พิมพ์หน้านี้ - MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: chanadbears ที่ 19-03-2018 02:49:10

หัวข้อ: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 19-03-2018 02:49:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

----------------------------------------------------------------

สวัสดีค่าาาาา​ นิยาเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ได้ลงในโลกออนไลน์​ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ​ น้อมรับทุกคำติชมค่ะ​

พูดคุยกันเพิ่มเติมได้ที่แฮชแท็ก​ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน


"เขาว่ากันว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือมาขวาง แล้วการที่ผมจะจีบผู้หญิงสักคน ทำไมต้องมีมันมาวนเวียนอยู่ด้วยตลอดเลยวะ!?"
[/size]

FAHMUI

"กูจะจีบน้ำตาล!!"

"มึงมาทำไมเนี่ย! ไปไกลๆตีนกู๊ววว"


BEAM


"กูเพื่อนน้ำตาล"

"ติดรถไปด้วยดิ"



สารบัญ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3806052#msg3806052)
ตอนที่ 1 พุดดิ้งกับเยลลี่หมี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3806450#msg3806450)
ตอนที่ 2 บีมบีม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3815468#msg3815468)
ตอนที่ 3 บีมบีมอะเกน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3826031#msg3826031)
ตอนที่ 4 คนไม่กากเป็นแบบนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3836953#msg3836953)
ตอนที่ 5 พบปะพูดคุย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3859757#msg3859757)
ตอนที่ 6 แผนสำเร็จ(เหรอ?) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3882512#msg3882512)
ตอนที่ 7 แผนสำเร็จ(เหรอ)2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3884568#msg3884568)
ตอนที่ 8 ไม่ได้เมา แค่โลกมันดีเล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3897794#msg3897794)
ตอนที่ 9 ไม่เจ็บแล้วนะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3912421#msg3912421)
ตอนพิเศษ กระทงหลงทาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3914555#msg3914555)
ตอนที่ 10 ทัวร์ติดชีวิตกากๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3918140#msg3918140)
ตอนที่ 11 เพราะคนอย่างเรามันเป็นแค่ที่ปรึกษา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3921634#msg3921634)
ตอนพิเศษ2 เค้ากับเตง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3924505#msg3924505)
ตอนที่ 12 เธอเป็นยังไง สบายดีไหมเธอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3934597#msg3934597)
ตอนที่ 13 ชอบครับ อยากได้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3936017#msg3936017)
ตอนที่ 14 เล่าระหว่างเรื่อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3940990#msg3940990)
ตอนที่ 15 ตื่นๆมีเรื่องแล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3946527#msg3946527)
ตอนที่ 16 ฝันดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3950391#msg3950391)
ตอนที่ 17 คิดอะไรอยู่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3961608#msg3961608)
ตอนพิเศษ3 ควันหลงสงกรานต์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3967173#msg3967173)
ตอนที่ 18 สับสน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3967448#msg3967448)
ตอนที่ 19 ทำไมต้องรู้สึก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3970393#msg3970393)
ตอนที่ 20 คนน่ารักมักใจร้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3982695#msg3982695)
ตอนที่ 21 โอ๋ รักกันๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3993235#msg3993235)
ตอนที่ 22 พักใจชั่วคราว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg3995844#msg3995844)
ตอนที่ 23 คิดถึงใครแปลว่ารัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4004070#msg4004070)
ตอนที่ 24 บีมของมุ่ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4005599#msg4005599)
ตอนที่ 25 เราคงต้องเป็นแฟนกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4010553#msg4010553)
ตอนที่ 26 ใจกาก อย่าปากเก่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4015682#msg4015682)
ตอนที่ 27 เสือมุ่ยออกโรง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4022728#msg4022728)
ตอนที่ 28 เข้าใจความรักมากขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4028175#msg4028175)
ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66537.msg4029200#msg4029200)
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน (บทนำ)
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 19-03-2018 03:02:44
บทนำ
[/size]

“เฮ้! เธอทำไมตัวเธอถึง ด๊ามดาม~~”

“โอ้แม่งามขำ ดำเป็นดินสอขนาดสองบี!!”

“โว้ววววว!!”

เสียงกีต้าร์ที่ถูกดีดออกมาเป็นทำนองเพลง ‘คนมีเสน่ห์’ ของพี่ป้าง นครินทร์ ดังทั่วลานหน้าตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นที่รู้กันดีว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกอาร์ตตัวพ่อ ติสท์ตัวแม่ สำหรับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่าคณะนี้มักจะถูกคณะอื่นมองว่าเป็นพวกคนบ้าเสมอ บ้างก็จับกลุ่มกันร้องรำทำเพลง วาดรูป ถ่ายภาพ ซึ่งมันก็ไม่น่าจะดูเป็นคนบ้าอะไรมากนัก แต่คณะศิลปกรรมศาสตร์ของพวกเรา สามารถใส่ชุดธรรมดามาเรียนได้ แต่ต้องแต่งตัวให้เคารพอาจารย์ด้วย ดังนั้นด้วยความที่เลือดศิลปะมันเอ่อล้นอยู่ในตัว พ่อแม่พี่น้องเลยจัดเต็มกัน บางคนก็มาซะสวยเช้ง บางคนนี่นึกว่าไปคุ้ยเอาเสื้อในถังขยะมาใส่ ถึงจะบอกว่าให้แต่งตัวเคารพอาจารย์หน่อย แต่ขอโทษเถอะครับ อาจารย์บางคนนี่จัดเต็มมาซะยิ่งกว่า เดินสวนกัน ยังไม่รู้ว่าเป็นอาจารย์เลย แล้วลานศิลป์มักจะถูกอาจารย์ด่าเสมอ เพราะด้วยความที่ตึกศิลปกรรมเป็นทางผ่านของวิศวะกับบริหาร พวกเราก็มักจะร้องเพลงต้อนรับทุกคนที่เดินผ่านไปมากันตลอด เอาขวดแก้วมาตี เอาไมค์มาร้องเอาลำโพงมาตั้ง แขกไปใครมาเขาก็หนวกหูกันหมด มีครั้งหนึ่งที่ลานเสียงดังจนเกินเหตุ ทำให้พวกวิศวะเดินเข้ามาก่อนจะชี้หน้าด่ากราดว่า

‘ถ้ายังไม่เลิกหอน เดี๋ยวกูจะต่อวงจรระเบิดมาปาใส่หน้าพวกมึง!!!!’

จากนั้นมาพวกเราก็เลยเล่นเบาๆ ไม่ดังมาก...ซะที่ไหน ฮ่าๆ พวกเรายังคงเล่นต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน แต่จนแล้วจนรอด อาจารย์ก็เรียกพวกเราไปตักเตือน ถ้าหากทำเสียงดังอีกจะรื้อลานทิ้ง แล้วทำสวนญี่ปุ่นสไตล์นิกายเซน แล้วให้พวกเรามานั่งสมาธิหน้าสวนแทน หลังจากนั้นมา ขวดแก้ว ไมค์ ลำโพง ก็เก็บเรียบ กลายเป็นลานศิลป์อันสงบเงียบมีแต่เสียงธรรมชาติ...ซะเมื่อไหร่

“เอ้าพวกมึง ไม่มีเรียนกันรึไงวะ?” เสียงคุ้นๆดังมาจากข้างๆ ทำให้ผมหยุดเล่นกีต้าร์แล้วหันไปมองทันที อุ้ย! ก็นึกว่าใคร พี่ปาล์มนี่เอง

“เพิ่งเลิกเนี่ยพี่ ว่าจะมาสร้างความครึกครื้นซักกะหน่อย ฮ่าๆ” เสียงไอ้เจ๋งตอบกลับไป พร้อมยักคิ้วสองจึกให้พี่ปาล์ม

“ก็มีแต่พวกมึงแหละน้า ที่มานั่งดีดกีต้าร์จีบสาวกันเนี่ย เดี๋ยวไอ้พวกวิศวะก็มาปาระเบิดใส่พวกมึงหรอก” พี่ปาล์มหัวเราะร่วน พลางนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อน ข้างๆไอ้แก๊ป

“กลัวก็หมาแล้วพี่ แม่งลองมาปาจริงๆดิ” ไอ้แก๊ปหัวเราะหึๆก่อนจะเต๊ะท่าวางมาดนักเลง

“ทำไม มึงจะวิ่งไปต่อยมัน?”

“หนีดิครับ! ผมลูกมีพ่อมีแม่นะพี่! ไม่มาตายด้วยระเบิดของพวกมันหรอกน่า” คำตอบจากไอ้แก๊ป เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนในกลุ่ม แล้วจู่ๆพี่มันก็หันมาหาผม พร้อมทำสีหน้างงๆ

“ทำไมวันนี้ไอ้มุ่ยมันไม่พูดเลยวะ ปากเป็นฝีเหรอมึง”

ฝีพ่อง! ผมกลืนน้ำลายนิดหน่อยแล้วยกมือมากุมข้างแก้มก่อนจะตอบกลับไป

“เพิ่งไปใส่เชนมาเว้ยพี่ พูดมากมันตึงปากอะ ปวดด้วย” เนี่ย กูปวดจี้ดๆเลย

“แต่เมื่อกี๊มึงร้องเพลงนะ” พี่ปาล์มขมวดคิ้ว เหมือนจะงงยิ่งกว่าเดิม

“เสียงเพลงมันทำให้ลืมความเจ็บปวด”

“โถ ไอ้ฟายยยยยยยยย” คำตอบของผมทำให้พี่ปาล์มถึงกับหลุดชมออกมาทันที แหม เขินเลย

“แล้วนี่ไอ้โป้มันไปไหนวะ แก๊งกากพวกมึงไม่ครบทีมนะเนี่ย” หึ อย่างไอ้โป้ กลับเร็วอย่างนี้ มีอยู่อย่างเดียว

“มันหนีไปเที่ยวกะสาว...อะ” ไอ้แก๊ปตอบพี่มันพลางยื่นถุงจอลลี่แบร์มาให้ผม โถเพื่อนรัก กูก็บอกอยู่ว่าปวดฟัน ยื่นมาทำแมวอะไร

“ไม่เป็นไร ขอบใจมากเพื่อนรัก” มันมองหน้าผมงงๆ ก่อนจะเอาถุงเยลลี่ที่จะยื่นให้ผมไปแกะกินเอง ขอบน้ำใจในความหวังดีของมึงเหลือเกิน ไอ้สัด

“ตลอดกาล เพื่อนพวกมึงคนนี้ เออกูไปละ นี่แวะมาทักทายพวกมึงเฉยๆ” พี่ปาล์มลุกขึ้นแล้วหยิบย่ามตัวเองขึ้นมาสะพายขณะเดียวกันก็บอกลาพวกผม

“แล้วพี่จะไปไหนอะ” ผมถาม

“ไปรับสาว” โถ๊ะ! ก็ทั้งพี่ทั้งน้องป้ะวะ จบคำพี่มันก็วิ่งออกไปทันที โดยไม่ลืมจะหันมายิ้มกวนๆตามแบบฉบับพี่มันให้พวกผม

“มา! พวกมึง เล่นต่อๆ” ไอ้เจ๋งสะกิดผมให้ดีดกีต้าร์ให้ แหม กลัวไม่ได้โชว์สาว

“จะร้องเพลงไรครับ คุณเจ๋ง” ผมถามมันพลางเกากีต้าร์ไปเพลินๆ ผมมันสายเทพครับ เล่นกีต้าร์มาตั้งแต่เด็ก ถ้าผมไปแข่งนี่ชนะไปแล้วนะเนี่ย ไม่อยากจะอวด

“เออ มึงขึ้นมาเหอะ เร็วๆ” มันเอาเท้าเขี่ยผมยิกๆเป็นสัญญาณว่ามันเตรียมตัวจะร้องเพลงโชว์สาวครับ นั่นไง เหล่านักศึกษาที่เพิ่งเรียนเสร็จกำลังเดินลงจากอาคาร และแน่นอนว่าต้องเดินผ่านตึกคณะผมอย่างช่วยไม่ได้ครับ เพราะมันมีทางเดียว ฮ่าๆ

“เร็วดิมึง! เดี๋ยวผู้สาวก็เดินไปหมดหรอกไอ้ห่า มัวแต่นั่งหน้าเยิ้ม”

ไอ้เชี่ยนี่ก็เร่งกูจัง ผมกลอกตาขึ้นเล็กน้อย เพื่อนึกเพลงกับคอร์ดที่อยู่ในหัว เมื่อนึกเพลงออกผมก็ค่อยๆเกากีต้าร์ในช่วงท่อนอินโทร ก่อนจะร้องนำขึ้นมา

“เธอเข้ามากระชากหัวใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้พบกัน~”

“อยากจะสานสัมพันกับเธอต่อไปให้ยาวนาน~”

หลังจากนั้นไอ้เจ๋งก็ร้องตามขึ้นมาครับ จนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามองพวกผมแล้วหัวเราะในการเล่นใหญ่ของไอ้เจ๋งมัน ลีลาการร้องเพลงของมันนี่อย่าให้พูด แม่งยิ่งกว่ากายกรรมเปียงยาง นี่ถ้ามันฉีกขาได้ก็ทำไปแล้วครับ ฮ่าๆ

“ไม่อยากจะขัดใจตัวเอง ที่มันชอบเธอ ...” พอท่อนฮุคขึ้นก็เริ่มมีเสียงร้องจากคนอื่นแทรกเข้ามาเพิ่ม ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ก็นักศึกษาที่นั่งอยู่ที่ลานนี้แหละ ไม่อยากจะบอก แต่พวกผมเนี่ยเป็นมือวางอันดับหนึ่งในการสร้างสีสันให้กับลานศิลป์แห่งนี้เลยนะ เวลาพวกผมว่างๆหรือเรียนเสร็จก็มานั่งดีดกีต้าร์แถวนี้ ตอนแรกๆก็แอบกลัวพวกรุ่นพี่เขารำคาญเหมือนกัน แต่พี่ๆเขาก็บอกให้พวกผมเล่นไปเถอะ เป็นสีสันให้คณะ จนตอนนี้กลายเป็นขาประจำลานละครับ วันไหนไม่เห็นพวกผม ให้รู้ไว้เลยว่าวันนั้น ใกล้จะเดดไลน์ส่งงานครับ ฮ่าๆ

ผมเล่นกีต้าร์ไปแล้วก็มองสาวที่เดินผ่านไปมาไปด้วย มันกระชุ่มกระชวยหัวใจจริงโว้ย! โอ้ยๆ นั่นสาวบริหาร เชรดเข้! นั่นนมหรือหัวเด็กครับ หน้าอกหน้าใจแม่คุณนี่ช่างสะบะละฮึ่มเหลือเกิน นั่นๆ สาวบัญชี กรี้ด ตะมุตะมิจังว้อยยย หูยยยย นู่นๆ สาววิศวะ...

สาว...วิศวะ...


วิศวะ...


ผิวขาว...ผมยาว...สวยอย่างกับนางฟ้า...


โดนใจกูเลย...


ประมาณนี้เลย...


พรึ่บ!


ใช่เลย!!

---------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่าาา นิยายเรื่องเเรกของแบร์เลยค่ะ คิดอยู่นานมากกกกก ว่าจะลงดีไหม 555555 ลองอ่านกันดูเถิดหนาเจ้าค่ะ ขอน้อมรับทุกคำติชมค่ะ

พูดคุยติดตามและทวงนิยายได้ที่นี่เลยนะคะ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 19-03-2018 03:13:33
 o13 เยี่ยมมากค่ะ...เราว่าจากสาวผมยาว... จะแปลงร่างเป็น หนุ่มผมยาวแน่ๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน ตอนที่ 1 (UP)
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 19-03-2018 21:56:14
ตอนที่ 1
พุดดิ้งกับเยลลี่หมี


“ใช่เลย!!”

ผมลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้หินอ่อนเพื่อที่จะชะเง้อมองเธอคนนั้นให้ชัดขึ้น เมื่อเธอเริ่มเดินไกลออกไป เพ่งสายตามองตามนางฟ้าที่กำลังเดินหัวเราะกับเพื่อนพลางเสยผมยาวสลวยของเธอขึ้นจนเธอเดินลับตาไป

โอ้ยยย หัวใจไอ้มุ่ยคนนี้จะพัง ท่าเสยผมเมื่อกี้ ใจบาง~

เธอมาได้ทันเวลาพอดี อย่างกับรู้ใจ~

“เชี่ยมุ่ย! ไรมึงเนี่ย ลุกขึ้นยืนทำห่าไรวะ ริซซี่แดกตูดอ่อ” ไอ้เจ๋งเงยหน้ามองผมอย่างงงๆ


เจ๋งเพื่อนรัก เจ๋งไม่ต้องงงเลยเว้ย!


เพื่อนมึงคนนี้..กำลังจะมีแฟนละเว้ย! เขินนนนนนนน


“เจ๋งเพื่อนรัก มึงมองตรงไป มึงเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม นางฟ้าเสื้อช็อปคนนั้น”

“อ๋ออออออ พี่น้ำตาล ทำไมวะ?”

ห้ะ! ชื่อน้ำตาล เชี่ย~ คุณพ่อคุณแม่ช่างตั้ง เข้ากับหน้าตาเหลือเกิน

แต่เดี๋ยวนะ...ไอ้เจ๋งรู้จักได้ไงวะ?

“ไอ้เจ๋ง! มึงรู้จักเขาได้ไง ตอบมา!” ผมตวัดสายตาลงไปมองพร้อมจะจับพิรุดมันอย่างเต็มที่


อย่าบอกนะ...


ว่ามันก็ชอบนางฟ้าเหมือนกัน...


หรือแม่งจะมาแย่งนางฟ้าไปจากกู!?


 “ถึงมึงจะเป็นเพื่อน กูก็ไม่ยอมแพ้ว่ะพูดเลย!”

“...”

“แก๊ป มึงดูนะ แม่งจะแย่งแฟนเพื่อน”

“...”

“ขอร้อง นางฟ้าเขาต้องมีกูเป็นแฟนเท่านั้นอะ”

“...”

“หน้าอย่างมึงเขาไม่เอาหรอก”

“...”

ไอ้แก๊ปส่ายหน้าเบาๆก่อนจะดึงผมให้กลับมานั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนเหมือนเดิม ไอ้เจ๋งนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วมันก็เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ ด้วยสีหน้าสมเพชปนขำ

อะไรวะ?

“มึงเบาก่อนนะ” แก๊ปยื่นมือทั้งสองข้างมาประกบที่หน้าของผมให้หันไปหามัน

“เบาไรมึงวะ?”

โป้ก!

“โอ้ย! มึงเฮดบั๊ดใส่หัวกูทำหอกไรเนี่ย เจ็บนะสัส!” จู่ๆไอ้แก๊ปก็เอาหน้าผากของมันมาชนกับหน้าผากผมอย่างแรง ผมรีบผลักมันออกก่อนจะกุมหน้าผากด้วยความเจ็บ

ไอ้เหี้ย! ถ้ากูหมดหล่อ กูจะแช่งให้สาวไม่เอามึง!

“สติมึงไง ยั้งหน่อยเหอะเพื่อน”

“เออใช่ ไอ้แก๊ปพูดถูก ควายยยย จะเด็ดดอกฟ้า ยั้งก่อนเนาะมึง ฮ่าๆ” ไอ้เจ๋งขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้แถมผลักแรงๆอีก กูผิดอะไรวะ?

“อะไรของพวกมึงวะ มึงดูก่อน! เพื่อนมึงคนนี้กำลังจะมีความรัก! มึงกลับบอกเพื่อนมึงให้ยั้ง ทำไมมึงต้องขัดขวางความรักของกูด้วย!!” ผมมองหน้าพวกมันสองคนด้วยความไม่พอใจ ไรวะ ทำไมต้องขวางด้วยอะ

“ไหน ปวดฟัน?” ไอ้แก๊ปทักขึ้น

“โอ้ย! ทักทำไมวะ ปวดขึ้นมาเลยเนี่ย” ผมยกมือกุมข้างแก้มเบาๆด้วยความปวด

เออมัวตกใจเรื่องนางฟ้า ลืมว่าตัวเองปวดฟันเลยอะ

“ตอแหล” แหม เสียงดังฟังชัดดีจัง

“เจ๋ง นี่เพื่อนไง”

“มึงต้องฟังพวกกูก่อนเว้ย” มันพูดต่อ

“เออใช่ ถ้ามึงฟังที่กูพูดจบนะ มึงจะเหยียบเบรกไม่ทันเลยสัส” ไอ้เจ๋งย้ำขึ้น

ผมมองพวกมันด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ อะไรของพวกแม่ง แค่กูจะจีบสาวซักคนเอง

“ไหนอธิบายมา ถ้าเหตุผลพวกมึงไม่ดีพอ กูจะแช่งให้สาวไม่เอา” ไอ้เจ๋งยิ้มระรื่นออกมา จากนั้นมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดนู่นกดนี่แล้วยื่นมาให้ผมดู

“อะ มึงดูซะ” ผมเพ่งสายตามองไปที่หน้าจอโทรศัพท์นิดหน่อยเพื่อปรับโฟกัส จริงๆผมสายตาสั้นประมาณนึง แต่จะใส่แว่นแค่ตอนถ่ายรูป ทำงาน กับขี่มอเตอไซด์เท่านั้น มันน่ารำคาญ ผมไม่ชอบ

“เฮ้ย! นี่มัน...นางฟ้า...” ผมชี้ไปที่หน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตกใจ นี่มันเฟสของนางฟ้า


โทรศัพท์...โทรศัพท์กูอยู่ไหน...


...แอด...แอดเฟรน


“เดี๋ยวค่อยหา โทรศัพท์อะ ฟังกูก่อน แล้วอีกอย่างมึงได้แค่ติดตามเค้าเท่านั้นแหละ เพื่อนเต็มไปเป็นชาติ”

โห่ อดเลย แต่แค่ติดตามก็ยังดีวะ

“เนี่ย เขาชื่อพี่น้ำตาล อยู่วิศวะเครื่องกลปีสอง” ไอ้เจ๋งพูดพลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดูรูปไปด้วย

โหย ท่าเสยผมรูปนั้น...ระทวย~ แพ้คนเสยผมอย่างแรง ฮืออออ~

“เคยเป็นทั้งดาวสาขา ดาวคณะ ดาวมหาลัย”

ดูรอยยิ้มนั่นดิครับ งืออ อยากบอกแม่ว่าเจอเนื้อคู่แล้วววว

“ใครๆก็อยากเป็นเจ้าของหัวใจเขาทั้งนั้น แน่นอน สวยขนาดนี้ แถมยังนิสัยดีโคตร น่ารัก เป็นกันเองสุดๆ”

“มึงรู้ได้ไงวะว่านิสัยพี่น้ำตาลเป็นยังไง?” ไอ้แก๊ปเงยหน้ามองไอ้เจ๋งอย่างสงสัย เออ กูก็สงสัย

“เอ้า! กูใครครับ! อย่าดูถูกความรอบรู้ของเพื่อนมึงหน่อยเลย”

“อ๋อ เสือกนี่เอง” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้แก๊ป เออ ลืมไปไอ้เจ๋งสายเสือกทุกสถาบัน

“แก๊ป มึงว่าไงนะ กูได้ยินไม่ชัด”

“กูบอกว่า พูดต่อเลย”

“เออๆ เนี่ย มึงดูยอดติดตาม แม่งเป็นแสน โพสไม่ถึงนาทีคนกดไลค์เป็นพัน”

ภูมิใจว่ะ จะได้มีแฟนเป็นคนสวยขนาดนี้ คึคึ

“ใครๆก็อยากจีบ ไม่ว่าจะรุ่นน้อง รุ่นเพื่อน หรือรุ่นพี่”

คู่แข่งกูเยอะขนาดนี้เลยเหรอ เชี่ย! ทำไงดีๆ

“แต่กูก็ไม่เห็นพี่เขาคบใครเลยว่ะ”

“รู้ป้ะ ว่าเพราะอะไร”

ผมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้เจ๋ง ที่ตอนนี้แสยะยิ้มพร้อมทำหน้าเหนือมองผมกลับเช่นกัน

 “หึๆ มีข่าวลือว่าเขามีแฟนแล้วไง!”


ห้ะ!


มีแฟนแล้ว!


ไม่นะ กูจะอกหักทั้งที่ยังไม่เริ่มอย่างงั้นเรอะ!?




---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




“มึงอย่ามาโกหกกู ไอ้เจ๋ง”

“เออ แต่กูก็เคยได้ยินมาเหมือนกันนะ เห็นว่าเป็นแฟนกับคนในสาขาด้วยกัน”

ไม่นะ...

“เห็นไหม แก๊ปมันก็เคยได้ยินมา กูจะไปโกหกมึงทำไมวะ”

“จริงเหรอวะ...”

นางฟ้าของเค้า เธอมาทำให้อยากแล้วก็จากไป ใจร้ายที่สุด!

“เห้ยมึงอย่าทำหน้าเศร้าดิ มันเป็นแค่ข่าวลือเว้ยมึง ข่าวลือๆ” ไอ้แก๊ปเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ

เออ มันเป็นแค่ข่าวลือนี่หว่า ความจริงนางฟ้าอาจจะยังไม่มีแฟนก็ได้ คนชอบเธอเยอะจะตาย แม่งอาจจะลือกันขึ้นมากั้กกันเองไรงี้


แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะวะ...


“พอๆ เลิกๆ เปลี่ยนเรื่องๆ คืนนี้ไปกรึ้บๆกัน เฮียตั้มฉลองเปิดร้านใหม่ เขาฝากกูมาชวนพวกมึงด้วย”

“เฮียเปิดร้านอะไรอีกวะ เมื่อ 3 เดือนที่แล้วเพิ่งเปิดร้านกาแฟโบราณไปไม่ใช่เหรอ”

“กูก็ไม่รู้ รู้แต่ยังไงก็ต้องได้กรึ้บๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“เออ ไปดิ อยากอยู่เหมือนกัน งานแม่งทำกูล้าสัด”

“ไปป้ะไอ้มุ่ย”

ทำไงถึงจะรู้วะ...จะเดินไปถามก็ไม่ทันละ...

“ไอ้มุ่ย”

อยากรู้ๆๆๆๆ ทำยังไงดีวะๆ

“ไอ้เชี่ยมุ่ย!!”

“หมี!! อะไรของพวกมึง ตกใจหมด” คนกำลังใช้สมาธิ แม่ง

“เปลี่ยนคำอุทานได้ป้ะวะ ได้ยินแล้วสะดุ้งยังไงไม่รู้” ไอ้แก๊ปทำสีหน้าปั้นยากใส่ผม

“มันติดปาก”

“เออๆ ช่างแม่ง แล้วตกลงยังไง ไปไหม”

“ไปไหนวะ?”

“ไอ้ควายยย ฟังเพื่อนพูดบ้าง เฮียตั้มฉลองเปิดร้านใหม่ เขาฝากกูมาชวนพวกมึง จะไปไหมสัด” ไอ้เจ๋งส่ายหน้าพรืด แล้วทวนสิ่งที่มันพูดไปเมื่อครู่ให้ผมฟังอีกครั้ง

กูไม่ผิดนะ กูขวัญเสียเรื่องนางฟ้าอยู่เว้ยยยย

“ร้านอะไร เพิ่งเปิดไปไม่ใช่ไง๊?”

“ไม่รู้ๆ ถามมากจังวะ คือจะไปไม่ไปตอบกูมา”

“ไปไม่ได้...กูต้องแต่งรูป” มาฉลองอะไรตอนนี้วะเฮียตั้ม วันนี้ไม่ว่างเนี่ย

“ไปถ่ายสาวที่ไหนมาอีกล่ะ”

“ไอ้แก๊ป แสนรู้นะมึง” ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปลูบหัวมัน ไอ้นี่ผมนุ่มชิบ

ผลัวะ!

น่าน โดนโบกหัวเลย แก๊ปมันไม่ชอบให้ใครมาลูบหัวครับ

“กูไม่ใช่หมา ไอ้สัด”

“ฮ่าๆ พวกมึงไปเหอะ กูก็อยากไป ไอ้กรึ้บๆอะ แต่งานต้องมาก่อนนะครับเพื่อน”

พูดแล้วก็เก็บของเก็บกีตาร์เลยดีกว่า ผมพลิกข้อมือดูนาฬิกา ก็พบว่าสี่โมงจะครึ่งแล้ว คืนนี้นอนหออีกละ นี่ผมไม่ได้กลับไปกินข้าวที่บ้านมาจะครบอาทิตย์แล้วเนี่ย แม่ด่าเช็ดไปแล้วมั้ง

“งั้นเดี๋ยวกูไปก่อน ฝากกรึ้บๆเผื่อด้วยนะสัส” ผมโบกมือให้พวกมันแล้วสะพายกระเป๋ากีต้าร์กับกระเป๋าสะพายใบเล็กที่ไว้ใส่หนังสือขึ้นหลังแล้วเดินแยกออกมาที่ลานจอดรถมอเตอร์ไซด์ โอ๊ะ! นั่นไงรถผม น้ององุ่นนนนน

        ผมขึ้นคร่อมน้ององุ่นแล้วแขวนกระเป๋าสะพายไว้ที่พักเท้า สตาร์ทเครื่องแล้วบิดเครื่องออกจากลานทันที นี่ดีนะครับที่เริ่มเข้าช่วงหน้าหนาวพอดี อากาศเลยไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ด้วยความที่มหาลัยผมอยู่เหนือด้วยแหละ

        มหาลัยที่ผมอยู่เป็นมหาลัยเอกชนชื่อดังทางภาคเหนือ บรรยากาศโคตรดีรอบล้อมไปด้วยภูเขาแถมยังมีน้ำตกอยู่หลังมออีกด้วย ทำไมผมเรียนที่นี่น่ะเหรอ ง่ายๆเลยครับ ใกล้บ้าน ผมก็เลยสอบเข้าแล้วดันติดเฉย ผมเรียนออกแบบนิเทศศิลป์ ถามว่าทำไมถึงเรียน ผมชอบศิลปะความอาร์ตอะไรพวกนี้ ตอนแรกแม่ผมถามว่าจะเรียนจริงเหรอ น้ำหน้าอย่างผมเนี่ยไปเรียนวิศวะไม่ดีกว่ารึไง เคยคิดจะเรียนแว๊บๆนะครับแต่มันเข้ากับหน้าตาเกินไป เลยขอผ่านดีกว่า

        ใครๆก็บอกว่าผมหน้าตากวนตีน แถมสมัยเรียนช่างยังเคยไปเป็นเด็กแว๊นมาพักนึงด้วย แต่หนทางดูไม่ค่อยจะรุ่งโดนยำตีนกลับมาเกือบทุกวัน แหม เด็กช่างก็งี้แหละครับ ผมเลยเลิก ถึงแม้จะเลิกแต่ก็ยังมีคนมาหาเรื่องผมอยู่ดี

        แต่เอาจริงๆถ้าวันนี้ไม่มีงาน ผมก็อยากไปกับพวกมันนะ ติดตรงที่ต้องแต่งรูปให้สาวๆที่ผมเพิ่งไปถ่ายมาให้เมื่อสามสี่วันก่อนเนี่ยดิ พวกเธอทักแชทมาเร่งผมยิกๆว่าอยากอวดรูปจะแย่แล้วเมื่อไหร่ผมจะแท็กไปหาซักที ผมเพิ่งทำเสร็จแค่คนเดียวเองอะ เหลืออีกสองคน ขี้เกียจโว้ยยย ทำไมเฮียตั้มต้องมาฉลองวันนี้ด้วยก็ไม่รู้ คนหล่อเซ็ง




@หอพักXXX


FAHMUI PHOTO ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 18 ภาพ ลงในอัลบั้ม: BAMBII
27 กรกฎาคม
MODEL : Bambii Geeranan (ig : Hellobambii)
PHOTO : Fahmui mui








ถูกใจ       แสดงความคิดเห็น      แชร์
Adithep Suksee, Pleum Peerawat  และคนอื่นๆอีก 150 คน
แชร์ 50 ครั้ง



---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



เสร็จแล้วโว้ย!!!!!!!!!!!!!


ตื่อดึ้ง!


Bambii Geeranan

ขอบใจจ้า

                                                                  ครับผม :D

น้องฟ้ามุ่ยถ่ายรูปพี่ออกมา
สวยมากเลย คิดไม่ผิดจริงๆ
ที่ให้น้องถ่ายให้

                                                                 พี่สวยอยู่แล้ว ถ่ายยังไงก็สวยน้าาา

แหม ชมงี้พี่ลอยเลยนะ 5555
พี่ขอตัวไปแชร์รูปก่อนนะคะ
ฝันดีน้าาา จุ้บๆ

                                                                 เช่นกันคร้าบบบ


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



        บนหน้าจอคอมปรากฏอัลบั้มภาพที่ผมเพิ่งเพิ่มลงไปเมื่อครู่ในเพจของผมเอง พี่ที่เป็นแบบให้ก็เป็นอดีตดาวเศรษฐศาสตร์คนคงแชร์เยอะน่าดู เลือกไม่ผิดจริงๆนะครับผมเนี่ย ฮ่าๆ ยังเหลืออีกเซตนึงของเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนทันตะ ผมแต่งเสร็จแล้วล่ะครับแต่เดี๋ยวไว้ลงพรุ่งนี้จะได้ไม่เป็นการแย่งซีนกัน เห้อ อยากให้นางฟ้ามาเป็นแบบให้ผมจังอยากให้เราได้มองตากันผ่านเลนส์ ฮิๆ เขินว่ะ

        อื้ออออ ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจแรงๆ แล้วเดินไปหาของกินในตู้เย็น...เชรดโด้ว มีแต่ไข่ไก่ ขนมกูหายไปไหนหมดวะ โล่งเลย ผมเลื่อนช่องใต้ช่องฟรีซออกมา โบ๋เบ๋ ไม่มีอะไรเลยครับ ผมเลื่อนช่องกลับเข้าไปใช้มืออีกข้างปิดตู้เย็นด้วยจิตใจห่อเหี่ยว หิวของหวานจังเลยครับ นั่งทำงานไปสองสามชั่วโมงเสียพลังงานโคตรๆ รู้งี้แวะเซเว่นก่อนขึ้นห้องก็ดี

        แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้ซื้อของเข้าห้องมาเป็นอาทิตย์แล้วนี่หว่า จะไม่มีอะไรเหลือก็ไม่แปลก กูแดกอย่างกับโจรปล้นขนาดนี้ ฮ่าๆ


ผมเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบกุญแจห้องกับกระเป๋าตังเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่เดี๋ยวนะ...


ทำไมรู้สึกเย็นๆ


ผมชะงัก ก่อนจะก้มลงมองตัวเอง

“อ้าว! กูไม่ได้ใส่เสื้อนี่หว่า” จากที่นึกขึ้นได้ ผมก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อบอลง่ายๆมาใส่ ก่อนปิดตู้ส่องกระจกเช็คความเรียบร้อยอีกที เสื้อใส่แล้ว กางเกงใส่แล้ว โอเค พร้อม!

ไปครับ! ไปซื้อของกินกัน!

“กูจะซื้อตุนให้ล้นตู้เลยมึง”




--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





@ร้านสะดวกซื้อ


        ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึง หอผมโคตรดี มีร้านอาหารอยู่รอบๆหอเต็มไปหมด ร้านสะดวกซื้อก็ใกล้มาก ออกจากหอผมมาเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปไม่ถึงยี่สิบก้าวก็ถึงละ ผมเดินวนอยู่แถวๆขนม ของกินเยอะแยะไปหมดเลยเห็นละความหิวเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า

        พายข้าวโพดของโปรด หยิบครับ โอ๊ะ! สาหร่าย อันนี้ไว้กินกับข้าวอร่อยมากอะ เอามาเลย3ห่อ นี่ๆเยลลี่หมีเคี้ยวเพลินดีผมแนะนำ ผมมีติดกระเป๋าตลอด กินตอนเรียนตอนทำงานเพลินมาก แต่ช่วงนี้ยังกินไม่ได้ ปวดฟันจี้ดๆ แต่เอามาตุนหลายๆห่อก่อน
ผมหยิบขนมกินเล่นมาเยอะมากจนเกือบล้นตะกร้า คนที่ยืนเลือกขนมอยู่ข้างๆผมถึงกับหันมามอง ในใจมันอาจจะคิดว่าเอาไปฝากเพื่อนไรงี้รึเปล่า เปล๊า! นี่ของกูคนเดียวเลยเว้ย

        ผมเหลือบตาไปมองตะกร้าของคนข้างๆ แม่งมีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เออ นี่มันก็ใกล้สิ้นเดือนละนี่หว่า ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง โห มันหล่อเอาเรื่องว่ะเฮ้ย ดั้งนี่จะโด่งไปไหนวะ กูก็มีแต่ไม่เห็นจะโด่งแบบนั้นเลย (จับจมูกตัวเองเบาๆ) จึๆ หน้าตาดีแบบนี้เอาเงินไปเปย์สาวหมดสินะเพื่อน ผมกวาดสายตามองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า สูงชิบหาย อิจฉาว่ะ ดูกล้ามแขนมันๆ เหมือนรู้ว่าตัวเองหุ่นดีอะแม่งใส่เสื้อแขนกุดมาโชว์แขนงี้ แต่กล้ามแขนกูก็มีนะ น้อยไปหน่อยแต่ก็ถือว่ามี (จับแขนตัวเอง)


ขวับ!


อุ้ย!


        ตกใจหมดครับ จู่ๆมันก็หันหน้ามาทางผมก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย รู้ตัวแน่เลยว่ากูแอบมอง แฮ่ ผมส่งยิ้มเจื่อนๆให้มันเป็นเชิงขอโทษแล้วเดินหนีไปโซนอาหารสำเร็จรูป ว่าหน้าด้านข้างมันหล่อแล้วนะครับ หน้าตรงนี่ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงละลายไปตรงนั้น ขนาดผมมองเห็นไม่ค่อยจะชัดนะเนี่ย หล่อแบบตายไปเลย กูยอมครับ นี่ถ้าสมมติว่าผมกับมันดันจีบผู้หญิงคนเดียวกันนะ คงไม่ต้องบอกว่าใครแพ้ เชี่ยยย หล่อขนาดนั้นใครจะไปสู้วะ

ทิ้งความหล่อมันไว้ตรงนั้นเถอะครับ ผมว่าผมอยากกินพุดดิ้งอะ เดี๋ยวหาก่อน มันอยู่ตรง...นี้!

อ้าว! หมดเฉย พุดดิ้งของโปรดกู...


ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้มาซื้อใหม่ กูจะซื้อไปตุนเยอะๆเลยคราวนี้ เอาให้หายอยาก หึๆ


แดกโบโลน่าพริกย้อมใจไปก่อนละกันนะตัวกู น่าน! เหลืออยู่ซองเดียวพอดี ชิ้นสุดท้ายแฟนสวยครับโผ๊มมมม


หมับ!


หือ?


ไม่ใช่มือกูอะครับ มือใครวะ?


ทันทีที่ผมกำลังจะยื่นมือไปคว้าซองโบโลน่า แม่งมีมือปริศนาที่ไหนไม่รู้ฉกมันไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาผม เชี่ยยยยย กูจะนกอีกแล้วเรอะ ใครมาแย่งกู!?


อ๋อ


ไอ้หล่อนั่นเองครับทุกคน

ผมมองตามโบโลน่าพริกในมือมันจนมันไปอยู่ในตะกร้า ไอ้เชี่ย! นั่นพุดดิ้ง! พุดดิ้งกูอะ!? ผมมองหน้ามันสลับกับมองพุดดิ้งในตะกร้าไปมา

“อะไร” หือ? ถามกูเหรอๆ ผมชี้มือมาที่ตัวเองเป็นเชิงถามมันว่า กูเหรอ?

“เออ มองตะกร้ากูทำไม” มันเลิกคิ้วถามผม

โห่ไอ้สัด ถ้าตามึงยังดีอยู่ มึงจะเห็นว่าเมื่อกี้กูก็กำลังจะหยิบโบโลน่าพริกซองเดียวกันกับมึงครับ แต่มึงแค่เร็วกว่ากูไง มือกูค้างอยู่ซักห้าวิได้ มึงต้องเห็นอะ

“กูอยากกินอันที่มึงหยิบไป”

“กูหยิบก่อนนะ”

“กูอยากกินจริงๆนะเว้ย เนี่ย กูนกพุดดิ้งไปแล้ว มึงควรเอาโบโลนามาให้กูดิ” มันก้มลงไปมองในตะกร้าของตัวเองก่อนจะร้องอ๋อขึ้นมา เข้าใจกูแล้วสินะมึง มึงจะเอาของที่กูอยากกินทั้งสองอย่างไปไม่ได้เด้อ

“กูก็อยากกินสองอันนี้เหมือนกัน พรุ่งนี้มึงค่อยมาซื้อใหม่” มันหัวเราะหึๆให้ผม แล้วเดินไปคิดเงิน เชี่ยยยยย เหมือนมันยิ้มเยาะเย้ยใส่ผมอะครับเมื่อกี๊ ทำหน้าเหนือใส่กูด้วย ไอ้สัด! กูแค่อยากกินไหมล่ะ ผมมองพุดดิ้งที่ถูกพนักงานหยิบออกมาจากตะกร้าเพื่อยิงบาร์โค้ดตาละห้อย


ไอ้หล่อ! ถ้ายังไง...


ละ...แลกกันได้ไหมวะ!?


ผมเดินไปที่เคาเตอร์ข้างๆไอ้หล่อแล้ววางตะกร้าให้พนักงานคิดเงินทันที อ้าวๆ พนักงานกำลังคิดเงินให้มันละครับ


เดี๋ยวก่อนนนน กูขอแลกกกกกก


“คิดเร็วๆดิน้อง” ผมเร่งไอ้น้องพนักงานที่กำลังยิงบาร์โค้ดอยู่ อะไรจะช้าขนาดนั้น เด็กใหม่ป้ะเนี่ย!?

“ผมเด็กใหม่อะพี่ ใจเย็นนะครับ” มันส่งยิ้มแห้งให้ผม ก่อนจะเร่งสปีดในการยิงบาร์โค้ดขึ้นมาหนึ่งเลเวล

เชี่ย...รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

“ขอบคุณครับ” เสียงขอบคุณจากไอ้หล่อข้างๆ ทำให้ผมหันไปมอง มันก็หันมามองผมเช่นเดียวกันครับ ยักคิ้วให้จึกนึงด้วย

เชี่ยๆๆ มันกำลังจะเดินออกจากร้านแล้ววววว

“ทั้งหมด 523 บาทครับพี่” เสียงจากไอ้เด็กเต่า เรียกให้ผมหันไปมอง ผมรีบควักเงินออกมาจ่ายทันที

“รับมา 540 นะครับ” ทอนให้กูเร็วๆเถอะ เห้ย! มันเดินออกจากร้านไปแล้ว ผมชะเง้อมองตาม ก็เห็นว่ามันกำลังเดินไปทางซ้าย

“เงินทอน 17 บาทนะครับ ขอโทษที่ให้ลูกค้ารอนานนะครับ” ไอ้เด็กใหม่ยื่นเงินทอนกับใบเสร็จพร้อมถุงใส่ของให้ผม

ซักทีนะมึง!

“เออ! ขอบใจ” ผมเอ่ยคำขอบคุณตอบกลับไป มือทั้งสองข้างก็รีบคว้าบรรดาถุงขนม แล้วรีบเดินตามไอ้หล่อออกจากร้านไป มันไปทางซ้ายครับๆ ผมชะเง้อมองก่อนจะหรี่ตาลง มืดแถมยังสายตาสั้นอีกกู มองไม่ค่อยเห็นเลย เชี่ยแม่ง!


นั่นไง! เห็นละครับ ลิบๆเลย แม่งเดินเร็วชิบหาย วันหลังไปสมัครแข่งเดินเร็วเถอะมึง

“เห้ย! มึงอะ!” ผมเรียกมันพลางวิ่งไปด้วย มันไม่หันว่ะครับ แถวนี้ก็ไม่มีใครนะ


กวนตีนกูล้วนๆแล้วครับงานนี้


“มึง! แฮกๆ หยุดก่อน! ไอ้พุดดิ้ง!” หอบครับ งานนี้มีหอบนิดๆ

เห้ย! แต่มันหยุดว่ะครับ

“ตามกูมาทำไม” มันหันหลังกลับมาก่อนจะถามผม ผมยืนเว้นระยะห่างจากไอ้หล่อประมาณห้าก้าวได้ ผมพยายามเพ่งสายตามอง แต่มืดอย่างนี้เห็นหน้ามันไม่ค่อยชัดเลยว่ะ

“ขอแลกดิ”

“ห้ะ? แลกอะไร”

“พุดดิ้งของมึง กับ...กับขนมของกูอะ”

“ทำไมกูต้องแลก แล้วมึงอยากกินโบโลน่าไม่ใช่เหรอ” กูอยากกินพุดดิ้งมากกว่าไง!

“กูอยากกินทั้งคู่ แต่กูอยากกินพุดดิ้งมากกว่า นะ มาแลกกันเถอะ ถือซะว่าเป็นเพื่อนกัน” อ้างเพื่อนเลยครับ อ้างไว้ก่อน เผื่อมึงเคลิ้มตาม

“กูไม่รู้จักมึง” ไม่หลงแฮะ แต่กูอุตส่าห์เพิ่มมึงเป็นเพื่อนกูเลยนะ บอกไว้ก่อน กูไม่ใช่คนที่จะเป็นเพื่อนกับใครง่ายๆนะเว้ย

“แลกกัน เอาพุดดิ้งของมึงมาแลกกับ...” เออ กูจะเอาอะไรไปแลกวะ ผมทรุดตัวลงนั่งยองๆ วางถุงขนมลงกับพื้นแล้วคุ้ยๆหาขนมที่พอจะแลกกับมันได้

“...”

อันนี้อะไรวะ? ผมหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ จนแทบแปะกับหน้า ผมไม่ได้สายตาสั้นนะ มันมืดไงครับ สีเหลืองๆแบบนี้ พายข้าวโพด! ไม่ได้ๆ อันนี้ไว้กินเป็นข้าวเช้าพรุ่งนี้


ก่อกแก่กๆ


อันนี้...ห่อเล็กๆ หยุ่นๆ เออ! อันนี้แหละ จำได้ว่าซื้อมาสิบกว่าห่อ


“แลกกับเยลลี่หมีสองห่อ...” อุ้ย! ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมันนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าผม มาตอนไหนวะ?

“ทำไมกูต้องแลก” เหมือนมันจะยิ้มนิดๆนะครับถ้าผมไม่ตาฝาด เออ แต่กูสายตาสั้น 5555555

“เยลลี่หมีนี่ของชอบกูเลยนะ กูอุตส่าห์ให้มึงตั้งสองห่อ”

“พุดดิ้งก็ของโปรดกูเหมือนกัน” หน้าไม่ให้เลยไอ้สัด หล่อๆอย่างมึงไปแดกมะขามสามรสเหอะ

“ก็กู...”


ฟึ่บ!


หะ...เห้ย! เกือบรับไม่ทัน


พุดดิ้งงงงงงงงงง มันโยนพุดดิ้งมาให้ผมว่ะครับ!


“เอาไป กูให้”

“จะ...จริงอะ!? ขอบใจนะเว้ยยย อะ...นี่” ผมยื่นเยลลี่ไปให้ไอ้หล่อครับ

“ของกินเด็กชิบ...” มันรับไปแล้วพูดอะไรซักอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้ แต่ตอนนี้นะครับ...

พุดดิ้งงงงงงงงงงง พุดดิ้งอยู่ในมือผมแล้วววว คืนนี้กูจะค่อยๆกินอย่างละเลียดที่สุด! อิอิ

ผมเก็บพุดดิ้งใส่ถุง แล้วลุกยืนขึ้น กำลังจะบอกลาไอ้หล่อ แต่...

อ้าว! มันเดินไปแล้วครับ อะไรจะรีบขนาดนั้นวะ

แต่ตัวกูก็ไปบ้างเถอะ ยุงจะหามตายห่า


เดี๋ยว!


พุดดิ้งที่กว่าจะได้มายากเย็นแสนเข็ญนั้น...


...ต้องอัพไอจีก่อน

ผมเดินไปอยู่ใต้เสาไฟข้างถนน แล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเจ้าพุดดิ้งถ้วยนี้ ก่อนจะอัพรูปลงพร้อมด้วยแคปชั่นที่ว่า...


‘ของฟรีต้องแดก’



[TBC]
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เย้!!!! ตอนที่ 1 มาแย้วววววว อยากได้น้องมาถ่ายรูปให้บ้างจัง5555555 พี่กับน้องเค้าเจอกันแล้วนะคะ งื้อออ น้องยังคงกากเเละเกรียนได้มากกว่านี้อีกค่ะ ตอนหน้าเขาจะเจอกันจริงๆจังๆแล้วน้าาาา มาเอาใจช่วยว่ามุ่ยจะจีบน้ำตาลคนสวยได้หรือไม่ #บีมคือศัตรู #มุ่ยไม่กาก #เราคงต้องเป็นแฟนกัน ฝากติดตามด้วยนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-03-2018 00:00:31
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Christa ที่ 20-03-2018 00:24:59
 :impress2:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน ตอนที่ 2 (UP) 09/04/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 09-04-2018 00:34:19
ตอนที่ 2
บีมบีม


“มึงๆ”

“อะไร...”

“ทำไมกูฟังที่อาจารย์พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยวะ?”

“มึงโง่ไง ไม่น่าถาม”

“ไม่ดิ กูหมายถึง กูไม่ค่อยได้ยินเสียงอาจารย์เลย”

“มึงจะได้ยินชัดได้ยังไงล่ะ...”

“...”

“มึงดูที่ๆมึงยืน ไอ้ควายยยยยย อีกก้าวเดียวคือมึงอยู่นอกห้องไง มาสายไม่เลือกวิชาเลยนะมึง กูที่เป็นเพื่อนรักมึง จากที่กูได้นั่งดีๆต้องมายืนจดยิกๆอยู่ข้างมึงนี่ไง!” มันพูดเสียงแข็งและหรี่ตามองมาที่ผม กูมาสายแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ผมหลบสายตามันโดยทำเป็นกวาดสายมองไปรอบๆห้อง เออ วันนี้คนเข้าเรียนเยอะว่ะ เยอะขนาดที่ผมกับมันยืนอยู่ตรงประตูเป๊ะๆ ตอนแรกว่าจะเดินเข้าไปหาเพราะโป้มันจองที่ไว้ แต่ผมฝ่าพวกนักศึกษาที่อยู่ข้างหน้าไปไม่ได้ อีกอย่างอาจารย์ก็กำลังสอนอยู่ด้วย เกรงใจแกนะครับ สุดท้ายไอ้โป้มันต้องลุกมาหาผมแทน

“ก็...แหม...”

แต่จะว่าไปละมันก็เขิน เมื่อเช้าผมน่ะนะ ฝันถึงนางฟ้าด้วยแหละ! โฮ้ยยยยยยยย

“บิดทำเหี้ยไร ปวดขี้เหรอ” ปากไอ้โป้ขยับถามผมแต่สายตาไม่ได้มองมาที่ผมสักนิด เอาแต่ก้มๆเงยๆมองไปยังสไลด์หน้าห้องที่อยู่โคตรจะไกล รวมไปถึงมือมันที่ขยับเขียนเลคเชอร์ด้วยความไวแสง

รู้ได้ไงว่ากูบิดวะ แม่งไม่ได้มองกูสักนิดเหอะมึง

“กูฝันถึงนางฟ้าแหละมึง!”

“มึงคงใกล้ตายแล้วสินะ ฝันถึงนางฟ้านางสวรรค์” มันหันหน้ามาพูดกับผมด้วยสายตาเวทนา โดยที่มือก็ยื่นมาตบๆที่บ่าผม แล้วดึงมือกลับไปจดเลคเชอร์ต่อ

“นี่เพื่อนไง ปีโป้ นี่กูเองเด้อ ไอ้สัด” ผมตวัดสายตาไปมองมันอย่างเคืองๆ สายตาก็พยายามมองสมุดมันเพื่อจดตาม สายตาก็สั้นเสือกอยู่หลังสุด เยี่ยมไปเลยกู

“คนที่กูพูดถึงเมื่อคืนนี้งายยย”

“เออ...”

“มึงงงงง กูฝันว่าเขาแบบ...แบบ...รับรักกู!”

“เพ้อเจ้อ”

“กูฝัน ไม่ได้เพ้อเจ้อ!”

“เออจ้ะ”

“ขนาดฝันยังดีแบบนี้ กูว่ากูสมหวังแน่นอนเลยว่ะ”

“เอาจริงเหรอวะ เขาน่ะนางฟ้าจริงอย่างที่มึงพูด แต่มึงมันก้อนขี้หมาชัดๆ” โป้มันก็ยังพูดกับผมโดยที่ไม่มองหน้ากันเหมือนเดิม งี้แหละครับ เวลาเรียนแม่งไม่ค่อยสนใจเพื่อนฝูง ไอ้ปีโป้เรียนวิศวะแต่ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมเรียนร่วมกับมัน เพราะที่ผมกำลังเรียนอยู่เป็นวิชาภาษาไทย วิชาที่นักศึกษาปีหนึ่งต้องเรียนทุกคน

แต่...โหปาก พูดไม่เคยจะรักษาน้ำใจเพื่อนเลย

“มึงอย่าย้ำได้ไหมล่ะ อย่างน้อยในฝันเขาก็รับรักกู” ผมตอบกลับพลางนิ่วหน้าใส่มัน กูก็ดูดีไม่น้อยเลยเหอะ หน้าก็หล่อ ถ่ายก็รูปเป็น กูว่ากูเพอเฟกต์ในระดับนึงเลยนะเว้ย

“จ้ะ”

“กูหิวข้าว” ผมยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลา โห่ อีกตั้งสิบนาที

“...”

“มึง” ผมเรียกไอ้โป้

“...”

“มึง กูเรียกเนี่ย” ผมยื่นเท้าไปเตะหน้าแข้งมันสองสามที

“กูจดแนวข้อสอบอยู่ เงียบๆดิ้ กูไม่มีสมาธิ” มันชักสีหน้าแต่ไม่ยอมหันมามองผม

“แป้ปเดียว หันมาหน่อย” ผมลอบยิ้ม มึงหันมาเมื่อไหร่ เสร็จกู

“อะไรวะ...อีกละ” มันหันมาตีหน้ายุ่งขมวดคิ้วใส่ผมก่อนจะเหวอไปสองวิ มันชี้หน้าผมอย่างคาดโทษแล้วหันไปฟังที่อาจารย์สอนต่อ ทำเป็นไม่สนใจผมอีกครั้ง แต่หน้ามันนี่ดูก็รู้ว่าอยากจะกระโจนเข้ามากระทืบผมสุดๆ แต่ติดที่เรียนอยู่

“โห...เกรี้ยวกราดสุดๆเลย หน้ามึงอะ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดังให้กับรูปที่ผมเพิ่งถ่ายมาเมื่อครู่ จนคนที่ยืนข้างผมตวัดสายตามองมาเป็นเชิงให้เงียบ ผมผงกหัวเป็นเชิงขอโทษแต่ก็ยังกลั้นขำ หน้าไอ้โป้ตลกฉิบหาย ฮ่าๆ

“คนเหี้ยไรวะแอบถ่ายกี่รูปก็หน้าเงี้ย โกรธใครมาเหรอจ้ะ อิอิ” ผมพูดล้อมัน ก่อนจะกดเข้าอินสตาแกรมเพื่ออัพรูป รูปก่อนหน้าที่ผมอัพลงไว้เมื่อเช้าเป็นรูปของไอ้เจ๋งที่กำลังสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากกับไอ้แก๊ปที่ลื่นล้มตรงหน้าตู้เอทีเอ็ม ครบทีมละ สบายใจครับ ฮ่าๆ

“ผมขอจบการบรรยายไว้เท่านี้ ขอบคุณครับ”

อ้าว! เลิกคลาสพอดี

“ไอ้มุ่ย...”

ได้เวลาแล้วครับ

“มึง...”

วิ่ง!!!!

“ตาย!!!!!!”



........................................................................................



“เชี่ยแก๊ป!! ช่วยกูด้วยจ้าาาาาาาา”

“ไอ้มุ่ย มึงมาให้กูกระทืบเดี๋ยวนี้! ต้องกวนตีนกูตลอด มันเป็นอะไรห๊ะ!”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเสียงดังลั่น ขณะวิ่งหนีไอ้โป้จากอาคารเรียนมาโรงอาหารกลางของมหาลัย พอเห็นไอ้แก๊ปกับไอ้เจ๋งนั่งอยู่ตรงที่นั่งประจำ ผมก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

อ้ากกกกก!

“มานี่เลยมึง! มันเป็นยังไง ไม่แกล้งเพื่อนสักวันจะตายห่าไหม หื้อ!”

“เจ็บบบบบ กูยอม ฮ่าๆ ก็หน้ามึงเวลาเหวอมันตลกอะ...โอ๊ย! อย่าล็อคคอๆ ยอมแล้วจ้า อุ๊บ! ฮ่าๆ”

ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งไปหลบหลังไอ้แก๊ป ไอ้โป้ก็คว้าคอเสื้อผมได้ทันซะก่อน แล้วเอาแขนหนาๆของมันมาล็อคคอผมไว้ไม่ให้หนี พอผมเถียงมันก็จะรัดแน่นขึ้น ไอ้เชี่ยนี่มันแรงควายครับ โดนมันแกล้งกลับทีไรช้ำไปหลายวัน

 แต่อย่างที่ว่า เวลามันเหวอแล้วตลก อันที่จริงก็พวกมันทั้งสามคน ผมแม่งโคตรชอบแอบถ่ายพวกมัน หน้าตาก็ดีเสือกชอบทำตัวปัญญาอ่อนกัน เป็นความกากที่โลกต้องรู้ครับ ฮ่าๆ

“กูฝากทุบมันด้วยไอ้โป้ แม่ง หน้ากูตอนกินก๋วยเตี๋ยวตลกขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้เจ๋งเอาชีทเรียนที่มันม้วนไว้ในมือชี้มาทางผมกับไอ้โป้

“โอ๊ย! เจ็บ! กูยอมแล้ว อย่าทุบกู มึงมันแรงควายเชี่ยปีโป้ ฮ่าๆ” ผมใช้มือปัดป้องกำปั้นจากไอ้โป้เป็นพัลวัน เมื่อมันจะทุบผมจริงๆ
 
“แยกๆ ไปซื้อข้าวแล้วมานั่งกินดีๆดิ๊พวกมึงสองตัว คนเขามองกันหมดแล้ว” ไอ้แก๊ปว่าเข้าให้ ไอ้โป้เลยยอมปล่อยผม แต่ไม่วายยังยื่นมือมาผลักผมแรงๆ หน้าจะทิ่ม ไอ้เชี่ยนี่

“กูเอาผัดกระเพราพิเศษข้าวเยอะๆ ไปซื้อมาขอขมามากูซะ” ไอ้โป้ทรุดตัวนั่งลงกับม้านั่งข้างไอ้เจ๋งที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์ยิกๆ ไม่สนใจเพื่อนฝูงใดๆ แล้วสั่งผมทันที

“แล้วทำไมกูต้องซื้อให้มึงด้วย”

“ไถ่โทษไหมล่ะ?”

“เออ งั้นมึงไปซื้อน้ำมาให้กู เอาน้ำลำไย”

“ใครว่ากูจะซื้อให้มึง”

“แก๊ป มึงดูมันดิ” ผมสะกิดไหล่ไอ้แก๊ปแล้วชี้ไปทางไอ้โป้ที่นั่งทำเป็นยักคิ้วหลิ่วตาให้ผม อยากควักลูกตาแม่งออกมากระทืบให้เละจริงๆ

“พวกมึงสองคนจะแดกไหมข้าว หรือจะแดกอย่างอื่น”
 
“อะไยเหยอ” ผมตีหน้าแบ๊วกระพริบตาปริบๆถามมัน

“ตีนกูไง ไอ้สัด ไปเร็วๆ!” ไอ้แก๊ปยกขาขึ้นมาจะถีบผม แต่ไม่ทันกูหรอกกกกก

“กูไปก็ได้! อย่าลืมน้ำลำไยกูนะเว้ย!” ผมรีบชิ่งหนีออกมาทันทีหลังจากไอ้แก๊ปพูดขู่เสียงเย็น สงสัยจะโมโหหิว โทษกูไม่ได้นะโว้ยยยยยย

พวกผมมักจะกินข้าวพร้อมกันเสมอ ไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้เหมือนกันรึเปล่านะ ถ้ามีคนซื้อข้าวมาก่อนก็จะรอกินพร้อมกัน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ไอ้แก๊ปมันจะโมโหหน่อยๆ ฮ่าๆ




“เออ แล้วเมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ แปลกๆนะ พวกมึงดูไม่แฮงก์กัน” ผมพูดขึ้นหลังจากไปซื้อข้าวมานั่งกินที่โต๊ะ

“แฮงก์เหี้ยไร แม่งหลอกกู กะจะไปแดกเหล้าฟรีให้เมาไปข้าง” ไอ้เจ๋งพูดไปกินข้าวไปด้วยหน้าเซ็งๆของมัน

“เอ้า!” ผมดูดน้ำลำไยไปอึกใหญ่ แล้วมองหน้าไอ้เจ๋งอย่างงงๆ

“เฮียเปิดร้านนม” เป็นไอ้แก๊ปที่เงยหน้าขึ้นมาตอบแทน

“หะ ร้านนมเนี่ยนะ?”

“เออดิ มีน้ำแข็งไสด้วยนะ อร่อยดี แต่คือกูตั้งใจไปกรึ้บไง”

“เออ กูนี่ตั้นไปแป้ปเลยสัส กูว่าแล้ว แม่งทำไมร้านมันดูมุ้งมิ้งๆ คาวาอี้ อิสอิส”

“มึงโง่ไงเหี้ยเจ๋ง ฮ่าฮ่าฮ่า”

“โถ ไอ้โป้ ไอ้คนฉลาด ไอ้ควายยยยย”

พลั่กๆ!

“กูจะแดกข้าว ไอ้เหี้ย ฮ่าฮ่าฮ่า หยุดตบหัวกูได้แล้วโว้ยยย”

“มึง กูอยากถ่ายผู้ชายบ้างว่ะ” ผมถามพลางตักข้าวเข้าปากอย่างระวัง เกลียดการใส่เชนที่สุดอะผมอะ รั้งฟันสุดไรสุด ทำให้พวกมันหันมามองแบบเหวอๆ ตกใจอะไรวะ

“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแนวเหรอมึง กูบอกแล้วมาทางนี้มึงรุ่งกว่า” ไอ้โป้ใช้หลอดดูดน้ำชี้มาที่หน้าผม พลางยิ้มเยาะใส่

“เปลี่ยนเชี่ยไร กูจะเรียกเรตติ้งเพจกู” ผมตักข้าวเข้าปากแล้วตอบมัน

“กูแนะนำคนนึง หล่อมาก อะแฮ่ม” ไอ้เจ๋งพูดพลางจัดเนคไทนักศึกษาไปมา ยกมือขึ้นลูบผมฟูๆ ก่อนจะทำหน้าหล่อใส่ผม

“เลิกทำทรงแอฟโฟร่ แล้วกูจะเอามาเป็นตัวเลือกนะ” ผมผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ แม่งนี่ชอบเอากล้องผมไปถ่าย มีแต่รูปหน้ามันเต็มไปหมด เปลืองเมมสัดๆ

“เดือนมอ เดือนคณะ มึงก็ไปดึงตัวมาถ่ายดิ” ไอ้แก๊ปพูดขึ้นมา

“กูไม่อยากได้เดือนอะ กูอยากได้แนวผู้ชายธรรมดาๆ เพจกูมีแต่ผู้หญิงไม่ก็ธรรมชาติ ลูกเพจกูน่าจะเบื่อแล้ว” ลูกเพจผมตอนนี้มีผู้ชายเยอะมาก เพราะรูปที่ผมถ่ายจะเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ ไม่งั้นก็ธรรมชาติ ผมก็อยากให้มันมีอะไรใหม่ๆบ้าง การเอาพวกผู้ชายมาถ่ายผมว่าน่าเรียกเรตติ้งเพจผมได้ดีไม่น้อย แล้วเพจรวมคนหน้าตาดีของมหาลัย ส่วนใหญ่ก็จะขอรูปจากผมไปลงเพจบ่อยๆ   

“มีอยู่คนนึง เพื่อนพี่รหัสกูเอง” ไอ้โป้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเลื่อนไปมาบนหน้าจอไม่นานแล้วยื่นมาให้ผมดู

ผมรับโทรศัพท์จากมือมันมา แล้วเพ่งมองใกล้ๆหน้าจอ คือ มันก็ไม่ได้สั้นขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมอยากเห็นชัดๆไง (ร้อนตัว)

“หล่อชิบหายกูพูดเลย” ไอ้โป้พูดย้ำอีกรอบ พร้อมชูนิ้วโป้งมาทางผม

แต่เดี๋ยวนะ...

“เดี๋ยวนี้มึงเซฟรูปผู้ชายในเครื่องเหรอวะโป้...” ผมถามมันด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้ไอ้แก๊ปกับไอ้เจ๋งเงยหน้าจากการกินข้าวมามองไอ้โป้

“...”

“อ๋อออ...”

 “...”

"อึ้ม..."

 “...”

“ขึ!...”

เป็นไอ้เจ๋งที่หลุดหัวเราะออกมา มือมันก็ตบลงบนบ่าไอ้โป้สองสามที แล้วพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่หน้ามันนี่พร้อมจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ ส่วนแก๊ปมันก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปกินข้าวต่อ ทำไมผมจะไม่รู้ ว่าไอ้เหี้ยนี่กำลังแอบกลั้นขำอยู่

“ก็ดีนะ...”

ไอ้โป้ทำหน้างงไปสองวิ ก่อนมันจะทำตาโตด้วยความตกใจ

“ไอ้พวกเหี้ยยยยย ไม่ใช่โว้ย!!!” มันลุกขึ้นตะโกนใส่พวกผมสามคน ที่ตอนนี้ความอดทนในการกลั้นขำได้หมดลงแล้ว

“อุ๊บ! 5555555555555555555555555555555555555555555”

พวกเราระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำไม่อยู่ ไอ้แก๊ปที่ดูเป็นผู้เป็นคนที่สุดกลับหัวเราะเสียงดังลั่นออกมามือก็กุมท้องไปด้วย ส่วนไอ้เจ๋ง ไอ้เหี้ยนี่ฟุบหน้ากับโต๊ะ น้ำหูน้ำตาไหลพราก แม่งขำน่าเกลียด ฮ่าฮ่าฮ่า

หัวเราะเสียงดังกันสัดๆอะครับ คนที่นั่งกินข้าวอยู่แถวบริเวณผมสะดุ้งกันเป็นแถบ บางคนส่ายหัวหน่ายๆ เพราะเห็นจนชิน ก็พวกผมมันพวกเสียงดังกันอยู่แล้ว มาเจอเรื่องฮาแตกแบบนี้อีก ไม่ไหวแล้วววว

โป้ก! โป้ก! โป้ก!

“เจ็บไอ้เหี้ยย555555555555555” ผมยกมือคลำหัวป้อยๆ ที่ถูกไอ้โป้เอาชีทหนาๆม้วนแล้วตีหัวพวกผมคนละที

“ตอแหลลลลลลลลลลล”

“พูดไม่เพราะเลยนะคะน้องปีโป้ กิ้วๆ กร้ากกกกกก55555555555” ผมแซวมันไปพลางหัวเราะไปด้วย

“ไม่ใช่อย่างที่พวกมึงคิดนะไอ้สาดดดด หยุดหัวเราะแล้วฟังกูก่อนโว้ย!”

“อะจริงป้ะจ้ะ”

“เพื่อนโฟโต้กูมันเอาโทรศัพท์กูไปเซฟเว้ย ไอ้พวกเหี้ย!”

“ขึขึขึๆ” ผมเอามือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ แต่แม่งฮาจริงว่ะครับ ไอ้บ้าเอ๊ย! 555555 ด้วยความที่น้องโป้หุ่นนักกีฬามาดแมนแฮนซั่ม สูงอย่างกับเปรต หน้าดุๆที่ไม่เข้ากับชื่อของมัน ปีโป้อะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

“ขึเหี้ยไรสัส เดี๋ยวกูจับทุบเรียงตัวเลยดีไหม ห้ะ!!”

“กั๋วแล้วคับ ฮ่าๆ ไหนเอาหน้าสุดหล่อของมึงมาดูใหม่ดิ๊ๆ”

“แหนะ บะเดวคิงก่แซวฮาแหม บ่าต้องผ่อละอี้”

“แซวบะดายเลาะ ยอมๆ หื้อฮาผ่อกำ ฮ่าๆ”

“กูอยากอู้ได้บ้างอะ สอนดิ๊ๆ” ไอ้เจ๋งเสนอหน้าเข้ามาทันที ไอ้นี่มันชอบฟังภาษาบ้านเกิด มันบอกเป็นเอกลักษณ์ดี แต่เวลาผมกับไอ้โป้พูดทีไรแม่งต้องมานั่งแปลให้พวกมันฟังอีก พูดกลางไปจบๆ

“มึงโง่อะเจ๋ง สิบชาติก็ไม่ได้หรอก”

“เอ๋า กูก็ฉลาดอยู่เด้อ”

“หาเมียเป็นคนเหนือดิวะ ยากอะไร”

“ยากตรงหน้ามันนี่แหละ กร้ากกกกกกกกก” ขำไปอีกครับ กลุ่มผมนี่ไม่เรียน ดื่มเหล้า ก็ทำตัวไร้สาระไปวันๆ

“พอๆ ไหนกูจะดูรูป”

“อะ เอาไปๆ” โป้มันยื่นโทรศัพท์มาให้ผมอีกครั้ง ก็เห็นหน้าจอเป็นรูปแคปหน้าเฟสบุ๊คของคนที่มันว่า เดี๋ยวนะชื่อ...

“บีมบีม ภัทรนนท์” ผมอ่านออกเสียง ”ชื่อตุ้ดชิบหาย”

“มองข้ามชื่อพี่มันไปๆ” ผมเลื่อนสายตามาดูตรงรูปโปรไฟล์ โหะ! ขนาดเห็นแค่รูปเล็ก ยังรู้สึกได้ถึงออร่าความหล่อ
ซูมแป้ปๆ

 “เหี้ย...”


หล่อ! ชิบ! หาย!


รูปโปรไฟล์เป็นแค่ภาพถ่ายหน้าตรงธรรมดาๆ แต่ที่พีคคือหน้าเจ้าของครับ พอซูมเข้าไปเพื่อที่จะได้เห็นหน้าชัดๆ แม่งเอ้ย มียิ้มมุมปงมุมปาก หล่อได้มากกว่านี้อีกป้ะวะ!

“เป็นไง ได้ป้ะ”

“หล่อเหี้ย...”

“โห หล่อสัด”

“เชี่ย หล่อฉิบหาย”

“กูบอกแล้ว”

ผัวะ!

“เอ้า! ตบหัวกูทำไมเนี่ย” ยังมีหน้ามาถามไอ้เพื่อนกากเอ้ยยย

“นี่มึงเรียกว่าหน้าตาธรรมดาเหรอครับสัดโป้ กูจะเอาธรรมดาอะธรรมดาาาาา”

“นี่ไง มึงไม่เข้าใจกูไง” ไอ้โป้จึปาก ทำหน้าเซ็งใส่ผม

“ไรวะ...”

“มึงต้องเอาพี่มันมาเรียกเรตติ้งก่อนเว้ย เพจมึงจะดังเปรี้ยงปร้างเชื่อกูดิ้”

เออ ก็จริงของมันนะครับ

แหม่! ไอ้โป้มันก็ฉลาดอยู่เหมือนกันนี่หว่า

“เออ แต่มีอีกเรื่องที่กูอยากบอก”

“ไรมึง”

“พี่บีมไม่เคยเป็นแบบให้ใครถ่ายรูปเลยเว้ย”

“ห้ะ...”

“เออ มีอยู่ห้าหกรูปมึงลองเลื่อนดู ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปเพื่อนถ่ายแท็กมา” โป้มันพยักเพยิดให้ผมเลื่อนหน้าจอเพื่อดูรูปต่อไป
จริงว่ะครับ แม่งรูปมีน้อยโคตร ไม่ถึงยี่สิบรูปเลยมั้ง แต่หน้าพี่มันคุ้นๆนะเหมือนผมเคยเห็นที่ไหน

“เออ เพื่อนในโฟโต้กูเหมือนจะเคยไปขอพี่มันมาเป็นแบบให้ แต่ก็โดนเมินซะงั้น” ไอ้เจ๋งพูดขึ้นมา

“ไม่ลองไปขอดูก่อน” ผมหันไปมองหน้าไอ้แก๊ปพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย เออก็จริงของมัน ไม่ลองไม่รู้

“ทำอย่างกับจะเจอตัวพี่มันง่ายนักแหละ” เออ อันนี้ก็จริง

“ก็เจอนะ”

“ห้ะ?”

“นู่นไง” ผมมองตามที่ไอ้แก๊ปชี้ไปทันที ก็เจอเข้ากับกลุ่มคนกลุ่มนึงกำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร ไหนวะ หัววุ้นๆเต็มไปหมดเลยครับ

“ใส่แว่นดิสัด” ไอ้แก๊ปยื่นแว่นมาให้ พอสวมแว่นตาเสร็จผมก็กวาดสายตามองหากลุ่มคนเมื่อกี้อีกครั้ง

นั่นไง! บีมบีม!

“มากับแฟนป้ะวะ?”

แต่คนข้างบีมบีมทำไมหน้าคุ้นๆ


เดี๋ยวนะ...


“เชี่ยมุ่ย ผู้หญิงข้างพี่บีมหน้าคุ้นๆป้ะ?”

“เออ หน้าเหมือน...พี่น้ำตาล”

“เออว่ะ”

“เอออออออ เฮ้ย! นั่นมันพี่น้ำตาลนี่หว่า”

“มุ่ยมึง...”

“นางฟ้า...ของกู” ทำไมมากับไอ้บีมบีม!!

........................................................................

มาแล้วเด้อจ้า  :hao3:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-04-2018 06:39:44
 :hao6: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-04-2018 11:10:40
สนุกดี
รออ่านต่อนะ
 :L2: :pig4:

ปล ใส่ตอนกับวันที่ที่อัปด้วยนะ จะได้ตามง่ายๆ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 3 (UP) 02/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 02-05-2018 23:57:16
ตอนที่ 3
บีมบีมอะเกน


 “ดูมุ้งมิ้งกันเนอะ”

“มียิ้มให้กันด้วยแหละ”

“อุ้ย! เค้าจับแก้มกันด้วย”

“อย่างกับเป็นแฟนกันเลยอ่อ”

ขวับ!

“อุ๊ปส์” ผมตวัดสายตากลับไปมองพวกมัน ที่ทำท่าเอามือปิดปากอย่างตอแหล

เกลียดพวกแม่งงงงงง

“พวกมึงว่าเขาเป็นอะไรกันวะ?” ผมถามแต่สายตายังคงจ้องเขม็งไปยังสองคนนั้น

“...”

“เพื่อนแหละ...”

“...”

“เพื่อนแหละมึงงงงงง” ไอ้เจ๋งลากเสียงยาวก่อนจะพาดแขนมาตบไหล่ผม

“เออ! นางฟ้าจะมีแฟนได้ไง! แฟนเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้โว้ยยย!” ผมโวยวายลั่น

“มึงไปเป็นแฟนพี่เขาตอนไหนวะ?”

“เมื่อคืนไงเจ๋ง! ในฝันกู!” ผมกระแทกเสียงตอบพวกมันด้วยความมั่นใจ

“ถุ้ยยยยยยย”

“ไอ้ฟายยย แฟนมโน” ไอ้แก๊ปส่ายหัวให้กับความมโนของผม แล้วไงวะ ซักวันเค้าก็ต้องได้เป็นแฟนกู กูจะมโนเผื่ออนาคตบ้างไม่ได้ไง๊!

“เขาเรียนสาขาเดียวกันก็ต้องรู้จักกันเป็นธรรมดาอะมึง แต่ให้กูพูดจริงๆเลยนะ...” ไอ้เจ๋งลูบคางตัวเองพลางทำหน้าครุ่นคิดอย่างน่าหมั่นไส้

“แม่งโคตรของความเหมาะสมกัน”

“คนนึงก็สวย อีกคนก็หล่อ...ไปเดตกัน!”


ผัวะ!


ฟาดไปหนึ่งทีด้วยความเกลียดชัง

“โอ๊ย! กูก็พูดไปตามเนื้อผ้าอะ มึงก็ดูดิ ดูๆ”

“กูเห็นแล้ว! ทำไมต้องมุ้งมิ้งกันขนาดนั้นวะ! น้ำตาลแม่งทำร้ายหัวใจกูอะ แม่งไม่แคร์ความรู้สึกกูเลยใช่ป้ะ!” ผมว่าอย่างตัดพ้อ อีกนิดน้ำตาจะไหลละ กระซิกๆ

“มึงเป็นไรกับพี่เขา ไอ้ห่า” ไอ้โป้ว่า

“นางฟ้าของมึงเขารู้ว่ามึงมีตัวตนอยู่บนโลกนี้รึเปล่า เอางี้ดีกว่า”


แก๊ป!


แก๊ปทำไมปากร้ายกับเพื่อน!


“แล้วมึงจะไปคุยกับพี่เขาไหมเนี่ย”

“ทำไมกูต้องไปคุยกับไอ้เสี้ยนหนามตำหัวใจอย่างมัน!!” ผมหันขวับจ้องไปที่ไอ้บีมบีมด้วยความโกรธเกรี้ยว


หึ! มึงมันก็แค่ทางผ่านของนางฟ้าเท่านั้นล่ะวะ!


นี่!


ตัวจริงเขานั่งอยู่ตรงนี้!


หึหึหึ!


“ก็เรื่องที่จะให้พี่บีมเป็นแบบให้อะ”

“กูไม่เอาแม่งแล้ว! หาใหม่!” แค่คิดว่ามันต้องมองกล้องตอนผมกำลังจะถ่ายนะ บรึ๋ยย!

“จะหาใครได้เท่าพี่บีมวะ...”

“ถ้าไม่ติดว่าเป็นตากล้องก็กูนี่แหละ” ผมยืดอก ยิ้มมุมปากใส่พวกมันอย่างเท่ๆ พูดเลยว่าตอนประถมสาวติดผมแจ เดินไปทางไหนมีแต่คนเรียกให้ไปเล่นด้วย หึ!

“ก็กล้าพูดเนอะ...” แก๊ป แก๊ปทำร้ายเพื่อนอีกแล้ว

“เหมือนคนโง่อะ เออ แต่จริงๆแม่งก็โง่อยู่แล้ว” ไอ้โป้ ไอ้สัด ผมชูนิ้วกลางให้มันอย่างหมั่นไส้

“ไม่ได้สำเหนียกหน้าตาตัวเองเล้ยยยย ส่องกระจกบ้างดิเพื่อนครับ” ปากพวกแม่งแต่ละคน แค่ผมหน้าตาดีก็จะต้องประชกประชันใส่ตลอด



เบื่ออะเอาจริงๆ



เบื่อความหล่อของตัวเอง กริ้ววววว!



“ทำไม พูดไรเกรงใจทรงผมที่กูเพิ่งไปตัดมาใหม่ด้วย อย่างโหด ดูอันเดอร์คัทด้วยๆ” ผมลุกขึ้นยืนละเก๊กท่าให้พวกมันดู

หล่อชิบหายอะครับ พูดเลย ให้เรียกว่าทรงผมขัดใจแม่แต่ถูกใจผมโคตรๆ ด้วยความก่อนหน้าที่จะไปตัดผมไว้ผมยาวจนเกือบเลยบ่า ก็ไม่ได้ตั้งใจไว้หรอกนะครับ คือมันไม่ว่างซักทีไง พอว่างปุ้ปผมก็จัดซะเลย ผมตัด Undercut เอาเฉพาะด้านข้างและหลังออก โดยคงความยาวด้านบนไว้เท่าเดิม แล้วรวบตึงมัดจุกไว้ข้างหลัง


พูดเลย โคตรหล่อ!


“เอออะ หล่อสัดๆหล่อโพดโพบักโมบักแตง แต่หล่อนั่งลงแล้วแดกข้าวก่อนไหมครับ เดี๋ยวไม่ทันไปเรียนไอ้ห่า”

แก๊ปกระตุกแขนผมให้นั่งลง แล้วพยักเพยิดไปที่จานข้าวของผมเป็นเชิงบอกให้รีบๆแดกไม่งั้นเจอตีน

“คิดไงตัดทรงนี้วะ?”

“กูหล่อกูทำไรก็ได้...อิ่มละ” ผมตักข้าวคำใหญ่ๆเข้าปากเป็นคำสุดท้าย รวบช้อนละเตรียมจะยกจานไปเก็บ

“กูฝาก”

“ด้วย”

“ด้วย”

“เอ้าไอ้ห่า พวกมึง...” พวกมันหยิบจานของตัวเองมาวางซ้อนจานของผม เก็บของละก็เตรียมจะเดินออกจากโรงอาหาร

“กูไปล่ะ x3”

“เชี่ยยยยยย พวกมึงทิ้งกู!” พวกแม่งวิ่งกันไปละครับ เหลือผมที่ยืนฮึดฮัดโดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเลอยู่ตรงนี้ แกล้งกูพวกเวร เดี๋ยวเถอะมึงๆ คราวหน้ากูอัดคลิปแน่!

แต่ก่อนอื่นต้องเอาจานไปเก็บก่อนครับ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน


ผลัก!


“เชี่ย! เฮ้ยๆ หาเรื่องเหรอวะ!?”

ขณะผมกำลังยื่นจานไปวางตรงที่เก็บจาน ก็มีไอ้เวรตัวไหนไม่รู้เดินเฉี่ยวผมไป จนเกือบจะทำจานร่วง แม่งเอ้ยหน้าแทบคว่ำ


หาเรื่องแล้วยังงี้!?


“โทษที” เสียงทุ้มที่ฟังแล้วรู้สึกหล่อชิบเอ่ยขอโทษผม


เออ!


นึกว่าหาเรื่อง เกือบแล้วไหมล่ะ


“เออ วันหลังเดินดีๆนะมึง” ผมบอกปัดไปอย่างไม่ถือสา ผมโตแล้วไม่หาเรื่องใครเป็นเด็กๆหรอก เมื่อก่อนนี่ไม่ได้เลยนะ แค่เฉียดปลายแขนเสื้อนี่หยามหน้าแล้ว

“โทษนะคะ ขอทางหน่อย”


“...”


“เอ่อ...ขอทาง...”

“...นะ...นะ...น้ำ...”

“คะ?”

“นะ...น้ำ...ตะ...ตะ...ตะ...”

“เอ่อ...อะไรนะคะ...มึงๆ เขาเป็นไรวะ”

น้ำตาล!!!!

น้ำตาล!!!!!!!!

น้ำตาล!!!!!!!!!!!


นางฟ้า!! อยู่ตรงหน้ากูเลยยยยยยยยยยยยยยยยย


ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


“บีมกูว่าเขาไม่โอเคว่ะ เขาตาเหลือกอะมึ้งงงง”

“ทุกอย่างโอเคครับ!! ทุกอย่างโอเค!!” ผมโพล่งออกมาอย่างตกใจ นางฟ้ามองผมอย่างอึ้งๆไปนิดแต่ก็ส่งยิ้มหวานๆมาให้


โอ้ยยย หวานมากครับที่รัก!


จู่ๆแข้งขาผมก็อ่อนแรงเหมือนจะเซ จนต้องใช้มือยันเสาใกล้ๆตัว

ไม่ไหวแล้วกู น้ำตาลสวยมากกกก ผิวขาวจั๊วะ ผมยาวตากลมโตสวย ตัวเล็กๆ กูรับไม่ไหวแล้ววววว

“เอ่อ...ค่ะ”

น้ำตาลมองหน้าผมอย่างงงๆ แต่ก็ส่งรอยยิ้มบางๆมาให้


โอ๊ยยยยย ใจกูววววววววว


“ผะ...ผม...ขอ...ตัว...” ถุ้ย! ติดอ่างทำมะเขืออะไรวะตัวกูเนี่ย !



ผลั่ก!



ชิบหาย สะดุด!


“แว๊กกกกก!”

ตุ้บ!


“เฮ้ย! เป็นไรไหม!?”


ฟึ่บ!

“ทุกอย่างโอเค!"

"เอ่อ..."

"ไม่เป็นไรครับ! ทุกอย่างโอเค!” ผมเด้งตัวลุกขึ้นยืนอย่างไว ส่งยิ้มหวานให้นางฟ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



เชี่ย



อายชิบหาย



เหี้ยเอ้ย! เมื่อกี้หน้าเกือบแหก ใจผมนี่อยากจะรีบก้าวขาไวๆออกมาจากจุดนั้น แต่แม่ง! ขากูเป็นเชี่ยไรวะ เดินเหลวเป็นปีโป้เลยเนี่ย!


ชื่อเกาหลีชื่อใหม่ครับ


เดินยังเซ


สัสเด้ย!


ผมกากได้มากกว่านี้อีกไหมครับทุกคน ล้มต่อหน้าสาวที่ชอบต่อหน้าต่อตาเขา เอื้อออออ


"ผะ...ผมขอตัวนะครับ" ผมยิ้มให้น้ำตาลเป็นเชิงบอกลา เธอยิ้มหวานตอบกลับมาให้จนผมใจกระตุก



มีเหรียญไหมครับ...



อยากโทรบอกแม่ว่าเจอเนื้อคู่ งุ้ยยย



หมับ!


ยังไม่ทันที่ผมจะพาร่างกากๆของตัวเองเดินออกมา จู่ๆก็มีมือปริศนามาจับแขนผมไว้ ใครวะ?

“โทรศัพท์ตกอะ” พอหันไปก็เจอกับ...

ไอ้มารหัวใจ!!

ไอ้บีม!!

“เออ!” ผมดึงหน้าตึงใส่มัน แขนก็ยื่นออกไปหวังจะคว้าโทรศัพท์คืนมา แต่มันดันเสือกชูมือข้างที่ถือโทรศัพท์ขึ้นแล้วเอี้ยวตัวหนีผมไปอีก

อะไรวะ!

“ไหน ขอบคุณ?” มันเลิกคิ้วถามผมอย่างกวนๆ อะไรของแม่งเนี่ยยยย กูรีบอะเข้าใจไหม กูอายเค้าไอ้เชี่ยยยยย

“ขอบใจ! เอามา!” ผมกระแทกเสียงใส่มัน ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างไม่พอใจ แล้วยื่นมือไปอีกรอบ คราวนี้มันยอมให้ผมแต่โดยดี แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่จับแขนผมไว้อีกข้าง ไรมึงงงงง

“ดัดฟันด้วยเหรอมึงอะ” มันใช่เวลามาถามไหมล่ะห่ามึง!

เสือกไรกะฟันกู! กูไปดัดบนขนคิ้วมึงรึไง ไอ้ฟายยยยย

“เออ! ปล่อยกูซักที เพื่อนรอ!” เพื่อนที่ไหนรอละครับ อ้างไปงั้นแหละ โน่น พวกแม่งอยู่ในคลาสกันหมดละ

ผมพยายามยื้อแขนออกมาจากมือไอ้บีม แต่มันก็ไม่ยอมปล่อย

จะเอายังไงกับกูโว้ยยย

“อ๋อ” 

“ปล่อย จะไปหาเพื่อน!”

“จะไปละ รีบอ่อ” เอ้า! บักผากนี่

“ปล่อยดิ้!” ผมชักสีหน้าใส่มัน กูไม่พอใจมึงโคตรๆเลยครับ!

“อะๆ จะไปไหนก็ไป” ในที่สุดมันก็ปล่อยแขน ผมมองหน้ามันด้วยความเคียดแค้น แต่มันเสือกทำยิ้มมุมปากเชิงเยาะเย้ยส่งมาให้ผม


โห! ไอ้เลววววว


มึงจะเกินไปแล้ว!


ไอ้บีม!! ไอ้ศัตรูหัวใจนัมเบอร์วัน!!!


“...”


“อ้าว! ไม่ไปเหรอ แล้วทำไมมองหน้ากูยังงั้นอะ หึหึ”



ขำ


ขำกู



มึงคอยดูนะ ซักวันน้ำตาลเขาก็จะเบื่อในความหล่อของมึง เขาจะทิ้งมึง ละมาหากูที่ชอบเขาสุดหัวใจ



มึงคอยดู๊!!





(TBC)


......................................................................................


มาต่อแล้วฮับ 55555 หายไปซะนาน ตอนนี้สั้นไปหน่อย ตอนหน้ายาวไปๆค่ะ อิอิ
แว๊บมาอัพตอนอ่านหนังสือสอบ สมองดันแล่นตอนนี้ซะงั้น  :katai4:
ไม่อ่านก็ไม่ได้ด้วยนะคะคณะนี้5555555
หลังสอบเจอกันค่ะ   :hao7:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 3 (UP) 02/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 03-05-2018 11:32:09
 :hao7:
เค้าเจอเรื่องน่ารักๆ เข้าแว้ววววววว

ฟ้ามุ่ยจะม่วนเพราะสุดหล่อหรือสุดสวยดีอ่ะ
มุ่ยมุ่ยตามถ่ายรูปตอนบีมบีมหลุดซิ
น้ำตาลคนสวยจะได้ยี๊ แล้วตกเป็นของมุ่ยมุ่ยไง
จัดเลยๆๆๆ

ไลค์ด้วยบวกและเป็ด ให้แก๊งเพื่อนน้องมุ่ย อย่างกวน 555
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 4 (UP) 27/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 27-05-2018 01:53:06
ตอนที่ 4
คนไม่กากเป็นแบบนี้


นอนไม่หลับ!

พลิกซ้ายพลิกขวาคว่ำหน้านอนหงายมาหลายนาทีก็ยังไม่หลับ ปกติผมนอนไม่เกินเที่ยงคืนแต่นี่มันจะตีหนึ่งแล้วตายังสว่างอยู่เลย ในหัวก็คิดไม่ตก เอายังไงดีอะครับ น้ำตาลตัวเป็นๆใกล้ๆสวยมาก จะจีบยังไงดี แล้วแม่งไอ้บีมบีม...ไม่อยากยอมรับว่าหล่อเลยว่ะ แต่คือมันหล่อชิบหาย เอาจริงๆสองคนนั้นเหมาะสมกันมาก

จากที่คิดว่าต้องเริ่มต้นจากศูนย์...

ตอนนี้ต้องไปเริ่มจากติดลบร้อย  สัด

มุ่ยไม่กาก  นะครับ
เมื่อสักครูนี้
น้องนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับกระส่าย <3


ปีปีโป้ เป็นของหวาน : แล้วงะ?

พี่ชื่อเจ๋ง แปลว่าหล่อมากรู้ยัง : จำเป็นต้องรู้?

มุ่ยไม่กาก  นะครับ : ปีปีโป้ เป็นของหวาน พี่ชื่อเจ๋ง แปลว่าหล่อมากรู้ยัง ขี้เสือกจังว้า?

เนี่ย! จะอัพตัสชิคๆ พวกกากนี่แม่งยังงี้ตลอด


ผมไม่กากนะครับ (4)
มะระมุ่ย : มึง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ปีโป้เป็นของหวาน : อะระ?
กีระแก๊ป : ว่า?
เจ๋งแปลว่าหล่อ : ไยหยอ
มะระมุ่ย : หายไปเลยนะไอ้สัด กูบอกให้ช่วยคิดไงงง กูจะจีบน้ำตาลยังไงดี!!!
กีระแก๊ป : ไปตายละเกิดใหม่ให้หล่อกว่าไอ้พี่บีมจะง่ายกว่า
เจ๋งแปลว่าหล่อ : มึงตัดใจเหอะสาดดดด หน้าอย่ามึงจะไปสู้ไรพี่มันได้แว๊!
ปีโป้เป็นของหวาน : มึงยังจะกล้าไปเจอหน้าพี่เค้าอีกเรอะ! ล้มหน้าทิ่มต่อหน้าเค้าเบอนี้ นึกละยังขำ55555555555555
มะระมุ่ย : คำว่าเพื่อนมันเหี่ยถิ่มไส...

ผมตัดพ้อมันไปเล่นๆวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน นอนดีกว่าครับพรุ่งนี้ตื่นมาค่อยคิด นอนดึกเดี๋ยวไม่หล่อ ปกติแล้วผมไม่ค่อยเล่นโทรศัพท์ตอนกลางคืนเท่าไหร่ เดี๋ยวสายตาเสียน่ะนะ ทุกวันนี้แค่หน้าจอคอมก็จะแย่แล้ว เฟสบงเฟสบุ๊คผมก็ไม่ค่อยได้เล่น


คือแบบ...


ผมมันคนไม่ติดโซเชียลไง เฟสบุ๊ค ไลน์ ไอจี ทวิตเตอร์ ก็มีไปงั้นๆอะครับ


ครืดๆ

ขวับ!

อุ้ย! มีคนมาเม้นด้วยอ้ะ

น้องหมวยดาวบัญชีนี่หว่าๆ ตอบเม้นซักหน่อยละกัน เดี๋ยวเขาหาว่าหล่อแล้วหยิ่ง


ครืดๆ


ไลน์กลุ่มเข้าว่ะ อะเช็คหน่อยๆ

ผมไม่กากนะครับ (4)
เจ๋งแปลว่าหล่อ : เห้ย!! คิดออกแล้นนนน
กีระแก๊ป : มึงคิดได้แต่ละทีกูไม่เคยไว้ใจ
เจ๋งแปลว่าหล่อ : รอแป้ป
ปีโป้เป็นของหวาน : อะไรของมันวะ
มะระมุ่ย : นั่นเด่ะ
   

แผนอะไรของมันวะ


10 นาทีผ่านไป


มะระมุ่ย : เชี่ยเจ๋ง ตกลงยังไงวะ กูง่วงละเนี่ยยยยย
เจ๋งแปลว่าหล่อ : เอออออ เชื่อมือกูสิวะ!
กีระแก๊ป : เหอๆ กูขอให้นก
มะระมุ่ย : อ้าวมึงแช่งกูอะแก๊ป!!
เจ๋งแปลว่าหล่อ : ส่งรูปภาพ
เจ๋งแปลว่าหล่อ : มึงทำตามนี้ รับรอง จีบติดชัวร์!!




เช้าวันต่อมา

ข้อที่ 1 ผู้หญิงชอบเรื่องเซอไพรส์

   “คันนี้แน่เหรอวะ” ผมหันไปถามไอ้เจ๋งด้วยความไม่มั่นใจ ตอนนี้ผมกับมันแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างโรงจอดรถ นักศึกษาที่ลงจากรถหันมามองผมด้วยความงงปนระแวง เชี่ยแม่ง! เหมือนพวกจ้องจะมาขโมยรถใครเลยว่ะกู

   “เออออ คันนี้แหละ ทะเบียนนี้เลย เมื่อเช้ากูเห็นพี่น้ำตาลขับคันนี้มา”

   “กู...เขินว่ะ” ผมลูบต้นคอตัวเองอย่างอายๆ ก็ไอ้เจ๋งอะดิ เมื่อวานมันส่งลิสต์ 10 ข้อจีบหญิงมาในกลุ่มแล้วบอกให้ผมทำตามนี้จีบติดแน่นอน

   แต่ให้ตายเหอะ ขนาดเห็นแค่รถใจผมแม่งเต้นรัวอย่างกับสามช่า

   “มึงก็รีบๆเอาขนมไปวางให้ซักทีดิ้ เดี๋ยวพี่เขาก็ลงมาละเนี่ย” มันสะกิดเร่งผมยิกๆ

   “กูเขิน! ให้กูทำใจแป้ปนึงดิ้” ตอนแรกผมก็คิดหนักอยู่ว่าจะเซอไพรส์อะไรดี จนไอ้โป้บอกว่าลองให้ขนมเล็กๆอะไรพวกนี้ ผู้หญิงน่าจะชอบ ผมก็เลยซื้อคัพเค้กห่อใส่ถุงน่ารักๆมา 2 ชิ้น

   บอกเลย!

   คนนี้มุ่ยชอบมาก!

   “งั้นกูเอาไปให้ละนะ” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเรียกกำลังใจให้ตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้เตรียมก้าวขาเดินออกไป ไอ้เจ๋งก็คว้าแขนผมเอาไว้ก่อน

   “ไรมึงวะ?” มันยิ้มเผล่แล้วยื่นกระดาษโพสอิทรูปหัวใจสีชมพูมาให้ผม อะไรของมันวะ

   “อะไรของมึงเนี่ย”

   “โง่อีกละ นี่! มึงต้องเขียนอะไรซักหน่อยให้พี่เขาแบบ เอ๊ะ ใครกันน้าาาา ไรงี้ไง” มันจึปากทำหน้าเซ็งเมื่อผมไม่เก็ตมุก แล้วอธิบายให้ผมฟัง

   “แล้วกูต้องเขียนอะไรวะ” คราวนี้ตามันวาววับฉายแววสนุก ทำเป็นกระแอมก่อนจะแขนมันมาวางพาดบนบ่าของผม

   “มุกเสี่ยวอะมึงรู้จักป้ะ อ่อยยังไงให้ไม่รู้ว่าอ่อย”

   “เขียนแบบนั้น น้ำตาลจะไม่มองกูแปลกๆเหรอวะ เขียนอย่างอื่นเถอะว่ะกูว่า” ผมทำหน้าแหยๆ ครั้งนึงผมเคยแอบค้นกระเป๋าฟ้าใสน้องสาวของผมดู โพสอิทเขียนอะไรแบบนั้นเต็มหมดเลย อ่านแล้วก็รู้สึกขยุกขยุยยังไงไม่รู้

   “มึงต้องไม่เหมือนใครดิวะ พี่น้ำตาลจะได้จำได้ไง”

   “แล้วกูต้องเขียนยังไง” ไอ้เจ๋งทำท่านึก ก่อนจะหัวเราะหึๆออกมา เกลียดมันเวอร์ชันนี้ชิบหายอะผม แม่งโคตรดูเป็นคนชั่ว

   “หัวใจเราอะอยู่ข้างซ้าย แต่ทำไมมันอยากย้ายไปอยู่ข้างเธอ ฮิ้ววววว”

   “ห้ะ...”

   “ของกินซื้อได้ที่ห้าง ส่วนคนข้างๆซื้อได้ที่ไหน วรั้ยยยย”

   “เชรด...”

   “หลงรักโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ที่ชัวร์ๆคือเราตั้งใจ ปิ้วๆ”

   “นี่มึง...”

   “หน้าร้อนอะให้พัก แต่ถ้าน่ารักอะให้เธอ โง้ยยยย”

   “พอ! หยุด!”

   “อ้าว นี่ยังไม่หมดเลยนะ กูมีอีกเพียบ” มันฉีกยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์กดหน้าลงแนบคอจนเห็นเหนียงย้วยๆ หน้าโคตรเหมือนพวกโรคจิตชอบแอบถ่ายใต้กระโปรงสาวๆ

   “พอเหอะ” ผมยกมือเบรกมันก่อนที่มันจะพล่ามไปเรื่อยมากกว่านี้ มุกเชี่ยไรของมัน...

   “มึงไม่ชอบเหรอวะ?”

   “เออ” ผมพยักหน้าให้มันหนึ่งที

   “แต่กูว่า...”

   “มุกมึงกากมาก สมองมึงคิดได้แค่นี้เรอะ นี่ ดูกู!”

   “ไรวะ..”

   “ข้างเซเว่นยังมีชายสี่ แต่ถ้าให้เลือกตอนนี้ ผมขอเลือกข้างคุณ” เฉียบ

   “เอ่อ...”

   “อากาศร้อนให้คิดถึงแอร์ ถ้าอยากได้คนเทคแคร์ให้คิดถึงเรา” อันนี้เฉียบมาก

   “เดี๋ยวนะ...”

   “ถึงจังหวัดจะมีหลายอำเภอ แต่ใจเรามีให้แค่เธอแค่คนเดียว” โคตรเฉียบ

   “เชรด...”

   “ขนาดเบียร์ยังมีฟอง แล้วเมื่อไหร่น้องจะมีใจ” เฉียบสุด!

   “พอ! ไอ้สัด! กากยิ่งกว่ากูอี้กกก ถุ้ยยย”

   “ของกูดีกว่า” ผมยืดหน้าใส่มัน แม่งมาว่ามุกผมกาก มุกมึงดีตายแหละ

   “มึงรีบเขียนละเอาขนมไปให้พี่เขาซักทีดิ้ คนเริ่มลงมาจากตึกแล้วมึงเห็นไหม” มันชี้ไปทางตึกวิศวะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็เห็นว่าคนเริ่มทยอยเดินลงมาจากตึกกันแล้ว

   เฮ้ย! ผมยังไม่ได้เขียนเลย!

   “เขียนไรดีวะๆ” ผมกระตุกแขนเสื้อไอ้เจ๋งอย่างร้อนรน มันขมวดคิ้วทำสีหน้าครุ่นคิด

   เอ๊อะ!

   “นึกออกแล้ว!” เอาอันนี้แหละครับ เสี่ยวพอกระชุ่มกระชวยหัวใจ

   “เขียนดิๆ” ผมจรดปากกาเขียนข้อความที่เพิ่งนึกได้เมื่อครู่ลงบนกระดาษ นึกถึงรอยยิ้มหวานๆของน้ำตาล ถ้าเธอรู้ว่าผมชอบเธอขนาดนี้เธอจะทำหน้ายังไง


   “เรา...ก็ชอบมุ่ยนะ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มส่งมาให้ผม สายตาคู่นั้นมองมาที่ผมอย่างเขินอาย เธอเอื้อมมือมาพร้อมกับคำพูดที่ว่า...


   ผัวะ!


   สะเทือนไปทั้งกะโหลก


   ไม่อ่อนโยนกับกูเลย ไอ้เพื่อนเหี้ยยยย


       “เขียนเสร็จแล้วก็ไปโว้ย! มโนห่าไรของมึงอีกเนี่ย”

ผมวิ่งไปที่รถของน้ำตาล มองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง

ไม่มีใคร!

ทางสะดวก!

ผมวางถุงคัพเค้กบนกระจกฝั่งคนขับอย่างระมัดะวัง จัดวางมันให้ดูสวยงามและให้เห็นโพสอิทชัดๆ

น้ามตาลของพรี่มุ่ยยยย

งื้ออออออ

“เชี่ยมุ่ย! พี่เขาเดินมาแล้ว!” เสียงไอ้เจ๋งตะโกนเรียก ทำให้ผมหลุดออกจากความมโน หันไปตามมือมันที่ชี้ไปทางตึกเรียนอีกครั้ง

เชี่ย!!

เดินมาแล้ววววว

ผมใส่เกียร์หมาวิ่งหน้าตั้งกลับไปยังจุดเดิมคือหลังต้นไม้ใหญ่

“มึง! เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

“ขอ...แฮก...กูแอบดูอีกนิดดิ” ผมพูดปนหอบนิดหน่อย ความจริงระยะทางจากที่ซ่อนตัวกับรถน้ำตาลมันก็ไม่ได้ไกลมากหรอกครับ แต่ด้วยความตกใจปนกับเห็นหน้าน้ำตาลละใจเต้นแรงบวกกับวิ่งมาอีก กูหอบแป้ป

“กูว่า...”

“ไอ้เจ๋ง! ไอ้มุ่ย!” เสียงตะโกนเรียกจากด้านหลังทำให้ผมกับไอ้เจ๋งตัวแข็งขึ้นมาทันที พอหันไปดูก็เจอกับ...

ไอ้โป้!!!

“พวกมึงมาทำอะ...อุ้บ! เอี้ยอะไออึงเอี้ย อิดอากอูอะไอ” ไอ้เจ๋งกระโจนเข้าไปตะครุบปากเชี่ยโป้ทันที ส่วนผมก็รีบดันตัวพวกมันให้รีบออกไปจากตรงนี้ ก่อนจะโดนจับได้ พี่เขาคงไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรใช่ไหมวะ

มึงผิดเวลา! ผิดมาก!!!

 “อะอ้ากอูไอไอ๋เอี้ย!” (จะลากกูไปไหนเนี่ย)

“เงียบไปเลย ไอ้เพื่อนเวร!”


....................................................



ฟึ่บๆ!

ผมโยนกระเป๋าลงบนเตียง ปลดทุกอย่างออกจากตัวจนเหลือแค่บอกเซอร์ตัวเดียว แล้วหงายหลังลงเตียงอย่างหมดแรง

เฮ้อ

จีบหญิงมันยากขนาดนี้เลยเหรอวะ

ผมไม่เคยจีบใครจริงจังเลยซักที ชีวิตนี้ก็เคยคบมาแค่สองสามคน แถมไม่ได้จีบซักคนเลยด้วย ออกแนวเขาเข้ามาหาแล้วผมก็มึน คบไปแบบงงๆ เลิกกันก็งงๆ ประสบการณ์น้อยแต่คือผมหล่อมาก น้ำตาลก็สวยมาก อยากได้เป็นแม่ของลูกมาก

เอาจริงๆคือผมไม่คิดว่าการจีบใครซักคนจะยากขนาดนี้ เหมือนกำลังตั้งความหวังไว้กับอะไรที่ไม่มีเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้เลย แต่น้ำตาลก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ถูกใจผมเข้าอย่างจัง เธอสวย เธอน่ารัก ผมอยากลองคุยกับเธอดูซักครั้ง แต่เข้าใกล้น้ำตาลทีไรผมนี่บิดเป็นกางเกงในเฮียครามทุกที

เขินอะไรเขาขนาดนั้นวะห่า


.

.

.


“มุ่ย! กินข้าว!”

 “ไอ้มุ่ย! กินข้าวโว้ยยย”

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงขยี้ผมเพื่อปลุกตัวเอง แล้วนี่ผมหลับไปตอนไหนวะ จำได้ว่าคุยไลน์กับเพื่อนละภาพก็ดับไปเลย

“แดกข้าวโว้ยยยยยยยยยยยยยยย”

หูจะแตก!

“กลัวข้างบ้านเขาไม่ได้ยินไง๊!!!!!!!” ผมลุกขึ้นตะโกนกลับไปพลางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดมาใส่ ก่อนจะรีบเดินลงไปข้างล่าง ก่อนที่เฮียมันจะแหกปากยิ่งกว่านี้

“เรียกไรนักหนาอะ หูจะแตก” ผมบ่นเฮียคราม พี่ชายแท้ๆที่ห่างกันเกือบ 10 ปี เป็นหมอฟันเปิดคลินิกอยู่แถวๆมหาลัยผม หน้าตาดีเหมือนผม แต่ผมหล่อกว่าเยอะ

“จะกินไหมข้าว อุตส่าห์ทำให้กิน” ผมมองไปที่โต๊ะก็เห็นไข่เจียวกากๆกับแกงส้มที่เหลือจากเมื่อวานสลับกับสารร่างเฮียมัน

“นอกจากไข่เจียวแล้วเฮียทำอย่างอื่นเป็นบ้างป้ะวะ” ผมดึงเก้าอี้ออกมานั่งแล้วตักข้าวจากหม้อหุงข้าวใส่จาน เหอะๆ เดี๋ยวไอ้ใสมาเห็นโดนด่าแน่ น้องผมมันรักครัวอย่างกับอะไรดี ของทุกชิ้นต้องอยู่เป็นที่เป็นทาง ครัวยังสะอาดกว่าห้องผมอีกอะพูดง่ายๆ

“คนที่ทอดไข่ดาวไหม้อย่างเอ็งมีสิทธิพูดด้วยเรอะ”

ก็นะ...

ทั้งผมกับเฮียแม่งสกิลทำอาหารกากทั้งคู่ ถ้าไม่มีไอ้ใสชีวิตนี้คงได้แต่กินไข่ดาวไหม้ๆของผมกับไข่เจียวกากๆของเฮียทั้งชีวิตแน่

“แล้วไอ้ใสไม่กลับบ้านอ่อ” ผมตักไข่เจียวมาวางบนจาน ตักน้ำแกงส้มมาราดข้าวให้ชุ่มแล้วตักเข้าปาก เฮียแม่งเหนือกว่าผมตรงไหนรู้ป้ะ

ตรงที่มันทำไข่เจียวอร่อยนี่แหละ

ต่างกับผมที่แค่ไข่ดาวยังไหม้

อะไรวะ...

ขนาดทำกับข้าวยังลูซเซอร์เบอร์ห้าเลยชีวิตผม

“โทรมาเมื่อกี้ว่าทำรายงานอยู่ เดี๋ยวค้างที่บ้านเพื่อน” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ โคตรหิวอะพูดตรงๆ วันนี้แม่งหมดพลังไปเยอะมาก

‘ฟ้าใส’ น้องสาวคนเล็กของบ้านผู้เป็นทุกอย่างให้ผมกับเฮียแล้ว อยู่มอหกกำลังจะขึ้นปีหนึ่ง เห็นชื่อน้องมันแบ๊วๆยังงี้อย่าคิดว่าใสมันจะตัวเล็กน่ารักบ๊องแบ๊วนะครับ

ต้องเกริ่นก่อนว่าที่บ้านผมเนี่ย พ่อสูงมาก แม่ก็ร้อยหกสิบปลายๆ ทั้งบ้านเลยเป็นครอบครัวตัวสูงและหน้าตาดีมาก เฮียก็ร้อยแปดสิบปลาย หล่อได้พ่อ เท่ สไตล์คุณหมอฟันดิบเถื่อน ผมก็ร้อยเจ็ดสิบเก้าเหนาะๆ แหม่ พูดแล้วช้ำใจ อีกเซนต์เดียวก็ไม่ให้กูแต่ดีที่ยังหล่อมากได้พ่อกับแม่มา ไอ้ใสก็ร้อยหกสิบปลายแล้วมันอะ หน้าก็สวยเหมือนแม่ แต่นิสัยพวกเราทั้งสามคนไม่มีใครเหมือนกันเลยครับ

เฮียฟ้าครามนี่มีสองเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นอยู่บ้านกับอยู่ข้างนอก เวอร์ชั่นอยู่ข้างนอกจะเป็นคุณหมอฟันลุคเท่เนี้ยบ ปากหวานใจดียิ้มเก่ง สาวๆติดตรึม แต่พออยู่บ้านปุ้ป เหมือนไอ้ตัวไข่ขี้เกียจเข้าสิง ใส่บอกเซอร์ตัวเดียวนั่งดูการ์ตูนอยู่หน้าทีวี ใช้น้องหยิบนู่นนี่นั่นใช้วิธีกลิ้งแทนเดิน ห้องก็รกยิ่งกว่ารังหนู น้ำไม่อาบ ทำตัวสกปรก ผีบ้าผีบอ แม่งอยากให้สาวที่เรียกมันพี่หมอๆ มาเห็นสภาพนี้จัง

ส่วนฟ้าใส ทุกวันนี้ทำตัวเหมือนพี่สาวคนโตของบ้านเข้าไปทุกวัน บ่นแม่งทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ก็เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริงๆ งานบ้านงานครัวน้องผมเอาอยู่ เป็นเด็กน้อยขี้บ่น แต่ถ้าไม่มีไอ้ใส ผมกับเฮียคงหน้าเป็นไข่เข้าซักวัน

ส่วนผมอะนะ ก็หล่อไปเรื่อยเปื่อยอะครับ ไม่มีอะไรนอกจากความหล่อของตัวเอง

 “เฮีย”

“ว่า?” เฮียมันเหล่สายตาจากการไถโทรศัพท์มามองหน้าผมเป็นเชิงว่ามีอะไร

“เฮียว่าข้าหล่อป้ะ”

“ข้าหล่อกว่า” ไม่น่าถามคนอย่างมันเลยจริงๆ

“เอาดีๆดิ้เฮีย”

“เอ็งน้องข้า เอ็งก็ต้องหน้าตาดีเหมือนข้าดิวะ”

“เฮียเอาเหล็กออกให้หน่อยดิ”

“ไว้นั่นก็ดีอยู่แล้ว กันหมาออกจากปาก” โห ไอ้เฮีย นี่น้องไง

“จริงจังนะเว้ย นี่จะจีบสาว ไอ้โป้มันบอกว่าผู้หญิงเขาชอบผู้ชายที่ดูเท่ๆ” ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไปเมื่อเย็นก็คุยกับพวกมันว่าน้ำตาลน่าจะชอบคนแบบไหน พวกมันก็บอกว่าน่าจะชอบคนเท่ๆ เพราะพี่เขาเรียนวิศวะ เพื่อนเขาก็มีแต่คนเท่ ผมต้องเท่ให้เหนือกว่า น้ำตาลจะได้สนใจผม

“ละเกี่ยวอะไรกับเอาเหล็กออกวะ” เฮียมันขมวดคิ้วมองหน้าผม

“คนเท่เขาไม่ดัดฟันกันเปล่าวะเฮีย เอาออกทีๆ”

“อีก3เดือนค่อยเอาออก เอ็งเพิ่งเปลี่ยนมาเมื่อไม่กี่วันเอง”

“โห่ ไรวะ” ผมทำหน้าเซ็งใส่เฮียมัน อีกตั้งสามเดือน ผมอยากจะเป็นคนเท่ในสายตาน้ำตาลเดี๋ยวนี้ตอนนี้เลยอะครับ

“ทำให้แล้วเอาจานไปล้างด้วย ข้าไปดูนารูโตะต่อละ” บอกเสร็จเฮียครามก็ลุกขึ้นเดินลูบพุงไปที่โซฟาหน้าทีวีดูการ์ตูนต่อ

“ล้างพรุ่งนี้นะโว้ยยยย” อิ่มแล้วก็ง่วง ล้างพรุ่งนี้เถอะว่ะ

“ใสกลับเช้า”

“เค”

สิ้นคำผมก็ลุกพรวดทันที

เก็บจานสิครับ

รอให้ไอ้ใสมันมาด่าเหรอ?

“เฮีย!!!!”

”จะดูการ์ตูน!!!”

“รอก่อน จะไปดูด้วย!!”



..............................................................



“ขอบใจนะเว้ยที่ให้ยืมรถ แต่กูขอติดรถไปรับลูกที่อู่หน่อยดิ” ผมยักไหล่เป็นเชิงยังไงก็ได้ หลังจากเรียนเสร็จผมก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว

“คราวหลังก็อย่าซิ่งให้มากดิ” ไอ้ตาลเพิ่งพาลูกรักมันไปล้มมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ดีที่มันไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ต้องส่งรถเข้าอู่ตรวจเช็คสภาพรถ แม่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรแค่เห็นสีรถถลอก

“เออ เห็นภาพลูกกูสีถลอกยังเจ็บไม่หาย” ผมส่ายหัวให้กับความเวอร์ของน้ำตาลก่อนที่กำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับถุงเล็กๆที่วางอยู่หน้ากระจกรถ พอคว้าขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นคัพเค้กสองถ้วยมีโพสอิทเล็กๆแปะอยู่บนถุง

“มีสาวเอามาให้อีกแล้วอะดิ เบื่อคนหน้าตาดีโว้ยยย” ไอ้ตาลชะโงกหน้ามาจากอีกฝั่งพร้อมเบะปากใส่ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งรอ ผมละสายตาจากมันกลับมาสนใจที่โพสอิทนี้ต่อ


‘...ถ้าเรามีดวงจันทร์อยู่สองดวง...’

‘...เราจะให้เธอดวงนึง...’

‘...ดวงจันทร์จะได้ไม่ห่างไกล...’

‘...ดวงใจจะได้ไม่ห่างกัน...’



เหยด...




....................................

กลับมาหลังจากสอบเสร็จ แฮ่ คราวนี้จะมาต่อได้ไวขึ้น2เลเวล  :katai4: 5555555 คิดเห็นกันยังไงคอมเม้นต์บอกกันบ้างนะค้าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 4 (UP) 27/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-05-2018 12:36:55
รถพี่บีมบีม 5555555
เราชอบพี่ครามอ่ะ น่ารัก 555
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 5 (UP) 14/07/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 14-07-2018 00:22:55
บทที่ 5
พบปะพูดคุย


“ปี้ ผมเอาหมู 4 ไม้ ข้าวนึ่งห่อนึ่ง”

“รอกำเดว แหมสองคิวๆ”

เมื่อคืนฝนตกหนักมาก เช้านี้สภาพอากาศเลยครึ้มๆ ฝนก็ทำท่าเหมือนจะตกลงมาอีกระลอกหนึ่ง ผมดูพยากรณ์อากาศมาเมื่อเช้า เขาว่าพายุจะเข้าสามถึงสี่วัน แล้วทำไมต้องมาเข้าหน้าหนาวที่ปกติแม่งก็หนาวบรรลัยอยู่แล้ว ไม่เห็นใจคนขี่มอ’ไซด์เลยรึไงวะ เมื่อเช้าก็ลืมหยิบเสื้อคลุมมาอีก มือแข็งไปหมดแล้วจ้า

ตอนนี้ผมจอดรถยืนซื้อหมูปิ้งอยู่ร้านหมูปิ้งที่กาดหน้ามหาลัย วิถีชีวิตคนคูลๆที่น้องสาวงอนไม่ทำอาหารให้กินเพราะยกหม้อหุงข้าวมาวางบนโต๊ะโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ผมเลยต้องมาหาของกินประทังชีวิตช่วงเช้าของผมตามร้านแถวนี้แหละครับ

ความผิดเฮียครามเถอะ ทำไมผมต้องโดนด้วย ไอด้อนท์ อันเด้อสะแตนนน

ลมก็แรง

กูหนาว!

“ได้ล่ะน้อง ซาวห้าบาท” ผมรับถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งมา มืออีกข้างก็ควานหาเงินในย่ามแล้วยื่นจ่ายให้แม่ค้าไป

ระหว่างเดินกลับไปที่น้ององุ่นผมก็หยิบหมูปิ้งขึ้นมากินด้วยความหิวโหย จะว่าไปก็ผ่านมาเกือบ 2 อาทิตย์ละที่ผมเอาขนมไปให้น้ำตาล ไม่ดิ เรียกว่าเอาไปวางไว้ให้ดีกว่า แต่เหมือนไม่มีความหมายอะ เซอไพรซ์ไรไม่เห็นจะได้เรื่อง ผมกลับมาคิดดีๆแล้ว ไอ้ที่เอาไปเขาเนี่ย น้ำตาลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครให้ มันเซอไพรซ์ตรงไหนวะ ผมเลยบอกไอ้เจ๋งไปว่าต่อจากนี้ผมจะคิดเองทำเอง ความคิดกูดีกว่ามึงเยอะไอ้เจ๋งงงงง

บรื้นน

เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ผมหันมองไปยังถนนโดยอัตโนมัติ เพ่งมองออกไปก็พบกับผู้หญิงสวมเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มโดยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นนักศึกษาคณะวิศวะของมหาลัยผม ใบหน้าถูกปิดด้วยหมวกกันน็อคเต็มใบ กำลังขี่เจ้ารถบิ้กไบค์ผ่านผมไป

เชรดดด โคตรเท่

สาววิศวะมอผม โคตรคูลลลลลล

ฟิ้ว~

เท่จ๊าดดดดดด

ว่าแล้วตัวผมก็ไปบ้างดีกว่า ผมเดินไปที่ถังขยะริมฟุตบาตก่อนถึงจุดที่ผมจอดน้ององุ่นไว้ กินเสร็จแล้วก็ทิ้งให้มันเป็นที่เป็นทางครับ คนสมัยนี้ชอบทิ้งขยะกันเรี่ยราด เป็นโรคมือเปลี้ยขาเปลี้ยกันไง๊ แค่เดินมาทิ้งที่ถังขยะเนี่ย ตอนจะทิ้งก็แยกให้เขาด้วย พวกไม้เสียบลูกชิ้นก็หักๆมันจะได้ไม่ไปทิ่มมือใคร

ใจเขาใจเราครับ

คนเรามันต้องรู้จักมีน้ำใจ!

อย่ามักง่าย!

...กูคุยกับใครวะ...

“เพ่! หลีกทางเด๊ะๆ” เสียงตะโกนไม่ใกล้ไม่ไกลดังมาจากข้างหลัง พอหันกลับไป ก็เห็นผู้ชายสวมเสื้อคุ้นตาขี่มอ’ไซด์บนทางเท้ามาทางผมอย่างเร็ว

เชี่ย..

นั่นมันเสื้อเทคนิคสถาบันผม!

ไอ้เด็กเหี้ย!

สถาบันกู!

“ไอ้เวร! มึงขี่บนทางเท้าได้ยังไง ไอ้หะ..เห้ยๆ” ขณะที่ผมกำลังจะด่า มันก็ขี่รถเบียดผ่านตัวผมไป ทำให้ผมต้องหลบรถมันอย่างกะทันหัน เท้าข้างหนึ่งลื่นขอบฟุตบาตจนเสียจังหวะตกลงมาบนริมถนนที่มีแอ่งน้ำขัง  สัด! ไม่ชนกูไปเลยล่ะ

เหี้ยยย รองเท้ากู!

ปี้น!

ตุ้บ!

“โอ๊ย!”

เสียงแตรรถดังขึ้น ทำผมตกใจก้าวถอยหลังจนสะดุดกับขอบฟุตบาต(อีกแล้ว)ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นอย่างแรง แม่งเอ้ย! ใครบีบแตรใส่กูวะ ไม่เห็นเหรอว่ากูโดนรถเบียดจนตกถะ...

ซ่า!

เต็มๆ...

กูโดนรถเหยียบน้ำใส่เต็มๆ...

ไอ้เหี้ยเอ้ย!!!

จะด่าแม่งก็ไม่ทัน มันขับเลยผ่านผมไปนู่น นี่มันวันซวยอะไรของกูวะเนี่ย เสื้อผมแม่งเปียกน้ำเป็นทางยาว โชคดีที่ไม่ได้ล้มลงไปกับพื้นถนน กางเกงยีนส์ผมเลยไม่เสียหายอะไร คนที่อยู่แถวนั้นมองมาที่ผมห่างๆอย่างห่วงๆ ช่วยกูไหมล่ะ มองกันขนาดนี้

แต่เสื้อกูเนี่ยยยยย เสื้อกู!

ผมค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้น พยายามลูบคราบน้ำออกจากแขนกับขาออกให้หมด อื้อหื้อ เจ็บตูดอะ อย่าให้กูเจอมึงอีกนะไอ้เด็กเวร ห่าแม่งเอ้ย!

ปิ้น!

อะไรกับกูอี้ก!

อยู่ๆก็มีรถยนต์คันสีดำคุ้นตาเคลื่อนตัวมาจอดตรงที่ผมยืนอยู่ แถมบีบแตรใส่กูอีก อะไรวะ

“มีไรให้ช่วยป้ะ”

คนในรถกดลดกระจกลง แล้วถามออกมา ผมเพ่งสายตามองเข้าไปในรถฝั่งคนขับก็เห็นเป็นผู้ชายในชุดนักศึกษา พอเลื่อนสายตาขึ้นมองว่าเป็นใคร ก็ทำเอาผมอยากจะเดินหนีไปให้ไกลจากตรงนี้เร็วๆ

“เล่นน้ำฝนอยู่อ่อ สกปรกจัง”

สัด...

“เสือก”

“หึ ไปส่งไหมน้อง”

“มีรถเว้ย!”

“เปลี่ยนเสื้อป้ะล่ะ มีเสื้ออยู่เบาะหลัง” เซ้าซี้กูจัง อะไรมึ้ง

ฟิ้ว~

บรึ๋ยยย ลมที่พัดผ่านมาทำเอาขนทุกส่วนในร่างกายลุกชัน หนาวเชี่ย ยิ่งมาเปียกน้ำแบบนี้อีก ผมหรี่ตามองหน้าไอ้บีมบีมอย่างไม่เป็นมิตร แล้วชะโงกหน้ามองไปที่เบาะหลังก็เห็นมีเสื้ออยู่จริงๆ เอาไงดีวะ แบบนี้ก็ถือว่าผมแพ้มันไหมอะ แค่ยืมเสื้อใส่ ไม่แพ้มากหรอกมั้ง

ฟิ้ว~

จะให้เวลากูยืนคิดนิดหน่อยก็ไม่ได้ ลมเวร!

“ไม่ตอบ งั้นไปละนะ” ไอ้บีมบีมพูดขึ้นพร้อมกับรถที่กำลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าตามแรงเหยียบคันเร่งของเจ้าของ ทำให้ผมต้องรีบร้องห้ามทันที นี่ก็รีบจังเลย

“เดี๋ยว!” ผมถือวิสาสะเปิดประตูขึ้นรถทันที เกิดเดดแอร์ไปซักห้าวิ เพราะผมไม่รู้จะทำตัวยังไง ไอ้บีมบีมก็มองหน้าผมยิ้มๆ มึงยิ้มหาอะไรฟะ!

แต่ตอนนี้ภายในรถแอร์เย็นเฉียบ คิดว่าคงจะเย็นกว่าข้างนอกด้วย นี่มึงเป็นหมีขั้วโลกเรอะ อากาศข้างนอกก็หนาวจะตายชัก ไอ้หมีบีม!

“เบาแอร์หน่อยดิ้ หนาวจะตายห่า” ผมพูดเสียงขุ่น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อที่วางอยู่เบาะหลังมา เพื่อจะเปลี่ยนชุด

“สั่งอ่อ?” บีมหันมาถามผมเสียงเรียบ แต่หน้ามันกวนตีนจังวะ

“ก็หนาวจะตาย เบาดิ้ๆ” ผมจิ้ปากอย่างขัดใจ มือก็ลูบแขนขึ้นลงแรงๆ เผื่อมันจะอุ่นขึ้นบ้าง

“นี่รุ่นพี่นะน้อง พูดดีๆหน่อย” โค้ะ! ทำเป็นดุ กูก็อายุเท่ามึงเนี่ยแหละ แค่เข้าช้าไปปีนึงเถอะว่ะ

“กูอายุเท่ามึง ไม่พูดดีด้วยหรอก”

“ตามใจ” มันพูดแค่นั้น และลดแอร์ให้ตามที่ผมบอก

ผมคลี่เสื้อเสื้อออกเพื่อจะเปลี่ยน นี่มันเสื้อบอลนี่หว่า อะไรเนี่ย...ข้างหลังสกรีนว่า P.WARAKORN ด้วย

“มีสกรีนชื่อมึงด้วย”
       
“ก็เสื้อกู”

“เสื้อบอลมันบาง” ผมหรี่ตามองมัน

“ใช่”

“ถ้ากูขี่รถไปมันก็หนาวดิ” ผมตีหน้ายุ่ง นี่มึงวางแผนให้กูหนาวตายด้วยเสื้อบางๆนี่สินะ!

“เดี๋ยวสายๆก็ร้อน เรื่องมากจังวะน้อง ใส่ๆไปเถอะ” เออ ก็จริงของมันว่ะ

“จ่มหยัง บ่าฟัง” (บ่นอะไร ไม่ฟัง) ผมเมินที่มันพูด ก่อนจะถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก แล้วหยิบเสื้อบอลของไอ้หมีบีมมาใส่แทน ตัวมันใหญ่จังวะ ปลายแขนเสื้อมันอีกนิดก็ถึงศอกผมละ

“ผอมไปไหม”

“กูหล่อ”

ชัดเจนนะครับ

“เอาเบอร์มาหน่อย เดี๋ยวซักแล้วจะคืนให้” ผมยื่นโทรศัพท์ให้ บีมมันก็รับไปพิมพ์แล้วส่งคืนมาให้ผม

“ไปละ เหม็นขี้หน้า” เบะปากให้มันหนึ่งที ก่อนจะเปิดประตูแล้วออกจากรถ แต่...ผมว่ารถมันคุ้นๆนะ เหมือนรถน้ำตาลเลย รุ่นนี้ สีนี้

...อย่าบอกนะ...

อย่าบอกว่ารถคู่นะ!!

“...”

ไม่น่าใช่...ถ้างั้น...

ไหนดูป้ายทะเบียนเด้ะ

ขณะที่รถกำลังจะเคลื่อนตัว ผมก็เดินลงไปขวางหน้ารถ

...กข 1234

เป๊ะเลย...


...ไม่หรอก รถบีมมันเสียไง เลยยืมน้ำตาลมาใช้ นี่ก็อาจจะกำลังขับไปรับเธอรึเปล่า...

“ยืนขวางทำไม หลบไปดิน้อง” บีมเปิดกระจกรถแล้วชะโงกหน้ามาพูดกับผม

“นี่รถมึงเหรอ”

“กูขับอยู่เนี่ย รถหมามั้ง”

“รถมึงจริงๆอะ...” ผมถามทวนอีกครั้งอย่างไม่เชื่อในคำตอบ

“รถกูครับ หลบทีดิ้!”

“...”

“ขอบคุณครับ!”

ผมได้แต่ยืนอึ้งมองรถของบีมเคลื่อนผ่านไป นั่น...รถบีม

รถไอ้หมีบีม!

รถมันเหร้อ!!!!!!

ละ...แล้วผมเอาเค้กไปให้น้ำตาล...น้ำตาลไม่ใช่เจ้าของรถ...เจ้าของรถคือบีม...

คือกูเอาเค้กไปให้ศัตรูมาตลอดสองอาทิตย์เลยงั้นเรอะ!!!

อะ...

...ไอ้ฉิบหาย!




___________________________________________________________________





 “เพราะมึงเลยเจ๋ง! รถน้ำตาลชัวร์ๆ ชัวร์โพ่งงงง” ผมบ่นพวกมันตั้งแต่เลิกเรียนจนเดินมาถึงโรงอาหาร ที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อาจจะเพราะยังไม่เที่ยงด้วยมั้ง

“ก็กูเห็นเขาขับเข้ามหาลัยมาอะ ใครจะรู้วะว่าไม่ใช่รถพี่แก กูไม่รู้กูไม่ผิดโว้ยยยย”

“ไอ้เหี้ย! แล้วมึงคิดดู เค้กที่กูซื้อไปอ่อยน้ำตาล กลายเป็นกูไปอ่อยไอ้ศัตรูแทน! มึงงงงงงงงง” ผมเขย่าตัวมันแรงๆ อย่างอดไม่ได้

“แต่พี่บีมเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นของมึงนี่ มึงจะโวยวายไรวะ”

“มันเสียเซลฟ์ คือเสียมาก เสียขนาด!!!”

“แดกข้าวกันเถอะ เนี่ย แล้วทำไมเวลาพวกมึงโวยวาย กูต้องเป็นคนพูดประโยคนี้ตลอดเลยวะ”

พอไอ้แก๊ปพูดจบ ผมก็กระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด แม่ง! ที่ผมทำมาคือไม่ได้เฉียดเข้าใกล้น้ำตาลแม้แต่นิดเดียว ง่าวเอ้ย!

“แล้วมึงจะคืนเสื้อพี่เขาตอนไหน เขาเอาไว้ใส่แข่งรึเปล่า”

“ไม่คืนแม่ง โมโห!” ผมตอบด้วยความหงุดหงิดใจ เนี่ย! แพ้แล้วแพ้อีกให้กับมัน โมโห! มัน! โม! โห!

“มึงต้องวางแผนใหม่ มึงต้อ...”

“พอเลย!” ผมยกมือขึ้นขัดไอ้เจ๋ง “ต่อไปนี้กูจะคิดเองแล้ว มึงนี่มันไม่ใช่แนวทางกูเล้ยยย” ผมผลักหัวไอ้เจ๋งอย่างหมั่นไส้

ทำไงต่อดี จะเอาคนนี้ๆ

“หยุดเขี่ยข้าวได้แล้ว” x3

“จะพูดพร้อมกันทำไมว้า ก็กูใช้สมองอยู่เนี่ย” ผมขมวดคิ้วยุ่งมองพวกมันอย่างไม่พอใจ

“แดกด้วยคิดด้วยก็ได้ ตัวมึงแห้งยังกับไม้เสียบผี”

“บ่นว่ะโป้ กูกินอยู่เหอะ”

“เหอๆ แก๊ปมึงดูมัน”

“แดกดีๆ อย่ามัวแต่เพ้อเจ้อ”

“กิ๋นอยู่ หยังมาจ่มแต๊”(กินอยู่ บ่นอะไรนักหนา) ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบกินข้าวที่อื่นนอกจากที่บ้านเท่าไหร่ จะกินก็กินได้น้อย ฟ้าใสก็บ่นเฮียครามก็บ่น เพื่อนก็บ่นประจำ นี่ก็พยายามสุดๆแล้วโว้ย

“บ้านก็มีจะกิน ทำไมชอบทำตัวเป็นเด็กขาดสารอาหารวะ...” ไอ้โป้ผู้กินทุกอย่างบนโลกนี้ แถมกินอย่างกับห่าลง ถามผมด้วยความไม่เข้าใจ เออ กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน 

“มันไม่มีแรงบันดาลใจ”

“กินข้าวไอ้สัด ไม่ใช่ศิลปะ แรงบันดาลใจเชี่ยไร”

“น่ะ พวกมึงไม่เข้าใจ ถ้าอยู่บ้านกูมีเฮียครามเป็นแรงบันดาลใจ”

“ห้ะ?” อ้าว งง...งง...งงอะดิ

“เฮียแม่งชอบแย่งกับข้าว กูก็ต้องรีบกินเยอะๆไงเดี๋ยวไม่ทันมัน” ผมอธิบายให้พวกมันฟังพร้อมตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก กินหมดสักที

“กูก็แย่งมึงกินทุกวัน มึงก็กินน้อยตลอดเหอะ”

“มึงไม่ใช่เฮียไงเจ๋ง...”

“ยอมไอ้สัส...” หลังจบคำพูดพวกแม่งก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อะไรวะ? ผมเหม่อไปเรื่อย จนหันไปเห็นน้ำตาลกับเพื่อนนั่งกินข้าวอยู่ไกลๆ

“มึง น้ำตาลอะ” ผมพยักเพยิดไปทางน้ำตาล เห่อ ไอ้บีมก็อยู่ด้วย

“ดูมึงไม่ตื่นเต้นนะ”

“กูเซ็งบีมมันว่ะ กูว่ามันแอบชอบน้ำตาล”

“ใครก็มองอย่างงั้น คนอื่นเขาคิดว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ” ไอ้เจ๋งพยักหน้าเห็นด้วยกับผม

“มุ่ย กูถาม...”

ปึง!

“ทุบโต๊ะทำเหี้ยไร! ตกใจหมด”

“เจ๋ง ไปกับกู” ผมผุดลุกขึ้นคว้าแขนไอ้เจ๋ง เตรียมจะเดินไป แต่มันกระตุกแขนหนีผมก่อน

“เห้ย! ไปไหน!?”

“เออ มาเหอะน่า แล้วกูพูดอะไรมึงก็เออออไปกับกูด้วย” ผมเตี๊ยมกับมันสั้นๆ แล้วกระชากแขนมันให้เดินตาม

“ห้ะ!...อะไรนะ...เดี๋ยวไอ้เชี่ย!...พวกมึงห้ามมันที!!”

.
.
.
.
.
.
.
.

ผมเดินดุ่มๆไปหาน้ำตาลอย่างหมายมั่นปั้นมือ หึ! ครั้งนี้แหละมึง พลาดก็ให้มันรู้ไปสิวะ!

“หวัดดีครับพี่ พวกผมมาจากชมรมถ่ายภาพนะ พอดีว่าเพจมออยากจะให้พี่ไปเป็นนางแบบโปรโมทเพจหน่อยน่ะครับ ใช่ไหมไอ้เจ๋ง” ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะของน้ำตาล แล้วโพล่งออกไปตามที่หัวคิด น้ำตาลกับเพื่อนของเธออีกสองสามคนก็มองมาที่ผมอย่างงงๆ
 
“เอ่อ...ว่าไงนะคะ?” น้ำตาลที่วันนี้ก็ยังน่ารัก ใบหน้าใสๆกระชากใจกูอีกแล้วววว

“เพจมอให้ผมมาติดต่อพี่เพื่อไปโปรโมทน่ะครับ” ผมยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้เธอ สายตาดันเผลอไปสบกับไอ้ตัวร้าย เห็นมันเหยียดยิ้มหึๆมาให้ผมแวบหนึ่ง ผมก็กลับไปโฟกัสกับน้ำตาลต่อ ไอ้นี่ ยิ้มไรของมันวะ

“คือพี่ไม่...”

“นะครับ ช่วยผมหน่อยนะ ถ้าพี่ไม่ตกลงพี่จิ้บเอาพวกผมตายแน่” เมื่อผมเห็นน้ำตาลกำลังจะปฏิเสธด้วยสีหน้าลำบากใจ ผมก็อ้างชื่อพี่ที่ดูแลเพจมออยู่ตอนนี้ออกมาทันที

เห้ย! ผมไม่ได้โกหกจริงๆนา ก็ไอ้เจ๋งมันเพิ่งมาบ่นๆกับผมเมื่อสองสามวันก่อนว่าพี่จิ้บโยนงานมาให้มันหาคนหน้าตาดีๆไปโปรโมทเพจให้หน่อย ด้วยความมั่นหน้า มันเลยเสนอตัวเองไป โดนพี่เขาโบกหัวไล่กลับมาแทบไม่ทัน ฮ่าฮ่าฮ่า

นี่แหละครับ อยู่ดีๆโชคก็ลอยมาหาผมจะๆขนาดนี้

“ใช่ไหมเจ๋ง” ผมถองศอกไปที่ท้องมันเบาๆ

“ชะ...ใช่ครับ พี่จิ้บ...เอ่อ พี่แกเร่งมากเลยครับ” ดีมากเพื่อน

“ช่วยน้องมันหน่อยไหมวะตาล ครั้งที่แล้วก็เห็นเด็กมันมาขอมึงนี่” เพื่อนน้ำตาลพูดขึ้นมาอย่างเห็นด้วย พูดดีว่ะ หน้าตาก็ดีแต่น้อยกว่าผมหน่อย โอ๊ย! โชคเข้าข้างว่ะครับ!

“ว่าแต่น้องหน้าตาคุ้นๆจัง เหมือนพี่เคยเห็นที่ไหนเลย” น้ำตาลเอียงคอมองผมอย่างสงสัย แม่ง จำกูได้ตอนที่ล้มวันนั้นแน่ๆเลย

“ผมมากินข้าวที่โรงอาหารนี้บ่อยๆ พี่อาจจะเคยเห็นผ่านตาก็ได้นะครับ” ผมยิ้มหวานส่งกลับไป น้ำตาลก็พยักหน้าหงึกหงัก แต่ใบหน้าหวานยังไม่คลายสงสัย ลืมๆไปเถอะจ้ะ ที่รัก

“แล้วทำไมน้องไม่ไปหาคนอื่นอะครับ คนหน้าตาดีกว่านี้ก็มี” ไอ้นี่...ถีบมันออกไปทีดิ้!

“อ๋อ พอดีพี่จิ้บเขาเจาะจงว่าต้องพี่น้ำตาลน่ะครับ พวกผมก็ขัดไม่ได้” ไอ้เจ๋งตอบกลับไปอย่างไม่มีสะดุด ดีว่ะเพื่อน!

“พี่ก็รู้จักจิ้บนะ เดี๋ยวเราโทรไปบอกให้เปลี่ยนคนดีกว่า แกคงไม่อยากถ่าย” ไอ้บีมหันไปคุยกับน้ำตาล มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะโทร เชี่ย! มึงจะโทรไม่ได้นะเว้ยไอ้บีมมมมม

ไอ้เจ๋งเลิกตาขึ้นแล้วหันมาสะกิดผมอย่างแตกตื่น แม่งเอ้ย!

“เอ่อพี่...”

“ถ่ายๆไปเหอะ มึงก็ว่างนี่ ถือว่าช่วยน้องมันหน่อย” ยังกับมีออร่าวิ้งๆออกมาจากพี่หน้ายิ้มที่พูดช่วยผมไปเมื่อกี้ แม่งคนดีว่ะเห้ย!

“กูว่าโทรถามจิ้บ...” มึงก็ยังจะโทรอีกเนอะ ไอ้เห้!

“โอเคๆ แล้วจะให้พี่ทำอะไรบ้างคะ” หลังจากที่น้ำตาลคิดอยู่นานก็ตอบตกลงสักที วู้ฮู้!

มึงแพ้ว่ะบีม! ว้ายแพ้!

“ถ้ายังไงผมขอเบอร์ติดต่อได้ไหมครับ เดี๋ยวรายละเอียดผมจะบอกอีกที” ลุยเลยเจ๋งเพื่อนรัก! ผมแสยะยิ้มไปให้ไอ้บีมอย่างผู้ชนะ ยักคิ้วทำหน้าเหนือด้วย! หึๆ

“หึๆ”

“ขำไรวะบีม”

“ขำคนบ้า ฮะๆ” มึงสิบ้า! กูคือผู้ชนะโว้ยยยยยย

“ขอบคุณมากครับพี่ ยังไงผมจะติดต่อกลับไปนะครับ”

น้ำตาลยิ้มหวานส่งท้ายกลับมาให้ทางพวกผม ละลายอะ น่อร้อกจุงเยยยยย ตัวเย้กกก งุ้ยๆ

“เห้ย! น้องคนนี้เสื้อคุ้นๆนะ”

“อ้าว! นี่มันเสื้อไอ้...”

“พวกผมไปก่อนนะคร้าบบบบ บายคร้าบบบ” ไอ้เจ๋งกระตุกเขนลากผมออกมาทันที เมื่อภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

.
.
.
.
.
.
.

“พวกมึงไปทำไรกันมาวะ ไอ้มุ่ยหน้ามึงเยิ้มมาก” กูไม่รู้วววว กูฟินนนนน

“มุ่ยมึงโอเคนะ” กูโอเค้! สบายมากกกกก

“มุ่ยมึง...”

“มุ่ยไม่กากกูพูดเลย...” ผมหัวเราะคิกคักกับคำพูดตัวเอง ความรู้สึกของคนชนะมันเป็นแบบนี้นี่เอง ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!

“เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง...”



_______________________________________________________




 “มึง...เสื้อบอลมึงนี่หว่า...”

“เออ”
   
“แล้วน้องคนนั้น...”
   
“หึๆ ฮ่าๆ”

“กูว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ...”




____________________________________________________



 :z13: แอบมาแบบเงียบๆ หายหน้าหายตานานมาก แฮร่ๆ

หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 6 (UP) 04/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 04-09-2018 01:33:24
บทที่ 6

แผนสำเร็จ(เหรอ)

 

            [ CHENG PART ]

         “เจ้ จะให้นัดพี่น้ำตาลวันไหนอะ”

         “เสาร์นี้ก็ได้ๆ พวกแกนี่เก่งอะ ชวนน้ำตาลมาได้ยังไง เจ้ชวนตั้งหลายครั้งไม่เห็นมา”

         “พวกผมระดับไหนละเจ้ เรื่องแค่นี้ สะบ๊าย!”

         “เอออออออ เดือนหน้าว่าจะจัดทริปขึ้นดอย ไปมะ?”

          “ของชมรมอ่อ?”

          “เปล่า ไปกันเอง ของชมรมเพิ่งจัดไปไงวะ อันนี้ไอ้โทมันชวน 3 วัน 2 คืน”

          “ใครไปมั่ง”

          “มีเจ้ โท แดน และก็จะมีแกกับไอ้มุ่ยด้วย อ่อ ชวนโป้กับแก๊ปไปด้วยก็ได้นะ”

          “ผมไม่แน่ใจว่ะ ส่วนไอ้มุ่ยแล้วแต่อารมณ์มัน ไอ้โป้กับแก๊ปก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวชวนให้ แล้วไปดอยไหนอะ แถวมอเราก็เก็บมาหมดละนะ”

          “แถวบ้านไอ้โทมันแหละ เจ้ก็จำไม่ได้ เดี๋ยวบอกอีกที...อย่าลืมชวนไอ้มุ่ยล่ะแก เอามันไปให้ได้”

          “ถ้าไปแล้วเจ้เลี้ยง...”

          “ไม่มีตังโว้ยยยยยยย”

          “งั้นไอ้มุ่ยก็บายยยยย”

          “ไอ้โทมันเลี้ยงอยู่แล้ว แกนี่! อย่าลืมลากไอ้มุ่ยไปด้วย!”

          “ดีล!”

          เจ้จิ้บโบกไม้โบกมือไล่ผมให้ออกจากห้องชมรมไป เจ้แม่งหางานยากให้กูอีกแล้วครับ จะให้ไอ้มุ่ยไปด้วย เอาควายไปยังง่ายกว่าเลย โว้ยยยยยยยย

               

           Rrrrrrrrrrrrrrr

           ตายยากชิบหาย...

           “ว่า”

           (มึงงงงงงง กูชวนไปกินเหล้า โป้กับแก๊ปก็ว่างกูชวนแล้ว ร้านเฮียตั้ม แต่ตอนนี้มึงมาหากูที่ร้านชิลเค้กก่อน มีเรื่องจะปรึกษา โอเคนะ)

           “แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม~...”

           (เค เจอกัน)

           วันหลังอย่าใช้คำว่าชวน อันนี้คือบังคับ ไอ้เห้!

 

 

 

 

           “กรุ๊งกริ๊งๆ~”

               

           “อ้าวพี่เจ๋ง หวัดดีครับ ไม่ได้เจอนานเลยอะ” พอเปิดประตูร้านเข้ามาก็เจอกับรุ่นน้องตอนมัธยมกำลังถูพื้นอยู่ ชื่อฟิว มันเป็นหลานเจ้าของร้านชิลเค้กที่เมื่อก่อนผมกับเพื่อนชอบมากินบ่อยๆ พอเข้ามหาลัยก็ไม่ค่อยได้มา พอมามันก็ไม่เจอผมหรอก มันติดเรียน ตอนมอปลายผมย้ายเข้ามาเรียนใหม่ ก็หาเพื่อนด้วยการเล่นกีฬานี่แหละครับ มันเป็นรุ่นน้องที่เล่นบอลด้วยกันมา จนสนิทกันมันก็ชวนผมมาร้านนี้แหละ มากินเค้ก...โคตรเหี้ยอะ นึกถึงเด็กผู้ชายเตะบอลเปื้อนเหงื่อเปื้อนฝุ่นเกือบสิบคน นั่งกินเค้กกัน เขินตัวเร้กกกกเลยกู ผมกับมันเลยสนิทกันมาแต่ตอนนั้น

           “มึงเรียนไหมล่ะ แล้ววันนี้ทำไมไม่ไปเรียน อย่าบอกนะว่ามึงโดด ไอ้เด็กเวร” ผมขยี้หัวมันด้วยความหมั่นไส้ แม่งชอบโดดเรียนมาทำงานที่ร้านครับ พอถามแม่งบอกเอาเงินไปเติมเกม

           “ไม่ได้โดดโว้ยพี่! วันนี้โรงเรียนหยุดงะ เลยมาช่วย โคตรคนดีป้ะล่ะ” มันทำหน้าทะเล้นพร้อมยื่นหน้ามาทางผม จนอดไม่ได้ที่จะผลักหน้ามันออกไปแรงๆ

           “มึงจะเอาตังไปเติมเกมก็บอกไอ้สัด”

           “รู้ทันว่ะ ฮ่าๆ เออว่าแต่ พี่ไม่คิดจะเปลี่ยนทรงผมบ้างอ่อ ตอนไปร้านทำผมนี่เมาป้ะหรือละเมอ ฮ่าๆ”

           “ก็คิดว่าไม่...”

           “ไม่เปลี่ยน”

           “ไม่เสือกดิไอ้เด็กเวร!”

           “พ่าม! ถึงเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ยังต่อกันติดอะ โคตรคู่แท้พี่ว่างั้นมะๆ” มันยิ้มตาหยีตามสไตล์ของมัน ทำหน้ากวนตีนใส่อีก จนต้องผลักหัวมันอีกรอบอย่างหมั่นไส้ ไอ้เด็กนี่ชอบเล่นมุกกวนตีนกับพวกผมตลอดตอนช่วงมัธยม เอาจริงๆมุกกากๆพวกนี้ ผมก็ติดมาจากมันนี่แหละ

            เออ แล้วไอ้มุ่ยมันนั่งตรงไหนวะ ผมมองซ้ายมองขวา ก็เจอกับไอ้เพื่อนตัวดีนั่งเท้าค้างเหม่ออยู่โต๊ะตัวเกือบในสุด เรื่องปวดหัวอีกแน่เลยกู

            “กูเอาโกโก้เย็นกับเค้กส้ม เอาไปให้กูตรงโน่น” ผมชี้นิ้วไปตรงโต๊ะไอ้มุ่ย แต่ยังไม่ทันเดินไป ไอ้ฟิวก็คว้าแขนผมไว้ก่อน

            “ไรมึง”

            “นั่นใครอะๆ” มันถามผมด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้สุดๆ

            “เพื่อนกู”

            “ผู้ชาย...ป้ะ?”

            “เออ ถามเหี้ยไรของมึง กูจะไปละ”

            “เดี๊ยววว! พะ...เพื่อนสนิทพี่เลยมะๆ”

            “เออ มันสนิทกับกูสุดแล้ว” ขอขิงหน่อย ไม่นับไอ้โป้กับไอ้แก๊ป ผมว่าผมนี่เพื่อนเลิฟของมันเลยแหละ

            “เขาดูดีจังวะพี่ ดูสาวโต๊ะนั้นดิมองกันใหญ่เลย” มันชี้ไม้ชี้มือไปที่เด็กผู้หญิงวัยมัธยม นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไอ้มุ่ย

            “เออ มันดูดีได้กู จบ!” ผมดึงแขนออกมาจากมือใหญ่ๆของมัน ไอ้เด็กเหี้ยนี่ก็โตเร็วชิบ พอมาเจอกันก็สูงกว่าแล้วซะงั้น นี่คือผมต้องเงยหน้าคุยกับมันแล้วอะ

            ผมเดินตรงไปหาไอ้คนที่เป็นประเด็นที่นั่งเหม่อไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาทั้งสิ้น ไม่รู้เหี้ยไรหรอกครับมันอะ มุ่ยมันไม่ค่อยสนใจรอบข้างเท่าไหร่ ทั้งที่คนรอบข้างสนใจมันจะตาย

            จากที่เป็นเพื่อนกับมันมา มุ่ยเป็นคนมีเสน่ห์เวลาอยู่เฉยๆ ทำหน้านิ่งหรือเวลาเหม่อ แต่อย่าให้ขยับปากพูด



            คนบ้าดีๆนี่แหละครับ จากที่ได้เห็นกันมาแล้ว...



           ไม่ใช่คนหน้าตาดีโอเวอร์ ไม่ได้ขี้เหร่ เรียกได้ว่ากลางๆค่อนไปทางมาก ไม่ใช่คนที่เวลาเดินผ่านแล้วถึงกับต้องเหลียวหลังมอง ได้ยินที่ไอ้ฟิวถามไหมครับ ว่ามุ่ยเป็นผู้ชายรึเปล่า บอกเลยว่าถ้าไม่ได้มองดีๆก็เข้าใจผิดกันเยอะ จะบอกว่าหน้าสวยก็ไม่ใช่ จะบอกว่าหน้าหวานก็ยิ่งไม่ใช่อีก หน้าตายูนิเซ็กส์อะครับ ยิ่งก่อนหน้ามันจะตัดผมนะ ทักผิดกันเป็นแถว แล้วมันผอมจนจะปลิวแบบนี้ด้วย นั่นแหละ ฮ่าๆ



           มองแล้วมีเสน่ห์อยากมองไปเรื่อยๆ นั่นแหละครับสไตล์ของมัน



           “เลี้ยงเค้กกูด้วยไอ้เหี้ย” ผมทักแล้วนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับมัน มันเลิกเหม่อแล้วหันกลับมามองผม ตีหน้ายุ่งขมวดคิ้วมุ่น ผมว่านะไม่พ้นเรื่องน้ำตาลคนสวยของมันอะ

           “ทั้งตัวกูมีห้าสิบ”

           “ขอบใจมากเพื่อน”

           “เหี้ยจริงๆ”

           “เออมึงนัดสถานที่กับพี่น้ำตาลยัง”

           “สวนสุขภาพ แสงดี กูชอบ”

           “เออๆ” ผมเห็นด้วยกับมัน แถวสวนสุขภาพของมหาลัยจะติดกับสนามกีฬาเอาท์ดอร์ มีหลายโลเคชั่นให้ถ่ายเพราะเป็นศูนย์รวมของกีฬากลางแจ้ง ภาพจะได้ออกมาหลากหลาย

           “มึง”

           “ว่า”

           “น้ำตาลเขาไม่ค่อยตอบกูเลยอะ เนี่ยดู” มันยื่นโทรศัพท์ที่หน้าจอแสดงโปรแกรมแชทระหว่างมันกับพี่น้ำตาลหลังจากที่มันเอาเบอร์โทรของพี่เขาจากผมไปแอดเอง “เขาดูไม่อินเลิฟกับกูเลย”

           “อินลงอินเลิฟ มึงเป็นแฟนเขาไง๊” ผมเลื่อนอ่านดู ก็เห็นว่าจริงอย่างที่มันว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามเบสิคๆ กินข้าวหรือยัง เหนื่อยไหม ทำอะไรอยู่ ฝันดีนะครับ พี่น้ำตาลก็ตอบมาแค่ 5555 กับ ขอบคุณค่ะ



           รู้สึกสงสารเพื่อน...



           ปลอบมันหน่อยละกัน



          “เขาแค่ไม่ถนัดคุยกับคนแปลกหน้ารึเปล่า”

          “กูไม่ใช่คนแปลกหน้า กูคือคนหน้าตาดี”

          “มันคนละประเด็นละไอ้สัด” ผมโบกหัวมันไปเบาๆจากคำตอบที่มันตอบมา เกี่ยวเหี้ยไรกัน

          “เขาทำเหมือนกูเป็นแค่ของเล่น”



          ตัดพ้อเก่ง...



          “คนสวยเขายังงี้เหรอวะ” มันเบ้หน้าเกาหัวแกรกๆอย่างไม่เข้าใจ

          “ใครใช้ให้มึงทักเขาไปทุกวัน” แม่งไม่มีทริกจีบหญิงเล้ย เพื่อนกู

          “โกโก้เย็นกับเค้กส้มมาแล้วครับบบบ” ถาดเสิร์ฟถูกยกมาวางบนโต๊ะโดยไอ้เด็กฟิวคนเดิม เพิ่มเติมคือนิ้วมันที่สะกิดผมยิกๆ พอหันไปมองหน้า มันก็บุ้ยปากไปทางไอ้มุ่ย กระพริบตาปริบๆเป็นเชิงขอร้อง



          เฮ้อ!



         “มุ่ย นี่รุ่นน้องกูตอนมัธยมชื่อฟิว ฟิวนี่เพื่อนกูชื่อมุ่ย พอใจยังไอ้สัด” มุ่ยเลิกคิ้วแล้วหันไปมองไอ้เด็กฟิวที่กำลังยกมือไหว้มัน

         “ไหว้คนหล่อเถอะน้อง” มันรับไหว้ก่อนจะยิ้มมุมปากตามสไตล์เวลาเจอคนที่ไม่รู้จัก จนไอ้ฟิวชะงักไปครู่นึง ในหัวแม่งคงคิด กูได้ยินไม่ผิดใช่ไหมวะ ฮ่าๆ



         ทำเท่เก่ง...



         “พี่เท่มากเลย ผมเห็นพี่นั่งเหม่ออยู่ก่อนที่พี่เจ๋งจะมา โคตรคูลอะ” มันชูนิ้วโป้งชมเพื่อนผม เออ ไอ้เหี้ยนี่ยิ่งโดนชมก็ยิ่งเหลิง

         “จะว่าไงดี...กูเท่เป็นปกติอยู่แล้ว”



         กูเหน่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



         “ผม...”

         “พอๆ” ผมขัดขึ้นก่อนที่ฟิวมันจะพูดอะไร “กูจะคุยธุระกับเพื่อนมึงจะไปไหนก็ไป เด็กเวร”

         “แต่ผมยังอยากคุยกับพี่เขาอยู่อะ” มันหงึใส่ผม อ้าว! นี่กูผิดเรอะ!?

         “ไม่งั้นกูจะฟ้องพี่ฟ้าว่ามึงเอาตังกินหนมไปเติมเกมจนหมดแล้ว...”

         “ไว้เจอกันนะครับพี่มุ่ย หวัดดีครับ!”

         “น้องมึงนิสัยดี...” มึงก็ว่าทุกคนที่ชมมึงนิสัยดีหมดแหละ ผมกลอกตาไปมาอย่างระอาใจ กูปวดหัววววว

         “แล้วสรุปคือมึงทักเขาไปทุกวัน?” ผมวกกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง

        “ก็กูอยากคุยกับเขา”

        “นี่ไง ทำอะไรไม่ปรึกษากูก่อน มึงมันอ่อน” ผมใช้ส้อมจิ้มเค้กตักเข้าปากแล้วเอามาชี้หน้ามัน

        “ก็กูจีบเขาอยู่ป้ะวะ อ่อนเอิ่นอะไร...”

        “อย่าทำตัวเป็นผู้ชายถูกๆดิ”

        “กะ...กูเป็นผู้ชาย...ถูกๆ” มันทำหน้าเหวอ จนผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

        “เออ มึงต้องมีชั้นเชิงเว้ย ถ้ามึงเริ่มงี้...มึงแพ้ละ”

        “เอ้า! ไอ้เหี้ย...”

        “มึงฟังกู แฮ่ม!” ผมกระแอมเล็กน้อยพอเป็นพิธี แล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะกวักมือให้มุ่ยมันโน้มหน้ามาและผมก็ยื่นหน้าเข้าไปหาเช่นกัน

        “มึงต้องอย่าทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนจีบ” ผมพูดเบาๆ และมันทำหน้าตั้งใจฟังมากจนผมอยากจะปล่อยก๊ากออกมาดังๆ

        “ทักไปอะทักได้ แต่เอาเบาๆพอ หายไปซักวันสองวัน แล้วก็ค่อยทักไปใหม่อีกที”

        “แล้วถ้าเขาตอบกูมาอะ”

        “ถ้าพี่เขาตอบมามึงก็อย่าเพิ่งรีบตอบกลับ ทิ้งไว้ซักครึ่งชั่วโมง อ่อ แล้วอย่าเข้าไปอ่านนะเว้ย ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ”

        “หะ...”

        “มึงต้องแบบหยอดแล้วถอยหยอดแล้วถอยอะ อิ้อ้ะๆ แล้วอย่าแสดงออกโต้งๆ ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน”

        “เพื่ออะไรวะ...” มันทำหน้าตาสงสัยซะเต็มประดา โง่จริงๆ มุ่ยเอ้ยยย นี่มันคือวิถีลูกผู้ชาย!

        “หมายถึงไม่ตอบเพื่ออะไร...”

        “กูหมายถึงจะกระซิบเพื่ออะไร! ไอ้เหี้ย!” มันผลักหัวผมออกอย่างแรง มันดึงตัวกลับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้เหมือนเดิม ส่วนผมก็หัวเราะเสียงดังอย่างกลั้นไม่ไหวจนโต๊ะอื่นหันมามอง

        “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

        “สัดเจ๋ง นี่กูซีเรียส” มุ่ยทำหน้าไม่พอใจผมเอามากๆ จนผมต้องยื่นมือไปตบบ่ามันอย่างเห็นใจ

        “กูกินทุกเช้า อร่อยดี”

        “นั่นมันซีเรียล! ผ่าม! พอใจยัง ไอ้ควายยยยยย มึงรู้ตัวป้ะเนี่ย ว่ามุกมึงกากมาก”

        “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”

        “ยิงจังเลย ยิงจนกูพรุน สัดเอ้ย!”

        “เอาน่าๆ” ผมหยุดหัวเราะแล้วตบบ่ามันเบาๆ “ทำตามที่กูบอก รับรอง”

        “รับรองว่าได้?”

        “รับรองว่ามึงนกแน่น๊อนนนนนนนน”

        “เลิกเถอะ”

        “เลิกเล่นมุก”

        “มึงกับกูเลิกเป็นเพื่อนกันเถอะ ไอ้เหี้ยเจ๋งงงงงงงงงงง”

               

        ผ่าม!!

 

 

 

           ____________________________________

 

           --หอมุ่ย--

           [ FAHMUI PART ]

           ปึง!

           ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง ผมเปิดประตูห้องอย่างยากลำบากเพราะต้องแบกไอ้โป้ที่ไม่รู้ไปคึกเหี้ยอะไร ดื่มเอาๆ ลำบากเพื่อนอย่างพวกกูเนี่ยแหละ แล้วหอผมดันอยู่ใกล้สุด เวลาเมาก็มากองอยู่ห้องผมตลอด ห่ามึงเอ้ย

          “มึงช่วยกูแบกไอ้โป้ไปตรงข้างเตียงก่อน” ผมหันไปบอกแก๊ปที่ช่วยแบกไอ้โป้อยู่อีกฝั่งนึง มันก็เมาเหมือนกัน แต่เป็นพวกเมาแล้วเหมือนไม่เมา ถ้ามันเริ่มนิ่งไม่ค่อยพูดเมื่อไหร่นั่นแหละ เพื่อนแก๊ปไปละ ฮ่าๆ

          “แล้วไอ้เจ๋งอะ” ผมหันไปมองไอ้ลูกหมาเจ๋ง ไอ้เหี้ยนี่ก็หนักเหมือนกัน แม่งนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นนอกห้อง แขนสองข้างยังกอดขวดน้ำอัดลมไม่ยอมปล่อย ตอนแรกเป็นขวดเหล้า แต่พอพวกผมเอาออกมันก็โวยวายจนต้องเอาขวดน้ำอัดลงมาให้กอดแทน

          “แป้ปนะ...” ผมวางแขนไอ้โป้ลง แล้วเดินไปจับแขนมาพาดคอเพื่อจะพามันเข้าห้อง

          “อย่า! นี่ลูกกู! มึงอย่ามาจับ!”

          “ลูก? มึงไปมีลูกตอนไหน นี่มันขวดน้ำ!”

          “อ๋อออออออออออออออ มึงนี่เองงงงงงง ไอ้ขี้ขโมยยยยยยย”

          “ไป เข้าห้อง”

          “อย่ามาจาบบกูวววว กูจาพาลูกเข้าน้อนนน โว้วว!” ผมยืนมองไอ้เจ๋งพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แขนอีกข้างก็กอดขวดแน่นไม่ยอมปล่อย เมาแล้วเรื้อนนนนน ไอ้เพื่อนเวรรรร

          “นอนนนน ซะหล่า~ หลาบตา พ่อสิก่อมมมม~”



         เออ เอาเข้าไป



        “มึงช่วยกูหน่อย...” ผมปิดประตู ก่อนจะเดินเข้าไปพยุงไอ้โป้ต่อ ไอ้เหี้ยนี่ก็ตัวอย่างกับควาย โว้ยยยยยยย

        “ปล่อยแม่งนอนเนี่ยแหละ กูเหนื่อยยยย” ผมละจากไอ้โป้ แล้วล้มตัวนอนแผ่ลงกับเตียง คือกูก็เมาไง แต่เจอพวกแม่งเมากว่า กูเลยต้องมีสติไปเลย

        “แล้วไอ้เจ๋ง...เออ ปล่อยมันไว้นั่นแหละ เหี้ย...กูก็ไม่ไหวแล้วว่ะ” พอหันไปหาไอ้เจ๋ง ก็เห็นมันนอนตายพร้อมขวดลูก(?) อยู่ตรงทางเข้าห้อง

        ดี กูไม่แบกใครแล้ว ไอ้เหี้ยยยยย

        “แก๊ปเดี๋ยวมึง...”

        “คร่อก~”

        “ตายกันหมด” ผมสะบัดหัวไล่ความเมา ต้องไปอาบน้ำให้มันสร่างซักหน่อย

        “ทำไมวันนี้เตียงกูนุ่มจัง...” ฟูกเตียงผมนุ่มผิดปกติป้ะครับ เหมือนนอนบนมาชเมลโล่เลย...

        ผมไถๆหน้าลงกับเตียงกับหมอน ขาก็ตวัดผ้าห่มขึ้นปั้นเป็นก้อนๆแล้วน้วยๆ จนหน้าผมบี้ไปซีกนึง



        ง่วงว่ะ...



        “กูต้องอาบน้ำ มึงไม่ใช่คนสกปรกนะเว้ยมุ่ย...”



       เอื้อ...ลุกไม่ขึ้น



       ฮึบบบบบบบบบบบ



       แผ่~



       “อ่า...”



       Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr!

       “หนวกหู...”



       ใครมันโทรมาตอนนี้วะ จะนอนนแล้วโว้ยยยย



       Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr!

       “หนวก...หู...”

       Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr!

       “งั่มๆ...แจ๊บๆ...ฟี่~”

      Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr!

      “ฟี่~~~~~”

 

      นี่มัน...โศกนาฏกรรมตายหมู่ชัดๆ...

 

 

        ___________________________

       กริ้ง!!!!!!!!!

       “ปิดเสียงดิ้ หนวกหู!” ผมซุกหน้ากับผ้าห่มที่ถูกปั้นเป็นก้อน แล้วคว้าหมอนมาปิดหูด้วยความรำคาญ

       “เออ...ปิดที...”

      กริ้ง!!!!!!!!!

      “ปิดที~~”

      กริ้ง!!!!!!!!

      พรึ่บ!

      ผมตลบผ้าห่มออกจากตัว แล้วหาต้นเหตุของเสียงเจ้าปัญหาที่มารบกวนการนอนอันแสนสุขของผม แม่งยังเช้าอยู่เลย เหี้ยเอ้ยยย

      “โทรศัพท์อยู่ไหนวะ...” เสียงกูก็แหบเป็นเป็ดเลย ผมหยีตามองหาจนเจอว่ามันตกอยู่ใต้เตียง โทรศัพท์กูเองนี่หว่า แล้วกูตั้งปลุกอะไรตอนนี้

      “กี่โมงแล้ววะมึง...” ไอ้แก๊ปที่กำลังงัวเงียเอ่ยถามออกมา

      “บ่ายสองครึ่ง...อือ...กูนึกว่ายังเช้าอยู่” แม่งนอนกินบ้านกินเมืองกันชิบ

      “แล้วมึงนัดพี่เขากี่โมง...”

      “นัดไรวะ” ผมล้มตัวนอนอีกครั้ง ปากก็พึมพำถามแก๊ปออกไป กูไปนัดใคร วันนี้วันเสาร์ กูจะนอน!

      “พี่น้ำตาลไง วันนี้มึงนัดเขาถ่ายรูป”

      “หะ...”

      “อย่าบอกนะว่ามึงลืมอะ”

      ใช่เลย...

      “แล้วมึงนัดเขากี่โมง”

      “บ่ายสาม...”

      “แล้วนั่งนิ่งทำเหี้ยไร! ไปอาบน้ำ!” ผมลุกขึ้นจากเตียงโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว เหี้ยแล้วกูๆ

      “โวยวายอะไรกันวะ...”

      ผลัก!

      “โอ๊ย! ใครฟาดหน้ากู!”

      “ใครให้มึงลุกขึ้นมาสัดโป้ โอ๊ยยยกูสายแล้วววววว” โป้มันลุกขึ้นมาพอดีมือผมเลยฟาดหน้ามันเข้าให้ ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาอีกที



      ชิบหายละครับ บ่ายสองสี่สิบห้า!



      ปึง!

 

      “กูบอกแล้ว...ให้เปลี่ยนผ้าม่าน”

 

 

       --------------------------------------------------------

        [ ร้านชิลเค้ก ]

        [ 15 : 10 น. ]

 

        กรุ้งกริ้งๆ~

        “แฮ่กๆ” เหนื่อย! ผมอาบน้ำแต่งตัวแล้วบึ่งรถออกมาอย่างรีบเร่ง วิ่งมาด้วย แม่งกูสายไปสิบนาที ขอที่รักอย่าเพิ่งมาถึงเลยนะครับ!

        “อ้าวพี่มุ่ย หวัดดีครับ” ผมเงยหน้าตามเสียงทัก ก็เจอกับไอ้เด็กตัวสูงโย่งยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า มึงเป็นใครวะ

        “มึง...ใครเนี่ย?”

        “เอ้า! ผมฟิวน้องพี่เจ๋งไงครับ เมื่อวานเรายังเจอกันอยู่เลย” มันทำหน้าเหลอหลา รีบแนะนำตัวทันที

        เมื่อวาน...

        อ๋ออออออออ

       “เออ จำได้ละ”

       “ดีใจจัง รับอะไรดีครับ” มันส่งยิ้มกว้างบ่งบอกว่าดีใจมากที่ผมจำได้ อะไรจะขนาดนั้น

         

       ผมมองซ้ายมองขวา เพื่อดูว่าน้ำตาลมารึยัง

         

       ขวับ! ขวับ!

         

       “พี่มองหาใครอะ”

       “เห็นผู้หญิงสวยโคตรๆเข้าร้านมาป้ะ?” ผมถามแต่สายตาก็ยังสอดส่องหาน้ำตาลอยู่ ให้แน่ใจว่าผมมาก่อน

       “ช่วงบ่ายนี้มีแค่โต๊ะสองกับโต๊ะสี่ที่เพิ่งมาอะพี่” ผมมองตามที่น้องมันชี้ ก็เห็นเป็นเด็กผู้หญิงสองสามคนนั่งอยู่ อีกโต๊ะเป็นผู้ชาย เฮ้อ~



       ยังไม่มาว่ะ



       เดตแรกไม่โดนหักคะแนน!



       เยส!

         

       “กูนั่งตรงนั้นนะ เอาลาเต้เย็นกับ...” ผมชะโงกหน้ามองไปทางตู้เค้ก เพื่อดูว่ามีอะไรน่ากินบ้าง “กับเครปเค้กชาเขียว”

               

       “เคครับ! เชิญเลยพี่”

       ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ ผมชอบนั่งตรงนี้เพราะเห็นวิวเยอะดี ด้วยความที่ร้านนี้อยู่ชั้นสองเลยทำให้ได้เห็นภาพกว้างๆ

         

       โอ๊ยตื่นเต้นอะ!

         

       ถ้าเจอกันแล้วผมจะทำหน้ายังไงดี ต้องขรึมๆหน่อย อย่างที่ไอ้เจ๋งบอก อย่าแสดงออกให้เขารู้ตัวว่าเราจีบ!

               

       ไหน ซ้อมๆ



       มาช้าจังอะ รอนานแล้วรู้ป้ะเธอ



       อันนี้...ไม่น่าได้



      หวัดดี วันนี้ก็ยัง...น่ารักเหมือนเดิมเลยนะ



       ฮึ่ย...เขิน!

 

       กรุ้งกริ้งๆ~

         

       มาแล้วป้ะว้า....



       ตึก

       ตึก

       ตึก

         

       ฟึ่บ!

         

       “ไง”

               

       “หะ...”

 

       “เสื้อกู...เมื่อไหร่จะได้คืน”







_________________________________________



[TALK]

หายไปนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกอีกแล้ว แหะๆ มาละเด้อ จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนะงับ :laugh:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 6 (UP) 04/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 05-09-2018 06:50:54
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 7 (UP) 09/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 09-09-2018 01:51:49
ตอนที่ 7
แผนสำเร็จ (เหรอ?) 2




กรุ๊งกริ้ง~

เห้ยๆ มีคนมา!

น้ำตาลแน่เลย~

ไอ้บ้าเอ้ยยย เขินวะ



ตึก

ตึก

ตึก

 
ฟึ่บ!


“ไง”

“หะ...” จู่ๆ ไอ้บีมที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ก็มาทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้โต๊ะตรงข้ามผม ยกแขนขึ้นวางกับโต๊ะเท้าคางแล้วมองหน้าผม


“เสื้อกู...เมื่อไหร่จะได้คืน”



ไม่ใช่...


ไม่ใช่ดิเห้ย...


ผมมองซ้ายมองขวา ชะโงกตัวมองทั้งด้านหน้าด้านหลังตัวเองแล้วมาหยุดสายตาที่มัน นี่คือรายการจ้อจี้ใช่หรือไม่!


มึงมาจากไหนเนี่ย!?


“มึงอะ...นั่งผิดโต๊ะใช่ป้ะล่ะ ความจริงมึงจะไปนั่งโต๊ะนู้น โน่นๆ” ผมยื่นหน้าเอามือป้องปากพูดกับบีม นิ้วก็ชี้ไปทางข้างหลังมันอย่างมั่วๆ คือมึงต้องไปนั่งซักที่ที่ไม่ใช่ที่นี่อะ

“...”

“มึงค่อยๆลุกนะ กูสัญญากูไม่ล้อมึงแน่นอน ไป๊ๆ” ผมโบกมือไล่มัน ปากพลางก็บุ้ยใบ้ไปด้วย

“...” มันเปลี่ยนท่านั่งค่อยๆเอนตัวพิงกับเก้าอี้ยกแขนขึ้นกอดอกมองผม คิ้วก็ขมวดมองผมด้วยใบหน้าสงสัย

     
ไม่ต้องงงเว้ย!! มึงผิดโต๊ะชัวร์แล้ว!


“ไป๊...กูขอ มึงไม่ใช่อะ ไม่ใช่มึงงงง”

“ปกติก็เป็นแบบนี้เหรอ”

“ลุกดิ เดี๋ยวน้ำตาลมา ลุก!” ผมทำหน้าตาจริงจังกระแทกเสียงย้ำให้มันออกไปจากโต๊ะนี้เร็วๆ

“น้ำตาลไม่มาหรอก นี่น้ำตาลไม่ได้บอกมึง?”

“บอก...บอกไร” อะไรวะ มันพูดอะไรของมัน

“ตาลมันว่าส่งข้อความหามึงแล้ว”

“ข้อความ...” ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกางเกงทันที เปิดหน้าจอเข้าแอพพลิเคชั่นที่คุยกับน้ำตาลดู



            ‘น้องคะ พอดีว่าพรุ่งนี้พี่มีธุระที่บ้านกะทันหันจริงๆ’

            ‘พี่เลี่ยงไม่ได้เลย ขอโทษด้วยจริงๆนะคะ’

            ‘เพื่อเป็นการไถ่โทษ พี่ส่งคนไปแทนน้าาา จิ้บจะได้ไม่ว่าน้อง ยังไงก็ฝากด้วยนะค้าาาา’

            ‘ขอโทษจริงๆนะ’

            (อิโมติคอนยกมือไหว้)




เหี้ย...



“จะถ่ายป้ะวะ”

เป็นไงล่ะ อยากให้เขาตอบกลับมายาวๆ

“ถามไม่ตอบ ความจริงถ้าตาลมันไม่ขอกูก็ไม่มาหรอก”

ยาวสมใจมึงไหมล่ะ ฮือออออ

“อ้าปากทำไมเนี่ย มึงช็อตเรอะ?” บีมใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมสองสามที จนมันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ

“เอ้า งั้นกูกลับนะ”

ผมมองบีมลุกขึ้น โบกมือให้ผมแล้วเดินออกไป

“เหี้ย...”

“พี่มุ่ยยยย ลาเต้กับเครปเค้กได้แล้วคร้าบบบบ”

ผมมองมันกำลังเปิดประตูร้านออกไปด้วยความรู้สึกที่...

“โคตรเหี้ย...”

“เมื่อกี้ใครอะพี่ โคตรสุด ทำไมมอพี่มีแต่คนหน้าตาดี คัดหน้าตากันมาเรียนเหรอวะ..วะ...เว้ย! พี่! จะไปไหน!”

เหี้ยไปอีกที่ตัวผมลุกขึ้นอย่างกะทันหัน และออกวิ่งตามไอ้คนตัวสูงไปจนเกือบชนน้องไอ้เจ๋ง โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องตามมันด้วย


หมับ!


ผมคว้าไปที่ข้อมือบีม จนเจ้าตัวชะงักไปครู่นึงแล้วหันกลับมามองผม เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


แม่งเอ้ย...


ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ลงไป ก่อนจะเค้นคำพูดที่ตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่าจะพูดออกมาได้


“เป็น...”

“หืม?”

“อยู่เป็นแบบให้ก่อนดิ”

 

 

 

____________________________________________________



[สวนสุขภาพ]



“เดินให้มันเร็วๆดิ้ ถ้าแสงหมดก่อนจะไม่ได้รูปนะเว้ย” ผมหันกลับไปโวยบีมตอนนี้กำลังเดินเอื่อยส่งยิ้มหล่อให้กับสาวๆที่มาออกกำลังกายกันแถวนั้น

ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น ที่สวนสุขภาพตอนนี้มีหนุ่มสาวชาวมหาวิทยาลัยออกมาเดินเล่นกันเต็มไปหมด แต่ดูท่าวันนี้สาวๆจะเยอะกว่าเดิม จนผมยังหาโลเคชั่นที่ถูกใจไม่ได้ แล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นตัวการ

สวนสุขภาพของมหาวิทยาลัยผมเป็นสวนที่กว้างมากๆ เรียกได้ว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ มีบึงน้ำอยู่ตรงกลาง ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กให้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่นให้อาหารปลาชิวๆกัน มีลานบาสกลางแจ้งที่เป็นศูนย์รวมคนหน้าตาดี ครั้งนึงไอ้โป้เคยมาเล่นบาสอวดสาว เล่นไปก็ส่งสายตาให้สาวไป ยังเล่นไม่ทันจบเกมดี เกือบโดนยำตีนจากรุ่นพี่ที่น่าจะเป็นแฟนของคนที่มันขยิบตาแอ๊วเขา พวกผมปรี่เข้าไปขอโทษแทบจะไม่ทัน จากนั้นก็ไม่ค่อยได้มากันอีกเลย จะมาก็แค่ผมคนเดียว

“เมื่อไหร่จะถ่าย กูเห็นมึงเดินวนเป็นสิบรอบ” ผมหันกลับไปตามเสียง ก็เห็นบีมกำลังเดินล้วงกระเป๋ากางเกงตามผมมา วันนี้บีมใส่เสื้อยืดลายกราฟฟิคสีดำคูลๆ กับกางเกงยีนฟอกสี พร้อมรองเท้าแตะสีดำลายขวางที่คู่ละเป็นพัน


มันมาแค่เนี้ย...


มันมาแค่นี้ยังดูดี!


กูก็แต่งพอๆกับมันเลยนะ ดีกว่ามันอีกเพราะผมใส่รองเท้าผ้าใบ


ไม่อยากยอมรับว่ามันดูดีกว่า


ผมล่ะอยากจะทุบๆตัวเองให้แบนไปเลยจริงๆ ไม่รู้สมองคิดอะไรอยู่ถึงเอามันมาเป็นแบบแทนน้ำตาล คือปากแม่งพูดไปละ แต่เพิ่งมาคิดได้ทีหลัง มันคือศัตรู!


โคตรเซง


แล้วกว่าจะมาถึงที่สวนได้พลังงานก็แทบจะหมดไปกับมัน แม่งไม่เอารถมา ผมก็ต้องให้มันซ้อนน้ององุ่นสุดที่รักของผม ฮึ่ย!

แต่ทำไงได้วะ ในฐานะคนมองผ่านเลนส์ บีมคือคนที่โคตรดึงดูด ทั้งรูปร่างหน้าตาและแทบจะทุกอิริยาบทของมันดูดีจนผมปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากถ่ายภาพให้มันซักครั้งนึง


แต่ถ้าในฐานะไอ้มุ่ยคนนี้ เฮอะ! หน้าตามันก็งั้นๆ เดินล้วงกระเป๋าแล้วคิดว่าหล่อมากเลยดิ ปั้ดโถ้ะ!


“ด่ากูในใจอีกดิ หึๆ คิ้วขมวดหมดแล้วนั่น” บีมเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แล้วยื่นมือมาใช้นิ้วขยี้ตรงหัวคิ้วผม

“ยุ่ง!” ผมปัดออกอย่างรำคาญ

“แล้วหาได้ยัง ไอ้โลเคชั่นที่ว่าเนี่ย ถ่ายๆให้มันจบไปก็พอ”

“กูไม่ใช่มึง...แชะ” บีมก้มตัวลงหยิบดอกไม้ที่ร่วงจากบนพื้นขึ้นมามองแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ทำให้ผมต้องยกกล้องขึ้นถ่าย

ที่ๆผมกับบีมยืนอยู่ขณะนี้เรียกได้ว่าเป็นมุมโปรดของผมเลย ทางเข้ามาเป็นทางเดินลัดสวนเล็กๆ ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น ซึ่งมันก็ดีมากทีเดียวเพราะผมหวง พอเดินมาเรื่อยๆก็จะเจอกับต้นปีปขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นบึงน้ำกลางสวนและวิวทิวทัศน์ได้เกือบจะทั้งหมด แถมยังเป็นที่ที่เงียบสงบไม่มีเสียงคนรบกวนเวลาจะถ่ายรูป และด้วยความที่ใบของต้นปีปไม่ใช่ใบที่หนาทึบ ทำให้แสงแดดส่องถึงพื้นได้ เรียกได้ว่าเป็นโลเคชันที่ยอดเยี่ยม

“ห้ามไปบอกใครนะ ที่ตรงนี้” ผมพูดพลางเช็ครูปที่ได้มาไปด้วย

“หืม? ทำไมล่ะ”

“หวง...ความจริงจะพาน้ำตาลมาแล้วเก็บไว้เป็นที่ของเราสอง เข้าใจป้ะ แต่นี่ดันเป็นมึงแทนก็ทำไรไม่ได้แล้ว” ผมว่าพร้อมยกไหล่ขึ้นอย่างเสียไม่ได้

“น่าดีใจแทนมันจริงๆ...”

“แล้วทำไมถึงยอมมาเป็นแบบให้อะ ได้ยินว่าไม่ชอบ”

“ตาลขอมา”

“อ๋อเหรอออออออออออ” ผมลากเสียงยาวอย่างหมั่นไส้

“ไง อิจฉาอะดิ” มันยักคิ้วให้แถมยังยื่นหน้ายิ้มล้อๆมาให้ผม

“คอยดูเหอะ นี่อะแฟนตาลในอนาคต” ขิงไว้ก่อน ขอให้กูได้ขิงไว้ก่อน เป็นไม่เป็นอีกเรื่อง ฮ่าๆ

“เออ ทำให้ได้แล้วกัน รู้อะไรไหม ตาลมันไม่ชอบใครง่ายๆ”

“แล้วงะ...” ผมจับกล้องแล้วแสร้งทำเป็นยกขึ้นถ่ายวิวรอบตัวอย่างไม่คิดจะฟังที่บีมพูด พูดมาเล้ยยยยย

“อย่างมึงเนี่ย...ไม่ใช่สไตล์หรอก”

“เหรอ เหรอ เหรอออออ” หมั่นว่ะ ทำมาขิงกลับ คิดว่าสนิทกับตาลมากกว่าแล้วจะพูดยังไงก็ได้เรอะ

“หึๆ” ทำมาเป็นหัวเราะเท่ๆ โด่ว

“เดินไปตรงนั้นหน่อยดิ๊ น่ะๆ เออตรงนั้นแหละ” ผมจัดแจงองค์ประกอบทุกอย่างให้ลงตัวแล้วเริ่มถ่ายใหม่อีกครั้ง ผมว่าจะให้เป็นธีมผู้ชายกับดอกไม้ ภาพลักษณ์ของบีมที่ดูหล่อดูเท่กลับเข้ากันกับดอกไม้ได้ดีชะมัด


อิจฉาว่ะ จากใจ


“เออ มึงหน้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยเจอที่ไหนแต่จำไม่ได้” ผมทักขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้พอดี หลังจากได้มองมันหลายๆมุม

ผมคุ้นจริงๆนะ เหมือนเคยเจอที่ไหนไม่รู้

“วันที่มึงล้มอยู่ข้างถนนวันนั้นน่ะเหรอ”

“เห้ย ไม่ใช่ดิ ลืมไปได้ไหมวะ โคตรอาย”

“อายเป็นด้วยเหรอครับ น้องมุ่ย” มันยกยิ้มกวนๆ ทำหน้าตาน่าถีบ

“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่น้อง นี่รุ่นเดียวกัน” ผมเถียงกลับ

“เข้าใจๆ” บีมพยักหน้าเหมือนยอมรับแต่หน้าตามึงไม่ใช่เลยยย

“นี่ซิ่วมาเนี่ย”

“ครับๆ” บีมยกมือยอมสองข้างขึ้นทำท่าว่ายอมแพ้ แต่กลับหัวเราะหึๆ ผมแกล้งทำไม่สนใจแล้วกลับมาโฟกัสเรื่องถ่ายภาพแทน

“ที่ถือนั่น ดอกปีปนะ รู้จักเปล่า” ผมยกกล้องเตรียมถ่ายอีกครั้ง

“ไม่”

“อ่อน”

“หึๆ ฮ่าๆ” จู่ๆมันก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อะไรวะ

“ขำไร” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆอย่างงงๆ เห้ย...แต่มุมนี้ได้ ภาพที่บีมหัวเราะกว้างๆโคตรให้ลุคผู้ชายอ่อนโยน

“ขอมู้ดเผลอๆกับดอกไม้ได้ป้ะ...อือ...งั้นแหละ”

“อะไรวะ...กูยัง...”

“เห็นดอกไม้แล้วคิดถึงอะไร” ผมถามบีมขณะที่กำลังโฟกัสภาพไปด้วย ไม่อยากยอมรับว่าแม่งโคตรดี

“อืม...” แม่งมุมนี้อย่างได้ ใบหน้าด้านข้างที่ทำให้เห็นสันกรามอย่างชัดเจน จมูกโด่งชัด สายตาทอดมองไปยังดอกไม้พร้อมมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยจากการที่บีมน่าจะเผลอยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ รวมกับแสงที่ทอดลงมาพอดีทำให้ภาพที่ออกมาดูดีจนผมชะงักไปครู่นึง


“คือเผลอเก่งจังวะบีม...” ผมลดกล้องแล้วพูดออกมาเสียงเบาอย่างทึ่งๆ


“หึ...” รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าคมหันมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสายตาของบีมที่มองทะลุเลนส์จนเหมือนกับได้จ้องกันตาต่อตามันมีเสน่ห์มาก ทำเอาผมกดชัตเตอร์แทบไม่ทัน

“ตกลงเห็นดอกไม้แล้วคิดถึงอะไร” ผมลดกล้องลงอีกครั้ง ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเนื่องจากการยืนถ่ายรูปนานๆแล้วมันเมื่อย มือก็กดเช็ครูปที่ถ่ายไปทั้งหมดว่าได้ตามที่ต้องการหรือเปล่า

“น่ารักดี...”

“แค่เนี้ย?”

“อืม”

“กูอะ เห็นดอกไม้แล้วนึกถึงน้ำตาล เข้าใจใช่ป้ะว่าคนมันอินเลิฟ ฮ่าๆ”

“สวยเหมือนดอกไม้?”

“ใช่!”

“อ้าว ไม่มุกเหรอ”

“กับเขากูจริงจังเสมอ ฮิ้ววววว” ผมหัวเราะคิกคักให้กับคำพูดตัวเองพลางก้มหน้าเช็ครูปต่อ เห็นบีมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น เห่อ พวกติดโซเชียล

“ทำไมถึงชอบน้ำตาล”

หลังจากที่เราทั้งคู่เงียบกันไปได้ซักพัก บีมก็ถามขึ้นมา

“เขาสวย”

“แค่นี้?”

“ช่าย~ จะเอาอะไรอีกอะ ก็เขาสวยจริงก็เลยชอบ”

“อยากได้เป็นแฟนขนาดนั้นเลยดิ”

“ก็อยากนะ อยากให้เขามาเป็นแบบให้”

“ตอบไม่ตรงคำถาม”

“อะไร้...”

“ถามว่าอยากได้เป็นแฟนเหรอ”

“ช่าย...เขาเป็นผู้หญิงในจินตนาการ รูปต้องออกมาเพอร์เฟคสุดๆ”

“ก็ยังไม่ตรง-”

“พอๆ เสร็จงานแล้ว! เลิกๆ กลับบ้าน!” ผมตัดบทที่บีมกำลังจะถามขึ้นมาอีก แล้วชันตัวลุกขึ้นปัดกางเกงที่เปื้อนฝุ่นสองสามที

“กี่โมงแล้ว” ผมถามบีม

“หกโมงกว่า”

“กลับ! แยกย้าย” ผมเก็บกล้องใส่กระเป๋าคว้ากระเป๋าคาดอกขึ้นมาคาดพร้อมเช็คความเรียบร้อยรอบตัวว่าลืมอะไรหรือเปล่า เตรียมจะเดินออกมา แต่ก็โดนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือตัวเองก่อน

“อะไร...”

“กลับด้วยดิ”

“ก็ให้เพื่อนมารับ”

“อุตส่าห์มาเป็นแบบให้ เสื้อก็ไม่ได้คืน แค่ติดรถไปด้วยยังไม่ได้ อืม เข้าใจๆ”

แหนะ

“ไปเถอะ เดี๋ยวโทรให้ตาลมารับก็ได้”

แหนะ

“มึงต้องเป็นคนยังไงอะ...โว้ย! จะมาก็มา!”

 

 

_________________________________


“มึงต้องเป็นคนยังไง ทำไมขัดกับภาพลักษณ์งี้ล่ะ ไม่ใช่ต้องเป็นคนเท่ๆหล่อๆเหรอ แล้วนี่อะไรอะ มึงมานั่งซ้อนท้ายน้ององุ่นกูคือไรวะ แล้วคือคิดจะให้แวะกินข้าวยังงี้ก็ได้อ่อ ถามกูซักคำไหมว่าอยากกินด้วยรึเปล่า” หลังจากจอดรถและถอดหมวกกันน็อคออก ผมก็ว่าให้มัน แม่ง ให้ผมแวะร้านตามสั่งข้างทางก่อนซอยเข้าบ้านมัน ใช่! ผมก็หิว! แต่ก็ไม่อยากกินกับมันไง

“เอาไร”

“กระเพราหมูใส่ตับ ไข่ดาวด้วย” ผมเดินมานั่งเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน มองมันเดินไปสั่งกับป้าแม่ค้า เห็นคุยกันหัวเราะคิกคักๆกัน

กับป้ามึงยังแอ๊วเขาเหรอวะ

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ก่อนกดเข้าอินสตราแกรมเปิดกล้องอัพสตอรี่ด้วยความหมั่นไส้ ซูมมันเข้าไป ซูมมมมมม มันเข้าไปๆ พร้อมแคปชั่น ‘คนเหี้ย’ ตัวโตๆ

“ทำไร” บีมเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามผม พร้อมกับน้ำเปล่าสองแก้ว ผมมองหน้าบีมเห็นไรผมชื้นเหงื่อนิดๆจนต้องควักหาทิชชู่แล้วยื่นให้

“เหงื่อออกหมดแล้ว”

“ทำไมใจดีวะ”

“หวังผล เผื่อมึงพูดเรื่องกูให้น้ำตาลฟัง เข้าใจป้ะ พูดดีๆด้วย แต่อย่าลืมบอกว่ากูหล่อมาก” ผมยกแก้วน้ำดื่มเอื้อกใหญ่

“น้ำตาลมันไม่ชอบมึงหร้อก อย่าพยายามเลย”

“เหรอๆ” ผมเอออออย่างไม่คิดจะฟัง แล้วไถโทรศัพท์เล่นไปเรื่อย


ครืด!


หืม ไอ้โป้ส่งวิดีโอไรมาวะ

 

ผมไม่กากนะครับ (4)

ปีโป้เป็นของหวาน :

ส่งวิดีโอ

อะไรอ่าาาาาาา

ไหนว่านัดกับพี่น้ำตาลงายยยยยยยยยย



ที่โป้ส่งมาเป็นวิดีโอสั้นๆ ในนั้นเป็นรูปผมนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นและมือไม้ขยุกขยิกซ้ำไปซ้ำมาจากเอฟเฟคของอินสตราแกรม

อะไร? นี่มันตอนที่ผมกำลังนั่งเช็ครูปที่ถ่ายบีมไปนี่หว่า ผมเงยหน้าขึ้นทันทีก็เห็นบีมกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน มึงถ่ายเรอะ?


ผมไม่กากนะครับ (4)

มะระมุ่ย : ของบีมอ่อ?

ปีโป้เป็นของหวาน : เออ ในไอจีสตอรี่พี่แก แล้วเขาไปอยู่กับมึงได้ไง

เจ๋งแปลว่าหล่อ : เสือกด้วยๆ

กีระแก๊ป : เอ้า!

เจ๋งแปลว่าหล่อ : แผนล่มอ่อวะ

มะระมุ่ย :

เออดิสัด น้ำตาลไม่ว่างเลยให้บีมมาแทน

เนี่ยมันยังบังคับให้กูมาส่งมันที่บ้านอีก โคตรเห้

ปีโป้เป็นของหวาน :

เห้ยมีอีกๆ อันนี้ล่าสุด

ส่งรูปภาพ



เป็นรูปที่ผมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดชนกันจ้องมือถืออยู่พร้อมอิโมติคอนรูปผู้ชายโบกมือเล็กๆ แบกกราวด์ข้างหลังคุ้นๆนะครับ

“ถ่ายลงทำไม!” ผมโวยวายใส่ มือก็ยื่นไปลดโทรศัพท์ของคนตรงหน้าลง

“อัพเดตชีวิตไง”

“รูปอื่นก็ได้ สนิทกันเรอะ!”

“ตาลก็เข้ามาดูด้วยว่ะ”

“ไหนๆ” ผมชะโงกหน้าไปดูโทรศัพท์มันทันทีหลังจากพูดจบ เขามาดูจริงด้วยว่ะ โอ้ยยยย เขามาดูกูๆ ผมจำชื่อไอจีของน้ำตาลแล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาพิมพ์ลงในช่องค้นหา ก็เจอกับคนสวยของผม

แต่ล็อค...

“บอกน้ำตาลให้รับให้หน่อย” ผมกดส่งคำขอไปแล้วเงยหน้าพูดกับบีม

“บอกเองดิ จะจีบเขาก็ทำเองสิครับน้องมุ่ย!” แล้วมันก็ลุกเดินไปหยิบจานข้าวที่ทำเสร็จพอดีกับป้าแม่ค้า

“กั๊กกู ไอ้บีม ไอ้บ้า” ผมด่าไล่หลังมันไปแต่ไม่ดังมากนัก คนเยอะครับกูอาย

เนี่ย แล้วคนก็มองตั้งแต่ผมเดินเข้าร้านมาละ คือเข้าใจว่าตัวเองหน้าตาดีมากแต่จ้องขนาดนี้ก็ไม่ไหวนะ มารยาทนิดนึงนะครับ อิอิ


ผมไม่กากนะครับ (4)

เจ๋งแปลว่าหล่อ : อะรายอ่าาาาาา

ปีโป้เป็นของหวาน :

อันนี้ล่าสุดของล่าสุดดดดด

ส่งรูปภาพ



เป็นภาพผมยื่นมือไปตรงหน้ามัน ก็คงเป็นตอนที่ผมปัดโทรศัพท์มันลง หน้าเหน้อไม่ต้องพูดถึงครับ อย่างเหี้ยปากก็อ้าค้างเห็นไปถึงลิ้นไก่ตามด้วยแคปชั่น ‘เกรี้ยวกราดเก่ง’


อะไรของมึ้งงงงง ไอ้หมาบีมมมมมม


ผมไม่กากนะครับ (4)

กีระแก๊ป :

ส่งรูปภาพ

มึงก็อัพสตอรี่พี่เขานี่ ไอ้มุ่ยยยยยย

มะระมุ่ย : มันกวนตีนกู คนเหี้ยตัวโตๆ


ผมส่งสติ้กเกอร์หมีหน้ามุ่ยลงกรุ๊ปตบท้าย ไอ้บีมก็มาพอดีพร้อมข้าวสองจาน

“เดี้ยมึงๆ” ผมชี้หน้าอย่างคาดโทษแล้วรับจานข้าวมา วันนี้หลายดอกแล้วนะครับมันอะ โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ ถ้ามันเอาไปฟ้องน้ำตาลขึ้นมา ภาพลักษณ์ที่ผมสั่งสมมา(?)มีอันต้องสลายหายไปกับตาแน่ๆ

“แล้วเสื้อกูล่ะครับน้องมุ่ย” ยังไม่ทันตักข้าวเข้าปาก บีมก็ถามถึงเสื้อบอลเห่ยๆที่ให้ผมมาใส่ตอนโน้น

“อยู่บ้าน”

“เดือนหน้ากูมีแข่ง คืนไหม?”

“ตั้งเดือนหน้า ขี้เกียจกลับบ้านไปเอา รออาทิตย์หน้าได้ป้ะ”

“แล้วมึงไม่อยู่บ้าน?”

“อยู่หอ บ้านอยู่ไกล”

“นี่เสื้อกูรึเปล่าวะ เหมือนไม่ใช่เลยอะครับน้อง”

“อย่าเซ้าซี้ จะกินข้าว อาทิตย์หน้านู่น”

ร้านนี้ทำกับข้าวอร่อยว่ะครับ ผัดกะเพราเป็นผัดกะเพราจริงๆ แต่ให้เยอะไปหน่อยผมกินไม่หมด เหลือบานเลย

“อิ่มยัง? จะได้ส่งมึงให้เสร็จๆไป กูง่วงแล้ว” ผมถามบีมแล้วดื่มน้ำตามเข้าไปอึกใหญ่ๆ สายตาก็มองไปที่จานมัน จะต้องละเลียดกินอะไรขนาดนั้นวะ

“กินแค่นี้ ถึงว่าตัวไม่โต”

“ไม่ยุ่งเรื่องของเก๊านะตะเอง~ งื้อๆ” ผมยื่นมือไปบีบจมูกบีมเบาๆ ทำปากจู๋แบบแบ๊วๆแล้วพูดไปด้วย บีมทำหน้าอึ้งไปสองวิก่อนจะหัวเราะออกมาจนตาหยี

“ฮ่าๆ”

คนมองหมดแล้วสัด!

“กลับเองเลยไหม?”

“น้ำตาลชอบคนมีกล้ามเนื้อไม่ใช่แห้งๆแบบมึงหรอก จีบแล้วยังไม่รู้เรื่องเขาเลย จะไหวเร้อ”


จริงป้ะน่ะ...


“งั่มๆ...พอใจยัง...งั่มๆ...กูได้แค่สามคำ...งั่มๆ...” ผมตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวให้มันดูทันที อ้อก! ไม่ไหวแล้ววว

“ดีมาก กินเยอะๆ ไม่กลัวเดินๆไปแล้วแล้วกระดูกหักทิ่มเนื้อทะลุออกมาบ้างเหรอวะ ทำตัวเหมือนคนอดอยาก”

“คนเหี้ยอย่างมึงมีสิทธิ์ว่ากูด้วยเหรอ” ผมย้อนมันกลับไป

“พูดก็ไม่เพราะ ไม่น่ารัก”

“ไม่ได้อยากน่ารักด้วย”

 “เหรอ...ไหนลองน่ารักให้ดูหน่อย”

“กูไม่ได้จะน่ารักกับมึง ไอ้บีม ไอ้บ้า...ป้าครับ! เก็บตังที่ไอ้หน้าหมีนี่เลยครับ!” ผมเดินออกมาจากร้านอย่างหงุดหงิด อีกอย่างของบีมเลยคือแม่งพูดไม่รู้เรื่องไง!


น่ารักอะไร! ใครเขาจะอยากน่ารักกับมึง!


ไอ้หน้าหมีเอ้ย!

 



____________________________________


“ถึงแล้ว เอาหมวกกันน็อคมา” หลังจากกินข้าวกันแล้วผมก็รีบบึ่งมาส่งบีมทันที โฮ่! อพาร์ตเม้นใหญ่ด้วย คนรวยๆเท่านั้นแหละครับจะอยู่ที่นี่ คนอย่างเราๆก็นู่น เปิดประตูปุ้ปนอนได้เลย ฮ่าๆ

ความจริงหอผมกับหอบีมก็ไม่ได้ไกลกันมากนะ ทางเดียวกันด้วย แค่หอบีมต้องเข้าซอยไปอีกหน่อยส่วนหอผมอยู่ติดถนนเลย

“กลับดีๆ มึงขี่รถเร็วนะน้องมุ่ย” พอยื่นมือไปรับหมวกกันน็อค บีมก็ชักมือกลับไม่ยอมคืนหมวกมาให้ผมซะงั้น

“รู้แล้วน่า กูไม่ทำลูกกูเสียโฉมหรอก แล้วจะเรียกกูน้องหรือมึงก็เอาซักอย่าง ฟังแล้วขัดหู๊ ขัดหู”

“สวมแว่นด้วย มืดแล้ว” บีมชี้นิ้วมาตรงกระเป๋าคาดอกของผมแล้วยื่นหมวกกันน็อคมาให้ ผมรับมาแล้วแขวนไว้ตรงที่พักเท้า ยังไม่ทันขึ้นคร่อมรถก็ได้ยินเสียงบีมทักใครขึ้นมาก่อน

“บู ไปไหนมา” ผมหันไปก็เห็นเด็กผู้ชายวัยมัธยมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบีมทันทีที่บีมทักขึ้น

“ไปกับเพื่อน” ผมเพ่งสายตามองไปยังเด็กคนนั้น อืม หน้าคล้ายๆบีมมันเลยว่ะ เดี๋ยวสวมแว่นแป้ป อ่า...คล้ายกว่าเดิมอีก พี่น้องป้ะเนี่ย

“พี่บอกว่าอย่ากลับค่ำ”

“รู้แล้ว”

“...”

ผมยืนมองสลับไปมาระหว่างคนสองคน บีมทำหน้าเครียดก่อนจะถอนหายใจหนักๆออกมา นี่มึงบีมตัวจริงป้ะเนี่ย ก่อนหน้านี้อย่างกับคนบ้า ใครสิงมึงห้ะ!? ส่วนบู...ใช่ไหมวะ เออๆ ทำหน้านิ่งสายตาก็เสมองไปทางอื่นอย่างเบื่อหน่าย เบื่อไร เบื่อกูรึเปล่าครับ แอ๊!


กูว่ากูควรกลับ


นะ...


“เอ่อ..” สายตาของทั้งสองคนมองมาที่ผมทันทีเมื่อเอ่ยปากขึ้นมา เรื่องนี้มุ่ยจะไม่ยุ่ง

“กลับละ...บ้ายบายเพื่อน!” ผมยื่นมือไปตบบ่าบีมส่งยิ้มกว้างให้แล้วเผื่อแผ่ไปยังน้องบูที่ก็ยังทำหน้าเหมือนเดิมแต่คิ้วเริ่มขมวดละ

ผมชิ่งออกมาที่น้ององุ่นอย่างรวดเร็ว รีบขึ้นคร่อมพร้อมสตาร์ทรถ แต่ก่อนจะออกผมก็โบกมือบ้ายบายให้อีกครั้ง คราวนี้เห็นบีมมันยิ้มมุมปากเล็กน้อยส่งมาให้ เออ ค่อยยังชั่ว หน้ามันตอนคุยกับน้องบูนะ ดุ๊ดุ เห็นมันยิ้มแล้วผมค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย เวลามันยิ้มดีกว่าเยอะ ถึงแม้จะแค่ยิ้มมุมปากแต่ใจแกว่งไปนิดนึงเลย



มันหล่อไง...



ใจแกว่งเลยไง...เป็นเรื่องธรรมดาเวลาที่เราเห็นคนหน้าตาดีมากๆไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายไงครับ



ทุกคนก็เคยเป็นใช่ไหมล่ะ ผมรู้ผมเรียนมา



...เอ้อ



อิหยังวะ?...





----------------------------------------------------------------------------------------------



[TALK]  โปรดอ่านเพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่านนิยายเรื่องนี้มากกว่าเดิม + ชี้แจ้ง

มาเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในที่สุด! ก็ทำได้ละฮะ! 5555555555555555555555 เรามีเรื่องมาชี้แจงนิดหน่อยค่ะเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้

1 เราคิดว่าถ้าวันหนึ่งเขียนจบแล้วจะมีการรีไรท์ใหม่อีกรอบ เกลาภาษาให้ดีขึ้น เราคิดว่าเรายังบรรยายไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไหร่ เลยจะพยายามฝึกให้มากแล้วจะรีใหม่อีกครั้ง ฮึบ! แต่เนื้อหาไม่เปลี่ยนไปนะคะ สบายใจได้ เย้!

2 เวลาน้องมุ่ยกับเพื่อนน้องมุ่ยเรียกแทนบุคคลที่สามว่า 'เขา' ขอให้นักอ่านทุกท่านอ่านว่า 'เขา' เลยนะคะ ไม่อ่าน 'เค้า' น้าาา เราคิดเองว่ามันน่าจะให้อารมณ์เด็กต่างจังหวัดได้ดีกว่าน่ะค่ะ แล้วมันจะดูน่ารักมากๆด้วยเวลาน้องมุ่ยพูด อันนี้จากความรู้สึกเรานะคะ แต่ถ้าไม่ถนัดจริงๆ ก็ตามที่ผู้อ่านทุกท่านสะดวกได้เลยเจ้าค่ะ อิอิ

3 เกี่ยวกับการอัพนิยายของเรา เรามาไม่ตรงเวลาจริงๆค่ะ ไม่สามารถคาดเดาได้เลย ขออภัยผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ ถ้าเราหายไปนานมาก แหะๆ เราพยายามที่จะเขียนออกมาให้ดีที่สุดก่อนจะนำออกมาเผยแพร่ ขอโทษจริงๆนะคะถ้าเรามาช้าจนทำให้ไม่อยากอ่านต่อ แต่เราสัญญาว่าเราไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ ฮึบบบบบบบบบบบ

สุดท้ายนี้ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านจริงๆจากใจของเราที่ให้ความสนใจกับนิยายเรื่องนี้ เเค่เราเห็นคนเข้ามาอ่านเราก็ดีใจสุดๆ เป็นกำลังใจที่ดีและสำคัญมากๆสำหรับเรา และถ้าต้องการติชมสามมารถคอมเม้นลงได้เลยค่ะ เราน้อมรับทุกความคิดเห็น

ขอบพระคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 7 (UP) 09/09/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-09-2018 16:11:46
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 8 (UP) 09/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 08-10-2018 23:56:38
บทที่ 8
อย่าเรียกว่าเมา แค่โลกมันดีเล




@หอพักXXX

FAHMUI PHOTO ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 20 ภาพ ลงในอัลบั้ม: GIVE ME A FLOWER

26 สิงหาคม

MODEL : Beambeam Pattaranon (ig : b.patt13)

PHOTO : Fahmui mui

 

 

ถูกใจ       แสดงความคิดเห็น                แชร์

Bambii Geeranan, Nt Netiporn และคนอื่นๆอีก 250 คน

แชร์ 75 ครั้ง

 

เออ ลงไปไม่ถึงสิบนาทีคนกดไลค์เป็นร้อย ควรจะดีใจที่มีคนติดตามเยอะหรือจะหมั่นไส้หน้าบีมมันดีวะ

ผมลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจพลางหันไปมองนาฬิกา อืม สี่ทุ่มครึ่ง เร็วกว่าปกติตั้งเกือบชั่วโมง ผมคว้าถุงเยลลี่ขึ้นมาแล้วหยิบเจ้าหมีนุ่มนิ่มเข้าปาก เคี้ยวหนุบหนับไปด้วยมองหน้าจอคอมไปด้วย ตอนนี้แจ้งเตือนเด้งเอาๆ อีกนิดคอมกูจะค้างละ หมั่นหน้ามันว่ะครับ ภาพที่ถ่ายมาแทบจะไม่ต้องทำอะไร ผมแค่ปรับนั่นปรับนี่นิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็แก้แสงแก้ส่วนเกิน ตัวบีมผมไม่ได้แตะอะไรเลย คนหน้าตาดีถ่ายยังไงก็ออกมาดูดีครับ(เบะปาก) ยิ่งได้ตากล้องฝีมือดีอย่างผมแล้วด้วยก็นะ

ผมยืนมองชื่นชมผลงานซักพักจนเยลลี่หมดห่อก็ปิดโปรแกรมปิดเครื่อง เข้าห้องน้ำแปรงฟันแล้วกลับมานอนเล่นโทรศัพท์บนเตียง ผมว่าสายตาผมสั้นลงอะ ต้องเป็นเพราะจ้องคอมบ่อยแน่เลย ดีนะผมเป็นคนไม่ติดโซเชียล



                Meena Moana กรี้ดดดดดดดดดดดดดด พี่บีมมมมม

                Buachompoo Tim โอ้ยยยย ฮวืรออออออออ ล้องห้ายแน้วววว พี่บีมของนว้องงง

                Fah Pattcha ลุคผู้ชายอบอุ่นมากกก ยั่กได้พี่เค้าาา

                Ploy Paan พี่ตากล้องสุดยอดมั่ก พี่บีมไม่เคยเป็นแบบให้ใครถ่ายเลยยย เซตนี้ฟีลฮัสแบนด์มากค่าาา

                Natty Nattie ผู้ชายกับดอกไม้ โอยยยย กูแทบคลานเข่า Dream Dorothy Nim Numnim มึงมาดู๊วววว

               

ผมเบะปากให้อย่างหมั่นไส้ มันจะหล่อซักแค่ไหนกันเชียว คอมเมนต์เว่อกันจริงๆ

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นไปเรื่อย ส่วนใหญ่ก็มีแต่ชมว่ามันหล่อ ถือว่าเป็นการดึงคนเข้าเพจได้ดี ฮ่าๆ ผมทักแชทส่วนตัวไปหาเจ้จิ้บให้แกเข้าเพจคิ้วบอยของมหาลัยแล้วแชร์อัลบั้มภาพจากเพจผมไป เสร็จเรียบร้อยก็ไล่อ่านคอมเม้นต่อ โห แป้ปเดียวแชร์กันเกือบห้าร้อยละอะ ไลค์ก็ปาไปพันกว่า โคตรสุด

 

                Kampan Kampanaat เห้ย มึงไปถ่ายมาตอนไหนวะ!! พวกมึง! New Norapat Kan Baimai

                New Norapat เบื่อหน้าแม่ง Beambeam Pattaranon

                Kan Baimai เดี๋ยวกูถ่ายมั่ง

                Beambeam Pattaranon ขอเสื้อคืนด้วยครับ แอดมิน :)

               

หือ? ผมไล่อ่านมาเรื่อยๆจนสะดุดเข้ากับคอมเมนต์นึง น่าจะเป็นเพื่อนบีม เห็นแท็คหากันด้วย


แล้วบีม...มึงจะทวงเสื้ออะไรนักหนาว้าาาา ฝากน้องซักอยู่เข้าใจปะ?


คือผมกลับบ้านไปแล้วก็โยนทิ้งตะกร้าของน้องสาว ฝากน้องมันซักไง เรื่องอะไรผมจะซักให้มันวะ เสื้อศัตรูนะเว้ย!


แต่เอาจริงๆใสมันโยนทิ้งไปรึยังไม่รู้ เดี๋ยวโทรถามก่อน

 

                (ว่า)

                ผมรอสายอยู่ซักพักจนเกือบจะวาง น้องมันก็กดรับพอดี

                “รับช้าจังอะใส”

                (เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เฮียมีไร)

                “คือ...”

                (ม๊าบ่นละนะ เฮียไม่กลับบ้านเอาแต่อยู่หอ)

                ฉิบหายละ...

                “คือเฮีย-”

                (จะบอกว่า ถ้าอาทิตย์นี้ยังไม่กลับเตียกับม๊าจะลงมาหา แล้วใสจะฟ้องว่าเฮียเอาแต่เที่ยว เห็นนะเว้ย รูปในเฟซบุ๊คที่เพื่อนเฮียแท็คมาอะ)

                ...กูจะได้พูดไหมวันนี้

                “ใสฟังเฮียก่อนนนนน” ผมนี่ลุกขึ้นนั่งเลยครับ! ยังไงก็ได้นะ แต่เตี่ยกับม๊าห้ามขึ้นมาเด็ดขาด!

                (แก้ตัวมา)

                “คือเฮียงานยุ่งโคตร งานเฮียเยอะมาก มิดเทอมก็มา วันนั้นคือเฮียแบบ...พักผ่อนเฉยๆเว้ย นะใสนะ...บอกเตียกับม๊าว่าไม่ต้องขึ้นมาหร้อกกก เนี่ย เดี๋ยวอาทิตย์นี้เฮียกลับ! สัญญาเลยว่ะ!”

                (ถ้าไม่เห็นหัวนะเฮียนะ)

                “เออ! สัญญาต้องเป็นสัญญาอยู่แล้วคนอย่างเฮีย”

                (แล้วโทรมามีไร...รีบๆพูดจะเป่าผมแล้ว)

                “ครั้งที่แล้วที่กลับไปอะ เฮียโยนเสื้อบอลลงตะกร้าใสไป ซักให้ยัง?”

                (เสื้อบอล...อ๋อ เอาไปโยนใส่ตะกร้าเฮียครามละ)

                “เอ้า! เอาไปให้มันทำไม!? เฮียฝากหนูซักอะ!” ยกมือกุมขมับเลยครับ ถ้าไปอยู่ตะกร้าไอ้เฮีย...โว้ยยยยยยย

                (ไม่รู้ นึกว่าของเฮียคราม)

                “ไปเอามาเลย เฮียฝากซักหน่อย เดี๋ยวอาทิตย์นี้จะไปเอา”

                (โหยย ใสไม่อยากเข้าห้องเฮียครามเลย ไม่ดิ อย่าเรียกว่าห้อง ให้เรียกว่ากองขยะ)

                ใสแม่งปากร้ายได้ใครวะ แต่ก็ถูกของน้องมันครับ ไม่รู้ว่าทุกวันนี้มันอยู่รอดโดยไม่เป็นกากเกลื้อนได้ยังไง

                “ฝากหน่อยว่ะ เดี๋ยวเฮียเอาเยลลี่ไปฝาก”

                (เยี่ยม! ว่าแต่เสื้อไรนะ?)

                “เสื้อบอล ข้างหลังสกรีน P.WARAKORN แค่นี้แหละ เฮียง่วงแล้ว ฝันดีนะไอ้ตูด”

                (เออๆ)

 

ผมกดวางสาย ดูนาฬิกาก็เห็นว่าจะเที่ยงคืนแล้ว ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจังวะ ผมรู้สึกว่าผมไถๆโทรศัพท์ไปแป้ปเดียวเองนะเห้ย

ผมตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์แล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ตบหมอนให้ฟู ปั้นผ้าห่มให้เป็นก้อนๆแล้วล้มตัวนอนอย่างสบายใจ ฮ่า~ เตียงผมแม่งโคตรนู่มมมมมมม

 

                ครืด!~

                ครืดๆ

                ครืดๆๆ

               

โว้ยยย! กูจะนอน! ห่ามึงเอ้ยยย!

โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงผมสั่นไม่หยุด แจ้งเตือนอะไรนักหนาวะ! ผมเอื้อมมือคว้ามาดูอย่างหงุดหงิด

แจ้งเตือนจากอินสตาแกรม...อะไรวะ?

ผมแตะเข้าไปดูด้วยความงงงวย ยังไม่ได้อัพอะไรเลยนะวันนี้ หรือเดอะแก๊งมันแกล้งอะไรผม?



[INSTAGRAM]

b.patt13

               



527 likes

b.patt13 “ที่ถือนั่น ดอกปีปนะ รู้จักเปล่า” @Fahmuii123

View all 79 comments

 

บีมลงรูปแล้วแท็กผมมา อะไรวะ ก็แค่รูปที่มันถือดอกปีป แค่เป็นรูปที่บีมมองกล้องกลับมา แค่เป็นรูปที่ผมชอบที่สุดในอัลบั้มแค่นั้นเอ๊งงง


             Moooominbabe พี่คะ ทำไมละมุนขนาดนี้ ฮืออออออ

             Pimmiifgh แงงงงงงงง อบอุ่นเกินไปแน้วววววว

             Kampantt14 เชี่ย พี่เค้ามาว่ะ อัพรูปในรอบสองล้านปี

             Thenewestttttttt คนที่มันแท็กใช่คนที่ถ่ายรูปให้มันป้ะวะ?

             Kanbaimainaja กูไปส่องมาาาาา มีแต่รูปอะไรก็ไม่รู้กับหน้าเพื่อนมั้ง ไอจีแม่งอย่างได้

             ChengChingd1 @Fahmuii123 เพื่อนผมถ่ายครับ เพื่อนผมๆ

             Gappappagap02 @Fahmuii123 เชี่ยเจ๋งบอกให้แท็กครับ

             Pobeeppobeep.17 @Fahmuii123 อยากเห็นหน้ามันมาดูไอจีผมครับๆ


 

รำคาญ!

ไอ้พวกเหี้ยยยยยย พวกมันเล่นแท็คผมยาวเป็นหางว่าว แกล้งกูแล้วสัด แม่งคงรู้ว่าผมนอนเวลานี้ เลยแท็คให้มันขึ้นแจ้งเตือนผม ยังไม่ร่วมแก๊งโฟโต้กับเพื่อนในคณะที่พร้อมใจกันทั้งแท็กทั้งถามผมว่าไปดึงตัวบีมมาถ่ายได้ยังไงและอีกสารพัด พวกแม่งชอบบ่นว่าผมเป็นเด็กอนามัย นอนเร็วตื่นเช้า ไอ้สัด คือกูสายเฮลตี้อะ ถ้ากูแดกน้อยกำลังกายก็ไม่ค่อยได้ออก แล้วยังเสือกนอนดึกอีก มันก็ไม่ได้ปะวะ เอ้อ!

               

                b.patt13 @Fahmuii123 เห็นเสื้อบอลพี่ปะ?

                กวนตีน!

               ไอ้หน้าหมี!

                Fahm    uii123 @b.patt13 ซัก

                b.patt13 @Fahmuii123 เง้อ


                เง้อพ่-

                b.patt13 @Fahmuii123 นอนยัง?

                Fahmuii123 @b.patt13 รำคาญ! ไอ้หน้าหมี! กูจะนอน! ใครแท็กอีกกูจะแช่งเลย!


               

ผมวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด นี่มันเลยเวลานอนกูมาครึ่งชั่วโมงแล้ว โอ้ยยยย!

โทรศัพท์ก็สั่นอยู่เรื่อย แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วตอนนี้ กูจะนอน กูต้องนอน!

ผมตลบผ้าห่มขึ้นคลุมจนมิดหัวพลางหันหลังให้กับโทรศัพท์ที่ยังส่งเสียงครืดๆอยู่อย่างนั้น

ไม่สนเหี้ยไรทั้งนั้นแล้วกู...

 

                b.patt13 @Fahmuii123 เค

                b.patt13 @Fahmuii123 ยังไงคนที่รู้จักน้องอย่าลืมเตือนว่าให้คืนเสื้อผมด้วยนะครับ

                b.patt13 @Fahmuii123 :)

                kerdmapueajin มึง เขาดูมีซัมติง...

                numnimmm.nn ทำไม...น่ารัก

                oillerff.2f มีนงมีน้อง อิเหี้ย...


               

               



“สวัสดีครับน้องปีหนึ่งทุกคน วันนี้ที่เรียกพวกเรามา พี่มีเรื่องจะแจ้งสองสามเรื่องนะครับ” เสียงพี่แดนประธานชั้นปีที่ 2 กำลังยืนพูดอยู่ โดยมีเหล่าปีหนึ่งคณะศิลปกรรมรวมถึงผมนั่งอยู่เต็มลานหน้าตึกคณะ เลิกเรียนเสร็จก็ไม่ได้กลับไปนอนอย่างที่ใจคิด รุ่นพี่ดันประกาศเรียกรวมในกลุ่มเฟสกะทันหัน ผมกับเพื่อนก็ต้องมานั่งหน้าเหี่ยวฟังพี่เขาพูด ตอนนี้ก็ซัก 4 โมงครึ่งได้ ผมกับเดอะแก๊งอยู่แถวหลังสุดข้างโต๊ะหินอ่อน นั่งเคี้ยวขนมกันเอามันเลยครับ

“กูว่าไม่พ้นเรื่องกีฬามอ” ไอ้เจ๋งพูดขึ้นมาหลังจากยัดขนมปังก้อนยักษ์เข้าปาก แดกไปได้ไงวะ

“เออ อันนี้ยังไงก็ต้องเข้าร่วมปะ”

“ก็มีอย่างเดียวนั่นแหละว่ะ” พวกผมหลุดหัวเราะออกมา ความจริงคณะผมเป็นคณะเดียวที่แทบจะไม่จัดกิจกรรมกันอะไรเลย รับน้องไม่มี ล่าสายรหัสก็ไม่มี ก็นัดๆกันเอง ถือคติว่าอะไรยุ่งยากไม่ทำอะครับ

คือคณะศิลปกรรมของผมจะจัดกิจกรรมร่วมกับทางมหาวิทยาลัยค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว เท่านั้นก็เหนื่อยกันจะตาย เกณฑ์คนไปทำนู่นนี่นั่นวุ่นวายไปหมด

“ทางมหาวิทยาลัยเราจะจัดกิจกรรมพลับพลึงเกมส์ ซึ่งเป็นการแข่งกีฬาภายในที่จะจัดขึ้นประมาณปลายตุลานี้ครับ”

“พี่อยากจะขอความร่วมมือน้องๆ ให้ลงชื่อสมัครเข้าแข่งขันกีฬาตามที่ถนัดให้กับคณะของเรา ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าแข่งกันอะไรก็ทำพร็อบทำฉาก ส่วนที่เหลือก็...ขึ้นแสตนด์ครับ”

“โห่~” เสียงโห่จากเด็กปีหนึ่งดังกันเกรียวกราว เจ็บกว่าแข่งก็คือขึ้นแสตนด์นี่แหละวะ ผมก็ไม่เอาแม่งทั้งคู่

“ขี้เกียจอะพี่”

จู่ๆก็มีรุ่นผมคนนึงยกมือขึ้นบอกแทนใจทุกคน เชี่ยนี่แม่งได้

“ฮะๆ พี่ก็ขี้เกียจเหมือนกันว่ะ” จบประโยคพี่แดน ทุกคนก็หัวเราะกันครืนรวมถึงผมด้วย

“แต่เราจะไม่ทำกิจกรรมกันไม่ได้นะครับเด็กๆ” พี่แดนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณเชิงบอกว่าให้เงียบลง ใบหน้าก็ยังยิ้มแย้มละมุนละไมเหมือนเดิม

“เชี่ย มึงดูพี่เขายิ้ม”

“คนดีๆแบบนั้นมาเรียนคณะเราได้ไงวะ”

เสียงจากเพื่อนผู้หญิงร่วมคณะที่นั่งข้างผมกระซิบคุยกัน เออ ผมเห็นด้วยเลย ผมเคยคุยกับพี่แดนอยู่สองสามครั้ง สัมผัสได้ว่าพี่เขาอยู่คนละโลกกับกูเลยอะ หน้าตาก็ดี นิสัยยังสุภาพอีก พูดกับรุ่นน้องนี่ครับๆตลอด แถมยังชอบยิ้มพร่ำเพรื่อ จนกูคิดว่าบางที่พี่เขาขากรรไกรค้างเปล่าวะ แบบยิ้มเกินแล้วหุบไม่ลงไรงี้

“เออ ไอ้มุ่ย”

“ว่า”

“ช่วงนี้มึงได้คุยกับพี่น้ำตาลบ้างปะวะ” ได้ยินไอ้เจ๋งถามแล้วกูถึงกับต้องร้องเพลงนี้เลย

“เฮ้อ อ้ายเฮ็ดทุกวิถีทาง~ อยากได้นางเป็นเมีย แต่สุดท้ายก็เสีย~ ให้เขาไป” ไม่เคยจะตอบกลับกูเกินสามประโยคเลย แม่งเอ้ย นี่กูคุยกับต้นไม้รึเปล่า?

“หึๆ สมน้ำหน้ามึง อยากเด็ดดอกฟ้าก็ต้องทำใจ”

“กูหล่อไม่พอเหรอวะไอ้เจ๋ง? ไอ้แก๊ป?” ผมชี้หน้าตัวเองแล้วถามพวกมัน

“คนหล่อกว่ามึงเขาก็ไม่เอาปะวะ จีบไปเรื่อยๆดิ”

“กูถาม มึงชอบพี่เขาจริงปะเหอะ”

“ชอบ อยากได้มาเป็นแบบมากเลย มึงก็รู้ว่าเขาดูดีแค่ไหน”

“คนละชอบเลยยยย ไอ้มุ่ยเอ้ย~” แก๊ปผลักหัวผมไปอีกทาง อะไรวะ? ไอ้บีมก็ถามผมอย่างนี้ จำได้ไหมครับ

“มันมีหลายชอบเหรอ ไอ้บีมก็เคยถามกู”

“ไอ้ควายน้อย~ มันมีทั้งชอบแบบเพื่อน ชอบแบบรัก ชอบแบบถูกใจอยากได้ มึงอะโง่เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ” ไอ้เจ๋งอธิบายให้ผมฟัง

“กูเข้าใจ แต่กูไม่เข้าใจว่าแยกทำไมในเมื่อสุดท้ายแล้ว...ชอบก็คือชอบ”

“รำคาญ! ไม่คุยกับมึงแล้วสัดมุ่ย” ไอ้เจ๋งทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผม แล้วกระเถิบตัวเองไปกระแซะไอ้แก๊ปแทน แม่งนี่ชอบทำตัวอ้อนมืออ้อนตีนโดยเฉพาะกับไอ้แก๊ป เห็นแล้วขำ คิดภาพคนนึงทำตัวงุ้งงิ้งๆกอดแขนกอดขาอีกคนก็ทำหน้าเหมือนไม่สนโลก ฮ่าๆ

เพื่อนผมคนนี้มันคุยยากครับ บางวันผีบ้า บางวันนิ่งเงียบนั่งเหม่อจนกูนึกว่าคุยกับแม่ซื้ออยู่ แต่รวมๆแล้ว เห้ย เป็นเพื่อนกันได้ว่ะ

“เออ ทำไมมึงไม่เข้าทางพี่บีมวะ มึงสนิทกับเขาหนิ” แหนะ วกกับมาที่ไอ้บีมได้ไง

“สนิทเชี่ยไร” ผมมุ่ยหน้าทันที หลังจากไอ้เจ๋งถาม

“ก็ที่พี่เขาแท็กหาในไอจีอะ แล้วกูเห็นนะมียืมซงยืมเสื้อ แอะ”

“แอะโพ่งง” ผมปาเยลลี่ที่กำลังจะหยิบเข้าปากใส่หน้าไอ้เจ๋งทันที แม่งเสือกอ้าปากรับทันอีก รำคาญ!

“เอ้า เขาดูอยากสนิทกับมึงนะ”

“มันกวนตีน” คิดแล้วยังนอยด์แม่งไม่หาย หลังจากวันนั้นทั้งเพื่อนสาขาเพื่อนคณะแม่งทักผมเป็นว่าเล่นว่าคืนเสื้อไอ้บีมรึยังๆ ผมยังเห็นพวกผู้หญิงหัวเราะคิกคักแล้วเดินมาบอกว่าชิบผมกับมันอยู่นะ สู้ๆ ชิบ? ชิบคืออะไร?

 

ชิบหาย?

 

“ตอนแรกกูคิดว่าพี่เขาหยิ่งตามประสาคนหน้าตาดี แต่จากที่ฟังมึงเล่ากับที่เห็นมาพี่แม่งก็ไม่ได้เลวร้ายนี่หว่า”

“เหอะ”

“กูพูดจริ้ง มึงอคติกับพี่มัน สัดโม่ยยยย”

“โอโห...เลิกเป็นเพื่อนกับกูเลยปะล่ะ เข้าข้างมันเลยนะ ไปคบกับมันแทนกูได้!”

“โอ๋เอ๋ น้องโม่ยยยย ไม่โกรธน้า งุงิครุคริ” ไอ้เจ๋งทำหน้าหมาหงอยบวกกับเสียงที่ดัดเป็นเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ จนผมหัวเราะกับความกวนตีนของมัน

“ไอ้สัด!” ผมหยิบซองขนมปาใส่ไอ้เจ๋งรัวๆ

“เบาหน่อย พวกพี่เขาหันมามองแล้ว”

“เชี่ยมุ่ย! นี่มันรองเท้า...มึงปารองเท้าใส่กูอ่อ ได้ๆ” นาทีนี้ผมหยิบจับอะไรข้างตัวได้ก็เอามาปาใส่ไอ้เจ๋งหมด

ถุย! ใบไม้เข้าปาก แม่งมันปาใบไม้ใส่ผม!

“เชี่ยพวกมึง-” ไอ้แก๊ปเอาเท้าสะกิดต้นขาผมรัวๆ พอผมหันกลับไปกำลังจะด่าว่าสะกิดหาหอกอะไร ก็เจอกับเจ้าพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า

“เล่นไรกันครับน้องๆ หืม?”

เชี่ยพี่แดนเดินมาตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนวะ?

“เออะ...” ทั้งผมทั้งไอ้เจ๋งหยุดกึกทันทีเมื่อเห็นพี่แดนเดินมานั่งยองๆอยู่ตรงหน้าพวกผม

“แรงดีกันอย่างนี้สนใจสมัครไหมครับ” พี่แดนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆตามสไตล์พี่เขา

“ไอ้มุ่ยมันเริ่ม!”

อ้าวไอ้เพื่อนเวร

“เชี่ยเจ๋ง-”

“ไม่ทะเลาะกันนะเด็กๆ” พอผมกำลังจะอ้าปากเถียงพี่แดนก็ยกมือห้ามขึ้นก่อน

“ผมลงวิ่งนะพี่” ไอ้แก๊ปพูดขึ้นหน้าตาเฉย มือก็พลางล้วงขนมในห่อกินไปด้วย

“โอเค แยม! ทางนี้มีน้องจะลงวิ่ง” พี่แดนตะโกนเรียกพร้อมกวักมือเรียกรุ่นพี่ซักคนให้มาทางนี้ เชี่ยแล้ว...

“แก๊ป...กูไม่เอาซักอย่างนะเว้ย...” ผมรีบกระเถิบประชิดตัวไอ้แก๊ปแล้วกระซิบบอก มันค่อนข้างสนิทกับพวกรุ่นพี่ครับ อย่างพี่แดนนี่ผมก็เห็นมันคุยด้วยบ่อยๆ ยังไงผมก็ไม่เอาซักอย่างอะ

“กูด้วย...เห้ย...แต่กูอยู่โฟโต้นี่หว่า...เห้ยพี่! ผมเป็นช่างภาพ!”

“แล้วน้องมุ่ย...” พี่แดนหันมาพูดกับผม

ชิบหาย...

ผมเหล่ตาไปทางไอ้เจ๋งพลางขยิบส่งซิกให้มัน กูอยู่ด้วย...กูอยู่ด้วย...

“มันก็อยู่ครับพี่ เนี่ย รุ่นพี่ให้พวกผมไว้ตามถ่ายในงานแล้วอะ เสียด้ายเสียดายเนอะ...แหะๆ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเร็วๆตามนั้น

“งั้นก็...โอเค พวกเรากลับกันได้เลยครับ”

ดีครับ!

“น้องมุ่ยครับ! เดี๋ยวก่อน” ขณะที่ผมกับเดอะแก๊งเก็บของกันและเตรียมจะเดินออก พี่แดนก็เรียกผมไว้

“ครับ?”

“เรื่องทริป...ไว้เจอกันนะครับ” พี่แดนพูดแค่นั้น แล้วก็หมุนตัวเดินกลับไปที่เดิม แต่กูเนี่ย...งง ทริปไรแว๊

“พี่เขาพูดไรวะ?”

“เออ กูลืมบอก เจ้จิ้บแกชวนไปทริปถ่ายรูปอะ”

“แล้วเกี่ยวไรกับพี่แดนกับไอ้มุ่ย” ไอ้แก๊ปถาม เออๆเนี่ย กูงงตรงนี้เลย

“ก็ที่ๆจะไป มันอยู่แถวบ้านพี่แดนเขา บนดอยอะ แล้วเจ้แกก็ชวนกูแล้วฝากชวนพวกมึงด้วยไง ไปปะ?”

“ตอนนี้กูไม่อยาก”

“งั้นเดี๋ยวกูชวนใหม่ ไปๆกลับหอเว้ย!” ไอ้เจ๋งโบกมือไล่ พวกเราเดินแยกกันออกมา ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ แถมมิดเทอมก็ใกล้เข้ามาด้วย วิชามอผมยังไม่ได้แตะเลยครับ คิดแล้วเศร้า เฮ้อ

                .

                .

                .

“มึงว่าพี่แดน...”

“เออ ตั้งนานละ...เหี้ยมุ่ยไม่รู้อะไรหร้อกกก รำคาญ”

“หึ สมเป็นไอ้น้องโม่ยจริงๆ”

                .

                .

                .

           



[ร้านเฮียตั้ม]

     

~ถ้าเธอต้องเลือกระหว่างเขาและฉัน ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอไม่ต้องเลือกฉันเลย~


“โห สัดน้องมุ่ย แต่งตัวให้เกียรติร้านกูมากเลยครับ!”

“ผมก็มาปะวะเฮีย ไหนธุระที่คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้ จนนี่ต้องขี่รถกลางค่ำกลางคืนที่แสนจะอันตรายเพื่อมาหาเฮียที่นี่?”

“เหมือนมึงประชด...ไม่เป็นไร! แดกเหล้ากัน! มานั่งกับกูก่อนๆ”

ผมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มซึ่งควรจะเป็นเวลานอนของผม ขณะที่ผมกำลังล้มตัวนอน จู่ๆเฮียตั้มก็โทรเรียกให้ไปหา บอกว่ามีธุระด่วนให้มาหาที่ร้านแก ผมก็เลยออกมาทั้งอย่างนั้น เสื้อบอล กางเกงบอล รองเท้าแตะ คุมโทนสัด

ร้านเฮียตั้มไม่ใช่ร้านเหล้าจ๋า จะออกแนวนั่งฟังเพลงชิวๆมากกว่า ร้านเฮียแกเป็นโทนอุ่น มองเข้ามาแล้วดูไม่อึดอัด ความสะอาดก็อยู่ในระดับดีเยี่ยม แยกโซนสูบบุหรี่ชัดเจน เป็นแหล่งสิงสถิตชั้นดีของชาวเรา แถมนักร้องที่เฮียแกคัดมานั้นไม่เคยทำให้ผิดหวัง เสียงเพราะๆทั้งนั้น

“มาๆ นั่งๆ”

เฮียตั้มลากผมมาที่โต๊ะนึง นั่งกันอยู่ประมาณสามสี่คน เฮียกระตุกแขนให้ผมนั่งลงตรงที่ว่าง มีแต่คนที่ผมไม่รู้จัก เฮียต้องการอะไรจากกูเนี่ย เออ แต่ว่าวันนี้ที่ร้านเฮียแกคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะ สงสัยใกล้เจ๊งละ ก๊ากๆ

“อ้าวน้อง!”

หือ?

“จำพี่ได้ปะเรา เพื่อนน้ำตาลกับไอ้บีมอะ” มีผู้ชายคนนึงในโต๊ะทักผม ใคร? มึงใครเนี่ย?

“ตกลงเฮียจะคุยไร” ผมไม่สนใจ แล้วหันไปคุยกับเฮียตั้มแทน

“แง๊ น้องไม่คุยด้วยอ้ะ”

“หน้าอย่างมึงนี่น้องเขาต้องจำด้วยเรอะ ฮ่าๆ”

พูดถูกใจ เอาไปห้าบาท

“พวกมึง! นี่น้องสนิทกูชื่อฟ้ามุ่ยเป็นน้องของรุ่นพี่กู เรียนสินกำปี 1”

“โอ้วว หวัดดีครับน้องฟ้ามุ่ย!”

“เฮีย สรุปจะคุยไรวะ”

“น้องไม่ตอบกูอีกแล้ววววววว”

“คืองี้ เฮียอยาก...เอ้า! ไอ้บีม น้องตาล!”

เสียงทักของเฮียทำให้ผมหันกลับไปมอง คือ...กูจะได้ฟังธุระของเฮียมันไหมวะ ผมเห็นชายหญิงคู่นึงกำลังเดินมาที่โต๊ะที่นั่งอยู่ เหยยย นั่นไอ้บีม ส่วนนั่น...น้ำตาล!


ไอ้เหี้ย!


ไอ้เหี้ยยย!


(ต่อข้างล่างค่า)
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 8 (UP) 09/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 08-10-2018 23:58:56
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


“เฮีย ผมไปห้องน้ำแป้ป”

ผมผุดลุกขึ้นทันทีเตรียมเดินออกไปจากตรงนี้ ตอนอยากเจอเขาก็ไม่ได้เจอ ดันมาเจอตอนกูสภาพนี้ โอโห น้ำตากูจะไหล เดอะฟ้าคคคคค

“อย่าเพิ่ง! นี่สายเฮียเองมุ่ย เดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก”

“กูรู้แล้วเฮีย..กูรู้แล้ว” ผมยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูเฮีย แต่ไอ้เฮียเสือกไม่ได้ยินเสียงกู  ฟัค! สภาพกูตอนนี้โคตรจะไม่พร้อม ม่ายยยย

“มึงว่าไงนะ!? กูไม่ได้ยิน! ช่างเหอะๆ นี่! คนนี้ชื่อบีมสายรหัสกู...มึงจะหมุนตัวไปไหนเล่า...หันมาก่อน! ส่วนคนนี้ชื่อน้ำตาล คนสวยของพวกเรา ฮิ้ววววว”


ฮิ้วโพ่งงงงง


“อ้าว! น้องมุ่ย ไม่ได้เจอกันนานเลยเลยนะคะ”

ผมต้องหันกลับไปหาเธออย่างเสียไม่ได้ อื้อหือ...ขะ...ขาสวยโคตร

น้ำตาลในชุดเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งลายกราฟฟิคทับด้วยกระโปรงสอบหนังสั้นสีดำเลยเข่าทำเอาผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก ไอ้เหี้ย...ดาเมจแรงมากกูไม่ไหว

“ขอนั่งด้วยคนนะ” น้ำตาลก้มหน้าลงมาพูดกับผมด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของเธอ ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก


ใกล้...ใกล้มาก...


พอน้ำตาลนั่งลงทำให้กระโปรงเลิกขึ้นมานิดหน่อย น้ำตาลยกขาขึ้นไขว่ห้าง ทำเอาผมแทบจะหยุดหายใจ


เซ็กซี่มาก เอื้อ...


คุณพ่อคุณแม่ครับ...มุ่ยไม่โอเคเลย...ยังงี้มุ่ยไม่เค..


“มานานแล้วเหรอคะ”

“...”

“น้องไม่คุยด้วยอะพวกมึง” น้ำตาลหันไปพูดกับเพื่อนเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบเธอ สับขาอีกแล้ว โอ๊ยใจกู

“ไอ้ตาลลลล ใส่สั้นขนาดนั้นแม่มึงไม่ว่าเหรอว้าาา”

“นี่เรียกสั้นเหรอวะ” น้ำตาลถามกลับไปพลางยกรอยยิ้มกวนๆ ฮือออ สวยชิบหาย ไอ้ฝัดเอ้ยยยย

“เอาว่ะ เจ้ตาลแม่งงงงงงงงง มาๆกูชงให้”

ผมที่ทำอะไรไม่ได้เพราะมัวแต่เมาขาน้ำตาลอยู่ เลยหยิบแก้วเหล้าของใครไม่รู้กระดกเข้าปากแก้เขิน ได้แต่มองเธอกับเพื่อนคุยกันอย่างสนุกสนาน สวยจังครับที่รัก ไม่โอนโยนกับกูเลย

               
จึกๆ


แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง ก็เจอกับ!


ไอ้บีม


เฮ้อ


“เบื่อหน้ามึงว่ะ” ผมกลอกตาไปมาอย่างหงุดหงิด จะหันไปชวนน้ำตาลคุยก็ไม่กล้า อีกข้างก็เป็นบีมที่นั่งอยู่ โว้ยยยย แดกเหล้าแม่ง!

“เอ้า เบื่อกูเฉย นี่พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ไอ้บีมยกมือเท้าคางกับเข่าแล้วจ้องมาที่ผม

“ไปนั่งที่อื่นไป๊” ผมดันไหล่ให้มันบยับห่างออกไป แต่ก็เหมือนผลักกำแพง ไม่เขยื้อนไปไหน แถมยังหน้าเปื้อนยิ้มไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“อยากนั่งด้วยได้ปะ”

“นี่...ขอกูมีโมเมนต์กับน้ำตาลซักนิดได้มั้ย กูนั่งข้างเขากูก็อยากจะคุยกับเขาอะ มึงก็เห็นใจกูหน่อยเห๊อะ!” กูขอเอาดื้อๆอย่างนี้แหละ

“หึๆ ฮ่าๆ” จู่ๆไอ้บีมก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังขึ้นมาหน้าตาเฉย อะไร? หัวเราะกู?

“เห้ย...คุยไรกันอะ”

“กูเห็นคุยงุ้งงิ้งๆกันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน้าาา”

“ตั้งแต่ในไอจีละ ฮั่นแหนะ!”

               
แหน่ะโพ่งง...


“พวกมึงก็แซวน้อง แกอย่าแกล้งน้องดิบีม น้องตกใจหมดแล้ว” น้ำตาลแก้ต่างให้ผม แต่ก็หัวเราะผสมโรงกับเพื่อนไปด้วย ยิ้มหวานจัง...

“น้ำตาล เอ่อ...สบายดีไหม” ถามอะไรของกูวะเนี่ย...

“หือ สบายดีสิ แต่ช่วงนี้ก็ยุ่งๆหน่อย จะมิดเทอมก็งี้แหละเนอะ”

“อื้ม...” ผมก้มหน้าลงเอานิ้วตัวเองเขี่ยกันไปมา ไม่รู้จะถามอะไร...

“แล้ววันนี้เพื่อนไม่มาด้วยเหรอ”

“เปล่าหรอก พอดีมีธุระกับเฮียตั้มนิดหน่อยน่ะ” ชิบหาย เฮียตั้มหายไปไหนแล้ววะ เฮียจะปล่อยกูเดียวดายในท้องเลไม่ได้นะโว้ยยย

ผมพยายามมองหาเฮีย ก็เห็นว่ามันเดินไปคุยกับอะไรซักอย่างกับนักร้องบนเวที เฮียแม่งทิ้งกู!!

“เหรอ...งั้นอยู่นั่งด้วยกันก่อนไหม เดี๋ยวแนะนำเพื่อนให้รู้จัก”


ไม่ๆเราไม่อยากรู้จักใครนอกจากเธอ


“เอ่อ..คือ-” ยังไม่ทันจะเอ่ยห้าม น้ำตาลก็เรียกให้เพื่อนหันมาสนใจก่อนจะแนะนำตัวให้ผมรู้จักทีละคน

“หัวเทานี่ชื่อก้าน ตาตี่ๆชื่อนิว ส่วนไอ้นิ่งๆนี่กำปั้น ส่วนบีม ก็รู้จักแล้วเนอะ”

“กูจะไม่ทักน้องแล้ว กูงอน!” คนชื่อนิวตีหน้ายุ่งกอดอกพลางสะบัดหน้าไปอีกทาง เออ กูก็ไม่ได้อยากคุยกับมึงหรอก

“ไม่มีใครอยากคุยกับมึงอยู่แล้ว”

“เชี่ยปั้น...นี่กูเพื่อนมึงไง”

“ฮ่าๆ”

ผมได้แต่นั่งมองความสวยของน้ำตาลอย่างไม่รู้จะพูดอะไร มือก็กระดกแก้วเหล้าเข้าปากเอาๆ เหล้านี่ก็เข้มชิบ ชงงี้ให้กูแดกเพียวๆเลยดีกว่า สัดเอ้ย

คนอะไรจะนั่งยืนเดินก็สวยทุกมุมทุกองศา แล้วพอได้มาเจอกันผมก็ไม่รู้จะชวนเธอคุยยังไงอีก ทุกคนเป็นไหมครับเวลาอยู่ใกล้กับคนที่ชอบแล้วเราจะแดกจุดพูดไม่ออก


แม่ง ไม่กล้าว่ะ


เขินขนาด...ฮึ่ย


นั่งมองใบหน้าด้านข้างของน้ำตาลไปซักพักใหญ่ ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี พอหันหน้ามาอีกทางก็เจอกับไอ้บีมจ้องผมอยู่ หมดอารมณ์เลยกู


โค๊ะ!


“ยิ้มไร” ผมถามมัน เชี่ยแม่ง...ทำไมร้านเฮียแม่งมันหมุนๆวะ

“มึงตลกดี กูชอบในความพยายามที่จะจีบน้ำตาลของมึง”

“กูเท่มากสินะ..” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ะ

“ปัญญาอ่อนชิบเป๋ง” อ้าว!

“รำคาญมึงอะบีม ถามจริงมึงชอบกูปะเนี่ย วอแวกูจัง”

“แล้วชอบได้ปะ”

“ไม่ให้”

“ทำไมล่ะ”

“มึงจะชอบต่อไม่ได้ มันคือรักสามเศร้า”

“หะ?”

“คือกูชอบน้ำตาลแล้วมึงก็ชอบกูแล้วน้ำตาลชอบมึง เนี่ยสามเศร้าเลย!”

“นี่มึงเมาเหรอน้องมุ่ย”


มึงพูดอะไรบีม! ใครเมา! บ่ามี!


“แต่ชีวิตมันก็งี้แหละ” ผมเอื้อมมือไปคล้องคอบีมแล้วตบบ่าอย่างเห็นใจ “มึงต้องเรียนรู้ที่จะอกหักเว้ย อกหักดีกว่ารักไม่เป็นไง!”

               
ทำไมภาพมันดูช้าๆวะ สโล้วสโลว โว้ๆเย้ๆ

                .

                .

                .


“บ่าได้เมา! ไผเมา! บ่ามี!”

“โลกมันดีเลย์ หันก่อ?”

บีมมองไปยังไอ้เด็กน้อยที่กำลังเมาได้ที่ มือข้างนึงยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกๆเอา อีกข้างก็จับแขนเสื้อบีมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หน้าเน่อแดงไปหมดแล้ว

“น้ำตาล! เปิ้นจะอู้กับตั๋วตรงนี้เลย!” จู่ๆมุ่ยก็คว้าแขนน้ำตาลให้หันมาหาตัวเองจนทุกคนบนโต๊ะตกใจ

“เปิ้นหนา...ฮักเมาตั๋วมาเมินขนาด อึ่ก เปิ้นตั้กหาตั๋วตลอดเลย ตั๋วกะบ่าเกยตอบกลับซักเตื้อ...”

“อะ...”

“แชทเฟสมันบ่าขึ้นหรือตั๋วบ่าสนใจ๋...อึก”

“...”

“แม่นแล้วก๊า เปิ้นมันบ่าสำคัญ ไค่ถ่ายรูปตั๋วก่บ่าไค่โตย เปิ้นต้องมาถ่ายบีม! แม่งมันนะ...หล่อขนาด!” คนตัวเล็กกระแทกแก้วเหล้าลงกับโต๊ะดังปึ่ก หันมองบีมทีมองน้ำตาลที

“คือ...”

“ตั๋วจะยะใด ตั๋วอู้มาเลย...อึ่ก” ไม่พูดเปล่า ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกรอบ จนถึงกับสะอึกออกมา

“เอ่อคือ...”

“เปิ้นฮู้ว่าตั๋วฮักบีม! แต่เปิ้น...เปิ้นไค่ได้น้อง...เปิ้นไค่ได้น้อง...เปิ้นไค่ได้น้องก๊า!” คราวนี้เจ้าตัวหมุนตัวเผชิญหน้ากับน้ำตาลตรงๆ ข้างหลังก็มีบีมนั่งซ้อนอยู่

ทุกคนบนโต๊ะมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก กว่าจะจับใจความที่ฟ้ามุ่ยพูดออกมาได้ มีแค่บีมคนเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ได้แปลกใจ กลับกันยังนั่งเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง

“พี่ว่า...น้องมุ่ยเมามาก เมามากๆเลย ยังไง...ใจเย็นก่อนนะคะ ค่อยพูดค่อยจากัน” น้ำตาลหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อมุ่ยเสียงดังขึ้นจนโต๊ะรอบข้างมองมา

“ฮึก...”

“บีม! มึงดูน้องหน่อย น้องเมามากแล้วเนี่ย” น้ำตาลชะโงกหน้าเพื่อจะคุยกับบีมที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังฟ้ามุ่ย เธอไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงกับคำสารภาพรักที่โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วดูน้องมันตอนนี้สิ นั่งโงนเงนจะล้มแหล่มิลมแหล่ ตาปรือๆคู่นั้นก็ยังจ้องมาที่เธออย่างต้องการคำตอบ เสียงสะอึกเบาๆ ที่แทรกขึ้นมานั่นอีก ความรู้สึกไม่ได้สับสนกับการที่น้องมาบอกรักแล้ว ตอนนี้น้ำตาลพูดได้คำเดียวว่าเอ็นดูน้องมากค่ะ!

“เชี่ย...น้องแม่งพูดเหนือแล้วน่าเอ็นดูว่ะ โอ้ยยยน่าร้ากกกก” นิวที่เพิ่งหายจากอาการตะลึงพูดออกมาอย่างมันเขี้ยว

“น้องมันสารภาพรัก จะเอายังไงอะตาล” บีมจับไหล่ฟ้ามุ่ยไว้ไม่ให้ล้มลงแล้วเอนตัวโผล่หน้าตรงแถวบริเวณไหล่ของน้องพลางถามน้ำตาลด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“อย่ามากวนตีนไอ้บีม” น้ำตาลชี้หน้าไปทางบีมอย่างเคืองๆ เธอพอรับรู้ได้ว่าทั้งสองคนไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ แล้วเหมือนดูจะหนักขึ้นกว่าเดิมด้วยหลังจากที่เธอผิดนัดในครั้งนั้นจนต้องวานให้บีมไปแทน

“กูยังไม่ได้ทำไรเล้ย! มุ่ยมันก็เมาของมันเอง” บีมยักไหล่ขึ้นอย่างเสียไม่ได้ คำพูดที่ออกมาดูเหมือนจะไม่สนใจ...ใช่ถ้าคนอื่นมองมาล่ะนะ แต่กับเพื่อนโต๊ะนี้รู้โดยทันทีว่าไม่ใช่แบบนั้น

แค่แววตาเป็นประกายเหมือนนึกสนุก กับรอยยิ้มชั่วๆที่เพื่อนกันเท่านั้นถึงจะดูออก ก็เดาได้เลยว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ

“เหอๆ กูว่าพาน้องมันไปส่งบ้านเถอะ ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว” ก้านพูดพลางพยักเพยิดไปทางฟ้ามุ่ย

“เดี๋ยวกูพากลับเอง”

“มึงรู้จักบ้านน้องเขาเหรอบีม”

“กูไม่ได้พามันกลับบ้าน”

“อ้าว แล้วมึง...”

“เด็กๆ! เป็นไงกันบ้าง...นั่น ไอ้มุ่ยมันเมาเหรอวะ” เสียงเฮียตั้มแทรกเข้ามา พร้อมกับตัวเจ้าของที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี

“ใช่ ผมว่าจะพาน้องมันกลับ”

“เฮ้ย ไม่ต้องหรอกๆ ให้มันนอนที่ร้านเฮียเอา”

“ได้เหรอเฮีย น้องมันอยู่คนเดียวนะ” ก้านทักขึ้นมา เพราะเห็นว่าการจะให้น้องมันนอนเรื้อนอยู่ที่ร้านคนเดียวมันไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

“ปกติเวลาแก๊งไอ้เด็กนี่เมาเละกันจนกลับไม่ไหว เฮียก็ให้มันนอนที่ร้านนี่แหละ” เฮียตั้มโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่ในใจแกก็หวั่นๆนิดหน่อย เพราะครั้งนี้มุ่ยไม่ได้อยู่กับแก๊งเพื่อนตัวเอง ยิ่งหน้าตาแบบนี้ก็กลัวจะโดนใครลากไป ตัวเขาเองก็ไม่มีเวลามาดูแลขนาดขั้นด้วย

“ไม่เป็นไรหรอกเฮีย เดี๋ยวผมพาน้องกลับไปนอนที่ห้องผมเอง พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเดี๋ยวผมไปส่ง” บีมกระชับร่างของฟ้ามุ่ยให้ลุกขึ้นพร้อมกัน แต่มีหรือที่น้องมันจะอยู่นิ่งๆ

“น้ำตาล! ตั๋วยังบ่าตอบเปิ้นเลย!” ฟ้ามุ่ยโวยวายทั้งที่ตาจะปิดอยู่รอมร่อ มือไม้ก็ปัดป่ายไปมา จนบีมต้องจับรวบไว้ให้อยู่นิ่ง


กลายเป็นว่าบีมกอดฟ้ามุ่ยจากด้านหลัง


“แหมมม มีกอดดดดดด กูรู้นะมึงคิดอะไรอยู่”

“ก็น้องไง”

“หราาาาาา”

บีมส่ายหัวเล็กน้อย เมื่อเพื่อนทำเหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นี่คงคิดว่าเขาชอบเจ้าเด็กนี่สินะ หึ


ใช่ เขาชอบ


แต่เป็นชอบในฐานะน้องชาย บีมมองว่ามุ่ยเป็นคนตลก คิดอะไรก็พูดอย่างนั้นแสดงออกทางสีหน้าหมด เห็นแล้วเอ็นดูเหมือนน้องนุ่ง ทั้งที่เจ้าตัวก็บอกว่าอายุเท่ากันเพราะซิ่วมา ถึงจะสูงแต่เพราะมันตัวบางมากเลยทำให้ดูตัวเล็กตัวน้อย แล้วยังมาโวยวายเหมือนเด็กแบบนี้อีก

ตัวเขาเองก็มีน้องชายแต่ว่าไม่ได้อยู่ในสถานะน่าเอ็นดูเท่าไหร่ พอเห็นมุ่ยแล้วก็รู้สึกขำทุกครั้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เวลาเจอหน้า ในหัวมันก็จะคิดว่าเด็กนี่จะมาไม้ไหน จะมาเล่นตลกอะไรให้เขาดูอีก

“แต่เฮียว่า...”

“ผมไม่ทำอะไรมันหรอก ที่ห้องน้องผมมันก็อยู่”

“อืม..โอเค แต่ถ้าถึงห้องแล้วก็โทรมาบอกกูด้วยละกัน กูห่วงมัน” ถึงจะบอกว่าไม่ไว้ใจยังไง แต่ก็ดีกว่าให้มุ่ยมันนอนที่นี่คนเดียว

“เค งั้นผมกลับละครับ พวกมึงก็กลับได้แล้ว...” บีมผงกหัวให้เฮียตั้มเป็นเชิงบอกลา เพราะสองมือตอนนี้ต้องคอยจับมุ่ยที่ยืนโงนเงนจวนจะล้มไว้และหันไปบอกกับกลุ่มเพื่อน

“ขับรถดีๆนะมึง” กำปั้นเอ่ย

“เออ ขับรถดีๆล่ะเอ็ง” เฮียตั้มโบกมือ ในหัวก็คิดว่า พรุ่งนี้ไอ้มุ่ยต้องมาฆ่าตัวเองแน่ๆที่ปล่อยให้กลับกับคนที่มันไม่สนิท แต่ก็ยังดีกว่าโดนใครที่เขาไม่รู้จักมาลากไปล่ะวะ

                .

                .

                .

                “กูว่านะ...”

                “เอ้อออ ใช่มะ! คิดเหมือนกู”

                “จึๆ นี่คือสายเนียนที่แท้ทรู”

                .

                .

                .



“ไอ้น้องมุ่ย...ฮึบ เดินเข้าไปดีๆสิวะ”

“น้ำตาล...น้ำตาลมีไหน!?”

“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวจะโดน”

กว่าจะพาคนเมากลับมาห้องได้เขาต้องใช้ความอดทนที่มีมาทั้งหมดกับคนนี้ พอพาขึ้นรถได้ก็ปีนข้ามไปมาเบาะหลังเบาะหน้า ไม่ยอมให้คาดเข็มขัด ปากก็ร้องว่าให้บีม เกรี้ยวกราดว่าจะเอาพวกมารุมตีเลย กว่าเขาจะปรามให้นั่งนิ่งๆยอมให้คาดเข็มขัดได้ก็แทบจะหมดแรง แต่ยังไม่วายเอื้อมมือมาขยุ้มแขนเสื้อเอาไว้ซะแน่น จากที่ตะโกนออกมาเรื่อยๆก็นั่งบ่นพึมพำจับใจความไม่ได้ เขาถึงจะขับรถออกจากร้านมาได้

“ที่ไหนเนี่ย...แล้วมึงเป็นใคร โอ๊ย! เจ็บนะ” บีมพยุงตัวมุ่ยจากหน้าประตูมาจนถึงห้องนั่งเล่นก็ปล่อยเจ้าตัวลงกับโซฟาทันที

“ทำไมโลกมันหมุนๆงี้ กูเมาใช่ไหมวะ อึก” บีมสะบัดแขนข้างที่ประคองมุ่ยมา เมื่อยไม่หยอกเลยจริงๆเห็นตัวบางแค่นี้ เขายืนมองคนเมาที่นั่งพิงพนักโซฟาชูนิ้วสองข้างขึ้นมาคลึงขมับไว้ แต่ดูเหมือนจะยึดแรงเกินไปทำให้ใบหน้านั้นตึงไปหมด ตาคู่นั้นตี่ลงแล้วก็ตวัดขวับหันมามองเขาที่ยืนอยู่ ทำหน้าเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง


อ้าว แล้วแว่นเจ้าเด็กนี่หายไปไหนแล้ว

สงสัยคงตกอยู่บนรถ

เฮ้อ


“นี่ไผ ฮู้ก่อ?” จู่ๆมุ่ยก็ลุกขึ้นทำให้เจ้าตัวเซนิดหน่อย มือสองข้างก็ยังไม่ลดลง พอมั่นใจว่าไม่ล้มแน่ ก็ยื่นหน้าโพล่งถามบีมขึ้น

“ไม่ใช่น้องมุ่ยเหรอ?” บีมยกยิ้มมุมปากอย่างนึกขันในท่าทีนั้น เอ่ยถามอย่างล้อๆ ดูดิ้ จะแผลงฤทธิ์อะไรอีก

“บ่าใจ้! นี่นินจานารูโตะ ชึบๆ ขวับๆ”

“หะ...”

“ฉึบๆ แฮร่! เหมือนมะ!?”

“อุบ! ฮ่าๆ” สุดท้ายเขาก็กลั้นขำไม่อยู่ จนหัวเราะออกมาอีกระลอกจนได้ มุ่ยทำท่าทางเลียนแบบการ์ตูนนินจา มือไม้พันกันจนยุ่ง ตัวก็หมุนไปมา แล้วทำเป็นเก๊กท่าให้เขาดู


เชี่ยเอ้ย!


น้องแม่ง น่าเอ็นดูสัดๆ

               
เมาแล้วล้นกว่าเดิม เล่นใหญ่กว่าเดิม


“พี่ทำไรอยู่วะ แล้วนั่น?”

บีมหันไปตามเสียง ก็พบน้องชายของเขาเปิดประตูห้องออกมา ใบหน้าสงสัยกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า บูคิดว่าตัวเองตาฝาดแน่ๆ เห็นใครก็ไม่รู้ทำท่าจะแปลงร่างยืนอยู่หน้าพี่ชายเขา

“ยังไม่นอนเหรอ”

“มากินน้ำเฉยๆ”

“อืม ไม่มีอะไรหรอก คนเมาน่ะ”

“อ่อ”

บทสนทนาจบลงแค่นั้น บูเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ บีมถอนหายใจนิดหน่อยอย่างอ่อนใจ นับวันเขากับน้องยิ่งพูดคุยกันน้อยลงเรื่อยๆจนเขาไม่รู้จะทำยังไง


บีมนวดขมับตัวเองเบาๆพลางหันกลับมาสนใจกับเจ้าคนเมา อ้าว! หายไปไหน


“กินไร! กินด้วยดิ นี่ใครวะ? รู้จักเปล่า นินจาจอมคาถาอ้ะ!”

“เหี้ย!”

บูแทบจะสำลักน้ำที่ดื่มไปออกมา จู่ๆไอ้คนที่จะแปลงร่างก็มาโผล่ตรงหน้าเขาทันทีที่เขาปิดตู้เย็น แถมยังทำท่าทางพิลึกพิลั่นให้เขาดูอีก

“ไอ้น้องมุ่ย! แม่งเอ้ย...เมาแล้วชอบแปลงร่างเหรอวะ ฮ่าๆ” บูมองพี่ชายเขาเดินมาลากคนบ้าออกไป เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นบีมหัวเราะ


หัวเราะเนี่ยนะ?

พี่แม่งไม่ชอบคนเมาไม่ใช่เหรอ


ครั้งที่แล้วแทบจะถีบพวกพี่นิว เพราะพี่แกไม่ชอบแตะตัวคนที่ดื่มเหล้าเมาๆมา แล้วนี่มัน...


ไอ้การกอดพยุงร่างคืออะไรวะ?

               
“ไม่มีอะไรหรอกบู ไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” บูพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องตัวเองแต่ยังไม่วายหันกลับมามอง ก็เห็นว่าพี่เขายังหัวเราะอยู่เลย

“จะอาบน้ำไหมเรา” บีมพูดกับคนตัวเล็กกว่าเมื่อเห็นว่าเขาทั้งคู่ควรจะนอนกันได้แล้ว

“งืมๆ” ฟ้ามุ่ยที่ดูเหมือนโดนปิดสวิตช์ เจ้าตัวล้มตัวนอนกับโซฟาทันทีที่บีมพยุงเขากลับมา

“ตัวมึงเหม็นเหล้ามากเลยน้องมุ่ย” เขาพูดพลางใช้นิ้วเกลี่ยผมที่ปิดหน้าออกให้น้อง ตัดผมแม่งโคตรเข้ากับหน้า กวนตีนดี

“เนี่ย เดี๋ยวให้นารูโตะมาจัดการ...กระสุน...งี้เล้ย!” ถึงแม้ตาจะหลับ แต่มือไม้ก็ทำท่าปล่อยพลังใส่เขา บีมอดขำไม่ได้

“ไหน ยังไงนะ ขออีกทีดิ้” บีมยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดเข้าแอพพลิเคชันอินสตาแกรมแล้วกดไปที่กล้องถ่ายไอจีสตอรี่ แล้วเริ่มกดอัด


“กระสุน...งี้เลยยย...พุ่งนะ...ฟิ้วๆ ตู้มมมมมม!”

“เหรอๆ แล้วนี่เป็นใครนะ” บีมใช้นิ้วจิ้มไปที่เหม่งของน้อง แต่กลับโดนปัดออกไป

“นินจา! เป็นนินจาาาา โว้ๆ” มีทำมือประสานอินด้วยนะ

“ไอ้น้องมุ่ย เด็กตลกเอ้ยย ฮ่าๆ” เวลาอัดวิดีโอหมดพอดี เขากดแชร์เรื่องราวออกไป มองที่น้องอีกทีก็เห็นว่าหลับไปแล้ว เขาปัดปอยผมบางส่วนบนใบหน้าไปทัดไว้หูอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงไปพิจารณาหน้าคนเมาอีกครั้ง


เวลาหลับนี่...ก็ยังดูกวนตีนเหมือนเดิม ฮ่าๆ


แต่หน้าใสชะมัด...


บีมดีดหน้าผากมุ่ยเบาๆอย่างมันเขี้ยว ให้มันได้อย่างนี้สิ แล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่าพรุ่งนี้เขาต้องมารับมือกับมุ่ยเวอร์ชันแฮงค์หนักมาก ไม่อยากจะคิดสภาพเลยกู

               
หึ!

               
แต่ตอนนี้ก็...

               
ฝันดีนะครับ ไอ้น้องมุ่ย









************************************************************************************

ตอนนี้เราชอบที่พี่บีมแทนมุ่ยว่าน้องมากเลย เอ็นดู~

มาอัพให้แล้วจ้าาาา ตอนนี้จะยาวหน่อยนะคะ ภาษาเหนือของเราอาจจะมีแปร่งๆเพี้ยนๆไปบ้างก็ต้องขออภัยจริงๆ เราค่อนข้างจะคลุกคลีอยู่กับภาษาเหนือมาบ้าง แต่ก็พูดไม่เป็นเลยอาศัยถามเพื่อนเอา ต้องขออภัยจริงๆนะคะถ้าบางคำอ่านแล้วมันขัดหู แฮ่ๆ

เราไม่ค่อยมั่นใจกับการเขียนในมุมมองของบุคคลที่สามเท่าไหร่แต่จะพยายามให้เต็มที่ค่ะ ฮึบๆ ขอให้ทุกคนอ่านอย่างมีความสุขไปกับพี่บีมน้องมุ่ยนะคะ ไม่เครียดค่ะไม่เครียด5555

เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ช่วงนี้เรามิดเทอมหนักมาก ขอหายไปซักแป้ปนึงเดี๋ยวจะกลับมาตอบนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุดยอดวิวยอดอ่าน ขอบคุณมากๆจริงๆ ไว้เจอกันค่าาาา ฮี่~
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 9 (UP) 17/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 17-11-2018 03:02:30
ตอนที่ 9
ไม่เจ็บแล้วนะ




“เขายังไม่ตื่นอีกเหรอ”

“ปล่อยนอนไปเถอะ”

“อืม”

เสียงคนคุยกันดังแทรกเข้ามาในหูผม ใครแม่งมางุ้งงิ้งๆ แต่เช้า คนจะนอนโว้ย


อื้อ~


ผมพลิกตัวไปอีกฝั่งอย่างรำคาญ เอ้า! ทำไมเตียงผมมันแคบๆ เอามือปัดป่ายไปมา หมอนข้างก็ไม่มีด้วย ใครเอาหมอนกูไปวะ

“เหมือนจะตื่นแล้ว ทำไมไม่ลืมตาวะ”

“หมอนข้าง...” ผมอ้าแขนกระดิกนิ้วเรียกหมอนข้างแต่ก็ยังไม่ลืมตา มืออีกข้างก็ยกขึ้นเกาพุง เสียงคุยกันเมื่อกี้น่าจะเป็นพวกไอ้เจ๋ง มากันทำเชี่ยไรแต่เช้าวะฮึ

“อะไรนะ”

“เชี่ยเจ๋ง...หมอนข้างกู...” ผมเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อหมอนข้างไม่มาหาซักที แต่ผมก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตา

“นี่ไม่ใช่ แล้ว...หมอนข้างก็ไม่มีด้วย”

ไม่มีด๋อยอะไร ห้องกูมีตั้งสองอัน โมโหแล้วนะโว้ย!

“หมอนข้าง! เอาหมอนข้า-”

“อือ ไม่มี”


“อะ...” พอลืมตาลุกขึ้นนั่งเตรียมโวยวายใส่ไอ้เพื่อนเวรแล้งน้ำใจ แต่กลับกลายเป็นหน้าใครไม่รู้โผล่เข้ามาในระยะสายตาพอดี เหี้ย! ใครวะน่ะ!

ผมสะบัดหัวอย่างแรงไล่ความมึนออก สายตามองไปรอบๆ ห้องด้วยความมึนหัวอยู่นิดหน่อย


ห่า หรูขนาดนี้ไม่ใช่ห้องกูแล้ว


พอก้มมองก็เห็นว่าตัวเองกำลังนอนบนโซฟาโดยมีไอ้คนเมื่อกี้มันนั่งกับพื้นกำลังกินอะไรซักอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกทรงเตี้ย


ห้องกูไม่มีแบบนี้...


“พี่บีม เพื่อนพี่ตื่นแล้ว” คนตรงหน้าที่นั่งพิงโซฟาตัวเดียวกับที่ผมนอนอยู่เลิกคิ้วมองผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตะโกนบอกใครซักคน

“อะ...” ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างอย่างไม่เข้าใจ เชี่ย...


กูอยู่ที่ไหนวะเนี่ย!


ฉิบหายแล้วไอ้มุ่ย...


“มึง...มึงใครอะ...” ผมยื่นนิ้วไปสะกิดไหล่ มันก็หันมามองผมหน้านิ่งแล้วตอบคำถาม

“น้องคนที่พาพี่มานั่นแหละ ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำดิ” พูดแค่นั้นมันก็หันตัวกลับไปดูทีวีต่อ

“ตื่นแล้วเหรอน้องมุ่ย” ผมหันขวับไปตามเสียงก็เห็นร่างสูงของผู้ชายที่ผมเกลียดขี้หน้ามากที่สุดกำลังเดินยิ้มร่ามาทางนี้ มือข้างหนึ่งก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเปียกๆ ของตัวเอง

“บีม...” ผมพึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ คือ...เดี๋ยวก่อนนะ ขอกูตั้งสติ เมื่อคืนกูไปหาเฮียที่ร้าน น้ำตาลมา บีมมา กูแดกเหล้า แดกอีก แดกเยอะอีก ละ...แล้วกูเมา


กูเมาแล้ว...แล้ว...


“ไปอาบน้ำไปมึงอะ ตัวมีแต่กลิ่นเหล้า”

“กูอยู่นี่ หอมึงเหรอวะ...”

“เมื่อคืนมึงเมามากน้องมุ่ย เรื้อนอีกนิดกูทิ้งไว้ข้างถังขยะหน้าปากซอยละ”

“อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!” ผมตะโกนออกมาอย่างรับไม่ได้ ไอ้เหี้ยเอ้ยยยยย

“หูจะแตก” ไอ้เด็กข้างตัวยกมือขึ้นอุดหูไว้แล้วทำหน้าเนือยส่งมาให้ผม ไอ้เด็กนี่แม่งก็ไม่สนสี่สนแปดใดๆ เอาแต่นั่งจ้องการ์ตูนในทีวีอยู่นั่นแหละ มึงไม่เข้าใจกู...

“นี่กูเมา...” ผมยกมือขึ้นทั้งขยี้ทั้งดึงทึ้งผมตัวเองให้หายเบลอ แล้วหันหน้าไปถามบีม

“ตกใจที่กูพามาเหรอ กูว่าแล้วว่าแม่งต้อง-”

“นี่กูเมาต่อหน้าน้ำตาลเหร้ออออออออออออ” ผมตวัดผมห่มขึ้นมาคลุมตัวก้มลงมุดโซฟา นี่กูเมาต่อหน้าน้ำตาล! ต่อหน้าสาวที่ชอบ! เวรเอ้ยยย เวลาผมเมามันจะมีหลายเลเวล ถ้ากรึ่มๆ ผมจะง่วงแต่ยังคุยได้ปกติ ถ้าช่วงกลางๆ ผมจะง่วงมาก แต่ถ้าหนักสุดผมจะเป็นผีบ้า เรื้อนแม่งสุด ตอนดื่มกับเดอะแก๊งกาก ตอนนั้นฉลองอะไรผมจำไม่ได้ รู้แค่ว่าเละเหี้ยๆ เดอะแก๊งผมบอกว่าเหมือนเอาร้อยมุ่ยพันมุ่ยมารวมกัน เรื้อนยิ่งกว่าหมา ทำให้ผมไม่ค่อยดื่มหนักอีกเลย กลัวไปทำเหี้ยใส่คนอื่นเขา


แต่เชี่ยเอ้ย...


หมดกัน...


ภาพพจน์ (?) ที่ผมสั่งสมมา...


ไม่เหลือแล้ว ฮรอลลลลลลลลลลลล


“หะ เดี๋ยวนะ มึงไม่ได้กังวลเรื่องกูพามาห้องงั้นเหรอน้องมุ่ย” ผมลุกขึ้นนั่งเกาะพนักโซฟาโผล่ออกจากผ้าห่มมาแค่หน้า มองไปที่ไอ้บีมอย่างคาดแค้น

“ทำไม่มึงไม่พากูออกมาเร็วกว่านี้!”

“เอ่อ...ห้ะ?” บีมหยุดเช็ดผมแล้วมองหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจ

มึงไม่เคยเข้าใจอะไรซักอย่างนั่นแหละโว้ยยยยย

“น้ำตาลเห็นกูเมาเลย! มึงเห็นไหม! กูเมาต่อหน้าเขาอะ!” บีมทำหน้างงกว่าเดิมแล้วเดินก้าวเข้ามาหาผม จนตอนนี้จากที่มองหน้าบีมตรงๆ ได้ผมก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเพราะบีมเดินมาหยุดตรงหน้าผมระหว่างเรามีพนักโซฟากั้นไว้

“คือมึง...ไม่โวยวายที่กูพามาห้อง?” บีมถามพลางยื่นมือมาทาบหน้าผากผมครู่หนึ่งแล้วดึงออกไป

“มึงเบี่ยงประเด็นอ๋อ? แล้วกูจะต้องโวยวายเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่กูที่เมาเรื้อนต่อหน้าเขา! โอ้ยยยยยย ไอ้เหี้ยยย ภาพพจน์กูอะบีม!”

“หึๆ”

“เนี่ย ถ้ามึงพากูออกมาเร็วกว่านี้ เรื่องทั้งหมดมันก็จะไม่เลวร้าย บีม! มึงแม่ง!”

“หึๆ ฮ่าๆ !” จู่ๆ บีมก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น มันเย้ยผมอะคุณ คุณดูดิ!

“กูก็คิดว่าน้องมุ่ยจะโมโห ฮ่าๆ ที่พามาห้อง...เด็กบ้าเอ้ย ฮ่าๆ” มึงขำอะไรนักหนาเนี่ย กูแซดอยู่เห็นไหม หือ!

“มึงต้องไปแก้ตัวกับน้ำตาลให้นะบีม บอกเขาว่านั่นไม่ใช่กู” ผมยื่นมือออกมาคว้าชายเสื้อบีมแล้วกระตุกยิกๆ ให้มันฟังผม

“น้ำตาลคงเชื่อหรอกนะ ฮะๆ”

“ผีสิงกู!”


ผลัก!


“โอ๊ย! ผลักหัวกูทำไม” แม่งผลักแรงจนผมเหวอเผลอปล่อยมือที่กำผ้าห่มที่คลุมตัวปิดหน้าไว้เลื่อนหล่นลงไปกองกับพื้น ดีนะผมจับเสื้อมันไว้อยู่เลยไม่ล้มลงไปด้วย

“บอกเขาว่ากูยังเป็นคนดีของเขาเหมือนเดิม” ผมดึงๆ ชายเสื้อให้มันมองลงมาฟังที่ผมพูด มึงต้องบอกเขาให้กูนะเว้ยยยยย

“ดึงให้ขาดเลยไหม หืม?” บีมก้มตัวลงมาวางแขนสองข้างกับพนักโซฟาแล้วโน้มใบหน้าลงมาอยู่เหนือศีรษะผมทำให้ผมต้องแหงนหน้ามองมันอย่างช่วยไม่ได้ แล้วจากที่ดึงเสื้อบีมไว้ผมก็ย้ายมาจับที่แขนเสื้อมันแทน มึงจะท่ายากทำพรือ!

“รับปากเร็ว” ผมกระตุกแขนเสื้อเร่งบีมให้สัญญามา แต่ก็เอาแต่ยิ้มแถมยังยกมือขึ้นมาทาบหน้าผากผมอีกครั้ง ไม่วายใช้นิ้วเขี่ยปอยผมไปมาอีก

“ดีที่ตัวไม่ร้อนนะ”

“รับปาก! พูด!” อย่าลีลาได้ปะวะ รำคาญ!

“แล้วกูได้อะไร” บีมก็ยังไม่หยุดยุ่งกับหน้ากับผมของผม เขี่ยอยู่นั่นแหละห่ามึง ยิ้มชอบใจอีก

“มึงต้องได้ด้วยอ่อออออออ นี่คือการไถ่โทษโว้ย!” ผมแสยะยิ้มอย่างกวนตีนให้บีม ยักคิ้วให้ด้วยสองจึกเลยเอ้า!

“ไอ้น้องมุ่ย”

“รับปากละใช่ปะ ดีมาก มันต้องงี้ดิวะ แล้วมึ- “

“ปากมึงเหม็นมาก เด็กเวร ไปแปรงฟันไป!” มันยันหน้าผากผมอย่างแรงจนผมเสียหลักหงายท้องลงกับโซฟาแล้วกลิ้งตกลงมาที่พื้น แล้วเดินหัวเราะออกไป

“ไอ้เหี้ยบีม!!!! มึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ผมม้วนตัวลุกขึ้นชี้นิ้วไล่หลังมันแต่กลับนึกสรรหาคำด่าไม่ออก


“เชี่ยพี่แม่ง...หล่นมาทับตีนกู”

.

.

.

.

.

[มหาวิทยาลัย]



“แว่นกูหาย”

“...”

“ตกอยู่ที่ห้องไอ้บีมแน่เลย”

“...”

“พูดแล้วแค้นไม่หาย อย่าให้กูเจ้อออ”

“...”

“สนใจกูดิ้!”

“แดกข้าวเฮ้อ กูขอ พี่ที่ชมรมนัดบ่ายสามครึ่งเนี่ย บ่นแม่งอยู่นั่น” ไอ้เจ๋งทำหน้าเหนื่อยใจส่งมาให้ผม ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ที่โรงอาหารในช่วงบ่ายเพราะเพิ่งเลิกเรียนพอดี มีผม เจ๋ง แก๊ป เจ้าเก่าเจ้าเดิมเพิ่มเติมไอ้โป้มานั่งกินด้วย แต่ห่านี่เอาแต่นั่งแชทกับสาวข้าวปลาไม่กินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั่นแหละ

“ว่าแต่กู ไอ้โป้ก็ไม่กินข้าวเหอะ เอาแต่นั่งหน้าแบ๊วตอบแชทอยู่นั่น” ผมพยักเพยิดหน้าไปทางไอ้โป้ มันก็เงยหน้ามองเมื่อได้ยินชื่อตัวเองพร้อมทำหน้าหมางง

“มันไม่ได้มีนัดไหม”

“เออ แล้วคราวนี้สาวคณะไหนอีก” แก๊ปถามพลางยกชิ้นไก่จากข้าวมันไก่ของมันมาให้ผม ผมส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เอา อิ่มแล้วอะผม พูดไม่หยุดมาเป็นสิบนาทีกินข้าวได้แค่ครึ่งจาน เหนื่อยสัด

“ดาวนิติว่ะ” ไอ้โป้ยิ้มกริ่ม ตักข้าวเข้าปากสองคำใหญ่แล้วก็กลับไปพิมพ์แชทต่อ

“เบื่อพวกมีความรัก” เจ๋งทำปากยื่นแล้วตักไก่ในจานผมไปกินแทน

“หาไม่ได้อย่างกูแล้วมาบ่น”

“รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนโว้ยยย”

“หน้าอย่างมันมีคนเอาด้วยเหรอ” แก๊ปถามหน้านิ่งพลางตักข้าวเข้าปาก

“เอื้อ...”

“เพื่อนแก๊ปแม่ง...”

“พอแล้วววววววว ไปไอ้มุ่ย! กูจะไม่คุยกับเพื่อนแก๊ปคนใจร้ายอีก! ไม่! ไม่ต้องมาง้อกู ฮึก!” เจ๋งฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น หันไปพูดกับแก๊ปอย่างตัดพ้อให้พวกผมขำกัน มือก็ยกขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ ทำหน้าหมาหงอย

“เนี่ย...มันก็เป็นซะอย่างนี้ไง” แก๊ปส่ายหน้าอย่างหน่ายใจแล้วโบกมือไล่พวกผมสองคน

“เก็บจานด้วย! ไปกันเถอะมุ่ยเพื่อนรัก!”

.

.

.

.

.

[ห้องชมรมถ่ายภาพ]

[CHENG’ s PART]



“เจ้! พวกผมมาแล้วววววววว หวัดดีครับพี่ๆ ทุกคน” ผมเดินยิ้มร่าเข้ามาในห้องชมรมพลางจูงมือไอ้มุ่ยมาด้วย โห วันนี้อยู่กันครบเลยแฮะ ผมสะกิดไอ้มุ่ยแล้วยกมือไหว้ทีละคน จนถึงพี่แดน แหมมม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะเจอมุ่ยมันเนี่ย

ใครๆ ก็รู้ครับว่าพี่แดนน่ะชอบไอ้มุ่ยมัน แต่ใครๆ ที่ว่าก็มีแค่พวกผมกับพี่ในชมรมนี่แหละ น่าจะเป็นช่วงแรกที่ผมลากมุ่ยมันมาที่ชมรมเป็นเพื่อน ไอ้นี่แม่งก็บ้าๆ บอๆ ไม่อยากเข้าซักชมรมแม้แต่ชมรมถ่ายภาพที่เป็นงานหากินของมัน ถ้าไม่มีเรื่องกีฬาเข้ามานะคงไม่กระวีกระวาดอย่างนี้หรอกครับ แม่งเกลียดกีฬาจะตายมันอะ เอ้า เข้าเรื่องพี่แดนต่อ พี่เขาก็ดูสนใจมันตั้งแต่แรกเลยนะผมคิดว่า ชอบแอบถ่ายไอ้มุ่ยเวลามันเผลอ บางครั้งก็มาเลียบเคียงถามผมเรื่องไอ้มุ่ยนู่นนั่นนี่ เอาจริงๆ คือถ้าเป็นคนอื่นคงรู้แล้วล่ะว่าถูกแอบชอบอยู่ พี่แดนเขาก็แสดงออกเยอะมุ่ยมันก็ไม่สนใจ ผมบอกรึยังว่าไอ้นี่มันเป็นคนที่ขึ้นกล้องสุดๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็เหมือนมันโพสต์ท่าอยู่ตลอด


อะ กูเว่ออีกละ


จริงจริ้ง ถ้าในสายตาผมอะนะ มันเป็นคนสูงผอมแขนขายาวเรียวแต่ก็ไม่ได้ดูเก้งก้างจนเกินไป หุ่นนายแบบผอมๆ เทือกนั้น วันนี้มาในชุดเสื้อยืดสีเหลืองลายกราฟฟิคทับในด้วยกางเกงยีนขายาวปลายรุ่ยที่สั้นเต่อตรงข้อเท้า บวกด้วยรองเท้าแบรนด์ชั้นนำหูคีบตราช้างดาวที่โคตรเยิน ยิ่งตัดผมทรงนี้ทำให้มันดูเถื่อนแบบกากๆ มันเป็นคนแต่งตัวดีอันนี้ผมปรบมือให้เลย ไม่ตามแฟชันแต่ตามใจตัวเอง ก็ต้องยอมรับว่าเข้ากับหน้ามันชิบ แล้วมุ่ยมันก็ชอบเหม่อเหมือนคุยกับแม่ซื้ออยู่ตลอดเวลา ฮ่าๆ เวลาโดนแอบถ่ายก็ไม่รู้เรื่องหร้อก อีกอย่างมันไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปตัวเองด้วยถ้ามุ่ยรู้ว่าพี่แดนแอบถ่ายนะ...มันก็ไม่ว่าอะไรหรอก ถ่ายก็ถ่ายไป คนแอบถ่ายมันเยอะจะตาย มุ่ยเคยบอกว่าแค่ไม่ชอบเฉยๆ

แต่ว่านะ...แม่งจำพี่แดนได้รึเปล่าเห้อะ เชี่ยนี่แม่งจำคนไม่ค่อยได้ช่วงรับน้องใหม่ๆ ผมต้องแนะนำตัวเองกับมันเกือบสิบรอบกว่ามันจะจำผมได้ บ้าบอ



“กว่าจะมากันนะพวกแก”

“ไอ้มุ่ยเลย เค้าไม่เกี่ยวนะ” ผมชี้นิ้วไปทางไอ้มุ่ยที่ทำหน้านิ่ง เพื่อนเวรนี่ก็อย่างนี้ตลอด ชอบทำหน้าเนือยๆ เวลาอยู่กับคนไม่สนิท

“น่าเจ้ วันนี้เรียกมามีไรอะ” ผมเดินไปนั่งตรงโซฟาที่ว่างพร้อมกับไอ้มุ่ย ดูเหมือนหรูปะห้องชมรมผมมีโซฟงโซฟา ก็หรูจริงอะแหละครับ มหาลัยเอกชนค่าเทอมแพงหูฉี่แบบนี้จะมาไก่กาอาปาจะเฮ้ไม่ได้นะครับ

ห้องชมรมจะเป็นห้องที่แยกมาจากสตูดิโอถ่ายภาพที่ใหญ่โคตร มีไว้เพื่อประชุมงานหรือมานั่งๆ นอนๆ เล่นก็ได้ ขนาดห้องก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ จัดห้องโดยพี่โทพี่ในชมรม มีโต๊ะทำงานสองโต๊ะไว้จัดการเอกสารต่างๆ กับโซฟาตัวยาวเอาไว้นอนเล่นส่วนใหญ่เน้นพื้นที่ใช้สอย แค่นี้แหละไม่มีอะไรมาก

“เจ้จะคุยเรื่องจัดบูธช่วงเปิดโลกกิจกรรมอะแหละ...” เจ้แกก็ว่าไป คุยกันเรื่องที่จะเปิดโลกกิจกรรมทั้งที่ยังอีกตั้งน๊านนาน แต่แกก็บอกว่าคุยกันไว้แต่เนิ่นๆ เพราะบางคนในชมรมทั้งเรียนทั้งงานทั้งโปรเจ๊กต่างๆ ก็เยอะกลัวว่าจะไม่มีเวลากัน แกว่าให้พวกผมเก็บภาพที่เป็นแนวของตัวเองเรื่อยๆ แล้วก็บลาๆ



“โอเค เท่านี้นะ แยกย้ายได้จ้า” สิ้นเสียงเจ้จิ้บผมก็ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา โห ห้าโมงครึ่งแล้วเหรอวะเนี่ยไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้ ผมใช้ศอกยันข้างตัวไอ้มุ่ยสองสามครั้งให้มันตื่น ไอ้นี่แม่งหลับไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้วครับ มันงัวเงียซักพักก็พยักหน้าให้ผม เราเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่พี่แดนก็เรียกไว้ซะก่อน


“น้องมุ่ยครับ” ไอ้มุ่ยหยุดกึกแล้วหันไปตามเสียงเรียก

“หะ...ครับ?”

“กลับกันยังไง พี่ไปส่งไหม” พลางส่งยิ้มหล่อกระชากใจส่งมาทางนี้...คือให้ไอ้มุ่ยนั่นแหละว่ะ

“อ้อ เอารถมาอะพี่ ขอบคุณครับ” มุ่ยพูดเสียงสบายๆ ผงกหัวนิดหน่อยเป็นเชิงขอบคุณ แล้วเดินลิ่วออกไปโดยไม่รอผม แม่งพี่แดนยิ้มหน้าแห้งโบกมือค้างเลย ฮ่าๆ

“พยายามเข้านะพี่นะ” ผมส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้พี่เขาก่อนจะเดินออกมา โอ๊ยยยย กูสงสารพี่เขา







[Stadium Outdoor]

[FAHMUI’ s PART]



“มึงเดินให้มันเร็วๆ ดิ้สัดเจ๋ง กูรีบโว้ย” ผมโวยวายไอ้เจ๋งที่ทำเป็นเดินเอื่อยเฉื่อยตามหลังผมมา

“มึงก็ไปก่อนเด้ กูกำลังดื่มด่ำบรรยากาศ” มันพูดพลางอ้าแขนสูดออกซิเจนเข้าเต็มปอด ทำหน้าสดชื่นอย่างกับอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา (?)

“กูเขิน!” จะไม่ให้เขินได้ไงครับ เมื่อกี้แก๊ปไลน์มาบอกว่าเจอน้ำตาลซ้อมลีดอยู่ข้างสนามกีฬา จากที่ไปนั่งง่วงๆ ฟังเจ้แกพูดเรื่องบูธเบิธอะไรซักอย่างเป็นชั่วโมงนี่ตื่นเลย ผมก็เลยรีบบึ่งรถจากชมรมมาที่นี่ ไม่วายกลับหอไปหยิบกล้องตัวโปรดมาด้วยเผื่อเก็บภาพแฟน อิอิ


“ชิบหาย ไปเจอพี่เขาแล้วก็เอาแต่นั่งเขินไม่ทำไรซักอย่าง กูว่าอีกสิบปีพี่แกยังไม่รู้เล้ยว่ามึงชอบอะ”

“มึงอย่าดูถูกกูดิวะ”

“อ่อนสัดๆ เพื่อนกู”

ผมเบ้หน้าลง ผมก็มีความคืบหน้านะเว้ย ตอนเจอน้ำตาลที่ร้านเหล้าก็รู้สึกได้ภูมิคุ้มกันมาหน่อยนึง เนี่ย มือไม่สั่นแล้วด้วย เมื่อกี้ส่องกระจกหน้ารถหน้าก็ไม่แดง เอาว่ะ

“มึงช่วยกูหาแก๊ป...” ผมพูดกับไอ้เจ๋งให้มันช่วย อันดับแรกต้องหาเพื่อนแก๊ปก่อน มันมาวิ่งที่นี่ตอนเย็นประจำแหละ สเตเดียมเอาท์ดอร์เป็นสถานที่ที่นักศึกษามาออกกำลังกายกันบ่อยๆ บ้างก็เป็นคฑากรมาฝึกโยนไม้ป้อกแป้กๆ คราวก่อนแม่งร่วงลงมาเกือบโดนหัวตอนผมกำลังกดชัตเตอร์พอดีเฉี่ยวหูไปนิดเดียว บ้างก็มีลีดของคณะต่างๆ มาซ้อมอยู่ข้างสนาม โอโห แล้ววันนี้คนมันคึกอยากออกกำลังกายอะไรนักหนา อ๋อ มีพวกมาเล่นบอลโชว์สาวนี่เอง กูว่าแล้วววว ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเลยโว้ย แว่นก็หาย มองก็ไม่ค่อยจะชัด

“นู่นๆ ไอ้แก๊ป!” เจ๋งสะกิดให้ผมหันไปตามที่มันชี้พร้อมกับโบกมือเรียกเพื่อน ไอ้แก๊ปพยักหน้าให้พวกผมก็เลยรีบเดินไปหามัน ไม่ใช่อะไรนะ กูกลัวไม้คฑาร่วงลงมาฟาดหัวอีก บ่าเอาแล้ว!

“ไหนน้ำตาล” พอมาถึงผมก็ถามหาแฟน (ในอนาคต) ทันที ตรงที่ที่ไอ้พวกเราอยู่เป็นสนามหญ้าข้างลานวิ่งเป็นจุดพักนักกีฬารวมถึงเป็นพื้นที่ว่างให้สาวๆ มาซ้อมหลีดกัน

“ไหนน้ำกู”

“แก๊ป เพื่อนมาหาสาวอะ”

“กูฝากพวกมึงซื้อน้ำ ไหนน้ำกูเล่า”

“อยู่กับไอ้เจ๋งไง! เชี่ยเจ๋งมึงเอาน้ำมาให้เพื่อนรักกูดิ้ โมโหจนหัวเถิกแล้วเนี่ย!”


ผัวะ!


“โอ๊ย! ตบเค้าทำไม!” ผมโวยลั่นเมื่อไอ้เชี่ยแก๊ปตบหัวผมจนหน้าเกือบทิ่ม ไอ้ชิบหาย!

“ว่ากูหัวเถิก มึงดูตัวเองก่อน ไอ้เหี้ย กูว่าแล้วทำไมขนาดตอนเย็นอากาศมันยังร้อน หน้าผากเรืองแสงของมึงนี่เอง”

“ฮ่าๆ วันนี้พี่แก๊ปเราท็อปฟอร์มว่ะ โอยยย กูขำหน้าผากเรืองแสง ฮ่าๆ” ไอ้เจ๋งยืนหัวเราะจนตัวงอจนผมหมั่นไส้ยื่นมือไปผลักหัวมันจนแม่งล้มลงไปยังไม่หยุดหัวเราะอีก พอเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นคนรอบข้างยิ้มขำๆ ให้กับพวกผม อย่ามาหัวเราะหน้าผากคนอื่นนะโว้ย!

“เชี่ยแก๊ป! มึงจะเอาอ๋อ!” หูยยยย กูนี่ขึ้นเลยๆ มาว่าน้องเหม่งของผมได้ไง เขาเรียกคนโหงวเฮ้งดี ไอ้สัดเอ้ย!

“โน่นพี่น้ำตาลซ้อมให้รุ่นน้องอยู่ฝั่งโน้น ไปไหนก็ไปมึงอะ กูร้อน” ผมถกแขนเสื้อขึ้น หักนิ้วกรอบแกรบเตรียมวางมวยกับเชี่ยแก๊ป แต่ยังไม่ทันทำอะไร มันก็ส่ายหัวเบาๆ พร้อมโบกมือไล่ผม แล้วหันหลังไปคุยกับเพื่อนวิ่งมันต่ออย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไป

ผมมองไปตำแหน่งที่มันชี้ก็เห็นลางๆ ว่าเหมือนมีคนซ้อมอะไรกันซักอย่าง แม่งอยู่อีกฟากของสนามนู่น พอเพ่งให้ชัดอีกทีก็คิดว่าต้องเป็นหลีดคณะของน้ำตาลแน่นอน

“จะให้กูไปด้วย...อ้าว! แล้วมึงพากูมาทำเหี้ยอะไรเนี่ย!” ไม่ทันจบประโยคไอ้เจ๋งผมก็วิ่งออกมาทันทีโดยไม่รอมัน เสียงหัวใจมันเรียกหาอะครับ โทษที




ผมวิ่งมาเกือบจะถึงตรงที่น้ำตาลซ้อมอยู่ ขาก็หยุดกึกทันที กู..จะไปหาเขาง่ายๆ อย่างนี้เหรอวะ ไม่มีอะไรไปให้ซักอย่าง แม่งเมื่อกี้ก็ลืมคิดไป

ผมยืนคิดอย่างช่างใจ สายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายตัวเล็กใส่แว่นหนาเตอะถือขวดน้ำเปล่าที่ยังไม่ได้แกะเดินผ่านมาทางนี้พอดี


อืม...


กูว่าได้!


“เห้ย!”

“เชี่ย...อุบ ขะ ขอโทษครับ” ผมขยับตัวไปขวางหน้าไอ้แว่นทันทีทำให้มันผงะไปเล็กน้อย พอจะเงยหน้าขึ้นมามองผมมันก็ทำหน้าเหวอก้มหน้าลงไปอีกครั้ง เป็นไรของมัน กูยังไม่ทันได้ทำอะไรเล้ย

“เอาน้ำมึงมา”

“อะ อะไรนะครับ” หูหนวกไงวะเห้ย


หมับ!


“นะ น้ำผม...” มันทำหน้าตกใจเบะปากเหมือนจะร้องไห้ กลัวว่าแม่งจะแหกปากผมเลยรีบควักเหรียญออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง นับดูจนครบค่าน้ำก็หยอดใส่กระเป๋าเสื้อเชิ๊ตมันพลางตบปุๆ สองสามที

“กูขอ มึงไปซื้อใหม่เลย แต๊งกิ้วนะแว่น!” ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาหันกลับไปโบกมือบ๊ายบายให้แว่นน้อยกับความมีน้ำใจของมัน คนเราอะมันต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ครับ คนไทยเหมือนกันๆ




พอมาถึงจุดที่น้ำตาลซ้อมอยู่ผมก็เดินเลี่ยงมาอีกทางเพื่อรอให้ถึงเวลาพักก่อนค่อยเข้าไปหา คนอะไรโคตรสวยเลย...

ง้อววว น้ำตาลลลลลลลลลล

ขาขาวจัง...


ผมหยิบกล้องคู่ใจขึ้นมาถ่ายรูปน้ำตาล คนอะไรขนาดขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งยังสวยขนาดนี้ โอ๊ยยย ใจบ่าดีเลย มองจากรูปที่ถ่ายมาได้นี่ก็โคตรจะสวย ใบหน้าของน้ำตาลเป็นอย่างหนึ่งที่ดึงดูดใจของผมตั้งแต่แรกเจอ เป็นหน้าแนวนางแบบในนิตยสารชื่อดังที่จะเห็นได้บ่อยๆ แต่น้ำตาลจะมีสัดส่วนของความหวานละมุนมากกว่า ทำให้มองกีทีก็เฮ้อ...แม่ของลูกชัดๆ


“น้องมุ่ย”


“แหก!”


“หืม...ฮะๆ ไม่มีอะไรแหกนะครับ อุทานซะน่ากลัวเชียว” ไอ้เชี่ย! เดินมาไม่ให้สุ้มให้เสียง กูกำลังซุ่ม เอ้ย! กำลังเก็บภาพสวยๆ ของน้ำตาล ห่ามึงเอ๊ย!

“น้องมุ่ยมาทำอะไรที่นี่อะ มาหาไอ้บีมเหรอๆ” คนตรงหน้าผมทำหน้าสนอกสนใจหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเสือก แล้วกูถามจริง


มึงใครวะเนี่ย?


“งั้นเดี๋ยวพี่เรียกมันให้นะ...ไอ้บีม! ไอ้บีม! น้องมาหา!” ผมยังไม่ทันพูดอะไรจู่ๆ ไอ้หัวเทานี่ก็ตะโกนเรียกชื่อไอ้ตัวร้ายที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในสนาม รึเปล่าวะ เห็นลางๆ ให้หันมาสนใจทางนี้


กูพูดซักคำไหมว่าอยากเจอมัน! หื้อ!!



ต่อข้างล่างจ้า

หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 9 (UP) 17/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 17-11-2018 03:10:47
ต่อตรงนี้จ้า


“นี่ใคร ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่ได้มาหาไอ้หน้าเมือกนั่นด้วย นี่มาหาน้ำตาลต่างหากเล่า!” ผมโวยใส่มัน

“พี่ชื่อพี่ก้านไงครับน้องมุ่ย เราเคยเจอกันที่ร้านเฮียตั้มครั้งนู้นไง แต่น้องคงจำไม่ได้อะน้องเมา ฮ่าๆ” คนที่แนะนำตัวว่าชื่อก้านหัวเราะจนตาปิด ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะถอยหลังมาสองสามก้าว ปรับมุมกล้องนิดหน่อยแล้วกดชัตเตอร์ทันที...เออๆ สวยดี

“อ๊ะ นี่น้องมุ่ยแอบถ่ายพี่เหรอครับ เป็นเกียรติสุดๆ เลยอะ พี่ติดตามเพจน้องมาตลอดเลย รูปสาวๆ สวยๆ ทั้งนั้น พี่ชอบบบบบ” ผมปล่อยให้คนหัวเทาพล่ามต่อไป ตัวผมเองก็กดถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ผมชอบแสงวันนี้ดีจังสวยสุดๆ ไปเลย


แล้วไอ้คนตรงหน้าผมมันมาแอ็คท่าเผลอเก่งอะไรของมันวะ


“เก๊กทำไมอะ”

“เอ้า ก็น้องถ่ายรูปพี่ไม่ใช่เหรอ พี่ขอซักอัลบั้มนะครับ เอาหล่อๆ เลย”

“เราไม่ได้ถ่ายนายซักหน่อย” ผมโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ

“หะ...ครับ?”

“เราถ่ายวิวหลังนายต่างหาก” ผมยื่นปากไปทางข้างหลังให้หัวเทาหันไปมองตาม มันก็ทำหน้าเอ๋อไปสองวิ ก่อนจะร้องออกมา

“ง่ะ...น้องงงงงงงงงงงงงง”

“ใครบอกจะถ่ายวะ ยังไม่ได้พูดซักคำเลย”

“น้องงงงงงงงงงงงงงงงงง”

“ทำไรกันอยู่อะ” เสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยดังขึ้น แม่งเง้ย...ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครง่ะ

“น้ำตาล...”

“อ้าวน้องมุ่ยนี่เอง พี่ว่าละเห็นหลังคุ้นๆ มาออกกำลังกายเหรอ” น้ำตาลยิ้มหวานส่งมาให้ผม ทำให้ใจเต้นตึกตักอยากยกกล้องกดถ่ายแต่ก็ต้องระงับความตื่นเต้นไว้ วันนี้พี่มุ่ยจะไม่กากเว้ยเห้ย!

“แกมาทำไมเนี่ยตาล จะไปไหนก็ไปปะ” อย่าไล่แฟนกูนะหัวเทา!

“เรื่องฉันดิ เนอะน้องมุ่ย” งุ้ย อย่ามายิ้มใส่เค้าแบบนี้นะ~

“เรา...มาหาเพื่อนน่ะ เพื่อนเราซ้อมวิ่งอยู่ฝั่งโน้น เราก็เลย...มาเดินเล่นเก็บภาพเฉยๆ” อยากบอกมากว่าพี่ตอแหลครับ! ความจริงพี่มุ่ยมาหาน้องนั่นแหละครับ!

“เหรอ...สนใจถ่ายพี่ไหมคะ ฮ่าๆ ตอนนี้พักซ้อมหลีดสิบห้านาที พี่ว่าพี่พอจะเป็นแบบให้ได้อยู่นา ชดเชยคราวนั้นที่พี่ไม่ได้ไปด้วยเลยเป็นไง” น้ำตาลยิ้มเล็กๆ อย่างน่ารัก พลางโพสท่าให้โดยไม่เคอะเขิน เขาอนุญาตให้ผมถ่ายด้วยอะครับ โง้ยยยยยยยย

ผมพยักหน้ารัวๆ ด้วยความดีใจ เตรียมยกกล้องขึ้นแชะภาพนางฟ้า สายตาก็เหลือบไปเห็นขวดน้ำในกระเป๋ากล้องที่ผมตั้งใจว่าจะเอามาให้เธอ แต่ยังไม่ทันจะเรียกชื่อน้ำตาลเพื่อจะเอาน้ำให้ก็มีมือมารคว้าขวดน้ำออกจากมือผมตัดหน้าไป


“น้ำตา-”

“น้ำกูเหรอครับน้องมุ่ย! ดีใจว่ะ” ไอ้บีมที่มาจากไหนก็ไม่รู้คว้าขวดน้ำไปจากมือผม แถมยังเปิดดื่มอึกๆ อย่างหน้าตาเฉยจนแทบหมดขวด


ไอ้เหี้ยยยยยยย


กูไม่ได้ให้มึงงงงงงงงงงงงง


“บีม! แกอย่าบังเฟรมฉันดิ น้องมุ่ยจะถ่ายรูปให้เนี่ยโว้ย”

“มาตอนไหนวะไอ้บีม” หัวเทาถาม เออ! มึงวาร์ปมารึไงกูยังเห็นมึงเล่นบอลกากๆ อยู่ตรงนู้นอยู่เลย ไอ้ตัววุ่นวายมาทางไหนไปทางนั้นเลยนะโว้ย!

“ตอนที่เห็นนี่แหละ ไอ้นิวเรียกมึงอะ โน่น”

“เออๆ งั้นกูไปก่อน น้องมุ่ย! พี่งอนนะครับ เชอะ!”

“บีม! อย่าบังดิ้!” ผมจิ้ปากอย่างขัดใจพลางผลักมันให้หลบออก แต่แม่งเหมือนเอามือยันตึกไม่เขยื้อนเลยไอ้เวร

“น้ำตาล เพื่อนแกเรียกไปซ้อมแล้ว”


ดะ เดี๋ยว ยังไม่ได้ถ่าย...


“เฮ้ย...เออ งั้นพี่ไปก่อนนะคะ เราค่อยนัดกันวันหลังเนอะ” น้ำตาลโบกมือบ้ายบาย วิ่งเหยาะๆ กลับไปอย่างน่ารัก


ไอ้บีม!!!!!!!


“ทำอะไรของมึงอะบีม!” ผมตวาดเสียงดังใส่มันที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องอย่างน่าหมั่นไส้

“ซื้อน้ำมาให้ไม่ใช่เหรอ ก็ดื่มให้แล้วนี่ไงครับ” มันยิ้มกว้างให้ผม


ไม่ได้ให้มึงเลยยยยยย


“ซื้อมาให้น้ำตาลต่างหาก!” ผมว่ากลับไปอย่างไม่ยอม

“เหรอๆ” บีมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ผม ก่อนจะยกขวดน้ำดื่มต่อหน้าจนหมดขวด ทำเอาผมอ้าปากค้าง ไอ้เชี่ยนี่! แม่งมันเย้ยกู!

“บีมอย่ามากวนตีนดิ้เห้ย กูยังไม่ได้สะสางเรื่องที่มึงผลักหัวกูทิ่มเลยนะ! มึงกล้ามาก! รู้ไหมว่าเหม่งน้อยกูทิ่มเต็มๆ กับพรมสกปรกๆ ในห้องมึง-”

“เหย่งย้อยหยองยูยิ่มเย็มหยับยมใยย้อง แบะๆ” บีมพูดเลียนแบบผมแถมทำหน้าตาล้อเลียนอีก จนผมแทบเลือดขึ้นหน้า


มันล้อผม!!!!


ไอ้เชี่ยนี่แม่งโว้ยยยยยย!!!


“ไอ้บีม!!”


“หืม ว่าไงครับน้องมุ่ย อย่าทำหน้าเครียดดิ ฮ่าๆ”

“มึงนะ! มึงมาแย่งอย่างนี้ได้ไง กูตั้งใจเอาน้ำมาให้น้ำตาลอะ แล้วมึงมาทำงี้เลย! แม่ง! กูเอามาให้น้ำตา- วะ...เหวอ!” มือคนตรงหน้าเอื้อมมาคว้าข้อมือผมไปแล้ววิ่งนำไป ทำเอาผมที่ยังตั้งตัวไม่ทันเกือบจะล้มหน้าทิ่ม

“จะพากูไปไหนเนี่ย ปล่อยเว้ย!” ผมทุบๆ มือมันที่กำข้อมือผมอยู่ให้ปล่อย แต่มันยิ่งกระชับให้แน่นเข้าไปอีกจนผมเจ็บ


ตุบ!


ฟุ่บๆ


เสียงแรกคือมันเหวี่ยงผมให้นั่งลงกับเก้าอี้พลาสติกข้างสนาม เสียงที่สองคือบรรดากระเป๋าคาดอก กระเป๋าสตางค์ นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์ของตัวเอง ที่ไอ้บีมคว้าเอามาจากเพื่อนที่เหมือนจะนั่งเฝ้าของๆ พวกที่เตะฟุตบอลอยู่มาโยนลงบนตักผมทั้งหมด อะ...อะไรของมันอี้ก!

“เฝ้าของไว้ดีๆ ล่ะ หมดนี่ถ้าหายน้องมุ่ยหมดตูดเลยนะครับ” ผมหน้าเหวออ้าปากค้างกับการกระทำของมัน ไอ้บีม! คือมึงลากกูมาเฝ้าของเหรอวะ แล้วทำไมต้องเป็นกูด้วยอ้ะ!?

“บีม! นี่ไม่ได้มาเพื่อเฝ้าของให้มึง!” ผมว่าให้ด้วยน้ำเสียงแข็งกระชาก ขาข้างหนึ่งเตะไปข้างหน้าอย่างโมโห

บีมหัวเราะกว้างกับการกระทำของผม ก่อนจะก้มตัวลงมาใกล้จนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ปนกลิ่นเหงื่อของมันจางๆ

“ครับๆ” บีมตอบอีกทั้งรอยยิ้มขันที่ยังระบายอยู่บนใบหน้านั้นถูกส่งมาให้ผม รู้สึกถึงออร่าวิ้งๆ กระจายบนหน้ามันเหมือนพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งในเทเลทับบี้


ชัวร์เลย!


จากที่เจอหน้ามันมาสองสามครั้ง


ผมแพ้รอยยิ้มมันอะ...


ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ้มสวยชะมัด...


“ถ่ายกูด้วยล่ะน้องมุ่ย” มันใช้มือตบแปะเบาๆ บนเหม่งน้อยของผม แล้วก็วิ่งเหยาะๆ กลับเข้าสนามไป ส่วนตัวผมก็ได้แต่ทำหน้างงกับข้าวของที่บีมฝากไว้ มองไปข้างตัวก็เห็นผู้ชายอีกคนใส่ชุดนักศึกษาถูกระเบียบคนเดียวกับที่นั่งเฝ้าของก่อนหน้านี้ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ผมโดยไม่พูดอะไร


แง่ง!


อยากฆ่าคนโว้ยยยยยยย!





“อ้าว! น้องมุ่ยยยยยยยยยยยย” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น ผมจึงเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ก็เห็นกลุ่มคนเดินออกมาจากสนามตรงมาทางนี้ ผมเบะปากให้เมื่อเห็นไอ้บีมมองมา

สุดท้ายผมก็ไม่ได้ไปไหนนั่งเฝ้าของให้ไอ้ตัววุ่นวายอยู่เป็นชั่วโมง! ถ่ายรูปจนเบื่อก็นั่งไถโทรศัพท์เล่น เมื่อกี้เพื่อนแม่งก็ไลน์มาบอกถามว่าผมอยู่ไหน ผมก็ตอบมันไปว่าเฝ้าของให้หมาอยู่ พวกมันเลยขอกลับก่อน ผมก็เลยเออๆ ไป ถ้าผมกลับไปตอนนี้แล้วของมันหายผมก็ซวยสิครับ ของแต่ละชิ้นของมันถูกซะที่ไหนโดยเฉพาะนาฬิกาที่นอนโง่ๆ อยู่บนตักผมนี่


ถ้าหายก็ขายคลินิกเฮียครามมาใช้นี่มันนี่แหละ


“กูบอกแล้วว่าน้องมุ่ยมาหาเชี่ยบีม” คนหัวเทาที่ผมลืมชื่อมันไปแล้วพูดกับคนตาตี่ข้างๆ พลางพยักเพยิดมาทางผม

กูมาหาน้ำตาลเถอะสัด!

“เออว่ะ แม่งมาเฝ้าของให้ไอ้บีมมันด้วย เห๋ยยยยยยยย”

มันบังคับกู!

“พูดมาก หน้าน้องจะแดกหัวพวกมึงอยู่แล้ว”

กูพร้อมแดกมาก! หัวใครก็ได้ตอนนี้ แง่ง!!

“วุ่นวายว่ะพวกมึง” ไอ้ตัวดีทำหน้ายิ้มๆ ก่อนจะรับผ้าสะอาดจากเพื่อนอีกคนมาเช็ดหน้าตัวเอง หลายเรื่องแล้วนะมึงน่ะ! ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ข้อมือกูเป็นจ้ำเลยที่มันลากผมมา

“เตะบอลเสร็จแล้วก็เอาไปเลย! ของมึงเนี่ย!” ผมโวยเสียงดัง จะลุกก็เดี๋ยวของหล่นได้แต่ใช้แขนขากวักเรียกมันเข้ามา

“น้องมุ่ย วันนี้กลับด้วยดิ ไม่ได้เอารถมา” มันบอกด้วยเสียงเหนื่อยๆ ทำหน้าน่าเห็นใจ มือก็เก็บของจากตักผมไปอย่างช้าๆ


กลับด้วยห่าไรสัด


“วันนี้กูจะไปส่งน้ำตาล มึงน่ะเดินกลับเอง” ผมพูดด้วยความมั่นใจ ยักคิ้วสองจึกให้ด้วย

ผมหมายมั่นปั้นมือว่าวันนี้จะขอพาน้ำตาลซ้อนท้ายแล้วไปส่งเขาให้ได้ มันจะโรแมนติกเวลาผมเร่งเครื่องแล้วเขาก็วาดแขนเข้ามากอดเอวผมแน่นๆ ด้วยความตกใจกลัวอะครับ! ผมก็จะลูบมือปลอบน้ำตาลเบาๆ ว่าไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องกลัว พี่มุ่ยอยู่นี่แล้ว โอ้ยยยยยย ใจ๋บ่าดีบ่าเฮ้ย!


แปะ!


“โอ๊ย! ตบเหม่งกูอีกแล้ว! เอาไปเล่นบ้านเลยดีไหมไอ้เชี่ย!” มันตบหัวผมอีกแล้วครับ เป็นเหี้ยไรกับเหม่งน้อยของกูเนี่ย ถึงมันจะกว้างแต่มันไม่ได้มีไว้ให้ใครมาตบแปะเล่นนะเฟ้ย!

“เว่อจริงๆ น้ำตาลกลับไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเหรอครับน้องมุ่ย ดูดิๆ” บีมชี้ไปทางที่หลีดคณะน้ำตาลซ้อมกันอยู่ ผมมองตามก็พบว่า เฮ้ย! หายไปไหนหมดแล้วอะ ก่อนหน้านี้ไม่ถึงสิบนาทีผมยังเห็นอยู่เลย!

“หายไปแล้ว!”

“เออครับ ยังงี้มึงก็ต้องไปส่งกูแล้วล่ะ กูไม่ได้เอารถมานะน้องมุ่ย ใช่ไหมพวกมึง” บีมหันไปถามเพื่อน

“อะ อ๋อ เออ ใช่! เชี่ยนี่แม่งเดินจากหอมาสนามเลยครับน้องมุ่ย!” เชื่อก็ควายแล้วไอ้ตาตี่

“พวกพี่เอามอ’ ไซกันมา ซ้อนสามไม่ได้นะครับตำรวจจับเอา” แล้วที่กูเห็นซ้อนกันให้พรึ่บพรั่บหน้ามอคืออัลไล

ผมหน้ามุ่ยรอบีมมันเก็บของจนหมด เลยรีบคว้ากระเป๋ากล้องแล้วลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไปทันที มันก็จับข้อมือข้างเดิมที่ผมเจ็บอยู่ไว้ซะก่อน


ซี้ด~~ เจ็บอะครับ


ผมย่นหน้าลงนิดหน่อยด้วยความเจ็บ บีมก็ชะงักไปนิดแล้วคลายแรงที่จับอยู่ให้หลวมขึ้นกว่าเดิม

“จะไปไหนเล่า รอก่อนดิ บอกว่าจะกลับด้วยนี่ไง” ไอ้นี่มันรั้นจังเห้ย!

“กูไม่ให้คนเหม็นเหงื่อมานั่งซ้อนท้ายกูหรอก ไปไกลๆ ตีนเลย” จะสะบัดมือออกก็ไม่ได้เพราะเจ็บ ตอนที่มันลากผมมามันจับเบาที่ไหนล่ะ ตัวผมก็ยื้อด้วยอีก

“ไปครับๆ กูไปก่อนนะพวกมึง เจอกัน” บีมโบกมือให้เพื่อนพลางจูงมือผมให้เดินตามไป ผิดคาดแฮะ คิดว่าแม่งจะกระชากเหมือนตอนพามา ตอนนี้เสือกมือเบา

“เออๆ เจอกันมึง”

.

.

.

“ไอ้ชิบหาย! กูบอกแล้วไอ้บีมมันเอาแน่!”

“ไอ้ควาย! ตากูไม่ได้บอดเถอะสัด”

“กูจะจิ้นจนกว่ามันจะได้กัน!”

.

.

.



“ถึงแล้ว! ลงไปไป๊” ผมจอดรถตรงหน้าหอบีมปากก็ไล่มันด้วย ตอนขี่มาแม่งยังมาลำบากให้ผมจอดแวะซื้อข้าวซื้อขนมซื้อนู่นนี่นั่น ไม่จ่ายค่าน้ำมันให้กูซักกะบาท ไอ้เลว!

“ค่าน้ำมันก็ไม่ช่วยซักบาท น้ององุ่นกูต้องเหนื่อยมาส่งมึง ขอบคุณซักคำยัง?”

“บ่นจังเล้ย” บีมยกมือขึ้นขยี้ผมจนผมที่มัดไว้คลายออก ปอยผมบางส่วนร่วงลงมาทำให้ผมรำคาญจนต้องเสยขึ้นอย่างหงุดหงิด

“ไปไหนก็ไปเลยไอ้ตัววุ่นวาย อะ โอ๊ย! ทำเหี้ยไรเนี่ย” จู่ๆ บีมก็คว้าข้อมือข้างที่ช้ำไปดูจนผมต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บ แถมยังพลิกไปมาด้วยสีหน้าเครียดๆ

“เจ็บแล้วทำไมไม่บอก น้องมุ่ย” มันเงยหน้าถามผมหน้าดุพลางใช้นิ้วโป้ลูบเบาๆ ตรงรอยที่เริ่มจะช้ำ กูนี่ก็อ่อนแอจริงๆ ผมเป็นคนช้ำง่ายครับ โดนนิดโดนหน่อยก็ขึ้นเขียว ตามขานี่ก็จะเห็นบ่อยไม่รู้ไปโดนอะไรมาแต่สองสามวันก็หาย

“มึงทำ” ผมว่าเสียงขุ่น มึงจะมาทำหน้าดุใส่กูไม่ได้นะโว้ย

“พี่ขอโทษครับ ไม่คิดว่าจะขึ้นรอยง่าย” ผมเลิกคิ้วทำหน้าเหลอหลากับคำขอโทษของบีม เสียงหล่อๆ นั่นทุ้มลงอีกจนหน้าใจหาย แถมทำหน้าซะน่าสงสารเลยเหมือนหมาเวลาโดนดุอะ หูนี่ลู่เลย ฮ่าๆ

“ขอโทษแล้วมันหายเจ็บไหม หะ ห๊า ห๊า!” ผมเปลี่ยนท่านั่งจากที่คร่อมมอ’ ไซอยู่หันมาทางบีม ขาข้างนึงก็ยันกับพื้นไว้กันตัวเองร่วง มือข้างนึงก็ถูกบีมที่ยืนพลางค้อมตัวลงมาเล็กน้อยกุมไว้ นิ้วโป้ของมันก็ยังไม่หยุดลูบ ทำผมรู้สึกดึ๊กดึ๋ยแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ ยิ่งพอเหลือบตามองมันก็เห็นมันยังจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่ผมแม่ง...


“ปล่อ...ปล่อยเลย จะกลับแล้ว” ผมพยายามยื้อแขนตัวเองกลับมาแต่บีมก็ไม่ปล่อย แถมยังเปลี่ยนมาทำหน้าดุอีก อะไรของมันวะ

“อย่าดึงกลับสิ เดี๋ยวก็เจ็บกว่าเดิม”

“กูจะกลับหอแล้ว”

“กูต้องทำยังไงให้น้องมุ่ยหายเจ็บดี หืม?”

“อย่าทำตาวิบวับๆ ได้ปะ น่ารำคาญ!” ผมโพล่งออกไป เนี่ยๆ ไอ้ตายิบยับๆ วิบวับๆ ของมันทำผมรู้สึกดึ๊กดึ๋ยอะ หน้าก็ร้อนขึ้นอีก ไอ้เหี้ย

“แล้วจะให้ทำไงอะ”

“ปล่อยดิ”

“อืม...ถ้าทำอย่างนี้จะหายไหมนะ” บีมทำหน้านึก ก่อนจะทำบางอย่างที่ทำเอาผมตาค้างพูดไม่ออก


จุ๊บ~


อะ...


ไอ้บีมมึง...


ผมตาเหลือกด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่บีมทำ มันใช้ริมฝีปากแตะเบาๆ ตรงข้อมือผม แถมยังเป่าลมออกมาเบาๆ เหมือนกำลังปลอบเด็กเล็กที่หกล้มเป็นแผลแล้วร้องไห้รอคนใจดีมาโอ๋

หน้าที่ร้อนอยู่แล้วรู้สึกร้อนขึ้นไปอีกเหมือนภูเขาไฟกำลังจะระเบิด ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ มองสลับไปมาระหว่างข้อมือตัวเองกับหน้าบีม

“ฟู่~ หายเร็วๆ นะน้องมุ่ย พี่ขอโทษนะครับ ไม่เจ็บแล้วนะ” บีมเงยหน้าขึ้นมามองผมแถมเหยียดรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้


ปุ๊ง~


“หน้าแดงเชียว น่าเอ็นดูจริงๆ”


ตึกตักๆ


ไผก่อได้...จ้วยโทตวยหมอจิม...


ฮือ...


มุ่ยบ่าไหวแล้ว...








*******************************************************

หายนานอีกแล้ว ขอโทษกั๊บบบบบ -/\-
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 9 (UP) 17/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Pupay ที่ 17-11-2018 13:20:28
มุ่ยน่ารักอะ  :-[
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 9 (UP) 17/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 19-11-2018 21:14:53
 :mew1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่​ 9 (UP) 17/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-11-2018 23:52:31
 :L2: :pig4:
55
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนพิเศษ กระทงหลงทาง (UP) 22/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 22-11-2018 02:36:08

ตอนพิเศษ

กระทงหลงทาง




“น้องมุ่ย ทำอะไรอยู่ครับ” ผมทักเขาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นแผ่นหลังเล็กๆนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่กับพื้นแถวโซฟา หลังจากเลิกเรียนผมก็ตรงกลับเข้าห้องเลย โดยไม่ลืมที่จะซื้อข้าวไข่เจียวร้านโปรดกลับมาให้มุ่ย เมื่อวานน้องมันหอบข้าวของมานอนที่ห้องผม เห็นว่าโดนตัดน้ำตัดไฟเพราะลืมจ่ายจนต้องระเห็จมาที่นี่ กูล่ะเชื่อมึงเลยครับน้องมุ่ย แถมยังบอกด้วยนะว่าโดนแทบจะทุกเดือนเพราะลืม ต้องไปนอนที่บ้านบ้างหอเพื่อนบ้าง ผมถามแล้วเขาไม่ไล่ออกเหรอ น้องมันก็ตอบว่าไม่รู้ เพราะเฮียครามมาจัดการให้ทุกที



แต่ก็ดีเหมือนกันครับ ได้นอนกอดไอ้ตัววุ่นวายทั้งคืน



“ทำกระทงดิ วันนี้วันลอยกระทง” ผมเดินเอากล่องข้าวไปวางไว้ที่โต๊ะทานอาหาร ก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องมันพอเข้าไปใกล้ ก็ต้องขมวดคิ้วให้กับคำตอบ เห็นมีแต่ดอกไม้หลากชนิดกระจัดกระจายทั่วบริเวณที่มุ่ยนั่งกับเหยือกน้ำเปล่า อ่อ มีธูปเทียนกับขันใบขนาดกลางวางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโทรทัศน์ด้วย

“ไม่เห็นมีใบตอง” ผมวางกระเป๋าลงกับโซฟาแล้วนั่งยองข้างน้องมุ่ย เจ้าตัวเสยผมที่หลุดจากการมัดอย่างลวกๆขึ้นไปเหมือนจะรำคาญ ผมจึงอาสาดึงยางมัดผมให้หลุดออกมาอย่างเบามือเพื่อที่จะมัดใหม่ มุ่ยไม่สนใจอะไรนอกจากดอกไม้ตรงหน้า

“เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้ใบตองแล้วบีม เชยว่ะ” พอมัดเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะลูบแก้มน้องเบาๆ มีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้างแล้ว ผมปรับพฤติกรรมการกินของเขาใหม่ให้ดีขึ้น มุ่ยก็ค่อนข้างเจริญอาหารมากกว่าแต่ก่อน อย่างน้อยก็มีร้านตามสั่งแถวหอผมที่มุ่ยมันชอบโดยเฉพาะข้าวไข่เจียว

“แล้วจะทำยังไงวะ?” ผมดึงมือกลับแล้วทรุดนั่งขัดสมาธิพลางหยิบดอกไม้ที่มุ่ยมันวางเรียงไว้ขึ้นมาดู พอหันไปสบกับใบหน้าคนตัวบางก็เห็นคิ้วน้อยๆขมวดยุ่งเม้มปากอย่างคิดไม่ตก มือก็หยิบดอกไม้เข้าๆออกๆจากกองข้างตัวแล้วเอามาเรียงไว้


“ช่างหัวเรื่องนั้นไปก่อน บีมมาช่วยคิดก่อนดิ้”

“หืม?”

“คิดว่าจะใส่แค่กุหลาบกับดอกปีป แต่ก็อยากใส่มะลิ ชบา ดอกเข็ม ดาวเรือง ดอกพุด แล้วก็ดอกพวกนี้ๆด้วย”

“จะให้กูเลือกเหรอ”

“เออ แต่ยังไงก็ต้องใส่ดอกปีป” มุ่ยเคาะลงกับพื้นให้ผมเห็นเจ้าดอกปีปที่วางอยู่บนสุด

“ทำไมอะ”

 “ก็เป็นดอกไม้ที่กูชอบ...”

“อ่าฮะ” ดูเหมือนน้องจะไม่พอใจกับคำตอบรับผมเท่าไหร่ มันเลยหยิบกลีบดอกกุหลาบมาปาใส่หน้าผม

“แล้วเป็นดอกไม้ที่ถ่ายคู่กับมึงครั้งแรกไงบีม เป็นดอกไม้พิเศษๆของมึงกับกูสองคนไงวะ โง่จังเลยบ่าเฮ้ย”

“อ๋อ...” พอฟังคำเฉลยแล้วก็ทำเอาผมยิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึก..

               

     
อ่า...หลงรักน้องมุ่ยมากขึ้นอีกแล้ว

 

 
เป็นเด็กที่โรแมนติกจริงๆ

 


“น่ารักจัง แฟนใครครับเนี่ย” ผมอดไม่ได้ที่จะกระเถิบตัวไปซ้อนหลังมุ่ยแล้วกางขาออกเพื่อนที่จะกอดให้ถนัดขึ้น กดจูบเบาๆที่หลังคอขาวอย่างมีความสุข

“รำคาญมึงว่ะบีม ไม่ช่วยแล้วยังมาวุ่นวายอีก ไอ้ตัววุ่นวาย!” บ่นครับ แต่เห็นนะว่าเขิน แก้มขาวๆนั่นขึ้นสีแดงเรื่อ มือบางก็พัดไปมาเหมือนร้อนทั้งที่แอร์เย็นฉ่ำ

“อยากใส่อะไรก็ใส่ไปเถอะน้องมุ่ย มึงจะมาเครียดกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้เว้ย” ผมวางคางตัวเองลงกับลาดไหล่ของมุ่ย หลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากคนในอ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ง่วงเลยว่ะ

“ไปนอนดีๆเด่ะ นี่จะทำกระทง ไม่เสร็จไม่ได้ลอยนะโว้ย!” มุ่ยขยับตัวพลางใช้ศอกดันมาข้างหลังเพื่อจะหลุดจากวงแขนผม แต่ผมก็ยังกระชับแน่นไม่ปล่อยง่ายๆ


“ไม่เสร็จก็ไม่เสร็จดิ ไม่ลอยก็ได้” ผมว่าอย่างเอาแต่ใจ

“มึงอย่ามากวนตีนดิ้ กูอยากไปลอย! มึงก็ต้องไป!”


“น้องมุ่ย...” ผมเรียกเสียงอ่อย จนน้องมันหันกลับมาสบตากับผมกลอกตาขึ้นบ่นพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ไม่ถึงสามวิมุ่ยก็ทำให้ผมยอมโอนอ่อนลุกขึ้นไปนอนบนโซฟาอย่างง่ายดาย

               


จุ้บๆ!

 

อะ...

 

“รำคาญหน้ามึงอะบีม งอแงสัด”

 

จุ้บๆ!

 

“ลุกขึ้นไปนอนดีๆก่อนกูจะเอาขันฟาดหัวมึง”

 

คนในอ้อมแขนโหย่งตัวลุกขึ้นแล้วจูบหน้าผากผมแรงๆหลายครั้ง แล้วผละออกมาว่าให้ก่อนจะจูบที่ริมฝีปากผมอีกหลายทีพลางใช้มือน้อยๆดันหน้าผากผมแล้วเจ้าตัวก็ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของผม หน้าแดงๆนั่นมองผมอย่างรำคาญ

             


อ่า...

 


เชี่ยแม่งเอ้ย...

 


ผมยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างยอมจำนน หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆไม่ต่างจากน้องมุ่ยมันหรอก

 

ชอบ...ทำอะไรแบบนี้ให้ผมใจสั่นอยู่เรื่อย

 

“อ้าวๆ เขินใหญ่ กิ้วๆ ฮ่าๆ” ปากน้อยๆนั่นยกยิ้มขึ้นอย่างชอบใจทั้งๆที่หน้าแดงไม่ต่างจากผมก็ยังจะแซว

 
“กูจะนอนก่อนละกัน เสร็จก็ปลุก”

 
“ชิ่วๆ”

 


ยอมแล้วครับ...

 



ยอมคนนี้คนเดียว

 

 

 





“เดินให้มันเร็วๆบีม! กูเย็นมือจะตายอยู่แล้วโว้ย!” มือบางกำข้อมือผมให้เดินตามตัวเองมา ความรีบของมุ่ยต้องช้าลงเพราะคนอัดแน่นเต็มบริเวณงานลอยกระทงที่จัดขึ้นในมอ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงของเหล่าแม่ค้าและนักศึกษา ปลายทางคือบ่อน้ำสร้างขึ้นเองจากพลาสติกเป็นจุดลอยกระทงที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ทางมอไม่อนุญาตให้ลอยในอ่างเก็บน้ำของมหาลัยน่ะครับ ก็เลยต้องสร้างขึ้นมาเองแบบนี้ แต่ก็ดีเหมือนกันครับ ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งผมทั้งน้องโดนเบียดไม่ต่างกันทั้งๆที่ก็รีบแท้ๆ



“ละลายแล้วบีมๆ ห่ามึงเอ้ย!”

“ถึงแล้วนี่ไงๆ โวยวายจริงว่ะ” ผมหลุดยิ้มให้กับความกระวนกระวายของคนข้างตัว ในที่สุดเราสองคนก็พากันเดินมาอย่างทุลักทุเลจนถึงที่ว่างข้างๆสระน้ำพลาสติก กระทงของคนอื่นๆลอยว่ายอยู่ในน้ำหลากหลายแบบแล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน ผมก้มลงมามองกระทงของคู่ตัวเอง สุดท้ายดอกไม้ที่มุ่ยนั่งคิดไม่ตกว่าจะเอายังไง สุดท้ายก็...

 


‘แม่งเง้ย! ไม่คิดแล้ว ใส่ๆมันให้หมดนี่แหละ’

 


นั่นแหละครับ...สุดท้ายก็ออกมาเป็นดอกไม้ทุกดอกที่มุ่ยเตรียมมาถูกจับโยนๆใส่ขันโดยไม่ลืมให้ดอกปีปเด่นชัดที่สุด

“จุดไฟแช็คๆ” มุ่ยล้วงไฟแช็คออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วส่งให้ผม เราสองคนทรุดนั่งยองๆกับพื้น เห็นหน้ามุ่ยแล้วขำว่ะ หน้ามันจริงจังจนผมต้องหลุดหัวเราะออกมา

“ขำไร จุดเร็วๆสิบีม”

“โอเคๆ”

พอผมจุดไฟลงกับปลายไส้เทียนและธูปที่ปักกับกระทงน้ำแข็ง เราสองคนก็จับกระทงไว้แล้วยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อขอขมาและอธิษฐาน

“ขอขมาแม่คงคาในสิ่งที่ผมเคยได้ทำให้สกปรกทั้งตั้งใจไม่ตั้งใจ....” ผมหลับตาขอขมาแม่คงคาและอธิษฐานยังไม่ทันเรียบร้อยดี เสียงเล็กๆก็ดังขึ้น จนผมต้องลืมตาขึ้นมาดู

“ขอให้แม่คงคาดูแลรักษาแม่น้ำของประเทศเราตลอดไปเลยนะครับ สาธุๆ” ผมหลุดขำกับคำขอประหลาดๆของมุ่ย

“ขอให้เตียกับม๊าของผม พ่อกับแม่ของบีม เฮียคราม ฟ้าใส ลุ้ย พี่พระนาย น้องบู ญาติๆเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ผมรู้จักทุกคนมีความสุขมากๆ อย่าเจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพร่างกายแข็งแรง ส๊า...ธุ” มุ่ยหรี่ตาขึ้นมาข้างนึงเหมือนจะแอบดูผม เจ้าตัวสะดุ้งนิดๆเมื่อรู้ว่าผมมองอยู่



“เสร็จแล้วใช่ไหม”

“ยังสิ”

“แต่น้ำแข็งจะละ-”

 


“อะแฮ่ม! ขอให้คนชื่อบีมกับคนชื่อมุ่ยมีความสุขมากๆ!!”

 

 

!!!

 

 

“ขอให้สองคนนั้นรักกันไปนานๆเลยนะครับแม่คงคา!!!”

 

 

เชี่ย...

 

 

“อะ เสร็จละ ลอยได้” ตัวดีหันมาฉีกยิ้มกว้างให้กับผมหลังจากตะโกนโพล่งคำขอเมื่อกี้จนทุกคนหันมามองอย่างตกใจ บางคนซุบซิบแล้วชี้มาทางเราสองคน

 



อย่าว่าแต่คนอื่น

 



ผมก็ช็อคกับความเล่นใหญ่ของไอ้น้องมุ่ย

 



“หมั่นไส้พวกมีคู่โว้ยยย!!!”

“ไอ้มุ่ยไม่เคยทำให้กูผิดหวังจริงๆ ฮ่าๆ!”

“อิจฉาพวกแม่งงงงงงงง”

 



เสียงคุ้นเคยจากคนรู้จักแว่วมาให้ได้ยิน ทั้งผมและมุ่ยมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา ผมขยี้ผมน้องอย่างเอ็นดูเจ้าตัวหัวเราะแหะ ก่อนจะเอ่ยออกมา



“กูกลัวแม่คงคาไม่ได้ยินอะ แหะๆ”

 

“น้องมุ่ย...”

 

“ว่า...”

 

“จะให้กูรักมึงไปถึงไหนกัน”

 

“อืม..”

 

“...”

 

“ก็นานๆไปเรื่อยๆนั่นแหละ”

 

“เนอะ”

 

เราทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนจะค่อยๆวางกระทงลงน้ำแล้วดันมันเบาๆให้ลอยออกไป มุ่ยเกาะขอบพลาสติกมองดูกระทงของตัวเองที่ค่อยๆละลายเมื่อน้ำกับน้ำแข็งเจอกัน

ผมคิดมาตลอดว่าวันลอยกระทงเป็นวันที่น่าเบื่อ เป็นประเพณีที่จัดขึ้นเพื่อขอขมาแม่น้ำคงคา โดยการนำกระทงไปลอย ผมว่ามันสร้างขยะในแม่น้ำให้มากกว่าเดิมซะอีก ผมมองว่าเราจะขอขมากับน้ำที่ไหนก็ได้นั่นแหละ ผมเลยไม่ค่อยแคร์กับความสำคัญของวันนี้เท่าไหร่ แถมยังเป็นวันที่เหมือนจุดประสงค์เปลี่ยนไปเรื่อยๆโดยเฉพาะหนุ่มสาววัยรุ่นบางกลุ่มที่ทำให้ประเพณีดีๆต้องกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้

พล่ามมาซะนาน เอาจริงๆผมแค่จะบอกว่าลอยกระทงปีนี้กับมุ่ยทำให้ผมมีความสุขที่สุดกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา

 


กระทงน้ำแข็งนั่นก็ส่วนหนึ่ง...

 



ที่สำคัญคือผมได้ฟังคำอธิษฐานที่น่ารักที่สุด...

 



จากคนที่ผมรักที่สุดเช่นกัน...

 



...

จบจ้า




แวะมาส่งตอนพิเศษวันลอยกระทงค่า หวังว่าทุกคนจะชอบเน้อ เขียนฉากหวานๆยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่น้องจะพยายาม ฮืบบบบบ เอ็นดูน้องมุ่ยกับพี่บีมด้วยนะค้าๆ

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันลอยกระทงนะคะ รักๆ

ปล.กำลังปั่นเนื้อเรื่องอย่างขมักเขม้นนะคะ อาจจะมาช้าแต่มาแน่นอนครับผม! 

 

 
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนพิเศษ กระทงหลงทาง (UP) 22/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 23-11-2018 11:48:01
 :L2:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนพิเศษ กระทงหลงทาง (UP) 22/11/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-11-2018 16:43:00
 :L2: :pig4:

ชอบนะ
ถ้าหวานมากคงไม่ใช่มุ่ย 55
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 10 ทัวร์ติดชีวิตกากๆ (UP) 01/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 01-12-2018 00:58:21
ตอนที่ 10

ทัวร์ติดชีวิตกากๆ




“ฮา~”

ผมโถมตัวลงกับที่นอนอย่างหมดแรง เหลือบตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า ผมถอนหายใหญ่ออกมาเฮือกใหญ่พร้อมบิดตัวอย่างเกียจคร้าน หมดแรงแล้วครับ

“งึ่ย~” ผมปั้นผ้าห่มผืนใหญ่ให้เป็นก้อนๆ แล้วซุกหน้าลงกับมัน แล้วใช้ขาตวัดผ้าห่มผืนที่เล็กกว่าขึ้นมาคลุมตัว ชีวิตบนเตียงผมต้องมีหมอนสองใบกับใจเหงาๆ หมอนข้างและผ้าห่มสองผืน ผมเป็นคนติดผ้าห่มมาก ไม่ว่าจะร้อนจะหนาวก็ต้องห่มผ้า ติดมาตั้งแต่เด็กละครับไม่เคยแก้นิสัยนี้ได้

ผมมีนัดถ่ายงานกับรุ่นพี่คณะมนุษคนสวยในเช้าวันนี้ทำให้ต้องรีบตื่นแต่เช้า ถึงจะหนาวจนปากสั่นก็ต้องขี่รถออกไป แต่ตัวผมก็ไม่ค่อยจะมีสมาธิกับมันซักเท่าไหร่เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสอง ไม่ต้องเดาสาเหตุให้วุ่นวายนะครับทุกคน รู้ๆ กันอยู่


ไอ้ศัตรูตัวร้ายนัมเบอร์วัน!


หลังจากที่มันกระทำมิดีมิร้ายกับมือของผม จนผมระเบิดกลายเป็นโกโก้ครั้นทำอะไรไม่ถูก เท้างามๆ เลยกระตุกใส่ขาบีมอัตโนมัติจนมันหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น มันมองหน้าผมอย่างเหวอๆ ไปสามวิ แล้วก็โพล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นจนผมทำตัวไม่ถูก ทำเอาคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นมองมาที่เราสองคนกันใหญ่ ผมจึงก้าวขาไปที่รถรีบสตาร์ทเตรียมหนี ด้วยความหมั่นไส้มันเลยไม่ลืมที่จะส่งนิ้วกลางให้แล้วบิดหนีออกมา


ผมจะไม่ทนกับบีม ผมพูดเลย


ทำอย่างนี้ได้ยังไง!


มันต้องเอายามาทาให้ผมสิครับ!


เอาปากมาแตะยังงี้ บ้านไหนสอนมึ้ง! มันจะหายไหม?


คิดดู๊! กลับหอมาผมต้องไปควานหายาทาแก้ฟกช้ำที่อยู่ซอกหลืบไหนก็ไม่รู้มาทารอบๆ ข้อมือ แล้วกูมันคนเหี้ยอะไรข้อมือบ๊างบาง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ช้ำ ผมเบื่อมาก

คิดแล้วก็อยากทุบๆ ไอ้บีมให้ข้อมือมันหักไปเลย ทำผมเจ็บแล้วยังมาหัวเราะใส่ คนดีๆ เขาไม่ทำมีแต่คนเห้อย่างมันนี่แหละครับ





Rrrrrrrrrrrrr



“โหล!” ผมกดรับสายโดยที่ยังไม่ได้มองหน้าจอโทรศัพท์ว่าใครโทรมา

(นี่เอ็งรับสายเฮียงี้อ่อวะ?)

“โทรมาไมอะเฮีย ข้าอารมณ์ไม่ดีอยู่โว้ย” เฮียแม่งก็โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลาเลยจริงๆ

(เอ็งบอกใสว่าจะกลับวันนี้ไม่ใช่เรอะ เดี๋ยวเฮียไปรับเปล่าๆ) เสียงอารมณ์ดีเชียวนะ หมั่นๆ

“เอ้า! เออ ลืมเลยว่ะ” ผมชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้องเรียกให้กลับบ้าน เกือบไปแล้วไหมละมุ่ยเอ๊ย ถ้าอาทิตย์นี้ผมไม่กลับบ้านนะไอ้ใสเอาผมตายแน่ อย่าว่าแต่น้องเลยครับ เตียกับม๊าจะลงมาหาอันนี้สยองสุด

(ยังไง จะให้เฮียไปรับหรือว่าจะมาเอง)

“มารับหน่อย ขี้เกียจขี่รถอะ โคตรหนาว”

(ซักสองทุ่มได้ป้ะ ข้ามีเดทว่ะ อิอิ) หมั่นไส้มันจังครับ เสียงนี่กระดี๊กระด๊าไปไหน

“หูยยย จะฟ้องพี่พระนาย”

(เอาเล้ยๆ) แหม๊! จะลองดีว่ะเห้ย

“นี่พิมพ์แชทละนะ...”

(มุ่ย นี่เฮียเอง เฮียว้อเว่น ข้าสารภาพตรงนี้ว่าจะไปหาซื้อของขวัญให้พระนายมัน เฮียไม่ได้มีเจตนาจะนอกใจแม้แต่น้อยแต่นิดลิทเติ้ลบิทลิทเติ้ลมอเลย วอนน้องมุ่ยลบแชท เฮียขอ)

“ฮ่าๆ ๆ” ผมหัวเราะเสียงดังลั่น แม่งไม่แน่จริงนี่หว่า หน้าไหนขอให้บอก! ตัวๆ ยังได้! สู้ได้ทุกคนครับ! ยกเว้นคนเดียว เฮียครามเก่งแค่ไหนก็ต้องแพ้พี่พระนายฮีโร่ของผม พูดเลย

(มุ่ยยยยยย อย่าบอกมันนะเว้ย เฮียจะเซอไพรส์อะ)

“วันนี้ข้าต้องเข้าไปที่โรงเรียนพี่เพลินอะ เฮียเสร็จธุระแล้วก็รอหน้าหอละกัน”

(นี่เอ็งให้คนอย่างเฮียครามรอเหรอวะ?)

“พี่-พระ-นาย-มุ่ย-มี-เรื่อง-จะ-ฟ้อ-” ผมทำเป็นกระแทกเสียงเหมือนกำลังพิมพ์อยู่

(ถ้ามุ่ยให้เฮียดำน้ำ เฮียก็จะถามว่าให้ดำลึกแค่ไหน ถ้ามุ่ยบอกให้เฮียรอ เฮียจะถามมุ่ยว่าให้รอแค่ไหน ฮรึก...)

“เค้ๆ”

ผมกดวางสายหลังจากแกล้งเฮียมันจนหนำใจ นี่แหละครับคุณหมอฟ้าครามผู้แสนจะเท่เนี้ยบ สุขุมนุ่มลึกเป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่ มันก็จะกากๆ หน่อยแบบนี้ล่ะ ฮ่าๆ

ผมว่าผมจะงีบซักแป้ปนะทุกคน ตอนบ่ายผมต้องเข้าไปหาพี่เพลินที่โรงเรียนสอนศิลปะอีก มาครับ มาทัวร์ชีวิตวันนี้ของผมกัน!







“ผมถึงละ เดี๋ยวจอดรถแป้ปๆ เคๆ” ผมวางสายหลังจากคุยกับพี่เพลินเสร็จระหว่างนั้นก็บิดกุญแจดับเครื่องน้ององุ่นในลานจอดรถขนาดกลางของ Plearn Studio Art&Design กระชับกระเป๋ากล้องกระเป๋าคาดอก สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองเล็กน้อย แล้วเตรียมเดินเข้าร้านไป

Plearn Studio Art&Design คือชื่อโรงเรียนสอนศิลปะขนาดกลางตั้งอยู่ใจกลางเมืองของจังหวัดมีผู้คนที่สนใจทางด้านศิลปะเข้ามาสมัครเรียนกันมากมาย เป็นโรงเรียนเก่าแก่ที่อยู่มานานมากแล้วแต่ก็ยังคงเจ๋งอยู่ ก่อตั้งขึ้นโดยคุณตาของพี่พระนายที่เป็นอาจารย์ชื่อดังในแวดวงศิลปะ ดูแลมาเรื่อยๆ จนถึงยุคของพี่พระนายที่ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของโรงเรียนนี้ และมีพี่เพลินกับพี่ขันเพื่อนสนิทพี่พระนาย เข้ามาเป็นอาจารย์สอนที่นี่ด้วย โรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อสอนศิลปะให้กับทุกวัยตั้งแต่เด็กจนถึงโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะทั้งคอร์สวาดเส้น คอร์สสถาปัตย์ คอร์สออกแบบต่างๆ คอร์สเพนท์ติ้ง คอร์สการ์ตูน คอร์สศิลปะเด็ก บลาๆ โรงเรียนจะไม่รับเด็กเยอะจนเกินไปเน้นความรู้ความเข้าใจที่ทั่วถึง ครูอาจารย์ที่มาสอนก็เก่งๆ กันทั้งนั้น ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่โรงเรียนสอนศิลปะแห่งนี้เป็นที่สนใจมากๆ

ถามว่าผมรู้จักได้ยังไง เคยเรียนเหรอ ก็...ไม่เชิงครับ พี่ทั้งสามคนเขาเป็นเพื่อนกับเฮียครามตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้ว ผมก็เลยได้วิชาความรู้เล็กๆ น้อยๆ จนพอจะเข้าคณะนี้ได้นั่นแหละ



กรุ๊งกริ๊ง~



“อ้าว! น้องมุ่ย ไม่ได้เจอกันนานเลยอะ คิดถึงจัง” พอเปิดประตูเข้ามาก็เจอกับพี่เนยครูสอนศิลปะเด็กแฟนพี่เพลินพอดี

“แค่สองอาทิตย์กว่าๆ เองครับ ฮ่าๆ พี่เพลินเรียกผมมาช่วยงานอีกแล้วง่า” ผมมุ่ยปากบ่นกับพี่เนย ผมมักจะมาช่วยงานที่นี่บ่อยมากครับช่วงที่ยังไม่เข้ามหาลัย มาช่วยดูเด็กให้บ้างช่วยสอนนิดๆ หน่อยๆ บ้างแต่พอเข้ามหาลัยได้ปุ้ปก็นานๆ มาที ผมมองไปรอบๆ ร้านอย่างสนอกสนใจ ดูเหมือนว่าจะมีตกแต่งเพิ่มขึ้นอีกแฮะ

แต่ถึงจะมีการตกแต่งเพิ่มมากแค่ไหนสไตล์ร้านก็ยังเหมือนเดิมคืออบอุ่นเหมือนบ้าน ผนังสีขาวตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลแทบจะทุกชิ้นประกอบกับเหล่าต้นไม้สีเขียวที่ถูกวางอย่างสะอาดตา ห้องต่างๆ ถูกแบ่งอย่างชัดเจนไม่ให้เกิดการรบกวนกัน แบ่งเป็นโซนด้วย ก็มินิมอลตามสไตล์พี่พระนายเขาแหละครับ ชั้นล่างนี่จะเป็นของเด็กๆ เขา ชั้นบนผมไม่แน่ใจว่าเพนท์ติ้งมั้งถ้าจำไม่ผิด

“อ๋อ สอนอยู่ข้างบนนู่นแหละ ขึ้นไปเลี้ยวซ้ายห้องขวามือนะ เข้าไปได้เลยจ้ะ”

“แหะๆ ขอบคุณครับ”

“ว่าแต่เราทานอะไรมารึยัง เอาคุ้กกี้ไหม?” ผมเพิ่งให้ความสนใจกับจานเล็กๆ ในมือพี่เนยที่มีคุ้กกี้วางอยู่

“ทานแล้วครับ แต่ก็อยากกินคุ้กกี้ฝีมือพี่เนยคนสวยจังเลย”

“นี่ก็แซวพี่ เดี๋ยวพี่เอาขนมไปให้เด็กๆ ก่อนแล้วเดี๋ยวจะเอาขึ้นไปให้นะจ๊ะ” พี่เนยโบกไม้โบกมือใหญ่อย่างเขินๆ พลางชี้ไปที่ห้องเด็กน้อยเป็นเชิงว่าจะเข้าไปก่อน ผมผงกหัวให้แล้วเดินขึ้นบันไดไปเลี้ยวซ้ายตามที่พี่เนยบอก เอ ห้องขวามือ อ้าว! นี่มันห้องสำหรับดรออิ้งนี่หว่า


ฮานี่หยังมาขี้ลืม โค้ะ!




ก้อก! ก้อก! ก้อก!


ผมเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต เสียงพี่เพลินดังออกมาจากในห้องแว่วๆ ว่าให้เข้ามาได้ ผมจึงเปิดประตูเข้าไปทันที

“พี่เพลิน! น้องมาแล้วว่ะ! ...ขอโทษจ้า” ผมร้องทักทายพี่เพลินเสียงดัง พี่แกก็ทำปากจุ๊ๆ ผมก็เลยเงียบเสียงลงแล้วหันไปมองสภาพในห้อง โอ๊ะ! เด็กๆ กำลังเรียนวาดเส้นกันอยู่นี่หว่า

ผมก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ พี่เพลินเลยขอตัวกับนักเรียนก่อนจะเดินมาทางผมแล้วชี้มือให้ออกไปข้างนอกห้อง

“เสียงดังมึงนี่! นักเรียนกูตกใจหมด” พี่เพลินโบกหัวผมไม่แรงนัก แต่กูก็สะเทือนอยู่ดีว่ะพี่

“เอ๋า ใครจะไปรู้ว่ากำลังสอนอยู่ พี่เนยบอกให้เข้าไปได้เลยอะ” ผมแย้ง

“เออๆ ว่าแต่...ไม่ได้เจอมึงนานเลยว่ะ คิดถึงมึงชะมัด” พี่เพลินคว้าคอผมเข้าไปกอดพลางขยี้ผมอย่างรุนแรงจนผมหัวสั่นหัวคลอน

“แค่สองอาทิตย์กว่าๆ เองป้ะเหอะ นี่ก็พอได้แล้วโว้ย! จะฟ้องพี่พระนาย” ผมกระชากตัวเองออก เบ้ปากให้พี่มัน มือก็ยกขึ้นจัดเผ้าจัดผมให้มันเป็นทรงดีๆ พี่เพลินหัวเราะกว้างเหมือนไม่เกรงใจห้องอื่นที่กำลังสอนอยู่

“อยู่ให้มึงฟ้องซะที่ไหน”

“ไปไหนอะ”

“ไม่รู้ว่ะ มันบอกขอพักผ่อนซักเดือน” คนตรงหน้ายักไหล่ขึ้นเป็นเชิงว่าไม่รู้เหมือนกันว่าพี่มันไปไหน เห้ย...เห๋ย...แล้วเฮียมันรู้ป้ะนั่น ไม่ใช่ซื้อของขวัญให้พี่พระนายเก้อนะเว้ย

“ติสท์ว่ะ”

“พี่มึงอะ ฮ่าๆ รู้ตัวไหมว่ามึงเหมือนมันเข้าไปทุกทีแล้ว เหลือแค่หน้าตานี่แหละ” พี่มันหัวเราะกว้างขึ้น เอ่ยแซวผมอีก ผมมุ่ยหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก็คนมันจะเหมือนคนที่ตัวเองชอบก็ไม่ผิดปะครับ

“แล้วตกลงให้ผมดูห้องไหนให้อะ” ผมเข้าเรื่องทันที

“ห้องดรออิ้ง 3 วันนี้ไอ้ขันลาป่วย ยังไงก็ช่วยดูเด็กๆ ให้กูหน่อยละกัน กูเตรียมแบบไว้แล้ว” พี่มันชี้ไปทางห้องขวามือที่มีป้ายแขวนว่า ‘Drawing3’ ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ

“พวกพี่นี่ก็ทำเหมือนผมเก่งมากเนาะ ให้มาช่วยงาน ปีหนึ่งนะเว้ย”

“กูก็ให้มึงมาช่วยดูเฉยๆ เหอะว่ะ อีกอย่างคนมันไม่พอมึงจะให้กูทำยังไงห๊า”

“โด่ว”

“รำคาญมึงจริงๆ เอ้า! นี่เป็นคลาสที่ 3 นะ ส่วนใหญ่ก็รุ่นน้องมึงนั่นแหละมอห้ามอหก”

“โอเคๆ เออพี่ ขอถ่ายรูปบ้างได้ปะ เอากล้องมาแล้วอะ” ผมตบกระเป๋ากล้องตัวเองแล้วมองหน้าพี่เพลินเป็นเชิงถาม

“อืม แต่อย่าถ่ายจนไปกวนน้องมันล่ะ”

“เค้!” เมื่อแจงงานกันเสร็จแล้วผมก็เตรียมเดินไปที่ห้อง แต่พี่เพลินดันเรียกก่อน

“เอ้ยเดี๋ยวๆ รอกูตรงนี้แป้ป” พี่เพลินหันหลังเดินเร็วลงไปชั้นล่าง รอไม่นานพี่แกก็ขึ้นมาพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญมาให้ผม

“อะไรอะ” ผมรับมาแล้วพลิกกล่องเพื่อลองเดาดูว่ามันคืออะไร

“ของฝากจากพระนาย ครั้งที่แล้วมันไปเที่ยวญี่ปุ่นมา”

“รักพี่มันว่ะ” ผมฉีกยิ้มกว้างทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นกล่องของใคร เจอหน้าจะหอมซักสิบฟอด

“เอองั้นกูกลับเข้าห้องก่อน มึงก็ไปได้ละ” พี่เพลินโยกหัวผมเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป ผมแกะกล่องออกก็พบว่าเป็นฟิกเกอร์นารูโตะการ์ตูนตัวโปรด

“ฮือ กูคิดถึงพี่พระนาย” ผมโอดครวญออกมาไม่ดังมากกลัวจะไปรบกวนห้องอื่น ผมโคตรจะรักพี่มันอะ แม่งดูเหมือนไม่สนใจใครแต่รู้หมดว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วถนัดมากเลยนะกับการทำให้คนหลงรักเนี่ย โง้ยยยยย

ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงเดินไปตรงสุดทางเดินวางเจ้าฟิกเกอร์กับขอบหน้าต่าง เปิดแอพพลิเคชั่นถ่ายรูปหามุมแจ่มๆ และพอได้รูปที่ต้องการผมก็อัพลงอินสตราแกรมทันที





Fahmuii123






ขอบคุณงับ หอมหัวเจ้าคนน่ารัก @Pranaai.In11




พอใจละ

ไปทำงานดีกว่า



แอ๊ด!

ผมเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับเด็กรุ่นน้องกำลังเตรียมอุปกรณ์ของตนเองนั่งอยู่หลังขาตั้งไม้วาดรูปโดยมีแผ่นกระดาษถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนนั่งล้อมเป็นวงกลมโดยที่ตรงกลางมีโต๊ะขนาดกลางที่วางคนโทน้ำขวดแก้วน้ำอัดลมและกระป๋องสังกะสีถูกจัดไว้ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หน้าต่างของห้องนี้ถูกออกแบบมาให้กว้างและโปร่งกว่าห้องเรียนคอร์สอื่นๆ เพื่อให้แสงที่ลอดจากหน้าต่างส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ทำให้เห็นมิติของสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะได้อย่างชัดเจน

“อ่า...หวัดดีทุกคน นี่ชื่อฟ้ามุ่ยเรียนปีหนึ่งศิลปกรรมสาขาออกแบบนิเทศศิลป์ วันนี้จะมาช่วยดูแลแทนอาจารย์ขัน พี่แกไม่สบาย...”

“...”

“ก็ไม่ได้เก่งอะไร แค่มาช่วยดูเฉยๆ”

“...”

“ก็ลองวาดภาพแสงและเงาจากสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะดู สังเกตแสงที่เข้ามาให้ดีๆ ว่ากระทบตรงส่วนไหน ส่วนที่เป็นเงาก็ไล่สีเข้า เอาให้เจ๋งที่สุดเลยนะ”

“มองไรอะ วาดได้เล้ยๆ” ผมผายมือเชิญให้น้องมันเริ่มวาดได้แล้ว น้องๆ มองผมอย่างงงๆ แต่ก็เริ่มขยับมือเตรียมสเกตช์ภาพหลังพูดจบ

“ใครไม่เข้าใจตรงไหนยกมือนะ เดี๋ยวไปหา อ๋อ แล้วเราขอเก็บภาพหน่อยนะ โอเคกันไหม?” ผมเลิกคิ้วถาม

“...เอ่อ โอเค” เด็กๆ หันมองหน้ากันส่งสายตาเป็นเชิงปรึกษา ก่อนที่เด็กคนนึงจะตอบขึ้นมาทำให้ผมเหยียดยิ้มมุมปากขอบใจ

“งั้นก็ตั้งใจเข้าล่ะ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานตรงมุมห้องเพื่อจะเตรียมกล้องเก็บภาพซักนิดหน่อย และก็หลบออกมาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิเด็ก

ผมปรับกล้องเล็กน้อยแล้วยกขึ้นถ่ายภาพ แต่ไม่ได้ถ่ายไปเรื่อยๆ อย่างที่เคยทำเพราะไม่อยากให้น้องมันเกร็งแล้วมันจะกลายเป็นการกวนสมาธิแทน

พอถ่ายไปได้ซักพักชักเริ่มจะง่วงแฮะ แอร์เย็นๆ กับแดดอุ่นๆ นี่โคตรทำร้าย


ง่วงจัง


ไม่ได้เว้ยไอ้มุ่ย! มึงมาทำงานนะ! ตั้งใจหน่อย!


ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ เลิกถ่ายภาพแล้วเดินไปนั่งเช็ครูปตรงโต๊ะทำงาน


“พะ...พี่” ซักพักใหญ่เสียงกระซิบแผ่วเบาลอยมาจากเด็กที่นั่งข้างหน้าเยื้องไปทางขวานิดหน่อย กวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา


ห่า กูกำลังจะหลับเลย


“หืม? ว่าไง” ผมก้าวเดินเข้าไปหาน้องมัน ดีนะไม่ใส่ช้างดาวคู่ใจมา เดินทีนี่ดังแต๊บๆ เลย ฮ่าๆ

“ช่วยดูให้หน่อยดิ...” ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลังก้มตัวลงเล็กน้อยพลางยื่นหน้าไปถาม น้องมันก็ผงะออกไปนิดหน่อยเหมือนตกใจ แต่ก็ชี้นิ้วไปยังภาพของตัวเอง

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อีกเพื่อมองให้ชัด แว่นหายยังไม่ได้ไปตัดใหม่เลยครับ ความจริงสายตาผมสั้นไม่มากแต่ก็ถือว่าสั้น พอต้องมองกับภาพแบบนี้เลยต้องเพ่งหน่อย ลำบากจริงๆ

“ลงน้ำหนักตรงที่แสงเข้ามากเกิน เบามือหน่อยเด่ะ เบี้ยวด้วย นายก็เขียนลูกศรไกด์ทางที่แสงเข้าไว้ก่อนก็ได้” ผมแนะนำให้ฟังอย่างใจเย็น ก่อนจะหันหน้าไปถามว่าเข้าใจไหม น้องมันก็พยักหน้ารัว ทำไมหูแดงวะ? ร้อนเหรอ

“ให้เราลดแอร์ให้ปะ ดูท่าจะร้อน”

“มะ...ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะพี่” ผมผละออกจากน้องหูแดงแล้วกลับไปนั่งที่เดิมต่อ นั่งได้ไม่นานก็มีน้องๆ เรียกให้ผมเข้าไปช่วยดูให้อีก ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอกครับผมอย่าลืมว่าผมมันเด็กปีหนึ่ง แนะนำเท่าที่พอจะบอกได้เท่านั้นล่ะ







[BOO’ s PART]


“โอเค ทุกคนตั้งใจได้ดีมาก อาทิตย์หน้าพี่ขันก็จะมาสอนเหมือนเดิม วันนี้ก็แค่นี้แหละ ไปๆ กลับบ้านๆ” เสียงของผู้ชายร่างผอมสูงยืนพูดอยู่กลางห้องพูดจบ ทุกคนก็เก็บของเตรียมกลับบ้านกันทันที ไม่เว้นแม้แต่ผมที่รีบเก็บเหมือนกัน


ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา


“ไปเหอะ เดี๋ยวเรารวมงานเอง ไปไป๊” พี่มุ่ยไล่ทุกคนออกจากห้องอย่างไม่จริงจังนัก พวกผู้ชายแม่งมองตามตาละห้อย ผมเห็นผู้หญิงคนข้างๆ แอบถ่ายสตอรี่พี่มันไปด้วย


หมั่นไส้ว่ะ


หล่อสู้ผมก็ไม่ได้


แต่มีเสน่ห์มากอันนี้ไม่เถียง


รอทุกคนออกจากห้องไปจนหมดเหลือแค่พี่เขากับผม พี่มันก็เดินเก็บกระดาษวาดภาพของแต่ละคนไปเรื่อยๆ เก็บได้ภาพนึงก็ทำปากมุบมิบอยู่คนเดียว กูรอพี่มันเก็บเสร็จก่อนดีกว่า

ผมตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมานั่งกับขอบหน้าต่างบานใหญ่เพื่อรอเขาเก็บงาน


“กูบอกให้ลงเบาๆ โค้ะ! บ่านี่ มึงปาดสีทาบ้านเล่นรึไง”


“นี่ก็บางจ๊น ไหนเงาวะเนี่ย”


“จึๆ ถ้าพี่พระนายมาเห็นนะมึ้ง...”


ชิบหายแม่งกว่าจะเสร็จ ไม่ได้คุยมันละ


ผมลุกขึ้นทันทีเพราะรอไม่ไหว ตั้งใจเดินเข้าไปหา พี่มันชะงักเล็กน้อยยกนิ้วขึ้นถูจมูกอย่างงงๆ ว่าทำไมผมยังอยู่ต่อ

“เลิกคลาสละน้อง กลับได้แล้ว” ว่าแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินไปหยิบงานต่อ ผมก็คว้าข้อมือพี่มันไว้ก่อน

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

“อื้ม แต่ปล่อยก่อน ข้อมือเจ็บเห็นไหม” ร่างผอมบางบุ้ยปากไปตรงที่ๆ บอกว่าเจ็บ ผมก็คลายมือตัวเองออกทันที

“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”

อ่าห้ะ”

“พี่ห้ามเอาเรื่องที่ผมเรียนที่นี่ไปบอกพี่บีม”

“ฮึ?” พี่มันหยุดเก็บงานแล้วหันมาขมวดคิ้วมองหน้าผมระคนสงสัย

“ถึงพี่จะเป็นเพื่อนพี่บีมก็เหอะ ห้ามเด็ดขาด”

“นี่? นี่เพื่อนบีม?” พี่มุ่ยชี้นิ้วไปที่ตัวเองพลางถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

“ก็ใช่ดิ พี่ต้องการอะไรว่ามา ผมรู้นะว่าพี่ชายผมให้พี่แอบสะกดรอยตามมา ผมไม่โง่นะโว้ย” ผมขึ้นเสียงขึ้นอีกนิดเมื่อพี่มันยังทำหน้าไม่เข้าใจ พี่แม่งงงไรวะ

“คือกูไม่...”

“ถ้าจะเอาเงิน ผมบอกเลย...”

“...”

“ไม่มี้! สักกะบาทก็ไม่มี้! ลงคอร์สหมดแล้ว!”

“เดี๋ยวๆ ไอ้น้อง มึงมึนไร แล้วบีมที่พูดถึงคือบีมวิศวะมอกู?”

“ก็มีบีมเดียวปะ?”

“ห่ามึง! กูไม่ใช่เพื่อนมัน ไอ้บีมน่ะศัตรูหัวใจกูเล้ย” จู่ๆ พี่มุ่ยก็โพล่งออกมาเสียงดัง แถมยังหน้าแดงทำหน้าเหมือนไปโกรธใครมา

“แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะ...”

“ทำไม”

“มึงเป็นใครวะ” อ้าว ชิบหาย..

“ห้ะ...นี่พี่จำผมไม่ได้?” หลอกกูรึเปล่าเนี่ย

“กูรู้จักมึงเหรอ ขอนึกก่อน...”

“ต้องนึกด้วยเหรอวะ” ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่านึกอย่างจริงจัง

“เห้ย! นี่มึง!?” พี่มันยกมือข้างที่ว่างขึ้นปิดปากทำหน้าตกอกตกใจ

“เออ ผมเอง”

“มึง!? ...เป็นใครวะ” ไอ้เชี่ย! แล้วเล่นใหญ่ทำไม เดอะฟ้ากกก

“ผมชื่อบู! น้องพี่บีมไง จำไม่ได้จริงๆ เหรอวะ”

“บีมนี่รู้จัก...แต่มึง...”

“เออ ผมอะ ที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าทีวีแล้วพี่นอนตายอยู่บนโซฟาในห้องพี่บีมไง” ผมขยายความเข้าไปอีก แม่งต้องจำกูได้แล้วไหม

“อ๋อออออออออออออออออ” คนตรงหน้าร้องอ๋อเสียงดัง ผมก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่พี่มึงจำได้จริงๆ ปะเนี่ยเฮ้ย

“ที่อ๋อนี่จำได้จริงป้ะเนี่ย?” ผมหรี่ตามองพี่มันอย่างไม่เชื่อใจ

“ได้ดิ้~”

“เค งั้นก็อย่างที่ผมพูดไปนั่นแหละ”

“มึงว่าไงนะขออีกที” พี่มันเกาหัวแกรกๆ แล้วจูงมือผมไปตรงที่นั่งขอบหน้าต่างบานใหญ่ ยื่นหน้าเข้ามาจ้องผมแล้วขมวดคิ้ว

“เออหน้ามึงเหมือนบีมจริงๆ ว่ะ...แล้วตกลงมีไรจะคุยครับ?” แค่นั้นพี่มุ่ยก็เอนตัวกลับไปพิงผนังยกขาขึ้นมาวางข้างบนข้างนึง


คนเชี่ยไรวะขายาวชิบ...


“เอ้า สรุปยังไง”

“สรุปคือห้ามบอกเรื่องนี้กับพี่บีมเด็ดขาด” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“เรื่องที่มึงเรียนที่นี่...น่ะเหรอ?”

“อืม”

“เค้ แค่นี้ใช่ปะที่จะบอก”

“ก็ เออ แค่นี้” ผมอึกอักนิดหน่อยเมื่อพี่มันตอบรับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ถามซักนิดว่าเพราะอะไร

“งั้นก็กลับไปได้แล้วไป๊! กูจะเคลียร์ห้อง” คนตรงหน้าผมโบกมือปัดไปมา แล้วบิดตัวอย่างเกียจคร้าน

“พี่จะไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าทำไมถึงไม่ให้บอก” ผมลองหยั่งเชิงออกไป พี่มุ่ยหยุดการกระทำของตัวเองพลางหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแหยงๆ

“จะบอกอะไรให้นะไอ้น้อง หนึ่งคือกูกะบีมไม่ได้สนิทกัน ศัตรูอะรู้จักไหม ฮื้อ? แล้วสองกูแทบไม่รู้จักมึงเลย ที่เราเจอกันวันนี้ เห็นปะว่ากูจำมึงไม่ได้”

“กูค่อนข้าง...จำหน้าคนไม่ค่อยได้อะอย่างที่เห็น คือมันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องบอกบีม อีกสองสามวันกูก็ลืมหน้ามึงแล้วมั้ง...”

“กูไม่สนหรอกว่าทำไมมึงมาเรียนที่นี่ ไม่ใช่เรื่อง และไม่ใช่คนขี้เสือก”

“...”

“พอใจกับคำตอบยัง?”


พอใจสัดๆ พอใจมาก


“ครับ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่มันเลยยิ้มกว้างออกมายื่นมือมาขยี้ผมของผมเหมือนแกหมั่นเขี้ยวอะไรซักอย่าง

“แต่ว่านะ...” พี่มุ่ยลุกขึ้นบิดขี้เกียจนิดหน่อย สายตามองผ่านกระจกออกไปเหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง


หืม?


“จะตัดสินใจทำอะไรก็คิดดีๆ มอห้าใช่ไหมเราน่ะ...” ผมพยักหน้า “ถ้าแน่ใจจริงๆ แล้วว่านี่คือทางที่ใช่ก็พยายามเข้า! ถึงจะไม่มีใครเชื่อแต่อย่างน้อยตัวมึงก็ควรจะเชื่อตัวเองนะ”

“...” แม่ง...พูดเหมือนรู้อย่างนั้นแหละ

ผมเสยผมตัวเองขึ้นอย่างลวกๆ มองพี่เดินไปหยิบกล้องที่วางอยู่บนโต๊ะมุมห้องแล้วเดินมาทางผม

“อ่อ ยังมีกูกับพี่พระนายด้วย ไม่รู้ว่ามึงเคยเจอฮีโร่ของกูรึยัง” ระหว่างพูดไม่ได้มองหน้าผมซักนิด เอาแต่ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพนอกหน้าต่าง

“...พี่จะรู้อะไรวะ” ผมยิ้มเยาะให้กับตัวเอง อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย ให้เชื่อเหรอ? เชื่อแล้วยังไง? ถ้าคนนั้นไม่พยายามที่จะเชื่อในตัวผมเลย

“โอ้ยยย กูรู้ทุกอย่างแหละ จุดที่มึงยืนอยู่กูก็เค้ย! แต่กูคงไม่เทียบหรอกว่าปัญหาของมึงหรือกูใครหนักกว่ากัน มันไม่คูล”

“ผมพูดเป็นสิบรอบแล้วเหอะ พี่มันฟังที่ไหน...” ผมพูดอย่างเซ็งๆ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าคน...แปลกๆ อย่างพี่มุ่ยก็เป็นบ้ากับเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกัน

“เอ้อ! ไอ้บีมนี่มันน่าทุบๆ ให้แบนไปเลย”


ปุๆ ~


พี่มันเอื้อมมือมาตบบ่าผมสองสามทีพลางทำหน้าเห็นอกเห็นใจผมซะเต็มประดา

“คนเหี้ยไรมึนชิบหาย กูนี่ยอมเลย ด่าไปเป็นร้อย หลบเหมือนเดอะแมทริกอะ ฟุ่บ! ฟุ่บ! แม่งไม่รู้สึกเหี้ยไรเลย” ผมยิ้มขำกับท่าทางที่คนตรงหน้าทำ แล้วปล่อยให้พี่มันถ่ายรูปของมันไปตามใจ บางครั้งก็ถ่ายผมบ้าง เห็นทำปากมุบมิบบ่นกับตัวเอง ‘เผลอเก่งทั้งพี่ทั้งน้อง’ แล้วก็พึมพำไปเรื่อย






“ผมว่าเราควรกลับแล้วว่ะพี่” ผมยกนาฬิกาข้อมือดูก็ปรากฏเป็นเวลาเกือบจะหกโมง ยิ่งหน้าหนาวยิ่งมืดเร็ว ผมช่วยพี่มันเก็บของจนเสร็จเรียบร้อย เราสองคนจึงเดินออกจากห้องมา แต่ยังไม่ทันเดินไปไหนก็เจอกับพี่เพลินพอดี

“อ้าว นี่...บู ใช่ไหม?” ผมพยักหน้า “ยังไม่กลับอีกเหรอ”

“ผม...”

“นี่ให้น้องมันอยู่เป็นแบบให้อะ เห็นแสงมันสวยพอดี”

“ไอ้นี่ก็ไปใช้น้องเขา โทษทีนะ มุ่ยมันไม่ได้ทำอะไรให้ลำบากใจใช่ไหม” พี่เพลินทำสีหน้าเหมือนจะไม่ค่อยสู้ดีพลางชำเลืองมองคนข้างตัวผมไปด้วย

“ไม่ครับ พี่มุ่ยสอนดี” ผมชมพี่มันกลับไปงั้นๆ

“อย่าไปยุ่งกับมันมากนะ เดี๋ยวเป็นบ้า” พี่เพลินเอามือป้องปากพูดกับผม เออ ทำอย่างกับพี่มุ่ยมันจะไม่ได้ยินอย่างนั้นแหละ

“บ้าก็บ้ารักน้ำตาลแหละว่ะ ฮ่าๆ” ผมผงกหัวเป็นเชิงลา เพื่อที่จะขอตัวออกมาก่อน



มันออกจะนอยด์หน่อยที่พี่มุ่ยทำเหมือนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่หลังจากได้พูดคุยกันไม่กี่คำ ที่พี่มันพูดว่าเคยอยู่จุดนั้นมาก่อน ผมไม่อยากจะเชื่ออะ ดูเป็นคนที่ทำตามใจตัวเองมาตลอดแบบนั้นจะมาเข้าใจอะไร...


แต่ก่อนอื่นเลย...


กูจะกลับยังไงวะ ไอ้เหี้ยเอ้ย ลืมไปว่าให้เพื่อนมาส่ง


ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 10 ทัวร์ติดชีวิตกากๆ (UP) 01/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 01-12-2018 00:59:54
ต่อตรงนี้จ้า


ปิ้น!


เชี่ย!


ผมสะดุ้งเล็กน้องเมื่อได้ยินเสียงแตรรถ พอหันไปมองก็พบกับมอ’ ไซสกู้ปปี้สีม่วง มีเจ้าของนั่งคร่อมรถอยู่แถมกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาอีก

“ไปส่งป่าวน้อง!”

“ไม่...”

“ขึ้นมาเล้ย เดี๋ยวพี่พาแว๊น แง๊นๆ แง๊น!”


ไม่ไปได้ไหมวะ...










“เอ้า! ถึงแล้ว”

“ชิบหาย! พี่มึงจะพากูไปลงคลองอยู่แล้ว! พี่ขี่ยังไงของพี่วะ โว้ย!!” พอก้าวขาลงมาจากรถถอดหมวกกันน็อคออกได้ ผมก็ว่าให้พี่แม่งเลย ไอ้เหี้ยเอ้ย ใจกูร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“ก็บอกว่าจะพาแง๊นๆ ไง พี่มึงก็เคยซ้อนไม่เห็นมันจะบ่นเลย โด่ว” พี่มุ่ยถอดหมวกกันน็อคออกมา แล้วทำปากยื่น

“นั่นมันพี่บีมไม่ใช่ผม! ไอ้พี่แม่งชอบขับเร็วพอๆ กันนั้นแหละ ไปอยู่ด้วยกันเลยเหอะ ให้ตายดิวะ” ผมเสยผมตัวเองขึ้นอย่างโกรธๆ ขี่แม่งเหมือนถนนไม่มีรถอะ ปาดซ้ายปาดขวา เหอะๆ แล้วอย่าหาว่าผมป๊อดถ้าคุณไม่เคยซ้อนไอ้พี่สองคนนี้ ใจจะวาย!

“โอ๋~ ฮ่าๆ”

“ไปเลยไป แล้วขี่ดีๆ ด้วยนะโว้ย บ้านมันไม่ได้รีบไปไหน โอเค้!” ผมไล่คนตรงหน้าให้รีบไป ใจนึงก็มันมืดแล้ว อันตราย อีกใจก็ไม่อยากให้พี่บีมมาเจอ ขี้เกียจตอบคำถาม

“เออๆ ไปละ” พี่มันสวมหมวกกันน็อคพลางโบกมือให้ผม พลางสตาร์ทรถเตรียมเร่งเครื่องออกไป เสียงเรียกชื่ออันคุ้นเคยทำให้ผมตัวแข็ง


“ไอ้น้องมุ่ย? บู?”


กูว่าแล้วไง...








[FAHMUI’ s PART]



“ไม่ต้องอิจฉานะ เฮียมันก็แค่เมียน้อย”

“ไอ้มุ่ย...”

“ฟิกเกอร์นารูโตะเชียวนะ ดูดิ ไปไหนก็ซื้อของฝากตลอด ต้องรักกันแค่ไหนวะเฮีย ถามจริง?”

“ข้าจะร้องไห้แล้วจริงๆ นะ...”

“รำคาญอะเฮียมุ่ย กินข้าวดิ้ ขิงมาตั้งแต่เข้าบ้านจนตอนนี้ก็ยังไม่หยุด เดะทุบเลย”

“ฮ่าๆ”

ผมลั่นหัวเราะเสียงดังจนใสตีมือผมให้หยุด แต่มันหยุดไม่ได้จริงๆ อะ ฮ่าๆ ดูหน้าเฮียครามตอนนี้ดิ แม่งจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว โอ้ยยยยยย กูขำ!

“เฮียจะปิดคลินิกแล้ว! เฮียจะไปหาพระนาย เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!” เฮียทำท่าสะบัดสะบิ้งจะลุกออกจากโต๊ะ แต่ก็ยังเหล่สายตามามองฟ้าใส ยึกยักๆ อยู่อย่างนั้น

“ใสจะไม่ห้ามเฮียหน่อยเหรอ...”

น้องผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าไม่สนใจแล้วตั้งใจกินข้าวต่อ เฮียครามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครง้อก็เลยมุ่ยหน้ากระแทกตัวลงนั่ง มองผมตาขวางพลางตักข้าวเข้าปากด้วย

หลังจากส่งน้องบีมเสร็จแล้ว ผมก็ขี่รถมาที่หอ รอเฮียครามมารับ พอขึ้นรถก็อดไม่ได้ที่จะขิงฟิกเกอร์ที่พี่พระนายให้มา เฮียแม่งทั้งโวยวายทั้งตัดพ้อผมใหญ่เลย จนผมต้องวิดีโอคอลไปหาพี่พระนายให้คุยกับเฮียเอง เฮียครามก็โดนด่าชุดใหญ่เลย


‘รำคาญครามว่ะ เรื่องแค่นี้’

‘ไม่ต้องมางอแง เดี๋ยวเจอทุบ’

‘ก็นายรักน้อง ครามจะทำไม?’


ก้ากกกกกกก! ให้มันรู้บ้างว่าใครเจ๋งที่สุด!


“กินเสร็จแล้วไปล้างจานกันด้วยนะ เออ ดูฮิลเฮาส์กัน ใสอยากดู”

“ใส! เฮียกลัวผี!”

“ก็ดูกันหลายคนปะวะ เฮียอย่าป้อด” ผมมองน้องสาวตัวเองยืนเท้าเอวทะเลาะกับพี่ชายคนโตด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ

“ก็เฮียไม่ชอบหนังผี...” เฮียครามก้มหน้าทำปากมุบมิบพึมพำเสียงเล็กเสียงน้อย ทำหน้าตาน่าสงสารหวังจะให้ไอ้ใสมันเห็นใจ

“ถ้ายอมดูด้วยเดี๋ยวจะขอพี่พระนายให้ เอาเปล่า?” ผมยกนิ้วโป้ชมน้องอย่างถูกใจ เรื่องที่จะขอก็คงไม่พ้นให้ไปหานั่นแหละครับ เฮียครามถูกพี่พระนายห้ามไม่ให้ไปหาเพราะจะเสียงานเสียการ


“โอ้ยยยยย! ไม่เห็นจะหน้ากลัวตรงไหน!”


“ไหน! หนังผีอะ ให้เฮียดูอีกสิบเรื่องเฮียก็สู้ว่ะ พูดเลย”


ผมมองพี่ชายกับน้องสาวตัวเองทะเลาะกันไปมาแล้วก็นึกขำ กลับมาเจอกันพร้อมหน้าทีไรก็เป็นอย่างนี้ โวยวายกันซะส่วนใหญ่ วนกันอยู่สามคนนี่แหละ บ้าบอ

“เฮียมุ่ยไม่ต้องมานั่งหัวเราะ ไปล้างจานเลย”

“เฮียครามด้วยดิ!” ผมว่าอย่างไม่ยอม

“ไปทั้งสองคน ถ้าใสอาบน้ำเสร็จแล้วเห็นว่ายังไม่ล้างจานกันนะ” ฟ้าใสทำหน้านิ่งยกนิ้วชี้ขึ้นทำท่าปาดคอ ทั้งผมทั้งเฮียเลยรีบกุลีกุจอเก็บจานบนโต๊ะกัน


“เฮียเป็นคนคูลๆ ไปเพื่อไรวะ...”


“ฮ่าๆ !”


วันๆ ของผมก็แบบนี้แหละครับ อิอิ





...


แฮร่! มาเร็วแปลกๆ เลยค่า เอามาส่งก่อนไฟนอลจ้าาาา ตอนนี้พี่บีมโผล่มาหนึ่งวิ เจอกับน้องบูไปก่อน น้องบูก็น่ารักน้าาา ก็จะมีประเด็นให้กระชับความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ให้พี่บีมเขาใจแกว่งบ้างเนาะ เห็นมีแต่น้องมุ่ยเขินอยู่คนเดียว 5555 ไม่แน่ใจว่าก่อนปีใหม่น่าจะได้อีกซักตอนรึเปล่า ฮ่าๆ ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆ นะค้า เยิฟๆ เลย
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 10 ทัวร์ติดชีวิตกากๆ (UP) 01/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-12-2018 05:07:35
ตามอ่านมาสักพัก ยังไม่เคยเม้นท์ ขอเม้นท์บอกเลยว่าสนุกกกกกกกค่าาา มุ่ยติ๊งต๋อง บ้าบอและฮามาก บ้านนี้พี่น้องนิสัยคนละทางเลย  จริงจัง : บ้าบอ : ชอบงอแง แต่อยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัวดีอ่ะ 555555 //อ้าวแล้วบูโดนกีดกันความชอบสินะ ถึงได้แอบๆเรียนอย่างนี้ เดี๋ยวไอ้มุ่ยคนคูลเคลียร์เอ๊ง ไอ้พี่บีมยอมอย่างไว แต่อาจจะแลกด้วยความเปลืองตัวหน่อยนะ เอาจริงๆไอ้พี่บีมพี่มันก็แอบร้าย ค่อยๆเนียนจีบ ฮ่าๆ รอให้บีมรุกนะเนี้ย ให้มุ่ยได้รู้ตัวสักทีว่าคู่ควรกับใครหาใช่พี่น้ำตาลคนงามไม่ 5555 สนุกดี ชอบๆ อ่านเพลิน ขำไปกับความบ้าบอของมุ่ย รอตอนต่อไปเลยค่ะ กดติดตามๆ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 11 เพราะคนอย่างเรามัน... (UP) 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 10-12-2018 02:07:15
ตอนที่ 11

เพราะคนอย่างเรามันเป็นแค่ที่ปรึกษา



“ฮ้าว~ เฮีย วันนี้ไปส่งหน่อยเด่ะ หนาว ขี้เกียจขี่รถ” หลังจากตื่นนอนแปรงฟันทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินหาวหวอดๆ ลงมาข้างล่างโดยที่ยังไม่อาบน้ำกับเจ้าชุดนอนลายนารูโตะการ์ตูนตัวโปรดเพื่อทานข้าวเช้าที่น้องสาวทำไว้ให้


ผมเดินเข้าไปในครัวก็เห็นฟ้าใสกำลังง่วนอยู่กับข้าวเช้า ไหนดูดิ้ทำไรกิน

งุ้ย ข้าวต้มกุ้งของโปรด


“ไปเอาชามมาตักดิ ฝากตักไปให้เฮียด้วย” ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วทำตามที่น้องบอก

“ทำไมตาเป็นงั้นวะมุ่ย ฮ่าๆ” เฮียครามเดินมารับชามข้าวต้มจากมือผม แล้วเราสองคนก็เดินมานั่งที่โต๊ะทานอาหาร เฮียครามก็อยู่ในชุดนอนลายลูฟี่หมวกฟางเหมือนกัน เช้านี้มีแค่น้องสาวของเราเท่านั้นที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

พวกเราสามคนพี่น้องชอบดูการ์ตูนมาก ขอให้ได้มีของสะสมหรืออะไรซักอย่างที่เป็นการ์ตูน อย่างผมกับเฮียชอบสะสมฟิกเกอร์เป็นชีวิตจิตใจ ส่วนฟ้าใสชอบซื้อของออฟฟิเชียล ผมเห็นแต่ละอย่างที่น้องซื้อมาแล้วถึงกับทึ่งในราคาของมัน แพงตาหลุดเลยครับ เออ อันที่จริงชุดนอนของฟ้าใสจะเป็นลายกบเคโรโระด้วยล่ะ

“เพราะใครล่ะ เดี๋ยวจะฟ้อง”

“แล้วแต่” เฮียครามยักไหล่ให้อย่างกวนตีนพลางตักข้าวต้มเข้าปาก


หมั่นไส้


เมื่อคืนแม่งกว่าจะได้นอนนู่นตีสองกว่า เฮียครามกลัวผีจนนอนไม่ได้ต้องระเห็จมานอนที่ห้องผม แล้วนอนเบียดผมแทบจะตกเตียงแถมยังเรียกอยู่นั่นแหละ


‘มุ่ย...ทำไมเฮียรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตลอดเวลา’

‘นั่นมันรูปเรฟที่ข้าแปะไว้ต่างหากเล่า’

‘มุ่ย...เฮียรู้สึกเย็นที่เท้าแปลกๆ’

‘เปิดแอร์ไง เฮียก็หดขาขึ้นมาดิวะ...นอนได้แล้ว!’

‘มุ่ย...เฮีย-’

‘โว้ยยยย นอนเถ้อ! พรุ่งนี้ข้ามีเรียน!’


ครับ...

ทั้งคืนอะ

กูจะบ้า


“ตกลงวันนี้ไปส่งด้วยนะ” ว่าแล้วผมก็หันมาทานข้าวของตัวเองบ้าง งื้อ อร่อยสุด ฝีมือน้องสาวผมนี่สุดยอดแล้วอะ เจริญอาหารทุกครั้งที่กลับบ้าน

“แล้วใสอะ ให้เฮียไปส่งไหม” เฮียถามฟ้าใสที่เดินถือชามข้าวต้มของตัวเองมานั่งตรงข้ามกับผม

“ไม่อะ เดี๋ยวใสจะไปรับเพื่อนด้วย”

“เคๆ”

“เออ เฮียมุ่ย ใสซักเสื้อกีฬาให้แล้วนะ วางตรงนั้น” ฟ้าใสชี้นิ้วไปตรงโซฟาที่วางเสื้อของบีมไว้ เออเฮ้ย ลืมไปเลยอะว่าต้องคืนเสื้อมัน

“เอ็งเล่นกีฬาตอนไหนวะมุ่ย” เฮียครามเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“ของเพื่อน ยืมมันมาใส่”

“ข้าก็ว่า เด็กที่เกลียดกีฬามาทั้งชีวิตอย่างเอ็งเนี่ยนะจะหันมาเล่นกีฬา บ้าบอ”

“แต่ใสว่าเฮียมุ่ยต้องออกกำลังกายบ้างนะ เฮียเหมือนเด็กขาดสารอาหารเข้าไปทุกที บ้านเราไม่ได้ไม่มีจะกินนะเว้ย”

“เออๆ” เฮียครามเออออตาม จู่ๆ ทำไมหัวข้อสนทนามันกลายมาเป็นเรื่องรูปร่างผมได้ล่ะวะ

“เฮียก็กินไง เนี่ย ข้าวต้มเฮียกินหมดชามเลย” ผมโชว์ชามของตัวเองที่แทบไม่เหลือให้น้องดู

“เฮียก็กินเยอะแค่ที่ใสทำให้ แต่ที่อื่นกินน้อยเหมือนแมวดม อย่าคิดว่าไม่รู้นะ”

“ก็เฮียไม่อยาก” ไม่รู้ว่าผมเคยบอกรึยัง ถ้าบอกแล้วก็จะบอกอีก ผมมีนิสัยการกินที่ค่อนข้างจะประหลาดนี่รู้ตัวเลย ถ้าเป็นกับข้าวที่คนในครอบครัวทำผมจะทานได้เยอะถึงเยอะมาก แต่ถ้าได้ไปทานข้างนอกหรือเวลาอยู่หอเงี้ย ผมจะทานน้อยมาก ไม่ใช่ไม่อร่อยนะแต่ทานได้ไม่เท่าไหร่ก็อิ่มแล้ว

รู้สึกไม่ชินรสชาติ

สรุปคือผมเป็นบ้าครับ ช่างมัน

“เอ็งแทบจะผอมกว่าน้องมันอยู่แล้ว อย่าเลือกกินให้มันมากเหอะ”

“ขายาวๆ ของเฮียจะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว”

“เออๆ”

“รู้แล้วค้าบ ต่อไปนี้จะกินให้เยอะๆ แล้วค้าบ” ผมรับคำด้วยน้ำเสียงยานคาง ทำเอาทั้งพี่ทั้งน้องส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“กินหมดแล้วจ้า ไม่เหลือข้าวซักเม็ดเลยจ้า” ผมแหย่ให้น้องมันหมั่นไส้เล่นแล้วลุกเอาชามไปวางที่อ่างล้างจาน พลางทำมือบอกเฮียครามว่าจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดี๋ยวลงมา





“เฮียอย่าลืมเสื้อตัวนั้น” เสียงฟ้าใสเตือนมาจากในครัวเมื่อเห็นผมทำท่าจะเดินออกจากบ้าน เออ ลืมเฉยเลย ผมจึงเดินย้อนกลับมาหยิบเสื้อใส่กระเป๋าผ้าตัวเอง ตัวกูก็รุงรังจังเลยทั้งกระเป๋าผ้ากระเป๋ากล้อง ไม่วายต้องเดินไปตะโกนเรียกเฮียครามตรงบันไดที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จให้รีบลงมา

“เฮียเสร็จยัง! ชักช้าจังอะ”

“เสร็จแล้วๆ”


วิ้งๆ


“นี่เฮียแต่งตัวไปเข้าคลินิกจริงดิ แต่งหล่อไปอวดใครวะ” ผมยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นเฮียในลุคเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำกำลังเดินลงบันไดลงมา ไหล่ซ้ายถูกวางพาดด้วยเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด มือข้างหนึ่งก็ยุ่งอยู่กับการติดกระดุมข้อมือ ผมที่เคยยุ่งก็ถูกเซ็ตเข้าทรงเข้ากับหน้าของเฮียมันนั่นแหละ

เอ้า! ผมก็หล่อนะ หล่อกว่าด้วยคิดว่า วันนี้ใส่เสื้อสีเหลืองสดใสทับด้วยเอี๊ยมยีนส์ยาวตัวโคร่งที่ซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว โคตรเซอไพรส์ที่ตัวเองยังใส่ได้

“ข้าก็หล่อเป็นปกติอยู่แล้วมุ่ย” ว่าแล้วก็ต้องขิงกันหน่อย ผมเบ้ปากแรงๆ

“มินิมอลสไตล์เว่อ” เสียงฟ้าใสแซวมาจากในครัว ทำให้พี่มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง แต่เอาจริงๆ เลยนะ ผมสงสัยอยู่อย่างเดียว

“เฮียเอาเวลาไหนไปรีดผ้าวะ เรียบกริ๊บ” จำได้ไหมครับที่ผมเคยบอกว่าห้องเฮียแม่งเหมือนสมรภูมิรบ ผ้าก็กองสุมๆ ไว้แยกไม่ออกว่าอันไหนซักแล้วอันไหนยังไม่ได้ซัก

“คนเราจะมีน้องไว้ทำไม มีสมองก็คิดหน่อย คิดสิคิด”

“ใสมันใจดีขนาดรีดให้เลย?”

“เปล่า กูจ้างตัว 50”

“ถุ้ย”

“เฮียไม่มีตังแล้วมุ่ย เฮียจนมาก มุ่ยพอจะมีซักสองร้อย-”

“ใส! เฮียไปแล้วนะ จุ้บ!” ผมเมินเฮียมันแล้วเดินไปลาน้องพร้อมจุ้บเหม่งใสๆ หนึ่งทีอย่างเอ็นดู เป็นธรรมเนียมครับ ไม่ทำโดนงอน

“ทุกวันนี้กูสงสัยว่าตัวเองเป็นพี่ถูกเก็บมาเลี้ยงปะวะ น้องถึงไม่รักแถมยังใจร้ายกันได้ลงคอ...” เฮียทำปากมุบมิบบ่นกับตัวเอง แต่ก็เดินตามมาจุ้บน้อง

“บ้ายบาย ตั้งใจเรียน”







“ไปละเด้อ” ผมบอกพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออกเมื่อรถของเฮียมาจอดสนิทอยู่หน้าคณะ

“ไหนมาจุ้บก่อน” ผมยื่นหน้าฝั่งเฮียคราม แต่สายตาก็ก้มสำรวจของว่าเอามาครบรึเปล่า


จุ้บ!


“ตั้งใจเรียนนะไอ้จิ๋วของเฮีย แล้วก็...กลับบ้านบ่อยๆ นะเว้ย คิดถึง” เฮียมันลูบผมพร้อมคำอวยพร ผมพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจุ้บเหม่งพี่มันคืนจนเฮียยิ้มหน้าบานเป็นจานข้าวหมา เปิดประตูรถเตรียมจะออก

“แล้วตอนเย็นให้เฮียมารับหรือยังไง?”

“ไม่อะ เดี๋ยวให้เพื่อนไปส่งที่หอ”

“ข้าไปละนะ”

“ชิ้วๆ” ผมลงจากรถปิดประตูแล้วยืนโบกมือลาเฮียฟ้าครามที่ขับรถออกไปจนลิบ ผมก็เดินเข้าคณะตัวเองทันที



“เชี่ยมุ่ย” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็เห็นไอ้แก๊ปโบกมือให้ขณะเดินมา

“ชุดเด็กน้อยอะไรของมึง” พอมาถึงตัว มันก็มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำหน้ายุ่งถามผม

“ชุดอากงอย่างมึงมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ”

“ไปเรียนดีกว่า”

“เปลี่ยนเรื่องไอ้เหี้ย รอกูก่อน!” พูดจบมันก็เดินลิ่วนำผมไปเลย ผมยืนส่งไลน์หาไอ้เจ๋งให้รีบมาแล้ววิ่งตามแก๊ปไป ผมรู้สึกได้ว่าเชี่ยนี่ต้องเข้าสายแน่นอนเลยส่งเตือนมันไปก่อน

ขอตัวก่อนนะครับ พอดีเป็นคนตั้งใจเรียน อิอิ







“มุ่ยแกไปหยิบถังสีมาให้หน่อย”

“ทำไมแกต้องใช้เรา”

“ก็เห็นแกนั่งเหม่อมาจะชั่วโมงแล้วเนี่ย ไม่ช่วยอะไรเลย ไปไป๊ ไปหยิบมา!”

ผมมุ่ยหน้าอย่างขัดใจแต่ก็ยอมเดินไปหยิบถังสีตามที่เพื่อนร่วมคณะสั่ง หลังจากที่นั่งเหม่ออยู่ตรงลานศิลป์ไม่ทำอะไรซักอย่างอยู่นาน ผมโคตรเซ็ง หลังจากประชุมกับพี่ปีสูงวันนั้นก็มีนัดแนะแบ่งงานกันไปให้กับคนที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือไอ้พวกว่างๆ นั่นแหละซึ่งรวมผมด้วยแหงอยู่แล้ว เด็กปีหนึ่งที่ช่วงบ่ายไม่มีเรียนเช่นผมก็ต้องลงมาช่วยงานของคณะแถมมีพี่ปีสองปีสามมาช่วยคุมงานอยู่บ้างประปราย

เฮ้อ จะอ้างชมรมก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่วันงานกีฬาไม่ต้องไปเก็บภาพอะไรที่ไหน ไอ้แก๊ปก็ไปซ้อมวิ่ง ผมกับเจ๋งจึงต้องมานั่งแกร่วกันอยู่แบบนี้


ตรงๆ เลยนะ

อยากไปหาน้ำตาล กร๊าก!


คิดถึ้งคิดถึง ไม่ได้เจอมาเป็นอาทิตย์ไม่มีกำลังใจเลย ไอ้แวบๆ ผ่านๆ น่ะมี แต่ก็ไม่เคยทักหรอกส่วนใหญ่ก็ยิ้มให้อย่างเดียว

ไอ้บีมก็มา แต่เราจะข้ามมันไป

พูดก็พูดเหอะครับ สารภาพความจริงเลยนะอย่าเอาไปบอกใคร จุ๊ๆ ไว้

ผมเริ่มไม่ค่อยใจเต้นกับเธอเท่าไหร่แล้ว อย่างเวลาเดินสวนกันผมสามารถทักทายเธอได้ปกติ ไอ้เขินมันก็เขินอยู่ครับ แต่ไม่ได้ตะกุกตะกักเหมือนช่วงแรก คงเพราะน้ำตาลไม่ได้พูดคุยหรือทำอะไรให้ผมรู้สึกเกร็ง แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากได้เธอมาเป็นแบบให้อยู่ดี คลาดกันไปคลาดกันมาไม่ได้นัดเป็นเรื่องเป็นราวซักที อาจจะเพราะทั้งผมและเธอต่างก็ยุ่งกันทั้งคู่ล่ะมั้ง

สารภาพอีกอย่าง อันนี้ลับสุดยอดของสุดยอด

เวลาคิดถึงน้ำตาลภาพบีมจะชอบแทรกเข้ามาตลอดเลยครับ หน้ากวนตีนๆ ของมันนั่นแหละ ช่วงแรกนี่งงมากว่ามันมาได้ไง หรือบางทีนั่งเปื่อยอยู่เฉยๆ สมองก็คิดถึงมันซะงั้น


คงเป็นเพราะผมหมั่นไส้มันมากไง เลยคิดถึงบีมไปเรื่อย

เออๆ ผมว่าใช่


“อะนี่” ผมวางถังสีลงบนลานข้างเพื่อน แต่ยังไม่ทันกลับไปนั่งเหม่อต่อ เพื่อนก็เรียกให้ผมทำงานทันที

“แกระบายตรงนั้นอะ เออๆ นั่นแหละ” ผมชี้จุดที่เธอบอกเพื่อความแน่ใจ จะให้กูระบายสีจริงดิ เรียลลี้?

“มิ้นๆ แกอย่าให้ไอ้มุ่ยมันระบายสีนะ” เสียงไอ้เจ๋งตะโกนมาจากฝั่งที่กำลังตอกไม้ไผ่กันอยู่ แม่งไม่กลัวเสี้ยนบาดเหรอวะ

“เอ้า ทำไมล่ะ”

“มันกาก! แกให้มันทำอย่างอื่น ให้มันร่างแบบเอาๆ” กูแค่ระบายไม่เก่งเฉยๆ ไอ้สัด มาว่าผมกากได้ไงเห้ย!

ผมถนัดด้านการวาดเส้นมากกว่าการระบายสี เมื่อก่อนก็กากอย่างที่ไอ้เจ๋งว่าจริงๆ นั่นแหละครับ ผมเป็นพวกใช้สีไม่ค่อยเป็น ยากมาจริงๆ สำหรับผม แต่ก็พยายามฝึกอยู่เรื่อยๆ นะ ไม่ได้จะกากไปตลอดหรอก

“เออ งั้นแกเอาแบบไปร่างกับกระดาษเปล่าตรงนั้นไป” ผมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ถือแบบไปนั่งวาด ซักพักก็มีเพื่อนเข้ามาช่วยวาดด้วย บางคนก็มาไกด์งานให้บ้าง

“เด็กๆ พี่ๆ เอาเสบียงมาให้ครับ” นั่งทำไปได้พักใหญ่ก็ได้ยินเสียงรุ่นพี่แว่วๆ ว่าซื้อข้าวซื้อขนมมาให้ พวกที่นั่งทำงานอยู่ก็ร้องเฮกันแล้วลุกไปหาพวกพี่เขา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าจะสี่โมงแล้ว นี่กูทำมาชั่วโมงกว่าแล้วเหรอวะ

“มึงไม่ไปเอาข้าวเหรอวะ” ไอ้เจ๋งเดินมาถาม

“กูยังไม่หิว อิ่มข้าวเที่ยงอยู่เลยว่ะ” ผมว่าไปตามตรง วันนี้ตอนเที่ยงผมโดนพวกมันสามคนรุมบังคับให้ทานข้าวให้หมดจาน กูฝืนจนแทบอ้วก พวกห่าเอ้ย ตอนนี้ผมเลยไม่อยากจะกินอะไรทั้งนั้น

“งั้นเดี๋ยวกูดูขนมให้ เผื่อมี” ผมครางอือรับคำ ก่อนจะนั่งก้มหน้าตั้งใจร่างภาพต่อ ไม่ถึงสิบนาทีก็สังเกตได้ถึงเงาที่ทาบลงมากับกระดาษ เชี่ยแม่งบังแสงกู คงเป็นไอ้เจ๋ง ผมเลยเงยหน้าขึ้นเพื่อจะบอกให้มันหลบไป

“เจ๋ง มึงหลบ- อ้าว? พี่สโม” เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เพื่อนตัวเอง ผมเอียงคอมองอย่างสงสัยพลางถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ เห้ยคือจำหน้าได้อะ รู้ด้วยว่าเป็นพี่สโม แต่...ชื่ออะไรนะ?

“ครับ พี่เอาขนมมาให้” ผมมองซองขนมปังที่ถูกยื่นเข้ามา


ฮืม...ผมไม่ชอบกินขนมปัง

แต่พี่เขาให้มาก็ต้องรับไว้ก่อนดิเนาะ


“ขอบคุณครับ” ผมผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ แล้วรับมา พี่มันก็ยิ้มกว้างเป็นจานดาวเทียมเลย

“แต่งตัวน่ารักจัง น้องมุ่ยเข้ากับเอี๊ยมมากเลย” พี่ที่จำชื่อไม่ได้ย่อตัวลงจนใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน

“ครับ ผมหล่อมาก เพื่อนก็บอก”

“ฮะๆ แล้วนี้ทำอะไรอยู่เหรอ”

“ร่างแบบอะพี่ พี่ใส่เสื้อบอล...” ผมเพิ่งสังเกตว่าพี่มันสวมเสื้อบอลอยู่


เดี๋ยวนะ...รู้สึกเหมือนลืมอะไรซักอย่างตะหงิดๆ


“พี่เพิ่งแข่งเสร็จครับ ชนะด้วยนะ”

“อ่าๆ”

“เห็นว่าคู่ต่อไปวิศวะกับนิติ พี่ว่าจะไปดูอยู่เหมือนกันแต่เอาข้าวเอาน้ำมาให้น้องก่อน”

“วิศวะๆ ...” ผมพึมพำไปพลางวาดรูปต่อด้วย


“บีมอยู่วิศวะ วิศวะมีแข่ง อืม...”


“เสื้อบอลบีมอยู่ที่กู...ช่าย...วันนี้ก็เอามาอยู่ในกระเป๋า”


“เอ่อ น้องมุ่ยว่าไงนะครับ?”


“ไอ้ชิบหาย!”

“คะ..ครับ” พี่สโมมองผมอย่างตกใจที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นกะทันหัน

“พี่พาผมไปเร็ว!”

“ไปไหนครับ?”

“ไปหาบีม! ที่สนามบอลด่วนๆ ต้องเอาเสื้อไปคืนมัน ไปเลย!”

“อะ..โอเคๆ รถพี่จอดอยู่ตรงนู้น” พี่มันยืนทำหน้างงแต่ก็ชี้มือไปยังรถมอ’ ไซของตัวเอง ผมเดินนำพี่มันไปทันทีอย่างเร่งรีบ ซวยแล้วไงครับ กูว่าแล้วลืมอะไร แม่งลืมคืนเสื้อให้บีม แล้วบีมมันต้องใส่เสื้อบอลลงแข่งใช่ไหมอะ นี่ไม่รู้ว่ามันเริ่มแข่งรึยังด้วย


เอ๊ะ กูมีเบอร์มันนี่หว่า

โทรถามก่อนๆ


(ครับ?) รอสายไม่นานบีมก็รับ

“บีม! มีแข่งเหรอ”

(หืม?)

“กำลังจะเอาเสื้อไปให้ แม่งแล้วไม่บอกวะ”

(น้องมุ่ย?)

“เออๆ เดี๋ยวไปหา แค่นี้แหละ”


ว่าแค่นั้นแล้วผมก็วางสายจากบีม พยักเพยิดหน้าให้พี่สโมคนนั้นรีบสตาร์ทรถแล้วผมก็ขึ้นซ้อนทันทีพลางบอกพี่มันให้ขี่ไปที่สนามเลย







“วิศวะอยู่ฝั่งนั้นนะ”

“เคๆ ขอบคุณมากพี่” ผมไหว้เร็วๆ ขอบคุณแล้วเดินออกมา พี่เขาทำท่าจะเดินตามมาแต่โทรศัพท์เข้าเสียก่อนและเหมือนว่าจะมีเรื่องด่วนพี่เขาเลยรีบร้อนขี่รถออกไป


วกกลับมาที่ผม


“เฮ่!!!!!!!!!”

“วู้ววววววววววววว”

“วิศวะสู้ๆ !”

“นิติสู้ๆ !”


คนเยอะมาก

ไม่มีงานมีการทำกันเรอะ คนพวกนี้


ผมเดินไปพลางมองหาทางขึ้นแสตนด์ฝั่งวิศวะ พอเห็นว่าต้องเข้าจากข้างหลังผมก็เดินขึ้นบันไดตามคนแถวนั้นไป กว่าจะเข้ามาได้ก็เบียดกับคนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ผมเดินมายืนชะเง้อบริเวณราวเหล็กที่กั้นไว้ พอหันมองขึ้นไป โห พากันมาเชียร์ทั้งคณะเลยไหมเนี่ย ที่นั่งด้านบนมีจำนวนคนไม่น้อยเลยกรีดร้องเชียร์กัน ทั้งกลองเชียร์ทั้งพี่สันก็มาว่ะ แม่งเว่อกันจริงๆ ยังไม่มีฝ่ายไหนลงสนามกันเลยซักคนเถอะ

ผมจับราวไว้แล้วก้มลงมองไปที่สนามข้างล่างเป็นบริเวณข้างสนามที่นักกีฬาวอร์มกันอยู่ ผมพยายามเพ่งสายตามองหาบีมแต่ก็ไม่เจอ ไปไหนของมันวะ

“น้องมุ่ย”

“ห้ะ” มีคนสะกิดไหล่เรียกผม พอหันไปก็เจอกับน้ำตาล


งุ้ย ใจเต้นเลย


“มาเชียร์บอลเหรอ” น้ำตาลในชุดเสื้อช็อปถามผมอย่างสนใจพลางเอี้ยวตัวมองข้างล่างด้วยนิดหน่อย สายตาวาววับเหมือนพยายามจะจับผิดผม

อะไรของเขาอะ

“เปล่าๆ เราเอาเสื้อมาคืนบีม” ผมหยิบเสื้อออกจากกระเป๋าผ้าแล้วยื่นให้เธอดู น้ำตาลเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะถามอะไรผมแต่ก็ไม่ถามดันหลุดอมยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาซะงั้น

“แล้วนี่หามันเจอยัง?”

“ไม่เจอครับ”

“เดี๋ยวพาไปข้างล่าง มองจากข้างบนไม่เห็นหรอก”

“เห้ย ไปได้เหรอเธอ เราคนนอก เราฝากน้ำตาลเอาไปไห้ได้ไหม”

“เข้าได้น่า แค่แข่งคัดทีมเฉยๆ หรอก”

“เหรอ”

“อีกอย่าง มุ่ยเอาไปให้กับมือเองน่าจะดีกว่านะ” น้ำตาลส่งยิ้มบางพิฆาตมาให้แล้วจับจูงมือผมให้เดินตามเธอไป


โอ๊ย! จับมือกันด้วย!


ฮือ~ เขิน~


น้ำตาลพาผมฝ่าเหล่ากองเชียร์ออกมาแล้วจูงมือผมเดินผ่านทางเข้าสนาม ผมมองมือตัวเองที่ถูกกุมด้วยมือของน้ำตาลแล้วก็ได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม ห่ามึงเอ้ย...

“ก้าน! เห็นบีมปะ”

“นั่งหน้าแห้งอยู่นั่น มาก็สายแถมใต้ตานี่คล้ำเชียว”

“นอนดึกมั้ง”

“เออแกเห็นเสื้อบอลมันบ้างไหม”

“ทำไมเหรอ”

“ก็เสื้อมันหายไปไหนไม่รู้อะดิ ถามก็เอาแต่ยิ้มผีบ้าผีบอ”

“หึๆ”

“อ้าว! แล้วนั่น น้องมุ่ย”

“อือ ฝากด้วยนะ เราไปก่อน” น้ำตาลปล่อยมือ ทำให้ผมรู้สึกเสียดายนิดๆ แล้วรุนหลังผมให้เดินไปข้างหน้าพลางขยิบตาส่งมา จากนั้นก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างจากแอทแทคเมื่อตะกี้

“โอ๊ย...ใจกู”

“น้องมุ่ย!”

“หะ” ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียกก็เจอกับหัวเทาที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

“มาทำอะไรที่นี่เนี่ยครับ”

“อ่า...บีมอยู่ไหน?” ผมเลี่ยงที่จะตอบ แล้วชะเง้อมองหาใครอีกคนแทนพลางมองรอบๆ ข้างสนามฝั่งวิศวะนักกีฬาฟุตบอลก็เยอะอยู่เลยนะครับ ตัวสำรองนี่พรึ่บพรั่บ

“ไม่สนใจกันเลยแฮะ...ไอ้บีม นั่งอยู่นั่นน่ะ” ผมมองตามที่คนหัวเทาชี้ก็เห็นไอ้ตัววุ่นวายใส่เสื้อสียืดขาวกางเกงบอลนั่งนวดขาหลบมุมอยู่กับพื้นหญ้า กูถึงว่ามองจากข้างบนไม่เจอ แม่งนั่งหลบอยู่ตรงนี้นี่เอง

ผมผละจากคนตรงหน้าแล้วเดินเข้าไปหาบีมทันที แล้วไปหยุดยืนจังก้าอยู่ตรงหน้ามัน ทำให้บีมเงยหน้าขึ้นมามองไม่นานรอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดขึ้นจากมุมปากของมัน

“เอาไป”

“แต้งกิ้ว”

บีมพูดแค่นั้นแล้วถอดเสื้อยืดสีขาวออก โด่ว ทำมาเป็นโชว์ หุ่นดีตายห่าล่ะ


เออ ดีจริง

อิจฉาแป้ป


“มาเชียร์กูเหรอ น้องมุ่ย” หลังจากสวมเสื้อบอลเสร็จ คนตรงหน้าผมก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางบิดตัวไปมาเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ

“เปล่า กูมาเชียร์นิติ”


ผัวะ!


“เห้ยๆ ตบหัวทำไมวะ อยากมีเรื่องอ๋อ” มันผลักหัวผมจนเซ ผมหันขวับมามองหน้าบีมอย่างเอาเรื่องมือก็ยกขึ้นถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าหาบีม

“หมั่นไส้”

“ตัวๆ เลยเด้”

“อย่างมึงแค่ลมพัดก็ปลิวแล้วมั้ง”

“เจอกันได้! ม๊า!”

“วันนี้แต่งตัวน่ารักนะ”

“โอ๊ย! ทำไมวันนี้ใครๆ ก็ชมว่ากูหล่อ เบื่อว่ะ” ผมร้องออกมาพลางกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย


คือหล่อจนเหนื่อย


“ไอ้น้องมุ่ยเอ้ย” มันวาดแขนล็อคคอผมแล้ววางมือขยี้ศีรษะผมอย่างแรงจนผมที่ถูกมัดไว้ร่วงหลุดออกมา ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากดิ้นไปมาขยับเอนหัวหนีมือมัน


“บีม! ปล่อยนะเว้ย!”

“หมั่นไส้ มันเขี้ยว” บีมกระซิบกัดฟันพูดข้างหูผมเหมือนอยากจะกัดให้จมเขี้ยว ลมร้อนๆ พัดผ่านใบหูทำเอาขนลุกเกรียว แถมหน้ายังร้อนขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

“เอ้าๆ เขาเรียกรวมแล้วไอ้บีม มัวแต่ยืนฟัดน้องมันอยู่นั่น” ทั้งผมและบีมชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนในทีมของบีม ผมอาศัยจังหวะนั้นลอดตัวออกมาจากวงแขนแล้วยืนทำหน้าบึ้งใส่มัน


กูไม่พอใจ!

ไม่พอใจมาก!

ทำอย่างนี้กับกูได้ยังไง!

ผมหลุดหมดเลย!


“ฮ่าๆ” ผมแกะอย่างมัดผมออกมาใหม่รวบผมตัวเองขึ้น แต่ยังไม่ทันมัด บีมก็คว้าแขนแล้วลากผมไปตรงที่นั่งข้างสนาม อะไรของมันเห้ย

“นั่งอยู่นี่” บีมผลักผมให้นั่งลง ข้างๆ กันมีผู้ชายใส่แว่นตัวเล็กๆ นั่งกอดกระเป๋าเป้มองผมกับบีมตาปริบๆ

“ทำไมต้องนั่ง” ผมหันมาเถียงบีมอย่างเอาเรื่อง

“เดี๋ยวซื้อเยลลี่หมีให้ รอกูแข่งจบ”


มึงจะซื้อกูด้วยเยลลี่กากๆ งั้นเรอะ!?

เหอะ!


“มึงจะซื้อพุดดิ้งให้กูด้วยรึเปล่า?”

“กูซื้อให้สามอันเลย”

“กูขอเยลลี่หมีเยอะๆ เอาพุดดิ้งอันเดียวพอ”

“โอเค ดีล”

“ดีล!”





“แว่น” พอนั่งดูบีมแข่งไปซักพักผมก็เริ่มเบื่อ มันเล่นเป็นผู้รักษาประตู ก็งั้นๆ อะ ผมจึงหันไปเรียกคนที่นั่งข้างๆ เพื่อหาเรื่องคุย บีมมันก็เล่นงั้นๆ แหละ อย่าไปอวยมันมากผมขอ

เอ้า! เรียกไม่หัน

“ไอ้แว่น” ผมเสียงดังขึ้นอีกนิดจนมันสะดุ้งแล้วหันมามองผมพลางชี้ตัวเองเป็นเชิงว่าเรียกเหรอ

“เออ กูเรียกมึง”

“มีไร...อะ” คนข้างๆ ดันแว่นขึ้นเล็กน้อยแล้วมองหน้าผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ อะไรของมึงเนี่ย

“มึงมาเชียร์ใคร”

“เอ่อ...เปล่า กำปั้นลากมา”

“อ๋อ” กำปั้นนี่ใครนะ?

ผมเออออไปตามเรื่องตามราว แล้วจ้องหน้าเพื่อนแว่น จนมันทำตาโตดันแว่นขึ้นอีกรอบ

“น้อง...มาเชียร์บีมเหรอ”

“โถ้ะ! อย่างนี่อะนะมาเชียร์มัน!” ผมพูดขัดคนตรงหน้าทันที พูดแล้วรำคาญ

“อ่อ อืม”

“เมื่อกี้เรียกน้องเหรอ แว่นอยู่ปีอะไร แล้วคณะอะ?”

“ปีสาม...เกษตร”

“พี่แว่นเกษตร! นี่ชื่อมุ่ยนะพี่ โห่ย นึกว่ารุ่นน้อง” ตัวกระจึ๋งเดียวเองไม่คิดว่าจะอยู่ปีสูง

“พี่ชื่อ...”

“เห้ย พี่ๆ นิติจะยิงเข้าแล้วๆ ! ยิงอัดหน้าบีมมันเล้ยๆ ผมเชียร์นิติว่ะ”

“คือชื่อพี่-”

“ผมไม่เชียร์หร้อกวิศวะอะ เบๆ”

“อืม...พี่ชื่อแว่นก็ได้...”



ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 11 เพราะคนอย่างเรามัน... (UP) 10/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 10-12-2018 02:08:46
ต่อตรงนี้จ้า


“เฮ้!”

“วิศวะไม่เคยแพ้ใครกูบอกเลย!”

“ยกความดีความชอบให้พี่กำปั้นเขานะครับ!”

“ชนแก้ว!”

“นี่พวกแก ร้านพี่ไม่ใช่ร้านเหล้านะโว้ย มาชนกงชนแก้วอะไรเล่า”

“เอาน่าพี่มีน พรุ่งนี้พวกผมมีสอบเข้าร้านเฮียตั้มไม่ได้ เลยมาฉลองที่นี่แทนไง”

“เอ้า ชน!!”

ผมนั่งทำหน้าตายสนิทอยู่ข้างพี่แว่นเกษตร ตักนมสดราดบนพุดดิ้งจากร้านสะดวกซื้อที่บีมซื้อให้ตามสัญญา เราสองคนถูกลากมาที่ร้านนมหลังจากที่พวกบีมแข่งเสร็จ จำได้ไหมครับร้านที่เฮียตั้มเปิดนั่นแหละ เปิดให้พี่มีนเมียเขา ผมเถียงกับบีมแทบตายว่ายังไงก็จะไม่มา สุดท้ายแม่งเอาขนมมาล่อ

ร้านน่ารักดีนะครับ ตกแต่งสบายๆ มีทั้งโซนด้านนอกและโซนด้านใน แต่ดูเหมือนตอนกลางคืนจะปิดโซนนอกไว้เพราะมันค่อนข้างมืดและอันตราย ทั้งแมลงทั้งยุง เผลอๆ มีงู

แล้วบีมให้ผมซ้อนรถมอ’ ไซของมันมา โอโหให้ตายเถอะครับ! แม่งขี่เร็วอย่างกับหนีด่าน ปาดซ้ายแซงขวาทำเหมือนร้านนมมันจะหนีมึงอย่างนั้นแหละ เห็นใจกูหน่อยไหมไอ้บ้าเอ้ย

“น้องมุ่ย! พี่แว่น! ฉลองกันหน่อยเร็ว” เสียงจากคนตาตี่เรียก ที่มานั่งฉลองกันก็มีอยู่แค่สามสี่คน คนในทีมที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไปร้านเหล้ากัน ผมเงยหน้ามองแล้วหยิบแก้มนมร้อนที่ตอนนี้เย็นสนิทยกขึ้นทำท่าชนแก้วแล้วดื่มเข้าอึกใหญ่ๆ

“น้องมุ่ยดูไม่เอ็นจอยเลย กูเสียใจว่ะ”

“มึงไปบังคับน้องมาทำไมบีม!” คนตาตี่หันไปพูดกับบีมที่นั่งอยู่ข้างกัน บีมหัวเราะเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“เออบีม ช่วงนี้มึงอดนอนเหรอวะ”

“นิดหน่อย กูเครียดๆ” ผมหันไปมองบีมทันทีที่เพื่อนมันทัก ก็ปกติอะ ใต้ตาคล้ำนิดหน่อยเอง

“อย่าคิดมากๆ ฉลองกันต่อดีกว่า เฮ้!”

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่นอย่างเบื่อๆ คุยแชทกับแก๊งกาก ฟ้องเพื่อนสารพัดกับเรื่องที่เจอมาในวันนี้ พวกมันก็เอาแต่หัวเราะสมน้ำหน้าผม อะไรวะ?



“น้องมุ่ย” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียก

“ว่า?”

“ออกไปคุยกันหน่อยดิ” บีมเดินนำผมออกไปทางโซนด้านนอก ท้ะงผมและเพื่อนบางคนของมันก็ทำหน้างงๆ แต่ก็พยักเพยิดให้ผมเดินตามมันไป







“มีเรื่องไรอะ” ผมเดินตามบีมมาเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามันนั่งรอผมอยู่ตรงม้านั่งที่วางชิดติดผนังกระจกร้าน

“เฮียตั้มจัดร้านดีเนาะ ไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้” ผมละสายตาออกจากบีมแล้วมองไปรอบๆ สวนขนาดเล็กข้างร้าน ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายและค่อนข้างโปร่ง เสียดายที่ไฟข้านอกมีดวงเดียวคือตรงม้านั่ง ทำให้สว่างแค่ส่วนนั้น แต่ผมว่าถ้าเป็นตอนเช้าหรือตอนกลางวันแสงคงจะส่องลงมาพอดี

ผมเดินไปนั่งที่ม้านั่งตัวยาวข้างบีมแต่เว้นระยะห่างออกมาหน่อยเผื่อมันทำมิดีมิร้ายผม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายไอจีสตอรี่ ซักพักผมก็รู้สึกถึงบีมที่ขยับตัวเล็กน้อย

“มึงกับบูไปไหนกันมา” น้ำเสียงจริงจังของคนข้างตัวทำให้ผมหันหน้าไปมองอย่างตกใจนิดๆ ไม่คิดว่าเรื่องที่คุยจะเป็นเรื่องนี้

“ก็...บังเอิญเจอเลยแวะมาส่ง” ผมเลี่ยงตอบตรงๆ

“คิดว่าเชื่อหรือไง น้องมุ่ย?” ดวงตาคมปลาบจ้องมาที่ผมเผยรอยยิ้มหยันเล็กๆ ที่มุมปาก


ไม่เห็นต้องทำหน้าโหดอย่างนั้นเลย


“หืม?”

“บีม”

“ว่า?”

“ก่อนจะมาถามกู ไปถามน้องมึงก่อนดีกว่าไหม” จบประโยค บีมก็นิ่งค้างไปสองวิ เจ้าตัวหันหน้ากลับมองตรงไปข้างหน้าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สายตาดูอ่อนลงกว่าเดิม ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“คิดว่ากูไม่ถามรึไง”

“ไม่รู้ดิ ไม่ใช่เรื่องของกู” ผมตอบตามตรง

“กูรู้ว่าบูแอบไปเรียนศิลปะ”

ฉิบหาย ไอ้น้องบู ความลับมึงรั่วไหลแล้ว!

“ก็รู้แล้วหนิ” ผมลอยหน้าลอยตาตอบ ยกขาขึ้นมาข้างนึงแล้วเอาคางเกยกับเข่าตัวเอง

“อืม กูบอกให้มันไปลาออกซะ” ผมหันขวับใองหน้าบีมทันทีหลังจบประโยคนั้น แต่บีมก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาเลย

“กูกับน้องทะเลาะกันหนัก แล้วตอนนี้มันไม่กลับห้องมาสองวันแล้ว”

“แค่อยากจะถาม...รู้ไหมว่าน้องอยู่ที่ไหน”

หลังบีมพูดจบ เราสองคนก็นั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตัวผมเองค่อนข้างจะทึ่งที่น้องบูมันหนีออกจากบ้าน ไอ้นี่ใจมันได้ แต่ต้องทะเลาะหนักแค่ไหนกันนะ

ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของบีม ก็พอจะเห็นได้ลางๆ ว่าใต้ตาดูคล้ำเหมือนคนนอนไม่พอ

“น้องมันเรียนที่โรงเรียนพี่กูเองอะ กูไปช่วยงานเขาบ่อยๆ ครั้งล่าสุดที่ไปก็เจอกับบูพอดี”

ไอ้น้องบู กูขอโทษนะเว้ย แต่เห็นหน้าพี่มึงแล้วสงสารชิบ

“น้องมันวาดรูปใช้ได้เลยนะ” ผมเสริม

“น้องมันไม่มีรถกลับ กูเลยอาสามาส่ง”

“บูมันตกใจแย่เลยดิ น้องมุ่ยขี่รถเร็วขนาดนั้น” บีมกระตุกยิ้มมุมปากเล็กๆ ทำให้ผมต้องแอบร้องเย่ในใจรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย

บีมเวอร์ชันนี้รับมือยากพอๆ กับตอนมันเป็นผีบ้าเลย

“กูขี่รถดีใครๆ ก็บอก”

“ดีก็เหี้ยแล้ว ไอ้น้องมุ่ย” บีมฉีกยิ้มบาง หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย พลางเอื้อมมือมาขยี้ศีรษะผม ใบหน้าดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังเหลือรอยความกังวลอยู่บ้าง

“เออน่า”

“อยากรู้ไหมทำไมกูถึงห้าม”

“แล้วแต่มึง” ผมยืดตัวขึ้นยักไหล่เป็นเชิงยังไงก็ได้ แล้วยกขาอีกข้างขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนม้านั่ง

“แต่กูเป็นผู้ฟังที่ดีนะ” ผมยิ้มออกมา บีมมองหน้าผมอย่างชั่งใจ แล้วหันกลับมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม

“เอาที่มึงสะดวกนะบีม กูไม่ได้-”

“ไม่เป็นไร...”

“...”

“เมื่อก่อนตอนอยู่มัธยมกูกับบูเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก ไปไหนไปกัน น้องมันติดกูสุดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไร ทั้งเรื่องดีเรื่องร้ายก็เจอด้วยกัน เราคุยกันทุกเรื่องทั้งเรื่องเรียน กิน เที่ยว เล่นหรือเรื่องผู้หญิง แต่กูก็ปกป้องมันเสมอ ตามสไตล์พี่ชายอย่างกู”

ได้ยินไหมเฮียคราม ได้ซักครึ่งหนึ่งของเขาไหมน่ะ

“จนวันหนึ่งกูต้องเตรียมสอบเข้ามหาลัย ช่วงนั้นก็ยุ่งมากมึงคงเข้าใจ” ผมพยักหน้า “จนกูกับน้องแทบไม่ได้คุยกันแต่มันก็ไม่ใช่สาเหตุนั้นหรอก”

“ที่บ้านไม่เคยบังคับเรื่องเรียนของกูกับน้อง กูเลือกสอบเข้าวิศวะมหาลัยหนึ่ง กูอ่านหนังสือหนักมากแต่ก็สอบไม่ติด กูเลยแย่ ยิ่งพยายามมากก็ยิ่งเฟลหนัก แต่กูก็หาเรื่อยๆ จนเห็นว่ามหาลัยเรามีคณะที่กูต้องการระบบการศึกษาก็อยู่ในระดับที่ดีมากก็เลยสมัคร แล้วอย่างที่เห็น กูสอบติดได้เข้าเรียนสมใจ”

“พอย้ายมาอยู่ที่นี่กูกับบูก็คุยกันบ้าง ส่วนใหญ่น้องมันก็ถามตลอดว่าเรียนสนุกไหม เรียนยังไง กูเห็นว่าน้องสนใจเลยสปอยเต็มที่ จนวันหนึ่งมันบอกว่าอยากเรียนคณะเดียวที่เดียวกับกู ซึ่งกูก็เห็นด้วยอยากให้มันมีอนาคตที่ดี กูเลยคุยกับที่บ้านให้น้องย้ายขึ้นมาอยู่ด้วยกัน มาเรียนมัธยมที่นี่จบแล้วก็สมัครเข้ามหาลัยได้เลย”

“แต่กูดันไม่มีเวลาดูแลบูเท่าไหร่ ทั้งเรียน งาน กิจกรรม มีหลายครั้งที่เหมือนน้องจะเข้ามาคุยมาปรึกษากูเรื่องเรียนต่อแต่กูก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้ เป็นแบบนี้มาตลอดจนวันหนึ่ง กูเผลอว่าให้น้องมันเพราะเหนื่อย และไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรยากตรงไหน ในตอนนั้นกูไม่เข้าใจว่าบูต้องการอะไร เราทะเลาะกันหนักมาก จนน้องมันพูดออกมาว่าไม่อยากเรียนวิศวะแล้ว มันอยากเข้าศิลปกรรม”

“กูงงหนัก เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้น ด้วยความเป็นห่วงกูคิดว่าน้องอยากเรียนตามเพื่อน กูห้ามมันสารพัด พอคุยกับที่บ้าน เขาก็ว่ายังไงก็ได้แล้วแต่น้องแต่กูไม่ กูไม่เชื่อว่าน้องอยากเรียนจริงๆ เราเริ่มคุยกันไม่เข้าใจมากขึ้น เพราะบูยืนยันว่าจะเข้าให้ได้”

“ทุกวันนี้ก็อย่างที่เห็น แทบไม่คุยกัน พอรู้ว่ามันเอาเงินเก็บไปลงคอร์สศิลปะกูก็...นั่นแหละ” บีมกัดริมฝีปากล่างถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง

“ถ้าน้องมุ่ยเป็นกู น้องจะทำยังไง” บีมหันมาถามด้วยแววตาที่เห็นแล้วอยากลูบหัว น่าเอ็นดูเกิ๊น


เชี่ย เล่าซะยาว ขอกูประมวลผมก่อนนะ


“งั้น...กูก็ต้องถามมึงก่อนเลย”

“หืม?”

“บีมกลัวอะไร” บีมชะงัก เหมือนคำถามของผมจี้จุดเข้าเต็มๆ

“กลัวที่น้องอยากเรียนเพราะตามเพื่อน กลัวน้องเรียนแล้วไม่ชอบจนต้องซิ่ว กลัวมันไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต?”

“ที่มึงพูดมาไม่มีตรงไหนที่มึงไม่รักน้อง ไม่ห่วงน้อง แต่กูขอถามหน่อย นั่นชีวิตของใคร”

“ทำไมบีมเลือกที่จะเรียนได้ แต่น้องเลือกไม่ได้ล่ะ หือ? มึงบอกไม่รู้มาก่อนว่าทำไมน้องที่บอกเย้วๆ ว่าอยากเรียนคณะมึงจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจซะงั้น”

“น้องเคยมาขอคำปรึกษาไม่ใช่เหรอ น้องมาถามแล้วนะบีม แค่มึงไม่ฟังเขา แค่นั้นเอง”

“มันจะตามเพื่อนก็ช่างมันดิ มันจะซิ่วหรือจะยังไงก็ให้มันเรียนรู้เอง นี่ชีวิตน้องไม่ใช่ชีวิตมึง เราไม่ใช่ตัวน้องจะไปรู้ได้ยังไงว่าใจเขาอยากเรียนอะไรกันแน่ ที่บ้านยังไม่ว่าอะไรซักคำเลยนะ บีมเป็นพี่ชาย ห่วงได้ แต่ไม่ใช่ไปควบคุมชีวิตเขา ถ้าเขาจะผิดหวังหรือเสียใจกับสิ่งที่เลือก เท่ากับเขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว”

“ให้น้องมันได้เลือกทางของมันเองไม่ได้เหรอ ก็เห็นแล้วหนิว่าบูมันพยายามมาก เก็บเงินไปเรียนศิลปะขนาดนั้นโคตรเก่ง ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆ บีมแค่คอยประคับประคองน้อง คอยอยู่ข้างๆ เวลาบูมันผิดหวังเสียใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เท่านั้นก็พอแล้ว”


“ต่อให้บูเลือกผิด ก็ให้มันผิดที่น้อง ไม่ใช่ผิดเพราะพี่ ไม่อย่างนั้นจะเป็นบีมเองที่เสียใจ”


“กะ...ก็เท่านี้ คำปรึกษาจากคนอย่างนายฟ้ามุ่ย” ผมค่อนข้างจะอินเลยใส่อารมณ์ไปด้วยไม่น้อย ก็นะ คนอาบน้ำร้อนมาก่อน

บีมเงียบไปจนผมรู้สึกประดักประเดิดนิดๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ที่กูพูดไปแม่งฟังรึเปล่าวะ ไม่ใช่หลับนะเฮ้ย


“กูเข้าร้านแล้วนะ ยุงกัดจนขาลายหมดแล้วเนี่ย” ผมลุกขึ้นยืน ตบบ่าบีมสองสามทีแล้วเตรียมจะเดินออกไป


หมับ!


หือ?


ผมมองข้อมือตัวเองที่ถูกกำไว้หลวมๆ คนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาเหมือนเคย


“จะพยายาม”

“อ่อ...อือ” ผมยกมืออีกข้างเกาท้ายทอยตัวเองพลางพยักหน้ารับคำ จะเดินหนีเพราะรู้สึกใจมันแกว่งแปลกๆ แต่บีมก็ยังไม่ปล่อยมือ


จุ้บ


น่ะ...


สัมผัสเบาบางนุ่มหยุ่นที่ข้อมือ ทำเอาผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ตัวแข็งค้างแขนเกร็งขึ้นอัตโนมัติ ในสมองว่างเปล่าลืมหมดแล้วว่าจะตัวเองจะต้องทำอะไรต่อ


จุ้บ


สัมผัสนั้นย้ำอีกครั้งแถมยังกดแช่ค้างไว้ครู่หนึ่ง ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ อ้าปากเหวอกับสิ่งที่บีมทำ


แง๊!


“ขอบคุณนะครับ”


บีม...


มึงเล่นกูอีกแล้ว...


อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!






************************************************************

เจอกันอีกทีปีหน้านะคะ ขอตัวไปสอบไฟนอลก่อนแล้วววววววว เป็นกำลังใจให้กันด้วยเน้อ ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนพิเศษ2 เค้ากับเตง (UP) 18/12/2018
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 18-12-2018 03:19:49
ตอนพิเศษ2

เค้ากับเตง


“น้องมุ่ย”

“ว่า”

“...เปล่า ไม่มีอะไรละ”

ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาดีไหม เดี๋ยวมุ่ยแม่งด่าอีก ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีอย่างเรื่อยเปื่อย

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่า อีกซักพักก็จะถึงเวลานัดทานหมูจุ่มกันกับเพื่อนผมและเพื่อนน้อง ผมหันไปมองไอ้ตัวยุ่งนอนเอกเขนกเล่นเกมในโทรศัพท์สบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา ส่วนตัวผมเจ้าของห้องก็นั่งกับพื้นหลังพิงโซฟา

หลังจากเราทั้งคู่ตกลงที่จะอยู่สถานะความสัมพันธ์แบบคอมพลิเคทเตทแบบที่น้องมุ่ยมันบอก เอาจริงๆ คือก็คบกันแล้วนั่นแหละครับ คอมพลิคงคอมพลิเคทอะไรวะ


น้องมันบอกเรียกแบบนี้แล้วรู้สึกเป็นคนเท่ๆ


...ครับ


“บีม เดี๋ยวมะรืนไปส่งที่ถนนคนเดินตอนเย็นในเมืองหน่อยดิ” เจ้าตัวน้อยบอกกับผมแต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ เล่นมาจะชั่วโมงแล้ว สายตายิ่งดีๆ อยู่ไอ้เด็กคนนี้

“ไปทำอะไร”

“นัดถ่ายงานกับสาว”


แปะ!


“โอ๊ย! บีม ตายเลยเห็นไหม ตีทำไมเนี่ย โห่”

“ถ่ายกับสาวอะไร พูดให้มันดีๆ”

“ก็ถ่ายงานไง เอ้อ งงไรล่ะ”

“อย่าให้เห็นว่าแอ๊วเขา”

“ทำแมะ ทำแมะ...” ผมยิ้มขำกับท่าทางลอยหน้าลอยตาตอบของคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหยัดตัวขึ้นแล้วก้มหน้าเข้าไปฟัดกับแก้มนิ่ม ฟัดไปฟัดมาจนพอใจกับหน้าเห่อแดงเป็นมะเขือเทศสุกปิดท้ายด้วยการจุ้บเหม่งแรงๆ แล้วจึงผละออก น้องทำปากมุบมิบฟังไม่ได้ศัพท์มือก็กดลงระบายกับเกมในมือถือ ดูแล้วคงว่าให้ผมนั่นแหละครับ ฮ่าๆ

ผมกับงานของมุ่ยจะมีปัญหากันตลอด เด็กเชี่ยนี่ชอบถ่ายแต่กับผู้หญิงสวยๆ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรแต่เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมไปเฝ้าน้องมัน โอโห โดนสาวยิงมุกจีบกระจาย มันก็เขินบิดแล้วบิดอีกหน้าเน่อแดงไปหมด จนผมต้องขอเวลานอกเรียกมาปรับทัศนคติกันหน่อย


โคตรหึง

โคตรหมั่นไส้


“น้องมุ่ย”

“อะไร เรียกทำไมอีกอะ”

“มึงว่าคนเป็นแฟนกันนี่ต้องยังไง”

“ยังไง? อะไร?”

“เขาก็ต้องมีคำเรียกแทนกันป้ะ” นี่คือสิ่งที่กวนใจผมอยู่ตลอด เมื่อวานพวกเพื่อนผมแม่งพาแฟนมาทานข้าวด้วยกันเห็นพวกมันเรียกกันตัวอ้วน เค้า ตะเอง เบบี๋


เหอะ

ผมฟังแล้วแม่ง...


อยากมีบ้างอะครับ


“กูมึงนี่ไง”

“กูมึงใครก็เรียกกันว่ะน้อง คือกูอยากมีคำเรียกพิเศษๆ บ้าง” ผมทำหน้าจริงจังจนมุ่ยกดออกจากเกมแล้วขมวดคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ


เอ้า!

มึงงงอะไรอะ


“แล้วต้องเรียกอะไรวะ กูก็เรียกมึงบีม มึงก็เรียกกูมุ่ย”

“มันไม่หวานป้ะ”

“เอ้า! มึงจะเอาหวานแค่ไหน จะเอาหวานมากก็ไปเลียน้ำตาลนู่น โค้ะ”

“น้องมุ่ยกูซีเรียสนะเว้ย...” ผมตีหน้าบึ้งแล้วหันหน้ากลับมาจ้องทีวีตามเดิม


เรียกร้องความสนใจก่อนๆ


“...”


“...”


“โว้ะ! จะเรียกอะไร หันหน้ามาดิ้ ทำเป็นงอนๆ เดี๋ยวเจอทุบ” นิ่งกันไปซักพักน้องมุ่ยมันก็ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผมให้ขึ้นไปนั่งกับมันด้วย

“ก็ไม่ต้องเรียกก็ได้ไง กูก็ไม่ได้ว่าอะไร...” ผมทำเป็นเหมือนไม่สนใจอะไร แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง


“...”


“...”


“โง้ยยยยยยยย” น้องมุ่ยโถมตัวเข้ามากอดรัดผมแรงๆ แถมยังฝังใบหน้าตัวเองเข้ากับช่วงคอผมแล้วถูไปมา

“ฮ่าๆ จักจี้”

“ฮึ่ย! บีมนะบีม”


วิธีการง้อของไอ้เด็กกากครับ


น่ารักสัด


แต่ลมหายใจร้อนๆ กับตัวหอมๆ นั่นทำเอาหัวใจผมเต้นผิดจังหวะอยู่เหมือนกัน


“ไหน! จะให้เรียกยังไง แล้วไม่ต้องมาทำเป็นงอนนะ กูทุบจริงๆ” เจ้าตัวผละออกมากอดอกมองผมหน้ามุ่ย

“เบบี๋”

“บะ...บะ...บะ...” คนตรงหน้าผมทำหน้าเหยเกเหมือนกับสิ่งที่ออกจากปากผมมันเป็นคำพูดประหลาด

“เบบี๋”

“บะ...บะ...โอ๊ยยาก! มีคำอื่นไหมวะ”

“มึงก็ช่วยกูคิดหน่อย”

“บีมกับมุ่ยไงๆ”

“อันนี้ก็เรียกทุกวัน เบๆ” มุ่ยทำหน้าเซ็งกลอกตาไปมาพยายามนึกให้ออก เห็นแล้วตลกว่ะ ฮ่าๆ

“มึงกูนี่แหละ จบ! ”

“เค้ากับเตง”

“หะ...ห้ะ!? ”

“ไหนแทนตัวเองว่าเค้าดิ้”

“เค้า”

“เรียกกูว่าเตง”

“ตะ...เตง”

“เออเข้าท่า แบ๊วดี”

“...แบ๊ว...แบ๊ว...แบ๊วเชี่ยไรล่ะบีม! ”

“เอาอันนี้แหละ งั้นเดี๋ยวเค้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ผมลุกขึ้นเมื่อสรุปทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่น้องมันที่นั่งเอ๋ออยู่


“แล้วเตงจะเปลี่ยนไหม หรือจะไปชุดนั้นเลย”

“บีมกูว่ามันไม่-”

“เตงดิ”

“บีมกูไม่โอเค มึงเปลี่ยนเหอะ”

“เรียกเตง”

“บีมเฮ้ย...”

“เตงต้องฟังเค้านะ เราตกลงกันแล้ว เตงอย่ามาย้อนแย้งเค้าดิ”

“ตะ...ตะ...ตะ...”



“เตง...”



“อึ้ม ว่าไงครับ : ) ”





**************************************************

เขินไหม?

เขินเปล่า?

ฮ่าๆ

ไม่ได้เขียนแล้วจะลงแดงเลยค่ะ ฮ่าๆ เราอ่านหนังสือแล้วเครียดเกินไปเลยต้องมาเขียนย้อมใจกันหน่อย ฮีลตัวเองๆ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่12 เธอเป็นยังไง สบายดีไหมเธอ (UP)16/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 16-01-2019 03:53:08
บทที่ 12

เธอเป็นยังไง สบายดีไหมเธอ



มะระมุ่ย : บูกลับบ้านยัง?


“โทรตามไอ้โป้ยัง”

“โทรแล้ว มันบอกเดี๋ยวตามไปที่ร้านเลย”

“เออๆ มึงไม่ได้เอารถมาใช่ปะ เดี๋ยวไปกับไอ้มุ่ยละกัน กูแวะเอางานไปส่งอาจารย์ก่อน” ผมเงยหน้ามองแก๊ปที่ขี่มอ’ ไซด์ออกไปก่อนแล้วกลับมาสนใจโทรศัพท์ต่อ

“เค ไอ้มุ่ยเอากุญแจมาเดี๋ยวกูขี่น้ององุ่นเอง”

“...”

“ไอ้มุ่ย”

“...”

“เชี่ยโม่ย!”

“หะ มึงว่าไงนะ?”

“กูบอกว่าเอากุญแจรถมา เดี๋ยวกูขี่มึงซ้อน”

“อ่อ เออ เอาไป”

“เหม่อไรมึง กูเห็นเดินจ้องโทรศัพท์ตั้งแต่เลิกคลาสละ”

“เปล่า...”

“งั้นก็รีบๆ กูหิวจนจะกินมึงได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”

“เออ”

หลังจากส่งกุญแจรถให้ไอ้เจ๋ง ผมก็เดินไปนั่งซ้อนโดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่ข้อความแชท มันหยิ่งจังล่ะครับ ทักไปถามแค่นี้ทำมาเป็นไม่ตอบ ขนาดรัวสติ้กเกอร์เป็นสิบยังไม่เห็นขึ้นว่าอ่านเลย


มะระมุ่ย : ตอบบบบบบบบบบบบบๆ


...เงียบ


บ่านี่โว้ย เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นห่วงน้องบูมันนะ อยากรู้ว่ามันกลับบ้านหรือยังหรือยังไง แต่ไอ้พี่มันดันไม่ยอมตอบกลับมาซะงั้น ฮ่วย!


เออ!


ไม่คุยด้วยแล้วสัด


“อะ หมวก” ผมยื่นมือไปรับมาแล้วสวมทันที วันนี้พวกผมคุยกันว่าจะไปหาอะไรทานข้างนอกมอ เพราะเลิกเรียนเลทโรงอาหารเลยเต็มเอี๊ยด ผมขี้เกียจรอเพื่อนมันก็ไม่อยากเดินหาเลยจบลงที่ทานข้างนอก ไม่ลืมชวนไอ้โป้ไปด้วย


ตอนแรกก็ไม่หงุดหงิดเท่าไหร่หรอก แต่พอบีมมันไม่ตอบไลน์ผมนี่ดิ


เดี๋ยวมึงเจ้อ!


“น้องมุ่ย!” ได้ยินเหมือนใครเรียก

“มึงเรียกกูเหรอเจ๋ง”

“กูจะเรียกมึงทำไมวะ”

“เออๆ” ผมกลับมาสนใจข้อความแชทในโทรศัพท์ต่อ เฮ้ย ขึ้นว่าอ่านแล้วอะ

“ไอ้น้องมุ่ย!” ใครมันเรียกกูอีกแล้ววะ

“มึงจะไปได้ยังไอ้เจ๋ง ยึกยักอยู่นั่นแหละ แล้วเรียกกูทำไมอีก” ผมชะโงกหน้ามองข้ามไหล่มันก็เห็นพิมพ์ข้อความคุยกับใครอยู่ก็ไม่รู้

“ไม่ได้เรียกโว้ย กูตอบน้องอยู่รอแป้ป”


เอ้า แล้วใครเรียก


“มุ่ย!”


เชี่ย!


ผมสะดุ้งโหยงเพราะตกใจกับเสียงที่อยู่ใกล้มากๆ พร้อมกับแรงสัมผัสที่ต้นแขน


“เรียกไม่หันนะ มึงอะ”

“บีม!”

“รัวแชทอะไรนักหนาครับน้อง”

“บีม!”

“เออ กูเอง” ผมทำตาโตมองคนตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ตัวจริงไหมครับหรือตัวปลอม เพิ่งด่ามันไปเมื่อกี้นี้เอง แล้วทำไมหน้ามันมืดๆ วะ

“หน้ามืดๆ นะบีม ไปทำอะไรมาเนี่ย”

“ถอดหมวกกันน็อคออกดิวะ ไอ้เด็กกากเอ้ย” เออว่ะ พอนึกได้ผมก็ปลดล็อคสายรัดคางแล้วถอดหมวกออกทันทีโดยมีบีมช่วยดึงออกให้ด้วย ก็เจอกับใบหน้ายิ้มๆ ที่ชวนใจสั่นเหมือนเดิม

“ออกไปห่างๆ หน่อยดิ้ มายืนใกล้ๆ ทำไม” พอมองหน้ามันชัดๆ ก็เห็นเหงื่อผุดซึมขึ้นตามกรอบหน้าพร้อมกับเสียงหอบน้อยๆ ของเจ้าตัว ผมเลยล้วงกระเป๋าผ้าของตัวเองหยิบทิชชู่ขึ้นมาสองสามแผ่น แล้วยื่นมือไปซับเหงื่อให้

“อะ...ไอ้มุ่ย”

“ไร” บีมมันก็ให้ความร่วมมือครับ ขยับใบหน้าให้ผมซับได้ถนัดมากขึ้น ปากมันก็ฉีกยิ้มจนจะถึงหูอยู่แล้ว ยิ้มไรนักหนาวะ

“ทำไรของมึงเนี่ย” เจ๋งเอียงตัวกระซิบถามผม

“ก็เช็ดเหงื่อให้บีมไง เห็นแล้วมันรำคาญ หยดติ๋งๆ” ผมตอบมันกลับไปโดยที่ยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าบีม รู้สึกได้ว่ามันขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น เพราะไม่ต้องยืดแขนไปจนสุดเหมือนตอนแรก

“ทิ้งด้วย” พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วผมก็ยัดทิชชู่ใส่มือบีมกลับไป

“จะไปไหนกัน”

“ไม่เสือกดิ” ไม่ลืมนะว้อย ที่มึงไม่ตอบแชทอะ

“ไปกินข้าวครับพี่ ร้านหน้ามอ ไปด้วยกันไหมๆ” ไอ้เจ๋งเสนอหน้าชวนโดยไม่ถามผมซักคำ ผมเลยฟาดไหล่มันโทษฐานพูดอะไรไม่บอกกูก่อน

“อืม งั้นพี่ไปด้ว-”

“ไม่ให้! จะไปไหนก็ไป รำคาญ” ผมรีบพูดแทรกทันทีพร้อมแลบลิ้นให้อย่างหมั่นไส้ มันก็มองผมแล้วหัวเราะเบาๆ

“เชี่ยมุ่ย! นั่นพี่นะเว้ย มึงพูดแบบนั้นได้ไง”

“มึงเข้าข้างมันอ่อเจ๋ง กูเพื่อนมึง!”

“ไม่ใช่ คือกู-”

“พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องมุ่ยนะ”

“ไม่คุย”

“เรื่องน้องบู...” ผมชะงักเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของน้องชายบีม เหลือบตาไปมองก็เห็นมันทำหน้าเศร้าๆ


ง่ะ


“ฮึ่ย มึงไปกินกันเลย เดี๋ยวกูไปกับบีม” ผมฟึดฟัด ส่งหมวกกันน็อคให้เจ๋งแล้วก้าวลงจากรถ

“เอ้า แล้วรถมึงอะ”

“เอาไปจอดที่หอให้ด้วย ฝากกุญแจไว้กับลุงยามก็ได้” ไอ้เจ๋งพยักหน้าหงึกหงัก ไม่วายส่งสายตามีเลศนัยให้แถมยังชี้นิ้วไปมาระหว่างผมกับบีม

“อะไรของมึง ไปได้แล้ว ไปๆ” ผมมองเพื่อนขี่รถออกไปจนลับสายตาแล้วหันมาหาบีม

“เชี่ย...ตกใจหมด เข้ามาใกล้ทำไมเนี่ย ห่างๆ ดิ้” ผมผงะเล็กน้อยเพราะหันกลับมาก็เจอบีมยืนใกล้ในระยะประชิด อีกนิดมึงรวมร่างกับกูเลยเถอะ ผมเลยผลักอกมันให้ถอยห่างออกไป

“ร้อนเนอะ”

“ร้อนห่าอะไร อากาศออกจะเย็น” ผมมุ่ยหน้าตอบ

“ก็รีบวิ่งมาหาคนนี้ไง เลยร้อน” บีมยกนิ้วชี้ขึ้นมาดันหน้าผากผมเบาๆ อะไรของมันวะ

“ใครใช้ให้รีบอะ” ผมลอยหน้าลอยตาตอบ

“ควิซอยู่เลยไม่ได้ตอบ พอออกจากห้องมาเห็นข้อความพอดี ก็เลยรีบมาหาไงวะ เด็กเอ๋อนี่” บีมจุดยิ้มมุมปากเป็นเชิงล้อๆ

“อ๋อ” ผมลากเสียงยาว ทำเป็นว่าเข้าใจ ตาเสมองไปทางอื่นอย่างรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ อ่า มันสอบอยู่นี่เองเลยไม่ได้ตอบผม

“ไปกินข้าวกัน” บีมคว้าข้อมือผมแล้วดึงให้เดินตาม

“เอ้า ไหนว่าจะคุยเรื่องบู” ผมมุ่นคิ้วอย่างงงๆ

“ไปกินข้าวก่อนค่อยคุย...แล้วข้อมือหายเจ็บหรือยัง”

“อ่อ ได้ หิวเหมือนกัน” ผมพยักหน้า แล้วเดินตามบีมไปด้วยจนถึงรถ

“ข้อมือหายเจ็บหรือยัง?”

“หือ?” บีมหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมามองผม ดวงตาหลุบต่ำไปที่ข้อมือที่บีมจับอยู่

“หายตั้งนานแล้ว ช้ำแป้ปเดียวแหละ” ผมโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่บีมก็ยังดึงข้อมือผมเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อเช็คว่าหายแล้วจริงๆ

“ต้องให้เป่าอีกไหม”

“ปะ...เป่าอะไร” ผมอึกอักเมื่อบีมช้อนสายตาขึ้นมามอง ทำเอารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงก็ไม่รู้

“ก็...เป่าแบบวันนั้น”

“มะ...ไม่ต้องโว้ย!” ผมกระชากมือตัวเองออกแล้วรีบวิ่งไปอีกฝั่งของรถทันที


ตึกตักๆ


วิ่งเร็วไง หัวใจเลยเต้นแรง


“ฮ่าๆ หน้าแดงนะน้องมุ่ย”

“ปลดล็อครถดิ้!”

“ฮ่าๆ”

.

.

.

“ทำไมบีมต้องพามาห้างด้วยวะ กินหน้ามอก็ได้ ถ้าเข้าร้านแพงบอกเลยนะว่าไม่มีตังหรอก” ผมเดินบ่นนำหน้าบีมเข้ามาในห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง นึกว่ามันจะพาไปกินแถวหน้ามอ แม่งพามาห้าง ยิ่งจนๆ อยู่ ผมเพิ่งไปถอยเลนส์ตัวใหม่มาตอนนี้จนกรอบยิ่งกว่าใบไม้แห้งค้างปีอีกครับ

“จะกินอะไรล่ะ เดี๋ยวเลี้ยง” ผมหยุดเดินหันขวับไปจ้องมองมัน บีมก็ยักไหล่ขึ้นเป็นเชิงว่ายังไงก็ได้แล้วแต่ผมผมไม่ชอบใจใบหน้าที่ติดจะยิ้มแย้มของบีมเลย มันเหมือนว่าผมเสียเปรียบมันอยู่ตลอดเวลา

“หืม? อยากกินอะไร” บีมเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ แล้วยกแขนขึ้นวางพาดลงกับบ่าของผมพลางก้มหน้าลงมาถาม ลามปามละมึง

“เอาแขนออกไปก่อน หนักนะเนี่ย” ผมพยายามดันแขนบีมให้ร่วงลงไป แต่นี่แขนหรือท่อนไม้ครับ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนซักนิด จนเหนื่อยจะดันออกผมจึงปล่อยเลยตามเลย

“ร้านนั้นก็ได้ สีชมพูๆ” ผมชี้ไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นข้างหน้า ไม่ใช่เพราะอยากกินมากขนาดนั้นหรอกนะแต่ราคามันอยู่ในเรทที่ผมจ่ายได้โดยไม่เสียดายเท่าไหร่ เอาจริงๆ ถ้าไม่เกรงใจบีมผมเดินไปนั่งฟู้ดคอร์ดละ

“โอเค”

“มึงก็เก็บแว่นไว้ได้ตั้งนานเนอะ ไม่คิดจะเอามาคืนกันหร้อก เข้าใจชีวิตคนใส่แว่นแต่ไม่มีแว่นปะว่ามันลำบากแค่ไหน เวลาขี่รถอะ บีมก็รู้ว่ามอเราขับรถดีแค่ไหนกูไม่ร่วงถนนก็บุญเท่าไหร่แล้ว ทุกวันนี้คือกูต้องให้เพื่อนขี่รถแทนอะบีม” ผมเดินไปบ่นไปจนถึงหน้าร้านแล้วพนักงานก็พามาที่โต๊ะ ก็ว่าอยู่ว่าแว่นกูหายไปไหนแล้วมันจะหายไปได้ยังไงเพราะผมไม่ได้ถอดทิ้งมั่วซั่วซักหน่อย ที่ไหนได้บีมแม่งเก็บแว่นผมไว้ตั้งนานไม่ยอมเอามาคืน มันน่าทุบไหมล่ะครับ

“บ่นกูจังเล้ย พี่รู้แล้วครับน้องมุ่ย เลิกบ่นแล้วสั่งอาหารซักทีเถอะ” ผมมองหน้ามันอย่างไม่พอใจ ยัง ยังจะมาเร่งกูอีก

“อย่ามาเร่งนะบีม”

“ไม่เถียงๆ ยอม...ผมเอา...” บีมยกมือยอมแพ้แล้วหันไปบอกเมนูกับพี่พนักงาน ผมเลยก้มลงมาดูเมนูบ้าง


เอาถูกๆ ไว้ก่อน


“ผมเอาอันนี้อะครับ” ผมชี้บอกพี่เขาไป ราคาไม่แรงมาก แต่บีมก็ยกมือห้ามไว้ก่อน

“บอกแล้วว่าจะเลี้ยง” มันบอกตอนไหนนะครับ?

“จริงปะ?”

“เออ ทำอย่างกับตัวเองกินเยอะนะ ตัวแค่นี้ กินก็นิดเดียว”

“เอ้า! บีม-”

“เอาเซ็ตเบนโตะละกันจะน่าจะทานได้เยอะอยู่ ผมเอาเซ็ตนี้ครับ” ยังไม่ทันจะสวนมันกลับไปบีมก็ชี้นิ้วบนเมนูเบ็นโตะอะไรซักอย่าง เห้ย น่ากินดีอะ

ผมพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ปฏิเสธ เพราะความจริงก็หิวอยู่เหมือนกัน ผมมองพี่พนักงานทวนเมนูจนครบแล้วก็เดินออกไป ผมเลยหันกลับมาจ้องหน้าบีมอีกครั้ง

“อะไร”

“น้องบูอะ”

“ไอ้บูมันทำไม”

“ก็-” กำลังจะถามออกไปแต่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามันค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่เหมือนกัน การที่ผมไปรบเร้าถามบีมแบบนี้มันจะดีเหรอ มันอาจจะไม่อยากตอบก็ได้

“ไม่มีอะไรละ” ผมส่ายหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น เพราะไม่รู้จะคุยอะไรดี

“บูมันกลับมาบ้านแล้ว ตอนนี้-”

“เดี๋ยว! ไม่ต้องบอกก็ได้ มันเป็นเรื่องของครอบครัวบีม นี่ถามไม่รู้เรื่องเองอะ ขอโทษ” ผมรีบพูดตามที่คิดออกไปทันที

“หึ ก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่อยากรู้แล้ว”

“บอกได้น่า มันไม่ได้เป็นความลับอะไร” บีมเอื้อมมือมาขยี้ผม เหลือบตามองก็เห็นบีมยิ้มออกมาไม่ได้ทำหน้าโกรธหรือไม่พอใจอะไร ผมก็ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งใจ


ผมก็กลัวไปล้ำเส้นเข้าไง เรา...ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้นซักหน่อย


“บูมันกลับมาบ้านแล้ว กูบอกที่บ้านไป แต่ก็ไม่มีใครโกรธอะไรมันเพราะพ่อกับแม่เป็นห่วงมากกว่า มีกูนี่แหละที่โดนด่า อย่างเละ”

“สมควร”

“หึ ก็จริง สมควรโดนด่าจริงๆ นั่นล่ะ ถ้าไม่ได้คำพูดน้องมุ่ยวันนั้นพี่บีมคงด่าบูกลับไปจนน้องมันต้องเกลียดยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ”

“มันก็...ไม่ใช่คำพูดที่ดีอะไร เคยเป็นมาก่อนก็เลยพูดให้ฟังเฉยๆ” จากที่มองหน้าบีมอยู่ดีๆ ผมดันรู้สึกเขินขึ้นมาซะงั้นจนต้องหลุบตาจ้องโทรศัพท์แทบจะทันที


ก็ใครใช้ให้มันแทนตัวเองว่าพี่บีมวะ


ไอ้สายตาวิบวับๆ นั่นด้วย


บ้าไปแล้ว


กูนี่แหละบ้าไปแล้ว


“แล้ว...บูมันก็ไม่ได้เกลียดอะไรมึงหรอกมั้งบีม”

“ไม่รู้ดิ”

“แล้วเรื่องที่น้องมันเรียนอะ บีมจะยังห้ามอยู่อีกหรือเปล่า” ผมคงถามด้วยสีหน้าที่คาดหวังไปหน่อยมั้ง บีมเลยเหมือนจะทำหน้าไม่ถูก

“บอกตรงๆ ว่ากูก็ไม่รู้ว่ะ แต่จะพยายาม”

ผมรู้ว่าบีมคงเป็นห่วงน้องมันมากๆ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำตามที่ผมเคยบอกได้ มันยากมากทีเดียวเพราะบีมเชื่อว่าน้องอยากเรียนคณะเดียวกันกับตัวเองมาโดยตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไป หวังว่าจะไม่ทำหน้าดุจนน้องมันกลัวแล้วหนีออกจากบ้านอีก

“เหม่ออะไรน้องมุ่ย อาหารมาแล้ว”

“ยังไม่เคยกินอันนี้เลยอะ เดี๋ยว มึงสั่งอะไรมาเยอะแยะเนี่ย กินหมดเหรอวะ” ผมมองเหล่าอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ยังไม่นับที่กำลังมาเสิร์ฟอีก

“ก็บอกว่าจะเลี้ยงไง” บีมทำน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นั่งมองอาหารไม่ยอมทานซักที

“เข้าใจว่าเลี้ยงแต่กินไม่หมดมันก็เปลืองตังเปล่าๆ อะบีม แค่พูดให้ฟังทำไมต้องดุด้วยวะ”

“...”

เหมือนลูกโป่งที่พองลมเต็มที่แล้วจู่ๆ ก็โดนเข็มทิ่มให้มันแฟบลง ผมรู้สึกอย่างนั้นเลย ไม่ใช่ว่าผมเรื่องมากอะไรหรอก แต่สั่งมาขนาดนี้ทั้งๆ ที่กินกันแค่สองคน เอามาถมที่หรือยังไงครับ


เข้าใจว่ารวย แต่ใช้เงินเป็นเบี้ยแบบนี้โคตรไม่โอเค


ผมกับบีมนั่งทานกันไปซักพักโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร วันนี้ผมคงหิวมากๆ เลยทานอาหารเกือบหมด แต่แค่ของตัวเองเท่านั้น อย่างอื่นที่บีมสั่งมาผมก็ทานบ้างแต่สุดท้ายก็ไม่หมดอยู่ดี เห็นไหมบอกแล้วว่าทานไม่หมดบีมเองก็เหมือนกัน

“น้องมุ่ย...” ผมที่กำลังนั่งไถทวิตไปเรื่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองบีมแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

“ไปกันเถอะ”

“เฮ้ย ดะ...เดี๋ยว” บีมพูดแค่นั้นแล้วลากผมออกมา ผมมองบีมจ่ายเงินอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ลากผมออกจากร้านแล้วพาเดินไปเรื่อยๆ

“จะไปไหนอะ” ผมเอียงคอถาม

“ง้อน้องมุ่ย” แน่ะ ยิ้มหวานให้กูอีก ยิ้มพร่ำเพรื่อนะเนี่ยมึง

“หือ? ง้อกู ง้อทำไมวะ ไม่ได้งอนอะไรหนิ” ผมมุ่นหัวคิ้วด้วยความงงงวย นี่กูไปงอนมันตอนไหนวะ

“ขอโทษที่ดุเมื่อกี้ในร้าน ไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากให้มึงทานเยอะๆ ตัวผอมยิ่งกว่าไม้เสียบผีซะอีก”

“ไม่ได้งอนอะ ก็บอกแล้วไงว่าแค่พูดให้ฟัง”

“อยากไปไหนอีกไหม” บีมทำเป็นไม่สนใจที่ผมพูดแล้วยกแขนขึ้นมาพาดบ่าผมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือดึงให้ผมชิดกับเจ้าตัวมากขึ้น

“ห่างๆ หน่อยไหมมึง อึดอัด”

“อย่าเพิ่งพูดดิ กำลังง้ออยู่”

“ก็บอกว่าไม่ได้งอนไง พูดไม่รู้เรื่องอ๋อ หะ หะ หะ” ผมเขย่งเท้าแล้วยกมือขึ้นไปขยี้ผมมันอย่างหมั่นไส้ บีมก็ยอมแต่โดยดีแถมยังก้มหัวลงมาให้ด้วย


“น่ารักจัง คิกๆ”

“อย่าเสียงดังดิแก เดี๋ยวเขาก็ว่าเอา แต่น่ารักจริง เขินเลยง่า คิกๆ”


เสียงของคนที่เดินผ่านไปผ่านเข้าหูผมพอดี ทำให้ผมต้องเหลียวหลังมองตาม

“เขาพูดถึงใครวะ”

“หมามั้ง”

“เหรอ หมาที่ไหนอะ เขาไม่ให้นำสัตว์เข้าห้างไม่ใช่เหรอ”

“หึๆ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าขำตรงไหนเลย”

.

.

.

“กูอยู่ในนี้แหละ อีกซักครึ่งชั่วโมงมาเจอกันหน้าร้าน” ผมสะกิดแขนบอกบีมแล้วเตรียมเดินเข้าร้านทันที

“ไปด้วย”

“หือ? นี่จะมาหาซื้อพวกดินสอปากกา มึงก็จะซื้อเหรอ” ผมทวนถามอีกครั้ง มองบีมเดินตามผมต้อยๆ เหมือนหมาเลยอะ ฮ่าๆ

“กูไม่รู้จะไปไหน”

“เค้ ได้ อย่าบ่นว่าเบื่อให้ได้ยินนะเว้ย” บีมพยักหน้า ผมจึงปล่อยให้มันเดินตามมา เวลาผมเข้าร้านเครื่องเขียนทีไร เหมือนจมอยู่ในโลกของตัวเอง ผมชอบที่จะเดินดูของไปเรื่อยๆ นึกอะไรออกก็หยิบอันนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสมุดดินสอปากกา บางทีจะหาซื้อสีน้ำสีอะคลิลิกมาฝึกวาดบ้าง ก็ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องการใช้สีเท่าไหร่นี่ครับ มันก็ต้องฝึกกันหน่อย

“พวกปากกาสีๆ น้องกูโคตรชอบ” ผมชี้ให้บีมดูเหล่าปากกาหลากหลายสีที่วางเรียงรายอยู่เต็มชั้นวาง น้องผมนะบ้าเครื่องเขียนมาก ถ้าพามาด้วยฟ้าใสคงอ้อนให้ผมซื้ออีกแน่ๆ

“กูก็มีเยอะอยู่นะ ต้องใช้จดเลคเชอร์”

“เหรอ กูอะปากกากับดินสออย่างละด้ามก็พอแล้วถ้าเอาไว้จดงาน ลิควิดไม่ต้อง ขีดฆ่าเอา ฮ่าๆ”

“แล้วถ้ามาอ่านทีหลังจะรู้เรื่องเหรอน้องมุ่ย”

“หึ” ผมส่ายหน้า “รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ขอแค่ได้จด เข้าใจปะ”

“ไอ้น้องมุ่ยเอ้ย” บีมส่ายหัวยิ้มๆ กับความคิดของผม ถ้าให้เลือกหยิบปากกาแต่ละสีมาจดระหว่างเรียนผมก็ไม่รู้เรื่องกันพอดี ไอ้ครั้นจะให้มานั่งจดสรุปอีกทีก็ขี้เกียจแล้วด้วย

ผมหยิบปากกากับดินสอมาพอใช้แล้วเดินไปตรงโซนสมุดต่อ หันไปมองก็เห็นบีมมันเล่นโทรศัพท์อยู่ผมเลยชี้นิ้วบอกว่าจะไปตรงโซนนั้นนะ บีมก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“บีม ถามหน่อย”

“หือ ว่าไง”

“ระหว่างมีเส้นกับไม่มีเส้น เอาอันไหนดี” ผมยกสมุดสองเล่มมาให้บีมดู เป็นสมุดจดบันทึกทั่วไปมีหน้าปกสีน้ำตาลไม่มีลวดลาย ผมชอบมากเพราะสามารถวาดอะไรลงไปบนหน้าปกก็ได้ ดูเป็นสมุดของเราคนเดียว

“แล้วปกติใช้แบบไหน”

“ไม่มีเส้น แต่ก็อยากลองแบบมีเส้นดูบ้าง”

“ก็เลือกแบบมีเส้นดิ”

“เดี๋ยวดิบีม มึงเลือกให้หน่อย”

“การที่คนเราจะเลือกของให้กันและกันได้เนี่ย คนทั่วไปเขาไม่ทำหรอกนะ”

“เอ้า แล้วต้องเป็นคนยังไงอะ” ผมทำหน้างง บีมยิ้มกรุ้มกริ่ม ก้มหน้าลงมาใกล้แล้วพูดข้างหูผม ลมหายใจร้อนสัมผัสกับใบหูจนผมรู้สึกจักจี้จนต้องย่นคอนิดๆ

“ก็ต้องเป็นเพื่อน ไม่ก็...แฟน”


ฮึบ!


“กูเอาอันนี้แหละ...” ผมว่าแค่นั้นแล้วเดินก้มหน้างุดชิ่งหนีออกมาเลย ได้ยินเสียงบีมหัวเราะไล่หลังตามมา พะ...เพื่อนไง! รักเพื่อนช่วยเลือกสมุดให้เพื่อน เอ้อ!

.

.

.

“ไปถ่ายรูปตรงนั้นกันปะ แสงสวยชะมัดเลย” หลังจากซื้อของที่ต้องการเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินกินไอศกรีมโคนที่เพิ่งวิ่งไปซื้อมาเมื่อกี้ไปเรื่อยจนเห็นมุมสวยๆ เลยเอ่ยชวนบีม

“ไม่ได้เอากล้องมาไม่ใช่เหรอ...กินมั่ง” ผมยื่นไอศกรีมไปตรงหน้าบีม มัดงับไปเกือบครึ่งผมเลยทุบเข้าที่หน้าท้องมันเบาๆ โทษฐานแย่งคนอื่นกิน แล้วยังเจือกงับไปเกือบทั้งก้อน

“กล้องโทรศัพท์ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะโชว์ให้ดูไอ้น้อง โปรเฟสชั่นน่อลเค้าเป็นยังไง ดูกูนี่” ผมตบอกอวดสรรพคุณตัวเองนิดหน่อยแล้วจูงมือบีมกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าไปหาที่เหมาะๆ เพื่อที่จะถ่ายรูป ผมมองซ้ายมองขวาหาที่ดีๆ ก็เห็นคนออกมาถ่ายรูปกันเยอะอยู่พอสมควร

“ตรงนั้นสวย บีมไปยืนเลยๆ” ผมผลักบีมให้เดินไปยังจุดที่ผมต้องการ เป็นกำแพงที่มีเงาพาดผ่านสลับกันดูเหมาะกับบีมดี

“เดี๋ยวกินไอติมแป้ป” ผมรีบยัดไอศกรีมเข้าปากแล้วหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเข้าฟังก์ชันกล้องถ่ายรูปเพื่อเตรียมถ่าย

“ขอธรรมชาติๆ หล่อๆ” แค่มันยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูดีแล้ว ไม่ต้องไปจัดท่าให้มันหร้อก




ผมกดถ่ายไปได้ซักพักจนพอใจจึงหยุดแล้วเดินไปหาบีมเลื่อนเช็ครูปให้มันดูด้วย

“คนอะไรดูดีทุกมุมจริงๆ ยอมเลยอะ”

“คนมันหน้าตาดีปะวะน้อง ฮ่าๆ”

“หมั่นๆ เดี๋ยวปั้ด”

“ฮ่าๆ”

“เอาจริงๆ กูก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะโว้ย แต่มันยังไม่มีมู้ดเลยไม่ถ่ายดีกว่า” ขิงไว้ก่อนครับ

“งั้นมาถ่ายด้วยกันซักรูปดิ”

“แสงหมดแล้วบีม กลับกันเหอะ”

“มาถ่ายด้วยกันก่อน...เอ้ายิ้ม!” บีมดึงแขนผมให้เข้ามาใกล้แล้วกอดคอไว้หลวมๆ ตอนนี้หน้าผมกับหน้ามันเกือบจะแนบสนิทแล้วครับ ช่องว่างเหลือไม่ถึงเซน

“ห่างๆ ก็ได้ปะ”

“เดี๋ยวหลุดเฟรม เร็วๆ ยิ้ม กูเมื่อยแขนแล้วเนี่ย”

“เออๆ” ผมหันไปยิ้มค้างให้กับโทรศัพท์ที่บีมถืออยู่ ผมเห็นมันกดรัวเลยครับ

“มึงก็ไม่ต้องรัวขนาดนั้นก็ได้ไหมล่ะ” ถ่ายจนมันพอใจผมก็ถอยห่างออกมา บวกกับโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นพอดีเหมือนมีคนโทรมา ผมเลยปล่อยให้บีมมันยืนเช็ครูปแล้วเดินออกมารับสาย


“ว่า”

(มุ่ยยยยยยยยยยยยยยยย)

“ไรมึงไอ้โป้”

“ (ว่างไหมเพื่อนนนนนนนนนนนนน)

“สำหรับมึงกูไม่ว่าง”

(ไอ้เพื่อนเหี้ย)

“แค่นี้นะ” ผมทำเป็นจะวางสายเสียงไอ้โป้ร้องห้ามก็ดังขึ้นมาทันที

(เฮ้ย! เดี๋ยวดิมุ่ยเพื่อนรัก กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อยง่า)

“รีบๆ พูดดิ้”

(ชมรมฮามีเล่นดนตรีสดตี้กาดในเมืองวันนี้ พอดีคนเล่นกีตาร์มันบ่ะมา แฮงค์เหล้าหยังบ่าฮู้ คิงมาช่วยจิม)

“กาดในเมืองอะนะ?”

(เออ บ่ามีไผเล่นเป็น บะเดวกูเลี้ยงขนม มาๆ)

“เออๆ ทีจะอี้ละโทรมา วันธรรมดาละหายหัว”

(ขะใจ๋มาโวยๆ นะเว้ย)

“ฮู้แล้ว!”


ให้บีมแวะไปส่งที่กาดแป้ปนึงจะได้ไหมนะ


ผมเดินไปหาบีมที่ยืนรออยู่ มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรพอเห็นผมทำหน้าลำบากใจ


“บีม...” ผมดึงแขนเสื้อมันจึ้กๆ

“ว่าไงครับน้องมุ่ย” แล้วทำไมต้องทำเสียงหล่อขนาดนั้นด้วยเล่า ผมเหลือบตามองหน้าบีมอย่างไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม

“คือ...ไปส่งที่กาดในเมืองหน่อยดิ”

“แล้วไม่กลับหอเหรอ”

“พอดีไอ้โป้มันโทรมา ให้ไปช่วยเล่นกีต้าร์ให้ชมรมมันหน่อยอะ”

“หืม?”

“แวะไปนิดเดียว ส่งกูแล้วมึงกลับเลยก็ได้ๆ เดี๋ยวจ่ายค่าน้ำมันให้”

“อืม...” บีมนิ่งคิดพลางมองหน้าผมไปด้วย หือ? หน้ากูเปื้อนอะไรเหรอ

“ก็ได้นะ กูไม่ติดอะไรอยู่แล้ว”

“เฮ้ย แต้งกิ้ว! ทำไมวันนี้ดูใจดีผิดปกติวะ ไม่เห็นกวนตีนเหมือนก่อนหน้านี้ โอ๊ย! เจ็บนะ” บีมตีหน้าผากผมดังแปะ ไม่วายดันหน้าผากผมอีกตั้งสองจึ้ก

“ว่ากู เดี๋ยวจะโดน”

“ใคร! ไหนใครว่าพี่บีมของไอ้มุ่ย! บอกมาเดี๋ยวจะไปเตะมันให้ เดี๋ยวเจอเลยๆ”

“มัวแต่เล่น จะไปไหมกาดอะ”

“ไป! อย่าให้เจอ ใครน้า มาด่าพี่บีมได้ โอ๋ๆ”

“ยัง! ...”

“เออ ยังไม่ออกมาอีก!”

“มึงน่ะ ยังไม่หยุดเล่นอีก! ไอ้เด็กกากเอ้ย!”

“เอ้า!”

.

.

.



IG story : b.patt13

เด็กกาก

(รูปมุ่ยหันมาหาบีมดุ้กดิ้กในร้านเครื่องเขียน)



.

.



IG : b.patt13



(รูปคู่เซลฟี่พี่บีมน้องมุ่ย)



235 likes

b.patt13 “พาเด็กกากมาเที่ยว” @Fahmuii123

View all 15 comments





*********************************

แอบมาลง แหะๆ  :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่12 เธอเป็นยังไง สบายดีไหมเธอ (UP) 16/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-01-2019 15:34:31
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่12 เธอเป็นยังไง สบายดีไหมเธอ (UP) 16/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-01-2019 08:48:58
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่13 ชอบครับ อยากได้ (UP) 20/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 20-01-2019 01:23:47
บทที่ 13

ชอบครับ อยากได้


     “จอดตรงนี้ๆ เดี๋ยวกูเดินไปเอง” ผมบอกพลางเตรียมปลดเข็มขัดนิรภัย แต่บีมก็ไม่หยุดรถแถมยังถอยหลังเข้าที่จอดรถแล้วก็ดับเครื่อง

     “เห้ยให้กูลงข้างหน้าตรงนั้นก็ได้ ไม่ต้องจอดหรอก”

     “พี่ไปด้วย”

     “เดี๋ยว! ปะ...ไปทำไมอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นบีมทำท่าจะลงรถมาด้วย

     “อยากเห็นน้องมุ่ยเล่นกีตาร์”

     “อะ...เออ ก็ได้ แต่กูเทคแคร์มึงไม่ได้นะบอกไว้ก่อน เพราะต้องไปช่วยเพื่อน” ผมมองบีมอย่างงงๆ แค่กูเล่นกีต้าร์แค่นี้เอง จะมาอยากเห็นอะไร

     “เคๆ”

.

.

.

     “อยากกินน้ำปั่น แวะซื้อแป้ปนึง” ผมสะกิดแขนบอกบีมแล้วเดินไปร้านน้ำผลไม้ข้างหน้า วันนี้คนค่อนข้างเยอะเลยครับ ถนนคนเดินกลางคืนหรือที่พวกผมชอบเรียกกันว่ากาดในเมืองเพราะตัวตลาดอยู่ในตัวเมืองของจังหวัด เป็นถนนคนเดินที่ยาวมากๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยของกิน เสื้อผ้า แล้วก็อื่นๆ เดินแค่ฝั่งเดียวก็ปวดขาแล้วครับ

     เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คของเด็กวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ชุดนักศึกษามหาลัยผมทั้งนั้น อาจจะเพราะมันไม่ไกลจากมหาลัยเดินทางมาสะดวกด้วยล่ะมั้งแล้วก็เพราะว่าแถวมหาลัยไม่มีถนนคนเดินจะมีก็แต่กาดเล็กๆ ทุกวันจันทร์กับพฤหัส

     ขวามือจะเป็นลานกว้างที่เรียกได้ว่าเป็นลานกิจกรรม จะมีผู้คนมาทำการแสดงบ้าง เล่นดนตรีเปิดหมวกกันบ้าง ทุกวันเสาร์อาทิตย์ตรงนี้จะปิดเป็นลานรำวงครับ เหล่าแม่ๆ เขาก็จะออกมารำวงกัน เขาจะแบ่งกันเป็นหมู่บ้านด้วยมั้งครับเห็นมีเสื้อทีมด้วย ผมเคยลองเข้าไปรำครั้งนึงบอกเลยว่าหอบแฮ่ก แต่ละท่าของแต่ละหมู่บ้านนี่โคตรยาก สเต็ปเทพกันเลยทีเดียว เด็กอย่างผมขอยอมแพ้ราบคาบ

     “ระวังชนน้องมุ่ย มึงมองทางด้วยดิวะ” บีมยกแขนขึ้นกันไม่ให้ไปชนคนอื่น ตั้งแต่เดินมาก็หลายรอบแล้วครับ ส่วนใหญ่จะเป็นผมโดนชนแล้วก็เซไปชนคนอื่นอีกที จนบีมต้องโอบไหล่ผมให้ชิดตัวมันกันไว้

     “มองอยู่ๆ ป้าคับ ผมเอาสตรอเบอรี่โยเกิร์ตแก้วนึ่ง”

     “รอกำเน้อ”

     “บีมเอาไรปะ” ผมหันไปถาม ร้านนี้คนเยอะครับ โชคดีที่ตอนนี้คนไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ผมมาทีไรก็ชอบสั่งน้ำร้านนี้ตลอด รสชาติอร่อยดีไม่หวานเกิน

     “อะไรอร่อย”

     “ทุกอย่าง แต่กูชอบสตรอเบอรี่โยเกิร์ตที่สุด เออ เคยชิมมะพร้าวนมสดปั่น อร่อยเหมือนกัน เอาปะ”

     “เอาดิ สั่งให้ด้วย เท่าไหร่นะ?”

     “สามสิบห้าบาท เอาตังมาๆ ป้าคับ เอาบ่าป้าวนมสดปั่นแหมแก้วเน้อ”

     “เจ้าๆ” ผมแบมือรับเงินจากบีมมา มันให้มาสี่สิบบาทผมเลยต้องควานหาเหรียญหาจากในกระเป๋าผ้ามาทอนให้

     “ได้แล้วเจ้า สองแก้วเจ็ดสิบเน้อ” ผมจ่ายตังให้ป้าแกไปแล้วเดินออกมา บีมดึงแขนผมไว้ก่อนแล้ววางพาดลงมาที่บ่าเหมือนเดิม แขนแม่งก็หนักพาดมาได้

     “เดี๋ยวเดินไปข้างหน้าอีกนิดเลี้ยวขวา มึงไม่เคยมาเหรอวะ ถามจริง” ผมหันไปถามบีม

     “เคย แต่ไม่เคยเข้าไปที่ลานกิจกรรมซักที แค่เดินทั่วกาดก็เหนื่อยแล้วปะ”

     “เออจริง...กินมั่ง” ผมพยักหน้าเห็นด้วย แล้วขอชิมน้ำมะพร้าวนมสดปั่นของบีม พวกเราขยับให้มายืนอยู่ชิดริมทางเดินเพื่อจะได้ไม่ขวางทางคนอื่นเดิน

     “อะ”

     “ลองของกู อร่อยเหมือนกัน สดชื่นๆ” บีมยื่นแก้วมาทางผมแต่ไม่ยอมให้จับ ผมเลยงับหลอดแล้วดูดน้ำพลางยื่นน้ำปั่นของตัวเองให้บีมลองชิมด้วย

     “อร่อยๆ หอมน้ำมะพร้าวอะ ของกูอร่อยปะ” ผมมองหน้าบีมอย่างลุ้นๆ

     “อืม...อร่อย” บีมมองตาผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ตาเป็นประกายวิบวับอีกแล้ว แหน่ะ! ยิ้มมุมปากด้วย

     “ทำไมชอบทำตาแบบนี้วะ รู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้” ผมลูบแขนตัวเองไปมาเมื่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

     “หือ? กูทำตาแบบไหนเหรอ”

     “แบบวิ้งๆ วับๆ อะ เป็นประกายเหมือนหมาอยากได้กระดูก...โอ๊ย! ตีเหม่งกูอีกแล้วนะ มันสะเทือนนะโว้ย!” ผมลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เผลอไม่ได้เลย ตีจังเหม่งกูเนี่ย

     “คำพูดคำจา หมั่นไส้มึงว่ะน้องมุ่ย”

     “จริงปะจ๊าาา”

     “ไอ้เด็กกากเอ้ย”

     “ฮ่าๆ”

.

.

.

     “โห ไอ้มุ่ย นี่รีบสุดแล้วใช่ไหมวะ กูรอตั้งนาน ไอ้ชิบหาย”

     “รีบสุดแล้วโว้ย! กูไม่ได้มาเอง มีคนมาส่ง กูเร่งเขาได้ที่ไหน” อ้างไปงั้น ผมเนี่ยเเหละที่มัวแต่เดินเถลไถลหาของกินในกาดเอง ได้หมูปิ้งมาสี่ไม้กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อรวมน้ำปั่นด้วย ยังไม่รวมน้ำมะพร้าวกับหม่าล่าของบีมที่ผมอาสาถือไว้ให้ก่อนแล้วบีมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำผมเลยบอกให้มันเดินมาหาที่นี่เลยถ้าเรียบร้อยแล้ว

     “เอ้า กูนึกว่ามึงขี่รถมาเอง กะว่าจะติดรถกลับไปด้วยซักหน่อย” โป้ทำหน้าเสียดาย

     “ไม่ได้เอามาอะดิ” ผมมองเลยหลังไอ้โป้ไปก็เห็นเหล่าคนในชมรมมันกำลังเตรียมของ เซตลำโพงกับขาตั้งไมค์อยู่ มีคาฮองด้วยอะ เยี่ยมยอดไปเลย พอมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าคนมาจับจองที่นั่งดูกันค่อนข้างเยอะ โห ตรงนู้นกำลังเต้นๆ กันอยู่เลย เขาเรียกว่าอะไรนะ คัฟเว่อๆ ปะ

     “แล้วนี่ชมรมอะไรของมึงวะ”

     “ไม่เชิงชมรมอะมึง ในคณะกูจะมีกลุ่มแยกไปอีกตามความสนใจ อย่างพวกพี่สวัส พี่สัน อะไรพวกนี้ เขาจะแยกเป็นกลุ่มเลย” เข้าชมรมของมหาลัยแล้วยังต้องเข้าของคณะอีก วุ่นวายดีแฮะ

     “แล้วอันนี้คือกลุ่มอะไร”

     “เป็นวงดนตรีในคณะเว้ย คอยเล่นสร้างสีสัน บางทีก็จะโดนเรียกตัวไปช่วยกิจกรรมมอบ้างไรงี้”

     “งืมๆ” เดี๋ยวต้องเอาไปเสนอพี่สโมบ้างละ น่าสนใจๆ

     “แล้ววันเนี้ย กูมาเล่นเชิญชวนไปงานครบรอบ 18 ปีของคณะวิศวะ จัดโคตรอลังอะมึง”

     “อ่าหะๆ แล้วไงต่อ” ผมเริ่มหยิบหม่าล่าของบีมมากิน แอบไม้นึงมันไม่รู้หรอก

     “มึงไม่รู้สึกว้าวเลยวะ”

     “ว้าว...” ผมชอบกินเห็ด อร่อยดี

     “จริงใจมากไอ้สัด เกลียดมึงชิบหาย” โป้ผลักหัวผมพลางทำหน้าเหม็นเบื่อ แกล้งมันแล้วสนุ๊กสนุก

     “เอากูมาเล่นแล้วใครร้อง” ผมถาม

     “อะแฮ่ม กูเอง” มีกระแอมไล่เสียงโชว์ด้วย

     “เสียงยิ่งกว่าควายออกลูกของมึงอะนะไอ้โป้ ไอ้กากเอ้ย!” เอาจริงๆ เสียงมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกครับ โป้มันร้องเพลงเพราะจะตาย ผมแซวเล่นไปงั้น

     “ไอ้เพื่อนเหี้ยนี่ เดี๋ยวตบเหม่งยุบเลย”

     “ฮ่าๆ”

     “แล้วใครมาส่งมึงวะ”

     “ก็-”

     “ช่างก่อน เดี๋ยวกูแนะนำพี่ๆ ให้รู้จัก” ไอ้โป้เขยิบตัวแล้วดันผมให้มาอยู่ข้างๆ มันแล้วแนะนำให้เพื่อนคนอื่นรู้จัก

     “พี่ๆ ครับ นี่เพื่อนผมที่บอกว่าจะให้มาเล่นกีต้าร์แทนไอ้เปรม” เหล่าเพื่อนรุ่นพี่ไอ้โป้เงยหน้ามามองผม ผมเลยยกมือไหว้ทักทายกลับไป

     “เห้ย น้องมุ่ยนี่หว่า!” ผมทำหน้าเหลอหลา เอาอีกแล้ว มีคนรู้จักกูอีกแล้ว ผมมองไปยังคนที่ตอนแรกกำลังเซตลำโพงอยู่กำลังเดินเข้ามาหา แถมทักเหมือนเคยรู้จักกัน


     ผมจำไม่ได้...


     “ไม่คิดว่าเพื่อนไอ้โป้จะเป็นน้องมุ่ยนะเนี่ย เห้ยตกใจว่ะ แต่แบบ ไม่ได้เจอกันนานเลย คิดถึงน้องง่ะ ฮ่าๆ” จู่ๆ คนตาตี่ก็คว้าผมเข้าไปกอด ตบหลังผมบักๆ


     ตบแรงไปแล้ว อัก!


     “เอ่อ จ้า ไม่ได้เจอกันนานเลย แฮ่ๆ” ผมขยิบตาให้ไอ้โป้ช่วยแงะผมออกมาจากไอ้บ้านี่ที โป้มัยหัวเราะเยาะผม แต่ก็ช่วยดึงตัวผมออกมา ฟู่ว~

     “พี่เขาชื่อนิว อยู่ปีสองเป็นพี่รหัสกูเอง”

     “แค่กๆ ครับ”

     “เสียใจว่ะน้องจำไม่ได้ เห้ย! แต่น้องมุ่ยรู้ไหม น้องมุ่ยดังมากเลยนะในกลุ่มพวกพี่อะ” ตาที่เล็กอยู่แล้วหรี่ตาอย่างมีเลศนัยทำให้เล็กลงไปอีกเหมือนเส้นขีดๆ เลยอะ พี่แกเตี้ยกว่าผมนะเอาจริง น่าจะประมาณลุ้ยลูกพี่ลูกน้องผม ตัวบางผิวขาว ปากแดงอย่างกับทา...เอ้ย เขาเรียกว่าอะไรนะ อุทัยทิพย์ปะ เออๆ นั่นแหละ


     ว่าแต่...เดี๋ยวนี้เขายังใช้กันอยู่ไหมครับ


     “เย้ย! อย่าบอกนะว่าที่เขาแซวๆ กันคือ...เชี่ยมุ่ย” ไอ้โป้ทำหน้างงชี้นิ้วมาที่ผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ใครแซวใครนะ ได้ยินไม่ชัด

     “บ้า! ใช่ที่ไหน”

     “เอ้อ ผมก็ว่า-”

     “นั่นไม่ได้เรียกว่าแซว เขาเรียกว่าพูดความจริงเว้ย ฮ่าๆ” ว่าจบพี่ตาตี่ก็หัวเราะเสียงดังลั่น จนคนแถวนี้หันมามอง

     “เชรด...โด้” ไอ้โป้หันมามองผมตาโตอย่างทึ่งๆ

     “ฮะ? นี่คุยไรกัน กูค่อนข้างจะไม่เข้าใจ” ผมเกาหัวแกรกๆ เมื่อไม่สามารถเข้าถึงบทสนทนาของพี่ตาตี่กับไอ้โป้ได้

     “มึง...กับ..พี่-”



     “น้องมุ่ย!”

     ยังไม่ทันตอบคำถามเพื่อน ก็ได้ยินเสียงเรียกของบีมซะก่อนเลยกวักมือเรียกให้มันเดินมาหา ผมเห็นบีมถือถุงเล็กๆ มาสองสามถุง ตอนไปห้องน้ำมันก็ฝากผมหมดแล้วนี่หว่า แม่งแอบไปซื้ออะไรมาอีกวะ

     “ซื้ออะไรมาอะ”

     “น้ำเปล่ากับขนมนิดหน่อย” บีมยกถุงขนมโชว์

     “ซื้อมาทำไมอีกวะ หม่าล่ามึงยังไม่หมดเลย ซื้อมาตั้งร้อยนึง” ผมชูถุงหม่าล่าที่แอบกินไปสองไม้ให้บีมดู

     “เอามาให้มึงกินนั่นแหละ ชอบไม่ใช่เหรอ” ผมขมวดคิ้ว แล้วชะโงกหน้ามองข้างในถุงก็เจอกับขนมถุงเล็กๆ ที่ฮิตมากในตอนเด็ก


     เฮ้ย! ผมชอบกินมากเลยอะ บีมแม่งเจ๋ง!


     ผมชูนิ้วโป้งให้บีมอย่างชอบใจ แล้วหยิบออกมาเพื่อจะกินห่อนึง แต่ยังไม่ทันจะแกะไอ้โป้ก็เรียกพอดี ผมมุ่ยหน้าอย่างขัดใจ ไม่เป็นไร เก็บไว้กินที่หอตอนทำงานก็ได้วะ

     “อะ ฝากของพวกนี้หน่อย เดี๋ยวกูต้องไปเตรียมตัวละ” ผมยัดถุงต่างๆ ให้บีมถือไว้พลางยกมือขึ้นตบบ่ามันเบาๆ แล้วเดินตัวปลิวเข้าไปหาเพื่อนรุ่นพี่ไอ้โป้

     “เชี่ยมุ่ย!” ไอ้โป้เข้ามาประชิดตัวจนผมเกือบล้ม

     “มึงจะใกล้กูอะไรขนาดนั้น หลบไปก่อนดิ้ กูช่วยพี่เขาจัดของก่อน” ผมยกป้ายขนาดไม่ใหญ่มากจากมือพี่คนนึงแล้วเอามาวางไว้ข้างหน้า

     “ทำไมมึงมากับพี่บีม!”

     “ไปกินข้าวกันมา” ผมรับกีต้ามาจากรุ่นพี่ แล้วนั่งลงกับเก้าอี้พลาสติกแถวนั้นพลางตั้งสายกีตาร์ไปด้วย

     “ห้ะ!? มึงเนี่ยนะไปกับพี่เขา”

     “อือ”

     “มึงไม่ชอบพี่มันไม่ใช่เหรอวะ แล้วพี่น้ำตาลล่ะ”

     “น้ำตาลมาเหรอ! ไหนๆ” พอได้ยินชื่อน้ำตาล ผมก็ผุดลุกพรวดขึ้นทันที ชะเง้อคอมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นใคร

     “ไม่เห็นมีเลย มั่วชิบหายมึงอะ” ผมส่ายหัวเซ็งๆ แล้วนั่งตั้งสายต่อ

     “ไม่ คือกูหมายถึง มึงไปสนิทกับพี่บีมตั้งแต่ตอนไหนเขาถึงพาไปกินข้าวพามาส่งแล้วยังนั่งรอมึงอีกเนี่ย”

     “มันก็มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ แต่สบายใจได้มันยังเป็นศัตรูหัวใจกูเหมือนเดิม” ผมพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับตัวเอง เอ๊ะ หรือว่าไม่ได้เป็นแล้วนะ

     “กูว่าแล้ว...กูน่าจะเอะใจตั้งแต่มึงเอาแต่พูดเรื่องพี่เขาในไลน์กลุ่ม...”

     “มึงว่าไงนะ” ผมไม่ทันได้ฟัง เห็นโป้มันเสยผมลวกๆ แล้วบ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว

     “ไม่มีอะไรแล้ว เออ แล้วนี่เสร็จยังจะได้เริ่มซักที ชักช้าจริงๆ มึงอะ” ยังไม่ทันพูดอะไรมันก็บ่นนู่นนี่นั่น ผมเลยได้แต่นั่นงงอยู่กับตัวเองแป้ปนึง รู้สึกว่าวันนี้มันแปลกๆ ไหมครับ คนรอบตัวผมทำท่าทางประหลาดๆ กันหมดเลย เป็นบ้าปะวะ




     [BEAM Part]

     ผมส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความดุ้กดิ้กของน้องมัน หลังจากที่ยัดถุงขนมมาให้ผมมุ่ยก็เดินไปกับเพื่อน ทิ้งผมเฉยเลย ได้แต่หอบหิ้วถุงขนมทั้งหลายไปหาที่ดีๆ นั่งรอน้องมันเล่นดนตรีเสร็จ


     ผัวะ!


     สัด ใครตบหัวกู


     “เชี่ยบีม!”

     “ไอ้นิว” แม่งผลักหัวผมแล้วยืนยิ้มร่าอย่างไม่กลัวโดนเตะ ผมจะโบกหัวมันคืน แต่แม่งก็เอาแต่หลบจนผมเหนื่อยเลยเลิกเล่น มันหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นผมทำหน้าเซ็ง

     “แน๊ กูรู้นะ จึๆ”

     “รู้ห่าอะไรของมึง” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม พยายามไม่สนใจเพื่อนตัวเองที่ทำหน้ากวนตีนติดจะล้อเลียนใส่

     “ทำมาเปงงง โด่เอ้ย!”

     “จะไปไหนก็ไปไป๊ รำคาญชิบหาย” ผมโบกมือไล่ รู้ว่ามันจะพูดอะไรแต่ก็ยังทำเฉยไปก่อน ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมันอยู่ที่นี่ เพราะมันบอกพวกผมแล้วว่าจะพาน้องมาเล่นดนตรีเชิญชวนเข้างานครบรอบคณะวิศวะ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับของน้องมุ่ย

     “ทำไมมึงถึงมากับน้องมุ่ยได้! กูถาม!”

     “พาน้องไปกินข้าวมา”

     “อ๋อ คือที่มึงรีบออกจากห้องเพราะจะรับน้องไปกินข้าว ว่างั้น?”

     “...” ผมไม่ตอบ นั่งมองมุ่ยมันเถียงกับเพื่อนหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้คุยอะไรกัน แต่น่ารักชะมัด

     “แน่ะ มองน้องแล้วยิ้ม อาการออกแล้วเพื่อน!” ใครก็ได้เอาเชี่ยนี่ไปเก็บทีครับ

     “แล้วก็มาส่งน้องที่นี่?”

     “ส่งแล้วก็กลับไปดิ อยู่ทำไมว้าๆ”

     “ถ้าไม่เลิกกวนตีนกูจะถีบมึง”

     “อะ กูถามใหม่ ทำไมคนขี้รำคาญอย่างมึงเนี่ย ถึงไม่แค่มาส่งแล้วก็กลับ นั่งรออยู่ตรงนี้ทำไมครับ?” ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มรู้ทันของมันชิบ นิวมันเป็นพวกประสาทสัมผัสไวโดยเฉพาะเรื่องของคนอื่น หูนี่กระดิกดิ้กๆ ไม่แปลกที่จะรู้ทันผมรวมถึงเพื่อนคนอื่นในกลุ่ม

     “...”

     “เงียบ แสดงว่า...” ไอ้นิวทิ้งช่องว่างทำหน้าลุ้นให้ผมตอบ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างรำคาญแล้วตอบในสิ่งที่มันอยากรู้ไป

     “...เออ”

     “แน๊! ร้ายนะเรา”

     “เรื่องของกูปะ”

     “อย่าลืมว่าน้องมันยังชอบน้ำตาลอยู่ละกัน กูไปล่ะ อิอิ” ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที อารมณ์กำลังดีๆ เสือกมากวนให้มันขุ่น ทอดสายตามองไปทางน้องมันก็เห็นว่านั่งดีดกีต้าร์อยู่คนเดียว ไม่ทันไรก็ต้องยิ้มออกมาเพราะความน่าเอ็นดู

     เด็กอะไรแค่นั่งเกากีต้าเฉยๆ ยังโคตรดูดี ขายาวๆ ของมุ่ยภายใต้กางเกงยางยืดสีน้ำตาลขาสั้นเต่อเป็นจุดเด่นที่มองเมื่อไหร่ก็ไม่มีเบื่อ


     น่ารักไม่เบื่อ


     “อะแฮ่ม สวัสดีครับทุกคน” เหมือนจะพร้อมกันแล้วเพื่อนน้องมุ่ยที่เป็นคนครองไมค์กระแอมขึ้นมาแล้วกล่าวทักทาย คนเริ่มเดินเข้ามาดูโดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่น ส่วนใหญ่ก็น่าจะมัธยมรวมถึงมหาลัย

     “พวกเรามาจากคณะวิศวะมหาลัย XXX นะครับ วันนี้เราจะมาเล่นดนตรีเชิญชวนเพื่อนพี่น้องหรือศิษย์เก่าทั้งหลายมางานครบรอบ 18 ปีของคณะวิศวะกรรมศาสตร์นั่นเอง”

     “แนะนำตัวกันก่อนนะครับ ผมนักร้องนำปีโป้สุดหล่อ” ผมได้ยินเสียงโห่แซวไม่ดังมากมาจากกลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่ง

     “คาฮองน่ารักๆ ของเราครับ พี่นิว” ไอ้นิวก้มหัวทักทาย ได้ยินสาวๆ กรี้ดด้วยครับ ไอ้เตี้ยนี่สาวติดมันเยอะ คารมดีเป็นที่หนึ่ง ทั้งที่เป็นแค่ไอ้หมาเตี้ยคนนึงแท้ๆ

     “ต่อไปเพื่อนผมเองมาจากคณะศิลปกรรม น้องฟ้ามุ่ยครับ” คราวนี้ผมได้ยินเสียงกลุ่มคนโห่แซวกันดังกว่าในตอนแรกจากกลุ่มเดิมและเหมือนจะเป็นเรียนเทคนิคเดาเอาจากเสื้อที่ใส่แล้ว มีเอ่ยเรียกชื่อเฮียมุ่ยๆ บางคนก็ส่งเสียงเชียร์กันออกนอกหน้า มุ่ยรู้จักกับคนพวกนี้ด้วยเหรอวะ

     “โทษนะครับ” น้องมุ่ยสะกิดให้โป้ยื่นไมค์มาให้ “ไอ้กลุ่มนั้นเบาหน่อย กูมาร้องเพลงโห่ซะอย่างกับจะไปออกรบ”

     “เฮียมุ่ยของโผมมมมม ไม่ได้เจอนาน คิดถึง!”

     “เฮียโป้! ด่าพวกเราที! อยากโดนเฮียโป้ด่าโว้ย!”

     “เฮียไม่มาหากันมั่งเลย น้อยใจนะเฮีย!”

     “เลี้ยงหมูกระทะพวกเราหน่อยเฮียมุ่ย เฮียโป้!”

     “เออ รู้แล้ว! คือถ้าเล่นแป้กยังไงก็ยังมีคนช่วยเชียร์อยู่ล่ะวะ” ทุกคนหัวเราะให้กับการหยอกเบาๆ ของน้องมัน จากนั้นโป้ก็แนะนำคนอื่นๆ ในขณะที่น้องมุ่ยหันไปคุยกับกลุ่มนั้น ดูท่าจะสนิทกันมากพอควร

     “เพลงแรกเลยนะครับ อาจจะเก่าหน่อยแต่น่าจะเป็นเพลงโปรดของใครหลายๆ คน...รักคนมีเจ้าของ” เสียงปรบมือดังขึ้นก่อนตามด้วยเสียงกีต้าร์และคาฮองที่ไอ้นิวเล่น


    “ไม่ทราบมันเป็นไร ไม่รู้ว่ามาไง อาการรักเธอ

ก็รู้มีคนจอง ยังมาไปยืนมอง ตกเย็นก็เพ้อ

ยิ้มให้เมื่อเจอกัน เผื่อฟลุ๊กไปวันๆ ไม่กล้าขอเบอร์

ก็รู้เธอมีแฟน ไม่ได้จะไปแทนที่คนของเธอ”



     เสียงดีเลยนี่หว่า น้องมุ่ยเองก็เล่นกีตาร์เก่งไม่เบาเลย จากการเลือกเพลงที่คนรู้จักดีและเสียงร้องของเพื่อนมันที่ไม่ได้ขี้เหร่เลยทำให้คนสนใจเข้ามาดูกันเพิ่มมากขึ้น


     ไอ้น้องมุ่ยแม่งเล่นกีต้าร์เท่ชิบ


     ชอบครับ อยากได้


     ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ที่ชอบ รู้ตัวอีกทีก็เอาแต่มองหาน้องมันไปแล้ว ในตอนแรกผมมองมุ่ยเป็นเด็กตลกริจะจีบรุ่นพี่อย่างน้ำตาลเพื่อนผม คนสวยของคณะ แม่งเด็ดดอกฟ้าชัดๆ คอยหาโอกาสให้ตัวเองสารพัดแต่ก็โดนน้ำตาลปฏิเสธกลับมาทุกที ผมเลยคิดว่าจะคอยดูไปเรื่อยๆ อยากรู้ว่าจะมาไม้ไหน

     บางทีก็เจอกันผ่านๆ ผมก็เข้าไปทักทายบ้างแต่มุ่ยมันก็เมินผมแล้วชวนน้ำตาลคุยแทน เห็นแล้วโคตรหมั่นไส้ ลอยหน้าลอยตาทำเหมือนว่าชนะผมแล้ว

     เฮ้อ ก็อยากจะบอกว่าน้ำตาลมันไม่มีทางสนใจมึงหรอกน้อง แต่เห็นมุ่ยมันไล่ตามเพื่อนผม รู้สึกแค่ว่าชอบเจ้าเด็กนี่จังนิสัยตลกดี จนวันที่ผมต้องไปแทนน้ำตาลวันนั้น ทำให้ความคิดของผมเริ่มเขวนิดๆ

     วันนั้นผมไม่อยากไปแต่เพื่อนก็ขอร้องมาให้ทำไงได้วะ พอได้มาเจอกับมุ่ย เห็นมันอ้าปากหวออย่างตกใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นผมที่มาแทน เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อยากมาถ่ายอะไรอยู่แล้วถ้าน้องมันจะยกเลิกผมก็โอเค ที่ไหนได้ มุ่ยดันเลือกที่จะถ่ายผมแทนขึ้นมาจริงๆ


     “สารภาพจริงๆ ว่ายังคิดถึง

ทุกช่วงเวลาเหล่านั้นมันดีจริงๆ ที่ได้มีเธออยู่ข้างกัน

และแม้หากไม่มีโอกาสอีกครั้ง ฉันพร้อมยินดีเก็บเรื่องของเราเอาไว้

ในใจคนเดียวต่อไปจนตราบชั่วชีวิต”

(สารภาพ : PLAYGROUND)




     เวลาน้องมันโฟกัสอะไรซักอย่างมันจะไม่สนใจอย่างอื่นเลย ตั้งใจถ่ายและไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานให้วุ่นวาย รู้ว่าน้องคงไม่อยากให้ผมเกร็งเลยชวนคุยด้วย ขนาดไม่ชอบผมก็ยังเอาแต่พูดว่าผมดูดี เผลอเก่งอะไรของมันไม่รู้นั่นล่ะ ผมถ่ายรูปมุ่ยแล้วอัพลงอินสตาแกรมที่ไม่ได้โพสท์อะไรมานานมากแล้ว น้องโมโหใหญ่เลยแต่ก็หายง่าย ขี้บ่นแต่ก็ยอมตามใจ รวมๆ แล้วน่ารักดี

     ไหนจะตอนเมาแล้วโวยวายใส่น้ำตาล คุยกับผมแทบไม่รู้เรื่องแต่พยายามจะคุย น้องมันทำให้ผมหัวเราะได้เสมอเวลาที่เจอหรือได้พูดคุยกัน ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นผมเครียดเรื่องน้องชายตัวเองอยู่มาก แล้วมุ่ยก็ดันโผล่มาถูกจังหวะพอดีเป๊ะเหมือนจับวาง

     รู้สึกผิดที่ทำข้อมือน้องช้ำ ผมจับแรงแล้วแขนมุ่ยก็โคตรบางแถมยังขึ้นรอยง่าย เลยรับผิดชอบด้วยการขอโทษแล้วจู่ๆ อะไรดลใจไม่รู้ทำให้ผมจูบข้อมือน้องมัน มุ่ยนิ่งแข็งเป็นหิน รอบตัวเราเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวและหน้าแดงๆ ของน้องที่แม่งโคตรน่ารัก แอทแทคหัวใจผมมาก แล้วมันก็แก้เขินโดยการถีบกูล้มเลยครับ ผมชะงักเพราะไม่เคยเจอใครเขินแล้วเท้ากระตุกมาก่อน เลยนั่งหัวเราะกับตัวเองอยู่อย่างนั้น


     ผมยกมือขึ้นทาบหน้าอกฝั่งซ้ายของตัวเอง


     เชี่ย...หัวใจกูก็เต้นแรงเหมือนกันนี่หว่า


     ผมไม่คิดว่ามุ่ยรู้จักกับน้องชายผมมาก่อน และวันนั้นเองก็เป็นวันที่ผมเริ่มเข้าใจในตัวบูและเริ่มที่จะรู้สึก...ชอบใครบางคน

     มุ่ยพูดถูกและพูดตรงทุกคำจนผมแอบเหวอไปนิด น้ำเสียงสบายๆ ที่ดูออกว่าไม่ได้จะพูดให้ผมต้องเข้าใจให้ได้ แต่เหมือนกำลังเล่าให้เพื่อนฟังให้ผมได้คิดตามและทำความเข้าใจเอง หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อมองไปที่ใบหน้าติดจะยิ้มๆ ของน้อง สายตาที่เหมือนจะปลอบผมไปในที ความรู้สึกบางอย่างพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะจูบอีกครั้ง...บนข้อมือข้างที่เคยเจ็บ


     ชอบ


     ชอบโคตรๆ


     น่ารักชิบหาย


     ไม่อยากแบ่งใคร


     ถ้อยคำจำพวกนี้ผุดขึ้นในสมองผมวนไปวนมาเวลาที่เจอหน้าน้องมัน ผมว่าผมแม่งต้องทำอะไรซักอย่างแล้วไม่งั้นกูนกแน่ๆ จึงเริ่มจากชวนน้องมันไปกินข้าว หยอดมันทีละเล็กทีละน้อย แต่มัน...ขอโทษนะครับ โง่สัดๆ ไม่ได้รับรู้ว่ากูจีบเลยซักนิด ยิ่งพอไอ้นิวมันพูดถึงน้ำตาลก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที ลืมไปว่าน้องมันชอบอยู่


     แต่แล้วไงวะ


     ไอ้ตาลน่ะเหรอ


     หึ


     สู้ผมไม่ได้หรอกครับ อย่าหวังเลย


     ใครเชียร์น้องมุ่ยกับน้ำตาลก็...ครับ


     ระวังขึ้นเรือผิดลำ


     ผมเตือนแล้วนะ : )


     “มีคนขอมาว่าอยากฟังมือกีต้าร์ของเราร้องเพลงครับ”

     “อยากฟังเฮียมุ่ยร้อง! เฮียร้องที!”

     “ว่าไงครับพี่มุ่ย?” ผมกลับมาสนใจมุ่ยอีกครั้ง โป้ยื่นไมค์ไปให้น้องมันตอบ มุ่ยหัวเราะอย่างถูกใจพลางชี้หน้ากลุ่มเดิมที่เอาแต่เรียกร้องให้น้องมันร้องเพลง เผลอสบตากับผมแวบนึงแล้วก็เบ้หน้าแลบลิ้นให้


     มันเขี้ยวจัดๆ


     “ถ้าผมเสียงเพราะมากเลยต้องขออภัยด้วยนะครับ”

     “วู้วๆ !”

     “อะแฮ่ม...ผมนึงถึงเพลงนี้ขึ้นมาได้พอดี ยังไงก็ลองฟังกันดูนะ...ทำอะไรสักอย่าง”


    “หัวใจเต้นแรงหน้าแดงทุกที

ใช่เธอหรือนี่ที่คอยตลอดมา

ควบคุมไม่อยู่รู้เลยว่าตัวสั่น

แค่เจอไม่นานถูกใจฉันเหลือเกิน



     ผมมองไม่ผิดใช่ไหมว่าน้องมันมองมาทางนี้...

     และเราสบตากัน...


     เจอกันแล้วอย่าผ่านเลยได้ไหม

ถ้าเสียเธอไปก็คงชอกช้ำ



     น้องมันเบนสายตาไปทางอื่นอย่างตกใจนิดๆ เมื่อผมจ้องกลับ หน้าเล็กๆ นั่นขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด เสียงนุ่มๆ ติดจะแหบของเจ้าตัวฟังดูมีเสน่ห์และใบหน้าของมุ่ยในยามที่ร้องเพลง ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าโคตรมีเสน่ห์


     เตรียมหวงล่วงหน้าเลยคนนี้


     ฉันต้องทำทำอะไรสักอย่างแล้ว

ให้เธอนี้ไม่แคล้วไม่คลาดกัน

ให้เธอรู้ตัวมีคนคนอย่างฉัน

แอบมองเธออยู่ตรงนี้

รอคอยเธอตรงนี้ฉันนี่ไง”

(ทำอะไรสักอย่าง : ป้าง นครินทร์)



     เออ กูคงต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ



.

.

.



(ต่อข้างล่างจ้า)
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่13 ชอบครับ อยากได้ (UP) 20/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 20-01-2019 01:25:15
(ต่อตรงนี้จ้า)


     หลังจากเล่นดนตรีกันเสร็จ ผู้คนต่างก็ทยอยกันเดินออก บางคนเดินเข้าไปคุยรวมถึงขอถ่ายรูปด้วย โดยเฉพาะน้องมุ่ยของผม ก็ไอ้กลุ่มเดิมนั่นแหละครับ รุมน้องมันจนมองไม่เห็นหัว

     ผมจึงเตรียมเก็บของแล้วกะว่าจะเดินไปหามุ่ย

     “พี่บีม” เสียงเรียกที่ไม่คุ้น เมื่อหันมองไปก็เห็นเป็นน้องรหัสไอ้นิวเพื่อนน้องมุ่ย

     “ว่าไง”

     “ผมชื่อโป้นะ น้องรหัสพี่นิว”

     “อืม”

     “ผมจะพูดเรื่องไอ้มุ่ยมัน” โป้บุ้ยปากไปทางน้องมุ่ย แล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจส่งมาให้ผม

     “มุ่ยเหรอ มีอะไรรึเปล่า”

     “ผมจะถามพี่ตรงๆ ...พี่จีบมันอยู่รึเปล่า” ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะถาม

     “อืม” ก็จีบอยู่จริงๆ นี่ครับ เด็กประถมมองดูยังรู้เลย มีแต่เด็กกากนั่นล่ะที่ยังเอ๋ออยู่

     “พี่...เอาจริงดิ” เพื่อนมุ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ ก็คงห่วงเพื่อนเป็นธรรมดา

     “น้องไม่ต้องห่วงมุ่ยหรอก พี่ไม่ใช่คนใจร้าย” ผมระบายยิ้มให้น้องมัน โป้ชะงักไปนิดก่อนจะทำหน้าแหยๆ พลางลูบแขนตัวเองไปมา

     “โอ้ย! ไม่ใช่มัน พี่ต่างหากล่ะที่ผมห่วง” โป้กระแทกตัวลงนั่งข้างผม หำหน้าหงุดหงิดใจอะไรซักอย่างที่ผมคาดเดาไม่ได้

     “ห่วงพี่เหรอ?”

     “ก็ใช่ดิ พี่เห็นมันอย่างนั้นคิดว่าไม่มีคนมาจีบมาชอบมันเลยหรือไง โคตรเยอะเหอะ” ผมหุบยิ้มทันที ไม่ใช่ไม่รู้ว่าน้องมันมีเสน่ห์ คนต้องชอบอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเยอะแยะอะไรเพราะน้องมันดูไม่เอาใครนอกจากเพื่อน

     “แต่เพื่อนผมอะ มันโง่! มันไม่รู้หรอกว่าโดนจีบ”

     “เออเห็นด้วย” เท่าที่ผมหลอกแตะนิดแตะหน่อยมันมาซักพัก ก็...พอจะเข้าใจได้

     “ที่ห่วงก็กลัวพี่จะเหนื่อยเปล่า รับมือกับมันน่ะ...พี่รู้ใช่ไหมว่ายาก” ผมพยักหน้าเห็นด้วย คุยกับน้องมันแต่ละครั้งต้องพยายามฟังว่าแม่งจะสื่ออะไร ไม่งั้นจับใจความไม่ได้ครับ พูดไปเรื่อยอะ

     “แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง” จากน้ำเสียงกวนๆ กลายเป็นนิ่ง จากที่ตอนแรกดูเป็นเด็กขี้โวยวายเข้าถึงง่ายนิสัยคล้ายเพื่อนตัวเอง ตอนนี้กลับแสดงท่าทีเคร่งเครียดขึ้นมาจนผมรู้สึกได้

     “ถ้าคิดจะเล่นๆ แนะนำว่าให้หยุดซะ”

     “ผมไม่ชอบเห็นใครทำเพื่อนผมเจ็บโดยเฉพาะไอ้มุ่ย” น้ำเสียงนิ่งๆ บวกรอยยิ้มเย็นที่มันส่งมาให้ ผมถึงกับต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ


     อ่า ผมว่าก็น่าจะทั้งกลุ่มน้องล่ะมั้งที่ดูจะ...เข้าใจยาก


     “เท่านี้ครับ ไม่มีอะไรแล้ว” เพื่อนมุ่ยลุกขึ้นยืนแล้วกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ


     หึ เล่นๆ งั้นเหรอ


     คนอย่างบีมมีคำว่าเล่นๆ ที่ไหนกัน เลอะเทอะ


     “อ่อ เพื่อนน้องมุ่ย” ผมลุกขึ้นยืนแล้วเรียกไว้ก่อนที่น้องมันจะเดินออกไป

     “ครับ?”

     “พี่ชอบน้องมุ่ย” ผมยืนยันเสียงหนักแน่น แววตาจริงจังไม่มีล้อเล่น

     “และ...พี่จะไม่ทำให้ทั้งน้องและน้องมุ่ยผิดหวัง” โป้มันอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา


     เป็นอันว่ารู้กัน


     “ครับ”





*****************************************

มาเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฮ่าๆ สองตอนหน้าเราไปบู๊กันค่ะ!
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่13 ชอบครับ อยากได้ (UP) 20/01/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 22-01-2019 08:11:04
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่14 เล่าระหว่างเรื่อง (UP) 03/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 03-02-2019 02:56:29
บทที่ 14

เล่าระหว่างเรื่อง


“มึง”

“ว่า?”

“การที่กูใจเต้นกับคนๆ นึง-”

“มึงชอบเขาแล้วล่ะ”

“สัด กูยังพูดไม่จบเลย”

“มึงเกริ่นมาซะขนาดนี้ คนเทพๆ อย่างกูก็เดาออกปะวะ”

“เฮ้อ”

“เป็นไรอีกอะ”

“มีเพื่อนทั้งทีเพื่อนก็เป็นบ้าเป็นบอ กูรับไม่ได้”

“งั้นกูจะไม่ตอบคำถามมึงแล้ว งอน!”

“แก๊ป ดูเพื่อนมึง”

“ให้กูนั่งเงียบๆ เถอะ อย่ามายุ่งกับกูเลย”

“ไม่ได้ดั่งใจเลยสักคน ฮึ่ย!” ผมมุ่ยหน้าบึนปากอย่างหงุดหงิด ตอนนี้นั่งกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะครับกำลังรอขึ้นเรียนตอนบ่ายโมง แล้วดูพวกมันดิ ไอ้เจ๋งก็กวนตีนจัดเลยส่วนแก๊ปเพื่อนรักเอาแต่นั่งส่องกระทู้ไม่สนใจเพื่อนฝูง ผมซีเรียสนะครับเนี่ย

เมื่อวานหลังจากที่บีมพาผมตะลอนกินและก็พาไปถนนคนเดิน อยู่รอจนผมเล่นดนตรีจบแล้วยังไปส่งถึงหออีก แต่บีมก็ยังไม่กลับไปสักที เล่นตัวทำเป็นถามนู่นถามนี่จับมือผมแกว่งไปมาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จ้องมองมาที่ผมแล้วคลี่ยิ้มเอ็นดูส่งมาให้อีก


‘มาส่งทุกวันได้ปะ?’

‘มาเพื่อ? กูมีน้ององุ่นกูขี่ไปเอง’

‘งั้นพาไปกินข้าวด้วยกันได้ไหม?’

‘กูหากินเองได้ มึงจะถ่อมารับกูทำไม’

‘ถ้าชวนไปเที่ยวจะไปด้วยกันไหมล่ะ’

‘กับมึงอะนะ? ไม่เห็นอยากไปด้วย’

‘แล้วถ้าคอลหาทุกคืน อนุญาตไหม?’

‘รวยนักสิมึงอะ มันเปลืองค่าเน็ตปะบีม แล้วคนจะนอนจะคอลมาหาดาบหาแก้วอะไรวะ โค๊ะ! บ่านี่บ่าเฮ้ย’

‘แล้ว...’

‘แล้วเมื่อไหร่มึงจะกลับไปสักที กูอยากอาบน้ำนอนแล้วโว้ย! ง่วงจะตายห่า’

‘ไม่ดิ แล้วถ้าจะขอคิดถึงน้องมุ่ยทุกวันนี่...จะให้ไหม?’

‘จะทำอะไรก็เรื่องขอ- เดี๋ยว เมื่อกี้พูดอะไรนะ?’

‘ขอบคุณครับ’

“เฮ้ยบีม! เดี๋ยว!”


ผมเดินกลับเข้าห้องอย่างไม่เต็มเต็งเท่าไหร่ เหมือนวิญญาณมันหลุดลอยหายไปตั้งแต่บีมขับรถกลับไป ผมอาบน้ำเสร็จล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากถ้าเอาเท้าขึ้นมาได้นี่ยกแล้วนะครับ ผมลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้น กว่าจะได้หลับก็เกือบตีสาม ดีนะมีเรียนบ่าย ถึงอย่างนั้นผมก็ตื่นขึ้นมาในสภาพซอมบี้แล้วกว่าจะขุดตัวเองออกจากเตียงได้ก็เกือบไม่ทันนัดเพื่อน


ผมว่าผมไม่สบาย


แน่ๆ เลย ชัวร์ป้าป


อาการของผมมันรุนแรงมาก รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ พอลองจับแขนดูแล้วอุณหภูมิก็ปกติแต่ใบหน้าของผมนี่แทบจะระเบิด บางทีเกิดอาการพูดตะกุกตะกักจับใจความไม่ค่อยได้ ตาหลุกหลิกล่อกแล่กเหมือนคนขาดของ แล้วที่ผิดปกติหนักๆ เลยคือ หัวใจ


หัวใจผมมันเต้นแรงมาก จนแทบอยากจะควักหัวใจออกมา เอาออกมาพิสูจน์ เพราะแค่เพียงคำพูดไม่พอ


อ่อ ไม่ใช่นะ


เต้นแรงจริงๆ นะครับผมไม่ได้พูดเล่น แบบ ตึกตักๆ ๆ เลย แล้วไอ้อาการที่ว่ามาทั้งหมดเนี่ยมันชอบเป็นเวลาอยู่ใกล้กับคนๆ นึง


กับบีมอะ...


หน้าร้อนจนแทบจะระเบิดเวลาบีมส่งยิ้มมาให้ หรือบางทีเกิดอาการพูดตะกุกตะกักจับใจความไม่ค่อยได้เพราะบีมจ้องมาที่ผมเหมือนต้องการสื่ออะไรสักอย่างที่คนอย่างผมโง่เกินกว่าจะเข้าใจ แล้วตาจะหลุกหลิกล่อกแล่กเหมือนคนขาดของเมื่อบีมเข้ามาใกล้ กะ...ก็มันชอบยื่นหน้าเข้ามาแล้วยังยิ้มให้อีก เป็นใครก็ต้องมีอาการเหมือนผมไหมอะ


แล้วตอนมัน...ตอนมันจุ๊บ...เอ้ย! ...เป่าข้อมือผม หัวใจนี่รัวอย่างกับกลองชุดรวมอาการที่ว่ามาทั้งหมดนั้นด้วยในเวลาเดียวกัน


ผมต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ๆ ทุกคน


ผมเชื่ออย่างนั้น


“มึงดูอันนี้ดิ น่ารักดีว่ะ มีคนมาตั้งกระทู้ถามในพันทิปอะ” ไอ้แก๊ปเป็นนักสิงกระทู้ตัวยงเลยครับ มันชอบอ่านแล้วก็แชร์ลงเฟซบุ๊กแถมแท็กเรียกพวกผมมาอ่านด้วย ยิ่งพวกเรื่องผีนี่แชร์จนรกทามไลน์เลยครับ


“ถ้าเรารู้สึกชอบใครคนนึง เราจะมีอาการอย่างไรครับ หูย กระทู้ช่างโดนใจ”


กึก!


“เฮ้ยๆ ไหนมึงเข้าไปอ่านคอมเม้นดิ้” ไอ้เจ๋งสะกิดแก๊ปแล้วกระเถิบตัวเองไปนั่งม้านั่งเดียวกันพลางทำหน้าอ้อร้อปรายตามองมาทางผม

“มองเหี้ยไรมึง”

“เปล๊า! หนาย แก๊ปลองเอามาอ่านให้หมาแถวนี้มันฟังเด๊ะ”

“กวนตีนกูดีจังเลยนะ เชี่ยเจ๋ง” ผมชี้หน้าคาดโทษมันไว้ ยังไม่กล้าทำอะไรมันตอนนี้ครับ เดี๋ยวเพื่อนแก๊ปจะเกรี้ยวกราด

“คนตอบเยอะอยู่นะ ไหนอ่านสักอัน...” ผมทำเป็นไถโทรศัพท์เล่นไม่สนใจพวกมัน แต่หูนี่ผึ่งเลยครับ


“จะมีอาการแอบมอง...แอบยิ้ม แล้วก็เขินเวลาที่เขามองมา”

“...”

“ตอนเจอกันสมองจะตื้อคิดอะไรไม่ออก คิดถึงหน้าเขาแล้วใจเต้นแรงผิดปกติ”

“...”

“พยายามไม่มองหน้า เวลาเขามองมาก็จะทำหน้านิ่งแล้วไปนั่งยิ้มบ้าๆ คนเดียว”


กูเลย


กูทั้งนั้น


“ไหนเอามาดูมั่งเด้ะ!” ผมทำเป็นโวยวายแล้วกระเถิบไปนั่งใกล้แก๊ปด้วย

“พวกมึงห่างๆ กูที อึดอัดชิบหาย สามคนเก้าอี้ตัวเดียว” ไอแก๊ปดันทั้งผมและเจ๋งออกมา

“เดี๋ยวกูส่งลิงก์ให้ในแชทกลุ่ม พวกมึงก็ไปอ่านกันเอง” มันทำหน้ารำคาญ แต่ก็ยังใจดีแชร์มาให้อ่าน

“มุ่ยมึงแชร์ลงหน้าเพจมึงดิ” ไอ้เจ๋งย้ายมานั่งกับผมแทน ทำเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มบุ้ยปากมาที่โทรศัพท์ผม

“เพื่อไรวะ มันเพจถ่ายรูปไหมล่ะ”

“เออน่า เชื่อกู กูรู้นะว่ามึงกำลังเป็นบ้ากับเรื่องพี่บีม” มันชี้หน้าผมพลางจ้องเขม่ง

“เหี้ย...มึงรู้ได้ไงอะ” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะจับพิรุธได้ มันดูออกขนาดนั้นเลยเหรอครับ

“ไอ้ควายน้อย ไม่รู้สิแปลก ถึงมึงกับกูเพิ่งจะเป็นเพื่อนกันหมาดๆ แต่ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามึงคิดอะไร”

“กูไม่ได้คิดไรเล้ย! กูเปล๊า!”

“เสียงสูงไอ้สัด โป้มันเล่าให้กูฟังหมดแล้วเรื่องเมื่อวาน”

“ก็แค่ไปเดินกาด...” ผมหลบสายตาที่เจ๋งจ้องมาอย่างจับผิด

“บางทีกูก็สงสัย มึงมีความมั่นใจอันแรงกล้าที่จะจีบพี่น้ำตาลเขาขนาดนั้น ไอ้กูก็นึกว่ามึงจะเจนสนามเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ไหนได้ โถ...น้องมุ่ยตะเร้กๆ” มันทำหน้าสงสารผมจับใจพลางลูบหัวผมไปด้วย

“พูดอะไรวะ ขนลุก เรื่องกูจะจีบน้ำตาลมันทำไม กูก็เข้าไปคุยกับเขานะเว้ย ช่วงนี้ในแชทก็ได้คุยกันตั้งบ่อย กูกากที่ไหนกัน” ผมพูดอย่างมั่นใจในตอนแรกแล้วค่อยลดระดับเสียงลงมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ คุยทุกวันไหม ก็ไม่หรอกครับ แต่ก็มากกว่าช่วงแรก น้ำตาลชอบทักมาถามเรื่องกล้อง ดูเหมือนเธออยากจะลองเล่นดู ผมก็ให้คำแนะนำเขาไปเท่าที่ทำได้ มันพอจะนับเป็นจีบได้ไหมอะครับ ถือเป็นคนคุยได้ไหม?


“คุยของมึงกับคุยของกูมันคนละอย่างกัน เฮ้อ”

“คนไหนคุยก็คือคนคุย กูเข้าใจผิดตรงไหน?” ผมทำหน้างง

“เออ ช่างหัวเรื่องนั้นก่อน มาพูดถึงพี่บีมดีกว่า”

“ทำไม”

“ให้กูเดา พี่บีมอะ...จีบมึงอยู่!”

“หะ!!?”

“เว้ยยย ไอ้มุ่ยหน้าแดง! เชี่ยแก๊ปดูๆ”


บีมเนี่ยนะ...จีบผม?


“มะ...มั่วแล้วเพื่อนเจ๋ง...”

“เอ้า! จริงจริ้ง”

“...” บ้ากันไปใหญ่แล้ว! เหอะๆ บีมเนี่ยนะ? บีมที่มีน้องชื่อบูอยู่ปีสองวิศวะเนี่ยนะ จะมาจีบผม ไค่หัว! (อยากหัวเราะ)

“เชื่อกูดิ กูเห็นมานักต่อนักแล้ว จีบชัวร์!”

“มันจะมาจีบอะไรกู” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “มึงอะไม่รู้อะไร...” เฮ้อ แสดงว่าคนอื่นคิดแบบนี้กันหมดเลยดิ ดีนะผมไม่โง่

“อะไรวะ?”

“บีมมันกวนตีน!”

“ห้ะ? อธิบายดิ้” เจ๋งทำหน้าเหลอหลา ขมวดคิ้วทำงงในสิ่งที่ผมพูดไป

“ก็ที่มึงคิดว่าบีมจีบกูอะ เปล่าเลยเว้ย! มันแค่มากวนตีนกูให้กูรำคาญ ทำให้กูสับสน ทำให้กูใจเต้นแรง...ให้กูไขว้เขวไง อะ...เออ! นั่นแหละ”

“ใช่เหรอเพื่อนมุ่ย”

“กูเชื่ออย่างนั้น”


งั้นแสดงว่าอาการทั้งหมดที่ผมเป็นเวลาอยู่ใกล้บีมนี่ก็คือ โกรธ! ผมโกรธมันไงครับทุกคน! โกรธจนเลือดขึ้นหน้า หัวใจเต้นรัวเพราะอยากถีบมัน ตาหลุกหลิกเพราะพยายามระงับอารมณ์ตัวเองอยู่


โหย คิดตั้งนาน!


แค่นี้ก็คิดไม่ออก โง่จริงๆ เลยไอ้มุ่ยเอ้ย!


“...เบิ้ดคำสิเว่าเลยกู” ไอ้เจ๋งยกมือกุมหน้าผาก ส่ายหน้าไปมาอย่างเครียดๆ มันคงสงสารผมนั่นแหละ ผมโดนแกล้งไง


“เออ มึงแชร์กระทู้ดิ กูอยากรู้อะไรสักอย่าง” ยังไม่จบ ไอ้เจ๋งลูบหน้าลูบตาแล้วหันมาคะยั้นคะยอให้ผมแชร์กระทู้ที่แก๊ปส่งลิงค์มาให้ลงเฟส

“เออๆ วุ่นวายชิบหาย” ผมตัดรำคาญโดยการแชร์ไปหน้าเพจของตัวเอง เหล่าผู้ติดตามก็เข้ามากดไลค์กันทีละคนสองคน ผมก็มีแชร์กระทู้หรือเรื่องราวที่น่าสนใจลงเพจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการถ่ายภาพมากกว่า

“เรียบร้อยเหมือนกัน ฮี่ๆ” ผมมองหน้าไอ้เจ๋งอย่างไม่ไว้ใจ มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แม่งจะแกล้งอะไรกูรึเปล่าวะ ระแวงสัด


ตึ้ง!


มีคนมาคอมเมนท์เรื่องราวที่ผมเพิ่งแชร์ไป เก็บไว้อ่านคืนนี้ดีกว่า อ่านทีเดียวตอบทีเดียว


ตึ้งๆ


“แจ้งเตือนมึงดังอะมุ่ย ลองเข้าไปดูดิ”

“ค่อยตอบตอนจะนอน ตอนนี้กูขี้เกียจ มัวแต่ตอบไม่เป็นอันทำอะไรพอดี” ผมบอกปัดๆ ไป เช็คเวลาในโทรศัพท์ก็เหลืออีกห้านาทีจะถึงเวลาเรียน

“เชี่ยมึง ไปเรียนเร็ว! เหลืออีกห้านาที” ยังไม่ทันเปิดดูอะไรทั้งสิ้น ผมร้องบอกเพื่อนต่างคนต่างรีบกุลีกุจอเก็บของวิ่งขึ้นอาคารเรียน มัวแต่ฝอยกับพวกมันจนเกือบลืมเวลา สายไม่ได้ครับคาบนี้ ไม่ได้เด็ดขาด อ้าก!


พี่ชื่อเจ๋ง แปลว่าหล่อมากรู้ยัง : @Beambeam Pattaranon

นิวแปลว่าใหม่ : อุ้ย! น้องมุ่ยแชร์ไรอ้า

กิ่งก้านใบ ชะชะใบก้านกิ่ง : ว้ายตั่ยล้าววววว

Beambeam Pattaranon : ยังไงนะ ขออีกที

นิวแปลว่าใหม่ : น้องเค้าหมายถึงใครนร้าาาาาา ใช่ที่ชื่อ บีม ปร้า! แค่กๆ

Beambeam Pattaranon : @นิวแปลว่าใหม่ แล้วมึงไปเสือกไรน้องมัน

กิ่งก้านใบ ชะชะใบก้านกิ่ง : อุ้ยๆ น้องเค้าหมายถึงมึงแน่เหรอไอ้บีม อย่าฟ่าวหลายเด้ออ้าย 5555

Beambeam Pattaranon : สัด




.

.

.



“มึงนี่ลำบากเพื่อนตลอดเลยนะไอ้โป้ กูก็นึกว่ามีเรื่องใหญ่โตอะไร ไอ้ควาย” ผมจอดรถอยู่หน้าร้านแทงสนุ๊กซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เด็กช่าง ย่านนี้เป็นแหล่งสังสรรค์ของวัยรุ่น มีทั้งร้านคาราโอเกะ ร้านนั่งชิว ร้านหมูกระทะ มีทุกอย่างครับ แล้วยิ่งดึกก็ยิ่งคึกในขณะที่ความปลอดภัยเป็นศูนย์ มาได้ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี เมื่อก่อนผมมาบ่อยแต่เดี๋ยวนี้นานๆ ทีแวะมา จะมีแต่เชี่ยโป้ที่ยังคงมาสม่ำเสมอ


“ได้ทีบ่นใหญ่ๆ เลือกได้ก็ไม่อยากจะให้มึงมาหรอก” ผมพยักหน้าส่งๆ ปกติแล้วโป้มันจะมาของมันเองแต่เมื่อวันก่อนมันดันขี่รถไปเฉี่ยวต้นไม้เพราะโดนรถยนต์คู่กรณีเบียดจนเกือบตกถนน ดีนะโป้แม่งประคองรถอยู่จึงทำได้แค่เฉี่ยวๆ แต่เอาจริงๆ ก็เสียหายเยอะเหมือนกันเลยต้องส่งอู่ บ้านมันนั่นแหละครับ โดนป๋าด่าเละแถมยึดกุญแจรถทุกคันของมันหนึ่งอาทิตย์ให้สำนึกผิด มันก็มาคร่ำครวญกับพวกผมเหมือนจะขาดใจตาย สุดท้ายก็ต้องคอยผลัดกันไปรับไปส่งมัน


เอาจริงผมก็ไม่ไว้ใจให้เพื่อนอีกสองคนมา อย่างที่บอกว่ามันอันตราย แถมพวกมันไม่ค่อยรู้ทางแถวนี้เผลอๆ จะหลงไปเจอพวกคนดีเข้า


ไอ้ผมนี่ก็คู่กรณีเยอะครับ แหะ


“มึงกลับได้แล้วไป เดี๋ยวกูให้พวกไอ้เทียนไปส่งเอง” ผมเออออตามมัน ใส่หมวกกันน็อคแล้วเริ่มขี่ออกจากร้านไป


แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว แวะถ่ายรูปที่สะพานหน่อยก็แล้วกัน ดีนะเอากล้องมาด้วย


ไอ้โป้รู้ด่าตายห่า


ไม่เป็นไรครับ รีบถ่ายรีบกลับ น่าจะไม่เจอใคร มั้ง


ผมจอดรถอยู่ไม่ไกล อันที่จริงมันไม่ใช่สะพานใหญ่อะไรหรอกครับ เป็นสะพานคอนกรีตขนาดกลางข้ามแม่น้ำสายเล็ก เมื่อก่อนเขาก็ใช้เส้นทางนี้กันเพราะมันรวดเร็ว แต่พอสะพานใหญ่สร้างเสร็จเขาเลยเลิกผ่านทางนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันอันตรายด้วยนั่นล่ะ


ฝั่งที่ผมขี่มาจากย่านนั้นทะลุซอยออกมาหน่อยแล้วจะเจอสะพานนี้พอดี มันเป็นทางลัดน่ะครับ คนในพื้นที่เขาจะรู้กัน มาตอนบ่ายน่ะไม่เท่าไหร่คนยังพลุกพล่านอยู่ แต่ช่วงเย็นไปจนดึกดื่นอย่าได้มาเชียวครับ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคล้ายกับฝั่งของพื้นที่เจริญแล้ว อีกประมาณสองกิโลเมตรก็จะเป็นถนนคนเดินที่ผมไปมาเมื่อสองวันก่อนนั่นเอง เหมือนแบ่งฝั่งขาวกับดำอะ ผมเลยเลือกที่จะขี่รถข้ามไปจอดฝั่งกาดก่อนดีกว่า ฮ่าๆ


ถามว่ามาทำไม


ตรงนี้น่ะสุดยอดแล้วครับ อาทิตย์ตกดินตรงกลางสะพานเป๊ะ แถมวิวรอบข้างก็ใช่ย่อย นั่นๆ ตรงตีนสะพานเห็นอยู่สองสามคน อ๋อ มาถ่ายกับแฟน


อืม


ผมละสายตาจากภาพคู่รักตรงหน้าแล้วเดินไปแถวกลางสะพาน ยกกล้องขึ้นถ่ายวิวรอบข้างไปเรื่อยๆ รอจนพระอาทิตย์ใกล้ตกกว่านี้หน่อย


เอ๊ะ


ใครวะน่ะ หลังคุ้นๆ


ผมยกนิ้วขึ้นดันแว่นแล้วพยายามหรี่ตามอง เหมือนกำลังจะวาดอะไรซักอย่างอยู่ด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้คนๆ นั้นมากขึ้น จนระยะห่างระหว่างผมกับเขาอยู่ใกล้กันมากขึ้น เด็กมอปลายนี่หว่า


“เย้ย!” ผมเอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อจะมองหน้าให้ชัด ถึงกับเบิกตากว้างส่งเสียงอุทานอย่างตกใจ

“เฮ้ย! พี่!” อีกฝ่ายสะดุ้งแรงเมื่อได้ยินเสียงผม มันหันมาแล้วอ้าปากเหวอ

“ไอ้น้องบู/พี่มุ่ย!”


.

.


“มึงนี่น้า ที่สวยๆ กว่านี้ก็มีไม่ไป” ผมขยี้หัวน้องมันอย่างหมั่นไส้ เลือกที่สเก็ตช์ภาพได้ดีมาก บ้าไปแล้ว!

“เพื่อนผมแนะนำมา”

“หลอกมึงมากระทืบหรือเปล่า เพื่อนมึงอะ”

“พูดอะไรของพี่”

“เรียกกูเฮียเถอะ ไม่ค่อยชินคำว่าพี่เท่าไหร่” บูพยักหน้าอย่างเข้าใจพลางหันไปสนใจกับภาพตรงหน้าแล้วลงมือวาดต่อ ผมนั่งหันหลังพิงราวสะพานกดเลื่อนดูรูปที่ถ่ายมาส่วนน้องมันก็ยืนสเกตช์ภาพอยู่อย่างนั้น โชคดีที่ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเท่าไหร่นัก


บูบอกผมว่าอยากหาโลเคชันสวยๆ ฝึกวาดรูป เพื่อนมันก็พามาที่นี่ พอผมถามว่าเพื่อนไปไหนมันก็บอกว่ามีธุระด่วน ถ้าน้องมันจะกลับก็ให้โทรมาแล้วเดินข้ามสะพานไปรอฝั่งถนนคนเดิน


แล้วเพื่อนมันไม่รู้หรือยังไงว่าที่ตรงนี้ใครเขาให้อยู่คนเดียว โค๊ะ!


“เฮียมุ่ย”

“ว่า” หลังจากเงียบไปนาน น้องมันก็เอ่ยเรียกชื่อผม มือหยุดวาดแล้วสายตาจ้องมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย

“ขอบคุณเฮียมากนะ พี่บีมแม่งดีขึ้นเยอะเลยว่ะ”

“กู...ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนิ” ผมเฉไฉตอบ เวลามีคนมาขอบคุณแล้วรู้สึกจักจี้แฮะ ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เคยแต่โดนด่าอะ

“เออ นั่นแหละ ผมโคตรตกใจที่อยู่ๆ มันเรียกผมมานั่งคุยด้วยเรื่องเรียนต่อ” ผมนิ่งเงียบเพื่อรอฟัง

“...”

“ผมก็อธิบายไป แปลกมาที่ไม่ค้านผมสักคำ แต่พี่มันก็บอกว่าจะทำอะไรให้คิดดีๆ พี่บีมยังไม่ได้โอเคร้อยเปอเซนต์แต่จะพยายามทำความเข้าใจ”

“...”

“เชี่ย ผมแม่งโคตรรอเมซิ่ง ตบหน้าตัวเองนึกว่าฝันไป เจ็บตัวฟรีเลย” น้องบูมันก้มหน้าขำออกมาเล็กน้อย เหมือนเป็นเรื่องน่าอาย

“พี่มันบอกว่าอย่าลืมมาขอบคุณเฮีย”

“เออ ไม่เป็นไรหรอก” ผมลุกขึ้นยืนหันไปทางเดียวกับน้องมัน ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี





“แล้ว...มีอะไรอยากจะถามกูอีกไหม” ผมยิงคำถามออกไป หลังจากเราสองคนเงียบไปนาน

“สังเกตด้วยเหรอ...” ผมลดกล้องลงแล้วมองหน้าน้องมัน แววตาแห่งความสับสนเจือปนอยู่ในนั้นถึงแม้ริมฝีปากจะยิ้มออกมาก็ตาม

“ชัดเจนขนาดนั้น โกหกกูไม่ได้หรอก” ผมยิ้มขำ

“เฮียแม่ง...”

“รับปรึกษาปัญหาฟรีเฉพาะวันนี้ วันอื่นคิดนาทีละร้อย” น้องมันหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมก็ได้แต่ยิ้มตาม รอจนนอกมันนิ่งเงียบไปสักพัก ก็เริ่มพูดออกมา

“ผมสับสนว่ะพี่”

“อือ...”

“พี่เข้าใจปะ มันเป็นอารมณที่แบบ พอเขาเข้าใจเรายอมให้เราแล้ว แม่งเริ่มรู้สึกผิดละ อธิบายไม่ถูกแต่เป็นความรู้สึกที่โคตรเหี้ยเลย พอพี่บีมยอมฟังก็กลายเป็นผมที่ลังเล ทั้งที่เลือกจะต่อต้านมาทั้งชีวิต”

“มันโอเคแล้วใช่ไหมวะที่จะเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบอะเฮีย”

“ถ้าผมเข้าไปเรียนแล้วมันไม่ใช่ล่ะ ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด...แล้วมันจะเป็นยังไง” น้องมันก้มหน้าลงยกมือขยี้ผมอย่างหงุดหงิดในใจ ผมปล่อยให้ความเงียบมันดำเนินไปอย่างช้าๆ รอจนน้องมันอารมณ์คนที่ ผมจึงเริ่มเปิดปาก

“ความจริงกูต้องอยู่ปีสอง แต่ดันมีเรื่องขึ้นซะก่อนทำให้กูเรียนช้าปีนึง” ผมเก็บกล้องเข้ากระเป๋าแล้วอธิบายให้น้องบูฟังด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ผ่อนคลาย

“กูเคยเป็นเด็กกึ่งจะมีปัญหา เชื่อปะ”

“...”

“ตอนกูอยู่มอต้นเฮียกูเรียนทันตะอยู่ปีสาม กูเป็นเด็กที่เรียนไม่ได้เด่นทุกวิชากูทำอยู่ในระดับกลางๆ กีฬาก็เรียกได้ว่ากาก โคตรจะเด็กธรรมดาทั่วไป”

“...”

“ช่วงนั้นมีแต่คนชมเฮียว่าเก่งเพราะเรียนทันตะนู่นนี่นั่นแล้วมาคาดหวังกับกูทั้งที่เรียนยังไม่ได้ครึ่งเฮียมัน บ้านกูก็ไม่ได้รวยอะมึง บ้านขายปุ๋ยธรรมดาๆ นี่แหละ แม่งคะยั้นคะยอให้กูเลือกเรียนหมอไม่ก็อะไรเทือกนั้น เตียกับม๊าคงเห็นว่ามันไม่มีอะไรเสียหายก็ส่งเสริมและคิดว่ากูอยากเรียน”


“กูรำคาญมาก เลยโวยวายขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต พวกญาติทั้งหลายก็มองกูเป็นเด็กไม่ดีไปเลย ฮ่าๆ คิดแล้วขำ คือตอนนั้นกำลังกินข้าวกันวันตรุษจีนไง ลุงป้าน้าอาเขาก็อวดลูกกันตามปกติ กูก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งพูดกระทบกูนี่แหละ กูเลยโมโหกวาดกับข้าวบนโต๊ะทิ้งลงพื้นหมดเลย กูในตอนนั้นเป็นคนเหี้ยเกินกว่ามึงจะจินตนาการออกไอ้น้องบู” น้องมันผงะเล็กน้อยเพราะตกใจกับวีรกรรมสุดติ่ง ผมหัวเราะเบาๆ และเริ่มเล่าต่อ


“กูเลือกที่จะเรียน ปวช. เพื่อตัดปัญหากับการที่จะเอากูไปเปรียบเทียบกับเฮีย สายสามัญใช่ไหม? กูสายอาชีพเลยเป็นไง และนั่นคือจุดเริ่มต้นความเหี้ยที่สุดในชีวิต ถ้าเลือกได้ก็อยากจะลบปมตรงนี้ออกไป แต่คิดอีกทีเรื่องนั้นมันก็สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับกู”


“เพื่อนข้างบ้านกูก็เข้าเรียนที่นี่เหมือนกัน พวกเราลองมาทุกอย่างไม่ว่าจะเหล้า บุหรี่หรือแม้กระทั่งยา...”


“กูเว่อไปงั้น อันที่จริงกูกับไอ้โป้ไม่ได้ลองหรอก เพื่อนคนอื่นต่างหาก โชคดีที่ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างพวกกูเลยไม่คิดจะยุ่งกับของพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย”


“เรียนช่างคงหนีไม่พ้นเรื่องตีรันฟันแทง ไอ้โป้กับกูเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนตาย มีเรื่องทุกวันไม่ได้หยุดหย่อน ทั้งในและนอกสถาบัน จากที่ไม่เคยเตะต่อยใครกลับต้องฝึกและเรียนรู้ไว้เพื่อป้องกันตัวเองและช่วยพวกพ้อง กูกลับเข้าบ้านแต่ละครั้งแผลไม่ซ้ำกันสักที่”


“เตียกับม๊าด่ากูทุกวัน แต่กูก็เฉยทำเมินไม่สนใจ ยิ่งกับเฮียจากที่เป็นพี่น้องที่รักกันดีแม่งมีแต่เรื่องให้ต้องทะเลาะกันตลอด ยอมรับเลยว่าตอนนั้นอิจฉา เฮียดีไปหมดทุกอย่างในขณะที่กูเหี้ยยิ่งกว่าอะไร”


“ความไม่เข้าใจความห่างเหินระหว่างกูกับครอบครัวเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ จนวันนึง เป็นที่กูจำได้ดีและจนตายก็ไม่คิดจะลืม”


“กูกับไอ้โป้เรียนจบ พวกเราไปฉลองกันที่ร้านเหล้า โคตรขำ รู้ปะ กูไม่คิดจะเรียนต่อด้วยซ้ำ ไม่มีจุดหมายไม่มีความอยากที่จะทำอะไรเป็นอาชีพเลยสักอย่างเดียว ล่องลอยสัดๆ กูกับไอ้โป้เลยมองไว้ว่าจะเปิดร้านเหล้าด้วยกัน แม่งเลย เจ๋งสุด ฮ่าๆ”


“ขากลับเสือกเจออริ เลยตู้ม! ระเบิดเป็นโกโก้ครั้นเลย” ผมเลิกเสื้อตัวเองขึ้นเล็กน้อยแล้วชี้ให้น้องมันดูตรงรอยแผลเป็นตรงช่วงเอวที่ที่ยังคงเห็นชัดอยู่แม้จะผ่านมาเป็นปีแล้วก็ตาม


“มีเรื่องกันไปได้สักพัก เหมือนพวกมันจะไม่ไหวเพราะพวกกูก็ไม่ได้อ่อน เลย...นั่นแหละ เล่นไม่ซื่อ”


“กูโดนแทงเข้าที่เอวซ้าย ดีที่เป็นมีดสั้นไม่งั้นกูคงไม่ได้มายืนพล่ามให้มึงฟังอย่างนี้หรอก หึๆ ส่วนเพื่อนกู ภาพสุดท้ายที่เห็น...คือไอ้โป้โดนฟันเข้ากลางหลัง รู้สึกตัวอีกทีก็นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว...ฮ่าๆ ดูหน้ามึงดิบู ตกใจเว่อชิบหาย” ผมหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เพราะบูตกใจจนนิ่งค้างตาแทบจะถลนออกมา ชี้สลับไปมาระหว่างแผลกับหน้าผม


“ฮะ...เฮีย! มึงโดนแทงนะเฮียโว้ย!”

“เออ ก็โดนแทงไง มึงตกใจอะไร” ผมบุ้ยปาก “เพื่อนมหาลัยกูยังไม่รู้ มึงคนแรกเลยนะเนี่ย”

“เฮียแม่ง...”


“หลังจากนั้นเตียกับม๊า เฮียและน้องกูก็เข้ามาเยี่ยม โห ตอนนั้นในใจกูคิด โดนด่าแน่ๆ อีกตามเคย แต่สุดท้ายแล้ว...มันไม่ใช่” ผมแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติไม่ให้ทำตัวกากต่อหน้าน้องมัน


“มันไม่ใช่เลยบู เตียกับม๊าร้องไห้กอดกูแน่น เขาพูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นอะไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้วลูก กูอึ้งแบบทำอะไรไม่ถูก เห็นเฮียยืนร้องไห้กอดปลอบน้องสาวตัวน้อยของเรา”


“ขอโทษนะลูก...เตียกับม๊าขอโทษ”

“เฮียขอโทษนะมุ่ย เฮียผิดเอง”


“กูไม่เข้าใจ ขอโทษกูทำไม ไม่มีใครผิดเลยสักนิด กูคือคนที่ผิดเว้ยไม่ใช่พวกเขา กูไม่เคยโทษครอบครัวเลยต่อให้ด่ากูขนาดไหนก็ตาม...โคตรรู้สึกแย่ ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าที่ผ่านมาทำตัวเหลวแหลกเหี้ยๆ แบบนั้นไปเพื่ออะไร...แค่ต้องการประชดเหล่าญาติๆ ประชดที่เปรียบเทียบตัวกูกับเฮีย...กูแคร์ความคิดคนอื่นจนทำร้ายตัวเองและครอบครัว สุดท้ายแล้วคนที่ทำให้เตียกับม๊าร้องไห้ก็คือกู”


“วันนั้นจึงเป็นวันที่เราทุกคนได้พูดในสิ่งที่คิดออกมาจริงๆ เพื่อเคลียร์ความรู้สึกแย่ๆ ที่ติดค้างอยู่ในใจออกมา กูบอกกับเขาทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องญาติ เรื่องเรียน และอนาคต”


“พอหายดี กูเริ่มกลับมาตั้งใจเรียน หาในสิ่งที่ชอบและเริ่มทำมัน”


“เตียกับม๊ารู้ว่ากูไม่ชอบญาติตัวเอง แกไม่ได้ว่าอะไรแต่บอกให้กูปรับอารมณ์ตัวเองให้ใจเย็นลงหน่อย อะไรที่พวกเขาพล่ามมาก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจให้ทำเฉยเข้าไว้ เออ...พอแคร์ตัวเราและคนที่รักมากกว่าคนอื่นแม่งรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”


“เฮียพยายามช่วยกูทุกทาง จนเจอกับพี่พระนาย...”


“เหมือนเปิดโลกใบใหม่ที่กูไม่เคยเจอ...พี่พระนายชอบเล่นกล้องชอบศิลปะกูก็ไปคลุกคลีกับพี่แกอยู่เป็นปีจนซึมซับอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้รู้ตัวเองว่า เห้ย ศิลปะมันคือทางของกูนี่หว่า การถ่ายภาพคือสิ่งที่ชอบและอยากจะทำมันต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าพี่แกฝังความคิดให้ชอบ แต่เป็นกูเองที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ...แล้วก็กลายเป็นตัวกูอย่างทุกวันนี้”


“ที่พล่ามมาทั้งหมด...อืม” ผมเกาหัวแกรกๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเล่าออกทะเลไปไกลและไม่รู้จะจบอย่างไรดี “มึงอย่าเอาความคิดใครมาใส่หัว ทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เห็นไหม ขนาดพี่มึงยังต้องยอมแพ้ให้กับความพยายามของมึงเลย ฮ่าๆ”


“อย่าลังเล เพราะมึงต้องลงมือทำถึงจะรู้และเข้าใจถึงสิ่งที่ตามมา ถ้าได้อย่างที่หวังก็ถือว่ามึงมาถูกทางแล้ว นี่แหละใช่เลย”


“แต่แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แต่มันก็คุ้มแล้วที่ได้ลอง”


.

.


แปะๆ


“ตบมือทำเชี่ยไร ไอ้เด็กนี่”

“เฮียแม่ง สุดยอดเลยว่ะ”

“ได้กำลังใจขึ้นมาไหม แค่อยากจะบอกมึงว่าการทำตัวเหี้ยๆ อย่างที่กูเคยทำมันไม่ดีหรอก อย่าเสียเวลาทำเพื่อประชดใครเลย แล้วไอ้เรื่องที่หายจากหอไปสองสามวันโดยที่ไม่บอกพี่มึงเนี่ย คนเท่เขาไม่ทำกัน”

“พี่บีมแม่งบอกเฮียหมดเลยเหรอ เซ็งชิบ” บูทำหน้าเบื่อหน่าย มันคงคิดอยู่เหมือนกันว่าไม่น่าทำเล้ย เพราะยังไงก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี ฮ่าๆ

“ในเมื่อที่บ้านเข้าใจมึง บีมก็ไม่ห้ามแล้ว...ลุยเลยไอ้น้อง!” ผมตีไหล่บูดังป้าปยิ้มกว้างๆ ให้แต่น้องมันดันทำหน้าบูดใส่จนผมขำแล้วจึงหัวเราะเสียงดังออกมา

“ขอบคุณนะ แม่ง ถ้าเฮียไม่ใช่ของพี่บีมกูจีบแน่ๆ อะ...น่ารักชิบหาย” ผมฟังเข้าใจแค่ขอบคุณนะ แต่ประโยคหลังเหมือนบูพึมพำกับตัวเองทำให้ผมไม่ได้ยิน


“งั้นก็กลับได้แล้ว อยู่แถวนี้ดึกๆ ไม่ดีนักหรอก เดี๋ยวกูไปส่งเอง” ผมมองน้องมันเก็บของใส่กระเป๋าพร้อมอาสาจะไปส่ง

“เออ ยุงเริ่มกัดแล้วอะ”

“วันหลังไม่ต้องมาที่นี่นะ มันอันตราย”

“ไม่เห็นมีอะไรเลย ไฟก็มี”

“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยว มันอยู่ตรงที่-”



“อ้าว! น้องมุ่ย!”


ชิบ...หาย...แล้ว


ผมค่อยๆ หันกลับไปตามเสียงเรียก ก็เจอกับกลุ่มคนที่ไม่ต่ำกว่าห้ายืนอยู่ตรงปลายสะพานฝั่งร้านโต๊ะสนุ๊ก และเป็นคนที่ผมรู้จักดีซะด้วย


“มึง...”


“บ่าได้ป๊ะกันเมิน จำอ้ายได้ก่อ?”


แม่งเอ้ย!


นี่แหละคือคนที่ผมไม่อยากเจอที่สุด!!





******************************

จะบู๊แล้วๆ แสดงความคิดเห็น+เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะค้าาาา  :katai4: :call:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่15 ตื่นๆมีเรื่องเเล้ว (UP) 19/02/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 19-02-2019 02:00:33
บทที่ 15

ตื่นๆ มีเรื่องแล้ว



“บ่าได้ป๊ะกันเมิน จำอ้ายได้ก่อ?” ผมก้าวมาอยู่ข้างหน้าน้องบูอัตโนมัติ พลางดันให้น้องมันถอยไปข้างหลังมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีคนอื่นมาเพิ่มนอกจากกลุ่มคนตรงหน้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นนิดนึง


“ยังจำกันได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ยังไงก็น่ารักเหมือนเดิม โอ๊ย ใจกู”


“กูไม่-” ยังไม่ทันจะได้ปฏิเสธอะไรออกไป มันก็หันไปคุยกับเพื่อนตัวเองซะก่อน


“พวกมึงรออยู่ตรงนี้ กูจะทักทายน้องมุ่ยซักหน่อย ตามประสาคนรักกัน”



ถามกูยัง ถามกูซิ



รักบ้ารักบออะไร! โว้ย!



“น้องมุ่ยฮู้ก่อ อ้ายหนากึ้ดเติงหาน้องมุ่ยขนาด ใจจะขาดหื้อได้เลย~” (น้องมุ่ยรู้ไหม พี่คิดถึงน้องมาก ใจจะขาดเลย)


ไอ้เต้เดินเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมมองมันอย่างระแวดระวังพลางสำรวจคนตรงหน้าไปด้วย หน้าตาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หัวเกรียนยังไงก็อย่างนั้น เห็นจะมีแต่รอยสักตามแขนที่มากขึ้นโผล่พ้นเสื้อออกมา


เต้ หรือ ลูกพี่เต้ เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเก่าของผม จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกนัก แต่เอาเป็นว่าเคยร่วมวงต่อยตีด้วยกันมาเลยรู้จักกัน ส่วนเรื่องอื่นนั้น...ช่างแม่ง พอผมเรียนจบ ปวช. ก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย


“เอ๊ะ ก้ะว่าเขิลปี่จนปากบ่าออก อั้นก่ะน่อ เฮาบ่าได้ปะกั๋นเมินน่อ ฮิ้ว~” (เอ๊ะ! หรือว่าเขินพี่จนพูดไม่ออก นั่นสินะ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนี่นา)


มันหันไปเออออกับลูกน้องข้างหลัง แล้วเสือกฮิ้วรับกันอีก



กูนี่กุมขมับเลย



“ใครอะเฮีย” น้องบูสะกิดไหล่ถามผมอย่างงงๆ ผมครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่งเพื่อตัดสินใจว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี


ยังไงก็ได้ แต่บูต้องปลอดภัยไว้ก่อน


“มึงเอากุญแจรถกูไปแล้วหันหลังเดินไปตามทางจะเจอมอ’ ไซสีม่วง ขี่ออกไปเลยนะ”


“ด...เดี๋ยว ยังไงนะ?”


“เออ เอาโทรศัพท์กูไปด้วย พอถึงรถแล้วกดโทรหาคนชื่อโป้ด่วนๆ บอกว่ากูอยู่สะพานหลังซอย เจอไอ้เต้ ให้รีบมา” ผมล้วงโทรศัพท์ตัวเองออกมาพร้อมกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้บูรวมถึงกล้องด้วย


“เฮ้ย บ้าเปล่า จะให้ผมปล่อยเฮียอยู่คนเดียวได้ยังไง อันตราย!”


“เชื่อกูเถอะน่า เร็วเลย ไปชิ้วๆ” ผมโบกมือไล่น้องมัน แต่บูก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ใบหน้ามีแต่คำว่างงกับงง


“ไม่มีทาง นี่จะมีเรื่องกันใช่ไหม ผมไม่ไปหรอก” น้องบูขมวดคิ้วมองผมจากนั้นก็มองเลยไปยังไอ้เต้ด้วยท่าทางที่พร้อมจะมีเรื่อง


“น้องบู มึง-”


“น้องมุ่ย บ่าน้อยๆ ฮั้นมันเป็นไผ ปี่หยังมาบ่าคุ้นต๋า” (ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใคร พี่ไม่คุ้นหน้า)


ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับไอ้เต้อีกครั้ง ระยะห่างระหว่างมันกับผมไม่มากนัก แต่แม่งยังจะเดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ผมจึงยกมือขึ้นชี้หน้าจากนั้นชี้ลงพื้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ควรเข้ามาเกินกว่านั้น


“โหย บ่าหื้อปี่ใกล้ตัวแหมเมาะ หึงหนาฮู้ก่อ กับบ่าน้อยฮั้นนะ” (ไม่ให้พี่เข้าใกล้อีกละ หึงนะรู้ไหม กับไอ้เด็กนั่น)


เต้ใช้น้ำเสียงตัดพ้อพลางทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมทำตามโดยดี ผมจึงโล่งใจไปเปราะนึง ยังไงถ้าต้องวิ่งผมว่าผมรอด


“ดักปาก รำคาญ” (หุบปากเถอะ รำคาญ)


“โอ๊ย ฮู้สึกดีแต้บ่าได้น้องมุ่ยด่าเมิน ฮ่าๆ เคลียร์กับบ่าน้อยฮั้นหื้อดีเน่อครับ ปี่จะรอ” (โอ๊ย รู้สึกดีจริงไม่ได้โดนน้องมุ่ยด่ามานาน เคลียร์กับไอ้เด็กนั่นให้ดีนะครับ พี่จะรอ)


ผมกลอกตาขึ้นบนอย่างเบื่อหน่าย เพราะมันชอบพูดอะไรทำนองนี้นั่นแหละผมถึงไม่อยากจะคุยด้วย แม่งเกลียดหน้ามันชิบหาย


“เฮียมุ่ย”


“บู กลับไปเลย เฮียสั่ง” ผมจ้องหน้าน้องเขม่งอย่างไม่ลดละ


“เฮียอยู่คนเดียว!”


“เฮียเอาอยู่”


“เฮีย!”


“เออน่า เชื่อเฮีย รู้ใช่ไหมว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น”


“น้องมุ่ย พี่โกรธละหนาครับ!" (น้องมุ่ย! พี่โกรธแล้วนะครับ!)


“ดักปากไปก่อนคิงอะ อยู่ดึ้งๆ ฮาจะอู้ธุระกำ” (หุบปากไปก่อนมึงอะ อยู่เงียบๆ กูคุยธุระแป้ป) ผมตวัดสายตากลับไปมองไอ้เต้อย่างไม่พอใจเมื่อมันกำลังขัดจังหวะคุยกันระหว่างผมกับน้องบู


“ฮึ่ย!” เต้ยกแขนขึ้นกอดอกทำปากบึนพลางเสมองไปทางอื่น ผมหันกลับไปมองจนแน่ใจว่ามันยอมทำตามจึงคุยกับน้องต่อ


“รู้ดิ อย่ามองผมเป็นเด็ก ผมช่วยเฮียได้” น้องบูกดเสียงต่ำพูดกับผม สายตามองไปข้างหลังอย่างไม่ไว้ใจ


“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่มึงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้บู”


“เฮีย!”


“เห็นมันตัวกะเปี๊ยกอย่างนั้นอย่าดูถูกมันเชียวล่ะ”


“จะให้เฮียอยู่คนเดียวได้ไงอะ”


“อย่างอแงดิ กูล่ะเชื่อเลยพี่กับน้องแม่งเหมือนกันชะมัด” ผมส่ายหน้าบ่นกับตัวเอง ชอบทำหน้าหมาหงอย แล้วเหมือนรู้ว่าผมจะใจอ่อนให้เลยได้ใจใหญ่ เหอๆ


“เฮียครับ...”


“ไม่ๆ ไม่ใจอ่อนหรอก ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ยังไงกูก็ไม่ยอมให้มึงปะทะกับใครแน่ๆ ดูด้วยว่าตัวเองใส่ชุดอะไร เข้าใจใช่ไหม” ผมไล่สายตามองชุดนักเรียนที่น้องสวมอยู่


“...”


“เพราะฉะนั้นทำตามที่บอก โอเค้?”


“...”


“ไปเร็ว อย่าลืมโทรหาคนชื่อโป้ด้วยล่ะ แล้วกูจะไม่เป็นอะไร” ผมเข้าใจว่าน้องมันห่วง แต่มันจะไม่มีอะไรแน่ๆ ถ้าไอ้โป้มา


“...เฮียแม่ง” บูเสยผมขึ้นลวกๆ คงจะหงุดหงิดใจน่าดูที่ตื้อผมไม่สำเร็จอย่างใจคิด ผมรู้ว่าน้องพร้อมบวกมากแต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมากูรับผิดชอบกับพี่มึงไม่ไหวเว้ย บีมเอากูตายแน่


“ขอบใจที่เป็นห่วงครับ” ผมตบบ่าแล้วยิ้มให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร บูยืนนิ่งอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเดินออกไป ยังไม่วายหันกลับมามองอย่างเป็นห่วง ผมเลยโบกมือไล่น้องมันให้รีบไปเร็วๆ


พอน้องเดินไปไกลจนลับตา ผมก็กลับมาเผชิญหน้ากับไอ้เต้อีกครั้ง


“มา มีอะไรจะคุยกับกู”


.

.

.


“มา มีอะไรจะคุยกับกู”


“ละอ่อนมันอู้ว่าปะน้องมุ่ยแถวนี่ ปี่ก่ะเลยฟ่างมา” (เด็กมันบอกว่าเจอน้องมุ่ยแถวนี้ พี่ก็เลยรีบมา)


มันว่า พลางเดินเข้ามาหาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าผม ฉีกยิ้มกว้างสดใสอย่างไม่เสแสร้ง


“มาส่งบ่าโป้บ่าดาย จะกลับละเหมือนกั๋น” (มาส่งไอ้โป้เฉยๆ จะกลับแล้วเหมือนกัน)


“ฟ่างเตี่ยน้อง อยู่กับปี่เต้ก่อน” (อย่าเพิ่งดิน้อง อยู่กับพี่เต้ก่อน) เต้คว้ามือไปจับพร้อมเขย่าเบาๆ ทำหน้าอ้อนตีนไม่หยุดจนผมต้องเบือนหน้าหนี


“น้าๆ”


“ไอ้พี่เต้”


“ไปเดินกาดกันก่อ น้องมุ่ยอยากกิ๋นอะหยังปี่เต้เลี้ยงเอง” (ไปเดินกาดกันไหม น้องมุ่ยอยากกินอะไรพี่เต้เลี้ยงเอง)


“ขี้คร้านเดินอะ เมื่อย” (ขี้เกียจเดิน เมื่อย)


“อั้นปี่เต้ปามาขี่รถเล่น” (งั้นพี่เต้พาขี่รถเล่น)


“ไค่หลับแล้วจะกลับบ้าน” (ง่วงแล้ว จะกลับบ้าน)


“น้องมุ่ยอะ...”


“ยุงขบจะต๋ายห่าเนี้ยจะยืนอู้กั๋นแหมเมินก่อ ปอๆ แยกย้ายกลับบ้าน” (ยุงกัดจะตายห่าแล้ว จะยืนคุยกันอีกนานไหม พอๆ แยกย้ายกันกลับบ้าน)


“น้องมุ่ยยยยยยย” เต้งอแงจับมือผมไม่ยอมปล่อย เบ้ปากอย่างเคืองๆ เมื่อผมขัดใจมัน ไอ้ตัวนี้ก็เหมือนกัน รู้ว่าต้องอ้อนผมถึงจะยอมให้ กูล่ะปวดหัวกับคนพวกนี้จังโว้ย


“ขี้เกียจโว้ย! กลับๆ เห้ย! มาพาลูกพี่มึงไปกันได้ละ” ผมกวักมือเรียกลูกน้องมันที่ยืนตบยุงกันอยู่ข้างหลังให้มาลากไอ้เต้กลับไป


“ปี่บ่ากลับ! บ่าเอาบ่ากลับ!” (พี่ไม่กลับ ไม่เอาไม่กลับ)


“ไอ้พี่เต้”


“ม่ายยยยยย”


“เอ๊ะ นี่มึงสักใต้ตาด้วยเหรอ” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากด่ามัน ผมก็สังเกตเห็นรูปดาวขนาดเล็กอยู่บริเวณหางตาข้างซ้ายของมันเลยถามขึ้น


“หะ อ๋อ เอ่อ...” เต้ชะงักปล่อยมือผมพลางยกนิ้วไล้ใต้ตาตัวเองอย่างตกใจ


“ไอ้พี่เต้ หึๆ มึงกล้ามากนะ” ผมวางมือบนบ่าคนตรงหน้าพลางบีบเบาๆ มันหัวเราะแห้ง ดวงตาหลุกหลิกเหมือนกำลังหาข้อแก้ตัว


“อะไร อะไร! นี่พี่ใช้ปากกาวาดเอาต่างหาก สักที่ไหนกัน น้องมุ่ยก็พูดไปเรื่อย ฮะๆ”


“เห้ยพวกมึงอะ!” ผมผละจากเต้แล้วตะโกนเรียกเด็กมันที่อยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล


“ครับเฮียมุ่ย!”


“ลูกพี่มึงเอาปากกามาวาดใต้ตาเล่นเหรอวะ”


“หือ? วาดไรครับเฮีย!” พวกมันมองหน้ากันอย่างงุนงง


“อ๋อๆ เฮียเขาน่าจะหมายถึงรอยสักใหม่ที่ลูกพี่เต้ไปสักมาปะมึง...” ผมได้ยินมันคุยกันเองแว่วๆ ไม่ทันไรก็ตะโกนตอบกลับมา


“ไม่ใช่ครับเฮีย! ลูกพี่ไปสักมาสดๆ ร้อนๆ เลยคร้าบ!”


“ไอ้เด็กเหี้ย!” เต้หันกลับไปตวาดใส่ลูกน้องตัวเอง


“เอ้า! ก็วันนั้นลูกพี่เต้ยังลากพวกเราไปให้กำลังใจอยู่เลย เนี่ยผมงงมาก ลูกพี่แม่งสักมาเต็มแขนแล้วกะอีแค่จุดเล็กๆ ใต้ตาจะกลัวอะไรวะ ฮ่าๆ”


“ว้อย! ไอ้พวกชิบหาย! ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้ไหม! หื้อ!” ผมที่ตอนแรกกลั้นหัวเราะไว้กลับพ่นออกมาเสียงดังอย่างอดไม่ไหว


“ฮ่าๆ !”


“นะ...น้องมุ่ยอย่าไปเชื่อมันนะ คือพี่เนี่ย-” เต้เรียกความสนใจจากผมให้กลับมาและพยายามอธิบาย


“ไม่ต้อง ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” หน้าเสียไปเลย แต่ผมแม่งโคตรสะใจ หึๆ


“กูให้น้องมันโทรหาโป้แล้วด้วย มึงโดนแน่”


“หะ!?”


“มึงดันมาไม่ถูกที่ถูกเวลากูก็ต้องโทรหาไอ้โป้กันไว้ก่อนดิ จะได้จัดการได้ง่ายๆ หน่อย” เต้ทำหน้าช็อคโลก มันคงคิดไม่ถึงว่าจะเจอเพื่อนผมอีกแล้ว เลยตัดสินใจทำอะไรไม่คิดอย่างเช่นการสักบนใบหน้าแบ๊วๆ ของมันที่ไอ้โป้มันห้ามนักห้ามหนา



มีรงมีเรื่องอะไร ผมโกหกน้องบูไปอย่างนั้นล่ะครับ



ความจริงคือผมกับเต้ไม่มีทางที่จะปะทะกันได้อย่างแน่นอนหรอกครับ หนึ่งคือสถาบันเดียวกัน สองอยู่กลุ่มเดียวกัน และสามคือเต้เป็นของไอ้โป้อะ



โป้มันว่ามางี้ น่าจะหมายถึงเป็นเพื่อนสนิทน่ะครับ



เอาเป็นว่าคนที่จะโดนกระทืบไม่ใช่ผมแน่นอนครับ ฮ่าๆ



ที่ผมบอกน้องบูไปแบบนั้นก็ไม่ใช่จะโกหกทั้งหมด เขาเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เพราะการที่น้องได้มาเจออันธพาลเก่าอย่างผมกับไอ้เต้มันไม่ใช่เรื่องดีครับ ถึงแม้ว่าพวกผมจะไม่ทำอะไรน้องบูแต่คนอื่นรวมถึงอริเก่าที่ไม่รู้ว่ามีใครเห็นผมอีกไหมนั่นก็ไม่แน่ครับ ซึ่งผมไม่เสี่ยง


บอกแล้วว่าผมมันศัตรูเยอะ


“มันแค่รอยสักน้อยๆ เองนะน้องมุ่ย...” เต้ทำหน้าหงอยเอาซะผมอดสงสารไม่ได้ ก็นะ...


เต้เป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี เป็นผู้ชายที่ความสูงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ เผลอๆ เตี้ยกว่าด้วยซ้ำ หน้าขาวปากแดงอย่างมันใครจะเชื่อว่าเตะก้านคอคนล้มมานักต่อนักแล้ว


ผมไม่เคยเรียกเต้ว่าพี่เพราะรู้สึกกระดากปากยังไงไม่รู้ ดูมันทำตัวดิ เต้ชอบเกาะแกะผมตั้งแต่เข้าเรียนเทคนิคแล้ว ด้วยความที่เมื่อก่อนผมไม่เอาใครนอกจากเพื่อนตัวเอง ผมเลยค่อนข้างจะรำคาญเต้เอามากๆ แต่ไปไงมาไงไม่รู้ ไอ้โป้กับเต้ดันไปอยู่ด้วยกันซะงั้น


เห็นโป้มันอ๊องๆ อย่างนี้ มันโหดมากนะครับ ผมเลยงงมากที่จู่ๆ เต้ดันตัวติดกันกับเพื่อนผมตลอด ช่วงนั้นเหมือนจะเห็นเต้เข้าออกหอไอ้โป้บ่อยมาก สนิทกันดีเนอะ


จำได้ว่าเพื่อนผมเคยเล่าให้ฟังว่าไม่ชอบที่เต้สักตามร่างกายตัวเองเท่าไร มันบอกผิวดีๆ เสียหมด เลยขออยู่อย่างเดียวคือห้ามสักบนใบหน้า ไม่งั้นโป้มันเอาตายแน่ ฮ่าๆ



“งั้นเราก็แยกย้ายกันกลับกันเถอะเนาะ พี่เต้ง่วงมากเลย ฮ้าว” ผมมองมันที่ทำเฉไฉ เตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไป


“จะรีบไปไหนเล่า อยากอยู่กับกูนักไม่ใช่รึไง” ผมคว้าแขนเต้ไว้ได้ทัน ไอ้เปี๊ยกหันมาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมยิ่งได้ใจใหญ่


“รอกำๆ โป้มันไค่อยากปะมึงหนา ฮ่าๆ” (รอหน่อยๆ โป้มันอยากเจอมึงนะ)


“บ่าได้อยากปะมันซักน้อย” (ไม่ได้อยากเจอมันสักหน่อย)




บรืน!




เสียงมอเตอไซด์ไม่ต่ำกว่าสามคันมุ่งตรงมาทางนี้ แสงไฟจากรถทำให้มองลำบากทำให้ผมต้องเพ่งสายตากลับไป จึงเห็นว่าเด็กไอ้เต้พากันวิ่งกรูกันเข้ามาหลบหลัง ทำเอาทั้งผมและเต้งงกันไปใหญ่


“หนีเชี่ยไรกัน” ผมหันไปถามน้องคนนึง


“นะ..นั่น พวกพี่ศรันย์”


“ห้ะ พวกมันมาได้ไง!?” เต้ตกใจบีบมือผมแรงขึ้นพลางเขยิบเข้ามาชิดกัน ตัวมันสั่นจนผมรู้สึกได้ ผมเบิกตากว้างเมื่อชื่อของคนๆ หนึ่งถูกเอ่ยขึ้นมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบอย่างอัตโนมัติ




ตึก ตัก




“หึ” ผมลูบไล้บริเวณแผลของตัวเองอย่างเผลอไผล ดวงตาจ้องเขม็งมองไปข้างหน้า เมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาอย่างช้าๆ แต่ทุกก้าวของมันกลับทำใจผมกระตุกสั่นจนต้องยกมือขึ้นลูบให้มันสงบลง


“พี่เต้ขอโทษ” ผมมองหน้าไอ้โล้นข้างๆ อย่างอ่อนใจ จะโทษมันก็ไม่ได้ ผมผิดเองนั่นล่ะที่มัวแต่เอ้อระเหยไม่ยอมกลับบ้านกับช่องสักที


“เขยิบมาใกล้ๆ กู ระหว่างที่กูถ่วงเวลาโทรหาไอ้โป้ซะ” ผมก้มหน้าลงกระซิบสั่ง เต้พยักหน้าหงึกหงักหยิบโทรศัพท์กดหาโป้ทันที




อา ดวงซวยฉิบหายเลยครับวันนี้



นอกจากมาเจอไอ้พี่เต้ตัวป่วนแล้วยังมาเจออริเก่าอีก



บ้านไม่ได้กลับแล้วล่ะ



น่าจะได้ไปโรงพยาบาลแทน



.

.

.



“ไง” ศรันย์ทักทาย ใบหน้าคุ้นเคยแสยะยิ้มส่งมาให้


“ไง” ทักมาทักกลับไม่โกงอะ


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนี่” มันยืนห่างจากผมไม่มากนัก สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพูดกับผมอย่างใจเย็น ไม่มีท่าทีรีบร้อน ส่วนข้างหลังเป็นลูกน้องที่ตามศรันย์มาด้วย


“อืม เป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอ” ผมยิ้มบางตอบกลับไป


“ฮะๆ ปากดีไม่เปลี่ยน”


“เหรอ”



ศรันย์ เป็นอริเก่าต่างสถาบันที่เคยมีเรื่องกับผมมาก่อน เริ่มมาจากรุ่นพี่มันที่คอยหาเรื่องรุ่นพี่ผมบ่อยๆ มันเลยสืบทอดกันมาจนถึงรุ่นเรา เจอหน้ากันไม่ได้เป็นต้องปะทะ ร่างกายต้องการยาแดงว่างั้นเถอะ แต่แปลกที่ผมไม่เคยโดนมันทำร้ายผมสักครั้ง อย่างมากก็แค่จับแขน แต่กับไอ้โป้หรือคนอื่นนี่ซัดเอาๆ ผมเลยคิดไปว่ามันก็น่าจะเป็นคนดีอยู่เหมือนกันติดแค่เรียนคนละที่


แต่ความคิดนั้นก็ถูกทำลายจนย่อยยับละเอียดยิบเมื่อคนอย่างศรันย์ที่ไม่เคยทำร้ายผม ในการทะเลาะวิวาทครั้งนั้นมันกลับเป็นคนเดียวพุ่งเข้าแทงผมจนมิดด้าม รวมถึงเพื่อนมันที่ฟันลงกลางหลังไอ้โป้อย่างจัง ผมเลยเกลียดศรันย์นับแต่นั้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแทงผิดตัวหรือจงใจ แต่กูเจ็บขนาดนี้จะยังให้มองว่ามันดีก็ยังไงอยู่



“หึ เด็กมาบอกว่าเจอมึง กูนี่รีบมาเลยนะ ไม่คิดว่าจะได้เจอจริงๆ”


“อ้าว ออกจากสถานพินิจมาแล้วดิ?” ผมเลิกคิ้วถามอย่างกวนตีน ศรันย์หุบยิ้มทันที สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นมากกว่าเดิม ตาคมจ้องมาที่ผมไม่ลดละ


“ใช่ กูออกมาแล้ว”


“อ่อ”


“รอยที่กูฝากไว้เป็นยังไงบ้างล่ะ จำได้ว่าแทงมิดเลยนะตอนนั้น” ผมกัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์เมื่อมันพูดถึงจุดที่สร้างบาดแผล ที่ถึงแม้ทางร่างกายจะจางลงไปแล้วแต่ในใจของผมมันยังคอยตอกย้ำอยู่ตลอดมา


“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต้องขอบใจมึงมาก ไม่อย่างนั้นกูคงยังจมในนรกเหมือนพวกมึงอยู่”


“ฮ่าๆ นรกอย่างนั้นเหรอ” ศรันย์จุดบุหรี่ยกขึ้นสูบ ระหว่างเราเงียบนานหลายนาที ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผมกับมันจะไม่จบแค่การทักทายกันแล้วแยกย้ายเป็นแน่


“สักหน่อยไหม?”


“ขอบใจ มะเร็งแดกตายไปคนเดียวเถอะ”


“ปากร้าย”


“ขอบคุณครับ”


“หึ”


“ถ้าไม่มีอะไรพวกกูจะกลั-”


“มาคุยกันหน่อยไหม มึงกับกูน่ะ”


“ไม่”


“งั้นเหรอ อืม คงต้องใช้กำลังสินะ...ไม่ชอบเลยแฮะ” ศรันย์ขยี้บุหรี่ลงกับราวสะพานแล้วปล่อยทิ้งลงน้ำไป ชิบหาย เป็นคนเลวแล้วยังเป็นภัยสังคมอีก ไอ้ตัวทำลายทรัพยากรแม่น้ำ!





“ไอ้ศรันย์!” เสียงตะโกนลั่นดังมาจากข้างหลังผม พอหันไปก็เจอกับไอ้โป้ที่ยืนทำหน้าเกรี้ยวกราดกับพวกอีกสิบกว่าคน


“ไง ไอ้โป้” ศรันย์ไม่ได้รู้สึกตกใจหรือกลัวเลยสักนิด กลับกันยังคงทำตัวสบายๆ เหมือนพวกเรากำลังรวมตัวไปนั่งจิบชายามเย็นกัน


“ไสหัวกลับไปซะ! กูบอกว่าอย่ามายุ่งกับเพื่อนกู” โป้เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า หันมามองผมกับเต้ด้วยแววตาดุจัด ทำเอาไอ้ตัวเล็กสะดุ้งเลย


“อา นั่นดิ ลืมไปเลย” ศรันย์ทำท่าทางเหมือนเพิ่งนึกออก เสแสร้งชิบหาย


“กูบอกว่ายังไง ไอ้มุ่ย ฟังกันบ้างไหม” โป้ว่าให้น้ำเสียงเข้มด้วยความโมโห ทำเอาผมนี่เลิ่กลั่กเลย


“คือกู-”


“มึงอีกนะไอ้เปี๊ยก มาอยู่ผิดที่ผิดทางเดี๋ยวเจอกูคิดบัญชีแน่” มันยกนิ้มจิ้มหน้าผากเต้อย่างหมั่นไส้


“กูผ่านมาเฉยๆ เองเหอะ” ยัง ยัง เดี๋ยวไอ้โป้ก็ทุบให้หรอก เถียงมันอะ


“เดี๋ยวจะโดน”




“เฮ้ สนใจกูหน่อยพวก” ศรันย์โบกมือเป็นเชิงเรียกความสนใจ


“กูไม่อยากมีเรื่อง แยกย้ายซะ” โป้ว่าน้ำเสียงเข้ม ใบหน้าเรียบนิ่งพยายามข่มอารมณ์ไว้


“อ้อ! มึงอีกตัว แผลกลางหลังยังอยู่ดีไหมนะ ฮ่าๆ” น้ำเสียงถากถางติดจะเย้ยๆ ทำเอาเพื่อนผมตัวเกร็งขึ้นเมื่อโดนคำพูดกระแทกมาตรงจุด


“ไอ้เหี้ยศรันย์! มึง!” ผมกับเต้คว้าแขนโป้ไว้ เมื่อมันจะพุ่งตัวไปหาไอ้ศรันย์อย่างสะกดกลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่


“ใจเย็นโป้ เดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมตบบ่าเพื่อนให้มันสงบลง ทั้งผมและโป้ต่างก็ไม่ชอบให้ใครมาตอกย้ำเรื่องในวันนั้น มันเหมือนเป็นรอยด่างในชีวิตที่พยายามจะฝังให้ลึกที่สุด แต่ยังนำมันมาเป็นเครื่องเตือนใจเสมอว่าอย่ากลับไปทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด



“เหี้ยแม่ง!”


“อ้าวๆ หัวร้อนแล้วเหรอ แค่โดนฟันเองปะ”


“ทำไมไม่พูดถึงเรื่องที่พ่อแม่ต้องยัดเงินเอาตัวมึงออกมาบ้างล่ะ กูว่าสนุกใช้ได้นะ” ผมมองหน้ามันตรงๆ ยักคิ้วให้อย่างเยาะเย้ย


“ฟ้ามุ่ย”


“ว่าไง”


“คราวนี้ไม่ได้แค่อยากโดนแทงสินะ” ศรันย์เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว พร้อมกระชากแขนผมเข้าไปหามัน ใบหน้าเหี้ยมเกรียมจ้องมาที่ผมอย่างแค้นจัด


“ไอ้เหี้ยรัน! ปล่อยเพื่อนกู!” โป้กับเต้ถูกพวกของศรันย์กันแยกไปอีกทาง ชุลมุนกันอยู่อย่างนั้น ผมพยายามดึงแขนตัวเองกลับ แต่แม่งบีบจนผมเจ็บ


“กูก็กะว่าจะคุยกันดีๆ แต่เพื่อนมึงดันพูดเรื่องที่ไม่เข้าหูเท่าไหร่ ใช่ไหม...น้องมุ่ย”


“ปล่อย”


“อย่าคิดว่าเพราะกูชอบมึงแล้วจะพูดอะไรก็ได้” มันทำหน้าเหี้ยมกัดฟันกรอดมองมาที่ผม




!!!




ชอบ!




ชอบกูเนี่ยนะ!?




ยังไม่ทันได้ถามอะไร ฉับพลันศรันย์คว้าเอาผมให้เข้าไปประชิดเจ้าตัวพลางลูบบริเวณแผลไปด้วย ทำให้ขนในร่างกายลุกชัน ผมตัวแข็งทื่อตกใจกับการกระทำของมันที่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว


“คิดถึง...” มันก้มหน้าลงกระชิบข้างหูผมเบาๆ เพียงแวบเดียวเท่านั้นที่ศรันย์เผยแววตาเศร้าออกมา ไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มหลังจากผละตัวออก




“...!!!”




ช่วยด้วย!




กูงงมาก!




กูงงมากกกกกกก!




“ไอ้เหี้ย! มึงอย่าอยู่เลย!”




ผลัวะ!




โป้ตะโกนอย่างเดือดจัด ถลาเข้ามากระชากตัวผมออกแล้วเหวี่ยงหมัดกระแทกหน้าศรันย์จนเซไปหลายก้าว และเหมือนเป็นการเปิดสวิตช์ ทั้งพวกมันและพวกผมต่างกระโจนเข้าหาและปะทะกันอย่างดุเดือด




พลั่ก!




ไอ้สัดเอ้ย!! หมาตัวไหนมันล้มมากระแทกกูวะ!?




ผมที่ยืนเอ๋ออยู่ได้ไม่นานก็ต้องป้องกันตัวเองบ้าง จะเสียเปรียบก็ตรงที่ไม่ได้ออกแรงมานานแล้วนี่แหละ ผมห่างหายจากเรื่องพวกนี้มาหลายปี ทำให้ความคล่องแคล่วที่เคยมีดันช้าลงและเป็นเป้าให้โดนสวนกลับมาอย่างง่ายดาย




ผลัวะ!




ปั่ก!




พลั่ก!




ผมโดนสวนกลับมาอยู่สองสามหมัด รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ไหลลงมาบริเวณหางคิ้ว ชิบหาย ใครมันเหวี่ยงมาโดนกูวะ แตกเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย!


“ไอ้พวกชิบหาย! คิ้วกู ปากกู แตกหมดแล้ว!” ผมโวยวายลั่น หัวเดือดปุดๆ ไล่กระทืบมั่วซั่วไปหมดอย่างโมโห ถ้าเป็นแผลเป็นขึ้นมานะมึง!


“น้องมุ่ย! โอเคไหม!?”


“กูไหว! กูโอเค!” ผมตอบเต้และพยายามมองหาไอ้โป้ ดูเหมือนว่าเต้จะเอาอยู่ แหงล่ะ บ้านมันทำค่ายมวย ถ้าพลาดก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว ผมสอดส่องสายตาหาเพื่อน จึงเห็นว่ามันโดนศรันย์คร่อมตัวอยู่กับพื้น ผมเลยรีบเดินฝ่าพวกลูกน้องมันเพื่อที่จะไปช่วยมัน




ฟึ่บ!




เชี่ย! เกือบโดน!



ผมหลบหมัดลุ่นๆ ของใครไม่รู้ได้อย่างหวุดหวิด พลางยกขาขึ้นถีบคนข้างหน้าให้หลีกทาง แต่ไม่วายโดนกระแทกจากด้านหลังเต็มแรง จนดังอั้ก



“โว้ย! ไอ้ลูกหมา! หลบทางกู!” ผมตะโกนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ จนพวกมันมองอย่างเหวอๆ เลยอาศัยจังหวะนั้นเดินตรงแผล็วไปหาโป้




ผลั่ก!




ผัวะ!




“ศรันย์! หยุด!” ผมดึงแขนมันไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกส่งไปกระแทกหน้าไอ้โป้ ศรันย์มองผมอย่างขัดใจแล้วผลักผมออกไม่ให้ขวางทางอย่างแรงจนล้มไปกระแทกกับฟุตบาตอย่างจัง


“โอ๊ย!”


“มุ่ย! /เชี่ยมุ่ย!”


ทั้งศรันย์และไอ้โป้ตะโกนเรียกผมอย่างตกใจเมื่อเห็นผมร้องออกมาด้วยความเจ็บ ทั้งคู่เหมือนจะถลาเข้ามาช่วยแต่ดันพันแข้งพันขากันทำให้มาไม่ถึงตัวผมสักที


...แล้วมึงก็ต่อยกันต่อ


เหมือนจะล้มผิดท่าแฮะ น่าจะเป็นเพราะผมดันเอามือยันให้รับแรงกระแทกจากตัวเองแน่เลย เจ็บชิบ ซ้นแหงๆ


เอ๊ะ หรือหักวะ?


เยี่ยม! ปากแตกคิ้วแตก ข้อมือหัก ไม่ต้องพูดถึงรอยฟกช้ำเลยนะ เขียวทั้งตัวแน่ๆ กูเอ๊ย!





ปี้ด!!!!!!




“ตำรวจมา!”




“เชี่ย! พ่อมา!”




ปี้ด!!!!!




หวอ!!!




“หยุดนะ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!”



จู่ๆ เสียงนกหวีดก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวอ ทำเอาพวกที่กำลังชุลมุนกันอยู่วงแตก ทำหน้าเหลอหลาแล้วลากสังขารตัวเองกับเพื่อนหนีกลับไปอีกทาง


ปกติก็ต้องหนีกันทั้งสองฝ่ายแหละครับ แต่ตอนนี้ตัวกูแค่จะลุกขึ้นยังไม่ไหวเลย


จะให้กูวิ่งเหรอ ถุย!


ผมได้ยินเสียงรถพร้อมไฟสีแดงกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ แต่ยังไม่เห็นเจ้าหน้าที่ซักนาย


“หนีเร็วพวกมึง!”


“พี่ศรันย์! ไปเร็วพี่! ตำรวจมา!”


“มุ่ย...” ศรันย์มองผมด้วยแววตาอ่านยาก ถ้ามองไม่ผิดเหมือนจะเจือไปด้วยความเป็นห่วง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นมันก็โดนลูกน้องลากออกไป


“น้องมุ่ย! เป็นอะไรมากไหม- เห้ย! ข้อมือน้องหักเหรอ! ว้าก!!” เต้เป็นคนแรกที่มาถึงตัวผมก่อน พลางจับเนื้อตัวไปมารวมถึงมือข้างซ้ายที่บาดเจ็บ มันอุทานอย่างตกใจ หน้าตาเบ้ไปหมดเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นผมเจ็บ


“มะ..ไม่ แค่ซ้น มั้ง?” คือผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่รู้ว่าเจ็บมาก


“พี่เต้มันกาก! ดูแลน้องมุ่ยแค่นี้ก็ไม่ได้! ฮึก”


“ไปดูไอ้โป้เหอะ เจ็บหนักกว่ากูอีก” ผมพยายามชี้ไปทางโป้ที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นแต่ดูแล้วท่าจะไม่ไหว พลางมองไปรอบๆ ก็เห็นพวกเด็กๆ รวมถึงเพื่อนไอ้โป้กำลังช่วยพยุงกันและกัน


“ปะ...โป้” ไอ้พี่เต้เข้าไปช่วยพยุง ลูบหน้าลูบตาเพื่อนผม เหมือนจะร้องไห้ด้วยแฮะ ทำเอาไอ้โป้ต้องยกมือลูบหัวปลอบใหญ่เลย


“โอ๋...กูไม่เป็นไรสักหน่อย นิดเดียว...”


“นิดเดียวพ่องมึงเซ่! ฮึก! ...เจ็บหนักกว่าน้องมุ่ยอีก! ไอ้เด็กบ้า ฮือ!”


“ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ”



...ทำไมกูรู้สึกถึงออร่าแปลกๆ



ฮัลโหล๊ กูอยู่ตรงนี้ไง...ข้อมือหักด้วยเนี่ย...



“เฮียมุ่ย!” เสียงเรียกที่คุ้นเคย ผมจึงหันขวับกลับไปมองทันที แล้วก็ต้องเหวออย่างคาดไม่ถึงว่าจะเห็นเด็กผู้ชายตัวโตในชุดนักเรียนกับเพื่อนอีกสามสี่คนยืนถือนกหวีดกับโทรโข่งและไซเรนตำรวจหอบแฮ่กๆ จ้องมาที่ผม



“อะ...ไอ้น้องบู”


“บอกแล้ว...แฮ่กๆ ว่าช่วยได้”



ตำรวจเก๊นี่หว่า!?




"มึง...มาได้ไง...วะ"


"แฮ่กๆ...ไอ้เฮียบ้า ผมฟ้องพี่บีมแน่!"




ว้ายตายแล่ว!







*****************************

ตอนหน้ามารอดูคนกากโดนพี่บีมดุกันค่ะ แง่มๆ

หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่16 ฝันดี (UP) 02/03/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 02-03-2019 02:46:24
บทที่ 16
ฝันดี



“กูอะนะ เจ็บแค่นี้จิ้บๆ”

“...”

“เมื่อก่อนยิ่งกว่านี้อี้ก! แต่ไม่ชอบที่คิ้วแตกเลยว่ะ ต้องเป็นแผลเป็นแน่ๆ เลย”

“พูดมากจัง เดี๋ยวปากก็ฉีกหรอก”

“แช่งกู ไอ้เด็กนี่” ผมทำท่าจะโบกหัวไอ้น้องบูเพื่อขู่ แต่มันก็ไม่สนใจนั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อย ประเด็นคือของผมไง


ผมเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ก็เห็นน้องมันนั่งเล่นโทรศัพท์ของผมอยู่บริเวณเก้าอี้หน้าเคาเตอร์จ่ายยา ผมเดินเอาใบจ่ายยาไปวางที่ตะกร้า แล้วมานั่งข้างน้องบู มองรอบๆ ก็เห็นว่าไม่มีคนเลย เหลือแค่ผมกับน้อง เพราะว่าได้ทำแผลทีหลังสุดจึงออกมาช้า ทีแรกโป้กับไอ้พี่เต้มันสองคนจะอยู่รอแล้วไปส่ง แต่พอเห็นสภาพเพื่อนตัวเองนั่งหลับหัวโงนเงน ผมเลยไล่ทั้งคู่ให้กลับไปก่อน แล้วเดี๋ยวกลับกับน้องบูเอง


ความจริงผมก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก คิ้วแตกเย็บสามเข็ม บริเวณปากก็นิดหน่อยไม่ต้องถึงกับเย็บ ส่วนข้อมือพอตรวจดูแล้วหมอบอกว่าไม่ถึงกับหักแค่ซ้น ผมนี่โล่งเลย หมอจึงให้พันผ้าไว้ซักพัก พยายามอย่าใช้ข้อมือข้างที่เจ็บและควรพักจนกว่าอาการปวดจะเบาลง ซึ่งหมอก็บอกอีกว่าอาจใช้เวลาหลายวันถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น


โชคร้ายคือดันเป็นมือซ้ายข้างที่ผมถนัด คงต้องงดจับกล้องสักพักใหญ่เพื่อให้หายสนิท แถมเวลาเรียนผมต้องลำบากมากแน่ๆ เลยเพราะต้องเขียนต้องวาด คิดแล้วอยากเตะไอ้ศรันย์สักป้าป แม่งทำกูเจ็บสองครั้งแล้วนะโว้ย


แต่ที่ลำบากกว่านั้นคือรอยช้ำรอยจ้ำตามแขนและขาที่เริ่มเขียวๆ ให้ได้เห็น น่าเกลียดโคตร ผิวของผมมันขึ้นรอยง่ายมาก จำได้ปะที่บีมมันจับข้อมือผมอะ แค่นั้นยังเป็นรอยแดงเถือกวันต่อมาก็เขียวช้ำ เวลาที่คนอื่นเห็นนะก็จะคิดว่าผมเจ็บหนัก เข้ามาถามกันจนน่ารำคาญ ผมไม่ชอบเอาซะเลย


“แล้วเพื่อนๆ มึงไปไหนแล้วล่ะน้องบู”

“กลับไปละ แล้วหมอว่าไงบ้าง” น้องมันลุกขึ้นมานั่งตามเดิม จับเนื้อจับตัวผมพลิกไปมาเพื่อดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า

“เย็บคิ้วสามเข็ม ปากแตกนิดหน่อย แล้วก็นี่...ข้อมือซ้น” ผมชูมือข้างที่พันผ้าไว้ให้บูดู

“ก็ว่าทำไมได้ยินพี่กรี้ดซะลั่นห้อง พยาบาลตกใจกันหมดเลยอะ”

“กรี้ดเกริ้ดอะไรวะ กูแค่ตกใจเฉยๆ เหอะ” ผมแก้ตัว

“เหรอ เหรอ เหรอ”

“เออ เออ เออ!”

“เบื่อพี่ว่ะ”


ผมถามน้องว่าตอนที่พาเพื่อนมาช่วยไปเอาโทรโข่งกับไซเรนมาจากไหน มันก็บอกว่าให้เพื่อนแอบเอาของพ่อที่เป็นตำรวจมา เพราะไม่กล้าแจ้งความ ตอนแรกซุ่มดูอยู่ไม่กล้าออกมา พอเห็นผมกำลังจะเสียท่าเลยกลั้นใจวิ่งเข้ามาช่วย ผมนี่ขำก๊ากเลย ไอ้เด็กพวกนี้มันน่าเอ็นดูจริงๆ


“เอาโทรศัพท์มาก่อนดิ้ เดี๋ยวเฮียโทรเรียกให้เพื่อนมารับ” ผมสะกิดเรียกน้อง ทำเป็นไม่สนใจเสียงจิ้จ๊ะของบูมัน

“ไม่ต้องอะ ผมโทร-”

“นายฟ้ามุ่ย เลิศพิพัฒน์ รับยาช่องสองค่ะ” ยังไม่ทันได้คำตอบ คุณเภสัชก็เรียกพอดี เมื่อกี้มันว่าไงนะ อะไรโทรๆ ผมได้ยินไม่ถนัด

“เดี๋ยวไปรับให้ นั่งรอนี่แหละ” ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่บูกดไหล่ผมให้นั่งลงที่เดิมแล้วเดินไปรับยาให้แทน

เอ้า! แล้วเอาโทรศัพท์กูไปด้วยอีก


ผมก็ได้แต่รอน้องมัน จะว่าไปก็เริ่มง่วงแล้วด้วย รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากนอนตาย จากที่นั่งอยู่ผมก็เริ่มเลื้อยตัวลง ภาพรอบข้างเริ่มเบลอ พยายามฝืนเปลือกตาหนักๆ ของตัวเอง จะมาหลับตรงนี้ไม่ได้นะไอ้มุ่ย



แปะๆ



“โอ๊ย...เจ็บง่ะ...”

ผมตีแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ มองบูที่กำลังจ่ายเงินอยู่ เออ ผมก็ลืมให้เงินน้องมันไป




“ไอ้น้องมุ่ย!”

“เชี่ยแม่ง! แหก!” ผมสะดุ้งสุดตัวพร้อมอุทานขึ้นมาอย่างตกใจกับเสียงเรียก



เชี่ย! ก็นึกว่าใคร บีมนี่เอง


ทำเป็นเสียงดัง ตกอกตกใจหมด



เอ๊ะ!?



ขวับ!



“เอ้า! บีม?” ผมเรียกเสียงหลง คือเดี๋ยวนะ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมต้องทำหน้าจะกินเลือดกินเนื้อขนาดนั้นด้วยอะ กูกลัวแล้วเนี่ย!


“มึงนี่มันจริงๆ เล้ย!” บีมจับไหล่ผมให้ลุกขึ้นยืน พลิกตัวผมหมุนซ้ายขวา สายตาจับจ้องไปตามรอยช้ำตามแขนขาพลางสบถอะไรบางอย่างออกมาแต่ผมได้ยินไม่ชัด พอสำรวจร่ายกายผมจนพอใจแล้วก็ยื่นมือมาเชยคางผมให้หันไปมา บีมลูบบริเวณที่ถูกเย็บเบาๆ เหมือนกลัวผมจะเจ็บแล้วค่อยๆ ไล้ลงมาตรงมุมปาก ผมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของคนตรงหน้า



“เ**ดแม่ง!”



อุ้ย!



ผมสะดุ้งจากคำสบถของบีม ครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินมันพูดอะไรแบบนี้ออกมา มันไปโกรธใครมาปะวะ

“บะ...บีม” ผมวางมือลงบนแขนเจ้าตัวพลางลูบอย่างเบามือเผื่อมันจะใจเย็นขึ้น

“ทำตัวเป็นนักเลงเหรอ ไอ้ตัวดี”

“คือกู-”


“อ้าว พี่บีมมาแล้วเหรอ” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็เห็นน้องบูยืนแกว่งถุงยาให้ดูเป็นเชิงว่าเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร บีมก็แทรกขึ้นมาก่อน

“รับยาเสร็จแล้วใช่ไหมบู”

“อือ จ่ายเงินให้แล้วนะเฮียมุ่ย” ผมจะเดินเข้าไปหาบู แต่บีมก็ยึดแขนผมไว้พลางใช้สายตาดุๆ จ้องมาแทนการพูดว่าไม่ให้ไปไหน



อะ...อะไรเล่า ทำไมต้องทำหน้าโหดง่ะ



“หือ? มีไรกันรึเปล่า”


ผมส่ายหน้างงๆ เพราะไม่เข้าใจเหมือนกัน


“เออเฮีย แล้วมอ’ ไซจะให้ขี่กลับไปไว้ที่หอผมก่อนปะ” เชี่ย ลืมน้ององุ่นไปเลย

“ฝากด้วยก็แล้วกัน” ยังไงเอาไว้หอบีมน่าจะดีที่สุด แล้วให้บีมไปส่งที่หอจากนั้นโทรเรียกเดอะแก๊งขี่กลับมาให้

“งั้นก็กลับ” บีมว่าแค่นั้นแล้วดึงแขนผมให้เดินตาม ผมมองแขนตัวเองที่ถูกกำรอบจนมิดแต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเพราะบีมแค่จับเบาๆ นี่แขนผมเล็กขนาดนี้เลยเหรอวะ เพิ่งสังเกตนะเนี่ย



“เออบีม เดี๋ยวไปส่งกูที่หอด้วยนะ” พอเดินออกมาจากโรงพยาบาลจนถึงบริเวณที่จอดรถ ผมก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ไม่”

“หะ?”

“ไปห้องกู”

“เห้ย ไม่เอาอะ กูง่วงแล้วอยากลับหอ จะให้กูไปหอมึงอีกทำไม” ผมเริ่มยื้อแขนตัวเองให้บีมหยุดเดินแล้วหันมาคุยกันดีๆ

“อย่าดื้อ สภาพอย่างนี้จะกลับไปอยู่คนเดียวได้ยังไง”

“ได้!”

“ไม่ได้”

“บอกว่าได้ก็ได้ดิ ชินแล้วๆ” บีมจึปาก แล้วมองมาที่ผมเหมือนจะหัวร้อนหน่อยๆ เมื่อโดนขัดใจ

“อยากโดนตีเหรอ บอกว่าให้กลับห้องกูไง”

“แล้วบีมจะขึ้นเสียงทำไมวะ” ทั้งความง่วงและอาการปวดเนื้อปวดตัวทำให้ผมเริ่มโมโหขึ้นมาเหมือนกันจากความดื้อดึงของบีม ดึกแล้วกูง่วงโว้ย!

“ก็ไปห้องกูดิ” บีมปรับสีหน้าอ่อนลงเมื่อเห็ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดี

“ไม่! กูจะกลับห้อง ถ้ามึงไม่ไปส่งงั้นกูกลับเอง” ผมสะบัดแขนออกอย่างแรงทำให้รู้สึกเจ็บจี้ดแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินออกมา ไอ้คนขี้โมโหก็คว้าเอวผมเข้าไปประชิดเจ้าตัวซะก่อน

“เห้ย! บีม! ทำไรเนี่ย! ปล่อยดิ้” ผมตกใจ พยายามแกะมือคนตัวสูงออก แต่พยายามเท่าไหร่มันก็ยังเกาะติดหนึบไม่เขยื้อนไปไหน จนผมเหนื่อยแล้วยืนนิ่งๆ ปล่อยให้มันกอดอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที

“ไม่ให้” บีมกอดเอวผมแน่นจนรู้สึกอึดอัดทั้งทางร่ายกายและหัวใจแปลกๆ แค่นั้นไม่พอมันยังซุกใบหน้าตัวเองลงกับซอกคอผม พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์จนรู้สึกจักจี้กับริมฝีปากของบีมมัน

“บีม...”

“อย่าดื้อนะน้องมุ่ย กูอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ไปเลยตอนนี้”

“ไปโกรธใครมาเนี่ย ขึ้นเสียงใส่กูด้วย” ผมถอนหายใจ พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลงแล้วถามออกไป

“โกรธน้องนั่นแหละ” เสียงบู้บี้มาเลย

“กู? เนี่ยนะ?”

“แผลเต็มตัว ไม่ชอบ”

“คนมีเรื่องกันก็ต้องนิดนึงปะวะ เขาเรียกว่าบาดแผลลูกผู้ชายไงบีม!” ผมลองดันหน้ามันออกจากซอกคอตัวเองอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย


“เหอะ”

“สรุปส่งกูนะ” ผมผละออกมาแล้วหันมาคุยกับมันตรงๆ หลังจากรู้สึกได้ว่าบีมคลายอ้อมแขนลง

“ไม่อะ”

“เอ้า!”

“จะคุยจะโอ๋จะอ้อนอะไรกันก็ปลดล็อครถให้น้องก่อนดิ้ ยุงหามจะตายห่าแล้วเนี่ย!” น้องบูยืนตบยุงอยู่อีกฝั่งหนึ่งของรถ พลางมุ่ยหน้าอย่างหงุดหงิด


นี่บูมาด้วยเหรอ ผมลืมไปเลยนะเนี่ย


“บีม” หลังน้องบูวางถุงยาและบรรดากระเป๋าของผมกับของน้องไว้ที่เบาะหลังแล้ว มันก็เดินไปที่น้ององุ่นก่อนจะสตาร์ทแล้วขี่ออกไป ผมเก๊กเสียงนิ่งทำจริงจังใส่เพื่อให้เข้าใจว่าไม่ได้ล้อเล่น

“เป็นห่วง...”



หะ?



“ห่วงน้องมุ่ย ไม่ได้เหรอ?” บีมเสยผมขึ้นลวกๆ จับมือผมสองข้างขึ้นไปประกบข้างแก้มตัวเองแล้วเอียงคอมองผมอย่าง...อ้อน?



อะ...อ้อน?



เฮือก!



ตึกตัก!



ตึกตัก!



“ไม่อยากให้อยู่คนเดียว น้องมุ่ยจะทำอะไรไม่สะดวกเพราะไม่มีใครดูแล”


“เหนื่อยมากไม่ใช่เหรอ นอนที่ห้องกูก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่ง”


“นะ”



ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก บีมส่งสายตาลูกหมามาให้ทำเอาผมใจเหลวเป๋ว ได้แต่มองบีมตาค้างอยู่อย่างนั้น



“แค่เห็นมึงเจ็บกูก็แทบบ้าแล้ว อย่าทำให้กูกังวลมากไปกว่านี้ดิครับ”

“แต่บีม-”

“ห่วงจะแย่อยู่แล้วคนนี้”


ตึกตัก!



ตึกตัก!



“...นะ”



ผมต้องตอบไงเหรอครับ มีชอยส์ให้หน่อยไหมโทษที



“อะ...เออ”


.

.

.


ผมนั่งมองพี่น้องตัว บ เดินไปเดินมาภายในห้องอย่างมึนๆ เพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ความง่วงงุนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา


ระหว่างที่อยู่ในรถบีมก็ถามผมกับน้องว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความเจ็บแค้น ได้ทีผมเลยรีบฟ้อง เล่าทุกฉากตั้งแต่เริ่มแรกจนน้องบูมาช่วยอย่างไม่กลัวเจ็บปาก ด่าศรันย์ไปเต็มที่ด้วยความอัดอั้น แถมเผลอเล่าถึงตอนโดนมันทำร้ายครั้งนั้นออกไปอย่างลืมตัว


‘น้องเคยโดนมันทำร้ายมาก่อนเหรอวะ...’

‘นี่!’ ผมเลิกชายเสื้อให้บีมดูตรงรอยแผลเป็น ‘ตอนนั้นมันแทงกูมิดด้ามเล้ย! แม่งโคตรเลวอะ เนอะ!’

‘เหรอ’

‘โหย เมื่อก่อนนะ...’


จากนั้นผมก็จ้อน้ำไหลไฟดับ เล่าย้อนไปตั้งแต่สมัยเรียน ลืมไปเลยว่ามีแผลที่มุมปาก


สุดท้ายแล้วผมก็ได้มานั่งจุ้มปุ้กอยู่บนโซฟาในห้องนี้จากการขอร้องของบีม ผมล่ะเบื่อตัวเองจัง ทำไมต้องใจอ่อนให้กับบีมด้วยวะ แค่มันทำหน้าหมาหงอยใส่ ใจผมก็ยุบยิบๆ สมองสั่งว่าต้องทำอะไรซักอย่างให้ความยุบยิบนี้หายไป ซึ่งนั่นก็คือตามใจบีม


“อาบน้ำไหวไหมเฮีย” น้องบูเดินมานั่งข้างกันแล้วถามขึ้น

“อือ ต้องอาบดิ สกปรกจะตายห่าอยู่แล้ว” ผมมองเสื้อผ้าตัวเองที่มีรอยเปื้อนทั้งคราบดินและเลือดที่เปรอะเต็มเสื้อ หน้าตาผมตอนนี้คงมอมแมมไม่ต่างกัน บีมแม่งกอดลงได้ไง

“เช็ดตัวไหม” บีมเดินมานั่งอีกข้างหนึ่งกลายเป็นว่าผมอยู่ตรงกลางระหว่างสองพี่น้องคู่นี้

“หึ จะอาบน้ำ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ บีมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พลางจ้องตาจนผมรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ

“แผลเต็มเลยนะ พี่ช่วยอาบปะครับ”

“อาบกับตีนกูนี่” ผมดันไหล่มันให้ออกห่าง บีมหัวเราะชอบใจ ดึงมือข้างที่เจ็บไปวางบนตักตัวเองแล้วจับๆ ลูบไปมาอย่างเบามือ


“เข้าไปอาบในห้องกู อยู่ขวามือ”

“ได้ๆ”

“อย่าให้แผลโดนน้ำนะ มือข้างนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าหยิบจับอะไรมาก”

“อือ...”

“กูเอาแปรงสีฟันอันใหม่วางไว้ตรงเคาเตอร์อ่างล้างหน้าแล้ว สบู่ก็ใช้ได้เลย”

“อ่าฮะ”

“ผ้าเช็ดตัวก็วางอยู่ตรงนั้น ส่วนเสื้อผ้าก็เลือกเอาในตู้”

“เคๆ”


ผมมองบีมลูบมืออย่างเพลินตา เห็นแววตาคุกรุ่นเผยออกมาแค่แวบเดียวเท่านั้นก็หายไป อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจ้อง เน้นว่าจ้อง จนผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่เสตามองไปทางอื่นเพื่อเลี่ยงการสบตากับบีม


“หมั่นไส้” บีมยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง เผยรอยยิ้มมุมปากพลางหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“หือ?”

“ไม่ชอบเอาซะเลย ให้ตายเหอะว่ะ”

“ยังไงนะ ไม่เข้าใจ” ผมมุ่นหัวคิ้วด้วยความงงงวยไม่รู้บีมต้องการจะสื่ออะไร


“อะแฮ่ม! นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้โทษที” ผมลืมสนิทเลยว่าบูก็นั่งอยู่ด้วย น้องมองผมกับบีมแล้วเบ้ปากมองบนอย่างเอือมๆ

“งั้นกูไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อไม่มีใครพูดอะไรอีก พลางเดินลากสังขารตัวเองเข้าห้องน้ำไป


.

.


[BOO PART]


“ใจเย็นก่อนน่าพี่บีม” ผมตบบ่าพี่ชายตัวเองเบาๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ

“โกรธจังแฮะ”

“เฮียมุ่ยก็ไม่เป็นไรแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่อะไรแล้วด้วยมั้ง” ผมว่าตามจริง เฮียมุ่ยเป็นคนประหลาด เท่าที่ฟังเฮียมันโม้ คล้ายกับว่าไม่ได้ติดใจอะไรกับฝ่ายคู่กรณี เล่าอย่างสบายๆ ด้วยซ้ำถึงแม้จะด่าพวกมันก็เถอะ ตอนผมมาช่วยก็งงอยู่นิดหน่อยเพราะคนที่คิดว่าจะมีเรื่องกันกลับไม่ใช่ กลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่มาหลังจากผมออกไป


รู้แค่ว่าคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่ฝากรอยแผลให้เฮียมัน


เป็นผมไม่มานั่งเล่าแล้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องชิวๆ อย่างนี้หรอกว่ะ เฮียมุ่ยแม่งบ้าบอ



“เล่นกันแรงจังวะคนพวกนี้”

“เฮียบอกว่าเมื่อก่อนยิ่งกว่าอีก ได้แผลกลับมาประจำ”

“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”

“ก็นะ...”

“น้องมุ่ยก็เด็กดีจริงๆ โดนไปขนาดนั้นยังยิ้มหัวเราะออกมาได้อีก หึ” พี่มันพูดอย่างเนิบช้าแต่เต็มไปด้วยความเยียบเย็น ผมนั่งเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี


ใครดูก็รู้ปะว่ามันอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ถ้าไอ้พวกที่รุมเฮียมุ่ยอยู่ตรงหน้าคงโดนกระทืบเละ มีแต่เฮียนั่นแหละที่ไม่รู้เรื่องเชี่ยไรเลย แม่งเอาตัวรอดมาได้ยังไงวะตอนเรียนช่าง ผมถามจริง เด๋อซะขนาดนี้


“เดี๋ยวพี่โทรหาเพื่อน บูก็ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า”

“แล้วให้เฮียนอนไหน”

“นอนกับพี่”

“เค้”



“เดี๋ยวพี่บีม”

“ว่า”

“คือ...ใจเย็นนะโว้ย ถ้าเฮียมุ่ยรู้มันคงไม่ชอบใจอะ” ผมตัดสินใจพูดออกไป กลัวใจพี่มันจริงๆ ให้ตายเหอะ

“ฮะๆ เออ” พี่บีมตบหัวผมเบาๆ แล้วเดินไปคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงข้างนอก



ครั้งสุดท้ายที่เห็นพี่มันเป็นแบบนี้ก็ตอนผมมีเรื่องกลับมาบ้าน ตอนนั้นจำได้ว่าโดนเด็กสถาบันอื่นเข้ามาหาเรื่องโดยที่ผมไม่รู้ห่าอะไรเลย แม่งคิดว่าผมแย่งแฟนมันมา เกือบตายคาตีนแล้วถ้าไม่ได้คนแถวนั้นมาช่วย


พี่บีมก็อย่างนี้เลย ยิ้มกว้างแปลกๆ แล้วเดินออกจากบ้านไป รู้อีกทีผมก็ได้ยินข่าวว่าไอ้พวกนั้นเข้าโรงพยาบาลด้วยสภาพร่อแร่ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าคงโดนยำตีนมาจากอริพวกมันอีกที มารู้ทีหลังว่าคือฝีมือพี่บีมกับเพื่อนเขา


แล้วนี่เฮียมุ่ยโดนเลยนะ!


มันรักของมัน จู่ๆ มาเห็นเฮียแผลเต็มตัวขนาดนี้ กูไม่อยากจะคิดสภาพไอ้ศรันย์อะไรนั่น



บอกได้คำเดียวว่า ‘เละ’



[BOO PART END]


.

.


“โอ๊ย! เจ็บ! นี่มือหรือตีนเอาดีๆ” ผมโวยวายเสียงดัง เมื่อบีมใช้ก้านคัตตอนบัตชุบน้ำเกลือแตะโดนแผลมุมปาก เรานั่งกันอยู่บนเตียงนุ่มของบีม โดยที่ผมนั่งพิงหัวเตียงแล้วมีมันนั่งอยู่ข้างๆ รอบตัวมีกล่องปฐมพยาบาลกับถุงยาที่ได้รับมาวางอยู่ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยมานั่งรอบีมทำความสะอาดแผลให้ ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง ตอนอาบก็โคตรทุลักทุเล จะหยิบจับอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเพราะไม่ถนัด สระผมขั้นแอนวานซ์ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้โดนแผลที่คิ้วกับปาก มือเดียวด้วยนะ สกิลขั้นเทพสุดๆ


ผมเปิดตู้เสื้อผ้าบีมหาชุดใส่ เหมือนมันแกล้งผมอะ มีแต่ตัวใหญ่เบิ้มใส่ไม่ได้สักตัว สุดท้ายก็ได้เป็นกางเกงยางยืดขายาวกับเสื้อบอลมาใส่นอน เอาหนังยางรัดตรงขอบกางเกงด้วยเผื่อหลุด บีมเข้าห้องมาเห็นผมในสภาพนี้ก็หัวเราะลั่นห้อง


ก็กูใส่ไม่ได้ไหมล่ะ ฟวย


จากนั้นมันก็หยิบไดร์เป่าผมออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้ผม บอกทิ้งท้ายว่าให้เป่าให้แห้งเดี๋ยวไม่สบาย รอมันอาบน้ำเสร็จ เดี๋ยวมาล้างแผลให้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผมทำตามที่มันสั่ง พอโดนลมอุ่นๆ ก็รู้สึกเคลิ้มจวนเจียนจะหลับแต่ก็ใจแข็งรอบีม


แต่ถามก่อนว่ามึงเคยทำแผลให้ใครไหม


มือหนักชิบ นี่จะช่วยทำแผลหรือสร้างเพิ่ม!


“บีมไม่ต้องละ เดี๋ยวกูทำเอง” ผมลุกขึ้นกำลังจะเดินไปทำแผลที่หน้ากระจกของตู้เสื้อผ้า ไม่ทันก้าวเดินบีมกลับจับแขนรั้งผมไว้ก่อน

“อยากทำให้อะ คราวนี้ไม่เจ็บ สัญญา” ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจหากก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี บีมส่งยิ้มตาปิดมาให้

“มึงก็นะน้องมุ่ย รู้ว่าตัวเองช้ำง่าย ยังไปให้พวกมันรุมยำตีนอีก” เมื่อทำแผลที่มุมปากเสร็จ บีมจึงใช้ยาทาแก้ฟกช้ำทาบริเวณที่มีรอยเขียวม่วงตามแขนให้

“เลี่ยงได้ที่ไหน ถึงวิ่งหนีก็ไม่พ้นหรอก”

“ไอ้ศรันย์นั่น ไปทำอะไรให้มัน”

“เอาตรงๆ ปะ กูก็ไม่รู้ว่ะ” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ พอนึกถึงมันแล้วมีแต่ความไม่เข้าใจผุดขึ้นเต็มไปหมด

“เอ้า ได้เหรอ?” บีมแค่นหัวเราะ พลางยกขาผมวางพาดตักของตัวเอง เพื่อจะทายาให้


เออ สบายว่ะ ไม่ต้องมานั่งทาเองให้เมื่อย


“กูกับมันมีเรื่องกันประจำอย่างที่บอก ศรันย์ไม่เค้ยไม่เคยที่จะทำร้ายกูสักครั้งเดียวต่อให้จะรุนแรงแค่ไหน แม้แต่เมื่อตอนเย็นมันยังไม่ยุ่งกับกูเลย เอาแต่ต่อยอยู่กับไอ้โป้”

“แปลกจริงๆ”

“ใช่ กูก็คิดงั้น นี่ว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดอะ แล้วที่มันบอกชอบกูคืออะไร งงไปหมด ยุ่งยากจริงโว้ย!” ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด บีมที่ทายาให้อยู่ดีๆ ก็ชะงักกึก หยุดมือลง

“ไอ้เชี่ยนั่น มันว่าไงนะ” บีมหันมาถามด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก

“คืองี้ กูไปพูดกวนตีนมัน ศรันย์โมโหตอบกลับมาว่า ‘อย่าคิดว่ากูชอบแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ’ แบบนี้ กูสตั้นไปแวบนึงเลยนะบีม จู่ๆ มาพูดอย่างนั้นทั้งๆ ที่มีเรื่องกันมาตลอด กูก็เอ๋อเลยดิ” ผมระบายอย่างอัดอั้นตันใจ เบื่อที่จะคิดคนเดียวเลยเล่าให้ใครสักคนฟังดีกว่า เผื่อจะทำให้สงบลงบ้าง


“สัด...”

“หือ? ว่าไงนะ” เหมือนได้ยินบีมพูดอะไรแต่ฟังไม่ชัด มันก็ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วทายาให้ผมต่อ

“แล้วมึงรู้สึกยังไงกับมัน”

“กู? กูเหรอ” ผมชี้มาที่ตัวเองอย่างไม่แน่ใจในคำถาม

“อ่าฮะ”

“เพื่อนที่เป็นศัตรู กูคิดอย่างนั้น”

“ทำไมล่ะ” บีมวางขาผมลงกับเตียงอย่างเบามือ แล้วเงยหน้ามามองหน้าผมอย่างต้องการคำตอบ

“ที่โดนแทงก็เพราะตอนนั้นกูเป็นคนเหี้ย บีม กูเหี้ยมากๆ อย่างที่มึงนึกไม่ถึง พอโดนเข้าถึงจะได้สติ กูเลยมองว่าถึงจะโชคร้ายแต่ก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง ทำให้คิดขึ้นได้ว่าควรเลิกทำตัวเลวๆ แบบนั้นสักที”

“แล้วโกรธไหม”

“โอโห กูนี่แทบอยากเอาตีนลูบหน้ามันสักร้อยรอบ! แม่งแทงมาได้เจ็บชิบหาย! กูนอนโรง’ บาลอย่างนาน กับข้าวก็ไม่อร่อย คิดแล้วแค้น ฮึ่ย!”

“ฮ่าๆ”

“ที่กูกินข้าวได้ไม่เยอะมันต้องเป็นเพราะกับข้าวโรง’ บาลแน่เลยว่ะบีม โหย กูรู้สาเหตุแล้ว!”

“มั่วสัดเลยมึงอะ ฮ่าๆ” บีมยื่นมือมาขยี้ผมด้วยความหมั่นไส้ พอเห็นมันหัวเราะอย่างนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย เมื่อกี้มัวแต่ทำหน้าตาน่าขนลุกอะไรไม่รู้ เห็นแล้วไม่ชอบใจเลย

“พอๆ กูจะนอนแล้ว หลบไปๆ” ผมผลักไอ้คนตัวสูงให้เขยิบห่างแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองจนมิดคอเหลือแค่ใบหน้า เออ กูนี่ก็ทำเหมือนเป็นเตียงตัวเองเลยแฮะ

“กูเจ้าของห้องเผื่อลืม”

“ก็จะนอน กูเจ็บอยู่นะ”

“รู้แล้วครับ” บีมเปลี่ยนจากหัวเราะกว้างมาเป็นยิ้มมุมปากอย่างเคย เจ้าตัวก้มลงมากระทันหันโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว จนระยะห่างระหว่างเราใกล้มากกว่าเดิม

“อะ...อะไร” ผมค่อยๆ ยกผ้าห่มขึ้นมาปิดปากจนเหลือแค่ตากับจมูกมองบีมอย่างระแวง

“น่ารักอย่างนี้ คนอื่นเขาก็หลงเอาง่ายๆ ดิ” ผมหลับตาปี๋เกร็งตัวทันทีเมื่อบีมจู่โจมลงมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนรินรดบริเวณระหว่างคิ้ว


แต่แค่นั้นก็ทำให้จังหวะหัวใจผมแรงขึ้น บวกกับอุณภูมิที่สูงขึ้นแถวใบหน้าลามลงมายังลำคอ มันต้องแดงมากแน่ๆ ให้ตายเหอะ


“มึงทำ-”




จุ้บ!



“บีม!” ผมลืมตาโพลงอย่างตกใจกับสัมผัสนุ่มหยุ่นตรงหน้าผาก บีมส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ พลางเลียริมฝีปากตัวเองช้าๆ ทำเอาผมได้แต่ตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก




ฟอด!



“อื้อ! ไอ้บีม! ไอ้! -” ผมผุดลุกขึ้นอย่างทนไม่ไหวด้วยความโมโหเมื่อมันขโมยหอมเต็มฟอดจนแก้มบี้ แต่บีมกลับกดไหล่ให้นอนลงเหมือนเดิม ผมกำลังจะอ้าปากด่าแต่บีมก็พูดสวนขึ้นมาก่อน


“อดใจไม่ไหว มึงน่ารักเกินไป”


“อะ...”


“ตัวก็หอม หน้าผากก็หอม แก้มก็หอม”


“...”


“เอาน่า นี่กูก็อดทนสุดๆ แล้วนะน้องมุ่ยนะ”


อดทนอะไร้! มาอดทนอะไรกับกับกู๊! กูไม่เข้าจายยย ฮืออ


“ไม่ต้องโวยวายวายแล้ว ง่วงก็นอน”


กูนอนหลับมากมั้ง มึงมาทำแบบนี้กับกู ไอ้คนเหี้ยยยย


กูฟ้อง!


กูจะฟ้อง!


“มะ...ไม่ต้องมาลูบหัว!”

“โอ๋ ขอโทษละกันๆ” ผมฟึดฟัดกับตัวเองเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย จะลุกขึ้นไฝว้กับมันก็ลุกไม่ขึ้น ความเมื่อยเนื้อตัว อาการอ่อนเพลีย ทำให้แค่จะสะบัดหัวหนีมือใหญ่ของอีกฝ่ายยังทำได้ยาก

“มึง..จำไว้เลย...” บีมยังลูบอยู่อย่างนั้นจนภาพตรงหน้าเริ่มเบลอและค่อยๆ มืดดับลงไปพร้อมกับร่างกายที่ปิดสวิตช์เพื่อการพักผ่อน


ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่16 ฝันดี (UP) 02/03/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 02-03-2019 02:47:55
ต่อตรงนี้จ้า

.

.


ขณะนี้เป็นเวลาตีสามกว่า บีมยังคงนั่งทำงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้อย่างเร่งรีบ เขาปิดไฟดวงใหญ่แล้วเปิดแค่โคมๆ ฟตั้งโต๊ะเพื่อไม่ให้แสงรบกวนการนอนของน้องมุ่ย พอทำไปนานๆ ความง่วงเริ่มซึมเข้ามา บีมจึงบิดตัวเล็กน้อยให้หายเมื่อยตัว ความจริงงานที่ทำก็ใกล้จะเสร็จแล้วเพราะเขาทำมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากยังไม่เรียบร้อยดีดันเกิดเรื่องขึ้นซะก่อนทำให้บีมต้องละทิ้งมันไป


อดที่จะจุ้บน้องมันไม่ได้ ทำเอามุ่ยตกใจเผลอโวยวายใส่เขาขึ้นมาซะยกใหญ่


ก็นะ...


มุ่ยดันพูดถึงไอ้ศรันย์ห่าไรนั่นขึ้นมาพอดี


แม่งเสือกบอกว่าชอบอีก


สัด น้องมุ่ยของกู ไอ้เหี้ย


ผมแทบอยากไปกระชากคอไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้มุ่ยเป็นแบบนี้มากระทืบ แม่งน้องมันตัวช้ำหมดแล้วไอ้ชิบหาย


คนชอบน้องมันเยอะอย่างที่เพื่อนมันบอกจริงๆ ผมไม่คิดว่าจะมีแค่ไอ้เหี้ยนั่นหรอก หึ


“บีม...” เสียงเรียกแผ่วเบาดังมาจากข้างหลัง ส่งผลให้เขาต้องหันกลับไป ก็เห็นเป็นน้องมุ่ยลุกขึ้นนั่งขยี้ตาอย่างง่วงงุน เป็นภาพที่เห็นแล้วน่ารักชะมัดในความคิดเขา

“ว่าไง” บีมเดินเข้าไปหาพร้อมทรุดตัวนั่งลงบนเตียงข้างคนตัวเล็กกว่า พลางยกมือน้อยๆ ออกมากุมไว้ให้น้องหยุดขยี้ตา

“ง่วง...” มุ่ยพึมพำทั้งที่เปลือกตายังปิดอยู่ ทำให้คนตัวโตอดส่งมือไปลูบหัวอย่างเบามือไม่ได้ คงจะละเมอตื่นขึ้นมาสินะ ในความคิดเขา

“แล้วตื่นขึ้นมาทำไม หืม?”

“เจ็บมือ” น้องยกมือข้างที่เจ็บขึ้นให้เห็นพลางเบะปากน้อยๆ ทำเอาใจคนมองกระตุกวูบกับความน่ารักที่เจ้าของมือไม่รู้ตัวซักนิด

“เจ็บมากเลยเหรอ”

“อือ ตรงนี้...ตรงนี้ก็เจ็บ” มือเล็กแตะบริเวณปลางคิ้วและมุมปากบอกกับเขา ปรือตาขึ้นมองเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ปิดเปลือกตากลับไปเหมือนเดิม

“สมน้ำหน้าดีไหม?”

“อือ...เดี๋ยวทุบให้” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง


เอ็นดูอะครับ


มันเขี้ยว


“เป็นไงล่ะ ไปมีเรื่องกับเขา พอได้แผลกลับมาก็ร้องเจ็บนั่นเจ็บนี่ มันน่าโดนตีไหม ฮึ”

“...”

“ไหนจะโดนคนอื่นบอกชอบอีก กูโกรธนะ ไม่พอใจมากรู้ไว้ด้วย”

“...”


“เออ...บ่นอะไรของบีมวะ” มุ่ยขมวดคิ้วไม่เข้าใจเมื่อบีมเอาแต่พูดอะไรไม่รู้รัวๆ ทำเอาเขามึนหัวไปหมด

“ที่เจ็บแผลเนี่ย จะให้ทำยังไง หือ?" บีมเอียงคอเอ่ยถามเสียงทุ้มน่าฟัง ย้ายมือลงมาเกลี่ยบริเวณแก้มนุ่มอย่างเผลอไผล

“บีมทำอะไรอยู่” มุ่ยลืมตาขึ้น จ้องมาที่เขาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ทำงาน ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“อือ มานอน มึงก็เหนื่อย...” ประมวลผลครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความที่น้องจะสื่อ คงจะอยากบอกเขาให้มานอนเพราะเหนื่อยเหมือนกัน

“ขอทำอีกแป้ปดิ” ผมปฏิเสธออกไปเพราะใจอยากทำให้เสร็จก่อน



แหมะ



หัวทุยๆ ของคนตรงหน้าวางลงกับลาดไหล่หนาของเขา ทำเอาบีมตกใจขึ้นมาเล็กน้อยกับการจู่โจม (?) อย่างไม่คาดคิดของน้องมุ่ย


“...นะ”



โอเค



ยอม



พี่บีมยอมแล้วครับน้องมุ่ย



ไม่ทำมันแล้วงานเงิน ลอกเชี่ยปั้นพรุ่งนี้ก็ได้วะแม่ง



“อื้อ...” เจ้าตัวน้อยส่งเสียงครางไม่พอใจพลางถูใบหน้าไปมาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อหาที่เหมาะๆ บริเวณช่วงไหล่ของเขา ทำให้บีมต้องเขยิบเข้าหาจนชิดตัว วาดแขนกอดเอวน้องอย่างเบามือ


จะหาว่าเขาฉวยโอกาสไม่ได้นะ ก็น้องมันกอดก่อนเอง


ลมหายใจร้อนรินรดตรงซอกคอของคนตัวสูง บีมต้องกัดฟันแน่นพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ฟัดเจ้าเด็กขี้อ้อนคนนี้ พลางค่อยๆ เอนตัวลงกับที่นอนขณะที่กอดกันอยู่อย่างนั้นเพื่อไม่ให้น้องตื่น


“อ้อนขนาดนี้ก็ต้องนอนแล้วปะวะ...” บีมพึมพำกับตัวเอง หัวเราะเพียงเบาบางขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เจ้าตัวหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมเขาทั้งคู่ บีมคลายอ้อมแขนลงเล็กน้อยกลัวน้องจะเจ็บแผล ยกมือลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือและปล่อยให้น้องนอนซุกกับช่วงแผ่นอกของเขา




“ฝันดีครับ ไอ้เด็กเด๋อ”





******************************************

แฮร่ รักพี่บีมเอ็นดูน้องมุ่ยกันเยอะๆนะคะ แสดงความคิดเห็นเป็นกำลังใจให้ด้วยเน้อออออ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่17 คิดอะไรอยู่ (UP) 04/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 04-04-2019 03:24:19
บทที่ 17
คิดอะไรอยู่



ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าๆ แผลบริเวณหางคิ้วก็ตัดไหมออกเรียบร้อย ตรงมุมปากก็หายสนิทแล้ว ข้อมือที่ซ้นอาการก็ดีขึ้นมาก แต่ยังมีอาการปวดเคล็ดอยู่บ้างเวลายกของหนัก ผมได้แต่นั่งถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เบื่อที่มันมาเจ็บข้างซ้ายนี่แหละครับ ทำอะไรไม่ถนัดซักอย่าง จะยกนั่นยกนี่ก็เจ็บ เฮ้อ

หลังจากเช้าวันนั้นที่บีมมาส่งที่หอ ผมก็โทรเรียกเดอะแก๊งให้มาหา พวกมันโวยวายใหญ่เลยเมื่อเห็นสภาพ พอเล่าให้ฟังว่าไปโดนอะไรมารวมทั้งเรื่องในอดีตด้วย แม่งด่าจนกูสำนึกผิดแทบไม่ทัน

ผมทำให้ศรันย์มีคนเกลียดเพิ่มขึ้นเยอะเลยแฮะ ฮ่าๆ สมน้ำหน้ามัน

เอาจริงๆ อยากจะเคลียร์กับมันเหมือนกันแต่คงต้องรอให้หายสนิทซะก่อน ถ้าไปสภาพนี้ก็เหมือนไปให้โดนขย้ำตีนเล่นๆ

ส่วนไอ้โป้เพื่อนยาก หายหัวเลยครับ แก๊ปกับเจ๋งเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันก่อนไปเยี่ยมโป้ที่หอ พวกมันก็บอกว่าเจอใครไม่รู้อยู่ในห้องด้วย ตัวเล็กๆ รอยสักเต็มแขนกำลังป้อนข้าวป้อนน้ำให้เพื่อนผมอยู่ ทำเอาอึ้งไปครู่ใหญ่ ผมว่าคงจะเป็นไอ้พี่เต้นั่นแหละที่คอยดูแลไอ้โป้อยู่

สมน้ำหน้ามัน ไอ้โป้จับได้คราวนี้อย่าหวังเลยว่าพี่เต้จะหนีจากเพื่อนผมได้ ฮ่าๆ



“วันนี้พี่บีมจะมารับมึงปะ”

“รับเหี้ยไรล่ะ กูไล่มันไปแล้ว” ตอนนี้พวกผมนั่งทำพร็อพงานกีฬาของมหาลัยกันอยู่ที่ลานหน้าตึกคณะ เสาร์ที่จะถึงก็เป็นวันงานแล้ว พวกเราเลยต้องเร่งมือกันหน่อย บอกเลยว่าทั้งแสตนด์ทั้งหลีดคณะโคตรเด็ด ไม่แพ้ใครแน่นอน

ไอ้ผมก็อยากช่วยนะ แต่ดูสภาพดิ พอเพื่อนเห็นอย่างนี้ก็บอกให้ไปนั่งเป็นกำลังใจเพื่อนเถอะ จะรู้สึกดีมากถ้าตอนพูดไม่กลอกตามองบนด้วย ฮ่าๆ

อันที่จริงพวกผมนั่งพักกินแรงเพื่อนร่วมคณะมาร่วมชั่วโมงแล้วแหละ กะว่ารอแดดร่มลมตกแล้วค่อยกลับหอ

คนเลวสัดเลยกูอะ ไม่ช่วยงานแล้วยังจะหนีกลับก่อนอีก

“โมโหไรอะ กูถามเฉยๆ” ไอ้เจ๋งนั่งตัดกระดาษพลางเงยหน้ามาถามผมด้วยรอยยิ้มกวนตีน

“วันนี้มันทำงานกลุ่ม ไม่ว่างมา”

“โอ๊ะ มีรายงานกันด้วย จึๆ” ผมปาเยลลี่ใส่หน้ามันอย่างหมั่นไส้

พูดถึงบีม ตั้งแต่วันนั้นมันก็คอยไปรับไปส่งผมอยู่เรื่อยๆ งงมาก มันจะมาเทคแคร์อะไรผมขนาดนั้นวะ ทั้งที่เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับบีมเลย ปฏิเสธก็แล้ว ว่าให้ก็แล้ว บีมยังทำมึนมาหาอยู่นั่นแหละ เห็นอย่างนี้ผมโคตรจะเกรงใจมันเลยนะเว้ย บางครั้งก็มานั่งรอเกือบชั่วโมงเพราะผมยังเรียนไม่เสร็จ ไม่รู้จะทำยังไงเลย

แต่วันนี้ผมขี่รถมาเอง เพราะบีมคอลมาหาเมื่อคืนว่าไม่ว่างจริงๆ ต้องทำงานของคณะแล้วก็งานกลุ่มด้วย ตอนแรกแม่งดื้อจะมา ผมยื่นคำขาดว่าถ้ามาก็เลิกเป็นเพื่อนกันไปเลย บีมมันก็ยอมแบบไม่ค่อยเต็มใจ ง้องแง้งอยู่นั่นแหละ ผมก็เออออกลับไป พยายามไม่มองหน้ามันเวลาคุยด้วยจะได้ไม่ใจอ่อน

แล้วผมก็บอกให้มันพักผ่อนบ้าง ใกล้จะสอบไฟนอลแล้ว มัวแต่ยุ่งอยู่กับผมหนังสือไม่ได้อ่านกันพอดี ถ้าเกรดมึงตกนี่กูไม่เกี่ยวเด้อ

“บางทีกูก็เกรงใจมันนะ มึงดูหลายวันที่ผ่านมาดิ แล้วแม่งช่วงนี้ก็จะสอบแล้วเปล่าวะ มัวแต่มายุ่งอยู่กับกู” ผมนั่งเคี้ยวเยลลี่พลางอธิบายให้แก๊ปกับเจ๋งฟังด้วย

“คิดอย่างกูไหม บีหนึ่ง”

“เหมือนสัดๆ เลย บีสอง”

“เป็นเหี้ยอะไรกันอีกล่ะ” ผมเลิกคิ้วถาม เมื่อเห็นพวกมันทำสีหน้าท่าทางแปลกๆ

“มุ่ย กูถามจริ๊ง” เจ๋งพูดขึ้นก่อน

“ว่า?”

“มึงกับพี่บีมนี่ยังไง”



ผลั่ก!



“ถามแค่นี้ทำมาเป็นไหล่ทรุด เอ้า ตอบกูมา” ผมมือเย็นขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำถามของไอ้เจ๋ง เหงื่อเริ่มผุดซึมบริเวณไรผมทั้งๆ ที่อากาศเย็นสบาย

“มะ...มึงพูดไร”

“ตอบมาไอ้มุ่ย อย่าเฉไฉ” ผมอึกอักเหมือนเป็นใบ้ชั่วขณะ ผมกับบีมยังไง คืออะไรอะ ไม่เห็นเข้าใจเล้ย! (เสียงสูง)

“กูจะกลับหอละ” ผมผุดลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันก้าวเดินไอ้แก๊ปก็พุ่งเข้ามากดช่วงบ่าให้นั่งลงเหมือนเดิม

“แก๊ป ปล่อยกู...”

“ดีมากเพื่อนแก๊ป มุ่ยอย่าลีลาดิ กูเห็นเขาไปรับไปส่งมึงตลอด ศัตรูเขาไม่ทำกันอย่างนี้นะเว้ยเพื่อน” ผมหลบสายตาเจ๋งที่จ้องเขม็งมา

“กู...”

“เอางี้ กูถามตรงๆ มึงรู้ใช่ไหมว่าไอ้ที่พี่เขาคอยดูแลมึงมาตลอดเนี่ย...เขาไม่ได้คิดกับมึงแค่น้องนุ่ง” ผมกระพริบตาปริบๆ มองหน้าแก๊ป



เหี้ย



แม่งควรไปเป็นหมอดูอะ เดาเก่ง



“กูชอบน้ำตาล...”

“ชอบพี่น้ำตาลจริงหรือเปล่าเถอะ ไม่ใช่แค่เอาเขามาอ้าง”



แก๊ป...เพื่อนเจ็บแล้วเนี่ย ฮือ



“พี่บีมเขาดูชัดเจนดีนะ ก่อนมึงเดี้ยงก็จีบมึงออกหน้าออกตา พอมาตอนนี้คอยไปรับไปส่งอยู่ตลอด” ไอ้เจ๋งพูดขึ้นพลางลูบคางอย่างใช้ความคิด

“...”

“มึงไม่รู้จริงๆ เหรอวะ ว่าพี่เขาชอบมึง”

“ก็คือ ยังงี้ มันไม่มีอะไรเลยเว้ย ก็แค่...” ผมหลับตาลง ถอนหายใจยาวๆ ออกมา เอาจริงๆ ผมก็เครียดไม่น้อยเลยกับเรื่องของบีม ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่แค่...



...ไม่มั่นใจ



“เนี่ย มึงลีลาอะมุ่ย”

“เห้ย ฟังกูก่อนดิ”

“อะๆ”

“ก็...กูรู้สึกดีกับมันนะ หมายถึง! แบบ ไม่ได้ไม่ชอบมันเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่คือไม่ได้หมายความว่ากูชอบมัน...บีมอะ...ดีมากๆ ดีกับกูมากๆ แต่กูแค่! ไม่สิ คือก็ยังงงกับตัวเองอยู่ เอ๊ะ! หรือกูชอบ ไม่ๆ คือมัน-”

“ใจเย็นๆ เพื่อน มึงรีบไปไหนเนี่ย” ไอ้เจ๋งยิ้มขำกับท่าทางของผม

“...อือ นั่นแหละ คำตอบกู” พอคิดเรื่องบีมทีไร เหมือนมีจิ๊กซอว์เป็นล้านตัวลอยเคว้งอยู่ในหัว ไม่มีแบบให้ประกอบ ไม่มีตัวเลขให้เดาว่าควรเริ่มตรงไหนแล้วจบยังไง

ผมรู้สึกดีนะ เวลาอยู่กับบีม โอเค ผมโง่นิดหน่อยตรงที่ความรู้สึกช้า ทั้งๆ ที่เขาก็ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว



อย่าว่าผมดิ ก็คนมันไม่เคยโดนจีบอะ



ไอ้ความรู้สึกหน้าร้อน หัวใจเต้นแรง อะไรนั่น ก็เพิ่งเป็นกับบีมคนเดียว ครั้งแรก...



ผมไม่รู้หรอก



“สับสน?”

“อือ...ใช่ล่ะมั้ง”

“ทำไมทีกับพี่น้ำตาลไม่เห็นเป็นอย่างนี้”

“...”

“เมื่อก่อนอะไรๆ ก็นางฟ้าของกูๆ”

“...”

“แต่เดี๋ยวนี้ มึงอะ พูดถึงแต่พี่บีม...”

“...”

“จนกูงง สรุปว่ามึงชอบใครระหว่างน้ำตาลหรือบีม”



“...”

“...”



“แก๊ป คือกู-”

“ช่างเหอะๆ ที่ถามก็แค่อยากให้มึงรู้สึกตัวบ้างเท่านั้น ไม่ได้จะคาดคั้นอะไร ที่เหลือมึงก็ไปคิดเอาเอง” แก๊ปกับเจ๋งตบบ่าให้กำลังใจแล้วหันไปทำงานของตัวเองต่อ



“ถ้าชอบ...จะเป็นยังไง ไม่ชอบ...จะเป็นยังไง”

“...”

“กูไม่รู้หรอกว่าไอ้คำว่าชอบมันเป็นแบบไหน พวกมึงเคยบอกว่ามีหลายแบบ กูก็ไม่เข้าใจ...”

“...”

“รู้แค่ว่าชอบคือชอบ”

“...”

“มุ่ย ฟังกู” เจ๋งวางงานลงแล้วสบตากับผมอย่างจริงจัง

“มึงไม่ต้องบัญญัติคำว่าชอบให้ตัวเองหรอกนะ คนมันคิดไม่เหมือนกัน สำหรับกู คำว่าชอบมันมีเลเวลต่างกันไป”

“...”

“ชอบหมาแมวก็อีกอย่าง ชอบคนอื่นก็อีกอย่าง”

"..."

“แต่มึงไม่มี ก็ไม่เห็นเป็นไร งงเลยเนี่ย คนอย่างมึงคิดมากกับเรื่องนี้ด้วย”

“กูยังงงตัวเองเลยไอ้เหี้ย...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา ไม่เป็นตัวเองเลยว่ะกู

“เออน่า มึงว่าไงนะ ชอบก็คือชอบ ถูก! มึงชอบเขาก็ลุยเลย จะกลัวอะไร!”

“แต่ถ้าชอบบีมแล้ววันนึงไม่ชอบแล้วล่ะ กูไม่ถนัดทำคนเสียใจหรอกนะ” ผมเบ้ปากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แค่บีมทำหน้าหมาหงอยผมยังอยู่ไม่สุขเลย ถ้าผมทำมันเสียใจล่ะ



“อันนั้นอยู่ที่ความรู้สึกมึงแล้ว กูช่วยอะไรไม่ได้”

“เฮ้อ...”

“น้องมุ่ย ถ้ามึงชอบเขามาก กูว่าวันนั้น...คงไม่มีทางเกิดขึ้นง่ายๆ หรอก”

.

.

.


ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง ซึ่งคือวันงานกีฬาของมหาวิทยาลัยนั่นเอง เดอะแก๊งของผมก็ยุ่งมาก คนนึงก็ต้องไปเตรียมแข่ง คนนึงก็อยู่คนละคณะ ผมไม่เจอหน้าไอ้โป้เลยตั้งแต่มันออกจากโรงพยาบาล มัวแต่ตัวติดอยู่กับพี่เต้ แล้วแม่งชอบถ่ายรูปอวดลงอินสตาแกรมด้วยนะ เห็นแล้วหมั่นไส้ สุดท้ายเหลือแค่ไอ้เจ๋งกับผมที่ว่าง

ใช่ ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น คงไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่เดินถือกล้องเก็บภาพไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักไม่รักก็พอไรงี้ แฮ่



ไม่ใช่เลยครับผ๊ม!



เจ้เรียกมาเตรียมตัวตั้งแต่เมื่อวาน การประชุมค่อนข้างเครียด พวกเราพยายามวางแผนกันเป็นระบบเพื่อจะให้งานเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยความที่มีหลายกีฬาที่แข่งในวันนี้ทำให้ตัวเด็กในชมรมไม่พอ จนต้องเรียกพี่ปีสูงมาช่วยเพิ่ม แล้วก็กระจายตำแหน่งให้แต่ละคนอยู่ประจำแต่ละจุด จะได้ถ่ายภาพกันอย่างทั่วถึง

ถามว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ เจ้บอกว่าการจัดกิจกรรมทุกครั้งทางมหาวิทยาลัยเขาจะเรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าไปประชุมกันเพื่อให้งานออกมาดี มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไม่ทำเหมือนขอไปที อีกอย่างคือเป็นการประชาสัมพันธ์มอเราไปในตัวได้ ผลลัพธ์จากปีที่ผ่านๆ มาก็โอเค มีเด็กเข้ามาเรียนเยอะขึ้น บลาๆ

วุ่นวายกันซักพักทุกอย่างก็ลงตัว พอวางตัวแต่ละคนจนครบ ก็มีการออกไปเช็คสถานที่เอย มุมเอย แสงเอย เหนื่อยสุดๆ ไปเลยครับ แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน ซึ่งผมชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกฝืนตัวเองอะไรอยู่จุดไหนบ้าง

ผมได้ประจำอยู่ที่สนามฟุตบอล มีพี่ผู้ชายสองแล้วก็เพื่อนผู้หญิงหนึ่ง รวมผมเป็นสี่คน และอาจจะมีคนอื่นมาเพิ่มเพราะเราต้องย้ายเด็กปีหนึ่งจากแสตนด์อินดอร์มาที่เอาท์ดอร์ โชคดีที่เขาจะเริ่มแข่งกันประมาณสี่โมงเย็น แสงเป็นใจให้พอดีเลย ผมชอบ

ซึ่งในเย็นวันนั้นหลังประชุมงานเสร็จก็จะมีพิธีเปิดงานกีฬาของมหาวิทยาลัย พวกผมก็ต้องไปตามถ่ายทั้งขบวนพาเหรดและเหล่าผู้นำเชียร์ที่แสดงเปิดงานกัน เล่นเอากลับหอมาหลับเป็นตาย เกือบมาบรีฟงานตอนเช้าของวันนี้แทบไม่ทัน

และในช่วงเช้าของวันนี้เขามีแข่งประกวดแสตนด์กันที่อินดอร์สเตเดียม เพราะฟุตบอลยังไม่เริ่มแข่งและกีฬาอื่นก็มีคนประจำอยู่แล้ว ผมเลยได้ไปช่วยเก็บภาพข้างในนั้น

มันส์มากเลยครับ แต่ละคณะใส่เต็มกันหมด การแสดงนี่ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ หลีดแต่ละคณะก็แบบ หื้มมมมม~ มากเลยครับ เห็นน้ำตาลยืนอยู่แถวนั้นด้วย ผมก็เดินเขินๆ ไปถ่ายเขา ได้พูดคุยกันนิดหน่อยเพราะน้ำตาลกำลังยุ่ง ผมเลยไม่อยากกวน

ด้วยความสนุกของกิจกรรม ทำให้บรรยากาศในงานครึกครื้นกันมาก ขนาดตัวผมเองเป็นคนไม่ค่อยจอยงานอะไรแบบนี้ยังรู้สึกสนุกไปด้วยเลย

ผมเดินไปถ่ายบริเวณสแตนด์วิศวะ เรื่องโค้ดมือนี่ต้องยอมเลย เป๊ะกันมากจริงๆ เออ เหมือนผมจะเห็นไอ้โป้ใส่เสื้อบาสเดินแว้บไปมาแถวนั้นอยู่กับเพื่อนคณะมันด้วย แต่ทักไม่ทัน คงจะรีบไปเตรียมตัวแข่งมั้ง

หลังจากประกวดแสตนด์จบลงต่อไปจะเป็นการแข่งบาสเก็ตบอลชิงชนะเลิศ ซึ่งก็แข่งสนามในร่มนี่แหละครับ ตอนแรกผมเองลืมไปว่าโป้มันก็เป็นนักกีฬาบาสเหมือนกัน เดี๋ยวต้องไปตามถ่ายรูปหล่อๆ ให้มันซักหน่อยจะเอาไปอวดไอ้พี่เต้ ฮ่าๆ


.

.


“กูรู้ว่าตัวเองเก่งมาก ไม่ต้องมาชมหรอก”

“ไอ้ควายยยย นอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลตั้งนาน มึงเอาแรงจากไหนมาแข่งบาสวะ”

“มึงเข้าใจคำว่าคนเก่งปะ กูเองอะ”

“หลงตัวเองชิบหาย ฮ่าๆ”

หลังจากจบการงานในครึ่งเช้า พวกผมก็มานั่งกินข้าวกันในโรงอาหาร อ๋อ วิศวะชนะบาสนะครับ วู้ว! ผมนี่ลุ้นตัวโก่งเพราะแต้มสูสีกันมาก ไอ้โป้นี่หน้าเครียดเลย ผมเกือบจะยกกล้องมาจับภาพแทบไม่ทัน

เวลามันทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วแม่งโคตรเท่ สาวๆ แถวนั้นกรี้ดใหญ่เลย ผมแอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ในความหน้าตาดีของมัน

แต่สุดท้ายก็ชนะมาได้ ต้องยอมเขาจริงๆ นะครับ แหม่

“กูอดไปดูเลยว่ะ เซ็ง”

“มึงพลาดมากกกก เชี่ยแก๊ป! ไอ้โป้งี้ ฟึ่บฟับ! ชู๊ตเอาๆ”

“รู้งี้กูลงบาสดีกว่า อยากเล่นกับเชี่ยโป้มัน” ไอ้แก๊ปพูดอย่างเสียดาย มันไปแข่งวิ่งมาครับ เห็นว่าชนะมาเหมือนกัน

เห้ย! เพื่อนผมมีแต่คนเก่งๆ ว่ะ โคตรเจ๋ง

“วันหลังเถอะไอ้เหี้ย แค่นี้กูก็หอบแดกแล้ว กว่าจะชนะมาได้ อีกฝั่งแม่งทั้งสูงทั้งบล็อกเก่ง กว่ากูจะทำแต้มได้แต่ละลูก แทบหืดขึ้นคอ” ผมตักข้าวเข้าปากแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ถึงไอ้โป้จะตัวโตแต่ยังสู้อีกฝ่ายที่เขาเป็นนักกีฬาของมหาลัยไม่ค่อยได้ ก็ดูดิ มีแต่บึ้กๆ ทั้งนั้น

ลองจินตนาการเป็นผมวิ่งดุ้กๆ ในสนาม

คงโดนชนปลิวออกสนามตั้งแต่วิแรก ฮ่าๆ

“สามแต้มมึงสวยมากอะ ลงทุกลูกเลยไอ้เหี้ยเอ้ย” เจ๋งตบโต๊ะรัวๆ สงสัยแม่งอินจัด คงเซอไพรส์เพราะไม่คิดว่าโป้มันจะเล่นได้ดีขนาดนี้

“คือแบบ เฮ้อ เบๆ อะนะ” กูเริ่มชักจะหมั่นไส้มึงละ ขิงไม่หยุด

“แต่ทำไมไม่เริ่มชู้ตตั้งแต่ควอเตอร์แรกๆ วะ แม่งมาออกลายตอนหลังกูลุ้นเยี่ยวเหนียวเลยไอ้สัด”

“มันก็ต้องมีแผนกันบ้างดิ ไม่งั้นกูเหนื่อยตายห่า”

“คนอื่นอาจจะคิดว่ามันไม่เก่งสามแต้มเพราะมันไม่ค่อยเห็นมันเล่น แต่ว่านั่นอะของชอบมันเลยแหละ” ผมพูดเสริมทับพลางหันไปแท็กมือกับโป้ มันส่งมือมาขยี้หัวผมเล่นแล้วหัวเราะชอบใจ

“เออ แล้ว-”

“น้องมุ่ย!”



หือ? ใครเรียกกูวะ



ผมหันไปตามเสียงเรียก มีผู้ชายตาตี่ยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือ มองไปข้างๆ พอเห็นว่าเป็นใคร อาการเบ้ปากมองบนก็เกิดขึ้นทันที

“เนี่ยมึง ได้ที่นั่งละ”

“อ้าว! พี่บีม พี่ปั้น พี่นิว พี่ก้าน หวัดดีครับ” ไอ้โป้ส่งเสียงทักทายอย่างเริงร่าเมื่อเห็นพี่คณะมัน ผมนั่งตักข้าวเข้าปากเหมือนเดิม ทำเป็นไม่สนใจ

“กูไม่มีที่นั่งว่ะ นั่งด้วยดิ”

“เอาเลยพี่ ที่ว่างเยอะแยะ มาๆ” ไอ้เจ๋งนี่ก็ทำเอย่างกับสนิทกับพวกนั้นมาเป็นชาติ เรียกมานั่งแถมยังดันผมให้เขยิบออกอีก

“เชี่ยมุ่ยมึงเหยิบๆ หน่อยซิ นั่งกินที่อยู่คนเดียวเนี่ยมึง แบ่งพี่เขานั่งด้วย” ผมนิ่วหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมขยับให้ เผลอเงยหน้าสบตากับบีมแวบนึง มันยิ้มมุมปากหล่อๆ ส่งมาให้ ผมลอยหน้าลอยตาไถโทรศัพท์เล่นทำเหมือนไม่เห็น

“จะแข่งบอลกันเหรอครับพี่” แก๊ป ถามมันทำไมวะ โห่

“เออ แต่พวกกูมาหาข้าวกินกันก่อน แม่งไม่มีที่ว่างเลย”

“พี่บีมมานั่งนี่เลยพี่ เดี๋ยวผมไปนั่งอีกฝั่งเอง อิอิ” อิอิพ่อง ไอ้สัดเจ๋ง

ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ แม่งมีการเรียกบีมให้มานั่งข้างผม กวนตีนชิบหาย

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” บีมเดินมานั่งลงข้างกันแต่โดยดีพร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยว พลางเอียงคอถามผม

“รำคาญมึงอะแหละ”

“จริงเหรอ”

“เออ” ผมทำเป็นสนใจที่เพื่อนบีมกับเพื่อนผมคุยกัน แอบเหล่มองนิดหน่อยว่ามันกินอะไร

อืม หมี่ขาวลูกชิ้น อิ่มเหรอวะถามจริง

“มองไร”

“เปล๊า” ผมยกมือขึ้นเสยผมแก้เก้อเมื่อบีมรู้ตัวว่าผมแอบมอง ได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆ

“กินลูกชิ้นปะ”

“ไม่”

“ให้เนี่ย กินดิ” บีมทำท่าจะคีบลูกชิ้นมาให้ แต่ผมจับมือไว้ก่อน

“ไม่เอา”

“ก็เห็นมอง นึกว่าอยากกิน” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“เดี๋ยวมึงไม่อิ่ม”

“หืม เป็นห่วง?” เจ้าตัววางตะเกียบแล้วหันมาทางผมอย่างเต็มตัว บีมหลุดขำออกมา แอบเห็นว่าพลางกัดปากล่างตัวเองเล็กๆ

“ไม่ใช่ บีมกินแค่นี้อิ่มเหรอวะ เอาแรงที่ไหนไปเตะบอล แพ้แน่”



แปะ!



“เอ้ย! อีกแล้วนะ อย่ามายุ่งกับเหม่งคนอื่นได้ปะ” ผมมุ่ยหน้า พ่นลมหายใจฮึดฮัดหลังจากบีมตีหน้าผากผมอีกแล้ว

“โทษฐานที่แช่งกู”

“ใครแช่ง พูดความจริงทั้งนั้น ก็ดูกินดิ ไปซื้อมาอีกชามไป๊” ผมโบกมือไล่

“กินเยอะจุกกันพอดี”

“กินน้อยก็ไม่มีแรงไงบีม พูดไม่รู้เรื่องเหรอเราอะ” ผมมองหน้าบีมอย่างหาเรื่อง มันก็ไม่พูดอะไร เอาแต่มองหน้าผมยิ้มๆ



“อะแฮ่ม!”

“โต๊ะนี้ไม่ได้มีแค่พวกมึงสองคนนะครับ โทษที”

“แหม ไม่ได้เจอกันนานก็งี้แหละ เนาะ”

“เออๆ ใช่ครับพี่ ฮ่าๆ” เจ๋ง มึงเป็นเพื่อนกูจริงปะเนี่ย ไปเข้าข้างพวกนั้นทำไม หือ!

“ได้ข่าวว่าน้องมุ่ยไปฟัดกับหมามาเหรอ แผลหายดีแล้วหรือยังครับ” เพื่อนบีมคนนึงชะโงกหน้ามาถามผม

“แค่นี้จิ้บๆ ให้ไปไฝว้อีกก็ยังไหว” ผมยกนิ้วปัดจมูกอย่างอวดๆ

“โอ้โฮ ใจมันได้เว้ยเฮ้ย ฮ่าๆ”

“มือไม่เจ็บแล้วนะน้องมุ่ย” นั่งคุยเพลินๆ บีมก็จับมือผมไปลูบ

“อือ ขี่รถได้ปกติละ แต่ถ้ายกของหนักมันก็มีจี้ดๆ บ้าง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเอาแต่หัวเราะที่คนบนโต๊ะคุยกัน

“ช่วงนี้ไม่ได้ไปรับ งานโคตรยุ่งอะ”

“เออๆ ...ฮ่าๆ สมน้ำหน้าไอ้เจ๋ง”

“คิดถึงกันบ้างไหมเรา”

“เชี่ย! ก็กูบอกแล้วไง ฮ่าๆ”

“สนใจกันหน่อยน้องมุ่ย”

“หือ บีมว่าไงนะ” ผมหันมาถามเพราะได้ยินไม่ถนัด บีมขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจอะไรซักอย่าง จ้องเขม็งมาที่ผมอีก อะไรวะ

“ช่างมันเถอะ” บีมปล่อยมือผมแล้วกลับไปกินก๋วยเตี๋ยวต่อ



อ้าว



เหมือนผมทำอะไรผิดซักอย่างเลยว่ะ



จึกๆ



ผมสะกิดไหล่คนข้างๆ แต่บีมก็ไม่สนใจ



“เป็นไรเล่า สนใจแล้วนี่ไง เออ เมื่อกี้ว่าไงนะ อ๋อ ที่มึงไม่ได้มารับกูใช่ไหม เห้ย ไม่เป็นไรอะ กูมาของกูเองได้ ชิวๆ เนอะ...” ผมเอียงคอเพื่อที่จะมองหน้าบีมให้ชัดๆ พลางกระตุกแขนเสื้อให้มันหันมามองกัน

“...”

“บีม...คุยกับกูหน่อย” ผมยกกล้องขึ้นถ่ายสตอรี่ไอจี ขำอะ หน้าบูดเป็นตูดเลย ฮ่าๆ

“อย่ามาถ่าย” บีมดันโทรศัพท์ออก แต่ผมยังไม่ละความพยายาม เบี่ยงแขนออกแล้วยกถ่ายเหมือนเดิม



แอ๊ะ! เห็นนะว่าแอบยิ้มอะ



“ยิ้ม ยิ้ม แน๊!”

“ไอ้เด็กนี่”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะออกมา ในที่สุดบีมก็ทนไม่ไหวหันมามองหน้ากัน

“ตลกอะบีม ไอ้บ้า” ว่าแล้วก็กดอัพสตอรี่ทันที บีมยกมือมายีผมของผมอย่างแรงจนยางรัดหลุด ผมโวยวายนิดหน่อย บีมก็ยังยิ้มหน้าระรื่นพลางหมุนตัวผมให้หันหลัง ผมงงกับการกระทำของมัน แต่พอรับรู้ถึงสัมผัสอย่างเบามือกับศีรษะของตัวเองก็เข้าใจได้



อ๋อ



บีมจะมัดผมให้นี่เอง



“ถามน้อง คิดถึงกันบ้างไหม”

“อะ...อะไรของบีม”



เอาละกู มือไม้เริ่มเกะกะแล้ว



“อึกอัก แสดงว่าคิดถึง ชื่นใจว่ะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย อย่ามามั่วว่ะบีม” ผมตีมือคนตัวสูงโทษฐานพูดจาเลอะเทอะ แต่มีผลกับหัวใจ แรงๆ หนึ่งที บีมหัวเราะชอบใจใหญ่กับการกระทำแก้เขินของผม



รู้บ้างไหมว่าคนเขาคิดมากเรื่องมึงเนี่ย! หือ!



“ขี้เขินจริงๆ เลยคนนี้”

“พอๆ มัดเสร็จแล้วก็กินข้าวให้หมดแล้วจะไหนก็ไป วู้ รำคาญบีม...” ผมปัดมือบีมออกแล้วหันมานั่งดีๆ เหมือนเดิม บีมก็ยังมองหน้าผมยิ้มๆ มึงมีความสุขอะไรนักหนา



อะ...ไอ้บ้านี่



“...เขินก็น่ารัก เหวี่ยงก็น่ารัก อยู่เฉยๆ ก็น่ารัก หลงชิบหายเลยกู ฮะๆ” บีมพึมพำกับตัวเองแต่ผมได้ยินไม่ถนัด อะไรยักๆ นะ ยึกยักเปล่าวะ?



“โอ๊ย!! กูรำคาญคนแถวนี้!”

“เหมือนผมเลยว่ะพี่!”

“จะอะไรกันขนาดนั้น มึงไม่แดกน้องมันไปด้วยล่ะไอ้บีม หมั่นไส้!”

“เหี้ยน้องมุ่ย นั่งเคลิ้มเลยนะมึงอะ ทีกูจะมัดให้บ้างทำเล่นตัว ไอ้ควายน้อย”

“พูดมากว่ะ แดกข้าวไปไป๊” ผมโบกมือไล่ไอ้โป้อย่างรำคาญ

“แหมๆ”

“สัด มือมึงหนักอย่างกับตีน ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับหัวกู เพื่อนบีมมือเบากว่ามึงเยอะ เนาะ” ผมหันไปเออออกับบีม เจ้าตัวชะงักเล็กน้อย หรี่ตามองผมเหมือนมีอะไรจะพูด

“เพื่อนบีม?”

“อื้อ มึงเพื่อนกูไง หวัดดีเพื่อนบีม!”

“เอาแหล่วววววว”

“เฟงซงชัดๆ ฮ่าๆ โอ๊ยไอ้เหี้ย กูขำ”

“เฮ้อ” บีมวางตะเกียบลง พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ผมบอกพี่แล้ว สู้ๆ นะคับ ฮ่าๆ”

“กูอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ” บีมลุกขึ้น เพื่อนคนอื่นก็พยักหน้าแล้วลุกตาม

“จะไปแล้วเหรอ” ผมคว้ามือบีมไว้ก่อนเจ้าตัวจะเดินออกไป

“อือ ดูแลตัวเองด้วย อย่าตากแดดให้มาก” บีมตบหัวผมเบาๆ แล้วเดินออกไปพร้อมเพื่อนตัวเอง ผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างอึนๆ

“มึงว่าบีมดูเหนื่อยๆ ปะ” ผมถามเพื่อน

“เออ...”

“ซ้อมเยอะง่ะ”

“เหนื่อยกับมึงนั่นแหละ!”

“เอ้า!”


.

.


ต่อข้างล่างงับ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่17 คิดอะไรอยู่ (UP) 04/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 04-04-2019 03:25:57
ต่อตรงนี้งับ



“เอ้าแหม่! สวัสดีครับ วันนี้เราอยู่กันที่สนามเอาดอร์สเตเดียม เป็นนัดชิงชนะเลิศระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะนิติศาสตร์นั่นเองครับ!”

“รู้สึกวันนี้กองเชียร์จะเยอะเป็นพิเศษเลยนะครับแหม่ สงสัยมาเชียร์นักพากย์กัน ฮ่าๆ”

“ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงครับ กรรมการเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน...จังหวะแรกนิติได้บอล โยนมา! วิศวะเหมือนจะสกัดได้ เอ้า ส่งคืนหลังมา!”



หลังจากแยกย้ายกับพวกบีมเมื่อกลางวัน พอถึงเวลาแข่งขัน ผมก็ได้มานั่งจุ้มปุ้กอยู่ริมสนามกับเพื่อนรุ่นพี่อีกสองสามคน เจ้จิ้บสั่งแกมขู่ว่าต้องเอารูปเด็ดมาให้ได้เยอะๆ เพราะการแข่งขันครั้งนี้ เรียกได้ว่าทั้งสองทีมมีแต่คนเก่งกันทั้งนั้น ไหนจะรูปร่างหน้าตาแต่ละคนที่ทำเอาสาวๆ บนแสตนด์พร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์กันไม่หยุดหย่อน เพราะงั้นต้องเก็บภาพนักฟุตบอลมาให้ได้มากที่สุด

ผมนั่งอยู่บริเวณป้ายโฆษณาฝั่งที่บีมเป็นผู้รักษาประตู เจ้าตัวหันมายิ้มให้นิดๆ เมื่อเห็นผม ไม่วายชูสองนิ้วส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้างประจำตัวเจ้าของ ผมจึงไม่พลาดที่จะยกกล้องขึ้นถ่าย แล้วภาพที่ได้ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้จะผ่านตาข่ายก็เถอะ

“น้องมุ่ยเชียร์ใครครับ” ผมที่กำลังดูบอลเพลินๆ โดยลืมไปเลยว่ามีรุ่นพี่อีกคนยืนอยู่ข้างๆ กัน



ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้แฮะ ไม่เคยเห็นหน้า



สงสัยคงเป็นรุ่นพี่ปีสูงที่ลงมาช่วยน้องๆ



“แล้วเชียร์ใครดี” ผมถามย้อนกลับไป

“อืม พี่เชียร์นิตินะ พอดีเพื่อนพี่เขาอยู่คณะนั้น”

“งั้นผมเชียร์วิศวะ”

“ทำไมล่ะ นิติดูจะฟอร์มดีกว่านะ”

“เห็นไอ้คนนั้นไหม...น่ะๆ” ผมชี้นิ้วไปทางบีม

“เพื่อนน้องมุ่ยเหรอ”

“อือๆ ตอนแรกก็ว่าจะไม่เชียร์แล้ว แต่เดี๋ยวมันน้อยใจ เชียร์ให้สักหน่อยก็ได้ ฮ่าๆ” ว่าแล้วก็ยกกล้องขึ้นถ่าย บีมแม่งหล่อจริงว่ะ ใบหน้าเคร่งเครียดจากเกมการแข่งขันที่แสดงออกมาส่งผลให้เจ้าตัวดูฮอตขึ้นกว่าเดิม

“พี่เห็นน้องมุ่ยอยู่กับบีมบ่อยๆ ...”

“อ่า...ก็ใช่”

“ทั้งที่อยู่คนละคณะน่ะเหรอครับ”

“เกิดเรื่องนิดหน่อยอะ บีมเลยต้องมารับส่งผม- เชี่ย! ลูกเมื่อกี้เกือบเข้า! โอย...ใจกู”

“เอ่อ...น้องมุ่ย ถ้าพี่จะขอ-”

“เหี้ย!!! บีมจุกไหมวะ!? เต็มๆ ท้องเลย”

“คือพี่อยากขอละ-”

“ว้าก!! จะเข้าแล้วๆ! ม่ายยยยยยยย!”

“...เอ่อ งั้นพี่ไปตรงนู้นนะครับ”

“อือๆ ไปดิ เดี๋ยวผมถ่ายฝั่งนี้เอง” ผมไม่ได้ฟังที่พี่คนข้างๆ พูดเท่าไหร่ เพราะมัวแต่จดจ่อแล้วก็ลุ้นไปกับการแข่งตรงหน้า ได้ยินแว่วๆ ว่าจะไปไหนนี่แหละ ผมยกกล้องขึ้นถ่ายบีมอีกครั้งในจังหวะที่วิศวะกำลังบุก ตอนนี้ใบหน้าของบีมเห่อแดงขึ้นมาเนื่องจากความร้อนระอุในสนาม ผมไม่ลืมที่จะจับภาพตอนเขาเสยผมขึ้นลวกๆ คิ้วขมวดน้อยๆ เหมือนรำคาญเส้นผมของตัวเอง



บีมทำไมไม่มัดผมวะ ปรกหน้าปรกตาหมดแล้ว



แต่แม่ง...



ทำไมลุคนี้ของมันเกรี้ยวกราดจังวะ



เป็นผู้ชายแบดๆ



ผมเบนกล้องตัวเองถ่ายคนอื่นบ้างจนพอใจก็กลับมาที่บีมอีกครั้ง ว่าไม่ได้นะครับ คนนี้เขาขึ้นกล้อง ใครก็อยากจะเก็บรูปให้ได้เยอะๆ



หือ?



บีมหันมาทางผม แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มมุมปากประจำตัว ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ล้อเลียนมาให้อีก



ยัง...ยังทำเป็นเล่น!



เดี๋ยวก็แพ้หรอกบ่านี่!



“หัน...กลับ...ไป...” ผมอ้าปากพูดโดยไม่ออกเสียงให้บีมอ่านออกได้ชัดที่สุด พลางทำไม้ทำมือให้โฟกัสกับการแข่ง บีมก็เอาแต่ยิ้มอะไรของมันก็ไม่รู้ ถ้าแพ้นะมึง กูจะหัวเราะให้!



บีมกวักมือเรียกความสนใจจากผม ก่อนจะเอามือป้องปากแล้วพูดโดยไม่มีเสียงออกมา



โห กูก็สายตาดี๊ดี เพ่งจนลูกตาจะหลุดออกมาแล้วเนี่ย



ไหนมันว่าไงนะ?



“เชียร์...”



“ด้วย...”



“นะ...” จบด้วยรอยยิ้มกว้าง สดใสขนาดพระอาทิตย์ยังต้องยอมแพ้ แล้วเจ้าตัวก็หันไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ เหลือแค่ผมที่ได้แต่ยืนงงในดงแผ่นป้ายโฆษณากับความร้อนที่แผ่กระจายขึ้นมาบนใบหน้าที่ไม่ได้มาจากสภาพอากาศ...



...พร้อมเสียงหัวใจตัวเอง



ตึกตัก...



...ตึกตัก



คือ...



...ไม่เห็นต้องบอก



นี่ก็เชียร์บีมคนเดียวอยู่แล้ว...


.

.

.


“...และก็หมดเวลาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ! จบเกม วิศวะชนะนิติไปแบบฉิวเฉียดสองประตูต่อหนึ่ง โดยลูกแรกนะครับ ยิงโดย...”



“ไอ้เหี้ย! กูลุ้นฉี่แทบราด แม่งสูสีชิบหาย! กูนึกว่าจะเสมอกันแล้ว” หลังจากจบเกมไปได้สักพัก ก็จะมีพิธีปิดผมกับเพื่อนในชมรมคนอื่นพากันเดินเก็บภาพบรรยากาศจนเสร็จสิ้นพิธี เจ้จิ้บเรียกประชุมเรื่องรูปที่ถ่ายมา ผมกับไอ้เจ๋งนั่งฟังไปตาก็จะปิดไปด้วย เพราะตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่า ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ง่วงก็ง่วง



เห็นว่ามีกาดในมอ ผมว่าผมไปเดินซื้อของกินนิดหน่อยแล้วกลับเข้าหอเลยดีกว่า อืมๆ



“น้ำไหมครับน้องมุ่ย” ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นพี่สโมยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ เออ พี่เขาก็อยู่ชมรมนี้ด้วยนี่หว่า แต่ไม่ยักกะเห็น สงสัยไปคุมเด็กที่แสตนด์

“ขอบคุณ...” ผมรับมาพลางก้มหัวให้ เจ้าตัวยิ้มรับ แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“เหนื่อยน่าดูเลยเนอะเรา”

“อือ อะ แดกไปมึงอะ หิวน้ำไม่ใช่รึไง” ผมยื่นขวดน้ำเปล่าให้ไอ้เจ๋งที่บ่นอยากดื่มน้ำแต่ขี้เกียจเดินไปซื้อ

“เอ่อ...ผม...ขอนะครับพี่แดน” เพื่อนผมทำสีหน้าลำบากใจมองไปทางพี่สโม

“อ่อ อึ้ม ดื่มเลยครับ”



หรือผมจะกลับหอเลยดีวะ ง่วงจริงๆ นะครับเนี่ย



ระหว่างที่นั่งตาปรือ ผมก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างบริเวณแก้ม เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นพี่สโมคนเดิมยื่นมือมาแตะที่หน้าผม



“ทำไรอะ” ผมดันมือพี่เขาออก พลางมุ่ยหน้าถามอย่างไม่ชอบใจ ตกใจเลยไอ้บ้า

“พี่เห็นมีเศษใบไม้ติดอยู่น่ะครับ เลยจะปัดออกให้...ขอโทษทีนะครับ” พี่สโมยังยิ้มให้เหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่เป็นไร ผมแค่ตกใจ ทีหลังอย่าทำงี้อีกนะพี่ เดี๋ยวเผลอเหวี่ยงหมัดใส่ ผมเป็นคนตกใจง่าย” ผมแบมือขอทิชชู่จากไอ้เจ๋งมาเช็ดหน้าตัวเอง แต่พี่แกดันจับข้อมือผมไว้ก่อน



เป็นหยังบ่านี่



“ถ้าไม่รังเกียจ ให้พี่เช็ดให้ไหม” ผมชะงักเล็กน้อย ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พี่แกก็หยิบทิชชู่ในมือผมแล้วกำลังจะเช็ดให้

“เห้ย ไม่ต้อ-”

“น้องมุ่ย”



บะ...บีม!



“ทำอะไรครับ”





**********************************

ขอโทษนักอ่านทุกท่านที่มาช้ามากกกกกกกนะคะ นักเขียนเพิ่งสอบมิดเทอมเสร็จ ก่อนหน้านั้นเลยชัดดาวน์ตัวเองอยู่กับหนังสือไม่ได้มาต่อให้เลย ขอโทษจริงๆค่ะ

เพื่อความต่อเนื่องนักอ่านทุกท่านสามารถรอให้เรื่องจบแล้วค่อยกลับมาอ่านได้นะคะ เรากลัวทุกคนค้าง เพราะเราเขียนช้ามากจริงๆ หรือจะคอยเป็นกำลังใจให้เราในแต่ละตอนก็ได้ค่ะ งื้อออออ เราคิดถึงทุกคนมากกกกกกกกก จากนี้จะมาทุกอาทิตย์ให้ได้เลยงับ เย่!

สุดท้ายนี้ขอความคิดเห็นเป็นกำลังใจให้เราคนละหนึ่งความคิดเห็นน้า

เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดจริงๆสำหรับนักเขียนคนนึง

รักทุกคนนะค้า <3 <3
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนพิเศษ 3 ควันหลงสงกรานต์ (UP) 22/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 22-04-2019 03:03:27
ควันหลงสงกรานต์


วันที่ 14


“บีมโว้ย!” เสียงคนตัวเล็กแว่วเข้ามาในห้อง สงสัยกลับมาแล้ว ว่าจะโทรตามอยู่พอดี หายไปได้สองชั่วโมงกว่าไอ้ตัวดีเพิ่งกลับมา ส่งข้อความไปไม่ตอบผมก็เป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไร

เมื่อตอนสายๆ น้องมันออกไปซื้อปืนฉีดน้ำกับเพื่อน กะว่าเย็นนี้จะไปเล่นสงกรานต์กันที่ถนนในเมือง ผมที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ จึงตัดสินใจเดินออกไปหา

“ว่าไง...” ผมมองน้องมุ่ยที่กำลังง่วนอยู่กับข้าวของพะรุงพะรัง วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโทรทัศน์

“ซื้อเสื้อลายดอกมาให้...ว้าย! โป๊!” น้องยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทางสะดีดสะดิ้ง แกล้งทำตลกกลบเกลื่อนทั้งที่หน้าแดงก่ำอย่างกับมะเขือเทศสุก

“เห็นอยู่ทุกวัน ตัวยังจะอายอีกเหรอ” ผมก้าวเข้าไปหามุ่ยไม่ช้าไม่เร็ว เจ้าตัวถอยหนีกระโดดไปหลบตรงโซฟา โผล่มาให้เห็นแค่เหม่งน้อยๆ กับตาเล็กๆ

“อะไร้! บีมแม่ง ไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกมาวะ”

“ก็น้องเรียกไม่ใช่รึไง” ผมเดินเข้าไปถึงเจ้าตัวในที่สุด ระหว่างเรามีแค่โซฟากั้นเท่านั้น

“ก็ไม่ใช่เรื่องที่บีมจะต้องออกมากับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไหมอะ”

“เขินแล้วขี้โวยวายจัง” ผมขยี้ผมนุ่มอย่างมันเขี้ยว มุ่ยลุกขึ้นยืนบนโซฟาทันที ทำให้เขาสูงกว่าผมนิดหน่อย แต่น้องดูจะภูมิใจมาก

“ฮ่า! เค้าสูงกว่าตัวแล้ว ฮี่ๆ”


อ่า น่ารัก...


“เจ้าคนแคระ! ตัวแม่งเตี้ยว่ะ ชอบอะ รู้สึกเหนือกว่ายังไงไม่รู้ ฮ่าๆ”


น่ารัก น่ารัก...


“รู้งี้ดื่มนมเยอะๆ ก็ดีหรอก เออ เฮียครามแย่งดื่มไง เดี๋ยวกลับบ้านคราวนี้ฟ้องพี่พระนายดีกว่า อิอิ”


น่ารัก น่ารัก น่ารัก...


“เออใช่ เค้าซื้อเสื้อลายดอกมาให้ เอาไปใส่- วะ เหวอ!” ผมกวาดแขนอุ้มน้องมุ่ยโดยไม่ทันให้น้องตั้งตัว ทำเอาน้องมันโวยวายขึ้นมาเสียงดังลั่น

“บีม!! ไอ้บ้า เล่นอะไรเนี่ย เดี๋ยวเค้าตก ไม่...ผ้าเช็ดตัวมึง...ผ้ามึ้ง! บีม!” คนในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลักพลางทุบบ่าผมไปมา แต่ผมยังไม่ยอมปล่อย และเดินเร็วๆ ไปยังเคาเตอร์โซนครัว เอาจริงๆ ถึงน้องมันจะผอมแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่หนัก


ตุบ!


“เล่นอะไรเนี่ย” พอวางน้องลงเสร็จ ไอ้ตัวดื้อก็ฟาดมือลงกับแขนผมอย่างแรง ใบหน้าเล็กๆ แดงแล้วแดงอีกลามลงมาบริเวณคอ

“นั่นสิ เล่นอะไรดี” ผมส่งยิ้มให้มุ่ยพลางขยับเข้าไปใกล้ ตอนนี้น้องมุ่ยอยู่สูงกว่าผมเล็กน้อยทำให้เจ้าตัวต้องก้มหน้าลงมาคุยกัน ผมอาศัยจังหวะที่น้องมันกำลังโวยวายยื่นมือสอดเข้ากอดเอวบางแล้วดันน้องเข้ามาใกล้ให้ระหว่างเราชิดกันมากกว่าเดิม ด้วยความกลัวตกมุ่ยเลยเผลอใช้สองขาเกี่ยวเข้ากับเอวผม สองแขนโอบรอบคอไว้ด้วยแววตกใจ

“บะ...บีม”

“หืม...ครับ”

“ไม่ทำตาวิบๆ อย่างนั้นสิ อื้อ!” ผมฝังใบหน้าตัวเองกับซอกคอหอมกรุ่นอย่างรวดเร็ว ใช้ริมฝีปากขมเม้มรอยเดิมทีเริ่มจางหายให้ชัดขึ้น

กลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่เจ้าตัวชอบใช้ลอยเข้าจมูกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้อยากจะชิมและสัมผัสผิวกายคนตรงหน้ามากขึ้นอีกเท่าตัว


อ่า...เผลอทำอีกรอยซะแล้ว


โดนน้องมุ่ยด่าแน่เลย


“ไอ้...” ฝ่ามือจิกเกร็งเข้ากับบ่าผมอย่างแรง จนผมรู้สึกแสบนิดๆ แต่แค่นี้ ทนได้ครับ

“พะ...พอแล้ว!” ผมผละออกมาแล้วเงยหน้าใบหน้าแดงก่ำ ดวงตารื้นน้ำใสๆ กับริมฝีปากที่เม้มเน้นก่อนจะขบกันเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว


ใครจะทนไหววะ กูถามจริง


ไม่สิ ไม่ต้องมีใครทน


เพราะน้องมุ่ยตอนนี้ จะมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็น


“...ฮือ กูจะไปเล่นสงกรานต์”

“ก้มหน้ามาหน่อย เร็ว” ผมใช้ปลายนิ้วตัวเองไล้แก้มแดงๆ ลากผ่านบริเวณหางตาอย่างหลงไหล กดย้ำเบาๆ กับริมฝีปากนุ่มอย่างสื่อความหมาย ชิมกี่ครั้งก็ยังหวานหอมเหมือนกับเยลลี่ที่น้องชอบกิน ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นด้วยแขนข้างเดียว รู้สึกได้ว่าน้องตัวสั่นนิดๆ พอตวัดสายตาขึ้นมองคนตัวเล็ก ก็พบว่ากำลังมองผมอยู่เช่นกัน

“...สงกรานต์กู” ปากบางเบะลงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ผมหัวเราะน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู ลากมือผ่านซอกคออุ่นร้อนไปยังท้ายทอย นวดคลึงเบาๆ ให้น้องผ่อนคลายอาการเกร็งลง


มุ่ยยังคิดว่าจะได้ไปเล่นสงกรานต์อีกเหรอ


เฮ้อ


“จูบหน่อยครับ” ผมส่งสายตาเป็นเชิงอ้อน ตัวน้อยเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจ แต่ก็ยอมก้มลงมาหากันโดยดี จนสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม

ไม่นานนัก เพียงแค่สัมผัสยังไม่ได้รุกล้ำอะไรไปมากกว่านี้ น้องก็ผละออกโดยใช้สองมือยันกับแผ่นอกผมไว้

“คำถามชิงรางวัล...” คนตรงหน้าพึมพำออกมาเสียงเบา

“หืม...” ผมฝังใบหน้าตัวเองเข้ากับบริเวณไหปลาร้าแล้วกดจูบย้ำๆ

“ชิงรางวัลหนึ่งล้านบาท”

“ยื้อเวลาเหรอ...” อดยิ้มไม่ได้กับความตลกของคนในอ้อมกอด เวลานี้ก็ยังจะเล่นนะ

“คำถามคือ เค้าจะได้ไปเล่นน้ำวันนี้หรือไม่”

“...”

“กอไก่ ไม่มีทาง... ขอไข่ มึงยังคิดจะไปอีกเหรอ... คอควาย ไม่ได้แน่นอนไอ้คนโง่ ...”

“ให้เค้าตอบเหรอ” ผมผละออกมาแล้ว กดริมฝีปากตัวเองแนบชิดกับปากนุ่มสีแดงระเรื่อของน้อง มือข้างที่จับเอวบางไว้เริ่มไล้ผ่านแผ่นหลังเนียนมายังหน้าท้องแบนราบ น้องมุ่ยตัวกระตุกอย่างตกใจ เสียงหอบหายใจแรงและหนักขึ้น ผมจึงหยุดมือ แล้วลากผ่านไปจูบซับที่เปลือกตา ปลายจมูก แก้มนุ่มทั้งสองข้างและปลายคางอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน

“เค้าเนี่ยแหละ...”

“ตัวตอบข้ออะไร”

“งองู...”

“หืม?”

“ถูกทุกข้อ”


นั่นสินะ


“คำตอบนั้นเป็นคำตอบที่...”

“...”

“ถูกต้องนะครับ : ) ”




แถมอีกนิด


วันที่ 16



“ปะ ไปกัน เหี้ย!”

“อะไร”

“น้อง...ตัวแต่งอะไรของตัวเนี่ย” ผมเป็นอันต้องสะพรึง เมื่อออกจากห้องนอนมาพบกับโจร ไม่ใช่สิ...น้องมุ่ย ยืนจังก้าถือปืนฉีดน้ำอันใหญ่พร้อมรบอยู่หน้าห้องพอดี

“แดดมันแรง”

“ตัวเว่อไปรึเปล่า เค้าว่า-”

“ก็ปกตินี่” ผมทำหน้าไม่ถูกกับคำว่าปกติของน้อง แม่งดูสภาพน้องตอนนี้ เสื้อยืดสีดำพร้อมด้วยปลอกแขนสีเหมือนเสื้อปิดยาวจนถึงข้อมือบาง กับกางเกงยีนส์ขายาว สีเข้ม เงยหน้าขึ้นมองอีกทีเจอกับหมวกไอ้โม่งที่ปิดมาถึงช่วงคอและเจาะรูแค่ช่วงตา ไม่วายยังสวมแว่นกันแดดอันใหญ่เกือบเท่าหน้า


มึงจะไปเล่นน้ำหรือไปปล้น กูถามจริง น้องเอ้ย


“เค้าว่าถอดไอ้โม่งไหมตัว”

“เค้ากลัวดำ เดี๋ยวผิวไหม้”

“เอ่อ...”

“แล้วบีม...ไปเปลี่ยนเสื้อ!”


หือ?


“ใส่บางขนาดนั้น จะเอาหุ่นกากๆ ไปโชว์ใคร ห้ะ! เสื้อสีดำไม่มีใส่มั้ง หรือยังไง? แล้วกางเกงมันจะขาดไปไหน มึงจะไปเล่นน้ำหรือจะไปขอทาน ห๊า!” ผมอึ้งกับการแร็ปของน้อง พลางก้มลงสำรวจเสื้อผ้าตัวเอง เอ่อ ก็ไม่ได้บางขนาดนั้น แค่เป็นเสื้อยืดสีขาวธรรมดา กางเกงยีนส์ก็ขาดธรรมดา

“เค้าว่ามันก็ไม่ขนาดนั้นนะ”

“จะไปเปลี่ยนดีๆ รึจะไปด้วยเลือด หยาดเหงื่อและน้ำตา” ขนาดไม่เห็นหน้ายังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวแผ่ออกมา ไอ้ชิบหาย กูจะโดนโจรฆ่าไหม

“แล้วตัวจะเปลี่ยนด้วยเปล่า” ผมยังไงก็ได้นะ แต่ขอถามน้องมุ่ยอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“กูโอเคแล้ว ปกติดี” น้องยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินไปนั่งรอที่โซฟาด้วยมาดโจรห้าร้อย


อืม


ครับ






******************************

ไม่ลับลู้!!!!!!! /วิ่ง
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 18 สับสน (UP) 23/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 23-04-2019 03:19:20
บทที่ 18

สับสน



“น้องมุ่ย”


บะ...บีม!


“ทำอะไรครับ” คนตัวสูงหยุดยืนห่างกับผมไม่มาก ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ผมรู้สึกได้ถึงรังสีทึมๆ แผ่ออกมาจากตัวเขา

“หื้อ! ทำอะไร เปล๊า!” ผมลุกพรวดขึ้นทันทีเหมือนติดสปริง วางมือที่กำลังจะแย่งทิชชู่จากพี่สโม ละล่ำละลักขออนุญาตเจ้แล้วรีบก้าวเดินเข้าไปหาบีม

“ทำไมเสียงสูง” บีมระบายยิ้มจางๆ พลางเอียงคอถาม

“เห้ย เปล่าเสียงสูง ปกติทั้งนั้น” ผมสั่นหัวปฏิเสธระรัว


เออ แล้วกูจะเสียงสูงทำไมวะ


ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย


“น้องมุ่ยหวัดดีค้าบ” คนหัวเทาเพื่อนบีมยกมือขึ้นทักทาย

“อือ” ผมพยักหน้ารับ แต่เขาก็ยังส่งยิ้มมาให้ มองค้างอยู่อย่างนั้น กระซิบกับเพื่อนคนอื่น มองผมสลับกับบีมไปมาแล้วหัวเราะกันคิกคัก

“บีม เพื่อนมึงนินทากู”

“เฮ้ย! พวกพี่เปล่า” เพื่อนบีมโบกมือส่ายหน้ากันเป็นพัลวันเหมือนกลัวผมเข้าใจผิด

“มองมาทางนี้แล้วกระซิบกันทำไมอะ นิสัยไม่ดีว่ะ” ผมชักสีหน้าใส่อย่างไม่ชอบใจ ทำเอาหน้าเจื่อนกันไปหมด

“เอ่อ พวกพี่ขอ-”

“จะนินทาก็ทำลับหลังดิ ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย” ทำไมบีมคบเพื่อนไม่ฉลาดเลยวะ เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก คือการจะนินทาคนเนี่ยนะครับ ต้องแอบคุยกันอย่าให้คนอื่นรู้ ถ้าเขารู้ขึ้นมาเดี๋ยวจะโดนยำตีนไม่รู้ตัว


เตือนแล้วนะครับ จากคนมีประสบการณ์


“แล้วทำอะไรกันอยู่” บีมถามขึ้น

“เจ้เรียกประชุมอะ” ผมบุ้ยปากไปข้างหลัง บีมพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเจ้าตัวจะวางแขนหนักๆ พาดลงกับบ่าของผม

“อี๋ อาบน้ำรึยังเหอะ เหม็นเหงื่อคนเล่นบอล” ผมเงยหน้าย่นจมูก แสร้งโบกมือไปมาทำเหมือนว่าได้กลิ่นจริงๆ

“มาดม”


ฟึ่บ!


แอ่ก!


บีมกดหัวผมเข้ากับแผ่นอกของตัวเองอย่างรวดเร็วจนจมูกผมบี้แบนแนบไปตามกัน


หือ กล้ามมันแน่นจังวะ


“บีม!” ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขน พยายามจะถอยออกมาแต่เหมือนกำลังสู้อยู่กับกำแพงเหล็ก ไอ้บ้าเอ้ย แรงเยอะชิบ!

“เอ้า ลองดมดูดิ” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ กูล่ะอยากทุบมันให้ตัวเขียว แม่งชอบแกล้งอะ คิดว่าตัวเองตัวใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอวะ

“ฮึบ...ปล่อยเลย!” ผมรวบรวมกำลังอันน้อยนิดของตัวเองแล้วผลักบีมออก ไอ้คนขี้แกล้งเซถอยไปสองสามก้าว แต่ผมยังไม่พอใจ ชกเข้าที่ไหล่อีกรอบอย่างหมั่นไส้ บีมยกมือสองข้างขึ้นยอมแพ้ แต่ยังไม่วายก้าวเข้ามาประชิดตัวผมอีกครั้ง ไม่เข็ดสินะ

“บีม! เดี๋ยวเตะเลยนะเว้ย!”

“ฮ่าๆ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว” ทั้งบีมกับเพื่อนพากันหัวเราะให้กับท่าทางของผม นี่กูหงุดหงิดนะ! ขำอะไรกัน

“ไม่ต้องมาจับ” ผมดึงแขนตัวเองกลับเมื่อบีมยื่นมือมากำลังจะคว้าต้นแขนผมไว้

“ยืนดีๆ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”

“ฮึ่ย”

“สรุปหอมไหม”

“ไม่รู้! ไม่บอก!”

“งอนเหรอเราอะ” ไอ้คนขี้แกล้งก้มหน้าลงมาใกล้ บีมเม้มปากแน่นพลางย่นจมูก นิ้วเรียวยาวจับเข้าที่คางของผมแล้วส่ายไปมา

“อะ...อะไร มั่วแล้ว พูดไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง ปล่อยเลยๆ” ผมผลักมันออก แล้วถอยกรูดออกมาอย่างตกใจ ป้องกันอาการหัวใจวายที่กำลังกำเริบขึ้นอย่างหนักsoj;’


แค่นี้ มึงก็เต้นอย่างกับกลองชุด ไอ้หัวใจบ้า


ความจริงผมพูดเล่นไปอย่างนั้น เพราะบีมอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่ใช่ชุดนักกีฬา เสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดากับผมยุ่งๆ ดูเหมือนว่าจะสระผมมาเพราะยังมีความชื้นอยู่ตรงปลายผมให้เห็น เมื่อกี้ตอนอยู่ใกล้ ก็ได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ด้วย

“เจ็บนะน้องมุ่ย”

“สมน้ำหน้า ไอ้บ้า” ผมแลบลิ้น เตรียมจะเดินกลับไปที่เดิม คอเสื้อดันถูกดึงไว้มาพร้อมกับแขนที่วางพาดลงมาอีกครั้ง

“บีม!”

“ไปด้วยกัน”

“ไม่เอา บีมจะไปไหนก็ไปดิ คือกูประชุมอยู่เว้ย” ผมตีหน้ายุ่งตอบ แต่บีมก็ทำมึนไม่รู้ไม่ชี้

“เอาน่าๆ พวกพี่กับจิ้บสนิทกัน ไม่เป็นไรหรอก” คนตาตี่โผล่มาแย่งซีนพลางตบปุๆ ที่บ่าคนตัวสูง

“ปะๆ ก่อนที่ใครบางคนจะหึ- อุ้บ! จะโมโหจนเป็นบ้าไปซะก่อน คิคิ” ผมมองกลุ่มเพื่อนบีมที่หัวเราะคิกคักอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรวะ...”




“เคๆ ตกลงตามนี้นะทุกคน กลับบ้านได้จ้า” พอเดินกลับไป สมาชิกชมรมก็ประชุมเสร็จกันพอดี ง่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“ไอ้เชี่ยมุ่ย...เอ่อ...พี่ๆ หวัดดีครับ” เจ๋งเดินเข้ามาหาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผมอยู่กับใคร

“เออดีๆ ประชุมเสร็จแล้วเหรอวะ”

“ใช่ๆ เฮ้ย! ผมลืม ยินดีด้วยพี่! พวกพี่แม่งสุดยอดอะ ช็อตนั้นยังติดตาอยู่เลย สุดยอด!”


เจ๋ง...อย่าลืมเพื่อนที


“อยู่แล้วว่ะ ไอ้น้อง ฮ่าๆ” หลังจากนั้นก็เป็นมหกรรมคุยโวเรื่องลูกเตะอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่ทันฟัง เพราะมัวแต่ตีกับบีมอยู่

“แขนมึงหนักอะรู้ปะ” ผมดึงหน้าไม่พอใจใส่

“อืม เมื่อกี้คุยกับใคร” อ้าว เปลี่ยนเรื่องเฉย

“อะไร”

“ทำไมให้เขาจับแก้ม” บีมกระชับไหล่ดึงตัวผมเข้าหา แนบสนิทชนิดที่ว่าสัมผัสได้ถึงลมร้อนๆ แถวซอกคอ

“อะ...อะไร” นี่คนหรือกำแพงบ้าน ดันไม่ออกเลยเว้ย

“น้องมุ่ย...”

“กะ...ก็ไม่มีอะไร พี่เขาแค่จะเช็ดหน้าให้ นี่บอกไม่ต้อง! บอกแล้วนะ! แต่พี่เขายังยื่นมือมาใกล้ ก็เลยเอ๊ะ! มือกูก็มีนี่หว่า เฮ้ยกูเช็ดเองได้ กำลังจะหยิบจากมือพี่เขา บีมก็มาพอดี ไม่มีอะไรเล้ย!”


เชี่ย เมื่อกี้กูแร็ป


“หึๆ โอเค เข้าใจแล้วครับ” บีมดูจะอึ้งไปหน่อยดูได้จากตาคมที่เบิกขึ้นนิดๆ ก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะออกมาพลางลดมือข้างที่โอบไว้ลง


ฟู่ว~


ธัมโม สังโฆ


หน้าบีม อย่างนี้เลย! (ทำมือประกอบ) อีกนิดจมูกมันชนแก้มผมแล้ว!


แหม่


ให้กูหายใจหายคอหน่อยอะไรหน่อย...


“อ้าว! บีม” เจ้จิ้บเดินเขามาทักบีม

“ว่าไง ยัยคนหน้าเลือด” บีมยักคิ้วทำหน้ากวนๆ กลับไป

“อะไรยะ ปรักปรำกันชัดๆ เรายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง”

“ใช่ ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่บอกกับคนในทีมว่าถ้าชนะไอ้บีมจะเลี้ยงเหล้าเอ้ง” ผมมองเพื่อนบีมที่โผล่หน้าขึ้นมาคุยด้วยสลับกับเจ้จิ้บไปมา

“อะไร้ เรื่องจริงทั้งนั้น”

“กูจะบอกให้พี่ต้าหากิ้ก- โอ๊ย! เจ็บนะโว้ย! นี่มือรึตีนวะ” เจ้แกถลาเข้าไปเตะหน้าแข้งคนพูดอย่างแรง และยังดูเหมือนจะซ้ำอีกรอบ จนผมกับไอ้เจ๋งต้องรีบเข้าไปรวบตัวแกไว้

“ฉันจะเตะให้ขาแกขาดเลยไอ้นิว! พูดจาอัปมงคล!” เจ้ชี้หน้าคาดโทษคนชื่อนิวไว้

“เอาน่า ถ้าพี่ต้ามีกิ้ก กูว่าให้หิมะตกยังจะง่ายกว่า ฮ่าๆ” คนหัวเทาพูดขึ้น ทำเอาคนอื่นรอบๆ หัวเราะกับคำพูดนั้น

“เออ ก็จริง”

“ฮ่าๆ”

ผมกับไอ้เจ๋งมองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาคุยกัน

“มายืนใกล้ๆ” บีมแตะแขนผมเป็นเชิงให้ปล่อยตัวเจ้จิ้บ ผมพยักหน้าแล้วกลับไปยืนข้างใกล้บีม คนหน้ายิ้มก็ยกแขนวางพาดลงกับบ่าผมเหมือนเดิม

“ไอ้ชิบหายนี่ก็ยืนเบียดน้องมันอยู่นั่นแหละ มุ่ยมันก็อยู่ตรงนี้ไหมไอ้สัด” เพื่อนบีมอีกคนที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นมา ทำให้ทุกสายตามองมาที่ผมกับบีมทันที

“โอ้ยยยย ก็มันหวงของมัน มึงก็พูดไปไอ้ปั้น ไม่เห็นเหรอตอนน้องมุ่ยโดนแต๊ะอั๋ง เพื่อนมึงแทบอยากจะเอาหมัดไปกระแทกหน้าเดี๋ยวนั้น”

“ฮ่าๆ”


พูดเรื่องอะไรกันวะ ผมงงไปหมดแล้ว


จึกๆ


ผมกระตุกแขนเสื้อบีม พลางมองมันด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม บีมเลิกคิ้วมอง แต่มันก็ไม่พูดอะไร กลับยกมือขึ้นขยี้หัวผมแทน


“น้องมุ่ย” เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง ผมจึงหันไปมอง ก็พบว่าเป็นพี่สโมคนที่จะเช็ดหน้าให้ผมคนนั้น

“พี่แดน” เจ้จิ้บเดินเข้าไปหาพี่แกคุยกันเล็กน้อย แล้วเดินกลับมาพร้อมกัน

“พี่แดน นี่เพื่อนจิ้บเองค่ะ นิว ก้าน ปั้น แล้วก็บีม ส่วนพวกแก นี่พี่แดนเป็นพี่สโม อยู่ปีสาม ศิลปกรรม คณะเดียวกับเจ้ามุ่ยมัน” เจ้แนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักกันและกัน


อ๋อ


ก็นึกตั้งนานว่าพี่เขาชื่ออะไร


พี่แดนไงไอ้มุ่ยพี่แดน เขาเป็นพี่สโมมึง จำไว้ไอ้คนกากเอ้ย


“หวัดดีครับพี่”

“ครับ” พี่แดนยิ้มรับ


...


ทำไมบรรยากาศมันมาคุแปลกๆ วะ ผมรู้สึกได้

ทุกคนก็ยิ้มคุยทักทายกันกันเป็นปกตินี่หว่า แล้วไอ้ความรู้สึกเสียวสันหลังนี่มันคืออะไร หันไปจะถามไอ้เจ๋งมันก็ยกมือขึ้นเป็นปางห้ามถาม ผมเลยจะสะกิดคนข้างตัวแทน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นบีมมีสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาจดจ้องไปที่พี่สโม (ลืมชื่อพี่เขาอีกแล้ว) พอหันไปทางพี่คนนั้นก็ปรากฏว่าแกก็มองกลับมาที่บีมเหมือนกัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มแปลกๆ

ระหว่างทั้งคู่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาจากตาประทะกันดังเปรี้ยะๆ เลย ยังไงไม่รู้ ยิ้มให้กันนะ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูสยองๆ


“บีม” ผมกระตุกแขนเสื้อคนตัวสูง

“ครับ...” รับคำแต่ยังไม่ละสายตาจากพี่แก ผมมองเลยไปยังคนอื่นฟๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ไม่มีใครพูดอะไร จนผมเริ่มจะหงุดหงิดกับความอึดอัดบ้าๆ นี่ เพื่อนตาตี่ก็ยื่นหน้ามากระซิบให้ผมฟัง

“นี่คือการต่อสู้ครับน้องมุ่ย” พูดจบก็หัวเราะคิกคักจนตาปิด สู้อะไรของเขาวะ?

“เล่นอะไรกัน” ผมถามกลับ

“เฮ้อ ไม่เป็นไรนะครับน้อง เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อยู่แล้ว” เพื่อนบีมแสดงสีหน้าเห็นใจก่อนจะผละตัวกลับไป


ไอ้สัด กูงงกว่าเดิมอีก


เสืออะไรวะ?


อย่าบอกนะว่ากำลังส่งกระแสจิตนัดกันไปดูเสือที่สวนสัตว์?


เฮ้ย! ผมก็อยากไปว่ะ


“เอาล่ะๆ เลิกเขม่นกันได้แล้วจ้า น้องมันงงหมดแล้วจ้าแม่ แยกย้ายกันกลับบ้านพักผ่อนได้แล้วจ้า บายพวกแก แล้วเจอกันที่คณะ” เจ้จิ้บตบมือแปะๆ เดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างบีมกับพี่สโม เหมือนบรรยากาศจะผ่อนคลายลงนิดหน่อย

“เออๆ กลับๆ กูเหนื่อยจะตายห่าละ ไปไอ้บีม”

“ไว้เจอกันนะครับน้องมุ่ย” พี่สโมคนเดิมสบสายตาพลางยิ้มให้ ผมพยักหน้ารับคำ ก่อนที่พี่แกจะเดินกลับไปกับเจ้จิ้บ

หมายถึงเจอกันที่สวนสัตว์ใช่ไหมครับ?


ผมอยากไปดูเสือเหมือนกันนะ แล้วจะไปกันตอนไหนอะ


“อื้อ!” ผมสะดุ้งโหยง เมื่อบีมยกมือหนาขึ้นมาบีมแก้มผมจนปากยู่ เจ้าตัวขมวดคิ้วมองเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“อ่อยอิ อีม!” ผมตีมือให้มันปล่อย คนอื่นมองหมดแล้ว! เป็นหยังของมัน บ่านี่!

“หมั่นไส้ ไปยิ้มให้มันทำไม” ในที่สุดบีมก็ปล่อย แต่ยังไม่วายดึงผมเข้าไปให้ชิดกับตัวมัน ทำหน้าโหดใส่กูด้วย แปลกๆ นะเนี่ย

“ยิ้มไร”

“ไอ้พี่สโมคนนั้น” บีมจ้องผมอย่างไม่ลดละ มึงถามคำถามอะไร เอางี้ก่อน กูงงโว้ย!

“เชี่ยบีม นั่นพี่ปีสาม เรียกเขาดีๆ หน่อยไอ้ห่า”

“หึ มึงไม่เห็นหน้ามันเมื่อกี้รึไง” มันเสยผมขึ้นลวกๆ คิ้วขมวดเป็นปม

“เออ กูรู้ มึงก็ใจเย็นหน่อย ดูหน้าไอ้น้องมุ่ยดิ เอ๋อชิบหาย ฮ่าๆ” ผมมองบีมที่กำลังคุยกับเพื่อนสลับไปมาด้วยความงงงวย

“น้องมุ่ยไม่ต้องงง ก็อย่างที่พี่บอกไง นั่นแหละ” คนตาตี่ขยิบตาให้หนึ่งที เป็นอันรู้กัน


อ๋อ


ก็นึกว่าเรื่องอะไร


“แล้วบีมจะไปตอนไหนอะ ช่วงนี้กูว่างเยอะอยู่ ขอไปด้วยคน”

“ไป? ไปไหน?”

“ก็ที่จะไปดูเสือที่สวนสัตว์ไง”

“กู...ไปดูเสือ?”

“เออ อะไรของบีมวะ ก็เมื่อกี้เพื่อนตาตี่บอกว่ามึงกับพี่สโมจะไปดูเสือด้วยกัน กูก็อยากเห็น เลยจะไปด้วยเนี่ย บีมงงอะไรวะ”


...เงียบ


เงียบกันทั้งบาง


“ฮ่าๆ โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ช่วยด้วย! กูขำ ฮ่าๆ ฮ่าๆ”

“มุ่ยเพื่อน ฮ่าๆ อะไรของมึง ฮ่าๆ”


อะไรกั๊น!


“บีม!” ผมมองหน้าบีมอย่างเอาเรื่อง แต่เหมือนใบหน้าโหดเหี้ยมของผมไม่ได้ช่วยให้มันกลัวสักนิด กลับกันทำให้บีมโพล่งหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า ก่อนจะคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น

“โอ๊ย! ฮ่าๆ เดี๋ยวพาไปๆ ฮ่าๆ”


มึงขำอะไรก๊านนน!


.

.

.


ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 18 สับสน (UP) 23/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 23-04-2019 03:21:18
ต่อตรงนี้จ้า



สรุปแล้วก็ไม่มีการไปดูเสือดูเหี้ยอะไรทั้งสิ้น โกหกทั้งเพ เมื่อวานเลยจบลงด้วยการที่ผมกับเจ๋งไปกินข้าวกับพวกบีมจากนั้นมันก็มาส่งที่บ้าน ตอนแรกจะไม่ให้มาอยู่แล้ว เพราะว่าบ้านผมอยู่ไกลจากมอมาก แต่ไอ้คนดื้อก็ยังรั้นจะมาส่งจนได้

ผมก็ห่วงมัน ขับรถกลับบ้านกลางค่ำกลางคืน อันตรายจะตาย

“เฮีย ใจคอจะนอนเป็นผักเหี่ยวอยู่อย่างนี้?” ผมละสายตาจากทีวีแล้วเงยหน้ามองน้องสาวสุดที่รักของตัวเองยืนเท้าสะเอวจ้องผมไม่วางตา

หลังจากตื่นนอนผมก็มานั่งกินข้าวเช้าพร้อมกันสามคนพี่น้อง ก่อนเฮียครามจะไปทำงาน แล้วก็มานอนโง่ๆ ดูการ์ตูนอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น จนเผลอหลับไปอีกรอบ รู้สึกตัวอีกทีก็บ่ายสองกว่าแล้ว

“เฮียเหนื่อยล้าอ่อนแรงมากเลยหนู เมื่อวานเฮีย-”

“พอๆ ไม่อยากฟัง” เจ้าฟ้าใสยกมือห้าม ไม่ให้ผมพูดอะไรต่อ ขมวดคิ้วมองหน้ากันสักพัก แล้วเจ้าตัวก็ลงมานั่งที่โซฟากับผม

“เมื่อวานใครมาส่ง”

“เพื่อนอะ”

“คนนี้ไม่เคยเห็น”

“ละ...แล้วรู้ได้ไง” ผมเกร็งมือกำรีโมตทีวีแน่นขึ้น จ้องการ์ตูนที่ฉายบนโทรทัศน์ พยายามไม่สนใจวายตาของฟ้าใสที่มองมาอย่างไม่ลดละ

บีมเพื่อนเฮียเฉยๆ เลย จริงจริ๊ง

“ก็ได้ยินเสียงรถ เลยมองลงมาก็เจอเฮียกับพี่เขาอยู่หน้าบ้าน”

“ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน วู้”

“อย่าเฉไฉซิ”

“ก็เพื่อนไงค้าบ น้องค้าบ”

“เหรอ”

“อือๆ” ใสยังคงจ้องมาที่ผมอย่างพินิจพิเคราะห์ ทำเอาเหงื่อแตกพลั่กๆ เตรียมจะลุกหนีไปที่อื่น แต่ก็โดนจับได้ซะก่อน

“อย่ามาหนีกันนะ”

“เฮียเปล่า หิวหรอก ว่าจะไปหาไรกิน”

“พี่คนนั้น...เขาเป็นคนดีรึเปล่า” ผมชะงักเล็กน้อยกับคำถามของน้องสาว ใบหน้าสวยมีแววความกังวลเจืออยู่จางๆ

“อ่า...คนนี้ไว้ใจได้นะ” ผมส่งยิ้มกลับไปให้พลางลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู แย่เลย ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว

“วันหลังพามารู้จักด้วย” ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ แล้วตัดสินใจเอนตัวนอนหนุนตักนิ่มของน้องซะเลย

“หนัก!”

“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าใส วางใจเถอะ” ผมซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องเรียบของน้องอย่างเอาใจ ฟ้าใสถอนหายใจยาว ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสบริเวณศีรษะที่ลูบไปมาอย่างอ่อนโยน

“น้องห่วง กลัวเฮียจะไปมีเพื่อนเหมือนตอนนั้น”

“ไม่มีทางอีกแล้วล่ะ เฮียสัญญากับใส เฮียคราม แล้วก็เตียกับม๊าแล้วน้า ไม่ต้องกังวลนะเจ้าหนู” เป็นเรื่องปกติที่น้องสาวจะเป็นห่วงการคบเพื่อนของผม จำได้เลย ครั้งนั้นพาไอ้เจ๋งกับแก๊ปมาบ้าน พวกมันโดนฟ้าใสซักจนพรุน ผมโคตรขำกับท่าทางเพื่อนตัวเอง โดนเจ้าใสจ้องจนหงอเลย ฮ่าๆ



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr


“เฮีย มีคนโทรมา” เสียงฟ้าใสเรียก โอ๊ย คนกำลังเคลิ้มๆ

“รับให้หน่อย บอกเขาว่าเฮียง่วง” ผมพึมพำตอบแล้วหลับตาลง

“ฮัลโหลค่ะ”

“น้องเฮียมุ่ยค่ะ”

“เฮียง่วงอยู่ค่ะ...”

“อ๋อได้ค่ะ”

“เฮีย พี่เขาจะคุยด้วย” เจ้าใสยื่นโทรศัพท์มาแนบหู ผมจึงลุกขึ้นนั่งรับสายอย่างเสียไม่ได้

“ใครเนี่ย...ไม่ว่างอะ จะนอน” ผมกรอกเสียงลงไปอย่างสะลึมสะลือ

(น้องมุ่ย ไปถ่ายรูปกัน) เสียงคุ้นๆ แฮะ

“ไม่ไป...”

(แต่งตัวนะ เดี๋ยวไปรับ)

“ก็บอกว่าไม่ไง” หงุดหงิดแล้วนะโว้ย

ผมผละโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะดูว่าปลายสายคือใคร ตัวอักษรที่ปรากฏทำเอาผมตื่นเต็มตา


บะ...บีม


“บีม...”

(ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ อีกครึ่งชั่วโมงนะ)

“ดะ...เดี๋ยว บีมจะชวนไปไหน”

(ไปถ่ายรูปกัน) น้ำเสียงนุ่มทุ่มฟังดูกระตือรือร้น จนผมงงไปหมด

“ห้ะ...เดี๋ยว กูงง ชวนกูไปถ่ายรูป...เหรอ?”

(อ่า ใช่ ความจริงแค่คิดถึง อยากเห็นหน้า แต่กลัวน้องมุ่ยไม่ยอมออกมาเจอกัน เลยหาข้ออ้างเฉยๆ)


คะ...คะ...คิดถึง


“เฮียเป็นอะไร ทำไมหน้าแดง”

“ฮะ...เฮีย...”

“ดูลอยๆ นะ โอเคไหมเนี่ย” ฟ้าใสยกมือขึ้นทาบหน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ แต่ตัวผมแข็งไปแล้วตอนนี้ กูไม่รับรู้อะไรทั้งน้านนน

“ก็ไม่ร้อนนี่ เฮ้อ เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้ดื่มละกัน” น้องเดินจากไปแล้วเหลือแค่ผมกับโทรศัพท์ที่ถูกยกขึ้นแนบหูอยู่อย่างนั้นและคนอีกฝั่งก็ยังไม่ตัดสายไป

(ฮึๆ เขินด้วยแฮะ)

“...”

(อยากเห็นจัง หน้าต้องแดงมากแน่ๆ ตัวแข็งแล้วใช่ไหมไอ้เด็กกาก ตาโตขึ้นด้วย) เสียงปลายสายฟังดูหยอกล้ออย่างขบขัน แต่ผมก็ไม่มีสติสตังที่จะตอบกลับไป

(เจอกันครับ)


...วางสายไปแล้ว


ง่า...


ง่าาาาาาาาาา!


.

.


“ไหนบอกพามาถ่ายรูป” ผมหรี่ตาจ้องมองคนขับรถที่พามาจอดอยู่หน้าร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งอย่างจับผิด

ร้านอยู่ไกลมากเลยครับ พอนับจากตัวเมืองมาแล้วก็ถือว่าไกลอยู่พอสมควร ยิ่งจากมอผมไม่ต้องพูดถึง ยิ่งจากบ้านผมแล้ว ก็ลืมไปได้เลย

“ที่นี่แหละ” บีมหันมายิ้มให้กับผม ดวงตาวิบวับเป็นประกายทำผมรู้สึกจักจี้แปลกๆ จึงต้องหันหน้าหนี

“มั่วเปล่าวะ พากูมาหลอกขายใช่ไหม ฮึ” ผมแกล้งทำเสียงฮึดฮัดกลบเกลื่อนความจักจี้

“อย่างน้องมึงนี่ขายได้ราคาด้วยเหรอ”

“อ้าว พูดจาหาเรื่อง บ่ากั๋วโดนเต๋ปากบ๋อ”

“ปะ ลงไปกัน”

“เฮอะ!”

“เร็ว เดี๋ยวเลี้ยงเลยเนี่ย หาอะไรรองท้องก่อน เดี๋ยวไม่มีแรง”

“เฮอะ!” ผมสะบัดหน้าหนี แต่ก็ยอมลงจากรถแล้วเดินตามมันไปอย่างเงียบๆ


นี่แน่ะๆ


เหยียบเงามัน


เหยียบๆ


นี่แน่ะๆ


สมน้ำหน้า หัวดำเลย ฮ่าๆ


“น้อง มึงทำอะไร...” บีมหันกลับมาในจังหวะที่ผมยกเท้ากำลังซ้ำเงามันพอดี คนตัวสูงเลิกคิ้วทำหน้างง ผมก็ค้างอยู่ท่านั้นขยับไม่ได้เพราะโดนจับได้กระทันหัน

“เอ่อ...”

“อ่า...กูเข้าใจแล้ว”

“...อะไร”

“เล่นเป็นเด็กเลยเว้ย ฮ่าๆ รีบเข้าร้านเร็ว ข้างนอกมันร้อน มานี่มา” บีมส่ายหัวเบาๆ กับความเหี้ยมโหดของผมแล้วกวักมือเรียกให้เดินตามเขาไป


ฮึ่ย


ผมวางเท้าลงดังเดิมแล้วเดินกระแทกตามหลังบีม เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดใจ หลังจากบีมวางสายไปก็ได้แต่นั่นนิ่งนานหลายนาทีจนน้องเข้ามาทัก ผมถึงรู้สึกตัว มันทำกูจะเป็นบ้า...


ทำไมต้องมาชวน...

ทำไมต้องมารับมาส่ง...

ทำไมต้องมาพูดจา...แปลกๆ


แล้วที่ยอมออกมาด้วยกันก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ สงสารคนแถวนี้จะคะ...คิดถึงตายเฉยๆ หรอก ถือว่าออกมาเที่ยวเล่น นี่ไง เดี๋ยวจะได้กินขนมฟรีอีกละ ดีจะตาย

“สวัสดีค่ะ เชิญค่า” พนักงานส่งเสียงต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อเราสองคนเดินเข้าร้านมา

บีมเข้าใจเลือกร้านแฮะ บรรยากาศดีจัง

ผมชอบอะไรที่มันสะอาดตา ซึ่งร้านนี้เป็นอย่างนั้น ภายในตกแต่งด้วยความโมเดิร์น เน้นสิ่งของน้อยชิ้น แต่จัดวางอย่างลงตัว สีขาวของผนังเชื่อมกันกับสีน้ำตาลอ่อนเข้มต่างกันไปของเฟอร์นิเจอร์และตัดกับสีเขียวของใบไม้

ผมว่าเจ้าของต้องชอบต้นไม้ใบหญ้ามากๆ แน่เลย ลองมองดูรอบๆ แล้วค่อนข้างจะมีต้นไม้เยอะแยะอยู่ทีเดียว แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอะไร กลับกันมันดันให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นกาแฟกับกลิ่นสะอาดๆ ช่างเข้ากันได้เป็นอย่างดี

เป็นโชคดีด้วยที่ตอนนี้ในร้านคนไม่ค่อยเยอะ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด

ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ทำไมไม่เคยเห็นร้านนี้วะ

“บีมรู้จักร้านนี้ได้ยังไง” ผมถามขึ้นหลังจากที่เราเดินมานั่งที่โต๊ะเรียบร้อย

“บูมันแนะนำมา”

“อ่อ” ไอ้น้องบูหาโลเคชั่นเก่งจัง ผมว่าน้องมันต้องมาเก็บภาพภายในร้านนี้แล้วเรียบร้อยแน่ๆ

“ไม่ถ่ายรูปเหรอ”

“จะกินก่อน ค่อยถ่าย” ผมว่าอย่างนั้น แล้วรับเมนูมาจากพนักงาน

“อันนี้...เลี้ยงกูปะ?” ผมยกเมนูขึ้นบังใบหน้าไว้ เหลือเพียงแค่ดวงตาที่จ้องมองบีม ไอ้คนหล่อเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผม ก่อนจะวางเมนูลงกับโต๊ะแล้วยกแขนขึ้นเอามือเท้าคางไว้ มองหน้าผมยิ้มๆ

“...อืม”

“กูเหมาหมดร้านเลยนะ?”

“เอาสิ...”

“จริงจัง?”

“ใช่ โดยเฉพาะเรื่องน้องมุ่ย กูจริงจังเสมอ”

มันมาอีกแล้วครับ ให้สายตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมา ทำไมผมรู้สึกเหมือนโดนเล่นงานจนเข่าทรุด เพียงแค่สบตากับเจ้าหมีบีม

เหมือนตัวจะระเบิดเลย...

“โว้ะ!”

“หึๆ”

“โทษนะครับ ผมเอาแพนเค้กเพิ่มวิป แล้วก็ช็อคโก้มินท์ อืมๆ เอายูนิคอร์นชีสพายด้วย” ผมหลบตาบีมแล้วรีบพูดรายการของหวานที่อยากกินให้พนักงานจดออเดอร์ทันที พลางยกเมนูขึ้นปิดหน้าตัวเองทั้งหมด แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้คนบ้าอยู่ดี

“สั่งมาแล้วกินไม่หมด อยู่ช่วยเขาล้างจานนะน้อง” บีมไม่สั่งอะไรนอกจากชาเขียวเย็นแก้วเดียว ผมรอจนพนักงานร่ายรายการอาหารเสร็จแล้วเดินห่างออกไป ก็รีบพูดกับมันทันที

“บีมก็ช่วยกินดิวะ”

“ไม่ไหวมั้ง”

“กูก็ไม่น่ากินหมด มึงไม่ได้สั่งอะไรหนิ ช่วยกูเลย” ผมมองหน้าบีมอย่างเอาเรื่อง แต่มันไม่ได้พูดอะไร ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็จ้องมาที่ผม

“อะ...อะไร” ตะกุกตะกักเลยกู

“ร้านนี้มีสวนข้างนอกด้วยนะ”

“หือ จริงเหรอ” ผมตาโตทันที แสงกับสวน เป็นอะไรที่ดีต่อใจผมมากจริงๆ

“ใช่ ถึงได้บอกไงว่าพามาถ่ายรูปเล่น”

“ไม่อยากถ่ายมึง”

“จริงปะ?”

“ไม่จริง กูโกหก”

“เอ้า ฮ่าๆ”

“ทะ...ทำไมไม่ชวนเพื่อนมาด้วยอะ” ผมถามในสิ่งที่คาใจตั้งแต่ขึ้นรถจนมาถึงที่นี่

“มาเดท ใครเขาจะมากับเพื่อน” บีมตอบสบายๆ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น


ดะ...เดี๋ยวนะ!?


“เมื่อกี้มึงว่าไงนะบีม กูฟังไม่ทัน”

“พาน้องมุ่ยมาเดท”

“ห๊า!” ผมผุดลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ พลางชี้หน้าบีมขึ้นลง ปากก็อ้าๆ หุบๆ พูดอะไรไม่ออก

“นั่งลงก่อนน้องมึง คนในร้านตกใจหมดแล้ว” บีมไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนแต่อย่างใด แค่จับมือผมแล้วกระตุกให้นั่งลงตามเดิม มีแค่ผมที่ยังคงอ้าปากหวอ อึ้งค้างอยู่อย่างนั้น


เดท!


เดททททท!


เดทกับโพ่งงงงงงงงง


“ยะ...อย่ามาพูดมั่วๆ นะบีม กูฟ้องจริงๆ ด้วย” หัวใจมึงหยุดก่อน เต้นแรงไปแล้ว มึงหยุด มึงหยู้ดดด!

“ฟ้องใคร มุ่ยจะฟ้องใครครับ หืม?”

“สคบ. อบต. อบจ. มอก. สส. สว. กูจะฟ้องให้หมด!” สมองผมรวนอย่างหนัก พูดอะไรออกไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า กูอยู่ไม่ได้แล้ว!

“ฮ่าๆ ๆ ๆ โอ๊ย น้องมึง โอ๊ยกูขำ ฮ่าๆ”


ฟึ่บ!


“ฮ่าๆ น้อง...จะไปไหน” ผมเดินลิ่วหนีบีมออกมาอย่างไม่สนใจใคร รู้ตัวอีกทีก็มายืนกุมอกข้างซ้าย หอบหนักๆ อยู่ภายในสวนเล็กๆ ของร้าน

ดีนะที่ไม่มีใครออกมานั่งนอกร้าน


เฮ้อ


ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะวางแขนเท้าลงกับโต๊ะเล็กๆ เพื่อพยุงตัวเองไว้ไม่ให้ล้มจากอาการที่เป็นอยู่


ตึกตักๆ


ไอ้เชี่ย! เต้นแรงหากิ้บหาหวีเหรอ! ไอ้หัวใจไม่รักดี!


ตึกตักๆ


“น้องมุ่ย...”

“หยุด! ไม่ต้องเข้ามานะ!”

“เขินแรงขนาดนั้นเลยเหรอ แค่พามาเดทเอง” บีมหยุดยืนอยู่ห่างจากผมไม่ถึงสามก้าว เจ้าตัวยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนโยนระคนเอ็นดู


มึงไม่ต้องมาเอ็นดูกู๊ว


ม่ายยย


“บีม...กู...ไม่ๆ มันต้องไม่ใช่แบบนี้”

“น้อง...”

“หยุดๆ ก้าวมาอีกก้าวเดียวกูทุบหลังแบะแน่” ผมกำหมัดขึ้นขู่ เมื่อเห็นว่าบีมกำลังจะเดินเข้ามาใกล้

“เป็นอะไร เขินอะไรขนาดนั้น หืม?”

“กูขีดเส้นไว้แล้วบีม...อย่าข้ามมา” ผมพึมพำกับตัวเอง กัดริมฝีปากล่างแน่นขึ้นเมื่อความสับสนพุ่งตรงเข้ามาอย่างจัง

ทำไมบีมถึงพูดแบบนั้น

โอเค ก็แค่คำว่าเดท ใช่ แต่สายตาบีมมันไม่ใช่แค่นั้น

ผมรู้ ผมเข้าใจทั้งหมด เข้าใจว่าบีมต้องการจะสื่ออะไรให้ผมรู้

แต่ผม...ยังไม่พร้อม

ผมทั้งสับสน งง หัวหมุนไปหมด เหมือนเล่นรถไฟเหาะมาสิบรอบ

“...”

“กูอะชอบน้ำตาล มึง...มึงอย่ามาแกล้งกูนะ” รู้สึกได้ถึงขอบตาร้อนผ่าว ไม่ๆ อย่าไหลนะเว้ย

“...”

“อย่า...เด็ดขาดเลย” ผมก้มหน้าลงอย่างหมดแรง ดีที่ไม่ทรุดลงไปกับพื้นหญ้า ไม่งั้นตูดเปียกแน่ รู้สึกเหมือนเขาเพิ่งจะรดน้ำสนามหญ้าด้วยอะ ฮือ

“...น้องมุ่ย”

“ไอ้บีม..ไอ้บ้า...” ผมตีเข้าที่ต้นแขนบีมหลายครั้งเมื่อมันไม่ฟังคำพูดผมแล้วเดินเข้ามาจนชิดกัน มือหนาพยายามจะเชยคางผมขึ้น แต่ผมหันหน้าหนีไม่ยอมที่จะสบตาด้วย

“ชอบมึงนะ น้อง”

“บีม อย่าพูดดิ” กูบอกว่าอย่า ไอ้สลัดผัก ไอ้หมีเน่า ไอ้บ้า

“กูรู้นะว่ามึงรู้ตั้งแต่แรกๆ แล้วด้วย”

“ไม่...”

“แกล้งทำกวนตีนไปอย่างนั้นอะมึงอะ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ ว่าชอบ” เมื่อมันเห็นผมไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง บีมเลยจับคางผมหันซ้ายขวาไปมาเหมือนจะหยอกเล่น

“ชอบจังเลยคนนี้”

“ไอ้คนเหี้ย...”

“เอ้า ด่ากูเฉย” ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้น กะว่าจะทำหน้าโหดให้บีมมันกลัว แต่พอได้สบตากันในระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบแบบนี้แล้ว....


มุ่ยเอาไม่อยู่เลยแม่


ง่าาาาาาา


“จะร้องไห้รึไง” บีมยกมือขึ้นใช้นิ้วเกลี่ยหางตาเบามือ แล้วผละออกไปจับมือผมทั้งสองข้างที่กำไว้แน่น ยกขึ้นมาจรดริมฝีปากอย่างแผ่วเบาบริเวณข้อนิ้ว กดจูบย้ำๆ ซ้ำๆ อย่างนั้น จนผมอายแทบจะระเบิด

“มึงทำกูเขิน จนน้ำตาไหล”

“เดี๋ยวจะทำให้เขินมากกว่านี้อีก”

“อะไร- อื้อ!” แค่นั้น ยังไม่ทันพูดจบประโยค บีมก็ฉวยโอกาสกดจูบลงมากับปากผมอย่างรวดเร็ว ตาผมเบิกกว้างจนเกือบถลนกับการกระทำของบีม

สัมผัสนุ่มนิ่มไล้วนรอบริมฝีปากอย่างเอาใจและปลอบโยน บีมกดย้ำบริเวณมุมปากผมทั้งสองข้างเหมือนจะแกล้งกัน แล้วค่อยๆ ละออกมา

“เปิดปากหน่อย”

“บีม กู-” แค่อ้าปากจะพูดก็เหมือนพ่ายแพ้แล้วทุกสิ่ง เจ้าของลมหายใจกลิ่นมินท์ใช้โอกาสนั้นประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง และครั้งนี้ทำเอาผมตาแทบหลุดออกจากเบ้า เพราะเขาสอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดพันเล่นกับลิ้นของผมอย่างหยอกล้อ และไล้เลียตามโพรงปากทุกซอกทุกมุมเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ขณะที่ผมยังอึ้ง ไม่สามารถสั่งการอวัยวะส่วนไหนของตัวเองให้ขยับได้เลย เหมือนเครื่องดับไปซะอย่างนั้น

จากความอ่อนหวานกลายเป็นสัมผัสที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของคนตัวสูงกว่า บีมใช้ฟันขบปากล่างผมเหมือนกับเคี้ยวเยลลี่ เนิ่นนานกับการจูบนี้ จนผมรู้สึกเหมือนอากาศกำลังจะหมดปอด ได้แต่ใช้ฝ่ามือตีแรงๆ เข้าที่แผ่นอกตัวต้นเหตุ บีมถึงได้ผละออก ยังไม่วายยังมองมาที่ปากของผมพลางเลียริมฝีปากตัวเองด้วยท่าทางเสียดาย

“นิ่มเหมือนเยลลี่เลย...”

“อะ...”

“ทำยังไงดีอยากกินอีก”

“อะ...”

“ขออีกแล้วกันนะ”

“อะ...”

“เนอะ : ) ”





************************

น้องโดนหมีกินปาก ฮ่าๆๆ

สารภาพว่าเขียนฉากเข้าคู่พระนายช่างยากยิ่ง เหนื่อยมากๆโลย

เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะค้าบบบ รักๆ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 18 สับสน (UP) 23/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-04-2019 07:16:53
เขินนนนน
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 18 สับสน (UP) 23/04/2019
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 25-04-2019 22:50:07
บีมมม เดี๋ยวก๊อนนนนน ใจเย๊นนนนน นี่ร้านขนมไงงงง กลับบ้านก่อนค่อยฟัดน้องงงงงงง
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 19 ทำไมต้องรู้สึก (UP) 03/05/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 03-05-2019 03:37:33
บทที่ 19
ทำไมต้องรู้สึก



“มึง เดี๋ยวเอาเลคเชอร์กูไปลอกแล้วกันนะ”

“อือ...”

“ภาษาไทยมันก็ไม่มีอะไรมาก มึงก็ใช้เซ้นส์เอา”

“อา...”

“กลางวันนี้กูจะไปกับเต้ ไม่ได้อยู่กินข้าวกับพวกมึง”

“อือ...”

“ไอ้มุ่ย”

“หื้อ...”

“ไอ้เชี่ยมุ่ย!”

“อะ เออ ว่าไง มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ย” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจกับเสียงเรียกของไอ้โป้ ชิบหายเรียกซะดัง ดีนะอยู่ในระหว่างเบรก คนอื่นๆ เลยไม่ได้สนใจพวกผม

“มึงเหม่ออะไรของมึงวะ กูเห็นนั่งลูบปากตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ”

“กูมีเรื่องนิดหน่อยว่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้โป้ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด

“ไอ้สัด นี่มึงไปสะดุดตีนใครมาอีก คราวก่อนยังไม่เข็ดอีกหรือไง กูตามไปเคลียร์ให้ตลอดไม่ได้นะโว้ย” ไอ้โป้โวยวายทันทีทั้งที่ผมยังพูดไม่จบ ฟังกูก๊อน

“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย หมายถึงมีเรื่องให้คิดอะ” ผมเลียริมฝีปากอย่างประหม่า ผมควรจะปรึกษากับมันดีไหมวะ ตะ...แต่ผมเขิน



หลังจากที่บีมฉวยโอกาสกินปากผม นานหลายนาที กินย้ำๆ ซ้ำอยู่อย่างนั้นจนแทบหายใจไม่ออก มันก็เห็นใจ หยุดการกระทำของตัวเองไว้แค่นั้น พอผละออกจากกันผมเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ลาลาลอยละลิ่วเลยครับ ตัวแข็งเป็นหินเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต จำได้ว่าบีมพาผมกลับเข้าร้านแล้วนั่งกินเค้กต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



“กินเลอะแล้ว” เจ้าของนิ้วเรียวเอื้อมมาเช็ดมุมปากให้ผม ใบหน้าหล่อยิ้มให้อย่างอ่อนโยนติดจะล้อๆ นัยน์ตาพราวระยับเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ

“หะ”

“น้องมึงลอยไปไหนวะ ฮัลโหลมุ่ยยังอยู่ไหม ตอบพี่ที”

“...กู มึง จูบ...”

“ตกใจเหรอ อย่าบอกนะว่าจูบแรก”

“บีม...”

“อ่า...ครั้งแรกจริงด้วย”

“...”

“ดีใจจัง”




เราสองคนยังนั่งกินเค้กกันต่ออย่างงงๆ จนหมด บีมก็พากลับไปส่งที่บ้าน ไม่วายยังเอาปากมาชนกันอีก ด้วยความตกใจผมจึงทุบมันไปสองอั้ก บีมก็เอาแต่หัวเราะจนตัวงอ แต่ผมนี่ดิ วิญญาณที่ใกล้จะกลับเข้าร่างแล้วดันกระเด้งลอยไกลออกไปอีก


ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ผมมานั่งเรียนวิชาภาษาไทยอย่างงงๆ ในช่วงเช้า ตั้งแต่เริ่มเรียนมาไม่ได้เข้าหัวสักอย่างเลยครับ มัวแต่คิดเรื่องเมื่อวาน


มันจูบทำไม


เพราะอะไรทำไมถึงจูบ


ชอบ...เหรอ?


ทำไมชอบล่ะ


“โว้ย! มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย” ดึงทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง

“สรุปเป็นเหี้ยอะไร” ผมหันหน้าไปหาไอ้โป้ทั้งที่ยังฟุบอยู่ มันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“ถ้ารู้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ ไม่งั้นกูขอให้ไอ้พี่เต้มีเมีย”

“เออ สักทีเหอะ”

“คืองี้ กูอะนะ...”

“อ่า”

“...แบบกู”

“เออ ว่าไง”

“คืองี้เว้ย กูอะ...”

“ไอ้ชิบหาย วันนี้กูจะฟังมึงรู้เรื่องไหม แผ่นสะดุดเหรอสัด โค้ะ!”

“โว้ย! จะให้กูพูดว่าเมื่อวานบีมมันจูบกูรึไงล่ะ ไอ้สัดโป้!” ผมดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะแล้วโพล่งออกไปอย่างไม่ทันคิด

“ห้ะ?”

“อุ้บส์...” ชิบหาย

“มุ่ย...นี่มึง” ทั้งผมและไอ้โป้ต่างตกใจกันทั้งคู่ มันอ้าปากจะพูดบางอย่าง แต่เหมือนจะพูดไม่ออก ผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าแหย ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน

“มึงมากับกู”

“เห้ยจะไปไหน หมดเบรกแล้วไอ้สัด” ผมว่าอย่างงงๆ เมื่อจู่ๆ ไอ้โป้ก็ลุกขึ้นแล้วคว้าขอมือผมให้เดินตามมันไป เจออาจารย์เดินสวนมาพอดี แกทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมจึงผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ สะกิดไอ้โป้ด้วยแต่มันก็ไม่สนสี่สนแปดใดๆ เอาแต่ลากแล้วก็ลากผมออกจากห้องเรียน

“เออ มาก่อน”

“เอ้า”



.

.



“ลากกูออกมาที่นี่เนี่ยนะ”

“อาจารย์เข้าแล้ว มึงจะคุยกันในห้องให้คนอื่นได้ยินหรือไงล่ะ” โป้ว่าพลางจุดบุหรี่ด้วยไฟแช็คแล้วอัดเข้าปอดหนักๆ ก่อนจะพ่นออกมา มันพาผมมาแถวๆ ซอกหลืบของอาคารเรียน ดูก็รู้ว่าเป็นที่ๆ เหล่านักศึกษาแอบมาสูบบุหรี่กัน มอเรามีที่วังเวงแบบนี้ด้วยเหรอวะ

“กูจะบอกพี่เต้นะ” ผมเคาะหน้าจอโทรศัพท์เป็นเชิงเตือน

“กูลดอยู่ อาทิตย์นี้กูเพิ่งได้สูบ” มันนั่งยองๆ ลงกับพื้น ผมเลยนั่งลงตามบ้าง

“มะเร็งแดกตายเหอะไอ้สัด”

“คนอย่างมึงมีสิทธิว่ากูด้วยเหรอ” โป้เลิกคิ้วถามอย่างกวนๆ ผมเลยส่งนิ้วกลางไปให้อย่างหมั่นไส้ เลิกนานแล้วเหอะ

“ประเด็นคือมึงกับพี่บีมจูบกัน?” ไม่พูดพร่ำทำเพลงมันก็ถามออกมาทันที ทำเอาผมสะดุ้งโหยงอย่างไม่ทันตั้งตัว

“บีมเคยบอกกับกูว่าชอบมึง” ปล่อยให้ควันอบอวลอยู่ได้สักพัก มันก็พูดขึ้น

“กู...เชี่ย แม่ง กูไม่รู้ว่ะ”

“กูดูแล้วเขาน่าจะชอบจริงว่ะ สายตาแม่งเหมือนตอนไอ้ศรันย์มันมองมาที่มึงเมื่อก่อน” ผมก้มหน้าลงมองที่ข้อมือตัวเองข้างเดียวกับที่ช้ำพลางลูบไปมาอย่างเลื่อนลอย

“เกี่ยวอะไรกับไอ้ห่านั่น” ผมเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ไอ้เวรนี่ก็อีกคน ยังเคลียร์กันไม่รู้เรื่อง

“เอ้า ก็มันชอบมึง”

“เออ...”

“หึ”

“ดูเหมือนกูทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยว่ะ ก็แค่จูบเอง ใช่ปะ” ผมใช้นิ้วเขี่ยกับพื้นไปมา จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

“สำหรับกูก็ใช่ แต่เรื่องแบบนี้มันเทียบกันไม่ได้รึเปล่า”

“...”

“คิดดีๆ ไอ้มุ่ย กูไม่อยากให้มึงเสียใจหรอก”

“กูโง่ว่ะโป้ กูไม่รู้เหี้ยไรเลยอะ ถึงได้เป็นงงอยู่อย่างนี้ไง” ผมดึงขาตัวเองเข้ามากอดแล้วซบลง สมองตอนนี้วุ่นวายไปหมด รวมไปถึงหัวใจที่แค่เอ่ยคำว่าบีมก็เต้นผิดจังหวะแล้ว

“มึงรีบตัดสินใจเร็วๆ ไม่งั้นมึงจะเจ็บ”

“ตอนนี้กูก็เจ็บ”

“...”

“จูบกูเพราะชอบเหรอ ทำไมถึงชอบล่ะ แล้วการชอบใครคนหนึ่งมันเป็นยังไง ถ้ากูชอบบีมกลับแล้ววันหนึ่งกูเลิกชอบล่ะวะ”

“...”

“มันยากสัดๆ กูไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง”

“สักตัวไหม?” เงียบนานหลายนาที โป้มันก็ยื่นซองบุหรี่มาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วล้วงหยิบหมากฝรั่งในกระเป๋ากางเกงมากินแทน

“ไม่อยากเจอหน้าบีมเลย...”

“กูก็อยากจะอธิบายช่วยนะ แต่เดี๋ยวมึงไม่อิน เรื่องอย่างนี้ถ้าคิดได้ด้วยตัวเองแล้วแม่งจะรู้สึกอเมซิ่งสัดๆ กูลองมาแล้ว” รอยยิ้มบางของโป้ผุดขึ้นเมื่อนึกถึงใครบางคน ผมมองมันอย่างเซ็งๆ รู้ดีเลยแหละเรื่องระหว่างมันกับพี่เต้ ดราม่าชิบหาย น้ำตาไหลท่วมจอแล้ว กว่าจะผ่านกันมาได้จนทุกวันนี้ เสียไปกี่หยดแล้ว


หมายถึงเลือดอะ


“ยากไหมวะ”

“เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน”

“ก็นะ...มึงมันก็เคยเป็นคนโง่เหมือนกู ดีนะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว” ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมมันแรงๆ อย่างนึกสนุก

“สัด” มันผลักหัวผมอย่างหมั่นไส้

“เออๆ กูคิดเองก็ได้วะ เฮ้อ” ผมถอนหายใจยาวพลางดันตัวเองให้ลุกขึ้น เตรียมจะเดินกลับออกไปแต่โป้มันก็พูดขึ้นมาซะก่อน

“เดี๋ยวจะช่วยสักหน่อยแล้วกัน”

“หือ”

“ได้ข่าวว่าไอ้ศรันย์โดนซ้อมมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมชะงัก

“แล้วมันเป็นยังไงบ้าง”

“ช่างหัวแม่งสิไอ้สัด สมน้ำหน้า” รอยยิ้มเย็นผุดขึ้น มองเข้าไปในแววตามันจะเห็นไฟลุกโชนไม่เหมือนกับกายหยาบที่สงบนิ่งอยู่แบบนี้

“บอกกูทำไมล่ะ” อันนี้ที่กูงง

“ก็มันชอบมึง ลองไปคุยกับมันดู เผื่อจะเก็ท” แล้วถ้ากูไปเยี่ยมมันจะไม่ดูประหลาดเหรอวะ ศัตรูไปเยี่ยมศัตรู เหอๆ

“แปลกนะเนี่ย ให้กูไปง่ายๆ ไม่ใช่ตามไปกระทืบศรันย์ทีหลังหรอกนะ”

“หึ”

“เออๆ เดี๋ยวเย็นนี้กูไปหามัน”



.

.

.



“เป็นไงเป็นกันวะ”

ตอนนี้ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในตัวเมือง เกือบตายเดี่ยวแล้วไหมละครับ เมื่อครู่เห็นพวกเพื่อนศรันย์เดินออกจากห้องมาพอดี ดีนะผมหลบทัน ไม่งั้นล่ะยาวเลย

“หายใจเข้าพุธ...หายใจออกโธ” ฟู่ว

“ขอให้มันช่วยได้จริงๆ เถอะ” ผมพ่นลมออกจากปากให้ตัวเองรู้สึกไม่กดดัน มือกำลูกบิดประตูแน่น ก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้าไป



“ไง...” ผมส่งเสียงทัก ตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้หลับอยู่ แหงล่ะ เพื่อนเพิ่งออกไปได้แป้ปเดียวกูก็เข้ามาเลย

ผมเหวอกับสภาพของศรันย์ หนักใช่เล่นนะเนี่ย แขนข้างซ้ายหักต้องดามเฝือก พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นรอยช้ำตามแขนขาที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมา แผลบนใบหน้ามีคิ้วกับปากที่แตก


เหี้ย มันไปเหยียบตีนใครมาวะเนี่ย


“เอ่อ...” ผมทำหน้าไม่ถูกกับสายตาที่ศรันย์มองมา ได้แต่ยืนมองไปรอบห้องพลางลูบหลังคออย่างเขินๆ

“หึ” มันหันหน้าหนีผมอะ ไอ้สัด เมินกูได้ไง

“เป็นไงบ้างล่ะมึง ได้ข่าวไปมีเรื่องมา” ผมทำใจกล้าเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง แล้ววางถุงเยลลี่ไว้บนโต๊ะ ทำไมตอนจะตีกับมันกูไม่เห็นประหม่าขนาดนี้เลยวะ วิ่งเข้าหาอย่างเดียวไม่คิดหน้าคิดหลัง แล้วดูตอนนี้ดิ ผมดันเกร็งขึ้นมาซะอย่างนั้น

“ยังไม่ตาย” มันพูด แต่ก็ยังไม่มองหน้าอยู่ดี

“อ๋อเหรอ...” ผมพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงเข้าใจ ผมนั่งกำแบมือที่ชื้นเหงื่ออย่างไม่รู้จะเริ่มยังไงดี โอ๊ย! อึดอัดแต๊ว่า

“มาทำไม” ระหว่างเราที่เงียบลงนานหลายนาที ศรันย์ก็เอ่ยปากขึ้นถาม

“หันมาคุยดีๆ ดิ้ มารยาทรู้จักเปล่า” กวนตีนก่อนน่าจะดี เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ผมรู้ผมเรียนมา

เจ้าของร่างที่นอนแบบอยู่บนเตียงถอนหายใจออกมาเหมือนเบื่อหน่าย แล้วค่อยๆ หันกลับมามอง

“โห ฟัดกับหมามาเหรอวะ หน้าตาดูไม่ได้” พอได้เห็นในระยะใกล้กว่าเดิม ก็รู้สึกได้ว่าแผลหนักอยู่พอสมควร ไอ้เหี้ย หมาทั้งฝูงรึเปล่าเนี่ย

แผลภายนอกว่าเยอะแล้ว ไม่รู้ข้างในจะหนักแค่ไหน คนทำแม่งโหดจัด

“เหอะ” ศรันย์แค่นหัวเราะ ราวกับเรื่องที่ผมถามมันช่างตลกสิ้นดี มันมองตรงมาที่ผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แล้วเสมองถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

“ถุงอะไร”

“ของเยี่ยมมึงไง เยลลี่หมี”

“กูคงแดกได้หรอกนะ น้องมุ่ย” คนเจ็บพยายามจะพยุงตัวขึ้น ผมจึงลุกช่วยปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อย วางหมอนให้ศรันย์พิงได้ถนัด

“แล้วตกลงมาทำไม”

“มาดูว่ามึงตายรึยัง จะได้เตรียมจัดงานให้” ผมยักคิ้วให้อย่างกวนๆ

“สัด”

“เอ้า เรื่องจริงทั้งนั้น” ผมแกะถุงเยลลี่แล้วหยิบเข้าปากทีเดียวสามอัน ความหวานของน้องๆ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างมาก

“ของเยี่ยมกูรึเปล่า”

“กูคนซื้อ กูจะกิน มึงจะทำไม”

“จะมากวนก็กลับไป เหนื่อยจะเถียงด้วย” แน๊! ทำเป็นเมิน

“เห็นไอ้โป้บอกว่ามึงเข้าโรง’ บาลอาการสาหัส เลยจะมาดูใจก่อนมึงตาย เอ้า ก็ยังอยู่ดีนี่หว่า”

“เฮ้อ” ศรันย์ทำหน้าเหมือนรำคาญผมเต็มทน แต่ด้วยสังขารที่เดี้ยงแบบนั้น ทำให้ไม่มีแรงลุกขึ้นมาเตะไล่ผม เจ้าตัวก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างจนใจ

“ไปเหยียบตีนใครมา ถามจริง”

“จำเป็นต้องบอก?” ทำมาเล่นตัว ไอ้เวร

“เออ”

“กูไม่ได้เหยียบตีนใคร...”

“แล้ว” ผมเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วเพราะรู้สึกหวานคอเกินไป

“ผัวมึงนั่นแหละน้อง”


พร่วด!


“สกปรกว่ะ” ผมพ่นน้ำออกมาอย่างตกใจ เมื่อได้ยินคำบางอย่างจากปากของศรันย์ ดีนะ หันไปอีกทางทันพอดี

“ห้ะ?” ...ใครนะ ขออีกที

“ก็นั่นล่ะ เล่นซะกูเกือบตาย อารมณ์รุนแรงดีนะ”

“เดี๋ยวๆ กูว่าเรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ” ผมยกมือขึ้นเป็นปางห้ามศรันย์พูด เบรกแม่งไว้ก่อนจะพูดอะไรบัดสีออกมา

“เจอกันก็ไม่บอกว่ามีผัวแล้ว ให้กูสารภาพรักหน้าแตกละเอียดยิบ อายชิบหาย”

“...มึงหยุดพูดคำนั้นที แสลงใจเบาๆ” กุมใจเลยกู

“หึ” ศรันย์ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อหลายวันก่อน

“มึงเข้าใจอะไรผิดปะ คือกูยัง...ยังไม่มีแฟน โอเคนะเพื่อน” ผมพยายามอธิบายพูดกรอกสมอง ทำความเข้าใจใหม่ให้มัน แต่แม่งก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“แล้วไอ้เหี้ยนั่นจะมาแก้แค้นที่กูกระทืบมึงทำไม ถ้าไม่ได้เป็นผั-”


ผมชี้หน้าให้มันหยุดพูดคำนั้น กลืนลงไปเดี๋ยวนี้!


“เรื่องเข้าใจผิดรึเปล่า”

“ผิดกับตีนกูสิ กูเดินกับเพื่อนอยู่ดีๆ แม่งไม่พูดพร่ำทำเพลง จู่ๆ ก็เข้ามาถีบจนกูล้มคว่ำ ไม่พอ กระทืบซ้ำอีก เอาจนกูมีสภาพอย่างที่มึงเห็นนี่แหละ” ศรันย์พูดพลางทำหน้าเคียดแค้น สงสัยโมโหจริงว่ะ

“...เหี้ย”

“เออ แม่งโคตรเหี้ย ทิ้งท้ายอีกนะว่า อย่ามายุ่งกับน้องมุ่ยอีก แล้วจะให้กูคิดว่าไง”

“ผัวก็เหี้ยแล้ว! ไม่มีโว้ย!” ผมโบกมือโวยวายไล่ความคิดเหี้ยๆ ให้ออกไปไกลๆ เวรเอ๊ย อย่าให้กูรู้นะว่าเป็นใคร มาแอบอ้างอย่างนี้ได้ไงวะ

“ตกลงใคร”

“กูจะรู้มะ- เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ?” จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้คนนึง เหย ไม่ใช่หรอกมั้ง จำผิด

“ว่า”

“คนที่ทำมึง ขาวๆ สูงๆ ปะ”

“เออมั้ง กูเห็นหน้ามันแวบเดียวจากนั้นก็มีแต่ภาพตีนลอยเต็ม”


เอ...คงไม่ใช่หรอก


“แล้วทำไมมึงไม่บอกเขา ว่าไม่ได้ตั้งใจทำกูล่ะ”

“ยังไม่ทันพูดได้ซักแอะ แม่งก็ซัดเข้ามาแล้ว”

“กากว่ะ”

“กูไม่ได้ตั้งตัวป้ะสัด”

“แล้วเพื่อนมึงไม่เข้ามาช่วยรึไง”

“เพื่อนก็สภาพไม่ต่างจากกูเท่าไหร่หรอก ไอ้เหี้ยนั่นพวกเยอะกว่า”

“อ่อ” ผมพยักหน้ารับรู้ แล้วระหว่างเราก็เงียบกันไป เมื่อหมดเรื่องจะคุย เอาจริงๆ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงด้วยซ้ำ มันยุบยิบอยู่ที่ปาก อยากจะพูดแต่ก็อายตัวเอง เลยได้แต่หาเรื่องชวนมันคุยอ้อมโลกอยู่แบบนี้



“เอ่อ”

“มีอะไรจะพูดอีกล่ะ”

“ก็...ไม่เชิง” ผมอ้อมแอ้มตอบ รู้สึกมือชื้นเหงื่ออีกแล้วพอเริ่มเข้าประเด็น

“จะถามก็ถามมา กูง่วงแล้ว”

“คือ...”

“...”

“มึงอย่าจ้องสิวะ มันกดดัน” ผมเอ็ดให้ศรันย์ เมื่อมันใช้สายตามองมาที่ผมไม่ละไปไหน

“เร็วๆ ดิ้ กู-”

“ทำไมมึงถึงชอบกู” ผมหลับตา กลั้นหายใจพูดออกไปอย่างเร็วปรื๋อ สองมือวางบนตัก ประสานบีบแน่นอย่างกลัวในคำตอบ


พูดไปแล้ว...


“...”


เงียบแดกเลยไหมล่ะ


“อันที่จริงมีเรื่องจะถามมึงเยอะมาก ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว” ผมเปิดเปลือกตา นับหนึ่งสองสามสี่อยู่ในใจ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาศรันย์ แต่มันดันเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากตอบ

“...”

“ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องมึงไม่เคยทำกู จะมีก็แค่ครั้งเดียว...แล้วที่มึงว่าชอบกู สรุปแล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่” ความค้างคาใจทั้งหมด พอได้ถามออกไปแล้ว รู้สึกโล่งขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด

“คำตอบมันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ” ศรันย์ผินหน้ากลับมาสบตากับผม แววตาเขาเจือความเศร้าอยู่ในนั้น แล้วไม่ใช่แวบเดียวก็หายไปเหมือนที่ผ่านมา นานหลายนาที เขาก็เริ่มเปิดปากพูด

“...”

“เพราะชอบ ถึงไม่ทำร้าย”

“...”

“เพราะชอบอีกนั่นแหละ ถึงไม่อยากเห็นมึงเจ็บ”

“...”

“แค่อยู่ต่างสถาบันก็ยากแล้วไหม คนเราจะทำเหี้ยกับคนที่ชอบได้ยังไงวะ”

“ละ...แล้วตอนนั้นที่มึงแทง...”

“เพื่อนกูเข้ามาข้างหลังมึง มันไม่มีทางเลือก” ศรันย์กำมือแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมา ทำเอาผมอ้าปากค้างกับคำสารภาพที่ไม่เคยรู้มาก่อน

อย่างที่เคยบอกว่า หลังจากโดนมีดเสียบคาท้อง ผมก็ช็อคจนสลบไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็ไม่เจอมันอีกเลย

“กูตัดสินใจใช้มีดตัวเองแทงมึงก่อน กะเอาแฉลบ แต่พลาด หึ อย่างน้อยก็ทำให้เพื่อนกูเปลี่ยนเป้าหมาย”

“ฮึ?” หมายความว่าไง

“ไปฟันไอ้โป้แทน”

“เหี้ย! ไอ้สัด! นั่นเพื่อนกู”

“แล้วไง กูชอบมึง ไม่ได้ชอบมัน” เวร เวรแท้ๆ ไอ้โป้แม่งต้องมารับกรรมแทนกู

“โคตรเหี้ย”




“ไม่กลียดกูรึไง” ศรันย์หันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง

“เกลียด? เกลียดเรื่อง”

“ทุกอย่าง...ที่ผ่านมา ทั้งกับมึงแล้วก็เพื่อนมึง” ผมเงียบไปอึดใจ ไม่คิดว่าจะเจอกับคำถามนี้ เอาจริงๆ ผมก็ไม่ชัดเจนกับมันสักที ผมว่ามันน่าจะคิดมากแล้วก็โทษตัวเองอยู่แน่เลยอะ

“มึง คือทั้งหมด กูผิดเอง”

“หมายความว่าไง” มันหันกลับมามองอย่างไม่แน่ใจในคำพูดของผมเมื่อครู่

“กูเลือกเองอะ จะโทษมึงอย่างเดียวก็ไม่ใช่เปล่าวะ”

“...”

“เพราะงั้น สบายใจได้ว่ากูไม่เกลียดมึง แค่เหม็นหน้า ฮ่าๆ”

“หึ” บรรยากาศระหว่างเราดูผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากได้เคลียร์ใจกับเรื่องครั้งนั้น ผมรู้ว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดหรอก ทั้งผม ไอ้โป้ พี่เต้ แล้วก็ศรันย์ ต่างก็ได้รับผลของมันกันแล้วทั้งหมด ที่มาจากความเลือดร้อนและความคึกคะนองในตอนนั้น




“เออ แล้วที่มึงชอบกู”

“ทำไม”

“กูผู้ชายนะ”

“แล้ว?”

“ง่ายๆ งี้เลยอ๋อ”

“แล้วมึงจะทำให้มันยากทำไม” ศรันย์ขมวดคิ้วยุ่งขณะอธิบายให้ผมฟัง มันทำหน้าเหมือนผมโง่ซะเต็มประดา

“เออ กูโง่ ไม่ต้องทำหน้าเหยียดกูขนาดนั้นก็ได้ ก็รู้ตัวอยู่หรอก”

“อ่อ กูเข้าใจละ” จู่ๆ มันก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก

“แสดงว่าไอ้เหี้ยนั่นก็เป็นเหมือนกันสินะ ฮ่าๆ สมน้ำหน้า” มันหัวเราะออกมาเสียงเบา ท่าทางอยากจะให้ดังกว่านี้แต่ด้วยร่างกายไม่เอื้ออำนวย ผมก็ได้แต่นั่งงง


“คนอย่างน้องมุ่ยน่ะ ไม่รู้หรอกว่าชอบคืออะไร”

“...”

“ใครก็ตามที่รู้สึกดีกับน้อง ไม่เหนื่อยก็ท้อจนถอยออกไปเอง”

“...”

“หรืออาจจะเป็นอย่างกูก็ได้ ที่ได้แค่มอง ฮ่าๆ ตลกชิบหาย”

“ศรันย์ ที่มึงกำลังดูถูกกูอยู่รึเปล่า” ผมถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่คนอื่นทำมาเป็นรู้ความคิดของผม


เข้าใจไหมว่าแบบ...


มึงเสือกเรื่องตัวเองให้รอดก่อน ค่อยมาใส่ใจเรื่องกูน่ะ


“หืม? หรือกูพูดอะไรผิดไป”

“จริงๆ ก็เปล่า ถูกทั้งหมดนั่นแหละ” ยกเว้นเรื่องนี้แล้วกัน ผมนอนคิดคนเดียวมาหลายคืน ก็ยังคิดไม่ออก ทุกอย่างมันอยู่ผิดที่ผิดทางไปซะหมด แล้วบางทีก็รู้สึกเหมือนมีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป แล้วผมหาไม่เจอ


บีม ทำกูแย่ขนาดนี้ รู้ตัวบ้างรึเปล่าเนี่ย


“ชอบเขารึไง”

“...ไม่รู้”

“แต่กูมั่นใจ ว่ามึงชอบเขาแน่ๆ”

“รู้ดีกว่าตัวกูอีกนะสัด” คันหัวใจอีกละ ไม่ได้เลยนะ พอพูดถึงบีมแล้วเนี่ย ไม่ได้เลย

“ชอบก็คือชอบ มุ่ย อย่าไปหาเหตุผลให้มาก”

“แล้วรู้ได้ไงว่าชอบ ถ้าแม่งเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบล่ะวะ” ผมก้มหน้าลงพึมพำกับตัวเอง แต่หมาเสือกได้ยิน

“ถ้าเป็นอย่างนั้น มึงจะมานั่งคิดมากอย่างนี้ทำไม”

“คือกูไม่อยากให้เขาผิดหวัง กูกลัวทำให้เขาเสียใจ มึงเข้าใจไหม” ผมโพล่งออกไปอย่างเหลืออด กับความกดดันที่สั่งสมมา ใครๆ ต่างก็บอกให้ผมตัดสินใจซักที แต่ไม่รู้หรอกว่าผมก็เจ็บ เจ็บที่ให้คำตอบอะไรกับบีมไม่ได้เลย เห็นหน้ามันผมก็อยากจะร้องไห้ แม่งเอ้ย


แล้วโดนบีมจูบมา ทำให้ผมช็อคหนักเข้าไปอีก


หมดกัน เฮียมุ่ยผู้แข็งแกร่งดั่งหินผา ตอนนี้เหลวเป๋วยิ่งกว่าเยลลี่โดนแดดเผาซะอีก


“มุ่ย...”

“เออ”

“มึงแคร์เขาขนาดนี้ ก็คือต้องใช่แล้วไหม”


กึก!


“ยังต้องคิดอะไรอีก”


ผม...


“มึงจะลังเล โอเค ไม่แปลก แต่ถ้ามึงตอบใจตัวเองไม่ได้สักที คนที่จะเจ็บที่สุดก็มึงอยู่ดี”

“...”

“ที่ทำให้เขาเสียใจ”


แม่ง


แม่ง...


แม่งแทงใจกูดังจึ้กเลย





“พี่อ้อยพี่ฉอดเปล่าเนี่ย รู้ดีชิบหาย” ผมเปลี่ยนเรื่องแกล้งแซวมัน เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูอึดอัดมากไปกว่านี้

“กูต้องแข็งแกร่งแค่ไหนวะ ถึงให้คำปรึกษากับคนที่ชอบเพื่อที่จะให้เขาไปรักกับคนอื่นได้”


เนี่ย กูรู้สึกผิดเลย ถึงได้เปลี่ยนเรื่องไง


“บุญหนักนะเว้ย”

“สนที่ไหน ช่างเหอะ มึงจะไปไหนก็ไป เบื่อหน้าแล้ว” ศรันย์โบกมือไล่ผม พลางใช้มือข้างที่ปกติดีหยิบถุงเยลลี่ไปไว้อีกฝั่ง

“นี่กูเอามาพอเป็นพิธีนะเนี่ย”

“ออกไปได้แล้วโว้ย รำคาญ!” เจ้าตัวบ่นทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วหันหลังนอนตะแคงไปอีกทางเพื่อหนีหน้าผม

“เออ ขอบใจมากเพื่อน” ผมลุกขึ้นโบกไม้โบกมือลา แม้มันจะไม่เห็นก็ตาม พอเดินไปถึงประตูยังไม่ทันได้เปิดออก ก็ได้ยินเสียงมันพูดขึ้นซะก่อน


“ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำไมคนเราถึงชอบคนๆ นึงได้”

“...”

“มีแค่ตัวมึงเองนั่นแหละที่รู้”

“...”

“เอาแต่ถามคนอื่น ถามตัวเองรึยัง”



.

.



คล้อยหลังที่ฟ้ามุ่ยเดินออกจากห้องไปแล้ว ไม่ทันได้เห็นแววตาที่เขาหันมองไปที่ประตู ว่ามันเศร้าแค่ไหน

เจ้าของมือเรียวกำถุงขนมแน่น คำสารภาพที่พูดออกไป ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเสียใจที่เขามี และยังคงจะเจ็บอยู่อย่างนั้นตลอดไป

ภาพจำยังคงฉายชัดอยู่ทุกครั้งที่เขานึกถึงฟ้ามุ่ย ว่าตัวเขาเองนี่แหละ ที่ทำร้ายคนที่เขารักกับมือ


“ขอโทษ”



.

.

.



ย้อนกลับไปหลายวันก่อน



พลั่ก!


คนตรงหน้าถีบเข้ามาที่กลางท้องเข้าอย่างจัง จนเขาทรุดลงไปกับพื้น

“มือข้างนี้รึเปล่าที่แทงน้องมัน” ใบหน้าเรียบนิ่งแฝงความเย็นยะเยือกจ้องเข้ามาที่ตาของเขา สัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่นรุนแรง แผ่ออกมาจากตัวชายคนนี้

“กูถาม ก็ตอบ”


อึ่ก!


ฝ่ามือเย็นจัดแรกเข้ามาที่กลุ่มผมของศรันย์แล้วกระชากขึ้นอย่างแรง เพื่อรั้งให้ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น

สภาพเขาตอนนี้ สะบักสะบอมจนลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว หลังจากโดนอัดมาร่วมชั่วโมงเห็นจะได้ ร่างกายปวดล้าไปหมดทั้งตัว แขนข้างซ้ายเหมือนจะหักด้วย


หึ นี่กูมาเจอกับตัวเหี้ยอะไรวะเนี่ย


“แล้วมึง แค่ก! จะทำไม” ถึงแม้ความรู้สึกกลัวจะคืบคลานเข้าเกาะกินหัวใจเขาเกินครึ่ง ร่างกายเริ่มอ่อนแรง เปลือกตาหนักอึ้งแต่ก็พยายามจะเหลือบมอง อยากรู้ว่าไอ้คนที่มันทำเขาเจ็บขนาดนี้หน้าตาเป็นยังไง แต่ก็พร่าเลือนเต็มที อีกทั้งความมืดในตอนกลางคืนบดบังมันไปซะเกือบครึ่งหน้า แต่ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมจำนนต่อคนตรงหน้าเด็ดขาด


“เล่นแรงเกินไป รู้ตัวรึเปล่า”


พลั่ก!


ปึ่ก!


มันละมือจากผมของเขาแล้วคว้าเข้าที่คอ จับกระแทกอัดเข้ากับกำแพงจนตัวงอ

“ถือซะว่า มึงชดใช้ให้น้องมันแล้วกัน” ดวงตาหรี่ปรือพร้อมจะปิดเต็มที่ เห็นเพียงรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกับเสียงกระซิบข้างหูก่อนสติจะดับวูบไป


“จำไว้ อย่ามายุ่งกับน้องมุ่ยอีก”




*************************************

ความจริงศรันย์เป็นคนน่ารักนะคะ ใครช่างทำศรันย์กันน้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 19 ทำไมต้องรู้สึก (UP) 03/05/2019
เริ่มหัวข้อโดย: ptmsrn ที่ 04-05-2019 22:13:37
อ่านรวดเดียวมาจนถึงตอนนี้เลยค่ะ
สนุกมากเลย ทั้งฟ้ามุ่ยและพี่บีมน่ารักมากๆ
อ่านไปยิ้มไปตลอดเวลา เขินนนนน55555555
ตอนมุ่ยพูดภาษาเหนือคือน่าเอ็นดูมากกก และแพ้เวลามุ่ยเรียกบีมว่าบีมสุดๆ ฮือ (ถ้ามีโอกาสอยากเห็นมุ่ยพูดเหนืออ้อนบีมบ้างค่ะ แค่คิดก้เขินนำไปแล้ว5555)

ถึงจะเป็นเรื่องแรกที่แต่ง แต่ก็เขียนได้ดีมากเลยค่ะ
ป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ จะรอติดตามเสมอ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 19 ทำไมต้องรู้สึก (UP) 03/05/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 05-05-2019 01:18:59
น้องมุ่ยยยยยยยย  รู้ใจตัวเองซะทีน้า  รีบกลับไปบอกพี่บีมเลยยยยย
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 19 ทำไมต้องรู้สึก (UP) 03/05/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 19-05-2019 15:41:27
น้องมุ่ยยยย รู้ตัวได้แล้ววว ส่วนบีมโหดจังวะ ไปฝึกมือที่ไหนน
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 20 คนน่ารักมักใจร้าย (UP) 15/06/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 15-06-2019 03:25:29
บทที่ 20

คนน่ารักมักใจร้าย


“ป้าคนสวย เอาข้าวไข่เจียวหมูสับใส่กล่องครับ”

“รอกำนึงลูก คนเยอะ จดหื้อป้าดีกว่าๆ”

“ก่กับข้าวมันลำขนาด คนทำก่งาม ไผก่ใค่กิ๋นเนาะ”

“อู้ม่วนแต๊ บ่าน้อยนี่ บะเดวป้าแถมหื้อเยอะๆ เลย รอกำเดวๆ”

ผมส่งยิ้มหวานให้แกแล้วจดเมนูลงกระดาษแผ่นเล็ก จากนั้นก็เอาไปให้ป้าเขาแล้วมานั่งรอที่โต๊ะว่าง หลังจากออกจากโรงพยาบาลมา ผมก็ตั้งใจว่าจะขี่รถกลับมานอนที่หอซักงีบแล้วค่อยโทรให้เฮียครามมารับกลับบ้าน แต่ความหิวไม่เคยรอใคร ผมเลยแวะซื้อข้าวแถวหอบีมก่อน จอดรถไปสายตาก็แอบสอดส่องไปด้วย กลัวจะเจอมันอะดิครับ ผมยังไม่พร้อม

ร้านที่ผมแวะเป็นร้านเดียวกับคราวก่อนที่บีมพามากิน หลังจากวันนั้นผมก็กลายเป็นขาประจำร้านนี้ไปเลยครับ เมนูที่ผมสั่งบ่อยๆ ก็มีข้าวไข่เจียวหมูสับกับกระเพราตับ วนอยู่อย่างนี้ตลอด


พูดถึงบีม...


คิดๆ แล้วก็เครียดนะครับ


สอบไฟนอลผมยังไม่เครียดเท่านี้เลยเอาจริงๆ


ถึงศรันย์จะบอกอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังไม่กล้าเจอหน้าบีมอยู่ดี


ผมอึดอัด เหมือนบีมต้องการคำตอบอยู่ทุกครั้งที่เราเจอกัน มันไม่พูดแต่ผมก็รู้อะ สายตามันโคตรชัดเจน ไม่รีบนะครับแต่รออยู่อะไรประมาณนี้ แต่ผมยังให้ไม่ได้ว่ะ ก็คนมันไม่มีให้ มึงจะเอายังไงฮะ?


แต่ก็นะ


ผมชอบบีม


คำนี้คงจะจริง


อย่างที่ศรันย์บอก กูก็โง่ถามคนอื่นอยู่ตั้งนาน อยากให้คนอื่นมาช่วยตัดสินความรู้สึกตัวเอง โดยลืมไปเลยว่ามันเป็นเรื่องของผมกับบีมสองคน เป็นความรู้สึกของผมกับบีมเท่านั้น กูจะถามคนอื่นทำซากอะไร เออ


และพอผมได้มองย้อนกลับมาถามตัวเองอีกครั้ง


เอ้อ ผมก็ว่าผมชอบบีม


แต่ก็ยังไม่กล้าบอกอยู่ดี


ลีลาชิบหาย


แต่ผมว่าผมอยากจะบอกชอบบีมนะ เดี๋ยวหาวันเวลาเหมาะๆ สถานที่ดีๆ เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกว่านี้แล้วผมจะบอกมันทุกอย่างเลย

“อ้าว น้องมุ่ย”

“น้ำ...น้ำตาล”

เสียงหวานใสเรียกชื่อผมทำให้ต้องหันกลับไปมอง สายตาก็เจอกับน้ำตาลคนสวยยืนยิ้มหวานโบกมือน้อยๆ ให้ผม ข้างๆ กันนั้น...


พูดถึงหมี หมีก็มา


แต่หมีมาพร้อมน้ำตาล


“น้องมุ่ย”

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู” กูเขิน

ผมพยายามเลี่ยงไม่สบตากับบีมแล้วมองที่น้ำตาลแทน กูไม่น่าคิดถึงมึงเล้ย แค่คิดอะมึงก็มาแล้ว กูจะบ้าตาย แม่งมีพลังจิตปะเนี่ยถามจริง

“มากินข้าวเหรอ” น้ำตาลถามเสียงใส ทำให้ผมอดแย้มยิ้มให้กับออร่าความสวยของเธอไม่ได้

“อื้อ”

“มานั่งทานด้วยกันไหม เรามากับบีมสองคน”

“คือเราสั่งใส่กล่องไว้แล้วอะ” ผมยกนิ้วชี้ไปทางข้างหลัง เป็นเชิงปฏิเสธ

“เดี๋ยวเราไปบอกป้าให้ ทานเป็นเพื่อนเราสองคนหน่อยน้า นะคะ” น้ำตาลส่งสายตาอ้อนผม...โอย ดาเมจรุนแรงมาก เอื้อ!

“ให้มันน้อยๆ หน่อย” บีมเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ ผมเหล่ตามองมันนิดหน่อยก็เห็นว่าบีมทำหน้าบูดมองอยู่เหมือนกัน

“งั้นเดี๋ยวเราไปบอกป้าให้ น้องมุ่ยสั่งอะไรนะ”

“ข้าวไข่เจียวหมูสับ...แต่ เราว่าเรา-”

“น่าๆ นั่งคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวเราไปสั่งข้าวแป้ป” ยังไม่ทันปฏิเสธ น้ำตาลก็อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเดินลิ่วออกไป เหลือแค่ผมที่นั่งเขี่ยโต๊ะกับบีมที่ยืนมองอยู่

“ไม่ทักกันเลยนะ” หางตาเห็นบีมนั่งลงที่ม้าหินอ่อนข้างๆ กัน


ผมจะไม่ตอบมัน หน้าแม่งก็จะไม่มอง


“ถามไม่ตอบ”


บีมเป็นอากาศ บีมเป็นอากาศ บีมเป็นอากาศ


“วันนี้เจอเพื่อนน้อง ชื่ออะไรนะ ปีโป้รึเปล่า เห็นบอกว่ามุ่ยออกไปทำธุระ คิดว่าจะไม่ได้เจอกันซะแล้ว”


คิดซะว่าเป็นเสียงหมาเสียงแมว


“ไม่มองหน้ากัน ไม่ตอบกัน...หรือว่ายังโกรธที่พี่จะ -”

“ไม่! ไม่ใช่! พูดอะไรบีม พูดดีๆ นะมึง” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ แล้วรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าบีมจะพูดถึงเรื่องวันนั้น

“มองกันแล้ว” ใบหน้าหล่อเอียงคอมองผมแววตาเป็นประกายตามแบบฉบับเจ้าตัว

“ไม่ต้องมายิ้ม หันหน้าไปเลย” กูบอกว่ากูเขิน กูเขิน!

“วันนี้น้องมุ่ยเป็นอะไร ดูแปลกๆ นะ”

“เรื่องของกู”

“ปกติเวลาเถียงจะสบตาตลอด วันนี้ดันหลบตากัน...” คนตัวสูงยกแขนขาวขึ้นมาเท้าคาง ตาคมจ้องมาที่ผมด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

“อย่ามาจ้องกันดิ้...” เจ้าของมือแกร่งยื่นออกมาหมายจะแตะใบหน้าผม ผมหันหน้าหนีแล้วยกมือตัวเองตีลงบนมือใหญ่อย่างแรง


เพียะ!


“ใช้กำลังด้วย สงสัยเขินที่จูบวันนั้นจริงๆ”

“บีม!”

“โวยวายอีก ชอบ”


ขนาดผมถลึงตาใส่มัน แต่บีมก็ยังทำหน้าระรื่นแถมแกล้งทำปากจู๋ส่งเสียงจุ๊บๆ ออกมาให้ผมขึ้นอีก


“ไอ้บีม!”

“อืม สงสัยยังเขินไม่หายจริงๆ ด้วย”

“บีม! ชู่ว! ชู่ว!” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก เป็นท่าท่างที่บอกให้บีมเงียบ แต่คนตัวสูงก็เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ ทำให้ผมอยากจะตีมันอีกสักป้าปให้แม่งกระอักเลือดตายไปเลย

“...ชู่ว” บีมถือโอกาสจับมือผมให้เลื่อนไปยังริมฝีปากเจ้าตัว จนรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มที่ปลายนิ้ว จากนั้นบีมก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ เหมือนที่ผมทำ แล้วกดใบหน้าลงมาใกล้ ในระยะที่เราสองคนสบตากันได้พอดี

สายตาคมที่จ้องมองมาพาให้ตัวผมนิ่งเกร็ง รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่พุ่งขึ้นสูงและมารวมกันอยู่ที่ใบหน้า พยายามจะหลบตาแต่บีมก็จะยิ่งกระชับข้อมือและกดลง ให้นิ้วผมทาบทับกับริมฝีปากของบีมมากขึ้น

“เรื่องนี้ ต้องรู้กันแค่สองคนสิ เนอะ”


จุ๊บ


เสียงสัมผัสระหว่างริมฝีปากกับปลายนิ้วอย่างบางเบา แต่ก็ดังพอให้เราสองคนได้ยิน บีมผละออกใบพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างพอใจที่ได้แกล้งให้เขิน ในขณะที่ตัวผมนั้น


“ไอ้บีม! มึง!”

“โอ๊ย! น้องมุ่ย หยิกกูทำไมเนี่ย เจ็บๆ ฮ่าๆ”

“เมื่อกี๊มึงทำอะไร ห๊า! ทำอะไร!”


ผมบิดนิ้วลงกับไหล่หนาอย่างแรงโดยที่บีมยังไม่ทันตั้งตัว จนมันต้องเอี้ยวตัวหนีเพราะความเจ็บ แต่ก็ยังดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ผมจึงเพิ่มแรงอีก มึงตัวช้ำกลับบ้านแน่ ไอ้บีมบ้า!


โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!


ไอ้บีม! ไอ้คนเหี้ย!


“จุ๊บหน่อยเดียวเอง เจ็บๆ !”

“หน่อยเดียว เหรอ หื้อ!”

“เจ็บครับเจ็บ กูเจ็บแล้วน้องมุ่ย ซี้ด ปล่อยก่อนนะ” ผมหาที่ว่างตรงอื่นบนร่างกายของบีม เพื่อที่จะหยิกมันจนบีมต้องยกมือขึ้นปัดป้องเป็นพัลวันไม่ให้ผมเข้าถึงตัวมันได้

“มึงกล้าทำบัดสีกับกูแม้แต่ในร้านข้าว หน๊อย กูจะหยิกมึงให้เนื้อหลุด ไอ้คนหน้าด้าน!” ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของคนในร้านที่มองมาที่เราสองคนอย่างใส่ใจ แต่แล้วไงวะ กูไม่สนแม่งแล้ว วันนี้กูจะหยิกให้มันเขียวทั่วตัวเลย

“ความจริงอยากจะกัดด้วยซ้ำ แต่กลัวน้องเป็นรอย มันมันเขี้ย – โอ๊ย!”

“หยุดพูดเลย! ไม่ต้องพูด!”

“หน้าแดงเพราะเขินกันใช่ไหม ดูออก”

“ก็บอกว่าอย่าพูด! บีม!” ผมเม้มปากแน่น ทั้งโกรธทั้งเขินที่มันพูดออกมาอย่างไม่อายคนรอบข้าง แถมยังหัวเราะกว้างดูสะใจที่ยั่วโมโหกันได้ ผมเปลี่ยนจากจะหยิกมาเป็นยกกำปั้นขึ้นหมายจะทุบบีมให้หลังหัก แต่น้ำตาลก็เข้ามาห้ามทัพซะก่อน

“มาแล้วๆ เล่นอะไรกัน บีม แกแกล้งอะไรน้อง คนในร้านมองใหญ่แล้ว” ผมส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ เตะขาบีมไปทีนึงเป็นการส่งท้าย

“เปล่า” บีมลูบแขนตัวเองตรงที่ผมหยิกทำหน้าทำตาแด๊ะแด๋ เหมือนร่างกายต้องการยาแดงขนาดหนัก มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ เดี่ยวๆ นอกร้านไหมกูจัดให้ได้ อย่าลืมว่านี่ใคร นี่เฮียมุ่ย! พ่อทุกสถาบันนะโว้ย!


แม่ง มันกวนตีนผมอะ ทุกคนดู


“เป็นอะไรรึเปล่าคะน้องมุ่ย มันแกล้งอะไร บอกเรา เดี๋ยวเราจัดการมันให้” น้ำตาลหันมาถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง พลางส่งมือมาจับแขนผมสองข้างแล้วพลิกไปมา

“เอามือแกออกจากแขนน้องดิ้ ตาล”

“เอ๊ะ แตะนิดแตะหน่อยทำมาเป็นเสียงเข้ม”

“ปล่อยน้องมุ่ย” ผมมองเห็นรังสีฟาดฟันกันระหว่างบีมกับน้ำตาล สายตาที่ทั้งคู่มองกันเหมือนกับว่ารู้อะไรบางอย่างของกันและกัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


...รู้สึกอยากมองบน


ทำไมต้องมีโมเม้นมองตาก็รู้ใจด้วยอะ


โห่


“มันไม่ได้ทำอะไรน้องมุ่ยจริงๆ ใช่ไหมคะ”

“ก็บอกว่าไม่ แกจะเอาไงวะตาล” บีมเริ่มขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเห็นว่าน้ำตาลไม่ยอมปล่อยแขนผมสักที กลายเป็นผมที่ต้องค่อยๆ แกะมือเธอออกอย่างเบามือแทน


รู้สึกยิบๆ ในหัวใจแปลกๆ


“ให้มันจริง” น้ำตาลพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย แล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผม

“เออนี่ ความจริงเรามีเรื่องจะคุยกับน้องมุ่ยด้วยล่ะ” น้ำตาลหันมายิ้มหวานให้

“มีอะไรเหรอ”

“ก็เสาร์อาทิตย์นี้เราว่าง ว่าจะไถ่โทษที่ผิดสัญญาตอนนั้น”

“หือ” ขยายความอีกได้ไหมคนสวย พี่มุ่ยงง

“เราไปถ่ายรูปกันไหม”

“ห้ะ/ไม่” เสียงแรกคือเสียงคือผมที่กำลังงุนงง แต่เสียงที่สองเป็นของบีมที่ปฏิเสธออกมาหน้าตาเฉย

“แกไม่เกี่ยวปะบีม เงียบๆ เหอะ” เออ ต้องเป็นกูที่ตัดสินใจปะวะ แถวบ้านเรียกเสือกแล้วอย่างนี้

“ไม่มีความจำเป็นต้องถ่ายอะไรอีกแล้ว อย่าไปเซ้าซี้มุ่ย” บีมตีหน้าขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เรื่องของฉัน”

“เรื่องของแกคือมีมุ่ยมันอยู่ด้วย”

“แล้วยังไง”

“น้ำตาล”

“บีม”

ผมนั่งเงียบฟังคนทั้งคู่เถียงกันด้วยความรู้สึกประหลาด อาการก่อนหน้านี้คือหดหายกลับไปอยู่ในซอกหลืบเดิม เหลือแต่อารมณ์ขุ่นมัว เหมือนมีหมอกปรากฏขึ้นอยู่จางๆ


อ๋อ...


นั่งคู่กันอย่างนี้ดูเหมาะกันดี คนหนึ่งก็หล่ออีกคนก็สวย ถึงว่า ใครๆ ก็คิดว่าเป็นแฟนกัน


หน้าตาดีทั้งคู่


อืม


“ว่าไงคะ น้องมุ่ยตกลงไหม”

“คือเรา...”

“น้องมุ่ย กูไม่ให้ไปนะ” บีมพยายามส่งสายตาบอกกับผมว่าไม่ให้ไป เหอะ

“โอเคครับ วันเสาร์หรืออาทิตย์ดี” ผมเมินบีมแล้วยิ้มรับให้กับน้ำตาล


เบื่อแม่งแล้ว


“เย่ เราให้น้องมุ่ยเลือกเลย เราเชื่อใจ” คนสวยยิ้มออกมาด้วยความดีใจอย่างสุดๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปด้วย คนสวยนี่เวลาเขาทำอะไรก็น่ามองไปหมด จะหน้ายิ้ม หน้าบึ้ง หน้าโกรธ ก็ยังดูสวยอยู่ดี

“รำคาญแกจริงๆ เลยว่ะตาล”

“สมน้ำหน้า แบร่”

หลังจากนั้นผมก็นั่งฟังทั้งสองคนเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟังดูก็จับใจความไม่ได้เหมือนเถียงกันไปอย่างนั้นแล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย โดยมีผมเป็นตัวกลางคอยออกความเห็นช่วยน้ำตาลอยู่เสมอ

เขาเพื่อนกันเขาก็รู้จักกันดี น้ำตาลเล่าเรื่องบีมให้ฟังหลายเรื่อง ผมก็หัวเราะแหะๆ พอเป็นพิธี พอทั้งคู่เถียงกันผมก็นั่งเงียบเหมือนเดิม และพยายามโวยวายไม่ให้ผิดสังเกต ไม่ให้บีมรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

เออ เขาก็เหมาะกันดีนี่หว่า ดูดิ แค่มองตาก็รู้ใจ ผมรู้ว่ะผมดูออก ทั้งสองคนเหมือนมีซัมติงอะไรกันสักอย่างที่ไม่อยากให้ผมรับรู้ พอเอ่ยเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผม ไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องหาเรื่องคุยอื่นเพื่อเบี่ยงประเด็น ผมรู้สึกตื้อๆ ยังไงไม่รู้เหมือนกันว่ะ

โถ ตัวกูก็วุ่นวายหาคำตอบอะไรนั่นตั้งนาน ยึดติดอยู่แค่กับคำว่าบีมชอบตัวเองจนเป็นบ้า ที่ผ่านมาบีมแม่งเอาแต่หยอกผม ไอ้เราก็เชื่อ แต่มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้มั้ง


แกล้งผมอีกรึเปล่าก็ไม่รู้ บีมมันชอบทำอะไรอย่างนี้อยู่แล้วอะ


แกล้งๆ บอกชอบผมไรงี้


รู้สึกใจมันฟีบๆ


โครงการบอกรักก็พับเก็บไว้ก่อนนะทุกคน แม่งยังไม่ทันเริ่มสร้าง งบก็หมดซะแล้ว เวรเอ้ย


เซ็ง



.

.

.



หลังจากที่ทานข้าวกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งผมก็ทานได้น้อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่อยากไปร้านนั้นอีกแล้ว ผมกับเขาสองคนแยกกันกลับ ได้แต่ยืนมองบีมกับน้ำตาลเดินหันหลังคู่กันไปด้วยความเซ็ง แล้วบึ่งรถกลับมาที่หอ ขึ้นไปเก็บของนิดหน่อยแล้วลงมานั่งรอเฮียครามหน้าหอ

พอนั่งเงียบๆ คนเดียวได้สักพักก็เริ่มฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องเมื่อตอนเย็น นี่กูไอ้มุ่ยคนเดิมรึเปล่า ปกติไม่พอใจอะไรโวยวายแล้วนะ แต่แม่งก็ได้แต่นั่งบื้อตบมือแปะๆ อยู่อย่างนั้น ทั้งที่ในใจผมนะ แทบร้อนเป็นไฟ


แดกข้าวคนเดียวไม่เป็นไง๊ ทำไมถึงต้องมาด้วยกัน


เพื่อนก็มีตั้งเยอะตั้งแยะไม่ชวนมาอะ


มองตากันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ท้องแล้วมั้ง


จะพูดก็พูดทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง ปากอมเหี้ยไรไว้ล่ะ


ให้ตายเหอะ ในสมองผมมีแต่ประโยคพวกนี้ลอยวนเต็มไปหมด ไม่อยากจะคิดแบบนี้เลย ก็รู้แหละครับว่าเป็นเรื่องของเขา ความลงความลับระหว่างเพื่อนกับเพื่อนมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่มันอดไม่ได้จริงๆ ว่ะ นี่กูเป็นเหี้ยอะไรฮึ ความวัวยังไม่ทันหายความบีมเข้ามาแทรกอีกละ


ปิ๊น!


เสียงแตรรถดังขึ้น เรียกให้ผมเงยหน้ามอง ก็พบกับรถคันสีดำสนิทจอดอยู่ริมฟุตปาธ กระจกรถค่อยๆ ลดลงมาจนเห็นใบหน้าของคนขับที่รู้จักดี

“ขึ้นรถเร็วไอ้หนู” เฮียครามกวักมือเรียก ผมจึงเก็บข้าวของตัวเองแล้วเดินเอื่อยๆ เข้าไปหา ถึงจะเพิ่งเลิกงานแต่หน้าเฮียมันก็ยังหล่อดูดี ไม่พังไม่โทรมแต่อย่างใด เหอะ หมั่นไส้ว่ะ

ผมเปิดประตูรถ โยนสัมภาระไว้ที่เบาะหลังก่อนจะปิดประตูพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เฮียก็เริ่มออกรถทันที โดยระหว่างนั้นผมก็เงียบมาตลอดทาง จนเฮียครามต้องเปิดปากเริ่มบทสนทนาก่อน

“เฮียโทรถามน้อง วันนี้ใสมันทำน้ำเงี้ยวว่ะ ได้ยินละน้ำลายไหลเลย”

“...”

“เดี๋ยวแวะซื้อแคปหมูร้านหน้าหมู่บ้านสักสองถุงด้วยดีกว่า”

“...เฮ้อ” ถอนหายใจยังไงให้รู้ว่าเครียด

“วันนี้พระนายโทรมาหาด้วย คุยกันนานมาก ห้านาทีแหน่ะ บ้าบอ เฮียเขินมาก”

“เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ”

“เห็นว่ากำลังจะไปเที่ยวลาว น่าจะกลับปีหน้านู่น เสียดายเฮียไม่ว่าง”

“ไอ้เฮีย!” ถอนจนจะหมดปอดแล้วนะ ยังไม่สนใจกันอีก! เฮียครามแม่ง!

“อะไร...เฮียกำลังขิงให้ฟังเนี่ย” ท่าทางชิวๆ กับน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนทำผมมุ่ยหน้าอย่างไม่ชอบใจ สนใจกันหน่อย นี่น้องนะโว้ย

“มาขงมาขิงอะไรไม่อยากฟังทั้งนั้นอะ ข้ากำลังไม่สบายใจอยู่ เอ็งเห็นไหมเฮีย”

“เห็น ก็เอ็งไม่เล่าสักทีเอาแต่นั่งเงียบ เฮียก็เลยพูดก่อนไง จริงๆ ข้าอยากจะอวดที่นายโทรมาหาแค่นั้นแหละ”

“รำคาญว่ะ”

“หึ แล้วตกลงเป็นอะไร”

“...”

“ถ้าเงียบเฮียจะขิงต่อล่ะนะ” เอ็งให้โอกาสข้าเรียงลำดับความคิดหน่อยไหมล่ะ ยังเงียบไม่ถึงห้าวิเลย ปั้ดโถ๊ะ

“พอๆ คืองี้”

“ดราม่ามากปะ เดี๋ยวหยิบทิชชู่ก่อน”

“กูไม่เล่าแม่ง” เฮียกวนตีนได้ใครกูถามจริง

“เออออ เฮียล้อเล่น อยากให้อารมณ์เย็นลงเฉยๆ หรอก”

“ถ้าเฮียเห็นคนที่แบบ เข้าใจปะว่า เออ คนที่เราจะชอบๆ อะนะ เขาคุยงุ้งงิ้งๆ กับคนอื่น แล้วเฮียก็ไม่พอใจ ไม่ดิ เฮียรู้สึกเซ็งๆ อยากพังโลกของเขาสองคน...”

“...”

“มันหมายความว่าไงอะ” ผมหันทั้งตัวตะแคงกับเบาะรถมองใบหน้าด้านข้างของพี่ชายตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยและต้องการคำตอบ

“ถึงขนาดอยากพังโลกเลย?”

“ก็...เออมั้ง”

“มึงนี่เหมือนนายไม่มีผิด นี่น้องเก๊ของกูรึเปล่า” เฮียครามหัวเราะออกมาแต่ก็ยังไม่ตอบคำถาม

“เอาดีๆ ดิ้เฮีย”

“หึง”

“อ๋อ หึง - ห้ะ? ว่าไงนะเฮีย ขออีกที” ผะ...ผมว่าผมได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

“หึงไง หึงคนที่ชอบ ไม่อยากให้เขาไปคุยระริ้กระรี้กับคนอื่น”

“ฮะ...เฮียรู้ได้ไง มั่วเปล่า”

“ก็ถึงได้บอกไงว่ามึงกับพระนายน่ะ เหมือนกันเปี๊ยป” เฮียครามละมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งมาขยี้ผมของผมจนผมที่มัดไว้คลายออก พลางทำหน้าเอ็นดูซะเต็มประดา

“...”

“เด็กโง่ บอกชอบเขาไปรึยังมึงอะ”

“ยังเลยว่ะเฮีย ไม่พร้อม” ผมดึงหนังยางออกมา แล้วยกมือขึ้นรวบผมเพื่อที่จะมัดใหม่

“ทำไมไม่บอก คนอย่างเอ็งมีคำว่าไม่พร้อมอยู่ในหัวด้วย?” เฮียเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ เออ ผมก็นึกงงในตัวเองเหมือนกัน ที่เป็นได้ถึงขนาดนี้


หมายถึงการชอบใครสักคนมันทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองล่ะนะ


“ก็จะพูดอยู่หรอกแต่เจออย่างที่เล่าให้ฟังไง เลยพับโครงการไว้ก่อน”

“เขาไม่ชอบเอ็ง?”

“คือมันเคยบอกว่าชอบว่ะเฮีย แต่นิสัยมันขี้แกล้ง ชอบปั่นหัวกันตลอด ข้ากลัวมันหลอก” ลองปรึกษาเฮียมันดูละกัน เผื่อจะได้แนวคิดดีๆ

“งั้นก็ไม่ต้องบอก”

“เอ้า เฮียอย่ามาเสียงแตกนะ คนอื่นเขาเชียร์ให้บอกชอบกันหมด” ผมทำเสียงประหลาดใจที่จู่ๆ เฮียดันพลิกโผซะงั้น

“แล้วไง ถ้าจะนิสัยเหี้ย ก็อย่าเสียเวลามุ่ย คำบอกชอบของมึงมีค่ามากกว่านั้น” เฮียหันมาสบตาผมแวบหนึ่งอย่างจริงจัง แววตาไม่มีล้อเล่น ทำให้ผมรู้สึกตัวหดเล็กลง


เวลาเฮียครามไม่อยู่ในโหมดติงต๊อง ผมล่ะไม่ชอบเลย เหมือนโดนดุ


“เฮียอย่าว่ามัน...มันแค่ขี้แกล้งเฉยๆ หรอก มาฮงมาเหี้ยอะไรล่ะ วู้” บีมไม่ได้เหี้ยจริงๆ นี่นา มันแค่แด๊ะแด๋ของมันไปเรื่อยก็เท่านั้นเอง ใครก็รู้

“งั้นก็แล้วแต่เอ็งเถอะ อย่ามาร้องไห้แงๆ ให้เห็นแล้วกัน”

“เฮียแม่ง”

“เออๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ไม่นิยมเอาความเครียดกลับบ้านโว้ย”

“เฮียครามอย่ายังงี้ดิ คุยกันก่อน” ผมกระตุกเสื้อเฮียครามให้กลับเข้าประเด็นเดิม แต่เหมือนเฮียมันจะสติหลุดไปแล้ว ท่าทางอย่างนี้แม่งหิวข้าวชัวร์

“พูดมาก ลงไปซื้อแคบหมูเลยไป เร็วๆ” เฮียจอดรถหน้าร้านขายอาหารตามสั่งหน้าหมู่บ้านแล้วเร่งให้ผมลงไปซื้อมาให้มัน

เอ้อ! ช่างแม่งแล้วกัน ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

“โว้ย!”



.

.

.



ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 20 คนน่ารักมักใจร้าย (UP) 15/06/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 15-06-2019 03:27:34
ต่อตรงนี้จ้า



[ช่วงบ่ายของอีกวัน]


ตึกๆ


“เฮียมุ่ย เดินลงบันไดเบาๆ” เสียงน้องสาวคนสวยดังมาจากทางห้องนั่งเล่น ขณะที่ผมแลนดิ้งถึงพื้นพอดิบพอดี เลยหันไปส่งยิ้มแหะให้

รีบมาก ผมรีบสุดๆ กูตื่นสายอีกแล้ว แม่งอุตส่าห์นัดน้ำตาลไว้ซะดิบดี แต่เมื่อคืนผมมัวนั่งแต่งรูปจนเกือบเช้า คือเพิ่งนึกได้ว่ามีงานค้างไว้ เกือบส่งงานไม่ทันซะแล้วไม่งั้นนะผมเสียเครดิตหมด พอทำเสร็จแล้วได้นอนก็เพลินจนตื่นสาย ดีนะที่บอกน้องไว้ก่อนว่าให้ปลุกด้วยถ้าผมไม่ตื่นจริงๆ

“ใส เฮียไปก่อนนะ” ผมเดินไปจุ๊บเหม่งฟ้าใส รีบวิ่งออกจากบ้านคว้าน้ององุ่นมาเสียบกุญแจรถ แล้วรีบบิดออกไปทันที หวังว่าน้ำตาลจะยังไม่มานะครับ


แม่งเหตุการณ์ดูคุ้นๆ ขออย่างเดียวเลยไม่เอาบีมอีกแล้ว บีมไม่ต้องมาเลยนะ

ไม่อยากเจอหน้ามันเลย ถ้ามันมางุ้งงิ้งๆ กับน้ำตาลอีก ผมต้องหงุดหงิดหัวร้อนพาลจนงานเสียชัวร์ ดังนั้นผมภาวนาก่อน อย่ามาๆ สาธุๆ


เพี้ยง!



.

.



“ไง น้องมุ่ย”


ฆ่ากูเลยเถอะ เอาปืนมายิงกูเลย


“ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นก็ได้นะ หึ” อืม หน้ากูคือแฮปปี้มาก หยังตุ๊เจ้าบ่าฟังกั๋นพ่อง มันเป็นจะใด หื้อ มันเป็นจะใด!


ผมแก้แค้นโดยการโยนของทุกอย่างไปให้มันเฝ้า ให้มันถือของแบกกระเป๋าจนแขนหักไปเลย!


ตัวผมน่ะมาได้ทันเวลาอย่างเฉียดฉิวเหมือนคราวที่แล้วไม่มีผิด ระหว่างรอน้ำตาลผมก็ออกไปดูมุมถ่ายภาพกับพี่เจ้าของร้าน ตอนแรกยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะใช้โลเคชั่นที่ไหนดี เลยลองปรึกษากับเฮียเพลินดู เผื่อแกจะรู้จักที่เด็ดๆ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง แกแนะนำร้านนี้มาแถมยังบอกอีกว่าร้านสวยมาก มุมถ่ายรูปเยอะ

ร้านนี้เป็นของเพื่อนสมัยมหาลัยของเฮียเพลิน เฮียแกเลยลองคุยให้ก็สรุปว่าโอเค แต่จะได้แค่โซนข้างนอกกับโซนอาร์ตแกลลอรี่เท่านั้น ด้วยความที่ยังไม่เคยเห็นสถานที่จริงผมเลยคิดธีมไม่ออกว่าจะให้ภาพของน้ำตาลออกมาในแบบไหน แต่ก็ได้บรีฟน้ำตาลไว้แล้วว่าเอาสไตล์ที่เธอชอบเลย จะได้ไม่ดูฝืนเวลาเป็นแบบให้ผม

ซึ่งเท่าที่เดินดูและได้พูดคุยกับพี่เจ้าของร้าน ผมก็เริ่มได้ไอเดียอยู่บ้างละ ประจวบเหมาะกับน้ำตาลมาพอดี ซึ่งเป็นลุคที่ผมโคตรละพอใจ ลุคเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ มันเข้ากับคอนเสปต์ที่ผมคิดไว้เป๊ะอย่างกับจับวาง


แต่ที่ไม่พอใจก็คือ บีมมันมาด้วยทำไมหื้อ


ยิ่งไม่อยากเห็นหน้ายิ่งมาให้เจอ


ฮึ่ย


“น้องมุ่ย พี่ห้ามมันไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะคะ” ผมหันมองน้ำตาลด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจเป็นอย่างดี

“เรารู้ๆ บีมหน้าด้านอย่างนี้ตลอดแหละ” ผมเหล่ตามองบีมพลางเบะปากอย่างรำคาญใจ

“ถ้าไม่หน้าด้านก็คงไม่ได้จะ -”

“เอ้ออออ! เดี๋ยวเราพาไปดูโลเคชั่นดีกว่า ผมมาร์กที่ไว้หลายจุดเลย เดี๋ยวน้ำตาลลองไปจัดมุมจัดท่าให้เราลองกล้องก่อนนะ” ผมรีบพูดแล้วพาน้ำตาลไปมุมอาร์ตแกลลอรี่ก่อน ไม่ลืมที่จะหันกลับมามองบีมอย่างคาดโทษไว้ ผมชูสองนิ้วชี้ที่ตาตัวเองสลับกับบีมในระดับเดียวกัน แต่นอกจากมันไม่สะทกสะท้าน ยังส่งมินิฮาร์ททึมาให้ผมพร้อมขยิบตาเจ้าเล่ห์ด้วย


เดี๊ยว! เดี๋ยวมึงเจอกู๊


มึงรอเล้ย!


.

.



“น้ำตาลกดหน้าลงหน่อยนะ อย่างนั้น โอเค” ตอนนี้เราเปลี่ยนโลเคชั่นมาถ่ายข้างนอกแล้ว หลังจากที่ถ่ายข้างในมาประมาณชั่วโมงกว่า และน้ำตาลก็มาไทป์เดียวกับบีมเลยครับ ภาพเสียน้อย แทบไม่ต้องแก้อะไรเลย เธอทำตามที่ผมบอกได้ทุกอย่าง การจัดระเบียบร่างกายก็โคตรดี ทำเซียนเหมือนเรียนมา ผมล่ะชอบมาก ถ่ายซะเพลินเลย


ส่วนบีมน่ะเหรอ


เฮอะ


“ไอ้น้อง! เอาน้ำมาดื่มดิ้ ร้อนจะตายอยู่แล้วเนี่ย” ผมลดกล้องลงบอกน้ำตาลว่าพักสิบนาที เธอเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน เช็ครูปจนพอใจ ก็เงยหน้าขึ้นเห็นบีมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ได้ที ผมเลยแกล้งยกมือขึ้นพัดๆ ตัวเองแสร้งทำเป็นร้อนมาก แล้วเรียกบีมให้เอาน้ำมาให้

“เรียกกู?”

“เรียกหมามั้ง เร็วดิไอ้เจ้าคนใช้” ผมเท้าเอวยืนพักเท้ากระดิกนิ้วเรียก บีมเลิกคิ้วมองแล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินมาหาผม แหะ เชื่องดีจัง


ป็อก!


“เอ๊ะ!” ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจเพราะบีมยกแก้วน้ำขึ้นมาเคาะศีรษะ กะว่าจะด่ากลับไปแต่มันดันยื่นหลอดเข้าปากผมก่อนพอดี

“หิวไม่ใช่รึไง”

“อื้อๆ” ผมส่งเสียงในลำคอเถียงมันกลับพลางดูดน้ำไปด้วย บีมก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับความพยายามของผม

“ใกล้เสร็จรึยัง กูต้องรีบกลับนะ มีงานต่อ” ผมผละหลอดออกแล้วหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทำไมแค่ดื่มน้ำถึงเหนื่อยขนาดนี้วะ เฮ้อ

“เหลืออีกเซ็ตนึง ทำไม หวงนักรึไง”

“หวง?”

“เออ ทำมาเป็นรีบ โถ้ะ หวงเขาก็พูด ไม่อยากให้เขาอยู่กับกูสองต่อสองก็พูด” ผมเบะปากแค่นเสียงหัวเราะ พูดกระแนะกระแหนให้มันฟัง ซึ่งบีมก็ได้แต่ทำหน้างง


ชิชะ ทำแกล้งนะมึงอะ


“มึงหมายความว่าไงวะน้องมุ่ย รู้สึกแหม่งๆ”

“ไม่รู้สิ้ ใหญ่แล้ว กึ้ดเอง หยังต้องมาหื้อฮาบอก” ผมลอยหน้าลอยตาเดินหนีห่างจากบีมไปอีกมุม แต่มันดันคว้าแขนผมไว้ก่อน

“เดี๋ยวน้อง -”

“น้องมุ่ย โทษทีนะ พอดีเราแอบไปสั่งชาเขียวมา” น้ำตาลเดินเข้ามาพอดีทำให้บีมต้องหยุดการกระทำของตัวเอง ยืนมองผมสลับกับน้ำตาลอย่างใช้ความคิด

“มองอะไรของแก”


เฮอะ! ดูเด่ะ พอน้ำตาลมามันก็ปล่อยผม แม่งกลัวเขาเข้าใจผิดมากมั้ง


โด่ว


“งั้นกูกลับก่อนนะตาล ไอ้ปั้นโทรตาม” อะ...อ้าว รีบจริงเหรอ กูก็นึกว่าอ้างเฉยๆ เจอหน้ากันแป้ปเดียวเอง

“เออ ไปเหอะ เดี๋ยวเรียกแกร็บกลับเอง”

“กูไปแล้วนะน้องมุ่ย ถ้าตาลพูดอะไรก็อย่าไปฟังมันมาก ชอบพูดจาเลอะเทอะ” บีมมองผมด้วยแววตาเอ็นดูพลางยกมือขึ้นลูบแก้มผมแล้วหยิกเบาๆ จากนั้นก็ผละออกไปเพราะผมยกมือทำท่าจะตีมันก่อน


ก็...ก็มันเขินไหมอะ มาลูบกันทำไมวะ น้ำตาลก็อยู่


“เออ กูไปละ ของพี่บีมวางไว้ตรงนั้นนะมุ่ย อย่ากลับเย็นมากรู้ไหม” บีมชี้เหล่าข้าวของของผมที่วางกองอยู่บนโต๊ะตัวเดิม แล้วหันมาเตือนผมอีกที

“โอ๊ย! เสียงสอง!” น้ำตาลเหล่ตามองบีมอย่างหมั่นไส้ บีมเลยยกมือขึ้นผลักไหล่น้ำตาลเบาๆ แล้วยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ


แล้วก็หยอกกันต่อหน้ากู


เออ


“ไปแล้ว” บีมโบกมือลาแล้วเดินออกไป ผมมองจนลับสายตาแล้วหันมามองน้ำตาล เธอโบกลาบีมด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาดูสดใสชวนให้ยิ้มตาม เขาสองคนก็ดูสนิทกันจริงๆ นั่นแหละ


~ใครจะมาแทรกกลาง ระหว่างเรา

รู้ไว้นะว่าเขาไม่มีวันเข้ามาได้~



เพลงเก่ามาก แต่ตรงกับความรู้สึกของผมตอนนี้มากเช่นกัน คือทุกคนเข้าใจปะว่า พอเราเห็นคนที่เราชอบอยู่กับคนที่เหมาะกับเขามากกว่าในทุกด้าน ย้ำว่าในทุกด้าน อย่างนี้แล้วผมจะเอาอะไรไปสู้เขาวะ แค่หน้าตาก็แพ้แล้ว


เธอสวย ผมหล่อ อย่างนี้มันเทียบกันไม่ได้


แถมยังสนิทกันมาก่อนอีก รู้ใจกันไปหมดทุกอย่าง ในขณะที่ผมรู้แค่ผิวเผิน บีมเป็นพี่บู บูเป็นน้องบีม เนี่ย กูจะเอาตรงไหนไปแทรกกลางระหว่างเขา

“น้องมุ่ย”

“อะ..ครับ เราถ่ายต่อกันเลยไหม” น้ำตาลมองผมดูเหมือนเธองงๆ ว่าผมจ้องเธอทำไม

“อื้ม แต่...”

“หือ?”

“ระหว่างถ่ายขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”

“อ่อ ได้ครับ” ผมยิ้มรับไม่ปฏิเสธ สงสัยน้ำตาลคงจะประหม่ามั้ง บีมไม่อยู่ด้วย คงอยากจะพูดคุยเพื่อให้บรรยากาศมันผ่อนคลาย ไม่เครียดมาก ผมได้หมดอะ ปกติก็ชอบชวนนางแบบคุยอยู่แล้ว ไม่งั้นระหว่างกันมันจะอึดอัดทำให้ตัวคนเกร็ง ภาพก็จะออกมาไม่ได้มู้ด สุดท้ายก็ถ่ายไปเหนื่อยเปล่า

ผมพาเธอเดินไปอีกมุมนึง จัดท่าทางให้เธอ ดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็เดินออกมา แล้วเริ่มถ่ายภาพ

“มองไปทางซ้ายนิดนึงครับ ยื่นขาออกมาหน่อย ดี...”

“มุ่ยชอบเราเหรอ”


ปึ่ก!


กล้องในมือร่วงลงกระแทกกับหน้าอกดังอั่กเมื่อได้ยินประโยคนั้น ทำให้การถ่ายภาพหยุดลงชั่วขณะ ผมมองน้ำตาลอย่างตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจู่ๆ เรื่องคลายเครียดของเราจะเป็นแบบนี้ ยะ...ยังไม่ทันตั้งตัวเลย

“ว่าไงคะ?”

“คือเรา...”

“คะ?” อย่าคาดคั้นผ๊ม

“กะ...ก็ชอบ” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก เหตุหนึ่งก็เพราะกลัวว่าน้ำตาลจะโกรธรึเปล่า และอีกเหตุผลก็คือ ผมรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้คิดอย่างนั้นมานานแล้ว จนลืม


เออ...ไอ้เหี้ย กูลืมเลยว่าเคยชอบน้ำตาล


“ชอบเราจริงๆ เหรอ” ดวงตาคู่สวยจ้องมาที่ผมอย่างต้องการคำตอบที่ชัดเจน

“คืองี้นะ น้ำตาล...”

“...”

“คือ...เราชอบ ตะ...แต่ว่าเราหมายถึง -”

“งั้นมาคบกันไหม”



!!!



“เราก็ชอบมุ่ยนะ น้องน่ารักแล้วก็ตลกดี” ผมอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเธอจะพูดขอผมเป็นแฟนมาก่อนเลย กูช็อค


เหี้ย!


อะไรวะน่ะ?


“ทำไมถึงขอคบอะ...เอ่อ แบบว่า...” ผมพยายามจะถามเธอ แต่เรียบเรียงประโยคไม่ถูก

“ก็มุ่ยชอบเรา เราชอบมุ่ย ใจตรงกันก็คบกันได้ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ได้!”

“หื้อ?”


เหี้ย! หลุดปาก!


ผมโพล่งขึ้นมากะทันหันอย่างไม่รู้ตัว ทำให้น้ำตาลเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ แต่รอยยิ้มที่เธอส่งมาให้กลับดูแปลก เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า


ผมพลาดแล้ว


“ไม่ดิ เราหมายถึง เราชอบเธอจริง แต่ว่ามัน...มันคือเราเคยชอบเธอ ใช่ๆ มันเป็นงี้” อะกูตั้งสติก่อน ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดนะไอ้มุ่ย หายใจเข้าฮืบ ผ่อนออกมายาวๆ


เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว บอกไปเลยแล้วกัน ยังไงวันนึงน้ำตาลก็ต้องรู้อยู่ดี


ระหว่างเราเงียบไปอึดใจ ไม่นานน้ำตาลก็พูดขึ้นมา

“สรุปมุ่ยจะบอกเราว่า...”

“เราอยากจะบอกเธอว่า ตอนแรกเราอะ ชอบเธอ ชอบมากเลย” พูดให้หมดไอ้มุ่ย เคลียร์ไปทีละอย่าง มึงจะได้โล่งบ้าง สุดท้ายจะได้เหลือแค่บีมคนเดียว

“ต่อเลยค่ะ” น้ำตาลปรับท่าทางให้ดูสบายๆ ขึ้น ผมเห็นอย่างนั้น เลยเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเธอ ยกสายคล้องกล้องออกจากคอแล้ววางลงกับโต๊ะ ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ แล้วพยายามเรียบเรียงคำพูดที่ต้องการจะสื่อออกมา

“เราชอบที่เธอสวย แวบแรกที่เราเห็นเธอคือมันใช่มาก โคตรสเป็กเลย”

“...”

“เวลาที่เราจับภาพเธอผ่านกล้องมันดีมาก เธอดูดีทุกอิริยาบถ ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอก เรานึกว่าตัวเองอะชอบเธอ ชอบแบบผู้ชายชอบผู้หญิง แต่...”

“อือ...”

“แต่พอเวลาผ่านไป ความจริงแล้วเราน่าจะชอบเธอ...เอ่อ แบบว่า จะพูดยังไงดีวะ”

“ชอบในมุมของช่างภาพ...งี้ปะ?”

“อื้อๆ ใช่เลย” ผมพยักหน้ารัวๆ

“หึๆ ฮ่าๆ เราว่าแล้ว” น้ำตาลลั่นหัวเราะออกมาเสียงดังแบบไม่รักษาภาพลักษณ์ตัวเอง เธอขำอะไรของเธออะ

“เอ่อ...น้ำตาล?”

“โทษทีๆ เราแค่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ อะ คิกๆ” ผมปล่อยให้เธอขำอยู่อย่างนั้นร่วมนาที น้ำตาลปาดน้ำตาที่หางตาตัวเองออกไปแล้วกลับมายิ้มให้อย่างปกติอีกครั้ง

“แฮ่” ผมส่งยิ้มแหยให้ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

“รู้ไหมว่าเวลาน้องมุ่ยรู้สึกอะไร แววตาน้องมันแสดงออกมาหมดเลยนะ” เออ แสดงว่าน้ำตาลก็รู้ตั้งนานแล้วอะดิ โอย ไอ้มุ่ยเอ้ย มึงปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ

“งั้นเหรอ แหะๆ” แห้งเลยกู

“ขอโทษที่หัวเราะนะ” ผมส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

“เราสิต้องขอโทษ”

“หือ? ขอโทษเรา เรื่องอะไรอะ” น้ำตาลทำหน้าฉงน


เห้อ!


เพราะความโลเลของผมแท้ๆ ที่ทำให้น้ำตาลคิดไปไกลแบบนี้


ทำเอาผมรู้สึกผิดเลยที่คิดไม่ดีกับเธอมาก่อนหน้า หึงเขาสองคนไปทั่ว โดยที่ไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่าจริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นแบบไหนกันแน่ นี่สรุปแล้วทั้งบีมทั้งน้ำตาลก็ชอบผมหมด โอ๊ย ผมจะปฏิเสธเธอยังไงดีนะ

“ขอโทษที่เราตอบรับความรู้สึกน้ำตาลไม่ได้ คือเรา เราชอบบีมอะ” ผมมองสบสายตาน้ำตาล กลัวเธอจะเสียใจ ผมดูใจร้ายมากไหมวะ ปฏิเสธเขาต่อหน้าอย่างนี้ แม่ง เป็นผมนะผมด่าแล้ว แถมยังมาบอกชอบคนอื่นต่อหน้าเขาอีก

“...”

“มันดูใจร้ายก็จริง แต่เราไม่ไม่ได้ชอบน้ำตาล”

“...”

“เราเป็นเพื่อนกันดีกว่าเนอะ”

“...”

“ความรู้สึกนั้นเรายกให้บีมไปแล้วอะ”

“ที่...เมื่อกี้เราบอกชอบมุ่ย...”

“อือ” ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ เราจะไม่ว่าเธอเลย จะไม่ทำหน้าสงสารเธอด้วย เดี๋ยวเธอรู้สึกแย่

“เราโกหกอะ”


“...”


“...”


“เออะ...”

“ขอโทษที เราแค่อยากแน่ใจในความรู้สึกของมุ่ยเฉยๆ”



เพล้ง!


ได้ยินเสียงอะไรแตกไหมครับ


เก็บเศษหน้าแป้ป


ฮือ



“ฮะๆ ไม่ทำหน้าหมองดิ” สงสัยสีหน้าผมมันหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาลถึงเอ่ยออกมาอย่างนั้น

ก็ปล่อยให้พูดตั้งนานเนอะเธอ เศร้าเลยชีวิต


เฮ้ย!


แต่ถ้าน้ำตาลไม่ได้ชอบผม...ไม่ได้ๆ ไม่ๆ เราต้องปรับความเข้าใจกันใหม่เลยน้ำตาล เธออะทำเราไขว้เขวแล้วพอตอนนี้เธอทำให้เรากลับมาระแวงอีกแล้ว ผมต้องห้ามทัพก่อน


น้ำตาลต้องพักก่อน



“ถ้าอย่างนั้น...”

“คะ?”

“ถ้าอย่างนั้นเราขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“หือ อ้อ ว่ามาเลย”


“ถ้าน้ำตาลไม่ได้ชอบเราอะนะ”


“...”


“น้ำตาลอย่าชอบบีมเลย”


“...”


“ไม่ใช่อะไรนะ แต่เรา...”


“...”


“เราหวงว่ะ”






***************************************

ไหนใครบอกจะมาสิ้นเดือน ฮือออ // มาแล้วนะคะ น้องมุ่ยช่วงนี้เขาค่อนข้างอย่ในโมเม้นโลเล เเล้วยังคิดเก่ง คิดไปเองเก่งงงง เอาใจช่วยน้องกับพี่บีมด้วยนะคะ รักๆ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 20 คนน่ารักมักใจร้าย (UP) 15/06/2019
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 15-06-2019 17:05:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 21 โอ๋ รักกันๆ (UP) 29/07/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 29-07-2019 23:33:05
บทที่ 21

โอ๋ รักกันๆ



ความจริงวันนี้ผมควรจะนอนอยู่ห้องสบายใจเฉิบ แต่ไอ้เจ๋งดันโทรนัดให้มานั่งติวด้วยกันที่ร้านกาแฟแถวมอ จะไม่มาก็ไม่ได้ ยิ่งโง่ๆ อยู่ โดยเฉพาะวิชามอนะ ฆ่าผมเลยเถอะ ทั้งอิ้งทั้งไทยแม่งตีกันให้มั่วไปหมด อย่างน้อยก็ให้พวกมันช่วยยัดความรู้ใส่สมองหน่อยน่าจะดีกว่าอ่านเอง

ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ทั้งผม แก๊ป และไอ้เจ๋ง ต่างคนต่างนั่งเอาหน้าฟุบกับหนังสือ ตาลอยปรือเหมือนกับเหนื่อยมาทั้งชีวิต นี่ขนาดดื่มกาแฟกันคนละแก้วสองแก้วแล้วนะครับ ยังเอาพวกผมไม่อยู่ ท้อเลยว่ะ

อันที่จริงมันก็มีเวลาให้อ่านมาตั้งเดือนกว่าแต่แม่งไม่อ่านไง มัวแต่เอ้อระเหย มาเลิ่กลั่กกันเอาตอนใกล้จะสอบ สภาพเลยดูไม่ได้อย่างที่เห็น

“นี่เราติวกันมากี่ชั่วโมงแล้ววะ...” ไอ้เจ๋งถามขึ้น

“หลายอะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“เหี้ย...ตีหนึ่งแล้ว” ผมมองไปยังนาฬิกาแขวนของทางร้านที่แสดงเวลาตีหนึ่งกับอีกห้านาที

“ร้านเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง มึงอยู่ได้ยันหว่างอะเพื่อน” ผมยื่นมือไปตบหัวมันอย่างปลอบใจ

“อยู่ไปคนเดียวนะไอ้ควาย”

“โห่”

“กูไม่ไหวแล้วไอ้เหี้ย” แก๊ปที่นอนคว่ำหน้าฟุบกับโต๊ะพูดขึ้นเสียงอู้อี้

“ซักหน่อยไหมล่ะ” ผมดันแก้วกาแฟที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งไปทางมัน

“กาแฟที่หน้ามึงสิ แดกอีกนิดกูคงช็อคตายคาร้าน” แก๊ปเงยหน้าขึ้นมาแล้วผลักหัวผมที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง แล้วยกมือลูบหน้าตัวเองไปมาแรงๆ เพื่อหวังให้หายมึน

“เอ้า กูหวังดีเด้อ อยากให้เพื่อนตาสว่างไง”

“สว่างยันโลกหน้าอะไอ้สัด”

“พอๆ กูว่าวันนี้แม่งพอเหอะว่ะ จะตายห่าแล้วเนี่ย สมองกูไม่รับรู้เหี้ยอะไรแล้ว กูจะตายแล้วแม่ โฮ” เจ๋งทำหน้าเบ้โอดครวญอย่างเป็นท้อ ผมเห็นด้วยกับมันอะ ถ้าเรายังฝืนอ่านอยู่อย่างนี้ เราจะตายกันหมดนะเพื่อน

“พวกมึงแม่งไม่ใจเลยว่ะ” ผมเอ่ยขึ้นเยาะเย้ยพวกกาก อ่อนแอจริงโว้ย

“เชิญคนใจๆ อย่างมึงอ่านต่อไปเลยนะ คนกากเย้อย่างกูขอลาก่อน” ไอ้เจ๋งลุกขึ้นสะบัดหัวไล่ความง่วงแล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋า ผมกับไอ้แก๊ปจึงขยับตัวเก็บของตาม แหม่ ก็กวนตีนไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วผมนี่แหละคือคนที่บ่นเย้วๆ ตั้งแต่สามทุ่มแล้วว่าอยากกลับหอ

ก่อนจะแยกย้ายกันพวกผมตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไม่ติว ต่างคนต่างพักกันไปก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยนัดอีกที เออ ให้กูได้พักบ้างเถอะไอ้สัด ถ้าพรุ่งนี้นัดอีก พวกมึงก็จะได้แค่ตัวกูไปนั่นแหละ อย่าหวังเลยว่าจะได้สมองกู เฮอะ

รู้ไหมครับ ยิ่งกลับดึกยิ่งอันตราย ถึงแม้จะเป็นเส้นทางในโซนมหาลัยก็ตาม ประมาทไม่ได้เลยนะครับ โชคดีที่แถวนี้เป็นช่วงสอบเลยมีแต่ร้านคาเฟ่ที่ขยายเวลาปิดดึกกัน เลยยังเห็นผู้คนอยู่หรอมแหรม ทำให้ทางกลับบ้านของผมในคืนนี้ไม่เปลี่ยวมากนัก

“มึงนี่ภาระกูจริงๆ เลยไอ้เด็กกาก” แก๊ปส่งหมวกกันน็อคให้ผมพลางบ่นไปด้วย ไอ้นี่แม่งบ่นกูตั้งแต่ตอนมารับ จะกลับบ้านแล้วยังว่าอีก เพื่อนกูจริงเปล่าเนี่ย

“ก็ขี้เกียจขี่อะ แล้วกูก็รู้ไงว่ากลับดึกแน่ๆ เลยมาพร้อมมึงกลับพร้อมมึงเลยดีกว่าเพื่อความปลอดภัย” ผมโทรให้แก๊ปมารับเพราะไม่อยากขี่รถตอนกลางคืน เสี่ยงหลับในผมอะ

“เออ กูว่าจะถาม”

“ค่อยถามพรุ่งนี้ได้มะ เก็บไว้ก่อน”

“ไม่ได้”

“เออๆ ว่ามา”

“มึงหลบหน้าพี่บีมเหรอวะ” คำถามจากแก๊ปทำให้ตัวผมแข็งทื่อขึ้นอัตโนมัติ

“อะไร”

“อย่ามา อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์มึงเอาแต่หนีหน้าพี่บีม เป็นเหี้ยไรอะ” แก๊ปนั่งพิงรถบิ้กไบค์คันใหญ่ของมันแล้วใช้สายตากดดันให้ผมตอบ

“กูเปล๊า” ผมโบกไม้โบกมือ ป่ายปัดทั่วตัว ทำอย่างกับตัวเองไปคลุกฝุ่นที่ไหนมา

“เอ้อ กูเชื่อมากมั้ง ที่ถามเพราะพี่บีมเขามาถามหามึงกับกู เนี่ย กูก็เลยงง ว่าคนอย่างมึงอะนะจะหลบหน้าคน”

“เหย ไม่ได้หลบสักหน่อย วู้ มั่วแล้วมึงอะ ฮะๆ ฮ่าๆ” ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อจากกรอบหน้าและลำคอ อากาศก็ออกจะเย็นนะ แต่ทำไมกูร้อนวะ ไม่สบายม้าง แค่ก โอ๊ย ป่วย!

“เลิ่กลั่กแล้ว”

“เออน่ะ ช่างเรื่องของกูเหอะ แล้วถ้าวันหลังบีมมันมาหา มึงก็ไม่ต้องคุยกับมัน หนีไปเลย”

“แล้วให้กูบอกพี่มันว่าไงอะ”

“บอกว่ามุ่ยคือใคร ผมไม่รู้จักครับพี่! ตอบงี้ไปเล้ย!”

“เอ้อ กูเพิ่งรู้...” ไอ้แก๊ปยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมอย่างแรง

“ไรมึง”

“ว่ามึงเป็นคนขี้เขิน”

“ใครเขิน! มึงอู้ดีๆ เน้อ!”

“ไม่องไม่อู้อะไรทั้งนั้น ไป ขึ้นรถ”

“กูบ่าได้ขี้เขิน! ไอ้แก๊ป บ่าคนง่าว!”

“โวะ วุ่นวายจริงเลยมึงเนี่ย ระวังเถ๊อะ ลีลามากๆ พี่บีมเขาจะเบื่อ” แก๊ปส่ายหัวอย่างหน่ายๆ แล้วขยับตัวขึ้นคร่อมรถบิ้กไบค์คันงาม

“ใครเบื่อใคร พูดดีๆ ไอ้สัด กูแค่ต้องการใช้ความคิดนิดหน่อย”

“เชื่อมึงก็ควายแล้ว ขึ้นรถซักทีดิ้ จะกลับไหมบ้านอะ”

“กลับเด้ มึงนี่”

“ตั้งใจอ่านหนังสือได้แล้ว มัวแต่คิดเรื่องผู้ชาย แรดจริงๆ” ท้ายประโยคเหมือนแก๊ปจะพึมพำกับตัวเองก่อนจะสวมหมวกกันน็อค แต่บังเอิญหูกูดี ไอ้สัด

“กูได้ยิน!”

“กลับบ้าน!”



หลังจากวันนั้นที่คุยกับน้ำตาล แล้วเผลอพูดคำน่าอายออกไป ผมแม่งไม่กล้าเจอหน้าเธอเลย ยิ่งกับบีมแล้วยิ่งไปใหญ่ ทำตัวเหมือนโจรเข้าไปทุกทีเวลาที่จะไปกินข้าวที่โรงอาหาร ไม่ใช่อะไรนะครับ ผมกลัวทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรด้วย

แถมยังเผลอออกตัวแรง จนเลี้ยวกลับมาแทบไม่ทัน





ย้อนกลับไปวันนั้น

ผมไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาเก็บเศษหน้าตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง


.

.

“...”

“เราหวงว่ะ”

“...”

“เอ่อ...”



เชี่ยแม่ง...



ไอ้เชี่ยมุ่ย โอ้โห...



มึงพูดเหี้ยไรออกไปเนี่ย!?



เปิ้นเป็นแม่ญิง มึงไปอู้กับเปิ้นจะอั้นได้จะใด หวงเหิงอะหยัง บ่าง่าวๆ เอ้ย!

“น้ำตาล คือเราไม่ได้ -” ยังไม่ทันที่ผมจะได้แก้ตัว น้ำตาลก็ยกมือเป็นเชิงอย่าเพิ่งพูด แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่าง แล้วหันหน้าจอให้ผมดู

“....”

“อันนี้ พอจะอธิบายอะไรได้ไหม”

“เอ่อ...” บนหน้าจอปรากฏภาพน้ำตาลกับใครอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ในลักษณะ แนบชิด?

“อึ้งเลยดิ ฮ่าๆ หน้าน้องมุ่ยตลกจัง” เธอหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ที่เห็นหน้าเหวอๆ ของผม

“ถะ...ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า”

“ก็...ปีกว่าแล้วนะ น้องมุ่ยคงไม่เคยเห็น เธอเรียนหมอน่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้เพราะพี่ไม่ได้ประกาศบอกใครแต่ก็ไม่ได้ปิด จริงๆ พี่ก็ไปเที่ยวด้วยกันออกจะบ่อยนะ ในไอจีรูปก็เยอะอยู่ ถ้าน้องมุ่ยจะสังเกต” เธอว่ายิ้มๆ โดยไม่ได้สนใจหน้าตาผมที่ตอนนี้ช็อคไปเรียบร้อยแล้ว

“...”

“เหวอเลยอะดิ”



เพล้ง!



หน้าแตกรอบที่สอง



งั้นแสดงว่าผมน่ะ ตัวผมแม่งไม่มีโอกาสตั้งแต่แรก ในตอนนั้นที่เริ่มคิดจะจีบน้ำตาล ความจริงแล้วคือกูแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเลย

“เปล่าๆ เราแค่ตั้งตัวไม่ทัน เอ่อ แบบ คือเราไม่คิดว่าน้ำตาลจะ...เห้ย! ไม่ใช่จะหมายความว่าอย่างนั้น เราหมายถึง -” มือไม้และลิ้นพันกันหมดแล้วตัวกู ผมก็นึกว่าน้ำตาลกับบีมชอบกัน แต่ที่ไหนได้ เธอมีแฟนอยู่แล้ว แถมแฟนยังน่ารักมากๆ อีกตังหาก

น่ารักมากจริงๆ นะ

“เราเข้าใจๆ ไม่ต้องคิดมากนะคะ”

“แฮ่ๆ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาดเมื่อรู้ว่าทั้งสองคนไม่ได้ชอบกันอย่างที่ผมเข้าใจ ถึงแม้จะอึ้งไปหน่อยก็เถอะ เหมือนผมยกก้อนหินหนักๆ ออกไปจากอกได้สักที แม่ง...แล้วก็กร่างใส่คนสวยซะเต็มที่ เราหวงว่ะ~ บ่าง่าว! กูนี่เขินเลย

หมดกันภาพพจน์คนดีอย่างนายฟ้ามุ่ย

“วางใจเถอะ บีมอะมันเพื่อนเรามานานมาก รู้สันดานกันดีเกินกว่าจะมาปิ๊งปั๊งกันได้ และคิดว่าคงไม่มีทางแน่ๆ ขนลุก” น้ำตาลทำหน้าแหยงๆ ลูบแขนขึ้นลงอย่างขนลุก

“ระ...เราขอโทษนะ”

“ฮื่อ ไม่เป็นไร เราว่าน่ารักดี”

“แหะ”

“แต่หน้าน้องมุ่ยเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ อีกนิดเรานึกว่าจะจับเราโยนออกนอกร้านแล้วอะ หน้าหาเรื่องมากเลย”

“เห้ย เราไม่ได้ตั้งใจ เราไม่ทำร้ายแม่ญิง ละอ่อน คนเฒ่า คือหน้าเรามันโหดอยู่แล้วอะ ไม่แปลกที่เธอจะกลัว เราขอโทษนะ” เชี่ย ไม่นึกว่าหน้าตาอันหล่อเหลาของผมจะทำให้น้ำตาลกลัว แม่งเอ้ย สงสัยเผลอทำหน้าโหดใส่ จิ๊ ไม่น่าเลย ใครๆ ก็รู้ปะว่าหน้าผมมันโฉดชั่วขนาดไหน ดันเผลอไปแสดงสีหน้าท่าทางแบบนั้นใส่คนสวยอีก เฮ้อ เป็นคนหน้าโหดนี่เหนื่อยนะครับ

“อ่า โหดๆ เนอะ”

“ใช่ พอเข้ามหาลัย เราพยายามที่จะทำหน้าใจดีแล้วนะ แต่พอเผลอแล้วหน้าตาเราจะน่ากลัวทุกทีเลย ใครๆ ก็บอก”

“เอ่อ จ้ะ”

“งั้นเรื่องที่เราพูดไปวันนี้ อย่าบอกบีมนะ” ผมเอามือป้องปากกระซิบบอกกับน้ำตาลเสียงเบา ผมเขินอะ บ่าใจ้อะหยัง บ่าฮู้จะสู้หน้าบีมจะใด ถ้ามันฮู้ว่าผมอู้หยังไปพ่อง แม่งต้องเอามาล้อผมยันชาติหน้าแน่ๆ

“ได้ดิๆ” น้ำตาลตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วระหว่างเราก็เงียบลง ผมรู้สึกคอแห้งเลยยกน้ำขึ้นดื่มให้คล่องคอ ถ้าอย่างนั้น ก็ถือว่าผมเคลียร์จบไปแล้วหนึ่งเรื่อง กว่าจะจบก็เล่นเอาผมช็อคไปหลายรอบ แต่ก็จบลงด้วยดีนะ อย่างน้อยก็เป็นตัวผมเองที่เข้าใจผิด ถ้าเกิดมันเป็นอย่างที่ผมคิดขึ้นมา ผมก็ไม่รู้จะจัดการยังไงเหมือนกัน คงจะยาก ยากมากๆ แน่ๆ



และสุดท้ายก็เหลือแค่เรื่องของบีม



หนัก พูดเลยว่าหนัก



ผมนี่ซี้ดปากเลย



กูจะสู้หน้ามันได้ยังไง เอางี้ก่อน



“เราขออะไรน้องมุ่ยอย่างหนึ่งได้ไหม” ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงหวานของคนตรงหน้า ผมพยักหน้าให้เธอพูดต่อ และยินดีรับคำขอ

“ครับ?”

“ปกติเห็นบีมมันนิ่งๆ อย่างนั้น ความจริงแล้วก็เป็นมนุษย์ใจร้อนคนหนึ่งเลยล่ะ” เออ ผมว่าผมก็สัมผัสได้ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แม่งชอบหัวร้อนเวลาผมเจ็บตัว ก็บอกแล้วว่านี่มันบาดแผลลูกผู้ชาย ใครเขาเจ็บกัน!

“อ่า”

“ยังไงก็ ช่วยทำอะไรให้มันชัดเจนสักทีเถอะนะ เห็นบีมมันงุ่นง่านแล้วเราสงสาร” ผมคงต้องทำหน้าแปลกๆ ออกไป เธอเลยหลุดหัวเราะออกมา

...ก่อนเธอจะสงสารมัน เธอสงสารเราก่อนเหอะ ทางนี้ยังไม่กล้าเจอหน้ามันเลยอะเธอ

“เรา...”

“น้องมุ่ยไม่ใจร้ายหรอก ใช่ไหมคะ” อย่ามองเราด้วยสายตาแบบน้าน โอย...

“...ครับ”



.

.



บ่ายวันต่อมา



Rrrrrrrrrrrrr



เหี้ย โทรศัพท์อยู่ไหนวะ

ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มากดรับอย่างทุลักทุเล โอย นี่ผมเผลอหลับไปตอนไหน จำได้ว่าผมหยิบหนังสือประวัติศาสตร์ศิลป์มานอนอ่านบนเตียงเพราะปวดหลัง เหมือนจะอ่านไปได้สองสามหน้า มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังนี่แหละ

“ฮ...ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงลงไปด้วยความสะลึมสะลือ

(ไอ้มุ่ย เพิ่งตื่นเหรอวะ) น้ำเสียงคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกว่าใครจึงต้องผละออกมาดูชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ อ่อ เฮียเพลิน

“เฮียมีไรอะ คนเขาอ่านหนังสืออยู่ วู้”

(โว้ย คนอย่างมึงเนี่ยนะ ไม่ใช่หลับน้ำลายยืดคาหนังสือหรอกเรอะ) เฮียแม่งรู้ทันได้ไง เขาเรียกว่าพักสายตาเฉยๆ หรอก! หลับเหลิบอะไร้

“เฮียอย่ามารู้ทัน ตกลงโทรมามีไรอะ แอ๊ะๆ ไม่ไปช่วยดูน้องนะเฮ้ย นี่มันช่วงสอบ เฮียรู้ปะเนี่ย” ผมเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน ก็ทุกทีเวลาแกโทรมาก็เรื่องนี้อยู่เรื่องเดียว ถ้าว่างอะผมไปให้ได้ตลอดอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้คงต้องขอบาย

(ไม่ใช่เว้ย ให้กูพูดก่อนซิไอ้เด็กเวร)

“อะๆ ว่ามา”

(ไอ้นายมันส่งกล่องอะไรมาไม่รู้เนี่ย มันโทรมาบอกว่าให้เอาให้พวกมึงสามพี่น้อง กูจะโทรมาบอกว่าถ้าว่างๆ มึงก็มาเอาไปด้วย ทำมาเป็นรู้ทัน เดี๋ยวกูก็โยนของทิ้งแม่งซะหรอก)

“เย้ย! ว่างแล้ว เฮียเพลินรอก่อน!” ผมผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยความดีใจ นี่เป็นเรื่องที่ฮีลหัวใจผมที่สุดในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา พูดแล้วก็คิดถึงพี่พระนาย น้ำตาไหลแล้วเนี่ย!

(เออๆ รีบมาล่ะ กูมีสอนต่อ)

“เดี๋ยวแว๊นไปเลย!”



.

.



@Plearn Studio Art&Design



“เฮียเพลิน!” หลังจากวางสายผมก็รีบแต่งตัว บึ่งน้ององุ่นจากหอมาที่เพลินสตูดิโอทันที ผมเปิดประตูเข้าไปก็เจอเฮียพอดี เหมือนแกกำลังคุยอยู่กับใครซักคนอยู่ตรงมุมบันไดทางขึ้นชั้นสอง แต่ผมเห็นหน้าไม่ชัด โชคดีที่เฮียเพลินหันมาทางนี้ ผมเลยโบกมือแก เฮียพยักหน้ารับรู้แล้วกวักมือให้ผมเข้าไปหา

“น้องผมมาพอดีเลย เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักนะครับ”

“อะไรเฮีย” ผมเดินเข้าไปถึงตัวเฮียเพลิน แล้วหันมองแขกของแก แล้วก็พบกับ...

“เฮียมุ่ย!?”

“ไง...อ...ไอ้น้องบู...” ถึงแม้ปากผมจะทักทายน้องมัน แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ที่คนตัวสูงที่ยืนข้างๆ อย่างตกใจไม่น้อย

“ไม่ได้เจอกันนานเลยเฮีย”

“บะ...บีม”

“ไม่เจอกันนานนะ น้องมุ่ย” บีมที่แววตาเบิกกว้างขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไปเหมือนกับแปลกใจที่เจอผมที่นี่ เหลือเพียงสายตาคมกริบที่มองมา ทำเอาขนในร่างกายผมลุกชันขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ทะ...ทำไมอากาศในนี้มันเย็นแปลกๆ นะ ฮะๆ

“อ้าว นี่รู้จักกันอยู่แล้วเหรอครับ”

“ครับ ผมเรียนมหาลัยเดียวกับน้องมุ่ย” บีมละสายตาจากผมแล้วหันไปพูดคุยกับเฮียเพลินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอยยิ้มประจำตัวก็ถูกส่งออกมาอย่างแนบเนียน กลบจนแทบไม่หลงเหลือความคุกรุ่นในแววตาคมคู่นั้น

“โอ้ อย่างนั้นเหรอครับ ดีๆ ...” สมองผมตัดการรับรู้เรียบร้อย เสียงที่บีมคุนกับเฮียเพลินหายไป ในหัวมีแต่คำว่า บีมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงและจะทำยังไงดี เหี้ย! กูยังไม่พร้อม!

ครั้งนี้เจอจังๆ จะให้วิ่งหนีอีกก็ไม่ทันแล้ว ไอ้บ้าเอ้ย!

“วันนี้เฮียมาช่วยสอนเหรอ”

“เฮีย...เฮียมารับของ” ถึงปากผมจะตอบน้องบูมันแต่สายตายังคงจ้องไปที่บีม เช่นเดียวกับบีมที่ถึงแม้จะคุยกับเฮียเพลินแต่ก็ยังมองมาที่ผมเป็นระยะๆ

แง สายตาเหมือนมันจะแดกผมเลยอะ

“วันนี้พี่บีมมาส่ง โคตรโชคดีเลยอะ เห็นพี่มันบ่นๆ ว่าไม่ได้เจอเฮียมาเป็นอาทิตย์แล้ว บทจะเจอก็เจอกันง่ายๆ ซะงั้น” เออ จังหวะธรรมชาติสัดๆ กูดีใจน้ำตาไหลเลยเนี่ย ฮือ

“เออ เหอะๆ” กูยังไม่ทันได้เตรียมใจเลยนะบู มึงเอาพี่มึงกลับไปด้วยเลย กูไม่พร้อม บอกเลยว่ามุ่ยไม่พร้อม!

“เฮีย ผมเจอที่นึงว่ะ โคตรดี เดี๋ยววันหลังไปออกรอบด้วยกันนะ”

“เออ ได้ๆ” ผมเออออตามน้องบูทุกอย่าง ใจอยากจะรีบขี่รถกลับหอซะตอนนี้ แต่ผมยังไม่ได้ของจากพี่พระนาย เลยยังกลับไม่ได้

“ยังไงผมฝากน้องด้วยนะครับ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

เหมือนเฮียเพลินกับบีมจะคุยกับเสร็จเรียบร้อย น้องบูก็เอ่ยขอตัวเข้าห้องเรียนไปก่อน ผมโบกมือลาน้องมันด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

“อุ้ย!” ชิบหายละกู โอ๊ย! มันมองมาทางนี้แล้วๆ

“ไอ้มุ่ย เดี๋ยวมึงเข้าไปเอาของที่ห้องทำงานกูเลยนะ กูต้องรีบไปสอนแล้วว่ะ เลทมาห้านาทีแล้วเนี่ย” เฮียเพลินก้มมองดูนาฬิกาแล้วบอกผมอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร เฮียก็เดินเร็วเข้าห้องเรียนไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมยืนเกร็งอยู่กับบีมสองคน

“เอ่อ...อะแฮ่ม” ผมกระแอมไอออกมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย แอบเหล่ตามองคนตัวสูงข้างตัวเล็กน้อย ก็เห็นว่าบีมยืนจ้องผมอย่างไม่วางตา พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่โคตรของโคตรไม่น่าไว้ใจ

“น้องมุ่ย”

“เดี๋ยวกูเข้าไปเอาของก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน” ผมละล่ะละลักบอกกับบีม พลางชี้มือไปที่ห้องทำงานของเฮียเพลิน แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดิน บีมก็คว้าข้อมือผมไปซะก่อน

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน รู้ใช่ไหม” น้ำเสียงราบเรียบถูกปล่อยออกมาจากเจ้าของใบหน้าหล่อ สายตาจ้องมาที่ผมอย่างกดดัน แรงบีบที่ข้อมือก็มากขึ้น บ่งบอกชัดเจนว่าอย่างไรวันนี้บีมก็ไม่ปล่อยผมให้หลุดรอดไปได้แน่ๆ

“ร...รู้ดิ! เดี๋ยวออกมาคุยด้วยเล้ย! แต่ขอไปหยิบของแป้ปเดียว” ผมโพล่งออกมาตะกุกตะกัก ใช้รอยยิ้มเข้าสู้ บีมพยักหน้า แล้วปล่อยข้อมือผม

“กูรอข้างนอก” บีมว่าแค่นั้น ผมพยักหน้ารัวๆ มองบีมเดินออกไป พอเสียงปิดประตูดังขึ้น ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“บีมแม่งฆ่ากูแน่ๆ ...”



.

.



ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 21 โอ๋ รักกันๆ (UP) 29/07/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 29-07-2019 23:36:47
ต่อตรงนี้จ้า


ผมเดินเอากล่องของฝากจากพี่นายไปเก็บไว้ที่ใต้เบาะรถ เอาจริงๆ ผมหนีบีมตอนนี้ก็ยังได้ ยังไงมันก็ตามผมไม่ทัน แต่ผมว่าผมไม่เอาละว่ะ รู้สึกเหนื่อยอะ การที่เราจะหนีความจริงอะไรสักอย่าง หรือพยายามยื้อเวลาให้นานออกไปนี่แม่งโคตรเหนื่อยเลย

แล้วคิดดูว่าคนที่รอเราจะเหนื่อยขนาดไหน จริงไหมครับ ถ้าเราไม่ชัดเจนกับเขาก็ไม่มีใครมูฟออนได้สักทีหรอก วนกันอยู่ที่เดิมนี่แหละ ต่างคนต่างมีเรื่องค้างคาใจ สู้พูดๆ ไปให้จบๆ ซะยังดีกว่า เนาะ

“น้ำไหมบีม” ผมถามบีมเพื่อให้บรรยากาศระหว่างเราผ่อนคลายมากขึ้น แต่เจ้าตัวก็เพียงส่ายหน้าเบาๆ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่สวนของสตูดิโอ ข้างๆ กันเป็นบีมนั่งทำหน้าถมึงทึงจ้องมาที่ผม จนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อุณหภูมิในร่างกายไม่คงที่ ยิ่งพอสบตาคมคู่นั้นผมนี่หลบแทบไม่ทัน

ทำไมมึงต้องทำตาดุด้วยล่ะ ทำตายิ้มเหมือนเก่าดิๆ กูไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยรู้ไหมเนี่ย

แล้วทำไมทุกครั้งเวลามีเรื่องอะไรจะต้องเกิดขึ้นที่สวนตลอดเลยวะ แม่งทุกทีเลย ครั้งที่แล้วก็โดนขโมยจูบในสวนของร้านกาแฟ ผมเกลียดสวน!

“ขนมปะ เดี๋ยวกูไปเอามาให้”

“ไม่กิน” แน๊~ ทำเสียงดุซะด้วย...ฮือ บีมใจเย็นดิบีม

“งั้น -”

“หนีหน้ากันทำไม”

“เข้าเรื่องเลยเหรอ แฮ่” ผมส่งยิ้มโง่ๆ ให้บีม ยกมือขึ้นลูบหลังคออย่างประหม่า ไอ้มุ่ย มึงอย่าป้อดดิวะ สู้เขาดิ!

“เป็นอะไร ใครพูดอะไรให้ฟัง ถึงได้หลบหน้ากันแบบนี้” เสียงดุมาเชียว โกรธใครมาเหรอจ้ะ กิ้วๆ ฮือ

“กู...คือกู”

“ว่าไง”

“อะแฮ่ม! คืองี้นะบีม กูแค่ แค่คิดอะไรนิดหน่อย” กระแอมไอ นิดหน่อยพอเป็นพิธี

“คิด?”

“อ่าใช่ แบบว่า ขอคิดนิดนึง แล้ว! แล้วช่วงนี้ก็ใกล้สอบเลยไม่ว้างไม่ว่างอะ แหะๆ”

“แล้วคิดอะไร”

“เอ่อ” ชิบหายแล้วไง จะบอกว่ากูคิดเรื่องมึงนี่แหละ ไอ้บีม เรื่องมึงคนเดียวเลย มึงทำกูกินไม่ได้นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับคล้ายจะเป็นลม ทุกอย่างอะ เพราะมึงคนเดียวเลย

“รู้ไหมว่ากูเป็นห่วง น้องมุ่ย”

“ก็...ก็”

“กูกำลังคิดว่า กูทำอะไรให้น้องไม่พอใจหรือไม่อยากเจอหน้ากัน” บีมไม่ได้ทำเลยเว้ย บีมอย่าคิดงั้นดิครับ

“เปล่าๆ บีมไม่ได้ทำ”

“หรือไม่ชอบให้กูเข้าไปยุ่ง หรือน้องเกลียดกันไปแล้ว”

“ไปกันใหญ่แล้วบีม ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดสักหน่อย” ผมส่ายหน้าปฏิเสธว่าเรื่องที่บีมพูดออกมามันไม่ใช่เลยสักนิด บีมแม่งเข้าใจผิดหมดแล้ว

“แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้น้องต้องไม่ยอมมาเจอหน้ากัน”

“คือกูก็มีเรื่องให้ต้องคิดอะ...”

“พี่ฟังอยู่”

“แป้ปนะกูขอเวลานอกห้าวิ...ฮึบ!” ผมเงยหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ นับหนึ่งถึงห้าในใจ เอาวะ!

“แม่ง...”



...



ง่ะ...



...บีม



บีมมันพูดว่า ‘แม่ง’ ใส่ผม!



ผ...ผมเสียใจ!



กู



กูจะไห้ละเน้อ!



ฮึก!



ผมแค่ขอเวลาแป้ปเดียวเอง ทำไมต้องว่ากันด้วยวะ ฮึ!



“น้องมุ่ย? เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้” บีมลุกขึ้นเดินอ้อมมาฝั่งผมแล้วแตะแขนผมเบาๆ พร้อมก้มหน้าลงมาถาม ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วอย่างกังวลใจระคนสงสัย

“มึงว่ากูอะ” ผมตวัดสายตามองบีมอย่างโกรธแค้น

“ห้ะ?”

“มึงพูดแม่งใส่กู กูเสียใจ ไอ้บีม ไอ้บ้า ฟืด!” ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยดน้ำในตาให้หายไป พลางสูดน้ำมูกอย่างแรงและเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้นไว้

“...”

“กูเป็นคนอ่อนไหวง่าย! มึงอะ”

“หึๆ โอเค กูขอโทษ เมื่อกี้แค่ขำน้องมุ่ยเฉยๆ” บีมกลับมายิ้มให้ผมเหมือนเดิม มือหนาวางลงบนหัวผมพลางลูบเบาๆ เหมือนกำลังปลอบใจกัน

“ขำอะไร กูมีอะไรให้น่าขำนักหนา”

“ขำนิดเดียวเอง”

“ไม่ตลก”

“โอเคๆ ไม่ตลกก็ไม่ตลก”

“เออ ให้มันรู้ซะบ้าง”

“หืม?”

“เป็นคนตลกแต่ไม่ตลอดและไม่ใช่ตัวตลก” ผมเชิดหน้าหนีรอยยิ้มล้อๆ นั่น เมื่อเริ่มรู้สึกร้อนที่ใบหน้าตัวเอง มันมาอีกแล้วครับ สายตาเจ้าเล่ห์เจ้ากลของไอ้คนตรงหน้า ตลอดเลย ผมแพ้ทุกที

“ทำมาเป็นคำคม กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” บีมถอนหายใจเล็กน้อย ละมือจากการลูบหัว แล้วทิ้งสะโพกลงกับโต๊ะ ปรับท่าทางให้สบายมากขึ้นในการคุยกับผมที่ยังนั่งอยู่ มือแกร่งยื่นมาคว้ามือผมไปกุมไว้หลวมๆ พลางใช้นิ้วหัวแม่มือไล้วนอย่างนุ่มนวล

“แล้วหมายความว่ายังไง” ผมเอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็หมายความว่า เราเป็นคนตลกธรรมชาติ...”

“อ่าห้ะ”

“เป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติ”

“...”

“ที่พูดไปไม่ได้ตั้งใจ ไม่นึกว่าน้องมุ่ยจะตกใจแล้วเบะแบบนี้ แค่ยิ้มให้กับความน่ารักของน้องมุ่ยเฉยๆ”

“...”

“ก็ดันทำตัวน่ารักน้องมุ่ยจะห้ามไม่ให้กูยิ้มอีกเหรอ ใจร้ายจัง”

“...พอแล้ว ไม่ต้องพูด กูเข้าใจแล้ว” ผมยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกกุมไว้ห้ามบีม พอเถอะ กูเขินไม่ไหว หน้ากูแดงหมดแล้วไม่เห็นเหรอ

“ไหนมีอะไรจะอธิบาย” บีมวกกลับมาที่ประเด็นเดิม หลังจากปล่อยให้ผมนั่งหน้าแดงเป็นบ้าเป็นบอ ผมจะดึงมือตัวเองข้างที่ถูกบีมจับกลับมา แต่บีมก็ไม่ปล่อยแถมยังกระชับไว้แน่นกว่าเดิมอีก ผมมองหน้ามันอย่างหาเรื่อง แต่บีมก็ทำหน้าดื้อใส่ผม

“มึงทำหน้าดื้อทำไมอะ”

“ขอจับหน่อย กลัวหาย”

“ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ จะหายไปไหนได้ กูไม่หนีแล้ว เหนื่อย!”

“นั่นสินะ”

“ขอกอดหน่อย”



!?



“มากอดกันก่อน”

“ก...กอดเกิดอะไร! แล้วไม่ต้องมาทำหน้าลูกหมา! กูไม่ยอมมึงหรอก บอกเลยกูไม่แพ้!”

“เราชนะตลอดอยู่แล้วน้องมุ่ย แต่ขอกอดไม่ได้เหรอ”

“ข...ขอพูดก่อน พูดจบเดี๋ยวให้กอดเลย” ผมต่อรอง ไม่ไว้ใจบีมตอนนี้เท่าไหร่ เอาจริงก็ไม่ไว้ใจตัวเองด้วย กลัวโผเข้าไปกอดมันก่อน เอ๊ย! ไม่ใช่!

“อืม พี่ฟังอยู่”

“คือ...กูอะนะ ก็รู้มาสักพักแล้วกับความรู้สึกของบีม แค่...ยังไม่มั่นใจ”

“...”

“กูเข้าใจว่ามันไม่ควรจะคิดมากขนาดนั้น แต่กับบีมกูอยากจะให้มันถี่ถ้วนกว่านี้หน่อย”

“นานไปเดี๋ยวจับกินซะหรอก”

“...”

“คิดในใจเฉยๆ” บีมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนเมื่อกี๊ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“คิดดังจังนะแหม่”

“พูดหมดรึยัง”

“มีอีกๆ” ผมยกมือข้างที่ว่างห้ามบีมไว้ก่อน กลัวแม่งพุ่งเข้ามาอะดิ ดูมันทำหน้าๆ แม่งอย่างกับจะเขมือบผมซะอย่างนั้น

“เมื่อไหร่จะได้กอดวะ” บีมจึปากพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด มือหนาเสยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าขึ้นไปอย่างไม่ใส่ใจอะไร แต่ดูดีไม่หยอก เนี่ย มึงก็ชอบแอทแทคกูอย่างนี้ตลอด

“กูขอเวลาให้ตัวเองหน่อย รวมถึงตัวบีมด้วย”

“หมายถึง?”

“อย่าโกรธนะ สัญญาก่อน” ผมชูนิ้วก้อยขึ้น บีมเลิกคิ้วมองพลางยกยิ้มให้กับการกระทำของผม จากนั้นมันก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด



จุ้บ!



“ไอ้...บีม!”

“หึ”



ขยัน



ขยันทำกูเขินมาก



ว้อยยย!!



ไอ้ตัวดีค้อมตัวลงมา ยื่นใบหน้าเข้าหาแล้วจูบเบาๆ ที่นิ้วก้อยของผมแทนการเกี่ยวก้อยกัน แล้วดึงตัวกลับไปตามเดิม ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างถูกใจที่แกล้งผมได้สำเร็จ

“ไม่พูดแม่งแล่ว!”

“งั้นมากอด”

“พูดก็ได้วะ!”

“ฮ่าๆ”

“ที่จะบอกอะ! ฟังให้ดี อย่าแย้งอีกนะโว้ย! เดี๋ยวพ่อก็ตบปากแตก”

“ครับๆ”

“ขอให้กูคือ ให้กูได้คิด และขอให้บีมได้คิดเหมือนกัน”

“...”

“หมายถึง บีมลองคิดให้ดีว่าชอบกูจริงหรือเห็นว่ากูเป็นคนแปลก”

“อย่า อย่าเพิ่งหงุดหงิดจ้า ฟังก่อนจ้า” คิ้วเข้มขมวดแน่นทันทีเพราะประโยคเมื่อครู่ไม่ถูกใจเขา

“นี่รู้ตัวอะ ว่าเป็นคนประหลาด เพื่อนมันก็ชอบพูดกรอกหูให้ฟังบ่อยๆ ว่าคนที่มาชอบกูก็ชอบที่กูแปลกๆ แบบนี้”

“อย่าเอากูไปรวมกับคนพวกนั้น นี่อยากโดนกินจริงๆ ใช่ไหม” ใบหน้าหล่อถมึงทึงกว่าเดิม ทำให้ผมต้องรีบพูดปลอบ

“โอเคๆ ช่างหัวคนอื่น แค่ยกตัวอย่างเอง อยากให้บีมคิดเฉยๆ มันจะดูวุ่นวายนิดนึงอะนะ กูมันคนเยอะๆ อะ แล้วกูก็ต้องแคร์ความรู้สึกตัวเองด้วย บีมว่าไหม”

“ถ้าแป้ปๆ บีมก็ไป แล้วกูล่ะ เนี่ย คิดดูดิบีม”

“...”

“กูก็เสียใจนะ น่าจะเสียใจมากๆ เลยอะ คิดว่า” บรรยากาศมาคุเมื่อครู่หายไปโดยพลัน สีหน้าบีมอ่อนยวบลง เหลือไว้แค่แววตาเอ็นดูระคนปลอบโยนที่ส่งมาให้ผม

ผมคิด คิดมาหลายตลบมาก ว่าจะพูดยังไงไม่ให้บีมเสียใจ ต้องอธิบายยังไงไม่ให้มันฟังดูแย่ สุดท้ายผมก็ทำได้เท่านี้แหละ สุดๆ ของผมแล้ว

“จบแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับ คนตัวสูงอ้าแขนกว้าง พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่มักจะมอบให้ผมอยู่เสมอ

“กอดได้รึยังครับ”

“อือ” ผมลุกขึ้นกระโดดโถมร่างเข้าหาบีมเต็มแรงจนได้ยินเสียงดัง ‘อั้ก’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ

“โอ๋ๆ”

“...” บีมกอดผมแล้วเอนตัวไปมาคล้ายจะกล่อมให้ผมสงบลง อ่อมกอดของบีมอุ่นชะมัด ชอบเวลาบีมอ่อนโยนจัง รู้สึกเหมือนอยู่กับก้อนเมฆ อุ่นๆ นุ่มๆ

“พี่บีมเข้าใจแล้วครับ น้องมุ่ยไม่ต้องคิดมากนะ” ยิ่งบีมว่าอย่างนั้น ผมยิ่งกอดรัดคนตัวสูงแน่นขึ้นไปอีก ฝังใบหน้าลงกับบ่าแกร่ง ไม่อยากให้บีมเห็นหน้าผมตอนนี้เลย

“เบะอยู่เหรอ โอ๋ๆ” มือใหญ่เท่าใบลานของบีมลูบศีรษะรวมถึงแผ่นหลังของผมขึ้นลงอย่างเบามือ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเท่าลูกหมา ไอ้บีม...ไอ้บ้านี่

“ที่น้องมุ่ยพูดมาก็ถูก งั้นเราใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อคิดสักหน่อยแล้วกันเนอะ”

“ไม่โกรธกันใช่ไหมอะ” ผมถามเสียงอู้อี้

“ไม่เคยโกรธน้องได้สักครั้ง ตามใจตลอดอยู่แล้ว มีก็แต่จะหึง...”

“กูไม่ยุ่งกับคนอื่น” ฮิ~ เขินว่ะ บีมมันหึงผมด้วยแหละทุกคน อิอิ

“อืม แต่คนอื่นน่ะไม่แน่” ผมหัวเราะคิกคักกับความขี้หึงของบีม บ้าบอ

“เห้ย มีคำถามอีก อันนี้สำคัญ” ผมผละตัวออกมา ยกแขนขึ้นกอดอก ปรับสีหน้าตัวเองให้โหดขึ้น บีมจะได้กลัวผมบ้าง

“ระหว่างที่กูคิด ถ้าบีมไปแด๊ะแด๋นะ มึงตาย” ผมทำท่าปาดคอให้บีมดู คนตรงหน้าถึงกับหัวเราะออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ลองสิ มึงลองสิ้!

“ฮ่าๆ”

“จะรอกันไหม”

“พูดเหมือนจะเก็บไปคิดเป็นร้อยปี”

“ถ้านานขนาดขั้นจริงๆ ล่ะ”

“จับมึงแดกก่อนเลย ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะ เพราะความหมายโดยนัยของบีมคืออย่างไรก็จะรอผมแน่ๆ อาจจะฟังดูแย่และเห็นแก่ตัวนะ ที่มีหน้ามาบอกให้คนเขารอ แทนที่บีมจะได้ไปเจอคนที่ดีกว่า

โทษทีเหอะ กูขอห่างแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ อันที่จริงก็ใจตรงกันแล้วอะแค่ยังเขินๆ กันนิดหน่อยแล้วก็ยังต้องการความมั่นใจมากกว่านี้เฉยๆ ถ้าแม่งรอแค่นั้นแล้วบีมไปมีคนอื่นนะ กูบอกไว้ตรงนี้เลย มึงโดนเฉาะแน่ ฮึ่ม!





*************************

หายหน้าหายตาสุดๆ แต่มาแล้วนะจ้ะ ความจริงน้องมุ่ยเป็นคนคิดมากนะคะ คิดเยอะ คิดไปเรื่อย ฮ่าๆ ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ /กราบงามๆ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 21 โอ๋ รักกันๆ (UP) 29/07/2019
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-08-2019 09:08:06
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 22 พักใจชั่วคราว (UP) 11/08/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 11-08-2019 02:32:57
บทที่ 22

พักใจชั่วคราว



[Beam Part]


“สักที! ไอ้เหี้ยเอ้ย สอบเสร็จสักที! ปิดเทอมแล้วโว้ย!” เสียงไอ้นิวที่ออกจากห้องมาเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มตะโกนดังลั่นหน้าประตูห้องสอบ จนนักศึกษาคนอื่นหันมามองอย่างตกใจ อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องสอบถึงกับต้องเอากระดาษม้วนตีหัวมันเป็นการทำโทษ ไอ้นิวได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพยอาจารย์ใหญ่ แล้วรีบเดินดุ่มๆ มาทางพวกผมอย่างอารมณ์ดี

“ฉลอง!”

“ไปคนเดียวเถอะไอ้ควาย กูจะกลับไปนอน” ปั้นโบกมือลาแล้วก็เดินออกไปทันที พวกผมพยักหน้ารับรู้ แล้วรีบไล่ให้มันไปเร็วๆ ไอ้เหี้ยนี่โต้รุ่งมาสอบ แม่งโคตรอึด ภาวนาให้มันกลับถึงห้องอย่างปลอดภัยเถอะครับ

“เอ้า! สอบเสร็จก็ต้องฉลองดิเฮ้ย ไม่รู้อะ พวกมึงต้องไปกับกู” ไอ้นิวว่าอย่างเอาแต่ใจ

“กูจะไปหาน้องมุ่ย” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“เออ กูว่าจะกลับไปนอนเหมือนกัน ง่วงชิบหาย” ไอ้ก้านก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน พวกผมอยู่ในสภาพจะตายแหล่มิตายแหล่กันอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าไอ้นิวมันไปเอาพลังมาจากไหน ถึงได้คึกขนาดนี้

“พวกมึงนี่แม่ง ไม่ไหวเลยว่ะ กูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้อ่านตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นไงล่ะ” นิวมันเป็นคนฉลาดแล้วก็ขยันครับ อ่านหนังสือทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านจะนอนไม่หลับ มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกผมเมากันอย่างหมา เลยพากันไปนอนห้องไอ้นิวซึ่งอยู่ใกล้ร้านเหล้าสุด กลางดึกผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นไอ้เหี้ยนี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ ทั้งๆ ที่ตาแม่งเยิ้มสัด คือสภาพร่างกายมันไม่ไหว แต่ด้วยความที่สมองสั่งให้อ่าน มันก็ต้องมานั่งอ่าน สุดท้ายก็หลับคาโต๊ะ กูล่ะเชื่อมึงเลย

“เป็นอย่างนี้แหละ ง่วงโว้ย!” ไอ้ก้านเดินตัวปลิวลงจากตึก ทิ้งผมกับไอ้นิวไว้ ซึ่งมันจะได้อยู่คนเดียวแน่นอน เพราะผมจะไปหาเด็กกากของผม

“เหี้ยบีม...”

“กูจะไปหาน้องมุ่ย”

“โหย เออ! ก็ได้วะ วันนี้ไม่ไปก็ได้ แต่ถ้าวันอื่นพวกมึงห้ามปฏิเสธกูเด็ดขาด” ผมพยักหน้าเร็วๆ แล้วเตรียมจะเดินออกไป แต่โดนรั้งไวซะก่อน

“อะไรอีก”

“แหม๊ กับเพื่อนทำมาเสียงแข็ง”

“แล้วมึงมีอะไร”

“กูอยากใส่ใจเรื่องของมึงกับน้องมุ่ยวะ อัปเดตหน่อยซิเพื่อนบีม” ไอ้นิวเอาตัวเข้ามาใกล้ ทำหน้าทำตาที่มองมาจากเชียงใหม่ยังรู้ว่าพร้อมเสือกมาก

“น้องชอบกู”

“ถุ้ย! มั่นหน้า”

“สัด”

“ให้กูเดา น้องต้องกำลังยึกยักอยู่แน่ๆ เลย” มันทำท่าลูบคางอย่างใช้ความคิด ผมเห็นแล้วอยากจะโบกให้หัวทิ่ม ทำมาเป็นรู้ดี

“มุ่ยไม่เคยมีแฟน เป็นเรื่องปกติที่จะต้องใช้เวลา” ผมยักไหล่อธิบายให้มันฟัง ไอ้นิวพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังไม่ปล่อยผมไป

“เดี๋ยวๆ กูยังเสือกไม่เสร็จ อันนี้กูอยากรู้ส่วนตัว”

“เร็วๆ ไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูไปแล้วไม่เจอน้อง”

“กับน้องมุ่ยนี่ชอบจริงๆ ดิ” มันยกแขนขึ้นกอดอก เลิกคิ้วถามผม

“กูชอบน้องมุ่ย” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น ในแววตาไม่มีคำว่าล้อเล่นเจือปนอยู่ในนั้น ไอ้นิวเม้มปากตีหน้ายุ่งแต่เพียงครู่เดียวก็กลับมายิ้มเผล่เหมือนเดิม


ผัวะ!


ไอ้นิวตีลงมาที่ไหล่ผมอย่างแรงอย่างถูกใจในคำตอบของผม

“มันต้องอย่างนี้สิวะ ไอ้เพื่อนยาก! กูก็เอ็นดูน้องมันอยู่ไม่น้อยเพราะเป็นเพื่อนน้องรหัสกู ไม่อยากให้มึงเล่นๆ กับความรู้สึกน้องเขา” ไม่กี่ครั้งที่เพื่อนผมคนนี้ทำหน้าเครียด ซึ่งมันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้

“น้องรหัสมึงใช้ให้มาหลอกถามกูรึไง” ผมเอ่ยออกไปอย่างรู้ทัน ถึงแม้ความเสือกของไอ้นิวจะเป็นอินฟินิตี้ แต่มันก็รู้ดีว่าเรื่องความรักของเพื่อนในกลุ่มไม่ใช่อะไรที่จะเอาออกมาพูดพร่ำเพรื่อ อย่างมากก็แค่แซวกันเท่านั้น ซึ่งนิวมันก็รู้ดี

“แฮ่ สมกับเป็นเพื่อนรักกูจริงๆ” นิวส่งยิ้มแหยมาให้ คงกลัวว่าผมจะว่าอะไรกลับไป

“เพื่อนก็ห่วงน้องมันจังเลยนะ” โป้ดูเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ก็ห่วงมุ่ยมากๆ เป็นคนที่เป็นมิตรคนหนึ่งนะเท่าที่สัมผัสได้ แต่พอรู้ว่าเป็นเพื่อนกับน้องมุ่ยมาตั้งแต่เด็กและวีรกรรมต่างๆ ที่น้องเล่าให้ผมฟัง ก็พอจะเดาออกว่าแม่งก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

“เออดิ กูจะปฏิเสธก็ไม่ได้ แหะๆ พอดีแอ๊วเพื่อนมันอยู่” ไอ้นิวส่งยิ้มเขินๆ มาให้ ขยับตัวบิดซ้ายบิดขวาอย่างอายๆ น่าถีบชิบหาย

“กูชอบมุ่ย ชอบมากคนนี้” แค่พูดชื่อก็นึกถึงรอยยิ้มกว้างทะเล้นๆ กับแววตาขี้เล่นประจำตัวของน้องมัน จนผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

“เดี๋ยวกูจำคำพูดมึงละเอาไปบอกไอ้เหี้ยโป้เลย ไอ้น้องเวรนี่ก็เซ้าซี้กูสัดๆ” ผมปล่อยให้ไอ้นิวยืนพิมพ์แชทรัวๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ


กับน้องมุ่ย...


เด็กน้อยหน้าตากวนตีนที่มักจะชอบหาเรื่องผมทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เพราะคิดเองเออเองไปต่างๆ นาๆ ว่าผมเป็นแฟนกับตาล ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ไปแค้นผมมาจากไหนนักหนา คิดแล้วก็ขำกับความตลกตาใสของน้อง

หน้าตาที่ไม่ได้โดดเด่นเกินกว่าใครแต่กลับมีเสน่ห์ล้นเหลือ ให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้หลงความเป็นน้องมุ่ยนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชอบเด็กคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น มุ่ยเป็นเด็กนิสัยน่ารัก เป็นห่วงคนอื่นเก่ง ขนาดผมที่ตอนแรกน้องมันเหม็นหน้าอย่างกับอะไร แต่ก็ยังมาบีมอย่างนั้น บีมอย่างโน้น บีมอย่างนี้ ฟังแล้วโคตรใจเหลว ผมรู้สึกรักชื่อตัวเองก็ตอนที่น้องมันเรียกนี่ล่ะครับ

ผมรู้ว่ามีคนเข้าหาน้องมันเยอะ แต่ไม่เคยเข้าถึง อย่าถามว่าเพราะอะไร ให้ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่บทแรกๆ นะครับ หึ

การที่ผมชอบน้อง มันเหมือนตัวเองกำลังเดินลงบันไดไปทีละนิดจนสุดทาง และในนั้นเสือกไม่มีประตูทางออกแม้แต่บานเดียว พอมองกลับขึ้นไปก็เห็นไอ้ตัวดีโบกมือหัวเราะคิกคักอยู่หน้าหลุม แล้วบันไดก็หายไปดื้อๆ ซะอย่างนั้น ทำให้ผมไม่สามารถที่จะขึ้นจากหลุมที่น้องมุ่ยไม่ตั้งใจขุดไว้ได้เลย

เออ ตัวผมเองก็รู้ดีว่าไม่ต้องการที่จะปีนขึ้นไปหรอก เต็มใจล้วนๆ

“เหี้ย...บีม หน้ามึงเยิ้มมากมึงรู้ตัวปะ ชิบหายละ เพื่อนกูเมาอากาศ”

“กวนตีน กูไปล่ะ”

“เออ โชคดีนะมึง”



.


.



“น้องมุ่ยไปแล้ว?”

“ใช่พี่ ออกไปตะกี๊ ก่อนพี่มา” เพื่อนน้องมุ่ยที่ชื่อเจ๋งตอบผม ตอนนี้ผมอยู่ที่ลานโต๊ะหินอ่อนหน้าคณะมุ่ย โชคดีที่เดินมาแล้วเจอเพื่อนๆ น้องมันนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะ แต่ไร้วี่แววไอ้เด็กกากของผม

เอาจริงดิ ผมว่าผมรีบมาหาน้องมันสุดๆ แล้วนะ มั่นใจว่าน่าจะทันด้วย เพราะผมออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลา แต่กลับเจอเพื่อนน้องมันแทน

“ได้บอกรึเปล่าว่าไปไหน” ผมถามต่อ

“ไม่รู้ว่ะพี่ แต่แม่งดูลนๆ อะ ได้ยินมันพูดจะไม่ทันแล้วๆ อะไรสักอย่าง” หรือน้องมันหนีผมวะ หนีอีกแล้ว?

“มันไม่ได้หนีพี่หรอก คงจะไปไหนสักที่อะผมว่า” แก๊ปว่าขึ้นเหมือนรู้ทันความคิดผม เจ๋งก็พยักหน้าเห็นด้วยเสริมทับอีก

“เออ มันชอบเป็นแบบนี้เวลาจะไปเที่ยวอะ พี่ลองโทรหามันดูดิ” ผมพยักหน้ารับ แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาน้องมุ่ย แต่กลับเป็นเสียงโอเปอเรเตอร์ตอบกลับมาซะอย่างนั้น ปิดเครื่อง? แบตหมด? ไม่มีสัญญาณ?

“ไม่รับเหรอพี่” ผมส่ายหน้า กดเปิดลำโพงให้น้องสองคนได้ยิน จากนั้นก็กดวางสายไป

“เออ ไอ้เวร ผมก็ไม่รู้ว่ามันไปไหนว่ะพี่ มึงรู้ปะแก๊ป” แก๊ปส่ายหน้าเพราะไม่รู้เหมือนกัน ผมถึงกับต้องถอนหายใจออกมายาวๆ หนีกันได้นะน้องมุ่ย

“ไม่ต้องห่วงหรอกพี่บีม ค่ำๆ พี่ค่อยโทรหามันอีกที แม่งเป็นงี้ทุกทีเวลามันไปเที่ยว” เจ๋งโบกมือเชิงไม่เป็นไร

“สรุปน้องมุ่ยไปเที่ยวเหรอ”

“ผมคิดว่างั้นนะ มันชอบปิดเครื่องตอนไปเที่ยว ติดต่อได้อีกทีก็ตอนมันกลับมาแล้วนั่นแหละ” แก๊ปอธิบายให้ผมฟัง โดยมีเจ๋งพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

“แล้วพอจะรู้ไหมว่า น้องมุ่ยจะกลับมาวันไหน”

“เออ ล่าสุดที่มันไปกี่วันนะ ไอ้แก๊ป” เจ๋งทำท่านึกแล้วหันไปถามเพื่อนตัวเอง

“อาทิตย์นึงมั้ง ถ้ากูจำไม่ผิด” แก๊ปนิ่งคิดไม่นาน แล้วก็ตอบกลับมา เหี้ย อาทิตย์หนึ่ง ไปเที่ยวโดยไม่บอกใครเนี่ยนะ หึ ตลกแล้ว

“เออ ใช่ๆ แม่งหนีไปทะเลคนเดียว ละเงียบไปเลยเหมือนตายอะ ฮ่าๆ”

“ยังไงพี่ก็ลองโทรหามันดูอะ เผื่อมันเปิดเครื่อง” ผมกล่าวขอบคุณน้องสองคน แล้วขอตัวกลับทันที น้องมุ่ยแม่งเล่นกูอีกแล้ว กูอยากจะบ้า


ไปไหนไม่บอกกันก่อน มันน่าตีจริงๆ ให้ตายสิ


หืม?


หรือที่น้องมันบอกขอเวลา...หมายความว่าอย่างนี้เหรอ


คิดแล้วถึงกับต้องกุมขมับ ผมว่าผมกลับห้องไปนอนก่อนดีกว่า ไฟนอลแม่งทำร่างกายผมล้าเหี้ยๆ ตอนค่ำค่อยโทรหาน้องอีกครั้งอย่างที่เพื่อนน้องมันบอก



.


.


.




1 อาทิตย์ ผ่านไป




ผมติดต่อน้องมุ่ยไม่ได้


ไม่ว่าจะเบอร์โทรศัพท์ ไลน์ ไอจี เฟซบุ้ก ไม่มีการตอบกลับจากไอ้เด็กกากใดๆ ทั้งสิ้น


น้องหนีเที่ยวหรือน้องแม่งหายตัววะ


เพื่อนน้องก็ไม่มีคำตอบให้ผมเหมือนกัน และบอกให้ผมใจเย็นๆ ไม่ต้องห่วงน้องมุ่ยหรอก น้องมันดูแลตัวเองได้ ผมรู้ว่าคนอย่างมุ่ยอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ก็เอาตัวรอดได้ทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเป็นห่วง อยากให้น้องส่งข้อความหรืออะไรก็ได้มาบอกผมบ้างว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร


นี่น้องมันชอบผมจริงไหมวะ ไอ้เหี้ยเอ้ย


หนึ่งอาทิตย์แล้วน้องมุ่ย กลับมาสักทีเถอะ คิดถึงจะตายอยู่แล้ว


กลับมาเมื่อไร คงต้องคุยกันหน่อยแล้ว


“พี่บีม ทำไรอะ” เสียงทักจากบูน้องชายผมดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นว่ามันแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอก พร้อมกระดานวาดรูปของมัน

เหี้ย ยิ่งเห็นยิ่งคิดถึง เวรเถอะ

“นั่งเครียด”

“เดี๋ยวเฮียมุ่ยก็กลับมาแหละ พี่ก็รู้ว่าเฮียแม่งติสท์” ไอ้บูเดินไปหยิบรอเท้ามาสวมพลางพูดกับผมไปด้วย ที่ไอ้บูรู้เพราะผมก็บ่นๆ กับมันเหมือนกัน

“กูห่วง”

“เออ ไม่แน่ เย็นนี้เฮียมันคงติดต่อกลับมา ถึงจะติสท์แค่ไหนก็น่าจะรู้ว่ามีคนเป็นห่วง ไปล่ะ” ผมพยักหน้ารับ มองน้องมันเดินออกจากห้องไป




Rrrrrrrrrrr

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ผมหยิบมาดู ก็เห็นเป็นเบอร์ไม่คุ้นตา ผมจึงกดรับทันทีด้วยหัวใจเต้นรัว คิดว่าต้องเป็นน้องมุ่ยแน่ๆ

“ฮัลโหล!”

(โอ๊ะ ตกใจเลย)

ไม่ใช่...

“นั่นใคร” ผมกรอกเสียงลงไป คิ้วขมวดแน่นขึ้นเมื่อไม่ใช่คนที่ผมคิด

(พี่ ผมโป้ๆ น้องรหัสพี่นิว)

“อืม มีอะไร” ผมปิดเปลือกตาเอนตัวลงกับโซฟานอกห้องนอน ยกขาขึ้นพาดโต๊ะกระจกพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดขมับเบาๆ ให้คลายความเครียดลงบ้าง น้องจะรู้ไหมว่าทำผมจะเป็นบ้าแค่ไหน

(พี่รู้หรือยังว่าไอ้มุ่ยมันอยู่ไหน)

“ยัง มึงรู้?” ผมถามกลับ

(ไม่ว่ะ ฮ่าๆ)

“สัด”

(เห้ยใจเย็นดิพี่ โห่ ทีอยู่กับคนอื่นนี่หยาบเหี้ยๆ เลยน้า แหม) น้ำเสียงล้อเลียนส่งกลับมา ทำเอาผมแทบอยากจะตัดสายทิ้งเดี๋ยวนั้น ไม่ใช่น้องมุ่ยก็อย่าเรียกร้องดิ

“ตกลงโทรมามีอะไร”

(คืองี้ กูอะสงสารมึงนะบีม อุ้ย หลุดพูดกูมึงเลยว่ะ ไม่ถือนะ เอาจริงๆ ก็อายุเท่ากัน)

“เออ มึงเข้าเรื่องสักที”

(เออ กูไม่รู้หรอกว่าไอ้เชี่ยมุ่ยไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋ที่ไหน แต่กูพอจะหาคนที่ติดต่อมันได้ สนใจปะ)

“ใคร”

(เห้ย เสียงเข้มเลยว่ะ)

“เอาดีๆ ดิ้ ไอ้โป้”

(แน๊ เป็นดุว่ะ – เต้มึงได้ยินเสียงแฟนไอ้มุ่ยเมื่อกี๊ปะ...) ดูเหมือนจะมีใครสักคนอยู่กับไอ้โป้ด้วย ผมปล่อยให้มันคุยกับคนนั้นจนพอใจ มันก็กลับเข้ามาในสายต่อ

(เดี๋ยวพาไปหา พี่มึงมาเจอกูที่หน้ามอละกัน) ผมตกลงนัดแนะกับไอ้โป้ สรุปได้ว่าผมต้องไปรับมันที่เซเว่นหน้ามอแล้วมันจะบอกทางผมเอง

เออ ขอให้ได้เรื่องละกัน





ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 22 พักใจชั่วคราว (UP) 11/08/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 11-08-2019 02:34:11
ต่อตรงนี้จ้า


“บ้านน้องมุ่ย?”

“เหี้ย! รู้ได้ไงอะ เคยมาเรอะ” โป้ทำหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด รถผมจอดสนิทอยู่หน้าบ้านน้องมุ่ย สรุปคือแม่งพาผมมาที่นี่ เออ ผมลืมคิดไปได้ยังไงวะ

“เคยมาส่ง”

“เว้ย บ่าน้อยนี่มันแฮ่นแต๊ว่ะ ปาป้อจายเข้าบ้าน” โป้หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

“บ้านเงียบ”

“อยู่ข้างในนั่นแหละ ไปๆ” ผมลงจากรถเดินตามมันไป และหยุดอยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน

“ฟ้าใส! ฟ้าใส! เฮียโป้มาหา!” เสียงตะโกนดังลั่น ผมถึงกับต้องหันมอง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร และตะโกนเรียกคนในบ้านต่อ ทำไมมันไม่กดออดหน้าบ้านวะ

“เฮีย...ใสบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าตะโกน ออดก็มี” ผมเห็นเงารางๆ ของผู้หญิงคนนึงที่เดินออกมาจากในบ้าน แล้วเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ

“เฮียชอบใช้ระบบเสียงอะ ฮ่าๆ” ประตูรั้วถูกคนอีกฝั่งดันให้เลื่อนออก ปรากฎผู้หญิงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเท่าเข่า ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์มองปราดไปที่ไอ้โป้ และเลื่อนสายตามามองผม ใบหน้าน่ารักที่ดูคุ้นตาเลิกคิ้วอย่างสงสัยเหมือนกำลังใช้ความคิด

“อ๋อ...”

“หือ? อะไรอะใส”

“เฮียคนนั้นที่มาส่งเฮียมุ่ย” น้องเห็นผมด้วยเหรอวะ

“ชื่อบีมๆ”

“รู้...เข้ามาก่อนดิ” น้องฟ้าใสผายมือเป็นการเชื้อเชิญ แล้วเดินนำเข้าบ้าน โดยมีผมและไอ้โป้เดินรั้งท้ายตามไป

น้องพาพวกผมมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย ก่อนจะนำน้ำมาให้พวกผมคนละแก้ว ไอ้โป้เดินไปล้มตัวนอนบนโซฟาตัวยาวของบ้าน ส่วนผมก็นั่งเก้าอี้โซฟาข้างๆ กัน โดยมีฟ้าใสยืนพิงสะโพกกับของโซฟามองผมด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ผมลอบสังเกตใบหน้าของฟ้าใส อืม คงจะคล้ายกันหมดสินะบ้านนี้ พอมองที่ดวงตาเฉี่ยวๆ ของน้องเขาก็ทำให้นึกถึงเด็กกากของผมทันที

แต่ฟ้าใสจะให้ความรู้สึกคนละแบบกับน้องมุ่ย ใบหน้าติดจะเรียบเฉยของน้องบวกกับน้ำเสียงเนิบนาบ และดูเหมือนจะเป็นเด็กไม่ค่อยพูดซึ่งต่างจากน้องมุ่ยโดยสิ้นเชิง ดูนิ่งและนุ่มลึกกว่า อันนี้พี่น้องกันจริงใช่ไหมครับ

“เฮียครามอะ” คราม? คงจะเป็นพี่อีกคน บ้านนี้มีพี่น้องสามคนเหรอ

“นอนตายอยู่ข้างบน” ฟ้าใสตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่เคยทำให้ผิดหวัง บ่ายสองแล้วนะ ฮ่าๆ”

“แก่แล้วก็งี้” ไอ้โป้ตบเข่าฉาดอย่างถูกใจ แล้วปรับตัวนอนเอกเขนกกับโซฟาตัวยาว พลางหยิบรีโมตที่วางอยู่ข้างๆ กันขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ดู

“อ่อ มึงมีไรจะถามก็ถามเลยนะ กูดูทีวีก่อน” มันว่าแค่นั้นแล้วหันกลับไปจ้องทีวีต่อ เออ พากูมาก็แค่พามาจริงๆ

“เฮียบีม?”

“เอ่อ ครับ”

“มาหาเฮียมุ่ยเหรอ”

“ใช่ครับ พี่มาหาน้องมุ่ย ฟ้าใสพอจะรู้ไหมครับว่าเจ้าตัวเขาอยู่ไหน” ผมเข้าเรื่องทันทีอย่างใจร้อน ในใจก็รอคำตอบอย่างคาดหวัง

“เฮียอะเหรอ ไม่อยู่มาอาทิตย์นึงแล้ว ไปเที่ยวมั้ง” ฟ้าใสส่ายศีรษะปฏิเสธ ทำผมใจแป้วอย่างเสียดายกับคำตอบที่ผมไม่อยากได้ยิน จะไม่มีใครรู้จริงๆ เหรอวะ มันจะเกินไปแล้วไอ้น้องมุ่ย

“ไม่รู้เลยเหรอครับว่าน้องอยู่ไหน”

“ไม่อะ เฮียมุ่ยไม่ได้บอกไว้”

“ฟ้าใสพอจะเดาได้ไหมครับ”

“อืม...”

“...”

“คิดไม่ออกอะ เฮียไม่เที่ยวซ้ำ ก็เลยเดาไม่ถูก”

“ครับ...” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หวังให้ความอึดอัดภายในใจมันลดลงบ้าง แต่ก็เหมือนเดิม ระหว่างเราเงียบกันไปสักพักโดยมีเพียงแค่เสียงจากในโทรทัศน์ที่เป็นตัวทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดจนเกินไป

“เอ้อ...เฮียครามอาจจะรู้ก็ได้นะ”

“เฮียคราม?”

“อื้อ เดี๋ยวไปเรียกหะ -”

“ใส! เฮียหิวข้าวแล้ว!” เสียงหนึ่งดังมาจากชั้นสองของบ้าน ทำให้พวกผมต้องหันไปมองตามเสียงนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ไม่นานเจ้าของเสียงก็เดินลงมา และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่า

นี่มันร่างแฝดของน้องมุ่ยชัดๆ

“ใส! มีอะไรให้เฮียกินบ้าง เหี้ย! ใครวะเนี่ย” ผมมองเฮียครามที่กำลังเดินเอื่อยเข้ามาอย่างอึ้งๆ เฮียครามคนนี้ทั้งสูงและร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมส่วน ใบหน้าที่เหมือนน้องมุ่ยเกินครึ่งแต่มีความคมมากกว่าขมวดคิ้วมองมาที่ผมอย่างงงๆ บนตัวของเฮียแกสวมเพียงบ็อกเซอร์สีเหลืองลายเป็ดน้อยกับเสื้อกล้ามลายกระทิงแดงย้วยๆ เล่นซะผมทำหน้าไม่ถูก

“เพื่อนเฮียมุ่ยอะ เอ๊ะ...เพื่อนใช่ไหมนะ?” น้องฟ้าใสแนะนำตัวผมกับเฮียคราม และไม่วายหันกลับมาถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ แต่ดวงตาเป็นประกายวาววับ เหมือนถูกใจที่ได้ล้อเลียนผม

โอเค ผมขอแก้ไขตรงที่บอกว่าฟ้าใสไม่เหมือนน้องมุ่ย

ไอ้ดวงตาเป็นประกายแบบนั้น แม่งคือน้องมุ่ยชัดๆ

“อ้าวเรอะ มีไรอะ ไอ้เหี้ยโป้! เหยิบไปดิ้ นอนแดกที่ชิบหาย” เฮียครามเดินดุ่มๆ มาตรงโซฟาตัวยาวที่มีไอ้โป้นอนเอกเขนกอย่างเคลิ้มๆ อยู่ พร้อมกับใช้เท้าเขี่ยมันตกพื้นอย่างไม่เบานัก แล้วก็ล้มตัวนอนแทนที่ซะเอง

“เจ็บนะโว้ยเฮีย!”

“นี่บ้านกู ขี้ข้าอย่างมึง โน่น รั้วหน้าบ้าน เชิญ” เฮียแย่งรีโมตมาจากมือโป้ แล้วก็กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ มือข้างนึงยกขึ้นแคะจมูกแล้วเอาไปป้ายหลังเพื่อนน้องมุ่ย หัวเราะเอิ้กอ้าก อย่างไม่แคร์สายตาใคร โดยเฉพาะผม

เหี้ย น้องมุ่ยร่างแยก

“แล้วไอ้แป๊ะยิ้มนี่มันมาทำไมเนี่ย” กู? กูรึเปล่าวะ?

“เขาชื่อบีม เพื่อนเฮียมุ่ย” ฟ้าใสขยายความอีกครั้ง เฮียครามหรี่ตามองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ทำเอาผมเย็นสันหลังวาบ


เหมือนโดนข่มแปลกๆ


ถึงแม้เฮียครามจะอยู่ในชุดปัญญาอ่อน แต่ผมรู้สึกได้ทั้งสายตาและความกดดันบางอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไรส่งมาที่ผม เจ้าของดวงตาคมปลาบยังมองจ้องอย่างไม่ลดละ จนฟ้าใสต้องสะกิด เฮียแกถึงจะยอมหยุดแล้วหันไปทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แล้วมาทำไมอะ ไอ้มุ่ยมันไม่อยู่หร้อก”

“แล้วเฮียรู้ไหมครับว่าน้องไปเที่ยวที่ไหน”

“รู้”

“ห้ะ!”

“แต่ลืม”

“เอ้า! ไอ้เฮีย ไหงงั้นอะ” เป็นไอ้โป้ที่บ่นออกมาแทนผม ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ชายน้องมุ่ยกูโบกหัวทิ่มแล้วนะ กวนตีนจัด ไอ้เหี้ยนี่แม่งก็ห่วงเพื่อน แต่ทำกลบเกลื่อน เหอะ

“ก็กูลืมไงวะ มึงจะเอาไรอีกอะ กูลงมาหาน้ำดื่มตอนเช้ามืด เจอไอ้มุ่ยมันกำลังแบกเป้ออกจากบ้านพอดี มันก็บอกจะไปที่ไหนเนี่ยแหละ สักที่ แล้วก็ออกไปเลย กูง่วงๆ อะเลยได้ยินไม่ถนัด”

“...”

“กูท้อเลยว่ะ มีเฮียอย่างพี่มึงเนี่ย โว้ว!”

“ก็กูง่วง! ไอ้เด็กเหี้ยนี่ ไปๆ รู้แล้วก็กลับบ้านกลับช่องไปซะ รำคาญ” เฮียครามโบกมือไล่พวกผมแล้วกดเปลี่ยนช่องทีวีอย่างไม่สนใจ


ผมถามคำนึงนะครับ


กูมาทำเหี้ยอะไรที่นี่?


เหี้ยเอ๊ย!


ขับรถมาเปลืองน้ำมันเปล่าๆ


“เอ้อ จริงสิ อาจจะอยู่กับพี่นายก็ได้นะ”


กึก!


การเอะใจของฟ้าใสทำให้ผมรู้สึกเหมือนสวรรค์มาโปรด ภายในใจเริ่มมีความหวังอีกครั้ง

“น่าจะใช่ๆ”

“พี่นาย?” ผมได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ จากน้องมุ่ย แต่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญสำหรับน้องมันมาก

“อือ เพื่อนพี่คราม”

“เพื่อนพ่อมึงดิ” เฮียครามตวัดเสียงดุ จากที่นอนเลื้อยอยู่บนเบาะโซฟาก็ลุกขึ้นนั่งหลังตรงแน่ว สายตาคมจ้องไปที่ฟ้าใสอย่างเอาเรื่อง

“นี่น้องเอง พ่อเดียวกัน”

“อ้าวเหรอ โทษๆ เฮียหยอกเล่นน่า” ฟ้าใสกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วพยักเพยิดไปที่โทรศัพท์ของเฮียคราม

“เฮียโทรดิๆ” ไอ้โป้พูดเสริม

“ความจริง กูก็ไม่อยากโทรเท่าไรหรอก แต่เห็นว่าทุกคนกำลังเดือดร้อนเรื่องไอ้หมามุ่ยหนีออกจากบ้าน มันก็จำเป็นต้องโทรอะนะ” เฮียเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ บนหน้าจออยู่สองสามครั้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ทั้งที่ใบหน้าคมนั้นหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ใบหน้าหล่อเหลาทำหน้าเห็นใจผมสุดๆ แต่แม่งโคตรปลอม ปลอมเปลือกสัดๆ ผมจึงหันมองหน้าไอ้โป้อย่างขอความเห็น

“งี้แหละ บ้าๆ บอๆ มึงอย่าถือสา ไม่สิ มึงต้องชินอะพี่บีม ฮ่าๆ”

“อะแฮ่ม จะโทรแล้วนะ” เฮียครามกดโทรออกแล้วเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยินด้วย บนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฎชื่อ ‘พอนอ’


คนอะไรชื่อพอนอวะ


รออยู่นานจนเกือบจะหมดสัญญาณรอสาย ปลายสายก็กดรับพอดี


(ว่า...) ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มติดจะยานคาง

“หะ...เหี้ย!? พอนอรับโทรศัพท์! เหี้ยยย ฮืออ ฮึบ!” จู่ๆ เฮียครามก็ตะโกนเสียงดังด้วยอารามตกใจระคนดีใจ พูดผิดพูดถูกจับใจความไม่ได้ มือหนายกมือขึ้นปิดปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือปาดน้ำตาป้อยๆ สะอื้นฮักๆ นี่ก็ปลอม ดูปลอมมาก

ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากอีกฝั่งนึง และจากนั้นก็เป็นเสียงสัญญาณ


ตู้ด ตู้ด ตู้ด


โดนตัดสาย...


...


เงียบกริบ


ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตัดสายทิ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงพี่ครามร้องไห้ เจ้าของโทรศัพท์ชะงักกึก ใบหน้าหล่อทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่คาดคิดว่าปลายสายจะทำอย่างนั้น

“เฮ้อ” ฟ้าใสถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ มือเรียวสวยยกขึ้นจรดสันจมูกแล้วขยับขึ้นลงไปคล้ายกับนวดให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ ส่วนไอ้โป้หลุดหัวเราะออกมาตั้งแต่โดนตัดสายจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด

“ฮ่าๆ รักพี่นายว่ะ ฮ่าๆ”

“เฮียคราม ลองโทรอีกครั้งดีไหมครับ เมื่อกี้สายอาจจะหลุด” ผมเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้เฮียครามต้องกระแอมไออีกครั้งเพื่อลดความตื่นเต้นลง เฮียแกยกมือขึ้นนวดมุมปาก เกร็งหน้าตัวเองให้ตึง พยายามอย่างมากให้ตัวเองไม่หลุดกรี้ดออกมา

“เมื่อกี๊...ผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย” แก้ตัวจบเฮียครามก็ติดต่อกับอีกฝ่ายทันทีและเปิดลำโพงอีกครั้ง กูขอล่ะเฮีย เอาดีๆ

(เออ)

“พอนอ...” เหี้ย เสียงอย่างนุ่ม

(โทรมาทำไม นายไม่ว่าง) น้ำเสียงราบเรียบติดจะรำคาญนิดๆ ทำให้เฮียครามถึงกับหน้าเจื่อนลงนิดหน่อยแต่แวบเดียวก็กลับมาปกติ

“ไอ้มุ่ยมันอยู่กับนายปะ”

(นั่งอยู่ข้างนายเนี่ย - ใครอ้ะ! เฮียครามอ่อ) เสียงที่คุ้นเคยแทรกเข้ามาในสาย มันทำให้ผมทั้งรู้สึกโล่งใจและดีใจ หัวใจผมเต้นรัวเร็วขึ้นอย่าห้ามไม่อยู่ เมื่อได้ยินน้ำเสียงสดใสนั่น คิดถึงว่ะ


คิดถึงเหี้ยๆ


กลับมาได้แล้วไอ้เด็กกาก


อยากเจอ อยากกอด อยากไปหา


“อยู่ไหนกัน”

(ครามขี้เสือกอะ)

“พอนอ...”

(แต่ก็คิดถึงครามว่ะ - โอ๊ย! เลี่ยน! แหวะ!) เฮียครามลุกเดินหนีพวกผมออกไปเฉย ดูท่าจะมีความสุขน่าดูหลังจากโดนด่าไป ฮ่าๆ

“น่าจะกลับมาหลังปีใหม่ ถ้าให้เดานะ” ฟ้าใสเปรยออกมา มีไอ้โป้พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ผมกล่าวขอบคุณน้องและขอตัวกลับทันที

ไอ้ตัวดีของผม น่าจับตีจริงๆ ถามว่าผมโกรธไหม บอกตรงๆ ว่าโกรธมาก ทั้งห่วงทั้งโกรธ น้องทำเหมือนผมเป็นคนอื่น แค่จะไปเที่ยวบอกกันสักคำก็ไม่มี ทิ้งให้ผมเป็นบ้าอยู่คนเดียว แต่แค่ได้ยินเสียงไม่เห็นตัวก็ทำผมใจอ่อนยวบ ความโกรธที่มีถูกลดระดับลงจนเหลือศูนย์ มีแต่ความคิดถึงที่ล้นทะลักออกมา อยากจะเจอหน้าน้องไวๆ แล้วกอดให้จมอก ให้สมกับความดื้อของน้องมัน

เสียดายที่ไม่รู้ที่อยู่ของน้องมัน แต่แค่นี้ก็ทำให้ผมมโล่งใจแล้ว ถึงจะรู้ น้องมุ่ยก็คงยังไม่อยากให้ผมไปหาตอนนี้หรอกครับ ผมเองก็อยากจะให้เวลาน้องเหมือนกัน เอาไว้รอจัดการทีเดียวตอนน้องกลับมา หึ

“ถ้างั้น พี่กลับก่อนนะครับ” ผมบอกกับฟ้าใสที่ยังดูงงๆ กับเหตุการณ์อยู่ เจ้าตัวใช้เวลาประมวลผลแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าลงตอบกลับมา แล้วเดินหายเข้าไปในครัว

“กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวกูให้แฟนมารับ” ไอ้โป้ว่าแค่นั้น แล้วล้มตัวนอนต่ออย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“เออ”

ผมเดินออกมาหน้าบ้าน ยังไม่ทันถึงประตูรั้ว ก็รู้สึกถึงแรงสะกิดบริเวณไหล่ของตัวเอง พอหันกลับไปก็พบกับเฮียคราม

“ครับ?”

“มาคุยกันหน่อยดิ้”


เอื้อก


รู้สึกลำคอแห้งผากอย่างไร้สาเหตุ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกระหายน้ำหรือเฮียคราม ใบหน้าหล่อดูนิ่งขึ้นกว่าตอนที่อยู่ในบ้าน มุมปากยกยิ้มขึ้นบางๆ ไม่บ่งบอกความอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

“นานไหมครับ”

“เออ แป้ปเดียว มึงรีบไง๊” เฮียครามถามพลางแคะเล็บตัวเองไปด้วย จึปากอย่างรำคาญใจ ขนาดไอ้การจึปากที่น้องมุ่ยชอบทำเวลาไม่พอใจอะไรสักอย่าง ยังเหมือนกันเลยครับ

“เฮียมีอะไรครับ” ผมตรงเข้าประเด็นทันที

“กูบอกพอนอละว่าให้ไอ้มุ่ยมันเปิดมือถือ ทำคนอื่นเขาวุ่นวายไปหม้ด” เฮียครามว่าด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ ผมพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ แล้วก็เงียบเหมือนเดิม

“...”

“ตกลงแล้วเฮียมีอะไรจะคุยกับผมครับ”

“ชอบไอ้มุ่ยเหรอมึงอะ”

“เอ่อ อ่อ ครับ” ผมตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะจู่ๆ เฮียก็เปิดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่มีการเกริ่นนำใดๆ ทั้งสิ้น

“อ้ำอึ้งไอ้สัด กูให้โอกาสตอบอีกที”

“ครับ ชอบครับ ชอบมาก”

“ถึงไหนแล้วล่ะ” กอดครับ จูบแล้วด้วย

“น้องขอเวลาครับ”

“มันชอบมึงรึเปล่า”

“น้องชอบผม” ผมไม่ได้คิดไปเอง อย่ามองกันอย่างนั้นดิ

“ไอ้เหี้ยนี่ก็มั่นหน้าดีเว้ย เอ้อ” จบคำ ระหว่างผมกับเฮียก็เกิดเดดแอร์ นานจนกลายเป็นตัวผมซะเองที่อึดอัดจากสายตาของเฮียครามที่ยืนมองพิจารณาผมอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที

“ผมชอบน้องมุ่ย”

“เออๆ กูก็พอจะรู้อยู่ อย่าย้ำให้มาก สะเทือนใจ” เฮียโบกมือปัดๆ อย่างไม่สนใจจะฟัง แววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจเจืออยู่ในนั้น แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร คงจะหวงน้องตามแบบฉบับของพี่ชาย แต่ดูจากรูปการณ์แล้วผมเดาว่าน่าจะยี่สิบปลาย ซึ่งเป็นเพราะว่าโตแล้วจึงไม่คิดจะทำอะไรเป็นเด็กๆ อย่างการห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับน้องมุ่ย จึงทำได้เพียงฮึดฮัดกับตัวเองเท่านั้น

ผมไม่อยากจะคิดเลย ถ้าหากพี่ชายน้องอายุไล่เลี่ยกันกับผม เรื่องคงไม่จบแค่การเรียกมาคุยแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่

“เฮียจะว่าอะไร -”

“ดูแลน้องกูให้ดีละกัน มันร้องไห้มึงตาย มันเสียใจมึงตาย เข้าใจนะ” เฮียว่าแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไปเลย แต่ผมมั่นใจว่าอย่างไรประโยคสุดท้ายนั้น เฮียจะต้องได้ยินแน่นอน

“ผมจะดูแลน้องมุ่ยให้ดีที่สุด ผมสัญญา”




********************************************************



มาแล้วค่าาาาา รีบปั่นสุดชีวิต ในส่วนของพาร์ทพี่บีมนั้น รู้สึกอิจน้องมุ่ยมากๆ ฮ่าๆ เอ็นจอยรีดดิ้งนะคะ รัก
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 23 คิดถึงใครแปลว่ารัก (UP) 21/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 21-09-2019 03:28:21
บทที่ 23

คิดถึงใครแปลว่ารัก


“จะไปไหน” ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากรั้วบ้าน น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นอยู่ข้างหลัง ทำผมสะดุ้งตกใจ พอหันไปก็เจอกับพี่พระนายยืนเท้าเอวเอียงคอมองอยู่ ดวงตาคู่คมปราดมองไปทางกระเป๋าเป้ใบขนาดกลางที่ผมสะพายไว้ คิ้วสวยขมวดน้อยๆ พลางเลิกขึ้นอย่างสงสัย

“งานเค้าเสร็จแล้วนะพี่นาย! หมดงานแล้วเที่ยวได้!” ผมโพล่งขึ้นมาอย่างเร็วปร๋อ กลัวอีกฝ่ายจะว่าเข้าให้

“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย ร้อนตัว” เจ้าของสองแขนเรียนเปลี่ยนอิริยาบถยกขึ้นมากอดอก ทำให้ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นมาอีกห้าร้อยเปอร์เซ็นต์

“ใครร้อนตัว ม...ไม่มี๊!” โอ๊ย เสียงสูงเชียวกู พี่มันแม่งจับไม่ได้เลยมั้งว่ามึงจะหนีเที่ยว ไอ้ควายมุ่ยเอ้ย

“บอกกูสิ ว่าทำท่าลับๆ ล่อๆ เนี่ย จะไปไหน”

“เค้า...มุ่ยจะไปเที่ยว” ผมส่งยิ้มแหะๆ ให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี อากาศก็ไม่ร้อนทำไมเหงื่อออกมือวะเนี่ย

“ออกไปทำไมแต่เช้า”

“มุ่ยจะไปเที่ยววัดตอนเช้าอะ แล้ว...แล้วก็จะขึ้นดอยด้วย” ผมตอบอย่างตะกุกตะกัก แล้วถลาเข้ากอดแขนพี่นายเป็นเชิงขออนุญาต แต่ก็ได้สายตาดุๆ กลับมาแทน

“ดอยไหน”

“ดอยเสมอดาว” ส่งตาปิ๊งๆ อ้อนด้วยก็ได้อะ

“จะไปคนเดียว?” ทำไมรู้สึกเสียงพี่มันแข็งๆ วะ มีแววจะอดไปเฉยเลย คือถ้าพี่มันพูดด้วยโทนนี้ทีไรไอ้มุ่ยต้องจอดทันที ห้ามกระดิกแม้แต่ปลายเล็บนิ้วโป้งตีน

“ตอนแรกจะชวนพี่แล้วอะ แต่เห็นงานยุ่งๆ เลยคิดว่าไม่ว่าง”

“กูบอกตอนไหนว่าไม่ว่าง ฮะ ไอ้เด็กดื้อ” พี่นายจับหัวผมแล้วโยกไปมา ทำเหมือนหัวกูเป็นเกียร์กระปุกเลยอะพี่มึง

“เอ้า...”

“รอกูก่อน เก็บของแป้ป” พี่นายหยุดมือแล้วผลักหัวผมออก ทำให้ตัวเองเซนิดหน่อย ดีนะจับผนังไว้ได้ทัน ไอ้เป้ที่แบกไปก็หนักใช่ย่อย

“พะ...พี่นายจะไปด้วยเหรอ”

“ทำไม กูไปด้วยไม่ได้หรือไง”

“เปล๊า เปล่าเลยเว้ย ไปเก็บของๆ เดี๋ยวรออยู่ตรงนี้จ้า” ผมผายมือเป็นการเชื้อเชิญพี่นายให้เดินเข้าบ้านด้วยท่าทีนอบน้อม รอจนลับสายตา ก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปลดเป้ลงจากหลังแล้วนั่งลงกับม้านั่งหน้าบ้านเพื่อรอพี่มันเตรียมตัว

ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจที่พี่นายไปด้วยนะ แค่กลัวโดนดุที่ไม่ได้ชวน ก็นึกว่างานส่วนของเจ้าตัวเขายังไม่เสร็จ ไอ้เราเลยไม่อยากรบกวน ให้พี่มันทำงานได้สะดวกๆ ส่วนผมก็จะออกไปหลั่นล้าแทน อิอิ





สองสัปดาห์ก่อนหน้า



“แท็กซี่ไหมครับ! แท็กซี่”

“วินมอ’ ไซต์ทางนี้ครับ ทางนี้”

ในที่สุดก็ถึงสักที การเดินทางครั้งนี้กินเวลาไม่นานเท่าไรแต่ทำเอาผมแทบอาเจียน ถึงกับต้องกินยาแก้เมารถกันไว้และหยิบยาดมขึ้นสูดยาวๆ

พอสอบเสร็จผมก็รีบกุลีกุจอเก็บข้าวของออกจากห้องสอบทันที บึ่งน้ององุ่นไปที่หอจัดแจงยัดเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ แล้ววนรถกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดอะไรให้เรียบร้อยพร้อมเลือกหยิบกล้องคู่ใจเวลาออกทริปไปด้วย ต่อจากนั้นก็เรียกแท็กซี่ให้มารับไปที่ขนส่งจังหวัดเพื่อหารถตู้ไปลงพะเยา แต่โชคร้ายที่มันหมดพอดีตอนผมไปถึง น้ำตาไหลเลยกู สุดท้ายก็ต้องกลับมานอนบ้านก่อนเหมือนเดิม แล้วรอไปพรุ่งนี้เช้า

ซึ่งเช้ามืดก่อนจะออกจากบ้านดันป๊ะกับเฮียครามพอดี ก็บอกไว้ว่าเออไปเที่ยวนะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เฮียมันก็พยักหน้ารับรู้อย่างดิบดี แต่ตาแม่งคือหลับอยู่ หลังจากนั้นก็รีบมาขึ้นรถตู้ที่ขนส่งทันที ผมลงที่จังหวัดพะเยาก่อนเพื่อรอต่อรถทัวร์มาลงที่จังหวัดน่าน

ใช่ครับ ฟังไม่ผิด ผมมาเที่ยวน่าน อันที่จริงจะบอกว่าเที่ยวก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะสาเหตุจริงๆ ของการมาคือถูกพี่นายเรียกตัวมาใช้แรงงาน

คืนก่อนสอบวันสุดท้ายพี่นายโทรเข้ามาแล้วก็พูดรัวเร็วจนผมฟังแทบไม่ทัน แต่จับใจความได้แค่ว่าสอบเสร็จเมื่อไรให้ลงมาหาทันที ผมก็เออออตอบตกลงไป เพราะหนึ่งคือดีใจอยากเจอพี่มัน และสองคือผมอยากเที่ยวพอดี เลยไม่ทันได้บอกใครแม้แต่พวกไอ้เจ๋ง หรือแม้กระทั่งบีม ทริปฉุกละหุกสัดๆ

พอมาถึงพี่นายก็มารอรับแล้วพาไปกินข้าว จำได้ว่าคิดถึงพี่มันมาก คิดถึงแบบอยากแดกพี่มันเข้าไปทั้งตัวผมพูดจ้อไม่หยุดจนพี่มันรำคาญและเช้าวันถัดมาผมก็เสียงแหบ ซึ่งตื่นนอนมากูยังไม่ทันได้แตะโทรศัพท์เลยค้าบ พี่นายก็เปิดประตูเข้ามาปลุก สั่งให้รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะออกไปข้างนอกกัน

และสถานที่ที่พี่นายพามาคือร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่เหมือนจะยังไม่เสร็จดี ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลากผมเข้าไปหาเจ้าของร้าน และได้ข้อสรุปทั้งหมดว่า พี่อาร์มเจ้าของร้านคาเฟ่แห่งนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของพี่นาย หลังจากทำธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลก็เริ่มเบื่อ เลยอยากหาอะไรอย่างอื่นทำเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ด้วยความชอบกาแฟเป็นทุนเดิมและพี่ฝ้ายภรรยาพี่เขาก็ชอบทำขนมอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดร้านนี้ขึ้นมา

ผมได้ฟังแล้วแบบ ไอ้เหี้ย ความคิดพี่แม่งโคตรเอา ทั้งพี่อาร์มกับพี่ฝ้ายก็เทคคอร์สทันที จนทั้งหมดทั้งมวลก็กลายมาเป็นร้านนี้นั่นล่ะ

ถามว่า เอ้า แล้วเกี่ยวอะไรกับผม คืองี้ ก็พี่อาร์มอยากให้พี่นายมาวาดผนังร้านให้ ซึ่งพี่ผมตอนแรกก็ว่าจะไม่รับนะ เพราะขี้เกียจ เออ ครับ ฟังไม่ผิดหรอก แกอยากเอาเวลาไปเที่ยวรอบโลกมากกว่ามานั่งทำงานตามแบบแผน คนรวยก็งี้แหละ แต่ที่รับเพราะพี่อาร์มอนุญาตให้พี่นายวาดอะไรก็ได้ตามใจเลย เอาที่อยากทำ และเชื่อในฝีมือพี่มัน

ตกลงดิครับ รออะไร ยิ้มหวานเลยอะพี่กู งานแบบนี้ล่ะชอบนัก และด้วยความที่ร้านไม่ใช่เล็กๆ พี่นายก็เลยต้องหาผู้ช่วย ซึ่งก็คือผมนั่นเอง

อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าผมไม่ถนัดลงสี พี่นายก็เหมือนกัน เราเลยตกลงกันว่าจะให้เป็นงานเส้นทั้งหมด พวกเราก็มานั่งวางไอเดียกันว่าจะวาดแบบไหนอะไรยังไง ถึงจะอิสระมากแค่ไหนก็ต้องมีกรอบกันไว้บ้าง ถ้างานที่ทำออกทะเลไปไกลแล้วเราจะตายกันทั้งหมดนะครับ ร้านเขาไม่ใช่แค่บาทสองบาทนะเอ้อ

ใช่ครับ หลังจากวันนั้นมาผมก็ง่วนอยู่แต่กับการวาดผนังของร้าน และนั่นก็ทำให้ผมแทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหนนอกจากบ้านพี่นายและร้านพี่อาร์ม วนอยู่อย่างนั้นเป็นอาทิตย์ โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนนั่นแหละที่เฮียครามโทรมาก็ได้รู้ว่า ทุกคนเป็นห่วง ทั้งเพื่อน ทั้งบีม

ชิบหาย! แม่งกูว่าแล้วใจกูมันตงิดๆ อะไรสักอย่างตั้งแต่อาทิตย์แรกที่มาถึงละ แต่ด้วยความที่ผมอินกับงานมากๆ เลยเผลอลืมไป


คิดถึงบีมไง!


คิดถึงบีมนี่เอง


เมื่องานในส่วนของผมเสร็จเรียบร้อยดีเหลือเก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย ผมก็กลับมาเปิดโทรศัพท์ดูอีกครั้งหลังจากไม่ได้แตะมันเลยจนแบตหมดด้วยความกระวนกระวายใจ และก็พบว่าโดนถล่มทั้งมิสคอล ไลน์ เฟส ไอจี หลักๆ ก็บีมอะ เพราะมันไม่เคยเจอผมเวอร์ชันหายตัว ต่างกับเดอะแก๊งที่คงพอจะเดาออก และที่หาทางติดต่อผมได้ก็คงจะเป็นไอ้โป้ที่ช่วยบีมมัน

ซึ่งอยากจะขอโทษมันจริงๆ ผมผิดเต็มประตูเลย ดันลืมไปซะสนิทว่ากูยังไม่ได้บอกบีมเลยนี่หว่า เลยคิดว่าจะง้อมันยังไงดีวะ พอเดินไปถามพี่นายก็โดนถีบกลับมาเพราะแกหลับอยู่ สุดท้ายวันนั้นเลยตัดสินใจลงรูปในอินสตาแกรมแล้วแท็กบีม ให้มันรู้ว่ากูยังอยู่ดีนะ ฮ่าๆ ผมตัดสินใจนานมากว่าจะลงหรือไม่ลงดี ไอ้เหี้ยเอ้ย ก็คนมันเขินอะครับ

หลังจากลงปุ้ป บีมก็โทรมาทันที มันโวยวายใส่จนหูจะดับ ผมก็ได้ถือสายฟังจนจะหลับแหล่มิหลับแหล่ แอบบอกมันว่าแดกน้ำหน่อยไหม เสียงแหบแล้วอะ


‘ไอ้เด็กเหี้ย’

‘โหลๆ บีม นี่กูเองอะ คนที่มึงบอกชอบไง’

‘เด็กโง่!’

‘ชื่นใจ จ้า กูเอง ชอบกูจริงป้ะวะ ด่าอย่างกับกูไปเผาบ้านมึงมางั้นแหละ’

‘ทำอะไรลงไป รู้ตัวไหม กูเป็นห่วงขนาดไหนรู้บ้างไหม’

‘อื้อออ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ นี่กูขอโทษมึงจะครบร้อยอยู่แล้วอะ คุยมาสองชั่วโมงกว่าแล้วเนี่ย หายโกรธดิ้เฮ้ย ดีกันๆ’

‘ถ้ากูหายบ้างนะน้องมุ่ย’

‘ทำไม จะหายไปไหน’

‘ไม่บอก’

‘อยากโดนเฮียมุ่ยถล่มเหรอบีม ห้ะ?’

‘พูดไปเรื่อยอะมึงอะ’

‘เฮอะ! คอยดูกูจะไปเผาบ้านมึง เผาคณะ เผามหาลัยมึงด้วย เผาสนามฟุตบอลมึงงงงงงงงง’

‘หึ’

‘หึหยัง? บ่าต้องมาหึ ขอซื้อไปทิ้งได้ป้ะไอ้หึๆ เนี่ย แม่งเอ้ย’

‘เมื่อไหร่จะกลับ’

‘โอ๋ๆ อดเอาแหมน้อยก๊า อีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็กลับแล้ว’

‘เร็วๆ’

‘เออออออ’

‘เข้าใจ๋ก่อ โวยๆ หนา’

‘อึ้ยย หยังมาอู้กำเมือง บ่าต้องไปอู้จะอั้นกับไผเลยเน้อ ขาง’

‘ฮ่าๆ รีบกลับมาได้แล้ว’

‘อือๆ แป้ปเดียว’

‘...’

‘...’

‘คิดถึงมึงนะน้องมุ่ย คิดถึงเหี้ยๆ เลยว่ะ’

‘เออ’

‘...’

‘กูก็คิดถึงมึงสัดๆ เหมือนกัน’




หลังจากกดวางสาย ผมก็นั่งนิ่งแดกจุดอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที


/ยกมือทาบอก


คุณพระ


ภาษาเหนือเวอร์ชันบีม


หัวใจผมเต้นแทงโก้ได้นะรู้ยัง เชี่ยเอ้ยยยย

ผมเพิ่งรู้ว่าบีมมันอู้กำเมืองได้อ้ะ!? มันคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอครับ หน๊อย! กูจะไม่ยอมให้มึงไปพูดกับใครเด็ดขาด แม่งเอ้ย น้ำเสียงตอนพูดคือเว้าวอนมาก ผมอยากจะว้าปไปอยู่ใกล้มันซะเดี๋ยวนั้นเลยจริงๆ ให้ตาย แม่ง

นิสัยของบีมทำผมแพ้อย่างที่เคยบอก ทั้งชีวิตไม่เคยเจอใครแบบมันมาก่อน ไม่แปลกที่ผมจะทั้งทำตัวไม่ถูกเวลาต้องอยู่ใกล้บีมและมัวแต่ลีลาอยู่อย่างนี้ แล้วพอคิดว่าก่อนหน้านั้นบีมเคยไปพูดด้วยหน้าตาและน้ำเสียงแบบนั้นกับใครมาบ้าง อ้อหอ ตีนกูนี่กระดิกดิ้กๆ เลย ร่างกายอยากโดนปะทะสัดๆ

เฮ้อ แต่ผมก็ชอบบีม ให้พูดอีกร้อยรอบก็จะพูดว่าชอบบีม ซึ่งอันที่จริงมันอาจจะมากกว่าคำว่าชอบไปนานแล้วก็ได้ คำขอห่างจากผม ไม่ได้หมายความว่าผมจะหนี เหี้ย ไม่ได้หนีโว้ย ผมมาทำง๊าน! กลัวบีมเข้าใจผิดผมเลยอธิบายไปซะหมดเปลือก และบีมตอบกลับมาแค่ว่า ‘อยากเจอพี่พระนาย’

เชี่ยเอ้ย ทำยังไงดีวะน่ะ รถไฟต้องชนกันแน่ๆ

มันบอกว่าได้ยินผมพูดชื่อนี้บ่อยๆ เลยอยากเจอหน้าและทำความรู้จักเอาไว้ หึงกูก็พูด โด่เอ้ยไอ้บีมคนบ้า

พี่นายเป็นแฟนเฮียคราม เอาอะไรมาหึงกู บ้าบอ




“แล้วจองเต็นท์ จองอะไรเรียบร้อยแล้วรึยัง” พี่นายเดินออกจากบ้านพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ทะมัดทะแมงขึ้น ปกติพี่มันชอบใส่เสื้อตราห่านสีขาวย้วยๆ กับกางเกงผ้าบางลายช้าง ซึ่งไอ้กางเกงไม่เท่าไร แต่เสื้อเนี่ย ขาดจนไม่รู้จะปะตรงไหนแล้ว แต่พี่นายก็ตอบมึนๆ แค่ว่า มันใส่สบาย

ผมมองดูสัมภาระของพี่มัน เออ พอๆ กับผม เหมือนจะเยอะกว่าด้วยแฮะ

“เอาไปเองๆ” พี่นายพยักหน้า หันกลับไปล็อคประตูบ้านแล้วเดินเช็คความเรียบร้อยนิดหน่อย จากนั้นก็โบกมือไล่ผมเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน

“เดี๋ยวเอารถไป” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินลิ่วไปที่โรงจอดรถทันที

“ครับผ๊ม!”


.

.


“พี่นาย มุ่ยอยากแวะวัดภูมินทร์ก่อน” ผมรีบบอกพี่มันก่อนจะลืม เจ้าตัวพยักหน้ารับแล้วขับมุ่งตรงสู่ทางไปวัด พี่นายขับรถมาได้สักพักก็จอดแวะปั๊มเติมน้ำมันก่อน แล้วก็บอกให้ซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อมาตุนพร้อมกับยื่นแบงค์เทามาให้สามใบ ลาภปากกูแล้ว ผมนี่ดี๊ด๊าเลย

อันดับแรกก็ต้อง เยลลี่แบร์

ผมกวาดลงตะกร้าเป็นว่าเล่นอย่างอารมณ์ดี แต่จู่ๆ ก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีมืดดำข้างหลัง


ผัวะ!


เจ็บจี้ดถึงแกนสมอง

“จะเอาไปแดกหรือจะเอาถมดอย ให้มันพอดีหน่อย”

“ฮึ่ย” ผมจำใจหยิบน้องเยลลี่วางคืนบนชั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ กูจะฟ้อง! ฮือแม่ง มาอยู่กับพี่นายโดนตบหัวจนสมองจะไหลมารวมกันอยู่แล้ว ทีตัวเองนะพี่นาย โน่น ขนมถุงบนชั้นละกวาดลงตะกร้าเอาๆ โด่ อย่าให้ผมพูดครับ พี่นายตัวดีเลย ชอบกินนักไอ้พวกขนมกรุบกรอบทั้งหลายเนี่ย หลายปีก่อนนู้น โดนเฮียจับถอนไปซะหนึ่งซี่ น้ำตาไหลเลยอะ สมน้ำหน้า ฮ่าๆ


แปะ!


ผมตีต้นแขนลีนนั่นเบาๆ ทำให้มือใหญ่หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองผมตาขวาง

“จะเอาไปกินหรือจะเอาถมดอยครับคุณพี่พระนาย ให้มันพอดีหน่อยครับ” ฉีกยิ้มกว้างล้อเลียนฉบับสุภาพ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนบ้องหูอีก

“ยังไม่โตห้ามแดกขนมเยอะ อีกอย่างนั่นตังกูครับ” พี่นายส่งยิ้มเยาะเย้ยมาให้อย่างคนเหนือกว่า แล้วหมุนตัวเปิดตู้แช่เครื่องดื่มหยิบเอาน้ำขวดลิตรมาสี่ขวด เจ้าคนตัวสูงยัดตะกร้าขนมตัวเองใส่มือผมแล้ววางขวดน้ำลงมาพร้อมกัน

“มุ่ยหนัก” ผมโอดครวญด้วยท่าทีหน้าสงสาร แต่พี่นายก็ทำเฉย ดันหลังผมให้เดินตรงไปยังแคชเชียร์

“เดินไปจ่ายตังเจ้าหมามุ่ย”

“ไอ้เจ้าก้อน!”


ผัวะ!


แง


.

.


“สวยว่ะพี่ อากาศดีโคตรๆ ด้วย” เรามาถึงกันโดยสวัสดิภาพ อากาศในตอนเช้าค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว แต่พอบวกกับแสงแดดจ้าก็ทำให้อากาศไม่ร้อนไม่หนาวมากเกินไปกำลังพอดี ผมเดินถ่ายรูปทั่ววัดด้วยความหลงใหล โดยมีเจ้าก้อนเดินตามมาไม่ห่างกัน ในมือถือกล้องฟิล์มของเล่นใหม่ที่เล่นซื้อมาอย่างกับจะเปิดท้ายรถขาย เห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า เฮ้อ คนรวยเขาเป็นแบบนี้นี่เอง

“หมามุ่ยไปยืนตรงนั้น” พี่นายชี้ไปยังมุมๆ นึง ผมด้วยความกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นแบบให้พี่นายถ่าย ก็รีบวิ่งทันที

“ทำหน้าดีๆ สิ ทำไมชอบทำหน้าหมาเหมือนคราม” พี่แกลดกล้องในมือลง ชี้ที่หน้าตัวเองให้ผมดู

“ถ่ายเลยเจ้าก้อน!”

“ไอ้เด็กหมามุ่ย”

ทุกครั้งแหละครับ เวลามาออกรอบกับพี่นายทีไร ต้องทะเลาะกันก่อนจะได้ถ่ายทุกที เห็นๆ กันอยู่ว่าพี่นายแม่งขี้แกล้ง หาว่าผมหน้าเหมือนหมา ให้เฮียเหมือนคนเดียวดิ นี่มันนายฟ้ามุ่ยสุดหล่อ หล่อกว่าใครในปฐพี จำไว้ด้วย

ผมชอบเรียกพี่นายว่าเจ้าก้อน เวลาโดนแกล้งหนักๆ เพราะนอกจากจะทำให้พี่มันหยุดด่าได้แล้ว ก็ทำพี่มันหน้าแดงได้อีก ไม่ได้เขินนะ โมโหทั้งนั้น ฮ่าๆ

เฮียครามคือจุดเริ่มต้นในการเรียกพี่นายว่าไอ้เจ้าก้อน ผมก็เรียกตาม แต่เอาจริงๆ ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกนะ ไม่เห็นจะก้อนตรงไหนเลย หุ่นอย่างกับยักษ์

“พี่นายๆ อยากถ่ายปู่ม่านย่าม่าน” ผมอาศัยจังหวะที่พี่นายกำลังเปลี่ยนกล้องอีกตัวเดินเข้าไปหา ทำหน้าหมาๆ เข้าไว้ไอ้มุ่ย เฮียจะได้เห็นใจ

“คนเยอะชิบหาย” บ่นๆ แต่ก็ยอมจูงมือพาผมเดินไป ก็จริงที่พี่มันพูด วันหยุดในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ผู้คนก็มักจะขึ้นเหนือมาเที่ยวพักผ่อนกัน โดยเฉพาะเมืองน่ารักๆ อย่างจังหวัดน่าน เรียกได้ว่ามีนักท่องเที่ยวทุกหย่อมหญ้า

และผมไม่พลาดที่จะอัพไอจีสตอรี่กับภาพที่มือผมถูกกุมไว้ด้วยมือใหญ่ๆ นั่น อวดทุกคนบนโลกว่า


‘ใจดีอีกแล้ว ไอ้เจ้าก้อน :) ’




“ไว้พระก่อน”

“โอเค” ผมพยักหน้ารับ แล้วหาที่ว่างๆ เดินแทรกเข้าไปนั่งกับพี่นาย

ขณะที่กำลังเดินทางมาผมก็อ่านข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดมาคร่าวๆ ก็พบความน่าสนใจของวัดภูมินทร์ จนทำให้ผมอยากมาดูให้เห็นเองกับตา โดยจุดเด่นของวัดนี้ที่ทำให้ผมสนใจคือ "พระอุโบสถจตุรมุข” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ โดยรวมเอาโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ ไว้ในอาคารเดียวกัน ในลักษณะการจำลองแผนภูมิจักรวาลตามความเชื่อแห่งพุทธศาสนา โดยมีพระประธานจตุรทิศปางมารวิชัย 4 องค์ หันหน้าออกสู่ประตูทั้ง 4 ทิศ ประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถแห่งนี้

และบอกเลยว่าผมไม่ผิดหวัง งดงามมากจริงๆ

ผมใช้เวลาค่อนข้างนานกับการซึมซับศิลปะรอบอุโบสถ และคงจะพลาดอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญไม่ได้เลย คือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันอยู่แล้วซึ่งก็คือ ภาพ “กระซิบบันลือโลก” หรือภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ที่เป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อสมัยโบราณ ในลักษณะกระซิบสนทนากัน

ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ผมอยากมาที่นี่จากการอ่านบทความแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ต ก็คือ คำกลอนอันสุดจะโรแมนติกที่เป็นภาษาเหนือจากปราญช์เมืองน่านนี่แหละ ซึ่งท่านได้แต่งคำเพื่อบรรยายถ้อยคำกระซิบของปู่ม่านย่าม่านนี้ว่า


“คำฮักน้องกูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว

จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาขะลุ้ม

จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป

ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวชายปี้นี้

จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…”


แปลว่า “ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”


อยู่กับผมน่ะ ดีแล้ว

ความรักของบีมฝากไว้ที่ผมอะ ดีที่สุดแล้ว


“เขินเนอะ” ผมอมยิ้มแก้มแทบแตกแล้วหันไปพูดกับพี่นายที่ยืนข้างกัน

“มั้ง”

“พี่นายต้องอ่านกลอนนี้ด้วยดิ มุ่ยเขินเลยว่ะ” ผมยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าพี่นาย ซึ่งแกก็ถืออ่านอยู่สักพัก แล้วก็ส่งคืน

“เฉยๆ”

“แหนะๆ” ผมเอียงคอยกยิ้มแซวหวังจะให้พี่มันเขิน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พี่แกเล่นมองภาพด้วยแววตานิ่งประดุจน้ำในหนอง ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงอารมณ์สุนทรีย์ใดๆ กับภาพจิตรกรรมฝาผนังและบทกลอน

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวที่ตั้งเต๊นท์เต็ม” นู่น พูดเสร็จก็เดินดุ่มๆ ออกไปนู่น


หึ้ยยยย

เห็นนะว่าหูแดงอะ กิ้วๆ


.

.


“โชคดีที่ยังไม่เต็ม” ผมปาดเหงื่อชื่มชมเต็นท์ขนาดกลางที่ผมตั้งด้วยตัวเอง และโชคดีอีกที่ตรงนี้วิวสวย มองเห็นบรรยากาศรอบๆ ได้โดยไม่มีอะไรบดบัง แต่มีไอ้เจ้าก้อนนั่งมองอย่างอารมณ์ดี แม่งเอ้ย ผมคือคนใช้ดีๆ นี่แหละวะ อยู่กับพี่มันอะ

หลังจากออกจากวัดมาเราก็แวะทานข้าว และซื้อของกินมาตุนเพิ่มอีกเล็กน้อย จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ดอยเสมอดาวที่รัก

อยากจะบอกว่ากว่าจะขนของเสร็จก็เล่นเอาหอบทั้งคู่ เพราะทางอุทยานห้ามนำรถขึ้นดอย ไอ้พี่นายตัวดีได้ทีไล่ให้ผมไปกางเต๊นท์แล้วเจ้าก็จะไปติดต่อเจ้าหน้าที่เอง ซึ่งแม่งโคตรกินแรง

“อากาศเย็นใช้ได้เลยอะพี่นาย” ผมกอดตัวเองลูบแขนขึ้นลงเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น มองพี่มันหยิบชุดออกมาจากเป้ของตัวเอง

“เออ เดี๋ยวมึงโทรสั่งหมูกระทะเลย กูไปอาบน้ำก่อน” ใช้กูอีกแล้ว

“รีบจังอะ สี่โมงครึ่งเอง”

“คนเยอะ หนาว” แปลว่าถ้าอาบดึกๆ คนจะเยอะและหนาว

“เร็วๆ นะเว้ยพี่” ผมตะโกนไล่หลังไปซึ่งก็ไม่รู้ว่าพี่มันได้ยินรึเปล่า แต่บอกไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็อาบช้ากวนตีนผมอีก ใครว่าพี่นายเป็นคนดีนี่เถียงขาดใจ

ขี้แกล้งที่หนึ่ง แถมยังดุยิ่งกว่าม๊าผมอีก ช่วงที่ผมเหี้ยๆ อะ บอกเลยว่าตีกันยิ่งกว่านี้ แล้วไม่ได้ตีแบบติดตลกนะ ทะเลาะจริงจังเลย แทบจะฆ่ากันให้ตายไปข้าง

เอาดีๆ พี่นายนั่นแหละจะฆ่าผม กูคือสนามอารมณ์ดีๆ นี่เอ๊ง! แต่ว่าไม่ได้ เขาอะลูกรักเตียกับม๊าผม เวลามาที่บ้านทีไรนะ ผมกับเฮียครามคือเหมียนหมา กับข้าวนี่เต็มโต๊ะอย่างกับตรุษจีน ม๊าก็ชอบให้ท้ายว่าดุผมได้เลยถ้าดื้อ ส่วนเตียก็ ‘กระทืบมันเลยนะอาพระนาย ถ้าอาครามมันมีชู้ เตียอนุญาต!’

เตีย ม๊า นี่มุ่ยกับเฮียครามเอง

ผมเป็นท้อเลยว่ะ



รอนานพอๆ กับพี่นายมันอาบน้ำ หมูกระทะก็มาส่ง ผมลงไปรับตรงจุดรับของ อืม ไม่พอพี่นายกินหรอก รายนั้นน่ะปอบชัดๆ ดีนะที่ซื้อของสดอย่างอื่นเพิ่มมาด้วย

“หิวแล้วว่ะ” พี่มันเดินเช็ดผมตัวหอมฉุยกลับมา ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาได้กลิ่นอาหาร เมื่อพบต้นตอของกลิ่นหอมๆ จากตาปรือๆ ก็เป็นประกายวิบวับ

“มุ่ยเอามาแล้วอะ พี่นายเตรียมของบ้างเลย” ผมว่าแล้วมุดเข้าเต๊นท์หยิบอุปกรณ์อาบน้ำกับเสื้อผ้าเตรียมตัวจะไปอาบน้ำต่อจากพี่มัน

“ใช้กูอีกละ”

“อีกละอะไรของคุณครับ คุณพระนาย ผมเป็นทุกอย่างให้คุณแล้วครับในทริปนี้!”

“ไปไป๊ จะไปไหนก็ไป” ไล่เหมือนไล่หมาอะ ฮึ่ย! ทำอะไรไม่ได้นอกจากฮึดฮัดอยู่ในใจ สู้ก็แพ้แถมยังโดนด่ากลับมาอีกแน่ๆ เฮอะ แพ้บีมดีกว่าอีก ไม่โดนด่าแถมยังได้โอ๋ด้วย

“มุ่ยไปอาบน้ำมั่ง พี่นายรอนะ ใครกินก่อนเฮียครามไม่รัก!” ว่าแล้วก็ต้องรีบวิ่งทันที ขอกูแกล้งหน่อยเถ้อะ โดนมาเยอะแล้วโว้ย!


.

.


ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 23 คิดถึงใครแปลว่ารัก (UP) 21/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 21-09-2019 03:29:47
ต่อตรงนี้จ้า


ฉ่า!


“หมูกระทะบนดอยนี่มันสุดยอดเลยว่ะพี่นาย” ผมคีบหมูสไลด์ที่สุกแล้วใส่จานพี่มัน แล้วคีบปูอัดที่นอนลอยบุ๋งๆ ในน้ำซุปขึ้นมาใส่ถ้วยตัวเอง กว่าจะได้ฤกษ์นั่งกินก็หกโมงกว่าเกือบทุ่มแล้ว หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จก็เจอพี่มันนั่งทำหน้าเคียดแค้นมองตาขวางใส่ผม ผมหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อรับรู้ว่าพี่มันรอผมจริงๆ ด้วย

แต่พอกำลังจะย่อตัวนั่ง ก้นยังไม่แตะเสื่อดี มือปีศาจก็คีบเนื้อหมูวางแปะลงกับกระทะทันทีอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีหมูสุกๆ ทั้งหลายก็ลงไปอยู่บนจานพี่มันแล้ว

ผมอิ่มหลังจากกินมาได้แค่ครึ่งทาง ต่างจากพี่นายที่ยังคงกินได้ไม่หยุด แม่งกระเพาะหลุมดำชัดๆ กลายเป็นผมที่นั่งปิ้งหมูให้พี่มันแทน เออ ดีว่ะ

“กูบอกให้มึงกินเยอะๆ หมามุ่ย”

“อิ่มแล้วอะ”

“กินอีก เดือนหน้าชั่งน้ำหนักแล้วถ่ายรูปส่งมาให้กูดู ถ้ากูยังเห็นว่าน้ำหนักมึงไม่เพิ่มล่ะก็...”

“รู้แล้วววว ไม่เห็นต้องทำหน้าโหด” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเองแล้วคีบหมูสไลด์กับปูอัดลงน้ำซุป รอจนกว่าจะสุกระหว่างนี้เราก็ปล่อยให้เสียงเชียร์จากหมูกระทะเป็นตัวทำลายความเงียบแทน

เป็นเรื่องปรกติที่เวลาผมกับพี่มันอยู่ด้วยกันแล้วอยู่ๆ ก็เงียบไปแบบนี้ ถ้าไม่ได้เถียงกันก็อย่างนี้ล่ะ ไม่ได้อึดอัด หรือรู้สึกแปลกแต่อย่างใด กลับกับมันรู้สึกถึงความสบายใจมากกว่า เหมือนอยู่กับครอบครัว ซึ่งพี่นายก็คงคิดเหมือนผมแหละ เดาเอา

“เฮียครามอยากเจอพี่นะ”

“อืม” หมูเต็มปาก พูดไม่ได้ ไอ้เจ้าก้อนตะกละเอ้ย

“เฮียมันคิดถึงแหละ ดูออก”

“เอื้อก~...อือ” กำลังพยายามกลืนหมู

“แล้วจะกลับตอนไหนอะ”

“กลับพร้อมมึง อิ่มแล้วว่ะ” ถ้าไม่อิ่มก็ไม่มีอะไรให้พี่มึงแดกแล้วล่ะครับ เกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ผักใบเขียว ผมเคลียร์พื้นที่หลังจากที่เราสองคนอิ่มแปล้กันแล้ว เริ่มจากยกเตาไฟที่มอดแล้วออกวางนอกเสื่อ รวมถึงเหล่าซากอารยะธรรมจากทั้งของผมและพี่นายด้วย เช็ดทำความสะอาดเสื่อด้วยทิชชู่เปียกจนเห็นว่าสะอาดดีแล้วจึงกลับมานั่งเหมือนเดิม

“จริงป้ะ?”

“เออ เทน้ำให้หน่อย”

“อะ” ผมส่งแก้วน้ำให้พี่มัน “พี่นาย มีอะไรจะบอก”

“กูรู้มึงผัวแล้ว”


แปะ!


“พูดไม่เพราะ! ตีปาก!” มือกระตุกไปเองด้วยความตกใจ ผมยกมือสองข้างกุมหัวทันทีเพราะรู้ดีว่าต้องโดนสวนกลับแน่ๆ แต่เค้าตีเบาๆ เองนะ พี่นายก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆ ไอ้เด็กเวร ฮ่าๆ”

“ไม่ตบหัวกลับนะ มือมันไปเองห้ามโกรธมุ่ย พี่นายพูดไม่เพราะเอง” ผมแก้ตัวเสียงอ่อนกระเถิบตัวเองเข้าไปกระแซะพี่มัน เห็นใจกูที

“นึกถึงตอนมึงเด็กๆ ครั้งนั้นมึงก็ทำแบบนี้ ฮ่าๆ” ผมเห็นแววตาอ่อนโยนระคนเอ็นดูส่งมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้สิ่งที่พี่นายพูดมาผมจะจำไม่ได้ก็ตามเถอะ แต่พี่มันอารมณ์ดีแล้วเนาะ ไม่น่าโกรธกูแล้วล่ะ

“จำไม่ได้”

“หมามุ่ยโง่ไง”

“อยากเลิกโง่ต้องทำยังไงอะ”

“ไม่ต้องหรอก แบบนี้น่ะดีแล้ว”


ตุบ!


“หัวไม่ใช่เบาๆ ไอ้เด็กดื้อ” ผมอาศัยจังหวะเผลอๆ แล้วล้มตัวนอนหนุนตักของพี่นาย หัวเราะคิกคักกับตัวเองอย่างชอบใจ ถึงจะบ่นแต่ก็ยอมให้หนุนเนาะคนเราอะ

“บีมอะ มาชอบมุ่ยเว้ย” เกริ่นด้วยความจริงก่อนอันดับแรก

“ยังไงต่อ”

“ก็...” จากนั้นผมก็เริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้พี่นายฟัง เราสองคนไม่ได้เจอกันบ่อย แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเจอมาผมก็เล่าให้พี่มันหมดทุกครั้ง เล่าเฉยๆ บ้าง ขอความเห็นพี่นายบ้าง ซึ่งก็มักจะได้รับคำตอบดีๆ กลับมาเสมอ



“อืม หมดละ พี่นายว่าไงอะ”

“อือ ดาวสวยดี”

“พี่นาย...” ผมตีแปะลงหน้าท้องแกร่งเมื่อโดนขัดใจ แต่พี่มันก็ไม่ว่าอะไรพลางยื่นมือมาจับคางผมให้เงยหน้ามองฟ้าแทน

“หูว สวยจริงด้วย เหมือนทะเลดาวเลยอะ” สาบานเลย ผมยังไม่เคยเห็นดาวที่ไหนสวยเท่าที่นี่มาก่อน เป็นคืนฟ้าเปิดที่เป็นใจให้กับทริปของเรามากๆ ท้องฟ้ากว้างพร่างพราวไปด้วยหมู่ดาวนับร้อยพัน ระยิบระยับเต็มไปหมดและคล้ายกับอยู่ใกล้กับตัวเราจริงๆ สุดยอด ไม่ผิดหวังและประทับใจที่สุด

“นั่นสิ”

“เหมือนจะจับได้จริงๆ เลยอะ คิกๆ” ผมเอื้อมมือออกไปสุดแขนทำท่าจะคว้าดาวลงมา โดยมีพี่นายหัวเราะขำกับท่าทางเด๋อๆ ของผม

“บีมดูเป็นคนที่มีความอดทนดีนะ เอามึงอยู่เนี่ย” จู่ๆ พี่นายก็เข้าเรื่องซะตรงประเด็น ทำเอาผมที่กำลังเคลิ้มๆ หัวใจกระตุกไปแวบหนึ่งเลย

“บีมมันดีอะ มุ่ยชอบบีม”

“แล้วคบกันรึยัง”

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไม่กลัวโดนแย่งรึไง กูฟังจากที่มึงเล่าดูก็รู้ว่าหน้าตาดี ใครๆ ก็ชอบ” เลือดขึ้นหน้าเลย พูดเรื่องนี้แล้วร่างกายต้องการการปะทะ

“ใครแย่งมุ่ยจะไปทุบมัน”

“หึ กลับไปก็ขอเขาเป็นแฟนซะ ลีลาจริงๆ กูเป็นไอ้บีมคือรวบหัวรวบหางไปแล้ว”

“กลัวถ้าคบไปแล้วเลิกจะทำไงอะ”

“ก็แค่ร้องไห้ เสียใจ แดกเหล้าเท่านั้นแหละ”

“ฮื้อ ไม่เอางี้ดิ” ผมส่ายหน้าแรงๆ เมื่อไม่ถูกใจในคำตอบ

“มุ่ย อ้ายเคยสอนน้องว่าใด จำได้ก่อ” พี่นายใช้น้ำเสียงจริงจังคุยกับผม

“บ่าดีกึ้ดนัก กึ้ดเติงปัจจุบัน อนาคตก็คืออนาคต”

“ฮั่นล่ะ น้องกึ้ดว่าตี้ยะจะอี้ บีมจะฮู้สึกจะใด คนคอยเปิ้นจะเป็นจะใด?”

“เปิ้นจะอิด” (เขาจะเหนื่อย)

“อื้ม ก็แค่นั้น”

“ทำไมความรักเข้าใจยาก” ผมถามแล้วปล่อยให้พี่นายลูบศีรษะตัวเองเล่น พลางปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ และนึกถึงอีกคนที่อยู่ไกลกัน

“มันยากเพราะมุ่ยทำให้ยาก”

“ทำให้ง่าย ทำไง?”

“ก็ลองปล่อยมันดูสิ”

“ปล่อยเหรอ”

“ใช่ ปล่อยให้ความรักของมุ่ยเดินไปด้วยตัวของมันเอง อย่ากะเกณฑ์ให้กับความรักว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวสุดท้ายก็ต้องเลิกกัน ไปกันไม่ได้หรอก เราไม่ได้รักกันขนาดนั้น”

“...”

“ซึ่งมันไม่ใช่”

“...”

“ยิ่งทำแบบนั้น ความสัมพันธ์มันก็จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแล้ว ไอ้หมามุ่ย”

“มันหล่ออะพี่นาย ตัวเลือกมันเยอะมาก มุ่ยเหมือนเด็กแซ๊บที่ไปฮักเมาลูกสาวพ่อหลวงอะ”

“แต่บีมเลือกมึงไง”

“ก็...ใช่”

“อย่าดูถูกความรักของบีมมันสิ นิสัยไม่ดีเลยมึงเนี่ย” พี่นายตีแปะเบาๆ ลงกับเหม่งน้อยของผม เป็นการตักเตือนว่าผมกำลังทำนิสัยเสียอยู่และเลิกทำซะ

“ขอโทษ” พอมาคิดๆ ดูแล้ว ทำไมผมนิสัยแย่จังวะ แม่งสิ่งที่ทำเหมือนกำลังดูถูกความรักของบีมอยู่ชัดๆ เลย ให้ตายดิ อยากขอโทษแล้วกอดบีมแน่นๆ ชะมัด

“เข้าใจรึยัง”

“คิกๆ รู้แล้ว เข้าใจแล้วจ้า” พี่นายพยายามจะดันตัวผมออก แต่ผมไม่ยอมเลยยิ่งสอดมือเข้ากอดเอวพี่มันแน่น พลางซุกใบหน้าเข้ากับพุงแข็งอย่างอ้อนๆ

“ลุก ไอ้หมามุ่ย”

“พี่นาย...”

“ไม่ต้องมาอ้อน”

“ตอนนี้มุ่ยคิดถึงบีมมากๆ”

“ถ้าคิดถึงมากๆ แปลว่ารักใช่ไหม”

“อืม”

“...”

“เก่งมาก”

“...”

“โตได้สักทีนะ ไอ้หมามุ่ย”


.

.

.


พี่นายปลุกผมมาดูหมอกในตอนเช้ามืด ซึ่งผมเกือบจะเทด้วยซ้ำเพราะกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็เล่นเอาตีหนึ่งกว่า

ผมมองผู้คนที่เริ่มทยอยเดินมาตรงจุดชมวิวทะเลหมอก ในตอนเช้ามืดแบบนี้เมื่อมองไปจนสุดขอบฟ้าก็จะเห็นเส้นสีเหลืองทองของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้น ผมไม่พลาดที่จะหยิบกล้องคู่ใจมาเก็บภาพบรรยากาศทั้งหมดไว้ เหมือนอยู่บนก้อนเมฆจริงๆ เลยอะ ทะเลหมอกหนาๆ สวยมาก และหนาวมากด้วย บรื๋อ

“หลังจากนี้จะไปไหนต่อไหม” พี่นายที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มถาม

“ไม่รู้อะ อยากมาแค่นี้ พี่นายพาเที่ยวหน่อยดิ”

“กูก็ไม่รู้จะพาไปไหน แต่วันนี้เพื่อนกูเปิดร้านวันแรก เพราะฉะนั้นต้องกลับบ้านก่อน” เชี่ย เออว่ะ ลืมสนิท

“งั้นรีบเก็บของกันเลยเดี๋ยวไม่ทัน”



หลังจากนั้นก็คือเวลาแห่งการเร่งรีบ น้ำยังไม่ต้องอาบ เก็บของกันอย่างเดียวโลด ผมก็ดันลืมไปเลยว่าเพื่อนพี่นายชวนไปงานเปิดร้านวันแรก ไม่รู้จะทันรึเปล่าด้วย ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ อะ

“เราจะถึงบ้านมุ่ยกี่โมงอะ” ผมถามเมื่อพี่นายบอกว่าหลังจากเสร็จงานแล้วก็จะไปส่งผมเลยแล้วจะค้างด้วย เฮียครามแม่งดีใจเนื้อเต้นแล้วมั้ง

“เย็นๆ มั้ง กูไม่รีบ หรือมึงรีบ?”

“ไม่อะ เฮียครามไลน์มาถาม”

“บอกมันว่าเคลียร์ห้องตัวเองให้เรียบร้อยด้วย ไม่งั้นเจอกูทุบ”

“ฮ่าๆ โอเค”

เชื่อดิว่าตอนที่เฮียเห็นหน้าพี่นาย แม่งพูดติดอ่างอยู่คำเดียว


.

.


“พะ...พะ...”

“เอาเต็นท์เข้าไปเก็บก่อน แล้วค่อยมายกเป้กับอย่างอื่นไป” ผมพยักหน้ารับอย่างแข็งขันแล้วแบกแบกเต๊นท์เข้าบ้าน โดยมีเฮียครามยืนทำหน้าหมาตาถลนขวางประตูอยู่

“พอนอ...”

“เฮียครามหลบดิ้ มุ่ยหนักนะเนี่ย” ผมขยับเท้าเขี่ยขาเฮียมัน แต่ก็ยังไม่ยอมหลบ จนผมต้องใช้วิธีกระแทกตัวเข้ากับสีข้างจนเฮียครามเซออกไปเอง

“พอนอ...”

“ครามมาช่วยนายยกของ”

“พอน๊อ!!!!”

“ไอ้เหี้ยคราม! เสียงดังหาเตียมึงเหรอ กูบอกให้มาช่วยยกของโว้ย”

“ที่ร้ากกกก” ผมมองพี่ชายตัวเองที่วิ่งแถดๆ ไปหาพี่นายแล้วสวมกอดเข้าอย่างจังจนตัวพี่นายกระแทกเข้ากับตัวรถดังปัง พอ กูไม่อยากจะคิดสภาพหลังจากนี้

“ไอ้เหี้ยคราม!!”

“โอ๊ย! ที่รัก! ครามเจ็บ! อย่าจิกหัว!”





******************************

ทุกคนลืมเรารึยังคะ ฮืออ มาต่อให้แล้วน้าาา กลับมาอ่านกันเร็ววววว อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วนะคะ หลังจากนี้น้องมุ่ยของเราจะรุกเต็มที่ เอาใจช่วยน้องมุ่ยและเอ็นดูพี่บีมกันเยอะๆด้วยนะค้า

อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ดูแลตัวเองกันด้วยน้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 23 คิดถึงใครแปลว่ารัก (UP) 21/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-09-2019 17:09:19
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 24 บีมของมุ่ย (UP) 29/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 29-09-2019 01:55:35
บทที่ 24

บีมของมุ่ย


ขณะนี้พวกเราทั้งสี่คนนั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะรับประทานอาหารของบ้าน โดยมีแม่ครัวฝีมือดีอย่างฟ้าใสอาสาโชว์ฝีมือในมื้อนี้ ทำให้บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง พอๆ กับตรุษจีนที่บ้าน ความจริงก็ต้องเป็นใสอะแหละ ทั้งบ้านเธอทำเป็นอยู่คนเดียว ผม พี่นาย เฮียคราม มีหน้าที่อย่างเดียวคือรอ และรอ

บอกเลยว่าผมคิดถึงฝีมือเจ้าใสสุดๆ จะได้กินข้าวแบบเต็มอิ่มสักที หลังจากที่ไปตะลอนกับพี่นายอยู่หลายอาทิตย์ แต่เดี๋ยวนะ ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวหมูสับ ผัดบล็อกโคลีกุ้ง ของโปรดพี่นายทั้งนั้นเลยนี่หว่า ใช่ซี้ ผมมันไม่สำคัญเลยสินะ น้องสาวคนดีถึงทำอาหารเอาใจพี่นายคนเดียวเลย ปวดใจว่ะ

แต่ยังมีน้ำพริกหนุ่มแคบหมูกับผักเคียงที่ผมกับพี่นายแวะซื้อมาจากตลาด ของโปรดหนึ่งเดียวบนโต๊ะทานข้าวที่ซื้อมาเอง อ่อแล้วก็มีน้ำพริกอ่องจากเมื่อเช้าที่ใสทำไว้อีก ทานมื้อนี้มื้อเดียวคืออิ่มยันชาติหน้า

“พี่นายจะมาอยู่กี่วันคะ” ฟ้าใสถามขณะตักกุ้งตัวโตจากต้มยำกุ้งน้ำข้นชามใหญ่วางลงบนจานของพี่นายอย่างเอาใจ

“ซักสองสามวัน เดี๋ยวพี่ก็กลับไปนอนบ้านแล้วค่ะ เดินทางสะดวกกว่า” น้ำเสียงนุ่มลงจนผมแทบอยากจะเบ้ปากซะเดี๋ยวนั้น ติดตรงที่ถ้าพี่มันเห็นคือกูโดนทุบอย่างไม่ต้องสงสัย กับผมนี่มีแต่ ไอ้มุ่ย! หมามุ่ย!

“พี่นายไม่อยู่นานกว่านี้อะ” ผมถามบ้างขณะหยิบแคบหมูจิ้มกับน้ำพริกหนุ่มแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวดังกร้วมๆ

“คนมีงานมีการทำ แค่นี้ก็จะไม่มีเงินแดกละ ถามไม่คิดเลยไอ้หมามุ่ย” น้ำเสียงสุดจะแข็งกระด้างหาที่เปรียบมิได้ ผมล่ะเซ็ง

“ยั้งก่อน แหม่ นี่มุ่ยเอง มุ่ยเป็นน้องพี่นายไง ทีคุยกับใสนี่เสียงหวานไปดิ โห่”

“เฮอะ” ทำเสียงฮึดฮัดใส่ผมแล้วก็ตักข้าวเข้าปากเต็มคำ

“ทานข้าวกันค่ะ วันนี้ใสทำเยอะแยะเลย มีแต่กับข้าวที่พี่นายชอบทั้งนั้น” ฟ้าใสอมยิ้มแก้มแทบแตกเมื่อเห็นพี่นายเจริญอาหารจากกับข้าวฝีมือตัวเอง

“ใส นี่ก็เฮียเอง เฮียพี่ชายฟ้าใสไง ทีตอนเฮียไม่เห็นเป็นงี้อะ” ทีผมนะแกงจืดก็หรูแล้ว

“เฮอะ” พี่น้องที่พลัดพรากกันชัดๆ ขนาดเสียง ‘เฮอะ’ ยังเหมือน

“เฮียครามดูใสดิ” ผมฟ้องกับพี่ชายคนโตที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

“อื้ม” ตอบรับนะ แต่ตามองพี่นายอย่างเดียว ยิ้มเหมือนเป็นบ้าอะ

“ถ้าครามยังไม่หยุดจ้องกันนะ นายจะทุบ” พี่นายวางช้อนลงแล้วหันไปทำหน้านิ่งใส่ แต่เฮียครามก็หาได้สนใจไม่ กลับยื่นมือมาลูบๆ แตะๆ แก้มพี่มันอย่างไม่กลัวความตาย

“คิดถึง ผอมไปหรือเปล่า แก้มอ้วนหายหมดแล้ว ทำงานหนักจนไม่มีเวลากินเลยเหรอนาย ไม่ได้นะ ถ้าไม่สบายจะทำยังไง”

“พี่นายไปเที่ยวต่างหาก ทำงานที่ไหนล่ะ” ผมตอบแทน

“คราวนี้ครามไม่อนุญาตให้เที่ยวนานๆ แล้วนะ ไปก็ไปคนเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง ครามเป็นห่วง” เปลี่ยนจากลูบแก้มมากุมมือไว้ ทำหน้าหล่อเสียงนุ่มทุ้มเหมือนพระเอกละครหลังข่าว แต่กลับฉีกยิ้มกรุ้มกริ้มส่งให้พี่นาย ดูก็รู้ว่ากวนตีน

“ไอ้คราม...”

“ไอ้เจ้าก้อน ไม่มีนายอยู่แล้วครามเหง๊าเหงา ถามใสได้เลย ครามจะไม่ให้นายกินข้าวจนกว่าที่รักจะจุ๊บครามตรงนี้” พี่ชายผมจิ้มแก้มตัวเองบ่งบอกตำแหน่งที่ต้องการพลางทำปากจู๋เหมือนอ้อน

“แหวะ” เฮีย...มุ่ยถามจริง ถามจริงงง

“โอ๊ยยยยยย!”

“ใส พี่นายขอโทษนะคะ...ไอ้เหี้ยคราม! หยุดเล่นสักที มึงอยากหัวแตกจริงๆ ใช่ไหมหา! กูหิวจะตายอยู่แล้วมึงมัวแต่เล่น! ยัง ยังจะทำปากน่าเกลียดอีก อายน้องมันบ้างไหม! กูจะหยิกให้ตัวเขียวเลย” พี่นายองค์ลงแล้ว แกลุกขึ้นบิดหูเฮียครามให้ลุกขึ้นแล้วลากออกห่างจากโต๊ะทานข้าว จากนั้นก็ทั้งทุบทั้งหยิกกะเอาให้ตายกันไปข้าง เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ละครับ

คนเดียว และหนึ่งเดียวบนโลกนี้ที่ชอบยั่วโมโหพี่นายจนเส้นความอดทนขาดผึงทุกครั้งที่เจอหน้ากัน และมักจะมีร่องรอยกลับมาเสมอ รอยหยิกบ้าง รอยทุบบ้าง รอยตีนบ้าง ฮ่าๆ

“โอ๊ย! เจ็บแล้ว! ฮ่าๆ อย่าหยิกกู พอๆ ซี้ด! อย่าทุบบบ หัวกูแบะแล้วพอน๊ออออ”

“จะหยุดรึยัง?”

“ฮ่าๆ โอเคๆ พอแล้วๆ หายคิดถึงแล้ว” ตบตีกันได้สักพักใหญ่ก็ได้ฤกษ์กินข้าวจริงๆ สักที

“คนอย่างมึงนี่แม่งต้องโดนตีนกูสักทีจริงๆ อะ”

“เมื่อก่อนก็บ่อยอยู่นะ ฮ่าๆ”

“สัด”

“กินข้าวจ้ากินข้าว” ฟ้าใสตัดบทก่อนที่จะมียกที่สองเกิดขึ้น ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เห็นเฮียครามแกล้งพี่นายมาตลอด ยิ่งตอนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยนะ ตีกันทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ไม่รู้ไปรักกันอิท่าไหน บอกเลยว่าทั้งผมทั้งใสคือเป็นงง

แต่ก็ต้องขอบคุณที่พี่นายเข้ามาในชีวิตเฮีย ทำให้ผมได้รู้จักคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งที่ช่วยดึงผมออกมาจากจุดตกต่ำของชีวิต และผลักให้ผมออกมาเผชิญโลกที่แท้จริง พูดแล้วเศร้าอยากแดกเหล้าสักกรึ้บสองกรึ้บ

ถ้าผมไม่เจอพี่นาย ผมคงได้ตายข้างกองขยะที่ไหนสักที่แน่ๆ ฮ่าๆ

“เออ เอ็งบอกเพื่อนกับแฟนรึยังมุ่ยว่ากลับมาแล้ว” เฮียครามถาม

“ยังอะ เดี๋ยวค่อย เอ๊ะ! เมื่อกี๊เฮียว่าไง เพื่อนแล้วใครนะ?” ขี้หูผมคงเยอะอะ ได้ยินไม่ค่อยถนัด

“แฟนมึงไง ชื่อไรนะใส เออๆ ไอ้บีมอะไรนั่น”

“มันยังไม่ใช่แฟน! เฮียครามอย่ามามั่ว เดี๋ยวเจอทุบ” ผมโวยวายเสียงดัง ยกกำปั้นขึ้นขู่ เมื่อเฮียกำลังเข้าใจผิด แม่ง ใครบอกเฮียมันวะ แฟนอะไร้ เขาเรียกว่าอยู่ในสถานะคอมพลิเคทเตด

“เล่นตัวน่ามุ่ย มีคนมาชอบเอ็งจริงจัง ก็อย่าหักหาญน้ำใจเขา ขอคบไปดิ้” เฮียครามกลืนข้าวคำโต แล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความหวงอย่างที่พี่ชายควรจะเป็น

“นี่เฮียไม่หวงข้าเหรอ”

“ไม่หวงอะไรล่ะ นั่งหน้ามุ่ยอยู่เป็นอาทิตย์หลังจากวันที่เฮียบีมมาหา บ่นอยู่นั่นแหละว่า ไอ้เด็กนั่นกล้าดียังไงมาชอบน้องกู ทำไมกูไม่เตะมันสักป้าปวะ นี่กูอนุญาตง่ายไปรึเปล่า ไม่ให้คบดีมั้ง ใสล่ะปวดหัว” ฟ้าใสตอบกลับมาเป็นชุด เล่นเอาเฮียครามนั่งทำหน้าบื้อเพราะโดนแฉ โดยมีพี่นายหัวเราะก๊ากพลางตบบ่าแกร่งอย่างชอบอกชอบใจ

“เฮียกะจะคีพคูลสักหน่อย ใสอะ...”

“ก็เรื่องจริงนี่นา”

“เฮียครามเด็กขี้หวง” ผมว่ายิ้มๆ ทำเอาเฮียหน้าบึ้งกว่าเดิม เฮียครามดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ก็หวงน้องไม่เบา แม้แต่ไอ้ลุ้ยลูกพี่ลูกน้องผม มันเป็นเด็กที่ตามคนไม่ค่อยจะทัน ทั้งผมและเฮียครามจึงห่วงและหวงเป็นพิเศษ จะชอบใครเขาทีต้องเอารูปมาให้เฮียมันแสกนกรรมก่อนทุกครั้ง จนลุ้ยมันบ่นๆ ว่า ‘ลุ้ยชอบใคร เฮียครามก็ไม่ชอบ งั้นคราวหลังลุ้ยจะไม่บอกแล้วว่าชอบใครบ้าง’ เฮียครามเหวออ้าปากหวอเลยเว้ย มีผมกับใสนั่งขำอยู่ข้างๆ เป็นตัวประกอบฉาก ฮ่าๆ

“วันหลังพามากินข้าวด้วยกันดิ อยากเจอเหมือนกัน” พี่นายพูดขึ้นโดยมีเฮียครามพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

“ยังไม่ได้ขอคบเล้ย! หยุดก่อนทุกคน”

“แล้วรอม๊ามาตัดริบบิ้นหรือไงอะ ก็ขอคบไปสิวะ”

“ก็จะขอนั่นแหละ มันก็ต้องมีจังหวะหน่อยไหมล่ะ จะให้อยู่ๆ เดินเข้าไปบอก เห้ย เป็นแฟนกันไหมวะ งี้เหรอ ไม่ได้ป้ะ”

“อุ้ปส์ คิก~” เฮียครามหลุดหัวเราะประหลาดๆ ออกมา และพอมองไปที่พี่นายก็เห็นแกชะงักมือที่กำลังตักผัดผักแวบนึง แล้วก็ตักต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ก็...ไม่เห็นแปลกนี่”

“เออ คิก~ ไม่แปลกหรอก เชื่อเฮีย มันต้องเคยมีสักคนเคยทำมาบ้างแหละ”

“จริงอะ จะขอก็ขอได้เลยเหรอ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“มึงจะรอหมาคาบไปแดกก่อนก็ได้ วันนั้นอย่าลืมตัดสูทมาใส่ด้วยล่ะ ดอกมงดอกไม้ให้พร้อม”

“พี่นายประชด!” ผมแหวเสียงดัง จนพี่นายส่ายศีรษะอย่างปลงๆ แล้วตักข้าวทานต่อทำหูทวนลมกับเสียงโวยวายของผม คนมันเขินไหมเล่า นึกหน้าบีมออกเลยอะ ไอ้หน้าหล่อๆ กับรอยยิ้มพิฆาตนั่น


ใจผมจะไม่ไหวเอา

เกิดมาผมไม่เคยแพ้อะไรเลยนะ

แพ้บีมคนเดียวนี่แหละ วุ้ย





Rrrrrrrr


“เฮียมุ่ยโทรศัพท์” ฟ้าใสยื่นมือถือส่งมาให้ผม เออ ลืมไปเลยว่าฝากโทรศัพท์ไว้กับน้อง

“ใครโทรมาอะ”

“เฮียเจ๋ง”

“เคๆ เดี๋ยวไปคุยโทรศัพท์แป้ป เหลือแคบหมูไว้ให้ด้วย” ว่าแล้วก็เอ่ยขอตัว จากนั้นเดินออกมายังห้องนั่งเล่นก่อนจะล้มตัวนั่งกับโซฟานุ่มแล้วกดรับสาย

“ว่า”

(ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย) เสียงแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของไอ้เจ๋งดังขึ้น ทำเอาผมต้องยกโทรศัพท์ออกจากหูเดาเลยว่าแม่งอยู่ร้านเหล้า ทั้งเสียงดนตรีเสียงคนให้โละไปหมด ข้ามปีมาไม่กี่วันก็เอาเลยนะไอ้พวกนี้ ทีกูละทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นลูกข่างเบลเบลด พูดแล้วเศร้า

“อะไรมึง”

(ห้ะ!? มึงว่าไงนะ พูดดังๆ ซิ ไอ้มุ่ย)

“กูถามว่ามึงโทรมาทำไม” ผมเพิ่มเสียงตัวเองลงไปอีกนิด

(อะไรน้า! ทำไมเสียงมึงเหมือนแมลงหวี่เลยวะ งุ้งงิ้งข้างหูกูเนี่ย พูดดังๆ หน่อยโว้ย!)

“ไอ้ควาย! มึงก็ออกมาข้างนอกสิเหี้ยเอ้ย! อยู่ในร้านจะได้ยินกูไหม” ไอ้เจ๋ง มึงทำให้กูดูโง่ ไอ้เพื่อนเหี้ย!

(อ๋อออ คืองี้!) มันเงียบไปอึดใจหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินและเเสียงดนตรีค่อยๆ เบาลง จนแทบไม่ได้ยิน เดาว่ามันเดินออกมานอกร้านเพื่อที่จะคุยกับผม

“ว่ามา”

(มึงอยู่ไหนอ้ะ!) เสียงแม่งลุกลี้ลุกลนมาก ทำเอาผมต้องขมวดคิ้วงง

“ไอ้สัด จะถามกูแค่นี้ทำเสียงเหมือนเรื่องคอขาดบาดตาย อยู่บ้านโว้ย กลับมาแล้ว” ผมตอบตามความจริง ถือว่าไอ้เจ๋งรู้เป็นคนแรกว่าผมกลับมาแล้วเลยนะเนี่ย

(เชี่ย! จริงดิ งั้นมึงดูนี่) เสียงฝีเท้าและเสียงดนตรีกลับมาตามเดิม ไอ้เจ๋งเปิดกล้องให้ผมดู และมันมืดตึ้ดตื๋อ

“ให้กูดูอะไรวะ”

(แป้ปนึง กูหาแสงแป้ป)

“กูไม่เห็นอะไรเลยสัด เมาแล้วก็ไปนอนไอ้ควายยยยย” ผมตั้งท่าจะวาง แต่หางตากลับสะดุดกับภาพบางอย่างในจอ

“กูแอบถ่ายอยู่เนี่ย มึงเห็นไหม!”

“...”

“พี่บีมมีชู้!”

“...”

(มาด่วนๆ เลย กูเห็นเพื่อนน้องมันดันจนตัวน้องจะเกยตักพี่บีมแล้ว! เหี้ยเอ้ย!)

“...”

(ร้านเฮียตั้มนะมึ -)




ไอ้เหี้ยเอ้ย!


เ- -ดแ-ม!


ผมกดตัดสาย เดินดุ่มๆ กลับมาที่โต๊ะอาหารด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ รู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่บนหัวกองเบ้อเริ่ม ซูลูซัมบาลู ซูลูบาซิกก้าเลยสัดเอ้ย

“พี่นาย!”

“เชี่ย ตกใจหมด มีอะไร”

“พาไปร้านเฮียตั้มหน่อย”

“ไปทำเหี้ยไร”

“ไปกระทืบคน”

“ห้ะ?”

“กระทืบชู้!”




.


.




ร้านเฮียตั้ม


“ให้กูอยู่รอไหม” พี่นายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมจับแขนรั้งผมไว้ก่อนที่จะเปิดประตูรถ

“ไม่ต้องอะ พี่นายกลับเลย” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พี่นายมองหน้าผมครู่หนึ่งเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูดและปล่อยมือจากแขนผม

“พี่นายไม่ต้องกังวล”

“ไม่คือกู -”

“ไอ้บีมตายแน่ พี่นายอย่าห่วง” ผมแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา เมื่อความคิดในสมองเริ่มแล่นไปไกลจากภาพที่คนสองคนอิงแอบแนบชิดกัน

“เออ ดีๆ นะเว้ย”

“โอเช”




ผมยืนรอจนรถพี่นายเคลื่อนออกไปจนลับสายตา จากนั้นก็เดินเข้าร้านอย่างหมายมาด วันนี้กูต้องเอาเลือดหัวใครสักคนออกให้ได้ กล้ามากนะมึง

จากภาพที่เห็นคือเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งนั่งข้างบีม โดยมีใครสักคนพยายามกระแซะให้ผู้ชายคนนั้นเขยิบเข้าไปแนบชิดกับบีมที่สุด จนตัวบีมมันขยับไม่ได้แล้วเพราะติดกับพนักโซฟา อีกนิดคือไอ้เด็กนั่นนั่งตักคนของผมแล้วอะ ผมไม่เห็นหน้าคนตัวเล็กคนนั้นเพราะแสงในร้านมันน้อยมาก อีกทั้งมุมจากการแอบถ่ายของไอ้เจ๋งก็โคตรเหี้ย เห็นหน้าบีมลางๆ หล่อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือฮอตมากกับการปลดกระดุมสองเม็ดบน


หึ ถึงความหล่อของมึงจะทะลุปรอทแต่อย่าหวังว่ามันจะช่วยอะไรได้

กล้านอกใจเฮียมุ่ยคนนี้

ไม่มึงก็กูต้องตายกันไปข้างนึง!


ผมเดินเข้ามาในร้าน เสียงเพลงจังหวะมันส์ๆ ดังจนปอดเต้นตุ้บๆ แต่ผมก็พยายามสอดส่องสายตามองหาโต๊ะบีม เหอะ คืนนี้ผมไม่พลาดที่จะใส่แว่นมาด้วย พูดเลยว่าชัดแจ๋ว มองชัดยันกรุงเทพฯ อะ

ผมเดินแทรกเหล่าผู้คนเข้ามาจนเกือบอยู่ส่วนด้านหน้าสุดของร้าน ก็เจอกับกลุ่มคนหน้าตาดีนั่งกันอยู่ที่โต๊ะมุมซ้ายสุด ดูท่าแล้วน่าจะกำลังกรึ่มๆ ได้ที่


โอ๊ะ!


นั่นไง ผมเห็นหัวเทาเพื่อนบีมแวบๆ นั่นคนตาตี่ กับรุ่นพี่ไอ้โป้ที่ชื่อนิว และอีกสองสามคนที่ผมไม่รู้จัก เพราะจากฝั่งที่ผมมองบีมน่าจะนั่งอยู่ด้านในสุดของโซฟาโดยมีไอ้เด็กที่เสื้อผ้าเหมือนเปี๊ยบกับในภาพนั่งบังอยู่ ทำให้ผมแทบมองไม่เห็นบีม แต่ก็พอเดาได้ว่ามันนั่งอยู่ตรงนั้น


เจอกู!


“ไอ้มุ่ย!” ผมก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคว้าแขนไว้ก่อน เตรียมจะหันกลับไปด่า แต่ก็พบว่าเป็นไอ้เจ๋งเพื่อนผมเอง หน้าเยิ้มแดงมาเชียวไอ้เพื่อนเวร

“สัด มึงปล่อยแขนกู กูจะไปทุบชู้มันให้หัวแบะ” ผมพยายามแกะมือของมันที่กำรอบแขนผม

“เดี๊ยววว! มึงจะเดินเข้าไปงี้เลยรึไง”

“เออ! มึงจะทำไม”

“เหี้ย! มานั่งสงบจิตสงบใจกับพวกกูก่อน มาๆ” สงบเหี้ยไรวะ ดูโน่น จะเกยตักกันอยู่แล้ว ห่าแม่งเอ้ย!

“เอาอะไรมาสงบ อีกนิดคือแม่งแดกกันแล้วมึงไม่เห็นรึไง” ผมบุ้ยปากไปทางฝั่งบีมให้ไอ้เจ๋งดู มันก็ได้แต่ลูบหลังผมให้ใจเย็นลง จากนั้นก็ลากผมให้เดินไปอีกทางหนึ่ง

ผมต้านแรงดึงของไอ้เจ๋งไม่ไหวเลยต้องยอมเดินตามมันมา ทั้งที่ใจแทบอยากเข้าไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน

“ไอ้เพื่อนน้องมุ่ยยยยย กลับมาแล้วว่ะ!” แก๊งเดิม เพิ่มเติมมีไอ้พี่เต้นั่งชิดอยู่กับไอ้โป้ ผมทรุดตัวลงนั่งกับที่ว่างอย่างไม่สบอารมณ์ ดีที่โต๊ะของผมกับบีมอยู่ตรงข้ามกันพอดี ทำให้ถ้าพยายามเพ่งมองจากฝั่งนี้ก็จะเห็นแก๊งบีมได้ค่อนข้างชัดเจน

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ สัด หายไปเที่ยวไหนไม่บอกพวกกูเลยนะ” ไอ้โป้ชงเหล้าให้ผมอย่างรู้หน้าที่

“เพิ่งกลับมาเมื่อเย็น” ผมตอบอย่างหงุดหงิด สายตาก็เหลือบมองแต่ฝั่งที่บีมนั่งอยู่

“อย่าเพิ่งหัวร้อน สักกรึ๊บก่อนดิ้ๆ หายเงียบไม่บอกพวกกูเลยนะน้องมุ่ย” ยื่นมาให้ก็ไม่ขัดศรัทธา ผมยกขึ้นดื่มหวังคลายความเดือดพล่านของตัวเองลง แต่ยิ่งมองก็ยิ่งอยากเข้าไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน เหี้ยเอ้ย! เป็นไรอะ แดกเหล้าแล้วกระดูกละลายเหรอ ตัวอ่อนเลยนะ แถมเซมาซบแขนบีมอีก

“ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใคร” ผมนั่งกำหมัดแน่นหายใจเข้าออกลึกๆ อย่าวู่วามไอ้มุ่ย อย่าวู่วาม

“กูได้ยินมาว่าวิศวะเขามีเลี้ยงสายนอกรอบกัน คนที่นั่งข้างๆ พี่บีมเหมือนเป็นน้องรหัสพี่ก้าน ใช่ป้ะวะไอ้โป้” ไอ้เจ๋งตอบผมพลางหันไปถามไอ้โป้อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เออ ชื่อมิน” ชื่อมอม้าเหมือนกันด้วย ขี้ลอกชิบเป๋ง โว้ย! หงุดหงิด!

“น้องมุ่ยชอบบ่านั่นก๋า โค้ะ หล่อสู้อ้ายบะได้สักกำ” ไอ้พี่เต้เบ้ปากขิงให้ผมฟัง แถมยังเขยิบออกจากไอ้โป้มากอดแขนกระแซะผมอีก

“บีมมันหล่อกว่ามึงล้านเท่าไอ้พี่เต้” ผมผลักหัวโล้นๆ ของพี่มันออกไปอีกทาง แล้วจ้องไปที่สองคนนั้นต่อ นั่นๆ ใกล้เกินไอ้เหี้ย! ใกล้เกิน หน้าแม่งจะฝังคอบีมอยู่แล้ว

“มานี่เต้ ไอ้มุ่ยมันหงุดหงิดอยู่ไม่เห็นเหรอ เดี๋ยวก็โดนฟาดปากซะหรอก” โป้ดึงไอ้พี่เต้กลับไปกอดเอวไว้เหมือนเดิม แหม่ กูละหมั่นไส้

“เดี๋ยวโดนไอ้มุ่ยทุบหรอกพี่เต้ ดูหน้ามัน ฮ่าๆ”

“อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ มึงอย่าคิดมาก” แก๊ปพูดเตือนสติ แล้วบีบไหล่ผมย้ำๆ เพื่อให้ใจเย็นลง

“กูว่ามินอะชอบพี่บีม แต่ไม่น่าเป็นคนกล้าขนาดนี้นะ เท่าที่เคยคุยมา” ไอ้โป้ออกความเห็นที่ดูเหมือนจะเชื่อไม่ได้จากภาพที่เห็นตอนนี้

“ดูๆ แล้วเพื่อนน้องมินอะตัวดี” เจ๋งเสริมทัพอย่างเห็นด้วย

“แล้วมึงไม่ไปกับนั่งกับเขาวะ มึงน้องรหัสพี่นิวนี่” ผมถามด้วยความสงสัย แต่ไอ้โป้ก็ยักไหล่ตอบแบบสบายๆ ว่า ไม่อยาก

“เออ กูว่าเพื่อนน้องมินมากกว่า พ่อสื่อเหรอวะ” ผมชะงักแวบนึงขณะกำลังกระดกเหล้าเข้าปากกับคำพูดของไอ้แก๊ป แล้วเบนสายตามองคนที่นั่งข้างไอ้เด็กตัวเล็กนั่น

“ดูเพื่อนมันดิ ดันจนมินแทบจะสิงพี่บีมละ” เออ จริงด้วยว่ะ ผมเห็นแววตาที่มันมองบีมกับเพื่อนมัน โอเค กูรู้ซึ้งละ จะเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนมึงนี่เอง สัด บีมของกู ไอ้เด็กเหี้ย ไปอ่อยคนอื่นไอ้ควาย

“อย่าไปใส่ร้ายน้องเขา อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เรานั่งห่างกันตั้งไกลมึงก็ว่าไปนั่น” แก๊ปเพื่อนผู้ประเสริฐของกู แต่มึงเห็นสายตาเด็กนั่นไหม แทบจะออกมาเป็นคำพูดว่า ‘พี่ต้องได้กับเพื่อนผม’

“เหี้ยมุ่ยใจเย็น หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ ทำตามกูๆ” ไอ้เจ๋งจับให้ผมหันหน้าไปหามัน แล้วพยายามให้ผมทำตามเพื่อลดความเดือดดาลในใจลง


ฟืด~


“ดีมากเพื่อน พุธ...โธ...พุธ...โธ”


ฟืด~


ผมหลับตาลงพยายามผ่อนลมหายใจตาม เรียกความคูลของตัวเองกลับมา ไม่เว้ยมุ่ย มึงโตแล้วจะโวยวายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ มึงต้องเท่ให้ได้อย่างพี่นายดิวะ หน้านิ่งๆ เข้าไว้ เป็นคนขรึม ท่องไว้ คนขรึม

“จะเอาไงต่ออะไอ้มุ่ย” เสียงแก๊ปถาม ผมจึงลืมตาขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“หน้ามึงเหมือนตึงโบอะมุ่ย ปากยิ้มแต่ตาแม่งแข็งอย่างกับใครเอาไม้จิ้มฟันไปถ่างไว้” ไอ้เหี้ยโป้ ไอ้ควาย

“เหี้ย น้องเขาซบพี่บีมว่ะ”


ขวับ!


“พุธโธไอ้มุ่ย พุธโธ”

“โอ๊ะ! น้องมันจับมือพี่บีมด้วย”


ปึ่ก!


กูไม่ทนแล้ว!


“กูจะไปหาบีม” ผมวางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะอย่างแรงพร้อมยันตัวเองให้ลุกขึ้น ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาสะบัดเล็กน้อย และกดหักนิ้วทีละนิ้วอย่างช้าๆ เสียงดังกร้อบๆ

“มึงไม่ได้จะไปกระทืบน้องมันใช่ไหม หักนิ้วทำไมไอ้สัด”

“เขาเรียกว่าการเตรียมพร้อม” ผมสะบัดข้อมือตัวเองอีกสองสามครั้ง ดึงแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นเพื่อความถนัด

“ให้พวกกูไปด้วยป้ะ เชี่ย พูดตรงๆ กูกลัวไอ้เด็กนั่นไม่ตายดี” ไอ้เจ๋งสะกิดพลางทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“กูไปคุยเฉยๆ อะไรของพวกมึง สังสรรค์อะรู้จักไหม” ผมว่าพลางหยิบแก้วของใครสักคนขึ้นมากระดกย้อมใจ แล้วเดินมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าผ่านหน้าเวทีที่มีนักร้องกำลังส่งเสียงร้องเพลงอย่างเมามันส์ จนมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะของบีม จุดมุ่งหมายของผมในค่ำคืนนี้



!!!



“บีม หึ...หึ...”

“น...น้องมุ่ย” ทั้งโต๊ะหันมามองผมเป็นตาเดียว โดยเฉพาะบีมที่เบิกตากว้างจนแทบจะถลนที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้

“เชี่ย! น้องมุ่ย!?”

“น้อง! มาได้ไงวะ?”

ผมเพิ่งจะได้เห็นหน้าบีมชัดๆ หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือน เหมือนมันจะหล่อขึ้นเลยว่ะครับ เอ๊ะ? หรือเพราะทรงผมใหม่ที่เซตแบบเสยขึ้นเลยทำให้เห็นโครงหน้าและสันกรามที่ชัดเจนนั่น รวมไปถึงการแต่งกายที่เรียกได้ว่าล่อเสือล่อตะเข้ที่แท้ ปลดทำเหี้ยอะไรกระดุมอะ เห็นแล้วอยากจะติดให้ถึงคอ ดีนะกางเกงมิดชิดดี ไม่ขาดๆ เกินๆ เหมือนของพี่รหัสไอ้โป้

ขณะที่ผมกำลังเดินมาที่โต๊ะ ผมก็แอบส่องแล้วเห็นว่าบีมทำหน้าเย็นชาสุดๆ เลยว่ะ ถึงไอ้เด็กข้างตัวจะชวนคุย บีมก็แค่ยิ้มให้เล็กน้อยแต่แววตากลับไม่ยิ้มตาม เหมือนมันพยายามจะดึงมือตัวเองออกนะ แต่เด็กนั่นก็ทำหน้าเบะร่ำๆ จะร้องไห้ จนบีมถึงกับมองบนอย่างเบื่อหน่าย ดีมากบีม ถ้ามึงทำตัวเริงร่าละก็ มึงได้ตายไปพร้อมกับเด็กลูกเจี๊ยบแน่

รวมๆ แล้ววันนี้บีมแม่งดีชิบหาย ใจเต้นนิดนึงเลยครับ จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีไอ้เด็กหน้าวอกนั่งอยู่ข้างๆ ผมแอบเห็นบ่าน้อยนั้นสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นผม หน้าขาวๆ จิ้มลิ้มมองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัยระคนแปลกใจ

แน๊! มีจับแขนกันด้วย เดี๋ยวมึงเจอกู บะเดวคิงฮู้เลย เล่นกับไผบ่าเล่น มาเล่นกับคนอย่างเฮียมุ่ย

“ไอ้บีม กูไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน มึงแอบคบชู้สินะ หน๊อย! มันจะหยามหน้ากันเกินไปแล้ว กล้ามากนะ” ผมแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหดที่สุดในชีวิต พร้อมก้าวฉับเดินเข้าไปหาแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบีม ที่ยังคงจ้องมาที่ผมราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าไอ้มุ่ยตัวจริงอยู่ตรงนี้แล้ว

พอเหลือบตามองไปยังไอ้เด็กลูกเจี๊ยบก็เห็นแม่งนั่งหน้าซีดเผือดตัวสั่นเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือบีม โดยมีไอ้เพื่อนตัวดีส่งแววตาไม่เป็นมิตรมาให้ เห็นแล้วเกะกะลูกตา อยากจับมันสองคนโยนออกนอกร้านโคตรๆ เลยว่ะ


กูกลัวมึงตายแหละไอ้เหี้ยเอ๊ย! ซักฝุ่นไหมล่ะสัด

มอง มองหน้า เดี๊ยวปั้ดเสยแม่ง

กูอะตัวท็อป เทคนิค AAA รู้จักปะ ทำหน้าทำตากวนตีน อย่าให้กูขึ้น ลงยากนะบอกไว้ก่อน


“มุ่ย กลับมาเมื่อไร” บีมสะบัดมือเด็กคนนั้นออกจนเด็กลูกเจี๊ยบหน้าเหวอแล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ผมใช้มือทั้งสองข้างดันตัวบีมให้นั่งลงเหมือนเดิม

“เหยิบ!”

“อ้ะ!”

“ไปกระแซะกับเพื่อนมึงนู่น ที่ตั้งกว้างนั่งเบียดบีมอยู่นั่นแหละ เป็นเหี้ยอะไร ขาดความอบอุ่นเหรอ กูซื้อผ้าห่มให้ไหม ขนเป็ด ขนไก่ ขนหมา เอาอะไรเลือกมา” จัดไปหนึ่งดอกพร้อมกับแทรกตัวลงนั่งระหว่างบีมกับเด็กหน้าวอก แล้วสอดประสานมือตัวเองกับบีมแน่น กระซิบกับมันว่าอย่าปล่อยเชียว ทำเอาบีมที่อึ้งไปพักนึงจากการกระทำของผม หัวเราะออกมาเบาๆ แววตากลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม และเป็นฝ่ายบีมเองที่กระชับมือแน่นจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้อากาศผ่านมือของเราสองคน

เขินเลยว่ะ ใจผมอ่อนยวบยาบหมดแล้วเนี่ย แต่ไม่! ผมต้องทำเท่ไว้ก่อน ใจแข็งไว้ไอ้มุ่ย!

“มึงเป็นใคร” เป็นเพื่อนไอ้เด็กนีออนที่ถามผมเสียงกร้าว พลางดึงตัวเพื่อนตัวเองที่กำลังช็อคกับคำด่าของผมเข้าหาตัวเอง ลูบเนื้อลูบตัวเด็กลูกเจี๊ยบใหญ่เลย ตัวมันพอๆ กับบีม แถมหน้าตาโหดอย่างกับไอ้ด่างข้างบ้าน โด่ กลัวมึงตายแหละไอ้สัด

ผมมองไอ้เด็กตัวเล็กที่เริ่มจะหายช็อคและกำลังทำหน้าเบะน้ำตาคลอจะไหลแหล่มิไหลแหล่ ชวนให้น่าสงสาร จะร้องก็ร้องออกมา ทำมาเป็นฮึบๆ เห็นแล้วน่ารำคาญ

“กูถามว่ามึงเป็นใคร กล้าดียังไงมาผลักเพื่อนกู”

“กูเป็นใครแล้วเกี่ยวอะไรกับมึง ชอบทำตัวเป็นพ่อสื่อนักเหรอมึงอะ ไม่อยากตายดีหรือไง” ผมเถียงกลับไปอย่างไม่ยอม เอาดี๊! เรื่องต่อปากต่อคำกูล่ะถนัดนัก พอนอสอนกูมา มึงมาเล้ย

“พูดเรื่องเหี้ยอะไร”


ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 24 บีมของมุ่ย (UP) 29/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 29-09-2019 01:57:30
ต่อตรงนี้จ้า


“เด็กๆ ใจเย็นๆ กันก่อนครับ!” เสียงเพื่อนบีมแทรกขึ้นมาก่อนที่สถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิม ผมเบ้ปากแล้วหันหน้าหนีมาอีกทาง ก็เห็นหน้าแป้นแล้นของบีมที่ส่งยิ้มแฉ่งมาให้ผม

“หึงเหรอ” เสียงกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาทำผมจักจี้ จนต้องระบายด้วยการตีไหล่หนาๆ นั่นหนึ่งป้าปแก้เขิน

“เดี๋ยวบีมก็จะโดนไม่ใช่น้อย” ผมแอบหยิกอีกหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้กับท่าทีของบีม ทำเป็นหัวเราะ เดี๋ยวมึงได้เคลียร์กับกูแน่

“อ่า วันนี้พวกพี่พาน้องมาเลี้ยงสายกันน้าน้องมุ่ย บรรยากาศกำลังสนุกเน้อ แหะๆ” คนหัวเทาพยายามหัวเราะเพื่อให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดลง ผมเหล่มองเด็กสองคนนั้นก็เห็นว่าเพื่อนมันกำลังปลอบเด็กลูกเจี๊ยบอยู่ วุ้ย ขี้แยชิบเป๋ง

“ใช่ๆ ใจร่มๆ แล้วเรามาดื่มกันดีกว่าเนาะ มาๆ พี่ชงให้” พี่นิวโบกมือปัดๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักแล้วสะกิดพี่หน้าโหดอีกคนให้ชงเหล้าให้ผม

“น้องมุ่ยคงไม่เคยเจอน้องสองคนนี้ เดี๋ยวพี่แนะนำให้รู้จักกันก่อนนะครับ ก้อง มิน นี่น้องฟ้ามุ่ย อยู่ปีหนึ่ง คณะศิลปกรรม น้องมุ่ยครับ นี่ ก้อง น้องรหัสไอ้ปั้น กับมินน้องรหัสพี่เอง” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งให้อย่างกวนๆ โดยมีไอ้ก้องส่งสายตาอัมหิตมาให้เหมือนกับพยายามระงับอารมณ์อยู่

“ค...คนนี้เหรอครับ ฟ้ามุ่ย” เสียงเล็กเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางแอบเงยหน้าขึ้นมองผม แต่พอเห็นผมถลึงตาใส่ก็หดหัวกลับเหมือนเดิม

“เรียกชื่อกูทำไม ใครให้เรียก”

“พูดดีๆ ไม่เป็นรึไงวะ เห็นไหมว่ามินกลัว”

“เสือก กูไม่ได้พูดกับมึง”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” เด็กยักษ์หมดความอดทนซะแล้ว มันทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ผม แต่เด็กลูกเจี๊ยบรั้งแขนไว้ก่อน พร้อมกับบีมที่ดึงตัวผมเข้าหา

“อย่ายุ่งกับมุ่ย” บีมเอ่ยเตือนเสียงเข้มจัดพร้อมกับใบหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัวที่ส่งออกมาผ่านแววตาคม

“ก้อง นั่งลง อย่ามีเรื่อง เราไม่ชอบ” พูดกับเพื่อนนะแต่สายตากลับมองมาที่บีม เหอะ มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเด็กนี่ชอบบีม แววตาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ปากแดงๆ นั่นเบะลงอย่างน่าเอ็นดู ชวนให้นึกถึงตุ้กตานุ่มๆ น่าจับบีบ มันเขี้ยวเลยว่ะ

ผมสังเกตว่าไอ้เด็กคนนี้แม่งตัวขาวชิบ มึงจะเรืองแสงอยู่แล้วนะนั่น ขอยืมไปส่องตอนห้องไฟดับได้ไหมวะ คนอะไรจะขาวขนาดนั้น

“เราชื่อมินนะ เป็นน้องรหัสพี่ก้าน”

“กูชื่อมุ่ย”

“อืม เราพอจะรู้” น้ำเสียงเศร้าๆ ฟังแล้วหดหู่ชะมัด หน้าไอ้เด็กนีออนไม่เหมาะกับหน้าบู้บี้อย่างแรง ไม่สนุกเลยว่ะ มันอ่อนอะ เหมือนผมกำลังรังแกเด็กสองขวบอยู่เลย

“รู้จักกูด้วยรึไง”

“อึ้ม พี่บีมเล่าให้ฟังเมื่อกี๊” ผมหันขวับกลับไปมองบีมเอาแต่ยิ้มอย่างเดียวแถมยังวางคางลงกับบ่าผมอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“บีมอย่ามากระแซะได้ปะ ขนลุก” ลมหายใจของบีมคลอเคลียอยู่ข้างแก้มไปจนถึงบริเวณลำคอ ทำให้ใบหน้าผมร้อนวูบวาบขึ้นมา พยายามเบี่ยงหนีแต่คนตัวสูงก็ตามเบียดกันได้ตลอด จนผมเหนื่อยและปล่อยเลยตามเลย

“คิดถึง”

“นี่คิดถึงบีม ยังแค่จับมือเฉยๆ เลยอะ ไม่ได้วอแวสักนิด”

“อันนี้คิดถึงมาก”

“คิดถึงเท่าโลกยังไม่พูดเลย อย่ามาเกทับได้ไหมวะ”

“โอ๊ย! กูจะอ้วก” เสียงพี่นิวพูดแทรกดังขึ้นทำให้ผมผละจากบีมแล้วนึกขึ้นได้ว่ายังต้องเคลียร์กับเด็กลูกเจี๊ยบอยู่นี่หว่า

“พวกมึงค่อยคิดถึงกันที่อื่นได้ไหมสัด กูละเบื่อ” พี่หน้าโหดยกแก้วขึ้นดื่มพลางทำหน้าเหม็นเบื่อจะแย่ ไม่มีคนให้คิดถึงอะดิ้ วุ้ยๆ

“มุ่ย...กับพี่บีมเป็นอะไรกันเหรอครับ” น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยออกมาแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยิน


เหี้ย...


“ผ่าน กูไม่ตอบ” เสียงจิ้จ้ะจากบีมดังขึ้นราวกับขัดใจในคำตอบ ผมต้องหันไปจุ๊ปากให้บีมอยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งกวน

“ส...แสดงว่ายังไม่ได้เป็นแฟนกัน ร...เรายังมีสิทธิ์สินะ” เด็กนีออนพูดพึมพำกับตัวเองทำให้ผมได้ยินไม่ชัด แต่ดูจากสีหน้าที่เริ่มดีขึ้น และรอยยิ้มเล็กๆ นั่น สิ่งที่มันคิดอยู่ในหัวต้องเป็นสิ่งที่ผมไม่ปลื้มอย่างแน่นอน

“ไอ้เด็กหน้าวอก เมื่อกี๊มึงจับมือบีมทำไม” ผมตรงเข้าประเด็นทันที จนทำให้คนตรงหน้าสะดุ้งโหยงหันไปสะกิดเพื่อนพลางทำหน้าอ้อนให้ช่วยตอบ

“มันมืด”

“ตอบเหมือนกูโง่อะ มึงอ่อยบีมเหอะ ดูออก”

“ร...เราเปล่า! ไม่ใช่อย่างที่มุ่ยคิดนะ” มือไม้โบกปฏิเสธให้วุ่นไปหมด หน้าแดงแล้วแดงอีก แดงลามไปทั้งตัว

“อย่ามาอ่อย บีมมีคนที่ชอบแล้ว ใช่ไหม?” ผมถามแกมส่งสายตากดดัน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อให้ผมใจเต้นเล่นๆ

“ไม่รู้สิ”

“อ้าว! บีม ต่อยกับกูเลยเถอะ พูดงี้” ผมกระชากมือตัวเองออกทันทีด้วยความไม่พอใจ แต่บีมก็ไม่สะทกสะท้านมองผมด้วยแววตาวาววับ ไอ้ตัวดี ไอ้บีม มึงแม่ง

“มึงไม่เคยพูดอะไรนี่น้องมุ่ย”

“มึงก็รู้อะ”

“ไม่รู้หรอกถ้าน้องมุ่ยไม่พูด”

“เดาเอาดิ ง่ายๆ”

“เดาไม่ได้เลย”

“คิดสิ เรียนวิศวะนี่”

“ต่อให้เรียนหมอก็คิดไม่ออกหรอกนะ”

“บีม!”

“ครับ” ผมบอกเลยว่าผมเกลียดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากบีมมาก แม่งเอ้ย กูแพ้มันอีกแล้ว ฮึ่ย

“ถ้าพี่บีม! ...” เสียงเด็กลูกเจี๊ยบแทรกเข้ามาทำให้ผมกับบีมหันไปมอง มือเล็กๆ กำแน่นเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มันไม่ดีต่อใจกูแน่ๆ เวรเถอะ ไอ้เด็กเอสี่ อย่าพูดออกมาเชียวนะ

“ถ้าพี่บีมยังไม่มีใคร มิน...มิน...”

“พูดเลย” เสี้ยม ไอ้เหี้ยนี่ก็เสี้ยมจัง ไอ้ก้องต้องซักยกกับกูแล้วล่ะ

“มินขอจีบพี่บีมได้ไหมครับ” สิ้นเสียงคนตัวเล็กพูด

“เหี้ย!” เสียงอุทานประกอบฉากอันแสนน่ารักดังมาจากเพื่อนของบีม อืม ผมว่านาทีนี้ไม่มีคำไหนเหมาะเท่าคำนี้อีกแล้วล่ะ


...


เหี้ย!


“ไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ...” เงียบไม่ถึงอึดใจ ผมก็กระเถิบตัวเองเข้าหาเด็กนั่นทีละนิด ตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง

“...”

“ไอ้เด็กนีออน...” เข้าหาทีละนิด จนใบหน้าของผมกับมันห่างกันเพียงไม่กี่คืบ

“...”

“พูดออกมาแบบนั้น...” ผมใช้ปลายนิ้วเชยคางเด็กน้อยให้เงยหน้ามามองกัน แววตากลมโตสั่นระริกแต่ก็แฝงด้วยความใจสู้

ผมยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำเวลาเจอพวกศรันย์ แล้วยื่นหน้าเข้าใกล้อีก จนเห็นทุกรายละเอียดบนใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ไม่เว้นแม้กระทั่งริ้วสีแดงระเรื่อที่พาดผ่านช่วงหน้าแก้มลามไปถึงใบหูน้อยๆ นั่น


หลงกูละสิ้ ฮิฮิ

มองหน้ากู นั่นแหละ ดี มองให้ชัดๆ


“ไม่ให้หรอกนะ” ผมเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปกระซิบติดชิดใบหูแดงก่ำ

“ม...มุ่ย” เสียงครางเครือเอ่ยออกมาเรียกร้องให้ผมออกห่าง แต่ผมไม่ทำ หางตาแอบเห็นหยาดน้ำร่วงล่นผ่านแก้มใสนั่น ทำให้ผมหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แกล้งคนอ่อนแอกว่า สะใจจริงโว้ย!

“บีมน่ะ ของกู”

“ฮึก...”

“ฟังอีกครั้งนะครับ”

“ออกห่างจากเพื่อนกู!” เป็นไอ้เหี้ยก้องที่ผลักตัวผมออกอย่างแรงจนเซไปชนเข้ากับอกแกร่งของบีม ไอ้เด็กเหี้ย ผลักมาได้ เจ็บชิบ

“ฮึก! ฮือ” ปล่อยโฮออกมาจนได้ กูยังไม่ทันทำอะไรเลย แกล้งนิดเดียวเองอะ

“ก้อง” เสียงเรียกคำรามต่ำอยู่ในลำคอ ของคนที่เอาตัวเองรองรับผมไว้ แต่ผมเอื้อมมือตบเบาๆ ที่อกแกร่งเป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งยุ่ง รู้ว่าอยากกระทืบไอ้เด็กห้าวตีนนี่แต่ยังไม่ถึงเวลาหรอกนะ

“ฟังไว้ ไอ้เด็กนีออน!” ผมลุกขึ้นยืนตะโกนเสียงกร้าว ซึ่งไม่รู้หรอกว่าดังแค่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าคนอื่นๆ ในร้านจะได้ยินหรือเปล่า นาทีนี้ผมสนแค่ทำยังไงก็ได้ให้เด็กมินจำใส่ใจไว้ให้แม่นๆ

“ฮือ”

“บีมอะของกู!”

“...”

“ว้าว...”

“กูชอบบีม!”

“เชรด...”

“กูชอบมันมาตั้งนานแล้วเด็กโง่! กูกลับมาก็เพื่อจะบอกว่าชอบมันนี่แหละ!”

“...”

“ชิบหาย! กล้ามากนะ มาขอจีบบีมต่อหน้ากู หน๊อย! ฝันไปอีกสิบชาติ ไม่ให้จีบโว้ย!”

“...”

“อย่าให้กูเห็นว่ามึงมาตามเจ๊าะแจ๊ะบีมนะ แค่วันนี้ก็เกินพอ กูหึงมาก! พูดเลย! ให้ตายดิวะ...”

“ฮือ...เราขอโทษ...ขอโทษที่ชอบพี่บีม”

“ขอโทษทำไม! อย่ามางอแงนะ! กูบอกเหรอว่าห้ามชอบบีม กูบอกว่าห้ามจีบ! บีมมีกูแล้ว”

“เราไม่เข้าใจ”

“ความชอบมันเลิกได้ง่ายๆ ที่ไหน กูเคยลองแล้ว อย่าโง่ ไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ!”

“ฮึก...มุ่ยหมายความว่าไง”

“ไม่รู้! กลับไปคิดเอง พี่กูบอกมาแบบนี้! กูจำเขามา!”

“...”

“ถ้ากูยังเห็นมึงมากระแซะๆ เข้ามาสิกับบีมอีกนะ กูจะเอา...นี่!” ผมมองกวาดทั่วโต๊ะหวังหาอะไรมาขู่ สายตาก็เหลือบไปเจออาวุธลับ

“เห็นช้อนไหม กูจะใช้มันเคาะหัวมึงให้ร้องไห้แงๆ เหมือนวันนี้อีก จะลองไหม หา!” ผมถลึงตาชูช้อนขึ้นขู่ เอาดิมึง กล้าไหมล่ะ


ตุ้บ!


“เหี้ยๆ จะล้มๆ”

“ฮือ มุ่ย เราขอโทษ!” จู่ๆ ไอ้เด็กนีออนก็โผเข้ามากอดผมเข้าอย่างจังจนตัวเองเซล้มลงกับโซฟา เวร! ดีนะไม่กระแทกกับพื้น

“เห้ย!” เสียงอุทานดังขึ้นอีกระลอกจากเหล่าเพื่อนบีม อย่าว่าแต่พวกนั้น ผมก็เห้ยเหมือนกัน


เดี๋ยว...

มึงมากอดกูทำไมเนี่ย!?


“อะ...อะไรของมึงไอ้ลูกเจี๊ยบ” ผมเป็นงงหนักมากเมื่อมันเอาแต่ซุกแล้วก็ซุกกับอกผม ร้องไห้แงๆ จนสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณนั้น มือไม้ยกขึ้นเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก สมองคิดไม่ตกว่าจะปลอบหรือจะผลักเด็กนี่ออกดี

“ฟื้ด...เราไม่รู้ เราแค่ชอบพี่บีม เรา...ฮึก ไม่รู้ว่ามุ่ยกับพี่บีมคบกัน”

“ยัง! กูยังไม่ได้ขอเลย มั่ว!”

“น...นั่นแหละ มุ่ยไม่โกรธเรานะ ไม่โกรธเราได้ไหม เราไม่จีบพี่บีมแล้ว ฮือ” แรงรัดจากอ้อมแขนเด็กนีออนแน่นขึ้น ใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบน้ำหูน้ำตาผละออกมาแล้วช้อนตาขึ้นมองอย่างขอความเห็นใจ


ม...เหมือนแมวเลยว่ะ


“มุ่ยยก ฮึก ยกโทษให้เรานะ”

แมว แมวชัดๆ ผมใช้มือสองข้างของตัวเองประกบเข้าที่ข้างแก้มเด็กลูกเจี๊ยบ บีบเข้าหากันจนหน้ายู่ คิ้วขมวดกันแน่นอย่างใช้ความคิด


เออ หน้าบู้บี้ชิบหาย


“กู -” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรแขนผมก็ถูกดึงออกจากคนข้างหลัง ทำให้หลุดจากอ้อมกอดของเด็กแมว

“อะไรของบีมเนี่ย...” สีหน้าถมึงทึงบ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมาชัดเจนจ้องมองมาที่ผมอย่างคาดโทษ แล้วหันไปพูดกับไอ้ก้องด้วยน้ำเสียงดุจัด


เหี้ย เสียงโหด เหมือนโกรธใครมา

มีแววว่าจะเป็นกู


“ดูแลเพื่อนมึงดีๆ ก้อง” ไอ้ก้องรับเพื่อนตัวเองที่เซเข้าหาไว้ได้ทัน แต่เหมือนเด็กแมวจะไม่ยอม พยายามสะบัดมือตัวเอง อ้าแขนจะวิ่งเข้ามาหาผม


กูถามจริง!?

เป็นอะไรของมึง!


“กลับกันได้แล้ว” บีมเปลี่ยนจากจับแขนมาโอบบ่าผมไว้หลวมๆ

“มุ่ย...ฮึก!” เรียกผมได้แอะเดียว ตาคู่สวยของบีมก็ตวัดมอง จนน้องมันถึงกับต้องฮึบไว้ด้วยความกลัวโดนดุ โดยที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองมาที่ผมตาละห้อย

“พาเพื่อนมึงกลับไปพักซะ กูรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ อย่าทำอีก” บีมเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง สายตาทอดมองไปยังไอ้ก้องอย่างเฉยชาแต่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด และเป็นไอ้เด็กยักษ์ที่หลบตาบีมก่อน เอ๊ะ? แปลกๆ นะ

“อย่ายุ่งกับน้องมิน” บีมเอ่ยเสียงแข็ง จนผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตากับบีมอย่างไม่เข้าใจ เหมือนคนตัวสูงจะรับรู้ได้ถึงความงงงวยของผม แววตาคู่นั้นจึงกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง และกลายเป็นผมซะเองที่รู้สึกเขินขึ้นมาดื้อๆ จนต้องหันหน้าหนี



“อะไรของบีมอะ”


“อย่ามองให้มาก”


“หวง?”


“ใช่”


“หวงมิน?”


“ไม่...”


“แล้ว...หวงใครอ่า” อะ อะ แกล้งๆ ถาม


“หวงมึง”



ไอ้บ้า...


พูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย บีม


บีม เนี่ยน้า


...เหี้ยเอ๊ย จะกลั้นยิ้มไม่ไหวแล้ว ฮุบ!







********************************************

หวีดเด็กๆและพูดคุยกันได้ที่ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน

บีมของใครนะคะ?

มาแล้วค่ะทุกคนนน บทนี้สงสารน้องมินมาก แต่มุ่ยก็น่ารักมากๆเช่นกัน

ตอนต่อไปมาแอบดูพี่บีมน้องมุ่ยเค้าเคลียร์ใจกันนะคะ หุหุ

ฝุ่น PM 2.5 มาแล้ว อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านและดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

Follow me on twitter @chanadbears
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 24 บีมของมุ่ย (UP) 29/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nattharikan ที่ 13-10-2019 03:07:36
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้เลย เราข้ามเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี้ย สนุกมากๆเลยค่ะ เรื่อง​นี้จะเป็นอีกเรื่อง​หนึ่งที่จะกลับมาอ่านอีกบ่อยๆ มาต่อเร็วๆนะคะ  :pig4: :กอด1: :mew1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 24 บีมของมุ่ย (UP) 29/09/2019
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 14-10-2019 21:46:10
อ่านต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน
ตั้งแต่เมื่อคืน สนุกจนวางไม่ลง
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 25 เราคงต้องเป็นแฟนกัน (UP) 29/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 29-10-2019 03:58:43
บทที่ 25

เราคงต้องเป็นแฟนกัน



“แล้ว...หวงใครอ่า”

“หวงมึง”

บีมแม่ง...

“ขี้โม้ว่ะบีม” ผมตีไหล่บีมที่พูดอะไรไม่รู้ออกมาหน้าตาเฉย ดันแว่นขึ้นพลางหลบสายตาบีมแล้วมองไปทางอื่น ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย มุมปากกระตุกยึกๆ อยากจะยิ้มกว้างๆ แต่ทำไม่ได้เพราะคีพคูลอยู่

“เขิน ดูออก” บีมเอียงคอมอง ยิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ

“ก็ตกกะปิดีนี่”

“ปกติ”

“ตึ่งโป๊ะ!”

“เขินแล้วเล่นมุกไม่ฮาเลย” บีมกลอกตามองบนขณะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มือแกร่งจับแขนผมแล้วดึงเข้าหาตัวเองโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังจะอ้าปากโวยวายแต่บีมก็ยกนิ้วขึ้นทาบริมฝีปากก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้ผมหยุดพูด คิ้วเข้มขมวดเป็นปมพลางบึนปากขึ้นอย่างน่ารัก


ไอ้ตัวดี...


ไอ้ตัวดี!


“ไอ้มุ่ย! เป็นไงบ้างวะ? กูมาช่วยแล้ว” ไอ้เจ๋งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าท่าทางเป็นห่วงเหลือเกิน ตามด้วย แก๊ป โป้ แล้วก็พี่เต้

“เหี้ย มึงทำน้องร้องไห้เหรอ”

“กูเปล่าสักนิด ขู่นิดเดียวเอง ร้องดังไปนู่น อ่อนว่ะ”

“ฮึก มุ่ย”

“ไม่ต้องมาเรียกกูเลยไอ้เด็กลูกเจี๊ยบ หุบปากมุบมิบของมึงแล้วกลับไปนอนเอ่เอ๊ไป๊ รำคาญจริงๆ” เสียงอึกอักของเด็กนั่นดังมาถึงผม ฟังแล้วอยากบีบปากเล็กๆ นั่นให้บี้แบนไปเลย อะไรมันจะเป็นนุ่มนิ่ม ตะมุตะมิขนาดนั้นวะ เป็นผู้ชายมันต้องฮึกเหิม! ใจๆ กันหน่อย จะมาร้องไห้งอแงอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เหอะ พวกมนุษย์กินพืชอ่อนแอก็งี้

“มุ่ย เราขอโทษนะ” ผมถลึงตาใส่เด็กนีออนที่ทำท่าจะโผเข้าหาผมอีกรอบ มันจึงหยุดกึกทันที แล้วเบะปากมองผมเหมือนน้อยใจที่ผมว่าเข้าให้

“ทำหน้าทำตา อยากโดนช้อนเคาะหัวรึไง” ผมชูอาวุธทำลายล้างขึ้นขู่ กะว่าจะเดินเข้าไปบีบแก้มย้วยๆ ของมันอีกด้วยความมันเขี้ยว แต่ก็โดนมองแรงจากเพื่อนมันที่โอบไอ้ตัวเล็กไว้แน่น

“อย่ามาใกล้เพื่อนกู” เฮ้อ! ทำมาขู่

“อยากเข้าใกล้ตายล่ะ บอกเพื่อนมึงเถอะ” ผมเบ้ปากแลบลิ้นให้ โธ่เอ๊ย แค่ตัวใหญ่ทำมาเป็นขู่ เฮียมุ่ยคนนี้ไม่เคยกลัวใคร ชีวิตและจิตใจยกให้บีมคนเดียว มึงมันก็เป็นแค่ไก่บ้านจะมาสู้ไก่ชนอย่างกู ฝันอีกสิบชาติเถอะว่ะ

“ผม ผมขอโทษแทนก้อง”

“บอกว่าให้เงียบๆ พูดทำไม” ผมตวัดเสียงว่ากลับ ทำเด็กสะดุ้งอีกแล้ว

“ไอ้เหี้ยมุ่ยรังแกเด็ก”

“มุ่ยนี่มึงกากถึงขั้นด่าเด็กเหรอว่ะ”

“กับเด็กมึงยังไม่เว้น”

“โว้ยย! อะไรของพวกมึง” ผมมองสายตาเหยีดหยามของเดอะแก๊งแต่ละคน การที่เพื่อนกำลังรุมด่าผมคืออะไร แล้วดูหน้ามัน มองผมเหมือนเป็นไอ้เลวชาติชั่วรังแกเด็กตัวกะเปี๊ยกที่ไม่มีทางสู้ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเอ็นดูไปที่ไอ้เด็กหลอดไฟนั่น


กูเอง! กูเพื่อนมึงเอง


มันมาเจ๊าะแจ๊ะบีมของกูนะเว้ย


“น้องมันเด็กกว่ามึง ไปด่าเขาทำไม” ไอ้เจ๋ง ไอ้เหี้ย

“อ้ายหันตวยๆ น้องมุ่ยบ่าดียะจะอั้นก๊า เอ็นดูละอ่อนเปิ้น” พี่เต้ไม่พูด ไม่มีใครว่ามึง เชื่อกู

“พอๆ พี่ว่าเราแยกย้ายกันกลับบ้านดีกว่าไหม นี่ก็ดึกมากแล้ว” เป็นพี่รหัสไอ้โป้ที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ ตัวผมถูกบีมกอดคอไว้ บีมไม่พูดอะไรแต่สายตาแสดงออกชัดว่าให้อยู่ตรงนี้ ผมได้แต่มองไอ้ก้องพาเด็กนีออนเดินออกจากร้านไป ไม่วายยังหันมาทำหน้าเบะใส่อีก เหลือเกินจริงๆ

“ไป ไอ้มุ่ย กลับบ้าน เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมพยักหน้าหงึกหงัก กำลังจะก้าวเดินตามไอ้โป้ไป แต่บีมก็รั้งผมแถมยังทำหน้าดุใส่กันอีก อิหยังวะฮึ?

“จะกลับบ้านแล้วบีม กูแวะมาโวยวายเฉยๆ” ผมหันบอกบีม พลางยกยิ้มกว้างให้ แต่คนตัวสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีก

“เฉยมากไอ้สัด ทำเด็กร้องไห้”

“หุบปากสัดโป้” ผมชูนิ้วพลางแลบลิ้นให้มันอย่างกวนตีน ไอ้โป้ทำท่าจะเข้ามาเตะแต่พี่เต้ก็รั้งไว้แล้วดุมันที่ว่าให้กับผม

“กลับกับกู น้องมุ่ย” ผมหันมาสนใจบีมอีกครั้ง ที่ตอนนี้กำลังฉีกยิ้มละมุน แต่ตาเป็นประกายวาววับทำเอาผมขนลุกเกรียว

“ส่งบ้านกูใช่ไหม?”

“ห้องกูครับ”

“วิ้ว~~”

“ผิวทำเหี้ยอะไร เดี๋ยวกระหังจะมาจกตับพวกมึง” ผมหันไปตวาดใส่เพื่อนเลว ที่สุมหัวกันหัวเราะคิกคัก

“ไปดีมาดีนะไอ้มุ่ย”

“แน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวเจอกูเตะเรียงตัวแน่” ผมชี้หน้าคาดโทษพวกมันไว้ แต่แม่งไม่สำนึก มองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย เป็นเหี้ยอะไรกันอีกอะ ไอ้พวกนี้

“จะมาได้รึเปล่าเถ้อ~”







ห้องบีม


“ไอ้บูไม่อยู่เหรอ” ผมยืนเกาะขอบประตูเยี่ยมหน้ามองเข้าไปในห้องสุดหรูที่เคยย่างกรายเข้าไปเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งภายในห้องกว้างนั้นไม่มีวี่แววน้องชายบีมเลย แถมยังเงียบสนิท ผมไม่ได้มาห้องบีมนานเหมือนกันนะ เออ พูดเหมือนมาบ่อย เปล่ามาแค่ครั้งเดียว เสือกเมาด้วยตอนนั้น

“เข้ามาไอ้น้องมุ่ย เปลืองแอร์” บีมกวักมือเรียกให้ผมเข้าห้อง รู้สึกแปลกๆ ว่ะครับ สมองมันบอกผมว่าถ้าเข้าห้องบีมไปแล้วจะไม่ได้ออกมาอีก


คิดมากไอ้มุ่ย ไร้สาระจริงๆ มึงนี่


ผมเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตูให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ และถอดรองเท้าแตะคีบวางไว้ข้างๆ ของบีม โห หมดนี่ซื้อกล้องผมได้หลายตัวเลยอะ จิ๊กสักคู่สองคู่บีมไม่รู้หรอก ฮ่าๆ

“มานี่เร็ว” ไอ้นี่ก็เรียกจังเลยเว้ย ผมเลยต้องผละจากร้องเท้าแบรนด์เนมของสองพี่น้อง แล้วเดินไปยังโซฟาตัวใหญ่ที่บีมนั่งอยู่ เออ เพิ่งได้สังเกตชัดๆ ว่า ห้องของบีมกว้างมาก ขนาดห้องที่อยู่สองคนแบบสบายๆ สามคนก็ยังเหลือๆ อะ แม่งลูกคนรวยนี่หว่า อิจฉาว่ะ

“บีมยังไม่ตอบกูเลย ไอ้น้องบูไม่อยู่ห้องเหรอ” ผมถาม

“มันไปเที่ยวกับเพื่อน”

“วุ้ย เดี๋ยวนี้ไม่หวงน้องมันละ?” ผมหรี่ตามองบีมยิ้มๆ ทำมาเป็นเก๊ก โธ่เอ๊ย ผมรู้หมดแหละ จริง! ว่าบีมหวงแล้วก็ติดน้องบูมันเอามากๆ ไม่งั้นคงไม่เครียดเป็นบ้าเป็นหลังเรื่องที่น้องมันจะเข้ามหา’ ลัยหรอก

เขาเรียกว่าอะไรนะ ค่อนๆ เบค่อนป๊ะ? เออ เบค่อนอะ ผมได้ยินบ่อยในการ์ตูนญี่ปุ่นที่พี่ชายมักจะติดน้องชายมากๆ

“หวงอะไร”

“เอ้า ที่ตอนนั้นมึงดุน้องไง เรื่องเรียนมันอะ” ผมทรุดตัวนั่งลงติดพนักพิงฝั่งขวา ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ โดยมีบีมนั่งอยู่อีกฝั่งมองมาที่ผมโดยไม่ละสายตา

“นั่นเรียกว่าห่วง”

“ก็เหมือนกันไหมวะ”

“ไม่เหมือน”

“ตรงไหน” บีมแม่งขี้เถียง ผมล่ะจนใจ

“ห่วงใช้กับน้องกับเพื่อน”

“เออ แล้วไงอะ”

“หวงใช้กับมึง น้องมุ่ย”

“...”

“...”

“มึงพูดหวาน แต่หน้ามึงเหี้ยมคือไรวะบีม” รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงแน่ๆ แต่ดูบีมตอนนี้ดิ ยิ้มโหดเหมือนโกรธใครมา

อะ คนๆ นั้นคือกูแน่นอน

“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะน้องมุ่ย” บีมมองมาที่ผมโดยนัยน์ตาคู่คมแสดงออกมาชัดเจน จนผมกวนตีนบีมไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาเศร้าๆ กลับคืน

แววตาคู่นั้นมีทั้งความห่วงหา โกรธ โมโห อ่อนใจ และโล่งใจ ถึงผมจะโง่เรื่องรักใคร่ แต่ตอนนี้ผมกลับอ่านมันออกหมด

และเมื่อมองย้อนกลับไปก็เพิ่งจะคิดได้ว่าที่ผ่านมาบีมแสดงออกอย่างชัดเจนอยู่เสมอ เป็นผมนั่นล่ะที่เลือกจะมองข้ามเพราะกลัวใจตัวเอง

“เออ รู้น่า อย่าทำเสียงดุดิ หน้ามึงยิ้มแล้วมึงอย่าเสียงเข้มดิ กลัวแล้วโว้ย”

“ไปอาบน้ำไป ดึกแล้ว” บีมสบตาผมอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือไล่ผมในขณะที่ตัวเองหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

“เอ้า ไหนบอกจะคุยกันอะ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“อาบน้ำแล้วค่อยคุย”

“บีมก็ไปอาบก่อนดิ”

“เดี๋ยวกูรอ น้องมึงอาบก่อน แปรงสีฟันแกะใหม่ได้เลยนะ อยู่ในตู้ใต้ซิงค์” บีมว่าปัดๆ โดยไม่มองกันเลยสักนิด ผมเลยกระเถิบตัวเองเข้าหาบีมแล้วดึงแขนเสื้อบีมให้หันมาสนใจกัน

“งอนกูเปล่าเนี่ย” ผมเอียงคอ ทำหน้าตาที่คิดว่าแบ๊วสุด เรียกร้องความสนใจจากบีม

“เปล่า มันดึกแล้ว คุยเสร็จจะได้นอนเลย” บีมหันมายิ้มอ่อนโยนให้พลางลูบหัวอย่างแผ่วเบา ทำเอาผมตาพร่าไปหมด แค่กๆ รู้สึกไข้ขึ้น ตัวร้อนเฉยเลยครับทุกคน ช่วยผมด้วย

“ไม่ได้งอนแน่นะ”

“เออครับ ไปอาบน้ำได้แล้ว”





หลังจากอาบน้ำเสร็จ บีมก็เข้าไปอาบต่อ ผมแอบจิ้กเสื้อยืดของบีมมาเปลี่ยนเพราะเหม็นกลิ่นเหล้าจากในร้านที่ติดเสื้อมา บวกกับกางเกงบอลตัวเดิมที่ใส่มาอยู่แล้ว เหอะ กางเกงบีมผมลองแล้ว หลุดตูดไม่มีชิ้นดี เลยใส่มันตัวเดิมนี่แหละ

ผมขึ้นมานอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงนุ่มในระหว่างรอบีมอาบน้ำ แจ้งเตือนเยอะเหมือนกันนะครับเนี่ย ผมนอนเคลียร์ข้อความต่างๆ ที่ส่งเข้ามาไม่ว่าจะทางแชทส่วนตัวเอย ทางเพจเอย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการติดต่อจ้างงานทั้งนั้น แล้วก็พวกเพื่อนพี่น้อง ซึ่งกับงานผมก็คุยรายละเอียดและคอนเฟิร์มไปแล้วสองสามคน ช่วงนี้จนมากครับ แทบจะกินแกลบอยู่แล้วเพราะม๊ายังไม่ส่งเงินมาให้ ลืมแล้วแหงๆ

แม้ว่าผมจะมีรายได้จากการรับจ้างถ่ายภาพบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเงินของที่เตียกับม๊า

ใดๆ นั้นล้วนเป็นข้ออ้างของคนใช้เงินโดยไม่คิด ใช่ครับทุกคน ผมเพิ่งกด cf กล้องฟิล์มตัวใหม่มาสามตัวจากการป้ายยาของพี่นายนั่นเอง ก๊ากกกก

มันอดไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้ว พนมมือขึ้นแนบอกทุกครั้งก่อนนอนว่าเดือนนี้จะไม่ซื้อกล้องอีกเด็ดขาด กิเลศทั้งหลายจงออกไป แต่พอพี่นายเอาภาพจากกล้องฟิล์มมาให้ดูเท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกที เงินไหลออกจากบัญชีเฉียดหมื่นแล้วครับ

ความจริงหมื่นกว่าครับ แหะ

ว่าแล้วก็โทรขอเงินม๊าดีกว่า

ผมถือโทรศัพท์รออยู่ซักพัก กะว่าจะรอฟังเสียงสัญญาณสุดท้ายถ้าม๊าไม่รับก็เดี๋ยวค่อยโทรพรุ่งนี้เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว แต่ขณะกำลังจะกดตัดสาย ม๊าก็กดรับพอดี

(ฮาโหล) น้ำเสียงสดใสตามประสาคนอารมณ์ดีของม๊าดังขึ้น ใจผมก็ฟูทันที คิดถึงจัง ไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว น้ำตาปริ่มแล้วครับ

“ม๊า มุ่ยเอง”

(หือ? อามุ่ย? อาตี๋เล็กเหรอคะ)

“เซอร์เยสเซอร์”

(ไอ้หยา อามุ่ยจริงๆ เหรอคะ ไม่ได้โกหกม๊านา) สำเนียงคนจีนดังชัดจนผมอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แง ผมคิดถึงม๊ากับเตียจัง สงสัยต้องหาเวลากลับบ้านจริงๆ จังๆ สักครั้งแล้ว

“มุ่ยเองหม่าม๊า สบายดีรึเปล่าคนสวย”

(ม๊าสบายดีๆ เจ้าตัวดีของม๊า คิดถึงจริงจังเลยค่ะ)

“คิดถึงเหมือนกันครับผม ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนเนี่ย แล้วอาเตียล่ะ”

(ม๊าดูหนังรอเตียกลับบ้านน่า อาเตียไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนๆ เขา น่าจะกำลังกลับมาแล้วล่ะค่ะ)

“แล้วเตียขับรถไปคนเดียวเหรอ ต้องเมาด้วยแหงเลย”

(ม๊าให้เด็กขับรถไปส่งนา ไม่ต้องห่วงๆ)

“โอเชเลย ว่าแต่ม๊าลืมอะไรรึเปล่า”

(หือ? ลืมอะไรคะ อาตี๋รึเปล่าที่ลืมม๊า ไม่กลับบ้านกันเลยนะทั้งสามคน ม๊าเกือบงอนแหนะรู้ไหม) น้ำเสียงกระเง้ากระงอดชวนให้อยากกอด ทำเอาผมยิ้มกว้างจนปากจะฉีกอย่างอดไม่ได้ หม่าม๊าผมน่ะ เป็นสาววัยห้าสิบบวกๆ แต่ยังแจ๋วอยู่ ม๊าเป็นหญิงสาวอ่อนหวานพูดเพราะกับลูกหลานทุกคำ แถมยังสวยที่หนึ่งในใจผมกับเตียที่สุดเลยด้วย

“มุ่ยยังไม่ได้ค่าขนมเลยค้าบ”

(อุ๊ย ม๊าลืมเหรอเนี่ย ตายจริง อาตี๋มีเงินพอรึเปล่า เอ ม๊าเพิ่งฝากค่าขนมของเรากับเฮียเขาไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเองนะ น้องมุ่ย)

“มะ มุ่ยกินเยอะไงม๊า”

(ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปซื้อกล้องหมดนะคะ)

“ม๊า! รู้ได้ไงเนี่ย”

(ม๊ารู้เรื่องน้องมุ่ยทุกเรื่องค่ะ ที่อาตี๋ไปเจอเพื่อนเก่าที่โรงพยาบาลม๊าก็รู้)

“ไปเยี่ยมเฉยๆ นะม๊า ไม่มีอะไรเลย”

(ม๊ารู้เยอะมาก ก็รอว่าเมื่อไรอาตี๋น้อยของม๊าจะเล่าให้ฟังสักที เฮ้อ)

“มุ่ยมีเรื่องเยอะแยะ อยากเล่าให้ม๊ากับเตียฟังมาก เดี๋ยวอีกสองสามวันจะขึ้นไปหานะครับ”

(ม๊าจะรอเลยค่ะ อ๊ะ อาเตียของเรากลับมาแล้ว)

“ม๊า เดี๋ยวมุ่ย -”

(แค่นี้ก่อนนะคะน้องมุ่ย ม๊าออกไปรับป๊าก่อน ดูท่าจะเมากลับมา จริงๆ เลยเชียว)

“หม่าม๊า ค่าขนม -”

(อา ถ้าจะมาก็อย่าลืมชวนพ่อหนุ่มของเรามาด้วยนะอาตี๋ ฝันดีค่ะ)

“หม่าม๊า...ฮะ ฮะโหล ม๊า ค่าขนมมุ่ย ม๊า...” จู่ๆ ม๊าก็ตัดสายผมซะงั้น มีแววว่าเดือนนี้จะกินแกลบ เนื่องจากรู้ว่าผมเอาเงินไปถลุงกับกล้องหมด ฮือ เกาะเพื่อนกินละกันเดือนนี้

ม๊าจะดุผมบ่อยๆ ว่าอะไรไม่จำเป็นอย่าเพิ่งซื้อ ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง บ้านเราก็ไม่ได้รวยอะไรมาก เวลาจะใช้จ่ายอะไรต้องคิดดีๆ ว่าคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่เราจะซื้อ แต่กับเรื่องกล้องนี่ม๊าผมค่อนข้างตามใจเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบ และเป็นตัวที่ดึงผมออกมาจากชีวิตเด็กแว๊นในตอนนั้น ส่วนมากจะคอยเตือนอยู่ห่างๆ มากกว่า

เอาจริงๆ ผมไม่ได้มีกล้องหลายตัวอย่างที่ทุกคนคิดนะ ผมก็มีตามประสาเด็กที่ชอบถ่ายภาพทั่วไปเลย บางตัวพี่นายกับเฮียก็ซื้อให้เป็นของขวัญบ้าง

ก็เพิ่งจะมีกล้องฟิล์มที่พี่นายเอามาป้ายยากับผมนี่ล่ะ

ของมันต้องมีอะครับทุกคน เข้าใจผมนะ เค้?

ว่าแต่ม๊ารู้ได้ไงวะว่าผมไปทำอะไรมา แล้วไอ้ประโยคสุดท้ายนั่น ที่บอกให้พาพ่อหนุ่ม...


!!


นี่อย่าบอกนะว่าเรื่องบีมของผมม๊าก็รู้!?


วอท?


ม๊าเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มปะเนี่ย


แกรก


“เมื่อกี๊คุยกับใครน่ะน้องมุ่ย” ผมหันไปมองบีมที่ยืนเช็ดผมหน้าประตูห้องน้ำพลางเลิกคิ้วถาม คนตัวสูงในชุดเสื้อยืดใส่นอนกับกางเกงขาสั้น รวมกับทรงผมชี้โด่ชี้เด่ชื้นน้ำนั่น ทำไมมันดูมีออร่าจังวะ คือนึกภาพว่าผมคงไม่เท่าเท่ามันแน่ๆ อย่างมากก็ลูกหมาตกน้ำยืนสะบัดขนอยู่ อย่างว่าแหละครับ คนเท่อย่างผมก็จะมีช่วงเวลาที่ขี้เหร่บ้าง ไม่งั้นโลกมันจะไม่สมดุล เข้าใจนะครับ

“กับม๊า”

“ทำไมหน้าแดงอีกแล้ว” บีมเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง พลางกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา

“อะไรอะ?” ผมกระถดตัวเองเข้าไปยืนเข่าซ้อนหลัง จากนั้นก็ชะโงกหน้าคุยกับบีม

“เช็ดผมให้หน่อย” บีมยื่นผ้าเช็ดผมมาให้ แต่ผมไม่รับ

“มือด้วนเหรอ ไหน ดูดิ้” ผมยกแขนหนักๆ ของบีมขึ้นมาโบกแล้วก็ปล่อยทิ้ง “ก็ไม่ด้วนนี่หว่า เช็ดเองเดะ”

“เช็ดให้ไม่ได้เหรอ”

“...”

“...”

“กะ ก็เอาผ้ามาดิ โวะ ทำมาเป็นมอง...” ผมดึงผ้าเช็ดผมออกจากมือบีมแล้วก็โยนลงคลุมศีรษะคนหน้ายิ้ม แม่ง ละเมื่อกี๊มันช้อนตามองไง ผมก็ไม่มีทางเลือกอะ

“หัวจะหลุดแล้ว เขินเบาหน่อย”

“พูดมากว่ะ เงียบไปเลย” ผมเบามือลง พยายามใช้ผ้าซับน้ำออกจากเส้นผมให้ได้มากที่สุด ขยี้แรงๆ แบบที่ผมทำมันไม่ดีหรอกนะครับ จะบอกให้ ผมเผิมเสียหมด ต้องค่อยๆ ซับทีละส่วนจนทั่วศีรษะ แล้วจากนั้นก็ใช้ลมเย็นเป่าจนกว่าจะแห้งสนิท ความจริงสระผมตอนกลางคืนก็ไม่ดีหรอก รังแคกับเชื้อราถามหาแน่

“แล้วตกลงเมื่อกี๊ทำไมหน้าแดง”

“ก็บอกว่าคุยกับม๊าไง”

“คุยกับม๊าต้องเขินด้วยเหรอ”

“ม๊าพูดอะไรไม่รู้อะดิ...อย่าถามมากได้ปะ ถึงจะหน้าตาดีแต่ก็หงุดหงิดเป็นนะเว้ย” ผมโวยวายเพื่อให้บีมเลิกซักไซร้ แล้วบอกให้นั่งดีๆ เพราะบีมเริ่มจะเอนตัวพิงกับอกผมแล้ว ตัวอย่างกับยักษ์ พิงมาเหมือนกูไม่หนักเลยมั้ง

“นั่งดีๆ ดิ้บีม กูจะล้มแล้วเนี่ย”

“พิงนิดพิงหน่อย โวยวายตลอด”

“เอ๊ะ! ต่อยกันเลยปะ พูดไม่หยุดเลยบีมอะ เอ้า ไดร์อยู่ไหน เอามาเป่าจะได้แห้งไวๆ กูง่วง” ยังมีหน้ามาหัวเราะหึๆ ให้กันอีกนะ มันน่าโดนตีสักป้าป

“อะ” บีมเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าจากนั้นก็เสียบปลั๊กใกล้ๆ กับที่นั่งกันอยู่ แล้วส่งให้ผมส่วนตัวเองก็นั่งไถโทรศัพท์เล่น เออดี ใช้กูเป่าผมให้แล้วตัวเองก็จะได้นั่งเล่นตามใจเฉิบ ผมย่นจมูกให้อย่างหมั่นไส้ มือข้างนึงจับไดร์ อีกข้างก็สางเส้นผมไปด้วย ใช้เวลาสักพักจากเส้นผมที่ชื้นน้ำก็แห้งสนิท

“เสร็จแล้ว เอาคืนไป แม่งปวดเข่าหมดเลยบีม” หลังจากยืนเข่ามาร่วมครึ่งชั่วโมง ขาท่อนล่างก็แสดงอาการชายุบยิบ ทำให้ผมเปลี่ยนอิริยาบถตัวเองไม่ได้ ถ้าขยับมันจะจักจี้น่ะทุกคน เหี้ยเอ้ย

“ไหนว่าเมื่อย ทำไมยังนั่งอยู่ท่านั้น” บีมยกยิ้มถาม แล้วเดินเข้ามาใกล้ พลางยื่นมือมา หมายจะคว้าแขนผมให้ลุกขึ้น

“หยุด!” ผมตะโกนห้ามเสียงดัง บีมชะงัก แล้วทำสีหน้าแปลกใจ เหี้ย.. เมื่อกี๊ขากระตุกนิดนึง โอย เมื่อไรจะหายสักทีวะ

“น้องมุ่ย”

“อย่าแม้แต่จะคิด เออะ! ไอ้บีม!” บีมพุ่งเข้ามาแล้วใช้แขนทั้งสองข้างรวบกอดบริเวณต้นขา แล้วอุ้มผมจนตัวลอยขึ้นจากเตียง

“ฮ่าๆ ซี้ด จักจี้! บีมปล่อย เหี้ย! โอย ขากู” ผมตีบ่าบีมรัวๆ ให้มันปล่อย แต่ตัวต้นเหตุก็ไม่สะทกสะท้านแถมยังเอาแต่หัวเราะชอบใจกับท่าทางของผม

“ฮึบ ตัวหนักเหมือนกันนะเราอะน้องมุ่ย”

“มึงปล่อยกูเลย!”

“ได้”


ตุ้บ!


[BEAM PART]


“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! ให้ปล่อยไม่ใช่ให้โยน” ผมจับเจ้าตัวดีโยนลงเตียงแล้วคลานตามขึ้นไปนั่งข้างกัน น้องมุ่ยด่าผมกระจาย พลางลูบขาทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นลง น่าจะกำลังเช็คดูว่าหายชารึยัง ปากเล็กๆ ของน้องบ่นออกมาไม่ขาดสาย มีร้อยคำ ด่าผมไปแล้วเก้าสิบ

“จะได้หายชาไง”

“กูนั่งเฉยๆ มันก็หายเองได้ไหม! ไม่เห็นต้องเล่นพิเรนทร์แบบตะกี๊เลย บีมแม่ง” น้องทำหน้ามุ่ยสมชื่อ คิ้วขมวดเป็นปมแน่น ตาเรียวรีนั่นจ้องมาอย่างคาดโทษ มือขาวฟาดลงมาที่แขนผมอย่างแรงจนขึ้นรอยมือ

“แดงเลยน้องมุ่ย กูเจ็บนะเนี่ย” ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ ทำให้น้องมันเริ่มเลิ่กลั่กที่ทำผมเจ็บ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาดู สองจิตสองใจอยู่อย่างนั้น และสงสัยคงตัดสินใจได้ว่าจะทำเมินผมดีกว่า จึงวางท่าสะบัดหน้าเชิดขึ้นให้รู้ว่าไม่ยอมโกรธมาก

“อะ เออ สมน้ำหน้า! ก็บีมแกล้งก่อนทำไมล่ะ” แอบเหล่ตามองด้วยแววตาเป็นห่วง แต่ก็ยังเก๊กอยู่ มันจริงๆ เลย มีใครน่ารักเท่าน้องมุ่ยอีกไหมวะ ตอบผมที คนอะไรแม่งน่ารักชิบหาย ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปซะทุกอย่าง

ใช่ว่าผมไม่เคยเจอคนที่น่ารักกว่านี้ หน้าตาดีกว่านี้ แต่กับน้องมุ่ยมันพอดี ไม่มากเกินหรือน้อยไป ทุกอย่างลงตัวกับผมเป๊ะ ราวกับจับวาง

พอดีกับใจผมมาก

“ทำไมมึงต้องน่ารักขนาดนี้ด้วยวะ...” ผมขยับตัวเองให้แผ่นหลังพิงเข้ากับหัวเตียง น้องมุ่ยมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจในท่าทางของผม แต่บนใบหน้าเล็กนั่นก็ปรากฎริ้วสีแดงจางๆ ขึ้น เขินกันอีกแล้ว ใจคอจะไม่ให้กูพักเลยใช่ไหมน้องมึง

“วะ เหวอ!” ผมกางขาออกแล้วงอตัวไปข้างหน้า สอดแขนเข้ารวบเอวบาง จากนั้นก็รั้งให้ตัวน้องเขยิบเข้ามาชิดกันจนแนบอก เด็กดื้อถึงกับตัวแข็งค้างกับการกระทำของผม ตาเบิกกว้างอย่างตกใจ

“อยู่นิ่งๆ” ผมแกล้งสั่งเสียงดุ ซบหน้าลงกับบ่าเล็กนั่นพลางวางคางเกยไหล่แล้วเอียงคอเข้าหาคนเขินจัด แดงไปทั้งตัวแล้วครับ อีกนิดผมว่าระเบิดแน่

“บะ บีม”

“ว่าไง”

“กูดูไม่ปลอดภัยเลยอะ” ปากเล็กเบะลงอย่างน่าสงสาร สองมือน้อยๆ พยายามแกะมือผมออกจากเอวเขา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เลยได้แต่ฮึดฮัดออกมากับตัวเอง ใครจะปล่อยวะ คิดถึงจะตายห่าอยู่แล้ว

“อยู่อย่างนี้เถอะ กูคิดถึง”

“บีมอย่ามาใช้เสียงแปดนะ กะ กูไม่เขินหรอกจะบอกให้ ปล่อยเลย”

“จริงเหรอ”

“อะ เออ”

“ตะกุกตะกักนะ”

“กู พะ พูดอย่างนี้ ปะ ปกติเลย อื้อ เอาหน้าไปห่างๆ” น้องมันยกมือขึ้นดันหน้าผมออก แต่ผมไม่ยอมเลยกดจูบลงกับฝ่ามือนิ่มนั่น ด้วยความตกใจน้องมุ่ยเลยตีปากผมดังแปะ แล้วชักมือกลับอย่างรวดเร็วราวกับต้องของร้อน น้องฟาดมือลงกับขาผมดังป้าป เขินแล้วชอบตีว่ะ กว่าจะได้กอดได้ฟัดทีก็สุดจะยากเย็น แม่งต้องมาโดนฟาดจากเด็กขี้เขินนี่อีก

แต่ก็คุ้มนะผมว่า

“เจ็บไปหมดแล้วที่มึงตีเนี่ยน้องมุ่ย”

“มึงเล่นไม่รู้เรื่องเองนะ!”

“อยากให้รู้เรื่องกว่านี้ไหมล่ะ”

“บีม!”

“น้องมุ่ย”

“บีม!”

“น้องมุ่ย”

“บีม ไอ้บ้า!”

“น้องมุ่ย ไอ้คนน่ารักที่สุด”

“...”

“กอดเฉยๆ เลย ขอกอดหน่อยนะครับ” ผมชอบที่สุดเวลาที่น้องมุ่ยเถียงไม่ออก มันน่ามันเขี้ยวจนแปลออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เดี๋ยวก็ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ผ่านไปสองวิก็เปลี่ยนไปทำหน้าโกรธ ตาวาวโรธอย่างแค้นเคือง ปากเบะขึ้นแทบติดจมูก

ผมชอบทุกอิริยาบถ สีหน้า ท่าทาง การพูด

เรียกได้ว่าชอบทุกอย่าง

เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชอบน้องมุ่ย

“กูจะฟ้องพี่นายให้มาจัดการมึง” มุ่ยพูดขึ้น พลางหันมามองกันด้วยใบหน้าที่เจ้าตัวคิดว่าร้ายที่สุด นิ้วเรียวจิ้มจึกลงที่แก้มผมสามครั้งจากนั้นเปลี่ยนมาบีบแก้มค้างอยู่อย่างนั้น แล้วก็หัวเราะขึ้นมาซะเองจนตาหยี

“ไปเที่ยวกับพี่นายมาเหรอ”

“ใช่ๆ พี่นายเรียกไปช่วยงานอะดิ”

“ยังไม่เคลียร์เรื่องนั้นเลยนะ”

“ขออธิบาย” น้องยกมือขึ้นขออนุญาต ผมพยักหน้าแล้วปรับท่าทางของตัวเองให้สบายจะได้ไม่เมื่อย และผมยังไม่อยากปล่อยน้องออกจากอ้อมแขนตอนนี้ด้วย

น้องมุ่ยเหมือนจะลืมสนิทว่าตัวเองอยู่ใกล้กับผมมากแค่ไหน โดยการที่เบียดเข้าหาแล้วปรับท่านั่งของตัวเองให้สบายที่สุด นั่นคือการเอนตัวลงพิงตัวและศีรษะลงกับผมนั่นเอง แถมยังเงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่ให้กันอีก ผมกอดกระชับเอวน้องให้อยู่ในระดับที่พอดีไม่รัดแน่นจนมุ่ยอึดอัด เดี๋ยวก็บ่นขึ้นมาอีกว่าผมเรื่องมาก เรื่องเยอะ ฟังแล้วอยากจะปิดปากเล็กๆ ที่เจื้อยแจ้วไม่หยุดด้วยปากผมชะมัด มันเขี้ยว

“คืองี้บีม...” ผมปล่อยให้น้องอธิบาย ส่วนตัวเองก็ฝังใบหน้าเข้ากับซอกคอขาวที่หอมกลิ่นครีมอาบน้ำ กดริมฝีปากแนบย้ำๆ จนทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมา บางทีทนไม่ไหวจนเผลอขบแรงเกินไปก็โดนน้องมุ่ยฟาดๆ

มีใครเคยบอกไหมครับว่าเวลาที่คนที่เราชอบใช้พวกครีมอาบน้ำของเรา มันทำให้ความน่าจับกินเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“เนี่ย รอบหน้าเราไปเที่ยวดอยเสมอดาวกันบ้างมะ มันสวยมากเลยนะบีม กูอะอยากให้บีมเห็น วิวท้องฟ้านะ หูย แทบจะร้อยแปดสิบองศา กว้างยังงี้ ดาวนี่ระยิบระยับเต็มไปหมด พี่นายถ่ายทางช้างเผือกมาได้ด้วยแหละ เดี๋ยวเอาให้ดูๆ” มุ่ยหยิบโทรศัพท์ข้างตัวขึ้นมาจิ้มๆ แล้วยื่นมาให้ผม

“นี่ สวยป๊ะ อื้อ! เจ็บ มึงจะกัดคอกูให้ขาดเลยไหม เงยหน้ามาดูรูปก่อน” ฟาดแขนเสร็จก็กระตุกเส้นผมของผมอย่างแรง เลยต้องผละออกมาอย่างเสียดาย

อ่า แดงหมดเลย พรุ่งนี้น้องมันทุบกูแน่ๆ

“อื้ม สวย”

“อย่าเพิ่งซุก มีหลายรูป นี่ๆ มีรูปกูขี่หลังพี่นายด้วย จำได้ว่าโดนเตะกลับมาเพราะกระโดดขึ้นตอนพี่มันเผลอ ฮ่าๆ” ผมมองภาพที่มุ่ยชี้ให้ดู ก็เห็นตัวน้องมุ่ยกับผู้ชายตัวสูงอีกคน

“คนนี้ พี่นาย?”

“ใช่ พี่พระนาย โลกทั้งใบของนายฟ้ามุ่ยคนนี้”

“แล้วกูล่ะ”

“ไม่ต้องหึงนะ บีมก็เป็นโลกของนี่เหมือนกัน กูสร้างโลกสองใบไว้เองแหละ ฮิฮิ”

“เดี๋ยวจะโดน”

“ล้อเล่น มีบีมคนเดียวก็จะแย่ละ”

“ทำไม”

“แหม ทำเป็นเสียงเข้ม”

“มีกูแล้วมันยังไงน้องมุ่ย”

“ก็คือ..”

“พูดดีๆ ไม่งั้นจะโดนจับแดกวันนี้ ตอนนี้ ไม่รออะไรทั้งนั้น”

“ฮ่วย! ใจเย็นหน่อยดิ พูดแล้วๆ อย่ากัดคอกู เวร เป็นรอยหมดแล้วมั้ง”

“พูดมา”

“กูชอบบีม”

“...”

“ชอบมากเลยว่ะ ชอบมึงนะบีม กูไม่เคยชอบใครมาก่อน มึงคนแรกเลยนะ ไม่นับตอนประถมที่กูฮอตมาก แอ้ก! มึงรัดกูแน่นไป เบา ไอ้เหี้ย เบา” จู่ๆ ก็บอกชอบกัน ไอ้เด็กนี่แม่ง

“เห้ย เขินเหรอ”

“พอ...”

“กิ้วๆ ไหนเอาหน้ามาดู โห แดงเลยว่ะ อื้อ!” ผมจับมือมุ่ยที่กำลังจะเอื้อมมาแตะหน้าผมให้ออกห่าง แล้วกดจมูกลงกับแก้มนิ่มนั่นอย่างห้ามใจไม่ไหว จูบข้างแก้มซ้ำๆ จนน้องต้องร้องบอกให้พอ

มุ่ยน่ารักเกินไปจริงๆ น่ารักเหี้ย ใครมันจะทนได้วะ ผมไม่คิดว่าจะต้องมาเจอคนบ้าแบบน้องมัน ซึ่งพอได้เจอแล้ว ทำให้อยากเห็นหน้าอีก ตอนแรกคิดว่าแค่ถูกใจ แต่นานเข้ามันไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วแม่ง

ฟ้ามุ่ยเหมือนเป็นความน่ารักของโลกใบนี้ ที่ส่งมาให้ได้พบกัน ถ้าไม่มีน้ำตาล ผมคงไม่ได้เจอคนๆ นี้ เด็กเด๋อกะโหลกกะลาที่คิดว่าตัวเองหน้าตาดีที่สุด ชื่อฟ้ามุ่ย

และต่อให้ไม่มีเรื่องบู ผมว่ามุ่ยก็สามารถทำให้ผมตกหลุมรักได้ไม่ยากเลยจากความเป็นตัวตนของเขา และนั่นทำให้ผมตกหลุมรักมันซ้ำๆ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

“เด็กกากเอ๊ย”

“จะร่ายความชอบของกูให้มึงฟังนะ กูอยากบอกมาก เก็บไว้คนเดียวแล้วมันอัดอั้น อยากประกาศให้โลกรู้ว่าชอบบีม”

“...”



ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 25 เราคงต้องเป็นแฟนกัน (UP) 29/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 29-10-2019 04:00:14
ต่อตรงนี้จ้า



[FAHMUII PART]


ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกขวัญกำลังใจตัวเอง บีมแม่ง อย่ามองเยอะดิวะ ถ้ากูเขินเดี๋ยวก็พูดไม่รู้เรื่องอีก ใจเย็นเว้ยมุ่ย มึงทำได้ไอ้เพื่อนยาก

“ตอนแรกไม่ชอบหน้ามึงมากเลย รู้ตัวปะเนี่ย กูพยายามไฝว้มึงกับเรื่องของน้ำตาลมาตลอด แต่มึงดันเสือกเป็นไทป์ที่กูแพ้ทางสุดๆ ยิ้มมึงอะ น่ารักไปไหน ถามจริง”

“...”

“กูไม่เคยแพ้ใครเลยนะ แต่ชีวิตนี้ต้องมาแพ้รอยยิ้มบีมอะดิ”

“...”

“กูเขินบีมทุกครั้งแหละ แต่มึงก็ไม่รู้ ดูออกยากจะตาย ใช่ไหมล่ะ ใจกูอะเต้นตุบๆ ตลอดเวลาที่เราเจอกันเลย เหี้ย นึกว่าเป็นโรคหัวใจ เกือบโทรบอกเตียกับม๊าให้พาไปโรงพยาบาลแล้ว ทีนี้ก็ อ๋อ เห้ย กูไม่ได้เป็นโรค เขาเรียกว่าตกหลุมรัก”

“...”

“ไม่รู้จะพูดยังไง แต่ความชอบที่กูมีให้บีมมันโคตรดีเลยว่ะ แบบใจฟูตลอดเวลาที่เจอมึงนะ”

“...”

“มึงคิดเหมือนกูปะบีม ว่าเราใจตรงกันอะ”

“...”

“เห้ยแบบ เออ ชอบกันขนาดนี้ก็คงต้องเป็นแฟนกันแล้วปะ ใช่ไหม?”

“...”

“เป็นแฟนกับมุ่ยนะบีม”

“...”

“ชีวิตนี้กูก็ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตาตัวเอง แต่ก็อยากชอบกับบีมนะ เพราะงั้นเรามาคบกัน - อื้อ!” ยังพูดไม่ทันจบดี ใบหน้าของบีมก็ขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากริมฝีปากหยักสวยพุ่งเข้ามาทาบทับกับริมฝีปากผมแนบสนิท

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับการจู่โจมของบีมที่เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากร้อนบดเบียดเข้ามาอย่างรุนแรงพร้อมกับลมหายใจหอบหนัก บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของคนตรงหน้าผมในตอนนี้ ซึ่งผมก็คือตัวกระตุ้นชั้นดีนั่นเอง

รับรู้ได้ถึงเรียวลิ้นที่ไล้เลียอยู่ตรงริมฝีปาก ทั้งขบเม้ม และดูดดึงไปตามกลีบปากบนและล่างอย่างเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นชื้นพยายามจะแทรกเปิดรุกล้ำเข้าไป ผมจึงสะดุ้งตกใจอัตโนมัติ และบีมเองก็คงรู้จึงผละใบหน้าออกแล้ววางหน้าผากลงแนบสนิทกัน ลมหายใจร้อนยังคงถูกระบายออกมาอย่างกระชั้น ผมสบตากับบีม ซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการ โหยหา และอยากครอบครอง บีมปิดเปลือกตาลงทั้งที่คิ้วสวยขมวดเครียด เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามข่มระงับความต้องการของตัวเองเพื่อไม่ให้ผมเตลิด

ถ้าผมปล่อยไว้แบบนี้ มันจะดูใจร้ายไปรึเปล่านะ

“ไม่เป็นไร” ผมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและสั่นเครือราวเสียงกระซิบ บีมเปิดเปลือกตามองทั่วใบหน้าผมและมาหยุดที่ริมฝีปาก บีมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองพลางกลืนน้ำลายลงด้วยความกระหาย แววตาผู้ล่าที่น้อยครั้งจะเห็นกลับสื่อออกมาอย่างชัดเจนและเต็มไปด้วยความต้องการ

“ยากมากเลยน้องมุ่ย รู้ตัวไหมว่าทำกูแทบบ้า”

“ถ้าแค่จูบ สะ สบายมาก กูชิว” ใจกล้ามากกู แต่เสียงสั่นเป็นรถแทรกเตอร์เลย

“หึ”

“แต่แค่จูบนะ”

“ปากเปื่อยแน่ น้องมุ่ย” ริมฝีปากนุ่มหยุ่นทาบทับลงมาอีกครั้ง คราวนี้มันนุ่มนวลและเบาบางราวกับปุยเมฆ บีมจูบซับลงกับมุมปาก ย้ำซ้ำๆ เป็นการปลอบให้ผมหายเกร็ง อีกทั้งยังเลื่อนขึ้นไปประทับที่หน้าผาก เปลือกตา จมูก แก้ม ทำให้ผมใจสั่นขึ้นมาอย่างบรรยายไม่ถูก เหมือนความรู้สึกมันเอ่อล้นขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกการประทับจูบของบีม

ปากหยักกดทับลงมาที่ริมฝีปากผมอย่างอ่อนโยน ผมหลับตาแล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่เริ่มรู้สึกตัวอีกทีเมื่อแผ่นหลังของตัวเองสัมผัสกับความอุ่นจากฟูกที่นอน ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ใต้ร่างของบีมแล้ว

“เปิดปากหน่อย คนดี” บีมกระซิบติดชิดริมฝีปากเสียงพร่า หน้าผมตอนนี้เห่อร้อนไปหมด มันต้องแดงมากแน่ๆ

“คะ แค่จูบนะ มากกว่านี้ ต่อยเลยนะ”

“ครับ” บีมส่งยิ้มละมุนมาให้ผม แล้วเราก็สัมผัสกันอีกครั้ง คราวนี้เรียวลิ้นร้อนค่อยๆ ดุนดันแทรกเข้ามา จนเมื่อเราสัมผัสได้ถึงกันและกัน สมองผมก็พลันขาวโพลน เราแนบชิดกันมากขึ้น บีมบดเคล้าริมฝีปากเข้ามาพลางเกี่ยวกระหวัดพันกับลิ้นของผมไปทั่ว

ลิ้นร้อนกวาดความหวานถ้วนทั่วโพรงปาก ราวกับจะซึมซับทุกตารางให้ได้มากที่สุดและจดจำให้ขึ้นใจ ตักตวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สมกับความรู้สึกที่ปะทุออกมา เวลาผ่านไป ผมค่อยๆ โต้กลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ดูเหมือนบีมจะชอบใจจนยิ่งรุกล้ำหนักขึ้น ทั้งขบกัดและเม้มดูด จนผมต้องตีเข้ากับต้นแขนในความซนของบีม และภายในห้องอันเงียบสงัดนั้น มีเพียงเสียงลมหายใจหอบหนักของเราสองคนที่ดังขึ้น

บีมถอนจูบออกอย่างช้าๆ แล้วพรมจูบลงมาเรื่อยตามลำคอ ขบกัดตรงที่เดิมแล้ววกขึ้นมาจูบซับที่หน้าผากของผม แววตาคู่นั้นของบีมสื่อความหมายออกมาจนเขาแทบไม่ต้องพูดอะไร ผมก็รับรู้ได้ทั้งหมด บีมแตะริมฝีปากลงข้างแก้มแล้วเลื่อนไปกระซิบเสียงแหบพร่าติดชิดใบหูอย่างแผ่วเบา

“พี่บีมรักน้องมุ่ย”

แล้วบีมก็ประทับจูบเข้ามาอีกครั้ง มือใหญ่เลื่อนเข้ามาประสานแน่น ให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆ ผม ปล่อยให้กาลเวลาแห่งค่ำคืนนี้ดำเนินไปเนิ่นนานจนกว่าจะถึงอรุณรุ่งของอีกวัน





*****************************

ขออภัยหากมีคำผิด จะรีบกลับมาแก้นะคะ

เรากลับมาแล้วค่ะทุกโค้นนนน ขอสุมาเต๊อะเจ้า หายไปสอบมาค่ะ หลังจากนี้เราจะกลับมาอัพได้เร็วกว่าเดิมแล้วค่าาาา ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังรอ ไม่หนีหายไปไหน ขอบคุณทุกคอมเม้นที่เป็นกำลังใจให้อย่างดี รักๆ

ทีนี้ทุกคนก็จะพบเจอแต่ความหวาน หวานนนนนนนนน อย่าเพิ่งเบื่อกันไปก่อนนะคะ เอาใจช่วยนักเขียนก่อนน้า

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ คิดเห็นอย่างไรอย่าลืมแชร์ให้เราฟังด้วยยย

หรือจะเล่นได้ที่ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน

หรือติดตามเราได้ทางทวิตเตอร์ @chanadbears
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 25 เราคงต้องเป็นแฟนกัน (UP) 29/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-10-2019 00:02:52
คิดถึงมุ้ยคนหน้าตาดีไปวันๆ (ตรงไหน) 55555
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 25 เราคงต้องเป็นแฟนกัน (UP) 29/10/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Nattharikan ที่ 30-10-2019 15:35:32
มันเขี้ยวความมุ่ยจังเลยยยย น่ารักน่าเอ็นดูเนอะ  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 26 ใจกาก อย่าปากเก่ง (UP) 01/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 01-12-2019 02:48:14
บทที่ 26

ใจกาก อย่าปากเก่ง


เที่ยงนาฬิกาสามสิบนาที ผมและเดอะแก๊งกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โรงอาหารของมอ กว่าอาจารย์จะเลิกคลาสก็เลทไปเกือบสิบนาทีผมแทบไห้ พยายามส่งสายตาปริบๆ ร้องขอความเห็นใจจากอาจารย์ตั้งแต่เลทมาสองนาทีแรก แต่ก็หาได้สนใจไม่ กว่าจะมาถึงโรงอาหาร เดินไปซื้อข้าวที่คนเยอะอย่างกับหนอนนี่อีก หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว เซ็งเลยว่ะ

“มึง” ผมดูดน้ำแดงลงคออึกใหญ่แล้วเรียกความสนใจจากเพื่อน ข้าวไข่เจียวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าร้านป้าข้างหอบีม แต่เผอิญวันนี้กินข้าวมันไก่

“ว่า” เจ๋งเงยหน้ามองผมนิดหน่อยแล้วก็ก้มลงกินข้าวและไถหน้าจอโทรศัพท์ต่อ

“กูมาคิดๆ ดูแล้วนะ อันนี้จริงจัง”

“เออ ยังไงล่ะ”

“มึงว่ามอเราเปิดเทอมเร็วไปปะวะ” จากคำพูดของผมทำให้อีกสองคนชะงักแล้วเงยหน้ามามอง

“กูรู้สึกเหมือนมึงเพื่อน” ไอ้เจ๋งเอื้อมมือมาจับบ่าผมทำหน้าตาจริงจัง พลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

“นี่ไง กูไม่ได้คิดไปเองคนเดียว” ตบเข่าฉาดเลยกู ผมว่ามอเราควรปิดเทอมสักครึ่งปี คิดว่าไงกันบ้างครับ

“เพ้อเจ้อ พวกมึงอะ ปิดมาเดือนนึงแล้วสัด” คำตอบของแก๊ปมาเพื่อดับฝันของผม เพื่อนรักไม่เข้าใจว่ะ คือการที่คนเราต้องการพักผ่อนเนี่ย เดือนนึงมันไม่ได้เว้ย คือยังไม่ทันทำอะไรเลย หายใจพรืดเดียวเปิดเทอมละ มุ่ยไม่โอ

“ไม่ มันยังไม่พอ”

“ใช่ กูยังไม่ทันทำเหี้ยไรเลยอะแก๊ป กูลงใต้ไปเที่ยวทะเลที่บ้านอา ยังไม่ทันฉ่ำปอดก็ต้องบินกลับมาเรียน ผิวกูยังไม่ทันไหม้แดดเลยมึงดู” เจ๋งถกแขนเสื้อกับขากางเกงให้พวกผมดู

“ใช่ไหม แล้วที่กูเล่าให้พวกมึงฟังไงว่าต้องไปทำงานกับพี่นายตลอดเป็นอาทิตย์ๆ มันไม่แฟร์ปะวะ”

“เดี๋ยวสอบไฟนอลเสร็จก็ปิดเทอมใหญ่แล้ว รอสักนิกสักหน่อยจะตายรึไงพวกมึงอะ” แก๊ปแสดงสีหน้าละเหี่ยใจเมื่อได้ฟังความคิดของพวกผมสองคน แก๊ปคนดี มึงก็พูดได้สิ โธ่เอ๊ย มึงบินไปเที่ยวญี่ปุ่นสบายใจเฉิบ มีแค่กูนี่แหละที่ทำงานงกๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน

“เพิ่งเปิดเทอมมึงอย่าพูดถึงไฟนอลดิ เออ แล้วกูถามจริง วิชามอของมหาลัยเรามันยากอะไรขนาดนั้นวะ เห็นคะแนนใน REG ยัง กูนี่อยากมุดท่อหนีเลย อนาถใจชิบ”

“มึงอ่อนไงเจ๋ง อย่าโทษมหาลัยดิ”

“สัด ภาษาไทยมึงได้เท่าไหร่ พูด”

“สิบห้า”

“เชี่ย เต็มสามสิบ?”

“เต็มสี่สิบ”

“ควายพอกัน” ไอ้เจ๋งหัวเราะเสียงดัง จนโต๊ะข้างเคียงหันมามอง

“กูไม่เข้าใจเลย ตอนทำนะกูนี่ฝนข้อสอบโช้ะๆ มั่นใจว่านี่แหละใช่ ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม แต่ทำไมคะแนนที่ออกมาถึงเหี้ยได้ขนาดนี้ แงไอ้สัด” ผมจำได้ว่าเตรียมตัวมาดีมาก ห้าบทแรกอ่านคืนเดียวก่อนสอบ ด้วยตัวผมเองนั้นเชื่อในปาฏิหาริย์เสมอมา วันไนท์มิราเคิล เคยได้ยินไหมครับ

“กูบอกให้อ่านหนังสือ แล้วพวกมึงทำอะไรกัน คนนึงก็เล่นเกม อีกคนก็เล่นกล้อง ไม่เป็นอันอ่านหนังสงหนังสือ จะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบ จะผ่านปีหนึ่งไหมพวกมึงอะ หน้าตาก็เหี้ย กูขอสมองดีๆ หน่อยเถอะ” แก๊ปผลักหัวผมกับไอ้เจ๋งหน้าแทบคว่ำลงจาน ว่าไม่ได้ครับ คุณแก๊ปเขาเป็นผู้มีพระคุณ หน้าตาดีน้อยกว่าผมนิดนึงแต่ฉลาด ถ้าไม่ได้ชีทสรุปวิชาต่างๆ จากคุณเขา ผมกับไอ้เจ๋งร้องเหมียนหมาแน่ๆ

“เฉลยผิดแหละ ดูออก” ผมเชื่ออย่างนั้น ถึงจะเป็นแบบ OMR มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง

“เออ กูก็ดูออก” เชี่ยเจ๋งแม่งขี้ลอก

“สู้ไฟนอลเอาเถอะพวกมึงอะ นะ”

“เอช้วนแน่นอนคนอย่างกู”

“เรื่องของมึงเลย” แก๊ปส่ายหัวอย่างปลงๆ แล้วลุกขึ้นหยิบจานข้าวไปเก็บ ผมยังเหลือเกินครึ่งจานส่วน

ไอ้เจ๋งอีกสามคำก็คงหมด ผมเลยรีบยัดเข้าปากแข่งกับมันจนเกือบสำลัก ไม่พ้นเพื่อนแก๊ปต้องหาน้ำหาท่ามาประเคนให้

“พวกง่าว กูล่ะเบื่อจริงๆ”

“ร้ายก็รักนะ เกเรยังไงก็รักนะ” เจ๋งแกล้งร้องเพลงหยอกมันแล้วกระแซะตัวเข้าหา จนเพื่อนรักรำคาญฟาดหลังเข้าให้ถึงจะหยุดเล่น วอนตีนจัดเลย

“เออ ไอ้มุ่ย เมื่อเช้ากูเห็นนะเว้ย”

“อะไร” ผมเลิกคิ้วถาม

“แอะ”

“แอะพ่อง ใบ้แดกเหรอ”

“แหน่ะ เหมือนมึงเขิน”

“เขินไรวะ”

“พี่บีมมาส่งมึง กูเห็นกับตา”

“แล้วไง” ผมยักไหล่แล้วเบ้ปากให้กับคำพูดของมัน เรื่องปกติไหมครับ คนเป็นแฟนกันรับส่งกันผิดตรงไหน ผิดตรงไหน พูด

“เห้ยๆ มาว่ะ หน้าไม่แดงแล้วว่ะ แก๊ปมึงดู”

“เล่นห่าอะไรของพวกมึงเนี่ย อย่ามาจับหน้ากู” ผมปัดมือไอ้เจ๋งที่ทำท่าจะเข้ามาจิ้มแก้ม พวกมันหัวเราะกับท่าทีของผม และยังไม่ยอมเลิกเสือก

“ถึงไหนแล้ววะ มึงกับพี่บีม”

“เสือกไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”

“เขินแล้วชอบด่ามึงอะมุ่ย กูรู้หมดอะ”

“กูล่ะอย่างจี้ ตีกันแทบตาย สุดท้ายตกหลุมเขาเฉย” แก๊ป ทีเรื่องนี้มึงล่ะมีบทบาทเชียวนะ

“อย่าเรียกว่าตกหลุม ไม่เคยตกเลย”

“แล้ว?”

“กูเดินลงไปเอง”

“ฮิ้ว~ กูล่ะอย่างชอบมึงเวอร์ชันนี้เลยน้องมุ่ย คนเหี้ยอะไรวะน่าหมั่นไส้ชิบหายเวลามีแฟน” ไอ้เจ๋งเอื้อมมือมาขยี้ศีรษะจนผมหลุดรุ่ย ต้องมัดใหม่เลยไอ้เหี้ย

“เท่าที่สังเกตมา กูว่ากูรู้อย่างนึง” แก๊ปเอ่ยขึ้นมา ทำให้ผมกับไอ้เจ๋งหันมามองอย่างสงสัย

“อะไรวะ”

“พี่บีมอะ ร้าย”


ป้าบ!


“แก๊ป มาให้กูกอดที” ผมตบโต๊ะฉาด แล้วอ้าแขนออกกระดิกนิ้วเรียกเพื่อนตัวเองเข้ามากอด แก๊ปมันยินยอมแบบงงๆ พลางตบหลังผมแปะๆ

“อะไรของพวกมึงเนี่ย”

“บีมแม่งโคตรร้าย ถ้าเป็นในหนัง ถึงหน้ามันจะพระเอกแค่ไหน แต่บีมน่ะเกิดมาเพื่อเป็นตัวร้ายชัดๆ” ที่สุดเลยครับ ผมน่ะต่อสู้กับบีมมาตลอดในช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเทอม เหมือนมันเอาความเก็บกดก่อนหน้ามาลงตอนที่เราคบกัน เอะอะจูบ เอะอะจับ ทุกครั้งเวลาผมเผลอ แล้วประเด็นคือทำอะไรมันไม่ได้เลยไง

‘แฟนกันก็ต้องกอดกันนะน้องมุ่ย’

‘แฟนกันต้องจูบกันด้วย’


อ้าง! อ้างแบบนี้ตลอด สุดท้ายเป็นไง ยืนทื่อให้เขากอดจูบลูบคลำเลยตัวผม ด่าแม่งก็แล้ว ตีก็แล้ว ทำอะไรบีมไม่ได้เลย

ไม่ คือ ความจริงก็เคลิ้มนิดหน่อย

“กูเชื่อ”

“ใช่ไหม ธาตุแท้ของมันภายใต้หน้ากากรอยยิ้มนั่น พูดแล้วขนลุกเลย มึงดู” ผมชูแขนที่อยู่ๆ ขนทั้งหลายก็พร้อมใจกันลุกพรึ่บพรั่บเพียงแค่พูดถึงบีม

“รอยยิ้มเหี้ยไร มีแต่มึงคนเดียวที่พี่เขายิ้มให้ ไอ้มุ่ย” เจ๋งว่าขึ้น พลางคิดในใจคนเดียว กับมึงเขาก็ยิ้มให้ตลอดแหละ ลองมาเป็นพวกกูหรือคนอื่นสิ หึ

“แต่มันยิ้มทีไรกูไปไม่เป็นทุกทีเลยว่ะ พวกมึงว่าเป็นเพราะอะไร”

“...”

“หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที ใช่เธอหรือนี่ ที่คอยตลอดมา”

“...”

“บีมแม่งน่ารักชิบหาย คิดถึงสัด”

“กูเบื่อพวกอวดแฟน”

“ด้วย พอมีแฟนปุ้ปล่ะขิงจัง รำคาญ”

“พวกมึงไม่เข้าใจความน่ารักของบีม ร้ายก็รักนะ เกเรยังไงก็รักนะ”

“ร้องไปแล้ว”

“อ้าวเหรอ พอดีคิดเนื้อไม่ทัน”

“โว้ย!”

“แล้วมึงกับพี่บีม แบบ จึ้กๆ กันยังวะ” ไอ้เจ๋งโน้มตัวเข้าหาผม แล้วอมยิ้มกระซิบถามเสียงเบา ทำหน้าตาท่าทางกระมิดกระเมี้ยนจนน่าถีบ

“จึ้ก อะไรของมึง” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ อะไรวะ จึ้กๆ

“ไอ้นั่นไง เรื่องนั้นอะ”

“มึงก็พูดมาสิ ไม่บอกกูจะรู้กับมึงไหมเนี่ย”

“ก็ -”

“ไอ้เจ๋งมันจะถามว่ามึงกับพี่บีมได้กันยัง” แก๊ปถามขึ้นแทนอย่างรำคาญท่าทีของไอ้เจ๋ง ทำให้ทุกอย่างบนโต๊ะเงียบสนิท จนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักอย่างรุนแรง จู่ๆ อากาศก็ร้อนขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เหงื่อผุดซึมขึ้นตามไรผมจนต้องยกมือขึ้นปาดแล้วปาดอีก

“ทะ ทำไมพวกมึงขี้เสือกกันจังวะ” แล้วปากกูตะกุกตะกักทำส้นตีนไรเหรอ ฮือ

“อยากเสือกเฉยๆ”

“มะ มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเรื่องแบบนี้” ผมเสตาหลบไอ้หมาสองคนที่จ้องมาตาไม่กระพริบ แก๊ป ทำไมทีเรื่องอย่างนี้แก๊ปเร็วจังอะ

“เป็นกู พี่บีมเสร็จตั้งแต่วันแรกแล้ว”

“เออ ถ้ากูก็ไม่เกินสามวัน”

“มึงอ่อนเองรึเปล่าไอ้มุ่ย”

“ใครอ่อน! เฮียมุ่ยคือคนที่หล่อที่สุดในโลก!” โพล่งออกมาทันทีอย่างไม่รู้ตัว ห้ามใครว่าผมกาก!

“พี่บีมไม่น่าปล่อยมึงมาถึงขนาดนี้นะ ใช่ปะแก๊ป”

“อาจจะรอให้เหยื่อตายใจก่อน” ผมมองมันสองคนซุบซิบๆ กันอย่างงงงวย ไอ้พวกนี้แม่ง วันๆ คิดแต่เรื่องยังเงี้ย

“เลิกพูด! ข้ามเรื่องนี้ไป ให้มันเป็นเรื่องของกูกับแฟนกู โอเค้”

“แฟน เต็มปากเต็มคำ” ไอ้เจ๋งเบ้ปากขึ้นอย่างหมั่นไส้

“ก็แฟนกูอะ มึงจะทำไมล่ะ”

“ก่อนหน้านี้ทำเป็นเล่นตัว ไอ้ควายเอ้ย”

“บีมแฟนกู”

“เออ ไอ้สัด เขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วมั้ง”

“หึ เออ เหมือนตอนไอ้มุ่ยเข้าไปโวยวายกับพี่บีมเพิ่งเกิดเมื่อวาน นึกถึงละขำ” แก๊ปส่ายหัวขำๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอาทิตย์ก่อนๆ

“เขาเรียกปรับความเข้าใจ มึงใช้คำไม่ถูกอะแก๊ปเพื่อนรัก”

“ด่าซะมีนร้องไห้ ปรับมากมั้ง”

“เห้ย!”

“อุ้ปส์...”

“ชู่ว! มึงอย่าพูดชื่อนี้!”

“เออ เหี้ย กูลืม”

“ไม่แดกละ ขึ้นเรียนกันเหอะ” ผมและเดอะแก๊งกระวีกระวาดเก็บข้าวของลงกระเป๋าผ้าของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากม้านั่ง เสียงนรกก็ดังขึ้น

“มุ่ย!”


ป้าป!


“ไอ้เจ๋ง! กูบอกว่าอย่าพูด!”

“แง สุมาเต๊อะเพื่อนรัก”

“มุ่ย!” ผมค่อยๆ หันกลับไปตามเสียง ก็เห็นผู้ชายในชุดนักศึกษาวิ่งเตาะแตะมาทางผม เด็กนีออนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหอบหายใจแฮ่กๆ แล้วเงยหน้ามองผมพลางส่งยิ้มแฉ่งให้

มึงสิงตัวกูอยู่รึไง พูดชื่อปุ้ปมาปั๊ป ห่ามึงเอ๊ย

“มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย กูจะไปเรียนแล้ว บาย” ผมพูดรัวเร็ว กำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกมือขาวนั่นคว้าหมับที่แขนเข้าให้ซะก่อน

“ฮื่อ อย่าเพิ่งไปสิ เราคิดถึงมุ่ยนะ มาคุยกันก่อน”

“คุยเหี้ยไร ไม่คุย ชิ่วๆ เลย เด็กเปี๊ยก” บอกตรงๆ ผมไม่กล้าสะบัดแขนออก กลัวมีนมันปลิว ตัวอย่างกับลูกหมากระเป๋า อีกอย่างคือดันมีไอ้โหดหน้าเหี้ยมยืนจองเวรอยู่หลังมีน จ้องมาที่ผม สายตาแม่งเหมือนโกรธกูมาสิบชาติ

ตัวๆ เลยไหมล่ะ กูพร้อมเสมอ ช่วงนี้ร่างกายยิ่งต้องการปะทะยาแดง นัดเลยไหมล่ะ โด่ว

“เราเอาขนมมาให้ด้วยนะ”

“ไม่อยากกิน” ผมขยิบตายิบๆ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกสองคน เหมือนรู้งานอะ แม่งยืนเขี่ยโทรศัพท์เฉย ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กูเห็นนะมึงแอบหัวเราะกัน สัดเอ้ย

“เราซื้อมาให้มุ่ยโดยเฉพาะเลย”

“เมื่อไหร่จะเลิกตามกูซักทีวะ กูไม่ชอบ”

“แต่เราชอบมุ่ย” พูดอะไรคิดถึงใจคนฟังบ้าง อันดับแรกคือคิดถึงกูก่อนเลย จะโดนไอ้ก้องดักตีหัวตอนกลับบ้านไหม ไอ้เวร แม่งยืนกำหมัดแล้ว กรี้ดๆ

“กูมีแฟนแล้ว อยากเป็นน้อยเหรอ”

“มะ ไม่ใช่”

“ฟังเพลงตั้กแตนบ่อยสินะ อยากเป็นคนรัก ไม่อยากเป็นชู้ แซ่บนะมึงเนี่ย”

“เราเปล่า”

“แต่หน้ามึงแดงอะ เหี้ย กูไม่นิยมคบชู้นะเว้ย รักเดียวใจเดียวคือเฮียมุ่ยคนนี้ รู้จักเปล่า”

“เราหมายถึง เราอยากเป็นเพื่อนกับมุ่ย” กระพริบตาปริบๆ คิดว่าน่ารักรึไง ไม่ใช่บีมอย่ามาอ้อนเหอะว่ะ ขอร้องเลย ไม่ใจอ่อนให้ง่ายๆ หรอกนะ

“อยากเป็นเพื่อนกับกู ถามคนข้างหลังมึงรึยัง”

“ก้องก็อยากเป็น”

“ดูหน้ามัน อยากมากมั้ง” จะแดกหัวกูอยู่แล้ว ไอ้ฟายยย ดูเพื่อนมึงด้วย แดกแองกรี้เบิร์ดเป็นอาหารเหรอวะ ขมวดคิ้วเก่งเล้ย

“ก้อง อยากเป็นเพื่อนกับมุ่ยใช่ไหม”

“...”

“ก้อง”

“เออ”

“นี่ไง ทำไมมุ่ยไม่ยอมเล่นกับเรา เราตื๊อมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ” เด็กหน้าขาวทำปากยื่น ส่งสายตาอ้อนๆ มาให้ผม กระพริบตาปริบๆ ราวกับพยายามทำให้ผมใจอ่อน เหอะ ไม่ใช่บีมก็แย่หน่อยอะ

“อยากให้เล่นด้วยก็ทำตัวดีๆ ดิ กูไม่เล่นกับคนขี้แง หน้าแบ๊วแบบมึงหรอก”

“เราไม่ใช่ขี้แง”

“เหรอๆ อืม”

“มุ่ยยยยยย”

“ไม่อยากเล่นด้วยเลยว่ะ”

“เดี๋ยวเราซื้อขนมมาให้อีก เอาไหม”

“เก็บไว้แดกเองเถอะ”

“มุ่ยอะ”

“ไอ้ก้อง เพื่อนมึงอินอะไรกับกูนักหนาวะ มาเก็บไปดิ้” ผมเอนตัวชะเง้อไปคุยกับตนข้างหลังมีน ไอ้ก้องทำหน้าเหม็นเบื่อเหมือนไม่อยากจะเสวนากับผม ไอ้เวร กูอยากคุยกับมึงตายล่ะ เอาเพื่อนมึงไปเก็บสิ รับรองกูจะไม่เฉียดใกล้มึงแม้แต่นิดเดียว หางตาก็จะไม่มอง สาบานให้ฟ้าผ่าไอ้เจ๋งตาย

“มึงก็เล่นกับมันหน่อยไม่ได้รึไง”

“มึงก็เล่นกับมันอยู่แล้วอะ”

“ก็มันอยากเล่นกับมึง”

“กูไม่อยากเล่นด้วย มันไม่เท่ แก๊งกูมีใครหน้าแบ๊วอย่างมันบ้าง ดูดิ้ โหดๆ ทั้งนั้น” ผมชี้ไปทางไอ้สองตัวนั่น

“...เออ โหด”

“มุ่ย...”

“อะแฮ่ม ขอโทษนะ แต่มันจะบ่ายแล้วไอ้มุ่ย รีบเคลียร์เร็ว กูไม่อยากโดนเช็กสาย” ไอ้เจ๋งเดินเข้ามาจับแยก โล่งแล้วกู เห็นหน้าเด็กนี่นานๆ ไม่ได้เลยครับ เดี๋ยวเผลอจับแดก

“เออๆ กูจะไปเรียนแล้ว คราวนี้มึงต้องปล่อย”

“ก็ได้ แต่รับขนมของเราไปด้วยนะ” ถุงพลาสติกใบใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้า ส่องๆ ดูก็เห็นเป็นพวกขนมขบเคี้ยวทั้งหลายแหล่ ผมไม่ชอบกินสักหน่อย

“วันหลังบอกเขาไม่เอาถุงพลาสติก รักษ์โลกไหมมึงอะ” ผมใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดันหน้าผากไอ้มีน จนมันเซแถ่ดๆ โดยมีไอ้ก้องรอประคองอยู่ด้านหลัง โอย กูจะอ้วก

“ได้ ได้เลย”

“ไม่ชอบกิน แต่จะรับไว้ มึงก็ไปได้ละ” มีนทำหน้าหงอยแต่กี่วิก็ยกยิ้มกว้างให้ผมเหมือนเดิม แล้วก็ผละออกไปยืนอยู่กับไอ้ยักษ์ก้อง

“งั้น บ้ายบายนะ”

“ชิ่ว”

ผมมองไอ้ยักษ์ที่ลากแขนคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามตัวเองกลับไป แต่ไม่วาย มีนมันยังหันกลับมาโบกไม้โบกมือให้อีกด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เด็กนีออน แล้วหันหลังเดินไปยังอาคารเรียนของตัวเอง

หลังจากวันนั้นที่มีเรื่องกัน คิดว่าชีวิตจะพบกับความสงบสุขที่แท้จริง แต่แม่งเอ้ย...มีนดันเข้ามาหาผมทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะตอนเที่ยง เลิกเรียน หรือเวลามีเรียนวิชามอก็จะพยายามมานั่งใกล้ๆ กับผม ซึ่งผมงงมาก เอ๋อแดกเลยครับ

ในใจคิด ไอ้เด็กนี่มาได้ไงวะเนี่ย พอถามบีมก็รู้ว่า น้องมาถามหาผม อธิบายกับบีมว่าชอบ อยากเป็นเพื่อนกับนายฟ้ามุ่ยคนนี้ แล้วก็อย่างที่เห็น เจอกันตลอดจนผมระแวง อย่าได้เอ่ยชื่อเชียว โผล่มาอย่างกับผี

ไม่ใช่ว่ารำคาญอะไรขนาดนั้น ไอ้มีนมันก็น่ารักดี เสียอย่างเดียวดันมียักษ์ปักหลั่นนามว่าก้องติดตามมาด้วย ผมก็ไม่อยากจะเสวนากับมันเท่าไหร่ แหงล่ะ เสือย่อมเห็นเสือด้วยกันทั้งนั้น

เสือก้องจ้องจะแดกเพื่อนตัวเอง

เซมๆ กับเสือมุ่ยที่จ้องจะแดกบีมนั่นแหละ






“กลับไงวะไอ้มุ่ย” หลังจากอาจารย์บอกเลิกคลาสปุ้ป ผมก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แล้วเก็บของใส่กระเป๋าย่ามตัวเอง ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เอ นี่แค่บ่ายสามนิดๆ เอง บีมเลิกตั้งสี่โมง กูจะไปอยู่ไหนดีวะ

“กับบีม”

“วุ้ย อิจฉา” พูดแค่นั้น สายก็เข้าพอดี ไอ้เจ๋งเลยเดินแยกออกไปรับโทรศัพท์

“สงสารพวกไม่มีแฟน ก็งี้แหละนะ”

“แล้วพี่เขามารับกี่โมง” แก๊ปถามพลางเก็บของไปด้วย

“บีมเลิกสี่”

“อ้าว เหลืออีกตั้งเกือบชั่วโมง ไปแดกเค้กกับพวกกูไหม”

“ไม่อะ กูจะไปหาไรกินกับบีมที่ถนนคนม่วน”

“ไอ้มุ่ย เจ้จิ้บเรียกคุยเรื่องนิทรรศการวันโอเพนเฮาส์ว่ะ”

“เออ กูลืมไปเลย” จำได้ลางๆ ว่าเจ้แกสั่งงานอะไรซักอย่าง ถ่ายภาพปะ

“เพื่อนแก๊ป งานด่วนเข้าพอดีเลยว่ะ ทำไงดี” ไอ้เจ๋งทำหน้าลำบากใจ เพราะมันสองคนคุยกันว่าจะไปลองเค้กสูตรใหม่ที่ร้านประจำเพิ่งทำออกมาวางขาย ตัวผมที่ไม่ใช่สายเค้กขนาดนั้นเลยขอบาย อีกอย่างมีนัดกับบีมอยู่แล้วด้วย

“วันอื่นไหมล่ะ กูยังไงก็ได้ แต่ครั้งหน้าคือมึงเลี้ยงกู”

“ได้เลยเพื่อนแก๊ป งั้นเลื่อนเป็นพรุ่งนี้นะ โทษทีว่ะเพื่อน ฮือ เค้กกู”

“เออ มึงรีบไปเถอะ เดี๋ยวกูจะไปซื้อของกินแล้วก็จะกลับหอละ” เราสองคนแยกจากไอ้แก๊ปแล้วรีบเดินไปขึ้นรถไอ้เจ๋ง ดีที่วันนี้ไอ้เจ๋งเอารถมาพอดี ไม่งั้นเดินกันขาลาก ระยะทางระหว่างชมรมกับอาคารเรียนวันนี้ใกล้กันซะที่ไหน

ผมส่งข้อความบอกกับบีมว่าให้มาหาที่ห้องชมรมเลยถ้าเลิกเรียนแล้ว ต้องทำให้ชินเลยครับกับการบอกว่าจะไปไหนมาไหนเนี่ย เข็ดจากรอบที่แล้ว ฮ่าๆ เพราะงั้นเวลาผมจะไปไหนที่นอกเหนือจากการไปเรียน ผมจะบอกบีมตลอด บางทีก็มีลืมบ้าง แต่ก็พยายามสุดแล้ว

ใครได้เป็นแฟนกับผมล่ะโชคดีตายเลย

เอาจริงๆ ความสัมพันธ์ของผมกับบีมตอนนี้ก็คือเป็นแฟนกันนะครับ โคตรดีใจเลยว่ะ แบบมีความสุขสุดๆ บีมแม่งดีมาก ตัวผมเองก็หล่อมาก ทุกอย่างลงตัวและเพอเฟค อาจจะมีทะเลาะตบตีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ตอนที่ผมตื่นสายแล้วบีมแม่งถีบผมตกเตียงงี้ หรือเวลาบีมลวนลามผมเกินเหตุ ก็โดนฟาดป้าปๆ รักกันครับ รักกัน

พูดเหมือนย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว

เห้ย เปล่านะครับ ผมลูกมีพ่อมีแม่ ทำอะไรต้องเข้าตามตรอกออกทางประตู ผมแค่จะไปนอนห้องบีมเมื่อน้องบูไม่อยู่ ซึ่งไอ้เด็กบูก็อาทิตย์นึงเสือกอยู่ห้องแค่สามสี่วัน ความจริงกะจะอยู่เป็นเพื่อนแค่เสาร์อาทิตย์ แต่บีมแม่งงอแงอะ ผมก็ต้องตามใจ ทุกวันนี้เสื้อผ้าในห้องตัวเองแทบไม่มี ขนไปอยู่ในตู้บีมเกือบหมดแล้ว

ไม่เป็นไรนะ

วันนี้แหละบีม

เฮียมุ่ยคนนี้จะไม่ทำให้บีมต้องร้องไห้อีก



“เจ้ พวกผมมาแล้ว” ไอ้เจ๋งเปิดประตูเข้าไป โดยภายในห้องมีโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกจัดวางให้เหมือนกับห้องประชุมขนาดเล็ก และให้เพียงพอต่อสมาชิกในชมรมด้วย ไอ้เจ๋งเดินเข้าไปทักทายคนอื่นๆ ในชมรม ดูท่าจะสนิทกันพอสมควรเลย แหงล่ะ หลังจากจบงานกีฬามอ ตัวผมก็ไม่ได้ย่างกรายเข้ามาที่นี่เลย ต่างจากไอ้เจ๋งที่มาทุกวี่ทุกวัน

“น้องมุ่ย” ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม ผมไม่พลาดครับ คนนี้ชื่อพี่แดน จำได้

“ครับ” ผมผงกศีรษะทักทาย แล้วก็สอดส่องสายตาหาที่นั่งให้ตัวเอง

“มานั่งข้างพี่ก็ได้นะครับ” พี่แดนชี้ตรงที่นั่งของตัวเอง ซึ่งเก้าอี้ข้างๆ ยังไม่มีคนนั่งพอดี ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังพี่เขาไป แล้วกวักมือเรียกไอ้เจ๋งให้ตามมาอีกที

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเรา” พี่แดนหันมาคุยกับผมพร้อมรอยยิ้มบาง

“ครับ”

“ปิดเทอมเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเที่ยวไหนรึเปล่า”

“ไปอยู่ ไปกับพี่”

“พี่ไม่ได้ไปไหนเลย ต้องอยู่เตรียมงานของมอ วุ่นวายมาก ฮะๆ” ปีสูงก็งี้สินะ แต่ผมคงไม่ยุ่งขนาดพี่มันอะ ไม่ได้อินกับกิจกรรมเท่าไร

“ครับ”

“ครับอย่างเดียวเลย ดูเงียบๆ ขึ้นรึเปล่าเรา”

“อ๋อ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย”

“พี่ถามได้ไหมครับว่าเรื่องอะไร”

“แฟน”

“ค ครับ?”

“ช่าย เครียดมาก นี่ดันเผลอทำแฟนเสียใจอะดิ กำลังหาวิธีง้ออยู่”

“น้องมุ่ย เอ่อ มีแฟนแล้ว?”

“ถูกต้อง”

“...บีมเหรอครับ”

“อือ รู้ได้ไงอะ เก่งว่ะ” ผมชูนิ้วโป้งให้เลย เดาเก่งสัด

“เอาล่ะ มากันครบแล้วนะ งั้นเริ่มประชุมกันเลยดีกว่า” เสียงเจ้จิ้บคนสวยดังขึ้น เรียกความสนใจจากคนในชมรมให้ตั้งใจฟัง

ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นสรุปงานที่ผ่านมาตลอดปีที่แล้ว แล้วก็เรื่องจิปาถะทั่วไปของตัวชมรมถ่ายภาพ ดีที่ได้ไอ้เจ๋งคอยสะกิดเรียกไม่ให้หลับอยู่ตลอด ไม่งั้นเจ้จิ้บแดกหัวผมแน่

“เอาล่ะ อย่างที่รู้กันนะว่าเดือนหน้าจะมีงานโอเพ่นเฮาส์ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเราเนี่ย จะจัดบูธของแต่ละคณะขึ้นมาเพื่อแนะนำให้กับน้องๆ มัธยมที่สนใจ ปีนี้จะพิเศษขึ้นกว่าเดิมหน่อย คืองี้ ทางองค์การบริหารนักศึกษาอยากจะให้แต่ละชมรมจัดนิทรรศการเพิ่มขึ้นด้วย”

“โห เจ้ แค่บูธคณะก็จะแย่แล้วอะ” รุ่นพี่คนนึงพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก รวมถึงคนอื่นในชมรมที่เริ่มบ่นกระปอดกระแปด

“เออ ก็ทาง องค์การฯ เขาว่ามางี้อะ ฉันเถียงอะไรไม่ได้เว้ย”

“แล้วไงต่ออะ”

“ฟังต่อนะ คือฉันกับเพื่อนอีกหลายคนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยหรอกเลยลองค้านดู สรุปสุดท้ายเขาเลยให้จัดแค่สิบชมรมที่มีสมาชิกมากที่สุด เพื่อที่จะให้เป็นตัวดึงดูดเด็กๆ ทั้งหลายให้เข้ามอเราอีกทางหนึ่ง”

“แค่นี้นักศึกษาก็ล้นมอแล้วแม่ จะเอาอะไรนักหนา”

“ให้พวกชมรมกีฬาจัดดิ คนเยอะจะตาย”

“ประเด็นก็คือชมรมเรามีสมาชิกมากสุดเป็นอันดับที่เก้าพอดีเลยจ้า เพราะงั้นชมรมเราเลยต้องจัดนิทรรศการไง พวกแกทั้งหลาย”

“โห โคตรซวย”

“อย่าเพิ่งโห ฉันเกริ่นๆ กับพวกแกไว้แล้วไง ว่าให้ไปเริ่มงานตัวเองตั้งแต่ก่อนกีฬามอ เป็นไงบ้าง ถึงไหนละ”

“ลืมว่ะเจ้ นานเกิน จำไม่ได้แล้วโว้ยย” ไอ้เจ๋งว่าขึ้น เออ เอาจริงผมก็ลืมนะ

“ฉันบอกคอนเสปต์นิทรรศการยังวะแดน? ยังเหรอ เออๆ คืองี้ คอนเสปต์นะ ง่ายๆ เบๆ เลยอะ”

“เกลียดคำว่าง่ายอะ มันเคยมีคำนี้ในหัวเจ้ด้วยเหรอวะ” ไอ้เจ๋งเอียงคอกระซิบกับผม แม่งจริง สั่งแต่ละงานมีแต่งานยากๆ กูเป็นท้อ

“คอนเสปต์ คือ บังเอิญ”

“...”

“ฟังดูเกร่อนะ แต่มันอาจจะทำให้เกิดแรงผลักดันอะไรบางอย่างจากการที่น้องๆ ได้บังเอิญมาดูรูปของพวกเราก็ได้ ซึ่งฉันไม่จำกัดขอบเขตอะ ได้ทุกอย่าง ขอพวกแกแค่นี้ไม่เอาอะไรมาก กำหนดส่งงานคือสิ้นเดือนนี้จ้า”

“...”

“ง่ายใช่ไหมล่า ฉันรู้พวกแกทำได้”

“ง่ายก็เหี้ยแล้ว เจ้โว้ย!”



ต่อข้างล่างงับ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 26 ใจกาก อย่าปากเก่ง (UP) 01/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 01-12-2019 02:50:43
ต่อตรงนี้งับ


“เจ้แม่ง หางานมาฆ่ากูชัดๆ”

“กูลาออกทันปะวะ ชิบหาย ไม่น่าหลวมตัวมาอยู่กับมึงเล้ย” ผมกับเจ๋งเดินออกจากห้องชมรมมาในสภาวะจิตใจห่อเหี่ยว คนอื่นก็ไม่ต่างกัน

“ไม่ทันแล้วเพื่อน บังเอิญ โห่ แง” ผมตบบ่าไอ้เจ๋งอย่างเห็นใจ ตอนแรกผมก็ไม่ได้กดดันอะไรมาก กะว่าถ้าทำไม่ทันก็ไม่ส่ง คอนเสปต์แม่งยากนะเว้ย บังเอิญอะไรเนี่ย แต่พอเห็นสายตาคาดหวังอย่างแรงกล้าจากเจ้ที่ส่งมาทางพวกผมก่อนเลิกประชุมแล้วนั้น

ถ้าไม่ส่งงาน บอกได้คำเดียวว่า ตายห่าแน่

“น้องมุ่ย”

“อ้าว พี่แดน” ผู้ชายร่างสูงวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างหน้าเราสองคน

“จะกลับกันแล้วเหรอครับ”

“อ่า ใช่” ผมเกาหัวแกรกๆ แล้วตอบกลับไปแบบงงๆ สะกิดไอ้เจ๋งที่มัวแต่ทำหน้าบู้เหมือนหมาให้หันมาช่วยคุย

“จะกลับหอเหรอ หรือว่าไปไหนกันต่อ”

“ผมจะกลับหอพี่ แต่ไอ้มุ่ยมันจะไปกาดในเมือง” ผมพยักหน้าหงึกหงัก แวบหนึ่งผมเห็นแววตาดีใจเป็นประกายออกมาจากพี่แดน แล้วก็หายไป กลายเป็นส่งยิ้มละมุนละไมมาให้แทน แค่กูไปกาด มีอะไรให้น่าดีใจวะ

“อืม พี่จะเข้าในเมืองพอดีเลย ไปด้วยกันไหม”

“อ๋อ ไม่เป็นไรพี่ ผมไปกับบีม เดี๋ยวบีมมารับ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ พลางล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจะโทรหาบีม แต่จู่ๆ กลับมีแขนหนักวางพาดลงกับบ่าผมอย่างไม่ทันรู้ตัว แล้วดึงให้เข้าประชิด ซึ่งกลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคยทำให้เดาไม่ยากเลยว่าเป็นใคร

“มาแล้วเหรอ” ผมเงยหน้า ก็เจอกับใบหน้าอันคุ้นตากับรอยยิ้มที่คุ้นเคย มองทีไรแล้วใจสั่นทุกที เห้อ

“ไปกันยัง” บีมถาม

“เอาดิ ไอ้เจ๋ง กูไปก่อนนะ” ผมโบกมือลาเจ๋งมัน อีกฝ่ายพยักหน้าให้หนึ่งทีแล้วเดินแยกตัวออกไป

“เจอกันมึง”

“เออ พี่แดน ผมไปละ หวัดดีครับ” ผมหันไปยกมือไหว้ลาพี่แดน แล้วเดินออกมากับบีม มุ่งตรงไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล

“บีม ครั้งนี้หม่าล่ายี่สิบไม้ บีมเลี้ยง เคนะ”

“...”

“บีม มึงมองไรอะ ฟังกูอยู่ป้ะเนี่ย” ผมเงยหน้ามองบีมอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับ ก็เห็นว่าบีมยังคงมองไปทางด้านหลังอยู่จนผมต้องใช้สองมือจับใบหน้านิ่มๆ ให้หันกลับมา

“ฟังอยู่ครับ อยากกินไรไหนพูด”

“หม่าล่ายี่สิบไม้ มะพร้าวนมสดปั่น กินข้าวไรดีวะ อันนี้บีมคิดแล้วกัน กูคิดไม่ออก”

“ซูชิปะล่ะ”

“เพิ่งกินไปเมื่อวาน เอาผัดไทดีกว่า”

“ไหนบอกให้กูคิด”

“บีมแม่งไม่ตามใจเลยว่ะ”

“อยากกินไรอีก อะ พูดมา”

“เดี๋ยวซื้อขนมไปฝากพวกเด็กกากซักหน่อย นั่งฟังมันเล่นดนตรีด้วย เห็นไอ้โป้ว่ามาเปิดหมวกแถวนั้น” ผมพูดถึงเหล่ารุ่นน้องร่วมสถาบัน เพิ่งรู้ว่าหลายๆ กลุ่มออกมาทำกิจกรรมกันค่อนข้างเยอะ แล้วไอ้พวกเด็กๆ ที่เคยตามแก๊งผมสมัยก่อนนู่น มันก็ผันตัวมาตั้งวงเล่นดนตรีกัน แม่ง ได้ยินแล้วโคตรชื่นใจอะ พูดแล้วน้ำตาจะไหล ไม่คิดมาก่อนว่าเด็กกากพวกนี้จะทำอะไรดีๆ กับเขาก็เป็น

“ตามใจ”

“เยี่ยมยอด!”






“วันหลังนะ จะเอาน้ององุ่นไป แม่งแทบไม่มีที่จอดรถ” บีมเปิดประตูนำเข้าห้อง โดยมีผมเดินบ่นตาม พลางดูดน้ำมะพร้าวนมสดที่เหลืออยู่ก้นแก้วให้หมด ก่อนจะเดินดุ่มๆ ไปที่โซฟา แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง วันนี้โคตรเหนื่อย เปลืองพลังงานมาก

“อันตรายนะ ขี่กลางคืน”

“เฮียมุ่ยระดับไหนแล้วไอ้น้อง”

“เก่งมากเลยว่างั้น?”

“ของมันแน่อยู่แล้วป๊ะบีม โธ่” ผมวางแก้วน้ำลงกับโต๊ะกระจก แล้วเอนตัวนอนแนบกับหมอนอิงเล่นโทรศัพท์ไปด้วย

“เออ ไอ้น้องบูไม่กลับเหรอวันนี้”

“เห็นมันบอกจะไปกับเพื่อนที่เรียนพิเศษ”

“เด็กใจแตก เที่ยวทุกวัน”

เมื่อตอนเย็นผมกินไปเยอะมาก มากจนตกใจว่าทำไมตัวเองถึงกินได้ขนาดนั้น แล้วก็มานึกขึ้นได้ว่า อ๋อ บีมมันบ่นนั่นเอง กินอีกน้องมุ่ย อยากเป็นเด็กกากเหรอ คนจริงเขาไม่กินแค่นั้นหรอกนะ พูดอยู่นั่นแหละ บ่นจนหูชาแล้วชาอีก ไปอยู่กับฟ้าใสได้เลยอะ แม่เบอร์หนึ่งกับแม่เบอร์สอง ฮ่าๆ

“ไปอาบน้ำไป ตัวเหม็นว่ะ” บีมยกขาผมลงแล้วเข้ามานั่งแทนที่

“แป๊ป อัพเดตฐานข้อมูลก่อน เฮ้ย! น้ำตาลลงสตอรี่อยู่กาดเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วอะ โห่ เสียดายเลย” ผมหมุนตัวเองให้กลับมาอีกด้านหนึ่ง วางศีรษะลงกับหน้าขาของบีมอย่างเคยชิน โดยมีเจ้าของตักลูบผมให้เบาๆ จนแทบจะเคลิ้มหลับไปซะตอนนั้น

“น้องมึงจะสระผมเลยไหม”

“สระดิ เน่ามาสามวันละ”

“ถึงว่า อะไรเหม็นๆ มาตลอดทาง”

“เดี๊ยะๆ ไม่เหม็นซักกะนิด อุตส่าห์โรยแป้งมาเมื่อเช้าเลยนะเว้ย”

“ไอ้เด็กซกมก”

“สะอาดมากมั้งมึงอะ”

“ดมไหมล่ะ” บีมก้มหน้าลงมาจนจมูกของเราสองคนแตะกัน ผมเลยฟาดเข้าให้

“จะให้ดมผม แล้วก้มหน้ามาทำไมวะ”

“มันอยู่ส่วนเดียวกัน”

“ตอแหล”

“หยาบจังวะ แฟนใครเนี่ย” บีมใช้จังหวะที่ผมกำลังเผลอ บีบจมูกผมแล้วส่ายไปมา จนหัวเกือบตก ผมเลยเอาคืนด้วยการยื่นมือทั้งสองข้างบีมแก้มบีมแล้วดึงออก มันเขี้ยวว่ะ แก้มแม่งนิ่มกว่าผมอีก ได้ไงวะเนี่ย

“แฟนหมาบีม”

“หมามุ่ยนี่เอง”

“เดี๋ยวจะโดนเตะ”

“ถึงไหม เอางี้ก่อน”

“ลองป้ะล่ะ”

“ไม่ดีกว่า”

“อ่อน”

“ยอม”

“ไอ้คนกาก”

“จะด่ากัน หน้าอย่าแดงสิ หูด้วย”

“ร้อนเหอะ”

“เปิดแอร์ยี่สิบสามนะ”

“โค้ะ!”

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวเปิดเน็ตฟลิกซ์รอ”

“ไม่มีไรดูแล้วอะ ดูจนเบื่อ”

“วากาบอนด์ เห็นเขาว่าสนุก”

“โม้เปล่า”

“ไปอาบน้ำ แล้วมาดูด้วยกัน”

“เค้”

ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างขี้เกียจ พอเหนื่อยมา แล้วเจอกับแอร์ฉ่ำๆ แบบนี้ ผมแทบไม่อยากทำอะไรเลยอะ อ้อยอิ่งกับโซฟานุ่มๆ อยู่นานจนบีมต้องดึงตัวผมขึ้นแล้วลากไปไว้ในห้องน้ำ ทำเหมือนตัวกูไม่หนักเลยเนาะ

ชีวิตประจำวันที่มีบีมเพิ่มเข้ามามันดีมาก ในตอนแรกผมกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ เมื่อเรามีแฟน ใช่ มันเปลี่ยน แต่มันดีว่ะ ดีแบบคาดไม่ถึง ผมมีความสุขที่จะค่อยๆ เรียนรู้แล้วก็ปรับร่วมกันกับบีม

ทะเลาะกันไหมน่ะเหรอ ถามว่ามีตอนไหนไม่ทะเลาะกันบ้างน่าจะง่ายกว่า ผมดื้อ บีมก็ดื้อ มันชอบกวนตีนแล้วก็ทำตัวรุ่มร่ามอยู่บ่อยๆ ขี้งอนที่หนึ่งอีกตังหาก ผมก็ใช่ย่อยอะ ตีกันแต่ละที แทบจะฆ่ากันตายไปข้าง

ขลุกขลักหน่อยในตอนแรก ด้วยความที่ผมยังไม่เคยมีใคร แล้วบีมเองก็ดันมาชอบคนประหลาดแบบผมอีก แต่ผมชอบว่ะ ชอบมากๆ





“บีม อาบน้ำเสร็จแล้วเอาผ้าห่มออกมาด้วยนะ” ผมเดินเช็ดผมออกมาจากห้อง มืออีกข้างถือไดร์เป่าผม แล้วนั่งจุ้มปุ้กลงพื้นพรมใกล้กับปลั้กสามตา

“เค น้องมุ่ยอย่าลืมเป่าผมให้แห้ง”

“ได้” บีมจุ้บเหม่งผมหนึ่งทีแล้วเดินเข้าห้องไป บีมแม่งอาบน้ำนานอะ ผมนี่ห้านาทีก็เสร็จละ รวมสระผมด้วยเป็นสิบ บีมแม่งปาไปครึ่งชั่วโมง อาบหรือตายโทษที

ผมเลื่อนโทรศัพท์เล่นพลางเป่าผมไปด้วย เสียเวลาก็ตรงทำให้ผมแห้งนี่ล่ะ ถ้าปล่อยให้ชื้นเดี๋ยวบีมก็ด่าอีก เปลี่ยนทรงใหม่เลยมะ ตัดสกินเฮ้ดแบบพี่เต้เลยดีไหมครับ ถ้าเป็นผมแล้วแม่งโคตรเท่แน่นอนเลยอะ

รอจนผมแห้ง ผมก็เก็บไดร์เป่าผมแล้วย้ายตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา นอนเล่นเกม คุยกับเพื่อนไปเรื่อยจนเกือบจะหลับ บีมก็ออกมาพอดี

“วันหลังมึงนอนในนั้นไปเลยดิบีม”

“ไม่เอา นอนกอดน้องมุ่ยดีกว่า” บีมเดินออกจากห้องนอนมาพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่หนึ่งผืนและหมอนใบโตอีกหนึ่งใบ เจ้าตัวใช้ทีเผลอแกล้งโยนผ้าห่มคลุมตัวผมจนมิด แล้วอุ้มขึ้นจนตัวลอย

“ไอ้บีม! ปล่อยเลย”

“เจ็บๆ อย่าตี ฮ่าๆ” ผมฟาดมือรัวลงกับแผ่นหลังหนารัวๆ บีมเลยวางผมลงโดยที่ยังไม่เอาผ้าห่มออก ยังไม่ทันได้ด่าอีกรอบ แขนแกร่งก็คว้าเอวผมเข้าไปนั่งลงตรงกลางระหว่างขาแล้วกอดไว้อย่างนั้น

“นั่งดีๆ ไม่เป็นรึไง ไอ้บีมบ้า” มุดออกมาได้ก็ฟาดเข้าให้กับแขนหนักๆ นั่น บีมหัวเราะชอบใจจนตาเรียวหยีลง แถมยังกดให้แผ่นหลังของผมแนบเข้ากับอกตัวเอง จนระยะห่างระหว่างใบหน้าเราตอนนี้เหลือแค่คืบ พลางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมเราทั้งสองคนจนรับรู้ได้ถึงความอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของบีม

“จะดูหนัง”

“ยังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยน้องมุ่ย” ทำหน้าทำตา เนี่ย บีมมันชอบยังงี้ไง ผมสู้ไม่เคยได้เลย ให้ตายดิวะ

“ไหนวากาบอนด์อะไรอะ เปิดดูดิ้”

“รู้แล้ว ถ้าง่วงก็นอนเลยนะ” บีมลูบศีรษะผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มนุ่มๆ ที่ส่งมาให้ ทำเอาผมแทบเคลิ้ม

“เปิดๆ”

ผมชอบที่จะนั่งดูหนัง ดูทีวี ภายใต้อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของบีมมาก และมันกลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกคืนเวลาเราอยู่ด้วยกัน ชีวิตเหนื่อยๆ จากเรียน จากเรื่องน่าปวดหัวในแต่ละวัน ผ่อนคลายลงได้อย่างง่ายดาย ผมไม่รู้หรอกว่าการมีคนให้รักของคนอื่นเป็นแบบไหน แต่สำหรับผม แค่ได้อยู่ด้วยกันมันก็โอเคแล้ว โชคดีที่คนๆ นั้นเป็นบีม โชคดีจริงๆ



“หัวหน้ากี มันดูมีอะไรว่ะบีม หน้าแม่งอย่างโกงอะ” ผมตบปุลงกับผ้าห่มอย่างขัดใจ เมื่อซีรีส์จบไปแล้วอีกตอนหนึ่ง ค้างอะ ค้างโคตรๆ ทำไมตอนต่อไปไม่มาให้มันเร็วกว่านี้

“บริษัทไดนามิกก็น่าสงสัย” บีมวางคางลงกับศีรษะของผมแล้วพูดขึ้น

“กูว่ามันไม่ใช่คนดีอะบีม ความรู้สึกกูมันบอก โอ๊ย แม่ง ซีรีส์อะไรวะ โคตรสนุก” ใครยังไม่ได้ดูคือผมแนะนำเลยอะ แนะนำให้เราค้างไปด้วยกัน ฮ่าๆ สนุกจริง สถานการณ์ในซีรีส์มันคุ้นมาก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“ดึกแล้วนะ นอนก่อนไหม”

“อยากดูต่อ” ผมหันไปมองบีม กระพริบตาปริบๆ อย่างขอความเห็นใจ แต่บีมกลับส่ายศีรษะปฏิเสธพลางแกล้งทำหน้าดุให้ผมกลัว หน้าอย่างกับซามอย กลัวตายล่ะ โธ่เอ๊ย

“รอวีคหน้า จะเที่ยงคืนแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอเราอะ”

“อีกตอนเดียว”

“ไปนอนกันดีกว่า” บีมไม่สนใจ กดปิดทีวีแล้ววางรีโมตบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา หึ เสร็จกู


ฟึ่บ!


“เฮ้ย! บีม” แตะแล้ว มือแตะรีโมตแล้ว แต่ไอ้ตัวดีรู้ทัน คว้าหนีไปต่อหน้าต่อตา ผมหันกลับมามองมันอย่างฉุนๆ บีมยกยิ้มล้อเลียนพลางชูรีโมตขึ้นหนีผม

“รู้ทันหรอก ดึกแล้วน้องมุ่ย ไม่เอา” นิ้วเรียวยกขึ้นส่ายไปมาตรงหน้าผม

“บีม มันค้างนะเว้ย!”

“พรุ่งนี้มาดูต่อ”

“จะดูตอนนี้”

“ไม่ให้ดู น้องมุ่ยจะทำไมอะครับ”

“ได้ เล่นงี้ใช่ไหม”


ฮึบ!


ผมพลิกตัวคร่อมบีมไว้แล้วยืดตัวชูมือขึ้นหวังจะแย่งรีโมตจากไอ้ตัวดื้อ แต่ด้วยความต่างกันของความสูง บีมจึงเอี้ยวหลบมือผมตลอด แขนแกร่งอีกข้างก็สอดรัดรอบเอวไว้ไม่ให้ลุกขึ้นได้ โว้ย!

“เอามา เอารีโมตมา”

“เหนื่อยยัง”

“แฮ่ก ยัง!” หอบนิดเดียวเอง

“เดี๋ยวก็ร่วงหรอก อยู่นิ่งๆ ดิ”

“บีมก็ให้รีโมตมาดี้ อะ...เฮ้ย!” เราปล้ำกันอยู่นาน ผมเลยใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันตัวกับพนักพิง ยกขาถีบเบาะโซฟาเพื่อจะยืนขึ้นให้ได้ แต่เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง ผมดันเหยียบเข้ากับผ้าห่มเลยพลาด ทำให้ทั้งตัวและใบหน้าโถมเข้าใส่บีมอย่างจัง จนรีโมตร่วงลงกับพื้น กลายเป็นตอนนี้ผมหลับตาปี๋กอดคอบีมไว้แน่นอย่างตกใจและกลัวตก ดีที่บีมคว้าเอวแล้วรัดไว้ได้ทันท่วงที ไม่งั้นได้หงายหลังทับกระจกโต๊ะแตกทะลุพุงแน่ๆ

“ไอ้เด็กดื้อ เกือบแล้วไหม” เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วงและถี่กระชั้นดังขึ้นข้างหู ทำให้ผมรู้ว่าบีมก็ตกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าผมจะพลาด

“เกือบตกเลยบีม”

“เล่นไม่รู้เรื่องไง ไอ้หมาเอ๊ย”

“เจ็บปากเลย เมื่อกี๊กระแทกกับตัวมึงอะบีม” ผมนั่งลงกับหน้าขาของคนตรงหน้าแล้วค่อยๆ ผละตัวเองออกมาสบตากับบีม แตะๆ ปากตัวเองที่รู้สึกเจ็บจากการชนเข้าอย่างแรงเมื่อครู่ โดยที่มืออีกข้างหนึ่งยังคงคล้องคอบีมอยู่

“ไหนมาดู บวมนิดนึงว่ะ ดีนะไม่แตก” บีมจับคางผมแล้วเชยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่คมจ้องมาที่ริมฝีปากผมเป็นจุดเดียว แววตาแสดงออกมาถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ไม่ต้องยิ้มเลย ซนจนได้เรื่อง เห็นไหมน้องมุ่ย”

“เจ็บๆ”

“สำออยรึเปล่า”

“ไอ้บีม”

“อะล้อเล่น บวมนิดเดียว พรุ่งนี้หาย”

“จะให้หายตอนนี้” ผมว่ากลับอย่างดื้อดึง เอียงคอสบตากับบีมอย่างเอาแต่ใจ เจ้าตัวถึงกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา แต่แววตาที่ส่งมานั้นกลับมีแต่ความเอ็นดูระคนห่วงใยทั้งนั้น

“ดื้อ”

“รู้ตัวว่ะ”

“แล้วจะให้ทำไง พี่ไม่มียาทาหรอกนะ”

“ทำไมต้องใช้ยา” ผมเลิกคิ้วขึ้น แกล้งคนตรงหน้าที่เริ่มจะรู้แล้ว ว่าผมกำลังจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ

“น้องมุ่ย...”

“ไม่เอายา...”

“แล้วจะเอาอะไร” แรงกอดรัดที่บั้นเอวแน่นขึ้น รวมถึงตัวผมที่ขยับตัวเข้าหาคนตรงหน้าจนทุกส่วนแนบชิดติดกัน เหลือเพียงใบหน้าของเราสองคนที่ห่างกันไม่ถึงคืบ

“จะเอามึง”

“ไอ้เด็กดื้อ”

ผมขยับเข้าประทับริมฝีปากของบีมอย่างแผ่วเบาเพียงชั่ววินาทีในตอนแรก แล้วดึงใบหน้าตัวเองกลับมา มองสบตากับอีกฝ่าย บีมเหมือนจะอึ้งกับการจู่โจมของผมเล็กน้อย แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบเฉยที่แฝงไปด้วยอารมณ์รุนแรง บีมหลบตาพลางกัดริมฝีปากตัวเองราวกับต้องการหักห้ามใจ ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาให้กับการอดทนของคนเก่งตรงหน้า

“เดี๋ยวจะโดนดี”

“คนอย่างเสือมุ่ย กลัวที่ไหนวะ” ไม่ทันขาดคำ ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็พุ่งเข้ามาประทับเข้าหากันอย่างแนบแน่น ต่างจากตอนแรกที่เพียงแค่สัมผัส แต่ในขณะนี้กลับขบเม้มดูดดึงราวกับต้องการปราบความเอาแต่ใจและความดื้อดึงของอีกฝ่าย

มือใหญ่เอื้อมมาตรึงศีรษะเล็กให้อยู่กับที่ พลางบดเบียดริมฝีปากซ้ำลงไปอีกแต่ยังไม่ลุกล้ำใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ละเลียดชิมและจูบซับจนทั่วริมฝีปากรวมถึงพวงแก้มร้อน และจมูกที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่ารัก จนคนตัวโต

กว่าอดไม่ได้ที่งับเข้าให้เบาๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วเอียงใบหน้าซบเข้าที่ลำคอขาวของอีกฝ่าย ใช้ริมฝีปากบางของตัวเองจูบซับทั่วบริเวณ ทั้งหลังใบหู แนวลำคอ ไม่เว้นแม้แต่การดูดดึงอย่างเอาแต่ใจกับช่วงบ่าเล็กนั่น จนเกิดรอยสีจางขึ้น

“กลัวรึยัง”

“มุ่ยมีพี่บี้เป็นไอดอล” จบคำทั้งคู่ก็ยิ้มออกมา บีมเสยผมขึ้นแล้วเหยียดยิ้มมุมปากพลางสบถคำออกมา ซึ่งจากสายตาของมุ่ยแล้ว

แม่ง โคตรฮอต

แล้วต่างฝ่ายก็ขยับเข้าหากันจนแนบชิดโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ชิมแล้ว แต่ลิ้นร้อนกลับแตะลงกับรอยแยกของริมฝีปากอย่างแผ่วเบาเป็นเชิงขออนุญาต ไม่ทันจะได้เอ่ยคำพูดใด ลิ้นร้อนก็แทรกเข้ามาทันที พลางไล่ต้อนลิ้นเล็กอย่างหยอกเย้า ทำให้จูบครั้งนี้กลับแนบสนิทมากขึ้นไปกว่าเดิม

ภายในห้องเงียบสนิท จะมีก็เพียงแต่เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงสัมผัสระหว่างกันที่ดังขึ้นอย่างน่าอาย แต่กลับไม่มีใครสนใจซักนิด สองมืออุ่นร้อนของร่างหนาสอดเข้าใต้เสื้อของคนตัวเล็กพลางเกาะกุมบริเวณช่วงเอว ลูบไล้ขึ้นมายังแผ่นหลังเรียบเนียน ซึ่งคนตัวบางกว่าก็ไม่ให้เสียชื่อเสือมุ่ยตามที่ตัวเองอ้าง สอดมือเล็กเข้ากับกลุ่มผมนิ่มแล้วขยำเบาๆ มืออีกข้างกดและลูบไล้บริเวณหลังคอของคนตัวสูงตามแรงอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงไปแล้วของทั้งสองฝ่าย

สัมผัสลึกล้ำกับลิ้นอุ่นชื้นจากคนทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร มุ่ยยืดตัวขึ้นยืนเข่าแล้วใช้มือข้างที่ขยำเส้นผมอยู่ก่อนหน้า จิกลงแล้วดึงเบาๆ ให้อีกฝ่ายแหงนหน้าขึ้นรองรับสัมผัสอันแนบแน่นอีกครั้ง และอีกครั้ง ฝ่ายบีมเอง ฝ่ามือซนๆ เกลี่ยไปตามของกางเกงยางยืดของคนตัวเล็กอย่างใจเย็น ค่อยๆ ดึงรั้งลงมาอย่างเชื่องช้า โดยที่อีกฝ่ายแทบจะไม่รู้สึกตัว เพราะมัวเมาไปกับรสจูบที่กำลังมอบให้แก่กัน มือใหญ่อุ่นร้อนแตะเข้ากับกับส่วนที่เป็นเนินออกมาเพียงชั่วครู่ ในใจตอนนี้พร้อมจะฉีกกระชากสิ่งที่ปกปิดร่างกายคนตัวขาวออกให้หมด เว้นแต่ว่า

“อะแฮ่ม!”

“****แม่ง! f***!”

“เหี้ย!!! ไอ้น้องบู!!”

“ครับ น้องบูเองครับ เฮียมุ่ย”





*****************************************

หากมีคำผิดต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านนะคะ จะกลับมาตามแก้ทีหลังงับ

ตัดตอนแบบนี้ไม่ใจร้ายไปใช่ไหมคะ /หลบถ้วยถังกะละมังไห

แฮ่ มาต่อให้เเล้วงับ ขออภัยนักอ่านทุกท่านที่หายไปนานอีกแล้ว งานเยอะและป่วยนิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากๆแล้ว ความจริงตอนนี้เป็นตอนที่เขียนนานมากๆตอนนึง เปลี่ยนไดอะล็อกหลายรอบ และจบไม่ค่อยลงด้วย แต่สุดท้ายก็จบตอนไดอย่างแฮปปี้

ซึ่งพาร์ทหลังๆต่อจากนี้ จะมีแต่ความขิง ขิง ขิง แล้วก็ขิงของน้องมุ่ย อาจไม่ได้หวือหวามากมายอย่างที่ทุกท่านคาดหวังไว้ แต่เราพยายามจะนำเสนอมาในรูปแบบของความรักทั่วๆไป ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และการใช้ชีวิตของคู่นี้ที่เขาไม่ได้โลดโผนอย่างในช่วงแรกๆ มาติดตามบทสรุปไปพร้อมกันนะคะ อีกไม่กี่ตอนแล้ว

ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนที่ให้มาจนถึงตอนนี้ รักทุกคนค่ะ

ขอบคุณจากใจ



พูดคุยกันได้ที่ #เราคงต้องเป็นแฟนกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวนักเขียนได้ที่ทวิตเตอร์ @Chanadbears
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 26 ใจกาก อย่าปากเก่ง (UP) 01/12/2019
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 13-12-2019 19:10:47
น้องบูจะมาขัดจังหวะแบบนี้ไม่ด้ายยยยยย :sad11:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 27 เสือมุ่ยออกโรง (UP) 22/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 22-01-2020 05:26:33
บทที่ 27

เสือมุ่ยออกโรง



ผมนั่งกอดอกหน้ามุ่ยด้วยอารมณ์คุกรุ่น ปรายตามองได้เด็กบูที่นั่งอยู่กับพื้นพรมด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี๊ยมประกอบกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บีมที่นั่งอยู่ข้างกันก็หัวเราะออกมาเป็นระยะพลางมองผมกับน้องบูสลับไปมา ตลกมากป้ะวะ แม่ง

“บู เฮียพูดตรงนี้ว่าเฮียไม่พอใจมาก”

“เฮียมุ่ย ก็บูไม่รู้อะ” น้องทำหน้าลูกหมาหงอยแล้วโอดครวญตอบกลับมา เฮอะ! กูไม่เห็นใจ กูพูดตรงนี้ว่าไม่เห็นใจอะไรทั้งสิ้น

ขณะที่ผมกับบีมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน ไอ้ลูกหมาบูก็ดันทะเล่อทะล่าเข้าห้องมา แม่งเอ้ย! เกือบได้เสียเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว ขัดจังหวะโคตรๆ เหี้ยเถอะ หงุดหงิดชิบหาย กว่ากูจะบิ๊วอารมณ์ตัวเองเพื่อเรียกความเป็นเสือมุ่ยในร่ายกายอันกำยำให้ออกมาผงาดได้ รู้ไหมว่าต้องใช้ความด้านของหน้าขนาดไหน ไอ้เด็กเหี้ย! กูจะแจ้ง!

แล้วทีนี้คือแม่งเข้าหน้าบีมไม่ติดแล้ว ที่มองแต่ไอ้น้องบูไม่ใช่อะไรนะ คือผมเขินบีมสัดๆ มีมันนั่งจับมือลูบไปลูบมาอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปล่อยเลย รู้แหละครับว่าผมเขิน บีมก็เลยยังไม่ได้พูดอะไรออกมา คงกลัวว่าผมจะสติแตกไปมากกว่านี้ ได้ยินก็แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาเป็นพักๆ ฮือ กูทำอะไรลงไปครับ ในหัวตอนแรกคือคิดไว้ว่าตื่นมาอีกทีตอนเช้าแบบหวานชื่น นอนมองตากันปิ๊งๆ มีความเขินอายให้กันเล็กน้อย แต่นี่มันอะไร! กูรุกบีมเองด้วยซ้ำอะ พอจบแบบนี้มันโคตรจะอยากมุดดินหนีเลยโว้ย

“ลูกอิช่างขัดรึไงวะมึงอะ ห้ะ?”

“ก็ใครจะไปรู้วะว่าเฮียกับพี่บีมจะปั้บปาดาเย้เยวู้ฮู้กัน” ไอ้น้องบูทำไม้ทำมือแสดงให้ดู ผมแทบจะยกตีนถีบหน้ามัน พอน้องมันเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของผมน้องมันก็กระพริบตาปริบๆ อ้อนมืออ้อนตีนอีกระลอก พลางเขยิบตัวเข้ามาบีบนวดขาอย่างเอาใจ

“เนี่ย มึงไม่เข้าใจคนมีแฟนไง บู คนเขาจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันมึงต้องหัดเรียนรู้ซะบ้าง” อย่าให้เฮียคนนี้ต้องสอนได้ไหม คนเป็นแฟนกันเขาจะทำอะไรกันบ้าง บูต้องคิดครับ น้องบูต้องคิด!

“สรุปบูผิดใช่ไหมอะ”

“ยังต้องถามอีกเรอะ มึงไม่ผิดแล้วจะเป็นใคร คราวหลังกูจะล็อคห้องไม่ให้มึงเข้ามา ปล่อยแม่งนอนตากยุงอยู่หน้าห้องนั่นแหละ” ผมจิ้มๆ หน้าผากนั่นหลายครั้งให้มันจำบวกกับอารมณ์หมั่นไส้หน้าตาท่าทางสำนึกผิดไม่จริงที่เหมือนกับพี่มันไม่มีผิดนั่น

“วันหลังเฮียโทรบอกดิ จะปั้ปปาดาเย้เฮวู้ฮู้กันวันไหนกี่โมงนานเท่าไร เฮียบอกบูเลย”

“สาบานกับกูว่านั่นคือมึงคิดแล้ว” เท้ากระดิกทันทีที่ไอ้น้องบูมันพูดเจื้อยแจ้วออกมา ยัง ยังไม่รู้สึก

“แน่นอน! บูจะได้ไปนอนกับเพื่อนไม่งั้นจะซื้อที่อุดหูอย่างดีมาอุดเลย รับรองไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น หรือถ้าได้ยินแว่วๆ บูจะคิดว่าบูหลอนแดกไปเอง เคป๊ะ”

อะ...ไอ้บู ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!


โป๊ก!


“โอ๊ย! เฮียดีดหน้าผากทำไมเนี่ย เจ็บ”

“บัดสีบัดเถลิง! มึงพูด...พูดอะไรออกมา ค...ใครมันจะไปทำแบบนั้น หยุดคิดเลยนะโว้ย!” รู้สึกได้ถึงไอความร้อนพุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว กูจะแจ้ง! มึงพูดอะไรของมึง กูจะแจ้ง ปราชิก! ฮือ

“...เฮ้ย! เฮียมุ่ยหน้าแดงทำไมอะ ดูๆ ลามยันคอแล้วเฮีย!” กูไม่ไหวแล้ว!


ผลัก!


“โอ๊ย! เฮียถีบทำม้าย เฮ้ยๆ พี่บีมจับเฮียมุ่ยไว้ ว้าก! อย่าเตะน้อง!” ยังไม่ทันจะลุกขึ้นไล่ถีบเด็กปากพล่อยตรงหน้า บีมก็เหมือนรู้ทัน สอดมือเข้ามาเกี่ยวเอวผมไว้ก่อนที่ผมจะลุกขึ้น พลางกอดรัดและดึงเข้าหาเจ้าตัวทำให้แผ่นหลังของผมแนบชิดติดกับแผ่นอกของบีมจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นจางๆ ซึ่งยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความร้อนบนใบหน้าผมให้พุ่งสูงมากกว่าเดิม ในหัวเหมือนมีดอกไม้ไฟแตกกระจายออกนับร้อยนับพันจนนับไม่ถ้วน

“ไอ้บู! ไอ้เด็กเหี้ย!”

“ไปแล้ว~”

“ไป! ไปนอนให้หนอนแดกเลยนะ หมดอารมณ์ทุกอย่าง กูจะกลับหอแล้ว เด็กเวรเอ๊ย!” ผมชี้ด่าไล่หลังน้องมันที่คว้าข้าวของวิ่งจู๊ดเข้าห้องปิดประตูดังปึง แล้วก็ต้องถอนหายใจหนักๆ ออกมา เผลอเอนพิงคนที่นั่งข้างหลังอย่างลืมตัว วันนี้ผมใช้พลังไปเยอะมากๆ ไม่ไหวอะ มานาหมดแล้วครับ

“หน้าแดงเลย” บีมลูบแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็บีบเข้าหากันจนหน้ายู่ ไอ้ตัวดีแม่งก็หัวเราะขึ้นมาทันที ผมจึงต้องสะบัดหน้าหนีด้วยแรงเฮือกสุดท้าย แต่ก็ทำได้เพียงหลุดจากการถูกจับแก้มแต่ไม่หลุดจากอ้อมกอดนี้

“พลังหมดแล้วเหรอ” บีมกระชับอ้อมกอดแล้ววางคางลงกับช่วงบ่าของผมพลางหันหน้าเข้าหาแล้วฉวยโอกาสที่ผมกำลังเผลอๆ หอมแก้มเต็มฟอดหนึ่งครั้งจนหน้าผมบี้ไปตามแรงกดจากริมฝีปากของคนตัวสูง


ดูมันทำกับผมดิ

ขิต

ขิตอีกแล้วกู แง


“ไม่โวยวายเลยว่ะ” บีมพึมพำอย่างประหลาดใจที่ผมไม่สู้กลับ ได้แต่นั่งหน้าแดงให้มันลวนลามอยู่อย่างนี้

“กูจะแจ้งให้หมด ทั้งพี่ทั้งน้อง” บีมระเบิดหัวเราะลั่นราวกับถูกใจในคำตอบ โดยมีผมสะบัดข้อมือด้วยแรงเท่ามดตีแปะๆ เข้ากับแขนแกร่งนั่นให้รู้ว่าผมกำลังจะงอแงจริงๆ แล้ว ถ้าบีมยังแกล้งไม่เลิก

“เพราะบีมคนเดียว” ทำอะไรไม่ได้ก็โทษบีมไว้ก่อน เรื่องโยนความผิดให้คนอื่น เก่งมากเลยผมอะ

“แต่น้องมุ่ยรุกก่อนเลยนะ” น้ำเสียงล้อเลียนดังขึ้นข้างหู ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าบีมกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ มันกวนตีนอะทุกคน ดูสิครับ หน้าตารึก็สู้ผมไม่ได้ นิสัยก็ไม่ดี ทำไมมีแต่คนชอบมันผมไม่เข้าใจ

“มึงอ่อยกูอะ”

“ก็อ่อยอยู่ตลอด ใครจะรู้ว่าน้องมึงจะสติแตกวันนี้” ยอมรับหน้าด้านๆ อย่างไม่อายฟ้าอายดิน มึงวางแผนไว้แล้วสินะ ว่ายังไงกูก็ต้องตกหลุม ไอ้บีมบ้า!

“มึงมันขี้โกง!”

“ตัวเองก็ใช่ย่อยเถอะ โดนเพื่อนยุมาใช่ไหม” บีมถามถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่ ทำให้ผมหน้าขึ้นสีอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ อายสัด

“เพื่อนก็แค่หนึ่งเปอร์เซนต์ อีกเก้าสิบเก้าคือความเป็นเสือในตัวล้วนๆ” ให้เขารู้ว่าเสือมุ่ยมันน่ากลัวขนาดไหน นี่ขนาดยังไม่ออกมาเต็มร่างนะ อิโถ่เอ๊ย

“โอ๊ย น่ารักชิบหาย”

“แอ่ก บีม กูจะหายใจไม่ออก ไอ้บ้าบีม ปล่อยโว้ย” จบคำคนข้างหลังก็กอดผมแน่นขึ้น จู่โจมหอมแก้มไม่หยุดทั้งซ้ายและขวาอีกทั้งยังน้วยใบหน้าเข้าหาเหมือนกำลังฟัดหมาอยู่

อ้าว เหี้ย กูเปรียบตัวเองเป็นหมา


โว้ย!


“ที่บ้านให้กินอะไรครับ ทำไมน่ารักขนาดนี้” ก็ไม่ต้องพูดใกล้หูไหม มันจักจี้ ไอ้บีมนี่!

“เนี่ย มึงยังรั้นจะให้กูร้องเพลงแม่ผ่องศรีอีกอะ ใจคอจะไม่ให้พักเลยใช่ไหม สแตมินากูหมดแล้วบีม ไม่เห็นใจกูเลยสักนิด นี่แฟนมึงนะ” บีมชอบท้าอะทุกคน แล้วจะให้ผมทำไงได้วะ กูคนบ้าจี้มึงก็รู้อยู่ ดีนะจำเนื้อเพลงไม่ได้ อิโถ่

“รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักมากอะ” บีมทำหน้าจริงจังขณะจ้องผมไปด้วยคล้ายกับว่านี่คือปัญหาระดับชาติ

“บีม มันเรื่องจริงอยู่แล้วป๊ะวะ คือรู้ตัวมาตลอดว่าหล่อเท่าโลก ภูมิใจซะเถอะที่มีแฟนหน้าตาดีขนาดนี้ หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ ลิมิเตดอิดิชั่น” ผมหล่อมาก เวลาส่องกระจกบางทียังเผลอเขินตัวเองเลย

“ปากนี้มันมุบมิบจังเลย มันเขี้ยว” บีมบีบปากผมแล้วก็ปล่อยพลางกดริมฝีปากลงมาจุ๊บเร็วๆ ย้ำอีกรอบหนึ่ง จนหน้าผมเห่อแดงขึ้นมาอีกไม่รู้รอบที่เท่าไร พยายามเบี่ยงหน้าแล้วยันหน้าบีมให้ออกห่าง หัวใจก็พลันเต้นระรัวอย่างกับจังหวะแทงโก้ แทดๆ แทดแท่แดด แทดๆ แทดแท่แดด

“ไม่แดกกูไปเลยล่ะบีม” พูดประชดเขานะ แต่ไม่กล้าสบตา โคตรป๊อดเลยกู ฮือ

“เดี๋ยวเลยเถิด รู้ว่าชอบจูบ แต่วันนี้พอก่อนดีกว่า”

“บีมแม่ง...”

“ปะ น้องมุ่ย เดี๋ยวพี่บีมไปส่ง อืม...หรือจะค้าง?”

“จะกลับเอง” ตอบแต่ยังไม่หันกลับไปมองหน้า หัวใจเหี้ย! เต้นเร็วอีกแล้ว ไอ้เวร! มึงพักบ้างไหมสัด เอาจังหวะปกติแบบคนอื่นเขาอะ ทำเป็นไหม!

“กลับเองได้ไง ดึกแล้ว” บีมจับผมสองแขนผมให้ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็จับหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากัน ถึงจะขืนตัวเองแค่ไหนก็สู้แรงหมีควายของบีมไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างไม่ลดละ

“เดินได้อยู่แหละ” กูพูดอะไรอะ ปากแม่งขยับไวกว่าสมอง เดินได้กับผีมึงไอ้มุ่ย ง่าวขนาด

“เขินแล้วพูดไม่รู้เรื่องอะน้อง ฮ่าๆ” บีมใช้สองมือประกบแนบเข้ากับแก้มผม บังคับให้เงยหน้าขึ้น แต่ผมไม่ยอมพยายามสะบัดยุกยิกๆ จนบีมมันคงรำคาญเลยขยับใบหน้าตัวเองเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน คนตรงหน้ายกยิ้มกว้าง กลอกตาสำรวจไปทั่วใบหน้าของผมทุกตารางนิ้วอย่างละเอียดด้วยแววตาเป็นประกาย

“อย่ามาจับหน้ากันนะเว้ย”

“รู้ตัวไหมว่าตัวเองหน้าแดงมาก”

“กูรู้ กูเก่ง”

“ครับ น้องมุ่ยเก่งที่หนึ่ง” มันพูดครับใส่ผมอีกแล้ว กูจะแจ้งจริงๆ แล้วนะ

“บีมอย่ามาครับเคริบแถวนี้ได้ป้ะ ไปไกลๆ เลย” ผมพยายามดันไหล่ไอ้หน้ามึนให้ถอยออกไป แต่ก็เหมือนดันกำแพง ไม่เขยื้อนแม้แต่น้อย แถมยังขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนปากจะแตะกันอยู่แล้ว

“น่ารักจนกูใจเจ็บไปหมดแล้ว” บีมจับมือผมขึ้นมาให้แตะลงกับบริเวณหน้าอกของคนตรงหน้า และมันก็ทำให้ได้รู้ว่า บีมเองก็ใจเต้นแรงไม่แพ้กับผมเลยเช่นกัน

“ก...กูหล่อเป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องธรรมชาติมันห้ามกันไม่ได้”

“ทีอย่างนี้ล่ะเถียงเก่ง”

“แบร่”

“อยากจุ๊บอีก” บีมยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกจรดกันพอดี พลางใช้สองมือประคองช่วงเอวให้ขยับเข้าใกล้มากขึ้นกว่าเดิม

“จุ๊บพ่อง อย่าแม้แต่จะคิด”


จุ๊บ!


พูดยังไม่ทันขาดคำ

“ไอ้บีม!”

“ชู่ว เดี๋ยวน้องบูได้ยิน” บีมยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากตัวเอง ทำหน้าเหมือนผมเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ มึงเลย! มึงคนเดียวเลยบีม ไอ้คนร้าย!

“กูไม่ให้จุ๊บไอ้คนชั่ว”


จุ๊บ!


ใครก็ได้เอามันออกไปจากผมที

“กูจะแจ้ง! ปราชิก!”

มันไม่จุ๊บแล้วครับ มันบี้ปากผมเลย

“อื้อ! ไอ้บีม ไอ้...บีมแม่งหยุดวอแวดิ้ มันแบบ...มัน...ไอ้ - แง...” กูไม่ไหวแล้ว ไอ้บีม ไอ้คนเลว นิสัยไม่ดีแต่ดันหน้าตาดีแล้วก็ยิ้มสวย ฮือ ไอ้คนบ้า กูจะฟ้องเฮียคราม กูจะฟ้องพี่นายให้มาทุบหัวมึง

“ฮ่าๆ กอดนะ เบะเลย โอ๋ๆ ใครแกล้งน้องมุ่ยวะ บอกพี่บีมเร็ว เดี๋ยวจัดการให้” เหมือนคนตัวสูงจะแกล้งจนพอใจแล้วจึงดึงผมเข้าไปกอดแน่นพลางฝังใบหน้าลงกับซอกคอ ยกมือขึ้นลูบหัวลูบหางผมเพื่อจะปลอบให้หายงอแง แต่โทษนะ เวลาบีมพูดริมฝีปากนุ่มๆ นั่นจะเฉียดไปเฉียดมากับผิวเนื้อผมตลอดเลย มึงมันคนอู้บ่าจ้าง คนนิสัยบ่าดี บ่าดีถึงตากูเน้อ เสือมุ่ยจะขย้ำหื้อตายเลย

“บีมนั่นแหละ! ไม่ต้องมากอดเลยนะ”

“ไว้โอกาสหน้านะครับ”

“หมายถึงทุบ?”

“หมายถึง...” โอเคเข้าใจ เกทอย่างลึกซึ้ง ประสูติ ตรัสรู้ ปริณิพพาน

“ไม่ต้องพูด”

“จริงๆ ไม่ได้เตรียมถุงยางกับเจลหล่อลื่นไว้ด้วย ว่าจะซื้อแล้วล่ะ แต่ไม่คิดว่าน้องมุ่ยจะรีบขนาดนี้”

“ฮือออ ไอ้เหี้ย...ไอ้คนเหี้ย” พูดทำไม มึงพูดทำมายยยย

“ครั้งหน้าพี่จะถามน้องบูว่าวันไหนมันไม่กลับห้อง ดีไหม”

“บ่าดี” ไม่ต้องมาขอความเห็นจากกู! กูจะไม่พูดกับมึงแล้ว

“น่ารัก”

“บ่าดีอู้เน้อ”

“น่ารักที่สุดเลย แฟนใครวะ”

“...”

“...หืม?”

“แฟนบีม...” ปฎิเสธไม่ได้อีก เรื่องจริงทั้งนั้น ฮือ






หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้เกือบสองอาทิตย์ ผมยังคงใช้ชีวิตปกติ ไปเรียน กินข้าว ตีกับเพื่อน ถ่ายรูป นอน วนลูปอย่างนี้เรื่อยมา เพิ่มเติมคือมีบีมเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตอีกคนหนึ่ง

การมีบีมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งนั้น บอกเลยว่าเซอไพรส์มาก คือก่อนหน้าผมก็นอน เล่น กิน ของผมมาแบบเดิมตลอด คิดว่ามันก็ดีแล้ว แต่พอมีบีม มันกลับดีขึ้นไปอีกอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผมทานข้าวนอกบ้านได้มากขึ้นอย่างน่าตกใจ บีมมักจะสรรหากับข้าวอร่อยๆ มาให้ผมกิน ซึ่งไม่ใช่ว่าที่ผ่านมามันไม่อร่อย แต่แค่ว่าอยู่กับบีมแล้วเจริญอาหารมากกว่าเดิม แหงล่ะ แม่งจ้องอย่างกับพร้อมจะแง่มอยู่ทุกครั้งเวลาที่ผมกินน้อยเกินไป

บีมแม่งดุอย่างกับหมา ขู่ว่าถ้าผมกินน้อยครั้งหนึ่งจะงดเยลลี่หนึ่งอาทิตย์

ใจร้ายมาก ไม่มีใครบนโลกใบนี้ขาดเยลลี่ได้หรอกนะ ผมเลยมีแรงบันดาลใจในการทานข้าวมากขึ้น จากหุ่นขี้ก้างกลายมาเป็นหุ่นขี้ก้างเลเวลเก้าสิบเก้า ใบหน้าผมดูมีน้ำมีนวลจนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ตัวผมทำไมมันช่างหล่อเหลาขนาดนี้นะ

รวมถึงการได้ออกไปเที่ยวกับบีมในมุมมองและความรู้สึกที่แตกต่างจากการเที่ยวคนเดียว ผมเพิ่งเข้าใจว่าการเที่ยวกับแฟนหรือคนที่เรารักมันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง มีคนให้เราได้แชร์ความคิด ความรู้สึก อยู่ตลอดเวลา ซึ่งบีมเองก็มีมุมมองที่ต่างจากผมอยู่พอสมควร ทัศนะคติของบีมสอนผมได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หลายอย่าง เหมือนได้มองโลกในมุมที่กว้างขึ้น

พี่นายเคยบอกว่านิสัยของผมมันเข้ากับคนอื่นยาก นอกเสียจากว่าตัวผมเองต้องการจะรู้จักกับคนนั้นจริงๆ แถมยังมีนิสัยเสียอย่างหนึ่งที่มักเอาตัวเองเป็นใหญ่ จะคิดจะทำอะไรเอาแค่ที่ตัวเองพอใจนอกนั้นก็ช่างหัวมัน การไม่แคร์คนของผมมันสุดโต่งมากเกินไป จนบางทีมันอาจทำให้ใครเสียใจโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยสักนิด ซึ่งไอ้สิ่งนี้มันดีกับแค่ในบางเรื่อง แต่กับสังคมคนหมู่มากแล้วมันค่อนข้างจะเป็นปัญหา ถามว่ามันเลวร้ายมากขนาดขั้นเลยเหรอ มันก็ไม่ใช่หรอก เพียงแต่ตัวผมเองดันนำนิสัยตรงนั้นมาใช้กับทุกสถานการณ์โดยไม่แบ่งแยกเลยต่างหาก

ผมเลยถามว่าแล้วบีมเสียใจไหมที่มาชอบคนแบบนี้ บีมยิ้มละมุนในแบบฉบับของเจ้าตัวแล้วอธิบายให้ฟังว่า การเป็นตัวของตัวเองของผมนั่นคือสิ่งที่บีมตกหลุมรัก โอ้โห แค่นั้นแหละ ใจกูเหลวเป๋วยิ่งกว่าเยลลี่ตากแดดซะอีก

บีมไม่ได้บอกให้ผมเลิกนิสัยนี้ซะ หรือบอกว่าอย่าทำอีก แต่แค่แชร์ให้ฟังว่าการที่เรารับฟังคนอื่นมากขึ้น ใจเขาใจเราหน่อย หรือการที่เราคิดก่อนพูดมันดีกว่าเราพูดในสิ่งที่คิดทุกอย่างออกไปจนหมด มันทำให้เกิดผลลัพธ์แบบไหนได้บ้าง


‘น้องมุ่ยไม่ต้องแคร์คนทั้งโลก แค่ใส่ใจคนที่ตัวเองรักกับคนรอบข้างที่ดีกับเราเท่านั้นก็พอแล้ว’


แม่งภาพตอนผมไล่ไอ้น้องมีนเด้งขึ้นเป็นฉากๆ เลย

นิสัยไม่ดีเลยคนเหี้ยไรเนี่ย


แล้วบีมก็บอกว่าความเป็นผม ก็สอนอะไรหลายอย่างให้บีมเหมือนกัน ผมนี่นั่งงง เอ๋อแดกเลยว่าคนกากๆ อย่างกูเนี่ยนะมีอะไรดีกับเขาด้วย เออ ถ้าไม่ใช่ว่ามันมีจริงๆ บีมก็คงหลงผมจนหัวปักหัวปำแล้วล่ะ

ทั้งหมดทั้งมวลก็คือการเกริ่นก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญที่ทำให้คนอย่างนายฟ้ามุ่ยต้องมายืนอยู่หน้าแผนกของใช้ผู้ชายด้วยใบหน้าหวาดระแวงขั้นสุด

“ก...กูต้อง ต้องเลือกยังไงนะ” ผมถองศอกเข้ากับเอวเพื่อน อย่างต้องการความเห็น

“...แล้วมึงเอากูมาทำไมอะ กู ด...ดูมีประสบการณ์มากมั้ง” ไอ้เจ๋งแหวใส่พลางมองซ้ายมองขวาด้วยตวามรู้สึกไม่ต่างกันกับผม

“มึงเป็นผู้ชายนะไอ้เหี้ย”

“แล้วมึงเป็นผู้หญิงรึไงไอ้ควาย”

“ก็กูไม่เคยอะ”

“กูก็ไม่เคยโว้ย” ผมกับไอ้เจ๋งมองหน้ากันแล้วนิ่งไปอึดใจก่อนต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทางอย่างขลาดอายในการกระทำครั้งนี้

ผมน่ะนะ ไม่ได้จะหมกมุ่นกับอะไรหรอก แต่คนเป็นแฟนกันนอกจากเรื่องความรักแล้ว ระ...เรื่องเซ็กส์ก็สำคัญไม่แพ้กัน แน่นอนว่าคนอย่างผมนั้นทั้งหล่อ โสด อยู่ในโหมดโหด แต่มีความรัก ซึ่งมันก็เป็นความรักในระดับจริงจังครั้งแรกในชีวิตเลย ผมรู้ว่าบีมอดทนและรอคอยจนกว่าจะพร้อม ไม่งั้นมันฟัดไปตั้งแต่วันที่ผมไปโวยวายกับมันที่ร้านเหล้าแล้ว

ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมจึงศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนัก และค้นพบว่ามันยากชิบหายเลย ผมรู้อยู่แล้วครับว่าไม่ใช่นายฟ้ามุ่ยที่เป็นฝ่ายเสียบแน่นอน จากการกระทำทั้งหลายที่ผ่านมามันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะงั้นเราต้องจัดการเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดให้ดีที่สุด ในเมื่อบีมไม่ยอมเริ่ม ก็ให้เป็นหน้าที่เฮียมุ่ยสุดหล่อคนนี้จัดการเอง

“...”

“กูว่าเราไปตั้งหลักตรงแผนกอื่นก่อนดีกว่า กูเห็นสายตาคนเดินผ่านไปผ่านมามองเราแปลกๆ ว่ะ”

“เหี้ย กูไม่ได้มาปล้นนะเว้ย!” ผมหลุดโพล่งออกมาทันทีด้วยความตกใจ แม่งเอ๊ย! ผมมาซื้อถุงยาง ผมไม่ได้มาปล้น อย่าเข้าใจผิดสิวะ


เผียะ!


“ตีกูทำไม!” ไอ้เจ๋งฟาดแขนผมทันทีแล้วลากผมออกมา จนมาหยุดอยู่ที่โซนเครื่องสำอาง ไกลมากมั้งห่างกันแค่สองโซน

“ไอ้ชิบหาย มึงจะเสียงดังหาเตียมึงเหรอ” มันโวยวายกับผมทั้งที่หน้าก็แดงไม่ต่างไปจากกันเท่าไร ผมจึงรีบสวนกลับไปทันที

“ก็กูมาซื้อถุงยาง กูไม่ได้มาปล้นอะ”

“ก็ดูมึงทำท่าดิ”

“มึงก็เหมือนกันเหอะ”

“ช่างแม่ง ประเด็นหลักๆ มันอยู่ที่ว่ามึงลากกูออกมาทำเพื่อ?”

“มึงดูเชี่ยวไง” ผมกรอกสายตามองไปทางอื่น พลางสะบัดมือไพ่หลังยกเท้าขึ้นเตะอากาศ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนไอ้เจ๋งทนไม่ไหวถึงกับโบกหัวผมอีกรอบอย่างไม่เบาแรง เจ็บนะโว้ยไอ้สัด

“เชี่ยวที่หน้ามึงสิ กูยังอยู่เตรียมอนุบาลหน่อมแน้มไม่ต่างจากมึงเท่าไรหรอก ไอ้เหี้ยโป้น่ะ แม่งบรรลุขั้นเซียนถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่ลากมันมาวะ”

“เหี้ยโป้ชอบล้อ เดี๋ยวมันเอาไปฟ้องเฮียกับพี่นาย กูจะอดแดกบีม” ไอ้เหี้ยนั่นกูตัดช้อยส์ออกคนแรกเลย มันต้องปากโป้งบอกเหล่าเฮียๆ แน่นอน เรื่องทำให้ผมอายไอ้เหี้ยโป้ล่ะถนัดนัก

“เต็มปากเต็มคำ พูดออกมาไม่อายฟ้าอายดิน” แล้วทำไมมึงต้องมองเหยียดกูขนาดนั้น นี่กูเพื่อนมึงนะโว้ย!

“เออน่า ไปช่วยกูเลือกหน่อยดิ้ล่ะ คนกันเองทั้งนั้น”

“ไอ้แก๊ปก็ว่างมึงไม่เอามันมาวะ”

“กูเขิน เพื่อนแก๊ปแม่งชอบอมยิ้มมีเลศนัยน์”

“หวยเลยมาตกที่กู?”

“เจ๋งเพื่อนรัก”

“ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนตีน”

“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

“ไอ้ฟายยยยย”

“เพื่อนด่าเท่ากับเพื่อนรัก”

“เฮ้อ ไหนๆ นอกจากถุงยางต้องซื้ออะไรอีก”

“กูไปเสิร์ชมาในพันทิป” ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าผ้า จิ้มรหัสปลดล็อคก่อนจะแตะเข้าแอปที่เปิดหน้าเว็บค้างไว้ แล้วโชว์ให้ไอ้เจ๋งดู

“มีอะไรบ้าง”

“เขาบอกว่า มี ถ...ถุงยางกับ จ...เจลหล่อลื่น” ผมอ้อมแอ้มตอบเสียงเบาอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“มึงอย่าเลิ่กลั่กดิ”

“ใครเลิ่กลั่ก ไม่มี๊”

“แล้วหมาตัวไหนมันยืนเหงื่อซกอยู่ข้างๆ กูเนี่ย”

“กูร้อนไง อากาศมันร้อน!”

“ในห้างเนี่ยนะ”

“เออ!”

“ชิบหายเถอะ แล้วถุงยางมันต้องเลือกยังไง” เรานิ่งกันไปครู่หนึ่งอีกครั้ง จนไอ้เจ๋งทนไม่ไว้ลากผมกลับมาที่เดิมพลางหยิบตะกร้าใส่ของติดมือมาด้วย

“ข...เขาบอกว่ามันมีหลายแบบอะ บ...แบบมีธรรมดา แบบบางๆ ฟะ...เฟเธอร์ไลท์ แล้วก็แบบมีก...กลิ่นสตอเบอรี่” ฮือ กูอยากร้องไห้ การจะยืดอกพกถุงของผมมันต้องลำบากขนาดนี้เลยเหรอ

“ม...มันมีขนาดด้วยอะ มึงเลือกดิ” ไอ้เจ๋งชี้มั่วๆ ไปยังชั้นวางผลิตภัณฑ์แล้วเสหน้ามองไปทางอื่น ไอ้ชิบหาย กูให้มึงมาช่วยเลือกไหม

“กูไม่รู้ขนาด”

“เอ้า แล้วทำไมมึงไม่วัดมา”

“พ่องสิ! กูก็เขินเป็นนะเว้ย”

“ของมึงเองมึงเขินทำเหี้ยอะไรไอ้น้องมุ่ย โอย กูอยากตาย แม่จ๋า” ไอ้เจ๋งใช้สองมือทึ้งผมตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย สบถด่าออกมาไม่หยุดปาก จนผมต้องดึงมือมันออกแล้วลากมันเข้ามายืนใกล้ๆ กัน

“มึงอย่าเพิ่งตาย มาช่วยกูเลือกก่อนเพื่อนรัก”

“แล้วในเว็บเขาบอกอันไหนดีกว่า”

“ม...มันก็แล้วแต่คนชอบอะ เนี่ย มึงอ่านดิ จะให้กูพูดทำไมกูเขินนะเว้ยไอ้ห่า” ผมยัดโทรศัพท์ตัวเองให้ไอ้เจ๋งแล้วหลับหูหลับตาโวยวายกับมันจนพนักงานเคาท์เตอร์หันมามองอย่างสงสัย ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มให้แล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ

“งั้นกูตัดสินใจให้ อืม...เอาแบบบางเฉียบนี่แหละ” เพื่อนรักกวาดสายตามองหารุ่นที่ต้องการ แล้วหยิบลงมาสามกล่องต่างไซส์กัน ทำเอาผมถึงกับเหวอ

“จ...เจ๋ง” ผมครางออกมาอย่างแผ่วเบา มือกะจะหยิบออกแต่ก็โดนมันตีมือเข้าให้ซะก่อน

“เอาไปหมดแม่งสามไซส์เนี่ยแหละ ถึงหน้างานมึงก็เลือกเอา”

“มึงว่ากูซ...ไซส์ไหน”

“ไม่ใช่ไซส์ใหญ่แน่นอน” ตอบอย่างมั่นใจโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด ความภูมิใจในน้องน้อยของตัวเองถึงกับเดือดดาลออกมา ผมโบกหัวมันกลับไปทีหนึ่ง โทษฐานดูถูกน้องน้อยสุดที่รักของผม


ผัวะ!


“ไอ้ฟายยย ดูถูกกูจังเลยมึงอะ”

“มึงชอบหลอกตัวเองไอ้มุ่ย ไหนๆ จ...เจลหล่อลื่น ไอ้เหี้ยนี่เลือกยังไงวะ ห่าแม่งเอ๊ย ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้กับมึงด้วย” มันวางตะกร้าลงกับพื้นพลันใช้สองมือขยี้ผมตัวเองอีกครั้งจนฟูฟ่องพลางร้องครางออกมาด้วยสีหน้าอมทุกข์

“ฝึกไว้ไอ้เจ๋ง สักวัน” ผมตบบ่ามันเพื่อปลอบใจ แล้วก็ได้สัญลักษณ์นิ้วกลางกลับมาอย่างซาบซึ้งไม่ต่างกัน

“...ได้ก็ได้กันอยู่สองคน เอากูมาเกี่ยวทำม้าย” ผมละความสนใจจากไอ้เจ๋งแล้วยืนมองผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่นในรูปแบบต่างๆ อย่างมึนงง

“เชี่ยเจ๋ง กูเลือกไม่เป็นอะ”

“มึงหยิบๆ มาเถอะ ซักอัน”

“อันไหนอะ” มันละลานตาไปหมดจนผมตาลาย

“เอาอันที่แม่งดูปกติสุด นั่นๆ ไอ้ขวดฟ้าๆ เหมือนที่เขาบอกในกระทู้ รุ่นคลาสสิค..” ไอ้เจ๋งก้มอ่านชื่อจากในโทรศัพท์แล้วชี้ไปทางซ้ายมือของผมและสั่งให้หยิบมา ผมคว้ามาขวดหนึ่งกำลังจะวางลงในตะกร้า พลันชะงักขึ้นมาเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้

“เอากี่ขวด”

“มึงจะใช้อาบรึไง! ขวดเดียวก็พอโว้ย ไอ้แ_เ__ กูทำอะไรอยู่เนี่ย ฮือ”

“มึงอย่าทำหน้างั้นดิ มึงคือหน่วยกล้าตายของกูเลยนะ ให้กูปั้นหุ่นให้เลยไหม รางวัลวีรบุรุษ”

“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ขอแค่ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับกู๊!”






หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้สามวัน ผมก็ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามากที่สุดกับการศึกษาบทเรียนในครั้งนี้ ใครจะแน่นทฤษฎีได้มากเท่าผม ไม่มี๊! ไอ้เจ๋งแม่งหาว่าหมกมุ่นเพราะผมพกของสองสิ่งไว้กับตัวตลอดนับจากวันที่ไปซื้อกับไอ้เจ๋งวันนั้น อย่าเพิ่งมองผมอย่างนั้นดิ ทุกคน! มันคือการเตรียมพร้อม ใครจะรู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้น การพกของผมมันก็ไม่ผิด ถูกไหมครับ

ซึ่งวันนี้ แหม่ บอกเลยว่ามันคือฤกษ์งามยามดีที่สุดแล้ว บีมชวนมาทำงานที่ห้องของตัวเอง โดยที่ผมได้เลียบเคียงถามว่าไอ้น้องบูจะกลับมารึเปล่า ผลที่ได้คือน้องมันไปเที่ยวทะเลกับเพื่อน มะรืนถึงจะกลับ

จุดพลุสิครับ!

หึ ไอ้ตัวก้างขวางคอชิ้นเป้งได้ออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว มันช่างเหมาะเจาะอะไรขนาดนี้นะ บรรยากาศช่างเป็นใจเสียจริง หึหึหึ

จะไม่มีคำว่าล่มบอกเลย ได้เวลาเสือมุ่ยออกโรงแล้ว โฮกกก~~ ปิ๊ป!

“น้องมุ่ย”

“หะ..ว่า?” บีมเรียกขณะกำลังเดินเข้ามาหาผมที่นั่งกับพื้นพรม เจ้าตัวนั่งทำงานของตัวเองอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ตอนแรกก็นั่งพิงโซฟาทำงานด้วยกันอยู่หน้าทีวีนั่นแหละ แต่บีมมันชอบวอแว ผมเลยไล่ให้ไปนั่งที่อื่น ไม่งั้นงานไม่เดินสักทีหรอก

“น้องมึงเหม่ออะไร” คนตัวสูงนั่งลงกับโซฟาแล้ววาดแขนทั้งสองข้างโอบรอบตัวผม พลันกดจมูกลงกับแก้มอย่างเร็วๆ หนึ่งทีก่อนจะวางคางลงกับศีรษะของผม โดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงมามากเกินไป

“กูเหม่อเหรอ” เหี้ย ชิบหายแล้ว จะให้บีมรู้ไม่ได้ว่ากูมีแผนการ

“ใช่ มองหน้ากูแล้วขมวดคิ้วแน่นเลยเนี่ย เป็นอะไร” บีมเลื่อนศีรษะลงมาซบกับไหล่ของผมแล้วเลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้มบางตามแบบฉบับเจ้าตัว มันรู้ครับว่าผมแพ้ แต่บอกเลยว่ากูฝึกมาดี ยิ้มแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรกูได้หร้อก อย่ามาหลอกถามซะให้ยาก

“เปล่าสักหน่อย” ปฏิเสธไปก่อน เนียนๆ

“แน่นะ”

“เออดิ...” เนียนเปล่าวะ ฮือ

“เค แล้วมึงทำสไลด์ถึงไหนแล้ว อย่าลืมว่าต้องส่งให้เพื่อนก่อนสี่ทุ่ม” บีมเคาะนิ้วลงกับหน้าจอโทรศัพท์ผมสองทีเพื่อเตือนเวลา

“อีกห้าสไลด์ แล้วบีมอะ ทำงานเสร็จยัง” ผมเก็บความดีใจของตัวเองไว้แล้วถามกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย คีพคูลสุดอะไรสุด

“เสร็จแล้วไง ถึงได้เดินมาหา”

“อ่อ” ผมพยักหน้ารับ แล้วทำเนียนพิมพ์งานของตัวเองต่อ ไม่อยากตอบบีมเยอะ เดี๋ยวโป๊ะขึ้นมาทำไงล่ะครับ

นั่งทำงานได้สักพักโดยมีบีมโอบกอดอย่างหลวมๆ ไม่ยอมปล่อย บางทีก็แกล้งแหย่โดยการยื่นหน้ามาหอมแก้มเต็มฟอดแล้วก็โดนฟาดกลับไปตามระเบียบ จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สักพักนึง บีมก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง



ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 27 เสือมุ่ยออกโรง (UP) 22/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 22-01-2020 05:32:16
ต่อตรงนี้จ้า


“หิวรึเปล่า เดี๋ยวกูจะลงไปซื้อข้าว”

“อยากกินเยลลี่” บนโต๊ะเต็มไปด้วยเศษซากห่อขนมที่กินหมดแล้ว ผมนั่งมองมันอย่างงๆ เพราะไม่รู้ว่าขนมหมดไปตั้งแต่เมื่อไร เนื่องจากเวลาทำงานเราก็จะรู้สึกเมื่อยล้าเป็นเรื่องธรรมดา จึงต้องเติมน้ำตาลให้ร่างกายสักหน่อย ขนมขบเคี้ยวอย่างอื่นเหลื่อแต่ซาก เยลลี่ของโปรดก็เช่นกัน รู้ตัวอีกทีล้วงห่อไปก็เจอแต่ความว่างเปล่าแล้ว

“หมดโควตา กินไปสองถุงแล้วมึงอะ อีกอย่างกูถามถึงข้าวไม่ใช่ขนม”

“บีมจะกินไรอะ” ถามเผื่อลอก ผมก็ไม่รู้จะกินอะไรเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาหน่อยๆ บ้างแล้ว

“ก๋วยเตี๋ยวมั้ง” บีมทำท่านึกอยู่สามวิแล้วจึงตอบ

“งั้น กูเอาเล็กโฟพิเศษ แล้วๆ เพิ่มแป้งกรอบกับหมึกกรอบเยอะๆ ด้วย” เมนูนี้บีมชอบกิน ซึ่งผมเคยชิมครั้งหนึ่งปรากฏว่ามันอร่อยมาก เจ้าเย็นตาโฟเลยกลายเป็นของโปรดจานใหม่ของผมอีกหนึ่งอย่างนอกจากไข่เจียวหมูสับ

“เค รอแป้ป” ผมพยักหน้ารับคำจากนั้นบีมก็โน้มใบหน้าลงมาจุ๊บหน้าผากผมหนึ่งทีแล้วก็ลุกขึ้น ผมมองบีมที่เดินเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในห้องนอนจนกระทั่งบีมเดินออกจากห้องไป

เวลานี้แหละ

ผมคว้ากระเป๋าผ้าใบใหญ่ของตัวเองมาวางบนตักแล้วล้วงหาของที่ต้องการทันที ทำไมเศษถุงขนมมันเยอะจังวะ ไหนจะเศษกระดาษที่ไม่ได้ใช้แล้วนี่อีก

เจอแล้ว!

ผมลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าห้องนอนบีมพลางกระโดดขึ้นเตียง คลานขึ้นไปหยิบหมอนใบโตออกมาวางข้างๆ แล้ววางเจ้าสามกล่องกับอีกหนึ่งขวดไว้กับฟูกบริเวณหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบหมอนใบเดิมมาวางปิดทับ โดยไม่ลืมจัดให้มันเหมือนกับอยู่ในสภาพก่อนหน้าที่ผมจะเข้าห้องมา

เรียบร้อย

หึๆ ไปทำงานต่อดีกว่า





“เสร็จแล้วโว้ย” ผมชูมือขึ้นร้องเย้ ในที่สุดงานก็เสร็จซักที ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็พบว่าปาเข้าไปห้าทุ่มครึ่ง รีบส่งงานให้ไอ้แก๊ปเลยกู มันด่าเช็ดแล้วมั้งเนี่ย

“ช้า” บีมเอ่ยออกมาขณะนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาข้างหลังผม

“คนไม่มีศิลปะในหัวใจห้ามพูด”

“กูเห็นมึงลากเมาส์วางนั่นลบนี่จนกว่าจะผ่านไปได้หนึ่งสไลด์ จนกูหลับไปหนึ่งตื่นได้อะน้องมุ่ย” พูดมากว่ะ คนกากก็งี้แหละ ทำได้ไม่สวยเท่าเค้าแล้วก็พูดไปเรื่อย เบื่อๆ

“ไอ้ขี้โม้”

“หึ พอเถียงไม่ได้ก็เป็นซะอย่างนี้”

“เล่นเกมไปเลยไป รำคาญว่ะ บีมแม่งพูดมาก ยังไม่หายโกรธที่แย่งหมึกกรอบกูไปเลยนะ”

“ของกูเถอะ ตัวเองนั่นแหละจะมาขโมยหมึกกรอบในชามพี่ โทษกันได้ไง”

“โค้ะ!”

“เดี๋ยวจะโดน” บีมวางโทรศัพท์ลง ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจนหงายหลัง ผมเลยรีบลุกขึ้นเงื้อมือฟาดต้นขาไอ้ตัวดีอย่างเต็มแรงไปหนึ่งที พร้อมยืนกอดอกแสดงให้เห็นว่าใครกันแน่ที่เจ๋งที่สุด

“ทำไม กล้าเหรอ แน่จริงก็เข้ามาดิ้ พร้อมว่ะ”

“ไม่ล่ะ เหนื่อย”

“เอ้า!” ผมมองบีมที่กำลังยันตัวลุกขึ้นจากโซฟา เจ้าตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะเดินมาซ้อนหลังผมแล้ววางมือทั้งสองข้างลงกับช่วงเอวจากนั้นก็ดันให้เดินเข้าห้องนอน

“ไปอาบน้ำไปมึงอะ จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวงอแงง่วงนอนอีก”

“ไม่แน่จริงนี่หว่า ไอ้กาก” ผมดึงแขนบีมออกเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้วหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนตัวสูง พลางพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย

“เคยลองเหรอ ถึงรู้ว่ากาก” นอกจากจะไม่โกรธที่โดนดูถูก บีมกลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วพลางก้าวเข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะประชิด ใบหน้าหล่อฉีกยิ้มร้าย แววตาเป็นประกายราวกับกำลังมองเหยื่อตัวจ้อย

กู...กูคือเหยื่อเหรอ?

“ก...ก็บีมกากอะ ไม่ต้องลองก็รู้” เหยื่อคืออะไรไม่รู้จัก คนอย่างเฮียมุ่ยต้องเป็นเสือเท่านั้น!

“ลองไหม” แขนแกร่งสอดรัดรวบเอวแล้วดึงให้ตัวผมเข้าไปแนบชิดอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องวางมือลงกับช่วงบ่าของคนตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ สองเท้าก็ต้องเขย่งขึ้นเพราะความสูงที่ต่างกัน

“อ...อะไร เหยิบออกไปเลยนะ ไม่ต้องเข้ามาใกล้ อยากโดนตีอีกเหรอ คราวนี้กูจะฟา – อื้อ!” บีมอาศัยจังหวะที่ผมกำลังโวยวาย เลื่อนฝ่ามือนุ่มขึ้นมาประคองข้างแก้มผมแล้วลากผ่านไปยังท้ายทอยพลางดันให้เงยหน้าขึ้นรับจูบที่จู่โจมมาแบบไม่ทันตั้งตัว

“อ..ไอ้บีม กู – อื้อ!” ผมใช้แรงทั้งหมดของตัวเองผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง กะจะอ้าปากด่าด้วยความโมโห แต่ยังไม่ทันจบประโยคดี คนตรงหน้าก็ก้มลงประทับจูบปิดปากอีกครั้ง

รสจูบที่รุนแรงทำเอาผมเผลอกลั้นหายใจ บีมขบเม้มริมฝีปากทั้งบนและล่างพลางดูดดึงจนเกิดเสียงเป็นระยะ ลิ้นร้อนไล้เลียตามแนวฟัน ทำราวกับจะขออนุญาตแต่มันก็แค่นั้น เพราะบีมเพียงแค่อยากจะทำให้ผมตายใจกับความอ่อนโยน จากนั้นจึงสอดลิ้นเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผม เกี่ยวกระหวัดพันกันจนหัวตื้อไปหมด สองมือจากที่เคยทุบไหล่คนตรงหน้าอยู่เนืองๆ ก็พลันคลายออกกลายเป็นค่อยๆ เลื่อนไปโอบรอบคอของคนตัวสูงเพื่อยึดไว้ไม่ให้ตัวเองล้ม

ทำอย่างกับอดอยากปากแห้งมานาน ทั้งๆ ที่จูบกันทุกวัน บีมชอบวอแวอยู่ตลอด มานั่งทำตาใสยิ้มหวานอยู่ข้างๆ ผมก็ทนไม่ไหวอะดิ บางวันก็บอกว่าจะสอนจูบให้เก่งๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นตัวผมที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดของบีมทุกที จะมีก็แต่ครั้งนี้ที่รุนแรงเหมือนจะแดกผมเข้าไปทั้งตัว นี่คนหรือเครื่องดูดฝุ่นวะ ทั้งดูดดึงและเกี่ยวพันจนเกิดเสียงน่าอายขึ้นในความเงียบ กระทั่งน้ำสีใสเลอะออกมาตามมุมปาก บีมก็เอาใจด้วยการจูบซับให้ ไม่นานก็กลับเข้าไปกวาดต้อนในโพรงปากอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ เร่งให้เลือดในกายสูบฉีดแผ่ความร้อนกระจายทั่วใบหน้าและลำคอ

เนิ่นนานจนผมรู้สึกหายใจไม่ออกแต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมถอนจูบออกมาซักที ผมเลยฟาดมือลงกับบ่าของคนตัวสูงอย่างไม่เบาแรงเป็นการประท้วง ในใจคิดว่ามันต้องเจ็บบ้างแหละ แต่กลับไม่ทันคิดว่าบีมจะเอาคืนโดยการกัดริมฝีปากล่างของผมแทน จนรับรู้ได้ถึงรสชาติปะแล่มๆ กับกลิ่นสนิมที่ตีขึ้นจมูก

“ถ้าฟาดอีกจะกัด” บีมถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เล่นเอาเข่าแทบทรุด ผมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างโหยหา แข้งขาอ่อนแรงราวกับไปวิ่งมาร้อยโล ดีที่บีมช่วยพยุงไว้ ไม่งั้นคงได้ร่วงลงไปนอนกับพื้นจริงๆ

“เลือดออก บีมกัดปากกู...” ผมพูดออกมาอย่างเหนื่อยหอบ เอนศีรษะพิงอกคนตรงหน้าที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังขึ้นลงเพื่อปลอบใจ

“ไม่ต้องมาเบะ เมื่อกี๊พี่บีมก็เจ็บเหมือนกันนะ” น้ำเสียงกระเง้ากระหงอดนั่นทำผมอยากจะฟาดให้อีกสักป้าปสองป้าป ติดอยู่อย่างเดียวคือไม่มีแรง ขาก็ปวกเปียกเหลวเป็นเยลลี่บูด มือก็สั่น เหลือแต่ปากนี่แหละที่พอจะด่าออกมาได้

“แล้วบีมกัดทำไมอะ! กูหายใจไม่ออกบีมก็ไม่ปล่อย แน่จริงก็ตีกูคืนดิ ฮือ ปากบวมแน่ๆ ไอ้บีมบ้า”

“ตีไม่ลง กลัวน้องเจ็บ”

“แล้วที่มึงกัด กูไม่เจ็บเลยมั้ง” ผมเงยหน้าขึ้นมาเถียงอย่างไม่ลดละ บีมก็เอาแต่หัวเราะ ท่าทางไม่สำนึกผิดเลยสักนิด เล่นเอาผมหงุดหงิดมากกว่าเดิม

“เขาเรียกว่ามันเขี้ยว”

“ให้กูกัดบีมบ้างไหมล่ะ ฮือ” จะกัดจนเป็นร้อนในเลยคอยดู แง่ง!

“โอ๋ๆ”

“ขอให้ลิ้นมึงเกี่ยวเหล็ก!”

“เราถอดไปตั้งนานแล้ว”

“ขอให้โดนรีเทนเนอร์บาดปาก!”

“น้องมุ่ยใส่ที่ไหนกันล่ะ”

“ฮือ!” หมดคำจะด่าแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย

“ทำไมวันนี้งอแงเร็วจัง ยังไม่เที่ยงคืนเลยนะ”

“ป..ปล่อยเลย กูจะอาบน้ำ” เวลาผ่านไปสักพักเรี่ยวแรงก็กลับคืนมา ถึงจะยังไม่คงที่แต่ก็มากพอที่จะดันบีมออกได้

“ไหวเหรอ” เกลียดไอ้หน้ายิ้มๆ ของบีมจัง ผมแพ้ เข้าใจไหมว่าผมแพ้ ฮือ

“ไหว!”

“ให้พี่ช่วย --”

“ไม่ต้อง! ไปไกลๆ เลย” ผมผลักบีมที่กำลังจะเดินตามเข้ามาออก แล้วปิดประตูห้องน้ำดังปึง ล็อคอย่างแน่หนาจากนั้นจึงพาร่างง่อยๆ ของตัวเองเดินมาที่อ่างล้างหน้า

“เหี้ย...” ในกระจกปรากฏภาพสะท้อนของตัวเองที่ขณะนี้อยู่ในสภาพหัวยุ่งฟูไม่เป็นทรง ยางรัดผมคลายตัวจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ ริมฝีปากบวมเจ่อราวกับโดนผึ้งต่อยมา ไหนจะใบหน้าแดงก่ำบ่งบอกความรู้สึกได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องสืบเลยว่าไอ้คนต้นเหตุมันจะพอใจแค่ไหนที่เห็นผมในสภาพแบบนี้


หมด!

หมดกัน!

ความคิดที่จะรุกบีมก่อนเหลือศูนย์

จิ๊! ขัดใจชิบ


ผมคิด! ผมวางแผนไว้ในหัวแล้วด้วย ว่าจะเป็นคนนำทางทุกอย่างเอง แม่งเอ๊ย ไม่คิดว่าตัวเองจะง่อยแดก โดนเขาจูบหน่อยก็อ่อนเปลี้ยเหมือนเยลลี่เดือด ไอ้ที่ผมยอมให้บีมจูบทุกวันเพื่อสั่งสมประสบการณ์มันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม!

คิดแล้วกูเป็นท้อ


ไม่!

มึงจะท้อไม่ได้ไอ้มุ่ย ยังไงคืนนี้บีมต้องเสร็จมึง จะไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ในค่ำคืนนี้ เสือมุ่ยยังไงก็ต้องเป็นเสือมุ่ยอยู่วันยังค่ำ หึ

บีมต้องกลายเป็นลูกไก่ร้องเจี๊ยบๆ อยู่ในกำมือผมอย่างแน่นอน!





หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ค่อยๆ แง้มประตู ชะโงกหน้ามองรอบห้อง ดูว่าบีมยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ปรากฏว่าไม่เจอ สงสัยไปอาบน้ำห้องข้างนอก หึ ทางสะดวก

ผมรีบวิ่งออกจากห้องน้ำด้วยความเร็วแสงแล้วกระโดดขึ้นเตียงขยับไปนั่งฝั่งที่ตัวเองนอนประจำ มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจอีกครั้งว่าบีมจะไม่โผล่มาแน่ๆ ก่อนจะใช้สองมือล้วงใต้หมอนหาเจ้าสิ่งที่ผมนำมาซ่อนไว้เมื่อตอนหัวค่ำ

ฮ่า! เจอแล้ว ยังอยู่ดี โล่งอก นึกว่าบีมจะเจอมันแล้วซะอีก ไอ้คนนี้หูตายิ่งกว่าสับปะรด รู้หมดว่าผมทำอะไรบ้าง ไว้ใจไม่ได้หรอกครับ

“น้องมุ่ยทำอะไร”

..!!

“กูเปล่าซ่อนถุงยางกับเจลหล่อลื่นไว้ใต้หมอนนะ!!!” ผมสะดุ้งตัวโยนอย่างตกใจ สองมือกำของใต้หมอนไว้แน่นพลางยกมือขึ้นราวกับโจรที่โดนตำรวจจับได้แล้วหันมาทางต้นกำเนิดเสียงด้วยความตระหนกสุดขีด

“...”

“...”

เงียบกริบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเครื่องปรับอากาศในห้องนอน บีมกำลังอึ้งขณะที่ตัวผมเองวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว

“เตรียมพร้อมขนาดนี้เลยเหรอ” บีมในชุดนอนยืนกอดอกพิงประตูเอ่ยถาม พลางยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำ

“...” เพราะว่าฉันคือวิญญาณ ผู้ทุกข์ทรมาน หลอกหลอนเธอมาตั้งนาน ไม่รู้ตัวว่าตาย~

“เครื่องค้างเลยว่ะ”

“...” ใครก็ได้ลากผมออกไปจากตรงนี้ที ฮือ ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองบีมเดินเข้ามาหาจนในที่สุดก็นั่งลงกับเตียงเอียงคอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก พลางยื่นนิ้วเรียวมาเกลี่ยข้างแก้มผมเบาๆ อย่างหยอกล้อเอ็นดู จากนั้นจึงก้มลงหยิบกล่องถุงยางที่ถูกผมปล่อยร่วงตกลงกับผืนผ้าห่มขึ้นมาดู คิ้วเข้มขมวดลงเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าถามผมราวกับสงสัยใคร่รู้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว

มึงกำลังแกล้งกู ไอ้บีม ฮือ



“แบบบางเฉียบ ซื้อมาสามกล่องเลยเหรอ อ๋อ คนละไซส์กัน”

“...”

“อันนี้เจลหล่อลื่น เก่งจังเลยน้องมุ่ย ข้อมูลแน่นนะเรา ความจริงไม่ต้องซื้อก็ได้นะ พี่มี --”



ฟึ่บ!



ผมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผลักบีมให้หงายหลังลงไปกับเตียงแล้วอาศัยจังหวะมึนงงวาดขาขึ้นคร่อมคนตัวสูงกว่า ทิ้งสะโพกลงกับช่วงเอวของบีมเนื่องจากส่วนสูงที่ต่างกันทำให้การขึ้นมาอยู่บนตัวบีมเป็นไปอย่างทุลักทุเล ดีที่มีบีมช่วยประคองสะโพกให้ผมนั่งตักดีๆ อีกแรง จากนั้นผมจึงใช้สองมือกดตรึงข้อมือแกร่งไว้ข้างตัวและก้มหน้าลงไปใกล้บีมที่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจในการกระทำของผม

“น...น้องมุ่ย?”

“ไหนๆ มึงก็ล่วงรู้ความลับของกูแล้ว งั้นก็เริ่มมันเลยแล้วกัน” ผมผละออกจากการขังบีมไว้ในอ้อมแขนแล้ววางมือลงบนแผ่นอกเพื่อยันตัวเองขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งดึงยางรัดผมออกแล้วโยนทิ้ง ยกยิ้มมุมปากเลียนแบบบีม ท่านี้ผมฝึกบ่อย กะเอาให้คนตรงหน้าละลายเมื่อเจอรอยยิ้มกระชากใจของผม หึหึหึ

“จะทำอะไร?”

“ชู่ว...” ผมวางนิ้วชี้แนบลงกับริมฝีปากตัวเองพลางส่ายหน้าเบาๆ ใช้สายตาที่คิดว่าร้อนแรงที่สุดจ้องไปที่ดวงตาคู่คมนั่น อะ...เอ่อ แต่ทำไมแววตาบีมมันดูเร่าร้อนกว่าผมวะ

“?”

“เคยได้ยินตำนานเสือมุ่ยไหม”

“...เสือ..มุ่ย?”

“วันนี้แหละ ถึงคราวที่มันจะผงาดให้โลกได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งแล้ว”

“หืม?”

“โดนแดกแน่บีม”





[BEAM]



ใบหน้าน่ารักยกยิ้มร้าย ซึ่งกำลังจะแสดงให้ผมเห็นว่าครั้งนี้เขาจะเอาจริง ไม่มีคำว่าเล่นอีกต่อไป เจ้าตัวลังเลอยู่อึดใจก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาจนปลายจมูกจรดกัน สองมือยันลงกับฟูกนุ่มข้างศีรษะผม ดวงตาเฉี่ยวที่ผมชอบมองมีแววของความเขินอาย จนแล้วจนรอดก็ยังไม่กดจูบลงมาอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้

“ไม่กล้าแล้วเหรอ?” ริมฝีปากขยับเสียดสีกันอย่างบางเบาเมื่อผมเอ่ยท้าทายคนตัวเล็ก ทำให้น้องมุ่ยส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมาที่โดนผมปรามาส

“บีมห้ามขำ” น้องสั่งเสียงดุ คิ้วขมวดลงบ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองก็ประหม่าไม่น้อย

“พี่บีมไม่ขำอยู่แล้ว”

“บีมยิ้มทำไมอะ!”

“น้องมุ่ยน่ารัก” หน้าแดงทุกครั้งเวลาผมเอ่ยปากชม จะว่าหลงจนโงหัวไม่ขึ้นก็คงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเดิน นั่ง กิน โมโห โวยวาย หรือแม้แต่ตอนหลับ ทุกอิริยาบถของเขาสำหรับผมมันน่ารักมาก ยิ่งเวลาปากเล็กๆ พูดออกมาไม่หยุด ผมยิ่งชอบ มันมุบมิบอยากจับจูบตลอดเวลา

“ฮึ่ย!” หลังคำสบถริมฝีปากสีแดงระเรื่อทาบทับลงมา นิ่งค้างไว้ชั่วครู่โดยที่ไม่มีการลุกล้ำใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ผละออก ทำแบบเดิมซ้ำๆ อีกหลายครั้ง จนกลายเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว มันเขี้ยวกับการกระทำยักแย่ยักยันที่น่าเอ็นดู จึงอาศัยจังหวะที่น้องกำลังจะผละออกใช้มือข้างนึงแตะลงกับลำคอขาว ค่อยๆ ลากไปยังท้ายทอยแล้วกดลงมาให้แนบริมฝีปากเข้าด้วยกันอีกครั้ง

น้องมุ่ยมีท่าทีตกใจจนเผลอเม้มปากสนิท ผมจึงค่อยๆ คลึงท้ายทอยให้น้องผ่อนคลาย มืออีกข้างที่ว่างก็สอดเข้าใต้ชุดนอนตัวบางพลางลากสัมผัสผิวเนื้อเนียนอย่างหลงใหล เรื่อยมาจนประกบเข้ากับสะโพกสวยที่ดึงดูดสายตาตั้งแต่น้องขึ้นคร่อมผมแล้ว ท่าทางอันตรายแบบนั้นแต่น้องกลับมองข้าม ทำให้ความร้อนในร่างกายของผมมันมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยั้งเอาไว้ก่อน เพื่อรอดูท่าทีของคนน่ารักที่เรียกตัวเองว่าเสือมุ่ย

ไม่น่าเชื่อว่าน้องมุ่ยที่ผอมขนาดนี้กลับซ่อนรูป เอวที่คอดเล็กน้อยเหมาะเจาะรับกับสะโพกที่ไม่ได้ผายอย่างผู้หญิงแต่ก็ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มทุกทีเวลาจับ ยิ่งช่วงนี้น้องกินเยอะมากขึ้นร่างกายก็มีน้ำมีนวลจนอดใจไม่ไหวที่จะบีบเค้นคลึงไปถ้วนทั่วสะโพกกลมกลึงนั่น

“...อื้อ”

เสียงครางหลุดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจยิ่งทำให้การควบคุมตัวเองของผมเป็นไปได้ยากขึ้นทุกที น้องมุ่ยอ้าปากรับจูบมากกว่าเดิม ลิ้นร้อนของเราทั้งสองพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมกัดริมฝีปากล่างฉ่ำน้ำเบาๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วดูดดึงกลับคืนให้อย่างเอาใจ น้องมุ่ยก็เลียนแบบโดยการกัดคืนและดูดดึงบ้างแต่แรงดูดที่มากเกินไปนิด เมื่อปล่อยออกมาจึงทำให้เกิดเสียง น้องมุ่ยชะงักพลางหน้าขึ้นสีอย่างเขินอาย ทำทีกลบเกลื่อนด้วยการกดจูบลงมาอีกครั้ง

ผมนึกไม่ถึงว่าความคิดของน้องมุ่ยจะไปได้ไกลขนาดนั้น ยอมรับว่าอึ้งไม่น้อยที่พอเข้ามาในห้องสิ่งแรกที่เจอคือ มือเล็กนั่นกำกล่องถุงยางกับเจลหล่อลื่นไว้แน่น ปากร้องปฏิเสธเสียงดังทั้งที่หลักฐานคาตา ผมไม่รู้จะพูดยังไง เลยหยิบกล่องถุงยางขึ้นมาดูก็ดันมีครบทุกขนาดอีกด้วย น้องคงเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนหน้าหลายวันอยู่เหมือนกัน พอลองนึกถึงเจ้าเด็กหน้ามุ่ยยืนเลือกของสองสิ่งนี้อยู่ก็อดที่จะหลุดขำไม่ได้

ทำไมมันน่ารักได้ขนาดนี้นะ

น่ารักจนใจเจ็บ

ไหนจะคำพูดกับท่าทางประหลาดๆ ที่แสดงออกมาจนผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เสือมุ่ย? ไปเอาคำเรียกนี้มาจากไหนกัน การที่เจ้าตัวปราดเข้ามาขึ้นคร่อมผมพร้อมท่าทางราวกับแมวที่กำลังจะขย้ำหนูตัวจ้อยนั่นอีก เอ็นดูไม่ไหวแล้วจริงๆ ว่ะ ให้ตาย

การจูบครั้งนี้ของเรามันเนิ่นนานกว่าครั้งไหนๆ จากความกระหายอย่างรุนแรงผลัดเปลี่ยนมาเป็นความอ่อนโยนนุ่มละมุนและกลับไปร้อนแรงราวกับลาวาร้อนระอุที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่ออีกครั้ง ลิ้นเล็กนั่นไล่แตะทั่วปากทั้งบนและล่างพลางไล้เลียให้อย่างเอาใจ ใบหน้าใสค่อยๆ ผละจูบออกจนเห็นหยาดใสที่ติดปลายลิ้นโยงเป็นสายระหว่างกัน น้องมุ่ยเลียรอบริมฝีปากตัวเองพลางกัดเข้ากับปากล่างแล้วยกยิ้มกว้างให้กับเขา

เกือบหยุดหายใจเลยกู

น่าฟัดชิบหาย

ภาพเมื่อครู่ยังคงติดตาและวนซ้ำอย่างช้าๆ จนหัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรงและปลุกกระตุ้นบางสิ่งที่นอนสงบเงียบให้ตื่นขึ้นมา สำหรับน้องมุ่ยคงจะเป็นการยิ้มขำให้กับความเผลอไผลของตัวเอง แต่สำหรับผมแล้วมัน

แม่งโคตรยั่วเลยว่ะ


ต่ออีกยาวๆจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 27 เสือมุ่ยออกโรง (UP) 22/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 22-01-2020 05:35:19
ต่อตรงนี้ค้าบ


ฟึ่บ!


ผมอาศัยจังหวะที่น้องมุ่ยกำลังเผลอจับน้องพลิกตัวให้นอนหงายกับเตียงโดยมีผมขึ้นคร่อมแทน การกระทำอย่างกระทันหันทำให้น้องหลุดปากร้องว้ากพลางเบิกตากว้างอย่างตกใจ สองมือน้อยยกขึ้นยันกับอกผมโดยอัตโนมัติ

เส้นผมนุ่มสีธรรมชาติกระจายทั่วหมอนใบโต ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก ดวงตาเรียวเล็กคลอด้วยหยาดน้ำใสที่หากกระพริบตาลงเพียงหนึ่งครั้งก็คงร่วงหล่นลงมาระแก้มสีระเรื่อนั่น ริมฝีปากฉ่ำชื้นบวมเจ่อจากการจูบมาราธอนของเราสองคน ริมฝีปากสวยของน้องเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลมากที่สุด ปากบนบางเป็นรูปกระจับขณะที่ปากล่างจะหนากว่าให้ความรู้สึกน่าจูบตลอดเวลา

น้องมุ่ยไม่ใช่คนหน้าตาดีจนใครก็เหลียวมอง หรือเจอกันครั้งแรกเป็นต้องสะดุดตา ยังมีคนที่น่ารักและหน้าตาดีกว่าหรือหล่อเท่กว่านี้ให้พบเจออีกมากในมหาลัย แต่เมื่อไรที่ได้ลองสบตาคู่นั้นดูแล้ว คุณจะรู้ได้เองว่ามันเป็นเรื่องยาก ยากมากกับการที่จะไม่แอบหันกลับมามองเขาอีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ หรือทุกครั้งที่ได้พบเจอน้อง

“พี่ให้โอกาสตัดสินใจ”

“...”

“ผลักพี่ออกไป แล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ผมไม่อยากทำน้องเจ็บถ้าเลือกได้ ถ้าถึงขนาดนั้นแล้วน้ำตามาแน่ๆ ผมรับรอง ซึ่งผมไม่ชอบให้น้องมุ่ยร้องไห้ มันทำให้รู้สึกแย่ไปด้วย ใจมันอยากจะเจ็บแทนเขา

“...”

“ยังไงดี :) ” คนขี้เขินเอียงหน้าหนีซุกกับหมอนงุดๆ ไม่ยอมตอบจนเวลาผ่านไปซักพัก ผมคิดว่าคงต้องยอมแพ้และปล่อยน้องไป แต่ในขณะที่กำลังจะลุกออกจากการคร่อมตัวน้องอยู่ มือเล็กกลับเอื้อมมาดึงแขนเสื้อของผมไว้ก่อน

“บ...บีม”

“ครับ”

“ผิดโพ” น้อง...ว่าไงนะ?

“หื้อ?”

“ผิดโพ! ไม่ใช่อย่างนี้ บีมต้องลงไปนอน เดี๋ยวกูทำเอง!” หลับหูหลับตาพูดออกมารัวเร็วจนผมเบลอ ผิดโพ? คือเหี้ยไรวะ

“...ครับ?”

“กูอ่านมา น...ในกระทู้เขาบอกว่า ถ้า ถ้าขึ้นเอง จะ...จะเจ็บน้อยกว่า”

“...”

“...”

“น้องหมายถึง...อยากขึ้นเอง เหรอ?” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ที่น้องพูดออกมาเมื่อครู่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม

“ฮื้อ!” คนใต้ร่างพยักหน้าหงึกหงัก ความมุ่งมั่นฉายชัดออกมาจนผมรู้สึกได้ และอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วที่จะไม่หัวเราะออกมา

“ฮ่าๆ”

เหี้ยเอ๊ย แม่งโคตรน่ารัก โคตรดี ดีชิบหาย ดีจนใจเจ็บ ผมไม่ยอมให้ใครมาเห็นความพยายามอันน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแน่ๆ จับแดกเลยได้ไหมวะ แดกแบบแง่มหัว ค่อยๆ เคี้ยวแล้วกลืนลงท้อง

“หัวเราะทำไม”

“พี่ตัดสินใจแล้ว”

“ห้ะ? ไรอะ”

“...ไม่ปล่อย”

“..?”

“ไม่ให้หนีแล้วครับ”

“ด...เดี๋ยว บีม ทำเป็นเหรอ”

“ครั้งแรกเหมือนน้อง”

“กูอะ กับสาวก็ไม่เคย แต่กับบีม กู...จะพยายามนะ”

“น่ารัก”

ผมโน้มตัวพร้อมกดใบหน้าลงไปฟัดจูบคนตัวเล็กอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ จูบซับจนน้องเริ่มเคลิ้ม ผมจึงยกสองมือขึ้นโอบรอคอไว้ ไม่นานก็รู้สึกถึงแรงกดบริเวณต้นคอให้การจูบของเราแนบชิดมากขึ้นกว่าเดิมโดยที่น้องมุ่ยน่าจะทำไปอย่างเผลอไผล

ผมผละออกให้น้องได้พักหายใจ จากนั้นจึงเลื่อนใบหน้าขึ้นไปจูบหน้าผากมนสวย ข้างขมับ และใช้จมูกลากผ่านข้างแก้มแล้วจรดจมูกที่ใบหูพลางเป่าลมบางเบาใส่ น้องมุ่ยขยับยุกยิก ปากน้อยๆ พึมพำว่าจักจี้ ผมจึงอ้าปากงับติ่งหูนิ่มแล้วขบเบาๆ อย่างย่ามใจ ทำให้น้องเผลอสะดุ้งตัวขณะเดียวกันที่วงแขนโอบรัดต้นคอของผมให้แนบลงมามากกว่าเดิม ซึ่งก็ผิดคาดที่เขาไม่ผลักออก แต่ก็ไดรับของขวัญเป็นความแสบคันจากการจิกเล็บลงกับผิวเนื้อรอบต้นคอที่โผล่พ้นคอเสื้อมา

ยิ่งน้องมุ่ยไม่ตอบโต้ยิ่งได้ใจ ผมลากไล้จมูกตามแนวลำคอขาว สูดดมความหอมจางอย่างไม่รู้เบื่อ ใช้มือข้างที่ว่างดึงคอเสื้อของน้องให้กว้างขึ้นและประทับจูบลงทั่วลำคอ บางจุดขึ้นรอยสีแดงระเรื่อเมื่อผมห้ามใจไม่ไหว แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะให้ไม่เกิดรอยขึ้นอีก เสียงครางอืออาจากน้องก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดี ให้อะไรๆ มันตื่นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


งับ!


ป้าป!


เต็มๆ หลัง ฝีมือไม่เคยตกเลยสักครั้งเดียว เยี่ยมที่สุด แฟนใครเนี่ย

“อย่ากัด!”

“มันเขี้ยว” ผมตอบกลับเสียงอู้อี้เพราะสาละวนอยู่กับการลากฟันขบกับผิวเนื้อบางและสูดดมซอกคอหอมกรุ่นจากคนในอ้อมแขน ครีมอาบน้ำอันเดียวกันแท้ๆ ทำไมตัวน้องถึงหอมฟุ้งออกมาได้ขนาดนี้นะ ขณะที่กำลังเพลิดเพลิน น้องก็จับหน้าผมแล้วดึงออกมามองหน้ากัน เสียงหายใจหอบเล็กๆ จากเขา ผมก็ยิ่งจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

“...มาจูบกัน” ได้ตามคำขอ ผมลากริมฝีปากผ่านผิวเนื้อที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมาจนไปหยุดอยู่ที่ปากสวยๆ ของน้อง จุ๊บหนึ่งครั้งอย่างปลอบโยนแล้วจึงค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวเก็บความหวานซึ้งจากโพรงปากเล็ก

ผมปลดกระดุมเสื้อตัวเองระหว่างที่กำลังมอบจูบให้กันจนกระทั่งถึงเม็ดสุดท้ายและถอดออกไป ผมถอนจูบออกมองน้องมุ่ยที่ปรือตาขึ้นมองการกระทำผม ตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อผมจับมือของน้องให้วางทาบทับลงบนแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจ ซึ่งมันก็เต้นแรงไม่ต่างกัน

“ถอดสิ” ผมเอ่ยเสียงนุ่ม พยายามข่มอารมณ์ตัวเองที่พลุ่งพล่านไม่ให้เผลอทำรุนแรงกับน้อง แต่เพียงแค่หลับตาลงพลางสูดหายใจเข้าแวบเดียว เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นน้องมุ่ยจับชายเสื้อแล้วถอดออกอย่างไว แถมยังมองตาแป๋วสื่อว่า ‘ถอดแล้วนะ’ กลับมาอีก

ขาวชิบหาย

เล่นเอาผมหายใจสะดุดแวบหนึ่งเมื่อเห็นหน้าท้องแบนราบปรากฎลอนจางๆ ตามประสาผู้ชายทั่วไป ไล่มองไปจนถึงสองจุดสีชมพูจาง แต่กลับเด่นท้าสายตาให้ทำอะไรสัดอย่างกับมัน ซึ่งทำให้ความปราถนาในตัวน้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“..ด..เดี๋ยวบีม” ฝ่ามือนิ่มยันใบหน้าผมไว้ก่อนที่จะก้มลงหาจุดสีสวยที่เด่นชัดออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผิวเนียนลื่นมือกับผิวขาวๆ นั่นทำผมเบลอไปหมด ให้ตายสิวะ

“ว่าไง”

“ถ...ถอดกางเกงด้วยไหมอะ” ท่าทีเขินอาย แต่จับขอบกางเกงราวกับพร้อมจะดึงลงทันทีเมื่อผมให้สัญญาณ

“ถอดสิครับ”



พรึ่บ!



เหลือเพียงชั้นในสีขาวปกปิดน้องมุ่ยน้อยเอาไว้ เรียวขาขาวนั่นทำผมหายใจติดขัดอีกรอบ สัดส่วนช่วงขาที่ยาวกว่าช่วงตัวแถมยังเรียวสวยราวกับถูกจัดวางสรรค์สร้างมาอย่างดี

“บีมลูบกูทั้งตัวเลย”

“นุ่ม” ผมวางริมฝีปากพรมจูบทั่วลำคอและแผ่นอกบาง ทำให้น้องสะดุ้งทุกครั้งที่ผมแตะ อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศเมื่อสัมผัสกับผิวเนื้อขาวทำน้องสั่นนิดๆ ส่งผลให้จุดสีชมพูน่ารักลุกชันขึ้นตามไปด้วย

อยากกัด คำหนึ่งคำในหัวที่แวบขึ้นมา แต่จะให้ทำตามที่คิดเลยน้องอาจจะฟาดผมจนสลบได้ ฉะนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากการค่อยๆ ลูบไล้เรียวแขนและเรียวขาเพื่อสร้างความปั่นป่วนทางอารมณ์ให้ตัวเขารู้สึกมากขึ้นกว่านี้ ลากลามไปจนถึงต้นขาด้านในที่นุ่มมือจนอยากจะกัดให้ขึ้นรอยฟันให้ทั่ว

ผมผลักขาที่อ่อนปวกเปียกให้อ้ากว้างแล้วสอดตัวเองเข้ามาอยู่กึ่งกลาง ดันตัวขึ้นมองสภาพน้องที่ตอนนี้กำลังหอบหายใจหนัก เนื้อตัวขึ้นรอยสีแดงจากการบีบและรอยจูบพร่างทั้งตัว น้องมุ่ยพยายามผงกศีรษะขึ้นราวกับต้องการจะดูว่าถึงขั้นไหนแล้ว ด้วยดวงตาปรือปรอยกับปากบวมฉ่ำนั่น

อิโรติกสัด

“บีมชอบจับแรงด้วย”

“อืม...พี่บีมชอบ” ผมเออออรับคำอย่างไม่ค่อยมีสติเท่าไร ก้มตัวลงประคองน้องไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง สายตาจับจ้องแต่จุดสีหวานบนแผ่นอกนั่น จนรู้สึกได้ถึงความสงสัยจากน้องที่กำลังมองมา ผมเลยเคลื่อนตัวขึ้นไปมอบจูบให้กับเขาอีกครั้ง พลางเลื่อนมือจากต้นขาขึ้นมายังช่วงเอวสอบ ไล้มาจนถึงจุดหมายที่เล็งไว้ และเมื่อปลายนิ้วแตะเพียงแผ่วเบาก็ทำให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ แต่ความนุ่มนิ่มของเจ้าสิ่งนั้นทำให้ผมไม่อาจจะหยุดให้น้องปรับตัวไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงวางสองนิ้วลงแล้วคีบดึงขึ้นจนน้องหลุดเสียงน่ารักออกมา

“อะ..อื้อ!”

“เจ็บเหรอ” ผมกระซิบถามข้างใบหูนิ่ม อดไม่ได้ที่จะไล้เลียให้อย่างเอาใจ

“จ..จักจี้ เเล้วก็ขนลุก”

“คนดี”

ถามก็ตอบทุกครั้ง น่ารักจริงๆ

“อะ! บีมอย่าข..ขยี้”

“ปฏิเสธ แต่แอ่นอกให้ คิดว่าไง”



ป้าป!



ยังจะมีแรงตีอีกนะ

“อื้อ! บีม ฮื้อ ม...ไม่เอาแบบนี้” ผมผละออกจากใบหูขาวแล้ววางริมฝีปากครอบจุดสีชมพูอีกข้างหนึ่งเป็นการลงโทษ เล่นเอาน้องมุ่ยร้องเสียงหลง

“ลงโทษครับ”

“ไม่...มัน...ฮึก มัน” ข้างหนึ่งบดขยี้อีกข้างหนึ่งถูกดูดดึงจนเกิดเสียงน่าอายทำให้น้องร้องออกมากระท่อนกระแท่นไม่เป็นภาษา ผมจึงถือว่าฟังไม่รู้เรื่องแล้วปล่อยเบลอไป พลางใช้ลิ้นร้อนแตะสัมผัสหยอกเย้าจนฉ่ำวาวเต็มไปด้วยน้ำสีใส ทำให้น้องถึงกับยกมือดันบ่าผมออก แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่ไม่เท่าก่อนหน้าจึงไม่สามารถทำอะไรผมได้

“บีม! มากไป อะ...อย่ากัด” แผ่นอกขาวสะท้อนเฮือกยิ่งทำให้ผมได้ใจ ผละมืออีกข้างหนึ่งลากลงข้างลำตัวน้องจนไปถึงจุดกึ่งกลางที่มันไม่ได้นอนสงบอย่างที่คิด ผมวางมือกอบกุมส่วนนั้นผ่านปราการชั้นในสีขาวและลูบไล้เบาๆ เล่นเอาน้องมุ่ยผวาเฮือก

“บีม!” เสียงร้องตกใจพร้อมกับมือน้อยๆ ที่ใช้แรงทั้งหมดดันหัวผมขึ้น จนปากหลุดออกจากจุกน้อยๆ นั่น ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเสียดายเมื่อเห็นว่ามันยังแดงและบวมไม่พออย่างที่คาดไว้

“เอามือออกเลย!” พยายามจะทำเสียงดุทั้งใบหน้าแดงก่ำแบบนั้น ใครจะกลัวครับ

“เป็นเด็กสุขภาพดีสินะ” ผมเอ่ยแซว พลางลูบขึ้นลงตามความยาวผ่านเนื้อผ้า

“ไอ้ลามก!”

“ใครกันแน่ เป็นซะขนาดนี้แล้ว” ผมดึงชั้นในสีขาวให้ค่อยๆ เลื่อนลง ทำให้น้องมุ่ยน้อยดีดเด้งขึ้นมาทันทีตามอารมณ์ของเจ้าของ

“อย่ามองนะ ไอ้คนเลว!” คำด่าหลุดออกมารัวๆ แต่ผมก็เมินโดยการใช้มือข้างที่ว่าง ลูบไล้ผิวเนื้อนิ่มเด้ง และตีกระทบลงไปจนเกิดเสียง

“บีมตีก้นกู!”

“นุ่มมากเลยครับ เหมือนมาชเมลโล่”

“ฮ้าย ฮ้ายแต้ว่า ฮือ”

“ให้พี่บีมช่วยก่อนไหมครับ” ผมเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มละไม มองน้องมุ่ยที่กำลังโอดครวญกับตัวเอง มันน่ารักจริงเว้ย ไอ้เด็กคนนี้

“ช่วยไร..”

“ก็...ออกก่อนสักรอบหนึ่ง”

“...อ...ไอ้ขี้โกง! ฮะ...ฮื้อ! อย่าทำแบบนั้น” คำด่าหายไปกลายเป็นเสียงสะอื้นฮักดังออกมาเมื่อถูกรูดรั้งอย่างช้าๆ ริมฝีปากล่างถูกกัดอย่างอดกลั้น มือเล็กป่ายปัดลงกับเตียงพลางกำผ้าห่มแน่นด้วยอารมณ์รุนแรงที่มาจากการปรนเปรอน้องมุ่ยน้อยจากผม

“ช้า...ช...ช้าหน่อย”

“ว่าไงนะครับ พี่บีมไม่ได้ยินเลย” ผมแกล้งทำเป็นหูตึงให้เจ้าตัวฮึดฮัดเล่น น้องมุ่ยพยายามจะปัดมือผมออก แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเมื่อผมไม่ยอมซะอย่าง หากยังเพิ่มความเร็วขึ้นจนได้ยินเสียงหวานหอบครางถี่กระชั้นอย่างควบคุมอารมณ์แทบไม่อยู่แล้ว

“ร...เร็วอีก”

“ครับ?”

“จะ..จะถึง อ...เอามือ ออกไป” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นนั่นใช่ว่าฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่ผมแค่ไม่ต้องการทำตามคำขอและหยุดมือลงเอาเสียดื้อๆ จนน้องมุ่ยชะงัก ครางอื้ออึง สองขาพยายามจะหุบเข้าหากันแต่ทำไม่ได้ สองมือพยายามจะช่วยให้ตัวเองถึงความต้องการ แต่ก็ถูกผมปัดออก

“พูดเพราะๆ ก่อน”

“บีม..ช...ช่วย” น้ำตาปริ่มๆ คลอหน่วยตากับปากที่คว่ำเบะลงอย่างน่าสงสารยิ่งทำให้อยากแกล้งมากขึ้นไปอีก

“เพราะๆ ครับ”

“ฮึก..อ้ายบีม”

“...”

“อ้ายบีมช่วย น...น้องมุ่ย อื้อ”

“ตามคำขอครับ คนดี” เสียงหยาบโลนของการรูดขึ้นลงอย่างรัวเร็วดังคลอไปพร้อมกับเสียงครางระส่ำของน้องหมดคราบความเป็นเสือมุ่ยที่เจ้าตัวเปรยไว้ก่อนหน้า แผ่นอกแอ่นเหยียดขึ้นในจังหวะสุดท้ายก่อนจะปลดปล่อยทุกหยาดหยดออกมาพร้อมกับเสียงกระทบของแผ่นหลังที่ทรุดลงกับเตียง ของเหลวอุ่นร้อนทะลักออกมาเลอะทั่วมือผมแต่ก็ไม่นึกรังเกียจใดๆ

“บีม...เช็ด”

“ไม่เอาหรอก”

“หะ? บีม เดี๋ยว จะทำอะไร?!” ผมแยกขาตัวเองที่กำลังยืนเข่าดันเรียวขาของน้องให้แยกกว้างออกมากกว่าเดิมจนเห็นช่องทางเล็กที่ปิดสนิทซ่อนอยู่ระหว่างบั้นท้ายกลมกลึง จากนั้นจึงใช้มือข้างที่เลอะค่อยๆ ปัดป่ายและแตะลงรอบช่องทาง พลางกดนวดให้คลายอาการเกร็ง

“ตัวช่วยไงครับ”

“บีมแตะตรงนั้นได้ไง ฮือ ไอ้ชั่ว อะ! อย่ากดอย่างนั้น ฮืออ” น้ำตาไหลแหมะๆ ชวนให้น่าสงสาร แต่ขอโทษเถอะ พี่หยุดไม่ได้แล้วครับ ทางนี้เองก็ปวดจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว

“อย่าเกร็งนะ คนดี”

“บีมก็พูดได้ ฮึก! มาลองโดนเองไหมล่ะ” ปาดน้ำตาป้อยๆ แต่มืออีกข้างหนึ่งกลับควานหาบางสิ่งบางอย่าง บนเตียงแล้วยื่นมาให้ผม

“น้อง...”

“ฮือ เจล บีมคนชั่ว ใช้เจลด้วย บะเดวน้องเจ็บ”

“...น้องมุ่ย” ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ทุกอย่างแม่งเหนือความคาดหมายกูหมดแล้ว ไอ้คนที่ร้องห้ามตอนผมกำลังช่วยให้ถึงฝั่งมันหายไปไหนกัน

“ฮือ...ไอ้คนเหี้ย น่าอาย..น่าอาย..”

“ครับๆ” ผมเปิดฝาแล้วบีบออกมาในปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ ชโลมป้ายลงกับช่องทางเล็กนั่นให้ชุ่ม โดยมีซาวด์เอฟเฟค เสียงทุบปึกๆ ลงที่ต้นแขนมาเป็นระยะ

“กูขอขึ้นเองก็ไม่ให้ บีมแย่ที่สุด ฮึก”

“มันจะยากนะครับ แบบนั้น”

“ละมันจะใด เปิ้นอ่านมาท่านั้นคือเจ็บน้อยตี้สุดแล้วอะ”

“...”

”ฮือ ใจตั๋วกะจะหื้อน้องเจ็บก๋า”



ขิต

ลูกอ้อนบวกอู้กำเมือง

กูขิตโดยสมบูรณ์แบบ



“บ..บีม! ทำอะไร!” ผมไม่รีรอ รั้งกางเกงตัวเองลงแล้วถอดโยนไปอีกทาง ยกขาเรียวขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้างพลางหยิบหมอนมาวางรองสะโพกกันน้องเจ็บอีกทาง และบีบเจลลงทั่วนิ้วอีกครั้งให้เยอะที่สุด

“ใครให้อู้กำเมืองตอนนี้ครับ”

“ห...โห บีม...” ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเจอเข้ากับสิ่งที่มันมากกว่าของตัวเองดีดผึ่งออกมา ตาเรียวจ้องมองไม่กระพริบจนผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ที่มันมากขนาดนี้ก็เพราะใครล่ะครับ

“พี่บีมไม่ทนแล้วจริงๆ ว่ะ น้องมุ่ย”

“ม..มันเข้าได้เหรอ โห มันได้เหรอบีม” ผมอาศัยช่วงที่น้องเผลอจัดท่าทางให้ถนัดที่สุดแล้วเตรียมความพร้อมให้น้องมุ่ยก่อนอย่างใจเย็น

หมายถึงพยายามใจเย็นน่ะครับ

“เดี๋ยวก็ได้เอง”

“อะ! เดี๋ยว! อย่าเพิ่งสอดเข้ามา อื้อ!!” ผมวางนิ้วแตะลงกับช่องทางปิดสนิทและค่อยๆ กดเข้าไป ไม่ทันถึงครึ่ง น้องมุ่ยก็ร้องไห้จ้าออกมาด้วยความเจ็บ

“จ...เจ็บ! บีม น้องเจ็บ!” สองขาตกลงจากบ่าทันทีเมื่อน้องดิ้นพล่านด้วยความเจ็บ ผมเลื่อนตัวขึ้นจูบซับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทำให้ผมไม่กล้าขยับนิ้วตัวเองอีก แม้แต่จะดึงออกยังไม่กล้า

“ชู่ว...คนดี หายใจเข้าลึกๆ ไม่เกร็งนะครับ” พรมจูบทั่วใบหน้าใส อย่างปลอบโยน ปากพร่ำบอกกับน้องให้ผ่อนคลาย แต่คำว่าเจ็บก็แทงใจผมเหลือเกิน บางทีมันอาจจะยังไม่ถึงเวลา

“น้องเจ็บ...ฮึก”

“ครับ พี่บีมรู้แล้ว พี่บีมโอ๋” กดจูบข้างขมับซ้ำๆ พลางลูบผมนิ่มให้หายตกใจ กลั้นใจถอนนิ้วตัวเองออก แล้วประคองกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน

“...ฮึก”

“คนดี...อย่าร้องไห้ ถ้างั้นเราพอแค่นี้ดีไหม”

“ไม่!”

“..ค..ครับ?” น้องมุ่ยขมวดคิ้วยุ่ง ผลักผมออกพลางปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วก็พึมพำกับตัวเองเสียงเบาจนผมจับใจความไม่ได้

“จะพยายามไม่เจ็บ”

“พี่ว่า --”

“บีมก็เจ็บ น้องรู้ เราไปด้วยกันนะ” รอยยิ้มน่ารักกระแทกใจผมอย่างจัง อดไม่ได้ที่จะประทับจูบหวานซึ้งให้กันอีกรอบแล้วก็ผละออก ผมยกขาเรียวขึ้นพาดบ่าอีกครั้งแล้วทำตามแบบเดิม โดยการชโลมเจลมากกว่าครั้งก่อน และค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปทีละนิดกับช่องทางคับแคบนั่น

น้องมุ่ยคว้าต้นคอผมลงมารับจูบ ปากสวยบดเบียดอย่างรุนแรงราวกับต้องการระบายความเจ็บปวดที่ตนกำลังได้รับ ผมจูบตอบกลับไปเช่นกัน ใช้มือข้างที่ว่างบดขยี้จุดสีชมพูหวานเพื่อเพิ่มอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นมาทดแทนความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญ

ความคับแน่นโอบรอบนิ้วผมจนแทบขยับไม่ได้ ต้องคอยกระซิบบอกให้น้องอย่าเกร็ง ค่อยๆ สูดหายใจลึกๆ ผ่านไปชั่วครู่ช่องทางนั้นก็คลายลงเล็กน้อยเปิดโอกาสให้ผมสอดลึกเข้าไปได้จนสุดนิ้ว

“อื้อ!”

“เจ็บไหมครับ”

“จ...เจ็บ แต่ไม่เท่าเดิม” ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้าง จึงลองขยับเข้าออกอย่างช้าๆ ให้เจลทำงานตามประสิทธิภาพของมัน พร้อมกับป้อนจูบให้น้องด้วยอีกทาง ความเปียกลื่นทำให้ช่องทางคลายความฝืดเคืองลงได้บ้าง ผมกระซิบข้างใบหูเล็กขอเพิ่มเป็นสองนิ้ว น้องพยักหน้าพร้อมใบหูที่ขึ้นสีแดงเรื่อ ผมจึงค่อยๆ ถอนนิ้วออก และชโลมเจลอีกครั้งพร้อมสอดเข้าไปทั้งสองนิ้ว อย่าว่าแต่น้องที่ต้องใช้ความอดทนเลย ผมเองก็ไม่ต่างกัน ไอ้ส่วนแข็งขืนของผมมันก็ปวดจนเหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน

“เก่งมากครับ รับได้หมดแล้ว เห็นไหม” ผมเอ่ยชมเมื่อเข้าไปจนสุดทางแล้วทั้งสองนิ้ว ขยับเข้าออกจนได้ยินเสียงเหนอะหนะออกมาให้น้องฟาดผมอีกครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ เขินจนหายเขินแล้วก็กลับไปเขินใหม่อีกรอบ น่ารัก

จนกลายเป็นสามนิ้วที่เข้าไปจนหมด ผมแช่ค้างให้น้องผ่อนคลายสักครู่ แล้วจึงขยับเข้าออกเบาๆ พลางค้นหาจุดที่ทำให้น้องรู้สึกดีไปด้วย

“อ้ะ! ตรงนั้น! บีม ย...อย่า”

“ตรงนี้สินะ” ผมกดย้ำ เมื่อน้องเริ่มคลายความเจ็บปวดแล้วแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ของความร้อนแรงที่พุ่งสูงขึ้นเป็นระยะ เสียงครางผะแผ่วนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวอีกต่อไป ถอนนิ้วทั้งสามออกมาทันที พลางรูดรั้งส่วนแข็งขืนของตัวเอง คว้ากล่องถุงยางอนามัยที่ซื้อเตรียมไว้ก่อนน้องมุ่ยมา แกะกล่องแล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งซองพลันฉีกออก จากนั้นก็นำมาสวมให้ตัวเองเสร็จสรรพ ขยับจ่อประชิดช่องทางชุ่มฉ่ำสีสดพลางชโลมเจลหล่อลื่นทั่วส่วนร้อนของตัวเองให้ได้มากที่สุดอีกครั้ง

“พร้อมไหม คนดี”

“ด...ได้ มาเลย ส...เสือมุ่ยพร้อม”

“พี่บีมจะทำเบาๆ”

“เสือมุ่ยเก่งอยู่แล้ว” ผมยกยิ้มด้วยความเอ็นดูให้กับคนตรงหน้า รัก รักจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ต้องเป็นน้องมุ่ย คนนี้คนเดียวเท่านั้น

“พี่บีมรักน้องมุ่ยนะครับ” ผมก้มหน้าลงกระซิบติดชิดริมฝีปาก สบตาคู่สวยที่กำลังมองกลับมาเช่นกัน

“รัก รักบีมเหมือนกันเลย” รอยยิ้มนี้แหละ ที่ทำให้ผมติดกับดัก ไปไหนไม่รอดซักที

ผมกดจูบอีกหนึ่งครั้งแล้วจับส่วนแข็งขืนดุนดันเข้าช่องทางฉ่ำชื้นอย่างช้าที่สุด เสียงร้องครางดังกว่าครั้งไหนๆ เล่นเอาอารมณ์ผมพุ่งสูงมากขึ้นไปอีก

“ถ้าเจ็บก็กัดพี่บีมนะ” ผมยื่นมือข้างที่ว่างไปวางตรงหน้าของน้องมุ่ย เจ้าตัวใช้สองมือจับไว้แน่นแล้วอ้าปากเตรียมจะงับลงมา ผมทำใจไว้แล้วว่ามันต้องเจ็บมากแน่ๆ แต่จนแล้วจนรอดสัมผัสที่ได้รับกลับมามีเพียงความเปียกชื้นและเสียงดูดดึงผิวเนื้อ

“ด...เดี๋ยวบีมเจ็บ” น้องมุ่ยไม่ได้กัด แต่ใช้ฟันขบทั่วหลังมือพลางดูดดุนเมื่อผมขยับส่วนร้อนของตัวเองเข้าช่องทางแดงก่ำ ไม่ได้เจ็บที่โดนกัดแต่แรงดูดก็รู้สึกจี๊ดๆ ไม่ใช่ย่อย

“พยายามด้วยกันนะ”

“...อื้อ”

“เชื่อใจพี่บีมนะครับ”

“เชื่อครับ...”

“เก่งมาก คนดีของพี่บีม”

เจลหล่อลื่นมีส่วนช่วยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่งั้นคงเป็นผมที่ยอมโลกสวยด้วยมือเรามากกว่าให้น้องยอมเจ็บเพื่อผม

ผ่านมาได้ครึ่งทาง ทั่วหลังมือก็เต็มไปด้วยรอยดูดรอยขบกัด ผมโน้มตัวประคองกอดพลางไล่จูบตามกรอบหน้าของน้องอีกครั้งเพื่อปลอบประโลมให้น้องผ่อนคลาย แล้วยืดตัวขึ้นมาเพื่อทำอะไรๆ ที่กำลังค้างคาให้มันสุดสักที

“อื้อ! บีม”

“...ครับ”

“ข...เข้ามาเลย” ช่องทางขยายรองรับสิ่งแปลกปลอมที่สอดเข้ามาได้มากขึ้น ผนังร้อนที่โอบรอบแก่นกายเต้นตุบๆ จนต้องคำรามในลำคออย่างสุดจะกลั้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความต้องการของตัวเองที่อยากจะเสือกไสให้เข้าไปจนสุดในทีเดียว น้องมุ่ยก็เร่งเขาจัง เดี๋ยวจะเจ็บไม่น้อยเลย ไอ้ตัวดี

“อย่ารีบสิครับ”

“หมดยังอะ...”

“อีกนิดเดียวครับ” ผนังนุ่มตอดรัดจนอดไม่ไหวที่จะคำรามออกมาระบายความรู้สึกพลุ่งพล่าน ผมกัดฟันเกร็งสะโพกกระแทกเข้าไปจนสุดทีเดียว ทำให้น้องมุ่ยถึงกับเกร็งตัวผวาเฮือกแล้วหวีดครางเสียงหลงในจังหวะเดียวกัน

“อะ... อื้อ อย่าเพิ่งขยับนะ”

“พี่บีมรอน้องพร้อม ซี้ด แต่อย่ารัดกันแน่นนักดิ” ผมแช่ตัวเองไว้ในนั้นยังไม่ขยับเพื่อให้ช่องทางคุ้นชินและคลายอาการเกร็งลง แม้จะรู้สึกอยากกระแทกแรงๆ ทุกครั้งที่ผนังอ่อนนุ่มเต้นตุบๆ ราวกับร้องเรียกให้ผมรีบจัดการกินคนตัวเล็กให้เต็มคราบจนร้องไห้ไม่ออก แต่ก็เป็นได้แค่ความคิด เรื่องจริงนั้นคือผมก้มลงไปจูบเอาใจคนใต้ร่าง ไล้เลียทั่วซอกคอ พรมจูบบริเวณแผ่นอกจนทั่วเพื่อปลอบโยน และเร่งเร้าให้อารมณ์ของคนตรงหน้าให้พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน

“ย...อย่า น้องนอนอยู่! บีม ฮึก!” ผมกอบกุมส่วนกลางกายขนาดน่ารักไว้ในมือ แล้วรูดรั้งให้เจ้าของมันเกิดอารมณ์อีกครั้ง

“หืม? ก็ตื่นแล้วนี่” แก่นกายน้องแข็งสู้มือผม ใบหน้าใสเหยเกจากแรงอารมณ์ สะโพกสวยกระดกรับจังหวะการรูดรั้งอย่างไม่รู้ตัว

เหี้ยแม่ง เกินไปน้องมุ่ย

“ให้พี่ขยับได้ยังครับ”

“อือๆ” พยักหน้ารัวแต่กลับหันหนีมุดลงกับหมอนใบโตงุดๆ ผมหลุดหัวเราะให้กับท่าทางน่ารักนั่น แล้วจึงค่อยๆ ขยับสะโพกดึงแก่นกายออกทีละนิดแล้วก็สวนกลับเข้าไปอย่างช้าๆ เช่นกัน ขณะที่มือก็ไม่หยุดโรมรันเจ้าเสือมุ่ยตัวน้อย ความเชื่องช้าแปรเปลี่ยนเป็นความเร็วไล่ขึ้นตามระดับ

“อึก...ฮึก! ช้าๆ น...หน่อย” มือนิ่มดันหน้าท้องผมอย่างสะเปะสะปะ อยากจะเบาให้อยู่หรอก แต่ผมในตอนนี้ไม่ไหวแล้วว่ะ ความรู้สึกจากการเสียดสีระหว่างแก่นกายกับผนังอุ่นร้อนที่ตอดรัดทุกจังหวะที่ผมกระแทกกระทั้นเข้าไป เสียงจากผิวเนื้อที่กระทบกันดังขึ้นอย่างหยาบโลนมาพร้อมกับเสียงครางอื้ออึงหวานหูจากคนใต้ร่าง ก็ยิ่งเร่งปฏิกิริยาในตัวผมให้พุ่งสูงมากกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อแก่นกายถูกดันเข้าไปยังส่วนลึกสุดข้างในกระทบกับจุดที่ทำให้น้องมุ่ยสะดุ้งอ้าปากร้องครางเสียงดังจากความเสียดเสียวที่ตนได้รับ ยิ่งทำให้ผมเกร็งสะโพกดันตัวเข้าไปย้ำกับจุดเดิมๆ ด้วยความปรารถนาอย่างถึงที่สุด

“อื้อ! อะ...บีม ตรงนั้น”

“คนดี...” ผมกระชับต้นขาเรียวสวยขึ้นพาดบ่าแล้วโถมตัวลงกอดรัดให้น้องอยู่ในอ้อมแขน สะโพกน้องมุ่ยถูกยกลอยขึ้นแทบไม่ติดเตียง เสียงครางดังขึ้นตามจังหวะสวนกระแทกดังขึ้นข้างหู ทำให้ต้องครางเสียงต่ำออกมาเมื่ออารมณ์ใกล้จะถึงจุดสูงสุด

“จ..จะออก อึก! บีม น้องจะ..ถึง ฮื้อ” จบประโยค ผมกระชับมือที่กอบกุมแก่นกายน้องไว้แน่น รูดรั้งรัวเร็วตามจังหวะการเคลื่อนกายของผมด้วยให้ไปพร้อมๆ กัน

“พร้อมกัน...นะครับ” เสียงหยาบโลนจากเจลหล่อลื่น เสียงคราง รวมถึงผนังอ่อนนุ่มที่รัดอย่างรุนแรงนั่น กระตุ้นให้ผมรัวสะโพกเร็วในจังหวะสุดท้าย ก่อนจะกระแทกเต็มแรงอีกครั้งแล้วปลดปล่อยความอัดแน่นทุกหยาดหยดของตัวเองออกมา ไม่ต่างกันกับน้องมุ่ยที่หวีดร้องกระตุกตัวหลายครั้งแล้วบีบรัดแก่นกายผมแน่นค้างไว้แล้วจึงปล่อยของเหลวอุ่นร้อนออกมาเช่นกัน แต่ก็ไม่ข้นเท่าครั้งก่อน

“ฮื้อ...” ผมทิ้งตัวแนบกับแผ่นอกน้องมุ่ย กดจูบขมับชื้นเหงื่อ ย้ำซ้ำๆ เพื่อให้น้องหายเกร็ง แขนเล็กโอบกอดรอบคอผมให้แนบชิดมากกว่าเดิมราวกับต้องการความอบอุ่นมากกว่านี้ ใบหน้าสวยแดงเรื่อ หลับตาพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากบวมอ้าออกเพื่อรับออกซิเจนอีกทาง ผมอดเอ็นดูไม่ได้จึงคอยลูบปลอบประโลมให้น้องจนกระทั่งกลับมาหายใจเป็นจังหวะปกติ

“อึดอัด” น้องมุ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขาดหาย ผมจึงกดจูบกลางหน้าผากสวยให้กับความน่ารัก แล้วค่อยๆ ถอนตัวออกมาจากช่องทางคับแน่นนั่น ถึงแม้บีมน้อยมันจะยังแข็งตัวอยู่แต่ผมก็ไม่อยากฝืนร่างกายน้องมุ่ยอีก แค่ครั้งเดียว ดูสภาพน้องดิ ให้ตาย ผมดันเผลอให้อารมณ์ตัวเองอยู่เหนือความควบคุมในจังหวะสุดท้าย กระแทกกระทั้นตามใจตัวเองจนหลงลืมว่าน้องจะเจ็บหรือเปล่า

“เก่งมาก คนดี” ผมเอ่ยกระซิบปลอบโยนให้น้องฟัง แล้วค่อยๆ ดันตัวเองขึ้น จับสองขาของน้องวางลงกับเตียงอย่างเบามือโดยมีน้องจ้องมองตาไม่กระพริบ กะว่าจะพาน้องลงไปแช่น้ำอุ่นให้สบายตัว แต่ยังไม่ทันลุกจากเตียงก็ถูกดึงมือน้อยดึงรั้งไว้ซะก่อน

“บีม...”

“ว่าไง”

“จะไปไหน”

“พี่จะพาน้องมุ่ยไปแช่น้ำอุ่น”

“...” น้องไม่ตอบ เอาแต่จ้องผมอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง อาจจะเจ็บจนพูดไม่ออกล่ะมั้ง

“ลุกไหวไหมครับ” น้องมุ่ยใช้สองแขนยันตัวเองขึ้นโดยมีผมช่วยประคอง เจ้าตัวหันมามองผมแล้วลดระดับสายตาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงส่วนที่มันยังไม่สงบของผม เล่นเอาขนลุกซู่ แล้วจึงตวัดสายตาขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้ง

“บีม”

“หืม?”

“อ...อีกรอบ...”

“..!!”


หูฝาด

ใช่แน่ๆ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอน งานเยอะเลยจะเบลอๆ หน่อย



ต่ออีกนิดจ้าา
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 27 เสือมุ่ยออกโรง (UP) 22/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 22-01-2020 05:37:41
ต่อสุดท้ายแล้วจ้า


พลั่ก!


“เสือ ม...มุ่ย ยังไม่ได้ออกโรงเลย ฮึบ” น้องมุ่ยอาศัยจังหวะที่ผมกำลังคุยกับตัวเองเป็นบ้าเป็นหลัง ผลักให้ผมนอนหงายลงกับเตียง ก่อนจะวาดขาขึ้นคร่อม เหตุการณ์คลับคล้ายคลับคลาจนต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ

“ทำอะไร...ครับ”

“ถ..ถ้ากูขึ้นให้แบบนี้...อ้ะ! เจ็บ” ก้อนกลมกลึงเบียดทับกับส่วนที่ยังไม่สงบพลางขยับเบาๆ ผมรู้สึกราวกับกระแสความร้อนแล่นไปรวมกันอยู่จุดศูนย์กลางในขณะที่ตัวเองกำลังมึนเบลอกับแผ่นอกขาวๆ ล่อตาล่อใจตรงหน้า พอลากสายตามองขึ้นไปยังใบหน้าใส ก็ปรากฏรอยยิ้มอันแสนน่ารักที่ส่งมาให้ ซึ่งพุ่งตรงกระแทกเต็มแรงจนหัวใจเต้นกระหน่ำรัว

แม่งเล่นกูแล้ว



“มัน...จะเจ็บน้อยลงอย่างที่เขาว่าปะ?”








**************************************

ขออภัยนักอ่านทุกท่านที่หายไปน๊านนนนนนนนน นานนนนน

แต่เรากลับมาแล้วค่ะ

พาเสือมุ่ยมาด้วย โฮกปิ๊ป!

ฉากนี้เขียนนานมากค่ะ กับการเขียนฉาก nc ครั้งแรกอาจจะมีเว้าแหว่งไปบ้างในเรื่องสำนวนภาษา ต้องขออภัยด้วยนะคะ T^T

แสดงความคิดเห็นให้กำลังใจกันด้วยนะค้า



พูดคุยกันได้ที่

TWITTER : @chanadbears
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 28 เข้าใจความรักมากขึ้น (UP) 10/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 10-03-2020 04:45:26
บทที่ 28

เข้าใจความรักมากขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว
[/b]



แสงแดดในยามสายของวันส่องลอดผ่านผ้าม่านสีทึบให้เห็นเป็นเส้นสว่างพาดผ่านใบหน้าของคนตัวสูงที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงกว้าง แขนแข็งแรงวางพาดเอวเล็กของอีกคนที่กำลังนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาคนที่กำลังกอดเขาอยู่ ใบหน้าขาวเนียนละเอียดที่มุ่ยมักจะนึกอิจฉาในใจอยู่ตลอดว่าเกิดมาเคยเป็นสิวสักเม็ดไหม ตอนเด็กกินข้าวกับอะไรทำไมโตมาหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจดได้ขนาดนี้

เส้นผมยุ่งเหยิงที่กระจายทั่วหมอนใบโตไม่ได้ทำให้ความดูดีลดน้อยลง เปลือกตาสีอ่อนกับแพขนตาที่ยาวอย่างน่าหมั่นไส้ ไหนจะจมูกโด่งเป็นเส้นตรงที่รับกันพอดีกับริมฝีปากบางสวยเจือสีชมพูอ่อนๆ เมื่อมองต่ำลงมาก็เจอกับแผ่นอกแข็งแรงเรียงตัวสวยบนร่างเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาสะท้อนกับแสงที่ลอดผ่านเข้ามาจนมุ่ยตาพร่า รอยขบกัดจากฝีมือเขาขึ้นให้เห็นทั่วบริเวณจนอยากจะถามตัวเองเมื่อคืนอีกเช่นกันว่ามึงเอาความใจกล้าที่ไหนมาทำแบบนี้

ยิ่งคิดหน้าก็เริ่มแดง เมื่อไล่ระดับสายตาลงมามองแขนที่วางพาดกับเอวของเขานั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นตึงสมส่วนจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นมาจางๆ พอได้สังเกตบีมแบบนี้แล้ว มุ่ยก็เพิ่งเห็นว่าขนาดตัวของบีมกับเขามันต่างกันมาก ไม่น่าล่ะเมื่อคืนถึงอุ้มเขาลอยหวือเลย

“อืม...” เสียงครางในลำคอและการขยับตัวของคนตรงหน้าบ่งบอกว่าในอีกไม่ช้ากำลังจะลืมตาตื่น มุ่ยกระถดตัวเองเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ เปลือกตาสีอ่อนขยับเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้น

“อือ...เหี้ย!”

“อะไร” บีมตะโกนออกมาอย่างตกใจที่เห็นผมพลางยกมือขึ้นขยี้ตาให้คลายความง่วงงุน แล้วกระพริบตาถี่หลายครั้งให้ชินกับแสงยามสายของวัน

“ทำไม มานอนจ้องตาแป๋วอย่างนี้ล่ะ ตกใจหมด”

“แค่มองเฉยๆ เอง” ผมตอบตรงๆ ทำให้คนตัวสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดขำออกมา ริมฝีปากเปิดเผยอยิ้มจนตาโค้ง เจ้าของแขนแกร่งจากเดิมที่แค่วางพาดกลับสอดรัดช่วงเอวแล้วดึงเข้าหาตัวจนแนบสนิท ฝ่ามือใหญ่กดศีรษะของผมให้ฝังอยู่กับลำคอหนา ความอบอุ่นที่มาจากร่างกายของบีมและมืออีกข้างลูบขึ้นลงทั่วแผ่นหลังผ่านเสื้อยืดตัวบางที่บีมหยิบมาสวมให้เขาก่อนจะหลับไปเมื่อคืนทำให้ผมเริ่มเคลิ้มและเบียดตัวเข้าแนบชิดหาไออุ่นนั้นมากกว่าเดิม

เนิ่นนานจนลมหายใจของร่างสูงเริ่มเป็นจังหวะราวกับพร้อมจะเข้าสู่นิทราอีกครั้ง ซึ่งผมจะไม่ปล่อยให้บีมหลับแล้ว บีมต้องตื่น!


เพียะ!


“...ตีอีกแล้ว” น้ำเสียงเนือยๆ กลั้วหัวเราะทำให้ผมอยากจะฟาดอีกร้อยที แต่ทำไม่ได้ไง เดี๋ยวบีมเจ็บ เพราะฉะนั้นต้องโวยวายเสียงดังๆ เข้าไว้

“เที่ยงกว่าแล้วมั้งบีม ตื่นดิ้ อย่ามาหลับน้ำลายไหลลงหัวกูนะเว้ย”

“ยังไม่อยากตื่นเลย” เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือใหญ่จากที่ลูบหลังให้กันอยู่ดีๆ กลับอยู่ไม่สุข เลื้อยลงต่ำมายังสะโพกแล้วบีบคืนอย่างมันเขี้ยวจนผมสะดุ้ง

“ไอ้บีม!”

“นิ่มๆ” ดูมันทำหน้า

“ไอ้คนชั่ว! ไอ้ลามก!” ทั้งด่าทั้งผลักออก วงแขนแข็งแรงก็ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“ว่าใคร”

“ว่าตัวเองนั่นแหละ!” ทั้งผลักทั้งหยิกจนเหนื่อย ไอ้กำแพงหินตรงหน้าก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เลยได้แต่กัดฟันมองหน้ามันอย่างคับแค้นใจ บีมยิ้มหน้าระรื่นพลางกดจูบที่ริมฝีปากหลายครั้งจนผมเขินแทบบ้า หมดแรงจะสู้จึงปล่อยให้มันกอดเลยตามเลย

“ลามก?”

“เออ บีมเลย บีมคนเดียว”

“แล้วเมื่อคืนใครขอขึ้น?”

“ม..แมวที่ไหนไม่รู้ มันหนีไปแล้ว!” โอ๊ย! ไม่น่าเลยกู ฮืออออ ตราบาปชีวิต

“อ้าว ไม่ใช่เสือมุ่ยคนนี้เหรอ”

“มั่ว! เอาที่ไหนมาพูด บีมม..แม่งมั่วแล้ว เหอๆ”

“รอยเต็มหน้าอกพี่เลยนะ ไม่รวมที่น้องมึงข่วนหลังอีกเนี่ย”

“ไร! ดูนี่ บ..บีมก็ทำเหอะ! ลายเป็นตุ๊กแกแล้วเนี่ย เจ๊ากันดิ” ผมแหวกคอเสื้อตัวเองออกให้บีมดูว่าตัวเองก็ใช่ย่อย ทั้งรอยกัดรอยขบแม่งเต็มหน้าอกลามไปยังหน้าท้อง ดูมันทำกับผมก่อนเถอะครับ

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม” บีมยกมือขึ้นทาบหน้าผากแล้วไล่แตะตามแก้มและลำคอเพื่อวัดอุณหภูมิ ไอ้คนนิสัยไม่ดีกำลังเปลี่ยนเรื่องครับ โหย อ่อนว่ะ

“คนเก่งเขาไม่เป็นไข้กันหรอก” ผมเชิดหน้าตอบ มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่ไม่สบาย เฮอะ

“หิวรึยัง”

“อืมๆ แดกช้างได้ทั้งตัว รู้ไหมว่ากว่าตัวเองจะตื่นอะ กูรอนานมาก” บีมคลายอ้อมกอดออกจากนั้นก็พลิกตัวนอนตะแคงพลางยกแขนขึ้นตั้งรองรับศีรษะตัวเองแล้วมองผมที่กำลังลูบพุงประท้วง

“แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะ”

“อยากนอนมองหน้าบีม”

“เด็กนี่”

“โง๊ย! เลิกยุ่งกับแก้มกูได้แล้ว อยากกินข้าว” มันพุ่งเข้าฟัดแก้มผมทันทีหลังจบประโยค อย่างกับโดนหมาเลียหน้า แถมยังกัดทั้งแก้มจมูกปากจนขึ้นน่าจะขึ้นรอยฟันไอ้หมาบีมทั่วหน้าหมดแล้ว แดกกูเลยเถอะ

“สั่งแกร๊บนะ อยากกินอะไร” หลังจากฟัดจนพอใจ บีมก็หยัดตัวนั่งพิงหัวเตียงแล้วหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าแอพหาร้านข้าว ผมเลื้อยตัวเองหันเท้าไปทางระเบียงแล้ววางศีรษะลงกับพุงแข็งๆ นอนต่างหมอน โดยมีมือใหญ่คอยลูบผมให้เบาๆ

“ชาบูหมูทะ” ผมตอบอย่างที่ใจคิด จู่ๆ หม้อไฟหม่าล่ากับเตาย่างเนยก็ลอยขึ้นมาในหัว ผมจำได้ว่ามีร้านเปิดใหม่อยู่ในซอยข้างมอ พวกไอ้โป้ไปกินมามันก็บอกว่าอร่อย น้ำลายไหลแล้วผม

“...”

“อะไรอะ”

“อยากกินอะไร มึงลีลาอะน้องมุ่ย”

“มึงสิลีลา โธ่เอ๊ย ก็อยากกินชาบูจริงๆ อะ ไม่ได้กินมานานแล้วเนี่ย” พูดแล้วท้องร้องเลย ไม่ได้ว่ะ วันนี้ผมต้องได้กิน

“เอาตอนนี้ก่อน ชาบูไว้ตอนเย็นจะพาไป”

“จริงนะ” ถ้าไม่พาผมไปผมจะร้องไห้จริงๆ ด้วย

“เออสิครับ ทีนี้ก็บอกมาได้แล้วว่าอยากกินอะไร” อยากกินอะไรที่เบาท้องหน่อยเพื่อที่ตอนเย็นจะได้จัดหนักจัดเต็ม ร้านไม่ปิดไม่กลับ

“ผัดไทกุ้งสด เอากุ้งเยอะๆ”

“เค” ผมนอนมองบีมที่กำลังจิ้มหน้าจอโทรศัพท์จึ้กๆ แหม่ ขนาดมองมุมเสยแบบนี้มันยังหล่อ รำคาญว่ะ

“บีมกินไรอะ”

“เหมือนน้องนั่นแหละ”

“ไอ้ขี้ลอก!”

“เอาแรงด่ามาจากไหนเยอะแยะวะ ไม่เหนื่อยเหรอเราอะ” บีมวางโทรศัพท์ลงข้างเตียงแล้วหันมาสนใจผม

“เฮอะ”

“หึ จะอาบน้ำเลยไหม”

“อาบดิ เหนียวตัวจะแย่” ถึงแม้ว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้ไม่มีเหงื่อก็เถอะ แต่จากการที่มันแห้งติดผิวทำให้ผมรู้สึกระคายจนอยากจะพุ่งลงน้ำมันซะเดี๋ยวนี้

“อาบด้วยกัน?”

“ตีนะ”

“ให้อุ้มไปด้วยไหม?”

“อยากหัวแตกเหรอ”

“ฮ่าๆ เออครับ เดี๋ยวรอรับข้าวให้ เราไปอาบก่อน”

“...”

“มองตาปริบๆ มันหมายความว่าไง หรือที่ไม่ลุกคือจริงๆ อยากอาบด้วยกันสินะ” ไม่พูดอย่างเดียวบีมก็ยกหัวผมขึ้นแล้ววางลงกับฟูกอย่างนุ่มนวลแล้วขยับตัวลงจากเตียงพลางสอดแขนเข้ามาข้างใต้ข้อพับขาและแผ่นหลังแล้วอุ้มขึ้นอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว

“เห้ย! ปล่อยเลยนะ” ผมแกว่งขาดิ้นอย่างไม่ยอม แต่แค่ขยับความรู้สึกเจ็บก็แล่นจี๊ดจากบั้นเอวลามขึ้นหัวอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ย!” ผมเกี่ยวคอบีมไว้แน่นแล้วหมุนหน้าเข้าซุกช่วงไหล่แข็งแรง อ้าปากกัดเข้ากับผิวเนื้อเพื่อระบายความเจ็บปวด

“เป็นอะไร เจ็บตรงไหนน้องมุ่ย” บีมทรุดตัวนั่งลงทันทีแล้ววางผมไว้บนตัก เจ้าของมือใหญ่ลูบแผ่นหลังขึ้นลงหลายครั้งเป็นเชิงปลอบแล้วกระซิบถามข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ผมปล่อยปากของตัวเองออกเมื่อความเจ็บคลายลงกว่าเดิม ผิวขาวๆ ของบีมเมื่อเจอเข้ากับแรงกัดของผมทำให้เห็นรอยฟันชัดเจน แต่บีมก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด กลับกันดูเหมือนเจ้าตัวจะให้ความสนใจกับอาการของผมมากกว่า

“ขอโทษที่กัด”

“ช่างมัน เมื่อกี๊เป็นอะไร” คิ้วเข้มขมวดลงพร้อมใบหน้าเคร่งขรึมมองสำรวจทั่วราวกับจะหาบาดแผลบนตัวผมให้เจอ

“ก็ดิ้นอะ...” ผมเสตามองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตาด้วย

“แล้ว?”

“ดิ้นแล้วมันเจ็บก้นไง! ขามันก็สั่นด้วย” ผมโวยวายเสียงดังกลบเกลื่อนความน่าอายของตัวเอง บีมนิ่งไปอึดใจและเมื่อเข้าใจความหมายของเรื่องทั้งหมดก็ระเบิดหัวเราะออกมาจนตาเป็นสระอิทั้งสองข้าง

“ฮ่าๆ”

“เพราะบีมนั่นแหละ!” ตอนแรกผมก็นึกว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร แต่พอตอนขยับตัวหนุนพุงบีมผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่าขาสั่นและปวดบริเวณเอว กะว่าจะนอนรอจนกว่าอาการจะเบาลงแต่ก็โดนบีมแกล้งซะก่อน

“ตัวปวกเปียกเป็นเยลลี่เหลวแต่ปากนี่ฉอดไม่หยุดเลยนะ” บีมพูดแหย่แถมยังจุ๊บปากไม่หยุด หน้ากูเปื้อนน้ำลายมึงหมดแล้ว ไอ้หมาบีม!

“กูไม่ได้ใช้ปากเดินโว้ย! แล้วก็เลิกยุ่งกับหน้ากูซักที” ผมยกมือดันหน้าบีมให้ออกห่าง แต่บีมก็ใช้แขนสองข้างรวบเอวผมเข้ามาใกล้แทนจนได้หอมแก้มผมไปเต็มฟอด ไอ้คนหน้าด้านเอ๊ย!

“เถียงเก่ง”

“พาไปหน่อยดิ” ไหนๆ ก็อุ้มแล้ว ส่งกูให้ถึงห้องน้ำด้วยเลยแล้วกัน

“พูดดีๆ”

“ดีๆ”

“อยากโดนฟัดอีกเหรอ”

“บีมอย่าลีลา อยากอาบน้ำแล้วเนี่ย”

“น้องมุ่ยอย่าขี้เขิน พูดก่อน”

“ฮ่วย!”

“เร็วสิ”

“...พี่บีม พาไปห้องน้ำหน่อย”


ฟอด!


“ชื่นใจ” แทบจะกลอกตามองบน ไอ้นี่มันหาแต่เรื่องหลอกจะแต๊ะอั๋งผมเท่านั้นแหละ มันน่าฟาดซักร้อยทีพันที

“เห้ยๆ ส่งแค่ตรงนี้พอ” ผมตีลงกับอกหนาเมื่อบีมทำท่าจะเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปทั้งๆ ที่ยังอุ้มผมอยู่

“เดี๋ยวส่งข้างใน”

“ไม่ต้อง! กูรู้นะว่าบีมคิดอะไรอยู่ หยุดเลย ไม่งั้นจะโดนทุบจริงๆ ด้วย” ผมดิ้นๆ อยู่ในอ้อมแขนจนบีมต้องวางผมลงเพราะกลัวผมเจ็บ เมื่อเท้าแตะพื้นก็เกือบจะทรุดลงจากอาการขาสั่นและไม่มีแรง บีมฉวยโอกาสกอดประคองเอวผมไว้แนบตัวแถมยังทำหน้าตากวนตีนล้อเลียนส่งมาให้อีก

“ไม่ไหวม้าง”

“ไหว! เมื่อกี๊แค่แกล้งเฉยๆ หรอก” ผมตีแขนหนาให้ปล่อย บีมก็ทำตามแต่ก็ยังช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง จนผมเริ่มยืนได้ขาไม่สั่นเหมือนเมื่อครู่แล้ว

“แกล้งเก่งจัง”

“เดี๊ยะบีม อย่ามาล้อ” ผมหันหลังเตรียมจะเดินเข้าห้องน้ำ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่แล่นเข้ามาทันทีที่ก้าวขาก็ทำให้ผมหยุดกึก พลางหันกลับไปสบตาคนที่กำลังมองผมอยู่เช่นกัน

“บีม”

“ว่าไง”

“มันเสียดๆ อะ” ถึงแม้ว่าบีมจะอ่อนโยนมากๆ แต่ก็ไม่พ้นความรู้สึกของครั้งแรกระหว่างเราที่ถึงแม้จะไม่เจ็บไม่แสบแต่มันก็รู้สึก

“จะทำอะไร!” ผมตวาดลั่นอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ บีมก็ถลกชายเสื้อผมขึ้นแล้วจับขอบกางเกงยางยืดหมายจะดึงลงแต่ผมไหวตัวทันรีบถอยกรูดเข้ามาในห้องน้ำแล้วใช้ประตูบังร่างกายตัวเองไว้ ยกนิ้วชี้หน้าบีมที่กำลังยืนยิ้มไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำเมื่อครู่แม้แต่น้อย

“จะดูว่ามันอักเสบหรือบวมรึเปล่า”

“ม..ไม่ต้องยุ่ง! ไอ้บ้า เอามือออกไปห่างๆ เลยนะ” ผมปัดมือใหญ่ที่ยื่นออกมาเป็นพัลวันให้ออกห่าง

“พี่จะดูให้”

“ไม่ต้อง! เดี๋ยวดูเอง ไป๊! ไปไหนก็ไปเลยนะ”

“จะเห็นเหรอ มันอยู่ข้างหลัง น้องมุ่ยต้องเอี้ยวตัว--”


ปัง!


“หึ”

ไอ้คนเหี้ยยยยยยยยยยยย







การอาบน้ำเป็นไปด้วยความทุลักทุเล ใช้เวลานานหน่อยแต่ก็สะอาดหมดจดทั้งตัว ผมแง้มประตูห้องน้ำแล้วชะโงกศีรษะออกมาดูลาดเลาแต่ก็ไม่เห็นบีมอยู่ในห้อง ผมจึงเดินออกมาในสภาพที่พันผ้าเช็ดตัวแค่ช่วงล่างแล้วรีบวิ่งไปล็อคประตูห้องนอนทันที กันบีมเปิดประตูมาเจอตอนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า

ผมเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วเลือกเสื้อยืดกางเกงบอลง่ายๆ มาใส่ ดีที่ทิ้งเสื้อผ้าตัวเองไว้ที่นี่อยู่บ้างจะได้ไม่ต้องขโมยบีมใส่อีก ใส่เสื้อมันเหมือนผมใส่เสื้อหมีอะ กางเกงนี่อย่าให้พูดถึง ดึงขึ้นปุ้ปไหลลงมากองที่ขาปั้ป เอาง่ายๆ คือต้องเอาหนังยางมารัดไว้ถึงจะใส่ได้ แม่งลำบากชิบ


ครืด


เสียงสั่นแจ้งเตือนในโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเลยหยิบขึ้นมาดู ก็ปรากฎว่าเป็นแจ้งเตือนล่วงหน้าที่ผมตั้งไว้เมื่อไรก็ไม่รู้


‘อีก 6 วันถึงวันเกิดบีม’


ชิบหาย

วันเกิดบีมวันศุกร์หน้านี่หว่า


ผมเกือบลืมไปเลยว่าจะทำอันนั้นให้บีมอะ แม่งเอ๊ย! อุตส่าห์วางแผนในหัวมาตั้งนานยังไม่ได้ไปขอยืมกล้องจากพี่นายเลย งานหยาบแล้วกู ไม่รู้ว่าพี่นายจะหนีเที่ยวไปไหนรึยังอีกด้วย

ผมเลื่อนหาคอนแทคพี่นายในโทรศัพท์แล้วกดโทรหาทันทีอย่างร้อนใจ อยู่เมืองไทยก่อนนะพี่นาย อย่าเพิ่งไปไหนเลยกูขอร้องล่ะ

(ว่า)

เชี่ย! รับแล้ว ปกติคือไม่ตัดสายทิ้งก็ไม่รับอะครับ แม่งปวดใจสัดๆ

“พี่นาย เค้ายืมกล้องโพลารอยด์หน่อย” ผมเข้าเรื่องทันทีอย่างไม่รีรอ ไม่ได้เลยครับ ถ้ามัวแต่อ้อมไปอ้อมมาพี่นายแม่งตัดสายทิ้งแน่นอน

(เอาไปทำอะไร) มีเสียงแทรกถามว่าใครดังเข้ามาในสาย น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้ผมทายถูกได้โดยไม่ต้องเดาเลยว่าคนนั้นคือเฮียครามคนเลวแน่นอน ตัวติดกันจังเลยนะเวลาผมไม่อยู่เนี่ย น้อยใจว่ะ

“จะเซอไพรส์บีมๆ”

(โอ้โห)

“เค้าไม่มีตังถอยกล้องโพลารอยด์แล้ว ซื้อกล้องฟิล์มมาตัวนึงเค้าหมดตูดแล้วเนี่ย” ผมทำน้ำเสียงให้น่าสงสารมากที่สุดเพื่อให้พี่นายใจอ่อน

(กับกูกับครามกับน้องใสเคยคิดจะทำบ้างไหม น้ำตาจะไหลเลยว่ะ เห็นผัวดีกว่าพี่)

“พูดไม่ดีตีปาก! ผ..ผัวเผออะไร หยาบคาย!” ประชดประชันกันจนใจเจ็บแถมยังพูดอะไรไม่รู้ออกมาอีก พี่นายแม่ง!

(ครามอย่าเพิ่งมายุ่ง...กูพูดเรื่องจริง อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ)

“อะไร! ม...เมื่อคืนก็แค่นอนจับมือกันเฉยๆ! ไม่ได้ทำอะไรเลย!” ทำไมพี่นายพูดเหมือนรู้อะไรเลยอะครับ!

(เมื่อคืน?)

“นอนจับมือ!” ผมย้ำอีกครั้ง กลัวว่าพี่มันจะไม่เชื่อ

(เคๆ)

“อือ นั่นแหละ” โล่ง ดีนะที่พี่นายเชื่อ ไม่ได้เอะใจอะไรมากมายจากคำพูดของผม

(เฮ้อ ประโยคที่ว่าเลี้ยงได้แค่ตัวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง) เสียงถอนหายใจยืดยาวอย่างคนปลงใจดังเข้ามาในสายกับคำพูดที่เหมือนกับรู้ทุกอย่างนั่นเล่นเอาผมนั่งเหงื่อแตกทั้งที่อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ เอ๊ะ หรือพี่มันจะรู้วะ?

“เค้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย พี่นายอย่ามามั่ว”

(มาเอาที่บ้านมึงพรุ่งนี้ละกัน เย็นๆ กูจะแวะเข้ามาให้) จบประโยคก็มีเสียงขลุกขลักกับเสียงก่นด่าของพี่นายแว่วเข้ามา และยังไม่ทันจะกดวางสายได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยขึ้นมาซะก่อน

(ไอ้หมามุ่ย! บ้านเบิ้นไม่กลับ พี่เพ่อน้องเนิ้งไม่เห็นฮงเห็นหัวกันแล้วใช่ไหม) ใช้คำฟุ่มเฟือยเยอะอะไรขนาดนั้นอะพี่กู

“บ่นๆ”

(ใช่ซี้ เฮียมันหมาหัวเน่า พอมีแฟนก็เฉดหัวเฮียทิ้ง แม่งเอ๊ย พูดแล้วน้ำตากูจะไหล) เสียงฮึกๆ ดังให้ได้ยินเป็นจังหวะ ทำเหมือนร้องไห้จริงๆ จนผมต้อกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย เชื่อก็ควายแล้ว

“เฮียอย่ามา เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าไปแล้วเนี่ย”

(กับเฮียขึ้นเสียงใส่ น้ำตาเฮียไหลถึงตีนแล้วนะ อยากให้รู้)

“ไม่ต้องมาทำเป็นงอน อาทิตย์ที่แล้วใครมันทิ้งน้องไปญี่ปุ่นกับพี่นายสองคนวะ ถ้าไม่ติดว่ามีนัดคนไข้แม่งคงไปไม่กลับแล้วอะ สร้างบ้านอยู่ที่นั่นแล้วมั้ง” ถึงตาผมฉอดกลับมั่ง ผมมารู้อีกทีก็ตอนที่เฮียอัพสตอรี่ไอจีว่าอยู่ญี่ปุ่นกับพี่นาย เรื่องนี้ยังไม่ได้สะสางเลยนะ

(เฮียรักมุ่ยเสมอมา)

“ไม่รักโว้ย! ทำมาโมโหกลบเกลื่อน ถ้ากลับบ้านไปไม่มีของฝากนะ คราวนี้จะให้พี่นายหนีไปไกลๆ เลย”

(เฮียรักมุ่ยที่สุด ของฝากเต็มกระเป๋าอยากให้น้องได้เห็น)

(นายเถอะที่ซื้อ ครามมัวแต่ซื้อของตัวเอง โมเดลวันพีซเต็มตู้เลยมุ่ย)

“นั่นไง! คำว่ารักน้องมันไม่มีอยู่จริง!” จบประโยคก็ตามมาด้วยเสียงเฮียที่งอแงกับพี่นายแล้วสายก็ตัดไปซะงั้น ถ้าของฝากผมไม่ถึงครึ่งของเฮียนะ พรุ่งนี้รอโดนถล่มได้เลยคอยดู ฮึ่ม

“น้องมุ่ย” เสียงเรียกพร้อมเสียงเคาะดังขึ้นหน้าประตูห้อง จึงนึกขึ้นมาได้ว่าล็อคไว้นี่หว่า ผมรีบวิ่งไปปลดล็อคแล้วเปิดประตูทันทีพร้อมรอยยิ้มแฉ่งให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ล็อคห้องทำไม” พอเปิดประตูออกมาก็เจอบีมยืนทำหน้าสงสัยอยู่ ภายใต้รอยยิ้มคือผมแอบเลิ่กลั่กอยู่ ทำหน้าปกติเดี๋ยวบีมก็จับได้มันก็จะไม่ใช่เซอไพรส์น่ะสิครับ

“ก็แต่งตัวอะ” ผมดันตัวบีมที่ขวางทางอยู่ออกแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่มีจานผัดไทกุ้งสดวางอยู่สองจานพร้อมส่งกลิ่นหอมยั่วให้น้ำลายไหลอยู่ตรงหน้า

“เมื่อกี๊ได้ยินเสียงคุย” บีมนั่งลงตามแต่ยังไม่หยุดถาม ในขณะที่ผมจ้วงเส้นผัดไทเข้าปากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮือ อร่อยน้ำตาแทบไหล

“เฮียโทรมาไง”

“ท่าทางมีพิรุธ” บีมวางศอกลงกับโต๊ะแล้วเท้าคางมองผมตาไม่กระพริบ นี่คนรึผีวะ เซนส์มึงจะแรงไปไหนครับเนี่ย

“อะไรบีม คิดไปเอ๊ง” หลบสายตาอย่างแนบเนียนโดยการก้มนับกุ้งในจานตัวเอง ของผมมีสามตัวในขณะที่จานของบีม เห้ย ทำไมมีตั้งสี่ตัว ขี้โกงว่ะ

“เหอะๆ” บีมใช้ตาคู่คมจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ เหมือนพยายามจะกดดันให้ผมคายความลับออกมาให้ได้ เฮอะ! เสียใจด้วยนะบีม เฮียมุ่ยน่ะคือคนที่เก็บความลับเก่งที่สุดในโลกแล้วโว้ย ไม่มีทางที่คำว่าเซอร์ไพรส์วันเกิดจะหลุดออกจากปากก่อนถึงวันนั้นแน่นอน

“มองทำไมนักหนาเล่า กินข้าวดิ”

“ไม่ใช่กำลังคิดอะไรแผลงๆ ในหัวนะน้องมุ่ย”

“อะไรของบีม”

“ยิ้มแบบนี้ทีไรล่ะเป็นเรื่องตลอด กูไม่ไว้ใจเลยว่ะ ไม่ได้กำลังคิดแกล้งใครอยู่ใช่ไหมมึงอะ”

“พูดมาก ขโมยกุ้งแม่ง” ผมใช้โอกาสที่บีมกำลังพูดยกส้อมขึ้นแล้วพุ่งเข้าหาจานผัดไทของบีมพร้อมจิ้มกุ้งสีส้มตัวโตพลางเอามาวางในจานตัวเองทันที อา ครบแล้วสี่ตัว

“เปลี่ยนเรื่องเก่ง” บีมตักกุ้งในจานตัวเองแล้วเอามาวางบนจานของผมให้อีกตัว ไม่วายโดนขยี้ผมจนยุ่งเหยิงต้องมานั่งรวบใหม่ ซึ่งในที่สุดบีมก็เลิกซักไซร้ผมต่อแล้วตักผัดไทคำแรกเข้าปาก ผมจึงได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ หึๆ สำเร็จ ต่อให้บีมสงสัยบีมก็ได้แค่สงสัยต่อไปนั่นแหละ อย่ามาหลอกถามกันซะให้ยากเล้ย

“บีมทำไมชอบจับผิด อะๆ บอกก็ได้ พรุ่งนี้เฮียให้กลับบ้าน” ผมเบี่ยงประเด็นไปอีกเรื่อง

“แค่นี้?”

“ใช่”

“จริงดิ”

“จะเอาอะไรอีกอะ อ่อ บีมไปส่งด้วย” ขี้เกียจกลับหอก่อนอะ อีกอย่างบีมก็เคยเจอเหล่าพี่น้องของผมมาแล้วไม่น่าจะอะไรมาก มั้ง

“น้องมึงจะไปกี่โมง”

“เย็นๆ ซักสี่โมงก็ได้ บีมมีทำงานเหรอพรุ่งนี้” ผมถาม

“มีเรียนประมาณสิบโมงถึงบ่ายสองกว่าๆ เออ พรุ่งนี้ไอ้บูก็กลับมาแล้วนะ” เยี่ยมที่สุด ชวนไอ้น้องบูไปซื้อฟิล์มโพลารอยด์ดีกว่า

“จริงดิ งั้นพรุ่งนี้กูออกไปเล่นกับน้องมันนะ ส่วนบีมจะไปไหนก็ไปเลย ชิ่วๆ” หลังจากนั้นเราสองคนก็นั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย พอทานข้าวเสร็จเรียบร้อยก็มานอนเอื่อยดูหนังบนโซฟากับบีมจนผ่านไปไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง สิ่งเดียวที่รู้คือหมอนที่ชื่อบีมเนี่ยทั้งนุ่มและอุ่นที่สุดเลย





ในวันรุ่งขึ้นบีมที่ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยตอนไหนไม่รู้ จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาเขย่าตัวเพื่อปลุกให้ผมตื่น ไม่วายยังฉวยโอกาสลวนลามผมที่ยังงัวเงียไม่ตื่นดีโดยการหอมแก้มและฟัดทั่วหน้าจนมีแต่น้ำลายหมาบีมเต็มไปหมด อี๋ ไอ้คนซกมก

กว่าบีมจะพอใจเล่นเอาหน้าแทบยุ่ย ผมไล่เตะบีมให้ออกจากห้องแล้วก็เดินสโลเสลเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จจากนั้นก็เดินออกจากห้องมาเจอไอ้น้องบูนั่งกินข้าวอยู่หน้าทีวีพอดี น้องมันโบกมือทักทายแล้วตักข้าวเข้าปากคำโต ผมนึกขึ้นมาได้ว่าจะชวนน้องมันออกไปข้างนอกเลยเอ่ยชวนทันที ไอ้ตัวดีก็ตอบตกลงโดยไม่อิดออดและอาสาจะขับรถให้ด้วย ให้มันได้อย่างนี้สิวะน้องรักของเฮีย

ซึ่งก่อนบีมจะออกจากห้องเจ้าตัวพูดทิ้งท้ายว่าจะกลับมารับที่ห้องตอนบ่ายสามครึ่งแล้วก็กำชับผมเสียงเข้มว่าอย่าพากันไปหาเรื่องที่ไหนอีกเด็ดขาด

“ดูแลเฮียมึงด้วยบู”

“ไว้ใจได้”

“เกินไปเหอะ กูเคยหาเรื่องใครก่อนบ้าง ถามหน่อย มีแต่เรื่องมาหากูทั้งนั้น”

“เห็นท่าไม่ดีแล้วโทรมาหาพี่” บีมไม่มองหน้าผมแต่หันไปสั่งน้องตัวเอง เล่นเอาคิ้วกูกระตุกจึกๆ เลย มึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะเนี่ย

ช่วงสายรวบจนถึงบ่ายของวันผมได้ฟิล์มโพลารอยด์กลับมาจนจุใจ ไม่นับฟิล์มม้วนหลากชนิดอื่นๆ อีกต่างหาก ผมเล่าแผนการให้น้องมันฟังพร้อมกำชับให้เก็บเป็นความลับที่สุดของที่สุด อย่าปริปากบอกพี่มึงเด็ดขาด ไม่งั้นโดนผมเตะตูดแน่

และการที่จะให้น้องมันปิดเรื่องเซอไพรส์วันเกิดให้มิด ผมเลยต้องแปลงร่างเป็นอาเสี่ยสายเปย์สักหน่อย ด้วยการซื้อสีน้ำจากร้านขายอุปกรณ์ศิลปะให้น้องบูไปหนึ่งเซ็ตจุกๆ น้ำตาแทบไหล เรียกกูว่าท่านเฮียมุ่ยซะเถอะไอ้น้อง

ไม่เป็นไรครับ ถึงแม้ค่าขนมเดือนนี้จะร่อยหรอทั้งที่ยังไม่ถึงกลางเดือนแต่ผมยังมีเฮียคราม บีม และเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคนให้เกาะแดก แค่นี้ผมก็สบายใจแล้วครับ

ตอนนี้ผมนั่งเคี้ยวเยลลี่อยู่ในรถโดยที่บีมเป็นคนขับ ระหว่างทางก็แวะซื้อขนมของกินเล่นมาด้วย กะว่าจะเอามาฝากเฮียกับน้องแต่คงจะไม่ถึงอะ อยู่ในท้องผมหมดแล้ว ฮ่าๆ

รถคันสีดำเคลื่อนตัวมาจอดสนิทหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่อันคุ้นเคย ผมมองผ่านรั้วบ้านเข้าไปก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจกับรถยนต์สองคันที่จอดอยู่ ณ ลานจอดรถของบ้าน คันหนึ่งของเฮียครามอันนี้จำได้แม่น แต่อีกคันทั้งสีและทะเบียนไม่คุ้นเลย จะว่าของพี่นายรายนั้นก็น่าจะแว้นมอ’ ไซด์มา สรุปรถใครวะ

“บีม มีรถใครไม่รู้มาจอดในบ้านด้วย”

“เพื่อนเฮียรึเปล่า”

“ไม่รู้อะ ดีนะยังมีที่เหลือให้จอด เบียดๆ หน่อยนะบีม เดี๋ยวกูลงไปเปิดประตูรั้วแป้ป” ผมเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้ววิ่งอ้อมไปดันรั้วบ้านให้เปิดออกจนกว้างพอที่บีมจะขับเข้ามาได้ผมก็เลื่อนประตูรั้วปิดกลับไปเหมือนเดิม

บีมดับเครื่องเสร็จเรียบร้อยแต่ยังไม่ทันจะลงรถ เสียงเรียกที่คุ้นหูก็ดังขึ้นหน้าประตูบ้านทำให้ขนในร่างกายลุกชันโดยอัตโนมัติ

ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 28 เข้าใจความรักมากขึ้น (UP) 10/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 10-03-2020 04:46:58
ต่อตรงนี้จ้า


“น้องมุ่ย”

“เย้ย! อ..อาม๊า”

“กลับมาได้ซักทีไอ้ตัวดี”

“อ..อาเตีย”

ผมยืนช็อคอยู่ตรงนั้น ตาเบิกกว้างจนแทบถลนที่เห็นเตียกับม๊ายืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่หน้าบ้านโดยมีเฮียคราม เจ้าใส และพี่นายยืนขนาบข้างทั้งสองฝั่ง สรุปรถคันไม่คุ้นตานั่นคือของเตียกับม๊าเหรอ!?

ชิบหายแล้ว

“ม...แหม๊ พร้อมหน้าพร้อมตาเชียวบ้านนี้ ฮะๆ” ผมยกยิ้มราวกับดีใจอย่างถึงที่สุดพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าลวกๆ รีบก้าวเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็วแล้วสวมกอดหม่าม๊าที่รักก่อนคนแรก

“ใครว่าจะลงไปหาม๊าเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน” ม๊าพูดเสียงเรียบนิ่งแต่ก็ยอมกอดตอบทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย จึงผละออกมาหอมแก้มนิ่มทั้งสองข้างดังฟอดอย่างเอาใจ แล้วเอ่ยตอบกลับไปเสียงหงอยๆ

“มุ่ยไม่ว่างเลยม๊า มุ่ยยุ๊งยุ่ง งานเยอะมากจนจะทับน้องตายอยู่แล้วอะ” ด้วยความเป็นผู้หญิงใจดีของม๊าจึงทำนิ่งขรึมได้ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมา สองมือมุ่งตรงเข้ามาหยิกแก้มใสให้ยืดออกอย่างมันเขี้ยวในตัวลูกชายคนนี้

“เชื่อดีไหมเนี่ยเราน่ะ”

“เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใคร ฉันนี้แหละห่วงใย รักแท้และแน่จริง” ผมแกล้งร้องเพลงหยอกทำสาวสวยตรงหน้าหัวเราะเบาๆ

“กะล่อนจริงๆ” ผมสวมกอดแน่นๆ อีกครั้งแล้วผละออกมาหาชายชาตรีอันดับหนึ่งในดวงใจของผมอีกคน

“คิดถึงเตียเหมือนกัน” ผมโผเข้ากอดทันทีไม่รอให้เตียพูดอะไรทั้งนั้นพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเข้าให้อย่างเต็มฟอด

“ตัวดี ไม่ต้องมาอ้อน หึ” เตียสูงพอๆ กับเฮียคราม การที่อายุเยอะขึ้นไม่เคยทำลายความหล่อของผู้ชายคนนี้ได้ หน้าตาเหมือนผมอย่างกับแกะ! ให้ตายสิ ผมนี่มันหล่อได้พ่อจริงๆ

“อย่างอนน่า เตียต้องดีใจสิ การเรียนมหา’ ลัยของมุ่ยเป็นไปอย่างราบรื่นเลยนะ ไม่มีปัญหาสักกะแอะเดียว” ผมโม้เสียงดังอย่างภาคภูมิใจ หึๆ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ติดสินบนเจ้าใสไว้เยอะ เรื่องเลยไม่เคยถึงหูของเตียกับม๊า รอดตัวแล้วกู

“ไม่มี หรือเตียกับม๊าไม่รู้กันแน่ ฮึ”

“ไม่มี๊!”

“แล้วนั่นเพื่อนเรามาส่งหรือ ไม่เรียกเขาเข้ามาด้วยล่ะ ให้เพื่อนยืนรอได้ยังไงเด็กคนนี้” ม๊าถามพลางชะเง้อมองไปยังรถของบีม ผมจึงหันขวับกลับไปทันทีเมื่อเพิ่งนึกได้ ก็เห็นบีมยืนรออยู่ที่รถพลางส่งยิ้มมาให้


ชิบหายแล้วกู

บ้านถล่มแน่


“ใช่เพื่อนเร้อ”

“เฮียห้ามพูด!” ผมเอื้อมมือฟาดแขนเฮียครามดังเพียะโทษฐานที่พูดอะไรไม่รู้ออกมา แต่ด้วยความเป็นเฮีย สำนึกน่ะมีที่ไหน ยังลอยหน้าลอยตาพูดออกมาเฉย

“เฮียพูดได้ ไม่มีใครมาอุดปากไว้สักหน่อย อิอิ”

“อ้าว ไม่ใช่เพื่อนเราเรอะ” เตียถามอย่างสงสัย พอผมจะหันไปปฏิเสธ ม๊าก็อุทานออกมาก่อน

“หรือว่าเด็กคนนั้นคือพี่บีม พี่บีมใช่ไหมคะน้องนาย” ม๊าหันไปถามคนที่รู้เรื่องที่สุดในบ้านนี้ และคำตอบของพี่นายก็ไม่ทำให้ใครผิดหวัง

“ใช่ครับ”

ยกเว้นผม แง!

“น้องมุ่ย!” สองเสียงของสองบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านร้องเรียกประสานกัน ผมหลับตาปี๋เตรียมตัวโดนด่า ปากก็เอ่ยคำขอโทษเสียงดัง

“อย่าด่าน้อง น้องขอโทษ!” ม๊าไม่อยู่รอฟัง กลับรีบเดินเข้าไปหาบีมแล้วร้องเรียกเสียงหวานยิ่งกว่าชื่อลูกตัวเอง

“พี่บีมลูก” บีมยกมือไหว้อย่างสวยงามพร้อมรอยยิ้มอันแสนหล่อเหลาประจำตัว แล้วประคองม๊าที่จูงมือพาบีมเดินเข้ามาหาพวกเรา

“สวัสดีครับคุณน้า คุณอา”

“มาคุณนงคุณน้าอะไรกัน เรียกม๊ากับเตียนะลูกนะ” ม๊ายิ้มใจดีก่อนจะสวมกอดหลวมๆ แล้วจึงผละออกมาทำหน้าเศร้า ทำเอาผมเป็นงง ม๊าเป็นอะไรอะ เกิดอะไรขึ้น?

“ม๊าเห็นใจพี่บีม เหนื่อยมากไหมลูก” คนสวยของผมยืนลูบผมบีมแล้วทำหน้าเศร้าอย่างเห็นใจ บีมมองมาที่ผมแล้วส่งสายตาถามนี่คืออะไร ผมส่ายหน้ายึกยักอย่างไม่รู้เหมือนกัน

“ม๊า?” ผมแตะแขนม๊ากำลังจะเอ่ยแต่ไม่ทันคนตรงหน้าซะก่อน

“กับน้องมุ่ยเขาน่ะ เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าดื้อมากๆ ม๊าอนุญาตให้ดุได้เลยนะคะ”

“ม๊า! อะไรเนี่ย” เหวอเลยกู อยู่ๆ มาหาว่าผมดื้อได้ไงเนี่ยครับ คนดีกว่าผมก็นายกแล้ว

“ไม่ต้องพูดเลยเรา ทำพี่เขาเหนื่อยมากี่ครั้งแล้วอย่าคิดว่าม๊าไม่รู้นะ”

“ผมไม่เหนื่อยเลยครับ น้องมุ่ยน่ารักมาก”

“น่ารักกับผีน่ะสิเด็กคนนี้น่ะ”

“เตีย!” ผมหันไปแหวสุดหล่อที่ยืนข้างๆ กัน ทำหน้ามุ่ยบึนปากอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็โดนเขกหัวเข้าให้ดังป้อก แล้วเตียก็เอื้อมมือตบบ่าบีมสองสามครั้งพลางแสดงสีหน้าไม่ต่างกันกับม๊าเล่นเอาผมนี่ชอกช้ำระกำใจ นี่ลูกนะ นี่ลูกเอง แงงง

“เฮ้อ ไม่รู้หลงมาชอบเด็กดื้ออย่างนี้ได้ยังไง”

“เตีย! เตียหวงมุ่ยหน่อย นี่มุ่ยลูกชายเตียเอง!”

“อาบีม ถ้ามันดื้อนักนะ ก็เลิกไปเลย” เตียอย่ามาแช่งกันนะ!

“ไม่เลิก!” ผมตะโกนเสียงดัง เดินเข้าไปยืนข้างบีมแล้วคว้ามือใหญ่เข้ามาจับประสานแล้วชูขึ้นให้ทุกคนดู

“อะไร เตียไม่ได้คุยกับเรา”

“ไม่ให้เลิกหรอก ห้าม!” บีมบีบมือผมกลับราวกับจะบอกว่าให้ใจเย็นๆ ไม่เย็นมันแล้วโว๊ย!

“แล้วเป็นอะไรกันถึงไปห้ามเขาน่ะ หือ”

“คนนี้ชื่อบีม บีมเป็นแฟนมุ่ย!”

“...”

“แฟนมุ่ยเอง เราคบกัน บีมแฟนมุ่ย มุ่ยแฟนบีม!”

“...”

“อ้อ”


อะ อ้าว ไม่ตกใจกันหน่อยเหรอ


เป็นการตอบรับที่สั้นมาก ผมคิดไว้ในหัวว่าทั้งสองคนจะต้องตาถลนแน่นอน แต่นี่มันอะไร ใบหน้านิ่งเฉยกับคำตอบสั้นๆ นั่น ไม่ตกใจกันเลยเหรอครับเนี่ย

“เข้าบ้านกันดีกว่าครับทุกคน ไปนั่งคุยกันสบายๆ ในบ้านดีกว่า ตรงนี้มันร้อนนะ” พี่นายเอ่ยขัดขึ้นแล้วผายมือให้ทุกคนเข้าบ้านก่อนที่แสงแดดกำลังจะไล่มาถึงตัว

“...” ง่ายๆ อย่างนี้เลย?

“มาๆ เข้าบ้านกันลูก ม๊ามีเรื่องจะคุยกับพี่บีมเยอะแยะเลย” ม๊ากอดแขนบีมแล้วพากันเดินคุยกระหนุงกระหนิงเข้าบ้านเป็นคู่แรก ตามด้วยเสียงตะโกนเรียกของผมที่ไม่หันกลับมามองกันเลยสักคน

“ม๊าๆ น..น้องมุ่ยอยู่นี่ ม๊า เดี๋ยว ม๊า!”

“หมาหัวเน่าโว๊ย! หมาหัวน่าวววว” นี่ไง มันมีตัวเสี้ยมอยู่นี่ไง!

“ไอ้เฮีย!”

“ว้าก! อย่ามากัดเฮียนะเว้ย! นายช่วยด้วย!”





หลังจากนั่งถามไถ่กันสักพัก ฟ้าใสก็ขอตัวไปทำกับข้าวโดยมีพี่นายเข้าไปช่วยด้วยอีกแรง ผมยังนั่งหน้าสลอนคอยเถียงเวลาที่ม๊ากับเฮียครามแฉวีรกรรมของผมตอนเด็กๆ ผลสุดท้ายก็โดนม๊าไล่มาสับหมูอยู่ในครัว ห่วงบีมก็ห่วง เขายังงงอยู่เลยว่าทำไมปฏิกิริยาของทั้งคู่ถึงได้นิ่งขนาดนั้น ต้องพูดตรงๆ ว่าการที่ผมมีแฟนก็ว่าช็อคแล้ว นี่ยังเป็นบีมที่เป็นผู้ชายอีก

โอเคที่เฮียก็มีพี่นาย แต่วันที่เฮียครามกับพี่นายมาหาที่บ้านแล้วบอกกับเตียและม๊าว่ากำลังคบกันอยู่ วันนั้นบ้านแตกแค่ไหนผมยังจำได้ไม่ลืม

อิหยังวะ?

“สับนิ้วตัวเข้าไปด้วยสิ เหม่อขนาดนั้น” ใสทัก ผมถึงได้หลุดออกจากภวังค์ ก็เห็นว่าหมูที่ผมกำลังสับนั้นละเอียดอยู่ข้างเดียวอีกข้างยังเป็นหมูชิ้นอยู่เลย

“ใส ใสไม่เข้าใจเฮีย” ผมลงแรงสับๆ แล้วตัดพ้อน้องตัวเองไปด้วย ปากคอเราะร้ายเหมือนพี่นายเข้าไปทุกวัน น้องสาวคนดีของเฮียไปอยู่ที่ไหนแล้ว ฮืออ

“มีใครเข้าใจเฮียมั่ง อ่อ มีเฮียบีม”

“เอ๊ะ? หรือว่าเตียกับม๊ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเฮียคบกับบีมวะ” ผมฉุกคิดขึ้นมาได้แล้วหันไปถามใสที่กำลังชิมน้ำแกงในหม้อ

“รู้ตั้งนานแล้วเหอะ”

“เห้ย ใครบอก” ผมหยุดสับแล้วหันมาถามอย่างตกใจ

“เฮียครามดิ”

“หนอย!” กำหมัดแล้วกู กำหมัดแล้ว!

“กูด้วย” พี่นายหันมาตอบผมอีกคนแล้วจับปลานิลตัวใหญ่ลงทอดจนได้ยินเสียงน้ำมันโดนน้ำดังฉ่า

“พี่นาย!”

“เตียกับม๊าเขาถาม กูก็ต้องบอกไหม”

“เนี่ย อย่าบอกนะว่าวันนี้ก็หลอกให้มาเจอกันอะ”

พี่นายยกยิ้มมุมปากแต่ไม่พูดอะไร ทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่ากูโดนหลอกอีกแล้ว โว๊ยยยย

“เขา รับได้กันไหม ในตอนแรก”

“ก็อึ้งนะ แล้วหลบไปคุยกันสองคน จากนั้นก็ให้กูกับครามคอยดูให้” พี่นายยืนทิ้งสะโพกพิงกับเคาเตอร์ครัวพลางแกะเปลือกกระเทียมไปด้วย

“ไม่มีโกรธเลยเหรอ”

“ไม่รู้สิ แต่คงจะโกรธแน่ๆ ถ้าไม่ยอมพามาเจอสักที” ผมนิ่งให้กับคำตอบ แล้วหันมาสับหมูอีกครั้ง เห็นผมแบบนี้ผมก็กลัวนะ กลัวว่าความรักของผมกับบีมจะไม่ได้ไปต่อ ถึงไม่กล้าพามาเจอกันสักที ผมคงทำใจไม่ได้แน่ๆ ถ้าทั้งสองคนสั่งให้เลิก แน่นอนว่าผมคงดื้อที่จะยังคบกับบีมแต่เตียกับม๊าก็จะเสียใจเช่นกัน

ผมไม่ท้ออยู่แล้วถ้าวันหนึ่งจะต้องพิสูจน์ความรักให้เตียกับม๊าเห็น แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วเขาไม่ยอมเลยล่ะ ผมจะทำยังไง ยังคิดไม่ออกเลย

“อย่าคิดมาก เขาคงเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมาตั้งแต่ตอนกูกับเฮียมึงแล้ว”

“ฮือ”

“ไม่ต้องมาเบะ กับตัวเองกูยังสู้ไม่ถอย กับน้องโง่อย่างมึงกูก็ต้องสู้ให้หน่อยสิวะ”

“รักพี่นาย”

“ไม่ต้องมากอด อี๋ น้ำลาย! แม่งเอ๊ย” ผมโผเข้ากอดพี่นายอย่างแรงจนเซด้วยกันทั้งคู่ โดนด่าเช็ดเพราะเกือบชนเข้ากับกระทะ ผมเขย่งตัวหอมแก้มพี่มันสองข้างแล้วกอดแน่นๆ อีกทีก่อนจะผละออกมาแล้ววิ่งไปกอดฟ้าใสน้องรักอีกคน

“ใสว่ากับข้าวจะไม่เสร็จเพราะเฮียมุ่ยอะ”

“รักใสด้วย ฮือ”

“ง่ะ น้ำลายอะเฮีย”

“กูเอากล้องมาแล้ว อยู่ในห้องมึงอะ ไปเลือกดูเลย อยู่ตรงนี้เกะกะชิบ”

“หึ้ย เกือบลืมเลยอะ เดี๋ยวมานะ!” ผมตาลุกวาว ปล่อยมือจากการสับหมูมาล้างมือแล้ววิ่งออกจากครัวขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วโดยมีพี่นายตะโกนด่าตามหลังว่าห้ามวิ่งขึ้นบันได





มื้อเย็นของพวกเราผ่านไปได้ด้วยดี แต่ออกจะน่าหมั่นไส้นิดๆ ตรงที่ตอนนี้ผมคือหมาหัวเน่าตัวจริงเสียงจริง ส่วนบีมก็ขึ้นแท่นลูกรักของม๊าไปแล้ว ตักกับข้าวให้จนพูนไปหมด เฮอะ ก็แค่วันนี้วันเดียวแหละวะ

แต่ผมก็แอบดีใจนะที่ทุกคนดูชอบบีม ไม่เว้นแม้แต่กับเตียเองก็ดูชอบบีมมันเหมือนกัน ผมเห็นนั่งคุยเรื่องรถกันอย่างออกรสออกชาติ เฮ้อ โล่งเลยแฮะ

บีมต้องกลับไปนอนที่หอเพราะมีเรียนแต่เช้าในวันพรุ่งนี้เลยต้องกลับก่อนเพราะบ้านผมอยู่ไกลจากมหา’ ลัยค่อนข้างมาก ก่อนจะจากกันเตียกับม๊าก็ชวนให้ไปเที่ยวที่บ้านใหญ่ด้วย ผมก็ได้แต่ลอบยิ้มกึกๆ อยู่คนเดียว ทำไงดี ผมดีใจมากจนทนไม่ไหวแล้ว

“ขับรถกลับดีๆ นะลูก ถ้าง่วงก็จอดพักก่อน”

“ยังไม่สามทุ่มเลยม๊า”

“เอ๊ เด็กคนนี้ ก็ม๊าเป็นห่วงพี่เขา เราน่ะไม่ได้กลับไปด้วยยังจะมาขัดม๊าอีก” ผมทำปากขมุบขมิบล้อเลียนที่ม๊าพูด จนโดนพี่นายโบกเข้าให้ ความจริงแล้วก็จะกลับไปด้วยกันแหละครับแต่บีมก็ปฏิเสธ อยากให้ผมอยู่กับครอบครัวนานๆ ม๊าเลยยิ่งรักมันเข้าไปอีก

มุ่ยยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ ม๊าบอกรักมุ่ยสักคำยังอะ แง

“กลับดีๆ ล่ะอาบีม ถ้าง่วงก็จอดพักอย่างที่ม๊าเขาบอก”

“ครับเตีย ผมไปแล้วนะครับม๊า”

“เดินทางปลอดภัยลูก” เป็นผมที่เดินออกมาส่งบีมคนเดียว ก่อนที่บีมจะเปิดประตูรถ คนตัวสูงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ผมกะจะถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า แต่ก็ต้องกลืนมันไปพร้อมกับอ้อมกอดแข็งแรงของคนตรงหน้าอย่างงุนงง

“หือ?” ผมยอมกอดตอบแต่โดยดี นานเกือบนาทีบีมถึงผละออก ใบหน้าหล่อมองมาที่ผมโดยไม่แม้แต่จะละสายตาไปที่อื่นและจ้องค้างอยู่อย่างนั้น

“รักน้องมุ่ยนะเนี่ย รู้ใช่ไหม”

“ก็รักเหมือนกันป้ะ จะขิงว่ารักมากกว่าเหรอ”

“กูสัญญากับเตียกับม๊าว่าจะดูแลน้องมึงอย่างดีที่สุด”

“ทุกวันนี้ก็ดีมากแล้วนะ มากกว่านั้นคือกระเตงกูแบบเบบี๋แล้วอะ” บีมกดจูบบางเบากับหน้าผากผม แต่เนิ่นนานราวกับบีมต้องการให้ผมสัมผัสถึงความรู้สึกทั้งหมดของเขาที่มีให้กับผมคนนี้

“รักว่ะ หมามุ่ยเอ๊ย”

“รักว่ะ หมาบีมเอ๊ย”

ผมเข้าใจความรักมาอีกนิดหนึ่งแล้ว วันๆ หนึ่งมันจะเท่าไรกันเชียวกับการที่มีคนที่เรารักและรักเราอยู่ข้างๆ มันเพียงพอซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แค่เรามองหน้าและยิ้มให้กันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำบอกรักหวานๆ อื่นใดออกมาหรือการกระทำที่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา สุดท้ายแล้วเราทั้งคู่ก็ยังเข้าใจความหมายและความรู้สึกที่มีให้กัน

ว่ามันคือเรื่องจริง และชัดเจนที่สุดในใจของเราสองคนแล้ว





**************************

น่ารักกันเรื่อยๆ

คิดถึงนักอ่านทุกคนนะคะ

ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีสำหรับทุกคน เป็นวันแห่งความรักที่ได้มอบให้กับคนที่เรารักและรักเรา

ใครที่ยังไม่เจอความชัดเจนหรือรอเวลานั้นมาถึง ขอให้อย่าลืมรีบแสดงความรักให้กันทันทีเลยนะ

อยู่เป็นเพื่อนน้องมุ่ยกับพี่บีมไปจนถึงตอนหน้าเลยนะคะ ตอนสุดท้ายแล้ว อีกนิดเดียววว

ขอบคุณที่ติดตามกัน
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 21-03-2020 03:54:50
บทที่ 29

HAPPY BEAM DAY



คลิก!

เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว สองสามวันมานี้น้องมุ่ยเอาแต่ถ่ายรูปผมเป็นว่าเล่น เห็นว่าได้กล่องโพลารอยด์ตัวใหม่มาจากพี่นายเลยอยากลองเทสดู ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร บางครั้งก็หยิบมาถ่ายให้น้องบ้างหรือถ่ายคู่กันบ้าง

แต่ผ่านมาสองวันน้องยังตั้งกล้องมาทางผมอยู่และไม่มีวี่แววว่าจะเลิกแม้แต่น้อย ถ่ายไปบ่นไปอยู่นั่น ปากเล็กมุบมิบๆ พูดอยู่คนเดียว พอผมถามก็ตอบมาว่าไม่มีอะไร ‘เรื่องของคนเล่นกล้อง บีมไม่เข้าใจหรอก’ พูดแค่นั่นแล้วก็ทำหน้ามุ่ยสมชื่อจากนั้นก็พึมพำกับตัวเองต่อ

“ล้างรูปออกมาคงเต็มห้อง” ผมเปรยขึ้นแล้วเดินมานั่งที่โซฟาข้างน้องแล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักนุ่มที่เจ้าของก็ยังคงง่วนอยู่กับกล้องฟิล์ม บนโต๊ะกระจกเกลื่อนไปด้วยฟิล์มหลากชนิดที่ผมก็ไม่รู้วิธีใช้งานของมันนอกจากน้องมุ่ยคนเดียว

“น่าจะมืด แสงไม่ค่อยพอ” นั่นไง บ่นอีกแล้ว

“ไปข้างนอกกันไหมล่ะ” ผมเอ่ยชวน

“หึ ไปไม่ได้ ตอนเย็นต้องไปทำบูธอีกแล้วเนี่ย เบื่ออะ” น้องทำหน้าเซ็งโลกแล้ววางกล้องลงกับโต๊ะ จากนั้นก็ดันตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งแล้วตัวเองก็ล้มตัวลงหนุนตักผมแทน สองแขนกอดเอวผมแน่นพร้อมกับที่ใบหน้าเล็กก็ซุกอยู่ที่หน้าท้อง ลมหายใจร้อนๆ ทำผมรู้สึกจักจี้จนต้องจับให้น้องมุ่ยนอนหงายแทน ก่อนอะไรๆ มันจะเลยเถิด

ช่วงนี้น้องมุ่ยต้องเข้าไปจัดบูธชมรมทุกวันยันดึกดื่น บางทีลืมกินข้าวจนผมต้องคอยเตือนอยู่ตลอด เจ้าตัวก็บ่นนะว่าไม่อยากทำ ขี้เกียจ อยากอยู่กับผมมากกว่า แต่จนแล้วจนรอดก็โดนเพื่อนลากไปอยู่ดี ผมเห็นแล้วก็ได้แต่เอ็นดู สภาพกลับมาแต่ละทีคืออาบน้ำเสร็จหัวถึงหมอนปุ้ปก็หลับปุ๋ยเลย

“อาทิตย์หน้าก็ว่างแล้ว อดทนหน่อยดิ”

“เหอะ”

ผมจุ้บเหม่งใสๆ หนึ่งทีเป็นการให้กำลังใจ มือพลางลูบผมนุ่มไปด้วยอย่างช้าๆ เส้นผมตรงที่อันเดอร์คัทเริ่มยาวขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าน้องมุ่ยไม่ได้สนใจมันหรืออยากจะปล่อยแล้วตัดทรงอื่น แต่จะทรงไหนผมก็ชอบหมดอยู่ดี

บวชมาเลยกูก็ชอบอะ

“แล้วนี้ถ่ายรูปกูไปตั้งเยอะจะเอาไปทำอะไร”

“ก็บอกแล้วว่าลองกล้อง”

“ลองมาสองวันยังไม่เสร็จอีกเหรอ”

“อันนี้กล้องฟิล์มแล้วบีม โวะ บีมนี่ไม่รู้เรื่องเลย”

“มันเขี้ยวว่ะ” ผมก้มหน้าลงฟัดน้องจนได้ยินเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากดังลั่น เหมือนทุกอย่างที่กินจะไปกองอยู่ตรงแก้มหมด นุ่มนิ่มมากกว่าเดิมจนเหมือนกับแฮมสเตอร์ น่ารักสัด

“แล้วบีมก็ต้องไปทำบูธเหมือนกันไหมอะ” น้องคว้ามืออีกข้างของผมไปทาบแล้วก็จิ้มเล่นเพลินๆ เดี๋ยวก็สอดนิ้วตัวเองประกบกับมือของผม ดึงออกแล้วก็ประกบเข้าอีกที ไม่รู้ว่าชอบอะไรที่มือของผมนัก เวลาอยู่ด้วยกันก็ชอบเล่นแบบนี้ตลอดจนชิน วันไหนที่น้องไม่เล่นก็เป็นผมที่คว้ามือขาวนั่นมากุมไว้เองเหมือนกัน

“อืม กะว่าจะไปช่วยเด็กมันหน่อย” คณะผมก็มีจัดบูธไม่ต่างกัน แต่ตัวผมเองไม่ได้ลงแรงมากนัก ปล่อยให้ปีหนึ่งทำกันไป พวกผมก็จะคอยช่วยดูแลมากกว่า

“งั้นวันนี้กูนอนหอก็ได้ มึงจะได้ไม่ต้องเหนื่อยรับส่ง”

“อยากนอนกอดน้องมึง”

“กอดทุกวันจนตัวกูจะบี้เป็นเยลลี่บูดอยู่แล้ว มากกว่านี้ก็แดกกูเถอะนะ”

“เมื่อวานก็กินไปแล้ว”

“...”

“...”

“จะลุกแล้ว!”

“เขินๆ”

“ไม่ต้องมาล้อ!”

“ไหนดูหน้าหน่อย” ผมหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดเข้าไอจีเลื่อนหากล้องเพื่อจะอัพสตอรี่อันใหม่ โดยจ่อกล้องไปที่คนหน้าแดงที่ยกสองมือปิดหน้าส่ายศีรษะไปมาบนตัก

“ถ่ายอีกแล้ว! มึงจะอัพสตอรี่ให้เป็นจุดไข่ปลาเลยรึไงวะ ไอ้คนชั่ว!” เป็นเรื่องจริงที่อย่างที่น้องพูด วันไหนไม่ได้อัพเหมือนจะขาดใจ ก็น่ารักเองทำไมล่ะครับ ช่วยไม่ได้เลยนะเนี่ย

“น่ารักมาก” ผมพูดประโยคนี้ไปกี่คำแล้วนะ

“เกลียดคำว่าน่ารักจากปากบีมอะ” น้องมุ่ยฟาดลงกับแขนผมอย่างไม่เบามือ เล่นเอาจี๊ดเลย แต่ก็ชินเพราะโดนทุกวัน เขินทีไรลงไม้ลงมือตลอด

“ทำไม” ผมถาม

“ก็มันเหมือนกูน่ารักจริงๆ อะดิ โว๊ย! นี่คือเฮียมุ่ยคนเท่ บีมชอบทำนี่เสียภาพพจน์อะ” ความคิดที่ว่าตัวเองคือคนที่เท่ที่สุดในโลกนี่คงจะฝังลึกเอาไม่ออกแล้วล่ะผมว่า แล้วไอ้ท่าทางทำเป็นเท่ทำเป็นเก่งนี่ผมล่ะอย่างมันเขี้ยวเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งอยากแกล้ง

“น่ารัก”

“โว๊ย!”

“เคยฟังเพลงนี้ไหม แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร” ผมถามน้อง

“ไม่อะ”

“เดี๋ยวเปิดให้ฟัง”

“เพราะมากเลยเหรอ”

“ฟังแล้วนึกถึงน้องมุ่ย” ผมเปิดเพลงให้น้องมุ่ยฟัง เจ้าตัวนอนฟังไปขมวดคิ้วไป พอเพลงจบก็ถามผมทันทีด้วยความสงสัย

“เพลงมันดูไกลๆ อะ”

“บังเอิญได้ฟังตอนน้องมุ่ยหนีเที่ยว” พูดแค่นั้น จากหน้ายิ้มๆ ก็เปลี่ยนเป็นซึมลง มือบางขยับกุมมือผมแน่นเลย

“คิดถึงมากเลยเหรอตอนนั้น”

“ที่สุด”

“จะไม่ทำอีกแล้ว สาบานเลย” ผมก้มลงกดจูบหน้าผากสวยหนึ่งครั้งเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร แต่น้องก็ยังทำหน้าซึมอยู่ดี

“ไม่ปล่อยให้ทำหรอก ถ้าหนีอีกจะกินจนหนีไม่ได้เลย”

“บีม! ไอ้คนทะลึ่ง” ผมแหย่น้องไปเรื่อยๆ จนคนบนตักเริ่มตาปรือ หาวหวอดออกมาหลายครั้งผมจึงหยุดแกล้งแล้วค่อยๆ ลูบผมน้องอย่างเบามือแทน เวลาน้องมุ่ยง่วงนอนไม่ค่อยงอแงเหมือนตอนหิว ส่วนใหญ่จะบ่นออกมาคำสองคำให้รู้ว่า เออ อยากนอนแล้วนะ พอหันมาอีกทีก็คอพับหลับไปซะอย่างนั้น

“ง่วงแล้วบีม ห้าโมงครึ่งปลุกด้วยนะ” น้องมุ่ยสั่งเสร็จสรรพ คว้ามือข้างหนึ่งของผมไปกุมไว้ข้างแก้มเนียน ไม่ถึงห้านาทีก็หลับปุ๋ยไปเรียบร้อย

ผมนอนมองหน้าน้องไปเพลินๆ ในหัวพลันนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองวันก่อนที่ได้เจอกับครอบครัวน้องมุ่ยทั้งครอบครัว เตีย ม๊า เฮียคราม น้องมุ่ย น้องฟ้าใส และพี่นาย

ตัวน้องเคยเปรยกับผมว่าอยากพาไปเจอที่บ้านแต่ก็ยังไม่กล้า ซึ่งผมเข้าใจดีเลยไม่ได้เร่งรัดอะไรน้อง คิดกันไว้ว่าปิดเทอมเมื่อไรจะไปเยี่ยมทันที ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสภาพที่ผมไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรสักอย่าง ถือถุงขนมของน้องมุ่ยพะรุงพะรัง จะยกมือไหว้ก็ไม่ถนัดจึงได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น เห็นแบบนี้ผมก็ค่อนข้างเกร็งที่เจอหน้าเตียกับม๊าครั้งแรกอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้

ม๊าน้องมุ่ยน่ารักมากๆ เดินเข้ามาพาผมไปทำความรู้จักกับทุกคนอย่างใจดี ผมตกใจที่อยู่ๆ ทั้งเตียกับม๊าก็ทำหน้าเครียดแล้วเอ่ยขอโทษเรื่องน้องมุ่ย ทำผมเหวอไปชั่วขณะ สมองมึนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร และเหมือนกับว่าทั้งสองคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับน้องมุ่ยเป็นอย่างดีเพียงแต่รอให้น้องพูดออกมาเท่านั่น ซึ่งก็นั่นล่ะครับ โดนจี้เข้าหน่อยก็โพล่งออกมาหมด เชื่อเขาเลย

พอได้มาสังเกตดีๆ แล้ว หน้าเหมือนกันทั้งบ้านจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะดวงตาเรียวสวยนั่นแทบจะถอดแบบจากเตียกันมาทั้งสามพี่น้อง ยิ่งเฮียครามนี่เหมือนเตียมากจนน่าตกใจ

ม๊าเล่าวีรกรรมน้องมุ่ยตอนเด็กให้ผมฟังจนน้องโวยวายหาว่าโกหกเลยโดนไล่ให้ไปช่วยพี่นายในครัว เจ้าตัวทำหน้าบึ้งแล้วเดินปึงปังออกไปจนม๊าได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ และกล่าวขอโทษผมที่น้องทำตัวไม่น่ารัก ซึ่งผมไม่คิดว่าการที่น้องโดนไล่ให้ไปที่อื่นจะเป็นการไล่ที่จริงจังอะไร เพียงแต่ทั้งคู่น่าจะต้องการคุยกับผมแบบส่วนตัวมากกว่า ซึ่งมันก็จริง


‘น้องมุ่ยดื้อมากเลยเนอะพี่บีม’

‘ครับ’

‘ทำไมถึงมาชอบกันได้ล่ะลูก บอกตามตรงว่าม๊างงมาก’

‘เตียยังคิดว่าชีวิตนี้มันจะหาเมียได้รึเปล่า เฮ้อ’

‘อันที่จริงน้องมาจีบเพื่อนผมครับ’

‘หา!’

‘หยา~ เจ้าหมามุ่ยรู้จักคำว่าจีบด้วยเรอะ’

‘วุ่นวายเลยครับช่วงนั้น น้องซนมาก’

‘เข้าใจๆ มันพุ่งเข้าหาอย่างเดียวเลยล่ะสิ’ เตียถอนหายใจยาวพลางเอนหลังกับพนักพิง พลางจ้องมาที่ผมอย่างสงสัยใคร่รู้แต่ยังไม่พูดอะไร

‘เฮ้อ นิสัยเจ้าตัวเขานั่นล่ะ แก้ไม่หายหรอก’ ม๊าถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เพียงครู่เดียวก็หันมามองผมด้วยสายตาเดียวกันกับเตีย เสียวสันหลังวาบเลยผม

‘ม๊าขอพูดตรงๆ เลยนะคะ ว่าเราสองคนห่วงน้องมุ่ยมาก’ ม๊ากุมมือผมไว้หลวมๆ พลางมองมาด้วยสีหน้าจริงจัง

‘ครับ’

‘ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้มันยังยากที่จะเชื่อใจในตัวพี่บีมได้ เข้าใจใช่ไหมลูก’

‘ผมเข้าใจครับ’

‘น้องนายบอกให้เราอย่าคิดมากแต่ม๊าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ตามประสาคนเป็นพ่อเป็นแม่’

‘…’

‘น้องมุ่ยเป็นเด็กร่าเริง น้อยครั้งที่จะเศร้าหรือเสียใจ ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นและม๊าไม่อยากเห็นน้องร้องไห้อีกแล้ว’

‘…’

‘เจ้ามุ่ยน่ะ ใครก็อยากเข้าหาด้วยนิสัยประหลาดของเจ้าตัวเขา แต่ความจริงแล้วมันก็เด็กวัยรุ่นทั่วไปนั่นล่ะนะ เตียถามเอ็งตรงๆ ชอบลูกเตียจริงรึเปล่า’ ผมรับฟังทั้งคู่อย่างเงียบๆ และค่อยๆ เรียบเรียงคำตอบในหัวเพื่อที่จะตอบกับพวกเขาในสิ่งที่ผมรู้สึกกับน้องจากหัวใจจริงๆ

‘ผมไม่คิดว่าเราทั้งคู่จะมาลงเอยกันแบบนี้ ในตอนแรกผมไม่ได้รู้สึกว่าชอบน้องเลยครับ แต่ผมก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร’ ทั้งคู่นั่งฟังคำตอบของผมอย่างตั้งใจโดยไม่แทรกอะไรเช่นกัน

‘…’

‘ต่อมาผมก็เอ็นดูกับนิสัยของน้อง จริงอย่างที่เตียกับม๊าบอกว่านิสัยประหลาดของเขาทำให้ใครหลายๆ คนสนใจ ซึ่งตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งดื้อทั้งซนเล่นเอาผมปวดหัวอยู่เหมือนกัน’

‘…’

‘น้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงสำคัญของชีวิตผมหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ทำให้ผมค่อยๆ รู้จักกับตัวตนของน้องมากขึ้น ซึ่งความคิดของเราสองคนต่างกันอย่างชัดเจน แต่แปลกที่ผมเข้าใจในสิ่งที่น้องจะสื่อออกมาได้เกือบทั้งหมด และน้องก็ยอมรับฟังผมเช่นกัน’

‘…’

‘ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไร รู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกว่าผมต้องมีน้องมุ่ย ผมต้องมีเขา และอยากมีน้องอยู่ทุกช่วงเวลาของตัวเองไปตลอด’

‘…’

‘ผมบอกเตียกับม๊าไม่ได้ว่าในอีกสิบปียี่สิบปีผมกับน้องเราจะยังเหมือนเดิมไหม แต่ตอนนี้ผมสามารถบอกได้แค่ว่าผมพร้อมที่จะดูแลน้องและรักเขาไปเรื่อยๆ อยากมีเขาอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต’

‘…’

‘ผมรักน้องมุ่ยครับ’

ช่วงเวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย ได้แต่พูดมันออกไปอย่างที่รู้สึกและไม่รู้ว่านั่นคือคำตอบที่เพียงพอแล้วหรือยังกับการที่จะรักน้องมุ่ย กับการที่ผมจะรับช่วงต่อจากครอบครัวเขาเพื่อดูแลน้องอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เนิ่นนานกับการรอคอยคำตอบซึ่งมันทรมาณมากสำหรับผมที่เตียกับม๊าไม่พูดอะไรออกมานานเกือบนาที จนเมื่อผมสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอบอุ่นจากม๊าและแรงตบที่บ่าเบาๆ ของเตียกับคำพูดที่ว่า

‘ฝากน้องด้วยนะลูก’

ซึ่งคำตอบของผมมันก็เป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจาก

‘ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด ผมสัญญา’






ผมจอดรถอยู่หน้าทางเข้าตึกชมรมถ่ายภาพ โดยมีคนข้างกายนั่งเคี้ยวเยลลี่มาตลอดทาง ปากก็บ่นพึมพำว่าไม่อยากทำงาน อยากไปเที่ยวแล้ว ยิ่งเห็นพี่นายที่อัพรูปลงอินสตาแกรมว่าอยู่สวิสเซอแลนด์ ก็ยิ่งอิจฉาตาร้อนเข้าไปใหญ่ โทรหาก็โดนตัดสายทิ้งอยู่หลายรอบกว่าจะยอมรับสาย อ้อนกับพี่เขาใหญ่เลยว่าอยากไปด้วย ทำไมถึงไม่ชวน จนเป็นผมบ้างที่อิจฉาพี่นาย

น้อยครั้งที่จะเห็นน้องมุ่ยอ้อน ส่วนใหญ่กับผมก็จะโวยวายเวลาเขินอย่างเดียว คนที่ได้รับลูกอ้อนไม่จำกัดคงมีแต่พี่นายคนเดียวเท่านั้น

“มะรืนวันเกิด อยากกินไร เค้กมะ?” น้องมุ่ยหันมาถามผม พลางหยิบเยลลี่เข้าปากเคี้ยวหยับๆ ไปด้วย

“พี่หรือน้องมุ่ยที่อยากกิน” ผมปล่อยพวงมาลัย ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วขยับเอียงตัวมามองหน้าคนข้างๆ ด้วยรอยยิ้มบาง

“อิอิ เดี๋ยวทำเค้กให้เอาป้ะ ยี่สิบชั้นเป็นไง” น้องยกมือทำท่าให้ผมดูว่ามันใหญ่แค่ไหน แล้วหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบอกชอบใจกับความคิดของตัวเอง

“ซื้อดีกว่า กูยังไม่อยากให้ครัวพัง” จบประโยคก็เล่นเอาน้องมุ่ยหันขวับ จ้องผมตาเขม็ง

“บีมทำไมชอบดูถูก คนเราอะ”

“จำผัดกระเพราเมื่อวานก่อนได้ไหม” วันนั้นนึกคึกอะไรไม่รู้ ตื่นแต่เช้าแล้วบอกว่าจะทำกับข้าวให้กิน ผมจับใจความที่น้องพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยได้แต่เออออกลับไปอย่างสะลึมสะลือเพราะเพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง สักพักใหญ่ผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโวยวายกับเสียงของตกดังลั่น ผมรีบวิ่งออกมาดูน้องทันทีกลัวว่าจะเป็นอะไร ก็เห็นน้องยืนยกมือสองข้างทำราวกับถูกตำรวจจับได้ บนพื้นในโซนครัวมีน้ำเจิ่งนองพร้อมด้วยใบกระเพราและเศษหมูสับกระจายทั่วพื้น พร้อมกระทะที่คว่ำอยู่และมีรอยดำไหม้อยู่บริเวณก้นกระทะ ข้างๆ กันก็เป็นตะหลิวกับกะละมังเล็ก เล่นเอาผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะกับภาพที่เห็น

ยิ่งไปกว่านั้นคือน้องมุ่ยที่กำลังตกใจ จู่ๆ น้ำตาก็ไหลราวกับเขื่อนแตก ร้องไห้โฮวิ่งมากอดผมแน่น ปากก็ร้องโวยวาย ‘หมูมันยังไม่ตาย’ ‘หมูมันดิ้น’ พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ฟังแล้วไม่รู้จะขำหรือจะเห็นใจดี

ต้องปลอบกันยกใหญ่กว่าจะหยุดร้อง ฟังคำอธิบายจากน้องก็ได้ความว่า เมื่อคืนดูยูทูปสอนทำผัดกระเพราแล้วน้องก็อยากทำบ้าง กะว่าจะทำให้ผมกิน แต่สุดท้ายก็ไม่รอด น้ำมันกระเด็นตอนเอาหมูลงไปผัดน้องจึงตกใจเผลอปัดข้าวของร่วงโต๊ะ พอเห็นผมออกมาก็กลัวโดนดุเลยร้องไห้ออกมา

น่าเอ็นดูสัด ต่อให้ทำบ้านพังกูก็ไม่น่าโกรธ

ผมไม่ได้โกรธน้องเลยนะ เพียงแค่ตกใจและกลัวว่าน้องจะเจ็บ ซึ่งก็โล่งอกที่น้องไม่ได้โดนมีดบาดหรือน้ำมันลวกอะไร และเด็กดื้อก็ยังคงกอดเอาหน้าซุกอกผมไม่ยอมไปไหน มือกำแขนเสื้อไปพลาง พึมพำกับผมว่าอย่าโกรธ ห้ามโกรธ ไม่ให้โกรธ

อ้อนเป็นแมวเลย

ใครมันจะโกรธลงวะ กูถามจริง

“มันเป็นอดีตไปแล้วเข้าใจบ้างไหม”

“กระทะกูเกือบไหม้เลยนะ”

“มันเป็นอดีตไปแล้วฉันควรเริ่มใหม่”

“ดีนะสัญญาณไฟไหม้ไม่ดัง”

“โค้ะ! อันนั้นมันของคาว กูอาจจะถนัดของหวานก็ได้ใครจะรู้วะ บีมอย่ามาดูถูกคนอย่างเฮียมุ่ยหน่อยเลย” ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนเยอะแยะวะ กูอยากจะรู้

“ร้านที่เราเคยไปครั้งก่อนเป็นไง เค้กอร่อยดีนะ” ผมเบี่ยงประเด็นเปลี่ยนเรื่อง หวังว่าน้องจะคล้อยตาม แต่นอกจากจะไม่แล้วยังโดนฟาดแขนไปอีกหนึ่งทีเจ็บๆ

“บีม!”

“แค่อยู่ด้วยกันก็พอแล้วครับ ไม่เห็นต้องทำอะไรให้เลย” ผมเอื้อมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดู เจ้าตัวอึ้งไปนิด แล้วใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ก้มหน้างุดงึมงำอยู่คนเดียวแต่ผมก็ยังได้ยินอยู่ดี

“ไม่พอสักหน่อย”

“ทำไม พูดแบบนี้คือ? มีเซอร์ไพรส์?”

“อะไร! เซอไพรส์อะไรไม่เห็นมี!” ว่าแล้วไง ผิดซะที่ไหน

“เคๆ”

“โอ๊ย! มีสักครั้งไหมที่จะไม่จับได้อะ แกล้งๆ หน่อยดิ แกล้งๆ อ้ะ” น้องมุ่ยคว่ำปากอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่นหงุงหงิงอยู่คนเดียว

“พี่จะรอนะ”

“ไม่ต้องมาพูดเลย!” น้องทำเสียงฮึดฮัดขัดใจพลางคว้าถุงขนมจากหลังรถกับกระเป๋าผ้าของตัวเองแล้วเปิดประตูเตรียมจะลงรถ แต่ก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วหันมามองผมอีกครั้ง

“ว่าไง”

“เหยิบมานี่”

?

“เหยิบหน้ามาเร็ว”

“เราจะเอา --”


จุ้บ!


สัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากเพียงชั่ววินาทีแต่ก็ชัดเจนพอที่จะทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่มองหน้าน้องที่ยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ทั้งที่หน้าแดงหูแดงไม่ต่างกัน

“ไปแล้ว! พรุ่งนี้ตอนเย็นมารับด้วย”

“หึ”

ไอ้เด็กกากเอ๊ย



ผมกลับมาช่วยรุ่นน้องทำบูธกิจกรรมที่คณะตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้วและงานก็เกือบจะเสร็จทุกอย่างเหลือแค่ตกแต่งเล็กน้อย ปีสองที่มีหน้าที่เป็นสวัสดิการหิ้วถุงใหญ่ที่ข้างในบรรจุกล่องข้าวมากกว่ายี่สิบกล่องและน้ำเปล่าอีกหลายแพ็คมาวางที่ม้านั่งตัวใหญ่ ประธานรุ่นผมเลยเรียกให้ทุกคนพักกินข้าวกันก่อน เสียงปีหนึ่งร้องเฮแล้วพากันมาต่อแถวรับข้าวจากนั้นก็หามุมนั่งกันตามกลุ่มเพื่อนของตัวเอง

ผมกับเพื่อนรอรับข้าวหลังจากปีหนึ่งแล้วหลบมุมมานั่งกินกันที่ม้านั่งตัวหนึ่ง ไอ้ก้านกับไอ้นิวแม่งหยิบมาคนละสองกล่องกลัวไม่อิ่ม ดีนะที่ยังมีข้าวเหลืออีกเยอะไม่งั้นแม่งโดนปีสามด่าเช็ด

“วันนี้มึงไม่ไปรับน้องมุ่ยเหรอวะ” ไอ้นิวเงยหน้าจากกล่องข้าวขึ้นมาถาม ปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ ยัดข้าวเต็มสองแก้มจนจะแตกอยู่แล้ว เรื่องแดกนี่ไม่ต้องถาม ไอ้นิวยืนหนึ่งมาแต่ไกล

“วันนี้น้องนอนหอ”

“ยังนอนหออยู่อีกเหรอวะ กูนึกว่าย้ายมาอยู่กับมึงแล้ว” ไอ้ปั้นเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะครั้งหนึ่งที่เพื่อนผมมาหาก็เจอน้องนอนหลับปุ๋ยอยู่ในห้องพอดี โดนไอ้พวกห่านี่แซวจนตัวแดงเป็นกุ้งต้ม น่ารักชิบหาย

“ยอมที่ไหนล่ะ”

“เกรงใจน้องบูแหละ กูว่า” ผมพยักหน้าตอบน้ำตาล ถึงทุกวันนี้บูมันแทบจะไม่ได้กลับห้องก็เถอะ แต่น้องก็ยังไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยกันสักที เพราะเกรงใจน้องผม ความจริงคือมุ่ยยังอายไอ้บูอยู่ตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูห้องมาเจอจังหวะไคลแม็กซ์ของผมกับน้อง ทุกวันนี้คือถ้าเจอหน้ากันต้องตีกันตลอดเพราะโดนไอ้น้องบูแกล้ง

“เดี๋ยวบูมันก็ย้ายออก มันได้ที่เรียนแล้ว” ผมกับน้องมุ่ยเป็นคนพามันไปดูหอใหม่กันเองนี่แหละ ขับรถข้ามจังหวัดกันเลยทีเดียว ดีที่ไม่ได้ไกลมากเท่าไร

“เหยด เจ๋งสัด ติดที่ไหนอะ” ไอ้ก้านถาม

“มอ XXX”

“ว้าวมาก! มอดังเลยไอ้เหี้ยเอ๊ย เก่งกว่าพี่แม่งอีก”

“สัด”

“หยอกๆ”

“แต่ช่วงนี้พวกกูไม่ได้เจอน้องเลยนะ ไม่มีใครให้แหย่เลยเนี่ย” ไอ้ก้านแสร้งตีหน้าเศร้าแต่ตาเป็นประกาย

“ก็จัดบูธเหมือนกัน น้องมันปีหนึ่ง”

“อยากไปให้กำลังใจน้องมุ่ย” น้ำตาลเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มหวานให้กับผม

ฝันเอานะ ไม่ให้เจอกันง่ายๆ หรอก

ผมไม่ค่อยอยากให้สองคนนี้มาเจอกันเท่าไร เพราะรู้ดีว่าน้องแพ้ทางคนอย่างน้ำตาล ชอบทำตัวน่ารักกับเขาจนผมหวง แล้วผมก็ไม่ชอบให้ใครเห็นเวลาน้องทำตัวน่ารัก แค่ผมเท่านั้นที่มีสิทธิ คนอื่นมึงก็เจอน้องเวอร์ชันเปรี้ยวตีนไปก่อนก็แล้วกัน

“แดกข้าวไปมึงอะ”

“คำพูดคำจานะ เดี๋ยวกูจะฟ้องน้อง”

“ไปไกลๆ น้องมุ่ยกู”

“น้องน่ารักใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ป้ะ พอน้องผมยาวขึ้นแล้วดีงามมาก กูว่ากูสวยแล้วนะ น้องแม่งลิบลิ่วเลย” แล้วช่วงนี้เขาชอบมวยผมขึ้นอยู่ตลอด ถึงแม้มันจะดูยุ่งเพราะน้องไม่ได้ตั้งใจเก็บให้มันดูดี แค่มวยขึ้นอย่างลวกๆ แล้วใช้ดินสอหรือปากกาแถวนั้นเสียบไว้ไม่ให้เกะกะใบหน้า แต่ก็ทำให้น่ามองมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เสน่ห์ล้นเหลือจริงๆ คนนี้ ใจกูจะรับไม่ไหวเอา

“น้องจะสกินเฮด”

“เหี้ย ฮ่าๆ! มึงไม่ห้ามเหรอวะ”

“ดีแล้ว”

“กลัวคนมาชอบเยอะอะดิมึงอะ แหมๆ” ผมไม่ปฏิเสธ และอยากจะพาน้องไปร้านตัดผมวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ

“พอน้องขึ้นปีสองกูว่าฮอตกว่าเดิมแน่ หมาเลยนะเหี้ยบีม”

“ก่อนจะมาถึงกู เข้าถึงน้องมันให้ได้ก่อน” อย่างน้อยผมก็มั่นใจในความเปรี้ยวตีนกับการสนทนากับคนอื่นของน้อง ถ้าแม่งผ่านมาได้ค่อยถึงคราวผม

“เออจริง”

“ไม่อยากจะเมาท์วันนั้นกูเจอใครนะ น้องมินป้ะไอ้ปั้น เออๆ น้องรหัสไอ้ก้านอะ เดินตามเด็กมึงต้อยๆ กูเห็นแล้วสงสาร”

“มึงไปบอกน้องรหัสมึงด้วยว่าไม่ต้องซื้อขนมมาให้มุ่ยอีก” น้องมุ่ยแพ้ของน่ารัก แล้วน้องรหัสไอ้ก้านแม่งก็มาไทป์เดียวกับน้ำตาล แม่งหวงชิบหาย แค่คิดว่าน้องหน้าแดงเพราะทำตัวไม่ถูกกับเด็กคนนั้นใจผมก็แทบจะบ้าแล้ว

“หึงรึไง”

“กูก็มีสิทธินะ”

“ทำหน้าตาน่าตบมาก”

“ตอนแรกกูคิดไม่ออกเลยว่าพวกมึงสองคนจะลงเอยกันยังไง แต่แม่ง เออมันได้ว่ะ” ไอ้ปั้นพูดขึ้นพลางกระดกน้ำดื่มหลายอึก

“เด็กแว๊นในวันนั้นสู่น้องมุ่ยในวันนี้”

“กูชอบน้องมันว่ะ ดูเป็นคนเต็มที่กับชีวิตดี ถึงบางครั้งจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็เหอะ”

“เห็นแล้วอยากใช้ชีวิตตามเลยเนอะ ยังไม่ถึงครึ่งห้าสิบก็คุ้มแล้วอะ” ผมชอบที่น้องเป็นแบบนี้ ให้น้องได้ใช้ชีวิตในแบบของเขาเอง ด้วยนิสัยส่วนตัวผมมักจะหวงอะไรที่เป็นของตัวเองมาก ไม่อยากให้ไปไหน อยากเก็บไว้กับตัว แต่น้องมุ่ยเป็นคนเดียวในชีวิตที่จะไม่ยอมให้ความอารมณ์ร้ายของผมทำให้น้องไม่มีความสุข ผมหวงเขามากแต่ผมก็ชอบใบหน้าที่โคตรจะน่ารักเมื่อได้เจอสิ่งใหม่ๆ มันดีมากกับการที่ได้เห็นน้องยิ้มอย่างมีความสุข แม่งโคตรดี

“อย่าพูดถึงมุ่ยของกูเยอะได้ปะวะ”

“อย่าบอกนะว่าหวง”

“กูไม่ชอบให้ใครมาพูดว่าน้องน่ารัก มุ่ยน่ารักกับกูได้แค่คนเดียว”

“กับเพื่อนกับฝูงมึงก็ยั้ง..”

“เบื่อชิบหาย กูไปเล่นกับปีหนึ่งดีกว่า” ไอ้ก้านลุกขึ้นแล้วเดินออกจากวงสนทนาไปคุยเล่นกับพวกปีหนึ่ง

“อวดเก่ง ไอจีก็มีแต่น้อง เฮอะ อย่าให้กูอวดบ้าง”

“นิว มึงไม่มี”

“เหี้ยมาก พูดแล้วน้ำตาจะไหลถึงตีน อีกสักพักคงไปถึงแยงซีเกียงเพราะพวกมึง ไม่ต้องมาทำหน้าเยาะเย้ย ไอ้ห่าแม่ง!”

“เพ้อเจ้อสัดมึงอะ”

“อย่าให้กูมีบ้าง!”

“เคๆ”






ต่อข้างล่างจ้า
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: chanadbears ที่ 21-03-2020 03:56:22
วันที่ 23 เดือน XX ปี XX


“บีม! เดี๋ยวกลับห้องมากินเค้กกันนะ กูสั่งไว้แล้ว ใหญ่เท่านี้เลย” น้องมุ่ยทำท่าทางโชว์ให้ผมดูถึงขนาดของเค้กที่น้องจะสั่งมาเซอไพรส์วันเกิดผม ตอนแรกก็วางแพลนไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวกันแต่ดันมาติดงานโอเพนเฮาส์ที่จะจัดในวันพรุ่งนี้พอดี ทั้งผมทั้งน้องก็โดนเรียกตัวให้ไปช่วยงาน ยิ่งชมรมน้องมุ่ยยิ่งวุ่นวาย เห็นว่างานบางคนที่จะจัดโชว์ยังไม่เสร็จเลยต้องรีบแก้งานกันใหม่ น้องเลยสั่งเค้กมาแทนและคิดว่าน่าจะซื้อข้าวเข้ามากินแล้วก็นอนดูหนังกัน

น้องไม่พอใจใหญ่เลยเพราะอยากพาผมไปเที่ยววันนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะต้องเอางานมหา’ ลัยให้เสร็จซะก่อน

ไอ้น้องบูก็ซื้อของขวัญมาให้วางอยู่ที่โซฟาก่อนจะออกจากห้องไปในช่วงเช้า ไม่นานก็มีสายเข้าจากที่บ้านซึ่งก็เป็นพ่อกับแม่ที่โทรมาอวยพรวันเกิด โทรมาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เร่งให้พาน้องมุ่ยไปหาได้แล้วเพราะอยากเจอตัวจริงจะแย่

ผมบอกทั้งคู่ตั้งแต่ตอนที่มั่นใจแล้วว่าชอบน้องจริงๆ ส่งรูปน้องให้ที่บ้านดู พวกเขาตกใจนิดหน่อยแต่ก็พยายามที่จะเข้าใจเรา ผมเล่าเรื่องน้องให้ฟังจนแม่กับพ่ออยากเจอหน้า เร่งเร้าให้ผมพามาหาสักทีแต่ก็ยังไม่มีโอกาส ผมวางแผนไว้ว่าจะพาไปหาช่วงปิดเทอมนี้โดยที่น้องไม่รู้เรื่องนี้เลย อยากรู้ว่าจะทำหน้ายังไง

“บีมอยากได้อะไรอีกไหม พร้อมเปย์นะ” ตอนนี้เราทั้งคู่กำลังกินข้าวเย็นอยู่ในห้องของผม น้องแวะมาเอาของที่ลืมไว้ ผมเลยถือโอกาสกักตัวให้น้องอยู่ด้วยกันก่อน และคิดว่าวันนี้น้องน่าจะอยู่ดึกแน่ๆ ผมเลยคิดว่าจะแวะซื้อขนมให้น้องถุงใหญ่เอาไว้กินแก้หิวระหว่างทำงานด้วย

“ซื้อบ้านให้หน่อย”

“อ๋อ บ้านกระดาษที่ติดอยู่กับซองขนมสมัยก่อนใช่ปะ เคๆ” น้องพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ไม่วายฟาดแขนผมหนึ่งทีที่กวนตีนน้องมัน

“ไม่อยากได้อะไรเลยอะ”

“ไอ้บูมันให้อะไร”

“รองเท้า”

“อ่อน จิ้บจ้อยมาก” ผมเหลือบมองกล่องรองเท้าบาเลนซิเอก้าที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาแวบหนึ่ง แล้วคุยกับน้องต่อ

“แล้วน้องมุ่ยจะให้อะไร”

“ก็ถามอยู่นี่ไงว่าบีมอยากได้อะไร ไม่ฟังอะ”

“จริงๆ อยากได้แค่น้องมุ่ยคนเดียวเลย”

“...”

“ได้ไหมนะ คืนนี้”

“อิ่ม! อิ่มแล้ว จะไปทำงาน!” หน้าแดงหูแดง เขินเองอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนขี้อายลุกขึ้นแล้วคว้าจานตัวเองไปวางไว้ในอ่างล้างจาน จากนั้นก็เดินมาหยิบข้าวของใส่กระเป๋าผ้าตัวเองโดยไม่มองหน้าผมสักนิด

“รอกันก่อนดิ” เมื่อเห็นน้องมุ่ยทำท่าจะเดินออกจากห้อง ผมก็ร้องห้ามเขาไว้ก่อนแล้วเดินตามมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังน้องในระยะประชิด

“ไม่”

“ยังพูดไม่จบเลย”

“ไม่ต้องพูด!” น้องหันมายกมือปิดปากผมทันที คิ้วขมวดแน่น ปากเบะคว่ำอย่างไม่ชอบใจ แก้มขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อดูน่ารักเต็มไปหมด หูแดงๆ นั่นก็น่ากัดชะมัด มันเขี้ยวว่ะ

“จะบอกว่าอยากดูหนังกับน้องมึงคืนนี้ได้ไหม คิดไรอะ” ผมหยัดยิ้มแล้วเอ่ยแซว

“..อ..อะไร”

“หน้าแดงเชียว ทะลึ่งนะ”

“บีม!” โวยวายแล้วๆ ชอบชิบหายเลยโว๊ย

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่ต้องเลย กูเอารถมา บีมแม่ง นิสัยไม่ดีโคตรๆ เลยว่ะ จะฟ้องม๊านะ”

“น่าเอ็นดูๆ” ผมที่อดใจไม่ไหวกับความน่ารัก จึงรวบตัวคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว มือข้างหนึ่งกอดช่วงเอวไว้แน่นกันน้องดิ้นหลุด อีกข้างก็ยกขึ้นวางแนบข้างแก้มนุ่มที่มีไออุ่นร้อนจางๆ น่าฟัดเป็นที่สุด

“อย่ามายุ่งกับแก้มกู เอามือออกไปด้วย!” เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองไม่ปลอดภัยจึงพยายามสะบัดให้หลุดจากอ้อมแขนผม แต่มันก็ยากเพราะผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก

“หอมๆ”

“ไม่โว้ย!”

“ชื่นใจ” ผมกดปลายจมูกแนบแก้มขาวหนักๆ ทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว น้องอึ้งเพียงครู่เดียวแล้วลงมือฟาดผมอย่างแรงทันที ขึ้นรอยแน่ๆ แขนกู

“ไอ้บีม! เอาหน้าออกไปห่างๆ เลยนะโว๊ย” มือเล็กพยายามดันใบหน้าของผมให้ห่างออกจากตัวเองแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของผมได้ ผมขยับอ้อมแขนให้เราสองคนแนบชิดมากกว่าเดิม แล้วฝังหน้าเข้าคลอเคลียอยู่กับลำคอขาวเนียน ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นกระทบกับผิวของน้อง ผิวกายหอมๆ ทำผมมึนไปชั่วขณะ เผลอกดจูบทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อผ้า รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโดนฟาดเข้าให้ที่หลังดังป้าป ผมจึงต้องถอนใบหน้าออกมาก่อนอย่างเสียดาย แต่ยังคงกอดเอวน้องอยู่

“จุ๊บๆ กัน” ผมยิ้มกว้างเอ่ยขอจูบ ยิ่งทำให้น้องโมโหมากกว่าเดิม

“ไม่จุ๊บ! ม..เมื่อกี๊ยังไม่พออีกรึไง”

“กับน้องมุ่ยไม่มีคำว่าพอเลยครับ” ผมกดปากจูบน้องเร็วๆ หนึ่งครั้งแล้วผละออกมา มองผลงานของตัวเองที่ตอนนี้น้องแทบจะแดงไปทั้งตัว น่ารักชิบหาย อยากจับแดกเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงท้อง

เธอมันแน่ เธอแน่มาตลอดเลยน้องมุ่ย

“ไอ้คนชั่ว”

“ชื่นใจ”

“อยากตายใช่ไหม”

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ มีความสุขแล้ว”

“ฮึ่ย”

“:)”






“ห้าทุ่มแล้วไอ้เหี้ย เสร็จสักที” ไอ้ก้านร้องออกมาแล้วล้มตัวนอนแผ่ลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่มันหรอกที่หมดแรง ทั้งผมและทุกคนที่อยู่ช่วยกันทำต่างก็เหนื่อยไม่แพ้กัน อันที่จริงมันเหลือแค่ส่วนที่ตกแต่งอย่างที่เคยบอกไป แต่เมื่อเย็นอยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้งานบางส่วนเปียก ทีนี้ก็เลยต้องรีบแก้กันจนแทบไม่ได้พักเพราะกลัวงานเสร็จไม่ทัน

ผมคอยส่งข้อความหาน้องมาตั้งแต่ช่วงค่ำแล้ว แต่น้องไม่ทั้งไม่อ่านและก็ไม่ตอบทำให้ผมเริ่มเป็นห่วง แต่ก็คิดว่าคงทำงานหนักจนไม่มีเวลา ผมกะว่าหลังเสร็จงานก็จะแวะไปหาแต่ก็นานล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยงคืนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

แผนดูหนังน่าจะพัง กลับห้องไปก็น่าจะหมดแรงกันทั้งคู่ เจ้าตัวเขายิ่งดูตื่นเต้นอยากกินเค้กอยากทำนู่นทำนี่ด้วยกัน แต่พอเวลามันไม่เอื้ออำนวยก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าน้องจะหัวเสียแค่ไหนถ้ากลับห้องไปแล้วเลยวันเกิดผม

“หือ? นั่นไอ้โป้ไม่ใช่เหรอ” ไอ้นิวขมวดคิ้วแล้วชี้ไปทางหนึ่ง ผมหันตามดูก็เห็นเป็นเพื่อนน้องมุ่ยวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“ไอ้บีม!” มันเรียกผมเสียงดังจากนั้นก็ค้อมตัวลงวางมือเท้าเข่าอย่างเหนื่อยหอบ

“มึงมีอะไร”

“ไอ้มุ่ย...ไอ้เด็กนั่นมัน..” โป้พูดออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทำใจผมกระตุกและเริ่มเต้นแรงขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับน้องวะ

“น้องมุ่ยทำไม”

“เพื่อนที่ชมรมมันโทรมาบอกกูเมื่อกี้ ว่าแม่งปีนขึ้นนั่งร้านจะติดป้ายห่าอะไรสักอย่างแล้ว --”

“เห้ยไอ้บีม!” ผมไม่รอฟังจนจบ คว้ากระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปทางรถตัวเองทันที หัวใจเต้นกระหน่ำจนเจ็บอกไปหมด ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรมากไหม เหี้ยแม่งเอ๊ย! น้องตกลงมาได้ยังไง? ตัวแม่งก็แค่นั้นยังจะปีนขึ้นไปทำอะไรอันตรายๆ อีก มันดื้อจังวะ

ผมขับรถมาถึงตึกชมรมถ่ายภาพของน้องแล้วรีบเดินไปทางห้องชมรมทันที หยิบโทรศัพท์โทรหาน้องแต่ก็ไม่มีใครรับสายจนผมแทบจะบ้า ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

“น้องมุ่ย” ผมเปิดประตูเข้าไปแล้วร้องเรียกชื่อน้อง แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยความมืดราวกับไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว แล้วจู่ๆ ไฟก็สว่างวาบขึ้นมาตรงหน้า และแสงสีส้มส่องสว่างมากพอจะทำให้เห็นอะไรบางอย่าง

อะไรบางอย่างที่มันคือ..ผม?



ภาพถ่ายขนาดใหญ่ถูกวางไว้กับขาตั้งวาดรูป เป็นภาพที่ผมหันข้างกำลังยิ้มแล้วมองไปที่ดอกปีปที่ถืออยู่ในมือ ผมจำได้ว่านี่คือภาพที่น้องมุ่ยถ่ายให้เมื่อตอนที่ผมมาหาน้องแทนน้ำตาลและเขาบอกว่าชอบรูปนี้ที่สุด และเหนือภาพถ่ายมีกระดาษหลากสีถูกตัดขนาดเท่าฝ่ามือร้อยเข้ากับเชือกสีขาวแต่ละแผ่นมีตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนเป็นคำว่า ‘HAPPY BEAM DAY’

ฝั่งซ้ายและขวามีตะแกรงสีขาวขนาดพอๆ กับรูป บนนั้นมีรูปถ่ายจำนวนมากที่ถูกไม้หนีบติดกับเส้นตะแกรง พอเขยิบเข้ามาดูใกล้ๆ ก็ปรากฏว่าทั้งหมดนั่นล้วนเป็นภาพถ่ายของผมที่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ แต่ละภาพมีตัวหนังสือเขียนติดไว้ทุกภาพ


‘บีมหลับ ขี้เหร่จัง’

‘เล่นเกมแพ้ เลยต้องล้างจาน’

‘จับมือแหละ เราจับมือกัน’

‘หน้าตลกอะ 55555’



และอีกหลากหลายข้อความที่ติดอยู่กับภาพ ซึ่งเกี่ยวกับผมหมดเลย

หัวใจของผมเต้นกระหน่ำถี่รัว ความอัดอั้นบางอย่างที่ไม่ใช่ความกังวลหรือความโกรธเหมือนก่อนหน้าก่อตัวอยู่ข้างใน มันตื้อซะจนแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอกและได้ยินเพียงแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้น


พรึ่บ


แสงไฟจากด้านหลังสว่างขึ้นเรียกให้ผมต้องหันกลับไปดู แสงไฟสีส้มเช่นเดียวกันส่องสว่างให้เห็นกระดานไวท์บอร์ดสีขาวที่มีรูปวาดจากปากกาสีน้ำเงินแต้มอยู่ทั่วกระดาน

“อย่าเพิ่งหันมานะ” เสียงน้องมุ่ยดังอยู่ข้างหลัง

“นี่คือบันทึกการเดินทางของเรา” ผมเงียบและรอฟังน้อง ทั้งๆ ที่แทบจะอดกลั้นความรู้สึกไม่ไหวแต่ก็พยายามใจแข็งไม่ให้หันกลับไปคว้าตัวน้องมากอดให้จมอก

“ภาพแรก กูวาดเยลลี่หมี บีมคิดว่านี่จำไม่ได้อะดิ เสียใจด้วยที่ถึงแม้กูจะไม่ได้ใส่แว่นแต่ไอ้รอยยิ้มน่าหมั่นไส้ของบีมกูจำได้ไม่ลืม” เป็นภาพเยลลี่หมีกับคนสองคนที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟข้างถนน ลายเส้นน่ารักที่ผมจำได้ขึ้นใจว่าเป็นของน้องมุ่ยแน่นอน

“อันที่สอง ตอนกูนัดเจอน้ำตาล แต่กลายเป็นบีมที่มาแทน น่าโมโหโคตร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดี” ภาพของคนสองคนยืนหันหลังกำลังมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ในมือของคนหนึ่งถือกล้องขณะที่อีกคนถือดอกไม้

“สาม เป็นตอนที่บีมกำลังเครียดเรื่องน้องบู แล้วกูคืนคนที่นั่งโอ๋ๆ บีมในตอนนั้น คิก~” เป็นภาพหลังร้านแฟนเฮียตั้มที่คนหนึ่งนั่งอยู่กับม้านั่งจับมือของอีกคนที่ยืนอยู่ขึ้นมาจูบ

“สี่ อันนั้นคือตอนที่กูกำลังร้องเพลงอยู่กับเด็กที่ถนนคนเดินในเมือง” ผมมองน้องอย่างไม่คลาดสายตาเลยวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ยอมรับกับบเพื่อนน้องว่าผมชอบเขาจริงๆ

“ห้า” แล้วน้องมุ่ยก็เงียบเสียงลงแค่นั้นพร้อมกับที่ไม่มีภาพต่อไป มีเพียงลูกศรที่ถูกขีดให้วนกลับมา หรือว่าหมายถึง

“สุขสันต์วันเกิด” เมื่อหันกลับมา ภาพที่เห็นคือเค้กลายมาเบิลสีฟ้าขาวถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้า มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘HAPPY BEAM DAY’ เช่นกันและปักเทียนเลขอายุของผมไว้ที่หน้าเค้ก

“รู้ไหมว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันบ่อยจนกูนึกช่วงเวลาที่ดีมากๆ ขึ้นมาเขียนไม่ได้แล้ว”

“...”

“ก็มันดีมากๆ ไปซะหมด ถ้าให้วาดก็คงต้องวาดไปตลอดอะ อีกอย่างคือวาดไม่ทันด้วยเพราะกว่าจะล้างรูปเสร็จแล้วกว่าจะมานั่งวาดก็ไม่ไหว กลัวบีมจับได้ด้วยถ้ากลับดึกเกิน”

“...”

“เซอไพรส์ยังอะ ครั้งนี้มุ่ยไม่โป๊ะนะ”

“...”

“ที่บอกว่าลองกล้องตอนนั้นก็คือนี่แหละ การจะเก็บความรู้สึกอะไรบางอย่างมันจะต้องมีสื่อกลางให้ได้ถ่ายทอดช่วงเวลานั้นๆ ลงไป สำหรับกูก็คือภาพถ่าย”

“...”

“บีม บีม บีม เต็มไปหมดเลย ในนี้ก็มี” น้องชี้เข้ากับหน้าอกข้างซ้ายที่ตัวน้องเองแล้วยกยิ้มกว้างจนตาเป็นเส้นโค้ง

“...”

“เหมือนกับว่ากูยังไม่ได้แสดงอะไรที่มันทำให้บีมรู้สึกมั่นใจกับความสัมพันธ์นี้ได้เลยสักที ก่อนหน้านั้นกูมีแค่คำพูดบอกกับบีมว่ารัก ในขณะที่บีมกำลังแสดงให้เห็นถึงความรักของตัวเองที่มีให้และกูก็รอรับอย่างเดียว เลยคิดว่ามันไม่แฟร์กับบีมเลยสักนิด”

“...”

“ปีนี้มีกูอยู่ฉลองวันเกิด ปีต่อๆ ไปก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะเว้ย ห้าม ห้ามเด็ดขาด” ผมมองหน้าน้องมุ่ยนานจนน้องเริ่มเขิน เร่งเร้าให้ผมเป่าเค้กเร็วๆ

“ไหนตกนั่งร้าน” ผมถาม เจ้าตัวสะดุ้งทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วตอบกลับมาแทบไม่มีพิรุจแถมยังทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนอีกด้วย

“อะไร้! ใครตก มั่วแล้วบีม แล้วถามอะไรเนี่ย ขัดจังวะโรแมนติกเลย บีมแม่ง”

“แล้วที่ไอ้โป้มันบอกล่ะ”

“ก็จะหลอกมาเซอไพรส์ไง ฮ่าๆ”

“อยากตีว่ะ กูตกใจจริงๆ ยังมาหัวเราะอีก”

“ไม่ตี~ ห้ามตี วันนี้วันเกิดบีมนะ เอ้า! เป่าดิ ถือจนเมื่อยแล้วเนี่ย” ผมยิ้ม แล้วหลับตาอธิษฐานอยู่ในใจจากนั้นก็เป่าเทียนเรียบร้อย น้องมุ่ยรีบวางเค้กลงกับโต๊ะแถวนั้น ทำตาโตด้วยความสงสัยใคร่รู้แล้วกระตุกแบนเสื้อให้ผมบอกว่าอธิษฐานอะไรไป

“ขอให้น้องมุ่ยอยู่กับพี่บีมไปนานๆ” ผมเขยิบเข้าหาน้องแล้วรวบตัวเขาเข้ามากอดแนบอก ใบหน้าเล็กฝังอยู่ที่ต้นคอของผมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ทั้งของผมกับน้องมันก็เต้นเร็วไม่แพ้กันเลย

“เห้ย! บีมต้องขอให้ตัวเองดิ อันนี้ไว้รอวันเกิดกูอะ ไม่ได้ๆ ขอใหม่เลย” น้องผละออกมาโวยวายทันที ผมลูบศีรษะคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูแล้วประทับจูบแทนความรู้สึกทั้งหมดกับหน้าผากมน

“ยังพูดไม่จบ” ใบหน้าแดงๆ นั่นพยายามมองสบตาผม ไม่ถึงห้าวิก็ต้องหลบสายตากดใบหน้าพิงเข้ากับอกผมอีกครั้งแล้วถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“แล้วไงต่อ”

“ขอให้น้องมุ่ยมีความสุข”

“...”

“หมดแล้ว”

“ไม่เห็นมีขอให้ตัวเองเลย” น้องผละใบหน้าออกมาอีกครั้ง ปากเบะคว่ำอย่างไม่พอใจเมื่อผมตอบไม่ถูกใจเขา พลางกระตุกแขนเสื้อของผมเป็นเชิงบอกว่าให้เลิกเล่นสักที

“ขอแล้วไง”

“ไหน!”

“ก็น้องมุ่ยเป็นความสุขของพี่บีม ถ้าน้องมุ่ยมีความสุขมันก็ดีแล้ว”

“...เลี่ยนว่ะ”

“แล้วชอบไหม”

“ก็...นิดนึง”

“ต้องทำยังไงถึงจะชอบมาก”

“ก็...”

“ครับ ฟังอยู่” คนในอ้อมแขนเงียบลงพร้อมกับก้มหน้าพึมพำอะไรบางอย่างที่ได้ยินไม่ถนัด พอพยายามจะเงี่ยหูฟัง น้องมุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี ดวงตาเรียวสวยเต็มไปด้วยความประหม่าและไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นใบหน้าเล็กก็เคลื่อนเข้ามาใกล้จนกลายเป็นภาพที่มองไม่ชัด มีเพียงสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากที่ทำให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“แบบนี้...”

“...”

“แบบนี้ต่างหากถึงจะชอบมาก”

“อืม ชอบมากเหมือนกันครับ”





“แก้มน้องนางนั้นแดงกว่าใคร ใจพี่จมแทบพสุธา

ดวงฤทัยหรือดวงแก้วตาดุจดวงดาราดวงดาวดวงไหน

วอนให้ชายทุกคนเดินผ่าน

วอนให้ใจน้องไม่มีใคร

วอนให้ลมพัดพาหัวใจพี่ไปถึง”





(END)




****************************

จบแล้วนะคะ

เรื่องนี้เราเริ่มเขียนตั้งแต่ 19/03/2018 จนมาสิ้นสุดวันนี้คือ 21/03/2020

เป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องเเรกที่เขียนจนจบ ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะได้ทำอะไรที่ท้าทายกับทุกอย่างในชีวิตขนาดนี้

ระหว่างทางของการเขียนมีทั้งเหนื่อยและท้อ ซึ่งตัวนักเขียนเองก็คิดว่าใครหลายคนก็เป็น บางครั้งเวลาเราตั้งใจทำอะไรมากๆ พอมันไม่ได้อย่างที่หวังเลยทำให้รู้สึกมึนไปชั่วขณะ จนต้องขอเฟดตัวเองออกมาก่อน

นักเขียนรักเรื่องนี้มาก รักตัวละครทุกคน จนอยากจะทำให้ออกมาดีที่สุด ถึงแม้ว่าอาจจะมีความผิดพลาดที่ตัวนักเขียนเองก็อยากกลับไปแก้ไขบางส่วนที่มันไม่ค่อยเข้าที่ และพยายามจะเขียนออกมาให้ดีที่สุด

ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการเขียนนิยายเรื่องนี้

ขอบคุณตัวเราที่ไม่คิดจะท้อมันไปซะก่อน

ขอบคุณเพื่อนที่ช่วยเข็น ช่วยดัน เวลาที่ตัวนักเขียนรู้สึกตัน รู้สึกเหนื่อย

ขอบคุณเพลง บทความ ที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจดีๆ

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อ่านและให้กระเเสตอบรับในทุกๆด้าน ตัวนักเขียนเองดีใจมากๆ แล้วก็รู้สึกขอบคุณอยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่มีทุกคน เราอาจจะไม่ได้มาถึงวันนี้ ทั้งคอมเม้น ไลค์ กดเฟบ หรืออื่นๆ เราขอขอบคุณมากๆ ขอบคุณทั้งหมดเลย


อาจจะมีสเปเชียลมาให้อ่านบ้างประปราย เพราะเรายังคงคิดถึงพี่บีมน้องมุ่ยอยู่เสมอ

จะมีรีไรท์อีกรอบนะคะ ปรับให้เข้าที่กันนิดนึง

ขอบคุณค่ะ




หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattharikan ที่ 06-04-2020 10:16:53
ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเลย จบแล้วหรอคิดถึงแย่เลย
ขอบคุณนะคะที่พาน้องมุ่ยกับพี่บีมมาให้เรารู้จัก หลงรักทุกตัวละครในเรื่องเลยค่ะ
จะรอเรื่องต่อไปของคนเขียนนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 12-04-2020 15:37:15
งู้ยยยยย น่ารักนะน้องมุ่ย ทำพี่บีมไปไม่เป็นเลย
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 09:14:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Kunjirawaracom ที่ 14-04-2020 13:33:32
 :mew1:ชอบเรื่องนี้มากน้องมุ่ยน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 27-04-2020 01:57:21
น่ารักมากก ความมั่นเขี้นวน้อนน  ขอบคุณไรท์มากเลยค่ะ ที่มีนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน ใจละลายอะ เลิฟฟ
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 29-04-2020 07:24:32
น่ารักกันทุกคนเลย ขอบคุณคนเขียนครับ ^^  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 02-05-2020 18:05:04
02/05/63 เข้ามาอ่านทั้งวันทั้งคืน จนจบเลย มีความละมุน และสวยงามในความรักของพี่บีมและน้องมุ่ย ชอบความจริงใจและมั่นคง กับความพร้อมเปิดเผย ในความรักของพี่บีมมาก จะเป็นอีกหนึ่งความรู้สึกเล็กๆที่น่ารักตลอดไป
ขอบคุณนักเขียนมากกกกก
รักจากใจนักอ่าน :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 11-05-2020 22:30:52
 o13
หัวข้อ: Re: MEYOU เราคงต้องเป็นแฟนกัน​ ตอนที่ 29 HAPPY BEAM DAY (END) (UP) 21/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 13-07-2020 15:19:11
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ ชอบน้องมุ่ยอู้คำเมือง น่าร๊ากกกก
ทำไมเราอยากอ่านคู่เฮียครามกับพี่พระนาย แบบดูคู่นี้ก็น่ารักอ่ะ
ตลกเฮียครามเวลาอยู่กับพระนาย อยากอ่านคู่นี้มากกก
ยังไงก็ขอบคุณคนเขียนนะคะ ที่แต่งนิยายน่ารักๆมาให้อ่าน