♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61  (อ่าน 30798 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






Delicious Cafe
#รักรสกลมกล่อม


ความรักที่สมหวังเป็นแค่เพียงจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริง

วัฏจักรของความรู้สึกคือ
ชอบ > แอบรัก > เจ็บปวด > ตัดใจ > คิดถึง
สุดท้ายก็กลับไปวนลูปเดิมไม่มีวันสิ้นสุด

โชคร้ายที่โลกดันเหวี่ยงคนๆ นั้นให้กลับเข้ามาใกล้ชิดกันโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้ว 'ปัณณ์' จะต้องทำยังไงให้ตัวเองหลุดพ้นจากเรื่องนี้สักที

เลี้ยงเด็กว่ายากแล้ว ตัดใจจากคนที่แอบชอบนี่ยากโคตรๆ เลยว่ะ!



ฝากติดแท็ก #รักรสกลมกล่อม และ แฟนเพจ Ch0cmint ด้วยน้า




Contents


ทดลองชิม
จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด
จานที่ 2 : กุ้งเทมปุระ
จานที่ 3 : ข้าวห่อไข่
จานที่ 4 : ราเมน
จานที่ 5 : สเต็กแซลมอน
จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ
จานที่ 7 : ข้าวปั้น
จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่นเย็นทรงเครื่อง
จานที่ 9 : ซูชิ
จานที่ 10 : ทาโกะยากิ
จานที่ 11 : ซาซิมิ
จานที่ 12 : ไข่ม้วน
จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก
จานที่ 14 : ทงคัตสึ
จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล
จานที่ 16 : โซบะเย็น





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2018 08:46:30 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ทดลองชิม

 

“Ladies & Gentlemen, Now, We have landed at Suvarnabhumi Airport, Please keep your fasten seat belt, Return a seat back up right, Open your window shade and turn off your mobile phone and electronic devices until the fasten sign has been turn off, Please check your personal belonged and travel documentary before you leave the aircraft, On behalf of Thai Airways International, Captain and together with our crew would like to thank you for flying with us and we look forward to see you again, Thank You for Flying SHARK. Sawasdee Krab” เสียงประกาศแจ้งผู้โดยสารให้ทราบว่าการเดินทางครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วดังขึ้นเมื่อเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ลูกเรือสี่ชีวิตกำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยของทุกคนก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ตัวเอง

 

การทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของผมจะสิ้นสุดลงในวันนี้หลังจากที่เท้าแตะพื้นดิน สาเหตุที่ลาออกหลักๆ คือเบื่อการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด บางครั้งเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่รายได้ก็ถือว่าคุ้ม เหตุผลรองคือพี่เขยไม่สามารถเลี้ยงลูกชายวัยสามขวบพร้อมกับดูแลร้านอาหารได้ หน้าที่อันทรงเกียรติเลยตกเป็นของคุณน้าคนนี้

 

‘พี่ยู’ เคยถามความสมัครใจกันบ้างหรือเปล่า พอรู้ว่าผมจะลาออกก็ยื่นขอเสนอนี่มาให้เป็นพี่เลี้ยงหลานบวกกับเป็นเด็กเสิร์ฟในร้าน เงินเดือนแค่สองหมื่นแต่กินฟรีก็ถือว่าคุ้ม ทำไมคนอย่าง ‘ปัณณ์’ ต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ มันไม่คูลเข้าใจไหม แต่ยอมตอบตกลงกับเขาไปแล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แย่จริงๆ

 

“ปัณณ์” แอร์โฮสเตสสาวที่นั่งข้างกันเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ คงเสียใจเพราะหลังจากนี้พวกเราคงไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้ว แต่ถ้าอยากสานสัมพันธ์คุยหลังไมค์ได้ ไม่ยากเกินกิเลสตัณหาที่มนุษย์สร้างขึ้นหรอก มีวิธีอีกร้อยแปดเพื่อจะทำให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

 

“ครับมิลค์” ผมตอบรับเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกมากเกินควร ถึงแม้ว่าเราจะนั่งประจำที่ท้ายเครื่องแต่ก็ยังอยู่ในเวลาทำงานที่ไม่ควรยกเรื่องส่วนตัวขึ้นมาพูด แต่เวลานี้คงต้องยอมๆ เธอไปก่อนเพราะหลังจากลงเครื่องก็ต้องรีบไปหาสารถีที่อุตส่าห์มารับถึงสนามบินทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน เขาเรียกว่าวิธีต้อนรับลูกจ้างคนใหม่หรือเปล่านะ

 

“ปัณณ์จะทิ้งมิลค์ไว้คนเดียวเหรอคะ ทำไมใจร้ายขนาดนี้” เธอตัดพ้อด้วยแววตาและคำพูด ดูแล้วน่าสงสารจนผมอยากดึงเธอเข้ามากอด แต่ติดอยู่ตรงที่เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเซ็กซ์เฟรนด์ ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีความรู้สึก และรวมถึงไม่มีสิทธิ์ในตัวของกันและกัน มิล์คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอไง โธ่ๆ สาวน้อย อย่าคิดว่าสวยแล้วจะเอาผู้ชายอยู่หมัดทุกคนสิ ถ้าใจมันบอกว่าไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี

 

“ผมใจร้ายตอนไหนครับ จำได้ว่าไม่เคยเป็นคนแบบนั้น” ผมมั่นใจว่าตัวเองเดินทางสายกลางมาตลอด ไม่เคยให้ความหวังคู่นอนคนไหนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์เลยสักครั้งเพราะความรักเป็นแค่จินตนาการสวยหรูที่ไม่มีวันเป็นจริง ปัณณ์พิสูจน์มันมาหลายปีแล้ว รู้ซึ้งและเข้าใจดี

 

มิลค์ตวัดสายตามองค้อนผมอย่างเอาเรื่อง ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนที่น่าสงสารเลยสักนิด ถึงจะพลาดจากสจ๊วตอย่างผมก็มีนักบินอย่างไอ้ทอยคอยดามใจอยู่ ไม่ใช่ว่ามันเลวแย่งคู่นอนของเพื่อนแต่ผู้หญิงเขาเสนอตัวเอง เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากแกล้งโง่

 

“ปัณณ์ไม่รู้สึกอะไรกับมิลค์บ้างเหรอคะ” เธอถามอย่างมีความหวังว่าผมจะคิดอะไรกับเธอเกินเลยบ้าง ถ้ามิลค์ไม่ทำตัวอย่างนั้นความเป็นไปได้อาจสูงกว่านี้ แต่ลึกๆ แล้วปัณณ์มีหัวใจแค่ดวงเดียวและมันสามารถบรรจุความรักได้แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น แอบรัก เจ็บปวด ตัดใจ แต่สุดท้ายมันก็วนเข้าลูปเดิมเสมอเพราะความคิดถึง

 

“จะให้ผมรู้สึกกับคู่นอนทุกคนคงไม่ไหวมั้งครับ เราเคยตกลงกันแล้วเนอะ หวังว่าคงจำได้” ผมคลี่ยิ้มหวานที่เคลือบยาพิษส่งไปให้มิลค์ คนความจำดีอย่างเธอคงไม่ลืมเรื่องที่เราเคยตกลงกันไว้อย่างแน่นอน

 

“แต่มิล์ชอบปัณณ์...” เธอมองผมด้วยดวงตาสั่นไหว สองมือเรียวเอื้อมมากุมตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างอ่อนโยนคล้ายเว้าวอนเหนี่ยวรั้ง ถ้าหากหลุดหัวเราะออกไปตอนนี้จะผิดมากไหม ก็มิลค์เล่นละครไม่เนียนเลย ไอ้ความอยากได้ไม่รู้จักพอมันน่ากลัวถึงขั้นทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นนางร้ายในละครหลังข่าว

 

“ก่อนจะพูดคิดดีแล้วเหรอครับ ไอ้ทอยมาได้ยินคงเสียใจแย่เลย” ผมเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมของเธอก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องบังคับการบินที่คนโดยพาดพิงกำลังทำงานอยู่ ตอนนี้คงจามจนจมูกแดงแล้วมั้ง อยู่ๆ ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาแถมเนื้อเรื่องดราม่าอีกต่างหาก

 

“ปัณณ์รู้...” มิลค์เบอกตาโตด้วยความตกใจ ทั้งมือและปากบางๆ นั่นสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ผมแอบสงสารเธอแต่รู้สึกโล่งมากกว่าที่ไม่ต้องมานั่งแอ๊บโง่ต่อ ดูเป็นควายในสายตาใครหลายคนมานาน วันนี้ขอเป็นอัจฉริยะหน่อยแล้วกัน

 

“ไหนๆ ก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว ผมอยากบอกว่าความลับไม่มีในโลกหรอก ขอตัวนะครับ” ผมหันไปยิ้มหวานเป็ครั้งสุดท้ายให้มิลค์เพื่อเป็นการบอกลาเพื่อนร่วมงานพ่วงด้วยความสัมพันธ์แบบเซ็กซ์เฟรน ต่อจากนี้ไปเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เธอจะคิดว่าโดนหลอกหรืออะไรก็ช่างเพราะมันไม่ได้สำคัญต่อชีวิตเลย

 

เมื่อเสียงประกาศแจ้งครั้งสุดท้ายบนเครื่องจบลง ผู้โดยสารทยอยลุกขึ้นเปิดชั้นวางกระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังประตูด้านหน้าเพื่อมุ่งสู่อาคารโดยใช้อุปกรณ์ที่ชื่อว่างวงช้วงเป็นทางผ่าน ผมคลี่ยิ้มการค้ายกมือไหว้ทุกคนด้วยอารมณ์แจ่มใสทั้งที่เหนื่อยสายตัวแทบงาน คนที่จะทำงานบริการแบบนี่ได้ต้องมีความอดทนสูง รับแรงกดดันและสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว

 

ผมลากกระเป๋าใบเขื่องไปตามทางเดินที่มุ่งสู่ประตูทางออกโดยมีเพื่อนซี้อย่างไอ้ทอยเกาะติดไม่ห่าง สงสัยกลัวว่าจะโดนมิลค์ลากไประบายความโกรธในที่ลับตาคนล่ะมั้ง หึหึ คิดแล้วก็รู้สึกอยากขำที่ยอมใช้ผู้หญิงร่วมกับเพื่อนมาหลายเดือน แต่ดีหน่อยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคติดต่อเพราะเราป้องกันอย่างดี และที่สำคัญคือไม่ป่องอย่างแน่นอน

 

“เชี่ยปัณณ์ มึงแม่งใจร้ายสุดๆ” อยู่ๆ ไอ้กัปตันหน้าหล่อก็พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแต่ใบหน้ากลับร่าเริงผิดวิสัย ผมว่ามันมีปัญหาเกี่ยวกับระบบความคิดเพราะไม่สัมพันธ์กับการแสดงออกอย่างแรง

 

“อะไร กูใจร้ายตอนไหนอีก” ผมตั้งคำถามพาซื่อทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนหมายถึงอะไร มีเรื่องอีกมายมายให้เราสนใจแค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ทำให้ชีวิตเราพังได้หรอก ใครจะหาว่าปัณณ์ร้ายก็ช่างเพราะไม่มีเวลาพอให้แคร์ความรู้สึกของคนทั้งโลก

 

“ทำน้องมิลค์คนสวยร้องไห้ได้ไงวะ” มันโอบไหล่ของผมไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ถ้าหากมีใครให้ลองเปรียบเทียบไอ้ทอยกับสัตว์ อย่างแรกที่นึกถึงคงเป็นงูเหลือม... ถนัดรัดสาวๆ นักรายนี้

 

“มึงก็ลากเขาไปปลอบบนเตียงสิ จากร้องกลายเป็นครางแน่นอน” ผมยักคิ้วกวนปิดท้ายประโยคโดยไม่สนอาการตกใจโอเว่อร์ของไอ้ทอย ทำตาโตอย่างกับไข่ห่าน ไม่กลัวมันถลนออกมาข้างนอกหรือไง

 

“แหม... แนะนำกูแบบผู้เชี่ยวชาญสุดๆ” มันกระแนะกระแหนก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ไอ้ทอยน่ะเพลย์บอยตัวพ่อ ใครๆ ก็อยากสัมผัสนักบินรูปหล่อพ่อรวย แถมเก่งเรื่องบนเตียงด้วยกันทั้งนั้น นิสัยแม่งเสียโดนยิงทิ้งฉิบหาย

 

“มึงเชี่ยวกว่ากูอีกมั้งไอ้ทอย” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะพลางกระชับที่จับกระเป๋าเดินทางให้แน่นขึ้น ล้อลากมันฝืดแปลกๆ ถ้าต้องไปไหนอีกคงต้องมองหาใบใหม่

 

“เออๆ ไม่เถียง แล้วนี่มึงจะกลับคอนโดยังไง” คนอย่างไอ้ทอยไม่เคยเถียงชนะเพราะผมรู้จักนิสัยมันดีกว่าใคร มันเปลี่ยนเรื่องด้วยการตั้งคำถามที่ชวนให้นึกถึงบางคนที่ส่งไลน์บอกว่าจะมารับถึงสนามบินทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยให้ความสนใจเรื่องนี้เลย แปลก... เอาไว้ถามตอนเจอหน้าก็แล้วกัน

 

“มีคนมารับ”

 

“ใครที่ไหนวะ เด็กใหม่เหรอ” ไอ้ทอยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ผมได้แต่พ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ทำไมต้องคิดว่าคนนั้นคนนี้เป็นคู่ควงใหม่ด้วยวะ จะเป็นเพื่อน คนรู้จัก ญาติ หรือมีความสัมพันธ์แบบอื่นไม่ได้เลยหรือไง บางทีปัณณ์ก็ไม่ได้ส่ำส่อนขนาดนั้น

 

“เด็กมากมั้ง แก่กว่ากูสิบปีเนี่ย” ผมตอบอย่างกำกวมเพราะอยากแกล้งเพื่อนให้ตกใจเล่น อยากคิดอกุศลดีนัก ขอเตือนไว้แต่เนินๆ ถ้าใครคิดจะหลงเสน่ห์ไอ้กัปตันคนนี้ต้องทำใจหน่อย มันทั้งกาก ทั้งเกรียน และที่สำคัญโคตรหื่น

 

“ห๊ะ เดี๋ยวนี้แดกหญ้าแก่เหรอมึง” ไอ้ทอยถามเสียงดังจนผมต้องยกมือฟาดเข้าที่ไหล่แข็งๆ ของมัน ดูท่าทางแผนแกล้งจะไม่สำเร็จ เฉลยออกไปคงดีกว่า

 

“พ่อง ไปกันใหญ่แล้ว พี่ยูมารับน่ะ” ผมตอบไม่เต็มเสียงเพราะยังคาใจที่เขาอาสามารับกัน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เบี้ยวแล้วปล่อยให้โบกแท็กซี่กลับบ้าน ถ้าเป็นอย่างนั้นจะโกรธสักสิบปี คอยดู

 

“อะไรนะ โคตรเซอร์ไพร์ส!” ไอ้ทอยถึงกับหยุดเดินกะทันหัน ดวงตาคมเบิกค้างราวกับว่าเจอเรื่องอัศจรรย์ แต่ผมเข้าใจดีเพราะรู้สึกไม่ต่างกัน พี่ยูผีเข้าหรือไง ทำตัวดีด้วยแบบนี้ก็แย่สิ

 

“คงอยากต้อนรับพนักงานใหม่” ผมไหวไหล่เป็นเชิงไม่อยากคิดอะไรมากก่อนจะออกเดินเท้าต่อ แอบบ่นในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงที่นัดหมายสักที เกลียดสนามบินกว้างขวางนี่เหลือเกิน

 

“ถุย เจ้านายมารับลูกน้องมีที่ไหนวะ ร้านอาหารก็ไม่ใช่ใกล้ๆ สักหน่อย” เจ้าหนูจำไมรีบเร่งฝ่าเท้านำหน้ากันเพื่อที่จะดักทาง แต่ผมเบี่ยงหลบได้ทัน ไม่อยากสบตาไอ้ทอย กลัวว่ามันจะเห็นอะไรบางอย่างในนั้น สิ่งที่เก็บไว้มานานจนลืมไปแล้ว

 

“มีสิ เพราะลูกน้องคนนี้มีศักดิ์เป็นน้องเมียของเขาไง” ผมคงมีความสำคัญกับพี่ยูเพียงเท่านี้ สถานะสุดท้ายที่สามารถเป็นได้ในชีวิต บางทีมันอาจจะฟังดูดีกว่าการเป็นรุ่นน้องคนสนิทล่ะมั้ง

 

“แลดูสำคัญว่ะ” ไอ้ทอยพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ แต่ไอ้คำพูดนี่จะทำร้ายจิตใจไปถึงไหนกัน หน้าตาซื่อๆ โง่ๆ นั่นอีก เตะสักทีดีไหม เรายังเป็นเพื่อนกันหรือเปล่าวะ ทำไมต้องซ้ำเติม

 

“นั่นสินะ ดูเหมือนจะสำคัญทั้งๆ ที่จริงแล้วก็ไม่” แต่ผมยอมรับความจริงข้อนี้ ตั้งแต่พี่ป่านและครอบครัวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีที่แล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พี่ยูต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ส่วนผมก็ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ความสูญเสียนี่มันยิ่งใหญ่จริงๆ

 

“มึงจะดึงดราม่าเพื่ออะไร” ฝ่ามือใหญ่ๆ ตบลงบนท้ายทอยจนผมถลาไปด้านหน้าเพราะไม่ทันตั้งตัว จะหันไปเอาคืนไอ้ทอยแต่กลับรู้สึกมึนและต้องใช้มันเป็นหลักยึด สัด นี่เพื่อนนะไม่ใช่ลูกบาสฯ

 

“กูเปล่าเหอะ มึงจะไปไหนต่อไหม” ผมแยกเขี้ยวใส่มันแล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากคุยเรื่องบั่นทอนจิตใจตัวเอง ตอนนี้อยากกลับคอนโดไปนอนยาวๆ ยันพรุ่งนี้เช้าเลยยิ่งดี

 

“กลับบ้านไปนอน ง่วงมาก” มันหาวหวอดประกอบคำพูดก่อนจะแกล้งทำตาปรือ หน้าอย่างกับคนเมา ผมหัวเราะพรืดแล้วยกมือเคาะหัวไอ้ทอย ถึงจะหล่อแต่มีความต๊องไม่แพ้ใคร

 

“เออ ขับรถดีๆ นะมึง อยากแหกโค้ง กูขี้เกียจตามไปเก็บซาก” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวออกมาห่างๆ รู้ดีว่าเพื่อนต้องทำร้ายกันแน่ๆ ก็ดันปากหมาใส่มัน

 

“รักกูจังเนอะ” มันเบ้ปากใส่แล้วเดินมาล็อกคอ อยากจะถามไอ้ทอยจริงๆ ว่ามึงไม่อายสายตาผู้โดยสารกับพนักงานสนามบินบ้างหรือไง เล่นกันเหมือนเด็กอายุสิบสามทั้งที่จะสามสิบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตัวก็อย่างกับตึกทั้งคู่ไม่ได้ดูน่ารักเลย

 

“แน่นอน กูไปแล้วนะ” ผมผลักมันออกแล้วขอตัวแยกไปอีกทางเพราะต้องไปหาพี่ยูส่วนไอ้ทอยไปลานจอดรถ แต่มือหนาที่รั้งกันไว้นั่นทำให้ต้องชะงักเท้า อาลัยอาวรณ์กูขนาดนั้นเชียว จูบลาเลยไหม

 

“รีบไปไหนวะมึง คุยกันก่อน” ไอ้ทอยขมวดคิ้วยุ่งแล้วบีบข้อมือผมไว้แน่นแถมออกแรงกระตุกให้เข้าไปประชิดตัว ดูเผินๆ เหมือนคู่รักแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย แค่สนิทกันมากเกินไปเท่านั้นเอง

 

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่ยูรอนาน” ผมแกะมือไอ้ทอยออกแล้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างจริงจัง ไม่อยากให้พี่ยูรอนานไปกว่านี้ เขาส่งไลน์มาบอกว่าถึงที่นี่ตั้งแต่สามทุ่ม ตอนนี้ปาเข้าไปจะสี่ทุ่มแล้ว อีกอย่างเราทั้งคู่ไม่ได้คุยกันอย่างจริงจังมาเกือบสองปีแล้วมั้ง ความสนิทลดลงน่าดู

 

ผมหันหลังให้เพื่อนสนิทเพื่อออกเดินอีกครั้ง แต่เสียงทุ้มที่คุ้นเคยของมันกลับรั้งกันเอาไว้พร้อมทั้งสัมผัสบีบเค้นที่หัวไหล่นั่น ขัดใจไอ้ทอยแล้วทำเป็นเมินได้ไหม มีอะไรค่อยโทรคุยหรือนัดเจอเวลาว่างก็ได้

 

“ปัณณ์...”

 

“ว่าไง” ผมถามโดยไม่หันไปมองหน้ามัน เริ่มหงุดหงิดที่โดนรั้งไม่จบไม่สิ้นสักที ถึงพี่ยูจะเป็นคนใจดีแต่ตอนนี้เขาเสียเวลาพักผ่อนไปมากแล้ว

 

“พี่ยูยังสำคัญกับมึงเหรอ” คำถามชวนคิดหนักจนผมได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงไปมากกว่านี้ เท่าที่ผ่านมาก็ช่วยดูแลกันมากเกินพออยู่แล้ว

 

“อื้ม ก็นั่นพี่เขยพ่อของหลานกูเชียวนะ” ผมหันไปคลี่ยิ้มกว้างให้มัน ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนได้คือเขาเป็นพ่อของหลานชายตัวน้อยๆ จะไม่สำคัญได้ยังไง

 

“โอเค สู้ๆ กับงานใหม่นะเพื่อน ไว้เจอกัน” ไอ้ทอยพยักหน้ารับก่อนจะตรงเข้ามากอดแล้วบอกลา หลังจากวันนี้ไปคงต้องเริ่มศึกษาอะไรหลายๆ อย่างเพื่มขึ้น ทั้งเรื่องของอาหารญี่ปุ่น การเลี้ยงเด็ก เผลอๆ อาจต้องเป็นคนดูพี่ยูด้วย ก็รายนั้นทำงานเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเสมอ ไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพเท่าที่ควร

 

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับพี่เขยที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขามีรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นนายแบบ หน้าตาหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสาร ตัดผมทรงอันเดอร์คัตทำสีน้ำตาลอ่อน ใส่เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวเน้นสัดส่วนกับกางเกงผ้าขาสั้นสีเทา ร้องเท้าแตะแบบสอด บอกได้คำเดียวว่าออร่ากระจายในระยะสิบเมตรเลย

 

พี่ยูหันมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มที่คลี่กว้างออกเมื่อเห็นผมในระยะที่เรียกได้ว่าสามารถขยับเข้ามาใกล้กัน อ้อมแขนแข็งแรงอ้าออกเพื่อกอดรับน้องชายต่างสายเลือด อกกว้างนั่นน่าซบแต่อย่าดีกว่า ไม่ได้คุยกันตั้งนานมันรู้สึกห่างเหินแปลกๆ

 

“สวัสดีครับพี่ยู” ผมผละมือจากกระเป๋าแล้วยกมือไหว้คนตรงหน้าพร้อมคลี่ยิ้มให้เป็นการทักทาย พี่ยูชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะโค้งตัวตามธรรมเนียมบ้านเกิด อยู่ใกล้กันขนาดนี้ถึงได้เห็นส่วนสูงที่ชัดเจน เขาสูงกว่าเกือบหนึ่งฝ่ามือ ก็นะร้อยแปดสิบกับร้อยเก้าสิบเชียว พอๆ กับอายุที่ห่างกันสิบปี

 

“เหนื่อยมากไหมปัณณ์ ได้ข่าวว่าบินจากญี่ปุ่นใช่ไหม” พี่ยูแสดงความเป็นห่วงด้วยการถามไถ่ ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะออกเดินเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา อีกเดี๋ยวเขาต้องขับรถไปส่งที่คอนโดอีก ซึ่งระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ด้วย

 

“ก็นิดหน่อยครับ วันนี้คึกอะไรมารับผมเนี่ย” ผมถามกลับด้วยความอยากรู้ก่อนจะลอบมองปฏิกิริยาบางอย่าง แต่พี่ยูทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกันเหมือนสองปีที่แล้ว เขายังอ่อนโยนและเป็นพี่ชายที่แสนดีคนเดียว มีแต่ปัณณ์ล่ะมั้งที่เปลี่ยนไป

 

“นานแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย” คำพูดกำกวมคล้ายคนที่มีความสัมพันธ์มากกว่าพี่น้องทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าการกลับมาทำงานใกล้ๆ พี่ยูจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไปไม่เป็นอยู่ดี

 

“ผมทำงาน พี่ก็ทำงานไง ยุ่งด้วยกันทั้งคู่” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจทั้งที่อยากแหกปากตะโกนใส่หน้าเขาว่าเกลียดความอ่อนโยนแบบนี้เพราะมันทำให้ความรู้สึกเก่าๆ กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง พยายามไปมาเท่าไหร่ปัณณ์ก็ยังกลับมาสู่จุดเริ่มต้นได้เสมอ แย่ที่สุด โตจนป่านนี้แล้วแค่เรื่องง่ายๆ อย่างการลืมยังทำไม่ได้เลย

 

“นั่นสิ วันนี้เลยอยากรับไปหาอะไรกินไง” พี่ยูละมือออกจากศีรษะแล้วล้วงมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามนิสัย ดูไปก็รู้สึกให้ความขี้เก๊กแต่ก็เท่ดี สาวๆ คงกรี๊ดกร๊าดกันน่าดู บางทีที่ร้านอาหาร ‘นัทสึ’ ลูกค้าเยอะก็เพราะสาเหตุนี้ล่ะมั้ง เพราะเคยเห็นรูปเขาในแท็กทวิตเตอร์อยู่บ่อยๆ #เชฟหล่อบอกต่อด้วย

 

“ระวังกระเป๋าฉีกนะครับ” อย่าคิดว่าผมจะมีความเกรงใจ ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วไม่อยากอยู่ใกล้พี่ยูเกินควรแต่ของฟรีใครเกี่ยงบ้าง

 

“ตัวก็แค่นี้ จะกินได้สักเท่าไหร่กันเชียว” พี่ยูใช้แขนยาวๆ โอบไหล่กันอย่างสนิทสนม แผ่นหลังที่เกยอยู่บนอกกว้างร้อนวาบเพราะมันแนบชิดกันจนอากาศผ่านไม่ได้ ผมเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกลั้นความรู้สึกกระอักกระอวนเอาไว้แล้วแสร้งทำตัวปกติ

 

“คอยดูเถอะ ผมจะกินให้พี่หมดตัวเลย” หัวเราะตบท้ายเพื่อความแนบเนียนทั้งที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบ กลัวเขาจะเห็นความจริงที่ว่าผมไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออก

 

“หึหึ ตามสบายครับน้องชาย พี่เปย์ไหวแน่นอน” พี่ยูขยี้หัวผมแรงๆ แล้วผละออกไปเดินเคียงข้างตามปกติ ผมเหลือบมองเขาก่อนจะลอบถอนหายใจ ปัณณ์ยังไม่ได้อาบน้ำ เดี๋ยวกอด เดี๋ยวจับตรงนั้นตรงนี้ไม่เหม็นกันบ้างหรือไงวะ

 

พี่ยูเดินนำไปที่รถเอสยูวียี่ห้อหรูตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี เขาจัดการเปิดประตูรถให้ผมแถมยังช่วยยกกระเป๋าเก็บให้อีกต่างหาก ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อดูแลลูกชายวัยอนุบาล คงติดนิสัยมาจากการดูแลเจ้าหลานชายตัวแสบล่ะมั้ง ถ้าจำไม่ผิดปีนี้คงอายุสามขวบแล้ว กำลังซนได้ที่เลย

 

พี่ยูเลิกเปิดเพลงภาษาไทยที่ผมฟังรู้เรื่องทั้งที่ปกติแล้วเขาชอบฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นมากกว่า ก็คนมันเกิดและโตที่นั่นคงคิดถึงเป็นธรรมดา บรรยากาศในรถไม่ได้อึดอัดอย่างตอนแรกเจอหน้า มือเรียวเคาะเป็นจังหวะตามทำนอง เขาดูผ่อนคลายอย่างน่าเหลือเชื่อ คงเพราะด้วยอายุที่กำลังย่างเข้าสู่วัยเลขสี่เลยทำให้นิสัยสุขุมมากขึ้น

 

“ปัณณ์...” อยู่ๆ เขาก็เรียกชื่อกันพร้อมทั้งเบนสายตามาทางนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดยุ่งเหมือนกำลังมีเรื่องสงสัยอยู่ในใจ เป็นเพราะผมหรือเปล่านะ แต่เจอกันยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยจะเป็นไปได้ยังไง เลิกคิดมากสักทีน่าปัณณ์

 

“ครับ”

 

“ทำไมไม่แทนตัวเองด้วยชื่อกับพี่เหมือนแต่ก่อนล่ะ” คำถามของพี่ยูทำให้ต้องชะงักมือที่กำลังเสยผมอยู่ ดวงตารีเบิกขึ้นด้วยความตกใจ ไม่เคยคิดเลยว่าแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตั้งใจเปลี่ยนนั่นจะติดใจเขาได้ขนาดนี้ ควรรู้สึกยังไงดีนะ

 

“เวลาเปลี่ยนอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมหรอกครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ พยายามปัดความคิดฟุ่งซ่านให้กระจายหายไปกับอากาศ ตอนนี้สิ่งที่ต้องโฟกัสคือการเลี้ยงเด็กและการเป็นพนักงานเสิร์ฟเท่านั้น

 

“แต่พี่ชอบเวลาที่ปัณณ์พูดแบบนั้นนะ” เขายิ้มและพูดประโยคชวนคิดอีกแล้ว ไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังทำให้คนอื่นรู้สึกไม่มั่นคง ผมอุตส่าห์หยุดทุกอย่างเอาไว้เมื่อสองปีที่แล้ว แต่พี่ยูกำลังจะเปิดทางให้ทุกอย่างดำเนินต่อ... สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกมันน่ากลัวจริงๆ

 

“ทำไมครับ” ผมถามกลับเสียงเบาโดยที่ดวงตาโฟกัสอยู่ตรงถนนเบื้องหน้า แสงไฟนีออนสาดสว่างทำให้ราตรีนี้ดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป ทำไมเพลงร็อคส์ต้องมาดังเอาจังหวะนี้ด้วยวะ ไม่เข้าบรรยากาศละมุนเลย

 

“น่ารักดี” คำชมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ผมขยำมือทั้งสองข้างเข้ากับเครื่องแบบพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พี่ยูเป็นคนพูดดีปากหวานอยู่เสมอไม่ว่ากับใครตามแบบฉบับผู้ชายอบอุ่นพ่อบ้านชาวญี่ปุ่นประมาณนั้น ใครๆ ก็อยากได้เป็นสามี ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนของพี่ป่านและร่วมถึง... ช่างมันเถอะ แล้วนี่หลานชายตัวแสบหายไปไหน ลืมสนิทเลย

 


ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“แล้วนี่ ‘ริว’ ไปไหนครับ” ผมเหลียวมองใบหน้าด้านข้างของพี่ยูแล้วดันเผลอไล่สายตาไปตามสันกรามของเขา จมูกโด่งรับกับแว่นสายตาแบบกลมอย่างเข้ากัน ลุคแบบนี้ค่อยดูสมกับเป็นคุณพ่อลูกหนึ่งสักหน่อย เชื่อว่ามีสาวๆ หลายคนอิจฉาพี่ป่าน เพราะตั้งแต่เธอเสียชีวิตไปก็มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาตบเท้ากันเข้ามาหาเขาไม่ขาดสาย เสน่ห์แรงจริงๆ ช่วงนี้เขาฮิตมีแฟนแนวแด๊ดดี้กันใช่ปะ

 

“อ๋อ วันนี้โอกาซังอาสาเลี้ยงริวให้น่ะ” หืม... เพราะแบบนี้ถึงได้มีเวลาว่างมาทำอะไรไร้สาระกับผมอย่างนั้นเหรอ เห็นปกติเวลานี้ต้องนอนกอดลูกชายตัวแสบ นี่ปัณณ์แย่งเวลาพักผ่อนเขาหรือเปล่าวะ อดคิดมากไม่ได้เลย

 

“คุณป้ามาไทยเหรอครับ”

 

“ใช่แล้ว อยากไปเจอไหม”

 

“ไม่ดีกว่าครับ ผมง่วง อยากกลับคอนโดไปนอนแล้ว” ผมตอบปัดเพราะยังไม่อยากเจอใครตอนนี้ คุณป้าให้ความรู้สึกเหมือนแม่มากเกินไปถ้าเห็นหน้าคงอดร้องไห้ไม่ได้

 

“หลังจากกินข้าวเสร็จพี่จะไปส่งนะ” พี่ยูหันมายิ้มให้อย่างจริงใจก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าร้านข้าวต้มรอบดึกที่ยังเปิดทำการอยู่

 

กว่าจะจัดมื้อดึกกันเสร็จก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า พี่ยูหาวแล้วหาวอีกจนผมกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว ตาปรือขนาดนั้นยังสามารถกินข้าวเป็นเพื่อนกันได้อีก สามารถจริงๆ เลย

 

ผมอาสาขับรถไปส่งตัวเองที่คอนโดเพื่อให้คุณพ่อนอนพักผ่อนสักตื่นเพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุหลังจากนี้ เขาอิดออดอยู่ครู่ใหญ่เนื่องด้วยความที่แก่กว่าเลยและไม่ได้เจอกันนานเลยอยากอำนวยความสะดวกให้ ปัณณ์รู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่อย่าดื้อจนทำให้ต้องเป็นห่วงสิวะ แก่แล้วอย่าทำตัวเหมือนเด็กสิ

 

“อยู่คอนโดคนเดียวเหงาไหม” อยู่ๆ คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็เอ่ยถามขึ้นพลางหันมามองกันเพื่อรอคำตอบ ผมขมวดคิ้วแน่น สงสัยว่าทำไมถึงถามแบบนี้ ก็อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยนี่ ถ้าเหงาก็คงเหงาตายไปนานแล้วหรือเปล่า

 

“พี่ยูมาถามตอนนี้สายไปหรือเปล่าครับ” ผมถามกลับเสียงเรียบเพราะอยากดูปฏิกิริยา พี่ยูถึงกับเกิดอาการอึกอักมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กำลังจะดราม่าหรือเปล่า ปัณณ์ขอโทษที่แกล้งว่ะ

 

“ก็...” พี่ยูพูดได้แค่นั้นก็เงียบไปเหมือนหาคำตอบไม่เจอ ถ้าจะบอกว่าเขาละเลยน้องชายคนนี้คงไม่ใช่เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันก็ใส่ใจอยู่เสมอ ผมก็แค่แยกมาอยู่คนเดียวด้วยตัวเอง ไม่มีใครอยากเข้าไปเป็นตัวถ่วงของคู่รักหรอก

 

“ผมล้อเล่นน่า ขมวดคิ้วไปได้” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเลี้ยวจอดที่หน้าคอนโดหรูใจกลางเมือง พลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยเพื่อเตรียมลงจากรถแต่กลับโดนมืออุ่นรั้งหัวไหล่ไว้ก่อน ดวงตาคมที่มองมามีแววอ้อนวอนจนอดขมวดคิ้วไม่ได้ พี่ยูต้องการอะไร

 

“พี่อยากให้ปัณณ์ย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” น้ำเสียงนุ่มเชิญชวนให้ผมทำสิ่งที่ลำบากที่สุดในชีวิต เขาพยายามเข้ามาดูแลกันตั้งแต่สูญเสียครอบครัววันแรก แต่ด้วยความเป็นปัณณ์ที่อยากรักษาระยะห่างอย่างพอดีเพราะเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดสักอย่าง กลัวคนอื่นจะเอาไปนินทาลับหลัง

 

“ไม่ครับ ผมขออยู่คอนโดเหมือนเดิมดีกว่า สัญญาว่าจะไม่ไปทำงานสาย” เพื่อความสบายใจของผมเพียงคนเดียว แต่สำหรับพี่ยูแล้วคงกังวลแทบบ้า โดยปฏิเสธไปรอบที่ร้อยแล้วมั้งควรเลิกตื๊อสักที

 

“พี่ไม่ได้กังวลเรื่องนั้น” พี่ยูเอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเพื่อบังคับให้สบตากัน อยากจะขัดใจแล้วปัดป่ายสัมผัสนั่นทิ้งแต่ทำได้แค่จ้องกลับไปเท่านั้น ปัณณ์มีสิทธิ์อยู่ในความดูแลของเขาด้วยเหรอ ในฐานะน้องชายของเมียเก่าน่ะนะ ตลกตายเลย

 

“ผมอยู่ได้สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง”

 

“พี่อยากดูแลปัณณ์” คำเดิมที่เคยฟังมาตลอดหลายปีถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมกับแรงบีบที่หัวไหล่ ผมเบนหน้าหนีสายตาอ้อนวอนของเขา ถ้าใจอ่อนเมื่อไหร่ความรู้สึกที่พยายามกดไว้จนลึกจะหวนกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

 

“ผมดูแลตัวเองได้”

 

“ปัณณ์...” พี่อย่าเรียกผมด้วยเสียงที่อ่อนโยนแบบนั้นสิวะ

 

“ผมไม่สะดวกครับ พอดีว่า ‘แฟน’ จะมาอยู่ด้วยน่ะ” ผมโกหกคำโตก่อนจะผละตัวออกมาเมื่อพี่ยูคลายแรงบีบลง ประตูถูกเปิดพร้อมๆ กับขาที่หย่อนลงจากรถ ต้องรีบขึ้นคอนโดสักที ไม่อย่างนั้นกลัวว่าคืนนี้คงไปจบที่บ้านเขาอย่างแน่นอน

 

“อ๋อ... มีแฟนแล้วเหรอ พามาแนะนำให้รู้จักบ้างสิ” เขาเปลี่ยนน้ำเสียงและท่าทางอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ส่าผมจะมีคนมาอยู่ด้วย นี่พี่ยูกลัวน้องชายเหงาจริงๆ เหรอวะ แล้วไอ้แฟนอะไรนั่นก็เป็นของจอมปลอม ถ้าคู่ขาก็พอมีบ้างประปราย ไม่อยากจริงจังกับใครให้เสียใจซ้ำซาก

 

“ผมคิดว่าคงไม่เหมาะเพราะเขาเป็นผู้ชาย” มันคือการเบี่ยงประเด็น ที่กล้าพูดไปแบบนั้นเพราะความจริงแล้วผมเป็นไบเซ็กซ์ชวล หญิงก็ได้ชายก็ดี รุกได้ทุกสถานการณ์แต่ไม่เคยเป็นรับให้กับใครทั้งนั้น

 

“เฮ้ย พี่ไม่ถือเรื่องนี้ ชิวๆ เลย” พี่ยูโบกมือเป็นพัลวันพลางหัวเราะร่า บ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่คิดมากเรื่องนี้จริงๆ สมกับเป็นผู้ใหญ่รุ่นใหม่ที่มองโลกกว้าง

 

“งั้นเหรอครับ ไว้ผมจะพาไปที่ร้าน” ผมคลี่ยิ้มส่งไปให้เขาก่อนจะคิดในใจว่าจะเอาคู่ขาคนไหนออกหน้าออกตาดีวะ ต้องเลือกหนุ่มน้อยที่แสดงละครเก่งๆ เด็กนิเทศศาสตร์ที่กำลังคุยอยู่ก็น่าสนใจดี

 

“โอเค คืนนี้ฝันดีนะ” พี่ยูโน้มตัวมาบอกฝันดีกันในระยะประชิด ลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้มทำให้ผมดีดตัวออกจากเบาะอย่างรวดเร็ว หัวใจจะวาย ทำไมต้องมาแกล้งกันตอนนี้ด้วยวะ เกลียด!

 

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังลั่นรถแบบไม่เกรงใจใคร ผมได้แต่หน้างอง้ำเพราะเผลอเอาหัวชนขอบประตูรถอย่างจัง คนเจ็บต้องเหยียบซ้ำหรือไง โอย หงุดหงิดที่สุด เจ็บก็เจ็บ ยังไม่ช่วยเหลือกันอีก โกรธพี่ยูจริงๆ ด้วย

 

“Nightmare!”

 

ผมจะรอดพ้นวัฏจักรความรู้สึกของตัวเองไปได้นานแค่ไหนกันวะ มันกำลังจะวนลูปอีกครั้งใช่ไหม เฮ้อ







---------------------------------------------------



บทนำมาแล้วน้า ฝากติดตามเรื่องนี้ด้วยเนอะ

ติดแท็ก #รักรสกลมกล่อม เม้าท์มอยได้น้า เดี๋ยวเราตามไปส่อง

ติชมได้เนอะ ^^

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด



วันแรกของการเริ่มงานใหม่ช่างไม่สดใสเอาซะเลยเนื่องจากสายฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ผมได้แต่ยืนมองสภาพอากาศแปรปรวนก่อนจะถอนหายใจเฮือก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ จะให้เดินตัวเปล่าไปหน้าปากซอยเพื่อรอรถโดนสารคงไม่ไหว ทำไมซวยอะไรขนาดนี้

ผมตัดสินใจปิดประตูกระจกลงเมื่อละอองฝนกระเด็นเข้ามาด้านในจนทำให้ผ้าเช็ดเท้าและพื้นเปียกชื้น เดือดร้อนต้องหาอะไรมาเช็ดอีก ขืนปล่อยทิ้งไว้คงได้ลื่นหัวแตกกันพอดี ไม่น่าทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีเลยปัณณ์ ต้องมานั่งหัวเสียแบบนี้มันคุ้มหรือไง

Rrrrr
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมต้องผละตัวออกจากประตูระเบียงเพื่อตรงไปรับสาย ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นชวนให้มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ พี่ยูต้องโทรมาด่าแน่ เพราะตอนนี้ใกล้เวลาเริ่มงานเข้าไปทุกที ร้านเปิดสิบโมงเช้าแต่ต้องเข้าไปเตรียมของตั้งแต่เก้าโมง ตอนนี้แปดโมงครึ่งแล้วปัณณ์ยังไม่ก้าวขาออกจากคอนโด ฉิบหาย

“สวัสดีครับพี่ยู” ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงเรียบๆ ลงไปพลางทิ้งตัวนั่งบนเตียง ดวงตารีเหม่อมองสถานการณ์ด้านนอกอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัว เอาไงกับชีวิตต่อดี ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว ถ้าให้ขี่สปอร์ตไบค์ฝ่าไปคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ เกิดป่วยขึ้นมาคงถูกหักเงินเดือนยับเยิน ยังไม่ผ่านการทดลองงานสามเดือนเลยนะเว้ย

‘โอะฮะโย ปัณณ์ออกมาทำงานได้หรือเปล่า ที่ร้านฝนตกหนักมาก’ ปลายสายแสดงความเป็นห่วงแทนที่จะโทรมาดุทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หางตาเหลือบเห็นรูปบนโต๊ะข้างหัวเตียงก็ได้แต่คลี่ยิ้มบางให้ พี่ป่านมีสามีที่ดีนะแถมยังน่ารักเอาใจใส่คนอื่นเสมอด้วย มีใครบ้างที่ไม่หลงผู้ชายคนนี้

“ตอนนี้คงออกไปไม่ได้ครับ ขอโทษที่เริ่มทำงานวันแรกก็มีแววจะสายซะแล้ว” ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดของตัวเองที่สนามบินแล้วอยากหยิบหมอนมาอุดจมูกให้ตาย เสียเซลฟ์มากที่ทำไม่ได้ตามนั้น อุตส่าห์มั่นใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องตื่นเช้าแต่ดันเกิดเหตุสุดวิสัย เบื่อจริงๆ

‘เหตุสุวิสัยน่า ไม่ต้องขอโทษหรอก ให้พี่ไปรับที่คอนโดไหม?’ พี่ยูยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจมาให้แต่จากพี่ผมลองคำนวณระยะทางดูแล้วคงไม่ตอบรับความช่วยเหลือจะดีกว่า ขืนยอมตกลงแล้วใครจะดูแลร้านช่วงนั้น อีกอย่างฝนตกรถก็ติด ไม่เวิร์คแน่ๆ ทั้งยังเป็นการรบกวนเขาด้วย

“หยุดความคิดนั่นเลยพี่ยู เดี๋ยวผมโทรให้เพื่อนมารับแล้วไปส่งที่ร้านก็ได้” ผมเบรกความคิดของเขาจนหัวแทบทิ่ม ตกใจเกือบสบถคำหยาบออกไป ร้านอยู่เกือบถึงชานเมืองแต่จะถ่อสังขารมารับคนที่พักใจกลางเมือง ไม่บ้าก็บ๊องแน่ๆ ทำอย่างกับตัวเองมีเวลาเหลือเฟือ

‘หืม มีเพื่อนที่จะผ่านมาทางนี้เหรอ?’ พี่ยูถามกลับด้วยความสงสัยก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงโครมครามดังตามมา นั่นเขากำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับขายอาหารวันนี้ใช่ไหม อยู่กับพี่เคียวจริงๆ เหรอวะ คงยุ่งวุ่นวายน่าดูแต่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงน้องชายคนนี้ นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เป็นแบบนี้

“บังคับมันไป” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนเอนตัวลงบนที่นอนแล้วคว้าตุ๊กตานุ่มนิ่มมากอดไว้แนบอก ความขี้เกียจเริ่มโถมเข้าใส่ ริมฝีปากหยักอ้าออกกว้างเพื่อหาว ง่วงอีกแล้ว เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปตีสามเพราะสมองมัวแต่คิดเรื่องไร้สาระ ต้นเหตุคือพี่ยูคนเดียว ชอบแกล้งกันดีนัก อย่าให้มีโอกาสเอาคืนบ้างแล้วกัน

‘ถ้าฝนหยุดตกเมื่อไหร่ปัณณ์ค่อยมาที่ร้านก็ได้ ลูกค้าคงไม่เยอะหรอก อีกอย่างริวก็ยังอยู่กับโอกาซัง’ พี่ยูร่ายยาวยืดแต่ผมก็จับใจความสำคัญได้จนเผลอหลุดยิ้มออกมา เจ้านายที่ไหนเขายอมลูกน้องขนาดนี้บ้างวะ ไม่ขาดทุนแย่เหรอ แปลกคนจริงๆ

“โห สวัสดิการดีเว่อร์มากครับ ปล่อยให้ผมเข้างานสายได้ด้วย” ผมพูดเสียงหัวเราะก่อนจะดีดตัวขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงฝนเทกระหน่ำมากกว่าเดิม สงสารต้นดอกกุหลาบที่อยู่ริมระเบียงนั่น ไหนจะสวนที่พี่ป่านเคยทำเอาไว้ พังหมดแล้วมั้งตอนนี้ ไกลออกไปแทบมองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ แล้วเพราะมันขาวโพลนไปหมด อย่าหวังว่าวันนี้จะได้ทำงานเลย เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วซุกตัวในผ้าห่มดีกว่ามั้ง อากาศพร้อมคนพร้อม

‘แค่ปัณณ์คนเดียวเท่านั้นล่ะที่ได้สิทธิพิเศษข้อนี้’ ผมไม่รู้ว่าปลายสายมีสีหน้ายังไงตอนพูดประโยคนี้ แต่คำว่า ‘คนเดียว’ นั้นมีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรงเหลือเกิน หัวใจเต้นตึกตักอย่างน่ากลัว พี่ยูช่างเป็นบุคคลที่รับมือยากจริงๆ เขากำลังทำให้ความพยายามหลายปีของปัณณ์พังทลาย

“อ่า... โอเคครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะ จะไปหาอะไรกิน” ผมตัดบทเพื่อจบการสนทนาชวนอึกอักทั้งที่ในห้องไม่มีแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่สามารถซื้อตุนเอาไว้ได้เพราะเมื่อก่อนบินไปบินมาตลอดเวลากลัวมันหมดอายุแล้วเสียดาย

“มาตะ เนะ” (แล้วเจอกัน) พี่ยูบอกลาเสียงใสก่อนจะตัดสายไปเตรียมวัตถุดิบทำอาหารต่อ ส่วนผมทำเพียงแค่วางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าไล่ความสับสนในใจออกไป ต้องไม่รู้สึกสิวะ พยายามมาได้ตั้งนาน จะมาเสียเรื่องเอาตอนที่กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้งไม่ได้ เขาก็ใจดีกับคนอื่นแบบนี้ไปเรื่อย ไม่ได้เจาะจงเฉพาะกับปัณณ์หรอก อย่าเข้าข้างตัวเอง

ผมไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนลากสังขารเปลี้ยๆ ลงลิฟท์หาอะไรกินที่มินิมาร์ทข้างคอนโด แต่เนื่องด้วยฝนที่ตกกระหน่ำเลยทำได้แค่เพียงถอนหายใจและยืนนิ่งๆ อยู่หน้าประตูห้องโถงเพราะไม่สามรถทำอะไรได้ ร่มไม่มี เสื้อกันฝนไม่มี แล้วเช้านี้ปัณณ์จะเอาอะไรยัดใส่ท้องวะ สภาพหลังลาออกจากงานทำไมถึงรันทดได้ขนาดนี้

ตอนที่จะหันหลังกลับขึ้นห้องนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายรูปร่างคุ้นตากำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ในมือของเขาถือร่มคันใหญ่พอสำหรับสองคนแต่ก็ไม่สามารถปกป้องรองเท้าผ้าใบสีขาวได้ ใส่อะไรแบบนี้ตอนฝนตกมันโง่หรือโง่วะ ไม่เข้าใจจริงๆ

“มาทำอะไรเนี่ย?” ผมเอ่ยถามผู้ชายตรงหน้าที่กำลังจัดการกับรองเท้าเปียกๆ ของตัวเอง มือหนาหยุดชะงักกึกก่อนจะเปลี่ยนเป็นตวัดสายตามองกันพลางขมวดคิ้วเหมือนเจอของแปลก ก็คนมันแปลกใจผิดด้วยเหรอวะ

“เห็นฝนตกเลยกะว่าจะมารับไปส่งที่ร้าน” มันตอบกลับแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ดูกวนตีนจนต้องเบ้ปากใส่ ไม่ชอบความเสแสร้งของไอ้ทอยจริงๆ

“งานการไม่มีทำเนอะ” ผมลอยหน้าลอยตาแล้วกอดอกมองไอ้ทอยที่กำลังเทน้ำออกจากรองเท้าผ้าใบคู่โปรด นี่ถ้าลองเอาปลาทองมาเลี้ยงคงดีไม่นอน น้ำขังเยอะขนาดนั้น

“วันนี้ไม่มีตารางบิน อย่ากล่าวหา” มันแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะแกล้งสะบัดน้ำที่ติดร่มให้กระจายไปทั่ว ผมกระโดดหลบจนเกือบลื่นหัวแตกตายอยู่หน้าประตู แม่ง อยากฆ่าไอ้ทอยทิ้งจริงๆ เล่นบ้าอะไรเนี่ย

“สัด!” ผมสบถด่าก่อนจะยกขายันก้นมันด้วยความหมั่นไส้ ไอ้ทอยหลบได้อย่างหวุดหวิดสมแล้วที่เป็นนักบาสฯ เก่าของมหา’ลัย หึ อย่าคิดว่าจะรอดไปตลอดนะ ยังไงปัณณ์ต้องเอาคืนแน่นอน

“แล้วนี่มึงจะไปไหน?” ไอ้ทอยเสยผมขึ้นแล้วสะบัดหัวเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นในสายตาคนอื่นคงหล่อเท่แต่สำหรับปัณณ์แล้วน่าหมั่นไส้มากกว่า ทำตัวเรียกคะแนนจากสาวๆ ที่ยืนอยู่มุมตึกไปได้ อยากบอกพวกเธอเหลือเกินว่ามันแอ๊บ ถ้าผัวเขาถือปืนมายิงจะไม่ช่วยเลย ปล่อยให้ตายอยู่ตรงนี้ล่ะ

“มินิมาร์ท หาอะไรกิน” ผมชี้ไปทางเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้าเมตร ถ้าไม่รู้สึกตัวรุมๆ หรือเจ็บคอคงกล้าเดินผ่าสายฝนจนถึงมินิมาร์ท เสียงท้องร้องดังจนไอ้ทอยที่ยืนอยู่ใกล้ถึงกับหลุดหัวเราะ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมหิวได้ขนาดนี้วะ ลืมหยิบโทรศัพท์ลงมาซะด้วย

“อ๋อ ไปๆ เดี๋ยวกูกางร่มให้” มันยังไม่หยุดหัวเราะแถมกางร่มใส่หน้าผมจนเสื้อโดนละอองน้ำเป็นจุดๆ อยากจะถีบมันให้กระเด็นนัก คนยิ่งใส่สีขาวอยู่ด้วย

“เพื่อ... ให้กูยืมร่มก็พอปะ” ผมกระชากร่มออกจากมือคนตรงหน้าแต่มันไม่ยอมปล่อยจึงทำให้ตัวเขื่องๆ ถลาเข้ามาปะทะกัน ปลายจมูกไอ้ทอยเกือบจรดลงบนแก้ม ดีหน่อยที่ปัณณ์เบี่ยงตัวหลบทัน โอย ขนลุกตั้งแต่เช้า วันนี้คงซวยไปทั้งวันแน่ๆ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินหนีมันไปอีกทาง ตัดสินใจว่าจะเดินผ่าฝนเพราะรำคาญไอ้ทอยที่ทำตัววุ่นวายไม่เลิก เดี๋ยวแกล้ง เดี๋ยวอ่อนโยน สติแตกเพราะโดนผู้หญิงทิ้งหรือไง

“อยากไปส่งมึง” ไอ้ทอยตามมากางร่มให้แล้วพูดประโยคชวนขนลุก ผมถึงกับชะงักเท้าแล้วหันไปคว้าคอเสื้อมันอย่างเอาเรื่อง แม่ง ทำไมต้องมาตีกันกลางฝนด้วย รองเท้าแตะเปียกหมดแล้วเนี่ย

“ไอ้นี่... ผีเข้าเหรอ”

“ไม่ถามสักเรื่องจะตายไหม” มันใช้นิ้วจิ้มลงบนหน้าผากกันอย่างแรงต่อด้วยการบุ้ยปากใส่เหมือนเด็กโดนขัดใจ ผมไม่ยอมโดนกระทำฝ่ายเดียวเลยยกเท้าเตะหน้าแข้งไอ้ทอยไปหนึ่งที ได้ยินเสียงร้องซี๊ดก่อนจะกระโดดเร่าๆ ตามมา สมน้ำหน้า อยากซ่าดีนัก

“ก็มึงทำตัวประหลาด จะมาเทคแคร์กูทำไม” ผมแย่งร่มมาถือเอวไว้ซะเองแล้วมองเพื่อนด้วยสายตาเย้ยหยัน ไอ้ทอยแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่กล้าลงไม้ลงมือด้วยเพราะถ้าปัณณ์โมโหจริงๆ ขึ้นมามันอาจจะตายคามือ

“เป้าหมายกูคือแคชเชียร์ที่มินิมาร์ทเว้ย ใครจะพิศวาสคนแบบมึง ตัวอย่างกับควาย” ผมถึงบางอ้อทันทีที่มันเฉลย จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันไปติดใจแคชเชียร์สาววัยมหา’ลัยคนหนึ่ง เธอหน้าตาจิ้มลิ้มติดหมวยๆ ผิวขาว ตัวเล็ก สเปคไอ้ทอยชัดๆ เพราะสมารถอุ้มขึ้นเตียงหรือหนีบเอวได้สบาย แต่น้องเขามีผัวเป็นทอมปะวะ... ช่างแม่งเถอะ ไม่ใช่เรื่องของปัณณ์

“มึงก็ควายพอกัน” ผมไม่ยอมแพ้เลยด่ามันกลับ ขนาดตัวใหญ่และส่วนสูงพอๆ กัน ถ้าจะเป็นควายมันก็ต้องควายทั้งคู่ อย่าหือ!

“ครับคุณเพื่อน ไปได้ยัง” ไอ้ทอยโค้งรับอย่างสุภาพแต่มันคือการประชดแบบนิ่งๆ ให้ผมได้ทำหน้าบูดใส่ก่อนจะคว้าร่มมาถือซะเองแล้วแบ่งที่ให้มันเดินข้างกัน

ระหว่างทางผมพยายามคิดว่าจะซื้ออะไรกินเป็นมื้อเช้าแต่เสียงฮัมเพลงผิดคีย์ของไอ้ทอยรบกวนสมาธิกันอย่างแรง ใช้ศอกกระทุ้งท้องมันก็แล้ว แกล้งเหยียบเท้าก็แล้วยังไม่หยุดหอน ต้องสับท้ายทอยให้สลบอยู่กลางถนนเลยไหม เพลียใจกับจริงๆ

ผมสะบัดน้ำออกจากรองเท้าแตะก่อนจะเข้ามินิมาร์ท ส่วนไอ้ทอยหยุดชะงักอยู่หน้าเค้าน์เตอร์แคชเชียร์เมื่อเห็นสาวน้อยที่มันหมายตากำลังทำงานอยู่ มือหนาหยิบกล่องถุงยางส่งให้เธอพร้อมกับสื่อความหมายทางสายตา คืนนี้คงได้หมอนข้างแล้วล่ะ ถ้าผัวทอมของน้องเขาไม่เอามีดจ้วงแทงมันน่ะนะ ส่วนปัณณ์ก็นอนกอดอากาศตามแบบฉบับคนไร้แฟน

ผมเลือกหยิบอาหารแช่งแข็งสองสามกล่องและไส้กรอกเพื่อกินมื้อเช้าทั้งอาทิตย์ เดินวนไปวนมาเพื่อเลือกขนมเอาไปฝากเจ้าตัวแสบอีกนิดหน่อยแล้วถือตะกร้าไปวางบนเค้าน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน แต่สาวแคชเชียร์ตรงนั้นกลับยืนนิ่งเป็นเสา แก้มแดงหูแดงเพราะโดนไอ้ทอยจับมือ เอาเข้าไป มึงจะจีบกันยันร้านปิดเลยไหม กูหิว

“ช่วยคิดเงินด้วยครับ” ผมทะลุกลางปล้องด้วยรอยยิ้มเย็น ไอ้ทอยสะดุ้งปล่อยมือสาวตรงหน้าแล้วหันมาถลึงตาใส่กัน คงแค้นน่าดูแต่ทำอะไรไม่ได้สินะ สะใจจัง

“อะ อ๋อๆ ได้ค่ะคุณลูกค้า” ส่วนเธอรีบลนลานคิดเงินให้ผมโดยไม่ยอมมองหน้า มือเล็กๆ นั่นสั่นกึกหยิบของหล่นบ้างปัดโดนนั่นโดนนี่บ้าง ดูไปแล้วก็น่ารักดี ถ้าไอ้ทอยจริงจังกับน้องเขาอาจจะไปได้ไกลล่ะมั้ง เพราะเมื่อครู่ได้ยินแว่วๆ ว่าไม่ใช่คนใจง่าย

“มึงนี่มารผจญจริงๆ” ไอ้ทอยพูดเสียงรอดไรฟันอยู่ข้างหู แต่ผมเลือกที่จะเมินแล้วหยิบเงินขึ้นมาจ่ายให้น้องแคชเชียร์ก่อนเดินผ่านหน้ามันออกจากมินิมาร์ทแล้วหยิบร่มขึ้นกางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แกล้งกลับบ้างคงไม่โกรธกันนะเพื่อน หึหึ

ผมกดลิฟท์ขึ้นชั้นสิบห้าโดยมีวิญญาณตามติดห้อยท้ายมาด้วย ไล่ให้กลับบ้านก็ไม่ไป ดั้นด้นบอกว่าจะไปส่งกันท่าเดียว ด้วยความขี้เกียจเถียงก็เลยหยิบไส้กรอกใส่ไมโครเวฟเผื่อไอ้ทอยอีกถุง ถือว่าเป็นการปิดปากมันไปในตัว ขี้เกียจฟังเสียงงอแงเป็นเด็ก น่ารำคาญจะตาย

ไอ้ทอยนั่งกินไส้กรอกอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมกับพิมพ์ไลน์คุยกับบรรดาเด็กในสังกัด ส่วนผมตักข้าวผัดกะเพราใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับพลางดูเวลาในโทรศัพท์ จะสิบโมงแล้วยังไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกเลย

“เออ แล้วนี่จะไปส่งกูจริงๆ เหรอ” ผมวางช้อนลงแล้วถามไอ้ทอยให้แน่ใจ กลัวมันจะเปลี่ยนใจ

“อืม ตามนั้น” มันพูดเสียงอู้อี้เพราะยังมีไส้กรอกเต็มปาก สกปรกไม่มีใครเกิน อยากให้สาวๆ มาเห็นสภาพนี้เหลือเกินจะได้เลิกกรี๊ดพ่อกัปตันขี้เก๊กนี่สักที ผมไม่ได้อิจฉาที่มีผู้หญิงติดน้อยกว่ามันเลยนะ จริง จริ๊ง

“ทำไมวะ” ผมถามถึงเหตุผลอีกครั้งเพราะคราวนี้มันจะอ้างเรื่องสาวน้อยแคชเชียร์นั่นไม่ได้อีก มันถ่อสังขารมาที่นี่ก็ว่าไกลแล้วถ้าต้องขับรถไปจนถึงร้านพี่ยูก็เหมือนข้ามจังหวัดเลยทีเดียว

“แค่อยากไปดูหน้าคนที่มึงชอบให้ชัดๆ อีกสักครั้ง” มันยักคิ้วหลิ่วตาใส่ก่อนจะคว้าจานใส่กรอกพร้อมทั้งกล่องข้าวของผมไปจัดการล้างหรือทิ้งให้ ถึงแม้ว่าไอ้ทอยคือเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมแต่ไม่เคยเข้าใกล้หรือคลุกคลีกับพี่ยูเลย รู้จักกันแค่ผิวเผิน เจอหน้าก็แทบนับครั้งได้

ไอ้ที่ใช้คำว่า ‘ชอบ’ น่ะ ผิดหรือเปล่า

“เคยชอบ ใช้คำให้มันถูกต้องหน่อย” ผมแย้งเมื่อรู้สึกกระอักกระอวนกับประโยคเมื่อครู่ ไอ้ทอยเหมือนจะพึ่งรู้ตัวว่าพูดผิดเลยรีบตระครุบปากไว้ แต่ดวงตาที่จ้องมามีแต่แววสนุกสนาน เดี๋ยวถีบตกเก้าอี้เลยนี่ สำนึกให้จริงสักครั้งเถอะ ไอ้เพื่อนเวร!

“ครับๆ เคยก็เคย” มันกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงแล้วออกปากว่าจะไปส่งกันที่ร้านตอนนี้เลย ผมซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกเขี้ยวใส่เพราะหลังจากนี้ต้องพึ่งไอ้ทอย ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันขอให้มึงเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ! แสบดีนัก

ขอเสียอย่างหนึ่งของการได้นั่งรถสปอร์ตเปิดประทุนของไอ้ทอยคือมันไม่เปิดเพลง มันต้องใช้สมาธิในการขับสูงเพราะเมื่อหลายปีก่อนเคยประสบอุบัติเหตุรถชนจนต้องพักรักษาตัวไปเกือบสองเดือน คงจะเข็ดกับความประมาทในตอนนั้นยันปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นการชวนคุยก็พอตอบกลับได้บ้าง

“ทอย...” ผมเรียกชื่อมันเมื่อนึกถึงเรื่องที่เคยคุยค้างไว้กับพี่ยูตั้งแต่เจอหน้ากันวันแรก มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรทั้งที่ตายังมองไปด้านหน้า นี่สินะคนที่มีประสาทสัมผัสดี สมแล้วที่เป็นนักบินทำหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน

“หืม”

“พี่ยูให้กูพาแฟนไปแนะนำให้รู้จัก” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไป เด็กที่เรียนนิเทศฯ ก็ขาดการติดต่อไปดื้อๆ สาเหตุเพราะกำลังอยู่ในช่วงสอบ กว่าจะว่างก็คงเดือนหน้า คิดเหรอว่าพี่ยูจะปล่อยให้ปัณณ์อยู่คนเดียวไปถึงตอนนั้น

“ห๊ะ มึงมีของแบบนั้นซะที่ไหน” ไอ้ทอยอุทานเสียงดังก่อนจะเหยียบเบรกจึกจอดไฟแดง หัวเกือบทะลุกระจกแล้วไหมล่ะ ตกใจโอเว่อร์เกินไปไหมมึง อยากหันไปด่าให้มันลืม้านเลขที่แต่ตอนนี้เรื่องที่ต้องโฟกัสคือการหาแฟนปลอมๆ ไปหลอกพี่ยู

“กูโกหกเขาว่ะ ก็ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” ผมบอกไอ้ทอยเสียงอ่อยก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าเผื่อจะลดความกังวลที่มีในใจ แต่เมื่อเสียงของเพื่อนดังขึ้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น

“กลัวความรู้สึกเดิมๆ กลับมาว่างั้น” ไอ้ทอยพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้สื่อถึงความดราม่าแต่ผมกลับจุกจนพูดไม่ออก ได้แต่มองเหม่อตรงไปด้านหน้าพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีต ครั้งหนึ่งที่เคยรู้สึกรักและครั้งที่ที่เคยพยายามตัดใจ

“แสนรู้เนอะ” ผมหัวเราะตบท้ายเพราะรู้สึกสมเพชตัวเอง ถ้าหากมั่นใจว่าตัวเองตัดใจได้แล้วทำไมต้องกลัว

“ไม่ต้องหลอกด่ากู” มันบุ้ยปากใส่ก่อนจะเอื้อมมือมาฟาดขาผมเต็มแรง เจ็บจนเผลอร้องโอ๊ยดังลั่น แม่ง ทำร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ อยากเอาคืนแต่ต้องยั้งไว้เพราะไอ้ทอยกำลังขับรถอยู่ ถ้ามันตกใจเดี๋ยวพากันเข้าป่าพอดี

“จะทำไงดีวะ”

“ให้กูเป็นแฟนมึงไหม” ข้อเสนอมันดีแต่สิ้นคิดไปหน่อยไหมเพราะ...

“พ่อง พี่ยูรู้จักมึงเหอะ” ผมสบถด่ามันแบบไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน พี่ยูรู้จักไอ้ทอยดีจากการเล่าสู่กันฟังมานาน ถึงทั้งสองคนไม่สนิทกันแต่ก็พอรู้นิสัยใจคอกันดี จะให้โกหกว่าเพื่อนเป็นแฟนคงไปไม่รอด เดี๋ยวจะโดนหาว่าหลอกผู้ใหญ่

“อ้าว เป็นเพื่อนแล้วเลื่อนขั้นไม่ได้หรือไง” ไอ้ทอยยังคงเอาความคิดง่ายๆ ของตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้เลย มึงเล่นถ่ายรูปคู่สาวไม่เว้นวันอัพลงโซเชี่ยลขนาดนั้น เขาคงเชื่อว่าคบกับผมหรอก

“That’s nonsense.”

“Why?” ยังมีหน้ามาถามอีก สำนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำบ้างสิวะไอ้ทอย

“มึงเป็นเพื่อนกับกูมาตั้งนานจะเลื่อนขั้นตอนแก่ก็เชี่ยแล้ว” พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วซบหน้าลงกับคอนโซลรถ อีกไม่นานพี่ยูคงรู้ว่าผมโกหกแน่ๆ แล้วเขาคงมีโอกาสใช้เหตุผลร้อยแปดมาโน้มน้าวกัน สุดท้ายคนที่แพ้ทางอย่างปัณณ์จะทำอะไรได้นอกจากตอบตกลง เพลียเว้ย ขอลาออกจากการเป็นตัวเอง

“ความรู้สึกช้าไง” ไอ้นี่ ต่อยสักทีดีไหม ช่วยจริงจังกับเพื่อนหน่อยเถอะ

“ช่วยอะไรได้บ้างคนอย่างมึงน่ะ” ผมเหล่มองมันด้วยหางตาแล้วตั้งใจรอฟังคำตอบ ไอ้ทอยหันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้กันก่อนจะเอียงไหล่มากระแซะ นี่มึงลืมตัวว่าขับรถอยู่หรือเปล่า ไม่กลัวเสียหลักพุ่งชนต้นไม้แล้วเหรอไง พอนึกสนุกอยากแกล้งคนอื่นอะไรๆ ก็ไม่สนใจแล้วสินะ

“หลีหญิง จีบผู้ชาย” มันขยิบตาพลางพูดเสียงทะเล้น ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มกว้าง หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ผมไม่เถียงว่ามันช่วยได้จริง แต่มันใช่เวลาที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาไหม โอย ปวดหัว ถ้ารู้ว่ามากับไอ้ทอยแล้วเป็นแบบนี้คงยอมหัดขึ้นรถเมล์กับแท็กซี่เองดีกว่า

“ไปตายซะ!” หงุดหงิดเว้ย มีเพื่อนแบบนี้ยอมอยู่ตัวคนเดียวดีกว่า ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากทำให้โมโห!

ไอ้ทอยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะสามารถยั่วอารมณ์จนผมปรี๊ดแตกได้ โรคจิตไม่มีใครเกินจริงๆ แล้วอีกอย่างคือไม่รู้อะไรดลใจให้มันเอื้อมมือไปเปิดเพลงซึ้งๆ แนวแอบรักเพื่อนสนิทแถมฮึมฮัมตามทำนองก่อนจะหันมาสบตาหวานชวนให้รู้สึกขนหัวลุก มึงสารภาพมาเถอะว่าลืมกินยาระงับอาการบ้าถึงได้คึกทำอะไรแปลกๆ

ผมปล่อยเรื่องไอ้ทอยให้หายไปกับอากาศแล้วเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลาเนื่องจากฝนตกรถติด แต่แจ้งเตือนแอพฯ ทวิตเตอร์กลับสะดุดตาซะก่อน ใครเมนชั่นมาหาตอนนี้วะ

แด๊ดดี้ยู @Osawayuuki
@_Misterpann พี่เพิ่งหัดเล่นทวิตเตอร์ ไว้ว่างๆ ปัณณ์ช่วยสอนหน่อยนะ

ผมได้แต่อ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพี่ยูถึงลุกขึ้นมาเล่นทวิตเตอร์ทั้งๆ ที่เคยบ่นว่าไม่ชอบโซเชี่ยลสมัครทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยเข้าเรียนมหา’ลัยปีแรกหลังจากนั้นก็ทิ้งร้างมาโดยตลอดหรือเพราะมีแฟนคลับเรียกร้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นคงสมใจพวกเธอแล้วที่จะได้ติดตามเขา แล้วทำไมปัณณ์ต้องรู้สึกหงุดหงิดด้วยวะ ตั้งสติสิ ห้ามคิด!

สุดท้ายโทรศัพท์ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อเชิ้ตเหมือนเดิม ตอนนี้ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ มองสายฝนเพื่อรอเวลาที่จะไปถึงร้านอาหาร เหลือบตามองนาฬิกาข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่าจนเผลอถอนหายใจออกมา เวลาหมดไปครึ่งวันแล้ว ยังไม่ทันได้เริ่มต้นทำอะไรเลยนอกจากชวนไอ้ทอยคุยเรื่องไร้สาระ

พวกเรามาถึงร้านอาหารในเวลาเที่ยงกว่าๆ ฝนที่กระหน่ำตกตั้งแต่เมื่อเช้าได้หยุดลงแล้ว ผมจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนลงจากรถก่อนจะหันไปลาสารถีในวันนี้

“ขอบคุณที่มาส่ง” ผมคลี่ยิ้มให้มันก่อนเปิดประตูรถ แต่สัมผัสอุ่นๆ ที่ข้อมือนั้นกลับทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักพลางคิดในใจว่าไอ้ทอยอยากคุยอะไรตอนนี้อีก กูสายจนไม่รู้จะสายยังไงแล้ว นี่ก็กลัวว่าจะโดนพี่ยูไล่กลับคอนโด

“เปลี่ยนเป็นหอมแก้มแทนได้ปะ” ไอ้ทอยโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ แทนกผ่านความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ผมผงะถอยหลังรีบก้าวลงจากรถแต่ก็ไม่วายยื่นหน้าไปถามเพื่อนด้วยความสงสัย เป็นบ้าอะไรของมึงเนี่ย

“มึงเมากัญชาหรือไง วันนี้รุงรังกับกูจังวะ” ผมหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ พยายามมองหาสิ่งผิดปกติจากดวงตาคมคู่สวยแต่กลับไม่พบอะไรเพราะไอ้ทอยใส่แว่นสีชา หล่อได้อีกคุณเพื่อน ถ้ากูเป็นสาวๆ คงกรี๊ดจนคอแตกไปแล้ว แต่เผอิญว่าเพศเดียวกันเลยไม่พิศวาส

“ล้อเล่นน่า ตั้งใจทำงาน” เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นเหมือนทุกๆ ครั้งที่ไอ้ทอยแกล้งผมได้สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป ถ้าจะให้อธิบายเป็นคำพูดคงยาก

“เออ ไปล่ะ” ผมตอบเพื่อตัดบทสนทนาแล้วผละตัวหันหลังให้เพื่อนสนิท ขายาวๆ ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจเต้นรัว แค่ยืนตรงนี้ก็เห็นพี่ยูกำลังง่วนกับการเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าด้วยตัวเอง คงเหนื่อยน่าดูเลยสินะ ปัณณ์ขอโทษ”

“เดี๋ยว... ตอนเย็นให้มารับไหม” ไอ้คนที่ผมนึกว่ามันออกรถไปแล้วยังส่งเสียงมาถามกันอย่างห่วงใย จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา เดี๋ยวอยากมาส่ง เดี๋ยวเสนอตัวมารับ ถ้าไม่ใช่เพื่อนคงคิดว่ากำลังโดนผู้ชายจีบ

“ไม่ต้อง” ผมตอบอย่างไร้เยื่อใยไม่ใช่เพราะเป็นห่วงกลัวมันจะขับรถทางไกลแต่เบื่อขี้หน้ามากกว่า ชอบทำให้ระแวงไม่หยุดหย่อน

“ใจร้ายจัง” มันตัดพ้อด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ทำตาละห้อยเหมือนลูกหมาหลงแม่ หมั่นไส้อยากกระโดดถีบมันสักที ตอแหลเก่งเกินใคร นี่น่ะเหรอ คนที่สาวกรี๊ดให้แท็ก #นักบินหล่อบอกต่อด้วย ความจริงไม่เหมือนที่พวกเขามโนเลยสักนิด

“อย่าทำเหมือนกูเป็นเมียมึง ขนลุก” ผมทำท่าขยะแขยงใส่แต่มันกลับจ้องกันด้วยสายตาจริงจังผิดวิสัย วันนี้เซนซิทิฟ

“กลัวพี่ยูเข้าใจผิดเหรอ” ทำไมต้องใช้คำถามแบบนั้น แล้วจะให้ผมตอบยังไง ตอนนี้สมองไม่ประมวลผลเว้ย

“หึ คุยกับมึงแล้วเสียเวลาจริงๆ” ผมโบกมือลามันแล้วได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ คำถามที่ว่า ‘ไอ้ทอยยังอยากเป็นเพื่อนกันต่อหรือเปล่า’ ตอบยากจริงๆ ทั้งการกระทำและแววตาที่แปลกไป อาจจะแกล้งหรืออาจจะจริง ดูไม่ออกเลย




ต่อด้านล่างนะ



ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
คิดไปคิดมาไอ้ทอยอาจแค่เป็นห่วงผมที่ต้องกลับมาอยู่ใกล้ชิดคนที่เคยแอบชอบแล้วกลัวว่าจะเจ็บซ้ำๆ แบบเดิมเลยแสดงท่าทีแปลกไป คงไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก เป็นเพื่อนกันมายี่สิบปีแล้ว ตอนนี้โฟกัสงานใหม่ก่อนดีกว่าเพราะเจ้านายมองลอดกระจกใส่พร้อมโบกมือทักทายให้แล้ว รอยยิ้มหล่อๆ นั่นช่างสะกดสายตาได้ดีเหลือเกิน

ผมรีบเดินเข้าร้านโดยไม่ทันระวังว่ารองเท้าตัวเองยังไม่แห้งดี เผลอลื่นจนเกือบล้มก้นกระแทกพื้นแต่ดีหน่อยที่หาหลักยึดได้ทัน ใจหายใจคว่ำหมดเลยกู!

“อ๊ะ... สวัสดีครับ” ผมรีบเอ่ยทักทายเมื่อเห็นพี่ยูเดินตรงมาทางนี้ สีหน้าของเขาปกติคงไม่ทันเห็นตอนที่รองเท้าลื่น โชคดีไป ไม่อย่างนั้นคงอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

“มาได้ยังไงหืม ฝนเพิ่งหยุดตกนี่นา” พี่ยูเงยมองท้องฟ้าที่ยังมือครึ้มด้านนอกสลับกับใบหน้าของผม เขาคงคำนวณระยะเวลาจากคอนโดถึงร้านอาหารเอาไว้คราวๆ

“เพื่อนมาส่งครับ” ผมตอบก่อนจะถือวิสาสะเปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าผ้าใบที่ดูสุภาพมากกว่าเดิม

“อ๋อ มาตรงนี้สิ มีคนรออยู่” พี่ยูพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินนำไปที่หลังเค้าน์เตอร์บาร์ ผมเอียงคอมองด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่ามีแต่เขาที่รออยู่เหรอ

“ครับ?” ผมยอมเดินตามก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมที่เปียกชื้น สาเหตุมาจากตีกับไอ้ทอยตอนเดินไปลานจอดรถของคอนโดจนร่มกระเด็น ตามเก็บกันให้วุ่นเพราะลมแรง ถ้ากูเป็นไข้มึงต้องรับผิดชอบค่ารักษา!

“น้าปัณณ์ ~ ริวคิดถึง!” ร่างป้อมๆ พุ่งออกมาจากหลังเค้าน์เตอร์ก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดรอบขาอย่างหนักหน่วง ผมเบิกตาโตด้วยความดีใจที่วันนี้ได้เจอหลานชายสักที

“เจ้าตัวแสบ!” ผมชอบเรียกหลานแบบนี้เพราะริวทั้งดื้อทั้งซน ถ้าโดนดุเมื่อไหร่จะเบะปากเตรียมร้องไห้ทันที แต่ดีหน่อยที่เขาเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่เลยถือว่าเลี้ยงง่ายอยู่พอตัว แถมใบหน้ายังถอดพิมพ์พี่ยูออกมาทุกกระเบียดนิ้ว สงสัยตอนนั้นคงตั้งใจปั๊มลูกมากสินะ...

“หื้อ ไม่แสบ ริวน่ายัก!” เจ้าตัวน้อยผละออกไปแล้วยืนกอดอกทำหน้างอง้ำให้ผมทันที ไอ้ความคิดถึงก่อนหน้านั้นคงจางหายไปในอากาศ เด็กๆ นี่ก็ดีนะ ลืมเรื่องเก่าได้ไวเหลือเกิน

“น่ารักครับ พูดใหม่สิ” ผมย่อตัวลงให้ระดับสายตาพอดีกับหลานแล้วสอนให้เขาออกเสียงคำที่ถูกต้องแทนการเถียงกลับว่าเขาเป็นเจ้าตัวแสบ ถ้าใครจะหาว่าปัณณ์เลี้ยงหลานผิดวิธีก็เอาเถอะ คนมันไม่เคยมีลูกจะให้ทำยังไง อีกอย่างคือโดนพื้นฐานแล้วไม่ได้ชอบเด็กแต่ถ้าอายุสิบแปดอัพก็พอไหว กรุบกริบดี หึหึ

“น่าลัก!” ริวพูดเสียงดังฟังชัดก่อนจะโถมทั้งร่างเข้าใส่อีกครั้งแต่ผมกลับผละตัวหลานออกพอให้มีระยะห่างระหว่างกันเนื่องจากเสื้อผ้ายังชื้นอยู่ กลัวเขาจะเป็นหวัด

“โอเคๆ น้าปัณณ์ขอเช็ดผมก่อนได้ไหมครับ” ผมถามหลานชายคนเก่งก่อนจะเหลือบสายตามองพี่ยูที่หายไปหาผ้าขนหนูมาให้กันอย่างรู้งาน ถ้าไม่ใส่ใจขนาดนี้ปัณณ์คงไม่กลัวอะไรเลย การย้ายไปอยู่ด้วยกันก็แค่เรื่องง่ายๆ แต่ความจริงมันเป็นอย่างที่ทุกคนรู้ดี ผู้ชายอบอุ่นคือนิยามของเขา ใครๆ ต่างก็แพ้ทางเชื่อเถอะ

“ริวเช็ดให้ ป๊าขอๆ” เจ้าตัวแสบวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหาคุณพ่อที่ถือผ้าขนหนูสีขาวเดินตรงมาทางนี้ ขาน้อยๆ พยายามเขย่งเพื่อที่ตัวเองจะสูงพอคว้ามันมาไว้ในมือ แต่พี่ยูกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“น้าปัณณ์ทำเองดีกว่าครับ เดี๋ยวริวจะเปียกนะ” ผมบอกด้วยเสียงอ่อนโยนก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหาพ่อลูกที่หยุดยืนอยู่กลางร้าน ตอนนี้ไม่มีลูกค้าก็เลยทำให้การพูดคุยระหว่างเราสะดวกสบาย

“หื้อ ไม่เอา ริวอยากทำ” เด็กน้อยหันมาเบะปากใส่ผมเพราะเขาเริ่มโดนผู้ใหญ่ทั้งสองขัดใจ กำลังจะเอื้อมมือไปอุ้มริวเผื่อปลอบแต่ต้องชะงักเมื่อพี่ยูนั่งยองๆ ลงแล้วจับไหล่ลูกเอาไว้

“ไม่ดื้อครับริว ไปนั่งรอน้าปัณณ์หลังเค้าน์เตอร์นะ” ถึงคำพูดจะเหมือนการดุแต่เขากลับคลี่ยิ้มให้ลูกชายพร้อมกับช้อนตัวริวขึ้นอุ้มแล้วพาไปนั่งประจำที่หลังเค้าน์เตอร์เหมือนเดิม ที่ตรงนั้นมีคอกกั้นเด็กกับของเล่นจำนวนไม่น้อยวางอยู่ ช่วงปิดเทอมเป็นอะไรที่วุ่นวายจริงๆ พี่ยูไม่ยอมจ้างให้ใครเลี้ยงเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับลูก เชื่อเขาเลย นั่งสบายเป็นผู้บริหารโรงแรมดีๆ ไม่ชอบดันอยากเปิดร้านอาหารเอง แบบนี้เรียกว่าความอินดี้ได้ไหม

“ป๊า... เช็ดๆ ให้น้าปัณณ์” เมื่อตัวเองทำสิ่งที่ต้องการไม่ได้เลยผลักหน้าที่ให้คนพ่อแทน พี่ยูหันมาส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงดี ส่วนผมได้แต่ละล่ำละลักบอกเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ หนูอย่าทำตัวเป็นกามเทพครับ น้าไม่อยากกลับไปอยู่ในวังวนเดิม

“มะ ไม่ต้อง น้าเช็ดเองได้”

“น้าปัณณ์ดื้อ ริวโกรธ!” โดนเข้าให้แล้วไหมล่ะปัณณ์ ทำยังไงดีวะ ไม่คุ้นกับเด็กอายุสามขวบด้วยสิ ถ้าเป็นสาวๆ หรือหนุ่มๆ คงโยนลงเตียงคุยด้วยภาษากายจบไปแล้ว

“ไม่น่ารักเลยครับริว” คราวนี้พี่ยูทำเสียงดุ หน้าตาขึงขังอย่างเอาเรื่อง เวลาเขาจริงจังน่ากลัวยิ่งกว่ายักษ์ในละครอีก ผมต้องหาวิธีแก้ปัญหาสิวะ หลานก็น้ำตาคลอดแล้ว โอย อยากจุดธูปเชิญพี่ป่านมาช่วยเหลือเกิน ปัณณ์จะร้องไห้

“ฮึก ป๊าดุ” ริวเริ่มสะอื้นพร้อมกับน้ำตาหยดใสไหลลงบนแก้ม พี่ยูไม่มีทีท่าว่าจะปลอบ เขายังคงยืนนิ่งๆ แล้วมองเด็กในอ้อมกอดอย่างไม่ลดละ ผมเองที่เป็นฝ่ายลนลานเข้าไปเกาะแขนคนเป็นพ่อ เอาวะ แค่อ้อนคิดหน่อยคงไม่ตายหรอก เมื่อก่อนเคยทำมากกว่านี้อีก

“อ่าๆ พี่ยูครับ ช่วยเช็ดผมให้หน่อยได้ไหม” ผมว่าพลางชี้หัวที่เปียกลู่ไม่เป็นทรง พี่ยูถึงกับหันขวับมาขมวดคิ้วใส่กันเพราะวิธีการแบบนี้คือกำลังจะสปอยหลานนั่นเอง ก็ปัณณ์ไม่อยากให้ริวร้องไห้ น่าสงสารจะตาย

“ปัณณ์...” อย่าเรียกผมด้วยเสียงดุๆ แบบนั้นสิ คิดว่าไม่กลัวหรือไง ก็ตอนพี่ยูโมโหน่ะใครก็เอาไม่อยู่ แต่เพื่อหลานปัณณ์ต้องสู้!

“นะครับ ผมไม่อยากเห็นหลานร้องไห้” ผมเขย่าแขนพี่ยูเบาๆ ช้อนสายตาอ้อนมองเขา ยอมใจอ่อนให้ปัณณ์สักครั้งได้ไหม

“อย่าตามใจริวมาก” พี่ยูจ้องเขม็งดูท่าจะไม่ยอมทำตามที่ผมขอ ก็เข้าใจว่าไม่อยากโอ๋ลูกแบบผิดๆ แต่มันเรื่องนิดเดียวเอง โธ่ อย่าซีเรียสสิ

“นะครับ” ผมลองอ้อนอีกครั้งคราวนี้ลองเอาแถมถูไถต้นแขนแกร่งเบาๆ อย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว มันไม่ได้รู้สึกดีเหมือนตอนนั้นแต่กระอักกระอวนแทบบ้า ไอ้ความรู้สึกที่คิดว่าตัดใจได้แล้วทำไมถึงสั่นคลอน

“โอเค พี่ถือว่าทำเพื่อปัณณ์” พี่ยูถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนแล้วพาเด็กชายตัวน้อยที่ร้องดีใจเมื่อภารกิจของตัวเองสำเร็จไปวางไว้ในคอกกั้นเด็กก่อนใช้ผ้าขนหนูในมือค่อยๆ บรรจงเช็ดผมให้กัน มันอ่อนโยนจนปัณณ์แทบเคลิ้มตาม ต้องดึงสติสิ ไม่อย่างนั้นแย่แน่ๆ

“พูดซะผมคิดไกล” ผมพึมพำเสียงเบาไม่ได้ตั้งใจให้อีกคนได้ยิน แต่ด้วยความเงียบและระยะห่างที่สามารถสัมผัสลมหายใจกันได้นั้นทำให้เขาหลุดหัวเราะเบาๆ ปัณณ์อยากจะมุดดินหนีจริงๆ

“พูดแบบนี้เดี๋ยวแฟนก็หึงหรอก” พี่ยูเพิ่มแรงขยี้ลงบนหัวอย่างหยอกล้อก่อนจะผละมืออกเมื่อเส้นผมเริ่มเข้าใกล้คำว่าแห้ง ผมเหลือบตามองเขาเพียงครู่เดียวแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น ทำเป็นสนใจริวที่กำลังหยิบหนังสือนิทานขึ้นมาดูภาพ

“พี่ยูไม่ตกใจที่ผมบอกว่าคิดไกลเหรอ” ผมถามเสียงอ้อมแอ้มแล้วย่อตัวลงนั่งเกาะขอบคอกกั้นเด็ก เอื้อมมือไปลูบหัวริวเล่นด้วยความมันเขี้ยว ปัณณ์กล้าถามแต่ดันไม่อยากฟังคำตอบ หัวใจเต้นระรัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นของฝ่ามือหนาที่แตะลงบนไหล่

“พี่รู้ว่าปัณณ์พูดเล่น จริงไหม” พี่ยูก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง เขาทิ้งตัวนั่งข้างๆ กัน ส่งยิ้มมาให้ ทำทุกอย่างตามปกติ ซึ่งผมคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วก็เลยพยักหน้ารับคำ

ในอนาคตผมเชื่อว่าตัวเองคงไม่หวั่นไหวกับพี่ยูไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน คงต้องหาแฟนแบบเป็นตัวเป็นตนให้ได้สักที มีใครอยากสมัครบ้างไหม หญิงก็ได้ชายก็ดีเชิญรับบัตรคิวเลยครับ



---------------------------------------------------

อะไรยังไงนะคุณทอย ตกลงอยากเป็นเพื่อนหรือเป็นมากกว่านั้นกันแน่
ส่วนคนที่ปัณณ์ 'เคย' แอบชอบก็คือพี่ยูนั่นเอง
มาช่วยลุ้นกันว่าปัณณ์จะทำยังไงต่อไป ฮึบบ


ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โดนลุกทั้งซ้าย ทั้งขวา งั้นก็รับทั้งคู่เลยแล้วกัน  o18

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 2 : กุ้งเทมปุระ



“อิรัชชัยมาเสะ” มันคือคำที่ผมต้องพูดทุกครั้งเมื่อมีลูกค้าผลักประตูกระจกเข้ามาในร้านพร้อมกับโค้งตัวลงเพื่อเป็นการต้อนรับกอปรกับการคลี่ยิ้มการค้า คำทักทายเมื่อครู่ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ‘ยินดีต้อนรับ’ ลูกค้าสาวๆ จะหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินแต่ถ้าเป็นผู้ชายจะชอบขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่ามึงพูดอะไร

ผมเดินไปส่งลูกค้าที่โต๊ะก่อนจะวางเมนูสี่ใบเท่ากับจำนวนคน พวกเธอคลี่ยิ้มหวานมาให้อย่างสื่อความหมาย ไม่ได้อยากหลงตัวเองแต่หลายวันที่ผ่านมาปัณณ์มักจะโดนจีบอยู่เสมอไม่แพ้เชฟอย่างพี่ยูเลย

“อีกห้านาทีผมมารับออเดอร์นะครับ” ผมโค้งตัวลงเพื่อลาออกไปรับลูกค้าอีกกลุ่มทีาเดินเข้ามา แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาเสียงแหลมๆ ของใครคนหนึ่งก็รั้งกันไว้

“เดี๋ยวค่ะ ยืนรอตรงนี้เลยก็ได้พวกเราเลือกไม่นานหรอกเนอะ” เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากเพื่อนร่วมโต๊ะ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงเลยทำให้ผมต้องยืนอยู่ที่เดิม พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าทำไมต้องรั้งกันขนาดนี้

“ครับ” ผมตอบรับก่อนหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาเตรียมไว้ แอบเหลือสายตามองพวกเธอว่าเริ่มเลือกอาหารกันหรือยัง แต่สิ่งที่เห็นคือผู้หญิงสี่คนกำลังจับเข่าซุบซิบอยู่ เชื่อไม่ได้จริงๆ ลูกค้าโต๊ะนี้ ดูก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตั้งใจจะจีบ ปัณณ์ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยว่ะ ร้านขายอาหารไม่ใช่ขายตัว

“แหม ~ แกมันร้าย อยากจะมองหน้าเขานานๆ ล่ะสิ” ถ้าจะกระซิบดังขนาดนี้ก็ตะโกนใส่หูผมเลยเถอะ ไอ้การที่ต้องปั้นหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้มันยากจริงๆ

“หรือพวกแกไม่อยากมองล่ะจ๊ะ?” เชิญคุยกันให้เต็มที่แล้วคิดว่าผมหูหนวกเถอะครับ ถึงจะเป็นผู้ชายก็รู้สึกว่าโดนคุกคามได้เหมือนกัน

“รู้ใจ ~” พวกเธอตอบอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มหวานให้ผมด้วยกันทั้งนั้น รู้สึกกระอักกระอวนจนต้องเบนหน้าหนีเพื่อหาตัวช่วยแต่กลับเจอพี่ยูที่ยืนหัวเราะอยู่ไม่ไกล สนุกนักหรือไงที่ผู้หญิงมาจีบน้องชายตัวเองแบบนี้ หึ

ผมจดออเดอร์ลงในกระดาษก่อนจะเอื้อมมือไปรับเมนูคืน จังหวะนั้นถือว่าแย่สุดๆ เพราะเธอคนที่เป็นต้นเรื่องแอบแตะมือกันจนคนที่เหลือกรี๊ดกร๊าดด้วยความอิจฉา นี่มันอะไรกัน สมัยนี้ผู้หญิงออกตัวแรงจนน่ากลัว ถึงปัณณ์จะเป็นเพลย์บอยแต่ไม่ชอบให้ใครเข้าหาก่อน มันไม่ใช่สไตล์

หลังจากที่ช่วงเวลาเที่ยงผ่านไปงานทุกอย่างในร้านก็เบาลง ผมวางหน้าที่ต้อนรับทิ้งไว้แล้วสวมบทพี่เลี้ยงเด็ก สอนเจ้าแสบท่องศัพท์ภาษาไทย อังกฤษและญี่ปุ่น ริวตอบได้เกือบทุกคำ รางวัลของคนเก่งคือข้าวโพดต้มของโปรด จริงๆ อยากจะให้ขนมแต่โดนพี่ยูห้ามไว้เพราะถ้ากินเยอะไม่ดีต่อสุขภาพ คุณพ่อสายอนามัยก็มา

“น้าปัณณ์ ริวง่วง งือ ~” เด็กน้อยยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะเดินเข้ามาโถมตัวกอดกันทั้งที่ผมยังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางคอกกั้น ริวซบหัวลงบนไหล่ก่อนจะครางงุ้งงิ้งอยู่ข้างหู สงสัยจะง่วงมากจริงๆ แต่อดทนท่องคำศัพท์เพราะอยากกินข้าวโพด

“เดี๋ยวน้าเรียกป๊าให้เนอะ” ผมโอบรอบตัวหลานแล้วจัดท่าให้นั่งลงบนตักก่อนจะมองหาพี่ยู เขากำลังรับง่วนอยู่กับการทำซูชิที่บาร์เปิดโล่งนั่นโดยมีสาวน้อยวัยมหา’ลัยนั่งมองตาไม่กระพริบ ต้องขอยอมรับจริงๆ ว่าเขาเสน่ห์แรงมากถึงแม้อายุเยอะแล้วก็ตาม

“ไม่เอา ริวจะนอนกับน้าปัณณ์” ริวส่ายหัวดิกพลางออกแรงรัดรอบคอหนักขึ้น ผมได้แต่อึกอักเพราะในชีวิตไม่เคยกล่อมเด็กคนไหนนอน มันต้องทำยังไงบ้างวะ ให้กินนมก่อนนอนด้วยไหม

“เอ่อ คือน้า...” ผมทำท่าจะปฏิเสธเพราะยังเตรียมตัวไม่พอ วันนี้คงต้องขอให้พี่ยูทำหน้าที่ไปก่อน ต้องกลับไปศึกษาวิธีเลี้ยงเด็กให้ละเอียดมากกว่านี้ซะแล้ว

“อ้าว เจ้าตัวยุ่งกวนอะไรน้าปัณณ์ครับ?” พี่ยูคงเสร็จจากการทำซูชิเลยเดินเข้ามาหาที่หลังเค้าน์เตอร์ เขามองผมสลับกับลูกชายเหมือนจะถามว่ามีอะไรก่อนทิ้งตัวนั่งยองๆ ลง

“เนะมุ่ย ~ งือ” (ง่วง) เจ้าตัวแสบบอกพ่อเสียงอู้อี้แต่ไม่ยอมขยับออกจากตัวผมเลย มือป้อมๆ ขยำอกเสื่อไว้อย่างแน่นหนา เกาะติดอย่างกับลูกลิงเลย ผมไม่รู้สึกรำคาญแต่เอ็นดูมากกว่า เสียดายที่พี่ป่านไม่ได้เห็นริวเติบโต แต่ไม่เป็นไรนะ ปัณณ์จะคอยอยู่ข้างๆ หลานเอง

“งั้นเดี๋ยวป๊าพาไปนอนครับ” พี่ยูพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ก่อนเอื้อมมือมาจับแขนริวเพื่อจะอุ้ม แต่เด็กน้อยกลับขืนตัวหนีแล้วเอาแต่เกาะผมไม่ปล่อย ใบหน้ามู่ทู่นั้นซุกซบลงบนอกท่าทางบ่งบอกให้รู้ว่าไม่เอาคนอื่นนอกจากน้าปัณณ์ ดีใจที่หลานเห็นความสำคัญแต่... ทำไงดีวะกู งานยากเลย

“จะเอาน้าปัณณ์ ฮึก” เสียงอื้นมาพร้อมหยดน้ำตาใสๆ ผมรีบโยกตัวแล้วลูบหัวเพื่อปลอบ พี่ยูพยักหน้าเป็นเชิงให้เอาหลานไปนอน คราวนี้ปัณณ์คงหาทางรอดไม่ได้แล้ว เฮ้อ เด็กหนอเด็ก งอแงเก่งจังเลย

“โอเคๆ เดี๋ยวน้าปัณณ์พาไปนอนเนอะ” ผมพยุงตัวลุกขึ้นเต็มความสูงโดยมีพี่ยูช่วยประคองเจ้าแสบที่อยู่ในอ้อมกอด ริวคลี่ยิ้มกว้างก่อนยืดตัวขโมยหอมแก้มเมื่อได้ดั่งใจนึก น่าตีจริงๆ เด็กคนนี้ พอน้ามาก็ลืมพ่อซะอย่างนั้น ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่น้อยใจ

“ผมฝากงานด้วยนะครับพี่ยู”

“ไม่มีปัญหา เคียวอยู่ด้วยทั้งคน” พี่ยูยิ้มกว้างแล้วดันหลังผมให้ขึ้นไปชั้นบน แค่บอกไม่พอเหรอ ทำไมต้องสัมผัสด้วย อย่าทำให้ความพยายามของปัณณ์ไร้ประโยชน์สิ

ผมวางเจ้าตัวแสบลงบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อกล่อม วิธีที่เห็นผ่านตาคือตบก้นใช่ไหม ต้องทำแบบนั้นสินะ รอวไม่เรียกร้องหานมคงไม่ต้องให้ดื่มล่ะมั้ง การเลี้ยงเด็กนี่ยากกว่าเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินซะอีก นับถือพี่ยูที่ยอมเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง

“น้าปัณณ์ กอดกัน” ริวอ้าแขนรอพร้อมกับส่งสายตาอ้อนมาให้กัน ผมอึกอักก่อนจะยอมล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วดึงรั้งเจ้าตัวน้อยเข้ามาแนบอก ตกลงว่าแค่กอดก็พอใช่ไหม ปัณณ์เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องสองพ่อลูกคู่นี้

“ครับ กอดกันเนอะ” มือเรียวขยับขึ้นลูบหัวทุยๆ ด้วยความรักก่อนกระชับอ้อมกอดเพิ่มความอบอุ่นให้ริวที่กำลังเอาแก้มยุ้ยถูไถกับหน้าอก เสียงพึมพำทำให้ผมเผลอสะดุดลมหายใจตัวเอง หลานจะรู้สึกแย่แค่ไหนกันที่ไม่มีแม่อีกแล้ว

“คิดถึงป่านจัง” ริวช้อนตามองแล้วเบะปาก มือป้อมๆ กำเสื้อของผมไว้แน่นเหมือนกำลังทรมาน ถึงปัณณ์จะหน้าเหมือนป่านแต่เราก็คือคนละคน ความสัมพันธ์ทดแทนกันไม่ได้

“แม่ป่านก็คงคิดถึงตัวแสบเหมือนกัน” ผมพูดเสียงเบาเพราะพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ตีตื้นอยู่ภายในใจ ไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็น พี่ป่านบอกเสมอว่าเป็นผู้ชายแมนๆ ต้องหนักแน่นเข้มแข็งถึงจะสามารถดูแลคนที่เรารักได้

ผมใช้เวลากล่อมหลานไม่นานก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอ ครั้นจะลุกจากเตียงเพื่อลงไปทำงานต่อกลับโดนมือป้อมๆ ดึงรั้งเสื้อเอาไว้จะแกะออกก็กลัวตื่น ถ้าโทรลงไปขอวิธีจากพี่ยูคงน่าอาย แต่ตอนนี้หนักตายังไงไม่รู้วะ ของีบหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง

เมื่อรู้สึกตัวตื่นสิ่งแรกที่ทำคือการป่ายมือหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลา ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะทำแบบเดิมอีกครั้ง อยากให้มั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด บ่ายสามแล้ว... นี่กูงีบหรือว่าเผลอตาย!

“เชี่ย!” ผมสบถเสียงดังก่อนเม้มปากแน่นเมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ริวขยับตัวยุกยิกส่งเสียงครางเบาๆ คล้ายกำลังจะตื่นนอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับนิ่งสงบและเข้าสู่นิทราอีกครั้ง ปัณณ์ถอนหายใจเฮือกก่อนก้าวลงจากเตียงช้าๆ แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องพัก แอบหลับนานขนาดนี้พี่ยูโกรธแน่

ด้วยความรีบร้อนเลยไม่ทันระวัง ประตูห้องพักเปิดออกด้วยฝีมือคนด้านนอก มันฟาดเข้ากลางหน้าผากผมเต็มๆ จนล้มก้นกระแทกพื้น โอ๊ย ทั้งเจ็บทั้งจุก อย่าให้รู้ว่าใครนะ ปัณณ์จะด่าให้ลืมเพศตัวเองเลย!

“โอ๊ย เจ็บๆๆ” ไม่รู้จะลูบหน้าผากหรือก้นก่อนดี ช้ำไปหมดแล้ว!

“เป็นอะไรมากไหมปัณณ์ ให้พี่ดูหน่อย” เสียงทุ้มๆ เอ่ยอย่างร้อนรนก่อนที่เข้าจะย่อตัวลงมาให้อยู่ระดับเดียวกัน ผมชะงักกึกเมื่อดวงตาเห็นพี่ยูอยู่ตรงหน้า ไอ้ที่อยากจะด่ากลับต้องกลืนลงคอทั้งหมด

“มะ ไม่เป็นไรครับ ผมรีบจนไม่ดูทางเอง” ผมถอยหลังกรูดจนแผ่นหลังชนกับผนัง แต่อย่าคิดว่าจะรอดพ้นจากพี่ยูที่ขยับตามเข้ามาเลย ใกล้มากกว่าครั้งแรกซะอีก ใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ ตกกระทบลงบนหน้าผาก ถ้าหัวใจวายตอนนี้คงไม่แปลก

“อย่าดื้อครับ ให้พี่ดูหน้าผากเราหน่อย” เสียงดุๆ ของคนตรงหน้าทำให้ผมเม้มปากเน้นแล้วพยักหน้าตอบรับ ถ้าหากยังขัดขืนคงจะโดนลงโทษไม่น้อย เผลอๆ อาจกดมือลงบนแผลจนช้ำมากกว่าเดิม นี่ล่ะพี่ยูสายดาร์กเวลามีคนดื้อใส่

มือหนาปัดปอยผมที่หน้าผากออกก่อนจะใช้นิ้วอุ่นๆ แตะลงตรงจุดบวม พี่ยูขยับไล้อย่างแผ่วเบาจนรู้สึกเกร็งไปทั้งร่างกาย ปัณณ์ขอเกลียดความอ่อนโยนของเขาไม่มีที่สิ้นสุดนับจากวันนี้ เพื่อป้องกันการเผลอตัวและเผลอใจไปกับสัมผัสทุกรูปแบบ

“บวมเลย เดี๋ยวไปนั่งรอพี่บนเตียงนะ จะเอายาให้” พี่ยูบอกพลางคลี่ยิ้ม ผมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วเพื่อให้เขารีบขยับออกไปห่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมือหนาวางลงกลางศีรษะก่อนออกแรงขยี้เบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักจนต้องเป็นฝ่ายผละตัวหนีซะเอง มันต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นสิปัณณ์ ท่องไว้

“ขะ ขอโทษนะครับ เผลอหลับไปกับริวเฉยเลย” ผมละล่ำละลักพูดโดยไม่ยอมมองหน้าพี่ยู เขาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนผละมือออกไปจากหัว แบบนี้สิถึงจะหายใจคล่องหน่อย

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงๆ ปัณณ์ก็ต้องดูแลเจ้าแสบอยู่แล้ว” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลใบเล็กที่วางอยู่บนตู้เสื้อผ้า ห้องนี้คล้ายกับหอพักราคากลางๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้สอยเบื้องต้น แล้วทำไมผมต้องมองตามเขาแบบไม่วางตาด้วยล่ะ... โธ่เว้ย

ผมย้ายสังขารเปลี้ยๆ ไปที่เตียงแล้วหย่อนตัวลงนั่งให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าเจ้าตัวแสบจะตื่น สายตายังคงจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัสมันตอนเมาแอ๋ในคืนปาร์ตี้สละโสดของพี่ยู ช่วงเวลานั้นมันทั้งดีใจและเสียใจจนแทบบ้า รักแต่ทำอะไรไม่ได้ต้องปล่อยให้เขาแต่งงานกับพี่สาวต่อหน้าต่อตา

ปัจจุบันนี้ความเจ็บปวดในวันนั้นจางหายไปจนหมด แต่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความหวาดหวั่นเอาไว้ ถึงแม้ว่าตัดใจไปแล้ว ถึงแม้ว่าเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน แต่เมื่อมีความคิดถึงบวกกับความใกล้ชิดเข้ามาเอี่ยว กลัวว่าสักวันผมจะดึงความรู้สึกในอดีตกลับมาและมันอาจจะมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะตอนนี้ไม่มีพี่ป่านอีกแล้ว... ปัณณ์เลวมากใช่ไหมที่ครั้งหนึ่งเคยรักพี่ยู

“มา เดี๋ยวพี่ทายาให้” เสียงทุ้มของพี่ยูดังขึ้นเรียกสติให้ผมหลุดออกจากความคิด เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ระยะห่างที่เหลือแค่ฝ่ามือกั้นช่างน่ากลัวจนต้องผงะหนี ไม่กล้าสบตาแถมยังมือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“ผมทำเองก็ได้ครับ” ผมรีบบอกเมื่อพี่ยูกำลังจะใช้มือเชยคางให้เงยหน้าขึ้น เขาชะงักกึกก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

“ยาติดมือแล้ว ให้พี่ทำเถอะ” เขายื่นมืออีกข้างที่ใช้ป้ายยาเรียบร้อยแล้วมาให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ผมได้แต่อึกอักจะปฏิเสธก็ดูไร้เหตุผล ถ้าใครบอกว่าพี่ยูเป็นผู้ชายที่เทคแคร์ดี เอาใจใส่ ปัณณ์ไม่เถียง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนกว่านั้นคือความเจ้าเล่ห์ ใช้วิธีบังคับแบบเงียบๆ ให้เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนอย่างตอนนี้... ทำอะไรได้นอจากยอม จริงไหม

“อื้อ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อให้คุณหมอชั่วคราวทายาตรงหน้าผาก ปลายนิ้วอุ่นนวดคลึงอย่างแผ่วเบาชวนเคลิ้ม ตอนแรกพยายามเบนสายตาหนีเขาแต่สุดท้ายก็แอบมองปลายคางอยู่ดี ถ้าเลื่อนลงมาอีกนิดจะเจอแผงอกที่โผล่ออกมาจากสาบเสื้อ ก็เล่นปลดกระดุมตั้งสองเม็ด อยากโชว์สาวนักหรือไง ถ้าปัณณ์หล่อได้สักครึ่งของพี่ยูคงบรรเทิงจนฟ้าเหลือง

“เพี้ยง หายไวๆ นะเด็กดี” ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบลงบนหน้าผากบวกกับน้ำเสียงนุ่มๆ รอยยิ้มหวานละมุนนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงเหมือนเพิ่งนั่งเครื่องบินตกหลุมอากาศ ความคิดอยากจะถอยหนีแต่ร่างกายกลับหยุดนิ่งมองสบตาคนตรงหน้า

พี่ยูเคยรู้ตัวบ้างไหมว่าการกระทำบางอย่างสำหรับผมแล้วนั้นมันให้ความรู้สึกมากเกินกว่าพี่น้อง คิดดีไม่ได้จริงๆ ทั้งสายตาและท่าทางที่แสดงออก แต่ทั้งหมดนั่นคือนิสัยพื้นฐานของเขา ปัณณ์เป็นคนที่ต้องปกป้องหัวใจตัวเองให้แน่นหนา ล็อกกุญแจ สร้างกำแพง หรือหนีไปให้พ้นหน้า วิธีไหนถึงจะให้ผลดีที่สุดกันนะ

“ผะ ผมไม่ใช่เด็กๆ ไม่ต้องเป่าก็ได้” ทั้งที่พยายามควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในระดับปกติแต่ไม่วายพูดเสียงสั่นออกไปจนได้ พี่ยูมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าคืออะไรกัน

“งั้นเหรอ? แต่ปัณณ์น่ารักเหมือนกับริวเลยนะ” คำชมที่ออกมาจากปากพี่ยูนั้นไม่ว่าจะจริงหรือหลอกแต่มันก็ทำให้ผมเสียงการทรงตัว มือไม้อ่อนไร้เรี่ยวแรงจะลุกหรือเดินหนี ถ้าเขาเป็นผู้ชายทั่วไปไม่เกี่ยวของกับปัณณ์ในสถานะพี่เขยกับน้องชายแบบนี้คงคืดได้ว่ากำลังโดนหยอด แต่มันไม่ใช่... คุณพ่อก็แค่เอ็นดูเหมือนมีลูกอีกคน

“.....” ผมนิ่งไม่ยอมตอบคำถามเพราะสติหลุดไปตั้งแต่โดนชมด้วยคำนั้น แก้มร้อนวูบอย่างควบคุมไม่ได้จนต้องซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างเพื่อปกปิด แต่ไหนเลยจะรอดพ้นคนสายตาดีไปได้

“นี่... เป็นไข้หรือเปล่า? หน้าแดงเชียว” ผมอยากถามเหลือเกินว่าเขาซื่อหรือเซ่อที่ดูอาการนี้ไม่ออก พี่ยูไม่รู้จักคำว่าเขินอายเหรอ

“ห๊ะ เอ่อ... คะ คงงั้นครับ รู้สึกเจ็บคอมาหลายวันแล้ว” แต่ผมดันตอบเขากลับไปแบบนั้น ดูเป็นคนโง่กว่าร้อยเท่า ตอนนี้ทำยังไงก็ได้ให้พี่ยูเลิกทำตัวยุ่มย่ามสักที ถ้าเขายังไม่ไปตอนนี้ปัณณ์ก็เตรียมตัวตายเพราะความรู้สึกหล่นทับได้เลย

“งั้นนอนต่อเถอะ ปิดร้านเมื่อไหร่จะมาเรียก เดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโดเนอะ” เขาจัดแจงเสร็จสรรพก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วใช้มือทั้งสองข้างดันไหล่ให้ผมกลับไปนอนเป็นเพื่อนริวอีกครั้ง อยากปฏิเสธใจจะขาดแต่ผ้าห่มที่ถูกเลื่อนมาคลุมตรงหน้าอกนี้... ปัณณ์กำลังแพ้ทางผู้ชายคนนี้รอบที่ล้าน ทำไงดี

“แต่ว่า...” อยากชนะพี่ยู แต่ใจไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ

“ไม่มีแต่ครับน้องปัณณ์ ห้ามดื้อกับพี่ยูกิ เข้าใจไหม?” นิ้วเรียวแตะลงมาบนริมฝีปากของผมพร้อมกับส่งเสียงชู่เบาๆ เพื่อเป็นการห้ามต่อปากต่อคำ ทำไมต้องสัมผัสทุกครั้งที่เอ่ยปากพูด ทำไมกันครับพี่ยู อยากให้ปัณณ์กลับไปอยู่ในฐานนะคนแอบรักอีกหรือไง

“เข้าใจก็ได้ครับ” ผมซุกหน้าลงใต้ผ้าห่ม พึมพำรับเสียงแผ่วก่อนจะหลับตาหนีพี่ยูที่ยืนยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ

ผ่านไปเกือบห้านาทีแต่เขายังไม่ออกไปจากห้องเพราะไม่มีเสียงเปิดประตู ผมอยากรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ตอนนี้ อยากลืมตามองก็กลัวจะโดนจับได้ แต่สัมผัสตรงกลางหน้าผากคือคำตอบที่ดีที่สุด ปัณณ์ไม่ใช่ลูก ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย... แค่อาทิตย์แรกหัวใจก็ทำงานหนักขนาดนี้ ต่อไปคงตายไม่รู้ตัว

“ปัณณ์” เสียงเรียกชื่อดังแว่วมาในโสตประสาทการรับรู้แต่ผมยังไม่อยากตื่นเลยป่ายมือควานหาตุ๊กตาหมีนุ่มของริวบนหัวเตียงมาปิดหู หวังว่าเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ จะไม่กลิ้งจนตกที่นอนไปแล้วนะ

“ปัณณ์ครับ” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งและมันได้ยินชัดมากกว่าเดิมเหมือนเข้าขยับเข้ามาใกล้ สัมผัสอุ่นๆ ที่ข้างแก้มทำให้รู้สึกรำคาญจนต้องขยับหนี ปล่อยเจ้าตุ๊กตาแล้วคว้าสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยมากอดไว้แทน

“ตื่นได้แล้วนะ” สิ้นคำนั้นสติของผมก็ตื่นเต็มร้อยเพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่ข้างใบหู เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกนั่นชัดเจนจนสามารถระบุเจ้าของได้ ทำไมพี่ยูต้องเข้ามาใกล้กันขนาดนี้

ผมตัดสินใจคลายอ้อมกอดออกจากหลานแล้วขยับลุกพรวดขึ้นไม่ยอมมองบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แต่สัมผัสนุ่มหยุ่นบริเวณแก้มนั้นทำให้ตื่นตกใจจนต้องลืมตาโพลง มันไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม

“อะ... พะ พี่ยู!” ผมอุทานเสียงดังเมื่อพี่ยูทำหน้าตกใจก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก มันยืนยันว่าเมื่อครู่เขาหอมแก้มกันแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้าจะเรียกให้ถูกคือมันเป็นอุบัติเหตุ แต่ทำให้ปัณณ์เกือบช็อกตาย ทะ ทำยังไงดี

“ขอโทษที พี่ไม่ได้ตั้งใจ” เขาลดมือลงเอ่ยคำขอโทษแต่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าและดวงตาพราวระยับนั้นทำให้ผมต้องก้มหน้าหงุด ไหนล่ะความสำนึก เห็นแต่ความสนุกเต็มไปหมด

ปัณณ์ไม่เคยแพ้ใคร เจอคนเข้าหาแบบไหนก็รับมือได้ตลอด แต่กับพี่ยูแล้วนั้นความกล้าหาญแทบติดลบ แพ้ไปหมดทุกเรื่อง ทั้งที่เขาก็ทำตัวปกติ วางตัวเป็นผู้ใหญ่ คอยดูแลเสมอ แค่เพิ่มความชอบแกล้งเข้ามาเท่านั้นเอง

“มะ ไม่เป็นไรครับ ปิดร้านแล้วเหรอ?” ผมพูดเสียงสั่นเพราะใจยังเต้นแรง พี่ยูขยับถอยออกไปแล้วแต่สัมผัสเมื่อครู่นั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ต้องหาวิธีลบมันออกไปจากสมองโดยใช้ร่างกายของคนอื่น สงสัยว่าคืนนี้ต้องโทรหาเด็กนิเทศฯ แล้วล่ะ

“อื้ม วันนี้ว่าจะพาเราสองคนไปกินข้าวน่ะ” พี่ยูชี้มือมาที่ผมกับเจ้าตัวแสบที่นอนก้นโด่งอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สิ่งที่อยากทำคือกลับไปตั้งหลัก พยายามกลบรอยร้าวของกำแพงให้มั่นคงเหมือนเดิม

“คือ... ผมอยากกลับคอนโด” ผมบอกพี่ยูไปตามตรงโดยไม่อ้อนค้อม ใบหน้าหล่อฉายแววฉงนไม่เข้าใจว่าทำไมโดนปฏิเสธ เขาไม่มีเจตนาแอบแฝงแต่ปัณณ์เองนี่ล่ะที่จะทนไม่ได้ แค่กลับมาใกล้ชิดไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แย่ขนาดนี้เลยเหรอวะ กลัวใจตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว

“หาว ~ น้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบเอ่ยเรียกเสียงอู้อี้ก่อนกลิ้งลุนๆ เข้ามาชนขากัน มือเล็กป่ายกอดรอบเอวคล้ายละเมอ แต่ดวงตาปรือๆ นั้นยืนยันได้ว่าริวตื่นแล้ว ขอบคุณที่ขัดจังหวะการสนทนาได้เป็นอย่างดี ผมไม่อยากตอบคำถามพี่ยู เพราะไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาอ้าง

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” ผมอุ้มริวมานั่งบนตักก่อนจะใช้มือลูบหัวทุยอย่างเอ็นดู ใบหน้าเล็กซบลงบนอกแล้วหลับตาลง สงสัยยังตื่นไม่เต็มที่แต่ปากเริ่มขยับแจ๊บๆ

“อื้อ หิวจัง” ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะตอนนี้เวลาหกโมงเย็นแล้ว ผมก็รู้สึกไม่ต่างกัน เมื่อเที่ยงได้กินข้าวไปนิดเดียวเอง ลูกค้าทยอยเข้าร้านอย่างกับหนอน เกลียดวันเสาร์ได้ไหมล่ะ

“อยากกินอะไรครับ?” คุณพ่อแสนดีก้มหน้าถามลูกชายตัวน้อยที่กำลังขยี้ตาด้วยความงัวเงีย แต่เมื่อริงได้ยินเรื่องของกินกลับเปลี่ยนท่าทางเป็นยิ้มกว้างทันที เด็กหนอเด็ก พอเอาของกินมาล่อก็ลืมทุกอย่างเฉยเลย มันเขี้ยวจนอยากฟัดแรงๆ สักที

“พิซซ่า!” เสียงร่าเริงดังขึ้นพร้อมกับร่างป้อมๆ พุ่งเข้าใส่คนเป็นพอ ทั้งกอดทั้งหอมเพื่ออ้อนให้ใครอ่อน ใครโดนแบบนี้ไม่ยอมก็คงแปลกแล้ว ส่วนพี่ยูหัวเราะท่าทางของริวก่อนที่มือหนาจะขยี้ลงบนหัวทุยนั่นอย่างเอ็นดู

“โอเค เดี๋ยวป๊าพาไปกิน”

“เย้ๆ ป๊าใจดี ~” เจ้าตัวแสบกระโดดโลดเต้นไปรอบเตียงอย่างมีความสุข ผมได้แต่นั่งยิ้มกับภาพตรงหน้า ถ้าพี่ป่านยังอยู่คงถ่ายรูปหรือวีดีโอของริวเก็บไว้เยอะแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นปัณณ์ก็เริ่มมองหาโทรศัพท์ของตัวเองแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเสียงทุ้มของพี่ยูถามขึ้น

“ริวอยากให้น้าปัณณ์ไปกับเราไหม?”ผมหันขวับไปมองคนพูดด้วยความตกใจ ลองเขาถามริวแบบนี้เท่ากับว่าเป็นการบังคับไปในตัว ใครที่ไหนจะปฏิเสธการอ้อนของเด็กได้ พี่ยูยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยักคิ้วกวนเมื่อรู้ว่าสุดท้ายตัวเองต้องชนะ

“อยาก~ น้าปัณณ์ หม่ำๆ พิซซ่ากัน” เจ้าตัวแสบพุ่งมาหาผมก่อนจะใช้แก้มกลมๆ ถูเข้ากับหน้าอกเป็นการอ้อน สถานการณ์แห่งความลำบากใจที่สร้างโดยพี่ยู ปัณณ์จะแก้ยังไงวะ ใจแข็งปฏิเสธเด็กไปได้ไหม ไม่อยากกินพิซซ่า อยากกลับคอนโด

“เอ่อ คือน้า...” ผมอึกอักไม่กล้าพูดตรงๆ กับหลานเพราะตอนนี้โดนสายตาออดอ้อนเข้าเล่นงาน ไหนจะแรงกอดรัดที่เอว ไหนจะปากเล็กๆ ที่ขโมยจุ๊บแก้มไปเมื่อครู่ โคตรแย่ พี่ยูเลี้ยงลูกยังไงให้กลายเป็นเด็กแบบนี้วะ เจ้าเล่ห์พอกันทั้งพ่อทั้งลูกเลย

“น้า นะ พิซซ่าอย่อยๆ ~” ริวยังคงพยายามเชิญชวนในแบบฉบับเด็กๆ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังทำใจแข็งอย่างสุดความสามารถ ห้ามอ่อนข้อให้หลานเพราะมันจะทำให้ความใกล้ชิดกับพี่ยูมีเพิ่มขึ้น เขามีสเน่ห์เหลือล้นเกินไป ยิ่งตอนเสยผมขึ้นแล้วเอาแต่จ้องมองปัณณ์เพื่อรอคำตอบนั้นแทบทำให้ร่างกายละลายเป็นของเหลว

“แต่...”

“ปัณณ์จะใจร้ายกับริวเหรอ?” พี่ยูบัดไม้ตายอีกครั้ง ที่ถามมานั้นผมไม่เห็นว่าริวจะเดือดร้อนอะไรเพราะเจ้าตัวลงจากเตียงพร้อมหมีนุ่มไปแล้ว

“พี่ยู...” ผมเรียกเขาเสียงแผ่วเพราะเห็นดวงตาคมฉายแววน่าสงสาร ตกลงว่าพ่อหรือลูกกันแน่ที่อยากให้ไปด้วยกัน คนช่างเผด็จการ ทีกับพี่ป่านยอมทุกอย่างไม่ใช่เหรอ เพราะปัณณ์เป็นแค่น้องชายต่างสายเลือดใช่ไหม... แค่คิดก็น้อยใจแล้ว

“หรือว่ากลัวแฟนรอนาน” คำถามจากปากพี่ยูพร้อมกับสายตาตัดพ้อนั้นคืออะไรไม่อาจทราบได้ แต่คนฟังอย่างผมตะลึงจนเผลอกลั้นหายใจไปแล้ว แฟนเหรอ... ถ้ามีสักคนอย่างจริงจัง ปัณณ์คงไม่ต้องมานั่งระแวงความรู้สึกในอดีตแบบนี้

“ปะ เปล่าครับ ไปก็ไป” สุดท้ายผมก็แพ้พี่ยูอย่างราบคาบ ก็แค่สงสารเจ้าตัวแสบที่ยืนรอเราสองคนอยู่ตรงหน้าประตูห้องเท่านั้นเอง คงหิวจนไส้จะขาดแล้วมั้ง

ผมเป็นคนจูงริวลงมาจากชั้นบนก่อนพาไปขึ้นรถ ส่วนพี่ยูตรวจสอบความเรียบร้อยของร้านแล้วเดินตามมาทีหลัง เจ้าตัวแสบไม่ยอมนั่งคาร์ซีทเอาแต่งอแงจะอยู่กับน้าปัณณ์ท่าเดียว เกลี้ยกล่อมก็แล้ว ดุก็แล้วไม่เป็นผลสำเร็จสรุปก็ต้องยอมแพ้เด็ก

เพลงเด็กถูกเปิดขึ้นเพื่อเอาใจเด็กที่นั่งอยู่บนตักพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัย เจ้าตัวแสบส่ายหัวดุกดิกตามทำนองดูมีความสุขจนผมอดเผลอยิ้มตามไม่ได้ ถึงริวจะไม่มีแม่แต่พี่ยูก็เลี้ยงดูมาอย่างดี ให้ความอบอุ่น ให้ความรัก คอยดูแลเอาใจใส่มาตลอดเลยทำให้ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป นับถือเขาจริงๆ เป็นคุณพ่อมือวางอันดับหนึ่งในการเลี้ยงลูก

“ริวไม่เคยติดใครขนาดนี้เลยนะ” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยแทรกขึ้นในขณะที่รถกำลังอยู่ในสภาวะจราจรติดขัด ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะเด็กวัยนี้ถ้าเลือกติดใครได้สักคนน่าจะเป็นพ่อแม่ตัวเองที่คลุกคลีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ กับน้าที่ปีหนึ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งมันคงเป็นแค่ความเห่อมั้ง






ต่อด้านล่าง





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2018 14:11:51 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ริวไม่ติดพี่ยูเหรอครับ?”

“ไม่นะ ปกติ ให้นั่งคาร์ซีดก็ไม่เคยงอแง นอนก็ไม่ต้องกอดแบบที่ปัณณ์ทำ” พี่ยูคลี่ยิ้มละมุนแล้วเหลือบมองเจ้าตัวน้อยที่ฮัมเพลงอย่างร่าเริง เขาไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจที่ลูกติดคนอื่นมากกว่าตัวเอง นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย แต่ความคิดบางอย่างกลับผุดขึ้นในหัว

“สงสัยผมหน้าเหมือนพี่ป่านมั้ง” ก็แค่อยากพูดขำๆ ทำไมพี่ยูถึงต้องทำหน้าอึดอัดใจด้วย... ผมคงทำให้รู้สึกแน่สินะ ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นตัวแทนใคร

“ถึงจะเหมือนป่านแต่ริวก็รู้ว่าเป็นคนละคน สงสัยหลงรักน้าปัณณ์เข้าแล้วมั้ง” ประโยคแรกพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วคลี่ยิ้มตบท้าย ประโยคที่สองพูดกับริวที่นั่งมองพ่อตาปริบๆ อย่างสนใจ

“รักๆ รักน้าปัณณ์ ~” เจ้าตัวแสบตอบรับเสียงใสก่อนจะดึงมือผมให้กอดตัวเองแน่นพร้อมกับเอาแก้มกลมๆ ถูไถอย่างรักใคร่ ก็น่ารักแบบนี้ใครไม่หลงก็แปลกแล้ว โตเมื่อไหร่คงหัวกระไดบ้านไม่แห้ง ขี้อ้อนแถมเจ้าชู้ตั้งแต่เด็กเลย

“รักน้าปัณณ์คนเดียวเหรอ?” พี่ยูแกล้งทำเสียงอ่อย ใบหน้าหล่อเศร้าสร้อยจนผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แสดงเก่งขนาดนี้เอารางวัลออสก้าร์เลยไหม เจ้าตัวแสบเลยขยับตัวยุกยิกก่อนเอามือแตะแขนพ่อพลางคลี่ยิ้มหวานๆ อย่างเอาใจ

“ป๊าด้วย รักกันๆ ~” ถ้าริวสามารถลุกขึ้นไปกอดพี่ยูได้คงทำไปแล้ว อ้อนขนาดนี้แถมยังกระพริบตาปริบๆ อีก น่าฟัดซะไม่มี

“ป๊าก็รักริวครับ” พี่ยูบอกรักกลับพร้อมเอื้อมมือมาขยี้หัวเด็กน้อยจนยุ่งเหยิง ริวยิ้มกว้างจนตากลายเป็นขีด ดูน่ารักน่าชัง

“เย้ๆ ป๊ารักน้าปัณณ์ด้วยนะ น้า” คำพูดของเด็กสามขวบทำให้ผมสะดุดลมหายใจก่อนจะออกแรงกอดกระชับริวไว้แน่นไม่กล้ามองหน้าพี่ยู ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบตับอย่างน่ากลัว ทำไมต้องรู้สึกคาดหวังในคำตอบของเขาทั้งที่มันก็คงไม่มีอะไร

ปัณณ์ยังมั่นใจได้ไหมว่าตัวเองไม่ได้ทลายกำแพงและล้ำเส้นที่ขีดเอาไว้

พี่ยูเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่รถจะจอดนิ่งเพราะติดไฟแดง ผมกระสับกระส่ายจนเผลอบีบมือลงบนขาในขณะที่ริวเงยมองหน้ากันแล้วยืดตัวขึ้นมาหอมแก้ม คงคิดว่าน้าปัณณ์ร้องไห้สินะ... ไม่หรอก ก็แค่น้ำตาคลอเฉยๆ

“ป๊าตอบ ~” เจ้าเด็กแสบเร่งเร้าคุณพ่อคนหล่อให้ตอบคำถามเมื่อครู่ ผมอยากจะเอาจุกนมใส่ปากหลานนัก เรื่องอื่นลืมได้ง่ายๆ ทำไมกับเรื่องรักๆ ถึงจำแม่นขนาดนี้เล่า

“อืม.... รักสิ ป๊ารักน้าปัณณ์ครับ” พี่ยูบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มก่อนจะมองสบตาผมที่ตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้น หัวใจเต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมานอกอก ทำไมต้องรู้สึกเหมือนโดนสารภาพรักในเชิงชู้สาวทั้งที่ตะหนักดีว่าความหมายมันคืออะไร

“.....” ผมเบนหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว กลัวพี่ยูจะจับได้กำลังคิดลึกแถมตอนนี้ยังรู้สึกเขิน เสียงดีใจเจื้อยแจ้วของริวไม่ได้ช่วยให้ความอึดอัดลดลงเลย ต้องทำยังไงดีล่ะ

“ปัณณ์ พี่ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด รักแบบน้องชายน่ะ อย่าโกรธนะ” พี่ยูรีบพร่ำคำขอโทษเมื่อสถานการณ์ระหว่างเราดูอึดอัด ผมหลุดหัวเราะหึเพราะสมเพชตัวเองที่ยั้งใจไม่ได้ สุดท้ายความจริงจากปากเขาก็ร้ายกาจมากกว่าความคิดของตัวเอง

ไม่ต้องย้ำความสัมพันธ์ของเราก็ได้ รู้แล้วว่าควรอยู่ในสถานะไหน ก็พยายามอยู่นี่ไง พี่ยูอย่าทำความพยายามของปัณณ์พังสิ

“ผมรู้อยู่แล้วครับ ไม่ได้โกรธ พี่ยูวางใจเถอะ” ผมตัดบทเขาด้วยรอยยิ้มที่พยายามฝืนทำให้มันดูปกติก่อนจะซุกหน้าเข้ากับหัวทุยๆ ของริวเพื่อปิดกลั้นความสั่นไหวในดวงตา ปัณณ์ไม่น่ากลับมายืนอยู่ตรงนี้เลย กำแพงที่สร้างขึ้นอย่างแน่นหนาเมื่อครั้งก่อนกำลังผุกร่อนด้วยการกระทำของพี่ยู

“อยากกินอะไรสั่งเลยนะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” น้ำเสียงทุ้มดังลอดเมนูอาหารที่ปิดหน้าเขาอยู่ ผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับหลุดหัวเราะ นี่เป็นนิสัยอีกอย่างนึงของพี่ยู รวยและเปย์เก่งมาก แต่เฉพาะคนในครอบครัวหรือคนสนิทเท่านั้น ไม่ได้เปย์พร่ำเพรื่อเหมือนไอ้ทอย

“พี่ยูสายเปย์” ผมล้อด้วยเสียงทะเล้นก่อนจะรีบยกเมนูขึ้นบังหน้าเมื่อพี่ยูตวัดสายตาคมๆ พร้อมกับกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น ไม่ใช่กลัวเขาจะดุ แต่อานุภาพทำลายล้างหัวใจมันสูง เคลียร์ความรู้สึกอึดอัดในรถได้แต่กลับมาสร้างความขัดเขินอีก หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เลยปัณณ์เอ๊ย

“แน่นอนครับ” คำตอบที่ไม่มีการถ่อมตัวทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือก อยากเปย์ก็ให้เปย์จนกระอักเลือดตายไปเลยก็แล้วกัน หึหึ

มื้ออาหารดำเนินไปอย่างราบรื่น ริวดูเอ็นจอยกับพิซซ่าแป้งบางกรอบตรงหน้า ทั้งมือทั้งปากเลอะเทอะจนพี่ยูต้องคอยใช้กระดาษทิชชู่เช็ดให้อยู่เรื่อย เอาง่ายๆ คือผู้ใหญ่สองคนแทบไม่ได้กินส่วนของตัวเองเพราะมัวแต่ดูเจ้าเด็กแสบ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปสองพ่อลูกไปหลายช็อต เดี๋ยวกลับบ้านค่อยส่งให้แล้วกัน

Rrrrr

โทรศัพท์ในมือร้องดังจนผมเกือบเผลอขว้างมันทิ้ง เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ได้แต่สบถคำด่ากับตัวเองเบาๆ ช่างโทรมาได้จังหวะจริงๆ คนกำลังกินมื้อเย็นเพลินๆ

“ฮัลโหล” ผมกดรับสายแล้วกรอกน้ำเสียงปกติลงไป หลายวันมานี้ไอ้ทอยบินไปเกาหลีและไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ สงสัยจะไปหลงแสงสีและผู้หญิงขาวๆ สวยๆ ที่นั่นจนลืมเพื่อน น่าหมั่นไส้

‘มึงอยู่ที่ไหน?’ มันถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีการทักทายกันก่อน ผมขมวดคิ้วพลางจิ้มผักสลัดใส่ปาก มึงจะเกริ่นนำเรื่องสักหน่อยไม่ได้เหรอ งงเว้ย

“ห้าง มากินข้าว มีอะไรหรือเปล่า?” ผมกลืนผักลงคอแล้วตอบกลับไปเป็นขณะเดียวกันที่ริวลงจากตักพี่ยูเพื่อเดินมาหา ดูมุมปากเล็กๆ นั่นสิ เลอะซอสมะเขือเทศด้วย อยากถ่ายรูปอีกแต่ติดที่ต้องคุยสายกับไอ้ทอย มันคือมารขัดความสุขที่แท้จริง

‘รถซ่อมเสร็จหรือยัง?’ ไอ้ทอยไม่ยอมตอบคำถามยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วหนักขึ้นจนหลานชายตัวน้อยที่ปีนขึ้นมานั่งบนตักใช้นิ้วจิ้มๆ ส่วนพี่ยูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลุดหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของเราสองคน ตอนนี้เหมือนช่วงเวลาครอบครัวสุขสันต์ในมโนภาพเมื่อนานมาแล้ว

“ทำไม?” ผมเลียนแบบมันบ้าง ก็มันเล่นไม่ตอบกันก่อน ส่วนรถก็ซ่อมเสร็จแล้ว กำลังจะไปเอาหลังจากนี้

‘ช่วยมารับกูที่สนามบินหน่อยได้ปะ?’

“ห๊ะ ทำไมต้องไปรับ?” แปลกจนผมเผลออุทาน ร้อยวันพันปีไอ้ทอยไม่เคยเรียกให้ใครไปรับทั้งนั้น ถึงรถจะเสียมันก็เรียกคนที่บ้านตลอด หรือไม่ก็นั่งรถโดยสารกลับ

‘อยากเจอ’ อะไรนะ ผมแทบสำลักพิซซ่าที่ริวเพิ่งยักใส่ปากเมื่อครู่ ไอ้ทอยเมาเครื่องบินหรือเปล่าหรือมันเจ็ทแลค

“ให้โอกาสพูดใหม่อีกที” ผมถามย้ำเพราะแน่ใจว่าเมื่อครู่ฟังไม่ผิดแน่ๆ ว่าเพื่อนอยากเจอ แต่ที่ผ่านมาไอ้ทอยไม่เคยงอแง บางช่วงเคยเงียบหายไปจากสารบบเพราะตารางบินไม่ตรงกันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้พูดอะไรชวนขนลุก

‘ก็... รถกูเสีย อยากให้เพื่อนมารับ’ เหตุผลฟังไม่ขึ้น บ้านมันมีรถเกือบสิบคัน จะมาเสียพร้อมกันคงไม่ใช่ แล้วเพิ่งกลับมาจากบินไม่ใช่เหรอ ทำไมมึงทำตัวย้อนแย้งแบบนี้

“กูอยู่ไกล จะไปรับยังไง?” ผมคงไม่ลงทุนขับรถข้ามฝังเพื่อไปรับมันถึงสนามบินได้หรอก อีกอย่างเวลานี้จราจรติดขัดจนแทบอยากดับเครื่องนอนรอเชียวล่ะ

‘นั่นสินะ ลืมไปว่ามึงอยู่ไกลกูมาตั้งนานแล้ว’ น้ำเสียงตัดพ้อนั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ถึงไม่ได้คุยกันต่อหน้าแต่สัมผัสได้ว่าไอ้ทอยกำลังสื่อความหมายบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น อย่างเช่น ‘หัวใจเราอยู่ไกลกันมานานแล้ว’

กูขอเป็นคนโง่โดยที่ยังมีมึงอยู่ข้างกายแบบไม่ต้องระแวงได้ไหม? ผมว่าการแสดงออกของไอ้ทอยครั้งนี้ก็ยังกำกวมไม่ชัดเจนแต่เริ่มมีกลิ่นตุๆ ของการคิดไม่ซื่อเพิ่มเติม อาจจะแกล้งเพื่อความสนุกหรือหวั่นไหวเหมือนตอนโดนสาวๆ ทิ้งล่ะมั้ง ทุกวันนี้แค่หาวิธีอยู่ห่างจากพี่ยูก็ปวดหัวพอแล้ว

“ทอย... มึงกับกูพูดเรื่องเดียวกันอยู่ใช่ไหม?”

‘แน่นอน มึงนี่ถามแปลกๆ นะ’ มันตอบเสียงกลั้วหัวเราะแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้า เอาเป็นว่าผมจะมองข้ามเรื่องนี้ไป ไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนเพราะความคิดของตัวเองฝ่ายเดียว

“เออๆ กูต้องวางแล้ว ริวงอแงจะให้ป้อนพิซซ่า” เด็กน้อยทำเสียงงุ้งงิ้งแล้วชี้นิ้วไปที่พิซซ่าในจานของผมคล้ายขออนุญาตว่ากินได้หรือเปล่าเพราะพี่ยูบอกก่อนหน้านี้ว่าของน้าปัณณ์ ริวมารยาทดีได้พี่ป่านจริงๆ

‘มึง... อยู่กับพี่ยูเหรอ?’ น้ำเสียงขาดห้วงของไอ้ทอยทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบพิซซ่าในจาน ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บอกว่าอยู่กับพี่ยู ทำไมต้องถามแบบนี้ แต่เอาเถอะกูขอตอบความจริงเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง หวังว่ามึงคงไม่โกรธ

“อืม แค่นี้นะ” ผมแกล้งบอกไปแบบนั้นทั้งที่ถือสายรอว่าไอ้ทอยจะทำยังไงต่อไป

‘เดี๋ยว...’ เสียงรั้งอย่างตื่นตะหนกดังขึ้นจนทำให้ริวหันมาขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัย โธ่ ไอ้ทอย หูกูจะแตกแล้ว ได้ยินไปทั้งร้านเลยมั้งเนี่ย ขนาดพี่ยูยังแอบสะดุ้งเลย

“ว่าไง?”

‘กินข้าว... ให้อร่อยนะปัณณ์’ ถ้าเสียงสั่นขนาดนั้นสู้ตัดสายไปเลยดีกว่าไหม ทำไมต้องทนอวยพรด้วยล่ะ

“เออๆ มึงก็โบกแท็กซี่กลับบ้านซะ ถึงเมื่อไหร่ไลน์บอกกูด้วย แค่นี้นะ” ผมตัดบทเพราะไม่อยากคุยกับไอ้ทอยจนคิดอะไรมากไปกว่านี้ คำว่าเพื่อนสนิทที่เราใช้ร่วมกันมาตลอดหลายปีคงไม่มีทางสั่นคลอนอย่างแน่นอน ช่วงนี้วุ่นวายเรื่องพี่ยูจนสมองเบลอๆ กูขอโทษที่เผลอระแวงไปหน่อยแล้วกันเพื่อน

‘โอเคครับ’ คำตอบรับสุภาพนั่นคืออะไร ทำไมไอ้ทอยต้องทิ้งปริศนาเชาว์ไว้ให้คิดด้วยล่ะ เฮ้อ ช่างแม่งเถอะ กินเด็ก เอ๊ย กินพิซซ่าต่อดีกว่า

“เพื่อนโทรมาเหรอ?” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางตักสปาเก็ตตี้ใส่จานให้ ผมก้มหัวเพื่อขอบคุณความมีน้ำใจนั้น แอบยิ้มให้กับความอ่อนโยนเล็กๆ น้อยๆ ในดวงตาคู่คมสวยที่มองมา

“ครับ ไอ้ทอยน่ะ”

“อ๋อ กัปตันน่ะเหรอ?” พี่ยูพยักหน้ารับ เขาเป็นคนความจำดี ใส่ใจเรื่องของคนใกล้ตัวเสมอ ผมชอบนะ แต่บางทีก็เกลียด มีใครสับสนมากกว่านี้อีกไหม

“ใช่ครับ” ผมตอบก่อนจะตักสปาเก็ตตี้เข้าปาก ความอร่อยกำลังแผ่ซ่านไปทุกอณูของต่อมรับรสแต่ทุกอย่างกลับต้องชะงักเมื่อมืออุ่นๆ ของคนตรงหน้าเอื้อมมาป้ายคราบซอสตรงมุมปากด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติแถมด้วยการแลบลิ้นเลียปลายนิ้วเพื่อทำความสะอาด ปัณณ์มองภาพนั้นด้วยดวงตาสั่นไหวแม้แต่แรงจะประคองอาวุธในมือก็หดหาย บ้าจริง

ทำไมพี่ยูเป็นคนร้ายกาจแบบนี้ ทำทุกอย่างเหมือนปกติโดยไม่ตะขิดขะขวงใจว่าผมเป็นผู้ชายเลยสักนิด เขาไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นใจเต้นแรงแค่ไหนกับการกระทำสุดแทนธรรมดานั่น ถ้าหากว่าปัณณ์ตายแล้วฟื้นใหม่ได้ ครั้งนี้คงเป็นรอบที่ล้านแล้ว

“อ้าว พี่ปัณณ์” เสียงใสๆ ดังขึ้นทำให้ผมหันขวับไปหาเจ้าของ ใบหน้าหวานของคนในความคิดกำลังยิ้มกริ่มและเดินตรงมาทางนี้

“เฮ้ย กราฟ” ผมทักน้องด้วยใบหน้าปั้นยิ้มแต่ข้างในแล้วกลัวว่าเขาจะเห็นฉากระทึกใจเมื่อครู่

“คิดถึงพี่ปัณณ์จัง” กราฟคลี่ยิ้มหวานดูสบายๆ คงไม่เห็นเหตุการณ์นั้น ร่างบางขยับเข้ามาใกล้พลางเอื้อมมือมาแตะต้นแขน การได้สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ความคิดถึงจางลงแต่ทำไมกับพี่ยูยิ่งรู้สึกมากขึ้น...

“คิดถึงเราเหมือนกันครับ สอบเสร็จแล้วเหรอ?” กราฟคือเด็กนิเทศฯ ที่ผมนึกถึงบ่อยๆ รูปร่างหน้าตาของเขาตรงสเปคพวกสายรุกทั้งหลาย มีผู้ชายมากมายที่ตรงเข้าไปขายขนมจีบแต่ก็นก เพราะสาเหตุที่ว่าปัณณ์คือผู้ชนะ คุยกันแบบไม่มีสถานะยังไงก็ดีกว่าสำหรับคนรักสนุกอย่างเรา

“อื้อ เหนื่อยจะแย่ พี่ปัณณ์ไม่ให้กำลังใจกราฟเลย จะงอแงแล้วนะ” เด็กน้อยเบะปากงอแงด้วยท่าทางเง้างอน กราฟดูน่ารักจนผมอยากจับฟัดสักที ยิ่งเห็นร่องอกขาวที่โผล่พ้นสาบเสื้อนักศึกษาออกมา สัญชาตญาณดิบยิ่งพุ่งสูง กัดให้เป็นรอยสักทีดีไหม อ่อยเหยื่อเก่งเหลือเกิน

“ก็หนูไม่ยอมตอบไลน์พี่เลยนี่คะ” ผมถือวิสาสะจับมือเรียวนั่นแล้วช้อนตามองกราฟด้วยสายตาตัดพ้อ อยากจะตอกกลับให้หน้าหงายว่าพี่ส่งข้อความไปเป็นร้อยน้องก็ไม่อ่านเลย จะมางอนกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน แบบนี้มันต้องลงโทษให้น่วม หึหึ

“พี่ปัณณ์บ้า คะอะไรเล่า” กราฟเขินจนหน้าแดง ถึงปากจะด่าแต่ก็ยิ้มจนแก้มแตก เขาสะบัดมือหนีแต่กลับดันตัวเข้ามาชิดไหล่ของผม สะโพกตึงๆ ถูไถอย่างเชิญชวน หึหึ คืนนี้คงสนุกยันเช้าแน่นอน เจ้าเด็กนี่ยั่วเก่งจะตาย

ริวหนีไปนั่งกับพ่อแล้วคุยกันกระหนุงกระหนิงกันสองคนแต่ผมรู้ว่าพี่ยูเก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ เขาเป็นคนหวงน้อง แต่ก็มีลิมิตและเหตุผลแบบผู้ใหญ่

“เขินเหรอ?” ผมหยอดกราฟต่อหน้าพี่ยูเพื่อหวังว่าหลังจากนี้เขาจะยอมวางมือจากเรื่องย้ายคอนโดสักที ในจังหวะที่เหลือบตามองเขาก็ได้รับรอยยิ้มบางๆ จากฝั่งตรงข้าม คงรู้สึกยินดีที่ปัณณ์มีแฟน แต่เปล่าเลย นี่แค่คู่นอนคลายเหงา

“ก็ต้องเขินสิ” มือเรียวฟาดเข้ามาที่ไหล่ของผมอย่างหยอกล้อ กราฟบิดตัวไปมาเพราะเขินจริงๆ น่ารักดี แต่ก็รักไม่ได้

“โอ๊ะ แล้วนี่มากับใครเอ่ย?” ผมชวนกราฟเปลี่ยนเรื่อง เพราะอยากตัดบทความหวานละมุนนั่น เพราะกลัวว่าพี่ยูจะมองการแสดงออกแบบเมื่อครู่ว่าไม่เหมาะสม ก็ตอนนี้เราอยู่กลางร้านอาหาร

“เพื่อนๆ ครับ” กราฟคลี่ยิ้มแล้วชี้ไปทางเพื่อนผู้หญิงและผู้ชายประมาณอีกห้าคนซึ่งก็เป็นคนที่ผมรู้จักทั้งนั้น

“อ๋อ งั้นไว้พี่ไปหาที่หอคืนนี้นะ” ผมออกปากเมื่อเห็นว่าเพื่อนกราฟกำลังกวักมือ

“อื้อ จะรอนะครับ อ่า... สวัสดีครับ” ประโยคแรกพูดกับผมพร้อมเอื้อมมือมาดึงแก้มกัน ส่วนประโยคหลังหันไปพูดกับพี่ยูพร้อมยกมือไหว้อย่างมีมารยาทก่อนที่กราฟจะขอตัวแล้วเดินจากไป

“น้าปัณณ์ ใครหย๋อ?” เสียงเจื้อยแจ้วของริวดังขึ้นทันทีหลังจากคนแปลกหน้าเดินหายไป ดวงตากลมๆ จ้องกันนิ่งคล้ายบังคับให้ตอบ ผมเหลือบมองพี่ยูก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยคำโกหก

“แฟนน้าปัณณ์ครับ”

“หื้อ แฟนคือไย กินได้ไหม?” เจ้าเด็กแสบเอียงคอมองอย่างสงสัย ผมกับพี่ยูหลุดขำพรวดกับประโยคคำถามนั่น ริวห่วงกินเป็นอันดับหนึ่ง ห่วงเล่นเป็นอันดับสอง และห่วงนอนเป็นอันดับสาม เรื่องการเรียนอย่าไปพูดถึงมัน ทุกวันนี้ก็รู้เยอะเกินเด็กสามขวบแล้ว

“กินไม่ได้ครับๆ โคอิบิโตะไง รู้จักไหม?” พี่ยูอธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมที่กำลังกินไก่ย่างบาร์บีคิวถึงกับกลืนไม่ลงคอ เขาไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอวะ

“อ๋อๆ เหมือนป๊ากับป่านใช่ไหม? เขินจัง” เจ้าเด็กแสบบิดตัวไปมาพร้อมก้มหน้าหงุดแสดงความเขิน ผมมองว่าหลานน่ารักแต่หัวใจกลับรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ ปัณณ์ยังอิจฉาพี่ป่านอยู่อีกเหรอ ก็ตัดใจไปแล้ว ทำไมล่ะ... ไม่ชอบความสับสนแบบนี้เลย

“เก่งมากครับลูกชายป๊า” นั่นสินะ เก่งมากเลยริวน่ะ

พี่ยูจัดการจ่ายค่าเสียหายอย่างที่พูดไว้ในตอนแรก ซึ่งผมค้านว่าอยากช่วยออกบางส่วนแต่กลับโดนดุ เขาบอกว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องคิดเลี้ยงผู้ใหญ่หรอก ซื้อขนมให้ริวกินบ้างก็พอแล้ว

ผมอาสาจูงหลานเดินย่อยอาหารโดยมีพี่ยูเดินประกบอยู่อีกด้านไม่ห่าง ดูคล้ายครอบครัวสุขสันต์แต่ผิดตรงที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ น่าสมเพชที่เผลอคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตลกดีเนอะ ท่องไว้สิวะว่าเขาคือสามีของพี่สาวตัวเอง

“ป๊า ติมๆ อยากกิน ~” เจ้าเด็กน้อยสะกิดแขนพ่อยิกๆ แล้วชี้ร้านไอศกรีมแบรนด์ดังให้ดู

“ค่อยมากินใหม่เนอะ ตอนนี้เรากลับบ้านก่อนดีกว่า จะสองทุ่มแล้ว ริวไม่ง่วงเหรอครับ?” พี่ยูย่อตัวลงอุ้มลูกชายขึ้นแนบอกก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ริวกรอกตาแล้วใช้มือน้อยๆ เคาะข้างขมับเหมือนกำลังคิด แก่แดดจริงๆ เลยหลานน้า

“งือ ง่วงก็ได้” คำตอบนั่นทำให้พี่ยูหลุดหัวเราะก๊าก ส่วนผมทำเพียงคลี่ยิ้ม

“เจ้าตัวแสบ มันเขี้ยวจริงๆ เล๊ย” พี่ยูจับริวฟัดจนหนำใจแล้วหันมามองผมเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังเงียบกริบ จนเมื่อเดินถึงบริเวณลานจอดรถเขาจึงเอ่ยปาก

“ปัณณ์”

“ครับ”

“ให้พี่ไปส่งที่หอน้องกราฟหรือเปล่า?” คำถามเรียบๆ แต่ทำให้ผมถึงกับชะงักเท้า หัวใจเหมือนกำลังหยุดเต้นลงช้าๆ พี่ยูไม่ควรใจดีกับปัณณ์เรื่องนี้ เข้าใจไหมครับ...

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมเอารถที่อู่เพื่อนเสร็จค่อยไปหากราฟก็ได้”

“ดึกแล้ว เพื่อนคงไม่เปิดร้านรอปัณณ์อยู่หรอก”

“ผม...” จะเถียงพี่กลับยังไงดี ไม่อยากให้ทำเหมือนว่าดีใจที่ผมมีแฟน ทำไมไม่รู้สึกแย่หรือรั้งกันไว้ล่ะ ปัณณ์เกลียดตัวเอง เกลียดที่ยังหวังอะไรลมๆ แล้งๆ

ผมยอมแพ้แล้ว พี่ยูยังอยู่ในอกด้านซ้ายที่เดิมเสมอถึงแม้ว่าพยายามลืมเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกก็ถูกเจือจางด้วยความเจ็บปวดและวันเวลา มันบางเบา เลื่อนลอย ไม่มีรูปร่าง เป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ต่อจากนี้ไปปัณณ์ขอสัญญาว่าจะสร้างกำแพงให้แน่นหนากว่าเดิม ไม่เกิดรอยร้าวอีกแน่นอน เชื่อสิ

“ให้พี่ไปส่ง เดี๋ยวตอนเช้าจะไปรับ” พี่ยูเอ่ยเสียงเข้มเพราะผมกำลังแสดงท่าทางดื้อใส่ ดวงตาคมมีแววดุอย่างน่ากลัว โอเค ปัณณ์ยอมแค่ครึ่งทางก็แล้วกัน

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ ให้กราฟไปส่งที่ร้านก็ได้” ผมเสนอข้อต่อรองที่วินทั้งสองฝ่าย พี่ยูนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับแล้วส่งร่างป้อมๆ ที่หลับปุ๋ยในอ้อมกอดให้กับผม ถึงเวลาที่ต้องเผชิญความจริงส่วนต่อไปแล้วล่ะ หวังว่ากราฟจะช่วยเยียวยาความรู้สึกนี้ได้นะ



----------------------------------------------------


สงสารเจ้าปัณณ์น้อย สุดท้ายก็แพ้พี่ยูจนได้
ตาทอยนี่อะไรยังไงหื้อ? น้องกราฟนี่น่าฟัดจริงๆ เชื่อสิ
ส่วนริวมีความสุขที่สุดในเรื่องแล้ว 55555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2018 14:12:23 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 3 : ข้าวห่อไข่



สองอาทิตย์แล้วที่ผมขลุกตัวอยู่หอกราฟเพื่อกลบรอยร้าวของกำแพงความรู้สึกให้แน่นหนาเหมือนเดิม ทุกอย่างถูกเยียวยาด้วยคำว่าเซ็กซ์ไม่เว้นวัน เรามีความสุขอิ่มเอมจนแทบสำลัก แต่ทว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป สิ่งที่เรียกว่าความรัก...

แขนเรียวสวยพาดอยู่บนเอวสอบเปลือยเปล่า ร่างกายของเราแนบชิดกันโดยปราศจากเสื้อผ้า ถ้าเผลอขยับตัวนิดหน่อยคงปลุกอารมณ์ความต้องการได้ง่าย อย่างเช่นตอนนี้ที่กราฟใช้ศีรษะถูไถยอดอกของผม จะให้คิดว่าละเมอคงเป็นไปไม่ได้เพราะหน้าสวยๆ ของเขาประดับรอยยิ้มกริ่มขนาดนี้ เด็กช่างยั่ว ต้องลงโทษให้เข็ด

“ยั่วเหรอ?” ผมถามเสียงต่ำแล้วขยับมือลูบไล้ไปตามผิวเนียน เด็กในอ้อมแขนช้อนตามองก่อนจะบดเบียดร่างกายเข้ามาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม ต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนในการพูดคุยกับกราฟให้จบเรื่อง

“เปล่าซะหน่อย กราฟแค่หนาว” วงแขนนุ่มนิ่มกระชับกอดมากยิ่งขึ้นก่อนใช้ใบหน้าหวานๆ ถูไถกับหน้าอกของผมจนรู้สึกร้อนผ่าว สัญชาตญาณดิบถูกปลุกขึ้นแล้ว กราฟต้องรับผิดชอบ หนาวมากใช่ไหม เดี๋ยวจะทำให้เหงื่อตกเลย คอยดู

“อยากให้พี่ ‘กอด’ แรงๆ ก็บอกสิครับ” ผมก้มลงกระซิบข้างหูแล้วใช้ปลายลิ้นชื้นลากเลียไปตามแนวลำคอขาว กลิ่นสบู่หอมละมุนยังคงติดผิวกายของกราฟอยู่ อยากกัดให้จมเขี้ยวแสดงความเป็นเจ้าของแต่ถ้าทำแบบนั้นคงไม่แฟร์กับน้องเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของเราก็แค่คู่นอนเท่านั้น ห้ามรู้สึก

“บอกตรงๆ ก็ไม่เร้าใจสิครับ” เสียงหวานมาพร้อมกับสายตายั่วยวน สัมผัสแผ่วเบาตรงปลายคาง นิ้วเรียวที่ลากไล้ไปตามแผ่นอกอย่างเชื่องช้า ทุกสิ่งนั้นทำให้ผมหมดความอดทน ตอนแรกกะว่าจะปรานีเพราะกราฟมีนัดไปเที่ยวกับเพื่อนช่วงสาย แต่ถ้ายั่วกันขนาดนี้คงปล่อยไม่ได้

ความสำราญเริ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าและค่อยๆ ทวีความเร้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิร่างกายและอากาศด้านนอก เสียงครางอื้ออึงสลับกับเสียงเนื้อกระทบเนื่อทำให้ใบหน้าของกราฟแดงระเรื่อ ด้วยความมั่นเขี้ยวผมเลยบดริมฝีปากลงในตำแหน่งเดียวกัน สอดลิ้นแหวกว่ายเก็บเกี่ยวความหวานภายใน ดูดดุน ขบเม้ม ละเลียดเลียจนพอใจแล้วค่อยผละออก สุขใดเล่าจะเท่าการมีเซ็กซ์กับคนที่ตัวเองพึงพอใจ

ผมทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กราฟหลังจากเราเสร็จภารกิจในรอบเช้า นาฬิกาตั้งโต๊ะบอกเวลาเจ็ดโมงแล้วแต่ร่างกายยังไม่พร้อมออกไปทำงาน มันทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ถ้าถามถึงเหตุผลคงตอบได้เพียงแค่ว่า ‘ปัณณ์... ดุมาก’ เหมือนไปตายอดตายอยากที่ไหนมา ก็คนยังหนุ่มยังแน่น คึกก็ไม่แปลกหรือเปล่า

Rrrrr

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบลืมตาแล้วควานมือหามันจนเจอ ชื่อที่เห็นอยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่น ไอ้ทอยโทรมาเช้าขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือแค่ละเมอวะ แปลกใจ จะปล่อยให้สายตัดก็คงไม่ดี

“มีอะไร?” ผมรับสายด้วยคำถามเพราะปกติแล้วไอ้ทอยไม่เคยโทรมาเช้าขนาดนี้ในวันที่ไม่มีตารางบิน เอาแต่นอนอุตุกินบ้านกินเมืองหรือไม่ก็กกสาวจนลืมเพื่อนฝูงเสมอ แต่พักหลังมานี่รู้สึกว่ามันทำตัวแปลกไป ดูเหมือนมันจะหันมาใส่ใจปัณณ์มากขึ้น

‘พูดจาห่างเหินจังวะ’ คำตัดพ้อที่ไม่รู้ว่าจริงจังหรือแค่ล้อเล่นดังขึ้นในขณะที่กราฟขยับตัวเข้ามาคลอเคลียเหมือนลูกหมาขี้อ้อน อยากจะวางสายแล้วเข้าตะลุมบอนอีกรอบเหลือเกิน สนุกกว่าคุยกับไอ้ทอยเยอะ

“ก็มึงโทรมาซะเช้า” ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติเมื่อโดนกราฟดูดดึงหน้าอกอย่างแรง เจ้าเด็กคนนี้คงหมั่นไส้ที่ใช้เวลาคุยโทรศัพท์ต่อหน้า เขาเริ่มคลอเคลียกันมากขึ้นจนต้องเม้มปากไว้แน่น ถ้าเผลอร้องครางออกไปไอ้ทอยต้องแซวแน่นอน ปากหมาไม่มีใครเกิน

‘ถ้าไม่มีอะไรกูโทรหาไม่ได้เลยใช่ไหม?’ ปลายสายเริ่มดึงบทสนทนาเข้าโหมดดราม่าจนผมต้องขอเวลานอกจากกราฟเพื่อคุยโทรศัพท์ให้จบ ถ้ายังนอนนัวเนียกันอยู่แบบนี้คงได้ทะเลาะกับไอ้ทอยแน่ๆ

“กูว่าอะไรสักคำหรือยังเนี่ย ดราม่าเพื่อ?” ผมหยิบผ้าขนหนูมาพันรอบเอวแล้วเดินออกไปคุยตรงระเบียง แสงแดดของเดือนมีนาคมช่างร้อนแรงจนผิวแทบไหม้ นี่ขนาดช่วงเช้า ถ้าเป็นช่วงสายไม่ต้องพูดถึงเลย ละลายกลายเป็นน้ำแน่ๆ

‘ล้อเล่นน่า ตอนนี้มึงอยู่ห้องไหมอะ?’ ไอ้ทอยเปลี่ยนน้ำเสียงแต่ผมยังคงขมวดคิ้วอยู่เหมือนเดิม รู้สึกช่วงนี้อารมณ์มันขึ้นๆ ลงๆ ยังไงไม่รู้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

“ถามทำไม?” ผมใช้เวลาว่างเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ วันนี้จะกลับไปนอนคอนโดให้หนำใจสักทีเพราะอยู่กับกราฟไม่สามารถปลีกตัวหนีไปเล่นเกมหรือตามโซเชี่ยลอะไรได้เลย น้องมันคอยแต่จะยั่วอารมณ์อยู่เสมอ

‘จะชวนไปกินข้าวต้มหมูทรงเครื่อง’ ผมชะงักมือที่กำลังจะคว้ากางเกงยีนส์เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ สมองเริ่มประมวลผลสิ่งที่เพื่อนกระทำแล้วพบว่าเหตุการณ์ตอนนี้ไอ้ทอยไม่ปกติเป็นอย่างมาก แต่ก่อนไม่เคยขยันตื่น ไม่เคยกินข้าวเช้า หรือถ้ากินก็ไปกับสาวในสต็อก

“มึงลืมกินยาปะ? ถ่อสังขารจากบ้านมาชวนกูกินข้าวเช้าเนี่ยนะ”

‘ไม่ได้เจอกันเกือบเดือนแล้วนะ ไม่คิดถึงกูเหรอ?’

“จะคิดถึงทำไมวะ มึงไม่ได้น่าพิศวาสสักหน่อย” ผมเบ้ปากใส่โทรศัพท์ทั้งที่รู่ว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้แล้วเริ่มเก็บเสื้อผ้าต่ออีกครั้ง ดวงตาคมเหลือบไปเห็นว่ากราฟกำลังพาสังขารเปลี้ยๆ เข้าห้องน้ำแล้วนึกสงสารและอยากขอโทษที่รุนแรงด้วย แต่ช่างมันเถอะ อ่อนโยนไปอาจจะทำให้น้องคิดว่าเราให้ความหวัง

‘นี่เพื่อน จำไม่ได้เหรอ?’

“เออ จำไม่ได้ วันนี้กูไม่สะดวกไปกับมึง” ผมหอบเสื้อผ้าเข้าห้องแล้วกองไว้บนเตียง หนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ก่อนจะเริ่มพับผ้าใส่กระเป๋าเป้ ที่บอกว่าไม่สะดวกก็เพราะว่าหอของกราฟอยู่ใกล้ร้านพี่ยูก็เท่ากับมันต้องขับรถจากดอนเมืองถึงรังสิต ไกลเว่อร์มาก ต่างคนต่างหาข้าวกินเองเถอะ

‘ได้ไงวะ ทำงานตั้งเก้าโมงไม่ใช่เหรอ?’ คำถามเซ้าซี้ของไอ้ทอยทำให้ผมลอบถอนหายใจ มันไม่ใช่คนจู้จี้โดยพื้นฐานแล้วมาทำตัวแบบนี้ก็มีพิรุธสิ ถ้าจะเก็บเป็นความลับก็ให้เนียนหน่อย ครึ่งๆ กลางๆ มันน่าอึดอัด

“ใช่ แต่กูไม่ได้อยู่คอนโด”

‘อยู่ที่ไหน?’ ไอ้ทอยถามเสียงแข็งแล้วตามมาด้วยเสียงสบถไม่เป็นภาษา ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง เพิ่งเคลียร์หัวใจเรื่องพี่ยูไปยังต้องมาเจอศึกเพื่อนสนิทอีกเหรอ เป็นเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย ทำตัวน่าขนลุกเข้าไปทุกวัน

“อยู่หอน้องกราฟ” ผมเตะกระเป๋าเป้ลงจากเตียงแล้วม้วนตัวเข้าผ้าห่มอีกครั้ง อยากนอนต่อแล้ว ขี้เกียจตอบคำถามบ้าๆ ของมันเต็มทน ตั้งแต่ปัณณ์ลาออกจานเก่าแล้วมาทำงานกับพี่ยู ไอ้ทอยก็ทำตัวประหลาดมาตลอด สรุปว่าแค่หวงเพื่อนหรือคิดไม่ซื่อกันแน่ ถ้าคุยกันตรงๆ จะไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนี้ ชักเริ่มสับสน

‘ปัณณ์... มีงนอนกับกราฟเหรอ?’ คำถามขาดห้วงที่ไม่รู้ว่าคนพูดทำสีหน้าแบบไหน แต่พอจะเดาได้รางๆ คงกำลังเบิกตาโตไม่ก็เบะปากใส่โทรศัพท์

“เออดิ จะให้กูมาเล่นหมากเก็บกับน้องเขาหรือไง?” ผมดีดผ้าห่มออกจากตัวแล้วตัดสินใจว่าจะไปอาบน้ำพร้อมกับกราฟเพราะเมื่อครู่น้องโผล่หน้ามากระดิกนิ้วเชิญชวนทั้งที่ตัวเต็มไปด้วยฟองสีขาว ไปช่วยกันถูหลังคงเสร็จเร็วดี หึหึ

‘นั่นสิเนอะ งั้นกูก็ต้องกลับบ้านใช่ไหม?’ พูดอะไรของมัน

“เดี๋ยว... มึงอยู่คอนโดกูเหรอ?”

‘อื้อ นั่งอยู่ตรงล็อบบี้’ ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ คิดจะไปก็ไปก็ได้เหรอ เซอร์ไพร์สมากมั้ง ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนั้นแล้วผมจะเผลอใจอ่อน หรือที่ทำเพราะรู้ว่าสุดท้ายเรื่องคงลงเอยแบบนี้ โธ่เว้ย

“สัด! เฮ้อ เที่ยงไปกินข้าวที่ร้านพี่ยูด้วยกัน” ผมบอกมันอย่างจำยอม ถ้าลงทุนถ่อสังขารมาถึงคอนโดแล้วก็ช่วยกรุณาขับรถต่อจนถึงร้านนัทสึก็แล้วกัน อยากกินข้าวด้วยนักใช่ไหม ได้เลยไอ้ทอย

‘รับทราบ มึงเลี้ยงนะ’ ไอ้ทอยพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนที่สัญญาณจะตัดหายไป ผมผละโทรศัพท์ออกจากตัวด้วยความหงุดหงิดก่อนจะโยนมันลงบนเตียงแล้วสบถด่าตามหลัง เจอหน้าเมื่อไหร่ขอกระโดดถีบเป็นอันดับแรกเลยแล้วกัน

ผมจัดการอาบน้ำพร้อมกับกราฟอย่างเชื่องช้าเพราะโดนยั่วเข้าไปอีกรอบ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมง ตอนแรกว่าจะไปส่งน้องที่ห้างแต่สุดท้ายก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วขับรถตรงไปที่ร้านนัทสึ ถ้าไปทำงานสายเกรงว่าคราวนี้คงโดนตัดเงินเดือนแน่นอน

การจราจรช่วงเช้าแทบเป็นอัมพาต รถขยับได้แค่ครั้งละนิดแข่งกับเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่ แต่ดีหน่อยที่หอกราฟกับร้านพี่ยูไม่ได้ไกลกันมากผมเลยถึงที่หมายในเวลาทำงานเป๊ะๆ แบบไม่ขาดไม่เกิน

“น้าปัณณ์มาแย้ว!” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน ร่างป้อมๆ พุ่งตรงมากอดขากันไว้แน่น ความตั้งใจที่จะยกมือไหว้พี่ยูเป็นอันดับแรกก็ต้องพับเก็บเพราะริวกางแขนเป็นสัญญาณให้อุ้มซะแล้ว เจ้าตัวแสบเหมือนเด็กติดแม่เข้าไปทุกวัน

“ฮึบ สวัสดีครับริว สวัสดีครับพี่ยู” ผมเอ่ยทักทายเด็กในอ้อมกอดก่อนหันไปคลี่ยิ้มให้พ่อเด็กที่ยืนส่ายหัวกับความขี้อ้อนของลูกชาย สงสัยจริงๆ ว่าได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร พี่ยูก็ไม่น่าจะใช่ ยิ่งพี่ป่านตัดทิ้งไปได้เลย รายนั้นแมนกว่าผู้ชายอีกมั้ง แต่เวลาเขาอยูาด้วยกันสองคนอาจจะเป็นอีกแบบ...

“คิดถึงจัง ฟอด ~” ริวขโมยหอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนจะหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ แขนเล็กๆ คล้องไว้ที่ลำคอ พี่ยูถึงกับเบ้ปากใส่ลูกชาย คงรู้สึกน้อยใจล่ะมั้ง โธ่ อย่างอแงนะครับคุณพ่อ

“แอบขโมยหอมแก้มน้าปัณณ์เหรอเจ้าแสบ?” พี่ยูเอื้อมมือมาขยี้หัวริวจนยุ่งเหยิงก่อนโน้มตัวให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วรอฟังคำตอบจากริวด้วยใจจดจ่อ อยากรู้ว่าจะตอบยังไง เจ้าเด็กแก่แดด (แอบเปลี่ยนฉายาให้หลานไปอีก)

“นุ่มๆ เหมือนมาร์ชเมลโล่” ริวฉีกยิ้มกว้างแล้วยืนยันคำพูดด้วยการหอมแก้มของผมอีกครั้งหนึ่ง พี่ยูได้แต่หัวเราะร่าพยักหน้ารับคำลูกชายก่อนจะใช้มือบีบจมูกน้อยๆ อย่างมันเขี้ยว

“เจ้าเล่ห์นักนะ”

“คิกๆ ป๊าขี้อิจฉา ~” เจ้าตัวแสบแลบลิ้นใส่พี่ยูแล้วเอนตัวหลบมือใหญ่ที่กำลังเอื้อมมาดึงแก้ม ผมสะดุ้งเฮือกก่อนรีบประคองริวเอาไว้ ถ้าพลาดหล่นตุบลงไปบนพื้นคนซวยจะเป็นปัณณ์แบบไม่ต้องสงสัย

“อิจฉาอะไรครับ? ไหนพูดให้เคลียร์สิ” พี่ยูจ้องหน้าริวแต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ เพราะตำแหน่งสายตามันอยู่ระดับเดียวกันทั้งสามคน ไอ้ความรู้สึกที่สลัดทิ้งไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนกำลังจะย้อนกลับมาหรือเปล่า แต่คงไม่หรอก มันเป็นเพียงความกลัวการตกหลุมรักอีกครั้งก็เท่านั้นเอง

“ป๊าก็อยาก... หอมแก้มน้าปัณณ์ ใช่ม้าๆ” เจ้าตัวแสบหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีโดยที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ กลับเบิกตาโตด้วยความตกใจ ผมกระอักกระอวนไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนแต่กลับสะดุดที่ริมฝีปากของพี่ยู มันดูหน้าจูบมากกว่าใช้หอมแก้ม... ฉิบหาย ต้องห้ามคิดแบบนั้นสิ

“เฮ้ย เอาอะไรมาพูดครับริว เดี๋ยวน้าปัณณ์เข้าใจผิด” พี่ยูโวยวายแล้วรีบใช้นิ้วแตะปากเจ้าตัวเล็กคล้ายห้ามพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา สีหน้าเขาดูตกใจมากกว่าจะดุลูก ดวงตาคมเหลือบมองผมเป็นระยะคงอยากอธิบาย ปัณณ์รู้ดีว่าในสมองโตๆ ไม่มีความคิดแบบนั้นหรอก

“อ้าว ป๊าไม่อยากหอมน้าปัณณ์เหยอ?” ริวเอียงคอถามผู้เป็นพ่อสลับกับเอานิ้วเล็กๆ จิ้มแก้มของผมที่ตอนนี้คงแดงเถือกไปแล้ว ทั้งที่พยายามไม่รู้สึก แต่สุดท้ายมันก็เขินอย่างช่วยไม่ได้ ก็มันใช่เรื่องปกติที่ไหนโดนเด็กพูดแบบนั้นใส่ เห็นน้าปัณณ์เป็นแม่ป่านหรือไง

“ครับ ป๊ากับน้าปัณณ์เป็นผู้ชาย เขาไม่หอมแก้มกัน” น้ำเสียงพี่ยูจริงจังจนผมแอบรู้สึกใจเสีย หรือเขาไม่ชอบความรักแบบเพศเดียวกันแต่ไม่แสดงออกเพราะปัณณ์เป็นแบบนั้น...

“ริวก็เป็นผู้ชาย ~” เด็กน้อยตีมือลงบนอกตัวเองเพื่อบอกว่าเขาก็เป็นผู้ชาย พี่ยูถึงกับหลุดขำแล้วอุ้มริวออกจากอ้อมกอดของผม

“ริวเป็นเด็ก หอมน้าปัณณ์กับป๊าได้ครับ แต่ถ้าโตแล้วหอมไม่ได้นะ เข้าใจไหม?” จบคำพูดปากหยักก็ประทับลงบนแก้มกลมนั่นอย่างแรง ริวหลับตาปี๋ก่อนขยับหนีคงเจ็บที่โดนไรหนวดทิ่ม พี่ยูลุคนี้เพิ่มความแบดบอยขึ้นเป็นเท่าตัว ไหนวันนี้จะแต่งตัวด้วยโทนสีดำอีก เท่ไม่มีที่ติ

“อ๋อ วาการิมัส ~” (เข้าใจแล้ว) เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักจนแก้มกลมๆ สั่น ผมหลุดยิ้มให้กับความน่ารักนั่น กะว่าจะเอื้อมมือไปขยี้หัวริวสักหน่อยแต่โดยเสียงทุ้มขัดไว้ซะก่อน

“ขอโทษน้าปัณณ์ด้วยครับ” พี่ยูเหลือบมองผมแล้วคลี่ยิ้มบางให้ ที่จริงแล้วริวก็พูดไปตามประสาเด็ก เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่เพื่อการสอนสิ่งที่ควรหรือไม่ควรก็คงห้ามคนเป็นพ่อไม่ได้ เอาเถอะ ขอโทษมาก็แค่ให้อภัยกลับไป ไม่มีอะไรดราม่าแน่นอน

“โกะเมนนะไซฮับ” (ขอโทษครับ) ริวก้มหัวตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นก่อนจะยกมือไหว้ตามวัฒนธรรมไทย ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้ผมโกรธไม่ลง น่าขยำขยี้เพราะมันเขี้ยวมากกว่า

“ไม่เป็นไรครับ” ผมจับแก้มกลมทั้งสองข้างของหลานยืดออกแล้วคลี่ยิ้มสดใสไปให้ ริวรับรู้ว่าได้รับการให้อภัยเลยโน้มตัวมาให้อุ้มแทน จะอยู่กับพี่ยูสักห้านาทีไม่ได้เลยเหรอหืม นี่ถ้าเป็นหนุ่มๆ น้าคงจีบไปแล้ว ทำตัวน่ารักขนาดนี้น่ะ (กับหลานก็ไม่เว้น)

“ปัณณ์ อย่าถือสาหลานเลยนะ” พี่ยูอุ้มริวไปวางไว้ในคอกกั้นเด็กแล้วหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาคงกลัวว่าจะโดนโกรธสินะ แต่ความรู้สึกของปัณณ์ดันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง หรือง่ายๆ ก็คือมันสับสนจนเลือกไม่ได้ เขิน ดีใจ เสียใจ อึดอัด

“ครับ ผมชิวๆ” แต่สิ่งที่ผมแสดงออกคือรอยยิ้มปั้นแต่งอย่างดี เวลาสองอาทิตย์ที่เอาไปใช้ร่วมกับกราฟเหมือนไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่เมื่อโดนสิ่งที่เรียกว่าพี่ยูสะกิดแผลเก่า หรือว่าปัณณ์ต้องลองเป็นเมียคนอื่นวะ ความรู้สึกหวั่นใจนี่ถึงจะหายไปสักที

“อื้ม แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง?” เขาย่อตัวลงเพื่อขยี้หัวเจ้าลูกชายที่ทำตาปริบๆ เกาะคอกกั้น เจ้าตัวเล็กพยายามปีนตังพี่ยูออกมาจากตรงนั้น ดูท่าทางคงอยากวิ่งเล่นมากกว่า

“ยังเลยครับ” ผมตอบกลับในขณะที่สายตาดันโพกัสไปที่แผ่นหลังกว้าง ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นจนต้องส่ายหน้าไล่มันออกไปจากหัว คิดอะไรแบบนั้นไม่ได้นะปัณณ์ อยู่ๆ อยากซบก็ได้เหรอวะ สงสัยคงเกิดจากอาการง่วงสะสมล่ะมั้ง

“งั้นมากินด้วยกันสิ พี่เพิ่งเตรียมขนมปังปิ้ง ไข่ดาวกับนมสดเสร็จพอดี” พี่ยูผายมือไปทางโต๊ะกลมริมสุดของร้าน อาหารมากมายเรียงรายอยู่บนนั้นเหมือนตั้งใจทำเผื่อกันอยู่แล้ว กินมื้อเช้าด้วยกันคงไม่เป็นอะไรมั้ง

“ครับ ขอรบกวนด้วยนะ”

ผมนั่งฝั่งตรงข้ามกับพี่ยูโดยมีเจ้าแสบอยู่บนตัก ครั้นจะดุก็ไม่กล้าเพราะหลานเอาแต่จะเบะปากร้องไห้ สุดท้ายเลยจบในสภาพนี้ ตกลงว่าลืมคนเป็นพ่อไปแล้วใช่ไหม เกาะน้าแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกซะอีก เด็กหนอเด็ก ทำเป็นเห่อของใหม่ไปได้ เดี๋ยวนานไปก็เบื่อกัน เชื่อเถอะ

“อิตาดาคิมัส!” เสียงเจื้อยแจ้วของริวดังขึ้นทำให้ผมกับพี่ยูหลุดหัวเราะพร้อมกันแล้วเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้า จัดการหั่นไข่ดาวกับขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ ให้หลาน ส่วนพี่ยูแค่นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟดำใส่ส้มหั่นแว่น

“จิ้มๆ” ริวชี้นิ้วไปที่ไข่ดาวในจานของผม คงอยากเอาส้อมจิ้มให้มันเยิ้มๆ เหมือนในโทรทัศน์

“ห้ามจิ้มครับ” ผมแกล้งเจ้าเด็กน้อยด้วยการขยับจานหนี แก้มกลมๆ ป่องขึ้นทันตาเห็น อยากหยิกสักทีแต่รอดูปฏิกิริยาต่อไปดีกว่า

“งือ ริวอยากจิ้ม” เริ่มเบะปากแล้ว ผมต้องยอมให้หลานจิ้มไข่แดงใช่ไหม

“จิ้มของตัวเองสิครับ” พี่ยูวางแก้วกาแฟลงแล้วจ้องลูกชายเขม็ง ริวเริ่มเค้นน้ำตาออกมาก่อนที่มันจะไหลลงบนแก้ม ผมรีบดึงส้อมออกแล้วกอดหลานไว้แน่นพลางโยกตัวเบาๆ เพื่อปลอบ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องดุด้วยวะ ปัณณ์ไม่เข้าใจ

“ป๊าใจร้าย...” ริวพูดเสียงเครือก่อนจะหมุนตัวมาซบหน้าที่อกของผมส่วนหางตายังเหลือบมองคนเป็นพ่อ ปัณณ์พยายามส่งสายตาให้พี่ยูหยุดทำท่าทีขึงขังแต่เขาไม่ให้ความร่วมมือ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย รอดูต่อไปแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ทำลายของคนอื่นนิสัยไม่ดี เข้าใจไหม? ถ้าริวจิ้มไข่แดงแตก น้าปัณณ์จะเสียใจ” พี่ยูมองผมแค่ครู่เดียวก่อนจะเอื้อมมือมาจับแก้มกลมๆ ของริวไว้ คงเป็นการส่งถ่ายความรู้สึกระหว่างสองพ่อลูก เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเขาอยากสอนลูกเรื่องนี้

ริวนิ่งไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังใช้สมองน้อยๆ คิดทบทวนเรื่องที่ได้ทำลงไป เจ้าตัวแสบเม้มปากแน่นก่อนพยักหน้ารับคำ ทุกอย่างจบลงด้วยการที่หลานขอโทษผมและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ทางด้านพี่ยูยิ้มอย่างพอใจที่สามารถสอนลูกให้เข้าใจได้ ถือว่าเก่งทั้งคู่ น่านับถือจริงๆ

หลังจากที่พวกเราจัดการมื้อเช้าเรียบร้อยผมอาสาเป็นคนเก็บจานไปล้างโดยมีผู้ช่วยตัวน้อยคอยเดินตามต้อยๆ จะไล่ให้ไปเล่นคนเดียวก็สงสารให้เป็นลูกเป็ดเดินตามแม่แบบนี้คงดีกว่า

พี่ยูเริ่มเตรียมวัตถุดิบอยู่ไม่ไกล วันนี้เรามีเมนูแนะนำประจำวันเป็นข้าวห่อไข่สุดฮิตที่มีขั้นตอนการทำไม่ยากแต่สำหรับผมทุกอย่างที่เรียกว่าอาหารญี่ปุ่นนั้นยากเสมอเพราะเครื่องปรุงเยอะ วัตถุดิบเยอะ ไม่รู้ว่าต้องใส่อะไรเท่าไหร่ เคยพยายามเรียนทำอยู่หลายครั้งแต่ล้มเหลว จนสำเหนียกได้ว่าควรรอกินอย่างเดียวคงดีกว่า

“พี่ยูครับ” ผมเอ่ยเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ข้าวๆ ในขณะที่หยิบจานใบสุดท้ายขึ้นจากซิงค์ล้างจาน พี่ยูชะงักมือแล้วเงยหน้ามองกันพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับ?”

“ตอนเที่ยงผมชวนไอ้ทอยมากินข้าวที่ร้านนะ” ผมวางจานลงบนตะแกรงแล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน เหตุผลที่ต้องบอกกล่าวเขาไว้ก่อนนั้นคือเราอาจจะได้สิทธิพิเศษเป็นของหวานล้างปากโดยไม่ต้องเสียเงินหรือได้ส่วนลดต่างจากลูกค้าคนอื่น ไม่ใช่ว่างกแต่อยากเอาคืนไอ้ทอย มีอย่างที่ไหนแกล้งให้ปัณณ์จ่ายคนเดียวล่ะวะ

“โอเค เดี๋ยวพี่จะแสดงฝีมือขั้นเทพให้ได้กินกันเลย” พี่ยูยิ้มอย่างใจดีก่อนจะเริ่มลงมือซอยต้นหอมญี่ปุ่นต่อ สกิลการใช้มีดของเขานับว่าอยู่ในระดับสูง ทั้งความเร็วและความแม่นยำสามารถให้คะแนนสิบเต็มสิบได้เลย ถ้าเป็นผมนิ้วอาจเป็นแผลไปแล้ว ทำอาหารเป็นใช่ว่าเรื่องอุปกรณ์จะเป๊ะ

“มันมัดมือชกให้ผมเลี้ยงอะ” อันนี้ผมยอมรับว่าตั้งใจฟ้องพี่ยูอย่างจริงจัง เรื่องเลี้ยงเพื่อนไม่มีปัญหาแต่ไอ้ทอยเป็นคนที่กินจุมากถึงมากที่สุด สามารถกินข้าวห่อไข่ห้าจานแล้วตามด้วยราเมนร้อนๆ อีกสามชาม เกี๊ยวซ่า ทาโกะยะกิ ปลาดิบ ซูชิ และอีกหลายอย่างในมื้อเดียว โคตรอึ้งที่มันไม่อ้วนเลย คงเป็นเพราะเข้าฟิตเนสหลักล่ะมั้ง

“ไม่ต้องจ่ายเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง เนื่องในโอกาสจะได้เจอกัปตันทอยตัวเป็นๆ สักที” พี่ยูยิ้มพร้อมกับยักคิ้วจึกๆ ประกอบคำพูด ผมหลุดหัวเราะแล้วพยักหน้ารับ ถึงจะเกรงใจแต่การที่ผู้ใหญ่ออกปากแบบนั้นเราก็ควรทำตามใช่ไหม ขัดไปก็เท่ากับว่าเป็นเด็กมารยาทไม่ดี ปัณณ์ไม่ได้หัวหมอนะสาบานเลย

“เปย์อีกแล้วนะพี่ยู” อดที่จะกัดเขาไม่ได้ พี่ยูสายเปย์ตัวจริงเสียงจริง ตั้งแต่รู้จักกันมาถ้าไม่ออกปากขัดบ้างผมคงดูเหมือนเด็กเสี่ยไปแล้ว เพราะไม่ว่าทำอะไร ดูหนัง กินข้าว ซื้อของ เขาจะออกตัวจ่ายให้เสมอ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กชายปัณณ์ในตอนนั้นปลื้มคนๆ นี้มาก

“เพราะทอยเป็นเพื่อนปัณณ์ไง พี่เลยอยากดูแลไปด้วย” พี่ยูมาโหมดซึ้งทำให้ผมที่หวังผลลัพธ์แบบกวนๆ ถึงกับไปไม่เป็น ทุกครั้งที่เขาพูดนั้นจะให้ความสำคัญกับปัณณ์เสมอ ไอ้อาการหวั่นไหวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่คิดว่าตัดใจได้แล้วนั้นมันมีสาเหตุมาจากเขา อยากเกลียดความอ่อนโยน ความอบอุ่น แต่ไม่เคยทำได้เลย

“ผมไปทำงานต่อแล้วนะ” ตอนนี้มีทางเดียวคือผมต้องพาตัวเองออกห่างจากเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดี๋ยวอะไรๆ มันก็คงดีขึ้นเอง




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
วันนี้ลูกค้า (ผู้หญิง) เข้าร้านมากกว่าปกติเพราะเป็นวันแรกที่ร้านมีการร้องเพลงเล่นดนตรีสดในเวลาเที่ยงตรง ผมและพี่ยูเป็นคนทำหน้าที่ มันเหมือนเป็นการคืนกำไรอย่างหนึ่ง คงมีหลายคนชอบโดยเฉพาะสาวๆ บางคนถึงขนาดพกกล้องถ่ายรูปมาเก็บภาพ นี่เขาดังกว่าดาราหรือเปล่าวะ สาบานว่านั่นคือคุณพ่อลูกติดวัยสามสิบเจ็ดปี อะไรจะฮอตขนาดนั้น

“ตื่นเต้นเหรอ?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมอง ปลายจมูกของเราแตะกันเพียงครู่เดียวก่อนจะผละออก ทำไมพี่ยูต้องเข้ามายืนใกล้ขนาดนี้ด้วยวะ หัวใจเต้นแรงเป็นบ้า

“ปะ เปล่าครับ แค่ไม่เคยร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ขนาดนี้” ผมเบนหน้าหนีแล้วจิกมือลงบนวงกบประตูแน่น กะว่าจะโผล่หัวออกมาดูจำนวนลูกค้าสักหน่อยเพื่อลดความประหม่าแต่พี่ยูกลับทำให้สมาธิกระเจิงมากกว่าเดิม แม่ง ไอ้ทอยอยู่ไหน มึงควรมาช่วยกูได้แล้ว

“ปกติร้องจีบหนุ่มๆ สาวๆ ที่ตัวเองชอบสินะ” พี่ยูเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงระรื่น เขาคงไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่เหมือนผม ตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกได้เลย ขนาดใช้มือขยำเสื้อ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่เปล่าประโยชน์ ทำไมกัน ก็ลบความรู้สึกนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ

“อีกห้านาทีจะเที่ยงแล้ว เตรียมตัวกันเถอะครับ” ผมเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นเพราะความจริงแล้วไม่มีใครคนไหนที่เคยได้ฟังนอกจากครอบครัวและพี่ยู เพลงที่เลือกมาในวันนี่เหมือนการย้อนอดีตกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความรู้สึกในตอนนั้น มันช่างเจ็บปวดแต่สวยงามตามแบบฉบับของคนแอบชอบ

“อื้ม เพลงที่ปัณณ์เลือกเพราะดีนะ” พี่ยูถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วหยิบกีตาร์ที่พิงหลังเค้าน์เตอร์แล้วเดินนำหน้าผมไปที่เก้าอี้ตัวสูงหน้าบาร์ทำอาหาร เนื่องด้วยร้านไม่ได้มีขนาดใหญ่เลยไม่ต้องใช่ไมค์ให้ยุ่งยาก ถือว่าร้องเพลงสดจริงอะไรจริง

ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าปอด เพลงที่เลือกในวันนี้คือ ‘มุม’ ของวง Playground มันเพราะอย่างที่พี่ยูชมจริงๆ แต่ความหมายช่างน่าสงสาร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องร้องมัน

“แก๊... พี่เจ้าของร้านเล่นกีต้าร์เหรอ? คือดีอะ!” ระหว่างทางผมได้ยินประโยคทำนองนี้มาสองสามครั้งก่อนตามมาด้วย ‘นักร้องเป็นพนักงานใหม่หน้าใสๆ นี่เหรอ โอ๊ย มีแต่คนหล่อ’ แทนที่มันจะช่วยให้มีกำลังใจแต่ไม่เลย ประหม่ายิ่งกว่าเดิมซะอีก ไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เลยว่ะ

“พี่ยู... ผมเล่นกีต้าร์แทนได้ปะ?” ผมขยับเข้าไปกระซิบพี่ยูที่กำลังหย่อนก้นเพื่อนั่ง เขาชะงักแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย

“พี่ร้องเพลงไม่เป็นนะครับ สกิลระดับเสียงเป็ดเลย” พี่ยูพูดติดตลกก่อนจะนั่งลงแล้วยกกีตาร์วางไว้บนตักเป็นท่าเตรียมพร้อม ผมลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้าจำยอมในโชคชะตา แม่ง... เปลี่ยนเพลงตอนนี้ทันไหม เริ่มหวั่นใจว่าจะอินกับมันเกินเหตุ (ไม่ได้ประหม่าเพราะลูกค้าเหรอ? ปัณณ์หลอกลวง!)

ผมหย่อนก้นลงข้างพี่ยูแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจแต่เกือบสำลักอากาศตายเพราะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักบนหัว มือหนาของวางลงแล้วออกแรงลูบเบาๆ ถ้าปัณณ์ตายตรงนี้ก็ไม่ต้องสงสัย

“คิดซะว่ามีพี่กับปัณณ์อยู่แค่สองคนก็พอ สี่นาทีเอง สู้ๆ ครับ” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะผละมือออกไปจับคอร์ดกีต้าร์เพื่อเตรียมพร้อม ผมได้แต่เม้มปากเน้นแช้วเบนสายตาหนี ถ้าให้คิดว่าอยู่กับพี่ยูแค่สองคนยอมมองลูกค้านับสิบในร้านยังสบายใจกว่าเยอะ

แค่สี่นาทีกับหนึ่งเพลงแอบรัก ปัณณ์จะต้องผ่านมันไปให้ได้!

“สวัสดีครับลูกค้าทุกคน” พี่ยูเป็นคนออกปากเพื่อประกาศเริ่มการร้องเพลง ลูกค้าเกือบทุกคนรีบวางมือจากอาหารแล้วอยู่ในท่าเตรียมพร้อมคือหยิบโทรศัพท์เพื่อถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอ ผมชักอยากจะมุดพื้นหนีเพราะเมื่อครู่ตอนโดนลูบหัวมีสาวๆ หลายคนกรี๊ดกร๊าด อย่าสร้างกระแสคู่จิ้นเลย อย่าเอาไปแต่งนิยายด้วย

“วันนี้เราจะคืนกำไรให้กับลูกค้าโดยการร้องเพลงนะครับ ถ้าเสียงไม่ดีหรือกีต้าร์เพี้ยนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เราตั้งใจทำเต็มที่เลยเนอะ” ท้ายประโยคพี่ยูหันมาพูดกับผมพร้อมคลี่ยิ้มหวานที่ชวนให้ใจสั่น ผมพยักหน้ารับก่อนจะรีบยกกระดาษเนื้อเพลงขึ้นมาเพื่อเตรียมทำหน้าที่

เสียงกีตาร์ดังขึ้นเป็นอินโทรเพลงจากฝีมือของพี่ยู เขาดูเท่มากในการเล่นดนตรี มันเหมือนได้พบเจออีกหนึ่งตัวตนที่แฝงอยู่ข้างใน คล้ายกับภาพอดีตเมื่อนานมาแล้ว ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะเปล่งคำร้องที่จำได้ขึ้นใจ กระดาษก็แค่ของที่หยิบมาเพื่อเยียวยาอาการประหม่าเท่านั้นเอง

หากใครคนนึงมีคำถาม
สักวันคงอยากจะพบใคร
คำตอบในใจคือใครที่คุณต้องการ
เธอคือคนที่ดีพร้อมใครใครต่างพากันชอบเธอ
เธอคือคำตอบที่ทุกหัวใจใฝ่ฝัน


สายตาของผมกวาดมองลูกค้าไปทั่วบริเวณร้านพร้อมคลี่ยิ้มบางให้กับทุกคนก่อนจบลงที่คนข้างตัว พี่ยูกำลังมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าที่อ่านไม่ออก เขากำลังอินเพลงเหรอ ช่างแม่งเถอะ จดจ่อกับงานที่ทำอยู่ดีกว่า เดี๋ยวร้องเพี้ยนขึ้นมาจะโดนโห่ไล่

และฉันเป็นคนที่ประทับใจเธอ
แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะพูดไป
ได้แต่ยิ้มให้เธอเบาเบา
อยู่ในมุมที่เธอไม่สนใจ
แอบมองดูเธอไกลไกลอย่างนี้ต่อไป

ผมเผลอยิ้มตามเนื้อเพลงแล้วจ้องมองใบหน้าด้านข้างของพี่ยูด้วยความเผลอไผล มีวูบหนึ่งที่รู้สึกเหมือนว่าความทรงจำเก่าๆ กำลังหวนคืนกลับจนต้องเบนสายตาหนีก้มมองกระดาษที่อยู่ในมือแทน หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติมาตลอดเริ่มไม่รักดี ทำไมวะ ก็กราฟช่วยชีวิตปัณณ์ไว้แล้วนี่

ได้แอบมองเธอข้างเดียวอยู่ที่มุมนี้
ก็พอแล้วไม่มีเงื่อนไขใดใดในความหวังดี
แค่ได้ชอบเธออยู่ตอนนี้
ก็ถือเป็นโชคชะตาดีดี
ที่คนอย่างฉันได้เกิดมาพบกับเธอ

พี่ยูหันมาสบตากันด้วยรอยยิ้มบางที่เขามักชอบทำกับผม มันมีความเอ็นดู ความห่วงใยอยู่ในนั้นเต็มไปหมด จริงๆ แล้วการแอบชอบแอบรักใครสักคนมันไม่ได้แย่ แต่ในเมื่อเขามีฐานะเป็นพี่เขยจึงไม่สมควร ปัณณ์ต้องหนีให้ไกลกว่านี้เพราะการอยู่ใกล้กันมันอันตรายมากเกินไป

หากเราใกล้กันมากกว่า
สักวันหนึ่งอาจจะไม่ดี
บางสิ่งในใจฉันอาจทำให้เธอลำบาก
ก็ปล่อยเธอลอยอยู่บนฟ้า
ขอมองดูเธอจากพื้นดิน
แค่เพียงได้เห็นเธอฉันก็สุขใจแล้ว

ผมหลุดยิ้มมุมปากเพื่อเยาะเย้ยตัวเอง เนื้อเพลงท่อนนี้ช่างแทงใจเหลือเกิน ใช่สิ ถ้าวันหนึ่งผมกลับมารู้สึกแบบเดิมกับพี่ยูแล้วแสดงออกไป เขาอาจเกิดความลำบากใจจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสั่นคลอน หรือบางครั้งการมองหน้ากันหรือพูดคุยตามปกติคงอึดอัดตามไปด้วย ห่างออกมานั่นล่ะดีแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อน

เพลงจบลงพร้อมเสียงปรบมืของลูกค้า ผมกับพี่ยูลุกขึ้นเพียงโค้งรับแล้วแยกย้ายกันไปทำงานประจำต่อ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับผู้ชายที่มีใบหน้าคุ้นเคยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มันยกมือขึ้นทักทายก่อนมองหาโต๊ะว่าง

ขอบคุณที่มึงมาในเวลาที่กูไม่ต้องการแล้ว ไอ้สัดทอย!




------------------------------------------------

ให้ทายว่าในเรื่องนี้ใครร้ายที่สุด
พี่ยู ทอย ปัณณ์หรือเจ้าริว?
ต้องลุ้นกันว่าปัณณ์จะหนีความรู้สึกเดิมๆ ได้สำเร็จไหม
แท้จริงแล้วทอยคิดยังไงกับเพื่อนกันแน่

เอาเป็นว่าตอนนี้น้องกราฟเด็ดสุดอะ เราว่างั้นนะ 5555


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 4 : ราเมน



ผมสวมบทบาทพนักงานประจำร้านที่ดีโดยการหอบเมนูอาหารเดินตรงไปหาลูกค้ารายใหม่ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะสาเหตุหลักๆ คือมันบอกว่าจะเข้ามาตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งแต่ดันโผล่เอาตอนเที่ยงสิบห้า ผิดนัดแบบนี้ไม่น่าเป็นถึงกัปตันขับเครื่องบินเลยว่ะ

ผมวางเมนูลงบนโต๊ะดังปึกทำให้ไอ้ทอยที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ถึงกับสะดุ้ง มันบุ้ยปากใส่กันก่อนที่จะคลี่ยิ้มกว้างพลางขยับตัวเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบฝังเข้ากับท้องของผม อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อเด็ดขาดนะเว้ย อย่าหาว่าไม่เตือน

“ทำหน้าแบบนั้นคงดีใจล่ะสิที่กูมาหาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยแซวแถมด้วยการเอื้อมมือมาสะกิดเอวกันเพื่อเป็นการหยอกล้อ ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนจะใช้ปากกาเคาะลงตรงหน้าผากของไอ้ทอย หมั่นไส้ความกวนตีนของมันนัก คนกำลังทำหน้าบึ้งหมายถึงดีใจตรงไหน กูอยากเหยียบมึงให้จมดินจริงๆ

“สมองมีปัญหาเหรอ?” ผมถามกลับไปสั้นๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนสามารถแปลความหมายได้ มันไหวไหล่ไม่ตอบโต้ก่อนจะหยิบเอาเมนูขึ้นมาเปิดดู เป็นการหนีปัญหาที่ถือว่าเลวระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ เกลียดจริงๆ

“Do you have anything special today?” มันยังคงเปิดเมนูไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตา ผมได้แต่เบะปากกับความกระแดะพูดภาษาอังกฤษนอกเวลาทำงานของไอ้ทอย เดี๋ยวเจอกูตอบกลับเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วจะหนาว เพิ่งเรียนมาจากพี่ยูสดๆ ร้อนๆ เลย รับรองว่าโคตรรสเปเชี่ยล

“โอะมุไรซุ” ชื่อเมนูแนะนำของร้านเป็นภาษาญี่ปุ่นถูกตอบออกไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมยักคิ้วกวนให้ลูกค้ากิตติมศักดิ์หนึ่งครั้ง สะใจที่ได้เห็นไอ้ทอยทำหน้าเอ๋อหลุดมาดที่พยายามเก๊กแทบตายเพราะในร้านมีแต่สาวๆ ทั้งนั้น

“What?” ไอ้ทอยวางเมนูลงบนโต๊ะแล้วขมวดคิ้วมองหน้ากันเขม็งคล้ายกับคาดคั้นเอาคำตอบ ผมร้องเยสอยู่ในใจเมื่อเพื่อนติดกับดักที่วางไว้ ขอเอาคืนสักทีเถอะ เก็บกดมานาน

“ข้าวห่อไข่ไง ไอ้โง่” ผมแสยะยิ้มก่อนเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือไอ้ทอยที่เอื้อมมาฟาดกัน มันกัดฟันแน่นเมื่อพลาดเป้า คนทำอะไรไม่ได้ก็จะดูโง่ๆ หน่อย อยากขำให้ร้านแตกแต่เกรงใจลูกค้าคนอื่น

“ระวังตัวให้ดีเถอะมึง อย่าเผลอนะ”

“ไม่กลัว” ผมแลบลิ้นใส่มันก่อนจะหัวเราะร่า มีความสุขที่สามารถยั่วอารมณ์เพื่อนให้บูดสนิทได้ในประโยคเดียว ทำให้ลืมความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่ยูอีกครั้งได้อยู่หมัด หวังว่าเขาจะไม่กระตุ้นอะไรอีก

“มันเขี้ยวมึงจริงๆ เลย” ไอ้ทอยกัดฟันพูดแล้วจ้องกันเขม็ง ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนในที่รโหฐานมันคงลุกขึ้นถีบผมกระเด็นไปแล้ว

“จะทำอะไรกู?” ผมยังคงแกล้งมันต่อไป ติดลมกับหน้าหงิกๆ ของไอ้ทอย

“ปล้ำมึง” มันคว้าข้อมือของผมไปจับพลางลูบไล้เบาๆ สีหน้าและแววตาไม่ได้บ่งบอกถึงการล้อเล่น ถ้าไอ้ทอยทำแบบนั้นได้จริงๆ ก็แสดงว่าที่ผ่านมาแม่งหลอกลวงทั้งนั้น มึงก็คงเป็นไบเซ็กชวลเหมือนกัน

“ไอ้สัด ไม่ต้องแดกแล้วข้าวเที่ยงมึงน่ะ” ผมสะบัดมืออกแล้วทำหน้าขยะแขยงก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ ตอนนี้ขนลุกไปทั้งตัว อยากเตะก้านคอมันด้วยซ้ำ ถ้าจะชอบกันก็ไม่ว่า แต่อยากตอดเล็กตอดน้อยเพราะในความจริงแล้วสถานะของเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนความสัมพันธ์ของปัณณ์และพี่ยู

“โอ๋ๆ นะ กูแค่ล้อเล่นเอง ไม่ปล้ำหรอกรอให้มึงสมยอม” ไอ้ทอยยังไม่เลิกแหย่จนผมรู้สึกหงุดหงิดเข้าจริงๆ มันเล่นแบบนี้ทั้งที่การกระทำก็แปลกไปจะให้คิดยังไง ถึงแม้ว่าปัณณ์ไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน แต่เรื่องเพื่อนนั้นสำคัญกับชีวิตในระดับหนึ่ง

“มึงจะหุบปากได้หรือยัง?” ผมเอื้อมมือไปเก็บเมนูเพื่อเตรียมไล่มันออกจากร้าน ถ้ายังกวนประสาทกันไม่เลิกก็ไม่ต้องกินข้าวเที่ยง จริงๆ ไอ้ทอยก็ไม่ได้ผิดอะไร แค่เอาเรื่องละเอียดอ่อนมาเล่นเท่านั้น คงคิดว่าตัวเองทำเนียนแล้วสินะ แต่สายตาที่มองมากลับบอกทุกอย่างชัดเจน ความรู้สึกที่เกินเพื่อนเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“โอเคครับ ขอโทษ” มันบอกเสียงอ่อยแล้วเอื้อมมือมากระตุกเมนูเบาๆ เพื่อเอาไปดูอีกครั้ง ผมเหลือบตามองก่อนจะถอนหายใจและปล่อยไอ้ทอยให้เลือกอาหารที่ต้องการ บรรยากาศโดยรอบตอนนี้อึมครึมกว่าท้องฟ้าด้านนอกอีก ฝนตกในเดือนมีนาคมเนี่ยนะ ประหลาดจริงๆ คงเหมือนน้ำตาล่ะมั้ง อยากไหลตอนไหนก็ได้

“ตกลงจะกินอะไร?”

“อ่า... ขอข้าวห่อไข่สองจาน ราเมนหมูชาบูหนึ่ง ซูชิหน้าปลาดิบหนึ่ง แล้วก็ชาเขียวเย็น” เมนูยาวยืดออกจากปากไอ้ทอย มันสั่งรัวจนผมเลิกจดเพราะมันสั่งเป็นประจำเมื่อไปร้านอาหารญี่ปุ่น

“อืม รอสิบนาทีนะ” ผมหมุนตัวเพื่อจะเดินไปส่งออเดอร์ให้กับพี่ยูแต่โดนไอ้ทอยรั้งข้อมือกันไว้ก่อน สัมผัสเพียงแผ่วเบาไม่เหมือนทุกครั้งที่บีบแน่นแทบตาย ที่จริงปัณณ์อยากจับเพื่อนมานั่งคุยให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่เนื่องจากว่าตอนนี้อยู่ในเวลางานทำให้ต้องข่มใจเอาไว้ รอว่างเมื่อไหร่จะจัดการให้เรียบร้อย

“มึงจะเป็นคนทำให้กินปะ?” คำถามของมันทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น มากินข้าวร้านพี่ยูแต่เรียกร้องฝีมือปัณณ์คืออะไร ถ้าจะขอแบบนั้นไว้รอไปที่คอนโดดีกว่าไหม แล้วจับข้อมือไม่ยอมปล่อยหมายความว่ายังไง

“พี่ยูทำ กูเสิร์ฟอย่างเดียว” ผมหมุนข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเตรียมเดินหนีเพื่อนสนิทอีกครั้ง พี่ยูที่ออกมาเสิร์ฟอาหารส่งยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหายเข้าไปในครัว ทำไมต้องรู้สึกอึดอัดกับสายตาแวววาวนั่นด้วย หรือเขาดูออกว่าไอ้ทอยกำลังคิดอะไร

“อยากกินฝีมือปัณณ์” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งฟังดูออดอ้อนและขอร้องจนผมเผลอสะดุดลมหายใจ ความกระอักกระอ่วนตีรวนอยู่ในอก แทนที่ไอ้ทอยจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากเรื่องพี่ยูแต่กลายเป็นว่ามันสร้างปัญหาใหญ่ซะเอง ปัณณ์ควรหาทางออกด้วยวิธีไหน

“กูทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็น” ผมตอบกลับโดยไม่หันไปมองหน้ามันอีก ในใจลึกๆ แอบแพ้ลูกอ้อนของไอ้ทอยอยู่เหมือนกัน

“นะครับ ทำให้ทอยกินหน่อย” โอเค ผมแพ้ราบคาบเพราะมันแทนตัวเองด้วยชื่อนี่ล่ะ จะทำตัวน่าสงสารไปถึงไหน กับสาวๆ ในสต็อกเคยอ้อนแบบนี้บ้างหรือเปล่าเถอะ

“มึงมันน่ารำคาญ”

“ตกลงว่าจะทำให้กินใช่ปะ?” มันแปลความหมายได้ถูกเป๊ะ สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันมานาน แต่ผมกลับถอนหายใจเฮือกเพราะมันเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าหลังจากนี้คงเกิดเรื่องวุ่นวายหนักกว่าเก่า ทั้งพี่ยูทั้งไอ้ทอย ปัณณ์ต้องจัดการความรู้สึกกับใครเป็นอันดับแรกวะ

“เออ รอบ่ายแล้วกัน ตอนนี้คนเยอะ”

“รอได้เสมอครับผม!”

ผมไม่ได้อยู่รอฟังว่าเพื่อนเพี้ยนๆ พูดอะไรไล่หลังมาเพราะขี้เกียจคุยต่อ ระหว่างเดินไปส่งออเดอร์ก็จดรายการอาหารที่จำได้ลงในกระดาษเพื่ออำนวยความสะดวกกับพี่ยู ปัณณ์จะทำแค่ข้าวห่อไข่เมนูเดียว ส่วนที่เหลือก็ให้เชฟประจำร้านทำ

“หน้าบึ้งมาเชียว ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักเมื่อผมก้าวขามาหยุดอยู่ตรงเค้าน์เตอร์เตรียมวัตถุดิบ พวกอาหารทอด ต้ม หรือผัดจะทำในครัวร้อน ส่วนอาหารเย็นๆ จำพวกข้าวปั้นหรือซาซิมิจะทำที่บาร์เปิดด้านหน้า

“เปล่าครับ พี่ยูช่วยสอนทำข้าวห่อไข่หน่อย” ผมปฏิเสธก่อนจะยื่นกระดาษจดออเดอร์ของไอ้ทอยให้ พี่ยูเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วรับไปอ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“หืม?” คงสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ผมก็คึกอยากทำอาหารญี่ปุ่นขึ้นมาทั้งที่เคยบ่นว่ามันทำยาก

“ไอ้ทอยมันอยากชิมฝีมือผม” เสียงเนือยๆ หลุดจากปากก่อนจะทิ้งสะโพกพิงกับเค้าน์เตอร์ ไม่เข้าใจว่าไอ้ทอยจะอินดี้ไปไหนแล้วทำไมต้องหางานเพิ่มให้ผมอีก

“เพื่อนคนพิเศษหรือเปล่าเนี่ย?” พี่ยูหรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนขยับเข้ามาใกล้เพื่อจ้องตา ผมผงะถอยหลังแล้วแยกเขี้ยวใส่เขา

“ใช่ก็บ้าแล้วพี่ยู พูดอะไรน่าขนลุก”

“แต่จากที่พี่เห็น ทอยเขามองปัณณ์แปลกๆ นะ” พี่ยูถอยหลังออกไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทางล้อเล่นเหมือนในตอนแรก ผมถอนหายใจก่อนพยักหน้ารับคำ จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยคงไม่ได้ ก็ไอ้ทอยเล่นแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น แต่ลึกๆ ยังไม่ปักใจเชื่อว่ามันจะคิดแบบนั้นกับปัณณ์ ใช่แน่เหรอวะ ไอ้ความรู้สึกที่มึงพยายามซื่อให้กูเข้าใจน่ะ

“ผมรู้ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงเพื่อนก็คือเพื่อน เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก” ผมบอกปัดทั้งที่ภายในใจกำลังว้าวุ่น ไม่อยากให้พี่ยูเก็บเอาเรื่องของไอ้ทอยไปคิดให้รกสมอง อีกอย่างคือปัณณ์กำลังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“เด็ดขาดจริงๆ เลยเนอะ” พี่ยูเริ่มทำอาหารต่อโดยการหยิบชิ้นสันในหมูที่คลุกเกล็ดขนมปังเรียบร้อยแล้วลงไปทอดในน้ำมัน ผมขยับเข้าไปช่วยจัดจานข้างๆ เขา

“มันแน่อยู่แล้ว” ผมตอบพลางกระตุกยิ้ม ความเด็ดขาดก็ใช้ได้แค่กับไอ้ทอยคนเดียวเท่านั้น ในส่วนของเรื่องพี่ยูแล้วมันช่างเลือนรางจนน่ากลัว

“อืม... ถ้าเปลี่ยนจากทอยเป็นพี่ล่ะ คำตอบยังเหมือนเดิมอยู่ไหม?” พี่ยูเหลือบสายตามองผมที่ตอนนี้ชะงักมือที่กำลังตักสลัดมันฝรั่งใส่จานไปแล้ว หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว ในสมองมีแต่คำถามว่าทำไมเต็มไปหมด นี่เขามาไม้ไหน หรือรู้ตัวแล้วว่าปัณณ์ ‘เคย’ แอบชอบ แต่ไม่น่าจะใช่เพราะตลอดเวลามั่นใจว่าเก็บความรู้สึกนั้นไว้อย่างมิดชิดที่สุดแล้ว

“ทำไมถึงถามแบบนี้?” ผมจ้องคนถามเขม็งเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ พี่ยูไหวไหล่ก่อนจะหันกลับไปสนใจหมูทงคัตสึในหม้อทอดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารู้ไหมว่าคำถามนั่นมันกวนตะกอนบางอย่างในลอยขึ้นมาอยู่เหนือความทรงจำและรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน การแอบรัก... ต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำสองสิปัณณณ์ ท่องไว้ว่าเขาเป็นพ่อของหลานชาย ไม่ใช่คนที่สามารถหวั่นไหวได้

“ถามเล่นๆ น่า ก็เห็นปัณณ์ทำหน้าเครียดเชียว” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนส่งนิ้วเรียวมาคลึงหว่างคิ้วกันอย่างแผ่วเบา ความอุ่นทำให้เผลอเคลิ้มไป เพียงครู่เดียวก็สามารถเรียกสติกลับมาได้ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายขยับหนีออกมา ปัณณ์คงเครียดจนสมองระเบิดก็เพราะพี่ยูนั่นล่ะ ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าการกระทำของตัวเองก็ไม่ต่างจากไอ้ทอยสักเท่าไหร่ เหมือนให้ความหวังแต่ไม่มีหวัง ย้อนแย้งเนอะ

“เดี๋ยวฟาดเลยนี่ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ครับ”

“โหดนะเราน่ะ” ยังจะเอานิ้วมาจิ้มแก้มกันอีก เดี๋ยวผมกัดซะเลยนี่

“ตกลงจะสอนผมทำอาหารปะครับ?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องแล้วผละหนีนิ้วเรียวที่ยังพยายามประทุษร้ายแก้มกันไม่เลิก พี่ยูทำหน้าตาตื่นก่อนจะพยักหน้ารับพลางหัวเราะเบาๆ ตลกนักหรือไงที่แกล้งให้ปัณณ์อายจนหน้าร้อน

“สอนครับๆ เดี๋ยวรอพี่เคลียร์ออเดอร์ใบนี้ก่อนนะ” พี่ยูชี้ไปที่กระดาษใบสุดท้ายบนรางเสียบออเดอร์ ผมพยักหน้ารับก่อนจะช่วยหยิบกระดาษซับมันวางในจานให้เขา

ร้านนัทสึมีโต๊ะอยู่แค่แปดที่ตามจำนวนเลขมงคลของญี่ปุ่น สามารถรับลูกค้าพร้อมกันทั้งหมดได้สามสิบสองคนกำลังพอดี ถ้าถามว่ารายรับต่อเดือนเยอะไหม ตอบได้เลยว่าพี่ยูแค่ทำงานอดิเรกเท่านั้น ส่วนงานหลักของพวกเราทั้งคู่คือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ในทุกสิ้นเดือนต้องเข้าประชุมสรุปผลประกอบการและกำไรที่ได้ เหมือนจะดูดีแต่ความจริงแล้วโคตรน่าเบื่อ ปัญหาจุกจิกเยอะจนแก้ไม่หวาดไม่ไหว สู้การเป็นเชฟกับเด็กเสิร์ฟไม่ได้หรอก

“ผมขอขึ้นไปดูริวก่อนนะ” ผมพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทิ้งริวให้นอนอยู่ชั้นบนนานเกินไป ถึงจะมีพี่เคียวคอยดูให้ก็ยังไม่สบายใจเพราะหลานติดน้าอย่างกับอะไรดี ถ้าตื่นมาไม่เจอหน้าคงร้องงอแงจนใครก็เอาไม่อยู่แน่นอน

“อืม ถ้าตื่นก็เอาริวลงมาก็ได้ ให้นั่งดูการ์ตูนบ้างคงไม่วุ่นวาย”

ผมรับคำพี่ยูก่อนจะเดินขึ้นบันไดทีละสองถึงสามขึ้นจนถึงที่หมายแล้วพบว่าทั้งพี่เคียวและริวต่างหลับปุ๋ยหันหน้าไปคนละทิศละทาง ภาพตรงหน้าให้ความรู้สึกเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปเอาไว้ ถ้าส่งไปให้คุณป้ากับคุณลุงดูคงมีคนโดนดุแน่ๆ (เคียวไงจะใครล่ะ)

หลังจากที่แอบถ่ายรูปสองอาหลานจนพอใจก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงไปเรียนทำข้าวห่อไข่จากอาจารย์กิตติมศักดิ์สักที วางใจเรื่องริวจะไม่งอแงได้แล้วก็ควรทำหน้าที่อย่างต่อไปให้จบๆ ถ้ามีเวลาว่างพอก็อยากเคลียร์เรื่องไอ้ทอยด้วย

วัตถุดิบในการทำข้าวห่อไข่ถูกเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยโดยฝีมือของพี่ยู ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ผมไปเอ้อระหายถ่ายรูปชาวบ้านนั้นเป็นช่วงที่เขาทำงานเสร็จไปหลายอย่าง อายไหมล่ะกู

“ริวล่ะ?”

“ยังไม่ตื่นครับ หลับปุ๋ยพอๆ กับพี่เคียวเลย” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วรับผ้ากันเปื้อนสีฟ้ามาใส่ เตรียมพร้อมที่จะลงมือทำอาหารญี่ปุ่นจานแรกในชีวิต อยากจะบอกไอ้ทอยเหลือเกินว่ามันโคตรโชคดีที่เป็นคนได้ชิมลำดับที่หนึ่ง จนฟินซะเถอะ! แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเชฟกำลังหงุดหงิด...

“ไอ้เคียว... $&@#*?!” พี่ยูสบถรัวเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมฟังไม่ออก แต่พอเดาได้ว่าคงด่าลูกพี่ลูกน้องอยู่แน่ๆ ใช้มาช่วยงานแต่ดันพากันหลับไปกับหลานทำนองนั้น

“ใจเย็นๆ ครับ พี่เคียวคงเพลีย” ผมยื่นมือไปแตะไหล่คนตรงหน้าแล้วออกแรงลูบเบาๆ เพื่อปลอบ พี่ยูเหลือบมองก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือก ถ้าพี่เคียวตื่นเมื่อไหร่คงโดนสวดยับแน่ๆ

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพี่สอนปัณณ์ทำข้าวห่อไข่เลยแล้วกัน ทอยคงหิวแย่แล้วมั้ง” เขาขยับที่ว่างหน้าเตาให้แล้วกวักมือเรียก ผมเบ้ปากเล็กน้อยเพราะพี่ยูแสดงความเป็นห่วงไอ้ทอย คนอย่างมันทนอย่างกับควาย ถ้าหิวคงโวยวายร้านแตกไปแล้ว

“ปล่อยให้มันเป็นลมตายไปเลยยิ่งดีครับ” ผมตอบเสียงฉุนก่อนจะเดินเข้าไปประจำที่ เหลือบมองวัตถุดิบบนเค้าน์เตอร์ที่มีไม่กี่อย่างก็ทำให้ใจชื้น มันคงไม่ยากเท่าไหร่ล่ะมั้งเมนูข้าวห่อไข่เนี่ย

“ร้ายจริงๆ เลยเรา” พี่ยูเอื้อมมือมาโคลงหัวกันด้วยความเอ็นดู เขาทั้งยิ้มและหัวเราะในเวลาเดียวกันจนทำให้ผมรู้สึกวูบโหวงในใจแปลกๆ อาการคงไม่กำเริบง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง ก็แค่อิจฉาความหล่อของคุณพ่อลูกตืดเท่านั้นเอง อย่าให้ปัณณ์ไปโมหน้าที่เกาหลีนะ หึ

“เริ่มกันเถอะครับ” ผมเบี่ยงหัวหนีมือใหญ่ก่อนจะหันไปหยิบกระทะตั้งบนเตาก่อนจะหยิบขวดน้ำมันพืชมาเทใส่โดยไม่ปริปากถามพี่ยูสักคำ ถ้าไม่จ้องกันขนาดนั้นคงไม่ประหม่าแบบนี้หรอก เดี๋ยวก็ทำข้าวผัดสไตล์ไทยๆ ซะเลยนี่ ไม่ต้องรงต้องเรียนมันแล้ว

พี่ยูหัวเราะในลำคอก่อนจะเริ่มอธิบายวิธีการทำข้าวห่อไข่ก่อนจะส่งถ้วยวัตถุดิบแต่ละอย่างมาให้ เริ่มจากแฮม ถั่วลันเตา แครอทหั่นเต๋า และข้าวโพดต้มสุก ผัดรวมกันจนได้ที่แล้วใส่ข้าวสวย ซอสมะเขือเทศ ตบท้ายด้วยซีอิ๊วขาว คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักพักไว้

ขั้นตอนต่อมาคือการตอกไข่ใส่ถ้วยเติมเกลือและนมสดก่อนจะตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งกระทะใช้ไฟแรง ทาน้ำมันบางๆ แล้วเทส่วนผสมลงไป ใช้ตะเกียบหรือไม้พายคนไข่อย่างรวดเร็ว พอได้ที่เป็นแผ่นสวยงามก็ให้ปรับลดความร้อนลงแล้วนำข้าวผัดที่พักไว้ใส่ลงไป ตะล่อมห่อให้สวยงามก่อนจะเทใส่จานแล้วตกแต่งด้วยซอสมะเขือเทศและมายองเนส

ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ผมต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูป อาหารญี่ปุ่นจานแรกในชีวิตที่ทำเองกับมือนอกจากต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน พี่ยูยกนิ้วโป้งให้กันก่อนจะหันไปจัดการเมนูอื่นในออเดอร์ของไอ้ทอยต่อ ถ้าขอกินสักคำได้ไหมวะ ไม่มั่นใจว่าอร่อยหรือเปล่าเพราะปัณณ์ทำอาหารไม่ชอบชิม

“ปัณณ์เอาข้าวไปเสิร์ฟก่อนก็ได้ เดี๋ยวเมนูอื่นพี่ยกตามไปให้”

“โอเคครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเรียกผมนะ”

“ไม่เป็นไร คุยกับเพื่อนเถอะ ช่วงบ่ายไม่ค่อยมีลูกค้าหรอก” พี่ยูส่งยิ้มละมุนให้กันแล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารที่เหลือต่อ ผมพยักหน้ารับกับตัวเองแล้วถือจานข้าวห่อไข่ออกมาจากในครัว ดวงตารีเห็นไกลๆ ว่าไอ้ทอยกำลังวีดีโอคอลกับใครบางคน เดาว่าคงเป็นสาวในสต็อกที่นัดให้ความอบอุ่นกันคืนนี้ ถ้ามึงเป็นเอดส์ขึ้นมากูไม่แปลกใจเลย เฮ้อ

“เอาไป แดกๆ ซะ” ผมวางจานข้าวห่อไข่ลงแล้วทิ้งตัวบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไอ้ทอยรีบตักสายสาวในสต็อกก่อนจะคลี่ยิ้มหวานในกันจนต้องขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ ปกติมันเคยสนใจที่ไหนว่าเพื่อนจะอยู่หรือไม่อยู่ตรงนี้ มันคุยโทรศัพท์ไปกินไปยังได้เลย เหมือนพวกบล็อกเกอร์ในยูทูป

“หูย ขอถ่ายรูปอัพลงไอจีก่อนดิ ปัณณ์ลงมือทำให้กินทั้งที” มันทำหน้าตาตื่นเต้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปจริงๆ ระยะโฟกัสติดผมเข้าไปในเฟรมด้วยอย่างแน่นอน ไอ้ทอยกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนคนอยากอวดแฟน ไอจงไอจีบ้าอะไร ชาตินึงอัพครั้งเดียว หึ

“มึงอ้อนวอนกูหรอกถึงยอมทำ” ผมบึนปากใส่ก่อนจะเท้าคางมองมันที่กำลังถ่ายรูปอย่างเอาเป็นเอาตาย คาดว่าคงมีลงไอจีไปถึงปีหน้าเพราะรัวชัตเตอร์ยิ่งกว่ายิงปืนเอ็มสิบหก

“ปากร้ายจังวะ” มันลดโทรศัพท์ลงก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผาก ผมผงะถอยหลังแล้วแยกเขี้ยวใส่ ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับหัวตัวเอง แต่ยกเว้นพี่ยูไว้คนหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเป็นคนพิเศษอยู่เสมอถึงแม้ตอนนี้จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ใครด่าว่าสองมาตรฐานก็ขอน้อมรับอย่างลูกผู้ชาย

“พูดความจริง” ผมยักคิ้วกวน เปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาเล่น ขี้เกียจนั่งมองหน้ามันเดี๋ยวเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาจะเป็นเรื่องอีก ยิ่งอยากเคลียร์เรื่องรบกวนใจอยู่ด้วย แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก

“จ้าๆ ไม่เถียงแล้วครับ”

“อืม กินซะ เดี๋ยวมันเย็นไม่อร่อย” ผมเลื่อนจานข้าวห่อไข่ไปให้มันทั้งที่ตายังไล่อ่านทวิตเตอร์ เผลอกดเข้าแท็กเชฟหล่อบอกต่อด้วยแล้วต้องกุมขมับ สาวๆ พวกนั้นไวอย่างกับลิง ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็มีคลิปวีดีโอร้องเพลงโผล่ในโซเชี่ยล กดเข้าไปดูเพื่อเช็คสภาพตัวเองสักหน่อยดีกว่า ถ้ามันน่าเกลียดครั้งหน้าจะได้เอาหน้ากากมาใส่

“ไม่กินด้วยกันเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางส่งมือมาแตะแขนกันเบาๆ ผมเหลือบตามองเพื่อนสนิทแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะจดจ่อกับคลิปร้องเพลงอีกครั้ง พี่ยูตอนเล่นกีตาร์โคตรมีเสน่ห์ หมดข้อสงสัยเลยว่าทำไมสาวๆ ถึงชอบเขานัก ลูกค้าบางรายมาที่ร้านทุกวันจนถึงขั้นรู้จักชื่อ พูดคุยเล่นหัวได้ ยอมเสียค่าอาหารมื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่าสองร้อยเพื่อนั่งมองคนที่ปลื้ม นี่ล่ะคือนิยามของคำว่า ‘ชีวิตคือการลงทุน’

“ยังไม่หิว” ผมย้ำคำตอบเพื่อไม่ให้ไอ้ทอยถามซ้ำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงเออออแล้วลงมือกินข้าวโดนไม่สนอะไร แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เพราะมือที่แตะแขนอยู่เริ่มกดแรงลงมา

“บ่ายโมงกว่าแล้ว จะไม่หิวได้ยังไง” น้ำเสียงฟังแล้วให้ความรู้สึกเป็นห่วงจนรู้สึกขนลุก ผมดึงแขนออกจากการเกาะกุมก่อนจะเงยหน้ามองอีกคน อึดอัดกว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็คงเป็นช่วงน้ำหนักเพิ่มจนกางเกงปริล่ะมั้ง โธ่เว้ย

“มึงรีบๆ กินเหอะ อย่ามาเซ้าซี้กู”

“เดี๋ยวกูป้อนมึงนะ” ไม่พูดเปล่าแต่ส่งช้อนที่มีข้าวห่อไข่พูนๆ มาจ่อปาก ผมผงะถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้แล้วผลักมือมันออกไปไกลๆ แล้วทำตาดุใส่ บอกว่าอย่ายุ่งคือฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม

“ไอ้ทอย ถ้ายังเล่นอยู่แบบนี้กูจะไม่คุยด้วยแล้วนะ รำคาญ”

“โอเค ไม่กินก็ไม่กิน” มันวางช้อนลงในจานแล้วยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ ผมเหล่ตามองเพื่อนครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปนั่งไถทวิตเตอร์ต่อ หาร้านสั่งซื้อน้ำหอมกลิ่นพีชดีกว่า

ผมเป็นโรคคลั่งทุกอย่างที่ได้ชื่อว่ามีส่วนผสมของลูกพีช ไม่ว่าจะเป็นขนม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม น้ำหอม ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ เครื่องดื่ม ลิปมันหรือแม้กระทั่งตัวผลไม้เอง กลิ่นมันหอมชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและน่ากินในเวลาเดียวกัน ไม่สนหรอกว่าของพวกนั้นเหมาะกับผู้หญิงมากกว่าเพราะอยู่ที่ความพอใจของผู้ใช้

“มึง... อร่อยว่ะ” อยู่ๆ ไอ้คนที่เงียบไปนานก็เรียกร้องความสนใจของผมด้วยการออกปากชมฝีมือการทำอาหาร ดวงตารีละจากหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น ตกลงว่าข้าวห่อไข่อร่อยจริงๆ ใช่ไหม ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกในการทำอาหารญี่ปุ่น

“จริงเหรอ? กูไม่ได้ชิมอะ” ผมมองอาหารที่พร่องลงไปกว่าครึ่งจานก่อนสารภาพบาปกับเพื่อน แต่เชื่อว่าไอ้ทอยคงไม่ตกใจเพราะรู้ดีกันอยู่แล้วว่าการชิมนั้นหาไกลจากคนชื่อปัณณ์ รสชาติแย่ก็แค่เททิ้ง

“เออ ติดนิสัยไม่ชิมตลอดนะมึง” ไอ้ทอยบุ้ยปากก่อนจะตักอาหารใส่จานเคี้ยวหงุบหงับอีกครั้ง มุมปากระบายเป็นรอยยิ้มของความพอใจจนผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี

“ขี้เกียจไง กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็เททิ้ง” ผมตอบด้วยเสียงสบายๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นต่อแต่ต้องชะงักกึกเมื่อไอ้ทอยพูดบางอย่างออกมา

“ใครได้มึงเป็นแฟนนี่โชคดีตายเลย” มันวางช้อนลงแล้วเท้าคางมองกันด้วยสายตาหวานเชื่อม ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนอยากด่าแต่ก็พูดไม่ออก อยากลุกหนีก็ทำไม่ได้เพราะลึกๆ ก็อยากรู้ว่าไอ้ทอยคิดอะไรอยู่กันแน่

“หล่อ รวย ทำอาหารเป็น” ผมตอบอย่างมั่นหน้าพลางยักคิ้วกวนส่งให้ แทนที่มันจะกรอกตาหรือเบ้ปากกลับยิ้มกริ่มจนรู้สึกขนลุก สถานการณ์มันชักล่อแหลมยังไงชอบกล แล้วพี่ยูเมื่อไหร่จะทำอาหารเสร็จวะ มาขัดจังหวะหน่อยก็ดี

“อยากได้บ้างอะ” มันพูดอะไรนะ

“อะไร?” ผมถามย้ำเพื่อความเข้าใจของตัวเอง คงไม่ได้เป็นอย่างที่แอบคิดไว้ใช่ไหม ถึงการแสดงออกจะชัดเจนแค่ไหนแต่บางครั้งก็มีหลายคนมองผิด

“อยากได้มึง” ไอ้ทอยยื่นหน้าเข้ามากระซิบด้วยเสียงหวานๆ ที่ทำให้ขนในกายลุกชัน ในแววตาคมไม่มีแววล้อเล่นจนผมเป็นฝ่ายโวยวายซะเอง พี่ยูไม่ออกมาขัดจังหวะใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นปัณณ์จะเข้าไปยุ่งในครัวเอง

“ตลกแล้วไอ้สัด แดกๆ ไป” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้าวขาฉับๆ ไปหมดตัวอยู่กับพี่ยูในครัว แต่สุดท้ายก็โดนไล่ออกมาพร้อมรายการอาหารของไอ้ทอยที่เหลืออยู่




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมเลือกที่จะหาตัวอย่างนิยายแนวสืบสวนสอบสวนนั่งอ่านเพื่อไม่ให้สติกระเจิงไปมากกว่านี้เพราะโดนดวงตาคมของไอ้ทอยจ้องมาเกือบตลอดเวลา การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้คือทางออกที่ดีที่สุด จริงๆ อยากกวักมือเรียกพี่ยูมานั่งด้วยแต่เขาเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธเพราะอยากให้เราคุยกันแบบไม่ต้องเกรงใจคนอื่น ตอนนี้ใครปริปากคุยกันบ้างล่ะ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว

“น้าปัณณ์ งั่มๆ” เสียงงัวเงียจากระยะไกลดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์เพื่อพลกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่เดินหอบเอาพี่หมีนุ่มเดินลงมาจากบันไดพร้อมอาเคียวที่เผลอหลับไปด้วยกัน เจ้าตัวแสบเดินขยี้ตาตรงเข้ามาหา ดูน่ารักน่าชังจนอยากจับฟัดจริงๆ

“อ้าว ริวตื่นไวจังครับ” ผมอ้าแขนรับหลานเข้าสู่อ้อมกอดแล้วอุ้มขึ้นนั่งบนตัก ริวซบหน้าลงกับอกกว้างก่อนใช้แก้มนุ่มถูไถเอาๆ อย่างออดอ้อน ถ้ามีเด็กอายุสิบแปดอัพมาทำแบบนี้ด้วยคงใจละลายไปแล้ว

“งือ อาเคียวเสียงดัง” ริวฟ้องแล้วชี้ๆ ไปในทิศทางที่ตัวเองเดินจากมา พี่เคียวหลบหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวความผิด ผมหลุดหัวเราะแต่ต้องเก็บอาหารเมื่อหลานเริ่มเบะปาก คงยังไม่หายง่วงสินะ

“โอ๋ๆ จะอยู่กับน้าปัณณ์หรือจะไปหาป๊าในครัว?” ผมชวนริวเปลี่ยนเรื่องแล้วดึงแก้มกลมๆ นั่นเล่น เจ้าตัวแสบส่ายหัวพรืดแล้วกอดเอวไว้แน่น

“น้าปัณณ์” ครับ... ติดน้ามากกว่าพ่อแบบนี้จะโดนเกลียดไหมเนี่ย

“หลานมึงน่ารักว่ะ” คนที่เพลิดเพลินกับอาหารพูดขึ้นทั้งที่ยังเคี้ยวราเมนอยู่เต็มปาก ผมส่งสายตาดุๆ ให้มันก่อนจะก้มลงไปคุยกับริวที่เอาแต่กอดกันแน่นไม่ยอมปล่อย

“ริวสวัสดีน้าทอยหรือยังครับ?” ผมสะกิดเด็กน้อยที่เอาแต่ซุกหน้าอยู่กับอกแล้วพึมพำคุยกับพี่หมีนุ่มเป็นเรื่องเป็นราว แว่วๆ ว่าชวนกันกินขนมอะไรสักอย่าง เจ้าตัวแสบชะงักกึกแล้วช้อนตามองก่อนจะหันไปมองผู้ร่วมโต๊ะอีกคน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันครู่หนึ่งและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใสซื่อ

“คนนิจิวะครับ หาว ~” ริวทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อนจะอ้าปากหาวหวอด มือน้อยๆ ยกขึ้นขยี้ตาจนพี่หมีนุ่มเกือบหล่นจากตัก ดีหน่อยที่ผมคว้าไว้ได้ทัน

“ไปนอนต่อไหมเรา?” ผมรวบกอดทั้งคนทั้งตุ๊กตาไว้แน่นแล้วโยกตัวช้าๆ เพื่อกล่อมคนบนตัก ริวส่ายหัวรัวก่อนจะยืดตัวขึ้นจุ๊บปลายคาง แบบนี้ต้องอ้อนอยู่กับน้าปัณณ์แน่นอน ตกลงว่าใครเป็นพ่อหนูกันแน่หืม

“ไม่เอา อยากดูการ์ตูน กินขนมด้วย” เด็กหนอเด็ก ตื่นมาก็คิดถึงเรื่องกินกับเล่นเป็นอันดับแรกเลยเชียว ก็ดีนะที่ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วเก็บมาปวดหัวแบบผู้ใหญ่

“เดี๋ยวน้าปัณณ์ไปเอาให้ ริวอยู่กับน้าทอยก่อนได้ไหมครับ?” ผมชี้ไปที่ไอ้ทอยซึ่งยิ้มกริ่มพร้อมต้อนรับหลานอยู่ฝั่งตรงข้าม ริวเหลือบมองคนแปลกหน้าอยู่พักใหญ่เหมือนกำลังตัดสินใจ อย่าปล่อยให้น้าลุ้นนานนักสิตะคริวจะกินอยู่แล้วครับ เกร็งไปทั้งตัว

“อื้อ” คำตอบของเจ้าตัวแสบทำให้ผมกับไอ้ทอยถอนหายใจพร้อมกันด้วยความโล่งอก

ผมปล่อยริวให้อยู่กับไอ้ทอยโดนสั่งไว้ว่าห้ามดื้อก่อนจะเดินตรงเข้าครัวเพื่อหาน้ำกับขนมให้หลาน กะว่าจัหยิบเองแต่ดันเจอพี่ยูที่ยืนพิงเค้าน์เตอร์ละเลียดชิมเมนูใหม่ที่เขาชอบประดิษฐ์คิดค้นเอง หน้าตาพอใช้ได้แต่รสชาติไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ เพราะเมื่อหลายวันก่อนเขาเอามะระไปทำเทมปุระให้ชิมโดยไม่บอก ปัณณ์แทบอ้วก

“พี่ยูครับ” ผมเอ่ยเรียกเขาแล้วเดินเข้าไปใกล้เพื่อส่องเมนูพิสดารของวันนี้ หน้าตามันธรรมดาคล้ายข้าวผัดไข่แต่มีสีเขียว พอโน้มหน้าเข้าไปใกล้ถึงได้กลิ่นวาซาบิลอยตีขึ้นจมูกจนต้องผละออกอย่างไว เกือบจามใส่แล้วไหมล่ะ

“ครับ” พี่ยูตอบรับเสียงกลั้วหัวเราะ คงเป็นเพราะท่าทีของผมเมื่อครู่ ถ้าเกิดเขาท้องเสียขึ้นมาอย่าอ้อนวอนให้พาไปโรงพยาบาลนะ จะสมน้ำหน้าให้เข็ด ชอบทำอะไรแปลกๆ ดีนัก

“ขอขนมให้ริวหน่อยครับ” ผมเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการก่อนจะผละไปเปิดตู้เย็นเพื่อหานมสด ได้ยินเสียงพี่ยูวางช้อนลงบนจานตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกาย

“หืม เจ้าตัวแสบตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหูจนผมเผลอสะดุดลมหายใจในขณะที่เอื้อมมือหยิบขวดนม เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่ยูเข้ามาใกล้จนเกือบไร้ช่องว่าง ถ้าหันกลับไปไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลย

“ครับ เห็นบอกว่าพี่เคียวเสียงดัง” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วเบี่ยงตัวออกทางด้านข้างเพื่อความปลอดภัยของร่างกายและก้อนเนื้อในอก นมขวดใหญ่ที่ตั้งใจว่าจะรินใส่แก้วนั้นถูกบีบแน่นอยู่ในมือ ตอนนี้โกยได้ไวเท่าไหร่ยิ่งดี ค่อยไปหยิบแก้วเอาที่หน้าเค้าน์เตอร์แคชเชียร์ก็ได้

“อ้อ โอเคครับ เดี๋ยวพี่เตรียมขนมให้ ปัณณ์รอก่อนนะ” พี่ยูผละออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมสิ่งที่ลูกชายต้องการ ผมลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างที่ขยับหยิบนั่นนี่อยู่ไม่ไกล ความรู้สึกตื่นเต้นที่เกิดขึ้นไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ทำไมถึงกลับมาสับสนอยู่ในวังวนเดิมๆ อีกแล้ว หรือเวลาแค่สองอาทิตย์นั้นยังทำให้รอยร้าวบนกำแพงยังปิดไม่สนิท

“อย่ามายุ่งนะ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของริวดีงขึ้นจนทำให้ผมกับพี่ยูหันมาหน้ากันทันที ขวดนมให้มือแทบร่วงเมื่อคิดได้ว่าไอ้ทอยแอบทำอะไรหลานหรือเปล่า เพราะถ้าพี่ยูเอาเรื่องขึ้นมามันอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าร้านไปเลยก็ได้

“เจ้าตัวแสบโวยวายอะไรน่ะ เดี๋ยวพี่ออกไปดูหน่อยดีกว่า” พี่ยูวางจานขนมลงเพื่อถอดผ้ากันเปื้อนออกแต่ผมเข่สไปรั้งเอาไว้เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูให้ พี่ยูทำงานต่อเถอะ” ผมคลี่ยิ้มบางเพื่อให้พี่ยูสบายใจ เขาดูลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

“งั้นฝากด้วยนะ”

ผมรีบคว้าจานขนมแล้วก้าวขายาวๆ ออกจากครัว เมื่อพ้นประตูออกมาก็เจอเจ้าตัวแสบกำลังผลักไอ้ทอยให้ลุกจากเก้าอี้ พี่หมีนุ่มกลิ้งเกลือกไปตามพื้นโดยที่ริวไม่สนใจใบดี ดูจากรูปการณ์แล้วคงกำลังโมโหเอามากๆ

“ออกไปเลย ฮื่อ!” เด็กน้อยตวาดลั่นแล้วพยายามออกแรงผลักไอ้ทอยอีกครั้งทำให้ผมต้องรีบปรี่เข้าไปห้ามทัพ โดยไม่ลืมวางจานขนมไว้บนโต๊ะซะก่อน ถ้าเผลอทำแตกขึ้นมาอาจจะบาดเท้าของใครหลายคน

“ริวครับ ไม่เสียงดังใส่น้าทอยแบบนั้นสิ” ผมย่อตัวลงแล้วรวบร่างป้อมๆ เข้าสู่อ้อมกอด เด็กน้อยชะงักกึกด้วยความตกใจพอรู้ว่าใครอยู่ด้านหลังถึงกับโผเข้าใส่เต็มรักจนเกือบหงายหลังทั้งน้าทั้งหลาน

“น้าปัณณ์ ริวไม่ชอบน้าทอย” คำพูดของริวทำให้ผมต้องเงยหน้ามองคู่กรณีอย่างห้ามไม่ได้ เลิกคิ้วเป็นเชิงถามไอ้ทอยว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่มันกลับไหวไหล่ไม่สนใจแล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตากินมื้อเที่ยงต่อ อยากจะด่าว่ามึงกวนตีนกูทำไม หลานร้องงอแงจนจมูกแดงไปหมดแล้วเนี่ย

“ทำไมพูดแบบนั้นครับ? ไม่น่ารักเลย” ผมดุเพราะริวแสดงกิริยามารยาทไม่น่ารักกับผู้ใหญ่แต่ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของเขาเพราะโดยนิสัยแล้วหลานไม่ใช่คนก้าวร้าวถ้าไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ เชื่อว่าไอ้ทอยต้องพูดอะไรสักอย่างแน่ๆ

“น้าทอยจะแย่งน้าปัณณ์ไปจากริว ฮึก” เจ้าตัวแสบพูดเสียงสั่นก่อนซบหน้าลงกับบ่า ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ค่อยๆ ซึมเข้ามาใต้เสื้อ ริวกำลังร้องไห้เพราะกำลังจะโดนแย่งของรักไป แล้วไอ้ทอยพูดอะไรกับหลาน

“โอ๋ๆ น้าปัณณ์ไม่ไปไหนหรอก ไม่ต้องร้องนะคนดี” ผมลูบหัวลูบหางปลอบเด็กให้หยุดร้องไห้โดยมีไอ้ทอยเหลือบมองมาเป็นระยะ ใบหน้าหล่อของกัปตันไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดแต่อย่างใดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เด็กงอแงโดยไม่มีเหตุผล

“อื้อ ฮึก สัญญานะ กะ เกี่ยวก้อยกัน” นิ้วเล็กๆ ยกขึ้นในระดับสายตา ริวสะอื้นก่อนจะเม้มปากกลั้นเสียง

“ครับๆ น้าปัณณ์สัญญา” ผมยื่นมือไปเกี่ยวก้อยแล้วกดจมูกลงบนแก้มใส่ก่อนจะเกลี่ยคราบน้ำตาออก ริวยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำสัญญาแต่กลับหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ทอยตบท้ายด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตา หลังจากนี้ต้องสอบสวนไอ้เพื่อนตัวดียาวแน่ๆ มีงเตรียมตัวไว้เลยอยากแกล้งหลานกูดีนัก

“เปิดการ์ตูนให้หน่อย” ริวกระตุกแขนเสื้อเชิ้ตยิกๆ แล้วชี้ไปที่โทรศัพท์ในกระเป๋าตรงหน้าอก ผมพยักหน้ารับก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นแล้ววางลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอีกตัวเพื่อไม่เป็นการรบกวนไอ้ทอยที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ

“โดราเอมอนใช่ไหม?” ผมเอ่ยชื่อการ์ตูนเรื่องโปรด ของริวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วเปิดวีดีโอให้ดู เจ้าตัวแสบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ดีนะที่ติดที่ตั้งเอาไว้ด้านหลัง ไม่อย่างนั้นต้องเสื้อเวลาไปหยิบโน้ตบุ๊คที่ชั้นสองอีก ขืนปล่อยหลานไว้กับไอ้ทอยอีกครั้งคงร้านแตก พี่ยูด่ายับแน่ๆ

ผมนั่งดูการ์ตูนเป็นเพื่อนหลานอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าสมาธิของเขาจดจ่อตรงนั้นแล้วผละตัวออกมาเพื่อคุยกับไอ้ทอยตัวปัญหา

“ทอย...” ผมเรียกมันเสียงต่ำ

“หืม?” ไอ้ทอยเงยหน้าขึ้นจากชามราเมน ปากยังดูดเส้นเข้าไปไม่หยุดหย่อน เห็นสภาพมันแล้วอยากถ่ายรูปไปประจานในเพจสายการบินจริงๆ เลย ดูสิว่ายังจะมีคนชื่นชมอยู่อีกหรือเปล่า

“มึงพูดอะไรกับหลาน?”

“เปล่า”

“จะเปล่าได้ยังไง ริวงอแงขนาดนั้น” ผมชักสีหน้าไม่พอใจใส่มัน ถ้าไม่ได้ทำหลานจะโวยวายเสียงดังทำไม ผีแกล้งเหรอไง อย่าให้กูต้องเปิดกล้องวงจรปิดในร้านดูนะ

“ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย” มันโบกมือปัดๆ แล้วคีบทาโกะยากิใส่ปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ให้มากกว่านี้ ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วมันเป็นเรื่องเล็กมากแต่ที่ไม่ยอมความเพราะริวคือหลานที่ยังเป็นเด็กตัวนิดเดียว ไม่โดนคนอื่นแกล้งคงไม่ร้องพร่ำเพรื่อ ถ้าโตพอที่จะมีเล่ห์เหลี่ยมก็อีกกรณี

“แต่มึงทำหลานกูร้องไห้” ผมลุกขึ้นยืนค้ำหัวไอ้ทอยก่อนจะเอื้อมมือไปบีบไหล่ของมันเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาคมเหลือบมองกันอย่างเหลืออด ตะเกียบในมือถูกกระแทกลงบนชามราเมนบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์

“อย่าเซ้าซี้น่าปัณณ์ กูแค่แกล้งริวเล่นๆ” มันปัดมือผมทิ้งแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เสียงถอนหายใจเบาๆ นั้นยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น มึงแกล้งอะไรหลาน กูอยากรู้รายละเอียดมากกว่านั้น

“ถ้ามึงไม่บอก ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก” ผมยื่นคำขาด ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าตัวเองจะดูงี่เง่ามากแค่ไหนหรือลูกค้าจะมองเราสองคนยังไง ถ้าเรื่องแค่นี้ไอ้ทอยยังปริปากบอกความจริงไม่ได้คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด

“กูเพื่อนมึงนะ” ไอ้ทอยหน้าตึงมองผมด้วยสายตาดุดันเหมือนแยากกินเลือดกินเนื้อ

“แน่ใจเหรอว่ามึงยังอยากเป็นเพื่อนกับกู” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหลุดปากพูดประโยคนั้นออกไป อาจจะเป็นสถานการณ์บีบคั้นหรือความอึดอัดภายในใจ ตอนนี้เรื่องหลานตกไปเป็นรองกลายเป็นยกเรื่องตัวเองขึ้นมาแทรก ช่างเถอะ ยังไงๆ วันนี้มันต้องจบทุกอย่าง

“เอาอะไรมาพูด” ไอ้ทอยหันขวับมามองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก มันทั้งวูบไหวและหวาดกลัว ผมเข้าใจอาการของคนที่ต้องพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้เป็นอย่างดี เวลาที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างมันช่างทรมานเหลือเกิน

“ความจริงที่มึงแสดงออก” ผมจ้องตาคู่สนทนา แต่ไอ้ทอยกลับบ่ายเบี่ยงแกล้งยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

“กูแสดงออกอะไร ก็ปกติดีทุกอย่าง” มันตอบด้วยท่าทางกวนๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างให้กัน ทำตัวเหมือนปกติบ้าอะไร มีงทะเลาะกับเด็กสามขวบ ถ่ายรูปกูลงไอจี เซ้าซี้เรื่องพี่ยูกับกราฟ ทำตัวอ้อนเหมือนแฟน มันใช่เหรอวะทอยธรรมชาติน่ะเป็นแบบนี้เหรอ

“พี่เคียวครับ” ผมหันไปกวักมือเรียกพี่เคียวที่กำลังเก็บโต๊ะอยู่ตรงมุมร้านด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ฝ่ายนั้นคงนึกว่าโดนโกรธเลยรีบทิ้งงานวิ่งมาหากันทันที โธ่ ปัณณ์ขอโทษที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

“ครับน้องปัณณ์”

“ฝากดูเจ้าตัวแสบหน่อยครับ เดี๋ยวผมขอคุยธุระกับเพื่อนแป๊ปนึง” ผมคลี่ยิ้มให้พี่เคียวเพื่อให้เขาสบายใจว่าไม่ได้โดนโกรธอย่างที่คิด

“ได้ครับๆ” พี่เคียวตอบรับก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งข้างริว ถ้าพี่ยูออกมาเห็นว่าอู้งานคงโดนด่าหูชาแน่ ก็ได้แต่ภาวนาให้เขาง่วนอยู่กับการคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆ ก็แล้วกัน

“ส่วนมึงมานี่” ผมหันกลับไปคว้าข้อมือไอ้ทอยเพื่อลากออกไปคุยด้านหลังร้าน มันเสี่ยงที่พี่ยูจะได้ยินแต่ดีกว่าลูกค้าเห็นล่ะวะ

“อะไรวะ ลากกูทำไมเนี่ย?” มันโวยวายแต่ก็ไม่จอมสะบัดมือออกจากการเกาะกุม แถมใบหน้าที่แสดงออกตแนนี้กลับเต็มไปด้วยความดีใจมากกว่า หรือว่าสมองมึงมีปัญญาหา กูโมโหจะตายอยูาแล้ว!

“มาเปิดอกคุยกันให้จบๆ” ผมปล่อยแขนมันเมื่อถึงที่หมายแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ตรงนี้เหมือนที่พักผ่อนหย่อนใจของทุกคนในร้าน สามารถสูบบุหรี่ได้ มีกระถางดอกไม้และต้นไม้ประดับพอให้มีชีวิตชีวา

“อยากเห็นกูแก้ผ้าเหรอ?” ไอ้ทอยที่ยืนค้ำหัวผมอยู่นั้นคลี่รอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยก่อนจะวางมือลงบนกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ต มันทำท่าจะปลดในขณะที่ผมกำหมัดแน่นแล้วจิกตาใส่ สื่อสารทางอารมณ์ให้รู้ว่าตอนนี้ไม่สนุกด้วย

“ทอย กูซีเรียส”

“โอเคๆ มีอะไรก็ว่ามา” มันหุบยิ้มแล้วทิ้งตัวลงข้างกัน ดวงตาคมจ้องมองมาที่ผมอย่างรอคอยว่าจะพูดอะไร ขอทำใจสักสิบวินาทีได้ไหม นี่มันเรื่องใหญ่ระดับหัวใจและความสัมพันธ์เลยนะ

“มึง... ชอบกูเหรอ?” ผมถามมันเสียงแผ่วแต่เชื่อว่าคงได้ยินอย่างชัดเจนเพราะตรงนี้เงียบสงบอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งที่ปกติแล้วได้ยินเสียงรถวิ่งแทบตลอดเวลา อะไรๆ คงเป็นใจให้เราได้เคลียร์เรื่องค้างคา

“ชอบสิ ไม่ชอบจะมาเป็นเพื่อนกันทำไมวะ?” ไอ้ทอยตอบด้วยน้ำเสียงปกติแต่ผมกลับขมวดคิ้วยุ่งเพราะคำตอบนั้นมันเหนือความคาดหมายไปไกล เมื่อครู่เพิ่งบอกไปว่าจริงจังแล้วตอนนี้ทำไมกลับมากวนตีนอีกแล้ว มึงต้องการอะไรจากกูไม่ทราบครับเพื่อน

“มึงรู้ว่ากูไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ผมยังคงอารมณ์ไว้ในระดับเดิม พยายามมองดอกไม้ใบหญ้าไปเรื่อยแทนที่จะเป็นไอ้ทอย

“ปัณณ์...” มันเรียกผมแค่นั้นแล้วเงียบไป หางตาเหลือบเห็นว่าไอ้ทอยกำลังก้มหน้าต่ำและกำหมัดแน่นเหมือนพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ อยากรู้จริงๆ ว่ามันสามารถทนเก็บความรู้สึกนั้นได้มากแค่ไหน จะเท่ากับที่ปัณณ์ทำได้มาตลอดเวลาเป็นสิบปีหรือเปล่านะ

“ตอบมา” ไม่อยากคาดคั้น แต่ถ้าไม่ทำเรื่องก็คงไม่จบ คนเราไม่สามารถปล่อยวางเรื่องใกล้ตัวขนาดนี้ไปได้หรอก ถึงภายนอกจะทำตัวปกติแต่ข้างในคงอึดอัดแทบบ้า

“กูไม่ต้องพูดอะไรมึงก็คงรู้ดี” ไอ้ทอยหันมาคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆฝน มันคงเหมือนสภาพจิตใจของเราทั้งคู่ในตอนนี้ ไม่สดใส อึดอัด ขุ่นมัว หาทางออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือในขณะที่ออกปากถามมันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มันทรยศความเป็นเพื่อนของเราตั้งแต่ตอนไหน ทำไมเพิ่งมาแสดงออกชัดเจนเอาตอนนี้ หรือเพราะว่าความใกล้ชิดกับพี่ยูมีมากขึ้นกว่าเดิม

“.....” มันปิดปากเงียบก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อหันหลังกลับเข้าร้าน การกระทำนั้นปลุกอารมณ์ดิบของผมขึ้นทันที ถามไม่ตอบคืออะไรวะ

“กูถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มึงรู้สึกแบบนั้น!” ผมตะโกนเสียงดังลั่นโดยไม่สนว่าใครจะได้ยินบ้าง ไอ้ทอยชะงักกึกก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอแล้วหันมองกันด้วยสายตาปวดร้าว

“หลังจากงานแต่งพี่ยู คืนที่มึงร้องไห้เจียนตาย” มันยอมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คนที่เข้มแข็งอย่างไอ้ทอยกำลังจะร้องไห้แล้ว ผมผิดเหรอที่ถาม...

“ห้าปีแล้วสินะ” เวลาที่มันแอบรักผมนานพอที่จะบอกว่าเนียนใช้ได้เลย หึ

“อืม... กูรู้ว่าไม่ควรรู้สึก แต่ก็ยังอยากเข้าไปแทนที่พี่ยู อยากถูกรัก อยากเป็นคนสำคัญ อยากดูแล อยากเช็ดน้ำตา อยากเป็นทุกๆ อย่างในชีวิตให้มึง” มันร่ายยาวแล้วพุ่งเข้ามารวบกอดผมไว้ทั้งตัว ไหล่ที่ถูกซบเริ่มเปียกชื้นแต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น ผมไม่ได้ผละมันออกแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองกลับ

“เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

“กูอยากเป็นมากกว่านั้น ให้โอกาสได้ไหม?” ไอ้ทอยผละออกแล้วจับไหล่ผมไว้แน่น ดวงตาคมสบมองอย่างอ้อนวอนแต่ผมกลับดึงมือเพื่อนมากุมเอาไว้แล้วคลี่ยิ้มบางให้ ถึงในชีวิตปัณณ์จะไม่มีพี่ยู เพื่อนคนนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกวำหรับความสัมพันธ์แบบนั้น

“เพื่อนก็คือเพื่อนมันเปลี่ยนไม่ได้หรอก เหมือนกูกับพี่ยูไง เริ่มด้วยสถานะไหนก็จบลงด้วยสถานะเดิม”

“มึงไม่เปิดใจไง จะเก็บไว้ให้เขาทำไมในเมื่อรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้!” มันตะโกนเสียงดังก่อนจะพยายามเข้ามาจูบ ผมออกแรงผลักจนเพื่อนกระเด็นไปชนเข้ากับกำแพงร้าน อยากเข้าไปช่วยแต่ปล่อยไว้แบบนั้นคงดีแล้ว คนเรามันจะเจ็บก็ต้องเจ็บให้สุดแล้วหลังจากนั้นแผลมันคงดีขึ้นเอง

“มึงควรตั้งสติให้มากกว่านี้ กลับไปคิดทบทวนว่าอะไรดีหรือไม่ดี กูไม่ได้ปิดใจ แต่กูแค่ไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว ไม่อยากเจ็บซ้ำซาก” ผมพูดสิ่งที่คิดมาเสมอให้เพื่อนฟังแบบหมดเปลือก ไม่มีการกั๊กคนที่มาชอบตัวเองแต่อย่างใด ไอ้ทอยกัดฟันแน่นพร้อมแสดงสีหน้าเจ็บปวดจนน่าสงสาร แต่เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้ายิ่งปลอบเรื่องราวคงยิ่งไปกันใหญ่ คนอ่อนแอมักอ่อนไหวเสมอ

“มึงแม่งงี่เง่า ไหนว่าลืมได้แล้วไง!” ไอ้ทอยตะโกนอย่างเหลืออดแล้วจับไหล่ผมเขย่าอย่างแรงจนรู้สึกเวียนหัวและเริ่มโมโหขึ้นมากกว่าเก่าแต่พยายามควบคุมอารมณ์

“มันเป็นเรื่องของกู มึงไม่จำเป็นต้องรู้ กลับไปซะเถอะ” ผมผลักเพื่อนสนิทออกห่างแล้วเดินไปที่ประตูร้านเพื่อกลับเข้าไปด้านใน แต่ไอ้ทอยก็คว้าข้อมือเพื่อรั้งกันเอาไว้

“ปัณณ์... อย่าไล่กูแบบนี้” น้ำเสียงสั่นเครือมาพร้อมกับแรงกอดรัดจากด้านหลัง ใบหน้าหล่อของมันซบลงบนลาดไหล่พึมพำตัดพ้อไม่หยุดปาก ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วแกะมือนั้นออก วันนี้คงเคลียร์ไม่จบเพราะต่างคนต่างอยู่ในสภาวะจิตใจย่ำแย่

“กลับไปทอย อย่าให้กูอารมณ์ดิ่งไปมากกว่านี้” ผมหันไปบอกมันเสียงแข็ง ขอโทษที่ความอดทนกำลังหมดลง ขอโทษที่มองข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้ ขอโทษที่กลัวคำว่าเพื่อนจะหายไป ขอโทษ

“ขอโทษครับปัณณ์ แต่ทอยรัก... ฮึก”

“กลับไป!” ผมตะโกนใส่มันครั้งสุดท้ายแล้วเปิดประตูกลับเข้าภายในร้าน ตอนที่กำลังจะเดินผ่านห้องครัวก็โดนฝ่ามืออุ่นรั้งต้นแขนเอาไว้ ใบหน้าหล่อที่มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย ทำไมต้องรู้สึกอ่อนแอต่อหน้าพี่ยูด้วย

“ปัณณ์... ร้องไห้เหรอ?” คำถามของพี่ยูทำให้ผมเบิกตากว้างก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีน้ำใสๆ ไหลลงบนแก้ม ทำไมล่ะ...

“หา ปะ เปล่านี่ครับ” ผมรีบปฏิเสธแล้วบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อหลีกหนีไปจากตรงนี้ ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วจะรู้ว่าพี่ยูคงได้ยินสิ่งที่พวกเราตะโกนใส่กันไม่มากก็น้อย

“กอดกันไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมอ้อมแขนที่อ้าออกเตรียมพร้อมรับ ผมมองพี่ยูผ่านม่านน้ำตาที่มีมากขึ้นแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ตอนนี้กลัวไปหมดทุกอย่าง ถ้าหากว่าเผลอกอดเขาไปแล้วความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นมาจะทำยังไง

“ไม่เอาครับ”

“มาเถอะ เผื่อจะทำให้สบายใจขึ้น” พี่ยูไม่รอฟังคำตอบแต่เดินเข้ามารวบกอดผมเอาไว้ก่อนใช้มืออุ่นลูบลงบนหัวอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายแข็งแกร่งทำให้อารมณ์คุกรุ่นลดระดับลง ยอมแล้ว ยอมจริงๆ ไม่ว่าจะพยายามตีตัวออกห่างมากแค่ไหนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ที่เดิม

“อยากร้องไห้ก็ร้องนะ ไม่ต้องเก็บเอาไว้”

“อึก มันไม่แมน” เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นจนรู้สึกปวดหัวปวดตาไปหมดแล้ว

“เวลาเสียใจยังจะห่วงภาพลักษณ์อีกหรือไงเจ้าเด็กน้อย” พี่ยูทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยากหยุดเวลาตอนนี้เอาไว้ ไม่ต้องคิดเรื่องไอ้ทอยหรือเรื่องความรู้สึกที่มีต่อเขา

“ฮึก... พี่ยู กอดปัณณ์แน่นๆ นะ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมยอมหลุดแทนชื่อตัวเองกับเขา พี่ยูคือคนที่คอยดูแล ช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ทำทุกๆ อย่างแทนพี่ป่านทุกเรื่อง ถ้าไม่เพิ่มระดับความสัมพันธ์ขอแค่สถานะเดิมแบบนี้ตลอดไปก็ได้ ไม่ต้องรักมากกว่านี่อีกแล้ว

“ครับ จะกอดจนกว่าจะหยุดร้องเลย” แล้วเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ

ผมถูกสั่งให้ขึ้นไปนอนพักด้านบนตลอดทั้งช่วงบ่ายโดยพี่ยูเป็นคนจัดการคุยกับไอ้ทอยให้ทั้งหมด เขาไม่ได้ด่าทำเพียงแค่บอกให้มันกลับไปก่อน ถ้าคุยตอนนี้มีแต่เรื่องจะเลวร้ายลงทุกที ปัณณ์ก็แค่คนที่แกล้งเข็มแข็งทั้งที่ข้างในเปราะบางยิ่งกว่าแก้ว ทั้งที่เตรียมใจมาแล้วว่าคงรับเรื่องที่เพื่อนแอบชอบได้ แต่พอเจอเข้ากับสถานการณ์จริงทุกอย่างมันดูเบลอไปหมด

ผมตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ เรียกอยู่ข้างหู จำได้ดีว่าเป็นเจ้าตัวแสบที่ตืดกันอย่างกับอะไรดี คงโดนคุณพ่อใช้ให้มาปลุกแน่ๆ ก็ตอนนี้มันสองทุ่มกว่าเข้าไปแล้วนี่ ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนี้

เจ้าตัวแสบจูงผมลงบันไดพร้อมกับหนีบตุ๊กตาสุดที่รัก ริวไม่ยอมปล่อยมือกันเลยด้วยสาเหตุที่ว่าน้าปัณณ์กำลังเศร้าและที่สำคัญคือป๊าขอร้องให้มาปลอบใจ มันคือความน่ารักของสองพ่อลูกบ้านนี้ อบอุ่น เป็นกันเอง

“คืนนี้ไปค้างที่บ้านพี่ก็แล้วกัน” คำแรกที่พี่ยูพูดเมื่อเห็นหน้ากันทำให้ผมเกือบสะดุดบันไดขั้นสุดท้าย หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติเริ่มไม่รักดี ความรู้สึกสับสนตีรวนขึ้นมาในอกอีกครั้ง ไม่ดีแน่ๆ แค่ถูกเขากอดทำไมต้องหวั่นไหวอีกแล้ว

“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว กลับคอนโดดีกว่าครับ” ผมแสร้งคลี่ยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจก่อนจะนั่งยองลงเพื่อบอกลาเจ้าตัวแสบที่ยังไม่ยอมห่างไปไหน นี่กะจะตามกลับไปที่คอนโดด้วยกันเลยไหม ถ้าพี่ยูอนุญาตปัณณ์ก็พร้อมรับเลี้ยงนะ ดีซะอีที่คืนนี้มีหมอนกอดอุ่นๆ ไว้ข้างตัว

“อย่าดื้อ ร้องไห้จนตาบวมขนาดนี้จะขับรถกลับยังไงไหว” เสียงดุๆ มาพร้อมกับมะเหงกที่เขกลงกลางหัวดังป๊อก ผมเผลอร้องโอ๊ยจนริวสะดุ้งแล้วหันไปเบะปากใส่พ่อที่บังอาจมาทำร้ายน้าปัณณ์ จะให้โกรธพี่ยูก็คงไม่ได้เพราะนั่นคือความหวังดีของเขา แต่มันไม่ดีต่อหัวใจเลย ช่วงอ่อนแอถ้าได้ใกล้ชิดกันกลัวว่าความรู้สึกเก่าๆ จะหวนกลับมา

“แต่ว่า...”

“น้าปัณณ์ ~ นอนกับริวนะ นะ” มันก็จะพบเจอความฉิบหายเพราะเด็กอ้อนนี้ล่ะ โอย ทำไมผมต้องแพ้ความน่ารักของริวด้วยเนี่ย แล้วไหนจะสายตาเป็นห่วงของพี่ยูอีก ถ้าร่วมมือกันทั้งพ่อทั้งลูกขนาดนี่ก็เอามีกมาแทงกันเลยเถอะ

“คือ...” ผมยังคงมองหาคำปฏิเสธอย่างสมเหตุสมผลแต่สุดท้ายก็โดนขัดด้วยเสียงทุ้มของพี่ยูที่รอจังหวะอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่น่าเลยริว หนูกำลังทำให้น้าลำบากใจ

“หลานอยากนอนด้วย ปัณณ์จะใจร้ายเหรอ?” พี่ยูกำลังกดดันผมด้วยความเป็นห่วงและเอาเรื่องหลานมาอ้าง จะปฏิเสธก็ดูเป็นน้าที่ใจร้ายจริงๆ แต่ลึกๆ ก็กลัวว่าถ้าไปนอนแล้วเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจมันต้องทำยังไงต่อ เสี่ยงเหลือเกิน

“โธ่ ก็ได้ครับ ผมโดนรุมแบบนี้จะเอาอะไรไปชนะล่ะ” แต่สุดท้ายไม่รู้ทำไมถึงหลุดปากตอบออกไปแบบนั้น อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ เฮ้อ




-------------------------------------------------


เขียนเพลินจริงๆ ตอนนี้เลยยาวมากกว่าปกติ

เฉลยแล้วเนอะว่าทอยคิดยังไงกับปัณณ์

ส่วนพี่ยูก็ยังเป็นปริศนาคาใจกันต่อไป 

ตอนหน้าเขาจะนอนด้วยกันล่ะ !?


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 5 : สเต็กแซลมอน



การตัดสินใจผิดพลาดทำให้ผมต้องทนนั่งอยู่บนเตียงด้วยหัวใจเต้นระรัว ดวงตารีเหลือบมองเจ้าของบ้านที่ตอนนี้กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองทีละชิ้นจนเหลือแต่บ็อกเซอร์แล้วหันไปจัดการกับลูกชายต่อโดยไม่แคร์ใคร เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติของพี่ยูแต่ไม่ใช่สำหรับปัณณ์ จะออกปากเตือนเดี๋ยวโดนหาว่าเรื่องมากอีก ก็ผู้ชายเหมือนๆ กัน อายทำไม

ผมพยายามละสายตาจากเขาหลายครั้งแต่สุดท้ายก็กลับไปที่จุดโฟกัสเดิมเหมือนโดนมนต์สะกด ขนาดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมยังไม่มีสมาธิ ถ้าเปลี่ยนใจกลับคอนโดตอนนี้ได้ไหม เพิ่งสามทุ่มเอง

“ปัณณ์” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกทำให้ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะทำโทรศัพท์ตกลงบนเตียง ลนลานเก็บมันขึ้นมาแล้วตอบรับอีกคนด้วยท่าทางตื่นๆ เมื่อครู่พี่ยูจะทันเห็นไหมว่าโดนมองอยู่

“คะ ครับ!” พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองแล้วแต่ยังตกใจไม่หายเลยเผลอตะโกนรับออกไป พี่ยูที่ก้มตัวลงเพื่ออุ้มริวถึงกับชะงักมือก่อนหันมามองกันด้วยสายตาสงสัย โอย ผมมันแย่เองที่ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยโดยไม่ระวัง

“พี่ทำให้ตกใจเหรอ? ขอโทษครับ” พี่ยูก้มหัวขอโทษแล้วคลี่ยิ้มบางเพื่อปลอบใจกัน ผมส่ายหน้ารัวปฏิเสธก่อนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้สองพ่อลูกเพราะมันแขวนอยู่ที่ประตูเสื้อผ้า หวังว่าคงเดาใจเขาถูกว่าจะใช้ทำอะไร

“พี่ยูจะเอาผ้าเช็ดตัวใช่ไหมครับ?” ผมถามพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวทั้งสองผืนให้ เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนสงสัยแต่ก็ยอมรับไปพาดบ่าอีกข้าง ตกลงว่าปัณณ์เข้าใจผิดใช่ไหม โธ่เว้ย น่าจะสงบจิตสงบใจแล้วรอฟังดีกว่า แบบนี้ดูมีพิรุธมากแน่ๆ ทำไมเวลาอยู่ด้วยกันถึงต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้วะ ท่องไว้สิว่าไม่รู้สึกอะไรแล้ว

“ปัณณ์เป็นอะไรหรือเปล่า?” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้คล้ายจะดูให้แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่ผมกลับถอยหลังแล้วโบกมือรัวๆ ทำไมถึงควบคุมอาการไม่ได้สักอย่าง ต้องเป็นเพราะผิวขาวอมชมพูกับซิกแพคแน่นๆ ที่ทำให้อิจฉานั่นแน่ๆ คิดว่าหุ่นเฟิร์มจะโชว์ใครก็ได้หรือไง

“ปะ เปล่าครับ รีบไปอาบน้ำเถอะ ดึกแล้ว” เมื่อไหร่จะเลิกพูดตะกุกตะกักแล้วก้มหน้ามองพื้นสักทีวะ หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนเปลื้องผ้าของกราฟออกทีละชิ้นซะอีก

“น้าปัณณ์อาบกับริวนะ นะ” เสียงเล็กๆ กับมือน้อยที่เอื้อมมาแตะแก้มกันทำให้ผมเบิกตาโตแล้วเงยขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ ผมแทบจะขาดอากาศหายใจแต่ดีที่พี่ยูมัวแต่ทำหน้าดุให้ลูกชาย หลานช่วยขออะไรที่มันห่างไกลคำว่าใกล้ชิดได้ไหม ตัวแค่นี้แต่ทำเหมือนรู้ดีไปซะทุกอย่าง หรือริวเกิดมาเป็นกามเทพกันแน่ แต่ปัณณ์ไม่ต้องการ มันไม่ใช่ มันผิด... นั่นพี่เขยนะ

“อาบกับป๊าดีกว่าครับ” พี่ยูพยายามกล่อมเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดหลอกล่อด้วยการบอกว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุกในวันหยุดบ้าง ยอมซื้อขนมให้กินบ้างแต่ริวไม่สนใจฟังเพราะสายตายังจ้องผมไม่ละไปไหน ความพยายามของเด็กที่แท้จริงมันน่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ

“อาบด้วยกันสามคนเลยน้า นะ ~” ริวใช้นิ้มป้อมๆ จิ้มแก้มของผม ดวงตากลมโตฉายแววอ้อนจนเกือบเผลอใจอ่อนตอบตกลงแต่เมื่อคิดได้ว่าอาบน้ำด้วยกันต้องถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน ความรู้สึกวูบโหวงมันก็ค่อยๆ ตีตื้นขึ้นมาในอก จะทนเห็นชีเปลือยตัวพ่อได้ยังไงวะ ความมั่นใจว่าตัวเองมั่นคงตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ภาพในหัวที่พยายามนึกถึงกราฟนั่นว่างเปล่าเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ความพยายามของปัณณ์เมื่อสองอาทิตย์ก่อนกำลังกลายเป็นเรื่องโมฆะอย่างนั้นเหรอ

“เอ่อคือว่า...” ผมคิดหาคำปฏิเสธสวยหรูให้หลานไม่ได้ ขนาดพี่ยูเอาทั้งขนมและการไปเที่ยวมาล่อยังไม่ได้ผล ต้องทำยังไงวะ สมองเสือกไม่สั่งการอะไรแล้วด้วย ขนาดเรื่องดราม่าของไอ้ทอยยังจางหายไปกับอากาศ

“ปัณณ์ไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเจ้าตัวแสบเอง” พี่ยูบอกด้วยน้ำเสียงใจดีก่อนจะยื่นมือมาแตะบ่ากัน ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แค่นี้ก็รอดตายไปได้หนึ่งเหตุการณ์ แต่ถ้ามันจบแค่นี้คงง่ายไปสำหรับชีวิตนายปัณณ์เพราะริวกำลังเบะปากแถมน้ำยังมีน้ำใสๆ ปริ่มขอบตา บ้าเอ๊ย อย่าร้องนะเจ้าตัวแสบ

“ไม่เอา จะอาบกับน้าปัณณ์ด้วย ป๊าขี้งก!” ริวกอดอกแน่นแล้วบุ้ยปากใส่พี่ยูจนแทบติดปลายจมูก คนเป็นพ่อถึงกับถอนหายใจแล้วใช้ตายตาดุๆ มอง ช่วงนี้เด็กน้อยเอาแต่ใจเป็นพิเศษอาจจะเป็นเพราะอยากใช้เวลากับน้าปัณณ์ที่มีบรรยากาศคล้ายแม่ของตัวเอง

“เรามันดื้อ”

“งือ ป๊าดุ” ริวน้ำตาหยดแหมะ ผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหลานร้องไห้เลยตัดสินใจแบบไม่คิดชีวิตว่าต่อไปตัวเองจะเป็นคนตายก่อนหรือเปล่า

“เอ่อ ผมอาบด้วยก็ได้ครับ” ผมบอกอีกฝ่ายเสียงอ้อมแอ้ม พยายามคลี่ยิ้มและสบตาตามปกติที่คนเป็นพี่น้องเขาทำกัน แต่หัวใจไม่รักดีกลับเต้นแรงจนรู้สึกกลัวว่าพี่ยูจะได้ยิน ไอ้สถานะไร้การควบคุมมันคืออะไร หรือว่าปัณณ์กลับไปชอบเขาอีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยขัดจังหวะทีได้ไหม

“ถ้าลำบากใจไม่ต้องฝืนนะปัณณ์ ริวก็แค่งอแงไปตามประสาเด็ก” พี่ยูเหมือนจะสังเกตจากแววตาของผมออกว่ามันมีความกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย แต่การส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อยืนยันคำตอบเดิมก็ช่วยได้มากจริงๆ

“มะ ไม่เป็นไร รีบไปเถอะครับ” ผมอ้อมไปด้านหลังแล้วผลักให้พี่ยูรีบเดินเข้าห้องน้ำในขณะที่ตัวเองลอบถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตารีมองประตูสีขาวที่แง้มเปิดอยู่ด้วยความขัดเขิน ถ้าเปิดเข้าไปต้องเจอภาพแบบไหนเป็นอย่างแรกวะ พี่ยูยืนใต้ฝักบัวหรือนั่งแช่ฟองสบู่อยู่ในอ่าง เอาเป็นว่าตอนนี้ทำใจถอดเสื้อผ้าให้ได้ก่อนแล้วกัน

เพราะมัวแต่ยืนนับเลขเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่หน้าห้องน้ำเลยโดนเสียงทุ้มๆ เอ่ยเรียกชื่อกัน ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วยื่นมืออันสั่นเทาไปผลักประตูบานสีขาวให้เปิดออก ภาพที่เห็นทำให้ลมหายใจติดขัด พี่ยูกำลังนั่งพิงหลังกับอ่างโดยที่ริวเดินไปเดินมาผ่าฟองสบู่เล่น สรุปว่าต้องลงไปอัดกันสามคนในที่แคบแบบนั้นเหรอ มันให้ความรู้สึกวาบหวิวเหมือนอีหนูกำลังลงอ่างกับเสี่ยเลยว่ะ

ถึงผมจะผ่านสนามรบที่ได้ชื่อว่าเตียงกับคู่นอนมากหน้าหลายตาแค่ไหนแต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ยูก็เหมือนว่าตัวเองกลายเป็นเด็กไม่ประสีประสา หน้าบางลงแบบกะทันหัน ทำตัวไม่ถูก พยายามเก็บอาการแต่ก็ยังสั่นทุกครั้งเมื่อเจอสถานการณ์ล่อแหลมชวนคิด ปัณณ์สามารถต่อรองเพื่อเอาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งอาบน้ำฝักบัวอยู่ข้างๆ อ่างได้ไหม

พี่ยูหันมาประสานสายตากับผมพร้อมรอยยิ้มละมุนพลางกวักมือเรียกให้ลงอ่างด้วยกัน ส่วนริวอ้าแขนรอรับน้าชายคนดีด้วยความตื่นเต้นทำให้สิ่งที่ตั้งใจว่าจะปฏิเสธตั้งแต่แรกถูกพับเก็บ นี่มันบรรยากาศวาบหวิวระหว่างคู่รักไม่ใช่เหรอวะ อยากหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้าฉิบหาย

“คือ...”

“เดี๋ยวพี่ขยับที่ให้ ลงมาสิ” ปล่อยให้ผมพูดสักประโยคก็ไม่ได้เลยใช่ไหม แล้วไอ้ท่าทางขยับที่ว่างให้ทำไม่ต้องชันขาจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนด้วยล่ะครับพี่ยู ไม่เห็นใจคนมองบ้างหรือไงว่าคิดไปไกลแค่ไหน ถ้ากำเดาไหลใครรับผิดชอบหืม

“น้าปัณณ์ ฟู่ ~” ริวเป่าฟองในมือใส่ผมขณะที่ก้าวลงอ่างแบบเก้ๆ กังๆ น้ำกระเพื่อมเป็นระลอกจนรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะกลัวว่าจะเห็นของสงวน

“ริวนั่งลงดีๆ ครับ เดี๋ยวลื่น” พี่ยูคว้าเอวลูกชายไว้แน่นแล้วดึงตัวริวออกไปเพื่อให้ผมหย่อนตัวลงในอ่าง ฟองสบู่สีขาวค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาจนปิดท่อนล่างไว้อย่างมิดชิด แต่สุดท้ายมันก็กระจายออกเมื่อเจ้าตัวแสบแหวกน้ำเข้ามานั่งบนตัก

“ถูหลังกัน ฮึบๆ” ริวเอื้อมมือไปหยิบใยขัดตัวสีฟ้าสดใสแล้วใช้มันถูๆ ไปตามหน้าอกของผมอย่างสะเปะสะปะ ดวงตารีเหลือบมองคุณพ่อที่นั่งเงียบอยู่อีกฝั่งแล้วก็เผลอกลั้นหายใจเพราะเขาจ้องมาทางนี้ ไม่รู้จุดโฟกัสคือปัณณ์หรือเด็กบนตัก อยากถอดบ็อกเซอร์มาปิดหน้าฉิบหาย ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ

“ปัณณ์” พี่ยูเรียกชื่อกันก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังจนชิดขอบอ่าง แขนทั้งสองข้างกอดกระชับเด็กน้อยที่ยังซนไม่เลิก เอาใยขัดตัวถูตรงนั้นทีตรงนี้ทีให้รู้สึกสยิวเล่น อย่าวนตรงยอดอกนักสิครับริว เดี๋ยวพ่อนายก็หาว่าน้าหื่นหรอก

“ครับ?” ผมขานรับด้วยน้ำเสียงโทนปกติแต่ไม่กล้าสบตาเขา มองลงเบื้องล่างก็เห็นว่าพี่ยูยังใส่บ็อกเซอร์เหมือนกันพลอยให้โล่งใจได้หนึ่งเรื่อง

“ทีหลังบอกแฟนให้เบามือหน่อยสิ ช้ำเป็นรอยม่วงขนาดนั้นเจ็บแย่” เขายื่นมือมาสัมผัสตรงรอยช้ำที่ไหปาร้าแล้วลูบเบาๆ เหมือนต้องการคลายความเจ็บให้ ผมเกร็งตัวไม่กล้าขยับหนี ดวงตารีมองการกระทำนั้นด้วยความอึ้ง หัวใจเต้นแรงเกินกว่าจะควบคุม ทำไมความรู้สึกถึงได้ปั่นป่วนขนาดนี้ แค่คิดคำโต้ตอบยังไม่ได้เลย

“.....”

“พี่เตือนเพราะเป็นห่วง อย่าโกรธเลยนะ” มืออุ่นผละออกไปแล้วแต่ผมยังคงจ้องมองเขาอยู่เหมือนเดิม ตอนนี้กำลังสับสนว่าควรรู้สึกยังไงที่ถูกเป็นห่วงเรื่องนี้ พี่ยูไม่ตกใจเลยเหรอว่าปัณณ์ขึ้นเตียงกับใคร ไม่เคร่งครัดเรื่องเซ็กซ์เหมือนตอนที่เป็นเด็กเหรอ

“พี่ยูไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่ผมมีแฟน?” ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องการคำตอบแบบไหนด้วยซ้ำแต่ไม่สามารถยั้งปากตัวเองได้ทัน ความหวั่นไหวทั้งร่างกายและจิตใจกำลังอยู่เหนือสมองที่เอาแต่คิดเรื่องผิดชอบชั่วดีหรือความเหมาะสม ถ้าหากว่าคราวนี้ปัณณ์พลาดกลับไปยืนที่จุดเดิม ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร

“หืม หมายความว่ายังไงครับ?” พี่ยูเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนขยับเข้ามาใกล้เพราะโดนเจ้าตัวแสบดึงแขน ทำให้ตอนนี้ขาของเราทั้งสองคนแตะสัมผัสกัน ผมไม่กล้าขยับหนีเพราะกลัวว่าจะแสดงพิรุธ ถ้าหัวใจล้มเหลวคงต้องโทษริว พ่อกามเทพน้อยแผงศรไม่ดูเวล่ำเวลาจริงๆ

“ไม่มีอะไรครับ รีบๆ อาบกันเถอะ ผมง่วงแล้ว” ผมก้มหน้าแล้วแย่งใยขัดตัวมากจากริวเพื่อจัดการอาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อย ไม่สนใจแล้วว่าพี่ยูจะทำหน้าฉงนมากเพียงใด ตอนนี้ขอหลุดออกจากบรรยากาศอึดอัดนี่ก่อนเถอะ

ผมกับริวนั่งกองกันอยู่หน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนเรื่องโปรดที่มีฉายรีรันตอนสี่ทุ่ม เจ้าเด็กน้อยยังตาใสกิ๊งผิดวิสัยจนพี่ยูถึงกับบ่นไม่หยุดเพราะปกติแล้วเวลานี้ลูกชายคงนอนฝันหวานถึงขนมไปแล้ว

“ไม่ง่วงเหรอเจ้าตัวแสบ?” พี่ยูละสายตาจากหน้าจอไอแพดเพื่อมองลูกชายที่นั่งดูการ์ตูนนิ่ง ผมชะงักมือที่กำลังหยิบแก้วนมแล้วลอบสังเกตพฤติกรรมของคนทั้งคู่

“ไม่ง่วง อยู่กับน้าปัณณ์สนุก ~” ปลายประโยคลากเสียงยาวก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งและเข้ามากอดกันอย่างเอาใจ ผมโน้มตัวลงงับแก้มกลมนั่นด้วยความมันเขี้ยว เด็กอะไรเจ้าเล่ห์เหลือเกิน แบบนี้ใครจะไปดุลง

“นอนดึกสักวันคงไม่เป็นไรมั้งครับ” ผมออกตัวแทนหลานแล้วฟัดแก้มกลมๆ นั่นต่อจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมา พี่ยูถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าแบบปลงตกแต่สุดท้ายก็ยกยิ้มมุมปากแล้วกลับไปสนใจไอแพดต่อ

หลายครั้งที่ผมเหลือบสายตามองพี่ยู เขายังไม่เลิกจ้องไอแพดบางครั้งก็ขมวดคิ้วบางครั้งก็พยักหน้ารับคล้ายกับเข้าใจข้อความที่กำลังอ่าน คงเป็นงานจากโรงแรมล่ะมั้ง ก็ตอนนี้มันใกล้สิ้นเดือนที่พวกเราต้องเข้าประชุมสรุปรายได้กันแล้ว

“หาว ~” เสียงของริวดึงสติของผมให้กลับสู่ความเป็นจริง ดวงตากลมใสตอนนี้ปรือปรอยจะปิดลงทุกขณะ ถึงเวลานอนแล้วสินะเจ้าเด็กน้อย

“เดี๋ยวปัณณ์พาริวไปนอนก่อนเลยก็ได้ พี่ขอเคลียร์เอกสารต่อนิดหน่อย” พี่ยูพูดทั้งที่ตายังคงจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมอยู่แบบนั้น ผมพยักหน้ารับแล้วจัดการปิดทีวีและถอดปลั๊กก่อนจะอุ้มริวหนีบเอวเพื่อส่งเข้านอน ท่าทางแบบนี้หัวถึงหมอนคงหลับเลยไม่ต้องงัดวิธีกล่อมให้ยุ่งยาก

“งั้นเดี๋ยวถ้าริวหลับแล้วผมออกมานอนที่โซฟานะครับ” ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันตัวไปทิศที่ห้องนอนตั้งอยู่ บ้านหลังนี้มีชั้นเดียวแต่กว้างขวาง แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน คล้ายกับคอนโดแต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

“นอนด้วยกันสิ เตียงออกจะกว้าง” เสียงพี่ยูดังขัดขึ้นจนผมแทบสะดุดขาตัวเองก่อนจะเม้มปากเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ อาบน้ำด้วยกันยังไม่พออีกเหรอ ทำไมต้องถึงขนาดนอนด้วยกันอีก จงใจแกล้งเพราะเห็นท่าทางเงอะงะของปัณณ์หรือเปล่า

“เดี๋ยวพี่ยูอึดอัด” ผมปฏิเสธด้วยภาพลักษณ์ของเด็กดีที่เป็นห่วงพี่ชายทั้งที่ในใจกำลังกลัวว่าตัวเองจะเผลอไผลปล่อยอารมณ์ให้เป็นอย่างที่จิตใต้สำนึกเรียกร้อง ปัณณ์ทราบดีว่ากำแพงกั้นความรู้สึกนั้นบางลงทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับพี่ยู

“สบายมากครับ ห้ามปฏิเสธ” คราวนี้เขายอมละสายตาจากไอแพดแล้วจ้องมองกันด้วยสายตาอ้อนวอนแกมบังคับ ผมเบนหน้าหนีก่อนจะพึมพำเสียงเบา

“ทำไมชอบบังคับกันนัก”

“เพราะพี่รู้ว่าปัณณ์จะดื้อขอนอนข้างนอก” หูดีเหมือนหมาเลยว่ะ พลาดแล้วไอ้ปัณณ์!

“โอเคๆ ผมยอมแพ้” สุดท้ายผมก็พยักหน้ายอมรับชะตากรรมก่อนจะพาริวเข้าสู่ห้องนอนของพี่ยูด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ที่ยอมแพ้น่ะแค่เรื่องวันนี้ แต่หัวใจต้องปกป้องให้ถึงที่สุด

เตียงขนาดคิงไซส์ตั้งอยู่ชิดริมผนัง อีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้าแบบวอร์คอิน ด้านข้างคือห้องน้ำ หลังผ้าม่านสีเทาเป็นประตูกระจกที่สามารถเปิดออกไปรับอากาศยามเช้าและชมสวนดอกไม้ข้างบ้าน ริมระเบียงมีโต๊ะสำหรับนั่งทำงานหรือจิบชายามบ่าย มันดูเรียบง่ายจนผมอยากมีเป็นของตัวเองบ้าง ใช่ว่าอยากจะอยู่บ้านลอยฟ้าไปตลอดชีวิตซะหน่อย

เจ้าตัวแสบผล็อยหลับไปบนบ่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ ผมวางหลานลงกลางเตียงเพื่อแบ่งอาณาเขตการนอนของผู้ใหญ่สองคน จัดห่มผ้าให้เสร็จสรรพก่อนจะทิ้งตัวลงข้างกัน วันนี้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ไม่ใช่เพราะงานหนักแต่เพราะไอ้ทอย ป่านนี้คงเมาแอ๋ไปแล้วมั้ง แต่คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก คงมีคนคอยดูแลไม่ขาดอยู่แล้ว

ผมรักทอย... แต่อยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อนก็เท่านั้นเอง

เนื่องจากเมื่อช่วงบ่ายเผลอร้องไห้ไปอย่างหนักจึงทำให้ดวงตาช้าเกินต้าน ความมืดเข้าครอบงำช้าๆ ก่อนที่ห้วงนิทราจะดึงผมให้จมลงไปสู่ความฝันแสนหวานที่มีแค่ปัณณ์กับพี่ยูเมื่อครั้งวัยเยาว์

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเตียงนอนฝั่งตัวเองยวบลงและสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ จากร่างกายของใครคนหนึ่ง กลิ่นสบู่ที่คล้ายคลึงกันลอยมากระทบจมูกทำให้ระบุได้ว่าเขาเป็นใคร

“พี่...” ภายใต้แสงไฟสลัวผมกำลังจะเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่กลับโดนนิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากเพื่อให้หยุดพูด ปลายประโยคถูกกลืนหายลงไปในลำคอพร้อมกับที่ลมหายใจสะดุดกึก ทำไมพี่ยูต้องแสดงท่าทีชวนคิดแบบนี้ด้วย

“ชู่ว อย่าเสียงดังครับ เดี๋ยวริวตื่นนะ” เข้าก้มหน้าลงมากระซิบข้างใบหู มันใกล้จนผมต้องย่นคอหนีแต่ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวริวตื่น หัวใจเริ่มเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้

“ทำไม... ไม่ไปนอนฝั่งนู้นครับ” ผมกลั้นใจตั้งคำถามก่อนจะคว้าพี่หมีนุ่มของหลานมากอดไว้เพราะทำอะไรไม่ถูก ความใกล้ชิด เสียงทุ้ม กลิ่นกาย ลมหายใจ สัมผัส ทุกอย่างกำลังปั่นป่วนหัวใจของปัณณ์อย่างรุนแรง

“เจ้าตัวแสบยึดพื้นที่หมดแล้ว ปัณณ์ขยับไปนอนตรงกลางสิ” พี่ยูชี้นิ้วไปอีกฝั่งที่ตอนนี้เจ้าตัวแสบแผ่หลาอยู่สุดขอบเตียงติดกับผนัง ผมอึกอักทำอะไรไม่ถูก แค่คิดว่านอนคนละฝั่งก็หนักพออยู่แล้ว แต่จะย้ายมานอนข้างกันมันมากไปหรือเปล่า

“แต่ว่า...”

“พี่ง่วงแล้ว” พี่ยูตัดบทด้วยการอ้าปากหาวหวอดใส่กัน ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากการยอมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ขยับให้คนตัวโตเข้ามานอนเบียดแล้วพยายามข่มตาหลับ มันช่างยากนัก แต่สุดท้ายความเหนื่อยล้าก็ชนะทุกสิ่ง

ผมหลับลึกกว่าทุกวันที่ผ่านมา โดยปกติต้องมีสักช่วงเวลาที่ตื่นเพื่อลุกไปฉี่ แสงแดดยามเช้าที่ลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาทำให้ต้องหรี่ตาลงแล้วยกมือขึ้นปิดปากเพื่อหาว ทำไมรู้สึกเพลียขนาดนี้วะ หรือเพราะไม่ได้ร้องไห้นานเลยไม่ชิน

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหู ลมหายใจที่เป่ารดนั้นทำให้ผมตื่นเต็มตา สิ่งที่รับรู้คือตอนนี้หัวปัณณ์หนุนอยู่บนแขนพี่ยู จิตใต้สำนึกร้องสั่งให้ดีดตัวออกแทบทันที หัวใจเต้นรัวจนปวดหน้าอก ให้ตายสิ เมื่อคืนกูเผลอทำอะไรลงไปบ้าง

“เอ่อ ขะ ขอโทษครับ” ผมผุดนั่งก้มหน้าเอ่ยคำขอโทษเสียงสั่น ดีหน่อยที่ผ้าม่านทึบสามารถบังแสงแดดได้อย่างดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นพี่ยูคงเห็นว่าปัณณ์หน้าแดงมากแค่ไหน

“ไม่เป็นไร แต่นวดแขนให้พี่หน่อยก็ดี” พี่ยูพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนเริ่มขยับแขนที่น่าจะชาจนไม่รู้สึก ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ใจเย็นๆ เราแค่นอนทับแขนไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น

“ทำไมไม่ปลุกผมล่ะ” ผมหันไปทำตาดุใส่แต่กลับโดนรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์โต้กลับจนต้องแกล้งบิดขี้เกียจเพื่อกลบเกลื่อนอาการขัดเขิน ถ้าไม่ร้องไห้แล้วเหนื่อยพอที่จะหลับไปคงตาค้างทั้งคืน พี่ยูอันตรายต่อหัวใจจริงๆ ใกล้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องถอยออกมาโดยด่วน

“เห็นปัณณ์หลับสบายเลยไม่อยากกวนน่ะ” พี่ยูก็ยังคงเป็นพี่ชายที่ให้ความสำคัญกับน้องเสมอ ถึงสนิทกันแค่ไหนก็ต้องมีความเกรงใจตามมารยาทของผู้ดี ผมรู้สึกว่ามันดูห่างเหินแต่พูดไม่ได้เพราะต่างคนต่างความคิด จะแย้งอะไรควรไตร่ตรองและลองทำความเข้าใจไว้ก่อน

“ตามใจผมตลอด ระวังจะเคยตัวนะครับ”

“ไม่ชอบเหรอ?” พี่ยูลุกขึ้นนั่งทำให้หัวเข่าของเราชนกัน ผมทำใจกล้าไม่ขยับหนีก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนที่โดนทับมาตลอดทั้งคืน ทำผิดก็ต้องยอมรับ

“ผมนวดให้” มือเรียวบรรจงบีบนวดต้นแขนที่มีรอยกดทับสีแดงจางๆ ไม่ออกแรงมากเกินไปเพราะกลัวพี่ยูเจ็บ

“นวดเก่งนะเรา” คำชมลอยๆ ที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานรับอรุณทำให้ผมชะงักมือแต่ยังคงไม่ปล่อยแขนแกร่ง

“ผมก็นวดไปมั่วๆ ล่ะครับ” ออกแรงนวดต่อโดยสายตาโฟกัสไปที่ลำตัวของพี่ยู ผมอยากจะกัดลิ้นตาย ทำไมเมื่อคืนถึงไม่เอะใจว่าเขาถอดเสื้อนอนวะ โอย ลืมไปได้ยังไงเนี่ยปัณณ์

“พอแล้วครับ ขอบคุณมาก” พี่ยูเอื้อมมาแตะมือกันเป็นสัญญาณให้หยุด ผมตกใจผละออกแล้วรีบลุกขึ้นเพื่อหนีไปอาบน้ำด้วยหัวใจที่เต้นแรง จะให้ปัณณ์ตายวันละกี่รอบกันนะ

ผมจัดการอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าของพี่ยู กางเกงในก็ยืมเขาแต่เป็นตัวใหม่เอี่ยมถึงหลวมไปบ้างก็ดีกว่าไม่มีใส่ หลังจากนั้นก็รับหน้าที่จัดกระเป๋าให้ริวเพราะวันนี้คุณอาสุดที่รักจะพาไปเที่ยว บ้านพี่ยูน่ะญาติเยอะ

ส่งตัวริวให้กับญาติของพี่ยูเสร็จแล้วก็พากันขับรถไปหาอะไรกินช่วงเช้า เวลาเกือบแปดโมงทำให้การจราจรติดหนักจนต้องงัดขนมปังที่ติดกระเป๋ามาแบ่งครึ่งกินกันสองคน พอประทังชีวิตได้ในชั่วโมงเร่งรีบได้

“ปัณณ์...” ขณะที่รถติดไฟแดงคนด้านข้างเอ่ยปากเรียกชื่อผมแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดคลอ วันนี้เป็นสไตล์เกาหลีหวานๆ เพราะๆ ตามอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้บรรยากาศเงียบกริบ

“ครับ?” ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรแล้วยกขนมปังในมือที่เหลืออยู่อีกหนึ่งคำใส่ปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย พี่ยูที่มองอยู่ถึงกับหลุดยิ้มก่อนจะเบนหน้ากลับไปมองไฟจราจร

“ใช้แชมพูยี่ห้ออะไร? ผมหอมดีนะ” น้ำเสียงสบายๆ เหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศแต่มันช่างสะเทือนใจคนฟังอย่างรุนแรง พี่ยูต้องเข้ามาใกล้กันแค่ไหนถึงจะได้กลิ่นแชมพูบนเส้นผม หรือว่าเมื่อคืนนี้... บ้าน่า คงไม่ใช่หรอก ต่างคนต่างนอนนี่

“พี่...” ผมไปต่อไม่เป็นเลยได้แต่ครางเรียกเขาไปเท่านั้น

Rrrrr

เสียงริงโทนจัดจังหวะการสนทนาทำให้พี่ยูต้องควานมือหาโทรศัพท์เพื่อกดรับ ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะไม่ต้องตอบคำถามแต่กลับคิดมากว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าแอบโดนกอดโดนหอมหัวจะเป็นไรไหม

“ปัณณ์อยากกินอะไร?” หลังจากที่เขาวางสายก็เอ่ยถามทันทีเพราะเป็นเวลาที่ไฟจราจรเปลี่ยนสี ผมส่ายหัวพรืดปฏิเสธ ตอนนี้ไม่อยากกินอะไร สมองมันพาลแต่จะคิดถึงเรื่องที่โดนถามไปก่อนหน้านี้ ทำไมวะ

“ตามใจพี่ยูเลยครับ” ผมบอกปัดก่อนจะแสร้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น หน้าจอมีข้อความไลน์จากกราฟที่แสดงความตัดพ้อก็เมื่อคืนไม่ได้รับสายเขาเลยมัวแต่วุ่นวายกับสองพ่อลูกนี่

“ไม่เอาครับ พี่ให้ปัณณ์เลือก”

“พี่ยูกำลังทำให้ผมเป็นคนเอาแต่ใจ” ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์เพื่อเหล่ตามองคนข้างกาย ไอ้การสปอยน้องก็ดีแต่มันจะทำให้เคยตัวตัวและเผลอคิดไปไกล ถ้าไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นก็ช่วยทำตัวปกติด้วยเถอะ ดูแลกันแบบนี้ปัณณ์จะแย่เอา หัวใจไม่ใช่หิน มันคงไม่แข็งตลอดไปหรอก

“ไม่เห็นเป็นไรเลยเพราะพี่เต็มใจ” พอกันทีครับ ความอดทนของผมที่พยายามกดความรู้สึกสับสนสงสัยในตัวพี่ยู เหนื่อยเกินกว่าจะเก็บไว้แล้ว

“ถ้าผมไม่ใช่น้องพี่คงคิดว่าโดนจีบ” แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดทีเล่นทีจริงเพราะว่ากลัวคำตอบที่ได้รับ

“เจ้าเด็กบ๊อง” นั่นคือการปฏิเสธแบบสุภาพของพี่ยูใช่ไหม โอเคครับ ผมจะถือว่าไม่เคยถามอะไรแบบนั้นไปก็แล้วกัน

มื้อเช้าจบลงที่ร้านข้าวต้มหมูทรงเครื่อง ผมกินแบบไม่ใส่เครื่องในและผักโรยส่วนพี่ยูใส่ทุกอย่างแถมเพิ่มไข่ลวกหนึ่งฟองตบท้ายด้วยปาท่องโก๋ อิ่มแปร้จนแทบลุกไม่ไหว ค่าอาหารทั้งหมดอย่างที่รู้กันว่ามีคนเปย์เหมือนเดิม ปัณณ์จะขอจ่ายก็โดนดุ

เมื่อถึงร้านนัทสึผมก็วิ่งหาเสื้อกันเปื้อนเป็นอันดับแรกเพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเก้าโมงครึ่งแล้ว ไหนจะต้องเตรียมของจัดโต๊ะอีก พี่เคียวก็โทรมาบอกว่าเข้าขอเข้างานสาย เป็นวันที่นับว่าวุ่นวายสุดๆ

“วันนี้ร้องเพลงอะไร คิดไว้หรือยัง?” ขณะที่เรากำลังเตรียมวัตถุดิบทำอาหารอยู่ในครัวพี่ยูก็เอ่ยปากถามขึ้น เพลงที่ผมคิดไว้มันไม่ได้ห่างไกลกับสถานการณ์ตอนนี้มานัก อยากจะยอมรับว่าแพ้แล้วแต่ขอพยายามให้ถึงขีดจำกัดก่อนก็แล้วกัน

“ฝันหวานอายจูบ” ผมบอกชื่อเพลงก่อนเดินไปหย่อนวัตถุดิบต้มซุปลงในหม้อใบใหญ่แล้ววนกลับมาล้างผักต่อ ทำงานให้หนักเข้าไว้จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

“โห เพลงเก่ามาก”

บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้นเพราะเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าลูกค้ารายแรกของวันได้มาเยือนแล้ว ตลอดเวลาสองชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาทำกิจกรรมคืนกำไรให้กับลูกค้านั้นผมกับพี่ยูคุยกันแค่เรื่องออเดอร์เท่านั้น หัวหมุนที่สุดตั้งแต่ทำงานมาในรอบเดือน เฮ้อ

เวลาเที่ยงตรงที่พวกเราหยุดทำหน้าที่ทุกอย่างแล้วโยนให้พี่เคียวที่เพิ่งเข้ามาได้แค่สิบนาทีเพื่อเตรียมตัวสำหรับการร้องเพลงในวันนี้ คอร์ดกีตาร์ถูกเปิดในไอแพดซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าพี่ยู ส่วนเนื้อเพลงนั้นผมจำได้ขึ้นใจเพราะฟังอยู่บ่อยๆ

ทำนองเพลงแรกจากเสียงกีตาร์ดังขึ้นทำให้การสนทนาของลูกค้าภายในร้านเบาลง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมทั้งกายและหัวใจในการร้องเพลงรักหวานๆ แต่แฝงด้วยความอึดอัดสับสน

ฉันฝันถึงเธอคนที่อยู่ไกล แสนไกล
ช่างหวานละมุม อบอุ่น ข้างในหัวใจ
แต่อายไม่กล้า แม้จะบอกกับใคร
จึงจูบผ่านสายลม ให้พัดพาไป


ผมเปล่งคำร้องด้วยเสียงที่หวานและเอื่อยตามทำนองเพลงต้นฉบับ ดวงตารีเหลือบมองพี่ยูก่อนจะต้องเบนหลบเพราะเขากำลังส่งยิ้มละมุนมาให้ ทำไมทุกครั้งต้องทำท่าทางเหมือนมีใจให้เสมอ การกระทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันครับ

เพราะฝันและจริงยังไม่เคยพบกัน
เพราะหวานเกินไป ไม่ว่าใครก็ต้องใจสั่น
เพราะอายเหลือเกินกว่าที่จะพูดคำนั้น
เพราะจูบของเธอ ยังไม่ใช่จูบของฉัน




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
เพลงถูกขับร้องไปเรื่อยตามเนื้อพร้อมทั้งความรู้สึกที่ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกขณะที่ชิดใกล้ ผมพยายามแล้วที่จะเลิกสนใจพี่ยู หยุดรัก หยุดหวัง แต่สุดท้ายกำแพงที่พยายามสร้างมาราวสิบปีก็ไร้ประโยชน์ ความเข้มแข็งที่แสดงออกมาตลอดนั้นเป็นเพียงสิ่งลวงโลก ปั้นคำโกหกหลอกลวงกับเพื่อนสนิทและตัวเองทั้งที่ส่วนลึกมันเรียกร้องหาคนๆ เดียวเสมอ

ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
ฉันควรจะต้องทำใจรึเปล่า
(จะเป็นได้แค่เพียงฝัน)


พี่ยูใจดีร้องคอรัสให้กันด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกแข็งกระด้างแต่ผมกลับระบายยิ้มเพราะเขาไม่เคยทำแบบนี้แม้ว่าพี่ป่านจะเคยขอร้องเป็นร้อยครั้ง

ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
สุขสมได้ดั่งใจ หรือเป็นฝันชั่วคราว
(อยู่ที่เธอรู้ไหม)

ชีวิตของฉันเมื่อพบกับเธอนั้น
จะเปลี่ยนแปลงหรือเป็นเหมือนเก่า
(เป็นแค่ฝันไป)

คือคำถามฝากไว้
ฉันวอนไห้สายลมพัดลอยผ่านไป ถึงเธอ


ผมควรถามตัวเองก่อนว่ายอมรับได้หรือยัง สุดท้ายความรักที่เคยมีให้เขาก็ไม่เคยจางหายไปไหน วันนี้ปัณณ์แพ้แล้วจริงๆ ไม่ต้องหาบทพิสูจน์ ไม่ต้องสร้างกำแพง ไม่ต้องทดลองเป็นเมียใครหรือผัวใครอีกแล้ว ที่ผ่านมาเหนื่อยทั้งกายและใจ พอกันที

ถ้าฝันและจริงจะบังเอิญเจอกันสักวัน
ถ้าหวานข้างใน ใจทั้งสองได้พร้อมๆ กัน
ถ้าอายจะหายไปจากประโยคเหล่านั้น
และถ้าจูบของเธอจะกลายเป็นจูบของฉัน


ผมไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบอกความรู้สึกข้างให้พี่ยูฟัง แค่ยอมรับว่าตัวเองตัดใจไม่ได้ก็แย่มากพออยู่แล้ว อยากขอโทษพี่ป่านที่แอบรักคนของเธอ ขอโทษทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่หลานตัวน้อย

อย่าผลักไสปัณณ์ออกห่างจากพี่ยูไปไหนเลยเพราะทั้งชีวิตและหัวใจอยู่ได้เพื่อคนๆ นี้เท่านั้น มันอาจจะดูโง่งมงายในความรัก แต่มันดีที่สุดสำหรับผมแล้วจริงๆ

เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น ผมหันไปสบตากับพี่ยูอย่างไม่เคอะเขิน ส่วนเขาระบายยิ้มหวานตามปกติ คงไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เหมือนอย่างเคย ก็ดีแล้ว เราจะได้คุยกันเหมือนเดิมไม่มีความกระอักกระอ่วนเข้ามาแทรกแซง

แอบรักต่อไปก็คงไม่แย่นักหรอก ขอแค่ตัวเองมีความสุขก็พอ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อยจริงไหม

ฝากทุกข้อความส่งไปถึงเธอ
สิ่งที่ไม่อาจจะเอ่ยในยามที่พบเจอ
อาจมีสักวันเธอจะได้รับมัน
จะรู้ว่าฉันนั้นคิดเช่นไร


หวังว่าสักวันพี่จะรับรู้โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร ถ้าผลจะออกมาในรูปแบบเลวร้ายก็คงน้อมรับไว้ด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี ขอโทษนะครับ ขอโทษที่เลิกรักพี่ยูไม่ได้จริงๆ ให้อภัยปัณณ์ด้วยนะ

เพลงจบลงด้วยเสียงปรบมือเหมือนอย่างเคย พวกผมโค้งรับด้วยรอยยิ้มแต่ต้องชะงักกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่มุมร้าน ดวงตาคมที่มองมานั้นแดงก่ำและมีหยาดน้ำใสไหลลงบนแก้ม มันพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจอะไรบ้างอย่างก่อนจะลุกออกไป

ผมได้แต่หวังว่าไอ้ทอยจะไม่โกรธกันไปมากกว่านี้

“ปัณณ์” เสียงเรียกที่มาพร้อมสัมผัสตรงหัวไหล่ทำให้ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร พี่ยูทำหน้าตาเคร่งเครียดจนคิ้วแทบผูกเป็นปม อยู่ๆ ก็อารมณ์ไม่ดีเหรอ หรือว่ารู้แล้วความจริงแล้ว... ไม่สิ ปัณณ์ยังไม่พร้อมโดนเกลียดตอนนี้

“นั่นกราฟหรือเปล่า?” พี่ยูพยักพเยิดหน้าไปทางกลุ่มคนที่กำลังเปิดประตูร้านเข้ามา ผมมองกราฟด้วยความตกใจทำไมอยู่ๆ ถึงควงผู้ชายคนอื่นมาที่นี่ทั้งที่เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะเล่นละครเป็นแฟนกัน

“เชี่ย...” ผมอุทานเสียงเบาก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อพี่ยูเปลี่ยนจุดโฟกัส กีตาร์ให้มือหนาสั่นระริกคล้ายกำลังโกรธเคืองแทนกัน

“ทำไมถึงควงคนอื่นหน้าระรื่นขนาดนั้น” ถึงพี่ยูจะเป็นคุณพ่อที่แสนอบอุ่นของลูก เป็นพี่ชายแสนดีของน้อง แต่เขามีมุมเตรียมปะทะกับทุกสิ่งที่ผิดเสมอ ครั้งนี้ผมบอกได้เลยว่ากราฟกำลังจะซวยที่โดนเข้าใจผิดว่านอกใจ

“ช่างเขาเถอะครับ” ผมบอกปัดก่อนจะเดินนำหน้าพี่ยูเข้าไปในครัว เขาแวะวางกีตาร์ไว้ตรงใต้บันไดแล้วตามเข้ามาทีหลัง

“ปัณณ์ไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”

“เขาอาจจะมากับเพื่อนที่สนิทกันก็ได้”

“เพื่อนเขาหอมแก้มกันด้วยเหรอ?” ผมชะงักกึกกับคำถามของพี่ยู เมื่อครู่มันหอมแก้มกันด้วยเหรอวะ แม่งเอ๊ย หาความซวยมาให้แก้อีกแล้ว เพิ่งยอมรับหัวใจตัวเองไปหยกๆ ต้องมาโดนเขาคาดคั้นเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกเหรอ ไม่ตายก็ต้องตายคราวนี้ล่ะ

“พี่ยู...”

“ปัณณ์กำลังปิดบังอะไรพี่อยู่หรือเปล่า?” เขาขยับเข้ามาประชิดแล้วรั้งไหล่ให้ผมหันกลับไปเผชิญหน้า กระดาษออเดอร์ที่อยู่ในมือบัดนี้ร่วงลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเจอสายตาบ่งบอกถึงความหวั่นไหว สิ่งที่พี่ยูเกลียดมากคงเป็นคำโกหก

“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าลงมองปลายเท้าเพราะครั้งนี้ไม่มีข้อแก้ตัว จะให้โกหกต่อคงไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าพี่ยูเกลียดกันขึ้นมาคงทนไม่ไหว

“ปัณณ์...” เสียงดุนั้นเป็นการบังคับให้ตอบคำถามโดยไม่ต้องพูดยาว แรงบีบที่ไหล่ทำให้ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อเรียบเรียงประโยคบอกเล่าให้สวยหรู แต่สุดท้ายก็ตายน้ำตื้นเพราะการบอกไปตรงๆ คงดีกว่า

“ผมกับกราฟแค่ Friend With Benefit” ผมพูดเสียงเบาแทบกระซิบในขณะที่พี่ยูถอยเท้าออกไปแล้วปล่อยมือออกจากบ่า สีหน้าเขาดูโกรธมากแต่พยายามระงับอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ จะให้ปัณณ์ก้มลงกราบเท้าก็ได้ถ้าหากเขายอมยกโทษ

“ทำไมต้องโกหกพี่ว่ามีแฟน?” เขาทิ้งสะโพกพิงกับเค้าน์เตอร์แล้วจ้องผมเขม็ง ที่จริงคาดว่าพี่ยูจะด่าเรื่องไม่จริงจังกับใครมากกว่าแต่ผิดคาดจนอดถามกลับไม่ได้

“พี่ไม่ตกใจที่ผมทำตัวแย่เหรอ?”

“มันเรื่องปกติของผู้ชาย อีกอย่างกราฟก็สมยอมไม่ใช่หรือไง ทำไมพี่ต้องตกใจด้วย” เขาพูดเหตุผลที่ผมฟังแล้วสบายใจไปได้หนึ่งเรื่อง แต่สายตาดุๆ ที่จ้องมาอย่างไม่ลดละย้ำเตือนว่ายังไม่ลืมคำโกหก

“นั่นสินะครับ หวงกันสักนิดก็ไม่มี” ผมพึมพำเสียงเบาแล้วหลุดยิ้มเยาะให้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ของตัวเอง

“ตอบคำถามพี่ครับ”

“ผมแค่ไม่อยากรบกวนพี่ยู” ผมไม่ได้โกหกแต่บอกเหตุผลไม่หมดก็แค่นั้น

“วันนี้จะปิดร้านตอนหกโมง” เขาก้มลงเก็บออเดอร์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นแล้วจัดการอ่านมัน เตรียมอุปกรณ์ทำอาหารโดยทำเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่เข้าใจยากไปเมื่อครู่

“ทำไมปิดเร็วครับ?”

“จะไปขนของเจ้าเด็กดื้อที่คอนโด” พี่ยูตวัดสายตาดุมองผมครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นเขกลงกลางกระหม่อมเหมือนต้องการลงโทษที่โกหกเขาเอาไว้ อยากจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแต่อึ้งมากกว่า อยู่ๆ ก็มัดมือให้ย้ายไป

“พี่ยู...” ผมเรียกอีกคนอย่างอ่อนใจ ครั้นจะปฏิเสธแต่หัวใจกลับเรียกร้องต่างจากเมื่อก่อนที่โดนคะยั้นคะยอเท่าไหร่ก็ไม่ยอม หวังว่าการย้ายไปอยู่ด้วยกันจะไม่ทำให้พี่ยูเกลียดปัณณ์

“ห้ามเถียง ห้ามต่อรองครับ พี่ไม่ยอมเป็นคนโง่ให้ปัณณ์หลอกอีกแล้ว”

ขอโทษนะครับที่ผมมันแย่และนิสัยเสีย แต่ที่โกหกทั้งหมดก็เพื่อความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ ถ้าหากวันหนึ่งพี่ยูรู้ความจริงที่เก็บซ่อนไว้ยังจะน่ารักกับปัณณ์อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเงียบๆ ก็ดีอยู่แล้ว




--------------------------------------------------

สุดท้ายปัณณ์ก็แพ้หัวใจตัวเอง ยอมรับแล้วนะว่ารักพี่ยู
ตอนต่อไปเขาจะย้ายไปนอนด้วยกัน เอ๊ย ไปอยู่ด้วยกันแล้วน้า

1 คอมเม้นต์ = 1 กำลังใจ
ช่วยๆ กันหน่อย ฮึบบ อยากรู้ว่าคนอ่านชอบหรือไม่ชอบนิยายเรื่องนี้ยังไงบ้าง
จะได้ปรับปรุงเนอะ ♥

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ




วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะขนย้ายทรัพย์สมบัติจากคอนโดไปบ้าน ผมค่อยๆ เก็บหนังสือลงลังกระดาษในขณะที่พี่ยูก็ช่วยด้วยอีกแรง ส่วนเจ้าตัวแสบขลุกอยู่กับคุณอาสุดหล่อนามว่า ‘เอย์จิ’ ที่เพิ่งบินมาจากญี่ปุ่นเมื่อต้นอาทิตย์

ผมยื่นข้อแม้ทั้งที่โดนห้ามว่าขออยู่ที่คอนโดจนกว่าจะขนของเสร็จแล้วค่อยย้ายเข้าบ้านพี่ยูอย่างเป็นทางการ ตอนแรกเขาไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าปัณณ์ดื้อแต่พอทำเสียงหวานหน่อยมองอ้อนๆ อีกนิดสุดท้ายก็ชนะ

เหตุผลที่ทำแบบนั้นคือมันช่วยยืดเวลาความหวั่นไหวของหัวใจผมได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้อย่าถามถึงปัจจุบันเลย แค่เงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือก็เจอพี่ยูในระยะประชิด ไม่รู้ใครสั่งใครสอนให้เข้ามาใกล้กันขนาดนี้วะ

“ปัณณ์เขียนไดอารี่ด้วยเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่มือก็กรีดหน้าสมุดเล่มสีฟ้าอ่อนไปเรื่อย ผมขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดว่าตัวเองไปเขียนไดอารี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเคยทำแต่จำไม่ได้เพราะมันนานมาแล้ว

“ไดอารี่อะ... เฮ้ย เอาคืนมานะพี่ยู!” ผมโวยวายเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสมุดในมือเขาอย่างชัดเจนหลังจากที่จัดหนังสือที่เหลือเข้ากล่องเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ลนลานเลยยืดแขนพร้อมโถมร่างกายไปด้านหน้าอย่างไม่ทันระวัง เสียการทรงตัวจนล้มทับพี่ยูเข้าเต็มรัก ไดอารี่ลอยหวืดกระเด็นไปอีกทางส่วนเราทั้งคู่กอดกันกลมพลางนิ้วหน้า เจ็บจนจุกแต่โคตรโล่งใจ

ถ้าเขาเปิดอ่านไดอารี่เล่มนั้น มีหวังผมคงต้องย้ายของจากบ้านเขากลับมาอยู่ที่คอนโดแน่ๆ แม่งเอ๊ย ในนั้นมีความลับระดับชาติซ่อนอยู่เลยนะเว้ย เกือบตายไปแล้วไหมล่ะ

“พะ พี่ยูเจ็บมากไหม? ผมขอโทษครับ” เปล่งคำถามด้วยน่ำเสียงสั่นพร่าแล้วรีบยันแขนกับพื้นเพื่อพยุงเอาตัวเองออกจากร่างกายเขา แต่มือที่วาดโอบรอบเอวของผมยังไม่ผละไปไหนแถมยังกอดไว้ซะแน่นจนรู้สึกว่าอุณหภูมิตรงแก้มสูงกว่าส่วนอื่นในร่างกาย

“เจ็บ... หัวกระแทกพื้น จะบวมหรือเปล่าก็ไม่รู้” พี่ยูตอบก่อนจะนิ่วหน้าแสดงอาการเจ็บปวด ผมพยายามผละตัวออกจากอ้อมแขนอุ่นอีกครั้งแต่โดนคนใต้ร่างรวบกอดแน่นกว่าเดิม ตกลงเจ็บหรือกำลังแกล้งกันวะ ทำอะไรไม่เคยเดาทางถูกเลยสักครั้ง เล่นแบบนี้ปัณณ์ไม่สนุกด้วย

“พี่ปล่อยผมก่อน เดี๋ยวดูให้ว่าบวมหรือเปล่า?” ผมคิดให้ทางที่ดีว่าพี่ยูคงตกใจและลืมไปว่ากำลังกอดกันอยู่ แต่เขาทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหาและยังคงไม่ผละแขนออกห่าง ไอ้การที่นอนทับกันแบบนี้มันไม่รู้สึกแปลกๆ หรือไง

“ปัณณ์ทับพี่อยู่”

“พี่กอดผมอยู่”

“อ้าวเหรอ? ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย” เขาแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่มุมปากกลับกระตุกเป็นรอยยิ้มให้ผมได้ขบฟันกรามแน่น โดนซะแล้วไอ้ปัณณ์ พี่ยูโหมดขี้แกล้งนี่รับมือยากจริงๆ เพราะมันพาลจะทำให้หัวใจเต้นแรงได้เสมอ เหมือนให้ความหวังแต่ก็ไม่มีหวัง มนุษย์เรามีความย้อนแย้งในชีวิตมากเกินไปแล้ว เฮ้อ

“แกล้งผมใช่ไหม?” ถามจบก็พยายามเงยหน้าขึ้นมองคนขี้แกล้งที่บัดนี้ยังไม่ยอมปล่อยกันให้เป็นอิสระจนต้องแอบหยิกเข้าที่เอวถึงจะคลายวงแขนออก ผมรีบลุกขึ้นแล้วจ้องอีกคนเขม็งอย่างเอาเรื่อง ไม่รู้ว่าเขาจีบสังเกตได้หรือเปล่าว่าหัวใจปัณณ์เต้นแรงมากแค่ไหน

“ว้า แย่เลย รู้ตัวซะแล้ว” พี่ยูแสร้งทำหน้าเศร้าก่อนใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวลุกขึ้นแล้วขยับตัวไปพิงโซฟาที่อยู่ไม่ไกลพลางเอื้อมมือเพื่อแตะตรงตำแหน่งที่หัวโขกกับพื้น คงเจ็บน่าดูแต่ยังมีอารมณ์แกล้งคนอื่น ต้องบ้าขนาดไหนถึงทำแบบนี้ได้ ผมคิดผิดหรือเปล่าที่ยอมเอาหัวใจไปเสี่ยงอยู่ในกรงขังของเขา บ้าจริง ถอยกลับก็ไม่ได้แล้วด้วย

“เล่นบ้าอะไรของพี่เนี่ย ไม่หนักหรือไง?” ผมโวยวายกลบเกลื่อนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหยิบสก็อตเทปมาปิดลังด้วยตัวเองโดยไม่ขอให้อีกคนช่วย มันลำบากจนต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะอยู่เป็นระยะ ในสายตาคนมองคงคิดว่ามันตลกดีแน่ๆ คิดจะช่วยกันสักหน่อยไม่ได้หรือไง น้ำใจน่ะมีไหมพี่ยู!

“ปัณณ์ตัวเบาจะตาย พี่อุ้มได้สบายมาก” เขาขยับเข้ามาช่วยจับฝากล่องเหมือนล่วงรู้ความคิดของผม แต่ประโยคเมื่อครู่กลับทำให้มือที่ดึงสก็อตแทบถึงกับไร้เรี่ยวแรงจนปล่อยมันหลุดไปติดกันเป็นกระจุก เดือดร้อนพี่ยูต้องหยิบกรรไกรส่งให้ตัดส่วนนั้นทิ้งไป

“ผมไม่ใช่ผู้หญิงเหอะ ไม่ต้องมาอุ้ม” ผมบ่นพึมพำแล้วจัดการแปะสก็อตเทปลงบนฝากล่องโดยแกล้งติดทับนิ้วพี่ยูไปด้วย เจ้าตัวออกอาการเหวอในตอนแรกแต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะอย่างไม่ถือสา

“ปัณณ์งอนพี่จนปากจะติดจมูกอยู่แล้ว” พี่ยูเอื้อมมือเข้ามาหวังจะใช้มันเชยคางกัน แต่ผมผงะถอยหลังก่อนจ้องเขม็ง รู้ได้ไงว่ากำลังบุ้ยปากอยู่ โมเมชัดๆ

“พี่ยู...” ผมเรียกชื่อเขาเสียงดุ พอดีก็ดีจนน่าใจหาย แต่พอร้ายก็แทบจะฆ่ากันให้ตายโดยไม่ต้องลงมือ แค่ใช้สายตากับคำพูดเท่านั้น

“อะๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ช่วยดูหัวให้พี่หน่อยสิ กระแทกพื้นจนรู้สึกมึนไปหมด” คนแก่ยกมือขึ้นเพื่อยอมแพ้แล้วหมุนตัวเพื่อให้ผมดูอาการบวมที่ศีรษะด้านหลัง ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยรับคำอย่างสุภาพ

“ครับ”

ตีตัวออกห่างกลับยิ่งใกล้ชิด แล้วผมจะต้องทำยังไงให้หัวใจตัวเองปลอดภัยจากการตัดสินใจครั้งนี้ดี

พวกเราแบกทรัพย์สินอย่างสุดท้ายของผมออกจากห้องอยากทุลักทุเล หนังสือเป็นร้อยๆ เล่มที่กวาดลงลังกระดาษไม่ใช่น้ำหนักที่เบาเลย ถ้าคอนโดมีแต่บันไดคงตายกันไปข้างหนือไม่ก็ปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้น อยากอ่านเมื่อไหร่ค่อยขับรถมาเอา

พอถึงรถก็ทิ้งกล่องลงที่เบาะด้านหลัง ยืนปาดเหงื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูด้านหน้าแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งรับแอร์ช่ำๆ อีกคนยังคงคุยโทรศัพท์กับน้องชายอยู่ด้านนอก ผมรู้จักเอย์จิในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงขั้นสนิทมากมาย เขาเป็นคนหน้าตาดี บุคลิกดี มีเสน่ห์แต่น้อยกว่าพี่ยู

ในความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน เอย์จิเป็นบุคคลที่ชอบเข้ามาวอแวกันทุกครั้งที่มีโอกาส ทำเหมือนกับว่าสนิทกัน เล่นหัวได้ หยอกล้อได้ พูดเรื่องสัปดนใส่ได้ ผมไม่ถือสาแต่เป็นพี่ยูที่ออกอาการไม่พอใจแล้วจับเราแยกกันทุกทีเมื่อมีความใกล้ชิดมากเกินไป เหตุผลที่แท้จริงยังไม่มีใครรู้แน่ชัดจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นปริศนาที่รอคำตอบ

เสียงเปิดประตูรถอีกฝั่งทำให้สติกลับคืนสู่ปัจจุบัน ผมเหลือบมองคนข้างตัวว่ามีสีหน้าเป็นอย่างไร ถ้ากำลังหงุดหงิดจะได้เงียบ ถ้าปกติก็คงหาเรื่องชวนคุยให้บรรยากาศมันไม่น่าอึดอัดเกินไป สรุปเป็นแบบที่สอง อืม... เริ่มจากตรงไหนดี

“พี่...” ผมเรียกเขาได้แค่นั้นก็โดนขัดขึ้นมาด้วยประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความ

“เดี๋ยวแวะกินข้าวที่ร้าน xxx ก่อนเข้าบ้านเนอะ” เหมือนถามความคิดเห็นแต่สุดท้ายก็มัดมือชก เอาเถอะ จะแวะกินอะไรก็ได้ขอแค่อิ่มท้องเป็นพอ

“ยังไงก็ได้ครับ”

“เลือกบ้างก็ได้ ไม่ต้องตามใจพี่ทุกครั้งหรอก”

“ผมกินง่าย ไม่ต้องกังวลครับ เอาที่พี่ยูชอบเลย” ผมบอกปัดเพราะไม่อยากเถียงอะไรเขาอีก ทำอะไรก็ผิดไปซะหมด พอเลือกก็ว่าอีกอย่างพอไม่เลือกก็ว่าอีกอย่าง สับสนว่ะ

“งั้นกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่า” พี่ยูบอกด้วยน้ำเสียงสดใสพลางเอื้อมมือไปเปิดเสียงเพลงให้ดังขึ้นมากกว่าเก่า ผมที่โดนปั่นหัวจนตามไม่ทันได้แต่นั่งขมวดคิ้วฉับ ไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วจะเอายังไงกันแน่ เวลานี้ก็ปาไปเกือบสามทุ่มคงอยากต้มมาม่ากินล่ะมั้ง

“หืม จะทำกินเองเหรอ?” ก็แค่แกล้งถามให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดมากเกินไป สุดท้ายก็รู้ดีแก่ใจว่าพี่ยูคงลงมือทำเองนั่นล่ะ ก็เป็นถึงเชฟใหญ่ร้านนัทวึคงไม่ต้มมาม่ากินประทังชีวิตหรอก

“เปล่า”

“แล้วยังไงครับ?” เอาจริงๆ ตอนนี้ผมสงสัยว่าคุยภาษาเดียวกันกับพี่ยูหรือเปล่า ทำไมมีแต่ความงงวนเวียนอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด

“ให้ปัณณ์ทำ พี่ชอบรสชาติอาหารไทยของเรา” พี่ยูเหลือบสายตามองกันพร้อมคลี่ยิ้มบางภายใต้แสงไฟนีออนสลัวๆ ผมสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะจนไอโขลกออกมา เดือดร้อนให้เจ้าของรถต้องส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาให้ ครั้นจะปฏิเสธก็เหมือนเล่นตัว รับๆ มาแล้วแอบเอาไปดมคงดี... ทำไมโรคจิตแบบนี้วะปัณณ์!

“ก็คง... คล้ายๆ กับพี่ป่านล่ะมั้งครับ” ผมพูดพลางกระแอมให้คอโล่ง ไม่ได้มีเจตนาประชดหรือน้อยใจ แต่เพราะการทำอาหารล้วนแล้วแต่เป็นพี่ป่านสอนกันมาทั้งนั้น รสมือคงใกล้เคียงหรือไม่ก็เหมือนอย่างกับฝาแฝด

“ไม่หรอก ป่านก็ส่วนป่าน ปัณณ์ก็ส่วนปัณณ์สิ จะคล้ายกันได้ยังไงหืม?” พี่ยูเอื้อมมือมาขยี้หัวกันพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายกำลังบอกเป็นนัยว่าความคิดผมเหมือนเด็กตัวเล็ก อยากหลีกหนีสัมผัสที่ชวนหวั่นใจแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งก้มหน้าแล้วรู้สึกดีกับความอบอุ่นนั่น ในชีวิตนี้ปัณณ์ไม่เคยแพ้ใครนอกจากคนนี้จริงๆ

“อยากกินอะไรครับ เราแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนดีไหม?” ผมไม่ตอบตำถามแต่ชี้ชวนให้เขาแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จะถึงในอีกห้าสิบเมตรข้างหน้า พี่ยูผละมืออกไปแล้วครางรับในลำคอก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวตามความต้องการของพ่อครัวใหญ่ในมื้ออาหารค่ำวันนี้

“โอเคครับ พ่อครัวหัวป่า” ถ้าตัดหัวพี่มาต้มยำได้ผมจะทำเป็นอย่างแรกเลย!

ขณะที่เดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตรถเข็นถูกยื้อแย่งไปจากมือของผมด้วยเหตุผลที่ว่าพี่ยูอยากอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับทำต้มยำกุ้ง ผัดผักรวม และไก่ผัดขิง สามเมนูนี้คงใช้เวลาทำราวๆ หนึ่งชั่วโมง กว่าจะได้กินคงสี่ทุ่มพอดี... ควรเอาเวลาไปนอนฝันหวานไหม แต่เอาเถอะ นานๆ ทีโดนขอให้ทำอาหารก็โชว์ฝีมือสักหน่อยแล้วกัน

“ใส่เห็ดฟางด้วยนะ พี่ชอบ” เสียงทุ้มลอยมากระทบหูในขณะที่ผมก้มๆ เงยๆ หยิบผักอยู่หน้าตู้แช่ขนาดใหญ่

“ใส่เมนูไหนครับ?” ผมถามกลับเพราะทั้งสามเมนูสามารถใส่เห็ดฟางได้หมด มือทั้งสองข้างยังง่วนอยู่กับการเลือกผัก มะเขือเทศ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ชุดผักรวมสำหรับผัด ขิง กระเทียม อืม... ยังขาดอะไรอีกวะ ไม่ได้ทำอาหารจัดเต็มขนาดนี้มานานแล้ว

“อืม... ทั้งสามเลยครับ อร่อยดี” สาวกเห็ดฟางคลี่ยิ้มกว้างให้ผมที่หันกลับไปวางผักลงในรถเข็น ดูไปก็คล้ายๆ กับริวที่เจอของกินถูกใจ น่ารักดี

“ผมว่าไก่ผัดขิงใส่เห็ดหูหนูดำอร่อยกว่า” ผมเสนอแนะจากประสบการณ์ตรง ช่วงแรกๆ ที่เจอเห็ดหูหนูดำในไก่ผัดขิงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งก็มีหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเหมือนการเพิ่มปริมาณแบบโกงๆ คล้ายผัดกะเพราใส่ถั่วฝักยาวและข้าวโพดอ่อน แต่พอกินไปมันก็อร่อยแถมยังเข้ากันได้ดีอีกด้วย

“I don’t like it.” ชัดถ้อยชัดคำพร้อมสีหน้าขยะแขยงที่แสดงออกมาทำให้ผมหลุดหัวเราะ สรุปว่าพี่ยูไม่ได้ปลิ้มเห็ดทุกชนิดบนโลกใบนี้สินะ เอ้า เห็ดฟางจะเป็นพระเอกของค่ำคืนนี้

“ครับๆ งั้นช่วยผมเลือกเห็ดฟางหน่อยแล้วกัน” ผมพยายามกลั้นหัวเราะแล้วชี้ไปที่กองเห็ดฟาง หยิบถุงพลาสติกเตรียมให้อีกคนในขณะที่ดวงตาคมจับจ้องมาทาวนี้อย่างไม่ลดละ คงอายที่เผลอแสดงอาการเด็กน้อยออกมาให้คนอื่นเห็นล่ะมั้ง

พวกเราขนของลงจากรถใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาที วางกล่องหนังสือไว้มุมห้องนั่งเล่นแล้วเลือกหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมเพื่อทำอาหารก่อนไปอาบน้ำ คืนนี้คงต้องนอนกับพี่ยูอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาลากสังขารทำงานบ้านตอนเกือบสี่ทุ่ม ร่างกายมันล้าอยากนอนมากกว่า เผลอๆ ข้าวมื้อนี้ก็อาจไม่ตกถึงท้องตัวเอง

พี่ทาวน์ลงมือเตรียมวัตถุดิบให้แทบทุกอย่างเหลือแค่ผมหยิบจับใส่หม้อและกระทะ ปรุงรส รอมันสุกเป็นอันเสร็จพิธี เนื่องจากไม่ได้ทำอาหารนานเลยมีท่าทีเงอะงะเล็กน้อยจนพี่ยูแอบขำเป็นระลอก อย่าให้ถึงทีปัณณ์บ้างนะ จะเอาคืนให้มากกว่านี้สิบเท่าเลย

ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือก่อนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ โล่งอกที่ใช้เวลาทำอาหารไปแค่สี่สิบห้านาทีไม่นานอย่างที่ประมาณไว้ จัดเตรียมทุกอย่างขึ้นโต๊ะตกแต่งจานให้ดูน่ากินแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้มองผลงานของตัวเองอย่างภูมิใจ หวังว่าคนที่กำลังอาบน้ำอยู่จะชอบนะ

ครืด ~

เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำให้ต้องละสายตาจากอาหารตรงหน้าแล้วเหลือบสายตามองว่าใครโทรมาเอาป่านนี้ ชื่อที่ปรากฎอยู่บนกน้าจอทำให้ลมหายใจติดขัดอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่คุ้นเคยแต่ทว่าห่างไกลมันคืออะไรกัน ไม่ชอบเลยว่ะ

ถึงจะรู้สึกแย่แค่ไหนแต่ความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนก็บังคับให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ ไม่อยากเสียมันไปเพราะเรื่องนี้เลย ผมรักทอยแต่เป็นในรูปแบบอื่น...

“ว่าไง?” ผมกรอกเสียงที่พยายามคุมให้มันฟังดูเป็นปกติทั้งที่กำลังหวั่นใจว่าไอ้ทอยจะโทรมาคุยเรื่องอะไร เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เราทะเลาะกันจนถึงวันนี้ยังไม่ได้เคลียร์อะไรเลย

‘มึง... สบายดีไหม?’ คำถามง่ายๆ แต่แฝงไปด้วยความลำบากใจทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว เริ่มต้นแบบนี้จะจบแบบไหนวะ

“ก็ดี”

‘ย้ายไปอยู่กับ... พี่ยูแล้วเหรอ?’ มันเว้นวรรคไปราวครึ่งนาทีแล้วต่อท้ายประโยคด้วยเสียงเบาแทบกระซิบ ถ้าหากผมเปิดเพลงคลอคงไม่ได้ยิน

“รู้ได้ยังไง?” ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นนั่งชันเข่า วางคางลงก่อนใช้มือที่ว่างเขี่ยช้อนบนโต๊ะเล่นเพื่อลดอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังปะทุอยู่ภายใน เรื่องย้ายบ้านก็ไม่เคยบอกใครแล้วมันไปรู้มาจากที่ไหน แอบตามเหรอ ว่างถึงขนาดนั้นเชียว

‘กูขอโทษ’ เสียงปลายสายสั่นเครือคล้ายกำลังจะร้องไห้เต็มทน ผมไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เพราะโดยปกติแล้วไอ้ทอยเป็นคนร่าเริง ชอบแกล้ง ชอบแหย่ ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้จริงๆ

“กูไม่เข้าใจ” ผมซุกหน้าลงกับเข่าแล้วปล่อยให้ความเบียบไหลผ่านช่วงเวลาที่แสนอึดอัด ความหวังที่ว่าไอ้ทอยจะกลับมาเป็นแบบเดิมในวันนี้พังทลายตั้งแต่ได้ยินคำถามที่สองจากปากมัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ปัณณ์คงสังเกตแววตาท่าทางของเพื่อนให้มากกว่านี้

‘กูเห็นมึงกับเขาช่วยกันขนของลงมาจากห้อง...’

นี่เล่นตามกันทุกฝีก้าวเลยเหรอ มันลาออกจากงานมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือเปล่าวะ กลัวใจไอ้ทอยจริงๆ บทจะบ้าขึ้นมาคงไม่มีใครเอาอยู่

“มึงไปที่คอนโดเหรอ?” ผมเสี่ยงถามทั้งที่สามารถเดาได้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร บางทีการทำตัวเป็นคนโง่ก็ทำให้สถานการณ์มันเบาบางลง

‘อืม คิดถึงว่ะปัณณ์ ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม?’ มันเบี่ยงประเด็นด้วยการบอกคิดถึงแล้วนัดเจอแบบกะทันหัน ผมเงยหน้าขึ้นจากเข่าแล้วลอบถอนหายใจเมื่อเวลาตอนนี้ไม่สมควรออกไปไหนนอกจากซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม

“ทอย มึงดูนาฬิกาแล้วบอกกูว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว” ผมแค่อยากย้ำให้ไอ้ทอยได้สติว่าตอนนี้เราควรอยู่กับตัวเองมากกว่าออกไปเจอกันในขณะที่ความรู้สึกยังรุนแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคงมองหน้ากันไม่ติดอีกแล้ว ปัณณ์ไม่ใช่คนใจร้ายแต่ก็ไม่ใช่คนใจดีเช่นกัน

‘แค่สี่ทุ่ม’ เสียงกระซิบแหบพร่าของมันทำให้ผมใจกระตุก ไอ้ทอยคงกำลังร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งในตอนนี้ อาจจะเป็นล็อบบี้คอนโด บ้านตัวเอง ร้านเหล้า หรือแม้กระทั่งที่นี่ อยากปลอบประโลมด้วยคำพูดนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ถ้าทำแบบนั้นอาจจะปลุกความหวังลึกๆ ขึ้นมาใหม่

แอบรักได้ปัณณ์ไม่ว่าอะไรแต่ต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนสิ จริงไหม?

“ตั้งสี่ทุ่มต่างหาก มันดึกแล้ว มึงควรนอน” ผมพยายามข่มเสียงและอารมณ์ให้เข้าสู่สภาวะปกติก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำมาดื่มดับความร้อนในร่างกาย

‘เมื่อก่อนมึงไม่เคยปฏิเสธคำชวนของกู’ คำตัดพ้อนั้นฟังดูช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ผมเผลอบีบขวดในมือทำให้น้ำพุ่งใส่เสื้อจนเปียกเป็นวงกว้าง ยิ่งพอโดนลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศยิ่งหนาวจับใจ โธ่เว้ย จะทำยังไงกับเรื่องบ้าๆ นี่ดี

“ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน” วางขวดน้ำลงแล้วจัดการลากผ้าเช็ดเท้ามาซับน้ำบนพื้นพลางปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดอย่างไม่เร่งรีบเพราะพยายามเพ่งสมาธิกับมันให้มากกว่าที่จะเลือกสนใจคนในสาย

‘ทำไมวะ แค่กูรักมึงเกินคำว่าเพื่อนน่ะเหรอ?’ ผมชะงักมือที่ปลดกระดุมแล้วปล่อยให้มันตกลงข้างลำตัวก่อนเอนหลังพิงตู้เย็นโดยไม่กลัวว่าจะถูกไฟดูด อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่มีแรง หัวใจเจ็บแปลบเพราะไม่สามารถคงไว้ซึ่งสถานะเพื่อนระหว่างเรา แต่ในส่วนลึกกลับอิจฉาที่ไอ้ทอยกล้าพูดคำว่ารักออกมาอย่างง่ายได้โดยไม่สนว่าจะโดนเกลียดหรือเปล่า ช่างเป็นคนที่กล้าหาญจริงๆ

“มึงห้ามใจตัวเองได้เมื่อไหร่ค่อยคุยกันดีไหม?”

‘พูดแบบนี้เท่ากับว่ามึงอยากตัดกูออกจากชีวิตใช่ไหม!?’ มันตะโกนลั่นจนผมต้องผละโทรศัพท์ออกไปไกลๆ ตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคุยกันต่อจริงๆ ในเมื่ออารมณ์ของทอยมีแค่อยากให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจนึก ไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรสักอย่างทั้งที่ก็พูดชัดเจนทุกครั้งว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้ จะให้หลับหูหลับตายอมรับความรู้สึกแบบนั้นคงยาก

“ไม่เคยพูดแบบนั้นสักคำ ถ้ามึงไม่พยายามเปลี่ยนสถานะกับกูมันคงดี” ความสัมพันธ์ของเราคงสวยงามเหมือนดังเดิมที่เคยเป็นมา ตอนนี้แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากเจอ คนเรามักคิดว่าแค่เพื่อนแอบรักมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ทำตัวปกติไปเดี๋ยวสักวันสถานการณ์ก็ดีขึ้นเอง แต่ถ้าได้มาเจอเรื่องจริงแล้ว สุดท้ายก็มีแต่ความอึดอัด วางตัวไม่ถูก หวาดระแวง กังวล ที่สำคัญคืออาจเผลอทำอะไรบางอย่างที่เป็นการให้ความหวังโดยไม่รู้ตัว มีแต่แย่กับแย่

‘กูแค่อยากได้โอกาส ลืมพี่ยูแล้วเริ่มต้นใหม่กับกูเถอะ’ คำขอร้องแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่านั้นทำให้ทุกอย่างที่สร้างมาเพื่อปกป้องคำว่าเพื่อนกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมไม่เคยคิดว่าต้องมานั่งแก้ปัญหาชีวิตเพื่อนแอบรักเพื่อนกับตัวเอง เมื่อก่อนเคยมีคนมาปรึกษาบ่อยๆ ทำนองเดียวกัน ก็ได้แต่แนะนำให้เขาทำตัวปกติเหมือนที่เคยเป็น แล้ววันนี้เป็นไงล่ะ ทฤษฎีกับปฏิบัติน่ะแตกต่างคนละอย่างเลย ยอมรับว่าหาทางออกยากกว่าเรื่องพี่ยูสิบเท่า

“กูทำไม่ได้ทอย มึงอย่าพยายามเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วซุกหน้าลงกับหัวเข่าที่ตั้งชันขึ้น ปล่อยให้ความรู้สึกย่ำแย่กัดกินหัวใจเงียบๆ ตอนนี้ไม่มีสิ่งเยียวยาที่ดีพอให้เข้มแข็ง น้ำตามากมายไหลลงข้างแก้มโดยไร้ซึ่งการสะอื้น หัวสมองขาวโพลน ถ้าหากความจำเสื่อมขึ้นมาตอนนี้คงดีจะได้ลืมว่าใครรักเราและเรารักใครมากแค่ไหน

‘ปัณณ์แม่ง... ใจร้ายว่ะ อึก’ ไอ้ทอยร้องไห้แล้ว ผมเป็นเพื่อนที่แย่มากใช่ไหม ทำร้ายจิตใจคนอื่นได้ขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ถ้าเลือกจะเลวก็ต้องเลวให้สุดสินะ

ผมเงยหน้าขึ้นแล้วใช้หลังมือปาดน้ำตาล ลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เด็กอนุบาลก็คงเดาเจตนาหลักของการกระทำนี่ได้เป็นอย่างดี

“กูวางแล้วนะ จะกินข้าว” ทุกอย่างจบลงด้วยการที่ผมกดปุ่มปิดเครื่องแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ยืนมองมันนิ่งๆ คิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกับไอ้ทอยไปเมื่อครู่ หนีไปนอนเลยดีไหม เชื่อเถอะว่าพี่ยูมาเห็นสภาพนี้คงโดยซักจนขาวแน่นอน

ในขณะที่กำลังจะผละออกจากห้องครัวเพื่อไปหยิบเสื้อตัวใหม่มาใส่ก็เจอเข้ากับพี่ยูที่โผล่ออกจากห้องนอนด้วยสภาพผ้าขนหนูคลุมอยู่บนหัวใส่ชุดลายหมีพูห์ซึ่งพอจะเดาได้ว่าซื้อตามใจใคร ดูตลกจนอยากขำดังๆ แต่จิตใจตอนนี้แม้แต่การคลี่ยิ้มยังยากลำบาก

“คุยกับใครเหรอ? คิ้วขมวดเชียว” พี่ยูถามพลางขยับผ้าขนหนูเพื่อเช็ดเส้นผมที่เปียกลู่ ใบหน้าหล่อยังมีหยดน้ำเกาะพราวจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ชัดเจนแค่ไหนถึงได้รีบวิ่งออกมาดูกันขนาดนี้

“ทอยครับ...” ผมตอบก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนตาที่บวมแดงไว้ มือทั้งสองรวบชายเสื้อเข้าหากันเมื่อรู้สึกหนาวเกินต้านทาน

“ดีกันแล้วเหรอ?” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนเห็นปลายเท้าอยู่ในสายตา มือหนาเอื้อมลงมาแตะบนศีรษะก่อนที่จะขยับเบาๆ เพื่อลูบ ความอ่อนโยนของเขาทำให้ทำนบน้ำตาพังลงอีกครั้ง เหนื่อยเหลือเกิน อยากมีที่พักพิงหัวใจ

“ปะ เปล่าครับ” เสียงสั่นจนยากจะควบคุมทำให้พี่ยูรู้ว่าผมกำลังปิดบังอะไร เขายื่นมือใกล้เข้ามาจนใช้มันเชยคางกัน ตาสบตาแต่ทุกอย่างกลับพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตามากมาย

“ปัณณ์อย่าร้องไห้” เขาดูตกใจมากที่เห็นผมร้องไห้อีกครั้งในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน อ้อมแขนอุ่นๆ โอบกอดกันไว้อย่างแผ่วเบา มือหนาบรรจงลูบหัวเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกภายในใจ ถึงแม้จะรู้สึกดีแต่ก็ไม่สุดเพราะไม่ว่ายังไงเรื่องราวระหว่างปัณณ์กับพี่ยูก็คงคล้ายไอ้ทอย ผลลัพธ์คงไม่ต่างกันมากนัก

“ฮึก ผมไม่อยากเสียเพื่อนไป แต่จะให้รักมันก็ทำไม่ได้” ผมสะอื้นพร้อมทั้งไอโขลกเมื่อหายใจเข้าออกไม่ทัน อ้อมแขนแกร่งกระชับเพิ่มความอบอุ่น อยากยึดทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ยูให้เป็นของปัณณ์คนเดียวได้ไหม

“ไม่เป็นไรนะครับ พี่เชื่อว่าสักวันทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” มันไม่ใช่คำปลอบที่สวยหรูแถมยังดูธรรมดาไปด้วยซ้ำแต่ก็ช่วยให้ผมคลี่ยิ้มทั้งที่ซุกหน้ากับอกแกร่งอยู่ จะเชื่อตามที่เขาบอก สักวันไอ้ทอยคงเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง

ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดที่เคยโหยหามานาน ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนพยักหน้ารับคำของพี่ยู คลี่ยิ้มบางส่งให้ สรุปว่าเสื้อคงไม่ต้องเปลี่ยนแล้วล่ะมั้ง แห้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“อือ ขอโทษนะ ทำเสื้อพี่ยูเปื้อนน้ำตา”

“ช่างมันเถอะ กินข้าวดีกว่าเนอะ ห๊อม หอม” พี่ยูบอกเสียงใสแล้วก้มหน้าสูดกลิ่นอาหารเข้าเต็มปอด รอยยิ้มกว้างที่ส่งให้ผมนั้นดูดีไร้ที่ติจนหัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังรู้สึกหน่วงกับเรื่องราวเมื่อครู่

ในช่วงเวลาหนึ่ง คนเราสามารถมีอารมณ์ได้กี่รูปแบบกันนะ สุขและเศร้าในเวลาเดียวกันต้องแสดงสีหน้ายังไงวะ เกิดเป็นปัณณ์ไม่ง่ายเลยจริงๆ

การนอนร่วมเตียงกับพี่ยูในครั้งที่สองแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิงเพราะไม่มีเจ้าตัวแสบอยู่ด้วย ฟูกกว้างขึ้นแต่กลับรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะข่มตาหลับได้ อยากพลิกตัวหันหน้าหนีก็เกรงใจกลัวมันสะเทือน

ผมพยายามข่มตานอนอีกครั้งแล้วปล่อยสมองให้ว่าง หลับตา หายใจเข้าลึกๆ กระชับผ้าห่มจนถึงคอและเริ่มนับแกะไปเรื่อยจนรู้สึกเคลิ้มจะหลับ แต่ต้องสะดุ้งเฮือก อยู่ๆ แขนแกร่งของอีกคนก็พาดทับหน้าท้องกัน ตามมาด้วยเสียงหายใจที่รดอยู่ข้างใบหู ไม่กล้าขยับออกเพราะพี่ยูเป็นคนตื่นง่าย

ความลำบากใจยังคงดำเนินต่อไปแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วก็รู้สึกดีกับการถูกสวมกอดจากคนที่แอบรัก ผมลองขยับตัวแล้วลอบมองปฏิกิริยาว่าเขาจะตื่นหรือเปล่า หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีการพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาผ่านความมืดจึงเกิดขึ้น มือเรียวเอื้อมไปแตะสันจมูกอย่างแผ่วเบาก่อนค่อยๆ ไล้ลงมาเป็นเส้นตรงลากผ่านริมฝีปากแห้งผาดเพราะโดนลมจากเครื่องปรับอากาศ อยากบรรจงจูบสักครั้งให้ตราตรึงในหัวใจ

ผมหลุดยิ้มกับความคิดบ้าๆ ของตัวเองก่อนผละมือออกจากใบหน้าหล่อ นึกขอโทษพี่ป่านอยู่ในใจที่ไม่สามารถถอยห่างจากพี่ยูได้เลย แค่ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัส ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ก็ลืมเลือน อาจจะเพราะอารมณ์บวกกับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่ต่ำกว่าปกติทำให้ต้องขยับเข้าหาไออุ่น ซุกใบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างแผ่วเบา ตอนนี้มีความสุขเหลือเกิน ถ้าสามารถหยุดเวลาได้คงดี

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงแล้วยังข่มตาหลับไม่ได้เพราะกลัวว่าตื่นมาแล้วทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝัน ผมผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อใช้สายตามองใบหน้าของเขาอีกครั้ง ยามนอนเขาเหมือนริวไม่มีผิด ดูน่ารักไร้พิษสงจนเผลอยืดตัวขึ้นประกบปากลงไปที่ตำแหน่งเดียวกันอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล หัวใจเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากอก ถ้าพี่ยูรู้ตัวปัณณ์ต้องตายแน่ๆ

ผมค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วหลับหูหลับตาวิ่งเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์ บานกระจกตรงอ่างล้างหน้าฉายภาพผู้ชายใบหน้าคุ้นเคยที่ตอนนี้มีสีแดงระเรื่อประดับไปทั่วลามจนถึงใบหู มือเรียวยกขึ้นแตะตรงริมฝีปากก่อนที่รอยยิ้มบางจะปรากฎขึ้น ปัณณ์คนเก่งกลายเป็นโจรขโมยจูบไปซะแล้ว

ถ้าคืนนี้ต้องนอนในห้องน้ำก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง




------------------------------------------------

ตอนนี้น้องปัณณ์ของเราช่างมีหลายอารมณ์เหลือเกิน
แต่เด็ดสุดคงเป็นความกล้าหาญแอบจูบพี่ยูกินี่ล่ะ !

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจ
ช่วยติชมหน่อยกันหน่อยน้า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นึกว่าเรื่องจะนุ่มๆอบอวลไปด้วยความรักที่ไหนได้สีเทาคลุมเรื่องเลยค่ะ หนักใจแทน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 7 : ข้าวปั้น




ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการเดินงัวเงียออกจากห้องนอนไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือนที่กดออดรัวจนน่ารำคาญ เซซ้ายชนตู้โชว์เซขวาชนโซฟาเพราะยังตื่นไม่เต็มตาเพิ่งได้นอนไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว แต่น่าแปลกที่คนตื่นง่ายอย่างพี่ยูไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

ประตูถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาหรี่เล็กลงเพราะต้องกับแสงแดด นิ้วเรียวบรรจงกดปุ่มบนรีโมทเพื่อให้รั้วไฟฟ้าเคลื่อนที่ ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วหาวหวอดออกมา พยายามเพ่งสายตามองรถหรูที่ขับเข้ามาจอดด้านใน

ผ่านไปครู่หนึ่งขายาวก็ก้าวลงจากรถ เขาเป็นผู้ชายผิวขาวอมชมพูตัวสูงพอๆ กับผม ใส่แว่นตากันแดดสีดำสนิท ในมือถือปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถทำให้เปียกไปทั้งตัวในเวลาอันสั้น สมองที่ยังเบลอเริ่มประมวลผลอะไรบางอย่าง พอรู้อีกทีเสื้อผ้าก็ชุ่มช่ำจนอยากวิ่งกลับไปเอาสบู่มาถูตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!

“ไอ้สัด!” ผมด่าอีกคนอย่างเหลืออดแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากใบหน้า เล่นน้ำอย่างกับวันสงกรานต์ มึงบ้าไปแล้วหรือไง!

“โอ๊ะ โกเมนนะไซ” สำเนียงญี่ปุ่นจ๋าที่ฟังดูคุ้นเคยหลุดจากปากคนตรงหน้า ผมชะงักกึกแล้วรีบลืมตามอง ต่างคนต่างออกอาการตกใจปนดีใจเมื่อรู้ว่าฝั่งตรงข้ามคือใคร

“เอย์จิ!” ผมตะโกนเรียกชื่อของคนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีทั้งที่สนิทกันมาก แต่ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับพี่ยูเลยต้องตีตัวออกห่างตลอดเวลา ทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ติดต่อเพราะกลัวตัดใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป ปัณณ์ยินดีพร้อมรับผลทุกอย่าง

“ปัณณ์ ปัณณ์ ปัณณ์ โคตรคิดถึงเลย!” เอย์จิพุ่งเข้ามารวบกอดผมเอาไว้ทั้งตัวแล้วหมุนไปรอบๆ จนเกิดเสียงหัวเราะดังประสานกันลั่นบ้าน ลืมสนิทว่ายังมีคนที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียง เชื่อว่าอีกไม่นานพี่ยูคงตื่นมาด่าแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้มีเพื่อนร่วมทำผิดแล้ว

“พอ พอแล้ว เราเหนื่อย” ผมตีไหล่เอย์จิพลางประท้วงเสียงสั่นเนื่องจากยังหยุดหัวเราะไม่ได้ เขากอดแน่นจนเราแทบรวมร่างกันได้อยู่แล้ว อีกอย่างคือกลัวกลิ่นปากตัวเอง ยังไม่ได้แปรงฟันอย่าเข้ามาใกล้กันนักสิวะ

“โอเคๆ เราปล่อยปัณณ์ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” เอย์จิหยุดหมุนตัวแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอด สายตาที่มองมานั้นทั้งเจ้าเล่ห์และกรุ้มกริ่มจนน่าหวั่นใจ เคยได้ยินมาว่าเขาเคยแอบปลื้มผมมาก่อน อาจจะมีความหมายประมาณพูดคุยถูกคอล่ะมั้ง ถ้าอยากได้เป็นแฟนคงจีบไปนานแล้ว ก็เล่นเป็นคนตรงๆ โผงผางขนาดนี้

“เจ้าเล่ห์ว่ะ” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า พยายามผละตัวออกห่างมากกว่านี้แต่ดันสู้แรงของเอย์จิไม่ได้จนรู้สึกเกลียดคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำเหลือเกิน จะแข็งแรงไปถึงไหนวะ

“นานๆ เจอกันที ยอมเราหน่อยเถอะ” เสียงทุ้มติดอ้อนดังขึ้นพร้อมกับแสดงใบหน้าหมาน้อยอ้อนเจ้าของให้เห็น ผมเบนสายตาหลบพลางถอนหายใจเฮือก ไม่ใช่เพราะเขินแต่เหนื่อยใจมากกว่า คนบ้านนี้ติดนิสัยชอบบังคับชาวบ้านหรือไง

“เออๆ ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?”

“ให้เราหอมแก้มหรือว่าปัณณ์จะหอมแก้มเราก็ได้นะ” เอย์จิคลี่ยิ้มกว้างคล้ายกำลังชวนคุยเรื่องปกติที่คนอื่นๆ ก็ทำกัน ผมเบิกตากว้างก่อนจะโวยวายเสียงรอดไรฟัน

“เฮ้ย ผู้ชายที่ไหนเขาหอมแก้มกันวะเอย์จิ?” ผมถามกลับแล้วพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแรงแต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูแทรกเข้ามา พี่ยูที่ยืนขยี่หัวอยู่ตรงนั้นมองพวกเราด้วยใบหน้าบึ้งตึง โดนด่าแน่ๆ ที่บังอาจทำลายเช้าวันหยุดของเขาพังป่นปี้

“เสียงดังอะไรกัน คนจะหลับจะนอน” มาแล้วครับดอกที่หนึ่ง แต่แทนที่เอย์จิจะตกใจแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ อ้อมกอดนั่นกลับรัดแน่นขึ้นจนช่วงหน้าอกแนบชิดกันอีกครั้ง ดีหน่อยที่สามารถเบนหน้าหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเกิดการจูบขึ้นแน่นอน บ้าเอ๊ย พี่ยูเข้าใจผิดหรือเปล่าวะ ปัณณไม่ได้พิศวาสมันสักนิด

“เฮ้ พี่ชาย ผมกำลังทำข้อแลกเปลี่ยนกับปัณณ์อยู่ล่ะ” จะไปบอกเขาทำไมวะเนี่ย โอย ผมอยากกระทืบเท้าเอย์จิแรงๆ สักที คิดว่ายืนกอดกันกลมแบบนี้มันปกตินักหรือไง ไม่สังเกตเลยเหรอว่าพี่ยูกำลังหงุดหงิด ถึงจะตื่นง่ายแค่ไหนแต่เวลาตั้งใจว่าจะนอนแล้วโดนปลุกมันโคตรแย่ ปัณณ์เข้าใจดี

“จำเป็นต้องเสียงดังโวยวายด้วยหรือไง แล้วนั่นจะกอดกันอีกนานไหม?” โดนดอกที่สองเข้าไปเต็มๆ เอย์จิก็ยังคงกอดกระชับไว้แน่นแถมยังมากกว่าเดิม แต่ผมดันเผลอใจเต้นแรงเพราะหวังลึกๆ ว่าพี่ยูคงออกอาการหวงกัน แต่พอลองคิดทบทวนแล้วนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงแม้ปัณณ์จะไปขึ้นเตียงกับใครก็คงไม่สนใจ

“ทำไมอะ หวงผมเหรอ?” คำถามของเอย์จินั่นช่างเรียบง่ายแต่มันสะเทือนจิตใจของผม อยากยกมือขึ้นมาอุดหู กลัวคำตอบที่กำลังจะหลุดออกจากปากของเขา ถ้าหวงน้องชายแท้ๆ ก็แสดงว่าปัณณ์น่ารังเกียจสินะ

“คนอย่างแกมีอะไรให้หวง” พี่ยูอ้าปากหาวหวอดก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้พวกเรา มือหนาวางแปะลงบนศีรษะของเอย์จิจากด้านหลังแล้วออกแรงขยี้อย่างแรง ที่ผมเห็นทุกอย่างเพราะกำลังหันหน้าไปทางเขา เผลอสบตากันก่อนจะได้รับรอยยิ้มละมุนแต่ดวงตากลับว่างเปล่าไร่ความรู้สึก ผู้ชายคนนี้อ่านยากจริงๆ

“งั้นก็หวงปัณณ์สินะ?” เอย์จิยังคงดิ้นรนหาคำถามมางัดข้อกับพี่ชายบังเกิดเกล้า เขาดูสนุกแต่ผมอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายมากกว่า เชี่ยนี่เคยคิดถึงใจคนอื่นบ้างหรือเปล่า ไอ้นิสัยพูดตรงๆ โผงผางเก็บใส่กล่องไว้ก่อนได้ไหม

ผมได้แต่ก้มหน้าซบกับไหล่ของเอย์จิเพราะไม่กล้าสบตากับพี่ยูที่จ้องเขม็งมาทางนี้ เขาคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ทำไมเวลาถามถึงปัณณ์ต้องใช้เวลาคิดนานมากกว่าปกติ คำถามก็อันเดียวกันนี่ จะไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงกัน การกระทำเหมือนให้ความหวัง... เจ็บว่ะ

ตกลงเรื่องนี้ใครโง่กันแน่ ผมหรือยูกิ

“ก็... เปล่า” พี่ยูผละออกไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วทอดสายตามองผ่านพวกเราออกไปด้านนอก ข้างประตูใหญ่เป็นบานกระจกใสเพื่อชมสวนบริเวณรอบบ้าน ทำไมต้องทำให้ผมหวั่นไหวอยู่เรื่อยครับ ให้คำตอบกันได้ไหม ไอ้ความไม่แน่ใจที่อยู่ในดวงตาเมื่อครู่คืออะไร

“อ้อ ผมปล่อยปัณณ์ตอนนี้ไม่ได้หรอก” คนดื้อแห่งปียืนยันคำเดิมแต่ผ่อนแรงที่รวบกอดกันให้เบาบางลง ผมขยับตัวเพื่อความสบายตัวใบหน้ายังคงซุกซบอยู่บนไหล่กว้าง ก็ง่วง ก็เพลีย แค่หาที่วางคางเท่านั้นเอง ไม่ได้ติดใจกลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ตแต่อย่างใด ยังไงๆ พีชก็ดีที่สุดสำหรับปัณณ์

“ทำไม?” พี่ยูเริ่มขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจมากยิ่งขึ้นเพราะเอย์จิกำลังทำตัวเป็นเด็กดื้อ ผมต้องจบเรื่องนี้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องเกิดศึกกลางบ้านแน่ๆ

“เอ่อ... เอย์จิปล่อยเราเหอะ” ผมกระซิบบอกแต่เอย์จิกลับส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแถมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนอากาศไม่สาราถแทรกผ่านระหว่างเราได้ จะยินดีกว่านี้ถ้าอีกคนคือพี่ยู โอย กูไม่ได้พิศวาสผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ ถึงหล่อแค่ไหนไม่ถูกใจก็ไม่เอาหรอก

“เฉยๆ น่า ก็ข้อแลกเปลี่ยนของผมคือจะยอมปล่อยก็ต่อเมื่อผมได้หอมแก้มปัณณ์หรือปัณณ์ยอมหอมแก้มผมเท่านั้น” เอย์จิเอ่ยปรามก่อนจะหมุนตัวไปคุยกับพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขายอมคลายอ้อมกอดหลวมๆ แต่ใช้ปลายนิ้วเชยคางกัน เชื่อไหมว่าผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเพราะมันเหมือนเป็นแฟนกันกำลังสวีท คราวนี้ออกแรงผลักแต่โดนสายตาดุห้ามไว้ นี่ตกลงมันอยากหอมแก้มหรือแกล้งกวนตีนพี่ชายกันแน่ คนบ้านนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใครก็ตามไม่ทันจริงๆ

“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ดอกที่สามก็มาพร้อมกับปฏิกิริยาส่ายหัวแบบปลงๆ ไอ้ผมที่โดนกอดก็ขี้เกียจจะขัดขืนแล้ว ช่างแม่งเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป

“ผมจริงจังนะพี่ชาย ปัณณ์ตัวหอมจะตาย ถ้าไม่เกรงใจอยากขอฟัดมากกว่า”

“.....” ผมถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยืนหน้าซีด รู้สึกถึงรังสีอะไรบางอย่างจากตัวเอย์จิ อย่าบอกนะว่ามึงคิดอกุศลกับกูมานานแล้วไม่ใช่การกอดเพราะคิดถึงแบบเพื่อน ยันให้ติดผนังเลยดีไหม สัด

“เอย์จิ ปล่อยปัณณ์ซะ” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเข้ามาหาเราที่ยังยืนคาประตูบ้านไม่ขยับไปไหน ผมเห็นความไม่พอใจในดวงตาของเขาแต่ไม่สามารถตีความได้ว่าเหตุผลเพราะอะไร หวง รำคาญ ง่วง หรือกลัวยุงเข้าบ้าน...

“ไม่ปล่อยครับ พี่อย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้างสิ” ห๊ะ... ผมนี่ไปไม่เป็นเลยครับได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กมองพี่ยูด้วยสายตาขอโทษ เอย์จิกำลังพาทุกคนออกกลางทะเลแล้วนะเว้ย เขาจะมาหวงก้างใครล่ะวะ มึงบ้าปะเนี่ย อาการหนักกว่าไอ้ทอยเยอะ

“พูดเรื่องบ้าอะไร?” เสียงดุๆ ทำให้ผมใช้แรงทั้งหมดสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของเอย์จิช่วงที่เจ้าตัวเผลอออกมายืนหอบหายใจอยู่อีกมุมหนึ่ง กว่าจะเป็นอิสระคือเหงื่อท่วม แรงควายชะมัด แล้วคราวนี้ถ้าเขาตีกันกูควรห้ามทัพยังไง

“ผมชอบปัณณ์ ชอบมานานแล้วด้วย” เอย์จิพูดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนเหลือบสายตามองผมที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก บอกพี่ยูไปแบบนั้นเพื่ออะไรวะ คาดหวังปฏิกิริยาแบบไหนอยู่ มันเกี่ยวกับคำว่าหวงก้างตรงไหน ทำไมกูงง

“แก... อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย พี่ไปอาบน้ำล่ะ” แล้วทำไมพี่ยูถึงไม่ว่าอะไรสักคำแถมยังเดินหนีเข้าห้องนอนอย่างหน้าตาเฉยปล่อยทิ้งไว้ให้ผมกับเอย์จิมองตากันปริบๆ ตอนนี้สมองเบลอจนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง สองสามวันมานี้มีแต่เรื่อง พอถึงวันหยุดก็ยังมีคนมาตามราวีชีวิตอันสงบสุข รู้แบบนี้ใจแข็งดื้อด้านอยู่คอนโดต่อคงดีกว่า

“ปัณณ์...” เอย์จิขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับพลางคลี่ยิ้มบางเหมือนพระเอกกำลังจะสารภาพรักกับนางเอก สายตาหวานซึ่งที่มองมาทำให้ขนอ่อนในกายลุกชันอีกครั้ง ไม่ได้ๆ ต้องหาทางออกจากสถานการณ์นี้ ความรู้สึกในส่วนลึกกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาด

“ปล่อยเถอะ เรายังไม่ได้แปรงฟัน” ผมแกะมือเรียวออกแล้วใช้เหตุผลโคตรเด็กเพื่อจะหนี อันที่จริงก็มั่นใจวากลิ่นปากตัวเองไม่ได้แย่เพราะเพิ่งบ้าจี้แปรงฟันไปเมื่อก่อนนั่งหลับในห้องน้ำ ก็มันฟุ่งซ่านเรื่องที่ขโมยจูบพี่ยูจนทำอะไรไม่ถูก

“โกรธหรือเปล่าเนี่ย เสียงแข็งอะ” เอย์จิทำหน้าหงอยในขณะที่ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้สนใจพี่ยูมากกว่าว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เปล่า” ผมตอบปัดโบกมือประกอบเพื่อให้เอย์จิครายความกังวล ไม่มีเรื่องอะไรต้องโกรธกันนี่ ก็แค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทำให้พี่ยูเห็นภาพกำลังกอดกัน ลึกๆ ก็หวังให้เขาออกอาการหวง แต่... อย่างที่เห็น ห่วงนอนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“ที่เราบอกว่าชอบอะ... เราชอบปัณณ์จริงๆ นะ ไม่ได้โกหก”

“เรารู้แล้ว ไม่ต้องบอก”

“เราอยากจีบปัณณ์” ห๊ะ เดี๋ยวๆ แค่ปลื้มทำไมต้องอยากจีบ นี่สรุปว่าผมแปลความหมายผิดอย่างนั้นเหรอ

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเผื่อเอย์จิจะใช้ภาษาไทยผิด

“เฮ้ย ไม่ใช่สิ ภาษาไทยใช้คำว่าอะไรนะ เอ่อ... อ๋อ เราเคยอยากจีบปัณณ์!” หืม... กูว่าชัดแล้วล่ะ ไม่ได้ใช้ผิดแต่ตกคำ ไม่เห็นจะรู้สึกต่างกันตรงไหน มีแต่อึ้งกับอึ้ง!

“เคยเหรอ?”

“ใช่ แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วล่ะ พอดีว่าศัตรูหัวใจเทพเกิน รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ” เอย์จิหนีไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆแถมมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า บรรยากาศตอนถูกสารภาพจากเขากับไอ้ทอยช่างต่างกันลิบลับ หรือเพราะคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันบ่อยๆ เลยรู้สึกว่ามันไม่อึดอัด แต่เรื่องที่ต้องโฟกัสมันคือศัตรูหัวใจต่างหาก หมายความว่ายังไง

“ใคร?” ไม่ใช่ไอ้ทอยแน่ๆ เพราะเอย์จิไม่รู้จัก ผมขมวดคิ้วพลางคิดแล้วคิดอีก ส่วนคนที่สร้างเรื่องก็นั่งยิ้มกริ่มเหมือนรอเวลาพูด มึงจะทิ้งระยะไปเป็นนาทีแบบนี้ไม่ได้นะ

“ก็คนที่ด่าพวกเราเมื่อกี้ไง” อยู่ๆ ไอ้คนที่เงียบไปนานก็เอ่ยปากก่อนจะหัวเราะคิกคักตบท้ายราวกับเป็นเรื่องตลก แต่คนฟังอย่างผมทำได้แค่นิ่งอึ้งมองอีกคนด้วยความหวั่นใจ เอย์จิรู้มานานแค่ไหน รู้ได้ยังไง ทำไมถึงรู้ทั้งที่ไม่เคยบอก

“เอย์จิ... นายรู้?” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อบรรเทาความตื่นกลัวในหัวใจ เอย์จิลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไม่ยอมตอบคำถามในทันที เขายิ้มก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องนอนที่คนถูกกล่าวถึงอาบน้ำอยู่

“แน่นอน ก็ปัณณ์ชอบแอบมองเขาเวลาเผลอตลอดนี่นา เราช่างสังเกตนะ” เอย์จิดูจะภูมิใจกับนิสัยของตัวเองเป็นอย่างมาก แต่นั่นคือความพินาศของผม เขาบอกพี่ยูไปหรือยังว่าน้องเมียคิดไม่ซื่อกับตัวเอง แม่ง เครียดกว่าเรื่องไอ้ทอยไม่ยอมเข้าใจกันอีก ควรจัดการยังไงดี

“แล้วพี่ยูเขา...” รู้เรื่องนี้หรือเปล่า

“โนๆ รายนั้นโง่จะตาย” เอย์จิปัดมือปฏิเสธพลางพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ยาขาวๆ ก้าวเข้ามาประชิดตัวก่อนจะวางแขนเรียวลงบนไหล่ กระชับให้แน่นเหมือนพยายามปลอบว่าสบายใจได้ แต่ผมกลัว...

“อย่าบอกเขาได้ไหม?” ผมถามเสียงสั่นเพราะว่าคนอย่างเอย์จิไม่ใช่พวกขี้ขลาดตาขาว ถ้าเกิดเขาอยากบอกเรื่องนี้กับพี่ยูย่อมทำได้โดยไม่แคร์ใครอยู่แล้ว

“เราไม่บอกหรอก การแอบรักไม่ใช่เรื่องตลกเลย” แต่สิ่งที่ตอบกลับมาจากเขามันเกิดคาด สายตาของเอย์จิมรแต่ความสงสารเต็มไปหมด ผมคลี่ยิ้มบางพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเป็นสวมกอดอย่างเต็มใจ

“อื้อ ขอบคุณ”

“ปัณณ์ไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ เราเริ่มเหม็นกลิ่นปากแล้วอะ” เอย์จิผละตัวออกแล้วแสร้งยกมือขึ้นปิดจมูก ทำหน้ายี้ใส่เหมือนเหม็นกลิ่นปากกันจริงๆ จนผมได้แต่แยกเขี้ยว ทำร้ายก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนเอาคืนจะแย่

“อยากโดนกระทืบใช่ไหม?” แต่ขอขู่ไว้ก่อนเถอะ เผื่อเอย์จิลืมตัวแซวประเด็นอื่นจะได้ยั้งคิดทันว่าผมอาจกระทืบเขาจริงๆ

“กลัวแล้วจ้า ~” ท่าทางกลัวแบบทะเล้นๆ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในครัวคืออะไรวะ ตามไปกระทืบจริงดีไหม แม่งเอ๊ย หลังจากนี้คงต้องออกกำลังกายบ้างแล้ว เผื่อโดนแกล้งจะได้เอาคืนหนักๆ หึ

ผมจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนเรียบร้อยหยิบเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาสั้นลายต้นมะพร้าวมาใส่เพราะอุณหภูมิวันนี้คาดว่าคงเกือบสามสิบหกองศา ร้อนตับแตกแน่ๆ

ห้องนั่งเล่นในตอนนี้ว่างเปล่าเพราะสองหนุ่มพี่น้องย้ายก้นเข้าไปอยู่ในครัว เดาว่าพี่ยูคงกำลังลงมือทำอาหารส่วนเอย์จิคงช่วยวุ่นวายเพราะเป็นแค่คนชิม รายนั้นทอดไข่ดาวยังไหม้เลย ใครได้เป็นแฟนคงลำบาก

“แกมาทำไมตั้งแต่เช้า?” เสียงทุ้มดังขึ้นในขณะที่ผมก้าวขาเข้าสู่บริเวณห้องครัว เอย์จิที่กำลังยกแก้วนมขึ้นดื่มถึงกับชะงัก

“ไปเล่นสงกรานต์กัน” อะไรนะ

“เดี๋ยว... วันนี้เหรอ?” ผมหลุดถามพลางขมวดคิ้วมองหน้าคู่สนทนาด้วยความแปลกใจ

“ใช่สิ ปัณณ์ทำงานหนักจนจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?” เอย์จิบุ้ยปากใส่ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบแก้มกันจนรู้สึกเจ็บ ผมผงะถอยหลังเมื่อเห็นสายตาของพี่ยู ช่วงนี้เขาเป็นอะไร ชอบมองแปลกๆ อยู่เรื่อย

“โทษที ช่วงนี้เบลอๆ น่ะ” ผมตอบปัดๆ แล้วรับแก้วนมมาจากเอย์จิ จำได้ด้วยเหรอว่าชอบกินรสช็อกโกแลตกรือเลือกให้เพราะเดาสุ่ม

“ไปกันนะปัณณ์ ส่วนพี่ยูก็ช่างเขา แก่แล้วคงไม่อยากเล่นน้ำ” เอย์จิจับแขนผมเข่าแล้วมองด้วยสายตาอ้อนๆ อยากปฏิเสธแบบไม่ต้องแคร์อะไรเพราะนานมากแล้วที่หมดความตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ โดนน้ำสลับกับตากแดดมีหวังไข้ขึ้นแน่นอน ไม่ใช่ว่าเป็นคนอ่อนแอแต่ร่างกายปรับตัวไม่ทันต่างหาก

“เอ่อ...” แต่ไอ้สายตาเป็นประกายเหมือนเห็นหางกระดิกไปมาเหมือนลูกหมาคืออะไรวะ แม่ง อย่าใจอ่อนสิ ผมจะแพ้ทั้งพี่ทั้งน้องไม่ได้นะเว้ย

“ชิเน่!” อยู่ๆ พ่อครัวประจำบ้านก็สบถด่าเสียงดังจนผมกับเอย์จิสะดุ้งโหยง ชามอุด้งหน้ากุ้งเทมปุระถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนน้ำซุปกระเซ็นเปรอะไปทั่ว บ่งบอกอารมณ์บางอย่างที่กำลังปะทุขึ้นในตัวพี่ยูได้เป็นอย่างดี โธ่ ไปหาว่าพี่ชายตัวเองแก่ได้ยังไงวะ เดี๋ยวอาหารเช้าก็อดแดกกันพอดี

“โอ๊ะ อยู่ๆ ก็บอกให้ผมไปตายอะ ใจร้ายจังเลยน้า” ไอ้คนไม่สำนึกยังลอยหน้าลอยตายิ้มแป้นแถมยังกล้าเลื่อนชามอุด้งไปครอบครอง นั่นมันของผมเหอะ! กุ้งเทมปุระห้าตัวนั่น แม่ง เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปตายอีกคนเลย หมั่นไส้จริงๆ

“หยุดกวนตีนสักทีเถอะ รำคาญ” พี่ยูพ่นลมหายใจก่อนจะยกชามอุด้งกลับมาให้ผมแล้ววางข้าวหน้าไก่ให้เอย์จิแทน ถ้าจำไม่ผิดนั่นคือเมนูโปรดของเขา มีพี่ชายที่ไหนจะจำรายละเอียดของคนในบ้านได้ขนาดนี้วะ ปัณณ์ยังไม่รู้เลยว่าสมัยพี่ป่านเป็นวัยรุ่นชอบนักร้องเกาหลีวงไหนทั้งที่สนิทกันมาก

“โอ๋ๆ นะครับพี่ชายคนหล่อ จะไปกับพวกผมไหมล่ะ?” เอย์จิลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปสวมกอดพี่ชายจากด้านหลัง ใช้ใบหน้าตี๋ๆ นั่นถูไถออดอ้อน ดูไปก็น่ารักดีแต่รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก อึ๋ย เกิดเป็นพี่ยูก็น่าสงสารว่ะ น้องชายไม่เต็มบาทขนาดนี้

“ปัณณ์ยังไม่ได้ตอบว่าอยากไปกับแกหรือเปล่า” คนแก่ผลักหัวน้องชายแล้วใช้หางตาเหล่มองราวกับเหนื่อยใจมาก แต่ผมรู้ว่าเขาเทคแคร์คนในครอบครัวดีมากแค่ไหน เอาเป็นว่าหาที่ติไม่ได้เลยก็แล้วกัน

“ปัณณ์จ๋า ~” เฮ้ย แล้วไหงย้ายมาอ้อนผมล่ะ ก่อนที่เอย์จิจะพุ่งเข้ามากอดต้องชิงตอบตำถามพี่ยูให้สิ้นเรื่อง

“เออๆ ไปก็ไป แล้วริวล่ะ?” ผมถามหาหลานชายที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน ครั้งล่าสุดคือแวะไปกินข้าวที่ร้านแต่ไม่ได้ค้างที่บ้านไปขลุกอยู่กับคุณย่าและเอย์จิเพราะมีของเล่นเยอะ หึหึ ใช่ว่าที่นี่จะน้อยหน้าซะเมื่อไหร่พี่ยูสายเปย์นะอย่าลืม

“อยู่กับโอกาซังครับ” เป็นอันว่าเอย์จิเตรียมแผนการเที่ยววันสงกรานต์ไว้เรียบร้อยแล้วสินะ โอเค ผมยอมแพ้ก็ได้

“อือ”

“ว่าไงครับคุณพี่ชาย ไปด้วยปะ?” พอได้คำตอบที่น่าพอใจก็หันไปถามพี่ชายอีกครั้งด้วยรอยยิ้มระรื่น ผมนั่งแทะกุ้งเทมปุระรอฟังอยู่เงียบๆ ลุ้นว่าคุณพ่อจะยอมย้อนวันวานหรือเปล่า

“อืม” ถือว่าทุกคนแพ้ลูกอ้อนของเอย์จิสินะ เฮ้อ ถ้าผมป่วยก็ช่วยหาข้าวหาน้ำให้กินด้วยแล้วกัน

พวกเราเดินทางด้วยรถเอสยูวีของพี่ยูเพราะสามารถจุคนและสัมภาระได้เยอะ ปืนฉีดน้ำพร้อม ซองพลาสติกกันน้ำใส่มือถือพร้อม แว่นตาสีใสพร้อม แต่ผมว่าแดดเมืองไทยร้อนเกินไป

เพลงไทยๆ ถูกเปิดให้เข้ากับบรรยากาศวันสงกรานต์โดยฝีมือของเอย์จิที่นั่งอยู่ข้างพี่ยู ท่ารำวงแบบมั่วๆ ของเขาทำให้ผมหลุดหัวเราะเป็นระยะจนต้องแอบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปเก็บเอาไว้

“จะไปเล่นน้ำที่ไหน?” พี่ยูเอ่ยปากถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนสายหลักที่เริ่มติดขัดเนื่องจากผู้คนเริ่มออกมาเล่นน้ำ ดวงตาคมเหลือบมองผ่านกระจกมาทางผมครู่หนึ่ง คงตั้งใจขอความคิดเห็นหรือเพราะยังไม่หายโกรธเรื่องนั้น... พอดีเผลอไปขัดใจเขาก่อนขึ้นรถ

“ข้าวสาร!” เอย์จิตะโกนตอบอย่างรวดเร็วเหมือนคิดไว้อยู่แล้ว สีหน้าดูตื่นเต้นมากจนผมอดยิ้มไม่ได้ เด็กญี่ปุ่นกับสงกรานต์คงเป็นอะไรที่แปลกใหม่เพราะนานๆ ครั้งเขาจะบินกลับมาช่วงเมษายน (ปกติเอย์จิทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นนายแบบ ส่วนครอบครัวคนอื่นก็ไปๆ มาๆ ระหว่างสองประเทศตลอดทั้งปีเพราะทำธุรกิจ)

“คนเยอะ” อันนี้เสียงพี่ยู ไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากไปตรงนั้น ผมเข้าใจความคิดคนวัยนี้นะ ไอ้เรื่องไปเบียดเสียดกับคนจำนวนมากคงไม่โอเคเป็นธรรมดา

“ต้องแบบนั้นสิ เราไปเล่นน้ำนะไม่ใช่กระโดดคลองหลังบ้าน” เอย์จิไม่จอมแพ้แถมยังทำหน้ากวนส้นเท้าใส่พี่ชายอีก ผมที่นั่งอยู่เบาะหลังทำได้แค่ถอนหายใจเฮือก เลี้ยวรถกลับบ้านกันดีไหม เล่นน้ำในสระเป่าลมของริวแทน

“ไอ้...” พี่ยูตั้งท่าจะด่าคนข้างๆ เป็นจังหวะเดียวกันที่ผมคิดอะไรออก

“แค่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ก็พอมั้ง” ถึงคนจะเยอะแต่ก็น่าจะดีกว่าไปข้าวสารล่ะมั้ง

“ปัณณ์อยากไปเหรอ?” เอย์จิหันขวับมามองกันด้วยดวงตาเป็นประกายเช่นเดียวกับพี่ยูที่ลอบมองผ่านกระจก ผมไม่ได้อยากออกจากบ้านด้วยซ้ำ ที่จริงแพลนวันนี้คือไปซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วซื้อของกลับไปทำบาร์บีคิวกินต่างหาก

“ก็น่าจะดีกว่าข้าวสาร” เดาเอาน่ะนะ ไม่รู้จะดีหรือแย่กว่า ต้องพิสูจน์

“งั้นตกลงตามที่ปัณณ์เสนอเลยครับ” ไหนบอกว่าไม่อยากจีบแล้วไง จะตามใจผมเพื่ออะไร เมื่อครู่ยังเถียงพี่ยูฉอดๆ อยู่เลย เฮ้อ เข้าใจยากว่ะคนบ้านนี้

“หึ” แล้วพี่ยูจะหัวเราะแบบนั้นทำไม รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

พวกเราทั้งสามคนเดินเข้าสู่สงครามสายน้ำด้วยอุปกรณ์เตรียมพร้อม ผมแอบเหลือบมองพี่ยูที่เดินอยู่ข้างกัน วันนี้ดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษคงเพราะเสื้อกล้ามสีดำที่แหวกจนถึงช่วงเอวเผยให้เห็นมัดกล้ามของซิกแพคอย่างชัดเจน ไหนบอกว่าไม่อยากเล่นสงกรานต์แล้วทำไมจัดเต็มมาล่อสาวๆ ปะแป้งขนาดนี้ ส่วนเอย์จิก็ไม่ต่างกัน

“พี่เตือนแล้วว่าให้เปลี่ยนเสื้อ” คนข้างตัวดุทันทีที่น้ำระลอกแรกสาดเข้ามาจนทำให้เสื้อกช้ามสีขาวของผมเปียกแนบเนื้อ ได้ยินเสียงกรี๊ดของสาวๆ แถวนั้นก็พลอยหลุดยิ้มไปด้วย โชว์หน่อยจะเป็นไรไป

“พี่ก็ใส่เสื้อกล้ามเหมือนกัน แถมโป๊กว่าผมอีก” ผมเหล่สายตามองเสื้อพี่ยูแล้วได้แต่เบ้ปาก ถึงจะไม่โดนน้ำแต่ก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน ไม่ใส่ยังดีกว่าอีกมั้ง

“มันสีขาว” พี่ยูไม่ยอมแพ้แถมยังเอื้อมมือมาดึงเสื้อผมไม่ให้แนบกับลำตัวราวกับหวงกันนักหนา เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้เหมือนให้ความหวัง ขอเกลียดตัวเองที่ขี้มโนเกินไปก็แล้วกัน

“ผู้ชายจะอายอะไรครับ?”

“คนมอง” ดุอีก นี่พี่หรือพ่อครับ แต่อยากให้เป็นแฟนมากกว่า... โธ่ ฝันกลางวันน่ะ อย่าสนใจเลย

“หวงผมเหรอ?” ผมแกล้งถามทั้งที่ก็หวังว่าคำตอบมันจะออกมาเป็นคำว่าใช่ แต่อย่าคิดว่าบรรยากาศมันจะโรแมนติกเพราะตอนนี้โดนฉีดน้ำมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เข้าปากบ้าง เข้าตาบ้างแต่เราทั้งคู่ก็ยังไม่ละความต้องการของตัวเอง

“ไม่หวงน้องแล้วจะให้หวงใคร?” คำตอบเดิมที่เคยทำให้ผมหวั่นไหว มาวันนี้กลับรู้สึกว่ามันช่างธรรมดาจนอยากหัวเราะออกมาดังๆ เขาไม่เคยให้ความหวัง มีแต่มโนเพ้อพกไปเอง

“เหรอ? แล้วเอย์จิล่ะครับ รายนั้นก็ใส่เหมือนกัน” แต่วันนี้ผมอยากได้คำตอบที่ต่างจากนั้น และเวลานี้ก็เหมาะที่จะถามเพราะเอย์จิแยกตัวออกไปหาเพื่อนทางด้านโน่นและคาดว่าคงไม่กลับมาเร็วๆ นี้

“ปัณณ์มี Sex Appeal สูงเกินไป พี่กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย” พี่ยูเอื้อมมือมาวางบนหัวแล้วออกแรงขยี้เบาๆ ผมก้มหน้าลงต่ำแล้วหลุดหัวเราะเยอะตัวเอง อืม เข้าใจเหตุผลโดยไม่มีข้อกังขา ไม่น่าถามเลยกู

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ ชินแล้ว” ผมผละตัวออกแล้วเงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มบางไปให้พี่ยูก่อนจะเลิกสนใจเขาแล้วหันไปยิงปืนฉีดน้ำโต้ตอบสาวสวย

“ถ้าโดนล้วงขึ้นมาจะทำยังไง?” เขาเดินมาบังหน้าผมแล้วจ้องตาเขม็งทำอย่างกับมีน้องสาว ทำไมเป็นคนขี้ระแวงแบบนี้นะ โดนล้วงแล้วไง ไม่เสียหายหรอกน่า

“ล้วงกลับครับ ไม่ขาดทุนแน่นอน” ผมนักคิ้วกวนให้เข้าแล้วเบี่ยงตัวออกไปยิงปืนฉีดน้ำใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา จุดประสงค์คือเล่นสงกรานต์ก็ต้องทำให้เต็มที่สิ

“เจ้าเด็กคนนี้!” พี่ยูทำเสียงดุแล้วยกมือขึ้นแจกมะเหงกแต่ผมรู้ตัวเลยหลบทันก่อนจะคลี่ยิ้มทะเล้นให้ โธ่ อย่าทำตัวเครียดไปเลยน่า อุตส่าห์วางออกมาเล่นน้ำทั้งที ปลดปล่อยความอึดอัดระหว่างเราทิ้งไปบ้างเถอะ

“ล้อเล่นครับ ผมอยู่กับพี่ยูยังต้องกังวลเรื่องถูกลวนลามอีกเหรอ?”

“พี่ดูแลเราไม่ได้ตลอดเวลาหรอก” เหมือนเขาจะดุต่อแต่กลับคลี่ยิ้มละมุนให้

“ผมไม่เรียกร้องขนาดนั้นหรอกน่า สบายใจได้ครับ” ผมโบกมือปัดๆ ก่อนจะก้าวขาไปด้านหน้า ยืนตรงนี้มานานจนตกเป็นเป้าสายตาแล้ว มันก็ดีที่มีคนชอบแต่รู้สึกโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวเมื่อถูกถ่ายรูป

“ปัณณ์...” พี่ยูส่งเสียงเรียกโดยที่เดินตามมาคว้าข้อมือกันไว้ ผมชะงักเท้าหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สลัดความรู้สึกหวั่นไหวที่เริ่มก่อตัวขึ้นทิ้งไปแล้วหันไปคลี่ยิ้มกว้าง

“เดินต่อเถอะครับ คนเริ่มมองเยอะแล้ว เดี๋ยวเอาตัวรอดไม่ทันจะแย่นะ”

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้วทำให้จำนวนผู้คนที่เล่นน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็แทบหาที่ว่างไม่เจอ ปืนฉีดน้ำก็ใช้งานไม่ได้แล้ว พอหันไปมองพี่ยูก็แทบกลั้นขำไม่ไหว เสื้อสีดำกลายเป็นสีขาวเพราะแป้งไปทั้งตัว ลึกๆ ก็แอบหวงว่ะ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็ทำได้แค่มองเท่านั้น แสดงอาการไม่ได้




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ขอปะแป้งหน่อยได้ไหมฮะ?” เสียงทุ้มหวานดังขึ้นจาทางด้านข้างทำให้ผมหันไปเลิกคิ้วมอง เขาเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักที่ใส่เสื้อยืดสีชมพูพาสเทลกับกางเกงขาสั้นสีขาวดูยั่วยวนราวกับตั้งใจ ถ้าไม่เกรงใจพี่ยู ปัณณ์คงชวนไปสาดน้ำกันแค่สองคน

“เอาสิครับ” ผมตอบรับก่อนจะยื่นแก้มเลอะไปให้น้องเขา หางตาเหลือบเห็นพี่ยูทำหน้าบึ้งเหมือนกำลังไม่พอใจ อยากถามจริงๆ ว่าหงุดหงิดที่อากาศร้อนหรือว่าหิวกันแน่

“พี่น่ารักจัง” ในขณะที่มือเล็กๆ นั่นเอื้อมมาปะแป้งกันริมฝีบางสีชมพูก็เอ่ยคำชม ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะแกล้งขยับหน้าเข้าไปใกล้ ไม่ยอมแพ้ให้เด็กคนนี้หรอก

“หนูก็น่ารักเหมือนกันครับ” ผมโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูแล้วผละออกมายิ้มกริ่มมองใบหน้าแดงๆ ของเด็กน้อย น่ารักจนอยากเกี่ยวแขนลากเข้าโรงแรมแถวนี้ ส่วนพี่ยูยังคงนิ่งเงียบมองการกระทำทั้งหมดแบบไม่วางตาอยู่ห่างๆ

“โห เรียกแบบนี้ผมก็เขินแย่สิฮะ ปากหวานจัง” เหมือนเหยื่อจะติดกับ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยอดเล่นๆ เมื่อผู้ปกครองยืนคุมอยู่แบบนี้ พี่อย่าคิดว่าคนอื่นชอบแล้วจะยอมไปทุกอย่างนะ

“ลองชิมดูไหม? รับรองติดใจนะ”

“กรี๊ด ผู้ชายอ่อยว่ะแก โคตรอิจฉาเลย” สาวๆ ที่คาดว่าเป็นเพื่อนกับน้องกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ ผมเลยแจกจ่ายรอยยิ้มเผื่อแผ่พวกเธอด้วย สงกรานต์ก็สนุกแบบนี้ล่ะ ได้บริหารเสน่ห์บ้างหลังจากเสียเวลาไปกับพี่ยู

“ปัณณ์ครับ เดินต่อได้แล้ว” เขาเดินเข้ามาแตะไหล่กันก่อนจะออกแรงบีบเพื่อเป็นการเร่งเร้า แต่ผมทำเป็นไม่เข้าใจความหมายพลางเลิกคิ้วมอง

“เดี๋ยวสิครับ กำลังสนุกเลย”

“เอ่อ... มาด้วยกันเหรอฮะ?” เสียงหวานขัดจังหวะพี่ยูที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง

“ครับ มาด้วยกัน” พี่ยูหันไปตอบโดยไม่ต้องคิดในขณะที่ผมยังเบลอๆ อยู่ ทำไมท่าทางเขาดูเหมือนหวงก้างอย่างที่เอย์จิเคยพูดไว้ หรือเพราะกลัวว่าถ้ามีแฟนแล้วจะขยันทำงานน้อยลงเหรอ คิดว่ามีใจให้คงไม่ใช่หรอก

“เป็นพี่น้องกันเหรอฮะ?”

“ชะ...”

“แฟนกันครับ ขอตัวนะ” เดี๋ยวสิ มันหมายความว่ายังไงวะ!

ผมโดนพี่ยูลากออกมาจากตรงนั้นโดยที่มีเสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาทางด้านหลัง ตอนนี้สมองกำลังทำงานหนักเพราะไม่เข้าใจว่าเขาโกหกเด็กคนนั้นไปทำไม หรือจะหวงกันจริงๆ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง

“ทำไมพี่ยูพูดกับน้องเขาแบบนั้นล่ะครับ?” ผมรั้งแขนไว้ไม่ยอมเดินต่อทำให้คนด้านหน้าต้องหยุดชะงักตามก่อนที่เขาจะหันมาจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ข้อมือถูกบีบแรงขึ้นราวกับเผลอไปทำให้ไม่พอใจ เป็นอะไรของพี่ยู ตั้งแต่เรื่องเสื้อกล้ามนี่แล้ว

“ปัณณ์กำลังทำตัวไม่เหมาะสม” หน้านิ่งเสียงดุจริง ผมถึงกะบขมวดคิ้วมอง นี่พ่อหรือพี่ครับ เข้มงวดเรื่องนี้จังวะ แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นห่วง แต่บางจังหวะมันทำให้เรามีความหวัง แย่มาก

“ตรงไหนครับ?” ผมบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเงยหน้ามองเขา พี่ยูหลับตาลงเหมือนกำลังข่มความรู้สึกบางอย่าง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ คล้ายเหนื่อยล้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ไปอ่อยเขาทำไม?”

“ก็แค่แซวเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไร”

“ห้ามเล่นแบบนี้อีกครับ ถ้าน้องเขาเอาจริงขึ้นมาปัณณ์จะลำบาก”

“แค่เสียจูบผมไม่คิดมากหรอก”

“ทำไมดื้ออย่างนี้หืม?” พี่ยูขยับเข้ามาประชิดตัวแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มกันด้วยความหมั่นไส้ แต่แทนที่จะรู้สึกดีเพราะโดนสัมผัสกลับทำให้อะไรบางอย่างที่กำลังตกตะกอนถูกกวนขึ้นมา

“ผมโตแล้วนะครับพี่ยู รู้ว่าทำแบบไหนดีหรือไม่ดี” ผมปัดมือเขาทิ้งด้วยอารมณ์ที่ดิ่งลง ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบก็ช่วยถอยออกไปห่างๆ ได้ไหมวะ ทำแบบนี้มันโคตรแย่ไม่รู้หรือไง

“พี่... ขอโทษ” เสียงอ่อยที่เอ่ยคำขอโทษนั้นทำให้ผมชะงักกึกในขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินหนี อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำลายความห่วงใยของเขาทิ้งแบบนั้น สับสนว่ะ ถ้าพี่ป่านยังอยู่ปัณณ์คงยั้งความรู้สึกได้มากกว่านี้

“ผม...” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีเพราะผมก็รู้สึกแย่กับการกระทำที่ไม่ชัดเจน

“เล่นน้ำต่อเถอะ เสร็จจากตรงนี้จะได้แวะซุปเปอร์มาร์เก็ตกัน” พี่ยูเดินนำออกไปแล้วโดยปล่อยให้ผมยืนมองแผ่นหลังด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เขายังจำเรื่องที่จะทำบาร์บีคิวของวันพรุ่งนี้ได้ ยังให้ความสำคัญกับมัน แล้วปัณณ์ล่ะ มัวแต่ห่วงความรู้สึกตัวเองจนหลงลืมคำว่าครอบครัวที่ดีไปแล้ว

ผมคงทำได้แค่วิ่งตามไปแล้วเอ่ยคำขอโทษพี่ยูจากใจจริงก็เท่านั้น หรือไม่ก็กลับไปเตรียมน้ำอบพร้อมพวงมาลัยรวบการรดน้ำดำหัวในวันพรุ่งนี้เลยดีไหม เฮ้อ ไม่ชอบความสับสนของตัวเองเลยว่ะ!




--------------------------------------

มันก็จะออกอาการหวงๆ หน่อย
ตอนหน้าพี่ยูจะมาเคลียร์ความคิดของตัวเองนะออเจ้า...

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจ น้า

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ชอบก็บอกเขาไปพี่ยู

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่ยูชัดเจนหน่อยสิว่าชอบหรือไม่ชอบกันแน่

ออฟไลน์ yamapong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
โอ้ยยยยย คุ้ณณณณณณ อ่านทีเดียวรวดคือน้ำตาซึม เจ็บหัวใจจี้ดๆตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเลิกปากแข็งกันนนนน โอยยยยยยยย อินี่ก็ช่วยลุ้น ขัดใจแต่หยุดอ่านไม่ได้ 5555555 ชอบค่าาา สงสารทอย

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น่ารักดีค่ะ ถึงจะงงงวยกับความสับสนทางอารมณ์ของปัณณ์ก็เหอะ

พี่ยูจะยังไงคะ จะหวงน้อง หรือหวงว่าที่แฟน
ทำไมแลดูจะอาการหนักเหลือเกิน
ปัณณ์ก็อารมณ์เข้าใจได้ ยิ่งอยู่กับคนที่แอบรักด้วย

สงสารทอยนะ รักมานาน อยู่เคียงข้างมานาน
ถ้าทอยชัดเจนแต่แรก อาจจะเสียเพื่อนกันไปนานแล้ว

เอจิชวนมาเที่ยวเนาะ แล้วหนีไปเฉย
ริวน่ารักมากค่ะ เด็กน้อยช่างอ้อน น่าจับฟัด
อะไรก็น้าปัณณ์ มีความน้ำตาไหลบ่อยมาก 55555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่นเย็นทรงเครื่อง
Yuuki’ s Part




ชื่อของผมในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าความกล้าหาญซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่าหิมะ เป็นพ่อหม้ายลูกติดที่ภรรยาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตพร้อมกับพ่อตาและแม่ยาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยรู้จักความรักเลยสักครั้งแม้แต่ช่วงเวลาที่ต้องแต่งงานกับ ‘เพื่อน’ เพื่อธุรกิจของครอบครัว ไม่ใช่การบังคับจากผู้ใหญ่ใดๆ มันคือความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายเอง

เราทั้งสองคนไม่เคยรักกัน

ผมไม่เคยกลัวการรักใครสักคน แต่คิดว่าความสัมพันธ์ที่ใช้ความรักในแบบของคู่รักไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตก็เท่านั้นเอง

ผมรู้จักกับปัณณ์เมื่อสมัยเรียนปีสี่เพราะต้องไปแนะนำมหา’ลัยกับคณะให้น้องๆ ที่กำลังจะสอบเข้า เผอิญระหว่างทางดันเดินชนเจ้าเด็กน้อยหน้าตาน่ารักตรงบันไดทางเข้าหอประชุม จังหวะที่ช่วยกันเก็บของเลยทำความรู้จักไปด้วย พอเริ่มสนิทก็นัดเจอ เลี้ยงข้าว หรือแม้กระทั่งอาสาเป็นติวเตอร์ให้น้องจนถึงขั้นสามารถขอพ่อแม่ให้ค้างคืนที่บ้านได้ ความสัมพันธ์นับว่าดีเทียบเคียงคนในครอบครัว

เมื่อวานหลังจากที่ผมพาเด็กๆ ไปเล่นสงกรานต์บริเวณหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยความไม่เต็มใจเพราะปัณณ์เอาแต่ดื้อไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า เขารู้ทั้งรู้ว่าใส่สีขาวบางๆ เวลาโดนน้ำมันจะแนบเนื้อจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน สุดท้ายตาลุงก็ต้องยอมแพ้ปล่อยให้ทำตามใจ

ผมลากทุกคนกลับในเวลาประมาณเกือบสองทุ่มด้วยสภาพที่เละจนจำหน้าแทบไม่ได้ ดีหน่อยที่พกเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก่อนขึ้นรถ จอดแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ปัณณ์ตามความตั้งใจแรกของเขาที่ว่าอยากทำบาร์บีคิวกินในวันรุ่งขึ้น ตามใจได้ทุกอย่าง ซื้อให้ได้ทุกอย่าง ขอแค่เป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนก็พอ

จะว่าไปช่วงนี้ผมมีอาการหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษโดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของปัณณ์กับคนอื่นๆ คิดว่ามันคงเป็นปฏิกิริยาของพี่ชายที่หวงน้องมากไปกลัวว่าเขาจะพลาดท่าให้ใครสักคน ทอย กราฟ หรือแม้กระทั่งเอย์จิ ไม่ใช่ว่าอยากกีดกันเรื่องเพศเดียวกันแต่มันอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดลำบาก เอาเป็นว่าคนแก่ก็สับสนเป็น

เมื่อครู่ผมแทบกระทืบเอย์จิให้ตายคาเตียงเพราะเห็นน้องก้มๆ เงยๆ เหมือนพยายามทำอะไรสักอย่างกับปัณณ์ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ กระโจนเข้าไปล็อคคออีกฝ่ายทั้งที่ยังนุ่งผ้าเช็ดตัวไว้แค่ส่วนล่าง ขอเคลียร์เรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยแต่งตัวทีหลัง

“โอ๊ย เล่นบ้าอะไรเนี่ย?” เอย์จิร้องโวยวายงุ้งงิ้งอยู่ในอ้อมแขนของผมแต่ก็ไม่เสียงดังจนทำให้ปัณณ์ตื่น ดูเหมือนเขาจะหลับลึกเพราะเริ่มมีไข้อ่อนๆ จากการตากแดดและเล่นน้ำ

“พี่ต้องถามมากกว่าว่าแกกำลังจะทำอะไรปัณณ์?” ผมกดเสียงต่ำถามน้องแล้วเหลือบตามองคนที่เริ่มหายใจแรงขึ้น ตอนนี้อยากลืมๆ เอย์จิแล้วเข้าไปดูอาการของปัณณ์มากกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องห่วงเขาขนาดนี้ อาจจะเพราะกลับมาใช้ชีวิตอยู่ใกล้กันล่ะมั้ง ความสัมพันธ์เลยดูแน่นแฟ้นขึ้น

“ผมแค่ก้มดูรอยสักข้างกกหูของปัณณ์ พี่คิดอะไรเนี่ย?” เอย์จิดิ้นขลุกขลักออกจากอ้อมแขนได้สำเร็จ น้องหันมาบึนปากใส่เหมือนกำลังโกรธแต่ผมกลับขมวดคิ้วแล้วจ้องเขม็ง ปัณณ์มีรอยสักที่ไหนกัน ปกติก็เห็นทั้งตัวขาวสะอาดดี... หมายถึงตอนถอดเสื้ออาบน้ำกับริวครั้งก่อน

“มีของแบบนั้นที่ไหน อย่ามาโกหก” ผมกอดอกมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคาดโทษ แต่เอย์จิกลับทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันคือการกระโจนขึ้นคร่อมปัณณ์แล้วใช้มือแตะสันกรามเพื่อเอนคอระหงนั่น เกือบกระชากคอเสื้อน้องอยู่แล้วเชียวถ้าสายตาไม่สะดุดกับลวดลายเกล็ดหิมะสีดำที่ข้างกกหู มันมีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

“แล้วนี่อะไรครับ พี่อยู่กับปัณณ์ทุกวันนะ ไม่เห็นเลยเหรอ? เอย์จิลงจากเตียงแล้วเดินมาประจันหน้ากับผมเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ จะว่าไปปัณณ์อยากทำอะไรก็ได้ในเมื่อเขาโตแล้ว ทำไมไอ้เด็กนี่ต้องทำอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่โตถามนั่นถามนี่อยู่ได้ล่ะ

“ไม่เคยสังเกต” ผมตอบปัดอย่างเป็นกลางเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเป็นคนโง่ ดวงตาคมเผลอเหลือบมองรอยสักแนวมินิมอลอีกครั้งก่อนระบายยิ้มบาง มันดูสวยแถมเพิ่มเสน่ห์ให้ปัณณ์อย่างน่าประหลาด ยิ่งถ้าเมื่อไหร่เขาใส่ต่างหูสีเงินด้วยแล้วคงดึงดูดผู้คนน่าดู แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เป็นบ้าอะไรของมึงวะยูกิ ตั้งสติหน่อย

“พี่มันแย่จริงๆ เลย ผมไปนอนดีกว่า” เอย์จิสะบัดหน้าใส่เหมือนกำลังงอนอะไรบางอย่างทั้งที่ผมคิดไม่ออกว่าไปทำอะไรให้ ยิ่งเป็นคำพูดกล่าวหากันแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง

“เฮ้ย พูดอะไรของแก กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ!” ผมร้องเรียกน้องแล้วก้าวขาตามเพียงเพื่อต้องการคำตอบกับสิ่งที่คาใจ แต่ยังไม่ทันถึงประตูเสียงแหบๆ ของคนบนเตียงก็ทำให้ต้องชะงักเท้าแล้วรีบเดินกลับไปหา

“หนาว” แค่คำๆ เดียวที่หลุดออกจากริมฝีปากซีดเผือดไร้สีเลือดนั้นทำให้ผมแทบอยากอุ้มเขาไปโรงพยาบาล มันกังวลใจกลัวจะเป็นอะไรหนักไปกว่านี้

“ปัณณ์ครับ เดี๋ยวพี่ปรับแอร์ให้ ลุกขึ้นมากินยาก่อน” ผมก้าวขึ้นเตียงแล้วพยายามปลุกคนที่นอนขดตัวเป็นกุ้ง ปัณณ์ขยับหลบก่อนส่งเสียงอู้อี้พลางขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ

“ไม่เอา... เดี๋ยวก็หาย” เขาพูดทั้งๆ ที่ดวงตายังปิดสนิท แก้มที่เคยขาวใสตอนนี้กลับขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ ถ้าปัณณ์ไม่ดื้อผมคงสบายใจกว่านี้

“เราเป็นคนไม่ใช่เทวดานะ อยู่ๆ มันจะหายได้ยังไง?” ผมเผลอออกปากดุจนปัณณ์เปิดเปลือกตามองกันครู่หนึ่งแล้วหันหน้าหนีก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงปลายจมูก ไหนใครบอกว่าคนป่วยขี้อ้อนกัน คนนี้ดื้อใส่ชัดๆ ไม่เห็นจะน่ารักเลย

“ไม่ชอบยา”

“มีใครที่ไหนชอบกินยาบ้างล่ะเด็กดื้อ” ผมถอนหายใจเมื่อจบประโยคเลยโดยสายตาตัดพ้อมองอย่างไม่ลดละ ผ้าห่มถูกลดลงพอที่จะได้เห็นใบหน้ายุ่งเหยิงของปัณณ์ อยู่ๆ ก็รู้สึกมันเขี้ยวอยากดึงแก้มเด็กดื้อขึ้นมา โตแล้วยังงอแงไม่ยอมกินยาอีก แพ้ริวแล้วนะคุณน้า

“ปัณณ์ไม่ดื้อ” คำแทนตัวเองด้วยชื่อทำให้ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปขยี้หัวเจ้าเด็กดื้อ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าเราสนิทกันแบบนี้ ตั้งแต่เรากลับมาเจอกันปัณณ์ไม่ยอมเป็นคนเดิมเมื่อหลายปีก่อน อาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ผมตัดสินใจแต่งงานกับป่าน มันเพราะอะไรจนปัจจุบันก็ยังหาคำตอบไม่ได้

ยูกิไม่เก่งเรื่องความรู้สึก เรียกว่าเข้าขั้นโง่เลยก็ว่าได้

“งั้นต้องยอมกินยา ถ้าไม่หายใครจะทำบาร์บีคิวพรุ่งนี้ล่ะ” ผมหมุนตัวไปหยิบขวดพาราเซตามอลที่เตรียมไว้ตั้งแต่กลับมาจากเล่นน้ำแต่ยังไม่ได้ใช่เพราะปัณณ์หลับไปซะก่อน มือหนาเปิดฝามันออก เทยาเม็ดสีขาวออกมาแล้วส่งให้กับปัณณ์ที่ตอนนี้ดันตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียงได้แล้ว

“พี่ยู...” เขาตอบคำถามของผมแล้วมองยาในมือเหมือนวัตถุระเบิดที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หัวคิ้วขมวด ปากเบะราวจะร้องไห้พลางส่ายหัวปฏิเสธรัวๆ นี่ต้องโทรไปหาไอ้หมอที่โรงพยาบาลเพื่อขอยาน้ำแบบเด็กให้ปัณณ์กินไหม เห็นสภาพนี้แล้วเครียดเลย ตอนป่านยังมีชีวิตอยู่ใช้วิธีไหนจัดการกับน้องชายนะ

“คนเสนอก็ต้องทำเองสิครับ พี่อุตส่าห์ซื้อของให้ทุกอย่างแล้ว” ผมแสร้งทำเสียงดุตาดุพลางถอนหายใจแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนป่วยที่ยังคงเอาแต่นั่งเม้มปากแน่นราวกับกลัวว่าเม็ดสีขาวๆ ในมือจะลอยเข้าไปในนั้น นี่ยาไม่ใช่ขี้ ทำไมต้องกลัวขนาดนั้น หรือต้องบดใส่น้ำให้ดื่มแทน แบบนั้นขมติดลิ้นตายเลย

“แค่ก กินก็ได้” ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดหรือเพราะความดุของผมจึงทำให้มือเรียวนั่นยอมหยิบยาสองเม็ดบนมือไปจัดการให้เรียบร้อย แต่กว่าจะเสร็จก็หมดน้ำไปเป็นขวดๆ แถมยังเกือบอ้วกเอาทุกอย่างออกมา พอเห็นสภาพนี้แล้วก็ตัดสินใจว่าครั้งต่อไปถ้าปัณณ์ป่วยอีกจะยอมโทรไปขอยาน้ำจากไอ้ทาวน์ที่โรงพยาบาลจริงๆ

หลังจากส่งปัณณ์เข้านอนผมก็หยิบงานเอกสารของโรงแรมขึ้นมาอ่านเป็นพวกรายงานผลประกอบการครึ่งเดือนนี้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พฤติกรรมของพนักงาน คาดว่าคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ลึกๆ แล้วที่ยอมแหกตาจมอยู่กับกองกระดาษเพราะว่าเป็นห่วงปัณณ์ ไข้ขึ้นมาคงแย่ถ้าไม่มีใครเฝ้า

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่สิ่งที่ผมอ้างว่าจะเอามาอ่านกลับไม่ได้จดจำลงไปในสมองแต่อย่างใดเพราะสายตาเอาแต่เหลือบมองสิ่งมีชีวิตที่นอนหายใจแรงอยู่ข้างกัน เสียงครางเบาๆ บ่งบอกได้ดีว่าปัณณ์ทรมานจากพิษไข้แค่ไหน อยากพาไปหาหมอแต่ก็ไม่อยากปลุก... ทำไมดูแลคนป่วยถึงมีแต่คำว่ากังวลเต็มไปหมด ทีเอย์จิเข้าโรงพยาบาลทำไมไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้

ผมไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองคิดยังไง กำลังสับสนและสงสัย ปัณณ์ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเอย์จิ แต่ไม่รู้ว่ามันคือตรงไหนเพราะอะไร ทำไมถึงต่างกัน...

ตลอดทั้งคืนผมหมดเวลาไปกับการวัดอุณหภูมิและเช็ดตัวให้ปัณณ์เนื่องจากไข้ขึ้น ปลุกมากินยาอีกรอบกลางดึกด้วยสภาพสะลึมสะลือโดยหลอกว่าเป็นลูกอมซึ่งมันได้ผล แต่กว่าจะได้นอนก็ตอนที่ดวงตากระทบแสงแดดที่แทรกผ่านรอยแยกผ้าม่านเข้ามาในห้อง ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียกับการเล่นน้ำแถมยังต้องดูแลคนป่วยมันไม่สนุกเลยจริงๆ

ผมรู้สึกอึดอัดช่วงท้องหายใจไม่สะดวกจนต้องปรือตาขึ้นมอง ภาพรางๆ ที่เห็นคือเด็กคนหนึ่งแต่งชุดไทยนุ่งโจงกระเบน เกล้าผมขึ้นเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ กำลังนั่งขย่มอยู่ตรงนั้น ถ้าเป็นกลางคืนคงช็อกตายไปแล้วเพราะนึกว่าเจอดี โธ่ ใครจับริวแต่งตัวเป็นกุมารทองแบบนี้เนี่ย พ่อเกือบหัวใจวาย

“Papa, Wake up!” วันนี้เจ้าตัวแสบทักทายผมด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้กุมารทองตัวน้อยดูน่ารักขึ้นอีก เขายังออกแรงขย่มหน้าท้องจนรู้สึกจุกเสียดไปหมด น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย เปลี่ยนไปเรียกว่าลูกหมูดีไหมเนี่ย

“ครับ ป๊าตื่นแล้ว ริวอยู่นะ นิ่งๆ ครับ” ผมเอื้อมมือไปจับตัวริวเอาไว้แล้วรั้งเข้ามากอดเมื่อเขายังพยายามขย่มหน้าท้องกันอยู่ เจ้าตัวแสบออกแรงดิ้นขลุกขลักแต่สุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งๆ เงยหน้ามองพลางกระพริบตา เชื่อะเถอะว่าเดี๋ยวจะมีคำถามบางอย่างตามมา

“น้าปัณณ์ไปไหน?” เสียงหงอยๆ เอ่ยถามก่อนที่ริวจะขยับลุกขึ้นนั่งบนตัวเพื่อมองหาปัณณ์ ผมคลำหาโทรศัพท์เพื่อดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ทำไมคนป่วยถึงลุกออกจากเตียงไปได้ หายดีหรือยัง กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน

“ริวลงไปนั่งบนเตียงก่อนครับ เดี๋ยวป๊าตามน้าปัณณ์ให้เนอะ” ผมคลี่ยิ้มให้ลูกก่อนจะส่งเขาลงบนเตียงแล้วพยุงตัวลุกขึ้น มือหนาเอื้อมมือไปแตะแก้มยุ้ยออกแรงบีบเล็กน้อยด้วยความมันเขี้ยว หลังจากหาตัวปัณณ์เจอคงต้องถ่ายรูปริวเก็บไว้เยอะๆ เพราะนานครั้งเขาจะได้ใส่ชุดแปลกตาแบบนี้

“เร็วๆ น้า คิดถึง ~” โธ่ แทนที่จะบอกว่าคิดถึงพ่อกลับกลายเป็นว่าเรียกหาน้าแทน น่าน้อยใจเนอะ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ที่ลูกเข้ากับคนอื่นได้ดี

“ติดน้าปัณณ์จริงๆ เลยนะเรา” ด้วยความมันเขี้ยวผมเลยจับหัวริวโยกไปมาเบาๆ เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นก่อนที่ประโยคหวานจะหลุดจากริมฝีปากสีแดงสดนั่น

“ริวรักน้าปัณณ์” ไม่แปลกใจเลยที่ริวจะรู้สึกแบบนั้นเพราะปัณณ์ใจดี แล้วผมล่ะคิดอะไรอยู่ในตอนนี้กันแน่

ผมอุ้มริวออกจากห้องนอนเพื่อพบกับเอย์จิที่ยังนอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้องรับแขก คนที่พาริวมาที่นี่เป็นโอกาซังไม่ผิดแน่ๆ เพราะโทรมาบอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วตอนนี้เธอหายไปไหน ปัณณ์ก็ด้วย เช้านี้ทำไมมีแต่เรื่องให้คิดหนัก

“อาจิตายแย้ว” อยู่ๆ ริวก็พูดขึ้นพลางชี้นิวไปที่เอย์จิ ผมหลุดหัวเราะให้กับความคิดเด็กก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ ถ้าคนอื่นมาเห็นท่านอนของมันคงคิดไม่ต่างกันเพราะทุเรศสิ้นดี อ้าปากหวอ หัวกับตัวอยู่บนโซฟาแต่ขาข้างหนึ่งพาดโต๊ะรับแขกอีกข้างพาดพนักพิง

“ยังครับยัง อาจิแค่นอนหลับ”

“เหรอ? งั้นปลุกกัน” เจ้าตัวแสบเอียงคอมองครูหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเหมือนนึกอะไรสนุกๆ ออก คงไม่พ้นการแกล้งอาเอย์จิสุดที่รักแน่นอน

“เอาเลยครับ” ไอ้ผมก็สนับสนุนลูกในทางที่ผิดเพราะนึกหมั่นไส้ที่โดนเอย์จิกล่าวหาว่าทำตัวแย่ไปเมื่อคืน ให้ริวแก้แค้นแทนคงสะใจพิลึกแถมไม่ต้องลงมือเองด้วย

เจ้าตัวแสบเดินย่องเข้าไปหาคุณอาก่อนจะนั่งยองลงข้างๆ แล้วส่งนิ้วป้อมไปจิ้มแก้ม พอเห็นว่าวิธีแรกไม่ผ่านเลยโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูแล้วพ่นลมใส่

“คิกๆ อาจิ ฟู่ ~”

“ฮื่อ อย่ายุ่ง!” คนขี้รำคาญยกมือขึ้นปิดหูแล้วพลิกตัวเข้าหาพนักโซฟา ท่าทางเกรี้ยวกราดนั้นทำให้ริวผงะถอยหลังจนเสียหลังก้นกระแทกพื้น ผมรีบเข้าไปดูอาการของลูกพลางกล่าวโทษตัวเองในใจ ถ้าไม่คิดเล่นแผลงๆ ก็คงไม่มีใครเจ็บตัว

“งือ ป๊า... อาจิดุ” ได้ทีฟ้องใหญ่เลย ไอ้ตอนจะแกล้งเขาก็ยิ้มหน้าระรื่นดีอยู่หรอก เด็กหนอเด็ก

“ไม่หรอกครับ ลองปลุกใหม่สิ” ครั้งนี้ผมไม่ได้จะใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการแกล้งน้อง แต่อยากให้มันลุกขึ้นมาคุยเรื่องปัณณ์มากกว่า หายไปไหนของเขา โน้ตสักใบก็ไม่ทิ้งไว้ โทรศัพท์ก็ไม่หยิบไปด้วย อย่าถามถึงโอกาซัง โทรให้สายไหม้ก็ไม่รับเพราะชอบปิดเสียงริงโทน

ริวมองผมสลับกับเอย์จิอย่างชั่งใจว่าควรปลุกอีกรอบหรือเปล่า ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ผงกหัวเป็นเชิงตอบรับก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน ถ้ามันไม่ตื่นคงหูหนวกแน่นอน

“อาจิขี้เซา!” ขี้หูเต้นเลยครับ ส่วนเอย์จินี่สะดุ้งตื่นดีดตัวจากโซฟาแทบทันทีแต่พอมันเบนสายตามาเจอเรียวในสภาพชุดไทยเท่านั้นล่ะ เสียงโวยวายดังมากกว่าหลานตะโกนเมื่อครู่อีก

“ฮะ เฮ้ย อ๊าก ไทยโกสต์ ฮือ โควาอิ!” มันควานมือหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแล้วนั่งสั่นเหมือนเจ้าเข้าจนผมเผลอหลุดหัวเราะ แต่ริวกลับตกใจที่อยู่ๆ เอย์จิก็โวยวายเสียงดัง

“ป๊า แง!” ริวพุ่งเข้ามากอดกันไว้แน่นก่อนจะร้องไห้โยเยเพราะตกใจ ผมลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบใจ น่าสงสารทั้งคู่แต่ก็ตลก

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับริว”

“ฮึก อาจิเสียงดัง นิฉัยไม่ดี” เสียงอู้อี้ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมกระชับอ้อมแขนกอดลูกแน่นขึ้น ส่วนเอย์จิที่เหมือนได้สติกลับคืนมาค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อมองริวให้ชัดเจน

“นั่นริวเหรอพี่?” เสียงดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าที่ควร แต่พอริวหันหน้าไปมอง คุณอาที่รักถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เออ แกจะตะโกนใส่หลานทำไม?” ผมปล่อยลูกให้เป็นอิสระแล้วใช้สายตาดุมองเอย์จิที่คว้าตัวริวเข้าไปกอด

“โอ๊ย ก็มันตกใจ ดูหลานใส่ชุดสิ นึกว่าเจอดีแต่เช้า” เอย์จิจับชุดริวตรงนั้นทีตรงนั้นทีจนโดนตีมือดังเพี๊ยะ ดูท่าทางจะหวงเอามาก ก็คุณย่าเปย์ให้ทั้งทีนี่นะ หึหึ

“แต่งตัวเข้ากับเทศกาลไง” ผมไขข้อสงสัยให้น้องก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อบิดไล่ความเมื่อยขบสะสม เมื่อคืนเผลอหลับไปทั้งที่ยังนั่งพิงเตียง ตื่นมาก็เจอกุมารทองน้อยนั่งขย่มท้อง แต่ที่น่าแปลกคือผ้าห่มมาอยู่บนตัวได้ยังไง หรือจะเป็นเพราะปัณณ์จัดการให้กันนะ แค่คิดก็รู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด

“ฝีมือโอกาซังแน่ๆ” เอย์จิพึมพำอะไรบางอย่างแต่ผมไม่ได้สนใจฟัง

“แล้วนี่โอกาซังกับปัณณ์หายไปไหน?” ถามออกไปเผื่อจะรู้บ้างว่ามีใครเข้าออกภายในบ้าน อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ยินเสียงพูดคุยของทั้งสองคนบ้างล่ะ ถ้าเอย์จิไม่หลับลึกน่ะนะ

“ผม... หลับไม่รู้เรื่องเลย ลองโทรหาปัณณ์ดูไหม?” ขอบคุณพ่อน้องชายที่เลือกหลับลึกในวันนี้ทั้งที่ปกติมันจะตื่นขึ้นมาฉี่กลางดึกบ่อยๆ

“ปัณณ์ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป”

“อ้าว คงออกไปซื้อของกันมั้ง” เอย์จิเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วหาวปิดท้าย

“อืม ฝากริวหน่อยสิ พี่จะไปอาบน้ำ” น้องพยักหน้ารับแล้วก้มลงพูดอะไรบางอย่างกับหลาน ผมไม่ทันได้ฟังเพราะรีบไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมของทำบาร์บีคิวในมื้อเที่ยงแทนปัณณ์ที่ตอนนี้คงโดนโอกาซังลากไปข้างนอก

ผมหยิบเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงบ็อกเซอร์ง่ายๆ มาใส่ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องก็ต้องผงะถอยหลังเมื่ออีกคนเปิดประตูเข้ามา ปัณณ์อยู่ในชุดที่คล้ายกับริวอย่างกับฝาแฝดแต่ดูหล่อมากกว่าน่ารัก นี่ต้องเป็นฝีมือโอกาซังแน่ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมาะดี

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมส่งรอยยิ้มให้มันสดใสจนผมรู้สึกว่าวันนี้ต้องมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน

“อืม เราหายไปไหนมาตั้งแต่เช้า หายป่วยแล้วเหรอ?” ผมถามด้วยความเป็นห่วงก่อนเอื้อมมือไปด้านหน้าเพื่อที่จะวัดอุณหภูมิ แต่ปัณณ์กลับเบี่ยงตัวหลบขยับถอยหลังด้วยท่าทีแปลกๆ ช่วงหลังมานี้เหมือนเขาพยายามหนีกัน อยากถามว่าเพราะอะไรแต่ไม่กล้า กลัวความสัมพันธ์ระหว่างเราจะแย่ลงกว่าเดิม

“ดีขึ้นแล้วครับ คุณป้าฝากชุดมาให้” ปัณณ์ส่งถุงกระดาษขนาดใหญ่มาให้ ผมมองมันแล้วขมวดคิ้วแน่น อย่าบอกนะว่าชุดเหมือนปัณณ์ พอชะโงกหน้าไปมองก็พบความจริงคือ เสื้อสีแดงเลยครับมันๆ แววๆ แบบเดียวกันเด๊ะ

“เอ่อ พี่ไม่ใส่ได้ไหม? มันดูเหมือนเจ้าที่” ผมมองหน้าปัณณ์อย่างอ้อนวอนแล้วผลักถุงกระดาษกลับไปให้ เขาแยกเขี้ยวมองด้วยสายตาดุๆ กลับมา โกรธเรื่องอะไรวะนั่น

“ว่าผมเหรอ?” เสียงแข็งเชียว เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว

“เปล่าๆ ปัณณ์กับริวใส่แล้วน่ารัก แต่พี่คงไม่รอด” ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะเหลือบมองชุดในถุงอีกครั้ง คนไม่เคยใส่มันก็ไม่ค่อยมั่นใจแบบนี้ล่ะ ออกมาเป็นตัวตลกคงไม่ดีแน่ๆ

“อ่า... ใส่เถอะครับ เอย์จิก็โดนบังคับให้ใส่เหมือนกัน” ปัณณ์ยัดถุงกระดาษใส่มือผมจนได้ เขาก้มหน้าก้มตาพูดก่อนจะหันหลังให้ คงเขินละมั้งที่โดนชม หูแดงเชียว โคตรน่ารัก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมมองเขาแล้วรู้สึกแบบนั้นทั้งที่เป็นเพศเดียวกัน หัวใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

“โธ่ เทรนด์ชุดย้อนยุคกำลังมาสินะ”

“อื้อ ตามใจคนแก่เขาหน่อยเถอะครับ” ปัณณ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะหมุนตัวเพื่อเตรียมออกจากห้องแต่ผมกลับเอื้อมมือไปรั้งไหล่เอาไว้เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าใส่ชุดไม่เป็น

“ครับ?” ปัณณ์เหลียวมามองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมปล่อยข้อมือขาวแล้วหลบตา ทำไมรู้สึกว่าเหตุผลที่คิดไว้เมื่อครู่มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อต่อเวลาอยู่ด้วยกัน

“พี่... ใส่ชุดไม่เป็นน่ะ ช่วยหน่อยได้ไหม?” ผมอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเพราะชุดไม่ได้ใส่ยากเลยแถมโจงกระเบนยังเป็นแบบสำเร็จรูป แต่ปัณณ์กลับคลี่ยิ้มแล้งพยักหน้ารับเหมือนไม่สงสัยอะไรพลางยื่นมือมาขอถุงกระดาษ

“พี่ยูสวมเสื้อทับไปได้เลยครับ แล้วค่อยใส่โจงกระเบนทีหลัง” ปัณณ์บอกวิธีการใส่ที่ผมตระหนักดีอยู่ในใจตั้งแต่ต้น ดวงตาคมแอบไล่มองคนตรงหน้าตั้งแต่ใบหน้าไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงริมฝีปากที่กำลังเผยอออกเล็กน้อยเพราะอุณหภูมิในห้องเริ่มร้อนอบอ้าวเนื่องจากไม่ได้เปิดแอร์ทิ้งไว้

ทำไมตอนนี้เมื่อผมเผลอสำรวจมองปัณณ์อย่างละเอียดทีไรต้องรู้สึกลำคอแห้งผาดอยู่เสมอ บางครั้งถึงกับอยากกระชากเขาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเหมือนเด็กขี้หวงหรือเพราะว่าคำฝากฝังของป่านมีอิทธิพลมากเกินไป คนแก่กำลังสับสนจนหัวแทบระเบิดแล้ว...

“อื้ม” ผมตอบรับทั้งที่สายตายังมีจุดโฟกัสอยู่ที่ใบหน้าหล่อติดหวานของคนตรงหน้า แต่ปัณณ์คงไม่รู้เรื่องเพราะกำลังหยิบเสื้อและโจงกระเบนออกจากถุง ท่าทางที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างดูมีเสน่ห์มากเกินไป ถ้าเป็นผู้หญิงคงไม่ลังเลที่จะหลงใหลเด็กคนนี้

“เดี๋ยวผมจะผูกผ้าคาดเอวให้” ปัณณ์พูดพร้อมกับส่งชุดมาให้ผมทำให้เราได้สบตากันแต่เพียงครู่เดียวเพราะเขาเบนหน้าหลบก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งทิ้งไว้มากดเล่นแทน

ผมลอบถอนหายใจแล้วจัดการใส่ชุดตามขั้นตอนที่ปัณณ์บอกเอาไว้ หางตาก็พลอยเหลือบมองอีกคนเป็นระยะจนเผลอติดกระดุมเสื้อผิดไปหลายเม็ด ก่อนจะได้แก้ไขอะไรเขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นเหตุการณ์ทำให้เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นอย่างไม่อายใคร โธ่ ขายขี้หน้าชะมัด

“เหม่ออะไรครับพี่ยู? เดี๋ยวผมช่วยดีกว่า” ปัณณ์วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วจัดการปลดกระดุมออกทีละเม็ดแล้วติดเข้าไปใหม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมลอบมองทุกการกระทำอย่างตั้งใจ ในใจลึกๆ กำลังสงสัยว่าผู้ชายกับผู้ชายเวลาชอบกันเขารู้สึกยังไง ใจเต้นไหม หรือเขินอาย หลบตา อยากอยู่ใกล้ๆ อยากดูแล

“ปัณณ์...” อยู่ๆ ผมก็หลุดเรียกชื่อน้องโดยไม่ตั้งใจ ปัณณ์ชะงักมือก่อนจะเงยหน้ามองกัน

“ครับ?” เขาตอบรับแล้วจัดการกับกระดุมเม็ดสุดท้าย ตรวจดูความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายก่อนจะผละออกไปหยิบผ้าคาดเอวเพื่อจบการแต่งตัวลุคย้อนยุคนี้

“กับทอย... เป็นยังไงบ้าง?” ทำไมผมต้องถามเรื่องส่วนตัวของน้องตอนนี้ด้วยวะ เป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง

“ก็... ไม่ได้คุยกันตั้งแต่วันนั้นครับ” เสียงปัณณ์ดูเศร้าลงถนัดตาแต่เขาก็ยังทำหน้าที่ผูกผ้าคาดเอวให้ผมอย่างคล่องแคล่ว ตอนที่แขนนั่นโอบเข้าทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดจนเผลอกอดร่างตรงหน้า ทำไมพักหลังๆ ถึงสูญเสียการเป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้ หรือเรากลับมาเจอกันมันมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างนั้นเหรอ

“ไม่ลองมองทอยในรูปแบบอื่นดูบ้างเหรอ?” ที่ถามเพราะอยากรู้หรือเพราะอยากออกปากห้ามกันแน่ ทำไมตอนนี้เหมือนมีเส้นด้ายสีขาวพันกันในสมองจนยุ่งเหยิงไปหมดนะ คิดอะไรไม่ออกเลย

“พี่อยากให้ผมทำแบบนั้นเหรอครับ?” ปัณณ์ละมือออกจากผ้าคาดเอวเมื่อทำการผูกเรียบร้อย สายตาที่มองมานั้นให้ความรู้สึกหวาดหวั่นจนผมไปต่อไม่ถูก

“พี่แล้วแต่ปัณณ์ครับ” ถึงผมจะโตกว่าเขาแค่ไหน บางครั้งก็เกิดอาการโง่ชั่วขณะได้เหมือนกัน

“ใจร้ายจังนะ” เขาพึมพำอะไรบางอย่างก่อนจะหลุดยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยออกมาแต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นเรียบเฉย

“หืม ปัณณ์ว่าอะไรนะครับ?” ผมถามย้ำเมื่อได้ยินไม่ถนัด มองหน้าเขาแต่ก็โดนหลบตา สถานการณ์ตอนนี้ใกล้เคียงกับคำว่าอึดอัดมากเกินไปแล้ว ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ถามเรื่องทอยตั้งแต่แรก ยับยั้งความอยากรู้ได้คงดี

“เปล่าครับ ออกไปข้างนอกกันเถอะ คนอื่นรออยู่” เป็นปัณณ์ที่เลือกไม่ตอบคำถามแล้วเดินออกจากห้องโดยที่ลืมหยิบโทรศัพท์ ผมมองแผ่นหลังที่ห่างไปเรื่อยๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว ถ้าโดนน้องโกรธคงโทษใครไม่ได้ ปากพาซวยแท้ๆ

เมื่อผมก้าวเท้าออกจากห้องนอนความสงบสุขเมื่อครู่ก็จางหายไปทันทีเพราะทุกคนต่างรอคอยให้พร้อมหน้าเพื่อถ่ายรูปหมู่และรดน้ำดำหัว พอจะปลีกตัวเอาโทรศัพท์ไปให้ปัณณ์หลังเสร็จพิธีก็โดนโอกาซังเรียกคุยเรื่องร้านอาหาร ส่วนริวก็วิ่งไปคลอเคลียคุณน้าสุดที่รักเหมือนแมวน้อย อ้อนเอานั่นเอานี่จนคนมองรู้สึกแปลกๆ แถมยังสับสนคิดว่าตัวเองอยากแทนที่ลูกชายซะเอง ยูกิตั้งสติหน่อยสิวะ

ผ่านไปครึ่งวันแล้วที่ผมได้แต่นั่งมองลูกกับปัณณ์เล่นกันอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านเพราะยังคุยเรื่องงานไม่จบไม่สิ้นเสร็จจากร้านอาหารต่อด้วยโรงแรม อยากโวยวายกลางวงว่านี่วันหยุดขอพักก่อนได้ไหมก็เกรงใจ แล้วอีกอย่างทำไมต้องรู้สึกอยากวิ่งไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า





ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
เวลาล่วงเลยจนถึงช่วงเย็น ผมรับอาสาพาเจ้าตัวแสบไปอาบน้ำแล้วให้ปัณณ์เตรียมทำบาร์บีคิวโดยมีเอย์จิและเคียวค่อยช่วยเหลือ ส่วนโอกาซังขอตัวกลับบ้านเพราะรู้สึกปวดหลังเนื่องจากนั่งมาทั้งวันเลยเหลือแต่หนุ่มๆ เพียงสี่และเด็กอีกหนึ่งคนเท่านั้น แต่อย่าหวังจะได้กระดกของมึนเมา งานนี้มีแต่น้ำอัดลมกับน้ำผลไม้ล้วนๆ

ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดสบายๆ แล้วออกมานั่งกินบาร์บีคิวที่ริมสระน้ำหลังบ้าน ริวเป็นเด็กติดน้าตามเคย ส่วนผมเป็นพ่อที่แย่เพราะเอาแต่นั่งแช่เท้าแหงนหน้ามองดวงจันทร์อยู่เงียบๆ ปล่อยความคิดและอารมณ์ให้จางหายไปในอากาศ นานครั้งที่จะยกน้ำอัดลมสีดำขึ้นมาจิบเพื่อบรรเทาความกระหาย

“พี่ครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ ก่อนที่เจ้าของจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกันในท่าขัดสมาธิ ในมือของเอย์จิมีจานที่บรรจุบาร์บีคิวเกือบสิบไม้ ส่งกลิ่นหอมชวนให้ลิ้มลองแต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากกินทั้งที่ท้องก็ร้องไปหลายครั้ง

“ริวล่ะ?” ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าลูกไปไหน ผมก็แค่อยากทำลายความเงียบก็เท่านั้นเอง จะว่าไปดวงจันทร์คืนนี้สวยดีเพราะเหมือนมีเงาสีดำรูปร่างคล้ายกระต่ายอยู่บนนั้น

“นั่งกินบาร์บีคิวกับปัณณ์อยู่ทางนู้นครับ” เอย์จิวางจานลงบนตักก่อนพยักพเยิดหน้าไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ห่างไม่เกินสิบเมตร

“รักน้ามากกว่าพ่อแล้วมั้ง” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วละสายตาจากคนทั้งคู่มามองผืนน้ำด้านหน้ามันระยิบระยับเพราะแสงไฟตกกระทบ สวยจนอยากลงไปสัมผัส แต่เกรงว่าเวลานี้คงไม่เหมาะแก่การว่ายน้ำ ถ้าเป็นไข้ขึ้นมาต้องแย่แน่ๆ

“นั่นสิน้า เอาไหมครับ?” อยู่ๆ เอย์จิก็ตั้งคำถามที่กำกวมขึ้นมา ซึ่งผมเองไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเข้าใจว่าน้องคงสื่อถึงบาร์บีคิวในจานแน่นอน

“อืม เอาสิ” ตั้งแต่เริ่มปาร์ตี้กันมาเกือบหนึ่งชั่วโมงผมยังไม่ได้แตะอาหารหลักสักไม้

“ที่ผมถามไม่ได้หมายถึงบาร์บีคิวนี่หรอกนะ” เอย์จิขยับจานหนีแล้วมองกันด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบาง ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่น้องต้องการสื่อ

“อะไร?”

“พี่ต้องการปัณณ์ไหมครับ? ถ้าคำตอบคือไม่ผมจะขอ” เอย์จิมีท่าทีจริงจังขึ้นมาเมื่อพูดถึงเรื่องปัณณ์ รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปในพริบตาเดียว คำถามของเขาทำให้ผมสะอึก มึนงงและสงสัย

“แกต้องการจะสื่ออะไรเอย์จิ?”

“ผมให้เวลาพี่คิดทบทวนสองวันครับ ไว้ค่อยตอบคำถามนี้แล้วกัน” น้องทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะส่งจานบาร์บีคิวให้แล้วสะบัดตูดเดินหนีไป ผมรีบตะเกียกตะกายลุกตามแต่ไม่ทันแล้วเพราะเอย์จิเข้าไปร่วมวงกับคนที่เหลือ

ให้เวลาในการคิดคำตอบโดยไม่อธิบายคำถามให้ชัดเจน ผมควรจะหันหน้าไปพึ่งใครที่ไหนดีล่ะ

คืนนี้เป็นครั้งแรกที่ปัณณ์จะย้ายไปนอนอีกห้องที่ทำความสะอาดแล้วพร้อมกับเจ้าตัวแสบเพราะไม่ยอมปล่อยน้าชาย ผมอนุญาตแต่โดยดี ส่งทุกคนเข้านอนเสร็จสรรพก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วข่มตาหลับทั้งที่สมองยังคิดเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำวนเวียนอยู่เหมือนเดิม

สิ่งที่เอย์จิสื่อคือผมต้องการปัณณ์ในฐานะอื่นนอกจากน้องชายหรือเปล่าใช่ไหม... ทำไมต้องถามแบบนั้น แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ความสับสนที่เกิดขึ้นมันหมายความว่ายังไง

อยากอยู่ใกล้ อยากดูแล อยากสัมผัส เป็นห่วง ไม่เป็นตัวของตัวเอง หงุดหงิดเวลาที่เห็นเขาคุยกับใคร ว้าวุ่นใจ ไม่อยากให้เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น ตามใจได้ทุกอย่าง ชอบรอยยิ้ม อุณหภูมิร่างกายหรือแม้กระทั่งกลิ่นตัว ถ้ารู้สึกทั้งหมดนี้กับคนๆ หนึ่งมันจะหมายความว่าอะไร ผมโง่เกินกว่าจะตอบคำถาม คือความรักหรือเปล่า เพราะไม่เคยเจอเลยไม่กล้าตัดสินใจ

ผมผุดลุกขึ้นแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อต่อสายหาผู้ช่วยที่น่าจะชำนาญเรื่องนี้ ดวงตาคมเหลือบมองเวลาก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้มันด่าชุดใหญ่เลย นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้วด้วย... แต่ถ้าให้รอพรุ่งนี้คงไม่ได้ เสียเวลามากไป

รอสายอยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์ด้วยเสียงกุกกัก

‘ฮัลโหล’ คำทักทายแรกทำให้ผมที่กำลังเคลื่อนตัวไปพิงหัวเตียงชะงักกึก ไม่ใช่เสียงไอ้หมออย่างแน่นอนแต่มันกลับทำให้มุมปากเผยอขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“เดี๋ยวนี้รับโทรศัพท์แทนได้แล้วเหรอ?” ผมถามคนปลายสายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะปนยินดีที่เจ็ทสามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของไอ้หมอทาวน์ได้อย่างเต็มที่สักทีหลังจากที่คบกันมาสิบกว่าปี คนโลกส่วนตัวสูงเข้าถึงยากยังต้องแพ้ลูกอ้อน เชื่อเขาเลย

‘โธ่ ถ้าจะล้อเลียนกันแบบนี้ก็ว่างไปเถอะครับยูกิ’ เจ็ทบ่นเสียงงุ้งงิ้งตามนิสัยจนได้ยินเสียงทาวน์ด่าตามมาแผ่วๆ ผมหลุดหัวเราะอีกครั้งก่อนจะเข้าเรื่องจริงจัง

“ไม่แกล้งแล้วๆ ขอคุยกับทาวน์หน่อย” ผมปรับลมหายใจให้เป็นปกติเมื่อความคิดในหัวเรื่องปัณณ์เริ่มกลับมาอีกครั้ง

‘จะจีบแฟนผมเหรอ?’ ไอ้บ้านี่ก็เล่นไม่เป็นเวลาจริงๆ เลย ผมเลิกแกล้งแต่มันกลับหาวิธีเอาคืน นิสัยเด็กไม่เปลี่ยนแต่มันก็เป็นเสน่ห์ของเจ็ทที่ทำให้ไอ้หมอแพ้มาตลอด เป็นคู่รักที่น่าอิจฉามากเลยล่ะ

“ดุแบบนั้นเก็บไว้ให้นายคนเดียวเลย ไม่อยากแย่ง” ถ้าผมชอบไอ้ทาวน์โลกคงแตกแน่ๆ ใครจะไปทนกับคนพูดน้อยได้วะ บางทีไปหามันที่โรงพยาบาลยังต้องบอกอาการป่วยเองเลย ถามสักคำก็ไม่มี โธ่

‘ว่าแฟนผมเป็นหมาเหรอ?’ รายนี้ก็ช่างมโน ผมพูดอะไรสักคำหรือยัง แต่ก็แอบคิดนะ ทาวน์ดุเหมือนหมาจริงๆ นั่นล่ะ

“คิดเองเออเองว่ะ”

‘โอ๊ยๆ ผมโดนตีแล้วอะยูกิ เดี๋ยวคุยกับทาวน์เลยแล้วกัน’ เสียงดังเพี๊ยะนั่นเดาไม่ยากว่าทาวน์คงฟาดคนปากดีเอาซะเต็มแรงซะแล้ว อยู่ๆ ก็ว่าแฟนตัวเองเป็นหมา สมควรโดน แต่ผมดันหัวเราะไม่ออก เรื่องความรักความชอบทำไมดูยากเย็นสำหรับคนไม่เคยพบเจอขนาดนี้

‘ว่าไง หัดดูนาฬิกาบ้าง’ เสียงทาวน์ดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าเผื่อว่ามันจะลดความกังวลลงได้ ป่านนี้ปัณณ์หลับไปหรือยังนะ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันสักคำ

“มีเรื่องอยากปรึกษา มึงอย่าดุนักได้ไหม?” ก็รู้ว่ามันดึก แต่ถ้าไม่ร้อนใจคงไม่อยากรบกวนเวลาสวีทหวานของเพื่อนหรอก รู้จักกันมาสิบปียังทำตัวเหมือนพ่อไม่เคยเปลี่ยน นับถือเจ็ทที่อยู่กับมันได้จริงๆ

‘อืม เจ็ทปล่อยก่อน กูจะไปคุยโทรศัพท์’ อยากจะเบ้ปากใส่พวกมันทั้งสองคน ไอ้เสียงกุกกักๆ นี่คือฟัดกันอยู่ใช่ไหม ผมไม่เคยมีโมเม้นท์แบบนั้นกับใครเลย

“พร้อมฟังหรือยัง?” เมื่อผมได้ยินเสียงลมผ่านเข้ามาแทนผมเลยตั้งคำถามกลับไป มันคงออกไปยืนที่ระเบียง

‘เออ ให้เวลาห้านาที’ นี่ผมต้องเสียเงินซื้อเวลาปรึกษานาทีละหนึ่งพันบาทหรือเปล่าวะ

“ใจร้ายว่ะ” ผมบ่นแต่ไอ้ทาวน์กลับไม่สนใจใยดี

‘เหลือสี่นาทีห้าสิบวิ’ ถ้าไม่ต้องพึ่งมันคงด่าไปแล้ว ร้ายจริงๆ

“โอเคๆ คือกูสับสน ไม่เข้าใจว่าตัวเองคิดยังไง รู้สึกแบบไหนกับเขา” ผมบอกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกไปก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆ ปิดท้าย ถ้าความรู้สึกมันยุ่งยากแบบนี้ทำไมมนุษย์ถึงชอบสร้างมันขึ้นมานักล่ะ เพื่อความสุขอย่างนั้นเหรอ... หรือความทุกข์กันแน่

‘มึงควรโทรหาจิตแพทย์ไม่ใช่ศัลยแพทย์’ ไอ้เวรนี่

“เดี๋ยวนี้มีอารมณ์ขันนะ” ผมพยายามเก็บอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะเข้าใจว่าเวลานี้ไม่เหมาะกับการนำเรื่องยุ่งยากใจมาใส่หัวเพื่อน แต่มันจำเป็นจริงๆ วะ โทษที

‘มีอะไรก็พูดไวๆ รำคาญเสียงงอแงไอ้เจ็ท’ เพื่อนหวงผัวมากกว่าตัวเอง ควรดีใจไหมหืม... ปากบอกรำคาญแต่จริงๆ ก็อยากกลับไปกอดเขาใช่ไหม คนอย่างไอ้ทาวน์ดูง่ายจะตาย

“อ่า ตอนมึงเริ่มชอบไอ้เจ็ทรู้สึกยังไงวะ?” เผื่อเป็นแนวทางให้ผมคิดอะไรได้โดยไม่ต้องขายตัวเอง

‘บอกกูมาว่าใคร?’ แต่ไอ้หมอกลับฉลาดถามจนผมได้แต่กุมขมับตัวเองแน่น เอาเถอะ มันเป็นคนเก็บความลับเก่ง

“เอางี้เลยเหรอวะ ให้กูเกริ่นหน่อยไม่ได้เหรอ?” ผมพยายามต่อรองแต่เหมือนมันจะไม่เป็นผลเพราะได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอจากอีกฝ่ายบ่งบอกว่าตอนนี้เริ่มรำคาญเพื่อนแทนแฟนซะแล้ว

‘เสียเวลา’ สั้นง่ายได้ใจความจนผมหน้าหงายเลยล่ะ ยอมๆ ตอบคำถามดีกว่า

“เฮ้อ เออๆ น้องเมียอะ” ปลายประโยคแผ่วจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ ผมเผลอขยำชายเสื้อแน่นเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา มันช็อกหรือเปล่าวะ

‘ปัณณ์น่ะเหรอ ไม่แปลกที่มึงจะสับสน น้องน่ารักดี’ คำตอบเรียบง่ายไม่มีการแสดงความตกใจเลยสักนิดถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ผมยิ่งสับสนหนักกว่าเก่า ผู้ชายรู้สึกชอบใครง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยชอบใครแต่อยู่ๆ เสือกรู้สึกแปลกกับปัณณ์”

‘ยังไงบ้าง?’ คุณหมอเริ่มซักถามอาการป่วยของผมแล้วล่ะ...

“ก็ช่วงนี้รู้สึกหงุดหงิดเวลารู้ว่ามีคนชอบเขา อยากดูแลทุกเรื่อง เป็นห่วงปัณณ์มากกว่าเอย์จิ อยากกอด อยาก...”

‘พอ มึงนี่โง่เนอะ จบ MBA เกียรตินิยมได้ยังไง?’ ไอ้ทาวน์เบรกกันไว้ทั้งที่ผมยังสาธยายความรู้สึกไม่จบแถมยังด่าว่าโง่อีก โอเค ยอมรับแบบไม่มีข้อกังขาจริงๆ

“รู้สึกจุกเลยว่ะ” แต่มันก็ตรงไปปะวะ คนไม่เคยต้องไม่ผิดสิ

‘มึงชอบปัณณ์’ เดี๋ยว... มึงไม่ต้องใช้เวลาวิเคราะห์หน่อยเหรอ ผมอาจจะแค่หวงน้องมากเกินไปหรือเปล่า แต่กับเอย์จิทำไม่รู้สึกขนาดนี้ แม่ง ชอบจริงๆ เหรอ นั่นน้องเมียนะ

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเผื่อว่าไอ้ทาวน์จะแก้คำพูดแต่เปล่าเลย ได้ยินแค่เสียงพ่นลมหายใจใส่โทรศัพท์เหมือนคนกำลังโมโห

‘หูตึงเหรอ?’ ด่ากูแก่เลยยังดีกว่า

“กูไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายแถมยังเป็นน้องเมีย” ผมพึมพำเสียงอ่อย จะให้ยอมรับความรู้สึกตัวเองมันเป็นเรื่องง่ายแต่ไม่เข้าใจว่าไปเผลอตกหลุมรักเขาตอนไหน... ผิดศีลธรรมหรือเปล่าวะ

‘ความรักมันเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบนั่นล่ะ ส่วนเรื่องที่ปัณณ์เป็นน้องเมียก็ไม่ต้องกังวล กูเชื่อว่าทุกคนต้องเข้าใจ’ ผมทึ่งกับคำปลอบโยนยาวเหยียดของไอ้หมอมาก นานๆ ครั้งถึงจะยอมพูดมากขนาดนี้ ความรู้สึกชัดเจนขึ้นแต่ความกังวลใจยังไม่หายไป ในเมื่อเราชอบเขามันต้องทำยังไงต่อวะ แล้วปัณณ์ล่ะคิดยังไงถ้าพี่เขยชอบ...

“แต่ว่าปัณณ์...”

‘มึงควรหาวิธีจีบเขาก่อนที่หมาจะคาบไปแดก’ อ้าว ไอ้นี่ ผมยังไม่ทันเริ่มมันก็แช่งกันเลยเหรอวะ แล้วดูคำพูดอย่างกับยูกิเก่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นักนี่

“ไอ้หมอ... กูไม่เคยชอบใคร จะจีบยังไงวะ?” คำถามเหมือนเด็กอนุบาลมากไปไหม แต่ผมเริ่มต้นไม่ถูกจริงๆ หรือต้องเดินเข้าไปบอกปัณณ์ตรงๆ ว่าชอบ แต่เขาจะเชื่อเหรอ รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้วไม่มีเค้ารางเลยสักนิด

‘เอาสมองมึงคิด กูวางล่ะ ไอ้เจ็ทเริ่มโวยวายแล้ว’ มันตัดสายจริงๆ แล้วปล่อยให้ผมตีอกชกลมอยู่คนเดียวเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

แล้วผมต้องเริ่มจากตรงไหนวะ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะจีบใครเลยสักคน อายุป่านนี้แล้วต้องใช้วิธีไหนไปสู้กับเด็กๆ ในการพิชิตใจปัณณ์ล่ะนี่ เฮ้อ





---------------------------------------------------

อย่าเทพี่ยูกิของเราน้า คนแก่ก็แค่ไม่เคยรักใครมาก่อนเท่านั้นเอง
ส่วนน้องปัณณ์ก็รอรับมือพี่ยูไว้ได้เลยจ้า

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจเน้อ

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
จีบแบบยูกิสไตลล์ค่ะ ...
ด่วนด้วย อย่ารอ แสดงออกเต็มที่
จะดีถ้าบอกน้องไปตรงๆ น้องจะได้รู้
เอาใจช่วยนะ

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
รู้ใจแล้วก็ต้องลงมืิจีบนะยูกิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด