จานที่ 21 : ข้าวราดไข่ดิบ
คุณเคยได้ยินคำว่าความสุขบนความเจ็บปวดหรือเปล่า? ตอนนี้ผมกำลังเผชิญมันด้วยตัวเองเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่หลังจากผ่านภารกิจบนเตียงอันหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝ่ายรับถึงได้มีอาการเหมือนจะตายทุกครั้งที่มีอะไรกัน ซึ้งจนน้ำตาไหลปวดร้าวสะโพกไปหมด
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือนอนตะแคงมองประตูห้องนอนที่เชื่อมกับตัวบ้านว่าเมื่อไหร่มันจะถูกเปิดโดยคนหื่นกามสักที รอมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววของพี่ยูเลยสักนิด ฟันแล้วทิ้งหรือไงวะถึงได้หายหัวไปนานขนาดนี้ ปวดฉี่ อยากอาบน้ำ หิวข้าว เฮ้อ ทำอะไรได้บ้างเนี่ย พยายามลุกก็ไม่ไหว เกลียดความอ่อนแอนี่จริงๆ เลย
ในขณะที่คิดว่าจะข่มตานอนอีกครั้งประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกโดยคนที่ผมเฝ้าทวงถามตลอดว่าหายไปไหน พี่ยูมาพร้อมกับถาดไม้และกลิ่นหอมฉุยของอาหารมื้อเช้าซึ่งเดาได้ว่าเป็นข้าวต้ม ความหงุดหงิดจางหายไปทันทีเมื่อได้รับรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งให้ อยากโกรธอยู่หรอกที่โดนทำรุนแรงแต่เจอแบบนี้ใจอ่อนยวบเลยว่ะ
“ลุกขึ้นไหวไหม?” พี่ยูถามหลังจากที่วางถาดไม้ลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง เขามองมาด้วยสายตาเป็นห่วงจนรู้สึกอุ่นในใจ ไอ้บรรยากาศหวานแหววนี่เหมือนจะทำให้ขาดอากาศหายใจยังไงไม่รู้ ตอนนี้ในสมองก็เอาแต่ขุดความทรงจำเมื่อคืนชัดเป็นฉากๆ โอย เมื่อครู่โดนถามว่าอะไรนะ ลืมไปเลย
“พี่ยูถามว่า... อะไรนะครับ?” เสียงที่เปล่งออกไปกระท่อนกระแท่นเพราะรู้สึกคอแห้ง เมื่อคืนมันหนักหน่วงจริงๆ นั่นล่ะ บ้าเอ๊ย เมื่อไหร่จะหยุดคิดเรื่องนั้นสักที ไอ้ความเสเพลก่อนหน้านี้ไม่ช่วยให้ความเขินอายลดลงเลยหรือยังไง ตอนเป็นคนกระทำไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลยวะ
“พี่ถามว่าเราลุกขึ้นไหวหรือเปล่า ต้องช่วยไหม?” พี่ยูทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันก่อนโน้มตัวลงมาประสานสายตาให้ผมต้องเบนหน้าหนี ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยิน โธ่ ถามไกลๆ ก็ได้มั้ง แล้วเสื้อน่ะไม่มีใส่หรือยังไงถึงได้เปลือยอกโชว์ขนาดนี้ ยิ่งเห็นรอยจ้ำแดงๆ ตามตัวเขาความอายก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น เมื่อคืนต่างคนต่างร้อนแรงไม่แพ้กันเลย
“มัน... เจ็บครับ” ผมเอ่ยตอบเสียงแผ่วก่อนจะหดคอลงเพื่อให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมหายไปในผ้าห่ม เหลือบมองพี่ยูก็เจอเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ดวงตาคมไล่มองกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกำลังประเมินสภาพการณ์
“พี่ขอโทษที่รุนแรงเกินไปหน่อย” พี่ยูก้มหัวขอโทษผมหลายครั้งจนต้องเอื้อมมือไปจับบ่าแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
“ผมเข้าใจครับ” ผมคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะรั้งท้ายทอยอีกคนเข้ามากดจูบเพียงแผ่วเบาก่อนจะผละออก เขินฉิบหายแต่ก็ไม่อยากให้เขาดึงดราม่า ต่างคนต่างมีความสุขร่วมกันนี่นา
“เข้าใจว่ายังไง?” คำถามของพี่ยูมันช่างธรรมดาแต่ผมกับแก้มร้อนอย่างควบคุมไม่ได้ ก็คำตอบมัน...
“ก็... พี่ไม่ได้มีเซ็กซ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อ่า ตามนั้นครับ ก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ไหว” พี่ยูตอบเสียงแผ่วพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ สังเกตได้ว่าแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดจนผมนึกมันเขี้ยว เวลาเขาเขินน่ารักเป็นบ้าเลย
“ครับ ช่วยพยุงผมหน่อยได้ไหม?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเพราะอีกเดี๋ยวคงเกิดอาการกระอักกระอ่วนต่อกันแน่ เขินกันไปเขินกันมาวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรพอดี อีกอย่างคือตอนนี้หิวมาก อยากแปรงฟัน ล้างหน้าและกินข้าวเหลือเกิน
“ได้ครับ ค่อยๆ ขยับตัวนะ”
หลังจากที่โดนพี่ยูอุ้มไปห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จตอนนี้ก็ได้เวลากินสักที จากข้าวต้มร้อนๆ กลายเป็นเย็นแต่ยังพอถูไถ ผมคว้าแก้วน้ำมาดื่มเป็นอันดับแรกในขณะที่อีกคนตักอาหารรอเพื่อป้อน ครั้นจะเอื้อมไปหยิบช้อนก็โดนมองด้วยสายตาดุๆ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก
“กินเยอะๆ นะครับ” ข้าวต้มคำแรกถูกป้อนใส่ปากพร้อมด้วยประโยคนี้หลุดรอดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ผมขมวดคิ้วยุ่งพลางเคี้ยวตุ้ยๆ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแล้วพี่ยูเป็นพ่อเลยวะ สถานะเรามันคือแฟนไม่ใช่เหรอ...
“ผมไม่ใช่ริวนะพี่ยู กินข้าวเองได้ครับ” ปากก็ว่าเขาไปทั้งที่ใจลิงโลดจะตาย นานๆ ทีโดนดูแลแบบนี้ก็มีความสุขดี
“พี่อยากดูแลนี่ครับ” พี่ยูพูดเสียงอ่อยในขณะที่มือก็ยังคอยตักข้าวต้มป้อนกันไม่ขาดสาย ผมมองหน้าเหมือนหมาหงอยนั่นก่อนจะหลุดหัวเราะ ทำไมต้องงอแงด้วย อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ คิดว่าตัวเองน่ารักหรือไง หึหึ สู้ริวไม่ได้หรอก
“โธ่ ผมไม่ได้เจ็บมือหรือแขนสักหน่อย” ผมยืดแขนออกไปพลางแบมือพลิกหน้าหลังให้เขาดูว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติ ไอ้ที่สาหัสน่ะมันเป็นก้นมากกว่าเพราะขนาดนั่งบนเตียงนุ่มๆ ยังรู้สึกไม่สบายตัวเลย เมื่อไหร่จะหายวะเนี่ย อีกสามวันต้องบินกลับไทยแล้วด้วย
“แต่พี่รู้สึกปวดๆ แขนนะครับ” พี่ยูทำหน้าเบ้ก่อนจะวางช้อนในมือลง ผมรีบถลาเข้าไปสำรวจช่วงแขนของเขาด้วยความตกใจจนลืมเจ็บ
“เฮ้ย ไปโดนอะไรมา?” ถามกลับน้ำเสียงตื่นพร้อมกับลงมือจับพลิกแขนแกร่งเพื่อดูร่องรอยความเจ็บปวดแต่กลับไม่พบอะไรนอกจากใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของพี่ยู นี่สรุปว่าโดนแกล้งใช่ไหม โอย รู้สึกสะโพกจะแหลก
“เมื่อคืนยันเตียงมากไปหน่อยน่ะ”
“ไอ้...!” ด่าไม่ออกเลยไง อ๊าก!
หลังจากมื้อเช้าจบลงผมก็โดนสั่งให้กินยาแก้อักเสบตามด้วยการทายาตรงช่องทาง ตบตีกับพี่ยูอยู่พักใหญ่เพราะอายเกินกว่าจะอ้าขาให้เขาดูแลแต่ทำเองมันก็ลำบาก สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฮ้อ ครั้งต่อไปคงเว้นระยะไปอีกนานเลย
ก่อนที่จะข่มตานอนพักผ่อนร่างกายนั้นพี่ยูก็ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อวัตถุดิบทำอาหารอีกสองมื้อที่เหลือในวันนี้ ผมตอบรับด้วยความมึนเบลอแต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากซื้อเยลลี่รสพีช โคล่ากลิ่นพีช และลูกพีชสดเพราะอยากกิน ไอ้อาการคลั่งไคล้ผลไม้สีชมพูรูปหัวใจกลับมาอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยยังไงชอบกลว่ะ
ครืด
เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นเพราะมีบางแอพฯ กำลังแจ้งเตือนทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง กำลังเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียวอย่าให้รู้ว่าเป็นใครจะด่าให้ยับเลย ขอนอนสักชั่วโมงสองชั่วโมงเถอะ ร่างกายใกล้พังเต็มทนแล้ว แค่อยากออกไปเดินเล่นทำเอ็มวีในสวนยังไม่สามารถทำได้เลย อ่อนแอเกินไปแล้วไอ้ปัณณ์เอ๊ย
Rrrrr
คราวนี้มาเป็นเสียงริงโทนแต่ผมเลือกที่จะเอาหมอนอีกใบขึ้นมาปิดหู ข่มตาหลับทำเป็นไม่สนใจแต่ไม่นานนักก็ทนไม่ได้เพราะไอ้บ้านั่นโทรเข้าไม่หยุดหย่อน แม่งเอ๊ย ด่าให้ลืมชื่อตัวเองไปเลย!
“ฮัลโหล!” ผมคว้าโทรศัพท์มากดรับด้วยอารมณ์หงุดหงิดเลยกรอกเสียงที่ดังกว่าปกติ ไม่ได้ดูเบอร์ว่าเป็นใคร ถ้าเกิดเป็นคุณป้าขึ้นมาจะได้แก้ไขสถานการณ์ถูก ขืนด่ากราดไปเลยคงแย่
‘โมชิ โมชิ’ เสียงตอบรับจากปลายสายทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น คนญี่ปุ่นที่ไหนโทรผิดมาหรือเปล่าวะ หรือเป็นญาติๆ ของพี่ยู โอย จะนอนไม่เข้าใจหรือยังไง
“ดาเระ?” เขาญี่ปุ่นมาผมก็ญี่ปุ่นกลับโดยถามว่าเป็นใคร ระหว่างรอคำตอบก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานเพราะคิดว่าคงมีเรื่องคุยกันอีกยาวแน่นอน ก็เสียงปลายสายมันคุ้นๆ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า
‘มีความญี่ปุ่น จำเราไม่ได้เหรอปัณณ์?’ แซวชนิดที่ว่าผมหน้าเห่อร้อนเพราะเข้าใจความหมายแฝงของคนปลายสายได้เป็นอย่างดี จะบอกว่ามีความเป็นแฟนคนญี่ปุ่นก็พูดมา เอาให้หงายหลังคือเมียคนญี่ปุ่นไปเลย แม่ง แค่คิดก็เขินเองแล้วไง
“กดรับเลยไงไม่ได้ดูเบอร์” ผมถูแก้มเพื่อลดความเขินก่อนจะเลื่อนลงไปกระชับผ้าห่มให้ปิดลำคอ พี่ยูเปิดแอร์ทิ้งไว้หนาวมาก จะลุกไปปรับก็เกินกว่าร่างกายจะรับไหว อันที่จริงก็สามารถเดินเข้าห้องน้ำได้แล้วแต่เพราะไม่อยากเจ็บก็เลยเลี่ยงดีกว่า
‘อ๋อ เสียงอู้อี้เหมือนเพิ่งตื่นนอนเลย’ เอย์จิว่าเสียงระรื่นเหมือนลองเชิงเผื่อว่าผมจะหลุดพูดอะไรบ้าง หึ ยากน่า เรื่องแบบนี้ต้องเก็บไว้แค่สองคนก็พอ
“หึ กำลังจะนอนต่างหาก มีอะไรปะ?” ถ้าไม่เข้าเรื่องผมจะวางสายไปนอนแล้วจริงๆ ด้วย เดี๋ยวพี่ยูกลับมาจะโดนสวดยาว ไม่อยากฟัง
‘ก็... ปัณณ์ออกมาเปิดประตูบ้านให้หน่อยดิ’ เมื่อครู่ผมหูฝาดหรือเอย์จิเมา?
“ห๊ะ? เราอยู่ญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ไทย จะเปิดยังไง?” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงง อยากจะหัวเราะอยู่หรอกแต่มันรู้สึกแปลก ทำไมน้ำเสียงของเอย์จิมันฟังแล้วให้เศร้ายังไงชอบกล
‘เราหมายถึงบ้านที่ญี่ปุ่นเนี่ย ตอนนี้ยืนรออยู่ข้างหน้า’
“อะไรนะ เอย์จิมาที่นี่เหรอ?” ผมผุดลุกขึ้นโดยลืมว่าตัวเองเจ็บ พอรู้อีกทีก็ระบมไปหมดจนต้องกัดปากกลั้นเสียงเอาไว้เพราะกลัวว่าเอย์จิจะล้อเลียน โอย นี่มันเรื่องบ้าอะไร ไม่ใช่ว่าหนีไอ้ทอยมาหรอกนะ
‘อื้อ’ คำตอบสั้นๆ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจทำให้ผมยกมือขึ้นนวดขมับโดยอัตโนมัติ ที่เดาๆ ไว้คงเป็นจริง เนื่องจากช่วงนี้ไอ้ทอยดูนอยด์เป็นพิเศษแต่ไม่ยอมเล่ารายละเอียดช่วยเอย์จิก็เอาแต่ส่งรูปริวมาให้ดูเหมือนหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องอื่นๆ
“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าเนี่ย” ผมแกล้งถามในขณะที่พยายามขยับตัวลุกจากที่นอน ความเจ็บปวดร้าวไปทั้งสะโพกยังอยู่แต่ว่าทุเลาลงนิดหน่อยตั้งแต่กินยา แต่จะให้พรวดพราดเดินก็ใช่เรื่อง โอย ถ้ามันทรมานขนาดนี้ครั้งหน้าขอเป็นฝ่ายรุกบ้างแล้วกัน แฟร์ๆ ไง
‘ก็บินมากะทันทัน มีเรื่องนิดหน่อย’ ปลายประโยคแผ่วจนผมเผลอขมวดคิ้วเพราะฟังไม่ค่อยถนัด ครั้นจะถามซ้ำก็กลัวว่าเอย์จิอาจไม่สบายใจ เอาเถอะ เขาบอกให้เราเปิดประตูก็ทำแค่นั้นพอ ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“งั้นรอเดี๋ยวจะไปเปิดประตูให้”
ผมวางสายแล้วค่อยๆ ลากสังขารไปที่ประตูบ้านซึ่งอยู่ห่างจากห้องนอนหลายเมตร ในตอนนี้ความเจ็บมีอิทธิพลน้อยกว่าเรื่องของเอย์จิอยู่มากโข จากที่คิดไว้ว่าไอ้ทอยจะง้อเขาได้แต่ทำไมเรื่องราวกลับเป็นแบบนี้ โธ่ คิดจนสมองบวมก็คงไม่ได้คำตอบ
“ทำไมเปิดช้าจัง” คำทักทายแรกเมื่อประตูบ้านใหญ่ถูกเลื่อนออก สภาพนายแบบดูแน่กว่าที่จินตนาการไว้เยอะ ขอบตาคล้ำ รอยยิ้มไม่มีความสุข ร่างกายผอมบาง เห็นแล้วอยากจับมาตีก้นให้เข็ดที่ไม่ยอมดูแลตัวเองขนาดนี้ แต่ผมเป็นเพื่อนแถมไม่ได้สนิทอะไรมากมายคงทำอะไรมากไม่ได้ ก็หวังพึ่งพี่ยูล่ะนะ
เอย์จิมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมขยับเข้ามาใกล้จับนั่นจับนี่เหมือนต้องการสำรวจความสึกหลอ ผมผละตัวหนีได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องนิ่วหน้าเพราะการเสียดสีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นปาดลวกๆ ในขณะที่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง ฮึบ อดทนสิวะ
“ง่วงไง” ผมตอบกลับไปพลางลอบถอนหายใจ หวังว่าเอย์จิจะไม่ตาดีนะ ขี้เกียจตอบคำถามอะไรมากมาย มันเขินไง
“ใช่เหรอ? ท่าเดินแปลกๆ นะ” คำภาวนาของผมคงดังไม่พอที่พระเจ้าจะได้ยินสินะ อืม...
“ไม่ต้องมาจับผิดเลย” ผมหันไปถลึงตาใส่เอย์จิแล้วพบว่าเขากำลังยืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ไม่ไกล ดวงตาสวยฉายแววล้อเลียนอย่างไม่ปิดบัง เออ เจ้าเล่ห์ทั้งพี่ทั้งน้องเลยว่ะ ยอมแพ้
“หึหึ พี่สะใภ้ ~” เสียงทะเล้นเอ่ยล้อก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดมายืนตรงหน้าของผมแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันเล่น ไอ้คนที่ปฏิเสธไม่ได้ก็เขินไปสิ ปัดป่าย หลบหลีกเป็นพัลวัน เฮ้อ แทบเอาหน้ามุดหายไปใต้เสื่อทาทามิแล้ว
“เงียบน่า ห้ามแซวอะไรด้วย”
“ครับๆ หน้าแดงเป็นมะเขือเทศแล้ว” ยัง ยังไม่หยุดล้อเลียนอีกคนเรา!
“เอย์จิ...” ผมเรียกเขาเสียงดุทั้งที่ตัวเองเขินจะแย่ ส่วนเอย์จิหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ ให้มันได้ตลอดรอดฝั่งนะ
หลังจากที่ต้อนรับผู้มาเยือนเป็นที่เรียบร้อยผมก็ได้ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนกลับคืนมา นอนมันยันบ่ายจนเลยไปช่วงเย็น ใครปลุกใครเรียกกินข้าวกินยากก็ไม่รู้สึกตัวจนพี่ยูเกือบจะอุ้มไปส่งโรงพยาบาลแต่ดีที่เอย์จิห้ามไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงอายหมอเพราะสาเหตุของความเพลียแน่นอน เผลอๆ โดนเตือนว่าอย่าหักโหมแถมอีก หน้าไหม้ไปสิถ้าเจอแบบนั้น
ผมตื่นมาก็ได้กลิ่นอาหารหอมตลบอบอวลไปทั้งบ้าน แวบแรกคิดว่าคนที่ลงมือทำคงไม่พ้นพี่ยูแต่ผิดคาดเมื่อเห็นแผ่นหลังบางกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ผีบ้าที่ไหนเข้าสิงเอย์จิวะเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเข้าครัวสักที
“เอย์จิ” ผมส่งเสียงเรียกเมื่อเดินไปหยุดอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ครัวแบบสมัยใหม่ เอย์จิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้กันเหมือนสิ่งที่ทำอยู่ปกติ
“หิวหรือยัง? รอก่อนเนอะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะได้กินอาหารฝีมือเราแล้ว” เอย์จิหันกลับไปทำอาหารที่พอเดาได้ว่าเป็นพวกสปาเก็ตตี้ ผมลอบมองท่าทางของเขาจากทางด้านหลังแล้วได้แต่ถอนหายใจ เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ยิ้มออกมาทั้งที่ไม่มีความสุขใครๆ ก็ดูออกไม่ยาก
“อื้ม แล้วนี่คึกอะไรถึงได้ลุกมาทำอาหาร?” ผมก็แค่อยากวนคุยให้บรรยากาศรอบตัวไม่หนักหน่วงเกินไป เอย์จิไม่ตอบในทันทีเหมือนกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ต้องพูด
“ก็... ทบทวนการทำอาหารไง กลัวลืม” แบบนี้ก็มีด้วยเหรอวะคนเรา ปกติงอแงให้พี่ยูทำตลอดไม่ใช่หรือไง
“ไม่ใช่ว่าหลีกเลี่ยงความฟุ้งซ่านเหรอ?” ผมพูดในสิ่งที่คิดด้วยน้ำเสียงปกติแต่มันสามารถทำให้เอย์จิถึงกับชะงักการกระทำ แต่เพียงไม่นานเขาก็จัดการปิดเตาก่อนตักสปาเก็ตตี้ใส่จานอย่างราบรื่น
“ปัณณ์พูดเรื่องอะไรวะ เราไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เอย์จิพูดพร้อมกับที่จานอาหารวางลงด้านหน้าของผม กลิ่นหอมของมันช่างยั่วยวนให้น้ำย่อยทำงานจนสลัดความอยากรู้ไปจนสิ้น แต่ลึกๆ แล้วเป็นห่วงเขานะ บางทีแกล้งโง่บ้างคงดีกว่านี้
“เอาเถอะ แล้วนี่พี่ยูไปไหนล่ะ?” ผมมองหาผู้ร่วมอาศัยอีกคนที่ช่วงนี้มักชอบหายตัวไปหลบมุมอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้คิดว่าเขามีความลับอะไรแต่ขึ้นชื่อว่ามาเที่ยวควรปล่อยวางเรื่องงานบ้าง ใครหาว่าคนอย่างปัณณ์เห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ ถ้ารู้ว่าปัญหาจากเลขาฯ นั่นเป็นเรื่องที่ระดับผู้จัดการสามารถตัดสินใจเองได้ไม่ต้องถึงมือระดับผู้บริหารเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจความคิดนี้
“นู่น ชานบ้าน เห็นว่ามีงานด่วนอีกแล้ว”
ทายผิดซะเมื่อไหร่ล่ะ งาน งาน งาน มีแต่คนที่โรงแรมโทรมาหา ไม่เห็นว่าร้านอาหารจะมีปัญหาอะไรเลย หึ
“หนีมาไกลขนาดนี้ก็ยังตามจิกกันเนอะ” ผมบ่นพึมพำก่อนจะมองไปยังชานบ้านที่เห็นแผ่นหลังกว้างไวๆ คุยโทรศัพท์แล้วเดินไปด้วยนี่มีอะไรเครียดหรือเปล่านะ
“หึงเหรอ?” หืม ทำไมอยู่ๆ เอย์จิก็ถามแบบนี้วะ ผมดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ บ้าน่า
“อะไร?” ผมถามกลับโดยไม่สบตาเพราะเริ่มรู้สึกว่าในอกมันกรุ่นๆ ด้วยอารมณ์อย่างที่เอย์จิว่าจริงๆ แม่ง ใครที่ไหนมันจะไม่หึงบ้างวะ โทรมาจิกอย่างกับพี่ยูเป็นผัวตัวเองเนี่ย ไม่รู้ว่าแกล้งเป็นแฟนคลับคู่เราเพื่อบังหน้าเพราะอยากคุยกับเจ้านายตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้มองคนแค่ภายนอกไม่ได้หรอก
“ก็แม่เลขาฯ สาวสวยไง” เอย์จิหรี่ตามองผมอย่างจับผิดจนต้องขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปหยิบน้ำในตู้เย็น
“พูดมากจริง” ผมบ่นไม่จริงจังมากนัก แต่อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองพี่ยูอีกครั้ง นี่คุยงานกับเลขาฯ มานานเท่าไหร่แล้ววะ แอบหักซิมทิ้งได้ไหมเนี่ย พาลเว้ยพาล!
“คิก แทงใจดำสิน้า” ไอ้นี่ก็ไม่เลิกแหย่สักที เดี๋ยวเอาขวดน้ำตีกบาลแยกเลยนี่ จะไม่เกรงใจว่าเป็นน้องพี่ยูแล้วนะเว้ย
“กินๆ เข้าไปเลย!”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มที่ผมหยิบหมอนรองนั่งง่อยๆ ออกมาไว้ตรงชานบ้านเพื่อใช้บรรเทาอาการปวดช่วงล่าง มองฟ้ามองดาวดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนโดยมีเอย์จิอยู่เป็นเพื่อนส่วนพี่ยูขอตัวไปอาบน้ำและเช็คบัญชีร้านอาหารที่พี่เคียวส่งมาให้เมื่อช่วงเย็น งานเข้าของแท้จนล้นมือ ครั้นจะช่วยก็โดนสั่งห้ามเพราะยังถือว่าเป็นคนป่วย อืม เถียงไม่ได้ก็ทำตามไปดีกว่า
“ชอบที่นี่ไหม?” อยู่ๆ เอย์จิก็เอ่ยถามขึ้นมาจนผมที่กำลังชี้นิ้วนับดาวถึงกับชะงักกึกแล้วหันมอง
“หือ ก็ชอบนะ ถามทำไม?” ผมถามกลับเพราะไม่แน่ใจว่าอีกคนอยากรู้อะไรกันแน่
“ก็เผื่อพี่ยูจะย้ายมาอยู่ที่นี่ไง” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะถือวิสาสะทิ้งหัวลงบนลาดไหล่ของผม ถ้าหากพี่ยูมาเห็นฉากนี้คงได้มีไล่เตะกันทั่วบ้านแน่ๆ คิดแล้วก็ขำดี
“อืม นั่นสินะ” ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่คนที่ไร้ซึ่งภาระใดๆ คงตัดสินใจไม่ยาก ก็ทั้งชีวิตนี้เหลือแค่ครอบครัวนี้เท่านั้นที่คอยดูแลกันเสมอมา
“ถ้าเป็นแบบนั้นปัณณ์จะยอมหรือเปล่า?”
“ถ้าพี่ยูออกปากชวนจะอยู่ที่ไหนก็ไปทั้งนั้นล่ะ” ไม่ได้ตอบเอาใจใคร แต่มันคือความจริงที่ผมคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าวันไหนโดนทิ้งก็คงต้องยอมรับชะตากรรม
“หูย รักมากสินะ” ไม่แซวสักเรื่องจะตายไหมเนี่ย เฮ้อ
“พูดแต่เรื่องของเรา เอย์จิล่ะ สบายใจขึ้นหรือยัง?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกอย่างคือบรรยากาศอึมครึมรอบตัวเอย์จิเบาบางลงแล้วคงยอมพูดอะไรบ้าง
“หืม?” ยังเฉไฉ แต่ไม่เป็นไรผมมีความสามารถพอในการคาดคั้น
“มีเรื่องที่ไทยไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นสินะ อืม... ก็อึดอัดน้อยลงแล้วล่ะ” คงปฏิเสธไม่ได้เลยยอมเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา ผมไม่เห็นใบหน้าของเอย์จิเพราะเขายังซบอยู่บนไหล่ แต่จากน้ำเสียงนั้นฟังแล้วรู้สึกเศร้า... เหรอวะ พอดีโฟกัสเรื่องปวดสะโพกมากกว่า จะทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทำไมเยอะๆ เนี่ย กระทบกระเทือนถึงด้านล่างนะ
“เกี่ยวกับทอยเหรอ?” ผมพยายามถามต่อ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดเหมือนกันแต่ความมั่นใจเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ
“โห มีตาทิพย์หรือเปล่าเนี่ย? ใช่ เกี่ยวกับทอยแต่เขาไม่ใช่สาเหตุหรอก” เอย์จิผละตัวออกไปแล้วมองหน้าผมอย่างล้อเลียนก่อนที่นิ้วเรียวจะถูกส่งมาดึงแก้มกัน ทำไมชอบเล่นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย เจ็บนะเว้ย
แต่ไอ้ที่เขาบอกว่าเกี่ยวกับทอยแต่ไม่ใช่สาเหตุนี่มันยังไงวะ หรือเรื่องนี้มีมือที่สามวะ
“อยากระบายไหม?” ผมถามพลางเลื่อนสายตาไปมองสวยด้านหน้าแทนเพื่อลดความกดดันให้น้อยลง ไม่ได้อยากเสือกแต่เป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนทั้งสองคนจริงๆ กว่าจะผ่านอุปสรรคแต่ละอย่างไปได้มันยากลำบากแค่ไหนก็รู้ดีอยู่
“อื้ม ก็... มีปัญหากับเจ้านายนิดหน่อย”
หืม ใหญ่โตขนาดนั้นเชียวเหรอวะ ไม่ธรรมดาแล้ว
“เจ้าของโมเดลลิ่งที่เอย์จิทำงานน่ะเหรอ?” ผมขยับตัวพิงกรอบประตูก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองคู่สนทนาเมื่อเรื่องมันจริงจังมากกว่าที่คาดคิดไว้ มีปัญหากระทบงานเลยเหรอ
เอย์จิส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะคลี่ยิ้มบางแล้วทิ้งหัวลงบนลาดไหล่กันอีกครั้งหนึ่ง
“ลูกชายเขาน่ะ”
เดาว่าคงเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพราะเคยได้ยินข่าวว่าลูกชายเจ้าของโมเดลลิ่งนั่นก็เป็นเกย์เหมือนกับเอย์จิ
“อ๋อ... แล้วทอย?” ผมพุ่งเป้าไปที่เพื่อนสนิทเพราะกลัวมันจะไปก่อเรื่องให้เอย์จิลำบากแล้วพาลผิดใจกันอีกรอบ คราวนี้คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วแม้แต่พี่ยูก็เถอะ
“อ่า ก็วันนั้นไปถ่ายงานที่ภูเก็ต ทอยไม่รู้ตามไปได้ยังไง จังหวะนั้นไอ้ลูกเจ้านายก็กำลังนัวเนียกับเรา... เออ ก็สนุกๆ อะ พอจะเดาออกปะว่าเกิดอะไรขึ้น?” เอย์จิผละตัวออกอีกครั้งแล้วเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วยรอยยิ้มแห้ง ก็นะ... สนุกไปเรื่อยเพื่อประชดความรักเฮงซวยแน่นอน ปกติไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่
“เละ” ผมตอบพลางทำหน้าเหยเก คนอย่างไอ้ทอยมันพุ่งชนคนที่ยุ่งย่ามกับของรักของหวงได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเลยล่ะ
“อืม ประมาณนั้น ต่อยเขาแล้วตะโกนบอกรักเราด้วย”
โอ้โห อยากจะด่าและชมเพื่อนในเวลาเดียวกันเลยว่ะ ทำได้ดีแต่ก็กร่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเกินไป
“เรื่องใหญ่สินะ”
“ก็... เขินมากกว่ารู้สึกโกรธล่ะนะ”
หืม ไหงเป็นงั้นเล่า ควรห่วงเรื่องงานไม่ใช่เหรอ?
“ห๊ะ หนีมาที่นี่เพราะเขินไอ้ทอย?”
“เออ ไม่ได้ถูกไล่ออกหรอก ลูกเจ้านายก็โดนอบรมไปเพราะทำเรื่องไม่เหมาะสม ก็หน้าหาดอะเนอะ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังไง”
จ้า พูดไม่ออกเลย เอาเถอะ ไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว
“อ๋อ เด็กน้อยเหรอ?”
“อื้อ เพิ่งเรียนปีหนึ่งอะ”
“กินเด็กนะเรา” ผมเอ่ยแซว ในขณะที่เอย์จิก็ไหวไหล่เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป
“ก็เด็กมันน่ากินนี่นา” แหนะ ขยิบตาตบท้ายนี่ทำให้ขนลุกได้เลยนะ
บทสนทนาหยุดลงเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปมากกว่ารอยยิ้ม ต่างคนต่างมองนั่นนี่ไปเรื่อยและตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ตกลงว่าเอย์จิกับไอ้ทอยญาติดีกันแล้วใช่ไหมนะ สงสัยว่ะ
“ยังโกรธทอยอยู่หรือเปล่า?” ผมถามขึ้นลอยๆ แอบเหลือบมองปฏิกิริยาคนด้านข้างเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเอย์จิจะยิ้มนะ เป็นยิ้มที่ละมุนทีเดียว
“คำตอบเราโคตรใจง่ายเลย ไม่โกรธตั้งแต่ทอยโทรมาง้อครั้งแรกแล้ว แต่แกล้งตีมึนเพราะอยากดูพฤติกรรมต่อว่าจริงใจหรือเปล่า” หลังจากตอบสิ่งที่คาใจให้ผมจนหมดเปลือกเจ้าตัวก็เอนหลังลงบนพื้นนอนแผ่ดูดาวด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ดวงตาทอประกายแห่งความสุขแต่ก็ยังมีนิดหน่อยที่เผลอฉายแววกังวล
“ดีแล้วล่ะ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องรีบ” ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยนั่นเล่นเบาๆ เอย์จิบุ้ยปากใส่ก่อนจะบ่นออกมา ทางท่าน่ารักจนอยากอัดคลิปไปฝากไอ้ทอยเลยล่ะ
“อื้อ ถ้าทอยรีบก็ให้มันไปหาคนอื่นเลย”
“จะยอมให้เป็นแบบนั้นจริงเหรอไง?” ผมแกล้งถามแล้วพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้ เชื่อสิว่าต้องโวยวายแน่ๆ หึหึ
“บ้าสิ ประชดเว้ย!”
นั่นไง เอย์จิก็คือเอย์จิล่ะน้า ไอ้ทอยไม่มีวันแห้วแน่นอน
----------------------------------------------------
ทุกคู่เคลียร์ปัญหาแล้วเนอะ อีก 3 ตอนก็จะจบแล้ว ~