MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020  (อ่าน 38664 ครั้ง)

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ตามอ่านมาสักพัก ยังไม่เคยเม้นท์ ขอเม้นท์บอกเลยว่าสนุกกกกกกกค่าาา มุ่ยติ๊งต๋อง บ้าบอและฮามาก บ้านนี้พี่น้องนิสัยคนละทางเลย  จริงจัง : บ้าบอ : ชอบงอแง แต่อยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัวดีอ่ะ 555555 //อ้าวแล้วบูโดนกีดกันความชอบสินะ ถึงได้แอบๆเรียนอย่างนี้ เดี๋ยวไอ้มุ่ยคนคูลเคลียร์เอ๊ง ไอ้พี่บีมยอมอย่างไว แต่อาจจะแลกด้วยความเปลืองตัวหน่อยนะ เอาจริงๆไอ้พี่บีมพี่มันก็แอบร้าย ค่อยๆเนียนจีบ ฮ่าๆ รอให้บีมรุกนะเนี้ย ให้มุ่ยได้รู้ตัวสักทีว่าคู่ควรกับใครหาใช่พี่น้ำตาลคนงามไม่ 5555 สนุกดี ชอบๆ อ่านเพลิน ขำไปกับความบ้าบอของมุ่ย รอตอนต่อไปเลยค่ะ กดติดตามๆ

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนที่ 11

เพราะคนอย่างเรามันเป็นแค่ที่ปรึกษา



“ฮ้าว~ เฮีย วันนี้ไปส่งหน่อยเด่ะ หนาว ขี้เกียจขี่รถ” หลังจากตื่นนอนแปรงฟันทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินหาวหวอดๆ ลงมาข้างล่างโดยที่ยังไม่อาบน้ำกับเจ้าชุดนอนลายนารูโตะการ์ตูนตัวโปรดเพื่อทานข้าวเช้าที่น้องสาวทำไว้ให้


ผมเดินเข้าไปในครัวก็เห็นฟ้าใสกำลังง่วนอยู่กับข้าวเช้า ไหนดูดิ้ทำไรกิน

งุ้ย ข้าวต้มกุ้งของโปรด


“ไปเอาชามมาตักดิ ฝากตักไปให้เฮียด้วย” ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วทำตามที่น้องบอก

“ทำไมตาเป็นงั้นวะมุ่ย ฮ่าๆ” เฮียครามเดินมารับชามข้าวต้มจากมือผม แล้วเราสองคนก็เดินมานั่งที่โต๊ะทานอาหาร เฮียครามก็อยู่ในชุดนอนลายลูฟี่หมวกฟางเหมือนกัน เช้านี้มีแค่น้องสาวของเราเท่านั้นที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

พวกเราสามคนพี่น้องชอบดูการ์ตูนมาก ขอให้ได้มีของสะสมหรืออะไรซักอย่างที่เป็นการ์ตูน อย่างผมกับเฮียชอบสะสมฟิกเกอร์เป็นชีวิตจิตใจ ส่วนฟ้าใสชอบซื้อของออฟฟิเชียล ผมเห็นแต่ละอย่างที่น้องซื้อมาแล้วถึงกับทึ่งในราคาของมัน แพงตาหลุดเลยครับ เออ อันที่จริงชุดนอนของฟ้าใสจะเป็นลายกบเคโรโระด้วยล่ะ

“เพราะใครล่ะ เดี๋ยวจะฟ้อง”

“แล้วแต่” เฮียครามยักไหล่ให้อย่างกวนตีนพลางตักข้าวต้มเข้าปาก


หมั่นไส้


เมื่อคืนแม่งกว่าจะได้นอนนู่นตีสองกว่า เฮียครามกลัวผีจนนอนไม่ได้ต้องระเห็จมานอนที่ห้องผม แล้วนอนเบียดผมแทบจะตกเตียงแถมยังเรียกอยู่นั่นแหละ


‘มุ่ย...ทำไมเฮียรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตลอดเวลา’

‘นั่นมันรูปเรฟที่ข้าแปะไว้ต่างหากเล่า’

‘มุ่ย...เฮียรู้สึกเย็นที่เท้าแปลกๆ’

‘เปิดแอร์ไง เฮียก็หดขาขึ้นมาดิวะ...นอนได้แล้ว!’

‘มุ่ย...เฮีย-’

‘โว้ยยยย นอนเถ้อ! พรุ่งนี้ข้ามีเรียน!’


ครับ...

ทั้งคืนอะ

กูจะบ้า


“ตกลงวันนี้ไปส่งด้วยนะ” ว่าแล้วผมก็หันมาทานข้าวของตัวเองบ้าง งื้อ อร่อยสุด ฝีมือน้องสาวผมนี่สุดยอดแล้วอะ เจริญอาหารทุกครั้งที่กลับบ้าน

“แล้วใสอะ ให้เฮียไปส่งไหม” เฮียถามฟ้าใสที่เดินถือชามข้าวต้มของตัวเองมานั่งตรงข้ามกับผม

“ไม่อะ เดี๋ยวใสจะไปรับเพื่อนด้วย”

“เคๆ”

“เออ เฮียมุ่ย ใสซักเสื้อกีฬาให้แล้วนะ วางตรงนั้น” ฟ้าใสชี้นิ้วไปตรงโซฟาที่วางเสื้อของบีมไว้ เออเฮ้ย ลืมไปเลยอะว่าต้องคืนเสื้อมัน

“เอ็งเล่นกีฬาตอนไหนวะมุ่ย” เฮียครามเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“ของเพื่อน ยืมมันมาใส่”

“ข้าก็ว่า เด็กที่เกลียดกีฬามาทั้งชีวิตอย่างเอ็งเนี่ยนะจะหันมาเล่นกีฬา บ้าบอ”

“แต่ใสว่าเฮียมุ่ยต้องออกกำลังกายบ้างนะ เฮียเหมือนเด็กขาดสารอาหารเข้าไปทุกที บ้านเราไม่ได้ไม่มีจะกินนะเว้ย”

“เออๆ” เฮียครามเออออตาม จู่ๆ ทำไมหัวข้อสนทนามันกลายมาเป็นเรื่องรูปร่างผมได้ล่ะวะ

“เฮียก็กินไง เนี่ย ข้าวต้มเฮียกินหมดชามเลย” ผมโชว์ชามของตัวเองที่แทบไม่เหลือให้น้องดู

“เฮียก็กินเยอะแค่ที่ใสทำให้ แต่ที่อื่นกินน้อยเหมือนแมวดม อย่าคิดว่าไม่รู้นะ”

“ก็เฮียไม่อยาก” ไม่รู้ว่าผมเคยบอกรึยัง ถ้าบอกแล้วก็จะบอกอีก ผมมีนิสัยการกินที่ค่อนข้างจะประหลาดนี่รู้ตัวเลย ถ้าเป็นกับข้าวที่คนในครอบครัวทำผมจะทานได้เยอะถึงเยอะมาก แต่ถ้าได้ไปทานข้างนอกหรือเวลาอยู่หอเงี้ย ผมจะทานน้อยมาก ไม่ใช่ไม่อร่อยนะแต่ทานได้ไม่เท่าไหร่ก็อิ่มแล้ว

รู้สึกไม่ชินรสชาติ

สรุปคือผมเป็นบ้าครับ ช่างมัน

“เอ็งแทบจะผอมกว่าน้องมันอยู่แล้ว อย่าเลือกกินให้มันมากเหอะ”

“ขายาวๆ ของเฮียจะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว”

“เออๆ”

“รู้แล้วค้าบ ต่อไปนี้จะกินให้เยอะๆ แล้วค้าบ” ผมรับคำด้วยน้ำเสียงยานคาง ทำเอาทั้งพี่ทั้งน้องส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“กินหมดแล้วจ้า ไม่เหลือข้าวซักเม็ดเลยจ้า” ผมแหย่ให้น้องมันหมั่นไส้เล่นแล้วลุกเอาชามไปวางที่อ่างล้างจาน พลางทำมือบอกเฮียครามว่าจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดี๋ยวลงมา





“เฮียอย่าลืมเสื้อตัวนั้น” เสียงฟ้าใสเตือนมาจากในครัวเมื่อเห็นผมทำท่าจะเดินออกจากบ้าน เออ ลืมเฉยเลย ผมจึงเดินย้อนกลับมาหยิบเสื้อใส่กระเป๋าผ้าตัวเอง ตัวกูก็รุงรังจังเลยทั้งกระเป๋าผ้ากระเป๋ากล้อง ไม่วายต้องเดินไปตะโกนเรียกเฮียครามตรงบันไดที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จให้รีบลงมา

“เฮียเสร็จยัง! ชักช้าจังอะ”

“เสร็จแล้วๆ”


วิ้งๆ


“นี่เฮียแต่งตัวไปเข้าคลินิกจริงดิ แต่งหล่อไปอวดใครวะ” ผมยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นเฮียในลุคเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำกำลังเดินลงบันไดลงมา ไหล่ซ้ายถูกวางพาดด้วยเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด มือข้างหนึ่งก็ยุ่งอยู่กับการติดกระดุมข้อมือ ผมที่เคยยุ่งก็ถูกเซ็ตเข้าทรงเข้ากับหน้าของเฮียมันนั่นแหละ

เอ้า! ผมก็หล่อนะ หล่อกว่าด้วยคิดว่า วันนี้ใส่เสื้อสีเหลืองสดใสทับด้วยเอี๊ยมยีนส์ยาวตัวโคร่งที่ซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว โคตรเซอไพรส์ที่ตัวเองยังใส่ได้

“ข้าก็หล่อเป็นปกติอยู่แล้วมุ่ย” ว่าแล้วก็ต้องขิงกันหน่อย ผมเบ้ปากแรงๆ

“มินิมอลสไตล์เว่อ” เสียงฟ้าใสแซวมาจากในครัว ทำให้พี่มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เอาจริงๆ เลยนะ ผมสงสัยอยู่อย่างเดียว

“เฮียเอาเวลาไหนไปรีดผ้าวะ เรียบกริ๊บ” จำได้ไหมครับที่ผมเคยบอกว่าห้องเฮียแม่งเหมือนสมรภูมิรบ ผ้าก็กองสุมๆ ไว้แยกไม่ออกว่าอันไหนซักแล้วอันไหนยังไม่ได้ซัก

“คนเราจะมีน้องไว้ทำไม มีสมองก็คิดหน่อย คิดสิคิด”

“ใสมันใจดีขนาดรีดให้เลย?”

“เปล่า กูจ้างตัว 50”

“ถุ้ย”

“เฮียไม่มีตังแล้วมุ่ย เฮียจนมาก มุ่ยพอจะมีซักสองร้อย-”

“ใส! เฮียไปแล้วนะ จุ้บ!” ผมเมินเฮียมันแล้วเดินไปลาน้องพร้อมจุ้บเหม่งใสๆ หนึ่งทีอย่างเอ็นดู เป็นธรรมเนียมครับ ไม่ทำโดนงอน

“ทุกวันนี้กูสงสัยว่าตัวเองเป็นพี่ถูกเก็บมาเลี้ยงปะวะ น้องถึงไม่รักแถมยังใจร้ายกันได้ลงคอ...” เฮียทำปากมุบมิบบ่นกับตัวเอง แต่ก็เดินตามมาจุ้บน้อง

“บ้ายบาย ตั้งใจเรียน”







“ไปละเด้อ” ผมบอกพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกเมื่อรถของเฮียมาจอดสนิทอยู่หน้าคณะ

“ไหนมาจุ้บก่อน” ผมยื่นหน้าฝั่งเฮียคราม แต่สายตาก็ก้มสำรวจของว่าเอามาครบรึเปล่า


จุ้บ!


“ตั้งใจเรียนนะไอ้จิ๋วของเฮีย แล้วก็...กลับบ้านบ่อยๆ นะเว้ย คิดถึง” เฮียมันลูบผมพร้อมคำอวยพร ผมพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจุ้บเหม่งพี่มันคืนจนเฮียยิ้มหน้าบานเป็นจานข้าวหมา เปิดประตูรถเตรียมจะออก

“แล้วตอนเย็นให้เฮียมารับหรือยังไง?”

“ไม่อะ เดี๋ยวให้เพื่อนไปส่งที่หอ”

“ข้าไปละนะ”

“ชิ้วๆ” ผมลงจากรถปิดประตูแล้วยืนโบกมือลาเฮียฟ้าครามที่ขับรถออกไปจนลิบ ผมก็เดินเข้าคณะตัวเองทันที



“เชี่ยมุ่ย” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็เห็นไอ้แก๊ปโบกมือให้ขณะเดินมา

“ชุดเด็กน้อยอะไรของมึง” พอมาถึงตัว มันก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำหน้ายุ่งถามผม

“ชุดอากงอย่างมึงมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ”

“ไปเรียนดีกว่า”

“เปลี่ยนเรื่องไอ้เหี้ย รอกูก่อน!” พูดจบมันก็เดินลิ่วนำผมไปเลย ผมยืนส่งไลน์หาไอ้เจ๋งให้รีบมาแล้ววิ่งตามแก๊ปไป ผมรู้สึกได้ว่าเชี่ยนี่ต้องเข้าสายแน่นอนเลยส่งเตือนมันไปก่อน

ขอตัวก่อนนะครับ พอดีเป็นคนตั้งใจเรียน อิอิ







“มุ่ยแกไปหยิบถังสีมาให้หน่อย”

“ทำไมแกต้องใช้เรา”

“ก็เห็นแกนั่งเหม่อมาจะชั่วโมงแล้วเนี่ย ไม่ช่วยอะไรเลย ไปไป๊ ไปหยิบมา!”

ผมมุ่ยหน้าอย่างขัดใจแต่ก็ยอมเดินไปหยิบถังสีตามที่เพื่อนร่วมคณะสั่ง หลังจากที่นั่งเหม่ออยู่ตรงลานศิลป์ไม่ทำอะไรซักอย่างอยู่นาน ผมโคตรเซ็ง หลังจากประชุมกับพี่ปีสูงวันนั้นก็มีนัดแนะแบ่งงานกันไปให้กับคนที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือไอ้พวกว่างๆ นั่นแหละซึ่งรวมผมด้วยแหงอยู่แล้ว เด็กปีหนึ่งที่ช่วงบ่ายไม่มีเรียนเช่นผมก็ต้องลงมาช่วยงานของคณะแถมมีพี่ปีสองปีสามมาช่วยคุมงานอยู่บ้างประปราย

เฮ้อ จะอ้างชมรมก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่วันงานกีฬาไม่ต้องไปเก็บภาพอะไรที่ไหน ไอ้แก๊ปก็ไปซ้อมวิ่ง ผมกับเจ๋งจึงต้องมานั่งแกร่วกันอยู่แบบนี้


ตรงๆ เลยนะ

อยากไปหาน้ำตาล กร๊าก!


คิดถึ้งคิดถึง ไม่ได้เจอมาเป็นอาทิตย์ไม่มีกำลังใจเลย ไอ้แวบๆ ผ่านๆ น่ะมี แต่ก็ไม่เคยทักหรอกส่วนใหญ่ก็ยิ้มให้อย่างเดียว

ไอ้บีมก็มา แต่เราจะข้ามมันไป

พูดก็พูดเหอะครับ สารภาพความจริงเลยนะอย่าเอาไปบอกใคร จุ๊ๆ ไว้

ผมเริ่มไม่ค่อยใจเต้นกับเธอเท่าไหร่แล้ว อย่างเวลาเดินสวนกันผมสามารถทักทายเธอได้ปกติ ไอ้เขินมันก็เขินอยู่ครับ แต่ไม่ได้ตะกุกตะกักเหมือนช่วงแรก คงเพราะน้ำตาลไม่ได้พูดคุยหรือทำอะไรให้ผมรู้สึกเกร็ง แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากได้เธอมาเป็นแบบให้อยู่ดี คลาดกันไปคลาดกันมาไม่ได้นัดเป็นเรื่องเป็นราวซักที อาจจะเพราะทั้งผมและเธอต่างก็ยุ่งกันทั้งคู่ล่ะมั้ง

สารภาพอีกอย่าง อันนี้ลับสุดยอดของสุดยอด

เวลาคิดถึงน้ำตาลภาพบีมจะชอบแทรกเข้ามาตลอดเลยครับ หน้ากวนตีนๆ ของมันนั่นแหละ ช่วงแรกนี่งงมากว่ามันมาได้ไง หรือบางทีนั่งเปื่อยอยู่เฉยๆ สมองก็คิดถึงมันซะงั้น


คงเป็นเพราะผมหมั่นไส้มันมากไง เลยคิดถึงบีมไปเรื่อย

เออๆ ผมว่าใช่


“อะนี่” ผมวางถังสีลงบนลานข้างเพื่อน แต่ยังไม่ทันกลับไปนั่งเหม่อต่อ เพื่อนก็เรียกให้ผมทำงานทันที

“แกระบายตรงนั้นอะ เออๆ นั่นแหละ” ผมชี้จุดที่เธอบอกเพื่อความแน่ใจ จะให้กูระบายสีจริงดิ เรียลลี้?

“มิ้นๆ แกอย่าให้ไอ้มุ่ยมันระบายสีนะ” เสียงไอ้เจ๋งตะโกนมาจากฝั่งที่กำลังตอกไม้ไผ่กันอยู่ แม่งไม่กลัวเสี้ยนบาดเหรอวะ

“เอ้า ทำไมล่ะ”

“มันกาก! แกให้มันทำอย่างอื่น ให้มันร่างแบบเอาๆ” กูแค่ระบายไม่เก่งเฉยๆ ไอ้สัด มาว่าผมกากได้ไงเห้ย!

ผมถนัดด้านการวาดเส้นมากกว่าการระบายสี เมื่อก่อนก็กากอย่างที่ไอ้เจ๋งว่าจริงๆ นั่นแหละครับ ผมเป็นพวกใช้สีไม่ค่อยเป็น ยากมาจริงๆ สำหรับผม แต่ก็พยายามฝึกอยู่เรื่อยๆ นะ ไม่ได้จะกากไปตลอดหรอก

“เออ งั้นแกเอาแบบไปร่างกับกระดาษเปล่าตรงนั้นไป” ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ถือแบบไปนั่งวาด ซักพักก็มีเพื่อนเข้ามาช่วยวาดด้วย บางคนก็มาไกด์งานให้บ้าง

“เด็กๆ พี่ๆ เอาเสบียงมาให้ครับ” นั่งทำไปได้พักใหญ่ก็ได้ยินเสียงรุ่นพี่แว่วๆ ว่าซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ พวกที่นั่งทำงานอยู่ก็ร้องเฮกันแล้วลุกไปหาพวกพี่เขา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าจะสี่โมงแล้ว นี่กูทำมาชั่วโมงกว่าแล้วเหรอวะ

“มึงไม่ไปเอาข้าวเหรอวะ” ไอ้เจ๋งเดินมาถาม

“กูยังไม่หิว อิ่มข้าวเที่ยงอยู่เลยว่ะ” ผมว่าไปตามตรง วันนี้ตอนเที่ยงผมโดนพวกมันสามคนรุมบังคับให้ทานข้าวให้หมดจาน กูฝืนจนแทบอ้วก พวกห่าเอ้ย ตอนนี้ผมเลยไม่อยากจะกินอะไรทั้งนั้น

“งั้นเดี๋ยวกูดูขนมให้ เผื่อมี” ผมครางอือรับคำ ก่อนจะนั่งก้มหน้าตั้งใจร่างภาพต่อ ไม่ถึงสิบนาทีก็สังเกตได้ถึงเงาที่ทาบลงมากับกระดาษ เชี่ยแม่งบังแสงกู คงเป็นไอ้เจ๋ง ผมเลยเงยหน้าขึ้นเพื่อจะบอกให้มันหลบไป

“เจ๋ง มึงหลบ- อ้าว? พี่สโม” เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เพื่อนตัวเอง ผมเอียงคอมองอย่างสงสัยพลางถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ เห้ยคือจำหน้าได้อะ รู้ด้วยว่าเป็นพี่สโม แต่...ชื่ออะไรนะ?

“ครับ พี่เอาขนมมาให้” ผมมองซองขนมปังที่ถูกยื่นเข้ามา


ฮืม...ผมไม่ชอบกินขนมปัง

แต่พี่เขาให้มาก็ต้องรับไว้ก่อนดิเนาะ


“ขอบคุณครับ” ผมผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ แล้วรับมา พี่มันก็ยิ้มกว้างเป็นจานดาวเทียมเลย

“แต่งตัวน่ารักจัง น้องมุ่ยเข้ากับเอี๊ยมมากเลย” พี่ที่จำชื่อไม่ได้ย่อตัวลงจนใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน

“ครับ ผมหล่อมาก เพื่อนก็บอก”

“ฮะๆ แล้วนี้ทำอะไรอยู่เหรอ”

“ร่างแบบอะพี่ พี่ใส่เสื้อบอล...” ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่มันสวมเสื้อบอลอยู่


เดี๋ยวนะ...รู้สึกเหมือนลืมอะไรซักอย่างตะหงิดๆ


“พี่เพิ่งแข่งเสร็จครับ ชนะด้วยนะ”

“อ่าๆ”

“เห็นว่าคู่ต่อไปวิศวะกับนิติ พี่ว่าจะไปดูอยู่เหมือนกันแต่เอาข้าวเอาน้ำมาให้น้องก่อน”

“วิศวะๆ ...” ผมพึมพำไปพลางวาดรูปต่อด้วย


“บีมอยู่วิศวะ วิศวะมีแข่ง อืม...”


“เสื้อบอลบีมอยู่ที่กู...ช่าย...วันนี้ก็เอามาอยู่ในกระเป๋า”


“เอ่อ น้องมุ่ยว่าไงนะครับ?”


“ไอ้ชิบหาย!”

“คะ..ครับ” พี่สโมมองผมอย่างตกใจที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นกะทันหัน

“พี่พาผมไปเร็ว!”

“ไปไหนครับ?”

“ไปหาบีม! ที่สนามบอลด่วนๆ ต้องเอาเสื้อไปคืนมัน ไปเลย!”

“อะ..โอเคๆ รถพี่จอดอยู่ตรงนู้น” พี่มันยืนทำหน้างงแต่ก็ชี้มือไปยังรถมอ’ ไซของตัวเอง ผมเดินนำพี่มันไปทันทีอย่างเร่งรีบ ซวยแล้วไงครับ กูว่าแล้วลืมอะไร แม่งลืมคืนเสื้อให้บีม แล้วบีมมันต้องใส่เสื้อบอลลงแข่งใช่ไหมอะ นี่ไม่รู้ว่ามันเริ่มแข่งรึยังด้วย


เอ๊ะ กูมีเบอร์มันนี่หว่า

โทรถามก่อนๆ


(ครับ?) รอสายไม่นานบีมก็รับ

“บีม! มีแข่งเหรอ”

(หืม?)

“กำลังจะเอาเสื้อไปให้ แม่งแล้วไม่บอกวะ”

(น้องมุ่ย?)

“เออๆ เดี๋ยวไปหา แค่นี้แหละ”


ว่าแค่นั้นแล้วผมก็วางสายจากบีม พยักเพยิดหน้าให้พี่สโมคนนั้นรีบสตาร์ทรถแล้วผมก็ขึ้นซ้อนทันทีพลางบอกพี่มันให้ขี่ไปที่สนามเลย







“วิศวะอยู่ฝั่งนั้นนะ”

“เคๆ ขอบคุณมากพี่” ผมไหว้เร็วๆ ขอบคุณแล้วเดินออกมา พี่เขาทำท่าจะเดินตามมาแต่โทรศัพท์เข้าเสียก่อนและเหมือนว่าจะมีเรื่องด่วนพี่เขาเลยรีบร้อนขี่รถออกไป


วกกลับมาที่ผม


“เฮ่!!!!!!!!!”

“วู้ววววววววววววว”

“วิศวะสู้ๆ !”

“นิติสู้ๆ !”


คนเยอะมาก

ไม่มีงานมีการทำกันเรอะ คนพวกนี้


ผมเดินไปพลางมองหาทางขึ้นแสตนด์ฝั่งวิศวะ พอเห็นว่าต้องเข้าจากข้างหลังผมก็เดินขึ้นบันไดตามคนแถวนั้นไป กว่าจะเข้ามาได้ก็เบียดกับคนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ผมเดินมายืนชะเง้อบริเวณราวเหล็กที่กั้นไว้ พอหันมองขึ้นไป โห พากันมาเชียร์ทั้งคณะเลยไหมเนี่ย ที่นั่งด้านบนมีจำนวนคนไม่น้อยเลยกรีดร้องเชียร์กัน ทั้งกลองเชียร์ทั้งพี่สันก็มาว่ะ แม่งเว่อกันจริงๆ ยังไม่มีฝ่ายไหนลงสนามกันเลยซักคนเถอะ

ผมจับราวไว้แล้วก้มลงมองไปที่สนามข้างล่างเป็นบริเวณข้างสนามที่นักกีฬาวอร์มกันอยู่ ผมพยายามเพ่งสายตามองหาบีมแต่ก็ไม่เจอ ไปไหนของมันวะ

“น้องมุ่ย”

“ห้ะ” มีคนสะกิดไหล่เรียกผม พอหันไปก็เจอกับน้ำตาล


งุ้ย ใจเต้นเลย


“มาเชียร์บอลเหรอ” น้ำตาลในชุดเสื้อช็อปถามผมอย่างสนใจพลางเอี้ยวตัวมองข้างล่างด้วยนิดหน่อย สายตาวาววับเหมือนพยายามจะจับผิดผม

อะไรของเขาอะ

“เปล่าๆ เราเอาเสื้อมาคืนบีม” ผมหยิบเสื้อออกจากกระเป๋าผ้าแล้วยื่นให้เธอดู น้ำตาลเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะถามอะไรผมแต่ก็ไม่ถามดันหลุดอมยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาซะงั้น

“แล้วนี่หามันเจอยัง?”

“ไม่เจอครับ”

“เดี๋ยวพาไปข้างล่าง มองจากข้างบนไม่เห็นหรอก”

“เห้ย ไปได้เหรอเธอ เราคนนอก เราฝากน้ำตาลเอาไปไห้ได้ไหม”

“เข้าได้น่า แค่แข่งคัดทีมเฉยๆ หรอก”

“เหรอ”

“อีกอย่าง มุ่ยเอาไปให้กับมือเองน่าจะดีกว่านะ” น้ำตาลส่งยิ้มบางพิฆาตมาให้แล้วจับจูงมือผมให้เดินตามเธอไป


โอ๊ย! จับมือกันด้วย!


ฮือ~ เขิน~


น้ำตาลพาผมฝ่าเหล่ากองเชียร์ออกมาแล้วจูงมือผมเดินผ่านทางเข้าสนาม ผมมองมือตัวเองที่ถูกกุมด้วยมือของน้ำตาลแล้วก็ได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม ห่ามึงเอ้ย...

“ก้าน! เห็นบีมปะ”

“นั่งหน้าแห้งอยู่นั่น มาก็สายแถมใต้ตานี่คล้ำเชียว”

“นอนดึกมั้ง”

“เออแกเห็นเสื้อบอลมันบ้างไหม”

“ทำไมเหรอ”

“ก็เสื้อมันหายไปไหนไม่รู้อะดิ ถามก็เอาแต่ยิ้มผีบ้าผีบอ”

“หึๆ”

“อ้าว! แล้วนั่น น้องมุ่ย”

“อือ ฝากด้วยนะ เราไปก่อน” น้ำตาลปล่อยมือ ทำให้ผมรู้สึกเสียดายนิดๆ แล้วรุนหลังผมให้เดินไปข้างหน้าพลางขยิบตาส่งมา จากนั้นก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างจากแอทแทคเมื่อตะกี้

“โอ๊ย...ใจกู”

“น้องมุ่ย!”

“หะ” ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียกก็เจอกับหัวเทาที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

“มาทำอะไรที่นี่เนี่ยครับ”

“อ่า...บีมอยู่ไหน?” ผมเลี่ยงที่จะตอบ แล้วชะเง้อมองหาใครอีกคนแทนพลางมองรอบๆ ข้างสนามฝั่งวิศวะนักกีฬาฟุตบอลก็เยอะอยู่เลยนะครับ ตัวสำรองนี่พรึ่บพรั่บ

“ไม่สนใจกันเลยแฮะ...ไอ้บีม นั่งอยู่นั่นน่ะ” ผมมองตามที่คนหัวเทาชี้ก็เห็นไอ้ตัววุ่นวายใส่เสื้อสียืดขาวกางเกงบอลนั่งนวดขาหลบมุมอยู่กับพื้นหญ้า กูถึงว่ามองจากข้างบนไม่เจอ แม่งนั่งหลบอยู่ตรงนี้นี่เอง

ผมผละจากคนตรงหน้าแล้วเดินเข้าไปหาบีมทันที แล้วไปหยุดยืนจังก้าอยู่ตรงหน้ามัน ทำให้บีมเงยหน้าขึ้นมามองไม่นานรอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดขึ้นจากมุมปากของมัน

“เอาไป”

“แต้งกิ้ว”

บีมพูดแค่นั้นแล้วถอดเสื้อยืดสีขาวออก โด่ว ทำมาเป็นโชว์ หุ่นดีตายห่าล่ะ


เออ ดีจริง

อิจฉาแป้ป


“มาเชียร์กูเหรอ น้องมุ่ย” หลังจากสวมเสื้อบอลเสร็จ คนตรงหน้าผมก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางบิดตัวไปมาเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ

“เปล่า กูมาเชียร์นิติ”


ผัวะ!


“เห้ยๆ ตบหัวทำไมวะ อยากมีเรื่องอ๋อ” มันผลักหัวผมจนเซ ผมหันขวับมามองหน้าบีมอย่างเอาเรื่องมือก็ยกขึ้นถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าหาบีม

“หมั่นไส้”

“ตัวๆ เลยเด้”

“อย่างมึงแค่ลมพัดก็ปลิวแล้วมั้ง”

“เจอกันได้! ม๊า!”

“วันนี้แต่งตัวน่ารักนะ”

“โอ๊ย! ทำไมวันนี้ใครๆ ก็ชมว่ากูหล่อ เบื่อว่ะ” ผมร้องออกมาพลางกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย


คือหล่อจนเหนื่อย


“ไอ้น้องมุ่ยเอ้ย” มันวาดแขนล็อคคอผมแล้ววางมือขยี้ศีรษะผมอย่างแรงจนผมที่ถูกมัดไว้ร่วงหลุดออกมา ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากดิ้นไปมาขยับเอนหัวหนีมือมัน


“บีม! ปล่อยนะเว้ย!”

“หมั่นไส้ มันเขี้ยว” บีมกระซิบกัดฟันพูดข้างหูผมเหมือนอยากจะกัดให้จมเขี้ยว ลมร้อนๆ พัดผ่านใบหูทำเอาขนลุกเกรียว แถมหน้ายังร้อนขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

“เอ้าๆ เขาเรียกรวมแล้วไอ้บีม มัวแต่ยืนฟัดน้องมันอยู่นั่น” ทั้งผมและบีมชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนในทีมของบีม ผมอาศัยจังหวะนั้นลอดตัวออกมาจากวงแขนแล้วยืนทำหน้าบึ้งใส่มัน


กูไม่พอใจ!

ไม่พอใจมาก!

ทำอย่างนี้กับกูได้ยังไง!

ผมหลุดหมดเลย!


“ฮ่าๆ” ผมแกะอย่างมัดผมออกมาใหม่รวบผมตัวเองขึ้น แต่ยังไม่ทันมัด บีมก็คว้าแขนแล้วลากผมไปตรงที่นั่งข้างสนาม อะไรของมันเห้ย

“นั่งอยู่นี่” บีมผลักผมให้นั่งลง ข้างๆ กันมีผู้ชายใส่แว่นตัวเล็กๆ นั่งกอดกระเป๋าเป้มองผมกับบีมตาปริบๆ

“ทำไมต้องนั่ง” ผมหันมาเถียงบีมอย่างเอาเรื่อง

“เดี๋ยวซื้อเยลลี่หมีให้ รอกูแข่งจบ”


มึงจะซื้อกูด้วยเยลลี่กากๆ งั้นเรอะ!?

เหอะ!


“มึงจะซื้อพุดดิ้งให้กูด้วยรึเปล่า?”

“กูซื้อให้สามอันเลย”

“กูขอเยลลี่หมีเยอะๆ เอาพุดดิ้งอันเดียวพอ”

“โอเค ดีล”

“ดีล!”





“แว่น” พอนั่งดูบีมแข่งไปซักพักผมก็เริ่มเบื่อ มันเล่นเป็นผู้รักษาประตู ก็งั้นๆ อะ ผมจึงหันไปเรียกคนที่นั่งข้างๆ เพื่อหาเรื่องคุย บีมมันก็เล่นงั้นๆ แหละ อย่าไปอวยมันมากผมขอ

เอ้า! เรียกไม่หัน

“ไอ้แว่น” ผมเสียงดังขึ้นอีกนิดจนมันสะดุ้งแล้วหันมามองผมพลางชี้ตัวเองเป็นเชิงว่าเรียกเหรอ

“เออ กูเรียกมึง”

“มีไร...อะ” คนข้างๆ ดันแว่นขึ้นเล็กน้อยแล้วมองหน้าผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ อะไรของมึงเนี่ย

“มึงมาเชียร์ใคร”

“เอ่อ...เปล่า กำปั้นลากมา”

“อ๋อ” กำปั้นนี่ใครนะ?

ผมเออออไปตามเรื่องตามราว แล้วจ้องหน้าเพื่อนแว่น จนมันทำตาโตดันแว่นขึ้นอีกรอบ

“น้อง...มาเชียร์บีมเหรอ”

“โถ้ะ! อย่างนี่อะนะมาเชียร์มัน!” ผมพูดขัดคนตรงหน้าทันที พูดแล้วรำคาญ

“อ่อ อืม”

“เมื่อกี้เรียกน้องเหรอ แว่นอยู่ปีอะไร แล้วคณะอะ?”

“ปีสาม...เกษตร”

“พี่แว่นเกษตร! นี่ชื่อมุ่ยนะพี่ โห่ย นึกว่ารุ่นน้อง” ตัวกระจึ๋งเดียวเองไม่คิดว่าจะอยู่ปีสูง

“พี่ชื่อ...”

“เห้ย พี่ๆ นิติจะยิงเข้าแล้วๆ ! ยิงอัดหน้าบีมมันเล้ยๆ ผมเชียร์นิติว่ะ”

“คือชื่อพี่-”

“ผมไม่เชียร์หร้อกวิศวะอะ เบๆ”

“อืม...พี่ชื่อแว่นก็ได้...”



ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


“เฮ้!”

“วิศวะไม่เคยแพ้ใครกูบอกเลย!”

“ยกความดีความชอบให้พี่กำปั้นเขานะครับ!”

“ชนแก้ว!”

“นี่พวกแก ร้านพี่ไม่ใช่ร้านเหล้านะโว้ย มาชนกงชนแก้วอะไรเล่า”

“เอาน่าพี่มีน พรุ่งนี้พวกผมมีสอบเข้าร้านเฮียตั้มไม่ได้ เลยมาฉลองที่นี่แทนไง”

“เอ้า ชน!!”

ผมนั่งทำหน้าตายสนิทอยู่ข้างพี่แว่นเกษตร ตักนมสดราดบนพุดดิ้งจากร้านสะดวกซื้อที่บีมซื้อให้ตามสัญญา เราสองคนถูกลากมาที่ร้านนมหลังจากที่พวกบีมแข่งเสร็จ จำได้ไหมครับร้านที่เฮียตั้มเปิดนั่นแหละ เปิดให้พี่มีนเมียเขา ผมเถียงกับบีมแทบตายว่ายังไงก็จะไม่มา สุดท้ายแม่งเอาขนมมาล่อ

ร้านน่ารักดีนะครับ ตกแต่งสบายๆ มีทั้งโซนด้านนอกและโซนด้านใน แต่ดูเหมือนตอนกลางคืนจะปิดโซนนอกไว้เพราะมันค่อนข้างมืดและอันตราย ทั้งแมลงทั้งยุง เผลอๆ มีงู

แล้วบีมให้ผมซ้อนรถมอ’ ไซของมันมา โอโหให้ตายเถอะครับ! แม่งขี่เร็วอย่างกับหนีด่าน ปาดซ้ายแซงขวาทำเหมือนร้านนมมันจะหนีมึงอย่างนั้นแหละ เห็นใจกูหน่อยไหมไอ้บ้าเอ้ย

“น้องมุ่ย! พี่แว่น! ฉลองกันหน่อยเร็ว” เสียงจากคนตาตี่เรียก ที่มานั่งฉลองกันก็มีอยู่แค่สามสี่คน คนในทีมที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไปร้านเหล้ากัน ผมเงยหน้ามองแล้วหยิบแก้มนมร้อนที่ตอนนี้เย็นสนิทยกขึ้นทำท่าชนแก้วแล้วดื่มเข้าอึกใหญ่ๆ

“น้องมุ่ยดูไม่เอ็นจอยเลย กูเสียใจว่ะ”

“มึงไปบังคับน้องมาทำไมบีม!” คนตาตี่หันไปพูดกับบีมที่นั่งอยู่ข้างกัน บีมหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“เออบีม ช่วงนี้มึงอดนอนเหรอวะ”

“นิดหน่อย กูเครียดๆ” ผมหันไปมองบีมทันทีที่เพื่อนมันทัก ก็ปกติอะ ใต้ตาคล้ำนิดหน่อยเอง

“อย่าคิดมากๆ ฉลองกันต่อดีกว่า เฮ้!”

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่นอย่างเบื่อๆ คุยแชทกับแก๊งกาก ฟ้องเพื่อนสารพัดกับเรื่องที่เจอมาในวันนี้ พวกมันก็เอาแต่หัวเราะสมน้ำหน้าผม อะไรวะ?



“น้องมุ่ย” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก

“ว่า?”

“ออกไปคุยกันหน่อยดิ” บีมเดินนำผมออกไปทางโซนด้านนอก ท้ะงผมและเพื่อนบางคนของมันก็ทำหน้างงๆ แต่ก็พยักเพยิดให้ผมเดินตามมันไป







“มีเรื่องไรอะ” ผมเดินตามบีมมาเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามันนั่งรอผมอยู่ตรงม้านั่งที่วางชิดติดผนังกระจกร้าน

“เฮียตั้มจัดร้านดีเนาะ ไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้” ผมละสายตาออกจากบีมแล้วมองไปรอบๆ สวนขนาดเล็กข้างร้าน ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายและค่อนข้างโปร่ง เสียดายที่ไฟข้านอกมีดวงเดียวคือตรงม้านั่ง ทำให้สว่างแค่ส่วนนั้น แต่ผมว่าถ้าเป็นตอนเช้าหรือตอนกลางวันแสงคงจะส่องลงมาพอดี

ผมเดินไปนั่งที่ม้านั่งตัวยาวข้างบีมแต่เว้นระยะห่างออกมาหน่อยเผื่อมันทำมิดีมิร้ายผม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายไอจีสตอรี่ ซักพักผมก็รู้สึกถึงบีมที่ขยับตัวเล็กน้อย

“มึงกับบูไปไหนกันมา” น้ำเสียงจริงจังของคนข้างตัวทำให้ผมหันหน้าไปมองอย่างตกใจนิดๆ ไม่คิดว่าเรื่องที่คุยจะเป็นเรื่องนี้

“ก็...บังเอิญเจอเลยแวะมาส่ง” ผมเลี่ยงตอบตรงๆ

“คิดว่าเชื่อหรือไง น้องมุ่ย?” ดวงตาคมปลาบจ้องมาที่ผมเผยรอยยิ้มหยันเล็กๆ ที่มุมปาก


ไม่เห็นต้องทำหน้าโหดอย่างนั้นเลย


“หืม?”

“บีม”

“ว่า?”

“ก่อนจะมาถามกู ไปถามน้องมึงก่อนดีกว่าไหม” จบประโยค บีมก็นิ่งค้างไปสองวิ เจ้าตัวหันหน้ากลับมองตรงไปข้างหน้าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สายตาดูอ่อนลงกว่าเดิม ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“คิดว่ากูไม่ถามรึไง”

“ไม่รู้ดิ ไม่ใช่เรื่องของกู” ผมตอบตามตรง

“กูรู้ว่าบูแอบไปเรียนศิลปะ”

ฉิบหาย ไอ้น้องบู ความลับมึงรั่วไหลแล้ว!

“ก็รู้แล้วหนิ” ผมลอยหน้าลอยตาตอบ ยกขาขึ้นมาข้างนึงแล้วเอาคางเกยกับเข่าตัวเอง

“อืม กูบอกให้มันไปลาออกซะ” ผมหันขวับใองหน้าบีมทันทีหลังจบประโยคนั้น แต่บีมก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาเลย

“กูกับน้องทะเลาะกันหนัก แล้วตอนนี้มันไม่กลับห้องมาสองวันแล้ว”

“แค่อยากจะถาม...รู้ไหมว่าน้องอยู่ที่ไหน”

หลังบีมพูดจบ เราสองคนก็นั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตัวผมเองค่อนข้างจะทึ่งที่น้องบูมันหนีออกจากบ้าน ไอ้นี่ใจมันได้ แต่ต้องทะเลาะหนักแค่ไหนกันนะ

ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของบีม ก็พอจะเห็นได้ลางๆ ว่าใต้ตาดูคล้ำเหมือนคนนอนไม่พอ

“น้องมันเรียนที่โรงเรียนพี่กูเองอะ กูไปช่วยงานเขาบ่อยๆ ครั้งล่าสุดที่ไปก็เจอกับบูพอดี”

ไอ้น้องบู กูขอโทษนะเว้ย แต่เห็นหน้าพี่มึงแล้วสงสารชิบ

“น้องมันวาดรูปใช้ได้เลยนะ” ผมเสริม

“น้องมันไม่มีรถกลับ กูเลยอาสามาส่ง”

“บูมันตกใจแย่เลยดิ น้องมุ่ยขี่รถเร็วขนาดนั้น” บีมกระตุกยิ้มมุมปากเล็กๆ ทำให้ผมต้องแอบร้องเย่ในใจรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย

บีมเวอร์ชันนี้รับมือยากพอๆ กับตอนมันเป็นผีบ้าเลย

“กูขี่รถดีใครๆ ก็บอก”

“ดีก็เหี้ยแล้ว ไอ้น้องมุ่ย” บีมฉีกยิ้มบาง หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย พลางเอื้อมมือมาขยี้ศีรษะผม ใบหน้าดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังเหลือรอยความกังวลอยู่บ้าง

“เออน่า”

“อยากรู้ไหมทำไมกูถึงห้าม”

“แล้วแต่มึง” ผมยืดตัวขึ้นยักไหล่เป็นเชิงยังไงก็ได้ แล้วยกขาอีกข้างขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง

“แต่กูเป็นผู้ฟังที่ดีนะ” ผมยิ้มออกมา บีมมองหน้าผมอย่างชั่งใจ แล้วหันกลับมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม

“เอาที่มึงสะดวกนะบีม กูไม่ได้-”

“ไม่เป็นไร...”

“...”

“เมื่อก่อนตอนอยู่มัธยมกูกับบูเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก ไปไหนไปกัน น้องมันติดกูสุดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร ทั้งเรื่องดีเรื่องร้ายก็เจอด้วยกัน เราคุยกันทุกเรื่องทั้งเรื่องเรียน กิน เที่ยว เล่นหรือเรื่องผู้หญิง แต่กูก็ปกป้องมันเสมอ ตามสไตล์พี่ชายอย่างกู”

ได้ยินไหมเฮียคราม ได้ซักครึ่งหนึ่งของเขาไหมน่ะ

“จนวันหนึ่งกูต้องเตรียมสอบเข้ามหาลัย ช่วงนั้นก็ยุ่งมากมึงคงเข้าใจ” ผมพยักหน้า “จนกูกับน้องแทบไม่ได้คุยกันแต่มันก็ไม่ใช่สาเหตุนั้นหรอก”

“ที่บ้านไม่เคยบังคับเรื่องเรียนของกูกับน้อง กูเลือกสอบเข้าวิศวะมหาลัยหนึ่ง กูอ่านหนังสือหนักมากแต่ก็สอบไม่ติด กูเลยแย่ ยิ่งพยายามมากก็ยิ่งเฟลหนัก แต่กูก็หาเรื่อยๆ จนเห็นว่ามหาลัยเรามีคณะที่กูต้องการระบบการศึกษาก็อยู่ในระดับที่ดีมากก็เลยสมัคร แล้วอย่างที่เห็น กูสอบติดได้เข้าเรียนสมใจ”

“พอย้ายมาอยู่ที่นี่กูกับบูก็คุยกันบ้าง ส่วนใหญ่น้องมันก็ถามตลอดว่าเรียนสนุกไหม เรียนยังไง กูเห็นว่าน้องสนใจเลยสปอยเต็มที่ จนวันหนึ่งมันบอกว่าอยากเรียนคณะเดียวที่เดียวกับกู ซึ่งกูก็เห็นด้วยอยากให้มันมีอนาคตที่ดี กูเลยคุยกับที่บ้านให้น้องย้ายขึ้นมาอยู่ด้วยกัน มาเรียนมัธยมที่นี่จบแล้วก็สมัครเข้ามหาลัยได้เลย”

“แต่กูดันไม่มีเวลาดูแลบูเท่าไหร่ ทั้งเรียน งาน กิจกรรม มีหลายครั้งที่เหมือนน้องจะเข้ามาคุยมาปรึกษากูเรื่องเรียนต่อแต่กูก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้ เป็นแบบนี้มาตลอดจนวันหนึ่ง กูเผลอว่าให้น้องมันเพราะเหนื่อย และไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรยากตรงไหน ในตอนนั้นกูไม่เข้าใจว่าบูต้องการอะไร เราทะเลาะกันหนักมาก จนน้องมันพูดออกมาว่าไม่อยากเรียนวิศวะแล้ว มันอยากเข้าศิลปกรรม”

“กูงงหนัก เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้น ด้วยความเป็นห่วงกูคิดว่าน้องอยากเรียนตามเพื่อน กูห้ามมันสารพัด พอคุยกับที่บ้าน เขาก็ว่ายังไงก็ได้แล้วแต่น้องแต่กูไม่ กูไม่เชื่อว่าน้องอยากเรียนจริงๆ เราเริ่มคุยกันไม่เข้าใจมากขึ้น เพราะบูยืนยันว่าจะเข้าให้ได้”

“ทุกวันนี้ก็อย่างที่เห็น แทบไม่คุยกัน พอรู้ว่ามันเอาเงินเก็บไปลงคอร์สศิลปะกูก็...นั่นแหละ” บีมกัดริมฝีปากล่างถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง

“ถ้าน้องมุ่ยเป็นกู น้องจะทำยังไง” บีมหันมาถามด้วยแววตาที่เห็นแล้วอยากลูบหัว น่าเอ็นดูเกิ๊น


เชี่ย เล่าซะยาว ขอกูประมวลผมก่อนนะ


“งั้น...กูก็ต้องถามมึงก่อนเลย”

“หืม?”

“บีมกลัวอะไร” บีมชะงัก เหมือนคำถามของผมจี้จุดเข้าเต็มๆ

“กลัวที่น้องอยากเรียนเพราะตามเพื่อน กลัวน้องเรียนแล้วไม่ชอบจนต้องซิ่ว กลัวมันไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต?”

“ที่มึงพูดมาไม่มีตรงไหนที่มึงไม่รักน้อง ไม่ห่วงน้อง แต่กูขอถามหน่อย นั่นชีวิตของใคร”

“ทำไมบีมเลือกที่จะเรียนได้ แต่น้องเลือกไม่ได้ล่ะ หือ? มึงบอกไม่รู้มาก่อนว่าทำไมน้องที่บอกเย้วๆ ว่าอยากเรียนคณะมึงจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจซะงั้น”

“น้องเคยมาขอคำปรึกษาไม่ใช่เหรอ น้องมาถามแล้วนะบีม แค่มึงไม่ฟังเขา แค่นั้นเอง”

“มันจะตามเพื่อนก็ช่างมันดิ มันจะซิ่วหรือจะยังไงก็ให้มันเรียนรู้เอง นี่ชีวิตน้องไม่ใช่ชีวิตมึง เราไม่ใช่ตัวน้องจะไปรู้ได้ยังไงว่าใจเขาอยากเรียนอะไรกันแน่ ที่บ้านยังไม่ว่าอะไรซักคำเลยนะ บีมเป็นพี่ชาย ห่วงได้ แต่ไม่ใช่ไปควบคุมชีวิตเขา ถ้าเขาจะผิดหวังหรือเสียใจกับสิ่งที่เลือก เท่ากับเขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว”

“ให้น้องมันได้เลือกทางของมันเองไม่ได้เหรอ ก็เห็นแล้วหนิว่าบูมันพยายามมาก เก็บเงินไปเรียนศิลปะขนาดนั้นโคตรเก่ง ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆ บีมแค่คอยประคับประคองน้อง คอยอยู่ข้างๆ เวลาบูมันผิดหวังเสียใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เท่านั้นก็พอแล้ว”


“ต่อให้บูเลือกผิด ก็ให้มันผิดที่น้อง ไม่ใช่ผิดเพราะพี่ ไม่อย่างนั้นจะเป็นบีมเองที่เสียใจ”


“กะ...ก็เท่านี้ คำปรึกษาจากคนอย่างนายฟ้ามุ่ย” ผมค่อนข้างจะอินเลยใส่อารมณ์ไปด้วยไม่น้อย ก็นะ คนอาบน้ำร้อนมาก่อน

บีมเงียบไปจนผมรู้สึกประดักประเดิดนิดๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ที่กูพูดไปแม่งฟังรึเปล่าวะ ไม่ใช่หลับนะเฮ้ย


“กูเข้าร้านแล้วนะ ยุงกัดจนขาลายหมดแล้วเนี่ย” ผมลุกขึ้นยืน ตบบ่าบีมสองสามทีแล้วเตรียมจะเดินออกไป


หมับ!


หือ?


ผมมองข้อมือตัวเองที่ถูกกำไว้หลวมๆ คนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาเหมือนเคย


“จะพยายาม”

“อ่อ...อือ” ผมยกมืออีกข้างเกาท้ายทอยตัวเองพลางพยักหน้ารับคำ จะเดินหนีเพราะรู้สึกใจมันแกว่งแปลกๆ แต่บีมก็ยังไม่ปล่อยมือ


จุ้บ


น่ะ...


สัมผัสเบาบางนุ่มหยุ่นที่ข้อมือ ทำเอาผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ตัวแข็งค้างแขนเกร็งขึ้นอัตโนมัติ ในสมองว่างเปล่าลืมหมดแล้วว่าจะตัวเองจะต้องทำอะไรต่อ


จุ้บ


สัมผัสนั้นย้ำอีกครั้งแถมยังกดแช่ค้างไว้ครู่หนึ่ง ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ อ้าปากเหวอกับสิ่งที่บีมทำ


แง๊!


“ขอบคุณนะครับ”


บีม...


มึงเล่นกูอีกแล้ว...


อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!






************************************************************

เจอกันอีกทีปีหน้านะคะ ขอตัวไปสอบไฟนอลก่อนแล้วววววววว เป็นกำลังใจให้กันด้วยเน้อ ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้นะคะ

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนพิเศษ2

เค้ากับเตง


“น้องมุ่ย”

“ว่า”

“...เปล่า ไม่มีอะไรละ”

ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีไหม เดี๋ยวมุ่ยแม่งด่าอีก ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีอย่างเรื่อยเปื่อย

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่า อีกซักพักก็จะถึงเวลานัดทานหมูจุ่มกันกับเพื่อนผมและเพื่อนน้อง ผมหันไปมองไอ้ตัวยุ่งนอนเอกเขนกเล่นเกมในโทรศัพท์สบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา ส่วนตัวผมเจ้าของห้องก็นั่งกับพื้นหลังพิงโซฟา

หลังจากเราทั้งคู่ตกลงที่จะอยู่สถานะความสัมพันธ์แบบคอมพลิเคทเตทแบบที่น้องมุ่ยมันบอก เอาจริงๆ คือก็คบกันแล้วนั่นแหละครับ คอมพลิคงคอมพลิเคทอะไรวะ


น้องมันบอกเรียกแบบนี้แล้วรู้สึกเป็นคนเท่ๆ


...ครับ


“บีม เดี๋ยวมะรืนไปส่งที่ถนนคนเดินตอนเย็นในเมืองหน่อยดิ” เจ้าตัวน้อยบอกกับผมแต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ เล่นมาจะชั่วโมงแล้ว สายตายิ่งดีๆ อยู่ไอ้เด็กคนนี้

“ไปทำอะไร”

“นัดถ่ายงานกับสาว”


แปะ!


“โอ๊ย! บีม ตายเลยเห็นไหม ตีทำไมเนี่ย โห่”

“ถ่ายกับสาวอะไร พูดให้มันดีๆ”

“ก็ถ่ายงานไง เอ้อ งงไรล่ะ”

“อย่าให้เห็นว่าแอ๊วเขา”

“ทำแมะ ทำแมะ...” ผมยิ้มขำกับท่าทางลอยหน้าลอยตาตอบของคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหยัดตัวขึ้นแล้วก้มหน้าเข้าไปฟัดกับแก้มนิ่ม ฟัดไปฟัดมาจนพอใจกับหน้าเห่อแดงเป็นมะเขือเทศสุกปิดท้ายด้วยการจุ้บเหม่งแรงๆ แล้วจึงผละออก น้องทำปากมุบมิบฟังไม่ได้ศัพท์มือก็กดลงระบายกับเกมในมือถือ ดูแล้วคงว่าให้ผมนั่นแหละครับ ฮ่าๆ

ผมกับงานของมุ่ยจะมีปัญหากันตลอด เด็กเชี่ยนี่ชอบถ่ายแต่กับผู้หญิงสวยๆ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรแต่เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมไปเฝ้าน้องมัน โอโห โดนสาวยิงมุกจีบกระจาย มันก็เขินบิดแล้วบิดอีกหน้าเน่อแดงไปหมด จนผมต้องขอเวลานอกเรียกมาปรับทัศนคติกันหน่อย


โคตรหึง

โคตรหมั่นไส้


“น้องมุ่ย”

“อะไร เรียกทำไมอีกอะ”

“มึงว่าคนเป็นแฟนกันนี่ต้องยังไง”

“ยังไง? อะไร?”

“เขาก็ต้องมีคำเรียกแทนกันป้ะ” นี่คือสิ่งที่กวนใจผมอยู่ตลอด เมื่อวานพวกเพื่อนผมแม่งพาแฟนมาทานข้าวด้วยกันเห็นพวกมันเรียกกันตัวอ้วน เค้า ตะเอง เบบี๋


เหอะ

ผมฟังแล้วแม่ง...


อยากมีบ้างอะครับ


“กูมึงนี่ไง”

“กูมึงใครก็เรียกกันว่ะน้อง คือกูอยากมีคำเรียกพิเศษๆ บ้าง” ผมทำหน้าจริงจังจนมุ่ยกดออกจากเกมแล้วขมวดคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ


เอ้า!

มึงงงอะไรอะ


“แล้วต้องเรียกอะไรวะ กูก็เรียกมึงบีม มึงก็เรียกกูมุ่ย”

“มันไม่หวานป้ะ”

“เอ้า! มึงจะเอาหวานแค่ไหน จะเอาหวานมากก็ไปเลียน้ำตาลนู่น โค้ะ”

“น้องมุ่ยกูซีเรียสนะเว้ย...” ผมตีหน้าบึ้งแล้วหันหน้ากลับมาจ้องทีวีตามเดิม


เรียกร้องความสนใจก่อนๆ


“...”


“...”


“โว้ะ! จะเรียกอะไร หันหน้ามาดิ้ ทำเป็นงอนๆ เดี๋ยวเจอทุบ” นิ่งกันไปซักพักน้องมุ่ยมันก็ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผมให้ขึ้นไปนั่งกับมันด้วย

“ก็ไม่ต้องเรียกก็ได้ไง กูก็ไม่ได้ว่าอะไร...” ผมทำเป็นเหมือนไม่สนใจอะไร แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง


“...”


“...”


“โง้ยยยยยยยย” น้องมุ่ยโถมตัวเข้ามากอดรัดผมแรงๆ แถมยังฝังใบหน้าตัวเองเข้ากับช่วงคอผมแล้วถูไปมา

“ฮ่าๆ จักจี้”

“ฮึ่ย! บีมนะบีม”


วิธีการง้อของไอ้เด็กกากครับ


น่ารักสัด


แต่ลมหายใจร้อนๆ กับตัวหอมๆ นั่นทำเอาหัวใจผมเต้นผิดจังหวะอยู่เหมือนกัน


“ไหน! จะให้เรียกยังไง แล้วไม่ต้องมาทำเป็นงอนนะ กูทุบจริงๆ” เจ้าตัวผละออกมากอดอกมองผมหน้ามุ่ย

“เบบี๋”

“บะ...บะ...บะ...” คนตรงหน้าผมทำหน้าเหยเกเหมือนกับสิ่งที่ออกจากปากผมมันเป็นคำพูดประหลาด

“เบบี๋”

“บะ...บะ...โอ๊ยยาก! มีคำอื่นไหมวะ”

“มึงก็ช่วยกูคิดหน่อย”

“บีมกับมุ่ยไงๆ”

“อันนี้ก็เรียกทุกวัน เบๆ” มุ่ยทำหน้าเซ็งกลอกตาไปมาพยายามนึกให้ออก เห็นแล้วตลกว่ะ ฮ่าๆ

“มึงกูนี่แหละ จบ! ”

“เค้ากับเตง”

“หะ...ห้ะ!? ”

“ไหนแทนตัวเองว่าเค้าดิ้”

“เค้า”

“เรียกกูว่าเตง”

“ตะ...เตง”

“เออเข้าท่า แบ๊วดี”

“...แบ๊ว...แบ๊ว...แบ๊วเชี่ยไรล่ะบีม! ”

“เอาอันนี้แหละ งั้นเดี๋ยวเค้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ผมลุกขึ้นเมื่อสรุปทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่น้องมันที่นั่งเอ๋ออยู่


“แล้วเตงจะเปลี่ยนไหม หรือจะไปชุดนั้นเลย”

“บีมกูว่ามันไม่-”

“เตงดิ”

“บีมกูไม่โอเค มึงเปลี่ยนเหอะ”

“เรียกเตง”

“บีมเฮ้ย...”

“เตงต้องฟังเค้านะ เราตกลงกันแล้ว เตงอย่ามาย้อนแย้งเค้าดิ”

“ตะ...ตะ...ตะ...”



“เตง...”



“อึ้ม ว่าไงครับ : ) ”





**************************************************

เขินไหม?

เขินเปล่า?

ฮ่าๆ

ไม่ได้เขียนแล้วจะลงแดงเลยค่ะ ฮ่าๆ เราอ่านหนังสือแล้วเครียดเกินไปเลยต้องมาเขียนย้อมใจกันหน่อย ฮีลตัวเองๆ

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 12

เธอเป็นยังไง สบายดีไหมเธอ



มะระมุ่ย : บูกลับบ้านยัง?


“โทรตามไอ้โป้ยัง”

“โทรแล้ว มันบอกเดี๋ยวตามไปที่ร้านเลย”

“เออๆ มึงไม่ได้เอารถมาใช่ปะ เดี๋ยวไปกับไอ้มุ่ยละกัน กูแวะเอางานไปส่งอาจารย์ก่อน” ผมเงยหน้ามองแก๊ปที่ขี่มอ’ ไซด์ออกไปก่อนแล้วกลับมาสนใจโทรศัพท์ต่อ

“เค ไอ้มุ่ยเอากุญแจมาเดี๋ยวกูขี่น้ององุ่นเอง”

“...”

“ไอ้มุ่ย”

“...”

“เชี่ยโม่ย!”

“หะ มึงว่าไงนะ?”

“กูบอกว่าเอากุญแจรถมา เดี๋ยวกูขี่มึงซ้อน”

“อ่อ เออ เอาไป”

“เหม่อไรมึง กูเห็นเดินจ้องโทรศัพท์ตั้งแต่เลิกคลาสละ”

“เปล่า...”

“งั้นก็รีบๆ กูหิวจนจะกินมึงได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”

“เออ”

หลังจากส่งกุญแจรถให้ไอ้เจ๋ง ผมก็เดินไปนั่งซ้อนโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ข้อความแชท มันหยิ่งจังล่ะครับ ทักไปถามแค่นี้ทำมาเป็นไม่ตอบ ขนาดรัวสติ้กเกอร์เป็นสิบยังไม่เห็นขึ้นว่าอ่านเลย


มะระมุ่ย : ตอบบบบบบบบบบบบบๆ


...เงียบ


บ่านี่โว้ย เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นห่วงน้องบูมันนะ อยากรู้ว่ามันกลับบ้านหรือยังหรือยังไง แต่ไอ้พี่มันดันไม่ยอมตอบกลับมาซะงั้น ฮ่วย!


เออ!


ไม่คุยด้วยแล้วสัด


“อะ หมวก” ผมยื่นมือไปรับมาแล้วสวมทันที วันนี้พวกผมคุยกันว่าจะไปหาอะไรทานข้างนอกมอ เพราะเลิกเรียนเลทโรงอาหารเลยเต็มเอี๊ยด ผมขี้เกียจรอเพื่อนมันก็ไม่อยากเดินหาเลยจบลงที่ทานข้างนอก ไม่ลืมชวนไอ้โป้ไปด้วย


ตอนแรกก็ไม่หงุดหงิดเท่าไหร่หรอก แต่พอบีมมันไม่ตอบไลน์ผมนี่ดิ


เดี๋ยวมึงเจ้อ!


“น้องมุ่ย!” ได้ยินเหมือนใครเรียก

“มึงเรียกกูเหรอเจ๋ง”

“กูจะเรียกมึงทำไมวะ”

“เออๆ” ผมกลับมาสนใจข้อความแชทในโทรศัพท์ต่อ เฮ้ย ขึ้นว่าอ่านแล้วอะ

“ไอ้น้องมุ่ย!” ใครมันเรียกกูอีกแล้ววะ

“มึงจะไปได้ยังไอ้เจ๋ง ยึกยักอยู่นั่นแหละ แล้วเรียกกูทำไมอีก” ผมชะโงกหน้ามองข้ามไหล่มันก็เห็นพิมพ์ข้อความคุยกับใครอยู่ก็ไม่รู้

“ไม่ได้เรียกโว้ย กูตอบน้องอยู่รอแป้ป”


เอ้า แล้วใครเรียก


“มุ่ย!”


เชี่ย!


ผมสะดุ้งโหยงเพราะตกใจกับเสียงที่อยู่ใกล้มากๆ พร้อมกับแรงสัมผัสที่ต้นแขน


“เรียกไม่หันนะ มึงอะ”

“บีม!”

“รัวแชทอะไรนักหนาครับน้อง”

“บีม!”

“เออ กูเอง” ผมทำตาโตมองคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ตัวจริงไหมครับหรือตัวปลอม เพิ่งด่ามันไปเมื่อกี้นี้เอง แล้วทำไมหน้ามันมืดๆ วะ

“หน้ามืดๆ นะบีม ไปทำอะไรมาเนี่ย”

“ถอดหมวกกันน็อคออกดิวะ ไอ้เด็กกากเอ้ย” เออว่ะ พอนึกได้ผมก็ปลดล็อคสายรัดคางแล้วถอดหมวกออกทันทีโดยมีบีมช่วยดึงออกให้ด้วย ก็เจอกับใบหน้ายิ้มๆ ที่ชวนใจสั่นเหมือนเดิม

“ออกไปห่างๆ หน่อยดิ้ มายืนใกล้ๆ ทำไม” พอมองหน้ามันชัดๆ ก็เห็นเหงื่อผุดซึมขึ้นตามกรอบหน้าพร้อมกับเสียงหอบน้อยๆ ของเจ้าตัว ผมเลยล้วงกระเป๋าผ้าของตัวเองหยิบทิชชู่ขึ้นมาสองสามแผ่น แล้วยื่นมือไปซับเหงื่อให้

“อะ...ไอ้มุ่ย”

“ไร” บีมมันก็ให้ความร่วมมือครับ ขยับใบหน้าให้ผมซับได้ถนัดมากขึ้น ปากมันก็ฉีกยิ้มจนจะถึงหูอยู่แล้ว ยิ้มไรนักหนาวะ

“ทำไรของมึงเนี่ย” เจ๋งเอียงตัวกระซิบถามผม

“ก็เช็ดเหงื่อให้บีมไง เห็นแล้วมันรำคาญ หยดติ๋งๆ” ผมตอบมันกลับไปโดยที่ยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าบีม รู้สึกได้ว่ามันขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เพราะไม่ต้องยืดแขนไปจนสุดเหมือนตอนแรก

“ทิ้งด้วย” พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วผมก็ยัดทิชชู่ใส่มือบีมกลับไป

“จะไปไหนกัน”

“ไม่เสือกดิ” ไม่ลืมนะว้อย ที่มึงไม่ตอบแชทอะ

“ไปกินข้าวครับพี่ ร้านหน้ามอ ไปด้วยกันไหมๆ” ไอ้เจ๋งเสนอหน้าชวนโดยไม่ถามผมซักคำ ผมเลยฟาดไหล่มันโทษฐานพูดอะไรไม่บอกกูก่อน

“อืม งั้นพี่ไปด้ว-”

“ไม่ให้! จะไปไหนก็ไป รำคาญ” ผมรีบพูดแทรกทันทีพร้อมแลบลิ้นให้อย่างหมั่นไส้ มันก็มองผมแล้วหัวเราะเบาๆ

“เชี่ยมุ่ย! นั่นพี่นะเว้ย มึงพูดแบบนั้นได้ไง”

“มึงเข้าข้างมันอ่อเจ๋ง กูเพื่อนมึง!”

“ไม่ใช่ คือกู-”

“พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องมุ่ยนะ”

“ไม่คุย”

“เรื่องน้องบู...” ผมชะงักเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของน้องชายบีม เหลือบตาไปมองก็เห็นมันทำหน้าเศร้าๆ


ง่ะ


“ฮึ่ย มึงไปกินกันเลย เดี๋ยวกูไปกับบีม” ผมฟึดฟัด ส่งหมวกกันน็อคให้เจ๋งแล้วก้าวลงจากรถ

“เอ้า แล้วรถมึงอะ”

“เอาไปจอดที่หอให้ด้วย ฝากกุญแจไว้กับลุงยามก็ได้” ไอ้เจ๋งพยักหน้าหงึกหงัก ไม่วายส่งสายตามีเลศนัยให้แถมยังชี้นิ้วไปมาระหว่างผมกับบีม

“อะไรของมึง ไปได้แล้ว ไปๆ” ผมมองเพื่อนขี่รถออกไปจนลับสายตาแล้วหันมาหาบีม

“เชี่ย...ตกใจหมด เข้ามาใกล้ทำไมเนี่ย ห่างๆ ดิ้” ผมผงะเล็กน้อยเพราะหันกลับมาก็เจอบีมยืนใกล้ในระยะประชิด อีกนิดมึงรวมร่างกับกูเลยเถอะ ผมเลยผลักอกมันให้ถอยห่างออกไป

“ร้อนเนอะ”

“ร้อนห่าอะไร อากาศออกจะเย็น” ผมมุ่ยหน้าตอบ

“ก็รีบวิ่งมาหาคนนี้ไง เลยร้อน” บีมยกนิ้วชี้ขึ้นมาดันหน้าผากผมเบาๆ อะไรของมันวะ

“ใครใช้ให้รีบอะ” ผมลอยหน้าลอยตาตอบ

“ควิซอยู่เลยไม่ได้ตอบ พอออกจากห้องมาเห็นข้อความพอดี ก็เลยรีบมาหาไงวะ เด็กเอ๋อนี่” บีมจุดยิ้มมุมปากเป็นเชิงล้อๆ

“อ๋อ” ผมลากเสียงยาว ทำเป็นว่าเข้าใจ ตาเสมองไปทางอื่นอย่างรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ อ่า มันสอบอยู่นี่เองเลยไม่ได้ตอบผม

“ไปกินข้าวกัน” บีมคว้าข้อมือผมแล้วดึงให้เดินตาม

“เอ้า ไหนว่าจะคุยเรื่องบู” ผมมุ่นคิ้วอย่างงงๆ

“ไปกินข้าวก่อนค่อยคุย...แล้วข้อมือหายเจ็บหรือยัง”

“อ่อ ได้ หิวเหมือนกัน” ผมพยักหน้า แล้วเดินตามบีมไปด้วยจนถึงรถ

“ข้อมือหายเจ็บหรือยัง?”

“หือ?” บีมหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมามองผม ดวงตาหลุบต่ำไปที่ข้อมือที่บีมจับอยู่

“หายตั้งนานแล้ว ช้ำแป้ปเดียวแหละ” ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่บีมก็ยังดึงข้อมือผมเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อเช็คว่าหายแล้วจริงๆ

“ต้องให้เป่าอีกไหม”

“ปะ...เป่าอะไร” ผมอึกอักเมื่อบีมช้อนสายตาขึ้นมามอง ทำเอารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ก็...เป่าแบบวันนั้น”

“มะ...ไม่ต้องโว้ย!” ผมกระชากมือตัวเองออกแล้วรีบวิ่งไปอีกฝั่งของรถทันที


ตึกตักๆ


วิ่งเร็วไง หัวใจเลยเต้นแรง


“ฮ่าๆ หน้าแดงนะน้องมุ่ย”

“ปลดล็อครถดิ้!”

“ฮ่าๆ”

.

.

.

“ทำไมบีมต้องพามาห้างด้วยวะ กินหน้ามอก็ได้ ถ้าเข้าร้านแพงบอกเลยนะว่าไม่มีตังหรอก” ผมเดินบ่นนำหน้าบีมเข้ามาในห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง นึกว่ามันจะพาไปกินแถวหน้ามอ แม่งพามาห้าง ยิ่งจนๆ อยู่ ผมเพิ่งไปถอยเลนส์ตัวใหม่มาตอนนี้จนกรอบยิ่งกว่าใบไม้แห้งค้างปีอีกครับ

“จะกินอะไรล่ะ เดี๋ยวเลี้ยง” ผมหยุดเดินหันขวับไปจ้องมองมัน บีมก็ยักไหล่ขึ้นเป็นเชิงว่ายังไงก็ได้แล้วแต่ผมผมไม่ชอบใจใบหน้าที่ติดจะยิ้มแย้มของบีมเลย มันเหมือนว่าผมเสียเปรียบมันอยู่ตลอดเวลา

“หืม? อยากกินอะไร” บีมเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แล้วยกแขนขึ้นวางพาดลงกับบ่าของผมพลางก้มหน้าลงมาถาม ลามปามละมึง

“เอาแขนออกไปก่อน หนักนะเนี่ย” ผมพยายามดันแขนบีมให้ร่วงลงไป แต่นี่แขนหรือท่อนไม้ครับ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนซักนิด จนเหนื่อยจะดันออกผมจึงปล่อยเลยตามเลย

“ร้านนั้นก็ได้ สีชมพูๆ” ผมชี้ไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นข้างหน้า ไม่ใช่เพราะอยากกินมากขนาดนั้นหรอกนะแต่ราคามันอยู่ในเรทที่ผมจ่ายได้โดยไม่เสียดายเท่าไหร่ เอาจริงๆ ถ้าไม่เกรงใจบีมผมเดินไปนั่งฟู้ดคอร์ดละ

“โอเค”

“มึงก็เก็บแว่นไว้ได้ตั้งนานเนอะ ไม่คิดจะเอามาคืนกันหร้อก เข้าใจชีวิตคนใส่แว่นแต่ไม่มีแว่นปะว่ามันลำบากแค่ไหน เวลาขี่รถอะ บีมก็รู้ว่ามอเราขับรถดีแค่ไหนกูไม่ร่วงถนนก็บุญเท่าไหร่แล้ว ทุกวันนี้คือกูต้องให้เพื่อนขี่รถแทนอะบีม” ผมเดินไปบ่นไปจนถึงหน้าร้านแล้วพนักงานก็พามาที่โต๊ะ ก็ว่าอยู่ว่าแว่นกูหายไปไหนแล้วมันจะหายไปได้ยังไงเพราะผมไม่ได้ถอดทิ้งมั่วซั่วซักหน่อย ที่ไหนได้บีมแม่งเก็บแว่นผมไว้ตั้งนานไม่ยอมเอามาคืน มันน่าทุบไหมล่ะครับ

“บ่นกูจังเล้ย พี่รู้แล้วครับน้องมุ่ย เลิกบ่นแล้วสั่งอาหารซักทีเถอะ” ผมมองหน้ามันอย่างไม่พอใจ ยัง ยังจะมาเร่งกูอีก

“อย่ามาเร่งนะบีม”

“ไม่เถียงๆ ยอม...ผมเอา...” บีมยกมือยอมแพ้แล้วหันไปบอกเมนูกับพี่พนักงาน ผมเลยก้มลงมาดูเมนูบ้าง


เอาถูกๆ ไว้ก่อน


“ผมเอาอันนี้อะครับ” ผมชี้บอกพี่เขาไป ราคาไม่แรงมาก แต่บีมก็ยกมือห้ามไว้ก่อน

“บอกแล้วว่าจะเลี้ยง” มันบอกตอนไหนนะครับ?

“จริงปะ?”

“เออ ทำอย่างกับตัวเองกินเยอะนะ ตัวแค่นี้ กินก็นิดเดียว”

“เอ้า! บีม-”

“เอาเซ็ตเบนโตะละกันจะน่าจะทานได้เยอะอยู่ ผมเอาเซ็ตนี้ครับ” ยังไม่ทันจะสวนมันกลับไปบีมก็ชี้นิ้วบนเมนูเบ็นโตะอะไรซักอย่าง เห้ย น่ากินดีอะ

ผมพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ปฏิเสธ เพราะความจริงก็หิวอยู่เหมือนกัน ผมมองพี่พนักงานทวนเมนูจนครบแล้วก็เดินออกไป ผมเลยหันกลับมาจ้องหน้าบีมอีกครั้ง

“อะไร”

“น้องบูอะ”

“ไอ้บูมันทำไม”

“ก็-” กำลังจะถามออกไปแต่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่เหมือนกัน การที่ผมไปรบเร้าถามบีมแบบนี้มันจะดีเหรอ มันอาจจะไม่อยากตอบก็ได้

“ไม่มีอะไรละ” ผมส่ายหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น เพราะไม่รู้จะคุยอะไรดี

“บูมันกลับมาบ้านแล้ว ตอนนี้-”

“เดี๋ยว! ไม่ต้องบอกก็ได้ มันเป็นเรื่องของครอบครัวบีม นี่ถามไม่รู้เรื่องเองอะ ขอโทษ” ผมรีบพูดตามที่คิดออกไปทันที

“หึ ก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่อยากรู้แล้ว”

“บอกได้น่า มันไม่ได้เป็นความลับอะไร” บีมเอื้อมมือมาขยี้ผม เหลือบตามองก็เห็นบีมยิ้มออกมาไม่ได้ทำหน้าโกรธหรือไม่พอใจอะไร ผมก็ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งใจ


ผมก็กลัวไปล้ำเส้นเข้าไง เรา...ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นซักหน่อย


“บูมันกลับมาบ้านแล้ว กูบอกที่บ้านไป แต่ก็ไม่มีใครโกรธอะไรมันเพราะพ่อกับแม่เป็นห่วงมากกว่า มีกูนี่แหละที่โดนด่า อย่างเละ”

“สมควร”

“หึ ก็จริง สมควรโดนด่าจริงๆ นั่นล่ะ ถ้าไม่ได้คำพูดน้องมุ่ยวันนั้นพี่บีมคงด่าบูกลับไปจนน้องมันต้องเกลียดยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ”

“มันก็...ไม่ใช่คำพูดที่ดีอะไร เคยเป็นมาก่อนก็เลยพูดให้ฟังเฉยๆ” จากที่มองหน้าบีมอยู่ดีๆ ผมดันรู้สึกเขินขึ้นมาซะงั้นจนต้องหลุบตาจ้องโทรศัพท์แทบจะทันที


ก็ใครใช้ให้มันแทนตัวเองว่าพี่บีมวะ


ไอ้สายตาวิบวับๆ นั่นด้วย


บ้าไปแล้ว


กูนี่แหละบ้าไปแล้ว


“แล้ว...บูมันก็ไม่ได้เกลียดอะไรมึงหรอกมั้งบีม”

“ไม่รู้ดิ”

“แล้วเรื่องที่น้องมันเรียนอะ บีมจะยังห้ามอยู่อีกหรือเปล่า” ผมคงถามด้วยสีหน้าที่คาดหวังไปหน่อยมั้ง บีมเลยเหมือนจะทำหน้าไม่ถูก

“บอกตรงๆ ว่ากูก็ไม่รู้ว่ะ แต่จะพยายาม”

ผมรู้ว่าบีมคงเป็นห่วงน้องมันมากๆ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำตามที่ผมเคยบอกได้ มันยากมากทีเดียวเพราะบีมเชื่อว่าน้องอยากเรียนคณะเดียวกันกับตัวเองมาโดยตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไป หวังว่าจะไม่ทำหน้าดุจนน้องมันกลัวแล้วหนีออกจากบ้านอีก

“เหม่ออะไรน้องมุ่ย อาหารมาแล้ว”

“ยังไม่เคยกินอันนี้เลยอะ เดี๋ยว มึงสั่งอะไรมาเยอะแยะเนี่ย กินหมดเหรอวะ” ผมมองเหล่าอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ยังไม่นับที่กำลังมาเสิร์ฟอีก

“ก็บอกว่าจะเลี้ยงไง” บีมทำน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นั่งมองอาหารไม่ยอมทานซักที

“เข้าใจว่าเลี้ยงแต่กินไม่หมดมันก็เปลืองตังเปล่าๆ อะบีม แค่พูดให้ฟังทำไมต้องดุด้วยวะ”

“...”

เหมือนลูกโป่งที่พองลมเต็มที่แล้วจู่ๆ ก็โดนเข็มทิ่มให้มันแฟบลง ผมรู้สึกอย่างนั้นเลย ไม่ใช่ว่าผมเรื่องมากอะไรหรอก แต่สั่งมาขนาดนี้ทั้งๆ ที่กินกันแค่สองคน เอามาถมที่หรือยังไงครับ


เข้าใจว่ารวย แต่ใช้เงินเป็นเบี้ยแบบนี้โคตรไม่โอเค


ผมกับบีมนั่งทานกันไปซักพักโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร วันนี้ผมคงหิวมากๆ เลยทานอาหารเกือบหมด แต่แค่ของตัวเองเท่านั้น อย่างอื่นที่บีมสั่งมาผมก็ทานบ้างแต่สุดท้ายก็ไม่หมดอยู่ดี เห็นไหมบอกแล้วว่าทานไม่หมดบีมเองก็เหมือนกัน

“น้องมุ่ย...” ผมที่กำลังนั่งไถทวิตไปเรื่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองบีมแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

“ไปกันเถอะ”

“เฮ้ย ดะ...เดี๋ยว” บีมพูดแค่นั้นแล้วลากผมออกมา ผมมองบีมจ่ายเงินอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ลากผมออกจากร้านแล้วพาเดินไปเรื่อยๆ

“จะไปไหนอะ” ผมเอียงคอถาม

“ง้อน้องมุ่ย” แน่ะ ยิ้มหวานให้กูอีก ยิ้มพร่ำเพรื่อนะเนี่ยมึง

“หือ? ง้อกู ง้อทำไมวะ ไม่ได้งอนอะไรหนิ” ผมมุ่นหัวคิ้วด้วยความงงงวย นี่กูไปงอนมันตอนไหนวะ

“ขอโทษที่ดุเมื่อกี้ในร้าน ไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากให้มึงทานเยอะๆ ตัวผอมยิ่งกว่าไม้เสียบผีซะอีก”

“ไม่ได้งอนอะ ก็บอกแล้วไงว่าแค่พูดให้ฟัง”

“อยากไปไหนอีกไหม” บีมทำเป็นไม่สนใจที่ผมพูดแล้วยกแขนขึ้นมาพาดบ่าผมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือดึงให้ผมชิดกับเจ้าตัวมากขึ้น

“ห่างๆ หน่อยไหมมึง อึดอัด”

“อย่าเพิ่งพูดดิ กำลังง้ออยู่”

“ก็บอกว่าไม่ได้งอนไง พูดไม่รู้เรื่องอ๋อ หะ หะ หะ” ผมเขย่งเท้าแล้วยกมือขึ้นไปขยี้ผมมันอย่างหมั่นไส้ บีมก็ยอมแต่โดยดีแถมยังก้มหัวลงมาให้ด้วย


“น่ารักจัง คิกๆ”

“อย่าเสียงดังดิแก เดี๋ยวเขาก็ว่าเอา แต่น่ารักจริง เขินเลยง่า คิกๆ”


เสียงของคนที่เดินผ่านไปผ่านเข้าหูผมพอดี ทำให้ผมต้องเหลียวหลังมองตาม

“เขาพูดถึงใครวะ”

“หมามั้ง”

“เหรอ หมาที่ไหนอะ เขาไม่ให้นำสัตว์เข้าห้างไม่ใช่เหรอ”

“หึๆ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าขำตรงไหนเลย”

.

.

.

“กูอยู่ในนี้แหละ อีกซักครึ่งชั่วโมงมาเจอกันหน้าร้าน” ผมสะกิดแขนบอกบีมแล้วเตรียมเดินเข้าร้านทันที

“ไปด้วย”

“หือ? นี่จะมาหาซื้อพวกดินสอปากกา มึงก็จะซื้อเหรอ” ผมทวนถามอีกครั้ง มองบีมเดินตามผมต้อยๆ เหมือนหมาเลยอะ ฮ่าๆ

“กูไม่รู้จะไปไหน”

“เค้ ได้ อย่าบ่นว่าเบื่อให้ได้ยินนะเว้ย” บีมพยักหน้า ผมจึงปล่อยให้มันเดินตามมา เวลาผมเข้าร้านเครื่องเขียนทีไร เหมือนจมอยู่ในโลกของตัวเอง ผมชอบที่จะเดินดูของไปเรื่อยๆ นึกอะไรออกก็หยิบอันนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสมุดดินสอปากกา บางทีจะหาซื้อสีน้ำสีอะคลิลิกมาฝึกวาดบ้าง ก็ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องการใช้สีเท่าไหร่นี่ครับ มันก็ต้องฝึกกันหน่อย

“พวกปากกาสีๆ น้องกูโคตรชอบ” ผมชี้ให้บีมดูเหล่าปากกาหลากหลายสีที่วางเรียงรายอยู่เต็มชั้นวาง น้องผมนะบ้าเครื่องเขียนมาก ถ้าพามาด้วยฟ้าใสคงอ้อนให้ผมซื้ออีกแน่ๆ

“กูก็มีเยอะอยู่นะ ต้องใช้จดเลคเชอร์”

“เหรอ กูอะปากกากับดินสออย่างละด้ามก็พอแล้วถ้าเอาไว้จดงาน ลิควิดไม่ต้อง ขีดฆ่าเอา ฮ่าๆ”

“แล้วถ้ามาอ่านทีหลังจะรู้เรื่องเหรอน้องมุ่ย”

“หึ” ผมส่ายหน้า “รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ขอแค่ได้จด เข้าใจปะ”

“ไอ้น้องมุ่ยเอ้ย” บีมส่ายหัวยิ้มๆ กับความคิดของผม ถ้าให้เลือกหยิบปากกาแต่ละสีมาจดระหว่างเรียนผมก็ไม่รู้เรื่องกันพอดี ไอ้ครั้นจะให้มานั่งจดสรุปอีกทีก็ขี้เกียจแล้วด้วย

ผมหยิบปากกากับดินสอมาพอใช้แล้วเดินไปตรงโซนสมุดต่อ หันไปมองก็เห็นบีมมันเล่นโทรศัพท์อยู่ผมเลยชี้นิ้วบอกว่าจะไปตรงโซนนั้นนะ บีมก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“บีม ถามหน่อย”

“หือ ว่าไง”

“ระหว่างมีเส้นกับไม่มีเส้น เอาอันไหนดี” ผมยกสมุดสองเล่มมาให้บีมดู เป็นสมุดจดบันทึกทั่วไปมีหน้าปกสีน้ำตาลไม่มีลวดลาย ผมชอบมากเพราะสามารถวาดอะไรลงไปบนหน้าปกก็ได้ ดูเป็นสมุดของเราคนเดียว

“แล้วปกติใช้แบบไหน”

“ไม่มีเส้น แต่ก็อยากลองแบบมีเส้นดูบ้าง”

“ก็เลือกแบบมีเส้นดิ”

“เดี๋ยวดิบีม มึงเลือกให้หน่อย”

“การที่คนเราจะเลือกของให้กันและกันได้เนี่ย คนทั่วไปเขาไม่ทำหรอกนะ”

“เอ้า แล้วต้องเป็นคนยังไงอะ” ผมทำหน้างง บีมยิ้มกรุ้มกริ่ม ก้มหน้าลงมาใกล้แล้วพูดข้างหูผม ลมหายใจร้อนสัมผัสกับใบหูจนผมรู้สึกจักจี้จนต้องย่นคอนิดๆ

“ก็ต้องเป็นเพื่อน ไม่ก็...แฟน”


ฮึบ!


“กูเอาอันนี้แหละ...” ผมว่าแค่นั้นแล้วเดินก้มหน้างุดชิ่งหนีออกมาเลย ได้ยินเสียงบีมหัวเราะไล่หลังตามมา พะ...เพื่อนไง! รักเพื่อนช่วยเลือกสมุดให้เพื่อน เอ้อ!

.

.

.

“ไปถ่ายรูปตรงนั้นกันปะ แสงสวยชะมัดเลย” หลังจากซื้อของที่ต้องการเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินกินไอศกรีมโคนที่เพิ่งวิ่งไปซื้อมาเมื่อกี้ไปเรื่อยจนเห็นมุมสวยๆ เลยเอ่ยชวนบีม

“ไม่ได้เอากล้องมาไม่ใช่เหรอ...กินมั่ง” ผมยื่นไอศกรีมไปตรงหน้าบีม มัดงับไปเกือบครึ่งผมเลยทุบเข้าที่หน้าท้องมันเบาๆ โทษฐานแย่งคนอื่นกิน แล้วยังเจือกงับไปเกือบทั้งก้อน

“กล้องโทรศัพท์ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะโชว์ให้ดูไอ้น้อง โปรเฟสชั่นน่อลเค้าเป็นยังไง ดูกูนี่” ผมตบอกอวดสรรพคุณตัวเองนิดหน่อยแล้วจูงมือบีมกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าไปหาที่เหมาะๆ เพื่อที่จะถ่ายรูป ผมมองซ้ายมองขวาหาที่ดีๆ ก็เห็นคนออกมาถ่ายรูปกันเยอะอยู่พอสมควร

“ตรงนั้นสวย บีมไปยืนเลยๆ” ผมผลักบีมให้เดินไปยังจุดที่ผมต้องการ เป็นกำแพงที่มีเงาพาดผ่านสลับกันดูเหมาะกับบีมดี

“เดี๋ยวกินไอติมแป้ป” ผมรีบยัดไอศกรีมเข้าปากแล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเข้าฟังก์ชันกล้องถ่ายรูปเพื่อเตรียมถ่าย

“ขอธรรมชาติๆ หล่อๆ” แค่มันยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูดีแล้ว ไม่ต้องไปจัดท่าให้มันหร้อก




ผมกดถ่ายไปได้ซักพักจนพอใจจึงหยุดแล้วเดินไปหาบีมเลื่อนเช็ครูปให้มันดูด้วย

“คนอะไรดูดีทุกมุมจริงๆ ยอมเลยอะ”

“คนมันหน้าตาดีปะวะน้อง ฮ่าๆ”

“หมั่นๆ เดี๋ยวปั้ด”

“ฮ่าๆ”

“เอาจริงๆ กูก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะโว้ย แต่มันยังไม่มีมู้ดเลยไม่ถ่ายดีกว่า” ขิงไว้ก่อนครับ

“งั้นมาถ่ายด้วยกันซักรูปดิ”

“แสงหมดแล้วบีม กลับกันเหอะ”

“มาถ่ายด้วยกันก่อน...เอ้ายิ้ม!” บีมดึงแขนผมให้เข้ามาใกล้แล้วกอดคอไว้หลวมๆ ตอนนี้หน้าผมกับหน้ามันเกือบจะแนบสนิทแล้วครับ ช่องว่างเหลือไม่ถึงเซน

“ห่างๆ ก็ได้ปะ”

“เดี๋ยวหลุดเฟรม เร็วๆ ยิ้ม กูเมื่อยแขนแล้วเนี่ย”

“เออๆ” ผมหันไปยิ้มค้างให้กับโทรศัพท์ที่บีมถืออยู่ ผมเห็นมันกดรัวเลยครับ

“มึงก็ไม่ต้องรัวขนาดนั้นก็ได้ไหมล่ะ” ถ่ายจนมันพอใจผมก็ถอยห่างออกมา บวกกับโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นพอดีเหมือนมีคนโทรมา ผมเลยปล่อยให้บีมมันยืนเช็ครูปแล้วเดินออกมารับสาย


“ว่า”

(มุ่ยยยยยยยยยยยยยยยย)

“ไรมึงไอ้โป้”

“ (ว่างไหมเพื่อนนนนนนนนนนนนน)

“สำหรับมึงกูไม่ว่าง”

(ไอ้เพื่อนเหี้ย)

“แค่นี้นะ” ผมทำเป็นจะวางสายเสียงไอ้โป้ร้องห้ามก็ดังขึ้นมาทันที

(เฮ้ย! เดี๋ยวดิมุ่ยเพื่อนรัก กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อยง่า)

“รีบๆ พูดดิ้”

(ชมรมฮามีเล่นดนตรีสดตี้กาดในเมืองวันนี้ พอดีคนเล่นกีตาร์มันบ่ะมา แฮงค์เหล้าหยังบ่าฮู้ คิงมาช่วยจิม)

“กาดในเมืองอะนะ?”

(เออ บ่ามีไผเล่นเป็น บะเดวกูเลี้ยงขนม มาๆ)

“เออๆ ทีจะอี้ละโทรมา วันธรรมดาละหายหัว”

(ขะใจ๋มาโวยๆ นะเว้ย)

“ฮู้แล้ว!”


ให้บีมแวะไปส่งที่กาดแป้ปนึงจะได้ไหมนะ


ผมเดินไปหาบีมที่ยืนรออยู่ มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรพอเห็นผมทำหน้าลำบากใจ


“บีม...” ผมดึงแขนเสื้อมันจึ้กๆ

“ว่าไงครับน้องมุ่ย” แล้วทำไมต้องทำเสียงหล่อขนาดนั้นด้วยเล่า ผมเหลือบตามองหน้าบีมอย่างไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม

“คือ...ไปส่งที่กาดในเมืองหน่อยดิ”

“แล้วไม่กลับหอเหรอ”

“พอดีไอ้โป้มันโทรมา ให้ไปช่วยเล่นกีต้าร์ให้ชมรมมันหน่อยอะ”

“หืม?”

“แวะไปนิดเดียว ส่งกูแล้วมึงกลับเลยก็ได้ๆ เดี๋ยวจ่ายค่าน้ำมันให้”

“อืม...” บีมนิ่งคิดพลางมองหน้าผมไปด้วย หือ? หน้ากูเปื้อนอะไรเหรอ

“ก็ได้นะ กูไม่ติดอะไรอยู่แล้ว”

“เฮ้ย แต้งกิ้ว! ทำไมวันนี้ดูใจดีผิดปกติวะ ไม่เห็นกวนตีนเหมือนก่อนหน้านี้ โอ๊ย! เจ็บนะ” บีมตีหน้าผากผมดังแปะ ไม่วายดันหน้าผากผมอีกตั้งสองจึ้ก

“ว่ากู เดี๋ยวจะโดน”

“ใคร! ไหนใครว่าพี่บีมของไอ้มุ่ย! บอกมาเดี๋ยวจะไปเตะมันให้ เดี๋ยวเจอเลยๆ”

“มัวแต่เล่น จะไปไหมกาดอะ”

“ไป! อย่าให้เจอ ใครน้า มาด่าพี่บีมได้ โอ๋ๆ”

“ยัง! ...”

“เออ ยังไม่ออกมาอีก!”

“มึงน่ะ ยังไม่หยุดเล่นอีก! ไอ้เด็กกากเอ้ย!”

“เอ้า!”

.

.

.



IG story : b.patt13

เด็กกาก

(รูปมุ่ยหันมาหาบีมดุ้กดิ้กในร้านเครื่องเขียน)



.

.



IG : b.patt13



(รูปคู่เซลฟี่พี่บีมน้องมุ่ย)



235 likes

b.patt13 “พาเด็กกากมาเที่ยว” @Fahmuii123

View all 15 comments





*********************************

แอบมาลง แหะๆ  :katai4: :katai5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 13

ชอบครับ อยากได้


     “จอดตรงนี้ๆ เดี๋ยวกูเดินไปเอง” ผมบอกพลางเตรียมปลดเข็มขัดนิรภัย แต่บีมก็ไม่หยุดรถแถมยังถอยหลังเข้าที่จอดรถแล้วก็ดับเครื่อง

     “เห้ยให้กูลงข้างหน้าตรงนั้นก็ได้ ไม่ต้องจอดหรอก”

     “พี่ไปด้วย”

     “เดี๋ยว! ปะ...ไปทำไมอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นบีมทำท่าจะลงรถมาด้วย

     “อยากเห็นน้องมุ่ยเล่นกีตาร์”

     “อะ...เออ ก็ได้ แต่กูเทคแคร์มึงไม่ได้นะบอกไว้ก่อน เพราะต้องไปช่วยเพื่อน” ผมมองบีมอย่างงงๆ แค่กูเล่นกีต้าร์แค่นี้เอง จะมาอยากเห็นอะไร

     “เคๆ”

.

.

.

     “อยากกินน้ำปั่น แวะซื้อแป้ปนึง” ผมสะกิดแขนบอกบีมแล้วเดินไปร้านน้ำผลไม้ข้างหน้า วันนี้คนค่อนข้างเยอะเลยครับ ถนนคนเดินกลางคืนหรือที่พวกผมชอบเรียกกันว่ากาดในเมืองเพราะตัวตลาดอยู่ในตัวเมืองของจังหวัด เป็นถนนคนเดินที่ยาวมากๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยของกิน เสื้อผ้า แล้วก็อื่นๆ เดินแค่ฝั่งเดียวก็ปวดขาแล้วครับ

     เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คของเด็กวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ชุดนักศึกษามหาลัยผมทั้งนั้น อาจจะเพราะมันไม่ไกลจากมหาลัยเดินทางมาสะดวกด้วยล่ะมั้งแล้วก็เพราะว่าแถวมหาลัยไม่มีถนนคนเดินจะมีก็แต่กาดเล็กๆ ทุกวันจันทร์กับพฤหัส

     ขวามือจะเป็นลานกว้างที่เรียกได้ว่าเป็นลานกิจกรรม จะมีผู้คนมาทำการแสดงบ้าง เล่นดนตรีเปิดหมวกกันบ้าง ทุกวันเสาร์อาทิตย์ตรงนี้จะปิดเป็นลานรำวงครับ เหล่าแม่ๆ เขาก็จะออกมารำวงกัน เขาจะแบ่งกันเป็นหมู่บ้านด้วยมั้งครับเห็นมีเสื้อทีมด้วย ผมเคยลองเข้าไปรำครั้งนึงบอกเลยว่าหอบแฮ่ก แต่ละท่าของแต่ละหมู่บ้านนี่โคตรยาก สเต็ปเทพกันเลยทีเดียว เด็กอย่างผมขอยอมแพ้ราบคาบ

     “ระวังชนน้องมุ่ย มึงมองทางด้วยดิวะ” บีมยกแขนขึ้นกันไม่ให้ไปชนคนอื่น ตั้งแต่เดินมาก็หลายรอบแล้วครับ ส่วนใหญ่จะเป็นผมโดนชนแล้วก็เซไปชนคนอื่นอีกที จนบีมต้องโอบไหล่ผมให้ชิดตัวมันกันไว้

     “มองอยู่ๆ ป้าคับ ผมเอาสตรอเบอรี่โยเกิร์ตแก้วนึ่ง”

     “รอกำเน้อ”

     “บีมเอาไรปะ” ผมหันไปถาม ร้านนี้คนเยอะครับ โชคดีที่ตอนนี้คนไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ผมมาทีไรก็ชอบสั่งน้ำร้านนี้ตลอด รสชาติอร่อยดีไม่หวานเกิน

     “อะไรอร่อย”

     “ทุกอย่าง แต่กูชอบสตรอเบอรี่โยเกิร์ตที่สุด เออ เคยชิมมะพร้าวนมสดปั่น อร่อยเหมือนกัน เอาปะ”

     “เอาดิ สั่งให้ด้วย เท่าไหร่นะ?”

     “สามสิบห้าบาท เอาตังมาๆ ป้าคับ เอาบ่าป้าวนมสดปั่นแหมแก้วเน้อ”

     “เจ้าๆ” ผมแบมือรับเงินจากบีมมา มันให้มาสี่สิบบาทผมเลยต้องควานหาเหรียญหาจากในกระเป๋าผ้ามาทอนให้

     “ได้แล้วเจ้า สองแก้วเจ็ดสิบเน้อ” ผมจ่ายตังให้ป้าแกไปแล้วเดินออกมา บีมดึงแขนผมไว้ก่อนแล้ววางพาดลงมาที่บ่าเหมือนเดิม แขนแม่งก็หนักพาดมาได้

     “เดี๋ยวเดินไปข้างหน้าอีกนิดเลี้ยวขวา มึงไม่เคยมาเหรอวะ ถามจริง” ผมหันไปถามบีม

     “เคย แต่ไม่เคยเข้าไปที่ลานกิจกรรมซักที แค่เดินทั่วกาดก็เหนื่อยแล้วปะ”

     “เออจริง...กินมั่ง” ผมพยักหน้าเห็นด้วย แล้วขอชิมน้ำมะพร้าวนมสดปั่นของบีม พวกเราขยับให้มายืนอยู่ชิดริมทางเดินเพื่อจะได้ไม่ขวางทางคนอื่นเดิน

     “อะ”

     “ลองของกู อร่อยเหมือนกัน สดชื่นๆ” บีมยื่นแก้วมาทางผมแต่ไม่ยอมให้จับ ผมเลยงับหลอดแล้วดูดน้ำพลางยื่นน้ำปั่นของตัวเองให้บีมลองชิมด้วย

     “อร่อยๆ หอมน้ำมะพร้าวอะ ของกูอร่อยปะ” ผมมองหน้าบีมอย่างลุ้นๆ

     “อืม...อร่อย” บีมมองตาผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ตาเป็นประกายวิบวับอีกแล้ว แหน่ะ! ยิ้มมุมปากด้วย

     “ทำไมชอบทำตาแบบนี้วะ รู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้” ผมลูบแขนตัวเองไปมาเมื่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

     “หือ? กูทำตาแบบไหนเหรอ”

     “แบบวิ้งๆ วับๆ อะ เป็นประกายเหมือนหมาอยากได้กระดูก...โอ๊ย! ตีเหม่งกูอีกแล้วนะ มันสะเทือนนะโว้ย!” ผมลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เผลอไม่ได้เลย ตีจังเหม่งกูเนี่ย

     “คำพูดคำจา หมั่นไส้มึงว่ะน้องมุ่ย”

     “จริงปะจ๊าาา”

     “ไอ้เด็กกากเอ้ย”

     “ฮ่าๆ”

.

.

.

     “โห ไอ้มุ่ย นี่รีบสุดแล้วใช่ไหมวะ กูรอตั้งนาน ไอ้ชิบหาย”

     “รีบสุดแล้วโว้ย! กูไม่ได้มาเอง มีคนมาส่ง กูเร่งเขาได้ที่ไหน” อ้างไปงั้น ผมเนี่ยเเหละที่มัวแต่เดินเถลไถลหาของกินในกาดเอง ได้หมูปิ้งมาสี่ไม้กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อรวมน้ำปั่นด้วย ยังไม่รวมน้ำมะพร้าวกับหม่าล่าของบีมที่ผมอาสาถือไว้ให้ก่อนแล้วบีมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำผมเลยบอกให้มันเดินมาหาที่นี่เลยถ้าเรียบร้อยแล้ว

     “เอ้า กูนึกว่ามึงขี่รถมาเอง กะว่าจะติดรถกลับไปด้วยซักหน่อย” โป้ทำหน้าเสียดาย

     “ไม่ได้เอามาอะดิ” ผมมองเลยหลังไอ้โป้ไปก็เห็นเหล่าคนในชมรมมันกำลังเตรียมของ เซตลำโพงกับขาตั้งไมค์อยู่ มีคาฮองด้วยอะ เยี่ยมยอดไปเลย พอมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าคนมาจับจองที่นั่งดูกันค่อนข้างเยอะ โห ตรงนู้นกำลังเต้นๆ กันอยู่เลย เขาเรียกว่าอะไรนะ คัฟเว่อๆ ปะ

     “แล้วนี่ชมรมอะไรของมึงวะ”

     “ไม่เชิงชมรมอะมึง ในคณะกูจะมีกลุ่มแยกไปอีกตามความสนใจ อย่างพวกพี่สวัส พี่สัน อะไรพวกนี้ เขาจะแยกเป็นกลุ่มเลย” เข้าชมรมของมหาลัยแล้วยังต้องเข้าของคณะอีก วุ่นวายดีแฮะ

     “แล้วอันนี้คือกลุ่มอะไร”

     “เป็นวงดนตรีในคณะเว้ย คอยเล่นสร้างสีสัน บางทีก็จะโดนเรียกตัวไปช่วยกิจกรรมมอบ้างไรงี้”

     “งืมๆ” เดี๋ยวต้องเอาไปเสนอพี่สโมบ้างละ น่าสนใจๆ

     “แล้ววันเนี้ย กูมาเล่นเชิญชวนไปงานครบรอบ 18 ปีของคณะวิศวะ จัดโคตรอลังอะมึง”

     “อ่าหะๆ แล้วไงต่อ” ผมเริ่มหยิบหม่าล่าของบีมมากิน แอบไม้นึงมันไม่รู้หรอก

     “มึงไม่รู้สึกว้าวเลยวะ”

     “ว้าว...” ผมชอบกินเห็ด อร่อยดี

     “จริงใจมากไอ้สัด เกลียดมึงชิบหาย” โป้ผลักหัวผมพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ แกล้งมันแล้วสนุ๊กสนุก

     “เอากูมาเล่นแล้วใครร้อง” ผมถาม

     “อะแฮ่ม กูเอง” มีกระแอมไล่เสียงโชว์ด้วย

     “เสียงยิ่งกว่าควายออกลูกของมึงอะนะไอ้โป้ ไอ้กากเอ้ย!” เอาจริงๆ เสียงมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกครับ โป้มันร้องเพลงเพราะจะตาย ผมแซวเล่นไปงั้น

     “ไอ้เพื่อนเหี้ยนี่ เดี๋ยวตบเหม่งยุบเลย”

     “ฮ่าๆ”

     “แล้วใครมาส่งมึงวะ”

     “ก็-”

     “ช่างก่อน เดี๋ยวกูแนะนำพี่ๆ ให้รู้จัก” ไอ้โป้เขยิบตัวแล้วดันผมให้มาอยู่ข้างๆ มันแล้วแนะนำให้เพื่อนคนอื่นรู้จัก

     “พี่ๆ ครับ นี่เพื่อนผมที่บอกว่าจะให้มาเล่นกีต้าร์แทนไอ้เปรม” เหล่าเพื่อนรุ่นพี่ไอ้โป้เงยหน้ามามองผม ผมเลยยกมือไหว้ทักทายกลับไป

     “เห้ย น้องมุ่ยนี่หว่า!” ผมทำหน้าเหลอหลา เอาอีกแล้ว มีคนรู้จักกูอีกแล้ว ผมมองไปยังคนที่ตอนแรกกำลังเซตลำโพงอยู่กำลังเดินเข้ามาหา แถมทักเหมือนเคยรู้จักกัน


     ผมจำไม่ได้...


     “ไม่คิดว่าเพื่อนไอ้โป้จะเป็นน้องมุ่ยนะเนี่ย เห้ยตกใจว่ะ แต่แบบ ไม่ได้เจอกันนานเลย คิดถึงน้องง่ะ ฮ่าๆ” จู่ๆ คนตาตี่ก็คว้าผมเข้าไปกอด ตบหลังผมบักๆ


     ตบแรงไปแล้ว อัก!


     “เอ่อ จ้า ไม่ได้เจอกันนานเลย แฮ่ๆ” ผมขยิบตาให้ไอ้โป้ช่วยแงะผมออกมาจากไอ้บ้านี่ที โป้มัยหัวเราะเยาะผม แต่ก็ช่วยดึงตัวผมออกมา ฟู่ว~

     “พี่เขาชื่อนิว อยู่ปีสองเป็นพี่รหัสกูเอง”

     “แค่กๆ ครับ”

     “เสียใจว่ะน้องจำไม่ได้ เห้ย! แต่น้องมุ่ยรู้ไหม น้องมุ่ยดังมากเลยนะในกลุ่มพวกพี่อะ” ตาที่เล็กอยู่แล้วหรี่ตาอย่างมีเลศนัยทำให้เล็กลงไปอีกเหมือนเส้นขีดๆ เลยอะ พี่แกเตี้ยกว่าผมนะเอาจริง น่าจะประมาณลุ้ยลูกพี่ลูกน้องผม ตัวบางผิวขาว ปากแดงอย่างกับทา...เอ้ย เขาเรียกว่าอะไรนะ อุทัยทิพย์ปะ เออๆ นั่นแหละ


     ว่าแต่...เดี๋ยวนี้เขายังใช้กันอยู่ไหมครับ


     “เย้ย! อย่าบอกนะว่าที่เขาแซวๆ กันคือ...เชี่ยมุ่ย” ไอ้โป้ทำหน้างงชี้นิ้วมาที่ผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ใครแซวใครนะ ได้ยินไม่ชัด

     “บ้า! ใช่ที่ไหน”

     “เอ้อ ผมก็ว่า-”

     “นั่นไม่ได้เรียกว่าแซว เขาเรียกว่าพูดความจริงเว้ย ฮ่าๆ” ว่าจบพี่ตาตี่ก็หัวเราะเสียงดังลั่น จนคนแถวนี้หันมามอง

     “เชรด...โด้” ไอ้โป้หันมามองผมตาโตอย่างทึ่งๆ

     “ฮะ? นี่คุยไรกัน กูค่อนข้างจะไม่เข้าใจ” ผมเกาหัวแกรกๆ เมื่อไม่สามารถเข้าถึงบทสนทนาของพี่ตาตี่กับไอ้โป้ได้

     “มึง...กับ..พี่-”



     “น้องมุ่ย!”

     ยังไม่ทันตอบคำถามเพื่อน ก็ได้ยินเสียงเรียกของบีมซะก่อนเลยกวักมือเรียกให้มันเดินมาหา ผมเห็นบีมถือถุงเล็กๆ มาสองสามถุง ตอนไปห้องน้ำมันก็ฝากผมหมดแล้วนี่หว่า แม่งแอบไปซื้ออะไรมาอีกวะ

     “ซื้ออะไรมาอะ”

     “น้ำเปล่ากับขนมนิดหน่อย” บีมยกถุงขนมโชว์

     “ซื้อมาทำไมอีกวะ หม่าล่ามึงยังไม่หมดเลย ซื้อมาตั้งร้อยนึง” ผมชูถุงหม่าล่าที่แอบกินไปสองไม้ให้บีมดู

     “เอามาให้มึงกินนั่นแหละ ชอบไม่ใช่เหรอ” ผมขมวดคิ้ว แล้วชะโงกหน้ามองข้างในถุงก็เจอกับขนมถุงเล็กๆ ที่ฮิตมากในตอนเด็ก


     เฮ้ย! ผมชอบกินมากเลยอะ บีมแม่งเจ๋ง!


     ผมชูนิ้วโป้งให้บีมอย่างชอบใจ แล้วหยิบออกมาเพื่อจะกินห่อนึง แต่ยังไม่ทันจะแกะไอ้โป้ก็เรียกพอดี ผมมุ่ยหน้าอย่างขัดใจ ไม่เป็นไร เก็บไว้กินที่หอตอนทำงานก็ได้วะ

     “อะ ฝากของพวกนี้หน่อย เดี๋ยวกูต้องไปเตรียมตัวละ” ผมยัดถุงต่างๆ ให้บีมถือไว้พลางยกมือขึ้นตบบ่ามันเบาๆ แล้วเดินตัวปลิวเข้าไปหาเพื่อนรุ่นพี่ไอ้โป้

     “เชี่ยมุ่ย!” ไอ้โป้เข้ามาประชิดตัวจนผมเกือบล้ม

     “มึงจะใกล้กูอะไรขนาดนั้น หลบไปก่อนดิ้ กูช่วยพี่เขาจัดของก่อน” ผมยกป้ายขนาดไม่ใหญ่มากจากมือพี่คนนึงแล้วเอามาวางไว้ข้างหน้า

     “ทำไมมึงมากับพี่บีม!”

     “ไปกินข้าวกันมา” ผมรับกีต้ามาจากรุ่นพี่ แล้วนั่งลงกับเก้าอี้พลาสติกแถวนั้นพลางตั้งสายกีตาร์ไปด้วย

     “ห้ะ!? มึงเนี่ยนะไปกับพี่เขา”

     “อือ”

     “มึงไม่ชอบพี่มันไม่ใช่เหรอวะ แล้วพี่น้ำตาลล่ะ”

     “น้ำตาลมาเหรอ! ไหนๆ” พอได้ยินชื่อน้ำตาล ผมก็ผุดลุกพรวดขึ้นทันที ชะเง้อคอมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นใคร

     “ไม่เห็นมีเลย มั่วชิบหายมึงอะ” ผมส่ายหัวเซ็งๆ แล้วนั่งตั้งสายต่อ

     “ไม่ คือกูหมายถึง มึงไปสนิทกับพี่บีมตั้งแต่ตอนไหนเขาถึงพาไปกินข้าวพามาส่งแล้วยังนั่งรอมึงอีกเนี่ย”

     “มันก็มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ แต่สบายใจได้มันยังเป็นศัตรูหัวใจกูเหมือนเดิม” ผมพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับตัวเอง เอ๊ะ หรือว่าไม่ได้เป็นแล้วนะ

     “กูว่าแล้ว...กูน่าจะเอะใจตั้งแต่มึงเอาแต่พูดเรื่องพี่เขาในไลน์กลุ่ม...”

     “มึงว่าไงนะ” ผมไม่ทันได้ฟัง เห็นโป้มันเสยผมลวกๆ แล้วบ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว

     “ไม่มีอะไรแล้ว เออ แล้วนี่เสร็จยังจะได้เริ่มซักที ชักช้าจริงๆ มึงอะ” ยังไม่ทันพูดอะไรมันก็บ่นนู่นนี่นั่น ผมเลยได้แต่นั่นงงอยู่กับตัวเองแป้ปนึง รู้สึกว่าวันนี้มันแปลกๆ ไหมครับ คนรอบตัวผมทำท่าทางประหลาดๆ กันหมดเลย เป็นบ้าปะวะ




     [BEAM Part]

     ผมส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความดุ้กดิ้กของน้องมัน หลังจากที่ยัดถุงขนมมาให้ผมมุ่ยก็เดินไปกับเพื่อน ทิ้งผมเฉยเลย ได้แต่หอบหิ้วถุงขนมทั้งหลายไปหาที่ดีๆ นั่งรอน้องมันเล่นดนตรีเสร็จ


     ผัวะ!


     สัด ใครตบหัวกู


     “เชี่ยบีม!”

     “ไอ้นิว” แม่งผลักหัวผมแล้วยืนยิ้มร่าอย่างไม่กลัวโดนเตะ ผมจะโบกหัวมันคืน แต่แม่งก็เอาแต่หลบจนผมเหนื่อยเลยเลิกเล่น มันหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นผมทำหน้าเซ็ง

     “แน๊ กูรู้นะ จึๆ”

     “รู้ห่าอะไรของมึง” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม พยายามไม่สนใจเพื่อนตัวเองที่ทำหน้ากวนตีนติดจะล้อเลียนใส่

     “ทำมาเปงงง โด่เอ้ย!”

     “จะไปไหนก็ไปไป๊ รำคาญชิบหาย” ผมโบกมือไล่ รู้ว่ามันจะพูดอะไรแต่ก็ยังทำเฉยไปก่อน ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมันอยู่ที่นี่ เพราะมันบอกพวกผมแล้วว่าจะพาน้องมาเล่นดนตรีเชิญชวนเข้างานครบรอบคณะวิศวะ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับของน้องมุ่ย

     “ทำไมมึงถึงมากับน้องมุ่ยได้! กูถาม!”

     “พาน้องไปกินข้าวมา”

     “อ๋อ คือที่มึงรีบออกจากห้องเพราะจะรับน้องไปกินข้าว ว่างั้น?”

     “...” ผมไม่ตอบ นั่งมองมุ่ยมันเถียงกับเพื่อนหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้คุยอะไรกัน แต่น่ารักชะมัด

     “แน่ะ มองน้องแล้วยิ้ม อาการออกแล้วเพื่อน!” ใครก็ได้เอาเชี่ยนี่ไปเก็บทีครับ

     “แล้วก็มาส่งน้องที่นี่?”

     “ส่งแล้วก็กลับไปดิ อยู่ทำไมว้าๆ”

     “ถ้าไม่เลิกกวนตีนกูจะถีบมึง”

     “อะ กูถามใหม่ ทำไมคนขี้รำคาญอย่างมึงเนี่ย ถึงไม่แค่มาส่งแล้วก็กลับ นั่งรออยู่ตรงนี้ทำไมครับ?” ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มรู้ทันของมันชิบ นิวมันเป็นพวกประสาทสัมผัสไวโดยเฉพาะเรื่องของคนอื่น หูนี่กระดิกดิ้กๆ ไม่แปลกที่จะรู้ทันผมรวมถึงเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม

     “...”

     “เงียบ แสดงว่า...” ไอ้นิวทิ้งช่องว่างทำหน้าลุ้นให้ผมตอบ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างรำคาญแล้วตอบในสิ่งที่มันอยากรู้ไป

     “...เออ”

     “แน๊! ร้ายนะเรา”

     “เรื่องของกูปะ”

     “อย่าลืมว่าน้องมันยังชอบน้ำตาลอยู่ละกัน กูไปล่ะ อิอิ” ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที อารมณ์กำลังดีๆ เสือกมากวนให้มันขุ่น ทอดสายตามองไปทางน้องมันก็เห็นว่านั่งดีดกีต้าร์อยู่คนเดียว ไม่ทันไรก็ต้องยิ้มออกมาเพราะความน่าเอ็นดู

     เด็กอะไรแค่นั่งเกากีต้าเฉยๆ ยังโคตรดูดี ขายาวๆ ของมุ่ยภายใต้กางเกงยางยืดสีน้ำตาลขาสั้นเต่อเป็นจุดเด่นที่มองเมื่อไหร่ก็ไม่มีเบื่อ


     น่ารักไม่เบื่อ


     “อะแฮ่ม สวัสดีครับทุกคน” เหมือนจะพร้อมกันแล้วเพื่อนน้องมุ่ยที่เป็นคนครองไมค์กระแอมขึ้นมาแล้วกล่าวทักทาย คนเริ่มเดินเข้ามาดูโดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น ส่วนใหญ่ก็น่าจะมัธยมรวมถึงมหาลัย

     “พวกเรามาจากคณะวิศวะมหาลัย XXX นะครับ วันนี้เราจะมาเล่นดนตรีเชิญชวนเพื่อนพี่น้องหรือศิษย์เก่าทั้งหลายมางานครบรอบ 18 ปีของคณะวิศวะกรรมศาสตร์นั่นเอง”

     “แนะนำตัวกันก่อนนะครับ ผมนักร้องนำปีโป้สุดหล่อ” ผมได้ยินเสียงโห่แซวไม่ดังมากมาจากกลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่ง

     “คาฮองน่ารักๆ ของเราครับ พี่นิว” ไอ้นิวก้มหัวทักทาย ได้ยินสาวๆ กรี้ดด้วยครับ ไอ้เตี้ยนี่สาวติดมันเยอะ คารมดีเป็นที่หนึ่ง ทั้งที่เป็นแค่ไอ้หมาเตี้ยคนนึงแท้ๆ

     “ต่อไปเพื่อนผมเองมาจากคณะศิลปกรรม น้องฟ้ามุ่ยครับ” คราวนี้ผมได้ยินเสียงกลุ่มคนโห่แซวกันดังกว่าในตอนแรกจากกลุ่มเดิมและเหมือนจะเป็นเรียนเทคนิคเดาเอาจากเสื้อที่ใส่แล้ว มีเอ่ยเรียกชื่อเฮียมุ่ยๆ บางคนก็ส่งเสียงเชียร์กันออกนอกหน้า มุ่ยรู้จักกับคนพวกนี้ด้วยเหรอวะ

     “โทษนะครับ” น้องมุ่ยสะกิดให้โป้ยื่นไมค์มาให้ “ไอ้กลุ่มนั้นเบาหน่อย กูมาร้องเพลงโห่ซะอย่างกับจะไปออกรบ”

     “เฮียมุ่ยของโผมมมมม ไม่ได้เจอนาน คิดถึง!”

     “เฮียโป้! ด่าพวกเราที! อยากโดนเฮียโป้ด่าโว้ย!”

     “เฮียไม่มาหากันมั่งเลย น้อยใจนะเฮีย!”

     “เลี้ยงหมูกระทะพวกเราหน่อยเฮียมุ่ย เฮียโป้!”

     “เออ รู้แล้ว! คือถ้าเล่นแป้กยังไงก็ยังมีคนช่วยเชียร์อยู่ล่ะวะ” ทุกคนหัวเราะให้กับการหยอกเบาๆ ของน้องมัน จากนั้นโป้ก็แนะนำคนอื่นๆ ในขณะที่น้องมุ่ยหันไปคุยกับกลุ่มนั้น ดูท่าจะสนิทกันมากพอควร

     “เพลงแรกเลยนะครับ อาจจะเก่าหน่อยแต่น่าจะเป็นเพลงโปรดของใครหลายๆ คน...รักคนมีเจ้าของ” เสียงปรบมือดังขึ้นก่อนตามด้วยเสียงกีต้าร์และคาฮองที่ไอ้นิวเล่น


    “ไม่ทราบมันเป็นไร ไม่รู้ว่ามาไง อาการรักเธอ

ก็รู้มีคนจอง ยังมาไปยืนมอง ตกเย็นก็เพ้อ

ยิ้มให้เมื่อเจอกัน เผื่อฟลุ๊กไปวันๆ ไม่กล้าขอเบอร์

ก็รู้เธอมีแฟน ไม่ได้จะไปแทนที่คนของเธอ”



     เสียงดีเลยนี่หว่า น้องมุ่ยเองก็เล่นกีตาร์เก่งไม่เบาเลย จากการเลือกเพลงที่คนรู้จักดีและเสียงร้องของเพื่อนมันที่ไม่ได้ขี้เหร่เลยทำให้คนสนใจเข้ามาดูกันเพิ่มมากขึ้น


     ไอ้น้องมุ่ยแม่งเล่นกีต้าร์เท่ชิบ


     ชอบครับ อยากได้


     ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ที่ชอบ รู้ตัวอีกทีก็เอาแต่มองหาน้องมันไปแล้ว ในตอนแรกผมมองมุ่ยเป็นเด็กตลกริจะจีบรุ่นพี่อย่างน้ำตาลเพื่อนผม คนสวยของคณะ แม่งเด็ดดอกฟ้าชัดๆ คอยหาโอกาสให้ตัวเองสารพัดแต่ก็โดนน้ำตาลปฏิเสธกลับมาทุกที ผมเลยคิดว่าจะคอยดูไปเรื่อยๆ อยากรู้ว่าจะมาไม้ไหน

     บางทีก็เจอกันผ่านๆ ผมก็เข้าไปทักทายบ้างแต่มุ่ยมันก็เมินผมแล้วชวนน้ำตาลคุยแทน เห็นแล้วโคตรหมั่นไส้ ลอยหน้าลอยตาทำเหมือนว่าชนะผมแล้ว

     เฮ้อ ก็อยากจะบอกว่าน้ำตาลมันไม่มีทางสนใจมึงหรอกน้อง แต่เห็นมุ่ยมันไล่ตามเพื่อนผม รู้สึกแค่ว่าชอบเจ้าเด็กนี่จังนิสัยตลกดี จนวันที่ผมต้องไปแทนน้ำตาลวันนั้น ทำให้ความคิดของผมเริ่มเขวนิดๆ

     วันนั้นผมไม่อยากไปแต่เพื่อนก็ขอร้องมาให้ทำไงได้วะ พอได้มาเจอกับมุ่ย เห็นมันอ้าปากหวออย่างตกใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นผมที่มาแทน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อยากมาถ่ายอะไรอยู่แล้วถ้าน้องมันจะยกเลิกผมก็โอเค ที่ไหนได้ มุ่ยดันเลือกที่จะถ่ายผมแทนขึ้นมาจริงๆ


     “สารภาพจริงๆ ว่ายังคิดถึง

ทุกช่วงเวลาเหล่านั้นมันดีจริงๆ ที่ได้มีเธออยู่ข้างกัน

และแม้หากไม่มีโอกาสอีกครั้ง ฉันพร้อมยินดีเก็บเรื่องของเราเอาไว้

ในใจคนเดียวต่อไปจนตราบชั่วชีวิต”

(สารภาพ : PLAYGROUND)




     เวลาน้องมันโฟกัสอะไรซักอย่างมันจะไม่สนใจอย่างอื่นเลย ตั้งใจถ่ายและไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานให้วุ่นวาย รู้ว่าน้องคงไม่อยากให้ผมเกร็งเลยชวนคุยด้วย ขนาดไม่ชอบผมก็ยังเอาแต่พูดว่าผมดูดี เผลอเก่งอะไรของมันไม่รู้นั่นล่ะ ผมถ่ายรูปมุ่ยแล้วอัพลงอินสตาแกรมที่ไม่ได้โพสท์อะไรมานานมากแล้ว น้องโมโหใหญ่เลยแต่ก็หายง่าย ขี้บ่นแต่ก็ยอมตามใจ รวมๆ แล้วน่ารักดี

     ไหนจะตอนเมาแล้วโวยวายใส่น้ำตาล คุยกับผมแทบไม่รู้เรื่องแต่พยายามจะคุย น้องมันทำให้ผมหัวเราะได้เสมอเวลาที่เจอหรือได้พูดคุยกัน ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นผมเครียดเรื่องน้องชายตัวเองอยู่มาก แล้วมุ่ยก็ดันโผล่มาถูกจังหวะพอดีเป๊ะเหมือนจับวาง

     รู้สึกผิดที่ทำข้อมือน้องช้ำ ผมจับแรงแล้วแขนมุ่ยก็โคตรบางแถมยังขึ้นรอยง่าย เลยรับผิดชอบด้วยการขอโทษแล้วจู่ๆ อะไรดลใจไม่รู้ทำให้ผมจูบข้อมือน้องมัน มุ่ยนิ่งแข็งเป็นหิน รอบตัวเราเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวและหน้าแดงๆ ของน้องที่แม่งโคตรน่ารัก แอทแทคหัวใจผมมาก แล้วมันก็แก้เขินโดยการถีบกูล้มเลยครับ ผมชะงักเพราะไม่เคยเจอใครเขินแล้วเท้ากระตุกมาก่อน เลยนั่งหัวเราะกับตัวเองอยู่อย่างนั้น


     ผมยกมือขึ้นทาบหน้าอกฝั่งซ้ายของตัวเอง


     เชี่ย...หัวใจกูก็เต้นแรงเหมือนกันนี่หว่า


     ผมไม่คิดว่ามุ่ยรู้จักกับน้องชายผมมาก่อน และวันนั้นเองก็เป็นวันที่ผมเริ่มเข้าใจในตัวบูและเริ่มที่จะรู้สึก...ชอบใครบางคน

     มุ่ยพูดถูกและพูดตรงทุกคำจนผมแอบเหวอไปนิด น้ำเสียงสบายๆ ที่ดูออกว่าไม่ได้จะพูดให้ผมต้องเข้าใจให้ได้ แต่เหมือนกำลังเล่าให้เพื่อนฟังให้ผมได้คิดตามและทำความเข้าใจเอง หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อมองไปที่ใบหน้าติดจะยิ้มๆ ของน้อง สายตาที่เหมือนจะปลอบผมไปในที ความรู้สึกบางอย่างพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะจูบอีกครั้ง...บนข้อมือข้างที่เคยเจ็บ


     ชอบ


     ชอบโคตรๆ


     น่ารักชิบหาย


     ไม่อยากแบ่งใคร


     ถ้อยคำจำพวกนี้ผุดขึ้นในสมองผมวนไปวนมาเวลาที่เจอหน้าน้องมัน ผมว่าผมแม่งต้องทำอะไรซักอย่างแล้วไม่งั้นกูนกแน่ๆ จึงเริ่มจากชวนน้องมันไปกินข้าว หยอดมันทีละเล็กทีละน้อย แต่มัน...ขอโทษนะครับ โง่สัดๆ ไม่ได้รับรู้ว่ากูจีบเลยซักนิด ยิ่งพอไอ้นิวมันพูดถึงน้ำตาลก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที ลืมไปว่าน้องมันชอบอยู่


     แต่แล้วไงวะ


     ไอ้ตาลน่ะเหรอ


     หึ


     สู้ผมไม่ได้หรอกครับ อย่าหวังเลย


     ใครเชียร์น้องมุ่ยกับน้ำตาลก็...ครับ


     ระวังขึ้นเรือผิดลำ


     ผมเตือนแล้วนะ : )


     “มีคนขอมาว่าอยากฟังมือกีต้าร์ของเราร้องเพลงครับ”

     “อยากฟังเฮียมุ่ยร้อง! เฮียร้องที!”

     “ว่าไงครับพี่มุ่ย?” ผมกลับมาสนใจมุ่ยอีกครั้ง โป้ยื่นไมค์ไปให้น้องมันตอบ มุ่ยหัวเราะอย่างถูกใจพลางชี้หน้ากลุ่มเดิมที่เอาแต่เรียกร้องให้น้องมันร้องเพลง เผลอสบตากับผมแวบนึงแล้วก็เบ้หน้าแลบลิ้นให้


     มันเขี้ยวจัดๆ


     “ถ้าผมเสียงเพราะมากเลยต้องขออภัยด้วยนะครับ”

     “วู้วๆ !”

     “อะแฮ่ม...ผมนึงถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้พอดี ยังไงก็ลองฟังกันดูนะ...ทำอะไรสักอย่าง”


    “หัวใจเต้นแรงหน้าแดงทุกที

ใช่เธอหรือนี่ที่คอยตลอดมา

ควบคุมไม่อยู่รู้เลยว่าตัวสั่น

แค่เจอไม่นานถูกใจฉันเหลือเกิน



     ผมมองไม่ผิดใช่ไหมว่าน้องมันมองมาทางนี้...

     และเราสบตากัน...


     เจอกันแล้วอย่าผ่านเลยได้ไหม

ถ้าเสียเธอไปก็คงชอกช้ำ



     น้องมันเบนสายตาไปทางอื่นอย่างตกใจนิดๆ เมื่อผมจ้องกลับ หน้าเล็กๆ นั่นขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด เสียงนุ่มๆ ติดจะแหบของเจ้าตัวฟังดูมีเสน่ห์และใบหน้าของมุ่ยในยามที่ร้องเพลง ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าโคตรมีเสน่ห์


     เตรียมหวงล่วงหน้าเลยคนนี้


     ฉันต้องทำทำอะไรสักอย่างแล้ว

ให้เธอนี้ไม่แคล้วไม่คลาดกัน

ให้เธอรู้ตัวมีคนคนอย่างฉัน

แอบมองเธออยู่ตรงนี้

รอคอยเธอตรงนี้ฉันนี่ไง”

(ทำอะไรสักอย่าง : ป้าง นครินทร์)



     เออ กูคงต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ



.

.

.



(ต่อข้างล่างจ้า)

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
(ต่อตรงนี้จ้า)


     หลังจากเล่นดนตรีกันเสร็จ ผู้คนต่างก็ทยอยกันเดินออก บางคนเดินเข้าไปคุยรวมถึงขอถ่ายรูปด้วย โดยเฉพาะน้องมุ่ยของผม ก็ไอ้กลุ่มเดิมนั่นแหละครับ รุมน้องมันจนมองไม่เห็นหัว

     ผมจึงเตรียมเก็บของแล้วกะว่าจะเดินไปหามุ่ย

     “พี่บีม” เสียงเรียกที่ไม่คุ้น เมื่อหันมองไปก็เห็นเป็นน้องรหัสไอ้นิวเพื่อนน้องมุ่ย

     “ว่าไง”

     “ผมชื่อโป้นะ น้องรหัสพี่นิว”

     “อืม”

     “ผมจะพูดเรื่องไอ้มุ่ยมัน” โป้บุ้ยปากไปทางน้องมุ่ย แล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจส่งมาให้ผม

     “มุ่ยเหรอ มีอะไรรึเปล่า”

     “ผมจะถามพี่ตรงๆ ...พี่จีบมันอยู่รึเปล่า” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะถาม

     “อืม” ก็จีบอยู่จริงๆ นี่ครับ เด็กประถมมองดูยังรู้เลย มีแต่เด็กกากนั่นล่ะที่ยังเอ๋ออยู่

     “พี่...เอาจริงดิ” เพื่อนมุ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ก็คงห่วงเพื่อนเป็นธรรมดา

     “น้องไม่ต้องห่วงมุ่ยหรอก พี่ไม่ใช่คนใจร้าย” ผมระบายยิ้มให้น้องมัน โป้ชะงักไปนิดก่อนจะทำหน้าแหยๆ พลางลูบแขนตัวเองไปมา

     “โอ้ย! ไม่ใช่มัน พี่ต่างหากล่ะที่ผมห่วง” โป้กระแทกตัวลงนั่งข้างผม หำหน้าหงุดหงิดใจอะไรซักอย่างที่ผมคาดเดาไม่ได้

     “ห่วงพี่เหรอ?”

     “ก็ใช่ดิ พี่เห็นมันอย่างนั้นคิดว่าไม่มีคนมาจีบมาชอบมันเลยหรือไง โคตรเยอะเหอะ” ผมหุบยิ้มทันที ไม่ใช่ไม่รู้ว่าน้องมันมีเสน่ห์ คนต้องชอบอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเยอะแยะอะไรเพราะน้องมันดูไม่เอาใครนอกจากเพื่อน

     “แต่เพื่อนผมอะ มันโง่! มันไม่รู้หรอกว่าโดนจีบ”

     “เออเห็นด้วย” เท่าที่ผมหลอกแตะนิดแตะหน่อยมันมาซักพัก ก็...พอจะเข้าใจได้

     “ที่ห่วงก็กลัวพี่จะเหนื่อยเปล่า รับมือกับมันน่ะ...พี่รู้ใช่ไหมว่ายาก” ผมพยักหน้าเห็นด้วย คุยกับน้องมันแต่ละครั้งต้องพยายามฟังว่าแม่งจะสื่ออะไร ไม่งั้นจับใจความไม่ได้ครับ พูดไปเรื่อยอะ

     “แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง” จากน้ำเสียงกวนๆ กลายเป็นนิ่ง จากที่ตอนแรกดูเป็นเด็กขี้โวยวายเข้าถึงง่ายนิสัยคล้ายเพื่อนตัวเอง ตอนนี้กลับแสดงท่าทีเคร่งเครียดขึ้นมาจนผมรู้สึกได้

     “ถ้าคิดจะเล่นๆ แนะนำว่าให้หยุดซะ”

     “ผมไม่ชอบเห็นใครทำเพื่อนผมเจ็บโดยเฉพาะไอ้มุ่ย” น้ำเสียงนิ่งๆ บวกรอยยิ้มเย็นที่มันส่งมาให้ ผมถึงกับต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ


     อ่า ผมว่าก็น่าจะทั้งกลุ่มน้องล่ะมั้งที่ดูจะ...เข้าใจยาก


     “เท่านี้ครับ ไม่มีอะไรแล้ว” เพื่อนมุ่ยลุกขึ้นยืนแล้วกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ


     หึ เล่นๆ งั้นเหรอ


     คนอย่างบีมมีคำว่าเล่นๆ ที่ไหนกัน เลอะเทอะ


     “อ่อ เพื่อนน้องมุ่ย” ผมลุกขึ้นยืนแล้วเรียกไว้ก่อนที่น้องมันจะเดินออกไป

     “ครับ?”

     “พี่ชอบน้องมุ่ย” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น แววตาจริงจังไม่มีล้อเล่น

     “และ...พี่จะไม่ทำให้ทั้งน้องและน้องมุ่ยผิดหวัง” โป้มันอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา


     เป็นอันว่ารู้กัน


     “ครับ”





*****************************************

มาเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฮ่าๆ สองตอนหน้าเราไปบู๊กันค่ะ!

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 14

เล่าระหว่างเรื่อง


“มึง”

“ว่า?”

“การที่กูใจเต้นกับคนๆ นึง-”

“มึงชอบเขาแล้วล่ะ”

“สัด กูยังพูดไม่จบเลย”

“มึงเกริ่นมาซะขนาดนี้ คนเทพๆ อย่างกูก็เดาออกปะวะ”

“เฮ้อ”

“เป็นไรอีกอะ”

“มีเพื่อนทั้งทีเพื่อนก็เป็นบ้าเป็นบอ กูรับไม่ได้”

“งั้นกูจะไม่ตอบคำถามมึงแล้ว งอน!”

“แก๊ป ดูเพื่อนมึง”

“ให้กูนั่งเงียบๆ เถอะ อย่ามายุ่งกับกูเลย”

“ไม่ได้ดั่งใจเลยสักคน ฮึ่ย!” ผมมุ่ยหน้าบึนปากอย่างหงุดหงิด ตอนนี้นั่งกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะครับกำลังรอขึ้นเรียนตอนบ่ายโมง แล้วดูพวกมันดิ ไอ้เจ๋งก็กวนตีนจัดเลยส่วนแก๊ปเพื่อนรักเอาแต่นั่งส่องกระทู้ไม่สนใจเพื่อนฝูง ผมซีเรียสนะครับเนี่ย

เมื่อวานหลังจากที่บีมพาผมตะลอนกินและก็พาไปถนนคนเดิน อยู่รอจนผมเล่นดนตรีจบแล้วยังไปส่งถึงหออีก แต่บีมก็ยังไม่กลับไปสักที เล่นตัวทำเป็นถามนู่นถามนี่จับมือผมแกว่งไปมาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จ้องมองมาที่ผมแล้วคลี่ยิ้มเอ็นดูส่งมาให้อีก


‘มาส่งทุกวันได้ปะ?’

‘มาเพื่อ? กูมีน้ององุ่นกูขี่ไปเอง’

‘งั้นพาไปกินข้าวด้วยกันได้ไหม?’

‘กูหากินเองได้ มึงจะถ่อมารับกูทำไม’

‘ถ้าชวนไปเที่ยวจะไปด้วยกันไหมล่ะ’

‘กับมึงอะนะ? ไม่เห็นอยากไปด้วย’

‘แล้วถ้าคอลหาทุกคืน อนุญาตไหม?’

‘รวยนักสิมึงอะ มันเปลืองค่าเน็ตปะบีม แล้วคนจะนอนจะคอลมาหาดาบหาแก้วอะไรวะ โค๊ะ! บ่านี่บ่าเฮ้ย’

‘แล้ว...’

‘แล้วเมื่อไหร่มึงจะกลับไปสักที กูอยากอาบน้ำนอนแล้วโว้ย! ง่วงจะตายห่า’

‘ไม่ดิ แล้วถ้าจะขอคิดถึงน้องมุ่ยทุกวันนี่...จะให้ไหม?’

‘จะทำอะไรก็เรื่องขอ- เดี๋ยว เมื่อกี้พูดอะไรนะ?’

‘ขอบคุณครับ’

“เฮ้ยบีม! เดี๋ยว!”


ผมเดินกลับเข้าห้องอย่างไม่เต็มเต็งเท่าไหร่ เหมือนวิญญาณมันหลุดลอยหายไปตั้งแต่บีมขับรถกลับไป ผมอาบน้ำเสร็จล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากถ้าเอาเท้าขึ้นมาได้นี่ยกแล้วนะครับ ผมลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้น กว่าจะได้หลับก็เกือบตีสาม ดีนะมีเรียนบ่าย ถึงอย่างนั้นผมก็ตื่นขึ้นมาในสภาพซอมบี้แล้วกว่าจะขุดตัวเองออกจากเตียงได้ก็เกือบไม่ทันนัดเพื่อน


ผมว่าผมไม่สบาย


แน่ๆ เลย ชัวร์ป้าป


อาการของผมมันรุนแรงมาก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ พอลองจับแขนดูแล้วอุณหภูมิก็ปกติแต่ใบหน้าของผมนี่แทบจะระเบิด บางทีเกิดอาการพูดตะกุกตะกักจับใจความไม่ค่อยได้ ตาหลุกหลิกล่อกแล่กเหมือนคนขาดของ แล้วที่ผิดปกติหนักๆ เลยคือ หัวใจ


หัวใจผมมันเต้นแรงมาก จนแทบอยากจะควักหัวใจออกมา เอาออกมาพิสูจน์ เพราะแค่เพียงคำพูดไม่พอ


อ่อ ไม่ใช่นะ


เต้นแรงจริงๆ นะครับผมไม่ได้พูดเล่น แบบ ตึกตักๆ ๆ เลย แล้วไอ้อาการที่ว่ามาทั้งหมดเนี่ยมันชอบเป็นเวลาอยู่ใกล้กับคนๆ นึง


กับบีมอะ...


หน้าร้อนจนแทบจะระเบิดเวลาบีมส่งยิ้มมาให้ หรือบางทีเกิดอาการพูดตะกุกตะกักจับใจความไม่ค่อยได้เพราะบีมจ้องมาที่ผมเหมือนต้องการสื่ออะไรสักอย่างที่คนอย่างผมโง่เกินกว่าจะเข้าใจ แล้วตาจะหลุกหลิกล่อกแล่กเหมือนคนขาดของเมื่อบีมเข้ามาใกล้ กะ...ก็มันชอบยื่นหน้าเข้ามาแล้วยังยิ้มให้อีก เป็นใครก็ต้องมีอาการเหมือนผมไหมอะ


แล้วตอนมัน...ตอนมันจุ๊บ...เอ้ย! ...เป่าข้อมือผม หัวใจนี่รัวอย่างกับกลองชุดรวมอาการที่ว่ามาทั้งหมดนั้นด้วยในเวลาเดียวกัน


ผมต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ๆ ทุกคน


ผมเชื่ออย่างนั้น


“มึงดูอันนี้ดิ น่ารักดีว่ะ มีคนมาตั้งกระทู้ถามในพันทิปอะ” ไอ้แก๊ปเป็นนักสิงกระทู้ตัวยงเลยครับ มันชอบอ่านแล้วก็แชร์ลงเฟซบุ๊กแถมแท็กเรียกพวกผมมาอ่านด้วย ยิ่งพวกเรื่องผีนี่แชร์จนรกทามไลน์เลยครับ


“ถ้าเรารู้สึกชอบใครคนนึง เราจะมีอาการอย่างไรครับ หูย กระทู้ช่างโดนใจ”


กึก!


“เฮ้ยๆ ไหนมึงเข้าไปอ่านคอมเม้นดิ้” ไอ้เจ๋งสะกิดแก๊ปแล้วกระเถิบตัวเองไปนั่งม้านั่งเดียวกันพลางทำหน้าอ้อร้อปรายตามองมาทางผม

“มองเหี้ยไรมึง”

“เปล๊า! หนาย แก๊ปลองเอามาอ่านให้หมาแถวนี้มันฟังเด๊ะ”

“กวนตีนกูดีจังเลยนะ เชี่ยเจ๋ง” ผมชี้หน้าคาดโทษมันไว้ ยังไม่กล้าทำอะไรมันตอนนี้ครับ เดี๋ยวเพื่อนแก๊ปจะเกรี้ยวกราด

“คนตอบเยอะอยู่นะ ไหนอ่านสักอัน...” ผมทำเป็นไถโทรศัพท์เล่นไม่สนใจพวกมัน แต่หูนี่ผึ่งเลยครับ


“จะมีอาการแอบมอง...แอบยิ้ม แล้วก็เขินเวลาที่เขามองมา”

“...”

“ตอนเจอกันสมองจะตื้อคิดอะไรไม่ออก คิดถึงหน้าเขาแล้วใจเต้นแรงผิดปกติ”

“...”

“พยายามไม่มองหน้า เวลาเขามองมาก็จะทำหน้านิ่งแล้วไปนั่งยิ้มบ้าๆ คนเดียว”


กูเลย


กูทั้งนั้น


“ไหนเอามาดูมั่งเด้ะ!” ผมทำเป็นโวยวายแล้วกระเถิบไปนั่งใกล้แก๊ปด้วย

“พวกมึงห่างๆ กูที อึดอัดชิบหาย สามคนเก้าอี้ตัวเดียว” ไอแก๊ปดันทั้งผมและเจ๋งออกมา

“เดี๋ยวกูส่งลิงก์ให้ในแชทกลุ่ม พวกมึงก็ไปอ่านกันเอง” มันทำหน้ารำคาญ แต่ก็ยังใจดีแชร์มาให้อ่าน

“มุ่ยมึงแชร์ลงหน้าเพจมึงดิ” ไอ้เจ๋งย้ายมานั่งกับผมแทน ทำเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มบุ้ยปากมาที่โทรศัพท์ผม

“เพื่อไรวะ มันเพจถ่ายรูปไหมล่ะ”

“เออน่า เชื่อกู กูรู้นะว่ามึงกำลังเป็นบ้ากับเรื่องพี่บีม” มันชี้หน้าผมพลางจ้องเขม่ง

“เหี้ย...มึงรู้ได้ไงอะ” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะจับพิรุธได้ มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอครับ

“ไอ้ควายน้อย ไม่รู้สิแปลก ถึงมึงกับกูเพิ่งจะเป็นเพื่อนกันหมาดๆ แต่ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามึงคิดอะไร”

“กูไม่ได้คิดไรเล้ย! กูเปล๊า!”

“เสียงสูงไอ้สัด โป้มันเล่าให้กูฟังหมดแล้วเรื่องเมื่อวาน”

“ก็แค่ไปเดินกาด...” ผมหลบสายตาที่เจ๋งจ้องมาอย่างจับผิด

“บางทีกูก็สงสัย มึงมีความมั่นใจอันแรงกล้าที่จะจีบพี่น้ำตาลเขาขนาดนั้น ไอ้กูก็นึกว่ามึงจะเจนสนามเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ไหนได้ โถ...น้องมุ่ยตะเร้กๆ” มันทำหน้าสงสารผมจับใจพลางลูบหัวผมไปด้วย

“พูดอะไรวะ ขนลุก เรื่องกูจะจีบน้ำตาลมันทำไม กูก็เข้าไปคุยกับเขานะเว้ย ช่วงนี้ในแชทก็ได้คุยกันตั้งบ่อย กูกากที่ไหนกัน” ผมพูดอย่างมั่นใจในตอนแรกแล้วค่อยลดระดับเสียงลงมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ คุยทุกวันไหม ก็ไม่หรอกครับ แต่ก็มากกว่าช่วงแรก น้ำตาลชอบทักมาถามเรื่องกล้อง ดูเหมือนเธออยากจะลองเล่นดู ผมก็ให้คำแนะนำเขาไปเท่าที่ทำได้ มันพอจะนับเป็นจีบได้ไหมอะครับ ถือเป็นคนคุยได้ไหม?


“คุยของมึงกับคุยของกูมันคนละอย่างกัน เฮ้อ”

“คนไหนคุยก็คือคนคุย กูเข้าใจผิดตรงไหน?” ผมทำหน้างง

“เออ ช่างหัวเรื่องนั้นก่อน มาพูดถึงพี่บีมดีกว่า”

“ทำไม”

“ให้กูเดา พี่บีมอะ...จีบมึงอยู่!”

“หะ!!?”

“เว้ยยย ไอ้มุ่ยหน้าแดง! เชี่ยแก๊ปดูๆ”


บีมเนี่ยนะ...จีบผม?


“มะ...มั่วแล้วเพื่อนเจ๋ง...”

“เอ้า! จริงจริ้ง”

“...” บ้ากันไปใหญ่แล้ว! เหอะๆ บีมเนี่ยนะ? บีมที่มีน้องชื่อบูอยู่ปีสองวิศวะเนี่ยนะ จะมาจีบผม ไค่หัว! (อยากหัวเราะ)

“เชื่อกูดิ กูเห็นมานักต่อนักแล้ว จีบชัวร์!”

“มันจะมาจีบอะไรกู” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “มึงอะไม่รู้อะไร...” เฮ้อ แสดงว่าคนอื่นคิดแบบนี้กันหมดเลยดิ ดีนะผมไม่โง่

“อะไรวะ?”

“บีมมันกวนตีน!”

“ห้ะ? อธิบายดิ้” เจ๋งทำหน้าเหลอหลา ขมวดคิ้วทำงงในสิ่งที่ผมพูดไป

“ก็ที่มึงคิดว่าบีมจีบกูอะ เปล่าเลยเว้ย! มันแค่มากวนตีนกูให้กูรำคาญ ทำให้กูสับสน ทำให้กูใจเต้นแรง...ให้กูไขว้เขวไง อะ...เออ! นั่นแหละ”

“ใช่เหรอเพื่อนมุ่ย”

“กูเชื่ออย่างนั้น”


งั้นแสดงว่าอาการทั้งหมดที่ผมเป็นเวลาอยู่ใกล้บีมนี่ก็คือ โกรธ! ผมโกรธมันไงครับทุกคน! โกรธจนเลือดขึ้นหน้า หัวใจเต้นรัวเพราะอยากถีบมัน ตาหลุกหลิกเพราะพยายามระงับอารมณ์ตัวเองอยู่


โหย คิดตั้งนาน!


แค่นี้ก็คิดไม่ออก โง่จริงๆ เลยไอ้มุ่ยเอ้ย!


“...เบิ้ดคำสิเว่าเลยกู” ไอ้เจ๋งยกมือกุมหน้าผาก ส่ายหน้าไปมาอย่างเครียดๆ มันคงสงสารผมนั่นแหละ ผมโดนแกล้งไง


“เออ มึงแชร์กระทู้ดิ กูอยากรู้อะไรสักอย่าง” ยังไม่จบ ไอ้เจ๋งลูบหน้าลูบตาแล้วหันมาคะยั้นคะยอให้ผมแชร์กระทู้ที่แก๊ปส่งลิงค์มาให้ลงเฟส

“เออๆ วุ่นวายชิบหาย” ผมตัดรำคาญโดยการแชร์ไปหน้าเพจของตัวเอง เหล่าผู้ติดตามก็เข้ามากดไลค์กันทีละคนสองคน ผมก็มีแชร์กระทู้หรือเรื่องราวที่น่าสนใจลงเพจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการถ่ายภาพมากกว่า

“เรียบร้อยเหมือนกัน ฮี่ๆ” ผมมองหน้าไอ้เจ๋งอย่างไม่ไว้ใจ มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แม่งจะแกล้งอะไรกูรึเปล่าวะ ระแวงสัด


ตึ้ง!


มีคนมาคอมเมนท์เรื่องราวที่ผมเพิ่งแชร์ไป เก็บไว้อ่านคืนนี้ดีกว่า อ่านทีเดียวตอบทีเดียว


ตึ้งๆ


“แจ้งเตือนมึงดังอะมุ่ย ลองเข้าไปดูดิ”

“ค่อยตอบตอนจะนอน ตอนนี้กูขี้เกียจ มัวแต่ตอบไม่เป็นอันทำอะไรพอดี” ผมบอกปัดๆ ไป เช็คเวลาในโทรศัพท์ก็เหลืออีกห้านาทีจะถึงเวลาเรียน

“เชี่ยมึง ไปเรียนเร็ว! เหลืออีกห้านาที” ยังไม่ทันเปิดดูอะไรทั้งสิ้น ผมร้องบอกเพื่อนต่างคนต่างรีบกุลีกุจอเก็บของวิ่งขึ้นอาคารเรียน มัวแต่ฝอยกับพวกมันจนเกือบลืมเวลา สายไม่ได้ครับคาบนี้ ไม่ได้เด็ดขาด อ้าก!


พี่ชื่อเจ๋ง แปลว่าหล่อมากรู้ยัง : @Beambeam Pattaranon

นิวแปลว่าใหม่ : อุ้ย! น้องมุ่ยแชร์ไรอ้า

กิ่งก้านใบ ชะชะใบก้านกิ่ง : ว้ายตั่ยล้าววววว

Beambeam Pattaranon : ยังไงนะ ขออีกที

นิวแปลว่าใหม่ : น้องเค้าหมายถึงใครนร้าาาาาา ใช่ที่ชื่อ บีม ปร้า! แค่กๆ

Beambeam Pattaranon : @นิวแปลว่าใหม่ แล้วมึงไปเสือกไรน้องมัน

กิ่งก้านใบ ชะชะใบก้านกิ่ง : อุ้ยๆ น้องเค้าหมายถึงมึงแน่เหรอไอ้บีม อย่าฟ่าวหลายเด้ออ้าย 5555

Beambeam Pattaranon : สัด




.

.

.



“มึงนี่ลำบากเพื่อนตลอดเลยนะไอ้โป้ กูก็นึกว่ามีเรื่องใหญ่โตอะไร ไอ้ควาย” ผมจอดรถอยู่หน้าร้านแทงสนุ๊กซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เด็กช่าง ย่านนี้เป็นแหล่งสังสรรค์ของวัยรุ่น มีทั้งร้านคาราโอเกะ ร้านนั่งชิว ร้านหมูกระทะ มีทุกอย่างครับ แล้วยิ่งดึกก็ยิ่งคึกในขณะที่ความปลอดภัยเป็นศูนย์ มาได้ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี เมื่อก่อนผมมาบ่อยแต่เดี๋ยวนี้นานๆ ทีแวะมา จะมีแต่เชี่ยโป้ที่ยังคงมาสม่ำเสมอ


“ได้ทีบ่นใหญ่ๆ เลือกได้ก็ไม่อยากจะให้มึงมาหรอก” ผมพยักหน้าส่งๆ ปกติแล้วโป้มันจะมาของมันเองแต่เมื่อวันก่อนมันดันขี่รถไปเฉี่ยวต้นไม้เพราะโดนรถยนต์คู่กรณีเบียดจนเกือบตกถนน ดีนะโป้แม่งประคองรถอยู่จึงทำได้แค่เฉี่ยวๆ แต่เอาจริงๆ ก็เสียหายเยอะเหมือนกันเลยต้องส่งอู่ บ้านมันนั่นแหละครับ โดนป๋าด่าเละแถมยึดกุญแจรถทุกคันของมันหนึ่งอาทิตย์ให้สำนึกผิด มันก็มาคร่ำครวญกับพวกผมเหมือนจะขาดใจตาย สุดท้ายก็ต้องคอยผลัดกันไปรับไปส่งมัน


เอาจริงผมก็ไม่ไว้ใจให้เพื่อนอีกสองคนมา อย่างที่บอกว่ามันอันตราย แถมพวกมันไม่ค่อยรู้ทางแถวนี้เผลอๆ จะหลงไปเจอพวกคนดีเข้า


ไอ้ผมนี่ก็คู่กรณีเยอะครับ แหะ


“มึงกลับได้แล้วไป เดี๋ยวกูให้พวกไอ้เทียนไปส่งเอง” ผมเออออตามมัน ใส่หมวกกันน็อคแล้วเริ่มขี่ออกจากร้านไป


แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว แวะถ่ายรูปที่สะพานหน่อยก็แล้วกัน ดีนะเอากล้องมาด้วย


ไอ้โป้รู้ด่าตายห่า


ไม่เป็นไรครับ รีบถ่ายรีบกลับ น่าจะไม่เจอใคร มั้ง


ผมจอดรถอยู่ไม่ไกล อันที่จริงมันไม่ใช่สะพานใหญ่อะไรหรอกครับ เป็นสะพานคอนกรีตขนาดกลางข้ามแม่น้ำสายเล็ก เมื่อก่อนเขาก็ใช้เส้นทางนี้กันเพราะมันรวดเร็ว แต่พอสะพานใหญ่สร้างเสร็จเขาเลยเลิกผ่านทางนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันอันตรายด้วยนั่นล่ะ


ฝั่งที่ผมขี่มาจากย่านนั้นทะลุซอยออกมาหน่อยแล้วจะเจอสะพานนี้พอดี มันเป็นทางลัดน่ะครับ คนในพื้นที่เขาจะรู้กัน มาตอนบ่ายน่ะไม่เท่าไหร่คนยังพลุกพล่านอยู่ แต่ช่วงเย็นไปจนดึกดื่นอย่าได้มาเชียวครับ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคล้ายกับฝั่งของพื้นที่เจริญแล้ว อีกประมาณสองกิโลเมตรก็จะเป็นถนนคนเดินที่ผมไปมาเมื่อสองวันก่อนนั่นเอง เหมือนแบ่งฝั่งขาวกับดำอะ ผมเลยเลือกที่จะขี่รถข้ามไปจอดฝั่งกาดก่อนดีกว่า ฮ่าๆ


ถามว่ามาทำไม


ตรงนี้น่ะสุดยอดแล้วครับ อาทิตย์ตกดินตรงกลางสะพานเป๊ะ แถมวิวรอบข้างก็ใช่ย่อย นั่นๆ ตรงตีนสะพานเห็นอยู่สองสามคน อ๋อ มาถ่ายกับแฟน


อืม


ผมละสายตาจากภาพคู่รักตรงหน้าแล้วเดินไปแถวกลางสะพาน ยกกล้องขึ้นถ่ายวิวรอบข้างไปเรื่อยๆ รอจนพระอาทิตย์ใกล้ตกกว่านี้หน่อย


เอ๊ะ


ใครวะน่ะ หลังคุ้นๆ


ผมยกนิ้วขึ้นดันแว่นแล้วพยายามหรี่ตามอง เหมือนกำลังจะวาดอะไรซักอย่างอยู่ด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้คนๆ นั้นมากขึ้น จนระยะห่างระหว่างผมกับเขาอยู่ใกล้กันมากขึ้น เด็กมอปลายนี่หว่า


“เย้ย!” ผมเอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อจะมองหน้าให้ชัด ถึงกับเบิกตากว้างส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ

“เฮ้ย! พี่!” อีกฝ่ายสะดุ้งแรงเมื่อได้ยินเสียงผม มันหันมาแล้วอ้าปากเหวอ

“ไอ้น้องบู/พี่มุ่ย!”


.

.


“มึงนี่น้า ที่สวยๆ กว่านี้ก็มีไม่ไป” ผมขยี้หัวน้องมันอย่างหมั่นไส้ เลือกที่สเก็ตช์ภาพได้ดีมาก บ้าไปแล้ว!

“เพื่อนผมแนะนำมา”

“หลอกมึงมากระทืบหรือเปล่า เพื่อนมึงอะ”

“พูดอะไรของพี่”

“เรียกกูเฮียเถอะ ไม่ค่อยชินคำว่าพี่เท่าไหร่” บูพยักหน้าอย่างเข้าใจพลางหันไปสนใจกับภาพตรงหน้าแล้วลงมือวาดต่อ ผมนั่งหันหลังพิงราวสะพานกดเลื่อนดูรูปที่ถ่ายมาส่วนน้องมันก็ยืนสเกตช์ภาพอยู่อย่างนั้น โชคดีที่ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเท่าไหร่นัก


บูบอกผมว่าอยากหาโลเคชันสวยๆ ฝึกวาดรูป เพื่อนมันก็พามาที่นี่ พอผมถามว่าเพื่อนไปไหนมันก็บอกว่ามีธุระด่วน ถ้าน้องมันจะกลับก็ให้โทรมาแล้วเดินข้ามสะพานไปรอฝั่งถนนคนเดิน


แล้วเพื่อนมันไม่รู้หรือยังไงว่าที่ตรงนี้ใครเขาให้อยู่คนเดียว โค๊ะ!


“เฮียมุ่ย”

“ว่า” หลังจากเงียบไปนาน น้องมันก็เอ่ยเรียกชื่อผม มือหยุดวาดแล้วสายตาจ้องมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

“ขอบคุณเฮียมากนะ พี่บีมแม่งดีขึ้นเยอะเลยว่ะ”

“กู...ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนิ” ผมเฉไฉตอบ เวลามีคนมาขอบคุณแล้วรู้สึกจักจี้แฮะ ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เคยแต่โดนด่าอะ

“เออ นั่นแหละ ผมโคตรตกใจที่อยู่ๆ มันเรียกผมมานั่งคุยด้วยเรื่องเรียนต่อ” ผมนิ่งเงียบเพื่อรอฟัง

“...”

“ผมก็อธิบายไป แปลกมาที่ไม่ค้านผมสักคำ แต่พี่มันก็บอกว่าจะทำอะไรให้คิดดีๆ พี่บีมยังไม่ได้โอเคร้อยเปอเซนต์แต่จะพยายามทำความเข้าใจ”

“...”

“เชี่ย ผมแม่งโคตรรอเมซิ่ง ตบหน้าตัวเองนึกว่าฝันไป เจ็บตัวฟรีเลย” น้องบูมันก้มหน้าขำออกมาเล็กน้อย เหมือนเป็นเรื่องน่าอาย

“พี่มันบอกว่าอย่าลืมมาขอบคุณเฮีย”

“เออ ไม่เป็นไรหรอก” ผมลุกขึ้นยืนหันไปทางเดียวกับน้องมัน ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี





“แล้ว...มีอะไรอยากจะถามกูอีกไหม” ผมยิงคำถามออกไป หลังจากเราสองคนเงียบไปนาน

“สังเกตด้วยเหรอ...” ผมลดกล้องลงแล้วมองหน้าน้องมัน แววตาแห่งความสับสนเจือปนอยู่ในนั้นถึงแม้ริมฝีปากจะยิ้มออกมาก็ตาม

“ชัดเจนขนาดนั้น โกหกกูไม่ได้หรอก” ผมยิ้มขำ

“เฮียแม่ง...”

“รับปรึกษาปัญหาฟรีเฉพาะวันนี้ วันอื่นคิดนาทีละร้อย” น้องมันหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมก็ได้แต่ยิ้มตาม รอจนนอกมันนิ่งเงียบไปสักพัก ก็เริ่มพูดออกมา

“ผมสับสนว่ะพี่”

“อือ...”

“พี่เข้าใจปะ มันเป็นอารมณที่แบบ พอเขาเข้าใจเรายอมให้เราแล้ว แม่งเริ่มรู้สึกผิดละ อธิบายไม่ถูกแต่เป็นความรู้สึกที่โคตรเหี้ยเลย พอพี่บีมยอมฟังก็กลายเป็นผมที่ลังเล ทั้งที่เลือกจะต่อต้านมาทั้งชีวิต”

“มันโอเคแล้วใช่ไหมวะที่จะเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบอะเฮีย”

“ถ้าผมเข้าไปเรียนแล้วมันไม่ใช่ล่ะ ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...แล้วมันจะเป็นยังไง” น้องมันก้มหน้าลงยกมือขยี้ผมอย่างหงุดหงิดในใจ ผมปล่อยให้ความเงียบมันดำเนินไปอย่างช้าๆ รอจนน้องมันอารมณ์คนที่ ผมจึงเริ่มเปิดปาก

“ความจริงกูต้องอยู่ปีสอง แต่ดันมีเรื่องขึ้นซะก่อนทำให้กูเรียนช้าปีนึง” ผมเก็บกล้องเข้ากระเป๋าแล้วอธิบายให้น้องบูฟังด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ผ่อนคลาย

“กูเคยเป็นเด็กกึ่งจะมีปัญหา เชื่อปะ”

“...”

“ตอนกูอยู่มอต้นเฮียกูเรียนทันตะอยู่ปีสาม กูเป็นเด็กที่เรียนไม่ได้เด่นทุกวิชากูทำอยู่ในระดับกลางๆ กีฬาก็เรียกได้ว่ากาก โคตรจะเด็กธรรมดาทั่วไป”

“...”

“ช่วงนั้นมีแต่คนชมเฮียว่าเก่งเพราะเรียนทันตะนู่นนี่นั่นแล้วมาคาดหวังกับกูทั้งที่เรียนยังไม่ได้ครึ่งเฮียมัน บ้านกูก็ไม่ได้รวยอะมึง บ้านขายปุ๋ยธรรมดาๆ นี่แหละ แม่งคะยั้นคะยอให้กูเลือกเรียนหมอไม่ก็อะไรเทือกนั้น เตียกับม๊าคงเห็นว่ามันไม่มีอะไรเสียหายก็ส่งเสริมและคิดว่ากูอยากเรียน”


“กูรำคาญมาก เลยโวยวายขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต พวกญาติทั้งหลายก็มองกูเป็นเด็กไม่ดีไปเลย ฮ่าๆ คิดแล้วขำ คือตอนนั้นกำลังกินข้าวกันวันตรุษจีนไง ลุงป้าน้าอาเขาก็อวดลูกกันตามปกติ กูก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งพูดกระทบกูนี่แหละ กูเลยโมโหกวาดกับข้าวบนโต๊ะทิ้งลงพื้นหมดเลย กูในตอนนั้นเป็นคนเหี้ยเกินกว่ามึงจะจินตนาการออกไอ้น้องบู” น้องมันผงะเล็กน้อยเพราะตกใจกับวีรกรรมสุดติ่ง ผมหัวเราะเบาๆ และเริ่มเล่าต่อ


“กูเลือกที่จะเรียน ปวช. เพื่อตัดปัญหากับการที่จะเอากูไปเปรียบเทียบกับเฮีย สายสามัญใช่ไหม? กูสายอาชีพเลยเป็นไง และนั่นคือจุดเริ่มต้นความเหี้ยที่สุดในชีวิต ถ้าเลือกได้ก็อยากจะลบปมตรงนี้ออกไป แต่คิดอีกทีเรื่องนั้นมันก็สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับกู”


“เพื่อนข้างบ้านกูก็เข้าเรียนที่นี่เหมือนกัน พวกเราลองมาทุกอย่างไม่ว่าจะเหล้า บุหรี่หรือแม้กระทั่งยา...”


“กูเว่อไปงั้น อันที่จริงกูกับไอ้โป้ไม่ได้ลองหรอก เพื่อนคนอื่นต่างหาก โชคดีที่ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างพวกกูเลยไม่คิดจะยุ่งกับของพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย”


“เรียนช่างคงหนีไม่พ้นเรื่องตีรันฟันแทง ไอ้โป้กับกูเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนตาย มีเรื่องทุกวันไม่ได้หยุดหย่อน ทั้งในและนอกสถาบัน จากที่ไม่เคยเตะต่อยใครกลับต้องฝึกและเรียนรู้ไว้เพื่อป้องกันตัวเองและช่วยพวกพ้อง กูกลับเข้าบ้านแต่ละครั้งแผลไม่ซ้ำกันสักที่”


“เตียกับม๊าด่ากูทุกวัน แต่กูก็เฉยทำเมินไม่สนใจ ยิ่งกับเฮียจากที่เป็นพี่น้องที่รักกันดีแม่งมีแต่เรื่องให้ต้องทะเลาะกันตลอด ยอมรับเลยว่าตอนนั้นอิจฉา เฮียดีไปหมดทุกอย่างในขณะที่กูเหี้ยยิ่งกว่าอะไร”


“ความไม่เข้าใจความห่างเหินระหว่างกูกับครอบครัวเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ จนวันนึง เป็นที่กูจำได้ดีและจนตายก็ไม่คิดจะลืม”


“กูกับไอ้โป้เรียนจบ พวกเราไปฉลองกันที่ร้านเหล้า โคตรขำ รู้ปะ กูไม่คิดจะเรียนต่อด้วยซ้ำ ไม่มีจุดหมายไม่มีความอยากที่จะทำอะไรเป็นอาชีพเลยสักอย่างเดียว ล่องลอยสัดๆ กูกับไอ้โป้เลยมองไว้ว่าจะเปิดร้านเหล้าด้วยกัน แม่งเลย เจ๋งสุด ฮ่าๆ”


“ขากลับเสือกเจออริ เลยตู้ม! ระเบิดเป็นโกโก้ครั้นเลย” ผมเลิกเสื้อตัวเองขึ้นเล็กน้อยแล้วชี้ให้น้องมันดูตรงรอยแผลเป็นตรงช่วงเอวที่ที่ยังคงเห็นชัดอยู่แม้จะผ่านมาเป็นปีแล้วก็ตาม


“มีเรื่องกันไปได้สักพัก เหมือนพวกมันจะไม่ไหวเพราะพวกกูก็ไม่ได้อ่อน เลย...นั่นแหละ เล่นไม่ซื่อ”


“กูโดนแทงเข้าที่เอวซ้าย ดีที่เป็นมีดสั้นไม่งั้นกูคงไม่ได้มายืนพล่ามให้มึงฟังอย่างนี้หรอก หึๆ ส่วนเพื่อนกู ภาพสุดท้ายที่เห็น...คือไอ้โป้โดนฟันเข้ากลางหลัง รู้สึกตัวอีกทีก็นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว...ฮ่าๆ ดูหน้ามึงดิบู ตกใจเว่อชิบหาย” ผมหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เพราะบูตกใจจนนิ่งค้างตาแทบจะถลนออกมา ชี้สลับไปมาระหว่างแผลกับหน้าผม


“ฮะ...เฮีย! มึงโดนแทงนะเฮียโว้ย!”

“เออ ก็โดนแทงไง มึงตกใจอะไร” ผมบุ้ยปาก “เพื่อนมหาลัยกูยังไม่รู้ มึงคนแรกเลยนะเนี่ย”

“เฮียแม่ง...”


“หลังจากนั้นเตียกับม๊า เฮียและน้องกูก็เข้ามาเยี่ยม โห ตอนนั้นในใจกูคิด โดนด่าแน่ๆ อีกตามเคย แต่สุดท้ายแล้ว...มันไม่ใช่” ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติไม่ให้ทำตัวกากต่อหน้าน้องมัน


“มันไม่ใช่เลยบู เตียกับม๊าร้องไห้กอดกูแน่น เขาพูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นอะไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้วลูก กูอึ้งแบบทำอะไรไม่ถูก เห็นเฮียยืนร้องไห้กอดปลอบน้องสาวตัวน้อยของเรา”


“ขอโทษนะลูก...เตียกับม๊าขอโทษ”

“เฮียขอโทษนะมุ่ย เฮียผิดเอง”


“กูไม่เข้าใจ ขอโทษกูทำไม ไม่มีใครผิดเลยสักนิด กูคือคนที่ผิดเว้ยไม่ใช่พวกเขา กูไม่เคยโทษครอบครัวเลยต่อให้ด่ากูขนาดไหนก็ตาม...โคตรรู้สึกแย่ ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าที่ผ่านมาทำตัวเหลวแหลกเหี้ยๆ แบบนั้นไปเพื่ออะไร...แค่ต้องการประชดเหล่าญาติๆ ประชดที่เปรียบเทียบตัวกูกับเฮีย...กูแคร์ความคิดคนอื่นจนทำร้ายตัวเองและครอบครัว สุดท้ายแล้วคนที่ทำให้เตียกับม๊าร้องไห้ก็คือกู”


“วันนั้นจึงเป็นวันที่เราทุกคนได้พูดในสิ่งที่คิดออกมาจริงๆ เพื่อเคลียร์ความรู้สึกแย่ๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจออกมา กูบอกกับเขาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องญาติ เรื่องเรียน และอนาคต”


“พอหายดี กูเริ่มกลับมาตั้งใจเรียน หาในสิ่งที่ชอบและเริ่มทำมัน”


“เตียกับม๊ารู้ว่ากูไม่ชอบญาติตัวเอง แกไม่ได้ว่าอะไรแต่บอกให้กูปรับอารมณ์ตัวเองให้ใจเย็นลงหน่อย อะไรที่พวกเขาพล่ามมาก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจให้ทำเฉยเข้าไว้ เออ...พอแคร์ตัวเราและคนที่รักมากกว่าคนอื่นแม่งรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”


“เฮียพยายามช่วยกูทุกทาง จนเจอกับพี่พระนาย...”


“เหมือนเปิดโลกใบใหม่ที่กูไม่เคยเจอ...พี่พระนายชอบเล่นกล้องชอบศิลปะกูก็ไปคลุกคลีกับพี่แกอยู่เป็นปีจนซึมซับอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้รู้ตัวเองว่า เห้ย ศิลปะมันคือทางของกูนี่หว่า การถ่ายภาพคือสิ่งที่ชอบและอยากจะทำมันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าพี่แกฝังความคิดให้ชอบ แต่เป็นกูเองที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ...แล้วก็กลายเป็นตัวกูอย่างทุกวันนี้”


“ที่พล่ามมาทั้งหมด...อืม” ผมเกาหัวแกรกๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเล่าออกทะเลไปไกลและไม่รู้จะจบอย่างไรดี “มึงอย่าเอาความคิดใครมาใส่หัว ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เห็นไหม ขนาดพี่มึงยังต้องยอมแพ้ให้กับความพยายามของมึงเลย ฮ่าๆ”


“อย่าลังเล เพราะมึงต้องลงมือทำถึงจะรู้และเข้าใจถึงสิ่งที่ตามมา ถ้าได้อย่างที่หวังก็ถือว่ามึงมาถูกทางแล้ว นี่แหละใช่เลย”


“แต่แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่มันก็คุ้มแล้วที่ได้ลอง”


.

.


แปะๆ


“ตบมือทำเชี่ยไร ไอ้เด็กนี่”

“เฮียแม่ง สุดยอดเลยว่ะ”

“ได้กำลังใจขึ้นมาไหม แค่อยากจะบอกมึงว่าการทำตัวเหี้ยๆ อย่างที่กูเคยทำมันไม่ดีหรอก อย่าเสียเวลาทำเพื่อประชดใครเลย แล้วไอ้เรื่องที่หายจากหอไปสองสามวันโดยที่ไม่บอกพี่มึงเนี่ย คนเท่เขาไม่ทำกัน”

“พี่บีมแม่งบอกเฮียหมดเลยเหรอ เซ็งชิบ” บูทำหน้าเบื่อหน่าย มันคงคิดอยู่เหมือนกันว่าไม่น่าทำเล้ย เพราะยังไงก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี ฮ่าๆ

“ในเมื่อที่บ้านเข้าใจมึง บีมก็ไม่ห้ามแล้ว...ลุยเลยไอ้น้อง!” ผมตีไหล่บูดังป้าปยิ้มกว้างๆ ให้แต่น้องมันดันทำหน้าบูดใส่จนผมขำแล้วจึงหัวเราะเสียงดังออกมา

“ขอบคุณนะ แม่ง ถ้าเฮียไม่ใช่ของพี่บีมกูจีบแน่ๆ อะ...น่ารักชิบหาย” ผมฟังเข้าใจแค่ขอบคุณนะ แต่ประโยคหลังเหมือนบูพึมพำกับตัวเองทำให้ผมไม่ได้ยิน


“งั้นก็กลับได้แล้ว อยู่แถวนี้ดึกๆ ไม่ดีนักหรอก เดี๋ยวกูไปส่งเอง” ผมมองน้องมันเก็บของใส่กระเป๋าพร้อมอาสาจะไปส่ง

“เออ ยุงเริ่มกัดแล้วอะ”

“วันหลังไม่ต้องมาที่นี่นะ มันอันตราย”

“ไม่เห็นมีอะไรเลย ไฟก็มี”

“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยว มันอยู่ตรงที่-”



“อ้าว! น้องมุ่ย!”


ชิบ...หาย...แล้ว


ผมค่อยๆ หันกลับไปตามเสียงเรียก ก็เจอกับกลุ่มคนที่ไม่ต่ำกว่าห้ายืนอยู่ตรงปลายสะพานฝั่งร้านโต๊ะสนุ๊ก และเป็นคนที่ผมรู้จักดีซะด้วย


“มึง...”


“บ่าได้ป๊ะกันเมิน จำอ้ายได้ก่อ?”


แม่งเอ้ย!


นี่แหละคือคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด!!





******************************

จะบู๊แล้วๆ แสดงความคิดเห็น+เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะค้าาาา  :katai4: :call:

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 15

ตื่นๆ มีเรื่องแล้ว



“บ่าได้ป๊ะกันเมิน จำอ้ายได้ก่อ?” ผมก้าวมาอยู่ข้างหน้าน้องบูอัตโนมัติ พลางดันให้น้องมันถอยไปข้างหลังมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีคนอื่นมาเพิ่มนอกจากกลุ่มคนตรงหน้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นนิดนึง


“ยังจำกันได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ยังไงก็น่ารักเหมือนเดิม โอ๊ย ใจกู”


“กูไม่-” ยังไม่ทันจะได้ปฏิเสธอะไรออกไป มันก็หันไปคุยกับเพื่อนตัวเองซะก่อน


“พวกมึงรออยู่ตรงนี้ กูจะทักทายน้องมุ่ยซักหน่อย ตามประสาคนรักกัน”



ถามกูยัง ถามกูซิ



รักบ้ารักบออะไร! โว้ย!



“น้องมุ่ยฮู้ก่อ อ้ายหนากึ้ดเติงหาน้องมุ่ยขนาด ใจจะขาดหื้อได้เลย~” (น้องมุ่ยรู้ไหม พี่คิดถึงน้องมาก ใจจะขาดเลย)


ไอ้เต้เดินเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมมองมันอย่างระแวดระวังพลางสำรวจคนตรงหน้าไปด้วย หน้าตาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หัวเกรียนยังไงก็อย่างนั้น เห็นจะมีแต่รอยสักตามแขนที่มากขึ้นโผล่พ้นเสื้อออกมา


เต้ หรือ ลูกพี่เต้ เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเก่าของผม จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกนัก แต่เอาเป็นว่าเคยร่วมวงต่อยตีด้วยกันมาเลยรู้จักกัน ส่วนเรื่องอื่นนั้น...ช่างแม่ง พอผมเรียนจบ ปวช. ก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย


“เอ๊ะ ก้ะว่าเขิลปี่จนปากบ่าออก อั้นก่ะน่อ เฮาบ่าได้ปะกั๋นเมินน่อ ฮิ้ว~” (เอ๊ะ! หรือว่าเขินพี่จนพูดไม่ออก นั่นสินะ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนี่นา)


มันหันไปเออออกับลูกน้องข้างหลัง แล้วเสือกฮิ้วรับกันอีก



กูนี่กุมขมับเลย



“ใครอะเฮีย” น้องบูสะกิดไหล่ถามผมอย่างงงๆ ผมครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่งเพื่อตัดสินใจว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี


ยังไงก็ได้ แต่บูต้องปลอดภัยไว้ก่อน


“มึงเอากุญแจรถกูไปแล้วหันหลังเดินไปตามทางจะเจอมอ’ ไซสีม่วง ขี่ออกไปเลยนะ”


“ด...เดี๋ยว ยังไงนะ?”


“เออ เอาโทรศัพท์กูไปด้วย พอถึงรถแล้วกดโทรหาคนชื่อโป้ด่วนๆ บอกว่ากูอยู่สะพานหลังซอย เจอไอ้เต้ ให้รีบมา” ผมล้วงโทรศัพท์ตัวเองออกมาพร้อมกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้บูรวมถึงกล้องด้วย


“เฮ้ย บ้าเปล่า จะให้ผมปล่อยเฮียอยู่คนเดียวได้ยังไง อันตราย!”


“เชื่อกูเถอะน่า เร็วเลย ไปชิ้วๆ” ผมโบกมือไล่น้องมัน แต่บูก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ใบหน้ามีแต่คำว่างงกับงง


“ไม่มีทาง นี่จะมีเรื่องกันใช่ไหม ผมไม่ไปหรอก” น้องบูขมวดคิ้วมองผมจากนั้นก็มองเลยไปยังไอ้เต้ด้วยท่าทางที่พร้อมจะมีเรื่อง


“น้องบู มึง-”


“น้องมุ่ย บ่าน้อยๆ ฮั้นมันเป็นไผ ปี่หยังมาบ่าคุ้นต๋า” (ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใคร พี่ไม่คุ้นหน้า)


ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับไอ้เต้อีกครั้ง ระยะห่างระหว่างมันกับผมไม่มากนัก แต่แม่งยังจะเดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ผมจึงยกมือขึ้นชี้หน้าจากนั้นชี้ลงพื้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ควรเข้ามาเกินกว่านั้น


“โหย บ่าหื้อปี่ใกล้ตัวแหมเมาะ หึงหนาฮู้ก่อ กับบ่าน้อยฮั้นนะ” (ไม่ให้พี่เข้าใกล้อีกละ หึงนะรู้ไหม กับไอ้เด็กนั่น)


เต้ใช้น้ำเสียงตัดพ้อพลางทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมทำตามโดยดี ผมจึงโล่งใจไปเปราะนึง ยังไงถ้าต้องวิ่งผมว่าผมรอด


“ดักปาก รำคาญ” (หุบปากเถอะ รำคาญ)


“โอ๊ย ฮู้สึกดีแต้บ่าได้น้องมุ่ยด่าเมิน ฮ่าๆ เคลียร์กับบ่าน้อยฮั้นหื้อดีเน่อครับ ปี่จะรอ” (โอ๊ย รู้สึกดีจริงไม่ได้โดนน้องมุ่ยด่ามานาน เคลียร์กับไอ้เด็กนั่นให้ดีนะครับ พี่จะรอ)


ผมกลอกตาขึ้นบนอย่างเบื่อหน่าย เพราะมันชอบพูดอะไรทำนองนี้นั่นแหละผมถึงไม่อยากจะคุยด้วย แม่งเกลียดหน้ามันชิบหาย


“เฮียมุ่ย”


“บู กลับไปเลย เฮียสั่ง” ผมจ้องหน้าน้องเขม่งอย่างไม่ลดละ


“เฮียอยู่คนเดียว!”


“เฮียเอาอยู่”


“เฮีย!”


“เออน่า เชื่อเฮีย รู้ใช่ไหมว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น”


“น้องมุ่ย พี่โกรธละหนาครับ!" (น้องมุ่ย! พี่โกรธแล้วนะครับ!)


“ดักปากไปก่อนคิงอะ อยู่ดึ้งๆ ฮาจะอู้ธุระกำ” (หุบปากไปก่อนมึงอะ อยู่เงียบๆ กูคุยธุระแป้ป) ผมตวัดสายตากลับไปมองไอ้เต้อย่างไม่พอใจเมื่อมันกำลังขัดจังหวะคุยกันระหว่างผมกับน้องบู


“ฮึ่ย!” เต้ยกแขนขึ้นกอดอกทำปากบึนพลางเสมองไปทางอื่น ผมหันกลับไปมองจนแน่ใจว่ามันยอมทำตามจึงคุยกับน้องต่อ


“รู้ดิ อย่ามองผมเป็นเด็ก ผมช่วยเฮียได้” น้องบูกดเสียงต่ำพูดกับผม สายตามองไปข้างหลังอย่างไม่ไว้ใจ


“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่มึงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้บู”


“เฮีย!”


“เห็นมันตัวกะเปี๊ยกอย่างนั้นอย่าดูถูกมันเชียวล่ะ”


“จะให้เฮียอยู่คนเดียวได้ไงอะ”


“อย่างอแงดิ กูล่ะเชื่อเลยพี่กับน้องแม่งเหมือนกันชะมัด” ผมส่ายหน้าบ่นกับตัวเอง ชอบทำหน้าหมาหงอย แล้วเหมือนรู้ว่าผมจะใจอ่อนให้เลยได้ใจใหญ่ เหอๆ


“เฮียครับ...”


“ไม่ๆ ไม่ใจอ่อนหรอก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ยังไงกูก็ไม่ยอมให้มึงปะทะกับใครแน่ๆ ดูด้วยว่าตัวเองใส่ชุดอะไร เข้าใจใช่ไหม” ผมไล่สายตามองชุดนักเรียนที่น้องสวมอยู่


“...”


“เพราะฉะนั้นทำตามที่บอก โอเค้?”


“...”


“ไปเร็ว อย่าลืมโทรหาคนชื่อโป้ด้วยล่ะ แล้วกูจะไม่เป็นอะไร” ผมเข้าใจว่าน้องมันห่วง แต่มันจะไม่มีอะไรแน่ๆ ถ้าไอ้โป้มา


“...เฮียแม่ง” บูเสยผมขึ้นลวกๆ คงจะหงุดหงิดใจน่าดูที่ตื้อผมไม่สำเร็จอย่างใจคิด ผมรู้ว่าน้องพร้อมบวกมากแต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมากูรับผิดชอบกับพี่มึงไม่ไหวเว้ย บีมเอากูตายแน่


“ขอบใจที่เป็นห่วงครับ” ผมตบบ่าแล้วยิ้มให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร บูยืนนิ่งอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเดินออกไป ยังไม่วายหันกลับมามองอย่างเป็นห่วง ผมเลยโบกมือไล่น้องมันให้รีบไปเร็วๆ


พอน้องเดินไปไกลจนลับตา ผมก็กลับมาเผชิญหน้ากับไอ้เต้อีกครั้ง


“มา มีอะไรจะคุยกับกู”


.

.

.


“มา มีอะไรจะคุยกับกู”


“ละอ่อนมันอู้ว่าปะน้องมุ่ยแถวนี่ ปี่ก่ะเลยฟ่างมา” (เด็กมันบอกว่าเจอน้องมุ่ยแถวนี้ พี่ก็เลยรีบมา)


มันว่า พลางเดินเข้ามาหาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าผม ฉีกยิ้มกว้างสดใสอย่างไม่เสแสร้ง


“มาส่งบ่าโป้บ่าดาย จะกลับละเหมือนกั๋น” (มาส่งไอ้โป้เฉยๆ จะกลับแล้วเหมือนกัน)


“ฟ่างเตี่ยน้อง อยู่กับปี่เต้ก่อน” (อย่าเพิ่งดิน้อง อยู่กับพี่เต้ก่อน) เต้คว้ามือไปจับพร้อมเขย่าเบาๆ ทำหน้าอ้อนตีนไม่หยุดจนผมต้องเบือนหน้าหนี


“น้าๆ”


“ไอ้พี่เต้”


“ไปเดินกาดกันก่อ น้องมุ่ยอยากกิ๋นอะหยังปี่เต้เลี้ยงเอง” (ไปเดินกาดกันไหม น้องมุ่ยอยากกินอะไรพี่เต้เลี้ยงเอง)


“ขี้คร้านเดินอะ เมื่อย” (ขี้เกียจเดิน เมื่อย)


“อั้นปี่เต้ปามาขี่รถเล่น” (งั้นพี่เต้พาขี่รถเล่น)


“ไค่หลับแล้วจะกลับบ้าน” (ง่วงแล้ว จะกลับบ้าน)


“น้องมุ่ยอะ...”


“ยุงขบจะต๋ายห่าเนี้ยจะยืนอู้กั๋นแหมเมินก่อ ปอๆ แยกย้ายกลับบ้าน” (ยุงกัดจะตายห่าแล้ว จะยืนคุยกันอีกนานไหม พอๆ แยกย้ายกันกลับบ้าน)


“น้องมุ่ยยยยยยย” เต้งอแงจับมือผมไม่ยอมปล่อย เบ้ปากอย่างเคืองๆ เมื่อผมขัดใจมัน ไอ้ตัวนี้ก็เหมือนกัน รู้ว่าต้องอ้อนผมถึงจะยอมให้ กูล่ะปวดหัวกับคนพวกนี้จังโว้ย


“ขี้เกียจโว้ย! กลับๆ เห้ย! มาพาลูกพี่มึงไปกันได้ละ” ผมกวักมือเรียกลูกน้องมันที่ยืนตบยุงกันอยู่ข้างหลังให้มาลากไอ้เต้กลับไป


“ปี่บ่ากลับ! บ่าเอาบ่ากลับ!” (พี่ไม่กลับ ไม่เอาไม่กลับ)


“ไอ้พี่เต้”


“ม่ายยยยยย”


“เอ๊ะ นี่มึงสักใต้ตาด้วยเหรอ” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากด่ามัน ผมก็สังเกตเห็นรูปดาวขนาดเล็กอยู่บริเวณหางตาข้างซ้ายของมันเลยถามขึ้น


“หะ อ๋อ เอ่อ...” เต้ชะงักปล่อยมือผมพลางยกนิ้วไล้ใต้ตาตัวเองอย่างตกใจ


“ไอ้พี่เต้ หึๆ มึงกล้ามากนะ” ผมวางมือบนบ่าคนตรงหน้าพลางบีบเบาๆ มันหัวเราะแห้ง ดวงตาหลุกหลิกเหมือนกำลังหาข้อแก้ตัว


“อะไร อะไร! นี่พี่ใช้ปากกาวาดเอาต่างหาก สักที่ไหนกัน น้องมุ่ยก็พูดไปเรื่อย ฮะๆ”


“เห้ยพวกมึงอะ!” ผมผละจากเต้แล้วตะโกนเรียกเด็กมันที่อยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล


“ครับเฮียมุ่ย!”


“ลูกพี่มึงเอาปากกามาวาดใต้ตาเล่นเหรอวะ”


“หือ? วาดไรครับเฮีย!” พวกมันมองหน้ากันอย่างงุนงง


“อ๋อๆ เฮียเขาน่าจะหมายถึงรอยสักใหม่ที่ลูกพี่เต้ไปสักมาปะมึง...” ผมได้ยินมันคุยกันเองแว่วๆ ไม่ทันไรก็ตะโกนตอบกลับมา


“ไม่ใช่ครับเฮีย! ลูกพี่ไปสักมาสดๆ ร้อนๆ เลยคร้าบ!”


“ไอ้เด็กเหี้ย!” เต้หันกลับไปตวาดใส่ลูกน้องตัวเอง


“เอ้า! ก็วันนั้นลูกพี่เต้ยังลากพวกเราไปให้กำลังใจอยู่เลย เนี่ยผมงงมาก ลูกพี่แม่งสักมาเต็มแขนแล้วกะอีแค่จุดเล็กๆ ใต้ตาจะกลัวอะไรวะ ฮ่าๆ”


“ว้อย! ไอ้พวกชิบหาย! ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้ไหม! หื้อ!” ผมที่ตอนแรกกลั้นหัวเราะไว้กลับพ่นออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ไหว


“ฮ่าๆ !”


“นะ...น้องมุ่ยอย่าไปเชื่อมันนะ คือพี่เนี่ย-” เต้เรียกความสนใจจากผมให้กลับมาและพยายามอธิบาย


“ไม่ต้อง ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” หน้าเสียไปเลย แต่ผมแม่งโคตรสะใจ หึๆ


“กูให้น้องมันโทรหาโป้แล้วด้วย มึงโดนแน่”


“หะ!?”


“มึงดันมาไม่ถูกที่ถูกเวลากูก็ต้องโทรหาไอ้โป้กันไว้ก่อนดิ จะได้จัดการได้ง่ายๆ หน่อย” เต้ทำหน้าช็อคโลก มันคงคิดไม่ถึงว่าจะเจอเพื่อนผมอีกแล้ว เลยตัดสินใจทำอะไรไม่คิดอย่างเช่นการสักบนใบหน้าแบ๊วๆ ของมันที่ไอ้โป้มันห้ามนักห้ามหนา



มีรงมีเรื่องอะไร ผมโกหกน้องบูไปอย่างนั้นล่ะครับ



ความจริงคือผมกับเต้ไม่มีทางที่จะปะทะกันได้อย่างแน่นอนหรอกครับ หนึ่งคือสถาบันเดียวกัน สองอยู่กลุ่มเดียวกัน และสามคือเต้เป็นของไอ้โป้อะ



โป้มันว่ามางี้ น่าจะหมายถึงเป็นเพื่อนสนิทน่ะครับ



เอาเป็นว่าคนที่จะโดนกระทืบไม่ใช่ผมแน่นอนครับ ฮ่าๆ



ที่ผมบอกน้องบูไปแบบนั้นก็ไม่ใช่จะโกหกทั้งหมด เขาเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เพราะการที่น้องได้มาเจออันธพาลเก่าอย่างผมกับไอ้เต้มันไม่ใช่เรื่องดีครับ ถึงแม้ว่าพวกผมจะไม่ทำอะไรน้องบูแต่คนอื่นรวมถึงอริเก่าที่ไม่รู้ว่ามีใครเห็นผมอีกไหมนั่นก็ไม่แน่ครับ ซึ่งผมไม่เสี่ยง


บอกแล้วว่าผมมันศัตรูเยอะ


“มันแค่รอยสักน้อยๆ เองนะน้องมุ่ย...” เต้ทำหน้าหงอยเอาซะผมอดสงสารไม่ได้ ก็นะ...


เต้เป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี เป็นผู้ชายที่ความสูงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ เผลอๆ เตี้ยกว่าด้วยซ้ำ หน้าขาวปากแดงอย่างมันใครจะเชื่อว่าเตะก้านคอคนล้มมานักต่อนักแล้ว


ผมไม่เคยเรียกเต้ว่าพี่เพราะรู้สึกกระดากปากยังไงไม่รู้ ดูมันทำตัวดิ เต้ชอบเกาะแกะผมตั้งแต่เข้าเรียนเทคนิคแล้ว ด้วยความที่เมื่อก่อนผมไม่เอาใครนอกจากเพื่อนตัวเอง ผมเลยค่อนข้างจะรำคาญเต้เอามากๆ แต่ไปไงมาไงไม่รู้ ไอ้โป้กับเต้ดันไปอยู่ด้วยกันซะงั้น


เห็นโป้มันอ๊องๆ อย่างนี้ มันโหดมากนะครับ ผมเลยงงมากที่จู่ๆ เต้ดันตัวติดกันกับเพื่อนผมตลอด ช่วงนั้นเหมือนจะเห็นเต้เข้าออกหอไอ้โป้บ่อยมาก สนิทกันดีเนอะ


จำได้ว่าเพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังว่าไม่ชอบที่เต้สักตามร่างกายตัวเองเท่าไร มันบอกผิวดีๆ เสียหมด เลยขออยู่อย่างเดียวคือห้ามสักบนใบหน้า ไม่งั้นโป้มันเอาตายแน่ ฮ่าๆ



“งั้นเราก็แยกย้ายกันกลับกันเถอะเนาะ พี่เต้ง่วงมากเลย ฮ้าว” ผมมองมันที่ทำเฉไฉ เตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไป


“จะรีบไปไหนเล่า อยากอยู่กับกูนักไม่ใช่รึไง” ผมคว้าแขนเต้ไว้ได้ทัน ไอ้เปี๊ยกหันมาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมยิ่งได้ใจใหญ่


“รอกำๆ โป้มันไค่อยากปะมึงหนา ฮ่าๆ” (รอหน่อยๆ โป้มันอยากเจอมึงนะ)


“บ่าได้อยากปะมันซักน้อย” (ไม่ได้อยากเจอมันสักหน่อย)




บรืน!




เสียงมอเตอไซด์ไม่ต่ำกว่าสามคันมุ่งตรงมาทางนี้ แสงไฟจากรถทำให้มองลำบากทำให้ผมต้องเพ่งสายตากลับไป จึงเห็นว่าเด็กไอ้เต้พากันวิ่งกรูกันเข้ามาหลบหลัง ทำเอาทั้งผมและเต้งงกันไปใหญ่


“หนีเชี่ยไรกัน” ผมหันไปถามน้องคนนึง


“นะ..นั่น พวกพี่ศรันย์”


“ห้ะ พวกมันมาได้ไง!?” เต้ตกใจบีบมือผมแรงขึ้นพลางเขยิบเข้ามาชิดกัน ตัวมันสั่นจนผมรู้สึกได้ ผมเบิกตากว้างเมื่อชื่อของคนๆ หนึ่งถูกเอ่ยขึ้นมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบอย่างอัตโนมัติ




ตึก ตัก




“หึ” ผมลูบไล้บริเวณแผลของตัวเองอย่างเผลอไผล ดวงตาจ้องเขม็งมองไปข้างหน้า เมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาอย่างช้าๆ แต่ทุกก้าวของมันกลับทำใจผมกระตุกสั่นจนต้องยกมือขึ้นลูบให้มันสงบลง


“พี่เต้ขอโทษ” ผมมองหน้าไอ้โล้นข้างๆ อย่างอ่อนใจ จะโทษมันก็ไม่ได้ ผมผิดเองนั่นล่ะที่มัวแต่เอ้อระเหยไม่ยอมกลับบ้านกับช่องสักที


“เขยิบมาใกล้ๆ กู ระหว่างที่กูถ่วงเวลาโทรหาไอ้โป้ซะ” ผมก้มหน้าลงกระซิบสั่ง เต้พยักหน้าหงึกหงักหยิบโทรศัพท์กดหาโป้ทันที




อา ดวงซวยฉิบหายเลยครับวันนี้



นอกจากมาเจอไอ้พี่เต้ตัวป่วนแล้วยังมาเจออริเก่าอีก



บ้านไม่ได้กลับแล้วล่ะ



น่าจะได้ไปโรงพยาบาลแทน



.

.

.



“ไง” ศรันย์ทักทาย ใบหน้าคุ้นเคยแสยะยิ้มส่งมาให้


“ไง” ทักมาทักกลับไม่โกงอะ


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนี่” มันยืนห่างจากผมไม่มากนัก สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพูดกับผมอย่างใจเย็น ไม่มีท่าทีรีบร้อน ส่วนข้างหลังเป็นลูกน้องที่ตามศรันย์มาด้วย


“อืม เป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอ” ผมยิ้มบางตอบกลับไป


“ฮะๆ ปากดีไม่เปลี่ยน”


“เหรอ”



ศรันย์ เป็นอริเก่าต่างสถาบันที่เคยมีเรื่องกับผมมาก่อน เริ่มมาจากรุ่นพี่มันที่คอยหาเรื่องรุ่นพี่ผมบ่อยๆ มันเลยสืบทอดกันมาจนถึงรุ่นเรา เจอหน้ากันไม่ได้เป็นต้องปะทะ ร่างกายต้องการยาแดงว่างั้นเถอะ แต่แปลกที่ผมไม่เคยโดนมันทำร้ายผมสักครั้ง อย่างมากก็แค่จับแขน แต่กับไอ้โป้หรือคนอื่นนี่ซัดเอาๆ ผมเลยคิดไปว่ามันก็น่าจะเป็นคนดีอยู่เหมือนกันติดแค่เรียนคนละที่


แต่ความคิดนั้นก็ถูกทำลายจนย่อยยับละเอียดยิบเมื่อคนอย่างศรันย์ที่ไม่เคยทำร้ายผม ในการทะเลาะวิวาทครั้งนั้นมันกลับเป็นคนเดียวพุ่งเข้าแทงผมจนมิดด้าม รวมถึงเพื่อนมันที่ฟันลงกลางหลังไอ้โป้อย่างจัง ผมเลยเกลียดศรันย์นับแต่นั้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแทงผิดตัวหรือจงใจ แต่กูเจ็บขนาดนี้จะยังให้มองว่ามันดีก็ยังไงอยู่



“หึ เด็กมาบอกว่าเจอมึง กูนี่รีบมาเลยนะ ไม่คิดว่าจะได้เจอจริงๆ”


“อ้าว ออกจากสถานพินิจมาแล้วดิ?” ผมเลิกคิ้วถามอย่างกวนตีน ศรันย์หุบยิ้มทันที สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นมากกว่าเดิม ตาคมจ้องมาที่ผมไม่ลดละ


“ใช่ กูออกมาแล้ว”


“อ่อ”


“รอยที่กูฝากไว้เป็นยังไงบ้างล่ะ จำได้ว่าแทงมิดเลยนะตอนนั้น” ผมกัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์เมื่อมันพูดถึงจุดที่สร้างบาดแผล ที่ถึงแม้ทางร่างกายจะจางลงไปแล้วแต่ในใจของผมมันยังคอยตอกย้ำอยู่ตลอดมา


“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องขอบใจมึงมาก ไม่อย่างนั้นกูคงยังจมในนรกเหมือนพวกมึงอยู่”


“ฮ่าๆ นรกอย่างนั้นเหรอ” ศรันย์จุดบุหรี่ยกขึ้นสูบ ระหว่างเราเงียบนานหลายนาที ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผมกับมันจะไม่จบแค่การทักทายกันแล้วแยกย้ายเป็นแน่


“สักหน่อยไหม?”


“ขอบใจ มะเร็งแดกตายไปคนเดียวเถอะ”


“ปากร้าย”


“ขอบคุณครับ”


“หึ”


“ถ้าไม่มีอะไรพวกกูจะกลั-”


“มาคุยกันหน่อยไหม มึงกับกูน่ะ”


“ไม่”


“งั้นเหรอ อืม คงต้องใช้กำลังสินะ...ไม่ชอบเลยแฮะ” ศรันย์ขยี้บุหรี่ลงกับราวสะพานแล้วปล่อยทิ้งลงน้ำไป ชิบหาย เป็นคนเลวแล้วยังเป็นภัยสังคมอีก ไอ้ตัวทำลายทรัพยากรแม่น้ำ!





“ไอ้ศรันย์!” เสียงตะโกนลั่นดังมาจากข้างหลังผม พอหันไปก็เจอกับไอ้โป้ที่ยืนทำหน้าเกรี้ยวกราดกับพวกอีกสิบกว่าคน


“ไง ไอ้โป้” ศรันย์ไม่ได้รู้สึกตกใจหรือกลัวเลยสักนิด กลับกันยังคงทำตัวสบายๆ เหมือนพวกเรากำลังรวมตัวไปนั่งจิบชายามเย็นกัน


“ไสหัวกลับไปซะ! กูบอกว่าอย่ามายุ่งกับเพื่อนกู” โป้เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า หันมามองผมกับเต้ด้วยแววตาดุจัด ทำเอาไอ้ตัวเล็กสะดุ้งเลย


“อา นั่นดิ ลืมไปเลย” ศรันย์ทำท่าทางเหมือนเพิ่งนึกออก เสแสร้งชิบหาย


“กูบอกว่ายังไง ไอ้มุ่ย ฟังกันบ้างไหม” โป้ว่าให้น้ำเสียงเข้มด้วยความโมโห ทำเอาผมนี่เลิ่กลั่กเลย


“คือกู-”


“มึงอีกนะไอ้เปี๊ยก มาอยู่ผิดที่ผิดทางเดี๋ยวเจอกูคิดบัญชีแน่” มันยกนิ้มจิ้มหน้าผากเต้อย่างหมั่นไส้


“กูผ่านมาเฉยๆ เองเหอะ” ยัง ยัง เดี๋ยวไอ้โป้ก็ทุบให้หรอก เถียงมันอะ


“เดี๋ยวจะโดน”




“เฮ้ สนใจกูหน่อยพวก” ศรันย์โบกมือเป็นเชิงเรียกความสนใจ


“กูไม่อยากมีเรื่อง แยกย้ายซะ” โป้ว่าน้ำเสียงเข้ม ใบหน้าเรียบนิ่งพยายามข่มอารมณ์ไว้


“อ้อ! มึงอีกตัว แผลกลางหลังยังอยู่ดีไหมนะ ฮ่าๆ” น้ำเสียงถากถางติดจะเย้ยๆ ทำเอาเพื่อนผมตัวเกร็งขึ้นเมื่อโดนคำพูดกระแทกมาตรงจุด


“ไอ้เหี้ยศรันย์! มึง!” ผมกับเต้คว้าแขนโป้ไว้ เมื่อมันจะพุ่งตัวไปหาไอ้ศรันย์อย่างสะกดกลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่


“ใจเย็นโป้ เดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมตบบ่าเพื่อนให้มันสงบลง ทั้งผมและโป้ต่างก็ไม่ชอบให้ใครมาตอกย้ำเรื่องในวันนั้น มันเหมือนเป็นรอยด่างในชีวิตที่พยายามจะฝังให้ลึกที่สุด แต่ยังนำมันมาเป็นเครื่องเตือนใจเสมอว่าอย่ากลับไปทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด



“เหี้ยแม่ง!”


“อ้าวๆ หัวร้อนแล้วเหรอ แค่โดนฟันเองปะ”


“ทำไมไม่พูดถึงเรื่องที่พ่อแม่ต้องยัดเงินเอาตัวมึงออกมาบ้างล่ะ กูว่าสนุกใช้ได้นะ” ผมมองหน้ามันตรงๆ ยักคิ้วให้อย่างเยาะเย้ย


“ฟ้ามุ่ย”


“ว่าไง”


“คราวนี้ไม่ได้แค่อยากโดนแทงสินะ” ศรันย์เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว พร้อมกระชากแขนผมเข้าไปหามัน ใบหน้าเหี้ยมเกรียมจ้องมาที่ผมอย่างแค้นจัด


“ไอ้เหี้ยรัน! ปล่อยเพื่อนกู!” โป้กับเต้ถูกพวกของศรันย์กันแยกไปอีกทาง ชุลมุนกันอยู่อย่างนั้น ผมพยายามดึงแขนตัวเองกลับ แต่แม่งบีบจนผมเจ็บ


“กูก็กะว่าจะคุยกันดีๆ แต่เพื่อนมึงดันพูดเรื่องที่ไม่เข้าหูเท่าไหร่ ใช่ไหม...น้องมุ่ย”


“ปล่อย”


“อย่าคิดว่าเพราะกูชอบมึงแล้วจะพูดอะไรก็ได้” มันทำหน้าเหี้ยมกัดฟันกรอดมองมาที่ผม




!!!




ชอบ!




ชอบกูเนี่ยนะ!?




ยังไม่ทันได้ถามอะไร ฉับพลันศรันย์คว้าเอาผมให้เข้าไปประชิดเจ้าตัวพลางลูบบริเวณแผลไปด้วย ทำให้ขนในร่างกายลุกชัน ผมตัวแข็งทื่อตกใจกับการกระทำของมันที่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว


“คิดถึง...” มันก้มหน้าลงกระชิบข้างหูผมเบาๆ เพียงแวบเดียวเท่านั้นที่ศรันย์เผยแววตาเศร้าออกมา ไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มหลังจากผละตัวออก




“...!!!”




ช่วยด้วย!




กูงงมาก!




กูงงมากกกกกกก!




“ไอ้เหี้ย! มึงอย่าอยู่เลย!”




ผลัวะ!




โป้ตะโกนอย่างเดือดจัด ถลาเข้ามากระชากตัวผมออกแล้วเหวี่ยงหมัดกระแทกหน้าศรันย์จนเซไปหลายก้าว และเหมือนเป็นการเปิดสวิตช์ ทั้งพวกมันและพวกผมต่างกระโจนเข้าหาและปะทะกันอย่างดุเดือด




พลั่ก!




ไอ้สัดเอ้ย!! หมาตัวไหนมันล้มมากระแทกกูวะ!?




ผมที่ยืนเอ๋ออยู่ได้ไม่นานก็ต้องป้องกันตัวเองบ้าง จะเสียเปรียบก็ตรงที่ไม่ได้ออกแรงมานานแล้วนี่แหละ ผมห่างหายจากเรื่องพวกนี้มาหลายปี ทำให้ความคล่องแคล่วที่เคยมีดันช้าลงและเป็นเป้าให้โดนสวนกลับมาอย่างง่ายดาย




ผลัวะ!




ปั่ก!




พลั่ก!




ผมโดนสวนกลับมาอยู่สองสามหมัด รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ไหลลงมาบริเวณหางคิ้ว ชิบหาย ใครมันเหวี่ยงมาโดนกูวะ แตกเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย!


“ไอ้พวกชิบหาย! คิ้วกู ปากกู แตกหมดแล้ว!” ผมโวยวายลั่น หัวเดือดปุดๆ ไล่กระทืบมั่วซั่วไปหมดอย่างโมโห ถ้าเป็นแผลเป็นขึ้นมานะมึง!


“น้องมุ่ย! โอเคไหม!?”


“กูไหว! กูโอเค!” ผมตอบเต้และพยายามมองหาไอ้โป้ ดูเหมือนว่าเต้จะเอาอยู่ แหงล่ะ บ้านมันทำค่ายมวย ถ้าพลาดก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว ผมสอดส่องสายตาหาเพื่อน จึงเห็นว่ามันโดนศรันย์คร่อมตัวอยู่กับพื้น ผมเลยรีบเดินฝ่าพวกลูกน้องมันเพื่อที่จะไปช่วยมัน




ฟึ่บ!




เชี่ย! เกือบโดน!



ผมหลบหมัดลุ่นๆ ของใครไม่รู้ได้อย่างหวุดหวิด พลางยกขาขึ้นถีบคนข้างหน้าให้หลีกทาง แต่ไม่วายโดนกระแทกจากด้านหลังเต็มแรง จนดังอั้ก



“โว้ย! ไอ้ลูกหมา! หลบทางกู!” ผมตะโกนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ จนพวกมันมองอย่างเหวอๆ เลยอาศัยจังหวะนั้นเดินตรงแผล็วไปหาโป้




ผลั่ก!




ผัวะ!




“ศรันย์! หยุด!” ผมดึงแขนมันไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกส่งไปกระแทกหน้าไอ้โป้ ศรันย์มองผมอย่างขัดใจแล้วผลักผมออกไม่ให้ขวางทางอย่างแรงจนล้มไปกระแทกกับฟุตบาตอย่างจัง


“โอ๊ย!”


“มุ่ย! /เชี่ยมุ่ย!”


ทั้งศรันย์และไอ้โป้ตะโกนเรียกผมอย่างตกใจเมื่อเห็นผมร้องออกมาด้วยความเจ็บ ทั้งคู่เหมือนจะถลาเข้ามาช่วยแต่ดันพันแข้งพันขากันทำให้มาไม่ถึงตัวผมสักที


...แล้วมึงก็ต่อยกันต่อ


เหมือนจะล้มผิดท่าแฮะ น่าจะเป็นเพราะผมดันเอามือยันให้รับแรงกระแทกจากตัวเองแน่เลย เจ็บชิบ ซ้นแหงๆ


เอ๊ะ หรือหักวะ?


เยี่ยม! ปากแตกคิ้วแตก ข้อมือหัก ไม่ต้องพูดถึงรอยฟกช้ำเลยนะ เขียวทั้งตัวแน่ๆ กูเอ๊ย!





ปี้ด!!!!!!




“ตำรวจมา!”




“เชี่ย! พ่อมา!”




ปี้ด!!!!!




หวอ!!!




“หยุดนะ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!”



จู่ๆ เสียงนกหวีดก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวอ ทำเอาพวกที่กำลังชุลมุนกันอยู่วงแตก ทำหน้าเหลอหลาแล้วลากสังขารตัวเองกับเพื่อนหนีกลับไปอีกทาง


ปกติก็ต้องหนีกันทั้งสองฝ่ายแหละครับ แต่ตอนนี้ตัวกูแค่จะลุกขึ้นยังไม่ไหวเลย


จะให้กูวิ่งเหรอ ถุย!


ผมได้ยินเสียงรถพร้อมไฟสีแดงกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ แต่ยังไม่เห็นเจ้าหน้าที่ซักนาย


“หนีเร็วพวกมึง!”


“พี่ศรันย์! ไปเร็วพี่! ตำรวจมา!”


“มุ่ย...” ศรันย์มองผมด้วยแววตาอ่านยาก ถ้ามองไม่ผิดเหมือนจะเจือไปด้วยความเป็นห่วง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นมันก็โดนลูกน้องลากออกไป


“น้องมุ่ย! เป็นอะไรมากไหม- เห้ย! ข้อมือน้องหักเหรอ! ว้าก!!” เต้เป็นคนแรกที่มาถึงตัวผมก่อน พลางจับเนื้อตัวไปมารวมถึงมือข้างซ้ายที่บาดเจ็บ มันอุทานอย่างตกใจ หน้าตาเบ้ไปหมดเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นผมเจ็บ


“มะ..ไม่ แค่ซ้น มั้ง?” คือผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่รู้ว่าเจ็บมาก


“พี่เต้มันกาก! ดูแลน้องมุ่ยแค่นี้ก็ไม่ได้! ฮึก”


“ไปดูไอ้โป้เหอะ เจ็บหนักกว่ากูอีก” ผมพยายามชี้ไปทางโป้ที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นแต่ดูแล้วท่าจะไม่ไหว พลางมองไปรอบๆ ก็เห็นพวกเด็กๆ รวมถึงเพื่อนไอ้โป้กำลังช่วยพยุงกันและกัน


“ปะ...โป้” ไอ้พี่เต้เข้าไปช่วยพยุง ลูบหน้าลูบตาเพื่อนผม เหมือนจะร้องไห้ด้วยแฮะ ทำเอาไอ้โป้ต้องยกมือลูบหัวปลอบใหญ่เลย


“โอ๋...กูไม่เป็นไรสักหน่อย นิดเดียว...”


“นิดเดียวพ่องมึงเซ่! ฮึก! ...เจ็บหนักกว่าน้องมุ่ยอีก! ไอ้เด็กบ้า ฮือ!”


“ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ”



...ทำไมกูรู้สึกถึงออร่าแปลกๆ



ฮัลโหล๊ กูอยู่ตรงนี้ไง...ข้อมือหักด้วยเนี่ย...



“เฮียมุ่ย!” เสียงเรียกที่คุ้นเคย ผมจึงหันขวับกลับไปมองทันที แล้วก็ต้องเหวออย่างคาดไม่ถึงว่าจะเห็นเด็กผู้ชายตัวโตในชุดนักเรียนกับเพื่อนอีกสามสี่คนยืนถือนกหวีดกับโทรโข่งและไซเรนตำรวจหอบแฮ่กๆ จ้องมาที่ผม



“อะ...ไอ้น้องบู”


“บอกแล้ว...แฮ่กๆ ว่าช่วยได้”



ตำรวจเก๊นี่หว่า!?




"มึง...มาได้ไง...วะ"


"แฮ่กๆ...ไอ้เฮียบ้า ผมฟ้องพี่บีมแน่!"




ว้ายตายแล่ว!







*****************************

ตอนหน้ามารอดูคนกากโดนพี่บีมดุกันค่ะ แง่มๆ


ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 16
ฝันดี



“กูอะนะ เจ็บแค่นี้จิ้บๆ”

“...”

“เมื่อก่อนยิ่งกว่านี้อี้ก! แต่ไม่ชอบที่คิ้วแตกเลยว่ะ ต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ เลย”

“พูดมากจัง เดี๋ยวปากก็ฉีกหรอก”

“แช่งกู ไอ้เด็กนี่” ผมทำท่าจะโบกหัวไอ้น้องบูเพื่อขู่ แต่มันก็ไม่สนใจนั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อย ประเด็นคือของผมไง


ผมเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ก็เห็นน้องมันนั่งเล่นโทรศัพท์ของผมอยู่บริเวณเก้าอี้หน้าเคาเตอร์จ่ายยา ผมเดินเอาใบจ่ายยาไปวางที่ตะกร้า แล้วมานั่งข้างน้องบู มองรอบๆ ก็เห็นว่าไม่มีคนเลย เหลือแค่ผมกับน้อง เพราะว่าได้ทำแผลทีหลังสุดจึงออกมาช้า ทีแรกโป้กับไอ้พี่เต้มันสองคนจะอยู่รอแล้วไปส่ง แต่พอเห็นสภาพเพื่อนตัวเองนั่งหลับหัวโงนเงน ผมเลยไล่ทั้งคู่ให้กลับไปก่อน แล้วเดี๋ยวกลับกับน้องบูเอง


ความจริงผมก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก คิ้วแตกเย็บสามเข็ม บริเวณปากก็นิดหน่อยไม่ต้องถึงกับเย็บ ส่วนข้อมือพอตรวจดูแล้วหมอบอกว่าไม่ถึงกับหักแค่ซ้น ผมนี่โล่งเลย หมอจึงให้พันผ้าไว้ซักพัก พยายามอย่าใช้ข้อมือข้างที่เจ็บและควรพักจนกว่าอาการปวดจะเบาลง ซึ่งหมอก็บอกอีกว่าอาจใช้เวลาหลายวันถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น


โชคร้ายคือดันเป็นมือซ้ายข้างที่ผมถนัด คงต้องงดจับกล้องสักพักใหญ่เพื่อให้หายสนิท แถมเวลาเรียนผมต้องลำบากมากแน่ๆ เลยเพราะต้องเขียนต้องวาด คิดแล้วอยากเตะไอ้ศรันย์สักป้าป แม่งทำกูเจ็บสองครั้งแล้วนะโว้ย


แต่ที่ลำบากกว่านั้นคือรอยช้ำรอยจ้ำตามแขนและขาที่เริ่มเขียวๆ ให้ได้เห็น น่าเกลียดโคตร ผิวของผมมันขึ้นรอยง่ายมาก จำได้ปะที่บีมมันจับข้อมือผมอะ แค่นั้นยังเป็นรอยแดงเถือกวันต่อมาก็เขียวช้ำ เวลาที่คนอื่นเห็นนะก็จะคิดว่าผมเจ็บหนัก เข้ามาถามกันจนน่ารำคาญ ผมไม่ชอบเอาซะเลย


“แล้วเพื่อนๆ มึงไปไหนแล้วล่ะน้องบู”

“กลับไปละ แล้วหมอว่าไงบ้าง” น้องมันลุกขึ้นมานั่งตามเดิม จับเนื้อจับตัวผมพลิกไปมาเพื่อดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า

“เย็บคิ้วสามเข็ม ปากแตกนิดหน่อย แล้วก็นี่...ข้อมือซ้น” ผมชูมือข้างที่พันผ้าไว้ให้บูดู

“ก็ว่าทำไมได้ยินพี่กรี้ดซะลั่นห้อง พยาบาลตกใจกันหมดเลยอะ”

“กรี้ดเกริ้ดอะไรวะ กูแค่ตกใจเฉยๆ เหอะ” ผมแก้ตัว

“เหรอ เหรอ เหรอ”

“เออ เออ เออ!”

“เบื่อพี่ว่ะ”


ผมถามน้องว่าตอนที่พาเพื่อนมาช่วยไปเอาโทรโข่งกับไซเรนมาจากไหน มันก็บอกว่าให้เพื่อนแอบเอาของพ่อที่เป็นตำรวจมา เพราะไม่กล้าแจ้งความ ตอนแรกซุ่มดูอยู่ไม่กล้าออกมา พอเห็นผมกำลังจะเสียท่าเลยกลั้นใจวิ่งเข้ามาช่วย ผมนี่ขำก๊ากเลย ไอ้เด็กพวกนี้มันน่าเอ็นดูจริงๆ


“เอาโทรศัพท์มาก่อนดิ้ เดี๋ยวเฮียโทรเรียกให้เพื่อนมารับ” ผมสะกิดเรียกน้อง ทำเป็นไม่สนใจเสียงจิ้จ๊ะของบูมัน

“ไม่ต้องอะ ผมโทร-”

“นายฟ้ามุ่ย เลิศพิพัฒน์ รับยาช่องสองค่ะ” ยังไม่ทันได้คำตอบ คุณเภสัชก็เรียกพอดี เมื่อกี้มันว่าไงนะ อะไรโทรๆ ผมได้ยินไม่ถนัด

“เดี๋ยวไปรับให้ นั่งรอนี่แหละ” ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่บูกดไหล่ผมให้นั่งลงที่เดิมแล้วเดินไปรับยาให้แทน

เอ้า! แล้วเอาโทรศัพท์กูไปด้วยอีก


ผมก็ได้แต่รอน้องมัน จะว่าไปก็เริ่มง่วงแล้วด้วย รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากนอนตาย จากที่นั่งอยู่ผมก็เริ่มเลื้อยตัวลง ภาพรอบข้างเริ่มเบลอ พยายามฝืนเปลือกตาหนักๆ ของตัวเอง จะมาหลับตรงนี้ไม่ได้นะไอ้มุ่ย



แปะๆ



“โอ๊ย...เจ็บง่ะ...”

ผมตีแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ มองบูที่กำลังจ่ายเงินอยู่ เออ ผมก็ลืมให้เงินน้องมันไป




“ไอ้น้องมุ่ย!”

“เชี่ยแม่ง! แหก!” ผมสะดุ้งสุดตัวพร้อมอุทานขึ้นมาอย่างตกใจกับเสียงเรียก



เชี่ย! ก็นึกว่าใคร บีมนี่เอง


ทำเป็นเสียงดัง ตกอกตกใจหมด



เอ๊ะ!?



ขวับ!



“เอ้า! บีม?” ผมเรียกเสียงหลง คือเดี๋ยวนะ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมต้องทำหน้าจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนั้นด้วยอะ กูกลัวแล้วเนี่ย!


“มึงนี่มันจริงๆ เล้ย!” บีมจับไหล่ผมให้ลุกขึ้นยืน พลิกตัวผมหมุนซ้ายขวา สายตาจับจ้องไปตามรอยช้ำตามแขนขาพลางสบถอะไรบางอย่างออกมาแต่ผมได้ยินไม่ชัด พอสำรวจร่ายกายผมจนพอใจแล้วก็ยื่นมือมาเชยคางผมให้หันไปมา บีมลูบบริเวณที่ถูกเย็บเบาๆ เหมือนกลัวผมจะเจ็บแล้วค่อยๆ ไล้ลงมาตรงมุมปาก ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของคนตรงหน้า



“เ**ดแม่ง!”



อุ้ย!



ผมสะดุ้งจากคำสบถของบีม ครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินมันพูดอะไรแบบนี้ออกมา มันไปโกรธใครมาปะวะ

“บะ...บีม” ผมวางมือลงบนแขนเจ้าตัวพลางลูบอย่างเบามือเผื่อมันจะใจเย็นขึ้น

“ทำตัวเป็นนักเลงเหรอ ไอ้ตัวดี”

“คือกู-”


“อ้าว พี่บีมมาแล้วเหรอ” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็เห็นน้องบูยืนแกว่งถุงยาให้ดูเป็นเชิงว่าเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร บีมก็แทรกขึ้นมาก่อน

“รับยาเสร็จแล้วใช่ไหมบู”

“อือ จ่ายเงินให้แล้วนะเฮียมุ่ย” ผมจะเดินเข้าไปหาบู แต่บีมก็ยึดแขนผมไว้พลางใช้สายตาดุๆ จ้องมาแทนการพูดว่าไม่ให้ไปไหน



อะ...อะไรเล่า ทำไมต้องทำหน้าโหดง่ะ



“หือ? มีไรกันรึเปล่า”


ผมส่ายหน้างงๆ เพราะไม่เข้าใจเหมือนกัน


“เออเฮีย แล้วมอ’ ไซจะให้ขี่กลับไปไว้ที่หอผมก่อนปะ” เชี่ย ลืมน้ององุ่นไปเลย

“ฝากด้วยก็แล้วกัน” ยังไงเอาไว้หอบีมน่าจะดีที่สุด แล้วให้บีมไปส่งที่หอจากนั้นโทรเรียกเดอะแก๊งขี่กลับมาให้

“งั้นก็กลับ” บีมว่าแค่นั้นแล้วดึงแขนผมให้เดินตาม ผมมองแขนตัวเองที่ถูกกำรอบจนมิดแต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเพราะบีมแค่จับเบาๆ นี่แขนผมเล็กขนาดนี้เลยเหรอวะ เพิ่งสังเกตนะเนี่ย



“เออบีม เดี๋ยวไปส่งกูที่หอด้วยนะ” พอเดินออกมาจากโรงพยาบาลจนถึงบริเวณที่จอดรถ ผมก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ไม่”

“หะ?”

“ไปห้องกู”

“เห้ย ไม่เอาอะ กูง่วงแล้วอยากลับหอ จะให้กูไปหอมึงอีกทำไม” ผมเริ่มยื้อแขนตัวเองให้บีมหยุดเดินแล้วหันมาคุยกันดีๆ

“อย่าดื้อ สภาพอย่างนี้จะกลับไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”

“ได้!”

“ไม่ได้”

“บอกว่าได้ก็ได้ดิ ชินแล้วๆ” บีมจึปาก แล้วมองมาที่ผมเหมือนจะหัวร้อนหน่อยๆ เมื่อโดนขัดใจ

“อยากโดนตีเหรอ บอกว่าให้กลับห้องกูไง”

“แล้วบีมจะขึ้นเสียงทำไมวะ” ทั้งความง่วงและอาการปวดเนื้อปวดตัวทำให้ผมเริ่มโมโหขึ้นมาเหมือนกันจากความดื้อดึงของบีม ดึกแล้วกูง่วงโว้ย!

“ก็ไปห้องกูดิ” บีมปรับสีหน้าอ่อนลงเมื่อเห็ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดี

“ไม่! กูจะกลับห้อง ถ้ามึงไม่ไปส่งงั้นกูกลับเอง” ผมสะบัดแขนออกอย่างแรงทำให้รู้สึกเจ็บจี้ดแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินออกมา ไอ้คนขี้โมโหก็คว้าเอวผมเข้าไปประชิดเจ้าตัวซะก่อน

“เห้ย! บีม! ทำไรเนี่ย! ปล่อยดิ้” ผมตกใจ พยายามแกะมือคนตัวสูงออก แต่พยายามเท่าไหร่มันก็ยังเกาะติดหนึบไม่เขยื้อนไปไหน จนผมเหนื่อยแล้วยืนนิ่งๆ ปล่อยให้มันกอดอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที

“ไม่ให้” บีมกอดเอวผมแน่นจนรู้สึกอึดอัดทั้งทางร่ายกายและหัวใจแปลกๆ แค่นั้นไม่พอมันยังซุกใบหน้าตัวเองลงกับซอกคอผม พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์จนรู้สึกจักจี้กับริมฝีปากของบีมมัน

“บีม...”

“อย่าดื้อนะน้องมุ่ย กูอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ไปเลยตอนนี้”

“ไปโกรธใครมาเนี่ย ขึ้นเสียงใส่กูด้วย” ผมถอนหายใจ พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลงแล้วถามออกไป

“โกรธน้องนั่นแหละ” เสียงบู้บี้มาเลย

“กู? เนี่ยนะ?”

“แผลเต็มตัว ไม่ชอบ”

“คนมีเรื่องกันก็ต้องนิดนึงปะวะ เขาเรียกว่าบาดแผลลูกผู้ชายไงบีม!” ผมลองดันหน้ามันออกจากซอกคอตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย


“เหอะ”

“สรุปส่งกูนะ” ผมผละออกมาแล้วหันมาคุยกับมันตรงๆ หลังจากรู้สึกได้ว่าบีมคลายอ้อมแขนลง

“ไม่อะ”

“เอ้า!”

“จะคุยจะโอ๋จะอ้อนอะไรกันก็ปลดล็อครถให้น้องก่อนดิ้ ยุงหามจะตายห่าแล้วเนี่ย!” น้องบูยืนตบยุงอยู่อีกฝั่งหนึ่งของรถ พลางมุ่ยหน้าอย่างหงุดหงิด


นี่บูมาด้วยเหรอ ผมลืมไปเลยนะเนี่ย


“บีม” หลังน้องบูวางถุงยาและบรรดากระเป๋าของผมกับของน้องไว้ที่เบาะหลังแล้ว มันก็เดินไปที่น้ององุ่นก่อนจะสตาร์ทแล้วขี่ออกไป ผมเก๊กเสียงนิ่งทำจริงจังใส่เพื่อให้เข้าใจว่าไม่ได้ล้อเล่น

“เป็นห่วง...”



หะ?



“ห่วงน้องมุ่ย ไม่ได้เหรอ?” บีมเสยผมขึ้นลวกๆ จับมือผมสองข้างขึ้นไปประกบข้างแก้มตัวเองแล้วเอียงคอมองผมอย่าง...อ้อน?



อะ...อ้อน?



เฮือก!



ตึกตัก!



ตึกตัก!



“ไม่อยากให้อยู่คนเดียว น้องมุ่ยจะทำอะไรไม่สะดวกเพราะไม่มีใครดูแล”


“เหนื่อยมากไม่ใช่เหรอ นอนที่ห้องกูก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่ง”


“นะ”



ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก บีมส่งสายตาลูกหมามาให้ทำเอาผมใจเหลวเป๋ว ได้แต่มองบีมตาค้างอยู่อย่างนั้น



“แค่เห็นมึงเจ็บกูก็แทบบ้าแล้ว อย่าทำให้กูกังวลมากไปกว่านี้ดิครับ”

“แต่บีม-”

“ห่วงจะแย่อยู่แล้วคนนี้”


ตึกตัก!



ตึกตัก!



“...นะ”



ผมต้องตอบไงเหรอครับ มีชอยส์ให้หน่อยไหมโทษที



“อะ...เออ”


.

.

.


ผมนั่งมองพี่น้องตัว บ เดินไปเดินมาภายในห้องอย่างมึนๆ เพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ความง่วงงุนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา


ระหว่างที่อยู่ในรถบีมก็ถามผมกับน้องว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความเจ็บแค้น ได้ทีผมเลยรีบฟ้อง เล่าทุกฉากตั้งแต่เริ่มแรกจนน้องบูมาช่วยอย่างไม่กลัวเจ็บปาก ด่าศรันย์ไปเต็มที่ด้วยความอัดอั้น แถมเผลอเล่าถึงตอนโดนมันทำร้ายครั้งนั้นออกไปอย่างลืมตัว


‘น้องเคยโดนมันทำร้ายมาก่อนเหรอวะ...’

‘นี่!’ ผมเลิกชายเสื้อให้บีมดูตรงรอยแผลเป็น ‘ตอนนั้นมันแทงกูมิดด้ามเล้ย! แม่งโคตรเลวอะ เนอะ!’

‘เหรอ’

‘โหย เมื่อก่อนนะ...’


จากนั้นผมก็จ้อน้ำไหลไฟดับ เล่าย้อนไปตั้งแต่สมัยเรียน ลืมไปเลยว่ามีแผลที่มุมปาก


สุดท้ายแล้วผมก็ได้มานั่งจุ้มปุ้กอยู่บนโซฟาในห้องนี้จากการขอร้องของบีม ผมล่ะเบื่อตัวเองจัง ทำไมต้องใจอ่อนให้กับบีมด้วยวะ แค่มันทำหน้าหมาหงอยใส่ ใจผมก็ยุบยิบๆ สมองสั่งว่าต้องทำอะไรซักอย่างให้ความยุบยิบนี้หายไป ซึ่งนั่นก็คือตามใจบีม


“อาบน้ำไหวไหมเฮีย” น้องบูเดินมานั่งข้างกันแล้วถามขึ้น

“อือ ต้องอาบดิ สกปรกจะตายห่าอยู่แล้ว” ผมมองเสื้อผ้าตัวเองที่มีรอยเปื้อนทั้งคราบดินและเลือดที่เปรอะเต็มเสื้อ หน้าตาผมตอนนี้คงมอมแมมไม่ต่างกัน บีมแม่งกอดลงได้ไง

“เช็ดตัวไหม” บีมเดินมานั่งอีกข้างหนึ่งกลายเป็นว่าผมอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้องคู่นี้

“หึ จะอาบน้ำ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ บีมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พลางจ้องตาจนผมรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ

“แผลเต็มเลยนะ พี่ช่วยอาบปะครับ”

“อาบกับตีนกูนี่” ผมดันไหล่มันให้ออกห่าง บีมหัวเราะชอบใจ ดึงมือข้างที่เจ็บไปวางบนตักตัวเองแล้วจับๆ ลูบไปมาอย่างเบามือ


“เข้าไปอาบในห้องกู อยู่ขวามือ”

“ได้ๆ”

“อย่าให้แผลโดนน้ำนะ มือข้างนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าหยิบจับอะไรมาก”

“อือ...”

“กูเอาแปรงสีฟันอันใหม่วางไว้ตรงเคาเตอร์อ่างล้างหน้าแล้ว สบู่ก็ใช้ได้เลย”

“อ่าฮะ”

“ผ้าเช็ดตัวก็วางอยู่ตรงนั้น ส่วนเสื้อผ้าก็เลือกเอาในตู้”

“เคๆ”


ผมมองบีมลูบมืออย่างเพลินตา เห็นแววตาคุกรุ่นเผยออกมาแค่แวบเดียวเท่านั้นก็หายไป อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจ้อง เน้นว่าจ้อง จนผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่เสตามองไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงการสบตากับบีม


“หมั่นไส้” บีมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง เผยรอยยิ้มมุมปากพลางหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“หือ?”

“ไม่ชอบเอาซะเลย ให้ตายเหอะว่ะ”

“ยังไงนะ ไม่เข้าใจ” ผมมุ่นหัวคิ้วด้วยความงงงวยไม่รู้บีมต้องการจะสื่ออะไร


“อะแฮ่ม! นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้โทษที” ผมลืมสนิทเลยว่าบูก็นั่งอยู่ด้วย น้องมองผมกับบีมแล้วเบ้ปากมองบนอย่างเอือมๆ

“งั้นกูไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อไม่มีใครพูดอะไรอีก พลางเดินลากสังขารตัวเองเข้าห้องน้ำไป


.

.


[BOO PART]


“ใจเย็นก่อนน่าพี่บีม” ผมตบบ่าพี่ชายตัวเองเบาๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ

“โกรธจังแฮะ”

“เฮียมุ่ยก็ไม่เป็นไรแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่อะไรแล้วด้วยมั้ง” ผมว่าตามจริง เฮียมุ่ยเป็นคนประหลาด เท่าที่ฟังเฮียมันโม้ คล้ายกับว่าไม่ได้ติดใจอะไรกับฝ่ายคู่กรณี เล่าอย่างสบายๆ ด้วยซ้ำถึงแม้จะด่าพวกมันก็เถอะ ตอนผมมาช่วยก็งงอยู่นิดหน่อยเพราะคนที่คิดว่าจะมีเรื่องกันกลับไม่ใช่ กลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่มาหลังจากผมออกไป


รู้แค่ว่าคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่ฝากรอยแผลให้เฮียมัน


เป็นผมไม่มานั่งเล่าแล้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องชิวๆ อย่างนี้หรอกว่ะ เฮียมุ่ยแม่งบ้าบอ



“เล่นกันแรงจังวะคนพวกนี้”

“เฮียบอกว่าเมื่อก่อนยิ่งกว่าอีก ได้แผลกลับมาประจำ”

“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”

“ก็นะ...”

“น้องมุ่ยก็เด็กดีจริงๆ โดนไปขนาดนั้นยังยิ้มหัวเราะออกมาได้อีก หึ” พี่มันพูดอย่างเนิบช้าแต่เต็มไปด้วยความเยียบเย็น ผมนั่งเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี


ใครดูก็รู้ปะว่ามันอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ถ้าไอ้พวกที่รุมเฮียมุ่ยอยู่ตรงหน้าคงโดนกระทืบเละ มีแต่เฮียนั่นแหละที่ไม่รู้เรื่องเชี่ยไรเลย แม่งเอาตัวรอดมาได้ยังไงวะตอนเรียนช่าง ผมถามจริง เด๋อซะขนาดนี้


“เดี๋ยวพี่โทรหาเพื่อน บูก็ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า”

“แล้วให้เฮียนอนไหน”

“นอนกับพี่”

“เค้”



“เดี๋ยวพี่บีม”

“ว่า”

“คือ...ใจเย็นนะโว้ย ถ้าเฮียมุ่ยรู้มันคงไม่ชอบใจอะ” ผมตัดสินใจพูดออกไป กลัวใจพี่มันจริงๆ ให้ตายเหอะ

“ฮะๆ เออ” พี่บีมตบหัวผมเบาๆ แล้วเดินไปคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงข้างนอก



ครั้งสุดท้ายที่เห็นพี่มันเป็นแบบนี้ก็ตอนผมมีเรื่องกลับมาบ้าน ตอนนั้นจำได้ว่าโดนเด็กสถาบันอื่นเข้ามาหาเรื่องโดยที่ผมไม่รู้ห่าอะไรเลย แม่งคิดว่าผมแย่งแฟนมันมา เกือบตายคาตีนแล้วถ้าไม่ได้คนแถวนั้นมาช่วย


พี่บีมก็อย่างนี้เลย ยิ้มกว้างแปลกๆ แล้วเดินออกจากบ้านไป รู้อีกทีผมก็ได้ยินข่าวว่าไอ้พวกนั้นเข้าโรงพยาบาลด้วยสภาพร่อแร่ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าคงโดนยำตีนมาจากอริพวกมันอีกที มารู้ทีหลังว่าคือฝีมือพี่บีมกับเพื่อนเขา


แล้วนี่เฮียมุ่ยโดนเลยนะ!


มันรักของมัน จู่ๆ มาเห็นเฮียแผลเต็มตัวขนาดนี้ กูไม่อยากจะคิดสภาพไอ้ศรันย์อะไรนั่น



บอกได้คำเดียวว่า ‘เละ’



[BOO PART END]


.

.


“โอ๊ย! เจ็บ! นี่มือหรือตีนเอาดีๆ” ผมโวยวายเสียงดัง เมื่อบีมใช้ก้านคัตตอนบัตชุบน้ำเกลือแตะโดนแผลมุมปาก เรานั่งกันอยู่บนเตียงนุ่มของบีม โดยที่ผมนั่งพิงหัวเตียงแล้วมีมันนั่งอยู่ข้างๆ รอบตัวมีกล่องปฐมพยาบาลกับถุงยาที่ได้รับมาวางอยู่ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยมานั่งรอบีมทำความสะอาดแผลให้ ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง ตอนอาบก็โคตรทุลักทุเล จะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเพราะไม่ถนัด สระผมขั้นแอนวานซ์ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้โดนแผลที่คิ้วกับปาก มือเดียวด้วยนะ สกิลขั้นเทพสุดๆ


ผมเปิดตู้เสื้อผ้าบีมหาชุดใส่ เหมือนมันแกล้งผมอะ มีแต่ตัวใหญ่เบิ้มใส่ไม่ได้สักตัว สุดท้ายก็ได้เป็นกางเกงยางยืดขายาวกับเสื้อบอลมาใส่นอน เอาหนังยางรัดตรงขอบกางเกงด้วยเผื่อหลุด บีมเข้าห้องมาเห็นผมในสภาพนี้ก็หัวเราะลั่นห้อง


ก็กูใส่ไม่ได้ไหมล่ะ ฟวย


จากนั้นมันก็หยิบไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้ผม บอกทิ้งท้ายว่าให้เป่าให้แห้งเดี๋ยวไม่สบาย รอมันอาบน้ำเสร็จ เดี๋ยวมาล้างแผลให้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผมทำตามที่มันสั่ง พอโดนลมอุ่นๆ ก็รู้สึกเคลิ้มจวนเจียนจะหลับแต่ก็ใจแข็งรอบีม


แต่ถามก่อนว่ามึงเคยทำแผลให้ใครไหม


มือหนักชิบ นี่จะช่วยทำแผลหรือสร้างเพิ่ม!


“บีมไม่ต้องละ เดี๋ยวกูทำเอง” ผมลุกขึ้นกำลังจะเดินไปทำแผลที่หน้ากระจกของตู้เสื้อผ้า ไม่ทันก้าวเดินบีมกลับจับแขนรั้งผมไว้ก่อน

“อยากทำให้อะ คราวนี้ไม่เจ็บ สัญญา” ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจหากก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี บีมส่งยิ้มตาปิดมาให้

“มึงก็นะน้องมุ่ย รู้ว่าตัวเองช้ำง่าย ยังไปให้พวกมันรุมยำตีนอีก” เมื่อทำแผลที่มุมปากเสร็จ บีมจึงใช้ยาทาแก้ฟกช้ำทาบริเวณที่มีรอยเขียวม่วงตามแขนให้

“เลี่ยงได้ที่ไหน ถึงวิ่งหนีก็ไม่พ้นหรอก”

“ไอ้ศรันย์นั่น ไปทำอะไรให้มัน”

“เอาตรงๆ ปะ กูก็ไม่รู้ว่ะ” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ พอนึกถึงมันแล้วมีแต่ความไม่เข้าใจผุดขึ้นเต็มไปหมด

“เอ้า ได้เหรอ?” บีมแค่นหัวเราะ พลางยกขาผมวางพาดตักของตัวเอง เพื่อจะทายาให้


เออ สบายว่ะ ไม่ต้องมานั่งทาเองให้เมื่อย


“กูกับมันมีเรื่องกันประจำอย่างที่บอก ศรันย์ไม่เค้ยไม่เคยที่จะทำร้ายกูสักครั้งเดียวต่อให้จะรุนแรงแค่ไหน แม้แต่เมื่อตอนเย็นมันยังไม่ยุ่งกับกูเลย เอาแต่ต่อยอยู่กับไอ้โป้”

“แปลกจริงๆ”

“ใช่ กูก็คิดงั้น นี่ว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดอะ แล้วที่มันบอกชอบกูคืออะไร งงไปหมด ยุ่งยากจริงโว้ย!” ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด บีมที่ทายาให้อยู่ดีๆ ก็ชะงักกึก หยุดมือลง

“ไอ้เชี่ยนั่น มันว่าไงนะ” บีมหันมาถามด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก

“คืองี้ กูไปพูดกวนตีนมัน ศรันย์โมโหตอบกลับมาว่า ‘อย่าคิดว่ากูชอบแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ’ แบบนี้ กูสตั้นไปแวบนึงเลยนะบีม จู่ๆ มาพูดอย่างนั้นทั้งๆ ที่มีเรื่องกันมาตลอด กูก็เอ๋อเลยดิ” ผมระบายอย่างอัดอั้นตันใจ เบื่อที่จะคิดคนเดียวเลยเล่าให้ใครสักคนฟังดีกว่า เผื่อจะทำให้สงบลงบ้าง


“สัด...”

“หือ? ว่าไงนะ” เหมือนได้ยินบีมพูดอะไรแต่ฟังไม่ชัด มันก็ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วทายาให้ผมต่อ

“แล้วมึงรู้สึกยังไงกับมัน”

“กู? กูเหรอ” ผมชี้มาที่ตัวเองอย่างไม่แน่ใจในคำถาม

“อ่าฮะ”

“เพื่อนที่เป็นศัตรู กูคิดอย่างนั้น”

“ทำไมล่ะ” บีมวางขาผมลงกับเตียงอย่างเบามือ แล้วเงยหน้ามามองหน้าผมอย่างต้องการคำตอบ

“ที่โดนแทงก็เพราะตอนนั้นกูเป็นคนเหี้ย บีม กูเหี้ยมากๆ อย่างที่มึงนึกไม่ถึง พอโดนเข้าถึงจะได้สติ กูเลยมองว่าถึงจะโชคร้ายแต่ก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง ทำให้คิดขึ้นได้ว่าควรเลิกทำตัวเลวๆ แบบนั้นสักที”

“แล้วโกรธไหม”

“โอโห กูนี่แทบอยากเอาตีนลูบหน้ามันสักร้อยรอบ! แม่งแทงมาได้เจ็บชิบหาย! กูนอนโรง’ บาลอย่างนาน กับข้าวก็ไม่อร่อย คิดแล้วแค้น ฮึ่ย!”

“ฮ่าๆ”

“ที่กูกินข้าวได้ไม่เยอะมันต้องเป็นเพราะกับข้าวโรง’ บาลแน่เลยว่ะบีม โหย กูรู้สาเหตุแล้ว!”

“มั่วสัดเลยมึงอะ ฮ่าๆ” บีมยื่นมือมาขยี้ผมด้วยความหมั่นไส้ พอเห็นมันหัวเราะอย่างนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย เมื่อกี้มัวแต่ทำหน้าตาน่าขนลุกอะไรไม่รู้ เห็นแล้วไม่ชอบใจเลย

“พอๆ กูจะนอนแล้ว หลบไปๆ” ผมผลักไอ้คนตัวสูงให้เขยิบห่างแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองจนมิดคอเหลือแค่ใบหน้า เออ กูนี่ก็ทำเหมือนเป็นเตียงตัวเองเลยแฮะ

“กูเจ้าของห้องเผื่อลืม”

“ก็จะนอน กูเจ็บอยู่นะ”

“รู้แล้วครับ” บีมเปลี่ยนจากหัวเราะกว้างมาเป็นยิ้มมุมปากอย่างเคย เจ้าตัวก้มลงมากระทันหันโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว จนระยะห่างระหว่างเราใกล้มากกว่าเดิม

“อะ...อะไร” ผมค่อยๆ ยกผ้าห่มขึ้นมาปิดปากจนเหลือแค่ตากับจมูกมองบีมอย่างระแวง

“น่ารักอย่างนี้ คนอื่นเขาก็หลงเอาง่ายๆ ดิ” ผมหลับตาปี๋เกร็งตัวทันทีเมื่อบีมจู่โจมลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนรินรดบริเวณระหว่างคิ้ว


แต่แค่นั้นก็ทำให้จังหวะหัวใจผมแรงขึ้น บวกกับอุณภูมิที่สูงขึ้นแถวใบหน้าลามลงมายังลำคอ มันต้องแดงมากแน่ๆ ให้ตายเหอะ


“มึงทำ-”




จุ้บ!



“บีม!” ผมลืมตาโพลงอย่างตกใจกับสัมผัสนุ่มหยุ่นตรงหน้าผาก บีมส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ พลางเลียริมฝีปากตัวเองช้าๆ ทำเอาผมได้แต่ตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก




ฟอด!



“อื้อ! ไอ้บีม! ไอ้! -” ผมผุดลุกขึ้นอย่างทนไม่ไหวด้วยความโมโหเมื่อมันขโมยหอมเต็มฟอดจนแก้มบี้ แต่บีมกลับกดไหล่ให้นอนลงเหมือนเดิม ผมกำลังจะอ้าปากด่าแต่บีมก็พูดสวนขึ้นมาก่อน


“อดใจไม่ไหว มึงน่ารักเกินไป”


“อะ...”


“ตัวก็หอม หน้าผากก็หอม แก้มก็หอม”


“...”


“เอาน่า นี่กูก็อดทนสุดๆ แล้วนะน้องมุ่ยนะ”


อดทนอะไร้! มาอดทนอะไรกับกับกู๊! กูไม่เข้าจายยย ฮืออ


“ไม่ต้องโวยวายวายแล้ว ง่วงก็นอน”


กูนอนหลับมากมั้ง มึงมาทำแบบนี้กับกู ไอ้คนเหี้ยยยย


กูฟ้อง!


กูจะฟ้อง!


“มะ...ไม่ต้องมาลูบหัว!”

“โอ๋ ขอโทษละกันๆ” ผมฟึดฟัดกับตัวเองเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย จะลุกขึ้นไฝว้กับมันก็ลุกไม่ขึ้น ความเมื่อยเนื้อตัว อาการอ่อนเพลีย ทำให้แค่จะสะบัดหัวหนีมือใหญ่ของอีกฝ่ายยังทำได้ยาก

“มึง..จำไว้เลย...” บีมยังลูบอยู่อย่างนั้นจนภาพตรงหน้าเริ่มเบลอและค่อยๆ มืดดับลงไปพร้อมกับร่างกายที่ปิดสวิตช์เพื่อการพักผ่อน


ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า

.

.


ขณะนี้เป็นเวลาตีสามกว่า บีมยังคงนั่งทำงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้อย่างเร่งรีบ เขาปิดไฟดวงใหญ่แล้วเปิดแค่โคมๆ ฟตั้งโต๊ะเพื่อไม่ให้แสงรบกวนการนอนของน้องมุ่ย พอทำไปนานๆ ความง่วงเริ่มซึมเข้ามา บีมจึงบิดตัวเล็กน้อยให้หายเมื่อยตัว ความจริงงานที่ทำก็ใกล้จะเสร็จแล้วเพราะเขาทำมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากยังไม่เรียบร้อยดีดันเกิดเรื่องขึ้นซะก่อนทำให้บีมต้องละทิ้งมันไป


อดที่จะจุ้บน้องมันไม่ได้ ทำเอามุ่ยตกใจเผลอโวยวายใส่เขาขึ้นมาซะยกใหญ่


ก็นะ...


มุ่ยดันพูดถึงไอ้ศรันย์ห่าไรนั่นขึ้นมาพอดี


แม่งเสือกบอกว่าชอบอีก


สัด น้องมุ่ยของกู ไอ้เหี้ย


ผมแทบอยากไปกระชากคอไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้มุ่ยเป็นแบบนี้มากระทืบ แม่งน้องมันตัวช้ำหมดแล้วไอ้ชิบหาย


คนชอบน้องมันเยอะอย่างที่เพื่อนมันบอกจริงๆ ผมไม่คิดว่าจะมีแค่ไอ้เหี้ยนั่นหรอก หึ


“บีม...” เสียงเรียกแผ่วเบาดังมาจากข้างหลัง ส่งผลให้เขาต้องหันกลับไป ก็เห็นเป็นน้องมุ่ยลุกขึ้นนั่งขยี้ตาอย่างง่วงงุน เป็นภาพที่เห็นแล้วน่ารักชะมัดในความคิดเขา

“ว่าไง” บีมเดินเข้าไปหาพร้อมทรุดตัวนั่งลงบนเตียงข้างคนตัวเล็กกว่า พลางยกมือน้อยๆ ออกมากุมไว้ให้น้องหยุดขยี้ตา

“ง่วง...” มุ่ยพึมพำทั้งที่เปลือกตายังปิดอยู่ ทำให้คนตัวโตอดส่งมือไปลูบหัวอย่างเบามือไม่ได้ คงจะละเมอตื่นขึ้นมาสินะ ในความคิดเขา

“แล้วตื่นขึ้นมาทำไม หืม?”

“เจ็บมือ” น้องยกมือข้างที่เจ็บขึ้นให้เห็นพลางเบะปากน้อยๆ ทำเอาใจคนมองกระตุกวูบกับความน่ารักที่เจ้าของมือไม่รู้ตัวซักนิด

“เจ็บมากเลยเหรอ”

“อือ ตรงนี้...ตรงนี้ก็เจ็บ” มือเล็กแตะบริเวณปลางคิ้วและมุมปากบอกกับเขา ปรือตาขึ้นมองเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ปิดเปลือกตากลับไปเหมือนเดิม

“สมน้ำหน้าดีไหม?”

“อือ...เดี๋ยวทุบให้” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง


เอ็นดูอะครับ


มันเขี้ยว


“เป็นไงล่ะ ไปมีเรื่องกับเขา พอได้แผลกลับมาก็ร้องเจ็บนั่นเจ็บนี่ มันน่าโดนตีไหม ฮึ”

“...”

“ไหนจะโดนคนอื่นบอกชอบอีก กูโกรธนะ ไม่พอใจมากรู้ไว้ด้วย”

“...”


“เออ...บ่นอะไรของบีมวะ” มุ่ยขมวดคิ้วไม่เข้าใจเมื่อบีมเอาแต่พูดอะไรไม่รู้รัวๆ ทำเอาเขามึนหัวไปหมด

“ที่เจ็บแผลเนี่ย จะให้ทำยังไง หือ?" บีมเอียงคอเอ่ยถามเสียงทุ้มน่าฟัง ย้ายมือลงมาเกลี่ยบริเวณแก้มนุ่มอย่างเผลอไผล

“บีมทำอะไรอยู่” มุ่ยลืมตาขึ้น จ้องมาที่เขาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ทำงาน ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“อือ มานอน มึงก็เหนื่อย...” ประมวลผลครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความที่น้องจะสื่อ คงจะอยากบอกเขาให้มานอนเพราะเหนื่อยเหมือนกัน

“ขอทำอีกแป้ปดิ” ผมปฏิเสธออกไปเพราะใจอยากทำให้เสร็จก่อน



แหมะ



หัวทุยๆ ของคนตรงหน้าวางลงกับลาดไหล่หนาของเขา ทำเอาบีมตกใจขึ้นมาเล็กน้อยกับการจู่โจม (?) อย่างไม่คาดคิดของน้องมุ่ย


“...นะ”



โอเค



ยอม



พี่บีมยอมแล้วครับน้องมุ่ย



ไม่ทำมันแล้วงานเงิน ลอกเชี่ยปั้นพรุ่งนี้ก็ได้วะแม่ง



“อื้อ...” เจ้าตัวน้อยส่งเสียงครางไม่พอใจพลางถูใบหน้าไปมาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อหาที่เหมาะๆ บริเวณช่วงไหล่ของเขา ทำให้บีมต้องเขยิบเข้าหาจนชิดตัว วาดแขนกอดเอวน้องอย่างเบามือ


จะหาว่าเขาฉวยโอกาสไม่ได้นะ ก็น้องมันกอดก่อนเอง


ลมหายใจร้อนรินรดตรงซอกคอของคนตัวสูง บีมต้องกัดฟันแน่นพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ฟัดเจ้าเด็กขี้อ้อนคนนี้ พลางค่อยๆ เอนตัวลงกับที่นอนขณะที่กอดกันอยู่อย่างนั้นเพื่อไม่ให้น้องตื่น


“อ้อนขนาดนี้ก็ต้องนอนแล้วปะวะ...” บีมพึมพำกับตัวเอง หัวเราะเพียงเบาบางขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เจ้าตัวหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมเขาทั้งคู่ บีมคลายอ้อมแขนลงเล็กน้อยกลัวน้องจะเจ็บแผล ยกมือลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือและปล่อยให้น้องนอนซุกกับช่วงแผ่นอกของเขา




“ฝันดีครับ ไอ้เด็กเด๋อ”





******************************************

แฮร่ รักพี่บีมเอ็นดูน้องมุ่ยกันเยอะๆนะคะ แสดงความคิดเห็นเป็นกำลังใจให้ด้วยเน้อออออ

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 17
คิดอะไรอยู่



ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าๆ แผลบริเวณหางคิ้วก็ตัดไหมออกเรียบร้อย ตรงมุมปากก็หายสนิทแล้ว ข้อมือที่ซ้นอาการก็ดีขึ้นมาก แต่ยังมีอาการปวดเคล็ดอยู่บ้างเวลายกของหนัก ผมได้แต่นั่งถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เบื่อที่มันมาเจ็บข้างซ้ายนี่แหละครับ ทำอะไรไม่ถนัดซักอย่าง จะยกนั่นยกนี่ก็เจ็บ เฮ้อ

หลังจากเช้าวันนั้นที่บีมมาส่งที่หอ ผมก็โทรเรียกเดอะแก๊งให้มาหา พวกมันโวยวายใหญ่เลยเมื่อเห็นสภาพ พอเล่าให้ฟังว่าไปโดนอะไรมารวมทั้งเรื่องในอดีตด้วย แม่งด่าจนกูสำนึกผิดแทบไม่ทัน

ผมทำให้ศรันย์มีคนเกลียดเพิ่มขึ้นเยอะเลยแฮะ ฮ่าๆ สมน้ำหน้ามัน

เอาจริงๆ อยากจะเคลียร์กับมันเหมือนกันแต่คงต้องรอให้หายสนิทซะก่อน ถ้าไปสภาพนี้ก็เหมือนไปให้โดนขย้ำตีนเล่นๆ

ส่วนไอ้โป้เพื่อนยาก หายหัวเลยครับ แก๊ปกับเจ๋งเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันก่อนไปเยี่ยมโป้ที่หอ พวกมันก็บอกว่าเจอใครไม่รู้อยู่ในห้องด้วย ตัวเล็กๆ รอยสักเต็มแขนกำลังป้อนข้าวป้อนน้ำให้เพื่อนผมอยู่ ทำเอาอึ้งไปครู่ใหญ่ ผมว่าคงจะเป็นไอ้พี่เต้นั่นแหละที่คอยดูแลไอ้โป้อยู่

สมน้ำหน้ามัน ไอ้โป้จับได้คราวนี้อย่าหวังเลยว่าพี่เต้จะหนีจากเพื่อนผมได้ ฮ่าๆ



“วันนี้พี่บีมจะมารับมึงปะ”

“รับเหี้ยไรล่ะ กูไล่มันไปแล้ว” ตอนนี้พวกผมนั่งทำพร็อพงานกีฬาของมหาลัยกันอยู่ที่ลานหน้าตึกคณะ เสาร์ที่จะถึงก็เป็นวันงานแล้ว พวกเราเลยต้องเร่งมือกันหน่อย บอกเลยว่าทั้งแสตนด์ทั้งหลีดคณะโคตรเด็ด ไม่แพ้ใครแน่นอน

ไอ้ผมก็อยากช่วยนะ แต่ดูสภาพดิ พอเพื่อนเห็นอย่างนี้ก็บอกให้ไปนั่งเป็นกำลังใจเพื่อนเถอะ จะรู้สึกดีมากถ้าตอนพูดไม่กลอกตามองบนด้วย ฮ่าๆ

อันที่จริงพวกผมนั่งพักกินแรงเพื่อนร่วมคณะมาร่วมชั่วโมงแล้วแหละ กะว่ารอแดดร่มลมตกแล้วค่อยกลับหอ

คนเลวสัดเลยกูอะ ไม่ช่วยงานแล้วยังจะหนีกลับก่อนอีก

“โมโหไรอะ กูถามเฉยๆ” ไอ้เจ๋งนั่งตัดกระดาษพลางเงยหน้ามาถามผมด้วยรอยยิ้มกวนตีน

“วันนี้มันทำงานกลุ่ม ไม่ว่างมา”

“โอ๊ะ มีรายงานกันด้วย จึๆ” ผมปาเยลลี่ใส่หน้ามันอย่างหมั่นไส้

พูดถึงบีม ตั้งแต่วันนั้นมันก็คอยไปรับไปส่งผมอยู่เรื่อยๆ งงมาก มันจะมาเทคแคร์อะไรผมขนาดนั้นวะ ทั้งที่เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับบีมเลย ปฏิเสธก็แล้ว ว่าให้ก็แล้ว บีมยังทำมึนมาหาอยู่นั่นแหละ เห็นอย่างนี้ผมโคตรจะเกรงใจมันเลยนะเว้ย บางครั้งก็มานั่งรอเกือบชั่วโมงเพราะผมยังเรียนไม่เสร็จ ไม่รู้จะทำยังไงเลย

แต่วันนี้ผมขี่รถมาเอง เพราะบีมคอลมาหาเมื่อคืนว่าไม่ว่างจริงๆ ต้องทำงานของคณะแล้วก็งานกลุ่มด้วย ตอนแรกแม่งดื้อจะมา ผมยื่นคำขาดว่าถ้ามาก็เลิกเป็นเพื่อนกันไปเลย บีมมันก็ยอมแบบไม่ค่อยเต็มใจ ง้องแง้งอยู่นั่นแหละ ผมก็เออออกลับไป พยายามไม่มองหน้ามันเวลาคุยด้วยจะได้ไม่ใจอ่อน

แล้วผมก็บอกให้มันพักผ่อนบ้าง ใกล้จะสอบไฟนอลแล้ว มัวแต่ยุ่งอยู่กับผมหนังสือไม่ได้อ่านกันพอดี ถ้าเกรดมึงตกนี่กูไม่เกี่ยวเด้อ

“บางทีกูก็เกรงใจมันนะ มึงดูหลายวันที่ผ่านมาดิ แล้วแม่งช่วงนี้ก็จะสอบแล้วเปล่าวะ มัวแต่มายุ่งอยู่กับกู” ผมนั่งเคี้ยวเยลลี่พลางอธิบายให้แก๊ปกับเจ๋งฟังด้วย

“คิดอย่างกูไหม บีหนึ่ง”

“เหมือนสัดๆ เลย บีสอง”

“เป็นเหี้ยอะไรกันอีกล่ะ” ผมเลิกคิ้วถาม เมื่อเห็นพวกมันทำสีหน้าท่าทางแปลกๆ

“มุ่ย กูถามจริ๊ง” เจ๋งพูดขึ้นก่อน

“ว่า?”

“มึงกับพี่บีมนี่ยังไง”



ผลั่ก!



“ถามแค่นี้ทำมาเป็นไหล่ทรุด เอ้า ตอบกูมา” ผมมือเย็นขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำถามของไอ้เจ๋ง เหงื่อเริ่มผุดซึมบริเวณไรผมทั้งๆ ที่อากาศเย็นสบาย

“มะ...มึงพูดไร”

“ตอบมาไอ้มุ่ย อย่าเฉไฉ” ผมอึกอักเหมือนเป็นใบ้ชั่วขณะ ผมกับบีมยังไง คืออะไรอะ ไม่เห็นเข้าใจเล้ย! (เสียงสูง)

“กูจะกลับหอละ” ผมผุดลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันก้าวเดินไอ้แก๊ปก็พุ่งเข้ามากดช่วงบ่าให้นั่งลงเหมือนเดิม

“แก๊ป ปล่อยกู...”

“ดีมากเพื่อนแก๊ป มุ่ยอย่าลีลาดิ กูเห็นเขาไปรับไปส่งมึงตลอด ศัตรูเขาไม่ทำกันอย่างนี้นะเว้ยเพื่อน” ผมหลบสายตาเจ๋งที่จ้องเขม็งมา

“กู...”

“เอางี้ กูถามตรงๆ มึงรู้ใช่ไหมว่าไอ้ที่พี่เขาคอยดูแลมึงมาตลอดเนี่ย...เขาไม่ได้คิดกับมึงแค่น้องนุ่ง” ผมกระพริบตาปริบๆ มองหน้าแก๊ป



เหี้ย



แม่งควรไปเป็นหมอดูอะ เดาเก่ง



“กูชอบน้ำตาล...”

“ชอบพี่น้ำตาลจริงหรือเปล่าเถอะ ไม่ใช่แค่เอาเขามาอ้าง”



แก๊ป...เพื่อนเจ็บแล้วเนี่ย ฮือ



“พี่บีมเขาดูชัดเจนดีนะ ก่อนมึงเดี้ยงก็จีบมึงออกหน้าออกตา พอมาตอนนี้คอยไปรับไปส่งอยู่ตลอด” ไอ้เจ๋งพูดขึ้นพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด

“...”

“มึงไม่รู้จริงๆ เหรอวะ ว่าพี่เขาชอบมึง”

“ก็คือ ยังงี้ มันไม่มีอะไรเลยเว้ย ก็แค่...” ผมหลับตาลง ถอนหายใจยาวๆ ออกมา เอาจริงๆ ผมก็เครียดไม่น้อยเลยกับเรื่องของบีม ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่แค่...



...ไม่มั่นใจ



“เนี่ย มึงลีลาอะมุ่ย”

“เห้ย ฟังกูก่อนดิ”

“อะๆ”

“ก็...กูรู้สึกดีกับมันนะ หมายถึง! แบบ ไม่ได้ไม่ชอบมันเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่คือไม่ได้หมายความว่ากูชอบมัน...บีมอะ...ดีมากๆ ดีกับกูมากๆ แต่กูแค่! ไม่สิ คือก็ยังงงกับตัวเองอยู่ เอ๊ะ! หรือกูชอบ ไม่ๆ คือมัน-”

“ใจเย็นๆ เพื่อน มึงรีบไปไหนเนี่ย” ไอ้เจ๋งยิ้มขำกับท่าทางของผม

“...อือ นั่นแหละ คำตอบกู” พอคิดเรื่องบีมทีไร เหมือนมีจิ๊กซอว์เป็นล้านตัวลอยเคว้งอยู่ในหัว ไม่มีแบบให้ประกอบ ไม่มีตัวเลขให้เดาว่าควรเริ่มตรงไหนแล้วจบยังไง

ผมรู้สึกดีนะ เวลาอยู่กับบีม โอเค ผมโง่นิดหน่อยตรงที่ความรู้สึกช้า ทั้งๆ ที่เขาก็ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว



อย่าว่าผมดิ ก็คนมันไม่เคยโดนจีบอะ



ไอ้ความรู้สึกหน้าร้อน หัวใจเต้นแรง อะไรนั่น ก็เพิ่งเป็นกับบีมคนเดียว ครั้งแรก...



ผมไม่รู้หรอก



“สับสน?”

“อือ...ใช่ล่ะมั้ง”

“ทำไมทีกับพี่น้ำตาลไม่เห็นเป็นอย่างนี้”

“...”

“เมื่อก่อนอะไรๆ ก็นางฟ้าของกูๆ”

“...”

“แต่เดี๋ยวนี้ มึงอะ พูดถึงแต่พี่บีม...”

“...”

“จนกูงง สรุปว่ามึงชอบใครระหว่างน้ำตาลหรือบีม”



“...”

“...”



“แก๊ป คือกู-”

“ช่างเหอะๆ ที่ถามก็แค่อยากให้มึงรู้สึกตัวบ้างเท่านั้น ไม่ได้จะคาดคั้นอะไร ที่เหลือมึงก็ไปคิดเอาเอง” แก๊ปกับเจ๋งตบบ่าให้กำลังใจแล้วหันไปทำงานของตัวเองต่อ



“ถ้าชอบ...จะเป็นยังไง ไม่ชอบ...จะเป็นยังไง”

“...”

“กูไม่รู้หรอกว่าไอ้คำว่าชอบมันเป็นแบบไหน พวกมึงเคยบอกว่ามีหลายแบบ กูก็ไม่เข้าใจ...”

“...”

“รู้แค่ว่าชอบคือชอบ”

“...”

“มุ่ย ฟังกู” เจ๋งวางงานลงแล้วสบตากับผมอย่างจริงจัง

“มึงไม่ต้องบัญญัติคำว่าชอบให้ตัวเองหรอกนะ คนมันคิดไม่เหมือนกัน สำหรับกู คำว่าชอบมันมีเลเวลต่างกันไป”

“...”

“ชอบหมาแมวก็อีกอย่าง ชอบคนอื่นก็อีกอย่าง”

"..."

“แต่มึงไม่มี ก็ไม่เห็นเป็นไร งงเลยเนี่ย คนอย่างมึงคิดมากกับเรื่องนี้ด้วย”

“กูยังงงตัวเองเลยไอ้เหี้ย...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา ไม่เป็นตัวเองเลยว่ะกู

“เออน่า มึงว่าไงนะ ชอบก็คือชอบ ถูก! มึงชอบเขาก็ลุยเลย จะกลัวอะไร!”

“แต่ถ้าชอบบีมแล้ววันนึงไม่ชอบแล้วล่ะ กูไม่ถนัดทำคนเสียใจหรอกนะ” ผมเบ้ปากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แค่บีมทำหน้าหมาหงอยผมยังอยู่ไม่สุขเลย ถ้าผมทำมันเสียใจล่ะ



“อันนั้นอยู่ที่ความรู้สึกมึงแล้ว กูช่วยอะไรไม่ได้”

“เฮ้อ...”

“น้องมุ่ย ถ้ามึงชอบเขามาก กูว่าวันนั้น...คงไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆ หรอก”

.

.

.


ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง ซึ่งคือวันงานกีฬาของมหาวิทยาลัยนั่นเอง เดอะแก๊งของผมก็ยุ่งมาก คนนึงก็ต้องไปเตรียมแข่ง คนนึงก็อยู่คนละคณะ ผมไม่เจอหน้าไอ้โป้เลยตั้งแต่มันออกจากโรงพยาบาล มัวแต่ตัวติดอยู่กับพี่เต้ แล้วแม่งชอบถ่ายรูปอวดลงอินสตาแกรมด้วยนะ เห็นแล้วหมั่นไส้ สุดท้ายเหลือแค่ไอ้เจ๋งกับผมที่ว่าง

ใช่ ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น คงไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่เดินถือกล้องเก็บภาพไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักไม่รักก็พอไรงี้ แฮ่



ไม่ใช่เลยครับผ๊ม!



เจ้เรียกมาเตรียมตัวตั้งแต่เมื่อวาน การประชุมค่อนข้างเครียด พวกเราพยายามวางแผนกันเป็นระบบเพื่อจะให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยความที่มีหลายกีฬาที่แข่งในวันนี้ทำให้ตัวเด็กในชมรมไม่พอ จนต้องเรียกพี่ปีสูงมาช่วยเพิ่ม แล้วก็กระจายตำแหน่งให้แต่ละคนอยู่ประจำแต่ละจุด จะได้ถ่ายภาพกันอย่างทั่วถึง

ถามว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ เจ้บอกว่าการจัดกิจกรรมทุกครั้งทางมหาวิทยาลัยเขาจะเรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าไปประชุมกันเพื่อให้งานออกมาดี มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไม่ทำเหมือนขอไปที อีกอย่างคือเป็นการประชาสัมพันธ์มอเราไปในตัวได้ ผลลัพธ์จากปีที่ผ่านๆ มาก็โอเค มีเด็กเข้ามาเรียนเยอะขึ้น บลาๆ

วุ่นวายกันซักพักทุกอย่างก็ลงตัว พอวางตัวแต่ละคนจนครบ ก็มีการออกไปเช็คสถานที่เอย มุมเอย แสงเอย เหนื่อยสุดๆ ไปเลยครับ แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน ซึ่งผมชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกฝืนตัวเองอะไรอยู่จุดไหนบ้าง

ผมได้ประจำอยู่ที่สนามฟุตบอล มีพี่ผู้ชายสองแล้วก็เพื่อนผู้หญิงหนึ่ง รวมผมเป็นสี่คน และอาจจะมีคนอื่นมาเพิ่มเพราะเราต้องย้ายเด็กปีหนึ่งจากแสตนด์อินดอร์มาที่เอาท์ดอร์ โชคดีที่เขาจะเริ่มแข่งกันประมาณสี่โมงเย็น แสงเป็นใจให้พอดีเลย ผมชอบ

ซึ่งในเย็นวันนั้นหลังประชุมงานเสร็จก็จะมีพิธีเปิดงานกีฬาของมหาวิทยาลัย พวกผมก็ต้องไปตามถ่ายทั้งขบวนพาเหรดและเหล่าผู้นำเชียร์ที่แสดงเปิดงานกัน เล่นเอากลับหอมาหลับเป็นตาย เกือบมาบรีฟงานตอนเช้าของวันนี้แทบไม่ทัน

และในช่วงเช้าของวันนี้เขามีแข่งประกวดแสตนด์กันที่อินดอร์สเตเดียม เพราะฟุตบอลยังไม่เริ่มแข่งและกีฬาอื่นก็มีคนประจำอยู่แล้ว ผมเลยได้ไปช่วยเก็บภาพข้างในนั้น

มันส์มากเลยครับ แต่ละคณะใส่เต็มกันหมด การแสดงนี่ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ หลีดแต่ละคณะก็แบบ หื้มมมมม~ มากเลยครับ เห็นน้ำตาลยืนอยู่แถวนั้นด้วย ผมก็เดินเขินๆ ไปถ่ายเขา ได้พูดคุยกันนิดหน่อยเพราะน้ำตาลกำลังยุ่ง ผมเลยไม่อยากกวน

ด้วยความสนุกของกิจกรรม ทำให้บรรยากาศในงานครึกครื้นกันมาก ขนาดตัวผมเองเป็นคนไม่ค่อยจอยงานอะไรแบบนี้ยังรู้สึกสนุกไปด้วยเลย

ผมเดินไปถ่ายบริเวณสแตนด์วิศวะ เรื่องโค้ดมือนี่ต้องยอมเลย เป๊ะกันมากจริงๆ เออ เหมือนผมจะเห็นไอ้โป้ใส่เสื้อบาสเดินแว้บไปมาแถวนั้นอยู่กับเพื่อนคณะมันด้วย แต่ทักไม่ทัน คงจะรีบไปเตรียมตัวแข่งมั้ง

หลังจากประกวดแสตนด์จบลงต่อไปจะเป็นการแข่งบาสเก็ตบอลชิงชนะเลิศ ซึ่งก็แข่งสนามในร่มนี่แหละครับ ตอนแรกผมเองลืมไปว่าโป้มันก็เป็นนักกีฬาบาสเหมือนกัน เดี๋ยวต้องไปตามถ่ายรูปหล่อๆ ให้มันซักหน่อยจะเอาไปอวดไอ้พี่เต้ ฮ่าๆ


.

.


“กูรู้ว่าตัวเองเก่งมาก ไม่ต้องมาชมหรอก”

“ไอ้ควายยยย นอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลตั้งนาน มึงเอาแรงจากไหนมาแข่งบาสวะ”

“มึงเข้าใจคำว่าคนเก่งปะ กูเองอะ”

“หลงตัวเองชิบหาย ฮ่าๆ”

หลังจากจบการงานในครึ่งเช้า พวกผมก็มานั่งกินข้าวกันในโรงอาหาร อ๋อ วิศวะชนะบาสนะครับ วู้ว! ผมนี่ลุ้นตัวโก่งเพราะแต้มสูสีกันมาก ไอ้โป้นี่หน้าเครียดเลย ผมเกือบจะยกกล้องมาจับภาพแทบไม่ทัน

เวลามันทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วแม่งโคตรเท่ สาวๆ แถวนั้นกรี้ดใหญ่เลย ผมแอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ในความหน้าตาดีของมัน

แต่สุดท้ายก็ชนะมาได้ ต้องยอมเขาจริงๆ นะครับ แหม่

“กูอดไปดูเลยว่ะ เซ็ง”

“มึงพลาดมากกกก เชี่ยแก๊ป! ไอ้โป้งี้ ฟึ่บฟับ! ชู๊ตเอาๆ”

“รู้งี้กูลงบาสดีกว่า อยากเล่นกับเชี่ยโป้มัน” ไอ้แก๊ปพูดอย่างเสียดาย มันไปแข่งวิ่งมาครับ เห็นว่าชนะมาเหมือนกัน

เห้ย! เพื่อนผมมีแต่คนเก่งๆ ว่ะ โคตรเจ๋ง

“วันหลังเถอะไอ้เหี้ย แค่นี้กูก็หอบแดกแล้ว กว่าจะชนะมาได้ อีกฝั่งแม่งทั้งสูงทั้งบล็อกเก่ง กว่ากูจะทำแต้มได้แต่ละลูก แทบหืดขึ้นคอ” ผมตักข้าวเข้าปากแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ถึงไอ้โป้จะตัวโตแต่ยังสู้อีกฝ่ายที่เขาเป็นนักกีฬาของมหาลัยไม่ค่อยได้ ก็ดูดิ มีแต่บึ้กๆ ทั้งนั้น

ลองจินตนาการเป็นผมวิ่งดุ้กๆ ในสนาม

คงโดนชนปลิวออกสนามตั้งแต่วิแรก ฮ่าๆ

“สามแต้มมึงสวยมากอะ ลงทุกลูกเลยไอ้เหี้ยเอ้ย” เจ๋งตบโต๊ะรัวๆ สงสัยแม่งอินจัด คงเซอไพรส์เพราะไม่คิดว่าโป้มันจะเล่นได้ดีขนาดนี้

“คือแบบ เฮ้อ เบๆ อะนะ” กูเริ่มชักจะหมั่นไส้มึงละ ขิงไม่หยุด

“แต่ทำไมไม่เริ่มชู้ตตั้งแต่ควอเตอร์แรกๆ วะ แม่งมาออกลายตอนหลังกูลุ้นเยี่ยวเหนียวเลยไอ้สัด”

“มันก็ต้องมีแผนกันบ้างดิ ไม่งั้นกูเหนื่อยตายห่า”

“คนอื่นอาจจะคิดว่ามันไม่เก่งสามแต้มเพราะมันไม่ค่อยเห็นมันเล่น แต่ว่านั่นอะของชอบมันเลยแหละ” ผมพูดเสริมทับพลางหันไปแท็กมือกับโป้ มันส่งมือมาขยี้หัวผมเล่นแล้วหัวเราะชอบใจ

“เออ แล้ว-”

“น้องมุ่ย!”



หือ? ใครเรียกกูวะ



ผมหันไปตามเสียงเรียก มีผู้ชายตาตี่ยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือ มองไปข้างๆ พอเห็นว่าเป็นใคร อาการเบ้ปากมองบนก็เกิดขึ้นทันที

“เนี่ยมึง ได้ที่นั่งละ”

“อ้าว! พี่บีม พี่ปั้น พี่นิว พี่ก้าน หวัดดีครับ” ไอ้โป้ส่งเสียงทักทายอย่างเริงร่าเมื่อเห็นพี่คณะมัน ผมนั่งตักข้าวเข้าปากเหมือนเดิม ทำเป็นไม่สนใจ

“กูไม่มีที่นั่งว่ะ นั่งด้วยดิ”

“เอาเลยพี่ ที่ว่างเยอะแยะ มาๆ” ไอ้เจ๋งนี่ก็ทำเอย่างกับสนิทกับพวกนั้นมาเป็นชาติ เรียกมานั่งแถมยังดันผมให้เขยิบออกอีก

“เชี่ยมุ่ยมึงเหยิบๆ หน่อยซิ นั่งกินที่อยู่คนเดียวเนี่ยมึง แบ่งพี่เขานั่งด้วย” ผมนิ่วหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมขยับให้ เผลอเงยหน้าสบตากับบีมแวบนึง มันยิ้มมุมปากหล่อๆ ส่งมาให้ ผมลอยหน้าลอยตาไถโทรศัพท์เล่นทำเหมือนไม่เห็น

“จะแข่งบอลกันเหรอครับพี่” แก๊ป ถามมันทำไมวะ โห่

“เออ แต่พวกกูมาหาข้าวกินกันก่อน แม่งไม่มีที่ว่างเลย”

“พี่บีมมานั่งนี่เลยพี่ เดี๋ยวผมไปนั่งอีกฝั่งเอง อิอิ” อิอิพ่อง ไอ้สัดเจ๋ง

ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ แม่งมีการเรียกบีมให้มานั่งข้างผม กวนตีนชิบหาย

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” บีมเดินมานั่งลงข้างกันแต่โดยดีพร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยว พลางเอียงคอถามผม

“รำคาญมึงอะแหละ”

“จริงเหรอ”

“เออ” ผมทำเป็นสนใจที่เพื่อนบีมกับเพื่อนผมคุยกัน แอบเหล่มองนิดหน่อยว่ามันกินอะไร

อืม หมี่ขาวลูกชิ้น อิ่มเหรอวะถามจริง

“มองไร”

“เปล๊า” ผมยกมือขึ้นเสยผมแก้เก้อเมื่อบีมรู้ตัวว่าผมแอบมอง ได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆ

“กินลูกชิ้นปะ”

“ไม่”

“ให้เนี่ย กินดิ” บีมทำท่าจะคีบลูกชิ้นมาให้ แต่ผมจับมือไว้ก่อน

“ไม่เอา”

“ก็เห็นมอง นึกว่าอยากกิน” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“เดี๋ยวมึงไม่อิ่ม”

“หืม เป็นห่วง?” เจ้าตัววางตะเกียบแล้วหันมาทางผมอย่างเต็มตัว บีมหลุดขำออกมา แอบเห็นว่าพลางกัดปากล่างตัวเองเล็กๆ

“ไม่ใช่ บีมกินแค่นี้อิ่มเหรอวะ เอาแรงที่ไหนไปเตะบอล แพ้แน่”



แปะ!



“เอ้ย! อีกแล้วนะ อย่ามายุ่งกับเหม่งคนอื่นได้ปะ” ผมมุ่ยหน้า พ่นลมหายใจฮึดฮัดหลังจากบีมตีหน้าผากผมอีกแล้ว

“โทษฐานที่แช่งกู”

“ใครแช่ง พูดความจริงทั้งนั้น ก็ดูกินดิ ไปซื้อมาอีกชามไป๊” ผมโบกมือไล่

“กินเยอะจุกกันพอดี”

“กินน้อยก็ไม่มีแรงไงบีม พูดไม่รู้เรื่องเหรอเราอะ” ผมมองหน้าบีมอย่างหาเรื่อง มันก็ไม่พูดอะไร เอาแต่มองหน้าผมยิ้มๆ



“อะแฮ่ม!”

“โต๊ะนี้ไม่ได้มีแค่พวกมึงสองคนนะครับ โทษที”

“แหม ไม่ได้เจอกันนานก็งี้แหละ เนาะ”

“เออๆ ใช่ครับพี่ ฮ่าๆ” เจ๋ง มึงเป็นเพื่อนกูจริงปะเนี่ย ไปเข้าข้างพวกนั้นทำไม หือ!

“ได้ข่าวว่าน้องมุ่ยไปฟัดกับหมามาเหรอ แผลหายดีแล้วหรือยังครับ” เพื่อนบีมคนนึงชะโงกหน้ามาถามผม

“แค่นี้จิ้บๆ ให้ไปไฝว้อีกก็ยังไหว” ผมยกนิ้วปัดจมูกอย่างอวดๆ

“โอ้โฮ ใจมันได้เว้ยเฮ้ย ฮ่าๆ”

“มือไม่เจ็บแล้วนะน้องมุ่ย” นั่งคุยเพลินๆ บีมก็จับมือผมไปลูบ

“อือ ขี่รถได้ปกติละ แต่ถ้ายกของหนักมันก็มีจี้ดๆ บ้าง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเอาแต่หัวเราะที่คนบนโต๊ะคุยกัน

“ช่วงนี้ไม่ได้ไปรับ งานโคตรยุ่งอะ”

“เออๆ ...ฮ่าๆ สมน้ำหน้าไอ้เจ๋ง”

“คิดถึงกันบ้างไหมเรา”

“เชี่ย! ก็กูบอกแล้วไง ฮ่าๆ”

“สนใจกันหน่อยน้องมุ่ย”

“หือ บีมว่าไงนะ” ผมหันมาถามเพราะได้ยินไม่ถนัด บีมขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจอะไรซักอย่าง จ้องเขม็งมาที่ผมอีก อะไรวะ

“ช่างมันเถอะ” บีมปล่อยมือผมแล้วกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวต่อ



อ้าว



เหมือนผมทำอะไรผิดซักอย่างเลยว่ะ



จึกๆ



ผมสะกิดไหล่คนข้างๆ แต่บีมก็ไม่สนใจ



“เป็นไรเล่า สนใจแล้วนี่ไง เออ เมื่อกี้ว่าไงนะ อ๋อ ที่มึงไม่ได้มารับกูใช่ไหม เห้ย ไม่เป็นไรอะ กูมาของกูเองได้ ชิวๆ เนอะ...” ผมเอียงคอเพื่อที่จะมองหน้าบีมให้ชัดๆ พลางกระตุกแขนเสื้อให้มันหันมามองกัน

“...”

“บีม...คุยกับกูหน่อย” ผมยกกล้องขึ้นถ่ายสตอรี่ไอจี ขำอะ หน้าบูดเป็นตูดเลย ฮ่าๆ

“อย่ามาถ่าย” บีมดันโทรศัพท์ออก แต่ผมยังไม่ละความพยายาม เบี่ยงแขนออกแล้วยกถ่ายเหมือนเดิม



แอ๊ะ! เห็นนะว่าแอบยิ้มอะ



“ยิ้ม ยิ้ม แน๊!”

“ไอ้เด็กนี่”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะออกมา ในที่สุดบีมก็ทนไม่ไหวหันมามองหน้ากัน

“ตลกอะบีม ไอ้บ้า” ว่าแล้วก็กดอัพสตอรี่ทันที บีมยกมือมายีผมของผมอย่างแรงจนยางรัดหลุด ผมโวยวายนิดหน่อย บีมก็ยังยิ้มหน้าระรื่นพลางหมุนตัวผมให้หันหลัง ผมงงกับการกระทำของมัน แต่พอรับรู้ถึงสัมผัสอย่างเบามือกับศีรษะของตัวเองก็เข้าใจได้



อ๋อ



บีมจะมัดผมให้นี่เอง



“ถามน้อง คิดถึงกันบ้างไหม”

“อะ...อะไรของบีม”



เอาละกู มือไม้เริ่มเกะกะแล้ว



“อึกอัก แสดงว่าคิดถึง ชื่นใจว่ะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย อย่ามามั่วว่ะบีม” ผมตีมือคนตัวสูงโทษฐานพูดจาเลอะเทอะ แต่มีผลกับหัวใจ แรงๆ หนึ่งที บีมหัวเราะชอบใจใหญ่กับการกระทำแก้เขินของผม



รู้บ้างไหมว่าคนเขาคิดมากเรื่องมึงเนี่ย! หือ!



“ขี้เขินจริงๆ เลยคนนี้”

“พอๆ มัดเสร็จแล้วก็กินข้าวให้หมดแล้วจะไหนก็ไป วู้ รำคาญบีม...” ผมปัดมือบีมออกแล้วหันมานั่งดีๆ เหมือนเดิม บีมก็ยังมองหน้าผมยิ้มๆ มึงมีความสุขอะไรนักหนา



อะ...ไอ้บ้านี่



“...เขินก็น่ารัก เหวี่ยงก็น่ารัก อยู่เฉยๆ ก็น่ารัก หลงชิบหายเลยกู ฮะๆ” บีมพึมพำกับตัวเองแต่ผมได้ยินไม่ถนัด อะไรยักๆ นะ ยึกยักเปล่าวะ?



“โอ๊ย!! กูรำคาญคนแถวนี้!”

“เหมือนผมเลยว่ะพี่!”

“จะอะไรกันขนาดนั้น มึงไม่แดกน้องมันไปด้วยล่ะไอ้บีม หมั่นไส้!”

“เหี้ยน้องมุ่ย นั่งเคลิ้มเลยนะมึงอะ ทีกูจะมัดให้บ้างทำเล่นตัว ไอ้ควายน้อย”

“พูดมากว่ะ แดกข้าวไปไป๊” ผมโบกมือไล่ไอ้โป้อย่างรำคาญ

“แหมๆ”

“สัด มือมึงหนักอย่างกับตีน ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับหัวกู เพื่อนบีมมือเบากว่ามึงเยอะ เนาะ” ผมหันไปเออออกับบีม เจ้าตัวชะงักเล็กน้อย หรี่ตามองผมเหมือนมีอะไรจะพูด

“เพื่อนบีม?”

“อื้อ มึงเพื่อนกูไง หวัดดีเพื่อนบีม!”

“เอาแหล่วววววว”

“เฟงซงชัดๆ ฮ่าๆ โอ๊ยไอ้เหี้ย กูขำ”

“เฮ้อ” บีมวางตะเกียบลง พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ผมบอกพี่แล้ว สู้ๆ นะคับ ฮ่าๆ”

“กูอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ” บีมลุกขึ้น เพื่อนคนอื่นก็พยักหน้าแล้วลุกตาม

“จะไปแล้วเหรอ” ผมคว้ามือบีมไว้ก่อนเจ้าตัวจะเดินออกไป

“อือ ดูแลตัวเองด้วย อย่าตากแดดให้มาก” บีมตบหัวผมเบาๆ แล้วเดินออกไปพร้อมเพื่อนตัวเอง ผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างอึนๆ

“มึงว่าบีมดูเหนื่อยๆ ปะ” ผมถามเพื่อน

“เออ...”

“ซ้อมเยอะง่ะ”

“เหนื่อยกับมึงนั่นแหละ!”

“เอ้า!”


.

.


ต่อข้างล่างงับ

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้งับ



“เอ้าแหม่! สวัสดีครับ วันนี้เราอยู่กันที่สนามเอาดอร์สเตเดียม เป็นนัดชิงชนะเลิศระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะนิติศาสตร์นั่นเองครับ!”

“รู้สึกวันนี้กองเชียร์จะเยอะเป็นพิเศษเลยนะครับแหม่ สงสัยมาเชียร์นักพากย์กัน ฮ่าๆ”

“ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงครับ กรรมการเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน...จังหวะแรกนิติได้บอล โยนมา! วิศวะเหมือนจะสกัดได้ เอ้า ส่งคืนหลังมา!”



หลังจากแยกย้ายกับพวกบีมเมื่อกลางวัน พอถึงเวลาแข่งขัน ผมก็ได้มานั่งจุ้มปุ้กอยู่ริมสนามกับเพื่อนรุ่นพี่อีกสองสามคน เจ้จิ้บสั่งแกมขู่ว่าต้องเอารูปเด็ดมาให้ได้เยอะๆ เพราะการแข่งขันครั้งนี้ เรียกได้ว่าทั้งสองทีมมีแต่คนเก่งกันทั้งนั้น ไหนจะรูปร่างหน้าตาแต่ละคนที่ทำเอาสาวๆ บนแสตนด์พร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์กันไม่หยุดหย่อน เพราะงั้นต้องเก็บภาพนักฟุตบอลมาให้ได้มากที่สุด

ผมนั่งอยู่บริเวณป้ายโฆษณาฝั่งที่บีมเป็นผู้รักษาประตู เจ้าตัวหันมายิ้มให้นิดๆ เมื่อเห็นผม ไม่วายชูสองนิ้วส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้างประจำตัวเจ้าของ ผมจึงไม่พลาดที่จะยกกล้องขึ้นถ่าย แล้วภาพที่ได้ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้จะผ่านตาข่ายก็เถอะ

“น้องมุ่ยเชียร์ใครครับ” ผมที่กำลังดูบอลเพลินๆ โดยลืมไปเลยว่ามีรุ่นพี่อีกคนยืนอยู่ข้างๆ กัน



ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แฮะ ไม่เคยเห็นหน้า



สงสัยคงเป็นรุ่นพี่ปีสูงที่ลงมาช่วยน้องๆ



“แล้วเชียร์ใครดี” ผมถามย้อนกลับไป

“อืม พี่เชียร์นิตินะ พอดีเพื่อนพี่เขาอยู่คณะนั้น”

“งั้นผมเชียร์วิศวะ”

“ทำไมล่ะ นิติดูจะฟอร์มดีกว่านะ”

“เห็นไอ้คนนั้นไหม...น่ะๆ” ผมชี้นิ้วไปทางบีม

“เพื่อนน้องมุ่ยเหรอ”

“อือๆ ตอนแรกก็ว่าจะไม่เชียร์แล้ว แต่เดี๋ยวมันน้อยใจ เชียร์ให้สักหน่อยก็ได้ ฮ่าๆ” ว่าแล้วก็ยกกล้องขึ้นถ่าย บีมแม่งหล่อจริงว่ะ ใบหน้าเคร่งเครียดจากเกมการแข่งขันที่แสดงออกมาส่งผลให้เจ้าตัวดูฮอตขึ้นกว่าเดิม

“พี่เห็นน้องมุ่ยอยู่กับบีมบ่อยๆ ...”

“อ่า...ก็ใช่”

“ทั้งที่อยู่คนละคณะน่ะเหรอครับ”

“เกิดเรื่องนิดหน่อยอะ บีมเลยต้องมารับส่งผม- เชี่ย! ลูกเมื่อกี้เกือบเข้า! โอย...ใจกู”

“เอ่อ...น้องมุ่ย ถ้าพี่จะขอ-”

“เหี้ย!!! บีมจุกไหมวะ!? เต็มๆ ท้องเลย”

“คือพี่อยากขอละ-”

“ว้าก!! จะเข้าแล้วๆ! ม่ายยยยยยยย!”

“...เอ่อ งั้นพี่ไปตรงนู้นนะครับ”

“อือๆ ไปดิ เดี๋ยวผมถ่ายฝั่งนี้เอง” ผมไม่ได้ฟังที่พี่คนข้างๆ พูดเท่าไหร่ เพราะมัวแต่จดจ่อแล้วก็ลุ้นไปกับการแข่งตรงหน้า ได้ยินแว่วๆ ว่าจะไปไหนนี่แหละ ผมยกกล้องขึ้นถ่ายบีมอีกครั้งในจังหวะที่วิศวะกำลังบุก ตอนนี้ใบหน้าของบีมเห่อแดงขึ้นมาเนื่องจากความร้อนระอุในสนาม ผมไม่ลืมที่จะจับภาพตอนเขาเสยผมขึ้นลวกๆ คิ้วขมวดน้อยๆ เหมือนรำคาญเส้นผมของตัวเอง



บีมทำไมไม่มัดผมวะ ปรกหน้าปรกตาหมดแล้ว



แต่แม่ง...



ทำไมลุคนี้ของมันเกรี้ยวกราดจังวะ



เป็นผู้ชายแบดๆ



ผมเบนกล้องตัวเองถ่ายคนอื่นบ้างจนพอใจก็กลับมาที่บีมอีกครั้ง ว่าไม่ได้นะครับ คนนี้เขาขึ้นกล้อง ใครก็อยากจะเก็บรูปให้ได้เยอะๆ



หือ?



บีมหันมาทางผม แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมปากประจำตัว ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ล้อเลียนมาให้อีก



ยัง...ยังทำเป็นเล่น!



เดี๋ยวก็แพ้หรอกบ่านี่!



“หัน...กลับ...ไป...” ผมอ้าปากพูดโดยไม่ออกเสียงให้บีมอ่านออกได้ชัดที่สุด พลางทำไม้ทำมือให้โฟกัสกับการแข่ง บีมก็เอาแต่ยิ้มอะไรของมันก็ไม่รู้ ถ้าแพ้นะมึง กูจะหัวเราะให้!



บีมกวักมือเรียกความสนใจจากผม ก่อนจะเอามือป้องปากแล้วพูดโดยไม่มีเสียงออกมา



โห กูก็สายตาดี๊ดี เพ่งจนลูกตาจะหลุดออกมาแล้วเนี่ย



ไหนมันว่าไงนะ?



“เชียร์...”



“ด้วย...”



“นะ...” จบด้วยรอยยิ้มกว้าง สดใสขนาดพระอาทิตย์ยังต้องยอมแพ้ แล้วเจ้าตัวก็หันไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ เหลือแค่ผมที่ได้แต่ยืนงงในดงแผ่นป้ายโฆษณากับความร้อนที่แผ่กระจายขึ้นมาบนใบหน้าที่ไม่ได้มาจากสภาพอากาศ...



...พร้อมเสียงหัวใจตัวเอง



ตึกตัก...



...ตึกตัก



คือ...



...ไม่เห็นต้องบอก



นี่ก็เชียร์บีมคนเดียวอยู่แล้ว...


.

.

.


“...และก็หมดเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ! จบเกม วิศวะชนะนิติไปแบบฉิวเฉียดสองประตูต่อหนึ่ง โดยลูกแรกนะครับ ยิงโดย...”



“ไอ้เหี้ย! กูลุ้นฉี่แทบราด แม่งสูสีชิบหาย! กูนึกว่าจะเสมอกันแล้ว” หลังจากจบเกมไปได้สักพัก ก็จะมีพิธีปิดผมกับเพื่อนในชมรมคนอื่นพากันเดินเก็บภาพบรรยากาศจนเสร็จสิ้นพิธี เจ้จิ้บเรียกประชุมเรื่องรูปที่ถ่ายมา ผมกับไอ้เจ๋งนั่งฟังไปตาก็จะปิดไปด้วย เพราะตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่า ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ง่วงก็ง่วง



เห็นว่ามีกาดในมอ ผมว่าผมไปเดินซื้อของกินนิดหน่อยแล้วกลับเข้าหอเลยดีกว่า อืมๆ



“น้ำไหมครับน้องมุ่ย” ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นพี่สโมยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ เออ พี่เขาก็อยู่ชมรมนี้ด้วยนี่หว่า แต่ไม่ยักกะเห็น สงสัยไปคุมเด็กที่แสตนด์

“ขอบคุณ...” ผมรับมาพลางก้มหัวให้ เจ้าตัวยิ้มรับ แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“เหนื่อยน่าดูเลยเนอะเรา”

“อือ อะ แดกไปมึงอะ หิวน้ำไม่ใช่รึไง” ผมยื่นขวดน้ำเปล่าให้ไอ้เจ๋งที่บ่นอยากดื่มน้ำแต่ขี้เกียจเดินไปซื้อ

“เอ่อ...ผม...ขอนะครับพี่แดน” เพื่อนผมทำสีหน้าลำบากใจมองไปทางพี่สโม

“อ่อ อึ้ม ดื่มเลยครับ”



หรือผมจะกลับหอเลยดีวะ ง่วงจริงๆ นะครับเนี่ย



ระหว่างที่นั่งตาปรือ ผมก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างบริเวณแก้ม เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่สโมคนเดิมยื่นมือมาแตะที่หน้าผม



“ทำไรอะ” ผมดันมือพี่เขาออก พลางมุ่ยหน้าถามอย่างไม่ชอบใจ ตกใจเลยไอ้บ้า

“พี่เห็นมีเศษใบไม้ติดอยู่น่ะครับ เลยจะปัดออกให้...ขอโทษทีนะครับ” พี่สโมยังยิ้มให้เหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่เป็นไร ผมแค่ตกใจ ทีหลังอย่าทำงี้อีกนะพี่ เดี๋ยวเผลอเหวี่ยงหมัดใส่ ผมเป็นคนตกใจง่าย” ผมแบมือขอทิชชู่จากไอ้เจ๋งมาเช็ดหน้าตัวเอง แต่พี่แกดันจับข้อมือผมไว้ก่อน



เป็นหยังบ่านี่



“ถ้าไม่รังเกียจ ให้พี่เช็ดให้ไหม” ผมชะงักเล็กน้อย ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พี่แกก็หยิบทิชชู่ในมือผมแล้วกำลังจะเช็ดให้

“เห้ย ไม่ต้อ-”

“น้องมุ่ย”



บะ...บีม!



“ทำอะไรครับ”





**********************************

ขอโทษนักอ่านทุกท่านที่มาช้ามากกกกกกกนะคะ นักเขียนเพิ่งสอบมิดเทอมเสร็จ ก่อนหน้านั้นเลยชัดดาวน์ตัวเองอยู่กับหนังสือไม่ได้มาต่อให้เลย ขอโทษจริงๆค่ะ

เพื่อความต่อเนื่องนักอ่านทุกท่านสามารถรอให้เรื่องจบแล้วค่อยกลับมาอ่านได้นะคะ เรากลัวทุกคนค้าง เพราะเราเขียนช้ามากจริงๆ หรือจะคอยเป็นกำลังใจให้เราในแต่ละตอนก็ได้ค่ะ งื้อออออ เราคิดถึงทุกคนมากกกกกกกกก จากนี้จะมาทุกอาทิตย์ให้ได้เลยงับ เย่!

สุดท้ายนี้ขอความคิดเห็นเป็นกำลังใจให้เราคนละหนึ่งความคิดเห็นน้า

เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดจริงๆสำหรับนักเขียนคนนึง

รักทุกคนนะค้า <3 <3

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ควันหลงสงกรานต์


วันที่ 14


“บีมโว้ย!” เสียงคนตัวเล็กแว่วเข้ามาในห้อง สงสัยกลับมาแล้ว ว่าจะโทรตามอยู่พอดี หายไปได้สองชั่วโมงกว่าไอ้ตัวดีเพิ่งกลับมา ส่งข้อความไปไม่ตอบผมก็เป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไร

เมื่อตอนสายๆ น้องมันออกไปซื้อปืนฉีดน้ำกับเพื่อน กะว่าเย็นนี้จะไปเล่นสงกรานต์กันที่ถนนในเมือง ผมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ จึงตัดสินใจเดินออกไปหา

“ว่าไง...” ผมมองน้องมุ่ยที่กำลังง่วนอยู่กับข้าวของพะรุงพะรัง วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโทรทัศน์

“ซื้อเสื้อลายดอกมาให้...ว้าย! โป๊!” น้องยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง แกล้งทำตลกกลบเกลื่อนทั้งที่หน้าแดงก่ำอย่างกับมะเขือเทศสุก

“เห็นอยู่ทุกวัน ตัวยังจะอายอีกเหรอ” ผมก้าวเข้าไปหามุ่ยไม่ช้าไม่เร็ว เจ้าตัวถอยหนีกระโดดไปหลบตรงโซฟา โผล่มาให้เห็นแค่เหม่งน้อยๆ กับตาเล็กๆ

“อะไร้! บีมแม่ง ไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกมาวะ”

“ก็น้องเรียกไม่ใช่รึไง” ผมเดินเข้าไปถึงเจ้าตัวในที่สุด ระหว่างเรามีแค่โซฟากั้นเท่านั้น

“ก็ไม่ใช่เรื่องที่บีมจะต้องออกมากับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไหมอะ”

“เขินแล้วขี้โวยวายจัง” ผมขยี้ผมนุ่มอย่างมันเขี้ยว มุ่ยลุกขึ้นยืนบนโซฟาทันที ทำให้เขาสูงกว่าผมนิดหน่อย แต่น้องดูจะภูมิใจมาก

“ฮ่า! เค้าสูงกว่าตัวแล้ว ฮี่ๆ”


อ่า น่ารัก...


“เจ้าคนแคระ! ตัวแม่งเตี้ยว่ะ ชอบอะ รู้สึกเหนือกว่ายังไงไม่รู้ ฮ่าๆ”


น่ารัก น่ารัก...


“รู้งี้ดื่มนมเยอะๆ ก็ดีหรอก เออ เฮียครามแย่งดื่มไง เดี๋ยวกลับบ้านคราวนี้ฟ้องพี่พระนายดีกว่า อิอิ”


น่ารัก น่ารัก น่ารัก...


“เออใช่ เค้าซื้อเสื้อลายดอกมาให้ เอาไปใส่- วะ เหวอ!” ผมกวาดแขนอุ้มน้องมุ่ยโดยไม่ทันให้น้องตั้งตัว ทำเอาน้องมันโวยวายขึ้นมาเสียงดังลั่น

“บีม!! ไอ้บ้า เล่นอะไรเนี่ย เดี๋ยวเค้าตก ไม่...ผ้าเช็ดตัวมึง...ผ้ามึ้ง! บีม!” คนในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลักพลางทุบบ่าผมไปมา แต่ผมยังไม่ยอมปล่อย และเดินเร็วๆ ไปยังเคาเตอร์โซนครัว เอาจริงๆ ถึงน้องมันจะผอมแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่หนัก


ตุบ!


“เล่นอะไรเนี่ย” พอวางน้องลงเสร็จ ไอ้ตัวดื้อก็ฟาดมือลงกับแขนผมอย่างแรง ใบหน้าเล็กๆ แดงแล้วแดงอีกลามลงมาบริเวณคอ

“นั่นสิ เล่นอะไรดี” ผมส่งยิ้มให้มุ่ยพลางขยับเข้าไปใกล้ ตอนนี้น้องมุ่ยอยู่สูงกว่าผมเล็กน้อยทำให้เจ้าตัวต้องก้มหน้าลงมาคุยกัน ผมอาศัยจังหวะที่น้องมันกำลังโวยวายยื่นมือสอดเข้ากอดเอวบางแล้วดันน้องเข้ามาใกล้ให้ระหว่างเราชิดกันมากกว่าเดิม ด้วยความกลัวตกมุ่ยเลยเผลอใช้สองขาเกี่ยวเข้ากับเอวผม สองแขนโอบรอบคอไว้ด้วยแววตกใจ

“บะ...บีม”

“หืม...ครับ”

“ไม่ทำตาวิบๆ อย่างนั้นสิ อื้อ!” ผมฝังใบหน้าตัวเองกับซอกคอหอมกรุ่นอย่างรวดเร็ว ใช้ริมฝีปากขมเม้มรอยเดิมทีเริ่มจางหายให้ชัดขึ้น

กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่เจ้าตัวชอบใช้ลอยเข้าจมูกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้อยากจะชิมและสัมผัสผิวกายคนตรงหน้ามากขึ้นอีกเท่าตัว


อ่า...เผลอทำอีกรอยซะแล้ว


โดนน้องมุ่ยด่าแน่เลย


“ไอ้...” ฝ่ามือจิกเกร็งเข้ากับบ่าผมอย่างแรง จนผมรู้สึกแสบนิดๆ แต่แค่นี้ ทนได้ครับ

“พะ...พอแล้ว!” ผมผละออกมาแล้วเงยหน้าใบหน้าแดงก่ำ ดวงตารื้นน้ำใสๆ กับริมฝีปากที่เม้มเน้นก่อนจะขบกันเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว


ใครจะทนไหววะ กูถามจริง


ไม่สิ ไม่ต้องมีใครทน


เพราะน้องมุ่ยตอนนี้ จะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น


“...ฮือ กูจะไปเล่นสงกรานต์”

“ก้มหน้ามาหน่อย เร็ว” ผมใช้ปลายนิ้วตัวเองไล้แก้มแดงๆ ลากผ่านบริเวณหางตาอย่างหลงไหล กดย้ำเบาๆ กับริมฝีปากนุ่มอย่างสื่อความหมาย ชิมกี่ครั้งก็ยังหวานหอมเหมือนกับเยลลี่ที่น้องชอบกิน ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นด้วยแขนข้างเดียว รู้สึกได้ว่าน้องตัวสั่นนิดๆ พอตวัดสายตาขึ้นมองคนตัวเล็ก ก็พบว่ากำลังมองผมอยู่เช่นกัน

“...สงกรานต์กู” ปากบางเบะลงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ผมหัวเราะน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู ลากมือผ่านซอกคออุ่นร้อนไปยังท้ายทอย นวดคลึงเบาๆ ให้น้องผ่อนคลายอาการเกร็งลง


มุ่ยยังคิดว่าจะได้ไปเล่นสงกรานต์อีกเหรอ


เฮ้อ


“จูบหน่อยครับ” ผมส่งสายตาเป็นเชิงอ้อน ตัวน้อยเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ แต่ก็ยอมก้มลงมาหากันโดยดี จนสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม

ไม่นานนัก เพียงแค่สัมผัสยังไม่ได้รุกล้ำอะไรไปมากกว่านี้ น้องก็ผละออกโดยใช้สองมือยันกับแผ่นอกผมไว้

“คำถามชิงรางวัล...” คนตรงหน้าพึมพำออกมาเสียงเบา

“หืม...” ผมฝังใบหน้าตัวเองเข้ากับบริเวณไหปลาร้าแล้วกดจูบย้ำๆ

“ชิงรางวัลหนึ่งล้านบาท”

“ยื้อเวลาเหรอ...” อดยิ้มไม่ได้กับความตลกของคนในอ้อมกอด เวลานี้ก็ยังจะเล่นนะ

“คำถามคือ เค้าจะได้ไปเล่นน้ำวันนี้หรือไม่”

“...”

“กอไก่ ไม่มีทาง... ขอไข่ มึงยังคิดจะไปอีกเหรอ... คอควาย ไม่ได้แน่นอนไอ้คนโง่ ...”

“ให้เค้าตอบเหรอ” ผมผละออกมาแล้ว กดริมฝีปากตัวเองแนบชิดกับปากนุ่มสีแดงระเรื่อของน้อง มือข้างที่จับเอวบางไว้เริ่มไล้ผ่านแผ่นหลังเนียนมายังหน้าท้องแบนราบ น้องมุ่ยตัวกระตุกอย่างตกใจ เสียงหอบหายใจแรงและหนักขึ้น ผมจึงหยุดมือ แล้วลากผ่านไปจูบซับที่เปลือกตา ปลายจมูก แก้มนุ่มทั้งสองข้างและปลายคางอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน

“เค้าเนี่ยแหละ...”

“ตัวตอบข้ออะไร”

“งองู...”

“หืม?”

“ถูกทุกข้อ”


นั่นสินะ


“คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่...”

“...”

“ถูกต้องนะครับ : ) ”




แถมอีกนิด


วันที่ 16



“ปะ ไปกัน เหี้ย!”

“อะไร”

“น้อง...ตัวแต่งอะไรของตัวเนี่ย” ผมเป็นอันต้องสะพรึง เมื่อออกจากห้องนอนมาพบกับโจร ไม่ใช่สิ...น้องมุ่ย ยืนจังก้าถือปืนฉีดน้ำอันใหญ่พร้อมรบอยู่หน้าห้องพอดี

“แดดมันแรง”

“ตัวเว่อไปรึเปล่า เค้าว่า-”

“ก็ปกตินี่” ผมทำหน้าไม่ถูกกับคำว่าปกติของน้อง แม่งดูสภาพน้องตอนนี้ เสื้อยืดสีดำพร้อมด้วยปลอกแขนสีเหมือนเสื้อปิดยาวจนถึงข้อมือบาง กับกางเกงยีนส์ขายาว สีเข้ม เงยหน้าขึ้นมองอีกทีเจอกับหมวกไอ้โม่งที่ปิดมาถึงช่วงคอและเจาะรูแค่ช่วงตา ไม่วายยังสวมแว่นกันแดดอันใหญ่เกือบเท่าหน้า


มึงจะไปเล่นน้ำหรือไปปล้น กูถามจริง น้องเอ้ย


“เค้าว่าถอดไอ้โม่งไหมตัว”

“เค้ากลัวดำ เดี๋ยวผิวไหม้”

“เอ่อ...”

“แล้วบีม...ไปเปลี่ยนเสื้อ!”


หือ?


“ใส่บางขนาดนั้น จะเอาหุ่นกากๆ ไปโชว์ใคร ห้ะ! เสื้อสีดำไม่มีใส่มั้ง หรือยังไง? แล้วกางเกงมันจะขาดไปไหน มึงจะไปเล่นน้ำหรือจะไปขอทาน ห๊า!” ผมอึ้งกับการแร็ปของน้อง พลางก้มลงสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง เอ่อ ก็ไม่ได้บางขนาดนั้น แค่เป็นเสื้อยืดสีขาวธรรมดา กางเกงยีนส์ก็ขาดธรรมดา

“เค้าว่ามันก็ไม่ขนาดนั้นนะ”

“จะไปเปลี่ยนดีๆ รึจะไปด้วยเลือด หยาดเหงื่อและน้ำตา” ขนาดไม่เห็นหน้ายังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวแผ่ออกมา ไอ้ชิบหาย กูจะโดนโจรฆ่าไหม

“แล้วตัวจะเปลี่ยนด้วยเปล่า” ผมยังไงก็ได้นะ แต่ขอถามน้องมุ่ยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“กูโอเคแล้ว ปกติดี” น้องยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินไปนั่งรอที่โซฟาด้วยมาดโจรห้าร้อย


อืม


ครับ






******************************

ไม่ลับลู้!!!!!!! /วิ่ง

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 18

สับสน



“น้องมุ่ย”


บะ...บีม!


“ทำอะไรครับ” คนตัวสูงหยุดยืนห่างกับผมไม่มาก ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ผมรู้สึกได้ถึงรังสีทึมๆ แผ่ออกมาจากตัวเขา

“หื้อ! ทำอะไร เปล๊า!” ผมลุกพรวดขึ้นทันทีเหมือนติดสปริง วางมือที่กำลังจะแย่งทิชชู่จากพี่สโม ละล่ำละลักขออนุญาตเจ้แล้วรีบก้าวเดินเข้าไปหาบีม

“ทำไมเสียงสูง” บีมระบายยิ้มจางๆ พลางเอียงคอถาม

“เห้ย เปล่าเสียงสูง ปกติทั้งนั้น” ผมสั่นหัวปฏิเสธระรัว


เออ แล้วกูจะเสียงสูงทำไมวะ


ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย


“น้องมุ่ยหวัดดีค้าบ” คนหัวเทาเพื่อนบีมยกมือขึ้นทักทาย

“อือ” ผมพยักหน้ารับ แต่เขาก็ยังส่งยิ้มมาให้ มองค้างอยู่อย่างนั้น กระซิบกับเพื่อนคนอื่น มองผมสลับกับบีมไปมาแล้วหัวเราะกันคิกคัก

“บีม เพื่อนมึงนินทากู”

“เฮ้ย! พวกพี่เปล่า” เพื่อนบีมโบกมือส่ายหน้ากันเป็นพัลวันเหมือนกลัวผมเข้าใจผิด

“มองมาทางนี้แล้วกระซิบกันทำไมอะ นิสัยไม่ดีว่ะ” ผมชักสีหน้าใส่อย่างไม่ชอบใจ ทำเอาหน้าเจื่อนกันไปหมด

“เอ่อ พวกพี่ขอ-”

“จะนินทาก็ทำลับหลังดิ ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย” ทำไมบีมคบเพื่อนไม่ฉลาดเลยวะ เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก คือการจะนินทาคนเนี่ยนะครับ ต้องแอบคุยกันอย่าให้คนอื่นรู้ ถ้าเขารู้ขึ้นมาเดี๋ยวจะโดนยำตีนไม่รู้ตัว


เตือนแล้วนะครับ จากคนมีประสบการณ์


“แล้วทำอะไรกันอยู่” บีมถามขึ้น

“เจ้เรียกประชุมอะ” ผมบุ้ยปากไปข้างหลัง บีมพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเจ้าตัวจะวางแขนหนักๆ พาดลงกับบ่าของผม

“อี๋ อาบน้ำรึยังเหอะ เหม็นเหงื่อคนเล่นบอล” ผมเงยหน้าย่นจมูก แสร้งโบกมือไปมาทำเหมือนว่าได้กลิ่นจริงๆ

“มาดม”


ฟึ่บ!


แอ่ก!


บีมกดหัวผมเข้ากับแผ่นอกของตัวเองอย่างรวดเร็วจนจมูกผมบี้แบนแนบไปตามกัน


หือ กล้ามมันแน่นจังวะ


“บีม!” ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขน พยายามจะถอยออกมาแต่เหมือนกำลังสู้อยู่กับกำแพงเหล็ก ไอ้บ้าเอ้ย แรงเยอะชิบ!

“เอ้า ลองดมดูดิ” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ กูล่ะอยากทุบมันให้ตัวเขียว แม่งชอบแกล้งอะ คิดว่าตัวเองตัวใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอวะ

“ฮึบ...ปล่อยเลย!” ผมรวบรวมกำลังอันน้อยนิดของตัวเองแล้วผลักบีมออก ไอ้คนขี้แกล้งเซถอยไปสองสามก้าว แต่ผมยังไม่พอใจ ชกเข้าที่ไหล่อีกรอบอย่างหมั่นไส้ บีมยกมือสองข้างขึ้นยอมแพ้ แต่ยังไม่วายก้าวเข้ามาประชิดตัวผมอีกครั้ง ไม่เข็ดสินะ

“บีม! เดี๋ยวเตะเลยนะเว้ย!”

“ฮ่าๆ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว” ทั้งบีมกับเพื่อนพากันหัวเราะให้กับท่าทางของผม นี่กูหงุดหงิดนะ! ขำอะไรกัน

“ไม่ต้องมาจับ” ผมดึงแขนตัวเองกลับเมื่อบีมยื่นมือมากำลังจะคว้าต้นแขนผมไว้

“ยืนดีๆ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”

“ฮึ่ย”

“สรุปหอมไหม”

“ไม่รู้! ไม่บอก!”

“งอนเหรอเราอะ” ไอ้คนขี้แกล้งก้มหน้าลงมาใกล้ บีมเม้มปากแน่นพลางย่นจมูก นิ้วเรียวยาวจับเข้าที่คางของผมแล้วส่ายไปมา

“อะ...อะไร มั่วแล้ว พูดไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง ปล่อยเลยๆ” ผมผลักมันออก แล้วถอยกรูดออกมาอย่างตกใจ ป้องกันอาการหัวใจวายที่กำลังกำเริบขึ้นอย่างหนักsoj;’


แค่นี้ มึงก็เต้นอย่างกับกลองชุด ไอ้หัวใจบ้า


ความจริงผมพูดเล่นไปอย่างนั้น เพราะบีมอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่ใช่ชุดนักกีฬา เสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดากับผมยุ่งๆ ดูเหมือนว่าจะสระผมมาเพราะยังมีความชื้นอยู่ตรงปลายผมให้เห็น เมื่อกี้ตอนอยู่ใกล้ ก็ได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ด้วย

“เจ็บนะน้องมุ่ย”

“สมน้ำหน้า ไอ้บ้า” ผมแลบลิ้น เตรียมจะเดินกลับไปที่เดิม คอเสื้อดันถูกดึงไว้มาพร้อมกับแขนที่วางพาดลงมาอีกครั้ง

“บีม!”

“ไปด้วยกัน”

“ไม่เอา บีมจะไปไหนก็ไปดิ คือกูประชุมอยู่เว้ย” ผมตีหน้ายุ่งตอบ แต่บีมก็ทำมึนไม่รู้ไม่ชี้

“เอาน่าๆ พวกพี่กับจิ้บสนิทกัน ไม่เป็นไรหรอก” คนตาตี่โผล่มาแย่งซีนพลางตบปุๆ ที่บ่าคนตัวสูง

“ปะๆ ก่อนที่ใครบางคนจะหึ- อุ้บ! จะโมโหจนเป็นบ้าไปซะก่อน คิคิ” ผมมองกลุ่มเพื่อนบีมที่หัวเราะคิกคักอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรวะ...”




“เคๆ ตกลงตามนี้นะทุกคน กลับบ้านได้จ้า” พอเดินกลับไป สมาชิกชมรมก็ประชุมเสร็จกันพอดี ง่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“ไอ้เชี่ยมุ่ย...เอ่อ...พี่ๆ หวัดดีครับ” เจ๋งเดินเข้ามาหาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผมอยู่กับใคร

“เออดีๆ ประชุมเสร็จแล้วเหรอวะ”

“ใช่ๆ เฮ้ย! ผมลืม ยินดีด้วยพี่! พวกพี่แม่งสุดยอดอะ ช็อตนั้นยังติดตาอยู่เลย สุดยอด!”


เจ๋ง...อย่าลืมเพื่อนที


“อยู่แล้วว่ะ ไอ้น้อง ฮ่าๆ” หลังจากนั้นก็เป็นมหกรรมคุยโวเรื่องลูกเตะอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ทันฟัง เพราะมัวแต่ตีกับบีมอยู่

“แขนมึงหนักอะรู้ปะ” ผมดึงหน้าไม่พอใจใส่

“อืม เมื่อกี้คุยกับใคร” อ้าว เปลี่ยนเรื่องเฉย

“อะไร”

“ทำไมให้เขาจับแก้ม” บีมกระชับไหล่ดึงตัวผมเข้าหา แนบสนิทชนิดที่ว่าสัมผัสได้ถึงลมร้อนๆ แถวซอกคอ

“อะ...อะไร” นี่คนหรือกำแพงบ้าน ดันไม่ออกเลยเว้ย

“น้องมุ่ย...”

“กะ...ก็ไม่มีอะไร พี่เขาแค่จะเช็ดหน้าให้ นี่บอกไม่ต้อง! บอกแล้วนะ! แต่พี่เขายังยื่นมือมาใกล้ ก็เลยเอ๊ะ! มือกูก็มีนี่หว่า เฮ้ยกูเช็ดเองได้ กำลังจะหยิบจากมือพี่เขา บีมก็มาพอดี ไม่มีอะไรเล้ย!”


เชี่ย เมื่อกี้กูแร็ป


“หึๆ โอเค เข้าใจแล้วครับ” บีมดูจะอึ้งไปหน่อยดูได้จากตาคมที่เบิกขึ้นนิดๆ ก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะออกมาพลางลดมือข้างที่โอบไว้ลง


ฟู่ว~


ธัมโม สังโฆ


หน้าบีม อย่างนี้เลย! (ทำมือประกอบ) อีกนิดจมูกมันชนแก้มผมแล้ว!


แหม่


ให้กูหายใจหายคอหน่อยอะไรหน่อย...


“อ้าว! บีม” เจ้จิ้บเดินเขามาทักบีม

“ว่าไง ยัยคนหน้าเลือด” บีมยักคิ้วทำหน้ากวนๆ กลับไป

“อะไรยะ ปรักปรำกันชัดๆ เรายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง”

“ใช่ ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่บอกกับคนในทีมว่าถ้าชนะไอ้บีมจะเลี้ยงเหล้าเอ้ง” ผมมองเพื่อนบีมที่โผล่หน้าขึ้นมาคุยด้วยสลับกับเจ้จิ้บไปมา

“อะไร้ เรื่องจริงทั้งนั้น”

“กูจะบอกให้พี่ต้าหากิ้ก- โอ๊ย! เจ็บนะโว้ย! นี่มือรึตีนวะ” เจ้แกถลาเข้าไปเตะหน้าแข้งคนพูดอย่างแรง และยังดูเหมือนจะซ้ำอีกรอบ จนผมกับไอ้เจ๋งต้องรีบเข้าไปรวบตัวแกไว้

“ฉันจะเตะให้ขาแกขาดเลยไอ้นิว! พูดจาอัปมงคล!” เจ้ชี้หน้าคาดโทษคนชื่อนิวไว้

“เอาน่า ถ้าพี่ต้ามีกิ้ก กูว่าให้หิมะตกยังจะง่ายกว่า ฮ่าๆ” คนหัวเทาพูดขึ้น ทำเอาคนอื่นรอบๆ หัวเราะกับคำพูดนั้น

“เออ ก็จริง”

“ฮ่าๆ”

ผมกับไอ้เจ๋งมองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาคุยกัน

“มายืนใกล้ๆ” บีมแตะแขนผมเป็นเชิงให้ปล่อยตัวเจ้จิ้บ ผมพยักหน้าแล้วกลับไปยืนข้างใกล้บีม คนหน้ายิ้มก็ยกแขนวางพาดลงกับบ่าผมเหมือนเดิม

“ไอ้ชิบหายนี่ก็ยืนเบียดน้องมันอยู่นั่นแหละ มุ่ยมันก็อยู่ตรงนี้ไหมไอ้สัด” เพื่อนบีมอีกคนที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นมา ทำให้ทุกสายตามองมาที่ผมกับบีมทันที

“โอ้ยยยย ก็มันหวงของมัน มึงก็พูดไปไอ้ปั้น ไม่เห็นเหรอตอนน้องมุ่ยโดนแต๊ะอั๋ง เพื่อนมึงแทบอยากจะเอาหมัดไปกระแทกหน้าเดี๋ยวนั้น”

“ฮ่าๆ”


พูดเรื่องอะไรกันวะ ผมงงไปหมดแล้ว


จึกๆ


ผมกระตุกแขนเสื้อบีม พลางมองมันด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม บีมเลิกคิ้วมอง แต่มันก็ไม่พูดอะไร กลับยกมือขึ้นขยี้หัวผมแทน


“น้องมุ่ย” เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง ผมจึงหันไปมอง ก็พบว่าเป็นพี่สโมคนที่จะเช็ดหน้าให้ผมคนนั้น

“พี่แดน” เจ้จิ้บเดินเข้าไปหาพี่แกคุยกันเล็กน้อย แล้วเดินกลับมาพร้อมกัน

“พี่แดน นี่เพื่อนจิ้บเองค่ะ นิว ก้าน ปั้น แล้วก็บีม ส่วนพวกแก นี่พี่แดนเป็นพี่สโม อยู่ปีสาม ศิลปกรรม คณะเดียวกับเจ้ามุ่ยมัน” เจ้แนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักกันและกัน


อ๋อ


ก็นึกตั้งนานว่าพี่เขาชื่ออะไร


พี่แดนไงไอ้มุ่ยพี่แดน เขาเป็นพี่สโมมึง จำไว้ไอ้คนกากเอ้ย


“หวัดดีครับพี่”

“ครับ” พี่แดนยิ้มรับ


...


ทำไมบรรยากาศมันมาคุแปลกๆ วะ ผมรู้สึกได้

ทุกคนก็ยิ้มคุยทักทายกันกันเป็นปกตินี่หว่า แล้วไอ้ความรู้สึกเสียวสันหลังนี่มันคืออะไร หันไปจะถามไอ้เจ๋งมันก็ยกมือขึ้นเป็นปางห้ามถาม ผมเลยจะสะกิดคนข้างตัวแทน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบีมมีสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาจดจ้องไปที่พี่สโม (ลืมชื่อพี่เขาอีกแล้ว) พอหันไปทางพี่คนนั้นก็ปรากฏว่าแกก็มองกลับมาที่บีมเหมือนกัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มแปลกๆ

ระหว่างทั้งคู่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาจากตาประทะกันดังเปรี้ยะๆ เลย ยังไงไม่รู้ ยิ้มให้กันนะ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูสยองๆ


“บีม” ผมกระตุกแขนเสื้อคนตัวสูง

“ครับ...” รับคำแต่ยังไม่ละสายตาจากพี่แก ผมมองเลยไปยังคนอื่นฟๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ไม่มีใครพูดอะไร จนผมเริ่มจะหงุดหงิดกับความอึดอัดบ้าๆ นี่ เพื่อนตาตี่ก็ยื่นหน้ามากระซิบให้ผมฟัง

“นี่คือการต่อสู้ครับน้องมุ่ย” พูดจบก็หัวเราะคิกคักจนตาปิด สู้อะไรของเขาวะ?

“เล่นอะไรกัน” ผมถามกลับ

“เฮ้อ ไม่เป็นไรนะครับน้อง เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อยู่แล้ว” เพื่อนบีมแสดงสีหน้าเห็นใจก่อนจะผละตัวกลับไป


ไอ้สัด กูงงกว่าเดิมอีก


เสืออะไรวะ?


อย่าบอกนะว่ากำลังส่งกระแสจิตนัดกันไปดูเสือที่สวนสัตว์?


เฮ้ย! ผมก็อยากไปว่ะ


“เอาล่ะๆ เลิกเขม่นกันได้แล้วจ้า น้องมันงงหมดแล้วจ้าแม่ แยกย้ายกันกลับบ้านพักผ่อนได้แล้วจ้า บายพวกแก แล้วเจอกันที่คณะ” เจ้จิ้บตบมือแปะๆ เดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างบีมกับพี่สโม เหมือนบรรยากาศจะผ่อนคลายลงนิดหน่อย

“เออๆ กลับๆ กูเหนื่อยจะตายห่าละ ไปไอ้บีม”

“ไว้เจอกันนะครับน้องมุ่ย” พี่สโมคนเดิมสบสายตาพลางยิ้มให้ ผมพยักหน้ารับคำ ก่อนที่พี่แกจะเดินกลับไปกับเจ้จิ้บ

หมายถึงเจอกันที่สวนสัตว์ใช่ไหมครับ?


ผมอยากไปดูเสือเหมือนกันนะ แล้วจะไปกันตอนไหนอะ


“อื้อ!” ผมสะดุ้งโหยง เมื่อบีมยกมือหนาขึ้นมาบีมแก้มผมจนปากยู่ เจ้าตัวขมวดคิ้วมองเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“อ่อยอิ อีม!” ผมตีมือให้มันปล่อย คนอื่นมองหมดแล้ว! เป็นหยังของมัน บ่านี่!

“หมั่นไส้ ไปยิ้มให้มันทำไม” ในที่สุดบีมก็ปล่อย แต่ยังไม่วายดึงผมเข้าไปให้ชิดกับตัวมัน ทำหน้าโหดใส่กูด้วย แปลกๆ นะเนี่ย

“ยิ้มไร”

“ไอ้พี่สโมคนนั้น” บีมจ้องผมอย่างไม่ลดละ มึงถามคำถามอะไร เอางี้ก่อน กูงงโว้ย!

“เชี่ยบีม นั่นพี่ปีสาม เรียกเขาดีๆ หน่อยไอ้ห่า”

“หึ มึงไม่เห็นหน้ามันเมื่อกี้รึไง” มันเสยผมขึ้นลวกๆ คิ้วขมวดเป็นปม

“เออ กูรู้ มึงก็ใจเย็นหน่อย ดูหน้าไอ้น้องมุ่ยดิ เอ๋อชิบหาย ฮ่าๆ” ผมมองบีมที่กำลังคุยกับเพื่อนสลับไปมาด้วยความงงงวย

“น้องมุ่ยไม่ต้องงง ก็อย่างที่พี่บอกไง นั่นแหละ” คนตาตี่ขยิบตาให้หนึ่งที เป็นอันรู้กัน


อ๋อ


ก็นึกว่าเรื่องอะไร


“แล้วบีมจะไปตอนไหนอะ ช่วงนี้กูว่างเยอะอยู่ ขอไปด้วยคน”

“ไป? ไปไหน?”

“ก็ที่จะไปดูเสือที่สวนสัตว์ไง”

“กู...ไปดูเสือ?”

“เออ อะไรของบีมวะ ก็เมื่อกี้เพื่อนตาตี่บอกว่ามึงกับพี่สโมจะไปดูเสือด้วยกัน กูก็อยากเห็น เลยจะไปด้วยเนี่ย บีมงงอะไรวะ”


...เงียบ


เงียบกันทั้งบาง


“ฮ่าๆ โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ช่วยด้วย! กูขำ ฮ่าๆ ฮ่าๆ”

“มุ่ยเพื่อน ฮ่าๆ อะไรของมึง ฮ่าๆ”


อะไรกั๊น!


“บีม!” ผมมองหน้าบีมอย่างเอาเรื่อง แต่เหมือนใบหน้าโหดเหี้ยมของผมไม่ได้ช่วยให้มันกลัวสักนิด กลับกันทำให้บีมโพล่งหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า ก่อนจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น

“โอ๊ย! ฮ่าๆ เดี๋ยวพาไปๆ ฮ่าๆ”


มึงขำอะไรก๊านนน!


.

.

.


ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า



สรุปแล้วก็ไม่มีการไปดูเสือดูเหี้ยอะไรทั้งสิ้น โกหกทั้งเพ เมื่อวานเลยจบลงด้วยการที่ผมกับเจ๋งไปกินข้าวกับพวกบีมจากนั้นมันก็มาส่งที่บ้าน ตอนแรกจะไม่ให้มาอยู่แล้ว เพราะว่าบ้านผมอยู่ไกลจากมอมาก แต่ไอ้คนดื้อก็ยังรั้นจะมาส่งจนได้

ผมก็ห่วงมัน ขับรถกลับบ้านกลางค่ำกลางคืน อันตรายจะตาย

“เฮีย ใจคอจะนอนเป็นผักเหี่ยวอยู่อย่างนี้?” ผมละสายตาจากทีวีแล้วเงยหน้ามองน้องสาวสุดที่รักของตัวเองยืนเท้าสะเอวจ้องผมไม่วางตา

หลังจากตื่นนอนผมก็มานั่งกินข้าวเช้าพร้อมกันสามคนพี่น้อง ก่อนเฮียครามจะไปทำงาน แล้วก็มานอนโง่ๆ ดูการ์ตูนอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น จนเผลอหลับไปอีกรอบ รู้สึกตัวอีกทีก็บ่ายสองกว่าแล้ว

“เฮียเหนื่อยล้าอ่อนแรงมากเลยหนู เมื่อวานเฮีย-”

“พอๆ ไม่อยากฟัง” เจ้าฟ้าใสยกมือห้าม ไม่ให้ผมพูดอะไรต่อ ขมวดคิ้วมองหน้ากันสักพัก แล้วเจ้าตัวก็ลงมานั่งที่โซฟากับผม

“เมื่อวานใครมาส่ง”

“เพื่อนอะ”

“คนนี้ไม่เคยเห็น”

“ละ...แล้วรู้ได้ไง” ผมเกร็งมือกำรีโมตทีวีแน่นขึ้น จ้องการ์ตูนที่ฉายบนโทรทัศน์ พยายามไม่สนใจวายตาของฟ้าใสที่มองมาอย่างไม่ลดละ

บีมเพื่อนเฮียเฉยๆ เลย จริงจริ๊ง

“ก็ได้ยินเสียงรถ เลยมองลงมาก็เจอเฮียกับพี่เขาอยู่หน้าบ้าน”

“ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน วู้”

“อย่าเฉไฉซิ”

“ก็เพื่อนไงค้าบ น้องค้าบ”

“เหรอ”

“อือๆ” ใสยังคงจ้องมาที่ผมอย่างพินิจพิเคราะห์ ทำเอาเหงื่อแตกพลั่กๆ เตรียมจะลุกหนีไปที่อื่น แต่ก็โดนจับได้ซะก่อน

“อย่ามาหนีกันนะ”

“เฮียเปล่า หิวหรอก ว่าจะไปหาไรกิน”

“พี่คนนั้น...เขาเป็นคนดีรึเปล่า” ผมชะงักเล็กน้อยกับคำถามของน้องสาว ใบหน้าสวยมีแววความกังวลเจืออยู่จางๆ

“อ่า...คนนี้ไว้ใจได้นะ” ผมส่งยิ้มกลับไปให้พลางลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู แย่เลย ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว

“วันหลังพามารู้จักด้วย” ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ แล้วตัดสินใจเอนตัวนอนหนุนตักนิ่มของน้องซะเลย

“หนัก!”

“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าใส วางใจเถอะ” ผมซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องเรียบของน้องอย่างเอาใจ ฟ้าใสถอนหายใจยาว ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสบริเวณศีรษะที่ลูบไปมาอย่างอ่อนโยน

“น้องห่วง กลัวเฮียจะไปมีเพื่อนเหมือนตอนนั้น”

“ไม่มีทางอีกแล้วล่ะ เฮียสัญญากับใส เฮียคราม แล้วก็เตียกับม๊าแล้วน้า ไม่ต้องกังวลนะเจ้าหนู” เป็นเรื่องปกติที่น้องสาวจะเป็นห่วงการคบเพื่อนของผม จำได้เลย ครั้งนั้นพาไอ้เจ๋งกับแก๊ปมาบ้าน พวกมันโดนฟ้าใสซักจนพรุน ผมโคตรขำกับท่าทางเพื่อนตัวเอง โดนเจ้าใสจ้องจนหงอเลย ฮ่าๆ



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr


“เฮีย มีคนโทรมา” เสียงฟ้าใสเรียก โอ๊ย คนกำลังเคลิ้มๆ

“รับให้หน่อย บอกเขาว่าเฮียง่วง” ผมพึมพำตอบแล้วหลับตาลง

“ฮัลโหลค่ะ”

“น้องเฮียมุ่ยค่ะ”

“เฮียง่วงอยู่ค่ะ...”

“อ๋อได้ค่ะ”

“เฮีย พี่เขาจะคุยด้วย” เจ้าใสยื่นโทรศัพท์มาแนบหู ผมจึงลุกขึ้นนั่งรับสายอย่างเสียไม่ได้

“ใครเนี่ย...ไม่ว่างอะ จะนอน” ผมกรอกเสียงลงไปอย่างสะลึมสะลือ

(น้องมุ่ย ไปถ่ายรูปกัน) เสียงคุ้นๆ แฮะ

“ไม่ไป...”

(แต่งตัวนะ เดี๋ยวไปรับ)

“ก็บอกว่าไม่ไง” หงุดหงิดแล้วนะโว้ย

ผมผละโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะดูว่าปลายสายคือใคร ตัวอักษรที่ปรากฏทำเอาผมตื่นเต็มตา


บะ...บีม


“บีม...”

(ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ อีกครึ่งชั่วโมงนะ)

“ดะ...เดี๋ยว บีมจะชวนไปไหน”

(ไปถ่ายรูปกัน) น้ำเสียงนุ่มทุ่มฟังดูกระตือรือร้น จนผมงงไปหมด

“ห้ะ...เดี๋ยว กูงง ชวนกูไปถ่ายรูป...เหรอ?”

(อ่า ใช่ ความจริงแค่คิดถึง อยากเห็นหน้า แต่กลัวน้องมุ่ยไม่ยอมออกมาเจอกัน เลยหาข้ออ้างเฉยๆ)


คะ...คะ...คิดถึง


“เฮียเป็นอะไร ทำไมหน้าแดง”

“ฮะ...เฮีย...”

“ดูลอยๆ นะ โอเคไหมเนี่ย” ฟ้าใสยกมือขึ้นทาบหน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ แต่ตัวผมแข็งไปแล้วตอนนี้ กูไม่รับรู้อะไรทั้งน้านนน

“ก็ไม่ร้อนนี่ เฮ้อ เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้ดื่มละกัน” น้องเดินจากไปแล้วเหลือแค่ผมกับโทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้นแนบหูอยู่อย่างนั้นและคนอีกฝั่งก็ยังไม่ตัดสายไป

(ฮึๆ เขินด้วยแฮะ)

“...”

(อยากเห็นจัง หน้าต้องแดงมากแน่ๆ ตัวแข็งแล้วใช่ไหมไอ้เด็กกาก ตาโตขึ้นด้วย) เสียงปลายสายฟังดูหยอกล้ออย่างขบขัน แต่ผมก็ไม่มีสติสตังที่จะตอบกลับไป

(เจอกันครับ)


...วางสายไปแล้ว


ง่า...


ง่าาาาาาาาาา!


.

.


“ไหนบอกพามาถ่ายรูป” ผมหรี่ตาจ้องมองคนขับรถที่พามาจอดอยู่หน้าร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งอย่างจับผิด

ร้านอยู่ไกลมากเลยครับ พอนับจากตัวเมืองมาแล้วก็ถือว่าไกลอยู่พอสมควร ยิ่งจากมอผมไม่ต้องพูดถึง ยิ่งจากบ้านผมแล้ว ก็ลืมไปได้เลย

“ที่นี่แหละ” บีมหันมายิ้มให้กับผม ดวงตาวิบวับเป็นประกายทำผมรู้สึกจักจี้แปลกๆ จึงต้องหันหน้าหนี

“มั่วเปล่าวะ พากูมาหลอกขายใช่ไหม ฮึ” ผมแกล้งทำเสียงฮึดฮัดกลบเกลื่อนความจักจี้

“อย่างน้องมึงนี่ขายได้ราคาด้วยเหรอ”

“อ้าว พูดจาหาเรื่อง บ่ากั๋วโดนเต๋ปากบ๋อ”

“ปะ ลงไปกัน”

“เฮอะ!”

“เร็ว เดี๋ยวเลี้ยงเลยเนี่ย หาอะไรรองท้องก่อน เดี๋ยวไม่มีแรง”

“เฮอะ!” ผมสะบัดหน้าหนี แต่ก็ยอมลงจากรถแล้วเดินตามมันไปอย่างเงียบๆ


นี่แน่ะๆ


เหยียบเงามัน


เหยียบๆ


นี่แน่ะๆ


สมน้ำหน้า หัวดำเลย ฮ่าๆ


“น้อง มึงทำอะไร...” บีมหันกลับมาในจังหวะที่ผมยกเท้ากำลังซ้ำเงามันพอดี คนตัวสูงเลิกคิ้วทำหน้างง ผมก็ค้างอยู่ท่านั้นขยับไม่ได้เพราะโดนจับได้กระทันหัน

“เอ่อ...”

“อ่า...กูเข้าใจแล้ว”

“...อะไร”

“เล่นเป็นเด็กเลยเว้ย ฮ่าๆ รีบเข้าร้านเร็ว ข้างนอกมันร้อน มานี่มา” บีมส่ายหัวเบาๆ กับความเหี้ยมโหดของผมแล้วกวักมือเรียกให้เดินตามเขาไป


ฮึ่ย


ผมวางเท้าลงดังเดิมแล้วเดินกระแทกตามหลังบีม เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดใจ หลังจากบีมวางสายไปก็ได้แต่นั่นนิ่งนานหลายนาทีจนน้องเข้ามาทัก ผมถึงรู้สึกตัว มันทำกูจะเป็นบ้า...


ทำไมต้องมาชวน...

ทำไมต้องมารับมาส่ง...

ทำไมต้องมาพูดจา...แปลกๆ


แล้วที่ยอมออกมาด้วยกันก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ สงสารคนแถวนี้จะคะ...คิดถึงตายเฉยๆ หรอก ถือว่าออกมาเที่ยวเล่น นี่ไง เดี๋ยวจะได้กินขนมฟรีอีกละ ดีจะตาย

“สวัสดีค่ะ เชิญค่า” พนักงานส่งเสียงต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อเราสองคนเดินเข้าร้านมา

บีมเข้าใจเลือกร้านแฮะ บรรยากาศดีจัง

ผมชอบอะไรที่มันสะอาดตา ซึ่งร้านนี้เป็นอย่างนั้น ภายในตกแต่งด้วยความโมเดิร์น เน้นสิ่งของน้อยชิ้น แต่จัดวางอย่างลงตัว สีขาวของผนังเชื่อมกันกับสีน้ำตาลอ่อนเข้มต่างกันไปของเฟอร์นิเจอร์และตัดกับสีเขียวของใบไม้

ผมว่าเจ้าของต้องชอบต้นไม้ใบหญ้ามากๆ แน่เลย ลองมองดูรอบๆ แล้วค่อนข้างจะมีต้นไม้เยอะแยะอยู่ทีเดียว แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอะไร กลับกันมันดันให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นกาแฟกับกลิ่นสะอาดๆ ช่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี

เป็นโชคดีด้วยที่ตอนนี้ในร้านคนไม่ค่อยเยอะ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด

ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ทำไมไม่เคยเห็นร้านนี้วะ

“บีมรู้จักร้านนี้ได้ยังไง” ผมถามขึ้นหลังจากที่เราเดินมานั่งที่โต๊ะเรียบร้อย

“บูมันแนะนำมา”

“อ่อ” ไอ้น้องบูหาโลเคชั่นเก่งจัง ผมว่าน้องมันต้องมาเก็บภาพภายในร้านนี้แล้วเรียบร้อยแน่ๆ

“ไม่ถ่ายรูปเหรอ”

“จะกินก่อน ค่อยถ่าย” ผมว่าอย่างนั้น แล้วรับเมนูมาจากพนักงาน

“อันนี้...เลี้ยงกูปะ?” ผมยกเมนูขึ้นบังใบหน้าไว้ เหลือเพียงแค่ดวงตาที่จ้องมองบีม ไอ้คนหล่อเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผม ก่อนจะวางเมนูลงกับโต๊ะแล้วยกแขนขึ้นเอามือเท้าคางไว้ มองหน้าผมยิ้มๆ

“...อืม”

“กูเหมาหมดร้านเลยนะ?”

“เอาสิ...”

“จริงจัง?”

“ใช่ โดยเฉพาะเรื่องน้องมุ่ย กูจริงจังเสมอ”

มันมาอีกแล้วครับ ให้สายตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมา ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนเล่นงานจนเข่าทรุด เพียงแค่สบตากับเจ้าหมีบีม

เหมือนตัวจะระเบิดเลย...

“โว้ะ!”

“หึๆ”

“โทษนะครับ ผมเอาแพนเค้กเพิ่มวิป แล้วก็ช็อคโก้มินท์ อืมๆ เอายูนิคอร์นชีสพายด้วย” ผมหลบตาบีมแล้วรีบพูดรายการของหวานที่อยากกินให้พนักงานจดออเดอร์ทันที พลางยกเมนูขึ้นปิดหน้าตัวเองทั้งหมด แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้คนบ้าอยู่ดี

“สั่งมาแล้วกินไม่หมด อยู่ช่วยเขาล้างจานนะน้อง” บีมไม่สั่งอะไรนอกจากชาเขียวเย็นแก้วเดียว ผมรอจนพนักงานร่ายรายการอาหารเสร็จแล้วเดินห่างออกไป ก็รีบพูดกับมันทันที

“บีมก็ช่วยกินดิวะ”

“ไม่ไหวมั้ง”

“กูก็ไม่น่ากินหมด มึงไม่ได้สั่งอะไรหนิ ช่วยกูเลย” ผมมองหน้าบีมอย่างเอาเรื่อง แต่มันไม่ได้พูดอะไร ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็จ้องมาที่ผม

“อะ...อะไร” ตะกุกตะกักเลยกู

“ร้านนี้มีสวนข้างนอกด้วยนะ”

“หือ จริงเหรอ” ผมตาโตทันที แสงกับสวน เป็นอะไรที่ดีต่อใจผมมากจริงๆ

“ใช่ ถึงได้บอกไงว่าพามาถ่ายรูปเล่น”

“ไม่อยากถ่ายมึง”

“จริงปะ?”

“ไม่จริง กูโกหก”

“เอ้า ฮ่าๆ”

“ทะ...ทำไมไม่ชวนเพื่อนมาด้วยอะ” ผมถามในสิ่งที่คาใจตั้งแต่ขึ้นรถจนมาถึงที่นี่

“มาเดท ใครเขาจะมากับเพื่อน” บีมตอบสบายๆ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น


ดะ...เดี๋ยวนะ!?


“เมื่อกี้มึงว่าไงนะบีม กูฟังไม่ทัน”

“พาน้องมุ่ยมาเดท”

“ห๊า!” ผมผุดลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ พลางชี้หน้าบีมขึ้นลง ปากก็อ้าๆ หุบๆ พูดอะไรไม่ออก

“นั่งลงก่อนน้องมึง คนในร้านตกใจหมดแล้ว” บีมไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนแต่อย่างใด แค่จับมือผมแล้วกระตุกให้นั่งลงตามเดิม มีแค่ผมที่ยังคงอ้าปากหวอ อึ้งค้างอยู่อย่างนั้น


เดท!


เดททททท!


เดทกับโพ่งงงงงงงงง


“ยะ...อย่ามาพูดมั่วๆ นะบีม กูฟ้องจริงๆ ด้วย” หัวใจมึงหยุดก่อน เต้นแรงไปแล้ว มึงหยุด มึงหยู้ดดด!

“ฟ้องใคร มุ่ยจะฟ้องใครครับ หืม?”

“สคบ. อบต. อบจ. มอก. สส. สว. กูจะฟ้องให้หมด!” สมองผมรวนอย่างหนัก พูดอะไรออกไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า กูอยู่ไม่ได้แล้ว!

“ฮ่าๆ ๆ ๆ โอ๊ย น้องมึง โอ๊ยกูขำ ฮ่าๆ”


ฟึ่บ!


“ฮ่าๆ น้อง...จะไปไหน” ผมเดินลิ่วหนีบีมออกมาอย่างไม่สนใจใคร รู้ตัวอีกทีก็มายืนกุมอกข้างซ้าย หอบหนักๆ อยู่ภายในสวนเล็กๆ ของร้าน

ดีนะที่ไม่มีใครออกมานั่งนอกร้าน


เฮ้อ


ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะวางแขนเท้าลงกับโต๊ะเล็กๆ เพื่อพยุงตัวเองไว้ไม่ให้ล้มจากอาการที่เป็นอยู่


ตึกตักๆ


ไอ้เชี่ย! เต้นแรงหากิ้บหาหวีเหรอ! ไอ้หัวใจไม่รักดี!


ตึกตักๆ


“น้องมุ่ย...”

“หยุด! ไม่ต้องเข้ามานะ!”

“เขินแรงขนาดนั้นเลยเหรอ แค่พามาเดทเอง” บีมหยุดยืนอยู่ห่างจากผมไม่ถึงสามก้าว เจ้าตัวยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนโยนระคนเอ็นดู


มึงไม่ต้องมาเอ็นดูกู๊ว


ม่ายยย


“บีม...กู...ไม่ๆ มันต้องไม่ใช่แบบนี้”

“น้อง...”

“หยุดๆ ก้าวมาอีกก้าวเดียวกูทุบหลังแบะแน่” ผมกำหมัดขึ้นขู่ เมื่อเห็นว่าบีมกำลังจะเดินเข้ามาใกล้

“เป็นอะไร เขินอะไรขนาดนั้น หืม?”

“กูขีดเส้นไว้แล้วบีม...อย่าข้ามมา” ผมพึมพำกับตัวเอง กัดริมฝีปากล่างแน่นขึ้นเมื่อความสับสนพุ่งตรงเข้ามาอย่างจัง

ทำไมบีมถึงพูดแบบนั้น

โอเค ก็แค่คำว่าเดท ใช่ แต่สายตาบีมมันไม่ใช่แค่นั้น

ผมรู้ ผมเข้าใจทั้งหมด เข้าใจว่าบีมต้องการจะสื่ออะไรให้ผมรู้

แต่ผม...ยังไม่พร้อม

ผมทั้งสับสน งง หัวหมุนไปหมด เหมือนเล่นรถไฟเหาะมาสิบรอบ

“...”

“กูอะชอบน้ำตาล มึง...มึงอย่ามาแกล้งกูนะ” รู้สึกได้ถึงขอบตาร้อนผ่าว ไม่ๆ อย่าไหลนะเว้ย

“...”

“อย่า...เด็ดขาดเลย” ผมก้มหน้าลงอย่างหมดแรง ดีที่ไม่ทรุดลงไปกับพื้นหญ้า ไม่งั้นตูดเปียกแน่ รู้สึกเหมือนเขาเพิ่งจะรดน้ำสนามหญ้าด้วยอะ ฮือ

“...น้องมุ่ย”

“ไอ้บีม..ไอ้บ้า...” ผมตีเข้าที่ต้นแขนบีมหลายครั้งเมื่อมันไม่ฟังคำพูดผมแล้วเดินเข้ามาจนชิดกัน มือหนาพยายามจะเชยคางผมขึ้น แต่ผมหันหน้าหนีไม่ยอมที่จะสบตาด้วย

“ชอบมึงนะ น้อง”

“บีม อย่าพูดดิ” กูบอกว่าอย่า ไอ้สลัดผัก ไอ้หมีเน่า ไอ้บ้า

“กูรู้นะว่ามึงรู้ตั้งแต่แรกๆ แล้วด้วย”

“ไม่...”

“แกล้งทำกวนตีนไปอย่างนั้นอะมึงอะ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ ว่าชอบ” เมื่อมันเห็นผมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง บีมเลยจับคางผมหันซ้ายขวาไปมาเหมือนจะหยอกเล่น

“ชอบจังเลยคนนี้”

“ไอ้คนเหี้ย...”

“เอ้า ด่ากูเฉย” ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กะว่าจะทำหน้าโหดให้บีมมันกลัว แต่พอได้สบตากันในระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบแบบนี้แล้ว....


มุ่ยเอาไม่อยู่เลยแม่


ง่าาาาาาา


“จะร้องไห้รึไง” บีมยกมือขึ้นใช้นิ้วเกลี่ยหางตาเบามือ แล้วผละออกไปจับมือผมทั้งสองข้างที่กำไว้แน่น ยกขึ้นมาจรดริมฝีปากอย่างแผ่วเบาบริเวณข้อนิ้ว กดจูบย้ำๆ ซ้ำๆ อย่างนั้น จนผมอายแทบจะระเบิด

“มึงทำกูเขิน จนน้ำตาไหล”

“เดี๋ยวจะทำให้เขินมากกว่านี้อีก”

“อะไร- อื้อ!” แค่นั้น ยังไม่ทันพูดจบประโยค บีมก็ฉวยโอกาสกดจูบลงมากับปากผมอย่างรวดเร็ว ตาผมเบิกกว้างจนเกือบถลนกับการกระทำของบีม

สัมผัสนุ่มนิ่มไล้วนรอบริมฝีปากอย่างเอาใจและปลอบโยน บีมกดย้ำบริเวณมุมปากผมทั้งสองข้างเหมือนจะแกล้งกัน แล้วค่อยๆ ละออกมา

“เปิดปากหน่อย”

“บีม กู-” แค่อ้าปากจะพูดก็เหมือนพ่ายแพ้แล้วทุกสิ่ง เจ้าของลมหายใจกลิ่นมินท์ใช้โอกาสนั้นประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง และครั้งนี้ทำเอาผมตาแทบหลุดออกจากเบ้า เพราะเขาสอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดพันเล่นกับลิ้นของผมอย่างหยอกล้อ และไล้เลียตามโพรงปากทุกซอกทุกมุมเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ขณะที่ผมยังอึ้ง ไม่สามารถสั่งการอวัยวะส่วนไหนของตัวเองให้ขยับได้เลย เหมือนเครื่องดับไปซะอย่างนั้น

จากความอ่อนหวานกลายเป็นสัมผัสที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของคนตัวสูงกว่า บีมใช้ฟันขบปากล่างผมเหมือนกับเคี้ยวเยลลี่ เนิ่นนานกับการจูบนี้ จนผมรู้สึกเหมือนอากาศกำลังจะหมดปอด ได้แต่ใช้ฝ่ามือตีแรงๆ เข้าที่แผ่นอกตัวต้นเหตุ บีมถึงได้ผละออก ยังไม่วายยังมองมาที่ปากของผมพลางเลียริมฝีปากตัวเองด้วยท่าทางเสียดาย

“นิ่มเหมือนเยลลี่เลย...”

“อะ...”

“ทำยังไงดีอยากกินอีก”

“อะ...”

“ขออีกแล้วกันนะ”

“อะ...”

“เนอะ : ) ”





************************

น้องโดนหมีกินปาก ฮ่าๆๆ

สารภาพว่าเขียนฉากเข้าคู่พระนายช่างยากยิ่ง เหนื่อยมากๆโลย

เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะค้าบบบ รักๆ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
บีมมม เดี๋ยวก๊อนนนนน ใจเย๊นนนนน นี่ร้านขนมไงงงง กลับบ้านก่อนค่อยฟัดน้องงงงงงง

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 19
ทำไมต้องรู้สึก



“มึง เดี๋ยวเอาเลคเชอร์กูไปลอกแล้วกันนะ”

“อือ...”

“ภาษาไทยมันก็ไม่มีอะไรมาก มึงก็ใช้เซ้นส์เอา”

“อา...”

“กลางวันนี้กูจะไปกับเต้ ไม่ได้อยู่กินข้าวกับพวกมึง”

“อือ...”

“ไอ้มุ่ย”

“หื้อ...”

“ไอ้เชี่ยมุ่ย!”

“อะ เออ ว่าไง มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจกับเสียงเรียกของไอ้โป้ ชิบหายเรียกซะดัง ดีนะอยู่ในระหว่างเบรก คนอื่นๆ เลยไม่ได้สนใจพวกผม

“มึงเหม่ออะไรของมึงวะ กูเห็นนั่งลูบปากตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ”

“กูมีเรื่องนิดหน่อยว่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้โป้ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด

“ไอ้สัด นี่มึงไปสะดุดตีนใครมาอีก คราวก่อนยังไม่เข็ดอีกหรือไง กูตามไปเคลียร์ให้ตลอดไม่ได้นะโว้ย” ไอ้โป้โวยวายทันทีทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ ฟังกูก๊อน

“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย หมายถึงมีเรื่องให้คิดอะ” ผมเลียริมฝีปากอย่างประหม่า ผมควรจะปรึกษากับมันดีไหมวะ ตะ...แต่ผมเขิน



หลังจากที่บีมฉวยโอกาสกินปากผม นานหลายนาที กินย้ำๆ ซ้ำอยู่อย่างนั้นจนแทบหายใจไม่ออก มันก็เห็นใจ หยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้น พอผละออกจากกันผมเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ลาลาลอยละลิ่วเลยครับ ตัวแข็งเป็นหินเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต จำได้ว่าบีมพาผมกลับเข้าร้านแล้วนั่งกินเค้กต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



“กินเลอะแล้ว” เจ้าของนิ้วเรียวเอื้อมมาเช็ดมุมปากให้ผม ใบหน้าหล่อยิ้มให้อย่างอ่อนโยนติดจะล้อๆ นัยน์ตาพราวระยับเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ

“หะ”

“น้องมึงลอยไปไหนวะ ฮัลโหลมุ่ยยังอยู่ไหม ตอบพี่ที”

“...กู มึง จูบ...”

“ตกใจเหรอ อย่าบอกนะว่าจูบแรก”

“บีม...”

“อ่า...ครั้งแรกจริงด้วย”

“...”

“ดีใจจัง”




เราสองคนยังนั่งกินเค้กกันต่ออย่างงงๆ จนหมด บีมก็พากลับไปส่งที่บ้าน ไม่วายยังเอาปากมาชนกันอีก ด้วยความตกใจผมจึงทุบมันไปสองอั้ก บีมก็เอาแต่หัวเราะจนตัวงอ แต่ผมนี่ดิ วิญญาณที่ใกล้จะกลับเข้าร่างแล้วดันกระเด้งลอยไกลออกไปอีก


ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ผมมานั่งเรียนวิชาภาษาไทยอย่างงงๆ ในช่วงเช้า ตั้งแต่เริ่มเรียนมาไม่ได้เข้าหัวสักอย่างเลยครับ มัวแต่คิดเรื่องเมื่อวาน


มันจูบทำไม


เพราะอะไรทำไมถึงจูบ


ชอบ...เหรอ?


ทำไมชอบล่ะ


“โว้ย! มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย” ดึงทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง

“สรุปเป็นเหี้ยอะไร” ผมหันหน้าไปหาไอ้โป้ทั้งที่ยังฟุบอยู่ มันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“ถ้ารู้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ ไม่งั้นกูขอให้ไอ้พี่เต้มีเมีย”

“เออ สักทีเหอะ”

“คืองี้ กูอะนะ...”

“อ่า”

“...แบบกู”

“เออ ว่าไง”

“คืองี้เว้ย กูอะ...”

“ไอ้ชิบหาย วันนี้กูจะฟังมึงรู้เรื่องไหม แผ่นสะดุดเหรอสัด โค้ะ!”

“โว้ย! จะให้กูพูดว่าเมื่อวานบีมมันจูบกูรึไงล่ะ ไอ้สัดโป้!” ผมดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะแล้วโพล่งออกไปอย่างไม่ทันคิด

“ห้ะ?”

“อุ้บส์...” ชิบหาย

“มุ่ย...นี่มึง” ทั้งผมและไอ้โป้ต่างตกใจกันทั้งคู่ มันอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่เหมือนจะพูดไม่ออก ผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าแหย ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน

“มึงมากับกู”

“เห้ยจะไปไหน หมดเบรกแล้วไอ้สัด” ผมว่าอย่างงงๆ เมื่อจู่ๆ ไอ้โป้ก็ลุกขึ้นแล้วคว้าขอมือผมให้เดินตามมันไป เจออาจารย์เดินสวนมาพอดี แกทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมจึงผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ สะกิดไอ้โป้ด้วยแต่มันก็ไม่สนสี่สนแปดใดๆ เอาแต่ลากแล้วก็ลากผมออกจากห้องเรียน

“เออ มาก่อน”

“เอ้า”



.

.



“ลากกูออกมาที่นี่เนี่ยนะ”

“อาจารย์เข้าแล้ว มึงจะคุยกันในห้องให้คนอื่นได้ยินหรือไงล่ะ” โป้ว่าพลางจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็คแล้วอัดเข้าปอดหนักๆ ก่อนจะพ่นออกมา มันพาผมมาแถวๆ ซอกหลืบของอาคารเรียน ดูก็รู้ว่าเป็นที่ๆ เหล่านักศึกษาแอบมาสูบบุหรี่กัน มอเรามีที่วังเวงแบบนี้ด้วยเหรอวะ

“กูจะบอกพี่เต้นะ” ผมเคาะหน้าจอโทรศัพท์เป็นเชิงเตือน

“กูลดอยู่ อาทิตย์นี้กูเพิ่งได้สูบ” มันนั่งยองๆ ลงกับพื้น ผมเลยนั่งลงตามบ้าง

“มะเร็งแดกตายเหอะไอ้สัด”

“คนอย่างมึงมีสิทธิว่ากูด้วยเหรอ” โป้เลิกคิ้วถามอย่างกวนๆ ผมเลยส่งนิ้วกลางไปให้อย่างหมั่นไส้ เลิกนานแล้วเหอะ

“ประเด็นคือมึงกับพี่บีมจูบกัน?” ไม่พูดพร่ำทำเพลงมันก็ถามออกมาทันที ทำเอาผมสะดุ้งโหยงอย่างไม่ทันตั้งตัว

“บีมเคยบอกกับกูว่าชอบมึง” ปล่อยให้ควันอบอวลอยู่ได้สักพัก มันก็พูดขึ้น

“กู...เชี่ย แม่ง กูไม่รู้ว่ะ”

“กูดูแล้วเขาน่าจะชอบจริงว่ะ สายตาแม่งเหมือนตอนไอ้ศรันย์มันมองมาที่มึงเมื่อก่อน” ผมก้มหน้าลงมองที่ข้อมือตัวเองข้างเดียวกับที่ช้ำพลางลูบไปมาอย่างเลื่อนลอย

“เกี่ยวอะไรกับไอ้ห่านั่น” ผมเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ไอ้เวรนี่ก็อีกคน ยังเคลียร์กันไม่รู้เรื่อง

“เอ้า ก็มันชอบมึง”

“เออ...”

“หึ”

“ดูเหมือนกูทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยว่ะ ก็แค่จูบเอง ใช่ปะ” ผมใช้นิ้วเขี่ยกับพื้นไปมา จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

“สำหรับกูก็ใช่ แต่เรื่องแบบนี้มันเทียบกันไม่ได้รึเปล่า”

“...”

“คิดดีๆ ไอ้มุ่ย กูไม่อยากให้มึงเสียใจหรอก”

“กูโง่ว่ะโป้ กูไม่รู้เหี้ยไรเลยอะ ถึงได้เป็นงงอยู่อย่างนี้ไง” ผมดึงขาตัวเองเข้ามากอดแล้วซบลง สมองตอนนี้วุ่นวายไปหมด รวมไปถึงหัวใจที่แค่เอ่ยคำว่าบีมก็เต้นผิดจังหวะแล้ว

“มึงรีบตัดสินใจเร็วๆ ไม่งั้นมึงจะเจ็บ”

“ตอนนี้กูก็เจ็บ”

“...”

“จูบกูเพราะชอบเหรอ ทำไมถึงชอบล่ะ แล้วการชอบใครคนหนึ่งมันเป็นยังไง ถ้ากูชอบบีมกลับแล้ววันหนึ่งกูเลิกชอบล่ะวะ”

“...”

“มันยากสัดๆ กูไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง”

“สักตัวไหม?” เงียบนานหลายนาที โป้มันก็ยื่นซองบุหรี่มาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วล้วงหยิบหมากฝรั่งในกระเป๋ากางเกงมากินแทน

“ไม่อยากเจอหน้าบีมเลย...”

“กูก็อยากจะอธิบายช่วยนะ แต่เดี๋ยวมึงไม่อิน เรื่องอย่างนี้ถ้าคิดได้ด้วยตัวเองแล้วแม่งจะรู้สึกอเมซิ่งสัดๆ กูลองมาแล้ว” รอยยิ้มบางของโป้ผุดขึ้นเมื่อนึกถึงใครบางคน ผมมองมันอย่างเซ็งๆ รู้ดีเลยแหละเรื่องระหว่างมันกับพี่เต้ ดราม่าชิบหาย น้ำตาไหลท่วมจอแล้ว กว่าจะผ่านกันมาได้จนทุกวันนี้ เสียไปกี่หยดแล้ว


หมายถึงเลือดอะ


“ยากไหมวะ”

“เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน”

“ก็นะ...มึงมันก็เคยเป็นคนโง่เหมือนกู ดีนะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมมันแรงๆ อย่างนึกสนุก

“สัด” มันผลักหัวผมอย่างหมั่นไส้

“เออๆ กูคิดเองก็ได้วะ เฮ้อ” ผมถอนหายใจยาวพลางดันตัวเองให้ลุกขึ้น เตรียมจะเดินกลับออกไปแต่โป้มันก็พูดขึ้นมาซะก่อน

“เดี๋ยวจะช่วยสักหน่อยแล้วกัน”

“หือ”

“ได้ข่าวว่าไอ้ศรันย์โดนซ้อมมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมชะงัก

“แล้วมันเป็นยังไงบ้าง”

“ช่างหัวแม่งสิไอ้สัด สมน้ำหน้า” รอยยิ้มเย็นผุดขึ้น มองเข้าไปในแววตามันจะเห็นไฟลุกโชนไม่เหมือนกับกายหยาบที่สงบนิ่งอยู่แบบนี้

“บอกกูทำไมล่ะ” อันนี้ที่กูงง

“ก็มันชอบมึง ลองไปคุยกับมันดู เผื่อจะเก็ท” แล้วถ้ากูไปเยี่ยมมันจะไม่ดูประหลาดเหรอวะ ศัตรูไปเยี่ยมศัตรู เหอๆ

“แปลกนะเนี่ย ให้กูไปง่ายๆ ไม่ใช่ตามไปกระทืบศรันย์ทีหลังหรอกนะ”

“หึ”

“เออๆ เดี๋ยวเย็นนี้กูไปหามัน”



.

.

.



“เป็นไงเป็นกันวะ”

ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมือง เกือบตายเดี่ยวแล้วไหมละครับ เมื่อครู่เห็นพวกเพื่อนศรันย์เดินออกจากห้องมาพอดี ดีนะผมหลบทัน ไม่งั้นล่ะยาวเลย

“หายใจเข้าพุธ...หายใจออกโธ” ฟู่ว

“ขอให้มันช่วยได้จริงๆ เถอะ” ผมพ่นลมออกจากปากให้ตัวเองรู้สึกไม่กดดัน มือกำลูกบิดประตูแน่น ก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้าไป



“ไง...” ผมส่งเสียงทัก ตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้หลับอยู่ แหงล่ะ เพื่อนเพิ่งออกไปได้แป้ปเดียวกูก็เข้ามาเลย

ผมเหวอกับสภาพของศรันย์ หนักใช่เล่นนะเนี่ย แขนข้างซ้ายหักต้องดามเฝือก พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นรอยช้ำตามแขนขาที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา แผลบนใบหน้ามีคิ้วกับปากที่แตก


เหี้ย มันไปเหยียบตีนใครมาวะเนี่ย


“เอ่อ...” ผมทำหน้าไม่ถูกกับสายตาที่ศรันย์มองมา ได้แต่ยืนมองไปรอบห้องพลางลูบหลังคออย่างเขินๆ

“หึ” มันหันหน้าหนีผมอะ ไอ้สัด เมินกูได้ไง

“เป็นไงบ้างล่ะมึง ได้ข่าวไปมีเรื่องมา” ผมทำใจกล้าเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง แล้ววางถุงเยลลี่ไว้บนโต๊ะ ทำไมตอนจะตีกับมันกูไม่เห็นประหม่าขนาดนี้เลยวะ วิ่งเข้าหาอย่างเดียวไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วดูตอนนี้ดิ ผมดันเกร็งขึ้นมาซะอย่างนั้น

“ยังไม่ตาย” มันพูด แต่ก็ยังไม่มองหน้าอยู่ดี

“อ๋อเหรอ...” ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงเข้าใจ ผมนั่งกำแบมือที่ชื้นเหงื่ออย่างไม่รู้จะเริ่มยังไงดี โอ๊ย! อึดอัดแต๊ว่า

“มาทำไม” ระหว่างเราที่เงียบลงนานหลายนาที ศรันย์ก็เอ่ยปากขึ้นถาม

“หันมาคุยดีๆ ดิ้ มารยาทรู้จักเปล่า” กวนตีนก่อนน่าจะดี เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ผมรู้ผมเรียนมา

เจ้าของร่างที่นอนแบบอยู่บนเตียงถอนหายใจออกมาเหมือนเบื่อหน่าย แล้วค่อยๆ หันกลับมามอง

“โห ฟัดกับหมามาเหรอวะ หน้าตาดูไม่ได้” พอได้เห็นในระยะใกล้กว่าเดิม ก็รู้สึกได้ว่าแผลหนักอยู่พอสมควร ไอ้เหี้ย หมาทั้งฝูงรึเปล่าเนี่ย

แผลภายนอกว่าเยอะแล้ว ไม่รู้ข้างในจะหนักแค่ไหน คนทำแม่งโหดจัด

“เหอะ” ศรันย์แค่นหัวเราะ ราวกับเรื่องที่ผมถามมันช่างตลกสิ้นดี มันมองตรงมาที่ผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แล้วเสมองถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

“ถุงอะไร”

“ของเยี่ยมมึงไง เยลลี่หมี”

“กูคงแดกได้หรอกนะ น้องมุ่ย” คนเจ็บพยายามจะพยุงตัวขึ้น ผมจึงลุกช่วยปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย วางหมอนให้ศรันย์พิงได้ถนัด

“แล้วตกลงมาทำไม”

“มาดูว่ามึงตายรึยัง จะได้เตรียมจัดงานให้” ผมยักคิ้วให้อย่างกวนๆ

“สัด”

“เอ้า เรื่องจริงทั้งนั้น” ผมแกะถุงเยลลี่แล้วหยิบเข้าปากทีเดียวสามอัน ความหวานของน้องๆ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างมาก

“ของเยี่ยมกูรึเปล่า”

“กูคนซื้อ กูจะกิน มึงจะทำไม”

“จะมากวนก็กลับไป เหนื่อยจะเถียงด้วย” แน๊! ทำเป็นเมิน

“เห็นไอ้โป้บอกว่ามึงเข้าโรง’ บาลอาการสาหัส เลยจะมาดูใจก่อนมึงตาย เอ้า ก็ยังอยู่ดีนี่หว่า”

“เฮ้อ” ศรันย์ทำหน้าเหมือนรำคาญผมเต็มทน แต่ด้วยสังขารที่เดี้ยงแบบนั้น ทำให้ไม่มีแรงลุกขึ้นมาเตะไล่ผม เจ้าตัวก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างจนใจ

“ไปเหยียบตีนใครมา ถามจริง”

“จำเป็นต้องบอก?” ทำมาเล่นตัว ไอ้เวร

“เออ”

“กูไม่ได้เหยียบตีนใคร...”

“แล้ว” ผมเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วเพราะรู้สึกหวานคอเกินไป

“ผัวมึงนั่นแหละน้อง”


พร่วด!


“สกปรกว่ะ” ผมพ่นน้ำออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินคำบางอย่างจากปากของศรันย์ ดีนะ หันไปอีกทางทันพอดี

“ห้ะ?” ...ใครนะ ขออีกที

“ก็นั่นล่ะ เล่นซะกูเกือบตาย อารมณ์รุนแรงดีนะ”

“เดี๋ยวๆ กูว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ” ผมยกมือขึ้นเป็นปางห้ามศรันย์พูด เบรกแม่งไว้ก่อนจะพูดอะไรบัดสีออกมา

“เจอกันก็ไม่บอกว่ามีผัวแล้ว ให้กูสารภาพรักหน้าแตกละเอียดยิบ อายชิบหาย”

“...มึงหยุดพูดคำนั้นที แสลงใจเบาๆ” กุมใจเลยกู

“หึ” ศรันย์ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อหลายวันก่อน

“มึงเข้าใจอะไรผิดปะ คือกูยัง...ยังไม่มีแฟน โอเคนะเพื่อน” ผมพยายามอธิบายพูดกรอกสมอง ทำความเข้าใจใหม่ให้มัน แต่แม่งก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“แล้วไอ้เหี้ยนั่นจะมาแก้แค้นที่กูกระทืบมึงทำไม ถ้าไม่ได้เป็นผั-”


ผมชี้หน้าให้มันหยุดพูดคำนั้น กลืนลงไปเดี๋ยวนี้!


“เรื่องเข้าใจผิดรึเปล่า”

“ผิดกับตีนกูสิ กูเดินกับเพื่อนอยู่ดีๆ แม่งไม่พูดพร่ำทำเพลง จู่ๆ ก็เข้ามาถีบจนกูล้มคว่ำ ไม่พอ กระทืบซ้ำอีก เอาจนกูมีสภาพอย่างที่มึงเห็นนี่แหละ” ศรันย์พูดพลางทำหน้าเคียดแค้น สงสัยโมโหจริงว่ะ

“...เหี้ย”

“เออ แม่งโคตรเหี้ย ทิ้งท้ายอีกนะว่า อย่ามายุ่งกับน้องมุ่ยอีก แล้วจะให้กูคิดว่าไง”

“ผัวก็เหี้ยแล้ว! ไม่มีโว้ย!” ผมโบกมือโวยวายไล่ความคิดเหี้ยๆ ให้ออกไปไกลๆ เวรเอ๊ย อย่าให้กูรู้นะว่าเป็นใคร มาแอบอ้างอย่างนี้ได้ไงวะ

“ตกลงใคร”

“กูจะรู้มะ- เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ?” จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้คนนึง เหย ไม่ใช่หรอกมั้ง จำผิด

“ว่า”

“คนที่ทำมึง ขาวๆ สูงๆ ปะ”

“เออมั้ง กูเห็นหน้ามันแวบเดียวจากนั้นก็มีแต่ภาพตีนลอยเต็ม”


เอ...คงไม่ใช่หรอก


“แล้วทำไมมึงไม่บอกเขา ว่าไม่ได้ตั้งใจทำกูล่ะ”

“ยังไม่ทันพูดได้ซักแอะ แม่งก็ซัดเข้ามาแล้ว”

“กากว่ะ”

“กูไม่ได้ตั้งตัวป้ะสัด”

“แล้วเพื่อนมึงไม่เข้ามาช่วยรึไง”

“เพื่อนก็สภาพไม่ต่างจากกูเท่าไหร่หรอก ไอ้เหี้ยนั่นพวกเยอะกว่า”

“อ่อ” ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วระหว่างเราก็เงียบกันไป เมื่อหมดเรื่องจะคุย เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงด้วยซ้ำ มันยุบยิบอยู่ที่ปาก อยากจะพูดแต่ก็อายตัวเอง เลยได้แต่หาเรื่องชวนมันคุยอ้อมโลกอยู่แบบนี้



“เอ่อ”

“มีอะไรจะพูดอีกล่ะ”

“ก็...ไม่เชิง” ผมอ้อมแอ้มตอบ รู้สึกมือชื้นเหงื่ออีกแล้วพอเริ่มเข้าประเด็น

“จะถามก็ถามมา กูง่วงแล้ว”

“คือ...”

“...”

“มึงอย่าจ้องสิวะ มันกดดัน” ผมเอ็ดให้ศรันย์ เมื่อมันใช้สายตามองมาที่ผมไม่ละไปไหน

“เร็วๆ ดิ้ กู-”

“ทำไมมึงถึงชอบกู” ผมหลับตา กลั้นหายใจพูดออกไปอย่างเร็วปรื๋อ สองมือวางบนตัก ประสานบีบแน่นอย่างกลัวในคำตอบ


พูดไปแล้ว...


“...”


เงียบแดกเลยไหมล่ะ


“อันที่จริงมีเรื่องจะถามมึงเยอะมาก ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว” ผมเปิดเปลือกตา นับหนึ่งสองสามสี่อยู่ในใจ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาศรันย์ แต่มันดันเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากตอบ

“...”

“ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องมึงไม่เคยทำกู จะมีก็แค่ครั้งเดียว...แล้วที่มึงว่าชอบกู สรุปแล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่” ความค้างคาใจทั้งหมด พอได้ถามออกไปแล้ว รู้สึกโล่งขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด

“คำตอบมันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ” ศรันย์ผินหน้ากลับมาสบตากับผม แววตาเขาเจือความเศร้าอยู่ในนั้น แล้วไม่ใช่แวบเดียวก็หายไปเหมือนที่ผ่านมา นานหลายนาที เขาก็เริ่มเปิดปากพูด

“...”

“เพราะชอบ ถึงไม่ทำร้าย”

“...”

“เพราะชอบอีกนั่นแหละ ถึงไม่อยากเห็นมึงเจ็บ”

“...”

“แค่อยู่ต่างสถาบันก็ยากแล้วไหม คนเราจะทำเหี้ยกับคนที่ชอบได้ยังไงวะ”

“ละ...แล้วตอนนั้นที่มึงแทง...”

“เพื่อนกูเข้ามาข้างหลังมึง มันไม่มีทางเลือก” ศรันย์กำมือแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมา ทำเอาผมอ้าปากค้างกับคำสารภาพที่ไม่เคยรู้มาก่อน

อย่างที่เคยบอกว่า หลังจากโดนมีดเสียบคาท้อง ผมก็ช็อคจนสลบไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็ไม่เจอมันอีกเลย

“กูตัดสินใจใช้มีดตัวเองแทงมึงก่อน กะเอาแฉลบ แต่พลาด หึ อย่างน้อยก็ทำให้เพื่อนกูเปลี่ยนเป้าหมาย”

“ฮึ?” หมายความว่าไง

“ไปฟันไอ้โป้แทน”

“เหี้ย! ไอ้สัด! นั่นเพื่อนกู”

“แล้วไง กูชอบมึง ไม่ได้ชอบมัน” เวร เวรแท้ๆ ไอ้โป้แม่งต้องมารับกรรมแทนกู

“โคตรเหี้ย”




“ไม่กลียดกูรึไง” ศรันย์หันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง

“เกลียด? เกลียดเรื่อง”

“ทุกอย่าง...ที่ผ่านมา ทั้งกับมึงแล้วก็เพื่อนมึง” ผมเงียบไปอึดใจ ไม่คิดว่าจะเจอกับคำถามนี้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ชัดเจนกับมันสักที ผมว่ามันน่าจะคิดมากแล้วก็โทษตัวเองอยู่แน่เลยอะ

“มึง คือทั้งหมด กูผิดเอง”

“หมายความว่าไง” มันหันกลับมามองอย่างไม่แน่ใจในคำพูดของผมเมื่อครู่

“กูเลือกเองอะ จะโทษมึงอย่างเดียวก็ไม่ใช่เปล่าวะ”

“...”

“เพราะงั้น สบายใจได้ว่ากูไม่เกลียดมึง แค่เหม็นหน้า ฮ่าๆ”

“หึ” บรรยากาศระหว่างเราดูผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากได้เคลียร์ใจกับเรื่องครั้งนั้น ผมรู้ว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก ทั้งผม ไอ้โป้ พี่เต้ แล้วก็ศรันย์ ต่างก็ได้รับผลของมันกันแล้วทั้งหมด ที่มาจากความเลือดร้อนและความคึกคะนองในตอนนั้น




“เออ แล้วที่มึงชอบกู”

“ทำไม”

“กูผู้ชายนะ”

“แล้ว?”

“ง่ายๆ งี้เลยอ๋อ”

“แล้วมึงจะทำให้มันยากทำไม” ศรันย์ขมวดคิ้วยุ่งขณะอธิบายให้ผมฟัง มันทำหน้าเหมือนผมโง่ซะเต็มประดา

“เออ กูโง่ ไม่ต้องทำหน้าเหยียดกูขนาดนั้นก็ได้ ก็รู้ตัวอยู่หรอก”

“อ่อ กูเข้าใจละ” จู่ๆ มันก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก

“แสดงว่าไอ้เหี้ยนั่นก็เป็นเหมือนกันสินะ ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” มันหัวเราะออกมาเสียงเบา ท่าทางอยากจะให้ดังกว่านี้แต่ด้วยร่างกายไม่เอื้ออำนวย ผมก็ได้แต่นั่งงง


“คนอย่างน้องมุ่ยน่ะ ไม่รู้หรอกว่าชอบคืออะไร”

“...”

“ใครก็ตามที่รู้สึกดีกับน้อง ไม่เหนื่อยก็ท้อจนถอยออกไปเอง”

“...”

“หรืออาจจะเป็นอย่างกูก็ได้ ที่ได้แค่มอง ฮ่าๆ ตลกชิบหาย”

“ศรันย์ ที่มึงกำลังดูถูกกูอยู่รึเปล่า” ผมถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่คนอื่นทำมาเป็นรู้ความคิดของผม


เข้าใจไหมว่าแบบ...


มึงเสือกเรื่องตัวเองให้รอดก่อน ค่อยมาใส่ใจเรื่องกูน่ะ


“หืม? หรือกูพูดอะไรผิดไป”

“จริงๆ ก็เปล่า ถูกทั้งหมดนั่นแหละ” ยกเว้นเรื่องนี้แล้วกัน ผมนอนคิดคนเดียวมาหลายคืน ก็ยังคิดไม่ออก ทุกอย่างมันอยู่ผิดที่ผิดทางไปซะหมด แล้วบางทีก็รู้สึกเหมือนมีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป แล้วผมหาไม่เจอ


บีม ทำกูแย่ขนาดนี้ รู้ตัวบ้างรึเปล่าเนี่ย


“ชอบเขารึไง”

“...ไม่รู้”

“แต่กูมั่นใจ ว่ามึงชอบเขาแน่ๆ”

“รู้ดีกว่าตัวกูอีกนะสัด” คันหัวใจอีกละ ไม่ได้เลยนะ พอพูดถึงบีมแล้วเนี่ย ไม่ได้เลย

“ชอบก็คือชอบ มุ่ย อย่าไปหาเหตุผลให้มาก”

“แล้วรู้ได้ไงว่าชอบ ถ้าแม่งเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบล่ะวะ” ผมก้มหน้าลงพึมพำกับตัวเอง แต่หมาเสือกได้ยิน

“ถ้าเป็นอย่างนั้น มึงจะมานั่งคิดมากอย่างนี้ทำไม”

“คือกูไม่อยากให้เขาผิดหวัง กูกลัวทำให้เขาเสียใจ มึงเข้าใจไหม” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด กับความกดดันที่สั่งสมมา ใครๆ ต่างก็บอกให้ผมตัดสินใจซักที แต่ไม่รู้หรอกว่าผมก็เจ็บ เจ็บที่ให้คำตอบอะไรกับบีมไม่ได้เลย เห็นหน้ามันผมก็อยากจะร้องไห้ แม่งเอ้ย


แล้วโดนบีมจูบมา ทำให้ผมช็อคหนักเข้าไปอีก


หมดกัน เฮียมุ่ยผู้แข็งแกร่งดั่งหินผา ตอนนี้เหลวเป๋วยิ่งกว่าเยลลี่โดนแดดเผาซะอีก


“มุ่ย...”

“เออ”

“มึงแคร์เขาขนาดนี้ ก็คือต้องใช่แล้วไหม”


กึก!


“ยังต้องคิดอะไรอีก”


ผม...


“มึงจะลังเล โอเค ไม่แปลก แต่ถ้ามึงตอบใจตัวเองไม่ได้สักที คนที่จะเจ็บที่สุดก็มึงอยู่ดี”

“...”

“ที่ทำให้เขาเสียใจ”


แม่ง


แม่ง...


แม่งแทงใจกูดังจึ้กเลย





“พี่อ้อยพี่ฉอดเปล่าเนี่ย รู้ดีชิบหาย” ผมเปลี่ยนเรื่องแกล้งแซวมัน เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูอึดอัดมากไปกว่านี้

“กูต้องแข็งแกร่งแค่ไหนวะ ถึงให้คำปรึกษากับคนที่ชอบเพื่อที่จะให้เขาไปรักกับคนอื่นได้”


เนี่ย กูรู้สึกผิดเลย ถึงได้เปลี่ยนเรื่องไง


“บุญหนักนะเว้ย”

“สนที่ไหน ช่างเหอะ มึงจะไปไหนก็ไป เบื่อหน้าแล้ว” ศรันย์โบกมือไล่ผม พลางใช้มือข้างที่ปกติดีหยิบถุงเยลลี่ไปไว้อีกฝั่ง

“นี่กูเอามาพอเป็นพิธีนะเนี่ย”

“ออกไปได้แล้วโว้ย รำคาญ!” เจ้าตัวบ่นทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วหันหลังนอนตะแคงไปอีกทางเพื่อหนีหน้าผม

“เออ ขอบใจมากเพื่อน” ผมลุกขึ้นโบกไม้โบกมือลา แม้มันจะไม่เห็นก็ตาม พอเดินไปถึงประตูยังไม่ทันได้เปิดออก ก็ได้ยินเสียงมันพูดขึ้นซะก่อน


“ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำไมคนเราถึงชอบคนๆ นึงได้”

“...”

“มีแค่ตัวมึงเองนั่นแหละที่รู้”

“...”

“เอาแต่ถามคนอื่น ถามตัวเองรึยัง”



.

.



คล้อยหลังที่ฟ้ามุ่ยเดินออกจากห้องไปแล้ว ไม่ทันได้เห็นแววตาที่เขาหันมองไปที่ประตู ว่ามันเศร้าแค่ไหน

เจ้าของมือเรียวกำถุงขนมแน่น คำสารภาพที่พูดออกไป ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเสียใจที่เขามี และยังคงจะเจ็บอยู่อย่างนั้นตลอดไป

ภาพจำยังคงฉายชัดอยู่ทุกครั้งที่เขานึกถึงฟ้ามุ่ย ว่าตัวเขาเองนี่แหละ ที่ทำร้ายคนที่เขารักกับมือ


“ขอโทษ”



.

.

.



ย้อนกลับไปหลายวันก่อน



พลั่ก!


คนตรงหน้าถีบเข้ามาที่กลางท้องเข้าอย่างจัง จนเขาทรุดลงไปกับพื้น

“มือข้างนี้รึเปล่าที่แทงน้องมัน” ใบหน้าเรียบนิ่งแฝงความเย็นยะเยือกจ้องเข้ามาที่ตาของเขา สัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่นรุนแรง แผ่ออกมาจากตัวชายคนนี้

“กูถาม ก็ตอบ”


อึ่ก!


ฝ่ามือเย็นจัดแรกเข้ามาที่กลุ่มผมของศรันย์แล้วกระชากขึ้นอย่างแรง เพื่อรั้งให้ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น

สภาพเขาตอนนี้ สะบักสะบอมจนลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว หลังจากโดนอัดมาร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ ร่างกายปวดล้าไปหมดทั้งตัว แขนข้างซ้ายเหมือนจะหักด้วย


หึ นี่กูมาเจอกับตัวเหี้ยอะไรวะเนี่ย


“แล้วมึง แค่ก! จะทำไม” ถึงแม้ความรู้สึกกลัวจะคืบคลานเข้าเกาะกินหัวใจเขาเกินครึ่ง ร่างกายเริ่มอ่อนแรง เปลือกตาหนักอึ้งแต่ก็พยายามจะเหลือบมอง อยากรู้ว่าไอ้คนที่มันทำเขาเจ็บขนาดนี้หน้าตาเป็นยังไง แต่ก็พร่าเลือนเต็มที อีกทั้งความมืดในตอนกลางคืนบดบังมันไปซะเกือบครึ่งหน้า แต่ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมจำนนต่อคนตรงหน้าเด็ดขาด


“เล่นแรงเกินไป รู้ตัวรึเปล่า”


พลั่ก!


ปึ่ก!


มันละมือจากผมของเขาแล้วคว้าเข้าที่คอ จับกระแทกอัดเข้ากับกำแพงจนตัวงอ

“ถือซะว่า มึงชดใช้ให้น้องมันแล้วกัน” ดวงตาหรี่ปรือพร้อมจะปิดเต็มที่ เห็นเพียงรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกับเสียงกระซิบข้างหูก่อนสติจะดับวูบไป


“จำไว้ อย่ามายุ่งกับน้องมุ่ยอีก”




*************************************

ความจริงศรันย์เป็นคนน่ารักนะคะ ใครช่างทำศรันย์กันน้า

ออฟไลน์ ptmsrn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านรวดเดียวมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ
สนุกมากเลย ทั้งฟ้ามุ่ยและพี่บีมน่ารักมากๆ
อ่านไปยิ้มไปตลอดเวลา เขินนนนน55555555
ตอนมุ่ยพูดภาษาเหนือคือน่าเอ็นดูมากกก และแพ้เวลามุ่ยเรียกบีมว่าบีมสุดๆ ฮือ (ถ้ามีโอกาสอยากเห็นมุ่ยพูดเหนืออ้อนบีมบ้างค่ะ แค่คิดก้เขินนำไปแล้ว5555)

ถึงจะเป็นเรื่องแรกที่แต่ง แต่ก็เขียนได้ดีมากเลยค่ะ
ป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ จะรอติดตามเสมอ

ออฟไลน์ Ujeen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น้องมุ่ยยยยยยยย  รู้ใจตัวเองซะทีน้า  รีบกลับไปบอกพี่บีมเลยยยยย

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
น้องมุ่ยยยย รู้ตัวได้แล้ววว ส่วนบีมโหดจังวะ ไปฝึกมือที่ไหนน

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 20

คนน่ารักมักใจร้าย


“ป้าคนสวย เอาข้าวไข่เจียวหมูสับใส่กล่องครับ”

“รอกำนึงลูก คนเยอะ จดหื้อป้าดีกว่าๆ”

“ก่กับข้าวมันลำขนาด คนทำก่งาม ไผก่ใค่กิ๋นเนาะ”

“อู้ม่วนแต๊ บ่าน้อยนี่ บะเดวป้าแถมหื้อเยอะๆ เลย รอกำเดวๆ”

ผมส่งยิ้มหวานให้แกแล้วจดเมนูลงกระดาษแผ่นเล็ก จากนั้นก็เอาไปให้ป้าเขาแล้วมานั่งรอที่โต๊ะว่าง หลังจากออกจากโรงพยาบาลมา ผมก็ตั้งใจว่าจะขี่รถกลับมานอนที่หอซักงีบแล้วค่อยโทรให้เฮียครามมารับกลับบ้าน แต่ความหิวไม่เคยรอใคร ผมเลยแวะซื้อข้าวแถวหอบีมก่อน จอดรถไปสายตาก็แอบสอดส่องไปด้วย กลัวจะเจอมันอะดิครับ ผมยังไม่พร้อม

ร้านที่ผมแวะเป็นร้านเดียวกับคราวก่อนที่บีมพามากิน หลังจากวันนั้นผมก็กลายเป็นขาประจำร้านนี้ไปเลยครับ เมนูที่ผมสั่งบ่อยๆ ก็มีข้าวไข่เจียวหมูสับกับกระเพราตับ วนอยู่อย่างนี้ตลอด


พูดถึงบีม...


คิดๆ แล้วก็เครียดนะครับ


สอบไฟนอลผมยังไม่เครียดเท่านี้เลยเอาจริงๆ


ถึงศรันย์จะบอกอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังไม่กล้าเจอหน้าบีมอยู่ดี


ผมอึดอัด เหมือนบีมต้องการคำตอบอยู่ทุกครั้งที่เราเจอกัน มันไม่พูดแต่ผมก็รู้อะ สายตามันโคตรชัดเจน ไม่รีบนะครับแต่รออยู่อะไรประมาณนี้ แต่ผมยังให้ไม่ได้ว่ะ ก็คนมันไม่มีให้ มึงจะเอายังไงฮะ?


แต่ก็นะ


ผมชอบบีม


คำนี้คงจะจริง


อย่างที่ศรันย์บอก กูก็โง่ถามคนอื่นอยู่ตั้งนาน อยากให้คนอื่นมาช่วยตัดสินความรู้สึกตัวเอง โดยลืมไปเลยว่ามันเป็นเรื่องของผมกับบีมสองคน เป็นความรู้สึกของผมกับบีมเท่านั้น กูจะถามคนอื่นทำซากอะไร เออ


และพอผมได้มองย้อนกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง


เอ้อ ผมก็ว่าผมชอบบีม


แต่ก็ยังไม่กล้าบอกอยู่ดี


ลีลาชิบหาย


แต่ผมว่าผมอยากจะบอกชอบบีมนะ เดี๋ยวหาวันเวลาเหมาะๆ สถานที่ดีๆ เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกว่านี้แล้วผมจะบอกมันทุกอย่างเลย

“อ้าว น้องมุ่ย”

“น้ำ...น้ำตาล”

เสียงหวานใสเรียกชื่อผมทำให้ต้องหันกลับไปมอง สายตาก็เจอกับน้ำตาลคนสวยยืนยิ้มหวานโบกมือน้อยๆ ให้ผม ข้างๆ กันนั้น...


พูดถึงหมี หมีก็มา


แต่หมีมาพร้อมน้ำตาล


“น้องมุ่ย”

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู” กูเขิน

ผมพยายามเลี่ยงไม่สบตากับบีมแล้วมองที่น้ำตาลแทน กูไม่น่าคิดถึงมึงเล้ย แค่คิดอะมึงก็มาแล้ว กูจะบ้าตาย แม่งมีพลังจิตปะเนี่ยถามจริง

“มากินข้าวเหรอ” น้ำตาลถามเสียงใส ทำให้ผมอดแย้มยิ้มให้กับออร่าความสวยของเธอไม่ได้

“อื้อ”

“มานั่งทานด้วยกันไหม เรามากับบีมสองคน”

“คือเราสั่งใส่กล่องไว้แล้วอะ” ผมยกนิ้วชี้ไปทางข้างหลัง เป็นเชิงปฏิเสธ

“เดี๋ยวเราไปบอกป้าให้ ทานเป็นเพื่อนเราสองคนหน่อยน้า นะคะ” น้ำตาลส่งสายตาอ้อนผม...โอย ดาเมจรุนแรงมาก เอื้อ!

“ให้มันน้อยๆ หน่อย” บีมเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ ผมเหล่ตามองมันนิดหน่อยก็เห็นว่าบีมทำหน้าบูดมองอยู่เหมือนกัน

“งั้นเดี๋ยวเราไปบอกป้าให้ น้องมุ่ยสั่งอะไรนะ”

“ข้าวไข่เจียวหมูสับ...แต่ เราว่าเรา-”

“น่าๆ นั่งคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวเราไปสั่งข้าวแป้ป” ยังไม่ทันปฏิเสธ น้ำตาลก็อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเดินลิ่วออกไป เหลือแค่ผมที่นั่งเขี่ยโต๊ะกับบีมที่ยืนมองอยู่

“ไม่ทักกันเลยนะ” หางตาเห็นบีมนั่งลงที่ม้าหินอ่อนข้างๆ กัน


ผมจะไม่ตอบมัน หน้าแม่งก็จะไม่มอง


“ถามไม่ตอบ”


บีมเป็นอากาศ บีมเป็นอากาศ บีมเป็นอากาศ


“วันนี้เจอเพื่อนน้อง ชื่ออะไรนะ ปีโป้รึเปล่า เห็นบอกว่ามุ่ยออกไปทำธุระ คิดว่าจะไม่ได้เจอกันซะแล้ว”


คิดซะว่าเป็นเสียงหมาเสียงแมว


“ไม่มองหน้ากัน ไม่ตอบกัน...หรือว่ายังโกรธที่พี่จะ -”

“ไม่! ไม่ใช่! พูดอะไรบีม พูดดีๆ นะมึง” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ แล้วรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าบีมจะพูดถึงเรื่องวันนั้น

“มองกันแล้ว” ใบหน้าหล่อเอียงคอมองผมแววตาเป็นประกายตามแบบฉบับเจ้าตัว

“ไม่ต้องมายิ้ม หันหน้าไปเลย” กูบอกว่ากูเขิน กูเขิน!

“วันนี้น้องมุ่ยเป็นอะไร ดูแปลกๆ นะ”

“เรื่องของกู”

“ปกติเวลาเถียงจะสบตาตลอด วันนี้ดันหลบตากัน...” คนตัวสูงยกแขนขาวขึ้นมาเท้าคาง ตาคมจ้องมาที่ผมด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

“อย่ามาจ้องกันดิ้...” เจ้าของมือแกร่งยื่นออกมาหมายจะแตะใบหน้าผม ผมหันหน้าหนีแล้วยกมือตัวเองตีลงบนมือใหญ่อย่างแรง


เพียะ!


“ใช้กำลังด้วย สงสัยเขินที่จูบวันนั้นจริงๆ”

“บีม!”

“โวยวายอีก ชอบ”


ขนาดผมถลึงตาใส่มัน แต่บีมก็ยังทำหน้าระรื่นแถมแกล้งทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊บๆ ออกมาให้ผมขึ้นอีก


“ไอ้บีม!”

“อืม สงสัยยังเขินไม่หายจริงๆ ด้วย”

“บีม! ชู่ว! ชู่ว!” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก เป็นท่าท่างที่บอกให้บีมเงียบ แต่คนตัวสูงก็เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ ทำให้ผมอยากจะตีมันอีกสักป้าปให้แม่งกระอักเลือดตายไปเลย

“...ชู่ว” บีมถือโอกาสจับมือผมให้เลื่อนไปยังริมฝีปากเจ้าตัว จนรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มที่ปลายนิ้ว จากนั้นบีมก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ เหมือนที่ผมทำ แล้วกดใบหน้าลงมาใกล้ ในระยะที่เราสองคนสบตากันได้พอดี

สายตาคมที่จ้องมองมาพาให้ตัวผมนิ่งเกร็ง รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่พุ่งขึ้นสูงและมารวมกันอยู่ที่ใบหน้า พยายามจะหลบตาแต่บีมก็จะยิ่งกระชับข้อมือและกดลง ให้นิ้วผมทาบทับกับริมฝีปากของบีมมากขึ้น

“เรื่องนี้ ต้องรู้กันแค่สองคนสิ เนอะ”


จุ๊บ


เสียงสัมผัสระหว่างริมฝีปากกับปลายนิ้วอย่างบางเบา แต่ก็ดังพอให้เราสองคนได้ยิน บีมผละออกใบพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างพอใจที่ได้แกล้งให้เขิน ในขณะที่ตัวผมนั้น


“ไอ้บีม! มึง!”

“โอ๊ย! น้องมุ่ย หยิกกูทำไมเนี่ย เจ็บๆ ฮ่าๆ”

“เมื่อกี๊มึงทำอะไร ห๊า! ทำอะไร!”


ผมบิดนิ้วลงกับไหล่หนาอย่างแรงโดยที่บีมยังไม่ทันตั้งตัว จนมันต้องเอี้ยวตัวหนีเพราะความเจ็บ แต่ก็ยังดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ผมจึงเพิ่มแรงอีก มึงตัวช้ำกลับบ้านแน่ ไอ้บีมบ้า!


โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!


ไอ้บีม! ไอ้คนเหี้ย!


“จุ๊บหน่อยเดียวเอง เจ็บๆ !”

“หน่อยเดียว เหรอ หื้อ!”

“เจ็บครับเจ็บ กูเจ็บแล้วน้องมุ่ย ซี้ด ปล่อยก่อนนะ” ผมหาที่ว่างตรงอื่นบนร่างกายของบีม เพื่อที่จะหยิกมันจนบีมต้องยกมือขึ้นปัดป้องเป็นพัลวันไม่ให้ผมเข้าถึงตัวมันได้

“มึงกล้าทำบัดสีกับกูแม้แต่ในร้านข้าว หน๊อย กูจะหยิกมึงให้เนื้อหลุด ไอ้คนหน้าด้าน!” ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของคนในร้านที่มองมาที่เราสองคนอย่างใส่ใจ แต่แล้วไงวะ กูไม่สนแม่งแล้ว วันนี้กูจะหยิกให้มันเขียวทั่วตัวเลย

“ความจริงอยากจะกัดด้วยซ้ำ แต่กลัวน้องเป็นรอย มันมันเขี้ย – โอ๊ย!”

“หยุดพูดเลย! ไม่ต้องพูด!”

“หน้าแดงเพราะเขินกันใช่ไหม ดูออก”

“ก็บอกว่าอย่าพูด! บีม!” ผมเม้มปากแน่น ทั้งโกรธทั้งเขินที่มันพูดออกมาอย่างไม่อายคนรอบข้าง แถมยังหัวเราะกว้างดูสะใจที่ยั่วโมโหกันได้ ผมเปลี่ยนจากจะหยิกมาเป็นยกกำปั้นขึ้นหมายจะทุบบีมให้หลังหัก แต่น้ำตาลก็เข้ามาห้ามทัพซะก่อน

“มาแล้วๆ เล่นอะไรกัน บีม แกแกล้งอะไรน้อง คนในร้านมองใหญ่แล้ว” ผมส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ เตะขาบีมไปทีนึงเป็นการส่งท้าย

“เปล่า” บีมลูบแขนตัวเองตรงที่ผมหยิกทำหน้าทำตาแด๊ะแด๋ เหมือนร่างกายต้องการยาแดงขนาดหนัก มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ เดี่ยวๆ นอกร้านไหมกูจัดให้ได้ อย่าลืมว่านี่ใคร นี่เฮียมุ่ย! พ่อทุกสถาบันนะโว้ย!


แม่ง มันกวนตีนผมอะ ทุกคนดู


“เป็นอะไรรึเปล่าคะน้องมุ่ย มันแกล้งอะไร บอกเรา เดี๋ยวเราจัดการมันให้” น้ำตาลหันมาถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง พลางส่งมือมาจับแขนผมสองข้างแล้วพลิกไปมา

“เอามือแกออกจากแขนน้องดิ้ ตาล”

“เอ๊ะ แตะนิดแตะหน่อยทำมาเป็นเสียงเข้ม”

“ปล่อยน้องมุ่ย” ผมมองเห็นรังสีฟาดฟันกันระหว่างบีมกับน้ำตาล สายตาที่ทั้งคู่มองกันเหมือนกับว่ารู้อะไรบางอย่างของกันและกัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


...รู้สึกอยากมองบน


ทำไมต้องมีโมเม้นมองตาก็รู้ใจด้วยอะ


โห่


“มันไม่ได้ทำอะไรน้องมุ่ยจริงๆ ใช่ไหมคะ”

“ก็บอกว่าไม่ แกจะเอาไงวะตาล” บีมเริ่มขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเห็นว่าน้ำตาลไม่ยอมปล่อยแขนผมสักที กลายเป็นผมที่ต้องค่อยๆ แกะมือเธอออกอย่างเบามือแทน


รู้สึกยิบๆ ในหัวใจแปลกๆ


“ให้มันจริง” น้ำตาลพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย แล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผม

“เออนี่ ความจริงเรามีเรื่องจะคุยกับน้องมุ่ยด้วยล่ะ” น้ำตาลหันมายิ้มหวานให้

“มีอะไรเหรอ”

“ก็เสาร์อาทิตย์นี้เราว่าง ว่าจะไถ่โทษที่ผิดสัญญาตอนนั้น”

“หือ” ขยายความอีกได้ไหมคนสวย พี่มุ่ยงง

“เราไปถ่ายรูปกันไหม”

“ห้ะ/ไม่” เสียงแรกคือเสียงคือผมที่กำลังงุนงง แต่เสียงที่สองเป็นของบีมที่ปฏิเสธออกมาหน้าตาเฉย

“แกไม่เกี่ยวปะบีม เงียบๆ เหอะ” เออ ต้องเป็นกูที่ตัดสินใจปะวะ แถวบ้านเรียกเสือกแล้วอย่างนี้

“ไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายอะไรอีกแล้ว อย่าไปเซ้าซี้มุ่ย” บีมตีหน้าขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เรื่องของฉัน”

“เรื่องของแกคือมีมุ่ยมันอยู่ด้วย”

“แล้วยังไง”

“น้ำตาล”

“บีม”

ผมนั่งเงียบฟังคนทั้งคู่เถียงกันด้วยความรู้สึกประหลาด อาการก่อนหน้านี้คือหดหายกลับไปอยู่ในซอกหลืบเดิม เหลือแต่อารมณ์ขุ่นมัว เหมือนมีหมอกปรากฏขึ้นอยู่จางๆ


อ๋อ...


นั่งคู่กันอย่างนี้ดูเหมาะกันดี คนหนึ่งก็หล่ออีกคนก็สวย ถึงว่า ใครๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกัน


หน้าตาดีทั้งคู่


อืม


“ว่าไงคะ น้องมุ่ยตกลงไหม”

“คือเรา...”

“น้องมุ่ย กูไม่ให้ไปนะ” บีมพยายามส่งสายตาบอกกับผมว่าไม่ให้ไป เหอะ

“โอเคครับ วันเสาร์หรืออาทิตย์ดี” ผมเมินบีมแล้วยิ้มรับให้กับน้ำตาล


เบื่อแม่งแล้ว


“เย่ เราให้น้องมุ่ยเลือกเลย เราเชื่อใจ” คนสวยยิ้มออกมาด้วยความดีใจอย่างสุดๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย คนสวยนี่เวลาเขาทำอะไรก็น่ามองไปหมด จะหน้ายิ้ม หน้าบึ้ง หน้าโกรธ ก็ยังดูสวยอยู่ดี

“รำคาญแกจริงๆ เลยว่ะตาล”

“สมน้ำหน้า แบร่”

หลังจากนั้นผมก็นั่งฟังทั้งสองคนเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟังดูก็จับใจความไม่ได้เหมือนเถียงกันไปอย่างนั้นแล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย โดยมีผมเป็นตัวกลางคอยออกความเห็นช่วยน้ำตาลอยู่เสมอ

เขาเพื่อนกันเขาก็รู้จักกันดี น้ำตาลเล่าเรื่องบีมให้ฟังหลายเรื่อง ผมก็หัวเราะแหะๆ พอเป็นพิธี พอทั้งคู่เถียงกันผมก็นั่งเงียบเหมือนเดิม และพยายามโวยวายไม่ให้ผิดสังเกต ไม่ให้บีมรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

เออ เขาก็เหมาะกันดีนี่หว่า ดูดิ แค่มองตาก็รู้ใจ ผมรู้ว่ะผมดูออก ทั้งสองคนเหมือนมีซัมติงอะไรกันสักอย่างที่ไม่อยากให้ผมรับรู้ พอเอ่ยเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผม ไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องหาเรื่องคุยอื่นเพื่อเบี่ยงประเด็น ผมรู้สึกตื้อๆ ยังไงไม่รู้เหมือนกันว่ะ

โถ ตัวกูก็วุ่นวายหาคำตอบอะไรนั่นตั้งนาน ยึดติดอยู่แค่กับคำว่าบีมชอบตัวเองจนเป็นบ้า ที่ผ่านมาบีมแม่งเอาแต่หยอกผม ไอ้เราก็เชื่อ แต่มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้มั้ง


แกล้งผมอีกรึเปล่าก็ไม่รู้ บีมมันชอบทำอะไรอย่างนี้อยู่แล้วอะ


แกล้งๆ บอกชอบผมไรงี้


รู้สึกใจมันฟีบๆ


โครงการบอกรักก็พับเก็บไว้ก่อนนะทุกคน แม่งยังไม่ทันเริ่มสร้าง งบก็หมดซะแล้ว เวรเอ้ย


เซ็ง



.

.

.



หลังจากที่ทานข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งผมก็ทานได้น้อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่อยากไปร้านนั้นอีกแล้ว ผมกับเขาสองคนแยกกันกลับ ได้แต่ยืนมองบีมกับน้ำตาลเดินหันหลังคู่กันไปด้วยความเซ็ง แล้วบึ่งรถกลับมาที่หอ ขึ้นไปเก็บของนิดหน่อยแล้วลงมานั่งรอเฮียครามหน้าหอ

พอนั่งเงียบๆ คนเดียวได้สักพักก็เริ่มฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องเมื่อตอนเย็น นี่กูไอ้มุ่ยคนเดิมรึเปล่า ปกติไม่พอใจอะไรโวยวายแล้วนะ แต่แม่งก็ได้แต่นั่งบื้อตบมือแปะๆ อยู่อย่างนั้น ทั้งที่ในใจผมนะ แทบร้อนเป็นไฟ


แดกข้าวคนเดียวไม่เป็นไง๊ ทำไมถึงต้องมาด้วยกัน


เพื่อนก็มีตั้งเยอะตั้งแยะไม่ชวนมาอะ


มองตากันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ท้องแล้วมั้ง


จะพูดก็พูดทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง ปากอมเหี้ยไรไว้ล่ะ


ให้ตายเหอะ ในสมองผมมีแต่ประโยคพวกนี้ลอยวนเต็มไปหมด ไม่อยากจะคิดแบบนี้เลย ก็รู้แหละครับว่าเป็นเรื่องของเขา ความลงความลับระหว่างเพื่อนกับเพื่อนมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ว่ะ นี่กูเป็นเหี้ยอะไรฮึ ความวัวยังไม่ทันหายความบีมเข้ามาแทรกอีกละ


ปิ๊น!


เสียงแตรรถดังขึ้น เรียกให้ผมเงยหน้ามอง ก็พบกับรถคันสีดำสนิทจอดอยู่ริมฟุตปาธ กระจกรถค่อยๆ ลดลงมาจนเห็นใบหน้าของคนขับที่รู้จักดี

“ขึ้นรถเร็วไอ้หนู” เฮียครามกวักมือเรียก ผมจึงเก็บข้าวของตัวเองแล้วเดินเอื่อยๆ เข้าไปหา ถึงจะเพิ่งเลิกงานแต่หน้าเฮียมันก็ยังหล่อดูดี ไม่พังไม่โทรมแต่อย่างใด เหอะ หมั่นไส้ว่ะ

ผมเปิดประตูรถ โยนสัมภาระไว้ที่เบาะหลังก่อนจะปิดประตูพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เฮียก็เริ่มออกรถทันที โดยระหว่างนั้นผมก็เงียบมาตลอดทาง จนเฮียครามต้องเปิดปากเริ่มบทสนทนาก่อน

“เฮียโทรถามน้อง วันนี้ใสมันทำน้ำเงี้ยวว่ะ ได้ยินละน้ำลายไหลเลย”

“...”

“เดี๋ยวแวะซื้อแคปหมูร้านหน้าหมู่บ้านสักสองถุงด้วยดีกว่า”

“...เฮ้อ” ถอนหายใจยังไงให้รู้ว่าเครียด

“วันนี้พระนายโทรมาหาด้วย คุยกันนานมาก ห้านาทีแหน่ะ บ้าบอ เฮียเขินมาก”

“เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ”

“เห็นว่ากำลังจะไปเที่ยวลาว น่าจะกลับปีหน้านู่น เสียดายเฮียไม่ว่าง”

“ไอ้เฮีย!” ถอนจนจะหมดปอดแล้วนะ ยังไม่สนใจกันอีก! เฮียครามแม่ง!

“อะไร...เฮียกำลังขิงให้ฟังเนี่ย” ท่าทางชิวๆ กับน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนทำผมมุ่ยหน้าอย่างไม่ชอบใจ สนใจกันหน่อย นี่น้องนะโว้ย

“มาขงมาขิงอะไรไม่อยากฟังทั้งนั้นอะ ข้ากำลังไม่สบายใจอยู่ เอ็งเห็นไหมเฮีย”

“เห็น ก็เอ็งไม่เล่าสักทีเอาแต่นั่งเงียบ เฮียก็เลยพูดก่อนไง จริงๆ ข้าอยากจะอวดที่นายโทรมาหาแค่นั้นแหละ”

“รำคาญว่ะ”

“หึ แล้วตกลงเป็นอะไร”

“...”

“ถ้าเงียบเฮียจะขิงต่อล่ะนะ” เอ็งให้โอกาสข้าเรียงลำดับความคิดหน่อยไหมล่ะ ยังเงียบไม่ถึงห้าวิเลย ปั้ดโถ๊ะ

“พอๆ คืองี้”

“ดราม่ามากปะ เดี๋ยวหยิบทิชชู่ก่อน”

“กูไม่เล่าแม่ง” เฮียกวนตีนได้ใครกูถามจริง

“เออออ เฮียล้อเล่น อยากให้อารมณ์เย็นลงเฉยๆ หรอก”

“ถ้าเฮียเห็นคนที่แบบ เข้าใจปะว่า เออ คนที่เราจะชอบๆ อะนะ เขาคุยงุ้งงิ้งๆ กับคนอื่น แล้วเฮียก็ไม่พอใจ ไม่ดิ เฮียรู้สึกเซ็งๆ อยากพังโลกของเขาสองคน...”

“...”

“มันหมายความว่าไงอะ” ผมหันทั้งตัวตะแคงกับเบาะรถมองใบหน้าด้านข้างของพี่ชายตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยและต้องการคำตอบ

“ถึงขนาดอยากพังโลกเลย?”

“ก็...เออมั้ง”

“มึงนี่เหมือนนายไม่มีผิด นี่น้องเก๊ของกูรึเปล่า” เฮียครามหัวเราะออกมาแต่ก็ยังไม่ตอบคำถาม

“เอาดีๆ ดิ้เฮีย”

“หึง”

“อ๋อ หึง - ห้ะ? ว่าไงนะเฮีย ขออีกที” ผะ...ผมว่าผมได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

“หึงไง หึงคนที่ชอบ ไม่อยากให้เขาไปคุยระริ้กระรี้กับคนอื่น”

“ฮะ...เฮียรู้ได้ไง มั่วเปล่า”

“ก็ถึงได้บอกไงว่ามึงกับพระนายน่ะ เหมือนกันเปี๊ยป” เฮียครามละมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งมาขยี้ผมของผมจนผมที่มัดไว้คลายออก พลางทำหน้าเอ็นดูซะเต็มประดา

“...”

“เด็กโง่ บอกชอบเขาไปรึยังมึงอะ”

“ยังเลยว่ะเฮีย ไม่พร้อม” ผมดึงหนังยางออกมา แล้วยกมือขึ้นรวบผมเพื่อที่จะมัดใหม่

“ทำไมไม่บอก คนอย่างเอ็งมีคำว่าไม่พร้อมอยู่ในหัวด้วย?” เฮียเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ เออ ผมก็นึกงงในตัวเองเหมือนกัน ที่เป็นได้ถึงขนาดนี้


หมายถึงการชอบใครสักคนมันทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองล่ะนะ


“ก็จะพูดอยู่หรอกแต่เจออย่างที่เล่าให้ฟังไง เลยพับโครงการไว้ก่อน”

“เขาไม่ชอบเอ็ง?”

“คือมันเคยบอกว่าชอบว่ะเฮีย แต่นิสัยมันขี้แกล้ง ชอบปั่นหัวกันตลอด ข้ากลัวมันหลอก” ลองปรึกษาเฮียมันดูละกัน เผื่อจะได้แนวคิดดีๆ

“งั้นก็ไม่ต้องบอก”

“เอ้า เฮียอย่ามาเสียงแตกนะ คนอื่นเขาเชียร์ให้บอกชอบกันหมด” ผมทำเสียงประหลาดใจที่จู่ๆ เฮียดันพลิกโผซะงั้น

“แล้วไง ถ้าจะนิสัยเหี้ย ก็อย่าเสียเวลามุ่ย คำบอกชอบของมึงมีค่ามากกว่านั้น” เฮียหันมาสบตาผมแวบหนึ่งอย่างจริงจัง แววตาไม่มีล้อเล่น ทำให้ผมรู้สึกตัวหดเล็กลง


เวลาเฮียครามไม่อยู่ในโหมดติงต๊อง ผมล่ะไม่ชอบเลย เหมือนโดนดุ


“เฮียอย่าว่ามัน...มันแค่ขี้แกล้งเฉยๆ หรอก มาฮงมาเหี้ยอะไรล่ะ วู้” บีมไม่ได้เหี้ยจริงๆ นี่นา มันแค่แด๊ะแด๋ของมันไปเรื่อยก็เท่านั้นเอง ใครก็รู้

“งั้นก็แล้วแต่เอ็งเถอะ อย่ามาร้องไห้แงๆ ให้เห็นแล้วกัน”

“เฮียแม่ง”

“เออๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ไม่นิยมเอาความเครียดกลับบ้านโว้ย”

“เฮียครามอย่ายังงี้ดิ คุยกันก่อน” ผมกระตุกเสื้อเฮียครามให้กลับเข้าประเด็นเดิม แต่เหมือนเฮียมันจะสติหลุดไปแล้ว ท่าทางอย่างนี้แม่งหิวข้าวชัวร์

“พูดมาก ลงไปซื้อแคบหมูเลยไป เร็วๆ” เฮียจอดรถหน้าร้านขายอาหารตามสั่งหน้าหมู่บ้านแล้วเร่งให้ผมลงไปซื้อมาให้มัน

เอ้อ! ช่างแม่งแล้วกัน ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

“โว้ย!”



.

.

.



ต่อข้างล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า



[ช่วงบ่ายของอีกวัน]


ตึกๆ


“เฮียมุ่ย เดินลงบันไดเบาๆ” เสียงน้องสาวคนสวยดังมาจากทางห้องนั่งเล่น ขณะที่ผมแลนดิ้งถึงพื้นพอดิบพอดี เลยหันไปส่งยิ้มแหะให้

รีบมาก ผมรีบสุดๆ กูตื่นสายอีกแล้ว แม่งอุตส่าห์นัดน้ำตาลไว้ซะดิบดี แต่เมื่อคืนผมมัวนั่งแต่งรูปจนเกือบเช้า คือเพิ่งนึกได้ว่ามีงานค้างไว้ เกือบส่งงานไม่ทันซะแล้วไม่งั้นนะผมเสียเครดิตหมด พอทำเสร็จแล้วได้นอนก็เพลินจนตื่นสาย ดีนะที่บอกน้องไว้ก่อนว่าให้ปลุกด้วยถ้าผมไม่ตื่นจริงๆ

“ใส เฮียไปก่อนนะ” ผมเดินไปจุ๊บเหม่งฟ้าใส รีบวิ่งออกจากบ้านคว้าน้ององุ่นมาเสียบกุญแจรถ แล้วรีบบิดออกไปทันที หวังว่าน้ำตาลจะยังไม่มานะครับ


แม่งเหตุการณ์ดูคุ้นๆ ขออย่างเดียวเลยไม่เอาบีมอีกแล้ว บีมไม่ต้องมาเลยนะ

ไม่อยากเจอหน้ามันเลย ถ้ามันมางุ้งงิ้งๆ กับน้ำตาลอีก ผมต้องหงุดหงิดหัวร้อนพาลจนงานเสียชัวร์ ดังนั้นผมภาวนาก่อน อย่ามาๆ สาธุๆ


เพี้ยง!



.

.



“ไง น้องมุ่ย”


ฆ่ากูเลยเถอะ เอาปืนมายิงกูเลย


“ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นก็ได้นะ หึ” อืม หน้ากูคือแฮปปี้มาก หยังตุ๊เจ้าบ่าฟังกั๋นพ่อง มันเป็นจะใด หื้อ มันเป็นจะใด!


ผมแก้แค้นโดยการโยนของทุกอย่างไปให้มันเฝ้า ให้มันถือของแบกกระเป๋าจนแขนหักไปเลย!


ตัวผมน่ะมาได้ทันเวลาอย่างเฉียดฉิวเหมือนคราวที่แล้วไม่มีผิด ระหว่างรอน้ำตาลผมก็ออกไปดูมุมถ่ายภาพกับพี่เจ้าของร้าน ตอนแรกยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะใช้โลเคชั่นที่ไหนดี เลยลองปรึกษากับเฮียเพลินดู เผื่อแกจะรู้จักที่เด็ดๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แกแนะนำร้านนี้มาแถมยังบอกอีกว่าร้านสวยมาก มุมถ่ายรูปเยอะ

ร้านนี้เป็นของเพื่อนสมัยมหาลัยของเฮียเพลิน เฮียแกเลยลองคุยให้ก็สรุปว่าโอเค แต่จะได้แค่โซนข้างนอกกับโซนอาร์ตแกลลอรี่เท่านั้น ด้วยความที่ยังไม่เคยเห็นสถานที่จริงผมเลยคิดธีมไม่ออกว่าจะให้ภาพของน้ำตาลออกมาในแบบไหน แต่ก็ได้บรีฟน้ำตาลไว้แล้วว่าเอาสไตล์ที่เธอชอบเลย จะได้ไม่ดูฝืนเวลาเป็นแบบให้ผม

ซึ่งเท่าที่เดินดูและได้พูดคุยกับพี่เจ้าของร้าน ผมก็เริ่มได้ไอเดียอยู่บ้างละ ประจวบเหมาะกับน้ำตาลมาพอดี ซึ่งเป็นลุคที่ผมโคตรละพอใจ ลุคเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ มันเข้ากับคอนเสปต์ที่ผมคิดไว้เป๊ะอย่างกับจับวาง


แต่ที่ไม่พอใจก็คือ บีมมันมาด้วยทำไมหื้อ


ยิ่งไม่อยากเห็นหน้ายิ่งมาให้เจอ


ฮึ่ย


“น้องมุ่ย พี่ห้ามมันไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะคะ” ผมหันมองน้ำตาลด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจเป็นอย่างดี

“เรารู้ๆ บีมหน้าด้านอย่างนี้ตลอดแหละ” ผมเหล่ตามองบีมพลางเบะปากอย่างรำคาญใจ

“ถ้าไม่หน้าด้านก็คงไม่ได้จะ -”

“เอ้ออออ! เดี๋ยวเราพาไปดูโลเคชั่นดีกว่า ผมมาร์กที่ไว้หลายจุดเลย เดี๋ยวน้ำตาลลองไปจัดมุมจัดท่าให้เราลองกล้องก่อนนะ” ผมรีบพูดแล้วพาน้ำตาลไปมุมอาร์ตแกลลอรี่ก่อน ไม่ลืมที่จะหันกลับมามองบีมอย่างคาดโทษไว้ ผมชูสองนิ้วชี้ที่ตาตัวเองสลับกับบีมในระดับเดียวกัน แต่นอกจากมันไม่สะทกสะท้าน ยังส่งมินิฮาร์ททึมาให้ผมพร้อมขยิบตาเจ้าเล่ห์ด้วย


เดี๊ยว! เดี๋ยวมึงเจอกู๊


มึงรอเล้ย!


.

.



“น้ำตาลกดหน้าลงหน่อยนะ อย่างนั้น โอเค” ตอนนี้เราเปลี่ยนโลเคชั่นมาถ่ายข้างนอกแล้ว หลังจากที่ถ่ายข้างในมาประมาณชั่วโมงกว่า และน้ำตาลก็มาไทป์เดียวกับบีมเลยครับ ภาพเสียน้อย แทบไม่ต้องแก้อะไรเลย เธอทำตามที่ผมบอกได้ทุกอย่าง การจัดระเบียบร่างกายก็โคตรดี ทำเซียนเหมือนเรียนมา ผมล่ะชอบมาก ถ่ายซะเพลินเลย


ส่วนบีมน่ะเหรอ


เฮอะ


“ไอ้น้อง! เอาน้ำมาดื่มดิ้ ร้อนจะตายอยู่แล้วเนี่ย” ผมลดกล้องลงบอกน้ำตาลว่าพักสิบนาที เธอเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน เช็ครูปจนพอใจ ก็เงยหน้าขึ้นเห็นบีมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ได้ที ผมเลยแกล้งยกมือขึ้นพัดๆ ตัวเองแสร้งทำเป็นร้อนมาก แล้วเรียกบีมให้เอาน้ำมาให้

“เรียกกู?”

“เรียกหมามั้ง เร็วดิไอ้เจ้าคนใช้” ผมเท้าเอวยืนพักเท้ากระดิกนิ้วเรียก บีมเลิกคิ้วมองแล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินมาหาผม แหะ เชื่องดีจัง


ป็อก!


“เอ๊ะ!” ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจเพราะบีมยกแก้วน้ำขึ้นมาเคาะศีรษะ กะว่าจะด่ากลับไปแต่มันดันยื่นหลอดเข้าปากผมก่อนพอดี

“หิวไม่ใช่รึไง”

“อื้อๆ” ผมส่งเสียงในลำคอเถียงมันกลับพลางดูดน้ำไปด้วย บีมก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความพยายามของผม

“ใกล้เสร็จรึยัง กูต้องรีบกลับนะ มีงานต่อ” ผมผละหลอดออกแล้วหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทำไมแค่ดื่มน้ำถึงเหนื่อยขนาดนี้วะ เฮ้อ

“เหลืออีกเซ็ตนึง ทำไม หวงนักรึไง”

“หวง?”

“เออ ทำมาเป็นรีบ โถ้ะ หวงเขาก็พูด ไม่อยากให้เขาอยู่กับกูสองต่อสองก็พูด” ผมเบะปากแค่นเสียงหัวเราะ พูดกระแนะกระแหนให้มันฟัง ซึ่งบีมก็ได้แต่ทำหน้างง


ชิชะ ทำแกล้งนะมึงอะ


“มึงหมายความว่าไงวะน้องมุ่ย รู้สึกแหม่งๆ”

“ไม่รู้สิ้ ใหญ่แล้ว กึ้ดเอง หยังต้องมาหื้อฮาบอก” ผมลอยหน้าลอยตาเดินหนีห่างจากบีมไปอีกมุม แต่มันดันคว้าแขนผมไว้ก่อน

“เดี๋ยวน้อง -”

“น้องมุ่ย โทษทีนะ พอดีเราแอบไปสั่งชาเขียวมา” น้ำตาลเดินเข้ามาพอดีทำให้บีมต้องหยุดการกระทำของตัวเอง ยืนมองผมสลับกับน้ำตาลอย่างใช้ความคิด

“มองอะไรของแก”


เฮอะ! ดูเด่ะ พอน้ำตาลมามันก็ปล่อยผม แม่งกลัวเขาเข้าใจผิดมากมั้ง


โด่ว


“งั้นกูกลับก่อนนะตาล ไอ้ปั้นโทรตาม” อะ...อ้าว รีบจริงเหรอ กูก็นึกว่าอ้างเฉยๆ เจอหน้ากันแป้ปเดียวเอง

“เออ ไปเหอะ เดี๋ยวเรียกแกร็บกลับเอง”

“กูไปแล้วนะน้องมุ่ย ถ้าตาลพูดอะไรก็อย่าไปฟังมันมาก ชอบพูดจาเลอะเทอะ” บีมมองผมด้วยแววตาเอ็นดูพลางยกมือขึ้นลูบแก้มผมแล้วหยิกเบาๆ จากนั้นก็ผละออกไปเพราะผมยกมือทำท่าจะตีมันก่อน


ก็...ก็มันเขินไหมอะ มาลูบกันทำไมวะ น้ำตาลก็อยู่


“เออ กูไปละ ของพี่บีมวางไว้ตรงนั้นนะมุ่ย อย่ากลับเย็นมากรู้ไหม” บีมชี้เหล่าข้าวของของผมที่วางกองอยู่บนโต๊ะตัวเดิม แล้วหันมาเตือนผมอีกที

“โอ๊ย! เสียงสอง!” น้ำตาลเหล่ตามองบีมอย่างหมั่นไส้ บีมเลยยกมือขึ้นผลักไหล่น้ำตาลเบาๆ แล้วยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ


แล้วก็หยอกกันต่อหน้ากู


เออ


“ไปแล้ว” บีมโบกมือลาแล้วเดินออกไป ผมมองจนลับสายตาแล้วหันมามองน้ำตาล เธอโบกลาบีมด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาดูสดใสชวนให้ยิ้มตาม เขาสองคนก็ดูสนิทกันจริงๆ นั่นแหละ


~ใครจะมาแทรกกลาง ระหว่างเรา

รู้ไว้นะว่าเขาไม่มีวันเข้ามาได้~



เพลงเก่ามาก แต่ตรงกับความรู้สึกของผมตอนนี้มากเช่นกัน คือทุกคนเข้าใจปะว่า พอเราเห็นคนที่เราชอบอยู่กับคนที่เหมาะกับเขามากกว่าในทุกด้าน ย้ำว่าในทุกด้าน อย่างนี้แล้วผมจะเอาอะไรไปสู้เขาวะ แค่หน้าตาก็แพ้แล้ว


เธอสวย ผมหล่อ อย่างนี้มันเทียบกันไม่ได้


แถมยังสนิทกันมาก่อนอีก รู้ใจกันไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ผมรู้แค่ผิวเผิน บีมเป็นพี่บู บูเป็นน้องบีม เนี่ย กูจะเอาตรงไหนไปแทรกกลางระหว่างเขา

“น้องมุ่ย”

“อะ..ครับ เราถ่ายต่อกันเลยไหม” น้ำตาลมองผมดูเหมือนเธองงๆ ว่าผมจ้องเธอทำไม

“อื้ม แต่...”

“หือ?”

“ระหว่างถ่ายขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

“อ่อ ได้ครับ” ผมยิ้มรับไม่ปฏิเสธ สงสัยน้ำตาลคงจะประหม่ามั้ง บีมไม่อยู่ด้วย คงอยากจะพูดคุยเพื่อให้บรรยากาศมันผ่อนคลาย ไม่เครียดมาก ผมได้หมดอะ ปกติก็ชอบชวนนางแบบคุยอยู่แล้ว ไม่งั้นระหว่างกันมันจะอึดอัดทำให้ตัวคนเกร็ง ภาพก็จะออกมาไม่ได้มู้ด สุดท้ายก็ถ่ายไปเหนื่อยเปล่า

ผมพาเธอเดินไปอีกมุมนึง จัดท่าทางให้เธอ ดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็เดินออกมา แล้วเริ่มถ่ายภาพ

“มองไปทางซ้ายนิดนึงครับ ยื่นขาออกมาหน่อย ดี...”

“มุ่ยชอบเราเหรอ”


ปึ่ก!


กล้องในมือร่วงลงกระแทกกับหน้าอกดังอั่กเมื่อได้ยินประโยคนั้น ทำให้การถ่ายภาพหยุดลงชั่วขณะ ผมมองน้ำตาลอย่างตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจู่ๆ เรื่องคลายเครียดของเราจะเป็นแบบนี้ ยะ...ยังไม่ทันตั้งตัวเลย

“ว่าไงคะ?”

“คือเรา...”

“คะ?” อย่าคาดคั้นผ๊ม

“กะ...ก็ชอบ” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก เหตุหนึ่งก็เพราะกลัวว่าน้ำตาลจะโกรธรึเปล่า และอีกเหตุผลก็คือ ผมรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้คิดอย่างนั้นมานานแล้ว จนลืม


เออ...ไอ้เหี้ย กูลืมเลยว่าเคยชอบน้ำตาล


“ชอบเราจริงๆ เหรอ” ดวงตาคู่สวยจ้องมาที่ผมอย่างต้องการคำตอบที่ชัดเจน

“คืองี้นะ น้ำตาล...”

“...”

“คือ...เราชอบ ตะ...แต่ว่าเราหมายถึง -”

“งั้นมาคบกันไหม”



!!!



“เราก็ชอบมุ่ยนะ น้องน่ารักแล้วก็ตลกดี” ผมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเธอจะพูดขอผมเป็นแฟนมาก่อนเลย กูช็อค


เหี้ย!


อะไรวะน่ะ?


“ทำไมถึงขอคบอะ...เอ่อ แบบว่า...” ผมพยายามจะถามเธอ แต่เรียบเรียงประโยคไม่ถูก

“ก็มุ่ยชอบเรา เราชอบมุ่ย ใจตรงกันก็คบกันได้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ได้!”

“หื้อ?”


เหี้ย! หลุดปาก!


ผมโพล่งขึ้นมากะทันหันอย่างไม่รู้ตัว ทำให้น้ำตาลเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ แต่รอยยิ้มที่เธอส่งมาให้กลับดูแปลก เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า


ผมพลาดแล้ว


“ไม่ดิ เราหมายถึง เราชอบเธอจริง แต่ว่ามัน...มันคือเราเคยชอบเธอ ใช่ๆ มันเป็นงี้” อะกูตั้งสติก่อน ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดนะไอ้มุ่ย หายใจเข้าฮืบ ผ่อนออกมายาวๆ


เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว บอกไปเลยแล้วกัน ยังไงวันนึงน้ำตาลก็ต้องรู้อยู่ดี


ระหว่างเราเงียบไปอึดใจ ไม่นานน้ำตาลก็พูดขึ้นมา

“สรุปมุ่ยจะบอกเราว่า...”

“เราอยากจะบอกเธอว่า ตอนแรกเราอะ ชอบเธอ ชอบมากเลย” พูดให้หมดไอ้มุ่ย เคลียร์ไปทีละอย่าง มึงจะได้โล่งบ้าง สุดท้ายจะได้เหลือแค่บีมคนเดียว

“ต่อเลยค่ะ” น้ำตาลปรับท่าทางให้ดูสบายๆ ขึ้น ผมเห็นอย่างนั้น เลยเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเธอ ยกสายคล้องกล้องออกจากคอแล้ววางลงกับโต๊ะ ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ แล้วพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ต้องการจะสื่อออกมา

“เราชอบที่เธอสวย แวบแรกที่เราเห็นเธอคือมันใช่มาก โคตรสเป็กเลย”

“...”

“เวลาที่เราจับภาพเธอผ่านกล้องมันดีมาก เธอดูดีทุกอิริยาบถ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอก เรานึกว่าตัวเองอะชอบเธอ ชอบแบบผู้ชายชอบผู้หญิง แต่...”

“อือ...”

“แต่พอเวลาผ่านไป ความจริงแล้วเราน่าจะชอบเธอ...เอ่อ แบบว่า จะพูดยังไงดีวะ”

“ชอบในมุมของช่างภาพ...งี้ปะ?”

“อื้อๆ ใช่เลย” ผมพยักหน้ารัวๆ

“หึๆ ฮ่าๆ เราว่าแล้ว” น้ำตาลลั่นหัวเราะออกมาเสียงดังแบบไม่รักษาภาพลักษณ์ตัวเอง เธอขำอะไรของเธออะ

“เอ่อ...น้ำตาล?”

“โทษทีๆ เราแค่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ อะ คิกๆ” ผมปล่อยให้เธอขำอยู่อย่างนั้นร่วมนาที น้ำตาลปาดน้ำตาที่หางตาตัวเองออกไปแล้วกลับมายิ้มให้อย่างปกติอีกครั้ง

“แฮ่” ผมส่งยิ้มแหยให้ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

“รู้ไหมว่าเวลาน้องมุ่ยรู้สึกอะไร แววตาน้องมันแสดงออกมาหมดเลยนะ” เออ แสดงว่าน้ำตาลก็รู้ตั้งนานแล้วอะดิ โอย ไอ้มุ่ยเอ้ย มึงปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ

“งั้นเหรอ แหะๆ” แห้งเลยกู

“ขอโทษที่หัวเราะนะ” ผมส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“เราสิต้องขอโทษ”

“หือ? ขอโทษเรา เรื่องอะไรอะ” น้ำตาลทำหน้าฉงน


เห้อ!


เพราะความโลเลของผมแท้ๆ ที่ทำให้น้ำตาลคิดไปไกลแบบนี้


ทำเอาผมรู้สึกผิดเลยที่คิดไม่ดีกับเธอมาก่อนหน้า หึงเขาสองคนไปทั่ว โดยที่ไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่าจริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นแบบไหนกันแน่ นี่สรุปแล้วทั้งบีมทั้งน้ำตาลก็ชอบผมหมด โอ๊ย ผมจะปฏิเสธเธอยังไงดีนะ

“ขอโทษที่เราตอบรับความรู้สึกน้ำตาลไม่ได้ คือเรา เราชอบบีมอะ” ผมมองสบสายตาน้ำตาล กลัวเธอจะเสียใจ ผมดูใจร้ายมากไหมวะ ปฏิเสธเขาต่อหน้าอย่างนี้ แม่ง เป็นผมนะผมด่าแล้ว แถมยังมาบอกชอบคนอื่นต่อหน้าเขาอีก

“...”

“มันดูใจร้ายก็จริง แต่เราไม่ไม่ได้ชอบน้ำตาล”

“...”

“เราเป็นเพื่อนกันดีกว่าเนอะ”

“...”

“ความรู้สึกนั้นเรายกให้บีมไปแล้วอะ”

“ที่...เมื่อกี้เราบอกชอบมุ่ย...”

“อือ” ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ เราจะไม่ว่าเธอเลย จะไม่ทำหน้าสงสารเธอด้วย เดี๋ยวเธอรู้สึกแย่

“เราโกหกอะ”


“...”


“...”


“เออะ...”

“ขอโทษที เราแค่อยากแน่ใจในความรู้สึกของมุ่ยเฉยๆ”



เพล้ง!


ได้ยินเสียงอะไรแตกไหมครับ


เก็บเศษหน้าแป้ป


ฮือ



“ฮะๆ ไม่ทำหน้าหมองดิ” สงสัยสีหน้าผมมันหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาลถึงเอ่ยออกมาอย่างนั้น

ก็ปล่อยให้พูดตั้งนานเนอะเธอ เศร้าเลยชีวิต


เฮ้ย!


แต่ถ้าน้ำตาลไม่ได้ชอบผม...ไม่ได้ๆ ไม่ๆ เราต้องปรับความเข้าใจกันใหม่เลยน้ำตาล เธออะทำเราไขว้เขวแล้วพอตอนนี้เธอทำให้เรากลับมาระแวงอีกแล้ว ผมต้องห้ามทัพก่อน


น้ำตาลต้องพักก่อน



“ถ้าอย่างนั้น...”

“คะ?”

“ถ้าอย่างนั้นเราขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“หือ อ้อ ว่ามาเลย”


“ถ้าน้ำตาลไม่ได้ชอบเราอะนะ”


“...”


“น้ำตาลอย่าชอบบีมเลย”


“...”


“ไม่ใช่อะไรนะ แต่เรา...”


“...”


“เราหวงว่ะ”






***************************************

ไหนใครบอกจะมาสิ้นเดือน ฮือออ // มาแล้วนะคะ น้องมุ่ยช่วงนี้เขาค่อนข้างอย่ในโมเม้นโลเล เเล้วยังคิดเก่ง คิดไปเองเก่งงงง เอาใจช่วยน้องกับพี่บีมด้วยนะคะ รักๆ

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บทที่ 21

โอ๋ รักกันๆ



ความจริงวันนี้ผมควรจะนอนอยู่ห้องสบายใจเฉิบ แต่ไอ้เจ๋งดันโทรนัดให้มานั่งติวด้วยกันที่ร้านกาแฟแถวมอ จะไม่มาก็ไม่ได้ ยิ่งโง่ๆ อยู่ โดยเฉพาะวิชามอนะ ฆ่าผมเลยเถอะ ทั้งอิ้งทั้งไทยแม่งตีกันให้มั่วไปหมด อย่างน้อยก็ให้พวกมันช่วยยัดความรู้ใส่สมองหน่อยน่าจะดีกว่าอ่านเอง

ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ทั้งผม แก๊ป และไอ้เจ๋ง ต่างคนต่างนั่งเอาหน้าฟุบกับหนังสือ ตาลอยปรือเหมือนกับเหนื่อยมาทั้งชีวิต นี่ขนาดดื่มกาแฟกันคนละแก้วสองแก้วแล้วนะครับ ยังเอาพวกผมไม่อยู่ ท้อเลยว่ะ

อันที่จริงมันก็มีเวลาให้อ่านมาตั้งเดือนกว่าแต่แม่งไม่อ่านไง มัวแต่เอ้อระเหย มาเลิ่กลั่กกันเอาตอนใกล้จะสอบ สภาพเลยดูไม่ได้อย่างที่เห็น

“นี่เราติวกันมากี่ชั่วโมงแล้ววะ...” ไอ้เจ๋งถามขึ้น

“หลายอะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“เหี้ย...ตีหนึ่งแล้ว” ผมมองไปยังนาฬิกาแขวนของทางร้านที่แสดงเวลาตีหนึ่งกับอีกห้านาที

“ร้านเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง มึงอยู่ได้ยันหว่างอะเพื่อน” ผมยื่นมือไปตบหัวมันอย่างปลอบใจ

“อยู่ไปคนเดียวนะไอ้ควาย”

“โห่”

“กูไม่ไหวแล้วไอ้เหี้ย” แก๊ปที่นอนคว่ำหน้าฟุบกับโต๊ะพูดขึ้นเสียงอู้อี้

“ซักหน่อยไหมล่ะ” ผมดันแก้วกาแฟที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งไปทางมัน

“กาแฟที่หน้ามึงสิ แดกอีกนิดกูคงช็อคตายคาร้าน” แก๊ปเงยหน้าขึ้นมาแล้วผลักหัวผมที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง แล้วยกมือลูบหน้าตัวเองไปมาแรงๆ เพื่อหวังให้หายมึน

“เอ้า กูหวังดีเด้อ อยากให้เพื่อนตาสว่างไง”

“สว่างยันโลกหน้าอะไอ้สัด”

“พอๆ กูว่าวันนี้แม่งพอเหอะว่ะ จะตายห่าแล้วเนี่ย สมองกูไม่รับรู้เหี้ยอะไรแล้ว กูจะตายแล้วแม่ โฮ” เจ๋งทำหน้าเบ้โอดครวญอย่างเป็นท้อ ผมเห็นด้วยกับมันอะ ถ้าเรายังฝืนอ่านอยู่อย่างนี้ เราจะตายกันหมดนะเพื่อน

“พวกมึงแม่งไม่ใจเลยว่ะ” ผมเอ่ยขึ้นเยาะเย้ยพวกกาก อ่อนแอจริงโว้ย

“เชิญคนใจๆ อย่างมึงอ่านต่อไปเลยนะ คนกากเย้อย่างกูขอลาก่อน” ไอ้เจ๋งลุกขึ้นสะบัดหัวไล่ความง่วงแล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋า ผมกับไอ้แก๊ปจึงขยับตัวเก็บของตาม แหม่ ก็กวนตีนไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วผมนี่แหละคือคนที่บ่นเย้วๆ ตั้งแต่สามทุ่มแล้วว่าอยากกลับหอ

ก่อนจะแยกย้ายกันพวกผมตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไม่ติว ต่างคนต่างพักกันไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยนัดอีกที เออ ให้กูได้พักบ้างเถอะไอ้สัด ถ้าพรุ่งนี้นัดอีก พวกมึงก็จะได้แค่ตัวกูไปนั่นแหละ อย่าหวังเลยว่าจะได้สมองกู เฮอะ

รู้ไหมครับ ยิ่งกลับดึกยิ่งอันตราย ถึงแม้จะเป็นเส้นทางในโซนมหาลัยก็ตาม ประมาทไม่ได้เลยนะครับ โชคดีที่แถวนี้เป็นช่วงสอบเลยมีแต่ร้านคาเฟ่ที่ขยายเวลาปิดดึกกัน เลยยังเห็นผู้คนอยู่หรอมแหรม ทำให้ทางกลับบ้านของผมในคืนนี้ไม่เปลี่ยวมากนัก

“มึงนี่ภาระกูจริงๆ เลยไอ้เด็กกาก” แก๊ปส่งหมวกกันน็อคให้ผมพลางบ่นไปด้วย ไอ้นี่แม่งบ่นกูตั้งแต่ตอนมารับ จะกลับบ้านแล้วยังว่าอีก เพื่อนกูจริงเปล่าเนี่ย

“ก็ขี้เกียจขี่อะ แล้วกูก็รู้ไงว่ากลับดึกแน่ๆ เลยมาพร้อมมึงกลับพร้อมมึงเลยดีกว่าเพื่อความปลอดภัย” ผมโทรให้แก๊ปมารับเพราะไม่อยากขี่รถตอนกลางคืน เสี่ยงหลับในผมอะ

“เออ กูว่าจะถาม”

“ค่อยถามพรุ่งนี้ได้มะ เก็บไว้ก่อน”

“ไม่ได้”

“เออๆ ว่ามา”

“มึงหลบหน้าพี่บีมเหรอวะ” คำถามจากแก๊ปทำให้ตัวผมแข็งทื่อขึ้นอัตโนมัติ

“อะไร”

“อย่ามา อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์มึงเอาแต่หนีหน้าพี่บีม เป็นเหี้ยไรอะ” แก๊ปนั่งพิงรถบิ้กไบค์คันใหญ่ของมันแล้วใช้สายตากดดันให้ผมตอบ

“กูเปล๊า” ผมโบกไม้โบกมือ ป่ายปัดทั่วตัว ทำอย่างกับตัวเองไปคลุกฝุ่นที่ไหนมา

“เอ้อ กูเชื่อมากมั้ง ที่ถามเพราะพี่บีมเขามาถามหามึงกับกู เนี่ย กูก็เลยงง ว่าคนอย่างมึงอะนะจะหลบหน้าคน”

“เหย ไม่ได้หลบสักหน่อย วู้ มั่วแล้วมึงอะ ฮะๆ ฮ่าๆ” ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อจากกรอบหน้าและลำคอ อากาศก็ออกจะเย็นนะ แต่ทำไมกูร้อนวะ ไม่สบายม้าง แค่ก โอ๊ย ป่วย!

“เลิ่กลั่กแล้ว”

“เออน่ะ ช่างเรื่องของกูเหอะ แล้วถ้าวันหลังบีมมันมาหา มึงก็ไม่ต้องคุยกับมัน หนีไปเลย”

“แล้วให้กูบอกพี่มันว่าไงอะ”

“บอกว่ามุ่ยคือใคร ผมไม่รู้จักครับพี่! ตอบงี้ไปเล้ย!”

“เอ้อ กูเพิ่งรู้...” ไอ้แก๊ปยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมอย่างแรง

“ไรมึง”

“ว่ามึงเป็นคนขี้เขิน”

“ใครเขิน! มึงอู้ดีๆ เน้อ!”

“ไม่องไม่อู้อะไรทั้งนั้น ไป ขึ้นรถ”

“กูบ่าได้ขี้เขิน! ไอ้แก๊ป บ่าคนง่าว!”

“โวะ วุ่นวายจริงเลยมึงเนี่ย ระวังเถ๊อะ ลีลามากๆ พี่บีมเขาจะเบื่อ” แก๊ปส่ายหัวอย่างหน่ายๆ แล้วขยับตัวขึ้นคร่อมรถบิ้กไบค์คันงาม

“ใครเบื่อใคร พูดดีๆ ไอ้สัด กูแค่ต้องการใช้ความคิดนิดหน่อย”

“เชื่อมึงก็ควายแล้ว ขึ้นรถซักทีดิ้ จะกลับไหมบ้านอะ”

“กลับเด้ มึงนี่”

“ตั้งใจอ่านหนังสือได้แล้ว มัวแต่คิดเรื่องผู้ชาย แรดจริงๆ” ท้ายประโยคเหมือนแก๊ปจะพึมพำกับตัวเองก่อนจะสวมหมวกกันน็อค แต่บังเอิญหูกูดี ไอ้สัด

“กูได้ยิน!”

“กลับบ้าน!”



หลังจากวันนั้นที่คุยกับน้ำตาล แล้วเผลอพูดคำน่าอายออกไป ผมแม่งไม่กล้าเจอหน้าเธอเลย ยิ่งกับบีมแล้วยิ่งไปใหญ่ ทำตัวเหมือนโจรเข้าไปทุกทีเวลาที่จะไปกินข้าวที่โรงอาหาร ไม่ใช่อะไรนะครับ ผมกลัวทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรด้วย

แถมยังเผลอออกตัวแรง จนเลี้ยวกลับมาแทบไม่ทัน





ย้อนกลับไปวันนั้น

ผมไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาเก็บเศษหน้าตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง


.

.

“...”

“เราหวงว่ะ”

“...”

“เอ่อ...”



เชี่ยแม่ง...



ไอ้เชี่ยมุ่ย โอ้โห...



มึงพูดเหี้ยไรออกไปเนี่ย!?



เปิ้นเป็นแม่ญิง มึงไปอู้กับเปิ้นจะอั้นได้จะใด หวงเหิงอะหยัง บ่าง่าวๆ เอ้ย!

“น้ำตาล คือเราไม่ได้ -” ยังไม่ทันที่ผมจะได้แก้ตัว น้ำตาลก็ยกมือเป็นเชิงอย่าเพิ่งพูด แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่าง แล้วหันหน้าจอให้ผมดู

“....”

“อันนี้ พอจะอธิบายอะไรได้ไหม”

“เอ่อ...” บนหน้าจอปรากฏภาพน้ำตาลกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ในลักษณะ แนบชิด?

“อึ้งเลยดิ ฮ่าๆ หน้าน้องมุ่ยตลกจัง” เธอหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ที่เห็นหน้าเหวอๆ ของผม

“ถะ...ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า”

“ก็...ปีกว่าแล้วนะ น้องมุ่ยคงไม่เคยเห็น เธอเรียนหมอน่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้เพราะพี่ไม่ได้ประกาศบอกใครแต่ก็ไม่ได้ปิด จริงๆ พี่ก็ไปเที่ยวด้วยกันออกจะบ่อยนะ ในไอจีรูปก็เยอะอยู่ ถ้าน้องมุ่ยจะสังเกต” เธอว่ายิ้มๆ โดยไม่ได้สนใจหน้าตาผมที่ตอนนี้ช็อคไปเรียบร้อยแล้ว

“...”

“เหวอเลยอะดิ”



เพล้ง!



หน้าแตกรอบที่สอง



งั้นแสดงว่าผมน่ะ ตัวผมแม่งไม่มีโอกาสตั้งแต่แรก ในตอนนั้นที่เริ่มคิดจะจีบน้ำตาล ความจริงแล้วคือกูแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเลย

“เปล่าๆ เราแค่ตั้งตัวไม่ทัน เอ่อ แบบ คือเราไม่คิดว่าน้ำตาลจะ...เห้ย! ไม่ใช่จะหมายความว่าอย่างนั้น เราหมายถึง -” มือไม้และลิ้นพันกันหมดแล้วตัวกู ผมก็นึกว่าน้ำตาลกับบีมชอบกัน แต่ที่ไหนได้ เธอมีแฟนอยู่แล้ว แถมแฟนยังน่ารักมากๆ อีกตังหาก

น่ารักมากจริงๆ นะ

“เราเข้าใจๆ ไม่ต้องคิดมากนะคะ”

“แฮ่ๆ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาดเมื่อรู้ว่าทั้งสองคนไม่ได้ชอบกันอย่างที่ผมเข้าใจ ถึงแม้จะอึ้งไปหน่อยก็เถอะ เหมือนผมยกก้อนหินหนักๆ ออกไปจากอกได้สักที แม่ง...แล้วก็กร่างใส่คนสวยซะเต็มที่ เราหวงว่ะ~ บ่าง่าว! กูนี่เขินเลย

หมดกันภาพพจน์คนดีอย่างนายฟ้ามุ่ย

“วางใจเถอะ บีมอะมันเพื่อนเรามานานมาก รู้สันดานกันดีเกินกว่าจะมาปิ๊งปั๊งกันได้ และคิดว่าคงไม่มีทางแน่ๆ ขนลุก” น้ำตาลทำหน้าแหยงๆ ลูบแขนขึ้นลงอย่างขนลุก

“ระ...เราขอโทษนะ”

“ฮื่อ ไม่เป็นไร เราว่าน่ารักดี”

“แหะ”

“แต่หน้าน้องมุ่ยเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ อีกนิดเรานึกว่าจะจับเราโยนออกนอกร้านแล้วอะ หน้าหาเรื่องมากเลย”

“เห้ย เราไม่ได้ตั้งใจ เราไม่ทำร้ายแม่ญิง ละอ่อน คนเฒ่า คือหน้าเรามันโหดอยู่แล้วอะ ไม่แปลกที่เธอจะกลัว เราขอโทษนะ” เชี่ย ไม่นึกว่าหน้าตาอันหล่อเหลาของผมจะทำให้น้ำตาลกลัว แม่งเอ้ย สงสัยเผลอทำหน้าโหดใส่ จิ๊ ไม่น่าเลย ใครๆ ก็รู้ปะว่าหน้าผมมันโฉดชั่วขนาดไหน ดันเผลอไปแสดงสีหน้าท่าทางแบบนั้นใส่คนสวยอีก เฮ้อ เป็นคนหน้าโหดนี่เหนื่อยนะครับ

“อ่า โหดๆ เนอะ”

“ใช่ พอเข้ามหาลัย เราพยายามที่จะทำหน้าใจดีแล้วนะ แต่พอเผลอแล้วหน้าตาเราจะน่ากลัวทุกทีเลย ใครๆ ก็บอก”

“เอ่อ จ้ะ”

“งั้นเรื่องที่เราพูดไปวันนี้ อย่าบอกบีมนะ” ผมเอามือป้องปากกระซิบบอกกับน้ำตาลเสียงเบา ผมเขินอะ บ่าใจ้อะหยัง บ่าฮู้จะสู้หน้าบีมจะใด ถ้ามันฮู้ว่าผมอู้หยังไปพ่อง แม่งต้องเอามาล้อผมยันชาติหน้าแน่ๆ

“ได้ดิๆ” น้ำตาลตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วระหว่างเราก็เงียบลง ผมรู้สึกคอแห้งเลยยกน้ำขึ้นดื่มให้คล่องคอ ถ้าอย่างนั้น ก็ถือว่าผมเคลียร์จบไปแล้วหนึ่งเรื่อง กว่าจะจบก็เล่นเอาผมช็อคไปหลายรอบ แต่ก็จบลงด้วยดีนะ อย่างน้อยก็เป็นตัวผมเองที่เข้าใจผิด ถ้าเกิดมันเป็นอย่างที่ผมคิดขึ้นมา ผมก็ไม่รู้จะจัดการยังไงเหมือนกัน คงจะยาก ยากมากๆ แน่ๆ



และสุดท้ายก็เหลือแค่เรื่องของบีม



หนัก พูดเลยว่าหนัก



ผมนี่ซี้ดปากเลย



กูจะสู้หน้ามันได้ยังไง เอางี้ก่อน



“เราขออะไรน้องมุ่ยอย่างหนึ่งได้ไหม” ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงหวานของคนตรงหน้า ผมพยักหน้าให้เธอพูดต่อ และยินดีรับคำขอ

“ครับ?”

“ปกติเห็นบีมมันนิ่งๆ อย่างนั้น ความจริงแล้วก็เป็นมนุษย์ใจร้อนคนหนึ่งเลยล่ะ” เออ ผมว่าผมก็สัมผัสได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม่งชอบหัวร้อนเวลาผมเจ็บตัว ก็บอกแล้วว่านี่มันบาดแผลลูกผู้ชาย ใครเขาเจ็บกัน!

“อ่า”

“ยังไงก็ ช่วยทำอะไรให้มันชัดเจนสักทีเถอะนะ เห็นบีมมันงุ่นง่านแล้วเราสงสาร” ผมคงต้องทำหน้าแปลกๆ ออกไป เธอเลยหลุดหัวเราะออกมา

...ก่อนเธอจะสงสารมัน เธอสงสารเราก่อนเหอะ ทางนี้ยังไม่กล้าเจอหน้ามันเลยอะเธอ

“เรา...”

“น้องมุ่ยไม่ใจร้ายหรอก ใช่ไหมคะ” อย่ามองเราด้วยสายตาแบบน้าน โอย...

“...ครับ”



.

.



บ่ายวันต่อมา



Rrrrrrrrrrrrr



เหี้ย โทรศัพท์อยู่ไหนวะ

ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มากดรับอย่างทุลักทุเล โอย นี่ผมเผลอหลับไปตอนไหน จำได้ว่าผมหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ศิลป์มานอนอ่านบนเตียงเพราะปวดหลัง เหมือนจะอ่านไปได้สองสามหน้า มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังนี่แหละ

“ฮ...ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปด้วยความสะลึมสะลือ

(ไอ้มุ่ย เพิ่งตื่นเหรอวะ) น้ำเสียงคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกว่าใครจึงต้องผละออกมาดูชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ อ่อ เฮียเพลิน

“เฮียมีไรอะ คนเขาอ่านหนังสืออยู่ วู้”

(โว้ย คนอย่างมึงเนี่ยนะ ไม่ใช่หลับน้ำลายยืดคาหนังสือหรอกเรอะ) เฮียแม่งรู้ทันได้ไง เขาเรียกว่าพักสายตาเฉยๆ หรอก! หลับเหลิบอะไร้

“เฮียอย่ามารู้ทัน ตกลงโทรมามีไรอะ แอ๊ะๆ ไม่ไปช่วยดูน้องนะเฮ้ย นี่มันช่วงสอบ เฮียรู้ปะเนี่ย” ผมเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน ก็ทุกทีเวลาแกโทรมาก็เรื่องนี้อยู่เรื่องเดียว ถ้าว่างอะผมไปให้ได้ตลอดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้คงต้องขอบาย

(ไม่ใช่เว้ย ให้กูพูดก่อนซิไอ้เด็กเวร)

“อะๆ ว่ามา”

(ไอ้นายมันส่งกล่องอะไรมาไม่รู้เนี่ย มันโทรมาบอกว่าให้เอาให้พวกมึงสามพี่น้อง กูจะโทรมาบอกว่าถ้าว่างๆ มึงก็มาเอาไปด้วย ทำมาเป็นรู้ทัน เดี๋ยวกูก็โยนของทิ้งแม่งซะหรอก)

“เย้ย! ว่างแล้ว เฮียเพลินรอก่อน!” ผมผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยความดีใจ นี่เป็นเรื่องที่ฮีลหัวใจผมที่สุดในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา พูดแล้วก็คิดถึงพี่พระนาย น้ำตาไหลแล้วเนี่ย!

(เออๆ รีบมาล่ะ กูมีสอนต่อ)

“เดี๋ยวแว๊นไปเลย!”



.

.



@Plearn Studio Art&Design



“เฮียเพลิน!” หลังจากวางสายผมก็รีบแต่งตัว บึ่งน้ององุ่นจากหอมาที่เพลินสตูดิโอทันที ผมเปิดประตูเข้าไปก็เจอเฮียพอดี เหมือนแกกำลังคุยอยู่กับใครซักคนอยู่ตรงมุมบันไดทางขึ้นชั้นสอง แต่ผมเห็นหน้าไม่ชัด โชคดีที่เฮียเพลินหันมาทางนี้ ผมเลยโบกมือแก เฮียพยักหน้ารับรู้แล้วกวักมือให้ผมเข้าไปหา

“น้องผมมาพอดีเลย เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักนะครับ”

“อะไรเฮีย” ผมเดินเข้าไปถึงตัวเฮียเพลิน แล้วหันมองแขกของแก แล้วก็พบกับ...

“เฮียมุ่ย!?”

“ไง...อ...ไอ้น้องบู...” ถึงแม้ปากผมจะทักทายน้องมัน แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ที่คนตัวสูงที่ยืนข้างๆ อย่างตกใจไม่น้อย

“ไม่ได้เจอกันนานเลยเฮีย”

“บะ...บีม”

“ไม่เจอกันนานนะ น้องมุ่ย” บีมที่แววตาเบิกกว้างขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไปเหมือนกับแปลกใจที่เจอผมที่นี่ เหลือเพียงสายตาคมกริบที่มองมา ทำเอาขนในร่างกายผมลุกชันขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ทะ...ทำไมอากาศในนี้มันเย็นแปลกๆ นะ ฮะๆ

“อ้าว นี่รู้จักกันอยู่แล้วเหรอครับ”

“ครับ ผมเรียนมหาลัยเดียวกับน้องมุ่ย” บีมละสายตาจากผมแล้วหันไปพูดคุยกับเฮียเพลินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอยยิ้มประจำตัวก็ถูกส่งออกมาอย่างแนบเนียน กลบจนแทบไม่หลงเหลือความคุกรุ่นในแววตาคมคู่นั้น

“โอ้ อย่างนั้นเหรอครับ ดีๆ ...” สมองผมตัดการรับรู้เรียบร้อย เสียงที่บีมคุนกับเฮียเพลินหายไป ในหัวมีแต่คำว่า บีมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงและจะทำยังไงดี เหี้ย! กูยังไม่พร้อม!

ครั้งนี้เจอจังๆ จะให้วิ่งหนีอีกก็ไม่ทันแล้ว ไอ้บ้าเอ้ย!

“วันนี้เฮียมาช่วยสอนเหรอ”

“เฮีย...เฮียมารับของ” ถึงปากผมจะตอบน้องบูมันแต่สายตายังคงจ้องไปที่บีม เช่นเดียวกับบีมที่ถึงแม้จะคุยกับเฮียเพลินแต่ก็ยังมองมาที่ผมเป็นระยะๆ

แง สายตาเหมือนมันจะแดกผมเลยอะ

“วันนี้พี่บีมมาส่ง โคตรโชคดีเลยอะ เห็นพี่มันบ่นๆ ว่าไม่ได้เจอเฮียมาเป็นอาทิตย์แล้ว บทจะเจอก็เจอกันง่ายๆ ซะงั้น” เออ จังหวะธรรมชาติสัดๆ กูดีใจน้ำตาไหลเลยเนี่ย ฮือ

“เออ เหอะๆ” กูยังไม่ทันได้เตรียมใจเลยนะบู มึงเอาพี่มึงกลับไปด้วยเลย กูไม่พร้อม บอกเลยว่ามุ่ยไม่พร้อม!

“เฮีย ผมเจอที่นึงว่ะ โคตรดี เดี๋ยววันหลังไปออกรอบด้วยกันนะ”

“เออ ได้ๆ” ผมเออออตามน้องบูทุกอย่าง ใจอยากจะรีบขี่รถกลับหอซะตอนนี้ แต่ผมยังไม่ได้ของจากพี่พระนาย เลยยังกลับไม่ได้

“ยังไงผมฝากน้องด้วยนะครับ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

เหมือนเฮียเพลินกับบีมจะคุยกับเสร็จเรียบร้อย น้องบูก็เอ่ยขอตัวเข้าห้องเรียนไปก่อน ผมโบกมือลาน้องมันด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

“อุ้ย!” ชิบหายละกู โอ๊ย! มันมองมาทางนี้แล้วๆ

“ไอ้มุ่ย เดี๋ยวมึงเข้าไปเอาของที่ห้องทำงานกูเลยนะ กูต้องรีบไปสอนแล้วว่ะ เลทมาห้านาทีแล้วเนี่ย” เฮียเพลินก้มมองดูนาฬิกาแล้วบอกผมอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร เฮียก็เดินเร็วเข้าห้องเรียนไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมยืนเกร็งอยู่กับบีมสองคน

“เอ่อ...อะแฮ่ม” ผมกระแอมไอออกมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย แอบเหล่ตามองคนตัวสูงข้างตัวเล็กน้อย ก็เห็นว่าบีมยืนจ้องผมอย่างไม่วางตา พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่โคตรของโคตรไม่น่าไว้ใจ

“น้องมุ่ย”

“เดี๋ยวกูเข้าไปเอาของก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน” ผมละล่ะละลักบอกกับบีม พลางชี้มือไปที่ห้องทำงานของเฮียเพลิน แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดิน บีมก็คว้าข้อมือผมไปซะก่อน

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน รู้ใช่ไหม” น้ำเสียงราบเรียบถูกปล่อยออกมาจากเจ้าของใบหน้าหล่อ สายตาจ้องมาที่ผมอย่างกดดัน แรงบีบที่ข้อมือก็มากขึ้น บ่งบอกชัดเจนว่าอย่างไรวันนี้บีมก็ไม่ปล่อยผมให้หลุดรอดไปได้แน่ๆ

“ร...รู้ดิ! เดี๋ยวออกมาคุยด้วยเล้ย! แต่ขอไปหยิบของแป้ปเดียว” ผมโพล่งออกมาตะกุกตะกัก ใช้รอยยิ้มเข้าสู้ บีมพยักหน้า แล้วปล่อยข้อมือผม

“กูรอข้างนอก” บีมว่าแค่นั้น ผมพยักหน้ารัวๆ มองบีมเดินออกไป พอเสียงปิดประตูดังขึ้น ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“บีมแม่งฆ่ากูแน่ๆ ...”



.

.



ต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ chanadbears

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ต่อตรงนี้จ้า


ผมเดินเอากล่องของฝากจากพี่นายไปเก็บไว้ที่ใต้เบาะรถ เอาจริงๆ ผมหนีบีมตอนนี้ก็ยังได้ ยังไงมันก็ตามผมไม่ทัน แต่ผมว่าผมไม่เอาละว่ะ รู้สึกเหนื่อยอะ การที่เราจะหนีความจริงอะไรสักอย่าง หรือพยายามยื้อเวลาให้นานออกไปนี่แม่งโคตรเหนื่อยเลย

แล้วคิดดูว่าคนที่รอเราจะเหนื่อยขนาดไหน จริงไหมครับ ถ้าเราไม่ชัดเจนกับเขาก็ไม่มีใครมูฟออนได้สักทีหรอก วนกันอยู่ที่เดิมนี่แหละ ต่างคนต่างมีเรื่องค้างคาใจ สู้พูดๆ ไปให้จบๆ ซะยังดีกว่า เนาะ

“น้ำไหมบีม” ผมถามบีมเพื่อให้บรรยากาศระหว่างเราผ่อนคลายมากขึ้น แต่เจ้าตัวก็เพียงส่ายหน้าเบาๆ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่สวนของสตูดิโอ ข้างๆ กันเป็นบีมนั่งทำหน้าถมึงทึงจ้องมาที่ผม จนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อุณหภูมิในร่างกายไม่คงที่ ยิ่งพอสบตาคมคู่นั้นผมนี่หลบแทบไม่ทัน

ทำไมมึงต้องทำตาดุด้วยล่ะ ทำตายิ้มเหมือนเก่าดิๆ กูไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยรู้ไหมเนี่ย

แล้วทำไมทุกครั้งเวลามีเรื่องอะไรจะต้องเกิดขึ้นที่สวนตลอดเลยวะ แม่งทุกทีเลย ครั้งที่แล้วก็โดนขโมยจูบในสวนของร้านกาแฟ ผมเกลียดสวน!

“ขนมปะ เดี๋ยวกูไปเอามาให้”

“ไม่กิน” แน๊~ ทำเสียงดุซะด้วย...ฮือ บีมใจเย็นดิบีม

“งั้น -”

“หนีหน้ากันทำไม”

“เข้าเรื่องเลยเหรอ แฮ่” ผมส่งยิ้มโง่ๆ ให้บีม ยกมือขึ้นลูบหลังคออย่างประหม่า ไอ้มุ่ย มึงอย่าป้อดดิวะ สู้เขาดิ!

“เป็นอะไร ใครพูดอะไรให้ฟัง ถึงได้หลบหน้ากันแบบนี้” เสียงดุมาเชียว โกรธใครมาเหรอจ้ะ กิ้วๆ ฮือ

“กู...คือกู”

“ว่าไง”

“อะแฮ่ม! คืองี้นะบีม กูแค่ แค่คิดอะไรนิดหน่อย” กระแอมไอ นิดหน่อยพอเป็นพิธี

“คิด?”

“อ่าใช่ แบบว่า ขอคิดนิดนึง แล้ว! แล้วช่วงนี้ก็ใกล้สอบเลยไม่ว้างไม่ว่างอะ แหะๆ”

“แล้วคิดอะไร”

“เอ่อ” ชิบหายแล้วไง จะบอกว่ากูคิดเรื่องมึงนี่แหละ ไอ้บีม เรื่องมึงคนเดียวเลย มึงทำกูกินไม่ได้นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับคล้ายจะเป็นลม ทุกอย่างอะ เพราะมึงคนเดียวเลย

“รู้ไหมว่ากูเป็นห่วง น้องมุ่ย”

“ก็...ก็”

“กูกำลังคิดว่า กูทำอะไรให้น้องไม่พอใจหรือไม่อยากเจอหน้ากัน” บีมไม่ได้ทำเลยเว้ย บีมอย่าคิดงั้นดิครับ

“เปล่าๆ บีมไม่ได้ทำ”

“หรือไม่ชอบให้กูเข้าไปยุ่ง หรือน้องเกลียดกันไปแล้ว”

“ไปกันใหญ่แล้วบีม ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดสักหน่อย” ผมส่ายหน้าปฏิเสธว่าเรื่องที่บีมพูดออกมามันไม่ใช่เลยสักนิด บีมแม่งเข้าใจผิดหมดแล้ว

“แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้น้องต้องไม่ยอมมาเจอหน้ากัน”

“คือกูก็มีเรื่องให้ต้องคิดอะ...”

“พี่ฟังอยู่”

“แป้ปนะกูขอเวลานอกห้าวิ...ฮึบ!” ผมเงยหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ นับหนึ่งถึงห้าในใจ เอาวะ!

“แม่ง...”



...



ง่ะ...



...บีม



บีมมันพูดว่า ‘แม่ง’ ใส่ผม!



ผ...ผมเสียใจ!



กู



กูจะไห้ละเน้อ!



ฮึก!



ผมแค่ขอเวลาแป้ปเดียวเอง ทำไมต้องว่ากันด้วยวะ ฮึ!



“น้องมุ่ย? เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้” บีมลุกขึ้นเดินอ้อมมาฝั่งผมแล้วแตะแขนผมเบาๆ พร้อมก้มหน้าลงมาถาม ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วอย่างกังวลใจระคนสงสัย

“มึงว่ากูอะ” ผมตวัดสายตามองบีมอย่างโกรธแค้น

“ห้ะ?”

“มึงพูดแม่งใส่กู กูเสียใจ ไอ้บีม ไอ้บ้า ฟืด!” ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยดน้ำในตาให้หายไป พลางสูดน้ำมูกอย่างแรงและเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้นไว้

“...”

“กูเป็นคนอ่อนไหวง่าย! มึงอะ”

“หึๆ โอเค กูขอโทษ เมื่อกี้แค่ขำน้องมุ่ยเฉยๆ” บีมกลับมายิ้มให้ผมเหมือนเดิม มือหนาวางลงบนหัวผมพลางลูบเบาๆ เหมือนกำลังปลอบใจกัน

“ขำอะไร กูมีอะไรให้น่าขำนักหนา”

“ขำนิดเดียวเอง”

“ไม่ตลก”

“โอเคๆ ไม่ตลกก็ไม่ตลก”

“เออ ให้มันรู้ซะบ้าง”

“หืม?”

“เป็นคนตลกแต่ไม่ตลอดและไม่ใช่ตัวตลก” ผมเชิดหน้าหนีรอยยิ้มล้อๆ นั่น เมื่อเริ่มรู้สึกร้อนที่ใบหน้าตัวเอง มันมาอีกแล้วครับ สายตาเจ้าเล่ห์เจ้ากลของไอ้คนตรงหน้า ตลอดเลย ผมแพ้ทุกที

“ทำมาเป็นคำคม กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” บีมถอนหายใจเล็กน้อย ละมือจากการลูบหัว แล้วทิ้งสะโพกลงกับโต๊ะ ปรับท่าทางให้สบายมากขึ้นในการคุยกับผมที่ยังนั่งอยู่ มือแกร่งยื่นมาคว้ามือผมไปกุมไว้หลวมๆ พลางใช้นิ้วหัวแม่มือไล้วนอย่างนุ่มนวล

“แล้วหมายความว่ายังไง” ผมเอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็หมายความว่า เราเป็นคนตลกธรรมชาติ...”

“อ่าห้ะ”

“เป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติ”

“...”

“ที่พูดไปไม่ได้ตั้งใจ ไม่นึกว่าน้องมุ่ยจะตกใจแล้วเบะแบบนี้ แค่ยิ้มให้กับความน่ารักของน้องมุ่ยเฉยๆ”

“...”

“ก็ดันทำตัวน่ารักน้องมุ่ยจะห้ามไม่ให้กูยิ้มอีกเหรอ ใจร้ายจัง”

“...พอแล้ว ไม่ต้องพูด กูเข้าใจแล้ว” ผมยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกกุมไว้ห้ามบีม พอเถอะ กูเขินไม่ไหว หน้ากูแดงหมดแล้วไม่เห็นเหรอ

“ไหนมีอะไรจะอธิบาย” บีมวกกลับมาที่ประเด็นเดิม หลังจากปล่อยให้ผมนั่งหน้าแดงเป็นบ้าเป็นบอ ผมจะดึงมือตัวเองข้างที่ถูกบีมจับกลับมา แต่บีมก็ไม่ปล่อยแถมยังกระชับไว้แน่นกว่าเดิมอีก ผมมองหน้ามันอย่างหาเรื่อง แต่บีมก็ทำหน้าดื้อใส่ผม

“มึงทำหน้าดื้อทำไมอะ”

“ขอจับหน่อย กลัวหาย”

“ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ จะหายไปไหนได้ กูไม่หนีแล้ว เหนื่อย!”

“นั่นสินะ”

“ขอกอดหน่อย”



!?



“มากอดกันก่อน”

“ก...กอดเกิดอะไร! แล้วไม่ต้องมาทำหน้าลูกหมา! กูไม่ยอมมึงหรอก บอกเลยกูไม่แพ้!”

“เราชนะตลอดอยู่แล้วน้องมุ่ย แต่ขอกอดไม่ได้เหรอ”

“ข...ขอพูดก่อน พูดจบเดี๋ยวให้กอดเลย” ผมต่อรอง ไม่ไว้ใจบีมตอนนี้เท่าไหร่ เอาจริงก็ไม่ไว้ใจตัวเองด้วย กลัวโผเข้าไปกอดมันก่อน เอ๊ย! ไม่ใช่!

“อืม พี่ฟังอยู่”

“คือ...กูอะนะ ก็รู้มาสักพักแล้วกับความรู้สึกของบีม แค่...ยังไม่มั่นใจ”

“...”

“กูเข้าใจว่ามันไม่ควรจะคิดมากขนาดนั้น แต่กับบีมกูอยากจะให้มันถี่ถ้วนกว่านี้หน่อย”

“นานไปเดี๋ยวจับกินซะหรอก”

“...”

“คิดในใจเฉยๆ” บีมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนเมื่อกี๊ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“คิดดังจังนะแหม่”

“พูดหมดรึยัง”

“มีอีกๆ” ผมยกมือข้างที่ว่างห้ามบีมไว้ก่อน กลัวแม่งพุ่งเข้ามาอะดิ ดูมันทำหน้าๆ แม่งอย่างกับจะเขมือบผมซะอย่างนั้น

“เมื่อไหร่จะได้กอดวะ” บีมจึปากพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด มือหนาเสยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าขึ้นไปอย่างไม่ใส่ใจอะไร แต่ดูดีไม่หยอก เนี่ย มึงก็ชอบแอทแทคกูอย่างนี้ตลอด

“กูขอเวลาให้ตัวเองหน่อย รวมถึงตัวบีมด้วย”

“หมายถึง?”

“อย่าโกรธนะ สัญญาก่อน” ผมชูนิ้วก้อยขึ้น บีมเลิกคิ้วมองพลางยกยิ้มให้กับการกระทำของผม จากนั้นมันก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด



จุ้บ!



“ไอ้...บีม!”

“หึ”



ขยัน



ขยันทำกูเขินมาก



ว้อยยย!!



ไอ้ตัวดีค้อมตัวลงมา ยื่นใบหน้าเข้าหาแล้วจูบเบาๆ ที่นิ้วก้อยของผมแทนการเกี่ยวก้อยกัน แล้วดึงตัวกลับไปตามเดิม ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างถูกใจที่แกล้งผมได้สำเร็จ

“ไม่พูดแม่งแล่ว!”

“งั้นมากอด”

“พูดก็ได้วะ!”

“ฮ่าๆ”

“ที่จะบอกอะ! ฟังให้ดี อย่าแย้งอีกนะโว้ย! เดี๋ยวพ่อก็ตบปากแตก”

“ครับๆ”

“ขอให้กูคือ ให้กูได้คิด และขอให้บีมได้คิดเหมือนกัน”

“...”

“หมายถึง บีมลองคิดให้ดีว่าชอบกูจริงหรือเห็นว่ากูเป็นคนแปลก”

“อย่า อย่าเพิ่งหงุดหงิดจ้า ฟังก่อนจ้า” คิ้วเข้มขมวดแน่นทันทีเพราะประโยคเมื่อครู่ไม่ถูกใจเขา

“นี่รู้ตัวอะ ว่าเป็นคนประหลาด เพื่อนมันก็ชอบพูดกรอกหูให้ฟังบ่อยๆ ว่าคนที่มาชอบกูก็ชอบที่กูแปลกๆ แบบนี้”

“อย่าเอากูไปรวมกับคนพวกนั้น นี่อยากโดนกินจริงๆ ใช่ไหม” ใบหน้าหล่อถมึงทึงกว่าเดิม ทำให้ผมต้องรีบพูดปลอบ

“โอเคๆ ช่างหัวคนอื่น แค่ยกตัวอย่างเอง อยากให้บีมคิดเฉยๆ มันจะดูวุ่นวายนิดนึงอะนะ กูมันคนเยอะๆ อะ แล้วกูก็ต้องแคร์ความรู้สึกตัวเองด้วย บีมว่าไหม”

“ถ้าแป้ปๆ บีมก็ไป แล้วกูล่ะ เนี่ย คิดดูดิบีม”

“...”

“กูก็เสียใจนะ น่าจะเสียใจมากๆ เลยอะ คิดว่า” บรรยากาศมาคุเมื่อครู่หายไปโดยพลัน สีหน้าบีมอ่อนยวบลง เหลือไว้แค่แววตาเอ็นดูระคนปลอบโยนที่ส่งมาให้ผม

ผมคิด คิดมาหลายตลบมาก ว่าจะพูดยังไงไม่ให้บีมเสียใจ ต้องอธิบายยังไงไม่ให้มันฟังดูแย่ สุดท้ายผมก็ทำได้เท่านี้แหละ สุดๆ ของผมแล้ว

“จบแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับ คนตัวสูงอ้าแขนกว้าง พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่มักจะมอบให้ผมอยู่เสมอ

“กอดได้รึยังครับ”

“อือ” ผมลุกขึ้นกระโดดโถมร่างเข้าหาบีมเต็มแรงจนได้ยินเสียงดัง ‘อั้ก’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ

“โอ๋ๆ”

“...” บีมกอดผมแล้วเอนตัวไปมาคล้ายจะกล่อมให้ผมสงบลง อ่อมกอดของบีมอุ่นชะมัด ชอบเวลาบีมอ่อนโยนจัง รู้สึกเหมือนอยู่กับก้อนเมฆ อุ่นๆ นุ่มๆ

“พี่บีมเข้าใจแล้วครับ น้องมุ่ยไม่ต้องคิดมากนะ” ยิ่งบีมว่าอย่างนั้น ผมยิ่งกอดรัดคนตัวสูงแน่นขึ้นไปอีก ฝังใบหน้าลงกับบ่าแกร่ง ไม่อยากให้บีมเห็นหน้าผมตอนนี้เลย

“เบะอยู่เหรอ โอ๋ๆ” มือใหญ่เท่าใบลานของบีมลูบศีรษะรวมถึงแผ่นหลังของผมขึ้นลงอย่างเบามือ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเท่าลูกหมา ไอ้บีม...ไอ้บ้านี่

“ที่น้องมุ่ยพูดมาก็ถูก งั้นเราใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อคิดสักหน่อยแล้วกันเนอะ”

“ไม่โกรธกันใช่ไหมอะ” ผมถามเสียงอู้อี้

“ไม่เคยโกรธน้องได้สักครั้ง ตามใจตลอดอยู่แล้ว มีก็แต่จะหึง...”

“กูไม่ยุ่งกับคนอื่น” ฮิ~ เขินว่ะ บีมมันหึงผมด้วยแหละทุกคน อิอิ

“อืม แต่คนอื่นน่ะไม่แน่” ผมหัวเราะคิกคักกับความขี้หึงของบีม บ้าบอ

“เห้ย มีคำถามอีก อันนี้สำคัญ” ผมผละตัวออกมา ยกแขนขึ้นกอดอก ปรับสีหน้าตัวเองให้โหดขึ้น บีมจะได้กลัวผมบ้าง

“ระหว่างที่กูคิด ถ้าบีมไปแด๊ะแด๋นะ มึงตาย” ผมทำท่าปาดคอให้บีมดู คนตรงหน้าถึงกับหัวเราะออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ลองสิ มึงลองสิ้!

“ฮ่าๆ”

“จะรอกันไหม”

“พูดเหมือนจะเก็บไปคิดเป็นร้อยปี”

“ถ้านานขนาดขั้นจริงๆ ล่ะ”

“จับมึงแดกก่อนเลย ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะ เพราะความหมายโดยนัยของบีมคืออย่างไรก็จะรอผมแน่ๆ อาจจะฟังดูแย่และเห็นแก่ตัวนะ ที่มีหน้ามาบอกให้คนเขารอ แทนที่บีมจะได้ไปเจอคนที่ดีกว่า

โทษทีเหอะ กูขอห่างแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ อันที่จริงก็ใจตรงกันแล้วอะแค่ยังเขินๆ กันนิดหน่อยแล้วก็ยังต้องการความมั่นใจมากกว่านี้เฉยๆ ถ้าแม่งรอแค่นั้นแล้วบีมไปมีคนอื่นนะ กูบอกไว้ตรงนี้เลย มึงโดนเฉาะแน่ ฮึ่ม!





*************************

หายหน้าหายตาสุดๆ แต่มาแล้วนะจ้ะ ความจริงน้องมุ่ยเป็นคนคิดมากนะคะ คิดเยอะ คิดไปเรื่อย ฮ่าๆ ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ /กราบงามๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด