหน้ายิ้มๆ ก็เปลี่ยนเป็นซึมลง มือบางขยับกุมมือผมแน่นเลย

“คิดถึงมากเลยเหรอตอนนั้น”

“ที่สุด”

“จะไม่ทำอีกแล้ว สาบานเลย” ผมก้มลงกดจูบหน้าผากสวยหนึ่งครั้งเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร แต่น้องก็ยังทำหน้าซึมอยู่ดี

“ไม่ปล่อยให้ทำหรอก ถ้าหนีอีกจะกินจนหนีไม่ได้เลย”

“บีม! ไอ้คนทะลึ่ง” ผมแหย่น้องไปเรื่อยๆ จนคนบนตักเริ่มตาปรือ หาวหวอดออกมาหลายครั้งผมจึงหยุดแกล้งแล้วค่อยๆ ลูบผมน้องอย่างเบามือแทน เวลาน้องมุ่ยง่วงนอนไม่ค่อยงอแงเหมือนตอนหิว ส่วนใหญ่จะบ่นออกมาคำสองคำให้รู้ว่า เออ อยากนอนแล้วนะ พอหันมาอีกทีก็คอพับหลับไปซะอย่างนั้น

“ง่วงแล้วบีม ห้าโมงครึ่งปลุกด้วยนะ” น้องมุ่ยสั่งเสร็จสรรพ คว้ามือข้างหนึ่งของผมไปกุมไว้ข้างแก้มเนียน ไม่ถึงห้านาทีก็หลับปุ๋ยไปเรียบร้อย

ผมนอนมองหน้าน้องไปเพลินๆ ในหัวพลันนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองวันก่อนที่ได้เจอกับครอบครัวน้องมุ่ยทั้งครอบครัว เตีย ม๊า เฮียคราม น้องมุ่ย น้องฟ้าใส และพี่นาย

ตัวน้องเคยเปรยกับผมว่าอยากพาไปเจอที่บ้านแต่ก็ยังไม่กล้า ซึ่งผมเข้าใจดีเลยไม่ได้เร่งรัดอะไรน้อง คิดกันไว้ว่าปิดเทอมเมื่อไรจะไปเยี่ยมทันที ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสภาพที่ผมไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรสักอย่าง ถือถุงขนมของน้องมุ่ยพะรุงพะรัง จะยกมือไหว้ก็ไม่ถนัดจึงได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น เห็นแบบนี้ผมก็ค่อนข้างเกร็งที่เจอหน้าเตียกับม๊าครั้งแรกอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้

ม๊าน้องมุ่ยน่ารักมากๆ เดินเข้ามาพาผมไปทำความรู้จักกับทุกคนอย่างใจดี ผมตกใจที่อยู่ๆ ทั้งเตียกับม๊าก็ทำหน้าเครียดแล้วเอ่ยขอโทษเรื่องน้องมุ่ย ทำผมเหวอไปชั่วขณะ สมองมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร และเหมือนกับว่าทั้งสองคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับน้องมุ่ยเป็นอย่างดีเพียงแต่รอให้น้องพูดออกมาเท่านั่น ซึ่งก็นั่นล่ะครับ โดนจี้เข้าหน่อยก็โพล่งออกมาหมด เชื่อเขาเลย

พอได้มาสังเกตดีๆ แล้ว หน้าเหมือนกันทั้งบ้านจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะดวงตาเรียวสวยนั่นแทบจะถอดแบบจากเตียกันมาทั้งสามพี่น้อง ยิ่งเฮียครามนี่เหมือนเตียมากจนน่าตกใจ

ม๊าเล่าวีรกรรมน้องมุ่ยตอนเด็กให้ผมฟังจนน้องโวยวายหาว่าโกหกเลยโดนไล่ให้ไปช่วยพี่นายในครัว เจ้าตัวทำหน้าบึ้งแล้วเดินปึงปังออกไปจนม๊าได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ และกล่าวขอโทษผมที่น้องทำตัวไม่น่ารัก ซึ่งผมไม่คิดว่าการที่น้องโดนไล่ให้ไปที่อื่นจะเป็นการไล่ที่จริงจังอะไร เพียงแต่ทั้งคู่น่าจะต้องการคุยกับผมแบบส่วนตัวมากกว่า ซึ่งมันก็จริง


‘น้องมุ่ยดื้อมากเลยเนอะพี่บีม’

‘ครับ’

‘ทำไมถึงมาชอบกันได้ล่ะลูก บอกตามตรงว่าม๊างงมาก’

‘เตียยังคิดว่าชีวิตนี้มันจะหาเมียได้รึเปล่า เฮ้อ’

‘อันที่จริงน้องมาจีบเพื่อนผมครับ’

‘หา!’

‘หยา~ เจ้าหมามุ่ยรู้จักคำว่าจีบด้วยเรอะ’

‘วุ่นวายเลยครับช่วงนั้น น้องซนมาก’

‘เข้าใจๆ มันพุ่งเข้าหาอย่างเดียวเลยล่ะสิ’ เตียถอนหายใจยาวพลางเอนหลังกับพนักพิง พลางจ้องมาที่ผมอย่างสงสัยใคร่รู้แต่ยังไม่พูดอะไร

‘เฮ้อ นิสัยเจ้าตัวเขานั่นล่ะ แก้ไม่หายหรอก’ ม๊าถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เพียงครู่เดียวก็หันมามองผมด้วยสายตาเดียวกันกับเตีย เสียวสันหลังวาบเลยผม

‘ม๊าขอพูดตรงๆ เลยนะคะ ว่าเราสองคนห่วงน้องมุ่ยมาก’ ม๊ากุมมือผมไว้หลวมๆ พลางมองมาด้วยสีหน้าจริงจัง

‘ครับ’

‘ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้มันยังยากที่จะเชื่อใจในตัวพี่บีมได้ เข้าใจใช่ไหมลูก’

‘ผมเข้าใจครับ’

‘น้องนายบอกให้เราอย่าคิดมากแต่ม๊าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ตามประสาคนเป็นพ่อเป็นแม่’

‘…’

‘น้องมุ่ยเป็นเด็กร่าเริง น้อยครั้งที่จะเศร้าหรือเสียใจ ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นและม๊าไม่อยากเห็นน้องร้องไห้อีกแล้ว’

‘…’

‘เจ้ามุ่ยน่ะ ใครก็อยากเข้าหาด้วยนิสัยประหลาดของเจ้าตัวเขา แต่ความจริงแล้วมันก็เด็กวัยรุ่นทั่วไปนั่นล่ะนะ เตียถามเอ็งตรงๆ ชอบลูกเตียจริงรึเปล่า’ ผมรับฟังทั้งคู่อย่างเงียบๆ และค่อยๆ เรียบเรียงคำตอบในหัวเพื่อที่จะตอบกับพวกเขาในสิ่งที่ผมรู้สึกกับน้องจากหัวใจจริงๆ

‘ผมไม่คิดว่าเราทั้งคู่จะมาลงเอยกันแบบนี้ ในตอนแรกผมไม่ได้รู้สึกว่าชอบน้องเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร’ ทั้งคู่นั่งฟังคำตอบของผมอย่างตั้งใจโดยไม่แทรกอะไรเช่นกัน

‘…’

‘ต่อมาผมก็เอ็นดูกับนิสัยของน้อง จริงอย่างที่เตียกับม๊าบอกว่านิสัยประหลาดของเขาทำให้ใครหลายๆ คนสนใจ ซึ่งตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งดื้อทั้งซนเล่นเอาผมปวดหัวอยู่เหมือนกัน’

‘…’

‘น้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงสำคัญของชีวิตผมหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ทำให้ผมค่อยๆ รู้จักกับตัวตนของน้องมากขึ้น ซึ่งความคิดของเราสองคนต่างกันอย่างชัดเจน แต่แปลกที่ผมเข้าใจในสิ่งที่น้องจะสื่อออกมาได้เกือบทั้งหมด และน้องก็ยอมรับฟังผมเช่นกัน’

‘…’

‘ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไร รู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกว่าผมต้องมีน้องมุ่ย ผมต้องมีเขา และอยากมีน้องอยู่ทุกช่วงเวลาของตัวเองไปตลอด’

‘…’

‘ผมบอกเตียกับม๊าไม่ได้ว่าในอีกสิบปียี่สิบปีผมกับน้องเราจะยังเหมือนเดิมไหม แต่ตอนนี้ผมสามารถบอกได้แค่ว่าผมพร้อมที่จะดูแลน้องและรักเขาไปเรื่อยๆ อยากมีเขาอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต’

‘…’

‘ผมรักน้องมุ่ยครับ’

ช่วงเวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย ได้แต่พูดมันออกไปอย่างที่รู้สึกและไม่รู้ว่านั่นคือคำตอบที่เพียงพอแล้วหรือยังกับการที่จะรักน้องมุ่ย กับการที่ผมจะรับช่วงต่อจากครอบครัวเขาเพื่อดูแลน้องอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เนิ่นนานกับการรอคอยคำตอบซึ่งมันทรมาณมากสำหรับผมที่เตียกับม๊าไม่พูดอะไรออกมานานเกือบนาที จนเมื่อผมสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอบอุ่นจากม๊าและแรงตบที่บ่าเบาๆ ของเตียกับคำพูดที่ว่า

‘ฝากน้องด้วยนะลูก’

ซึ่งคำตอบของผมมันก็เป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจาก

‘ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด ผมสัญญา’






ผมจอดรถอยู่หน้าทางเข้าตึกชมรมถ่ายภาพ โดยมีคนข้างกายนั่งเคี้ยวเยลลี่มาตลอดทาง ปากก็บ่นพึมพำว่าไม่อยากทำงาน อยากไปเที่ยวแล้ว ยิ่งเห็นพี่นายที่อัพรูปลงอินสตาแกรมว่าอยู่สวิสเซอแลนด์ ก็ยิ่งอิจฉาตาร้อนเข้าไปใหญ่ โทรหาก็โดนตัดสายทิ้งอยู่หลายรอบกว่าจะยอมรับสาย อ้อนกับพี่เขาใหญ่เลยว่าอยากไปด้วย ทำไมถึงไม่ชวน จนเป็นผมบ้างที่อิจฉาพี่นาย

น้อยครั้งที่จะเห็นน้องมุ่ยอ้อน ส่วนใหญ่กับผมก็จะโวยวายเวลาเขินอย่างเดียว คนที่ได้รับลูกอ้อนไม่จำกัดคงมีแต่พี่นายคนเดียวเท่านั้น

“มะรืนวันเกิด อยากกินไร เค้กมะ?” น้องมุ่ยหันมาถามผม พลางหยิบเยลลี่เข้าปากเคี้ยวหยับๆ ไปด้วย

“พี่หรือน้องมุ่ยที่อยากกิน” ผมปล่อยพวงมาลัย ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วขยับเอียงตัวมามองหน้าคนข้างๆ ด้วยรอยยิ้มบาง

“อิอิ เดี๋ยวทำเค้กให้เอาป้ะ ยี่สิบชั้นเป็นไง” น้องยกมือทำท่าให้ผมดูว่ามันใหญ่แค่ไหน แล้วหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบอกชอบใจกับความคิดของตัวเอง

“ซื้อดีกว่า กูยังไม่อยากให้ครัวพัง” จบประโยคก็เล่นเอาน้องมุ่ยหันขวับ จ้องผมตาเขม็ง

“บีมทำไมชอบดูถูก คนเราอะ”

“จำผัดกระเพราเมื่อวานก่อนได้ไหม” วันนั้นนึกคึกอะไรไม่รู้ ตื่นแต่เช้าแล้วบอกว่าจะทำกับข้าวให้กิน ผมจับใจความที่น้องพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยได้แต่เออออกลับไปอย่างสะลึมสะลือเพราะเพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง สักพักใหญ่ผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโวยวายกับเสียงของตกดังลั่น ผมรีบวิ่งออกมาดูน้องทันทีกลัวว่าจะเป็นอะไร ก็เห็นน้องยืนยกมือสองข้างทำราวกับถูกตำรวจจับได้ บนพื้นในโซนครัวมีน้ำเจิ่งนองพร้อมด้วยใบกระเพราและเศษหมูสับกระจายทั่วพื้น พร้อมกระทะที่คว่ำอยู่และมีรอยดำไหม้อยู่บริเวณก้นกระทะ ข้างๆ กันก็เป็นตะหลิวกับกะละมังเล็ก เล่นเอาผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะกับภาพที่เห็น

ยิ่งไปกว่านั้นคือน้องมุ่ยที่กำลังตกใจ จู่ๆ น้ำตาก็ไหลราวกับเขื่อนแตก ร้องไห้โฮวิ่งมากอดผมแน่น ปากก็ร้องโวยวาย ‘หมูมันยังไม่ตาย’ ‘หมูมันดิ้น’ พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ฟังแล้วไม่รู้จะขำหรือจะเห็นใจดี

ต้องปลอบกันยกใหญ่กว่าจะหยุดร้อง ฟังคำอธิบายจากน้องก็ได้ความว่า เมื่อคืนดูยูทูปสอนทำผัดกระเพราแล้วน้องก็อยากทำบ้าง กะว่าจะทำให้ผมกิน แต่สุดท้ายก็ไม่รอด น้ำมันกระเด็นตอนเอาหมูลงไปผัดน้องจึงตกใจเผลอปัดข้าวของร่วงโต๊ะ พอเห็นผมออกมาก็กลัวโดนดุเลยร้องไห้ออกมา

น่าเอ็นดูสัด ต่อให้ทำบ้านพังกูก็ไม่น่าโกรธ

ผมไม่ได้โกรธน้องเลยนะ เพียงแค่ตกใจและกลัวว่าน้องจะเจ็บ ซึ่งก็โล่งอกที่น้องไม่ได้โดนมีดบาดหรือน้ำมันลวกอะไร และเด็กดื้อก็ยังคงกอดเอาหน้าซุกอกผมไม่ยอมไปไหน มือกำแขนเสื้อไปพลาง พึมพำกับผมว่าอย่าโกรธ ห้ามโกรธ ไม่ให้โกรธ

อ้อนเป็นแมวเลย

ใครมันจะโกรธลงวะ กูถามจริง

“มันเป็นอดีตไปแล้วเข้าใจบ้างไหม”

“กระทะกูเกือบไหม้เลยนะ”

“มันเป็นอดีตไปแล้วฉันควรเริ่มใหม่”

“ดีนะสัญญาณไฟไหม้ไม่ดัง”

“โค้ะ! อันนั้นมันของคาว กูอาจจะถนัดของหวานก็ได้ใครจะรู้วะ บีมอย่ามาดูถูกคนอย่างเฮียมุ่ยหน่อยเลย” ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนเยอะแยะวะ กูอยากจะรู้

“ร้านที่เราเคยไปครั้งก่อนเป็นไง เค้กอร่อยดีนะ” ผมเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนเรื่อง หวังว่าน้องจะคล้อยตาม แต่นอกจากจะไม่แล้วยังโดนฟาดแขนไปอีกหนึ่งทีเจ็บๆ

“บีม!”

“แค่อยู่ด้วยกันก็พอแล้วครับ ไม่เห็นต้องทำอะไรให้เลย” ผมเอื้อมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู เจ้าตัวอึ้งไปนิด แล้วใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ก้มหน้างุดงึมงำอยู่คนเดียวแต่ผมก็ยังได้ยินอยู่ดี

“ไม่พอสักหน่อย”

“ทำไม พูดแบบนี้คือ? มีเซอร์ไพรส์?”

“อะไร! เซอไพรส์อะไรไม่เห็นมี!” ว่าแล้วไง ผิดซะที่ไหน

“เคๆ”

“โอ๊ย! มีสักครั้งไหมที่จะไม่จับได้อะ แกล้งๆ หน่อยดิ แกล้งๆ อ้ะ” น้องมุ่ยคว่ำปากอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่นหงุงหงิงอยู่คนเดียว

“พี่จะรอนะ”

“ไม่ต้องมาพูดเลย!” น้องทำเสียงฮึดฮัดขัดใจพลางคว้าถุงขนมจากหลังรถกับกระเป๋าผ้าของตัวเองแล้วเปิดประตูเตรียมจะลงรถ แต่ก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหันมามองผมอีกครั้ง

“ว่าไง”

“เหยิบมานี่”

?

“เหยิบหน้ามาเร็ว”

“เราจะเอา --”


จุ้บ!


สัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากเพียงชั่ววินาทีแต่ก็ชัดเจนพอที่จะทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่มองหน้าน้องที่ยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ทั้งที่หน้าแดงหูแดงไม่ต่างกัน

“ไปแล้ว! พรุ่งนี้ตอนเย็นมารับด้วย”

“หึ”

ไอ้เด็กกากเอ๊ย



ผมกลับมาช่วยรุ่นน้องทำบูธกิจกรรมที่คณะตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้วและงานก็เกือบจะเสร็จทุกอย่างเหลือแค่ตกแต่งเล็กน้อย ปีสองที่มีหน้าที่เป็นสวัสดิการหิ้วถุงใหญ่ที่ข้างในบรรจุกล่องข้าวมากกว่ายี่สิบกล่องและน้ำเปล่าอีกหลายแพ็คมาวางที่ม้านั่งตัวใหญ่ ประธานรุ่นผมเลยเรียกให้ทุกคนพักกินข้าวกันก่อน เสียงปีหนึ่งร้องเฮแล้วพากันมาต่อแถวรับข้าวจากนั้นก็หามุมนั่งกันตามกลุ่มเพื่อนของตัวเอง

ผมกับเพื่อนรอรับข้าวหลังจากปีหนึ่งแล้วหลบมุมมานั่งกินกันที่ม้านั่งตัวหนึ่ง ไอ้ก้านกับไอ้นิวแม่งหยิบมาคนละสองกล่องกลัวไม่อิ่ม ดีนะที่ยังมีข้าวเหลืออีกเยอะไม่งั้นแม่งโดนปีสามด่าเช็ด

“วันนี้มึงไม่ไปรับน้องมุ่ยเหรอวะ” ไอ้นิวเงยหน้าจากกล่องข้าวขึ้นมาถาม ปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ ยัดข้าวเต็มสองแก้มจนจะแตกอยู่แล้ว เรื่องแดกนี่ไม่ต้องถาม ไอ้นิวยืนหนึ่งมาแต่ไกล

“วันนี้น้องนอนหอ”

“ยังนอนหออยู่อีกเหรอวะ กูนึกว่าย้ายมาอยู่กับมึงแล้ว” ไอ้ปั้นเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะครั้งหนึ่งที่เพื่อนผมมาหาก็เจอน้องนอนหลับปุ๋ยอยู่ในห้องพอดี โดนไอ้พวกห่านี่แซวจนตัวแดงเป็นกุ้งต้ม น่ารักชิบหาย

“ยอมที่ไหนล่ะ”

“เกรงใจน้องบูแหละ กูว่า” ผมพยักหน้าตอบน้ำตาล ถึงทุกวันนี้บูมันแทบจะไม่ได้กลับห้องก็เถอะ แต่น้องก็ยังไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยกันสักที เพราะเกรงใจน้องผม ความจริงคือมุ่ยยังอายไอ้บูอยู่ตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูห้องมาเจอจังหวะไคลแม็กซ์ของผมกับน้อง ทุกวันนี้คือถ้าเจอหน้ากันต้องตีกันตลอดเพราะโดนไอ้น้องบูแกล้ง

“เดี๋ยวบูมันก็ย้ายออก มันได้ที่เรียนแล้ว” ผมกับน้องมุ่ยเป็นคนพามันไปดูหอใหม่กันเองนี่แหละ ขับรถข้ามจังหวัดกันเลยทีเดียว ดีที่ไม่ได้ไกลมากเท่าไร

“เหยด เจ๋งสัด ติดที่ไหนอะ” ไอ้ก้านถาม

“มอ XXX”

“ว้าวมาก! มอดังเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย เก่งกว่าพี่แม่งอีก”

“สัด”

“หยอกๆ”

“แต่ช่วงนี้พวกกูไม่ได้เจอน้องเลยนะ ไม่มีใครให้แหย่เลยเนี่ย” ไอ้ก้านแสร้งตีหน้าเศร้าแต่ตาเป็นประกาย

“ก็จัดบูธเหมือนกัน น้องมันปีหนึ่ง”

“อยากไปให้กำลังใจน้องมุ่ย” น้ำตาลเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มหวานให้กับผม

ฝันเอานะ ไม่ให้เจอกันง่ายๆ หรอก

ผมไม่ค่อยอยากให้สองคนนี้มาเจอกันเท่าไร เพราะรู้ดีว่าน้องแพ้ทางคนอย่างน้ำตาล ชอบทำตัวน่ารักกับเขาจนผมหวง แล้วผมก็ไม่ชอบให้ใครเห็นเวลาน้องทำตัวน่ารัก แค่ผมเท่านั้นที่มีสิทธิ คนอื่นมึงก็เจอน้องเวอร์ชันเปรี้ยวตีนไปก่อนก็แล้วกัน

“แดกข้าวไปมึงอะ”

“คำพูดคำจานะ เดี๋ยวกูจะฟ้องน้อง”

“ไปไกลๆ น้องมุ่ยกู”

“น้องน่ารักใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ป้ะ พอน้องผมยาวขึ้นแล้วดีงามมาก กูว่ากูสวยแล้วนะ น้องแม่งลิบลิ่วเลย” แล้วช่วงนี้เขาชอบมวยผมขึ้นอยู่ตลอด ถึงแม้มันจะดูยุ่งเพราะน้องไม่ได้ตั้งใจเก็บให้มันดูดี แค่มวยขึ้นอย่างลวกๆ แล้วใช้ดินสอหรือปากกาแถวนั้นเสียบไว้ไม่ให้เกะกะใบหน้า แต่ก็ทำให้น่ามองมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เสน่ห์ล้นเหลือจริงๆ คนนี้ ใจกูจะรับไม่ไหวเอา

“น้องจะสกินเฮด”

“เหี้ย ฮ่าๆ! มึงไม่ห้ามเหรอวะ”

“ดีแล้ว”

“กลัวคนมาชอบเยอะอะดิมึงอะ แหมๆ” ผมไม่ปฏิเสธ และอยากจะพาน้องไปร้านตัดผมวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

“พอน้องขึ้นปีสองกูว่าฮอตกว่าเดิมแน่ หมาเลยนะเหี้ยบีม”

“ก่อนจะมาถึงกู เข้าถึงน้องมันให้ได้ก่อน” อย่างน้อยผมก็มั่นใจในความเปรี้ยวตีนกับการสนทนากับคนอื่นของน้อง ถ้าแม่งผ่านมาได้ค่อยถึงคราวผม

“เออจริง”

“ไม่อยากจะเมาท์วันนั้นกูเจอใครนะ น้องมินป้ะไอ้ปั้น เออๆ น้องรหัสไอ้ก้านอะ เดินตามเด็กมึงต้อยๆ กูเห็นแล้วสงสาร”

“มึงไปบอกน้องรหัสมึงด้วยว่าไม่ต้องซื้อขนมมาให้มุ่ยอีก” น้องมุ่ยแพ้ของน่ารัก แล้วน้องรหัสไอ้ก้านแม่งก็มาไทป์เดียวกับน้ำตาล แม่งหวงชิบหาย แค่คิดว่าน้องหน้าแดงเพราะทำตัวไม่ถูกกับเด็กคนนั้นใจผมก็แทบจะบ้าแล้ว

“หึงรึไง”

“กูก็มีสิทธินะ”

“ทำหน้าตาน่าตบมาก”

“ตอนแรกกูคิดไม่ออกเลยว่าพวกมึงสองคนจะลงเอยกันยังไง แต่แม่ง เออมันได้ว่ะ” ไอ้ปั้นพูดขึ้นพลางกระดกน้ำดื่มหลายอึก

“เด็กแว๊นในวันนั้นสู่น้องมุ่ยในวันนี้”

“กูชอบน้องมันว่ะ ดูเป็นคนเต็มที่กับชีวิตดี ถึงบางครั้งจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็เหอะ”

“เห็นแล้วอยากใช้ชีวิตตามเลยเนอะ ยังไม่ถึงครึ่งห้าสิบก็คุ้มแล้วอะ” ผมชอบที่น้องเป็นแบบนี้ ให้น้องได้ใช้ชีวิตในแบบของเขาเอง ด้วยนิสัยส่วนตัวผมมักจะหวงอะไรที่เป็นของตัวเองมาก ไม่อยากให้ไปไหน อยากเก็บไว้กับตัว แต่น้องมุ่ยเป็นคนเดียวในชีวิตที่จะไม่ยอมให้ความอารมณ์ร้ายของผมทำให้น้องไม่มีความสุข ผมหวงเขามากแต่ผมก็ชอบใบหน้าที่โคตรจะน่ารักเมื่อได้เจอสิ่งใหม่ๆ มันดีมากกับการที่ได้เห็นน้องยิ้มอย่างมีความสุข แม่งโคตรดี

“อย่าพูดถึงมุ่ยของกูเยอะได้ปะวะ”

“อย่าบอกนะว่าหวง”

“กูไม่ชอบให้ใครมาพูดว่าน้องน่ารัก มุ่ยน่ารักกับกูได้แค่คนเดียว”

“กับเพื่อนกับฝูงมึงก็ยั้ง..”

“เบื่อชิบหาย กูไปเล่นกับปีหนึ่งดีกว่า” ไอ้ก้านลุกขึ้นแล้วเดินออกจากวงสนทนาไปคุยเล่นกับพวกปีหนึ่ง

“อวดเก่ง ไอจีก็มีแต่น้อง เฮอะ อย่าให้กูอวดบ้าง”

“นิว มึงไม่มี”

“เหี้ยมาก พูดแล้วน้ำตาจะไหลถึงตีน อีกสักพักคงไปถึงแยงซีเกียงเพราะพวกมึง ไม่ต้องมาทำหน้าเยาะเย้ย ไอ้ห่าแม่ง!”

“เพ้อเจ้อสัดมึงอะ”

“อย่าให้กูมีบ้าง!”

“เคๆ”






ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
วันที่ 23 เดือน XX ปี XX


“บีม! เดี๋ยวกลับห้องมากินเค้กกันนะ กูสั่งไว้แล้ว ใหญ่เท่านี้เลย” น้องมุ่ยทำท่าทางโชว์ให้ผมดูถึงขนาดของเค้กที่น้องจะสั่งมาเซอไพรส์วันเกิดผม ตอนแรกก็วางแพลนไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวกันแต่ดันมาติดงานโอเพนเฮาส์ที่จะจัดในวันพรุ่งนี้พอดี ทั้งผมทั้งน้องก็โดนเรียกตัวให้ไปช่วยงาน ยิ่งชมรมน้องมุ่ยยิ่งวุ่นวาย เห็นว่างานบางคนที่จะจัดโชว์ยังไม่เสร็จเลยต้องรีบแก้งานกันใหม่ น้องเลยสั่งเค้กมาแทนและคิดว่าน่าจะซื้อข้าวเข้ามากินแล้วก็นอนดูหนังกัน

น้องไม่พอใจใหญ่เลยเพราะอยากพาผมไปเที่ยววันนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะต้องเอางานมหา’ ลัยให้เสร็จซะก่อน

ไอ้น้องบูก็ซื้อของขวัญมาให้วางอยู่ที่โซฟาก่อนจะออกจากห้องไปในช่วงเช้า ไม่นานก็มีสายเข้าจากที่บ้านซึ่งก็เป็นพ่อกับแม่ที่โทรมาอวยพรวันเกิด โทรมาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เร่งให้พาน้องมุ่ยไปหาได้แล้วเพราะอยากเจอตัวจริงจะแย่

ผมบอกทั้งคู่ตั้งแต่ตอนที่มั่นใจแล้วว่าชอบน้องจริงๆ ส่งรูปน้องให้ที่บ้านดู พวกเขาตกใจนิดหน่อยแต่ก็พยายามที่จะเข้าใจเรา ผมเล่าเรื่องน้องให้ฟังจนแม่กับพ่ออยากเจอหน้า เร่งเร้าให้ผมพามาหาสักทีแต่ก็ยังไม่มีโอกาส ผมวางแผนไว้ว่าจะพาไปหาช่วงปิดเทอมนี้โดยที่น้องไม่รู้เรื่องนี้เลย อยากรู้ว่าจะทำหน้ายังไง

“บีมอยากได้อะไรอีกไหม พร้อมเปย์นะ” ตอนนี้เราทั้งคู่กำลังกินข้าวเย็นอยู่ในห้องของผม น้องแวะมาเอาของที่ลืมไว้ ผมเลยถือโอกาสกักตัวให้น้องอยู่ด้วยกันก่อน และคิดว่าวันนี้น้องน่าจะอยู่ดึกแน่ๆ ผมเลยคิดว่าจะแวะซื้อขนมให้น้องถุงใหญ่เอาไว้กินแก้หิวระหว่างทำงานด้วย

“ซื้อบ้านให้หน่อย”

“อ๋อ บ้านกระดาษที่ติดอยู่กับซองขนมสมัยก่อนใช่ปะ เคๆ” น้องพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ไม่วายฟาดแขนผมหนึ่งทีที่กวนตีนน้องมัน

“ไม่อยากได้อะไรเลยอะ”

“ไอ้บูมันให้อะไร”

“รองเท้า”

“อ่อน จิ้บจ้อยมาก” ผมเหลือบมองกล่องรองเท้าบาเลนซิเอก้าที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาแวบหนึ่ง แล้วคุยกับน้องต่อ

“แล้วน้องมุ่ยจะให้อะไร”

“ก็ถามอยู่นี่ไงว่าบีมอยากได้อะไร ไม่ฟังอะ”

“จริงๆ อยากได้แค่น้องมุ่ยคนเดียวเลย”

“...”

“ได้ไหมนะ คืนนี้”

“อิ่ม! อิ่มแล้ว จะไปทำงาน!” หน้าแดงหูแดง เขินเองอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนขี้อายลุกขึ้นแล้วคว้าจานตัวเองไปวางไว้ในอ่างล้างจาน จากนั้นก็เดินมาหยิบข้าวของใส่กระเป๋าผ้าตัวเองโดยไม่มองหน้าผมสักนิด

“รอกันก่อนดิ” เมื่อเห็นน้องมุ่ยทำท่าจะเดินออกจากห้อง ผมก็ร้องห้ามเขาไว้ก่อนแล้วเดินตามมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังน้องในระยะประชิด

“ไม่”

“ยังพูดไม่จบเลย”

“ไม่ต้องพูด!” น้องหันมายกมือปิดปากผมทันที คิ้วขมวดแน่น ปากเบะคว่ำอย่างไม่ชอบใจ แก้มขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อดูน่ารักเต็มไปหมด หูแดงๆ นั่นก็น่ากัดชะมัด มันเขี้ยวว่ะ

“จะบอกว่าอยากดูหนังกับน้องมึงคืนนี้ได้ไหม คิดไรอะ” ผมหยัดยิ้มแล้วเอ่ยแซว

“..อ..อะไร”

“หน้าแดงเชียว ทะลึ่งนะ”

“บีม!” โวยวายแล้วๆ ชอบชิบหายเลยโว๊ย

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่ต้องเลย กูเอารถมา บีมแม่ง นิสัยไม่ดีโคตรๆ เลยว่ะ จะฟ้องม๊านะ”

“น่าเอ็นดูๆ” ผมที่อดใจไม่ไหวกับความน่ารัก จึงรวบตัวคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว มือข้างหนึ่งกอดช่วงเอวไว้แน่นกันน้องดิ้นหลุด อีกข้างก็ยกขึ้นวางแนบข้างแก้มนุ่มที่มีไออุ่นร้อนจางๆ น่าฟัดเป็นที่สุด

“อย่ามายุ่งกับแก้มกู เอามือออกไปด้วย!” เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ปลอดภัยจึงพยายามสะบัดให้หลุดจากอ้อมแขนผม แต่มันก็ยากเพราะผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก

“หอมๆ”

“ไม่โว้ย!”

“ชื่นใจ” ผมกดปลายจมูกแนบแก้มขาวหนักๆ ทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว น้องอึ้งเพียงครู่เดียวแล้วลงมือฟาดผมอย่างแรงทันที ขึ้นรอยแน่ๆ แขนกู

“ไอ้บีม! เอาหน้าออกไปห่างๆ เลยนะโว๊ย” มือเล็กพยายามดันใบหน้าของผมให้ห่างออกจากตัวเองแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของผมได้ ผมขยับอ้อมแขนให้เราสองคนแนบชิดมากกว่าเดิม แล้วฝังหน้าเข้าคลอเคลียอยู่กับลำคอขาวเนียน ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นกระทบกับผิวของน้อง ผิวกายหอมๆ ทำผมมึนไปชั่วขณะ เผลอกดจูบทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อผ้า รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโดนฟาดเข้าให้ที่หลังดังป้าป ผมจึงต้องถอนใบหน้าออกมาก่อนอย่างเสียดาย แต่ยังคงกอดเอวน้องอยู่

“จุ๊บๆ กัน” ผมยิ้มกว้างเอ่ยขอจูบ ยิ่งทำให้น้องโมโหมากกว่าเดิม

“ไม่จุ๊บ! ม..เมื่อกี๊ยังไม่พออีกรึไง”

“กับน้องมุ่ยไม่มีคำว่าพอเลยครับ” ผมกดปากจูบน้องเร็วๆ หนึ่งครั้งแล้วผละออกมา มองผลงานของตัวเองที่ตอนนี้น้องแทบจะแดงไปทั้งตัว น่ารักชิบหาย อยากจับแดกเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงท้อง

เธอมันแน่ เธอแน่มาตลอดเลยน้องมุ่ย

“ไอ้คนชั่ว”

“ชื่นใจ”

“อยากตายใช่ไหม”

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ มีความสุขแล้ว”

“ฮึ่ย”

“:)”






“ห้าทุ่มแล้วไอ้เหี้ย เสร็จสักที” ไอ้ก้านร้องออกมาแล้วล้มตัวนอนแผ่ลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่มันหรอกที่หมดแรง ทั้งผมและทุกคนที่อยู่ช่วยกันทำต่างก็เหนื่อยไม่แพ้กัน อันที่จริงมันเหลือแค่ส่วนที่ตกแต่งอย่างที่เคยบอกไป แต่เมื่อเย็นอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้งานบางส่วนเปียก ทีนี้ก็เลยต้องรีบแก้กันจนแทบไม่ได้พักเพราะกลัวงานเสร็จไม่ทัน

ผมคอยส่งข้อความหาน้องมาตั้งแต่ช่วงค่ำแล้ว แต่น้องไม่ทั้งไม่อ่านและก็ไม่ตอบทำให้ผมเริ่มเป็นห่วง แต่ก็คิดว่าคงทำงานหนักจนไม่มีเวลา ผมกะว่าหลังเสร็จงานก็จะแวะไปหาแต่ก็นานล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยงคืนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

แผนดูหนังน่าจะพัง กลับห้องไปก็น่าจะหมดแรงกันทั้งคู่ เจ้าตัวเขายิ่งดูตื่นเต้นอยากกินเค้กอยากทำนู่นทำนี่ด้วยกัน แต่พอเวลามันไม่เอื้ออำนวยก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าน้องจะหัวเสียแค่ไหนถ้ากลับห้องไปแล้วเลยวันเกิดผม

“หือ? นั่นไอ้โป้ไม่ใช่เหรอ” ไอ้นิวขมวดคิ้วแล้วชี้ไปทางหนึ่ง ผมหันตามดูก็เห็นเป็นเพื่อนน้องมุ่ยวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ไอ้บีม!” มันเรียกผมเสียงดังจากนั้นก็ค้อมตัวลงวางมือเท้าเข่าอย่างเหนื่อยหอบ

“มึงมีอะไร”

“ไอ้มุ่ย...ไอ้เด็กนั่นมัน..” โป้พูดออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทำใจผมกระตุกและเริ่มเต้นแรงขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับน้องวะ

“น้องมุ่ยทำไม”

“เพื่อนที่ชมรมมันโทรมาบอกกูเมื่อกี้ ว่าแม่งปีนขึ้นนั่งร้านจะติดป้ายห่าอะไรสักอย่างแล้ว --”

“เห้ยไอ้บีม!” ผมไม่รอฟังจนจบ คว้ากระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปทางรถตัวเองทันที หัวใจเต้นกระหน่ำจนเจ็บอกไปหมด ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรมากไหม เหี้ยแม่งเอ๊ย! น้องตกลงมาได้ยังไง? ตัวแม่งก็แค่นั้นยังจะปีนขึ้นไปทำอะไรอันตรายๆ อีก มันดื้อจังวะ

ผมขับรถมาถึงตึกชมรมถ่ายภาพของน้องแล้วรีบเดินไปทางห้องชมรมทันที หยิบโทรศัพท์โทรหาน้องแต่ก็ไม่มีใครรับสายจนผมแทบจะบ้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

“น้องมุ่ย” ผมเปิดประตูเข้าไปแล้วร้องเรียกชื่อน้อง แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยความมืดราวกับไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว แล้วจู่ๆ ไฟก็สว่างวาบขึ้นมาตรงหน้า และแสงสีส้มส่องสว่างมากพอจะทำให้เห็นอะไรบางอย่าง

อะไรบางอย่างที่มันคือ..ผม?



ภาพถ่ายขนาดใหญ่ถูกวางไว้กับขาตั้งวาดรูป เป็นภาพที่ผมหันข้างกำลังยิ้มแล้วมองไปที่ดอกปีปที่ถืออยู่ในมือ ผมจำได้ว่านี่คือภาพที่น้องมุ่ยถ่ายให้เมื่อตอนที่ผมมาหาน้องแทนน้ำตาลและเขาบอกว่าชอบรูปนี้ที่สุด และเหนือภาพถ่ายมีกระดาษหลากสีถูกตัดขนาดเท่าฝ่ามือร้อยเข้ากับเชือกสีขาวแต่ละแผ่นมีตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนเป็นคำว่า ‘HAPPY BEAM DAY’

ฝั่งซ้ายและขวามีตะแกรงสีขาวขนาดพอๆ กับรูป บนนั้นมีรูปถ่ายจำนวนมากที่ถูกไม้หนีบติดกับเส้นตะแกรง พอเขยิบเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ปรากฏว่าทั้งหมดนั่นล้วนเป็นภาพถ่ายของผมที่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ แต่ละภาพมีตัวหนังสือเขียนติดไว้ทุกภาพ


‘บีมหลับ ขี้เหร่จัง’

‘เล่นเกมแพ้ เลยต้องล้างจาน’

‘จับมือแหละ เราจับมือกัน’

‘หน้าตลกอะ 55555’



และอีกหลากหลายข้อความที่ติดอยู่กับภาพ ซึ่งเกี่ยวกับผมหมดเลย

หัวใจของผมเต้นกระหน่ำถี่รัว ความอัดอั้นบางอย่างที่ไม่ใช่ความกังวลหรือความโกรธเหมือนก่อนหน้าก่อตัวอยู่ข้างใน มันตื้อซะจนแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอกและได้ยินเพียงแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้น


พรึ่บ


แสงไฟจากด้านหลังสว่างขึ้นเรียกให้ผมต้องหันกลับไปดู แสงไฟสีส้มเช่นเดียวกันส่องสว่างให้เห็นกระดานไวท์บอร์ดสีขาวที่มีรูปวาดจากปากกาสีน้ำเงินแต้มอยู่ทั่วกระดาน

“อย่าเพิ่งหันมานะ” เสียงน้องมุ่ยดังอยู่ข้างหลัง

“นี่คือบันทึกการเดินทางของเรา” ผมเงียบและรอฟังน้อง ทั้งๆ ที่แทบจะอดกลั้นความรู้สึกไม่ไหวแต่ก็พยายามใจแข็งไม่ให้หันกลับไปคว้าตัวน้องมากอดให้จมอก

“ภาพแรก กูวาดเยลลี่หมี บีมคิดว่านี่จำไม่ได้อะดิ เสียใจด้วยที่ถึงแม้กูจะไม่ได้ใส่แว่นแต่ไอ้รอยยิ้มน่าหมั่นไส้ของบีมกูจำได้ไม่ลืม” เป็นภาพเยลลี่หมีกับคนสองคนที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟข้างถนน ลายเส้นน่ารักที่ผมจำได้ขึ้นใจว่าเป็นของน้องมุ่ยแน่นอน

“อันที่สอง ตอนกูนัดเจอน้ำตาล แต่กลายเป็นบีมที่มาแทน น่าโมโหโคตร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดี” ภาพของคนสองคนยืนหันหลังกำลังมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ในมือของคนหนึ่งถือกล้องขณะที่อีกคนถือดอกไม้

“สาม เป็นตอนที่บีมกำลังเครียดเรื่องน้องบู แล้วกูคืนคนที่นั่งโอ๋ๆ บีมในตอนนั้น คิก~” เป็นภาพหลังร้านแฟนเฮียตั้มที่คนหนึ่งนั่งอยู่กับม้านั่งจับมือของอีกคนที่ยืนอยู่ขึ้นมาจูบ

“สี่ อันนั้นคือตอนที่กูกำลังร้องเพลงอยู่กับเด็กที่ถนนคนเดินในเมือง” ผมมองน้องอย่างไม่คลาดสายตาเลยวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ยอมรับกับบเพื่อนน้องว่าผมชอบเขาจริงๆ

“ห้า” แล้วน้องมุ่ยก็เงียบเสียงลงแค่นั้นพร้อมกับที่ไม่มีภาพต่อไป มีเพียงลูกศรที่ถูกขีดให้วนกลับมา หรือว่าหมายถึง

“สุขสันต์วันเกิด” เมื่อหันกลับมา ภาพที่เห็นคือเค้กลายมาเบิลสีฟ้าขาวถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้า มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘HAPPY BEAM DAY’ เช่นกันและปักเทียนเลขอายุของผมไว้ที่หน้าเค้ก

“รู้ไหมว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันบ่อยจนกูนึกช่วงเวลาที่ดีมากๆ ขึ้นมาเขียนไม่ได้แล้ว”

“...”

“ก็มันดีมากๆ ไปซะหมด ถ้าให้วาดก็คงต้องวาดไปตลอดอะ อีกอย่างคือวาดไม่ทันด้วยเพราะกว่าจะล้างรูปเสร็จแล้วกว่าจะมานั่งวาดก็ไม่ไหว กลัวบีมจับได้ด้วยถ้ากลับดึกเกิน”

“...”

“เซอไพรส์ยังอะ ครั้งนี้มุ่ยไม่โป๊ะนะ”

“...”

“ที่บอกว่าลองกล้องตอนนั้นก็คือนี่แหละ การจะเก็บความรู้สึกอะไรบางอย่างมันจะต้องมีสื่อกลางให้ได้ถ่ายทอดช่วงเวลานั้นๆ ลงไป สำหรับกูก็คือภาพถ่าย”

“...”

“บีม บีม บีม เต็มไปหมดเลย ในนี้ก็มี” น้องชี้เข้ากับหน้าอกข้างซ้ายที่ตัวน้องเองแล้วยกยิ้มกว้างจนตาเป็นเส้นโค้ง

“...”

“เหมือนกับว่ากูยังไม่ได้แสดงอะไรที่มันทำให้บีมรู้สึกมั่นใจกับความสัมพันธ์นี้ได้เลยสักที ก่อนหน้านั้นกูมีแค่คำพูดบอกกับบีมว่ารัก ในขณะที่บีมกำลังแสดงให้เห็นถึงความรักของตัวเองที่มีให้และกูก็รอรับอย่างเดียว เลยคิดว่ามันไม่แฟร์กับบีมเลยสักนิด”

“...”

“ปีนี้มีกูอยู่ฉลองวันเกิด ปีต่อๆ ไปก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะเว้ย ห้าม ห้ามเด็ดขาด” ผมมองหน้าน้องมุ่ยนานจนน้องเริ่มเขิน เร่งเร้าให้ผมเป่าเค้กเร็วๆ

“ไหนตกนั่งร้าน” ผมถาม เจ้าตัวสะดุ้งทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วตอบกลับมาแทบไม่มีพิรุจแถมยังทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนอีกด้วย

“อะไร้! ใครตก มั่วแล้วบีม แล้วถามอะไรเนี่ย ขัดจังวะโรแมนติกเลย บีมแม่ง”

“แล้วที่ไอ้โป้มันบอกล่ะ”

“ก็จะหลอกมาเซอไพรส์ไง ฮ่าๆ”

“อยากตีว่ะ กูตกใจจริงๆ ยังมาหัวเราะอีก”

“ไม่ตี~ ห้ามตี วันนี้วันเกิดบีมนะ เอ้า! เป่าดิ ถือจนเมื่อยแล้วเนี่ย” ผมยิ้ม แล้วหลับตาอธิษฐานอยู่ในใจจากนั้นก็เป่าเทียนเรียบร้อย น้องมุ่ยรีบวางเค้กลงกับโต๊ะแถวนั้น ทำตาโตด้วยความสงสัยใคร่รู้แล้วกระตุกแบนเสื้อให้ผมบอกว่าอธิษฐานอะไรไป

“ขอให้น้องมุ่ยอยู่กับพี่บีมไปนานๆ” ผมเขยิบเข้าหาน้องแล้วรวบตัวเขาเข้ามากอดแนบอก ใบหน้าเล็กฝังอยู่ที่ต้นคอของผมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ทั้งของผมกับน้องมันก็เต้นเร็วไม่แพ้กันเลย

“เห้ย! บีมต้องขอให้ตัวเองดิ อันนี้ไว้รอวันเกิดกูอะ ไม่ได้ๆ ขอใหม่เลย” น้องผละออกมาโวยวายทันที ผมลูบศีรษะคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูแล้วประทับจูบแทนความรู้สึกทั้งหมดกับหน้าผากมน

“ยังพูดไม่จบ” ใบหน้าแดงๆ นั่นพยายามมองสบตาผม ไม่ถึงห้าวิก็ต้องหลบสายตากดใบหน้าพิงเข้ากับอกผมอีกครั้งแล้วถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“แล้วไงต่อ”

“ขอให้น้องมุ่ยมีความสุข”

“...”

“หมดแล้ว”

“ไม่เห็นมีขอให้ตัวเองเลย” น้องผละใบหน้าออกมาอีกครั้ง ปากเบะคว่ำอย่างไม่พอใจเมื่อผมตอบไม่ถูกใจเขา พลางกระตุกแขนเสื้อของผมเป็นเชิงบอกว่าให้เลิกเล่นสักที

“ขอแล้วไง”

“ไหน!”

“ก็น้องมุ่ยเป็นความสุขของพี่บีม ถ้าน้องมุ่ยมีความสุขมันก็ดีแล้ว”

“...เลี่ยนว่ะ”

“แล้วชอบไหม”

“ก็...นิดนึง”

“ต้องทำยังไงถึงจะชอบมาก”

“ก็...”

“ครับ ฟังอยู่” คนในอ้อมแขนเงียบลงพร้อมกับก้มหน้าพึมพำอะไรบางอย่างที่ได้ยินไม่ถนัด พอพยายามจะเงี่ยหูฟัง น้องมุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี ดวงตาเรียวสวยเต็มไปด้วยความประหม่าและไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นใบหน้าเล็กก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนกลายเป็นภาพที่มองไม่ชัด มีเพียงสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากที่ทำให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“แบบนี้...”

“...”

“แบบนี้ต่างหากถึงจะชอบมาก”

“อืม ชอบมากเหมือนกันครับ”





“แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ใจพี่จมแทบพสุธา

ดวงฤทัยหรือดวงแก้วตาดุจดวงดาราดวงดาวดวงไหน

วอนให้ชายทุกคนเดินผ่าน

วอนให้ใจน้องไม่มีใคร

วอนให้ลมพัดพาหัวใจพี่ไปถึง”





(END)




****************************

จบแล้วนะคะ

เรื่องนี้เราเริ่มเขียนตั้งแต่ 19/03/2018 จนมาสิ้นสุดวันนี้คือ 21/03/2020

เป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องเเรกที่เขียนจนจบ ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้ทำอะไรที่ท้าทายกับทุกอย่างในชีวิตขนาดนี้

ระหว่างทางของการเขียนมีทั้งเหนื่อยและท้อ ซึ่งตัวนักเขียนเองก็คิดว่าใครหลายคนก็เป็น บางครั้งเวลาเราตั้งใจทำอะไรมากๆ พอมันไม่ได้อย่างที่หวังเลยทำให้รู้สึกมึนไปชั่วขณะ จนต้องขอเฟดตัวเองออกมาก่อน

นักเขียนรักเรื่องนี้มาก รักตัวละครทุกคน จนอยากจะทำให้ออกมาดีที่สุด ถึงแม้ว่าอาจจะมีความผิดพลาดที่ตัวนักเขียนเองก็อยากกลับไปแก้ไขบางส่วนที่มันไม่ค่อยเข้าที่ และพยายามจะเขียนออกมาให้ดีที่สุด

ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการเขียนนิยายเรื่องนี้

ขอบคุณตัวเราที่ไม่คิดจะท้อมันไปซะก่อน

ขอบคุณเพื่อนที่ช่วยเข็น ช่วยดัน เวลาที่ตัวนักเขียนรู้สึกตัน รู้สึกเหนื่อย

ขอบคุณเพลง บทความ ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจดีๆ

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อ่านและให้กระเเสตอบรับในทุกๆด้าน ตัวนักเขียนเองดีใจมากๆ แล้วก็รู้สึกขอบคุณอยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่มีทุกคน เราอาจจะไม่ได้มาถึงวันนี้ ทั้งคอมเม้น ไลค์ กดเฟบ หรืออื่นๆ เราขอขอบคุณมากๆ ขอบคุณทั้งหมดเลย


อาจจะมีสเปเชียลมาให้อ่านบ้างประปราย เพราะเรายังคงคิดถึงพี่บีมน้องมุ่ยอยู่เสมอ

จะมีรีไรท์อีกรอบนะคะ ปรับให้เข้าที่กันนิดนึง

ขอบคุณค่ะ





ออฟไลน์ Nattharikan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเลย จบแล้วหรอคิดถึงแย่เลย
ขอบคุณนะคะที่พาน้องมุ่ยกับพี่บีมมาให้เรารู้จัก หลงรักทุกตัวละครในเรื่องเลยค่ะ
จะรอเรื่องต่อไปของคนเขียนนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
งู้ยยยยย น่ารักนะน้องมุ่ย ทำพี่บีมไปไม่เป็นเลย

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ Kunjirawaracom

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew1:ชอบเรื่องนี้มากน้องมุ่ยน่ารักมาก

ออฟไลน์ FaX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่ารักมากก ความมั่นเขี้นวน้อนน  ขอบคุณไรท์มากเลยค่ะ ที่มีนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน ใจละลายอะ เลิฟฟ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด