จานที่ 7 : ข้าวปั้น
ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการเดินงัวเงียออกจากห้องนอนไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือนที่กดออดรัวจนน่ารำคาญ เซซ้ายชนตู้โชว์เซขวาชนโซฟาเพราะยังตื่นไม่เต็มตาเพิ่งได้นอนไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว แต่น่าแปลกที่คนตื่นง่ายอย่างพี่ยูไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
ประตูถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาหรี่เล็กลงเพราะต้องกับแสงแดด นิ้วเรียวบรรจงกดปุ่มบนรีโมทเพื่อให้รั้วไฟฟ้าเคลื่อนที่ ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วหาวหวอดออกมา พยายามเพ่งสายตามองรถหรูที่ขับเข้ามาจอดด้านใน
ผ่านไปครู่หนึ่งขายาวก็ก้าวลงจากรถ เขาเป็นผู้ชายผิวขาวอมชมพูตัวสูงพอๆ กับผม ใส่แว่นตากันแดดสีดำสนิท ในมือถือปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถทำให้เปียกไปทั้งตัวในเวลาอันสั้น สมองที่ยังเบลอเริ่มประมวลผลอะไรบางอย่าง พอรู้อีกทีเสื้อผ้าก็ชุ่มช่ำจนอยากวิ่งกลับไปเอาสบู่มาถูตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!
“ไอ้สัด!” ผมด่าอีกคนอย่างเหลืออดแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากใบหน้า เล่นน้ำอย่างกับวันสงกรานต์ มึงบ้าไปแล้วหรือไง!
“โอ๊ะ โกเมนนะไซ” สำเนียงญี่ปุ่นจ๋าที่ฟังดูคุ้นเคยหลุดจากปากคนตรงหน้า ผมชะงักกึกแล้วรีบลืมตามอง ต่างคนต่างออกอาการตกใจปนดีใจเมื่อรู้ว่าฝั่งตรงข้ามคือใคร
“เอย์จิ!” ผมตะโกนเรียกชื่อของคนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีทั้งที่สนิทกันมาก แต่ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับพี่ยูเลยต้องตีตัวออกห่างตลอดเวลา ทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ติดต่อเพราะกลัวตัดใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป ปัณณ์ยินดีพร้อมรับผลทุกอย่าง
“ปัณณ์ ปัณณ์ ปัณณ์ โคตรคิดถึงเลย!” เอย์จิพุ่งเข้ามารวบกอดผมเอาไว้ทั้งตัวแล้วหมุนไปรอบๆ จนเกิดเสียงหัวเราะดังประสานกันลั่นบ้าน ลืมสนิทว่ายังมีคนที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียง เชื่อว่าอีกไม่นานพี่ยูคงตื่นมาด่าแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้มีเพื่อนร่วมทำผิดแล้ว
“พอ พอแล้ว เราเหนื่อย” ผมตีไหล่เอย์จิพลางประท้วงเสียงสั่นเนื่องจากยังหยุดหัวเราะไม่ได้ เขากอดแน่นจนเราแทบรวมร่างกันได้อยู่แล้ว อีกอย่างคือกลัวกลิ่นปากตัวเอง ยังไม่ได้แปรงฟันอย่าเข้ามาใกล้กันนักสิวะ
“โอเคๆ เราปล่อยปัณณ์ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” เอย์จิหยุดหมุนตัวแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอด สายตาที่มองมานั้นทั้งเจ้าเล่ห์และกรุ้มกริ่มจนน่าหวั่นใจ เคยได้ยินมาว่าเขาเคยแอบปลื้มผมมาก่อน อาจจะมีความหมายประมาณพูดคุยถูกคอล่ะมั้ง ถ้าอยากได้เป็นแฟนคงจีบไปนานแล้ว ก็เล่นเป็นคนตรงๆ โผงผางขนาดนี้
“เจ้าเล่ห์ว่ะ” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า พยายามผละตัวออกห่างมากกว่านี้แต่ดันสู้แรงของเอย์จิไม่ได้จนรู้สึกเกลียดคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำเหลือเกิน จะแข็งแรงไปถึงไหนวะ
“นานๆ เจอกันที ยอมเราหน่อยเถอะ” เสียงทุ้มติดอ้อนดังขึ้นพร้อมกับแสดงใบหน้าหมาน้อยอ้อนเจ้าของให้เห็น ผมเบนสายตาหลบพลางถอนหายใจเฮือก ไม่ใช่เพราะเขินแต่เหนื่อยใจมากกว่า คนบ้านนี้ติดนิสัยชอบบังคับชาวบ้านหรือไง
“เออๆ ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?”
“ให้เราหอมแก้มหรือว่าปัณณ์จะหอมแก้มเราก็ได้นะ” เอย์จิคลี่ยิ้มกว้างคล้ายกำลังชวนคุยเรื่องปกติที่คนอื่นๆ ก็ทำกัน ผมเบิกตากว้างก่อนจะโวยวายเสียงรอดไรฟัน
“เฮ้ย ผู้ชายที่ไหนเขาหอมแก้มกันวะเอย์จิ?” ผมถามกลับแล้วพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแรงแต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูแทรกเข้ามา พี่ยูที่ยืนขยี่หัวอยู่ตรงนั้นมองพวกเราด้วยใบหน้าบึ้งตึง โดนด่าแน่ๆ ที่บังอาจทำลายเช้าวันหยุดของเขาพังป่นปี้
“เสียงดังอะไรกัน คนจะหลับจะนอน” มาแล้วครับดอกที่หนึ่ง แต่แทนที่เอย์จิจะตกใจแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ อ้อมกอดนั่นกลับรัดแน่นขึ้นจนช่วงหน้าอกแนบชิดกันอีกครั้ง ดีหน่อยที่สามารถเบนหน้าหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเกิดการจูบขึ้นแน่นอน บ้าเอ๊ย พี่ยูเข้าใจผิดหรือเปล่าวะ ปัณณไม่ได้พิศวาสมันสักนิด
“เฮ้ พี่ชาย ผมกำลังทำข้อแลกเปลี่ยนกับปัณณ์อยู่ล่ะ” จะไปบอกเขาทำไมวะเนี่ย โอย ผมอยากกระทืบเท้าเอย์จิแรงๆ สักที คิดว่ายืนกอดกันกลมแบบนี้มันปกตินักหรือไง ไม่สังเกตเลยเหรอว่าพี่ยูกำลังหงุดหงิด ถึงจะตื่นง่ายแค่ไหนแต่เวลาตั้งใจว่าจะนอนแล้วโดนปลุกมันโคตรแย่ ปัณณ์เข้าใจดี
“จำเป็นต้องเสียงดังโวยวายด้วยหรือไง แล้วนั่นจะกอดกันอีกนานไหม?” โดนดอกที่สองเข้าไปเต็มๆ เอย์จิก็ยังคงกอดกระชับไว้แน่นแถมยังมากกว่าเดิม แต่ผมดันเผลอใจเต้นแรงเพราะหวังลึกๆ ว่าพี่ยูคงออกอาการหวงกัน แต่พอลองคิดทบทวนแล้วนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงแม้ปัณณ์จะไปขึ้นเตียงกับใครก็คงไม่สนใจ
“ทำไมอะ หวงผมเหรอ?” คำถามของเอย์จินั่นช่างเรียบง่ายแต่มันสะเทือนจิตใจของผม อยากยกมือขึ้นมาอุดหู กลัวคำตอบที่กำลังจะหลุดออกจากปากของเขา ถ้าหวงน้องชายแท้ๆ ก็แสดงว่าปัณณ์น่ารังเกียจสินะ
“คนอย่างแกมีอะไรให้หวง” พี่ยูอ้าปากหาวหวอดก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้พวกเรา มือหนาวางแปะลงบนศีรษะของเอย์จิจากด้านหลังแล้วออกแรงขยี้อย่างแรง ที่ผมเห็นทุกอย่างเพราะกำลังหันหน้าไปทางเขา เผลอสบตากันก่อนจะได้รับรอยยิ้มละมุนแต่ดวงตากลับว่างเปล่าไร่ความรู้สึก ผู้ชายคนนี้อ่านยากจริงๆ
“งั้นก็หวงปัณณ์สินะ?” เอย์จิยังคงดิ้นรนหาคำถามมางัดข้อกับพี่ชายบังเกิดเกล้า เขาดูสนุกแต่ผมอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายมากกว่า เชี่ยนี่เคยคิดถึงใจคนอื่นบ้างหรือเปล่า ไอ้นิสัยพูดตรงๆ โผงผางเก็บใส่กล่องไว้ก่อนได้ไหม
ผมได้แต่ก้มหน้าซบกับไหล่ของเอย์จิเพราะไม่กล้าสบตากับพี่ยูที่จ้องเขม็งมาทางนี้ เขาคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ทำไมเวลาถามถึงปัณณ์ต้องใช้เวลาคิดนานมากกว่าปกติ คำถามก็อันเดียวกันนี่ จะไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงกัน การกระทำเหมือนให้ความหวัง... เจ็บว่ะ
ตกลงเรื่องนี้ใครโง่กันแน่ ผมหรือยูกิ
“ก็... เปล่า” พี่ยูผละออกไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วทอดสายตามองผ่านพวกเราออกไปด้านนอก ข้างประตูใหญ่เป็นบานกระจกใสเพื่อชมสวนบริเวณรอบบ้าน ทำไมต้องทำให้ผมหวั่นไหวอยู่เรื่อยครับ ให้คำตอบกันได้ไหม ไอ้ความไม่แน่ใจที่อยู่ในดวงตาเมื่อครู่คืออะไร
“อ้อ ผมปล่อยปัณณ์ตอนนี้ไม่ได้หรอก” คนดื้อแห่งปียืนยันคำเดิมแต่ผ่อนแรงที่รวบกอดกันให้เบาบางลง ผมขยับตัวเพื่อความสบายตัวใบหน้ายังคงซุกซบอยู่บนไหล่กว้าง ก็ง่วง ก็เพลีย แค่หาที่วางคางเท่านั้นเอง ไม่ได้ติดใจกลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ตแต่อย่างใด ยังไงๆ พีชก็ดีที่สุดสำหรับปัณณ์
“ทำไม?” พี่ยูเริ่มขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจมากยิ่งขึ้นเพราะเอย์จิกำลังทำตัวเป็นเด็กดื้อ ผมต้องจบเรื่องนี้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องเกิดศึกกลางบ้านแน่ๆ
“เอ่อ... เอย์จิปล่อยเราเหอะ” ผมกระซิบบอกแต่เอย์จิกลับส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแถมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนอากาศไม่สาราถแทรกผ่านระหว่างเราได้ จะยินดีกว่านี้ถ้าอีกคนคือพี่ยู โอย กูไม่ได้พิศวาสผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ ถึงหล่อแค่ไหนไม่ถูกใจก็ไม่เอาหรอก
“เฉยๆ น่า ก็ข้อแลกเปลี่ยนของผมคือจะยอมปล่อยก็ต่อเมื่อผมได้หอมแก้มปัณณ์หรือปัณณ์ยอมหอมแก้มผมเท่านั้น” เอย์จิเอ่ยปรามก่อนจะหมุนตัวไปคุยกับพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขายอมคลายอ้อมกอดหลวมๆ แต่ใช้ปลายนิ้วเชยคางกัน เชื่อไหมว่าผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเพราะมันเหมือนเป็นแฟนกันกำลังสวีท คราวนี้ออกแรงผลักแต่โดนสายตาดุห้ามไว้ นี่ตกลงมันอยากหอมแก้มหรือแกล้งกวนตีนพี่ชายกันแน่ คนบ้านนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใครก็ตามไม่ทันจริงๆ
“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ดอกที่สามก็มาพร้อมกับปฏิกิริยาส่ายหัวแบบปลงๆ ไอ้ผมที่โดนกอดก็ขี้เกียจจะขัดขืนแล้ว ช่างแม่งเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป
“ผมจริงจังนะพี่ชาย ปัณณ์ตัวหอมจะตาย ถ้าไม่เกรงใจอยากขอฟัดมากกว่า”
“.....” ผมถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยืนหน้าซีด รู้สึกถึงรังสีอะไรบางอย่างจากตัวเอย์จิ อย่าบอกนะว่ามึงคิดอกุศลกับกูมานานแล้วไม่ใช่การกอดเพราะคิดถึงแบบเพื่อน ยันให้ติดผนังเลยดีไหม สัด
“เอย์จิ ปล่อยปัณณ์ซะ” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเข้ามาหาเราที่ยังยืนคาประตูบ้านไม่ขยับไปไหน ผมเห็นความไม่พอใจในดวงตาของเขาแต่ไม่สามารถตีความได้ว่าเหตุผลเพราะอะไร หวง รำคาญ ง่วง หรือกลัวยุงเข้าบ้าน...
“ไม่ปล่อยครับ พี่อย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้างสิ” ห๊ะ... ผมนี่ไปไม่เป็นเลยครับได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กมองพี่ยูด้วยสายตาขอโทษ เอย์จิกำลังพาทุกคนออกกลางทะเลแล้วนะเว้ย เขาจะมาหวงก้างใครล่ะวะ มึงบ้าปะเนี่ย อาการหนักกว่าไอ้ทอยเยอะ
“พูดเรื่องบ้าอะไร?” เสียงดุๆ ทำให้ผมใช้แรงทั้งหมดสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของเอย์จิช่วงที่เจ้าตัวเผลอออกมายืนหอบหายใจอยู่อีกมุมหนึ่ง กว่าจะเป็นอิสระคือเหงื่อท่วม แรงควายชะมัด แล้วคราวนี้ถ้าเขาตีกันกูควรห้ามทัพยังไง
“ผมชอบปัณณ์ ชอบมานานแล้วด้วย” เอย์จิพูดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนเหลือบสายตามองผมที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก บอกพี่ยูไปแบบนั้นเพื่ออะไรวะ คาดหวังปฏิกิริยาแบบไหนอยู่ มันเกี่ยวกับคำว่าหวงก้างตรงไหน ทำไมกูงง
“แก... อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย พี่ไปอาบน้ำล่ะ” แล้วทำไมพี่ยูถึงไม่ว่าอะไรสักคำแถมยังเดินหนีเข้าห้องนอนอย่างหน้าตาเฉยปล่อยทิ้งไว้ให้ผมกับเอย์จิมองตากันปริบๆ ตอนนี้สมองเบลอจนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง สองสามวันมานี้มีแต่เรื่อง พอถึงวันหยุดก็ยังมีคนมาตามราวีชีวิตอันสงบสุข รู้แบบนี้ใจแข็งดื้อด้านอยู่คอนโดต่อคงดีกว่า
“ปัณณ์...” เอย์จิขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับพลางคลี่ยิ้มบางเหมือนพระเอกกำลังจะสารภาพรักกับนางเอก สายตาหวานซึ่งที่มองมาทำให้ขนอ่อนในกายลุกชันอีกครั้ง ไม่ได้ๆ ต้องหาทางออกจากสถานการณ์นี้ ความรู้สึกในส่วนลึกกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาด
“ปล่อยเถอะ เรายังไม่ได้แปรงฟัน” ผมแกะมือเรียวออกแล้วใช้เหตุผลโคตรเด็กเพื่อจะหนี อันที่จริงก็มั่นใจวากลิ่นปากตัวเองไม่ได้แย่เพราะเพิ่งบ้าจี้แปรงฟันไปเมื่อก่อนนั่งหลับในห้องน้ำ ก็มันฟุ่งซ่านเรื่องที่ขโมยจูบพี่ยูจนทำอะไรไม่ถูก
“โกรธหรือเปล่าเนี่ย เสียงแข็งอะ” เอย์จิทำหน้าหงอยในขณะที่ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้สนใจพี่ยูมากกว่าว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“เปล่า” ผมตอบปัดโบกมือประกอบเพื่อให้เอย์จิครายความกังวล ไม่มีเรื่องอะไรต้องโกรธกันนี่ ก็แค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทำให้พี่ยูเห็นภาพกำลังกอดกัน ลึกๆ ก็หวังให้เขาออกอาการหวง แต่... อย่างที่เห็น ห่วงนอนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ที่เราบอกว่าชอบอะ... เราชอบปัณณ์จริงๆ นะ ไม่ได้โกหก”
“เรารู้แล้ว ไม่ต้องบอก”
“เราอยากจีบปัณณ์” ห๊ะ เดี๋ยวๆ แค่ปลื้มทำไมต้องอยากจีบ นี่สรุปว่าผมแปลความหมายผิดอย่างนั้นเหรอ
“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเผื่อเอย์จิจะใช้ภาษาไทยผิด
“เฮ้ย ไม่ใช่สิ ภาษาไทยใช้คำว่าอะไรนะ เอ่อ... อ๋อ เราเคยอยากจีบปัณณ์!” หืม... กูว่าชัดแล้วล่ะ ไม่ได้ใช้ผิดแต่ตกคำ ไม่เห็นจะรู้สึกต่างกันตรงไหน มีแต่อึ้งกับอึ้ง!
“เคยเหรอ?”
“ใช่ แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วล่ะ พอดีว่าศัตรูหัวใจเทพเกิน รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ” เอย์จิหนีไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆแถมมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า บรรยากาศตอนถูกสารภาพจากเขากับไอ้ทอยช่างต่างกันลิบลับ หรือเพราะคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันบ่อยๆ เลยรู้สึกว่ามันไม่อึดอัด แต่เรื่องที่ต้องโฟกัสมันคือศัตรูหัวใจต่างหาก หมายความว่ายังไง
“ใคร?” ไม่ใช่ไอ้ทอยแน่ๆ เพราะเอย์จิไม่รู้จัก ผมขมวดคิ้วพลางคิดแล้วคิดอีก ส่วนคนที่สร้างเรื่องก็นั่งยิ้มกริ่มเหมือนรอเวลาพูด มึงจะทิ้งระยะไปเป็นนาทีแบบนี้ไม่ได้นะ
“ก็คนที่ด่าพวกเราเมื่อกี้ไง” อยู่ๆ ไอ้คนที่เงียบไปนานก็เอ่ยปากก่อนจะหัวเราะคิกคักตบท้ายราวกับเป็นเรื่องตลก แต่คนฟังอย่างผมทำได้แค่นิ่งอึ้งมองอีกคนด้วยความหวั่นใจ เอย์จิรู้มานานแค่ไหน รู้ได้ยังไง ทำไมถึงรู้ทั้งที่ไม่เคยบอก
“เอย์จิ... นายรู้?” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อบรรเทาความตื่นกลัวในหัวใจ เอย์จิลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไม่ยอมตอบคำถามในทันที เขายิ้มก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องนอนที่คนถูกกล่าวถึงอาบน้ำอยู่
“แน่นอน ก็ปัณณ์ชอบแอบมองเขาเวลาเผลอตลอดนี่นา เราช่างสังเกตนะ” เอย์จิดูจะภูมิใจกับนิสัยของตัวเองเป็นอย่างมาก แต่นั่นคือความพินาศของผม เขาบอกพี่ยูไปหรือยังว่าน้องเมียคิดไม่ซื่อกับตัวเอง แม่ง เครียดกว่าเรื่องไอ้ทอยไม่ยอมเข้าใจกันอีก ควรจัดการยังไงดี
“แล้วพี่ยูเขา...” รู้เรื่องนี้หรือเปล่า
“โนๆ รายนั้นโง่จะตาย” เอย์จิปัดมือปฏิเสธพลางพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ยาขาวๆ ก้าวเข้ามาประชิดตัวก่อนจะวางแขนเรียวลงบนไหล่ กระชับให้แน่นเหมือนพยายามปลอบว่าสบายใจได้ แต่ผมกลัว...
“อย่าบอกเขาได้ไหม?” ผมถามเสียงสั่นเพราะว่าคนอย่างเอย์จิไม่ใช่พวกขี้ขลาดตาขาว ถ้าเกิดเขาอยากบอกเรื่องนี้กับพี่ยูย่อมทำได้โดยไม่แคร์ใครอยู่แล้ว
“เราไม่บอกหรอก การแอบรักไม่ใช่เรื่องตลกเลย” แต่สิ่งที่ตอบกลับมาจากเขามันเกิดคาด สายตาของเอย์จิมรแต่ความสงสารเต็มไปหมด ผมคลี่ยิ้มบางพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเป็นสวมกอดอย่างเต็มใจ
“อื้อ ขอบคุณ”
“ปัณณ์ไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ เราเริ่มเหม็นกลิ่นปากแล้วอะ” เอย์จิผละตัวออกแล้วแสร้งยกมือขึ้นปิดจมูก ทำหน้ายี้ใส่เหมือนเหม็นกลิ่นปากกันจริงๆ จนผมได้แต่แยกเขี้ยว ทำร้ายก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนเอาคืนจะแย่
“อยากโดนกระทืบใช่ไหม?” แต่ขอขู่ไว้ก่อนเถอะ เผื่อเอย์จิลืมตัวแซวประเด็นอื่นจะได้ยั้งคิดทันว่าผมอาจกระทืบเขาจริงๆ
“กลัวแล้วจ้า ~” ท่าทางกลัวแบบทะเล้นๆ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในครัวคืออะไรวะ ตามไปกระทืบจริงดีไหม แม่งเอ๊ย หลังจากนี้คงต้องออกกำลังกายบ้างแล้ว เผื่อโดนแกล้งจะได้เอาคืนหนักๆ หึ
ผมจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนเรียบร้อยหยิบเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาสั้นลายต้นมะพร้าวมาใส่เพราะอุณหภูมิวันนี้คาดว่าคงเกือบสามสิบหกองศา ร้อนตับแตกแน่ๆ
ห้องนั่งเล่นในตอนนี้ว่างเปล่าเพราะสองหนุ่มพี่น้องย้ายก้นเข้าไปอยู่ในครัว เดาว่าพี่ยูคงกำลังลงมือทำอาหารส่วนเอย์จิคงช่วยวุ่นวายเพราะเป็นแค่คนชิม รายนั้นทอดไข่ดาวยังไหม้เลย ใครได้เป็นแฟนคงลำบาก
“แกมาทำไมตั้งแต่เช้า?” เสียงทุ้มดังขึ้นในขณะที่ผมก้าวขาเข้าสู่บริเวณห้องครัว เอย์จิที่กำลังยกแก้วนมขึ้นดื่มถึงกับชะงัก
“ไปเล่นสงกรานต์กัน” อะไรนะ
“เดี๋ยว... วันนี้เหรอ?” ผมหลุดถามพลางขมวดคิ้วมองหน้าคู่สนทนาด้วยความแปลกใจ
“ใช่สิ ปัณณ์ทำงานหนักจนจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?” เอย์จิบุ้ยปากใส่ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบแก้มกันจนรู้สึกเจ็บ ผมผงะถอยหลังเมื่อเห็นสายตาของพี่ยู ช่วงนี้เขาเป็นอะไร ชอบมองแปลกๆ อยู่เรื่อย
“โทษที ช่วงนี้เบลอๆ น่ะ” ผมตอบปัดๆ แล้วรับแก้วนมมาจากเอย์จิ จำได้ด้วยเหรอว่าชอบกินรสช็อกโกแลตกรือเลือกให้เพราะเดาสุ่ม
“ไปกันนะปัณณ์ ส่วนพี่ยูก็ช่างเขา แก่แล้วคงไม่อยากเล่นน้ำ” เอย์จิจับแขนผมเข่าแล้วมองด้วยสายตาอ้อนๆ อยากปฏิเสธแบบไม่ต้องแคร์อะไรเพราะนานมากแล้วที่หมดความตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ โดนน้ำสลับกับตากแดดมีหวังไข้ขึ้นแน่นอน ไม่ใช่ว่าเป็นคนอ่อนแอแต่ร่างกายปรับตัวไม่ทันต่างหาก
“เอ่อ...” แต่ไอ้สายตาเป็นประกายเหมือนเห็นหางกระดิกไปมาเหมือนลูกหมาคืออะไรวะ แม่ง อย่าใจอ่อนสิ ผมจะแพ้ทั้งพี่ทั้งน้องไม่ได้นะเว้ย
“ชิเน่!” อยู่ๆ พ่อครัวประจำบ้านก็สบถด่าเสียงดังจนผมกับเอย์จิสะดุ้งโหยง ชามอุด้งหน้ากุ้งเทมปุระถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนน้ำซุปกระเซ็นเปรอะไปทั่ว บ่งบอกอารมณ์บางอย่างที่กำลังปะทุขึ้นในตัวพี่ยูได้เป็นอย่างดี โธ่ ไปหาว่าพี่ชายตัวเองแก่ได้ยังไงวะ เดี๋ยวอาหารเช้าก็อดแดกกันพอดี
“โอ๊ะ อยู่ๆ ก็บอกให้ผมไปตายอะ ใจร้ายจังเลยน้า” ไอ้คนไม่สำนึกยังลอยหน้าลอยตายิ้มแป้นแถมยังกล้าเลื่อนชามอุด้งไปครอบครอง นั่นมันของผมเหอะ! กุ้งเทมปุระห้าตัวนั่น แม่ง เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปตายอีกคนเลย หมั่นไส้จริงๆ
“หยุดกวนตีนสักทีเถอะ รำคาญ” พี่ยูพ่นลมหายใจก่อนจะยกชามอุด้งกลับมาให้ผมแล้ววางข้าวหน้าไก่ให้เอย์จิแทน ถ้าจำไม่ผิดนั่นคือเมนูโปรดของเขา มีพี่ชายที่ไหนจะจำรายละเอียดของคนในบ้านได้ขนาดนี้วะ ปัณณ์ยังไม่รู้เลยว่าสมัยพี่ป่านเป็นวัยรุ่นชอบนักร้องเกาหลีวงไหนทั้งที่สนิทกันมาก
“โอ๋ๆ นะครับพี่ชายคนหล่อ จะไปกับพวกผมไหมล่ะ?” เอย์จิลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปสวมกอดพี่ชายจากด้านหลัง ใช้ใบหน้าตี๋ๆ นั่นถูไถออดอ้อน ดูไปก็น่ารักดีแต่รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก อึ๋ย เกิดเป็นพี่ยูก็น่าสงสารว่ะ น้องชายไม่เต็มบาทขนาดนี้
“ปัณณ์ยังไม่ได้ตอบว่าอยากไปกับแกหรือเปล่า” คนแก่ผลักหัวน้องชายแล้วใช้หางตาเหล่มองราวกับเหนื่อยใจมาก แต่ผมรู้ว่าเขาเทคแคร์คนในครอบครัวดีมากแค่ไหน เอาเป็นว่าหาที่ติไม่ได้เลยก็แล้วกัน
“ปัณณ์จ๋า ~” เฮ้ย แล้วไหงย้ายมาอ้อนผมล่ะ ก่อนที่เอย์จิจะพุ่งเข้ามากอดต้องชิงตอบตำถามพี่ยูให้สิ้นเรื่อง
“เออๆ ไปก็ไป แล้วริวล่ะ?” ผมถามหาหลานชายที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน ครั้งล่าสุดคือแวะไปกินข้าวที่ร้านแต่ไม่ได้ค้างที่บ้านไปขลุกอยู่กับคุณย่าและเอย์จิเพราะมีของเล่นเยอะ หึหึ ใช่ว่าที่นี่จะน้อยหน้าซะเมื่อไหร่พี่ยูสายเปย์นะอย่าลืม
“อยู่กับโอกาซังครับ” เป็นอันว่าเอย์จิเตรียมแผนการเที่ยววันสงกรานต์ไว้เรียบร้อยแล้วสินะ โอเค ผมยอมแพ้ก็ได้
“อือ”
“ว่าไงครับคุณพี่ชาย ไปด้วยปะ?” พอได้คำตอบที่น่าพอใจก็หันไปถามพี่ชายอีกครั้งด้วยรอยยิ้มระรื่น ผมนั่งแทะกุ้งเทมปุระรอฟังอยู่เงียบๆ ลุ้นว่าคุณพ่อจะยอมย้อนวันวานหรือเปล่า
“อืม” ถือว่าทุกคนแพ้ลูกอ้อนของเอย์จิสินะ เฮ้อ ถ้าผมป่วยก็ช่วยหาข้าวหาน้ำให้กินด้วยแล้วกัน
พวกเราเดินทางด้วยรถเอสยูวีของพี่ยูเพราะสามารถจุคนและสัมภาระได้เยอะ ปืนฉีดน้ำพร้อม ซองพลาสติกกันน้ำใส่มือถือพร้อม แว่นตาสีใสพร้อม แต่ผมว่าแดดเมืองไทยร้อนเกินไป
เพลงไทยๆ ถูกเปิดให้เข้ากับบรรยากาศวันสงกรานต์โดยฝีมือของเอย์จิที่นั่งอยู่ข้างพี่ยู ท่ารำวงแบบมั่วๆ ของเขาทำให้ผมหลุดหัวเราะเป็นระยะจนต้องแอบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปเก็บเอาไว้
“จะไปเล่นน้ำที่ไหน?” พี่ยูเอ่ยปากถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนสายหลักที่เริ่มติดขัดเนื่องจากผู้คนเริ่มออกมาเล่นน้ำ ดวงตาคมเหลือบมองผ่านกระจกมาทางผมครู่หนึ่ง คงตั้งใจขอความคิดเห็นหรือเพราะยังไม่หายโกรธเรื่องนั้น... พอดีเผลอไปขัดใจเขาก่อนขึ้นรถ
“ข้าวสาร!” เอย์จิตะโกนตอบอย่างรวดเร็วเหมือนคิดไว้อยู่แล้ว สีหน้าดูตื่นเต้นมากจนผมอดยิ้มไม่ได้ เด็กญี่ปุ่นกับสงกรานต์คงเป็นอะไรที่แปลกใหม่เพราะนานๆ ครั้งเขาจะบินกลับมาช่วงเมษายน (ปกติเอย์จิทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นนายแบบ ส่วนครอบครัวคนอื่นก็ไปๆ มาๆ ระหว่างสองประเทศตลอดทั้งปีเพราะทำธุรกิจ)
“คนเยอะ” อันนี้เสียงพี่ยู ไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากไปตรงนั้น ผมเข้าใจความคิดคนวัยนี้นะ ไอ้เรื่องไปเบียดเสียดกับคนจำนวนมากคงไม่โอเคเป็นธรรมดา
“ต้องแบบนั้นสิ เราไปเล่นน้ำนะไม่ใช่กระโดดคลองหลังบ้าน” เอย์จิไม่จอมแพ้แถมยังทำหน้ากวนส้นเท้าใส่พี่ชายอีก ผมที่นั่งอยู่เบาะหลังทำได้แค่ถอนหายใจเฮือก เลี้ยวรถกลับบ้านกันดีไหม เล่นน้ำในสระเป่าลมของริวแทน
“ไอ้...” พี่ยูตั้งท่าจะด่าคนข้างๆ เป็นจังหวะเดียวกันที่ผมคิดอะไรออก
“แค่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ก็พอมั้ง” ถึงคนจะเยอะแต่ก็น่าจะดีกว่าไปข้าวสารล่ะมั้ง
“ปัณณ์อยากไปเหรอ?” เอย์จิหันขวับมามองกันด้วยดวงตาเป็นประกายเช่นเดียวกับพี่ยูที่ลอบมองผ่านกระจก ผมไม่ได้อยากออกจากบ้านด้วยซ้ำ ที่จริงแพลนวันนี้คือไปซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วซื้อของกลับไปทำบาร์บีคิวกินต่างหาก
“ก็น่าจะดีกว่าข้าวสาร” เดาเอาน่ะนะ ไม่รู้จะดีหรือแย่กว่า ต้องพิสูจน์
“งั้นตกลงตามที่ปัณณ์เสนอเลยครับ” ไหนบอกว่าไม่อยากจีบแล้วไง จะตามใจผมเพื่ออะไร เมื่อครู่ยังเถียงพี่ยูฉอดๆ อยู่เลย เฮ้อ เข้าใจยากว่ะคนบ้านนี้
“หึ” แล้วพี่ยูจะหัวเราะแบบนั้นทำไม รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
พวกเราทั้งสามคนเดินเข้าสู่สงครามสายน้ำด้วยอุปกรณ์เตรียมพร้อม ผมแอบเหลือบมองพี่ยูที่เดินอยู่ข้างกัน วันนี้ดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษคงเพราะเสื้อกล้ามสีดำที่แหวกจนถึงช่วงเอวเผยให้เห็นมัดกล้ามของซิกแพคอย่างชัดเจน ไหนบอกว่าไม่อยากเล่นสงกรานต์แล้วทำไมจัดเต็มมาล่อสาวๆ ปะแป้งขนาดนี้ ส่วนเอย์จิก็ไม่ต่างกัน
“พี่เตือนแล้วว่าให้เปลี่ยนเสื้อ” คนข้างตัวดุทันทีที่น้ำระลอกแรกสาดเข้ามาจนทำให้เสื้อกช้ามสีขาวของผมเปียกแนบเนื้อ ได้ยินเสียงกรี๊ดของสาวๆ แถวนั้นก็พลอยหลุดยิ้มไปด้วย โชว์หน่อยจะเป็นไรไป
“พี่ก็ใส่เสื้อกล้ามเหมือนกัน แถมโป๊กว่าผมอีก” ผมเหล่สายตามองเสื้อพี่ยูแล้วได้แต่เบ้ปาก ถึงจะไม่โดนน้ำแต่ก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน ไม่ใส่ยังดีกว่าอีกมั้ง
“มันสีขาว” พี่ยูไม่ยอมแพ้แถมยังเอื้อมมือมาดึงเสื้อผมไม่ให้แนบกับลำตัวราวกับหวงกันนักหนา เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้เหมือนให้ความหวัง ขอเกลียดตัวเองที่ขี้มโนเกินไปก็แล้วกัน
“ผู้ชายจะอายอะไรครับ?”
“คนมอง” ดุอีก นี่พี่หรือพ่อครับ แต่อยากให้เป็นแฟนมากกว่า... โธ่ ฝันกลางวันน่ะ อย่าสนใจเลย
“หวงผมเหรอ?” ผมแกล้งถามทั้งที่ก็หวังว่าคำตอบมันจะออกมาเป็นคำว่าใช่ แต่อย่าคิดว่าบรรยากาศมันจะโรแมนติกเพราะตอนนี้โดนฉีดน้ำมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เข้าปากบ้าง เข้าตาบ้างแต่เราทั้งคู่ก็ยังไม่ละความต้องการของตัวเอง
“ไม่หวงน้องแล้วจะให้หวงใคร?” คำตอบเดิมที่เคยทำให้ผมหวั่นไหว มาวันนี้กลับรู้สึกว่ามันช่างธรรมดาจนอยากหัวเราะออกมาดังๆ เขาไม่เคยให้ความหวัง มีแต่มโนเพ้อพกไปเอง
“เหรอ? แล้วเอย์จิล่ะครับ รายนั้นก็ใส่เหมือนกัน” แต่วันนี้ผมอยากได้คำตอบที่ต่างจากนั้น และเวลานี้ก็เหมาะที่จะถามเพราะเอย์จิแยกตัวออกไปหาเพื่อนทางด้านโน่นและคาดว่าคงไม่กลับมาเร็วๆ นี้
“ปัณณ์มี Sex Appeal สูงเกินไป พี่กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย” พี่ยูเอื้อมมือมาวางบนหัวแล้วออกแรงขยี้เบาๆ ผมก้มหน้าลงต่ำแล้วหลุดหัวเราะเยอะตัวเอง อืม เข้าใจเหตุผลโดยไม่มีข้อกังขา ไม่น่าถามเลยกู
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ ชินแล้ว” ผมผละตัวออกแล้วเงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มบางไปให้พี่ยูก่อนจะเลิกสนใจเขาแล้วหันไปยิงปืนฉีดน้ำโต้ตอบสาวสวย
“ถ้าโดนล้วงขึ้นมาจะทำยังไง?” เขาเดินมาบังหน้าผมแล้วจ้องตาเขม็งทำอย่างกับมีน้องสาว ทำไมเป็นคนขี้ระแวงแบบนี้นะ โดนล้วงแล้วไง ไม่เสียหายหรอกน่า
“ล้วงกลับครับ ไม่ขาดทุนแน่นอน” ผมนักคิ้วกวนให้เข้าแล้วเบี่ยงตัวออกไปยิงปืนฉีดน้ำใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา จุดประสงค์คือเล่นสงกรานต์ก็ต้องทำให้เต็มที่สิ
“เจ้าเด็กคนนี้!” พี่ยูทำเสียงดุแล้วยกมือขึ้นแจกมะเหงกแต่ผมรู้ตัวเลยหลบทันก่อนจะคลี่ยิ้มทะเล้นให้ โธ่ อย่าทำตัวเครียดไปเลยน่า อุตส่าห์วางออกมาเล่นน้ำทั้งที ปลดปล่อยความอึดอัดระหว่างเราทิ้งไปบ้างเถอะ
“ล้อเล่นครับ ผมอยู่กับพี่ยูยังต้องกังวลเรื่องถูกลวนลามอีกเหรอ?”
“พี่ดูแลเราไม่ได้ตลอดเวลาหรอก” เหมือนเขาจะดุต่อแต่กลับคลี่ยิ้มละมุนให้
“ผมไม่เรียกร้องขนาดนั้นหรอกน่า สบายใจได้ครับ” ผมโบกมือปัดๆ ก่อนจะก้าวขาไปด้านหน้า ยืนตรงนี้มานานจนตกเป็นเป้าสายตาแล้ว มันก็ดีที่มีคนชอบแต่รู้สึกโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวเมื่อถูกถ่ายรูป
“ปัณณ์...” พี่ยูส่งเสียงเรียกโดยที่เดินตามมาคว้าข้อมือกันไว้ ผมชะงักเท้าหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สลัดความรู้สึกหวั่นไหวที่เริ่มก่อตัวขึ้นทิ้งไปแล้วหันไปคลี่ยิ้มกว้าง
“เดินต่อเถอะครับ คนเริ่มมองเยอะแล้ว เดี๋ยวเอาตัวรอดไม่ทันจะแย่นะ”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้วทำให้จำนวนผู้คนที่เล่นน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็แทบหาที่ว่างไม่เจอ ปืนฉีดน้ำก็ใช้งานไม่ได้แล้ว พอหันไปมองพี่ยูก็แทบกลั้นขำไม่ไหว เสื้อสีดำกลายเป็นสีขาวเพราะแป้งไปทั้งตัว ลึกๆ ก็แอบหวงว่ะ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็ทำได้แค่มองเท่านั้น แสดงอาการไม่ได้
ต่อด้านล่างน้า