♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61  (อ่าน 30794 ครั้ง)

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่ยูสู้ๆ รีบๆจีบน้องได้แล้ว น้องรักพี่มานานแล้ว

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :กอด1:ติดตามคร่าาา

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โอ้ยยย อิพี่แกจะซึนอะไรขนาดน้านนน

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อื้อหือ คุณพ่อลูกหนึ่งไม่เคยรักใครและจีบก็ไม่เป็นไร
งานก็เข้าไปตามระเบียบ คนให้คำแนะนำก็พูดทิ้งขว้างมาก
งานนี้ไม่รู้ว่าปัณณ์ต้องหนีไปมีใครจริงจังก่อน พี่ยูถึงจะลงมือหรือเปล่า
ปัณณ์ก็เหมือนเป็นไบโพล่าไปเลย พี่พูดดีด้วยก็ใจฟู
พี่พูดเหมือนอยากให้มีใคร ก็ใจแฟบ

เอย์จิควรเรียกพี่ยูมาจูนความคิดและความรู้สึกใหม่นะ
สองวันเองนะพี่ยู จะรู้ตัวและยอมลุยไหม

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ถึงกับต้องโทรไปถามหมอทาวน์เลยเหรอ :laugh:
รู้ใจตัวเองแล้วก็รีบๆเดินหน้าจีบได้แล้วพี่ยู  :katai2-1:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 9 : ซูชิ



จากวันที่ปาร์ตี้ริมสระน้ำผ่านไปแล้วเอย์จิก็ไม่ได้โผล่หน้ามาที่บ้านอีกเลยเหมือนกับว่าโดนใครบางคนสั่งห้าม แต่ผมคงคิดมากไปเพราะไม่มีเหตุผลที่พี่ยูจะทำตัวหวงก้างแบบนั้น ส่วนริวก็ยังคงเป็นเด็กติดน้ามากกว่าพ่ออยู่ดี

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าที่พี่ยูควรจะตื่นมาทำอาหารแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา ผมอุ้มริวที่ยังงัวเงียออกมาจากห้องเพื่อตรงไปดูอีกคนว่าเกิดอาการไม่สบายหรือเปล่า นี่มันเป็นเรื่องผิดสังเกตเอามากๆ

“หาว ~” ริวอ้าปากหาวหวอดก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าลงกับไหล่ สองแขนเล็กโอบรอบคอไว้แน่นเหมือนกลัวตก ผมลูบหลังเจ้าตัวแสบเพื่อกล่อมให้หลับอีกครั้ง ถ้าไม่ติดน้าคงได้นอนบนเตียงสบายๆ ไปแล้ว เด็กหนอเด็ก

ผมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของหลานก่อนจะหยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องพี่ยูแล้วยกมือขึ้นเคาะประตู ยืนรอการตอบรับอยู่เกือบหนึ่งนาทีแต่ก็เงียบกริบ ถ้าอย่างนั้นก็ขอเสียมารยาทเข้าไปข้างในหน่อยแล้วกัน จริงๆ แล้วตั้งแต่แยกกันนอนก็รู้สึกเหงายังไงชอบกลทั้งที่มีริวนอนอยู่ด้วย

บนเตียงขนาดคิงไซส์มีร่างสูงใหญ่นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของใครทั้งนั้น ผมวางริวที่หลับสนิทคาไหล่ลงบนที่ว่างก่อนจะย่องไปอีกฝั่งเพื่อสำรวจดูพี่ยูว่าไม่สบายหรือเปล่า นั่งลงข้างเตียงเอื้อมมือไปสัมผัสลมหายใจยังอุ่นด้วยอุณหภูมิปกติ หน้าผากไม่มีความร้อน แต่ทำไมเขายังไม่ตื่น มันน่าสงสัยหรือเมื่อคืนแอบคุยกับสาว... เฮ้อ แล้วปัณณ์จะคิดมากให้ปวดใจทำไมวะ

“อือ” เสียงครางพร้อมกับการขยับตัวทำให้ผมสะดุ้งเฮือกจนหงายหลังลงก้นกระแทกพื้น เจ็บแต่ก็ต้องเม้มปากเพื่อกลั้นเสียงเพราะกลัวว่าพี่ยูจะตื่น ท่าทางตื่นยากแบบนี้คงเพิ่งได้นอนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว สังเกตได้จากใต้ตาที่คล้ำผิดปกติ

ผมดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วลูบก้นเพื่อบรรเทาความเจ็บก่อนจะเดินอ้อมเตียงเพื่อกลับไปหาริวแต่ข้อมือกลับโดนรั้งเอาไว้แถมยังกระตุกจนตัวหงายลงบนเตียงทับอีกคน ความตกใจทำให้เผลอดิ้นแรงจนโดนแขนแกร่งรวบตัวเท่ากับว่าโดนกอดแบบเต็มๆ บ้าเอ๊ย ทำแบบนี้ให้ปัณณ์หวั่นไหวเพื่ออะไร

“ตะ ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักเมื่อเจอเข้ากับลมหายใจอุ่นที่เป่ารดท้ายทอย แรงดิ้นหนีเหือดหาย หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุออกมาด้านนอก ครั้งนี้ถือว่าเราทั้งคู่เข้าใกล้กันมากเกินไป

“พี่ยังไม่ได้นอนต่างหาก แค่หลับตาเฉยๆ หาว ~” เขาตอบก่อนหาวออกมาพร้อมทั้งกระชับอ้อมแขนกอดกันแน่นขึ้นจนผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อแผ่นหลังแนบกับอกอุ่นมากกว่าเดิม อยากหนีแต่ลึกๆ ก็ชอบความใกล้ชิดที่นานครั้งจะพบเจอ ถ้าหากหยุดเวลาไว้ได้คงดีกว่านี้

“ทำไมไม่นอนล่ะครับ ขอบตาเป็นหมีแพนด้าแล้ว”

“นอนไม่หลับน่ะ”

“หืม คิดถึงริวเหรอ?” ก็ริวเล่นตัวติดไปนอนกับผมตั้งแต่วันแรกที่ย้ายห้องจนถึงวันนี้ เกือบๆ หนึ่งอาทิตย์แล้ว

“นิดหน่อย แต่ไม่ใช่สาเหตุหรอก” พี่ยูซบหน้าลงบนแผ่นหลังถูไถเบาๆ จนผมรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ขนอ่อนเริ่มลุกชันจนอยากจะวิ่งหนีแล้วตอนนี้ พยายามดิ้นอีกครั้งแต่ได้ยินเสียงจิ๊ปากเลยต้องหยุดนิ่งเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรมากกว่านี้ อย่างเช่นถีบตกเตียง...

“อ๋อครับ ตอนนี้ปล่อยผมก่อนได้ไหม?” ผมครางรับก่อนจะร้องขอคนด้านหลังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ความพยายามในการควบคุมการเต้นของหัวใจนั้นพังไปแล้ว ถ้าพี่ยูรับรู้บ้างว่าปัณณ์คิดอะไรคงไม่ทำแบบนี้หรอก

“ไม่อยากปล่อย” คำตอบของพี่ยูยิ่งทำให้ตัวใจเต้นแรงขึ้นอีกระดับ เพราะอะไรถึงไม่อยากปล่อย เพราะอะไรช่วงนี้ถึงได้มีท่าทีแปลกไป ชอบเข้ามาใกล้ พูดจาชวนคิดลึก ดูแลกันดีมากกว่าลูกตัวเองซะอีก จนบางครั้งก็รู้สึกว่าเขาคงมีใจให้ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ

“มันอึดอัดนะครับ” ผมดิ้นอีกรอบแต่ไม่แรงเท่าครั้งแรก พี่ยูส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ ที่รับรู้ได้ก็เพราะเขายังแนบหน้าผากอยู่บนแผ่นหลัง ถ้าเรายังอยู่กันท่านี้อีกไม่นานริวตื่นมาเจอคงแย่ไม่แพ้กับหัวใจของปัณณ์ จะอธิบายหลานว่าอะไร ยากพอๆ กับการล่วงรู้ความคิดของผู้ชายอีกคน

“แต่พี่... คิดถึงปัณณ์” หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าคิดถึงนั่นด้วยคืออะไร เราอยู่ด้วยกันทั้งคืนทั้งวันนะ

“.....” ผมเงียบเพราะสมองกำลังคิดหาเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่จะไม่มโนเป็นอื่น ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นยิ้มเอาไว้ ตอนนี้สับสนจนไม่รู้ว่าตัวเองควรรุ้สึกยังไง ดีใจ หรือเสียใจ

“ปัณณ์...” เสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ผมย่นคอหนี มันใกล้จนปลายจมูกของพี่ยูเฉียดข้างแก้ม เงาดำที่ทาบทับลงมาทำให้รู้ว่าตอนนี้เขามองหน้ากันอยู่ ต้องทำยังไงถึงจะซ่อนความกระอักกระอ่วนใจนี้ไว้ได้

“คะ ครับ” จะสำลักอากาศตายอยู่แล้ว ช่วยขยับออกไปห่างๆ ได้ไหมครับ

“พี่มีเรื่องอยากสารภาพ” เสียงของพี่ยูเปลี่ยนไปจากเดิม มันดูไม่สดใสแถมยังสั่นหน่อยๆ เหมือนคนขาดความมั่นใจ ผมหลับตาลงเพื่อสงบอารมณ์พุ่งพล่านภายใน พยายามใช้สติที่มีเหลืออยู่น้อยนิดคุยกับอีกคนให้รู้เรื่อง เขาอยากบอกอะไร มันจะเกี่ยวข้องกับท่าทีแปลกๆ ไหม

“ระ เรื่องอะไรครับ?” เสียงผมก็สั่นไม่แพ้คนที่กอดกันอยู่หรอก รอฟังคำตอบจนเกร็งไปหมดทั้งตัวแม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้า

“งื่อ น้าปัณณ์ไปไหน?” ทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อเสียงเรียกหาน้าของหลานชายดังขึ้น ผมพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของพี่ยูอีกครั้งแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยแถมยังขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะลงบนหลังหู ถ้าตอนนี้ต้องวัดอัตราการเต้นของหัวใจคงทะลุร้อยแล้วล่ะ

“อะ ปล่อยผมก่อนครับพี่ยู ริวตื่นแล้ว”

“โธ่... ไอ้ลูกคนนี้” เขาบ่นพึมพำอะไรนิดหน่อยก่อนจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ ผมรีบลุกขึ้นแล้วตรงไปหาริวที่นั่งโงนเงนอยู่อีกฝั่ง พอเด็กน้อยเห็นน้าอยู่ในสายตาก็รีบพุ่งเข้าหาจนหัวชนเข้ากับปลายคาง ดีหน่อยที่แค่เฉียดๆ ไม่อย่างนั้นคงได้ยินเสียงร้องไห้จ้าไปแล้ว

“น้าปัณณ์ หิวจัง งั่ม” เจ้าตัวแสบเกาะเอวผมหนึบแล้วบ่นงอแงว่าหิวข้าวกับหน้าท้องพลางใช้จมูกถูไปมาอย่างออดอ้อน อยู่ๆ ก็เผลอคิดถึงการกระทำของพี่ยูเมื่อครู่ พ่อลูกเหมือนกันเด๊ะเลยแต่ให้ความรู้สึกต่างกันมาก

ผมช้อนตัวริวขึ้นมาอุ้มก่อนจะใช้คางถูกับหัวทุยๆ ด้วยความมันเขี้ยว เจ้าตัวแสบหัวเราะคิกคักหลบซ้ายทีขวาทีจนกลัวว่าท่าไม่ระวังจะตกกลิ้งลงไปบนเตียง ส่วนพี่ยูก็จ้องเราสองคนด้วยใบหน้าเรียบแต่มุมปากกลับมีรอยยิ้ม คิดอะไรอยู่กันนะ

“ตื่นมาก็หิวเลยนะเจ้าตัวแสบ” พี่ยูยันตัวลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเอื้อมมือมาจี้เอวของริว แต่ผมกลับช่วยหลานด้วยการขยับตัวหลบ เหตุผลคือถ้าเจ้าตัวแสบดิ้นก็ต้องใช้แขนพยุงรับน้ำหนักมากขึ้น ตอนนี้อยากสารภาพว่าเมื่อยแล้ว ไม่น่าเล่นอะไรแผลงๆ ตั้งแต่เช้าเลย

“ป๊าตื่นสาย แบร่” ริวไม่วายล้อเลียนพ่อด้วยการแลบลิ้นแล้วใช้มือทั้งสองข้างหมุนไปมาตรงข้างแก้ม ท่าทางน่ารักจนผมอยากก้มหน้าลงไปฟัดให้หนำใจ แต่ติดตรงที่ว่าพี่ยูส่งสายตาดุมาทางนี้ จะโดนด่าทั้งน้าทั้งหลานหรือเปล่าวะ แย่แล้ว

“หัดล้อเลียนเหรอ เดี๋ยวป๊าจะลงโทษด้วยการกัดแก้มนี่เลย” พี่ยูขู่เจ้าตัวแสบแต่สายตาดันโฟกัสมาที่แก้มของผมซะอย่างนั้นทำให้เกิดความขัดเขินขึ้นจนต้องชวนเขาเปลี่ยนเรื่อง ขืนปล่อยให้จ้องกันมากกว่านี้เกรงว่าตัวเองจะละลายกลายเป็นของเหลว

“เอ่อ... เดี๋ยวผมไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนก่อนดีกว่าเนอะ” ผมเบนหน้าไปอีกทางก่อนจะวางริวลงบนเตียงเพื่อหนีออกไปข้างนอกแต่เสียงทุ้มต่ำกลับชะงักการก้าวเท้าได้อยู่หมัดพอๆ กับมือเล็กที่เอื้อมมากระตุกชายเสื้อกัน ทำไมขี้ตื๊อทั้งพ่อทั้งลูกเลยวะเนี่ย พี่ป่านดูพวกเขาสิ ร้ายจริงๆ เลย

“พี่ไปช่วยเอง” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจจนชายเสื้อยืดเผยอขึ้นให้เห็นชอบชีสยี่ห้อ Calvin Klein มันโคตรเซ็กซี่และสามารถเขย่าหัวใจผมได้อย่างน่ากลัว จะโทษกันไม่ได้เพราะพี่ยูไม่ระวังตัวเอง

“พี่กับริวไปอาบน้ำดีกว่าครับ ผมทำคนเดียวได้” ผมละสายตาเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มร้อนวูบ มือไม้ดูเหมือนจะเกะกะจนไม่มีที่ไว้ที่วางเลยต้องยกขึ้นลูบใบหน้าแทน

“แต่พี่...” พี่ยูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ แต่ผมกลับรีบขัดขึ้นด้วยความรีบร้อนเพราะกลัวว่าเดี๋ยวก็ยอมใจอ่อนอีกตามเคยถ้าเจอลูกอ้อน ส่วนริวน่ะจัดการง่ายแค่เอาเมนูโปรดล่อก็พอ

“จะออกไปสวนสัตว์กันไม่ใช่เหรอครับ ถ้าช้าเดี๋ยวอากาศจะร้อนจนเดินเที่ยวไม่ไหวนะ” วันนี้เป็นวันหยุดของร้านนัทสึและพี่ยูสัญญากับริวไว้ว่าจะพาไปดูเสือที่สวนสัตว์ซาฟารีก็เลยจัดทริปเที่ยวขึ้นมา ในตอนแรกผมปฏิเสธเพราะขี้เกียจแต่สุดท้ายก็ทนมองเด็กน้อยน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้ บ้านนี้สอนลูกเป็นนักแสดงหรือยังไง หลอกผู้ใหญ่เก่งชะมัด

“โอเคๆ ครับ เหมือนมีแม่อยู่ด้วยเลย” พี่ยูพยักหน้าตอบรับก่อนจะอุ้มริวขึ้น ผมที่ตอนแรกทำแค่เหลือบตามองกลับต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่เขา เรื่องอะไรที่ต้องมายกยอให้เป็นแม่ล่ะวะ ปัณณ์ไม่ได้มีนิสัยเหมือนแม่สักหน่อย ก็แค่พูดด้วยความเป็นห่วงทำไมถึงได้ตีความหมายผิด!

“พี่ยู ผมเป็น ‘น้อง’ นะไม่ใช่แม่” ผมเน้นย้ำคำว่าน้องเป็นพิเศษจนรู้สึกปวดหนึบในอก บางทีเป็นแม่อาจจะดีกว่าล่ะมั้ง ยิ่งอยู่ใกล้หัวใจก็ยิ่งทำงานลำบาก ชาตินี้คงไม่ได้แก่ตายแน่เลย

“แล้วอยากเป็นไหมล่ะครับ?” ใช้น้ำเสียงทะเล้นในการถามแถมยังก้าวขาเข้ามาประชิดตัวกัน ถ้าไม่มีริวขวางป่านนี้คงอกชนอกไปแล้ว ผมล่ะเกลียดทุกอย่างที่ทำให้ต่อมมโนเริ่มทำงานจริงๆ ไม่รู้ว่าบอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ความหวังในรักครั้งแรกและครั้งเดียวนั้นจะไม่มีวันเป็นจริงหรอก

“ผู้ชายที่ไหนเขาอยากเป็นแม่กันบ้างวะ?” ผมถามกลับด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหงุดหงิด เสียใจ และคาดหวังในสิ่งที่จะถูกตอบกลับมา คนที่อยู่ในสภาวะสับสนเขาจัดการอารมณ์ตัวเองด้วยวิธีไหนบ้าง ใครก็ได้ช่วยเล่าสู่กันฟังหน่อย

“แม่ทูนหัวของพี่ไง” เสียงกระซิบข้างหูช่างแผ่วเบา เลื่อนลอยเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้า ดวงตารีเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปากบางอ้าพะงาบ สติหลุด สมองหยุดประมวลผล เมื่อครู่นี้ผมมโนไปเองหรือได้ยินจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องจริงมันหมายความว่ายังไง แต่ถ้าโดนแกล้งให้เขินจะโกรธสักปีหนึ่ง!

“อะไรนะ!” กว่าจะได้สติถามกลับไปพี่ยูก็อยู่หน้าห้องน้ำเตรียมพร้อมทำธุระส่วนตัวแล้ว เดี๋ยวสิ ยังไม่เคลียร์เลย

“เปล่าครับๆ ริวไปอาบน้ำกับป๊าดีกว่าเนอะ” พี่ยูหันไปคุยกับลูกเพื่อตัดบทสนทนากับผมอย่างแนบเนียน ถ้าตาไม่ได้ฝาดจะเห็นว่าแก้มของเขาขึ้นสีระเรื่ออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไอ้ท่าทางประหลาดๆ นี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่เอย์จิเข้ามาป่วนพวกเรา หรือว่าความลับจะแตกไปแล้ว... ไม่จริงน่า เพื่อนคงไม่ทรยศเพื่อนใช่ไหม โอย เกิดเป็นปัณณ์ไม่ง่ายเลยจริงๆ

“น้าปัณณ์ไปด้วยกัน” ริวหันมากวักมือเรียกกันแต่ผมกลับไม่ได้ตอบรับเพราะยังคิดสะระตะเรื่องคำพูดของพี่ยูก่อนหน้านี้ อยากได้ความกระจ่าง อยากถามย้ำ อยากรู้ว่าทำไมถึงทำตัวเปลี่ยนไป เอย์จิพูดอะไรบ้าง หรือเป็นเพราะตัวปัณณ์เองที่แสดงออกเรื่องความรู้สึกมากเกินไปจนทำให้เขาเอะใจ

“ไปกับป๊าดีกว่า เดี๋ยวให้น้าปัณณ์ทำข้าวต้มอู๊ดๆ เนอะ” พ่อเขาเอาของกินล่อลูกเพื่อเปลี่ยนเรื่องแล้วว่ะ ผมอยากจะกราบขอบพระคุณมากที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจ เพราะถ้าต้องไปแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันในเวลานี้คงมีคนหนึ่งต้องตายแน่ๆ

“อื้อ ก็ได้ ~” ขอบคุณริวที่เห็นของกินสำคัญกว่าน้านะลูก สัญญาว่าวันนี้จะทำอาหารสุดฝีมือและจะตักหมูให้เยอะๆ ด้วย

ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองก่อนจะรีบเดินออกจากห้องนอนเพื่อตรงไปยังครัวเพื่อทำข้าวต้มหมู เตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบเรียบร้อยพร้อมลงมือทำแต่ทุกอย่างต้องชะงักเมื่อคำพูดของพี่ยูลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ‘แม่ทูนหัว’ หมายความว่ายังไงแค่แกล้งหรืออยากให้เป็นตามนั้นจริงๆ แต่...

ผมเป็นฝ่ายชอบเขา ไม่มีวันที่เขาจะชอบกลับนี่นา เลิกหวังสักทีเถอะ ต้องเตือนตัวเองอีกกี่ครั้ง ฝันก็คือฝัน ความสัมพันธ์ในปัจจุบันที่เป็นอยู่ก็ดีพอแล้ว จงภูมิใจกับมันสิปัณณ์

การทำอาหารนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น ลืมคนข้าวจนติดก้นหม้อกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งต้องเททิ้งทั้งหมดเพื่อเริ่มทำใหม่ ครั้งนี้พยายามเพ่งสมาธิอยู่กับกิจกรรมตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะได้หย่อนก้อนหมูบดลงในหม้อเสียงทุ้มต่ำกับแรงกอดรัดที่ช่วงต้นขาก็เกิดขึ้นพร้อกัน นี่พวกเขาอาบหรือวิ่งผ่านน้ำกันแน่ ทำไมออกมาไวจัง หรือเป็นปัณณ์ที่ทำอะไรเชื่องช้าเอง

“ปัณณ์ครับ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย หมูบดที่ปั้นก้อนอยู่ในมือถูกปล่อยกลับไปในชามตามเดิม ก็ใครใช้ให้พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ กัน ส่วนริวเหมือนจะโดนพ่อไล่ไปดูการ์ตูนรอในห้องนั่งเล่น ไม่เหลือตัวช่วยให้ปัณณ์เลย แย่มาก

“คะ ครับ?” ผมขานรับก่อนจะบังคับมือให้ปั้นหมูบดเป็นก้อนอีกรอบแล้วหย่อนลงให้หม้อข้าวต้มเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ไม่โฟกัสที่ลมหายใจร้อนๆ ตรงท้ายทอยนั่น ครั้นอยากขยับหนีด้านหลังก็โดนปิด แถมด้านข้างยังมีแขนของพี่ยูกั้นไว้อีกด้วย เพิ่งรู้เดียวนี้เองว่าโดนต้อนจนมุมมันเป็นยังไง

“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่ทำต่อให้” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมย่นคอหนีแล้วปล่อยจวักในมือทิ้ง เขาอนุญาตให้ไปแถมยังเปิดทางด้านข้างอีก ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้วเพราะตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกจุกอก

“อ๋อ อื้อ ฝากด้วยนะครับ” ผมก้มหน้าก้มตาเดินหนีแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาพ้นกรอบประตูห้องครัวก็ได้ยินเสียงพี่ยูรั้งกันไว้ เขาต้องการอะไรอีกล่ะ สนุกนักหนีไงที่เข้ามาใกล้ชิดแช้วทำให้ปัณณ์แสดงอาการแปลกๆ ออกไป

“เดี๋ยว...”

“หืม?” ผมครางรับในลำคอแต่ไม่ยอมหันไปเผชิญหน้า มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นเพราะลุ้นว่าประโยคถัดไปที่เขาจะพูดคืออะไร ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้อยากโทรหาเอย์จิแล้วถามความให้กระจ่างไปเลย พี่ยูโดนหลอกให้กินยากล่อมประสาทหรือเปล่าวะ ทำไมดูมึนๆ เบลอๆ ตาหวานเยิ้มขนาดนั้น

“คืนนี้กลับมานอนที่ห้องพี่เถอะ” น้ำเสียงคล้ายต้องการอ้อนวอนนั้นทำให้ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น ความสับสนตีตื้นขึ้นในหัวใจจนสมองคิดหาหนทางไม่เจอ ยอมรับว่าทั้งอึ้งและตกใจ แต่ลึกๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่พี่ยูไม่เคยเข้าใจกันเลย ยิ่งทำแบบนี้ปัณณ์ก็เหมือนยิ่งมีความหวัง

“ทะ ทำไมล่ะ?” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคลายมือออกจากกันเพื่อยกขึ้นลูบหน้าบรรเทาอาการสับสนก่อนจะเอนไหล่พิงเข้ากับกรอบประตู ทอดสายตามองตรงไปเบื้องหน้าที่มีริวนั่งดูการ์ตูนอยู่ตรงนั้น เป็นเด็กก็ดี ไม่ต้องคิดมาเรื่องความรู้สึกให้ปวดหัว

“ไม่อยากนอนคนเดียว” คุณพ่อคงคิดถึงลูกชายสินะ ผมหวังคำตอบแบบไหนอยู่กันแน่

“เดี๋ยวผมคุยกับริวเองครับ ไม่ต้องห่วง” ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนจะหันไปคลี่ยิ้มให้พี่ยูที่มองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ถ้าเป็นเรื่องคุยกับริวคงไม่ยากเกินความสามารถหรอก

“ไม่ใช่” ทำไมพี่ยูต้องขมวดคิ้วทำหน้าเครียดใส่ผมขนาดนั้นด้วย แล้วไอ้ที่ขอกว่าไม่ใช่คืออะไรกัน

“ครับ?” ผมเอียงคอมองอีกคนด้วยความสงสัย รอคอยให้เขาขยายความมากกว่านี้ แต่สุดท้ายพี่ยูก็หันหลังกลับไปทำอาหารต่อแล้วโบกมือเป็นสัญญาณไล่กัน ตอนนี้เราทั้งสองคนกำลังคิดอะไรกันอยู่นะ

“ไม่มีอะไร ไปอาบน้ำเถอะ”

ผมพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไปด้วยสมองที่ว่างเปล่าเนื่องจากคิดอะไรไม่ออก ยืนมองตัวเองอยู่ในกระจกเกือบห้านาทีจนได้ยินเสียงริวร้องเรียกหาถึงได้สติแล้วรีบจัดการธุระให้เสร็จเรียบร้อย แต่ไม่วายลืมแปรงฟันอีก ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องเดียวเกือบหนึ่งชั่วโมง ปัณณ์หนอปัณณ์ ถ้ากลายเป็นคนไร้สมองไร้ความรู้สึกได้คงดีกว่านี้

ล้อหมุนตอนประมาณเก้าโมงเช้าเพราะกว่าจะจัดที่นั่งได้ลงตัวก็เกือบครึ่งชั่วโมง ริวไม่ยอมนั่งคาร์ซีทจนผมต้องยอมทิ้งพี่ยูเป็นคนขับรถเพื่อเอาใจหลาน ระยะทางจากบ้านไปซาฟารีนั้นไกลพอจะงีบได้เลยแต่อย่าคิดฝันถึงความสงบสุขข้อนั้นเพราะเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังอยู่ข้างหูตลอดเวลา

“โทะระ คิริน ชิมะอุมะ ~” (เสือ ยีราฟ ม้าลาย) ริวส่ายหัวด๊อกแด๊กแล้วท่องชื่อสัตว์เป็นเพลง ผมหลุดหัวเราะกับความร่าเริงนั่นก่อนจะเอื้อมมือไปโยกหัวกลมอย่างมันเขี้ยว บางทีก็แอบอิจฉาพี่ยูที่มีลูกน่ารักแบบนี้เพราะตัวเองคงไม่คิดแต่งงานกับใคร

“ชอบตัวไหนมากที่สุดหืม?” ในขณะที่ริวหันมาสบตาผมเลยตั้งคำถามให้เขาคิด ในตอนแรกดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงร้องอ๋อตามมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแห่งความสุข

“คิริน คอยาวๆ ~” ริวพยายามยืดคอให้เหมือนยีราฟด้วยท่าทางตลกๆ จนผมต้องหลุดขำอย่างช่วยไม่ได้ สายตาเหลือบไปเห็นพี่ยูที่มองพวกเราผ่านกระจกคล้ายอยากมีส่วนร่วม นั่นเลยทำให้แผนการแกล้งผุดขึ้นทันที สงสัยนั่งคนเดียวข้างหน้าคงเหงา

“ป๊าเหมือนคิรินไหม?” ผมก้มลงกระซิบข้างหูแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางเบาะคนขับ พี่ยูขมวดคิ้วยุ่งคงได้ยินคำถามนั้นแล้ว เกิดมาหูดีอะไรตอนนี้ครับ เพลงก็ออกจะดัง เฮ้อ หมดสนุกเลย

“ป๊าเหรอ? เหมือนๆ ตัวสูง ~” เด็กน้อยยิ้มแป้นชี้มือไปที่พ่อของตัวเองอย่างร่าเริง ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นขำ ดูเหมือนพี่ยูจะไม่ชอบยีราฟเพราะลิ้นยาวๆ สีดำน่าขยะแขยง

“โธ่ อย่าเอาพี่ไปเปรียบเทียบกับยีราฟสิครับ” แล้วทำไมต้องหน้างอใส่ผมด้วยล่ะ คนที่บอกว่าเหมือนยีราฟก็ริวไม่ใช่หรือไง

“ไม่ชอบเหรอครับ? ริวอุตส่าห์ปลื้มคุณยีราฟ” ผมถามกลับด้วยรอยยิ้มกว้างไม่แพ้หลานชาย ส่วนพี่ยูไหวไหล่โดยไม่ตอบอะไร ชวนเปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น

“แล้วปัณณ์ชอบสัตว์อะไรครับ?”

“ผมชอบหมาครับ น่ารักดี” ถ้ามีโอกาสก็อยากลองเลี้ยงหมาดูสักตัว พันธ์เล็กอย่างปอมก็น่ารัก หรือจะพันธุ์ใหญ่อย่างชิบะก็ดูดีไปอีกแบบ มันคือความใฝ่ฝันในวัยเด็กเพราะพี่ป่านแพ้ขนสัตว์ทุกชนิด

“งั้นพี่ยอมเป็นหมาให้ปัณณ์ดีกว่า” หน้าตาและน้ำเสียงที่ดูดีขึ้นคืออะไรวะ ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีแล้วนะ

“ทำไมครับ?”

“ก็ปัณณ์จะได้เล่นกับพี่บ่อยๆ ไง” ห๊ะ อายุจะสี่สิบแล้วยังต้องเล่นอะไรอีก

“พี่ยูไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ต้องเล่นด้วยเหรอ?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ แต่พี่ยูกลับส่งเสียงหัวเราะให้รู้สึกหวาดกลัว ตกลงความหมายของประโยคเมื่อครู่คืออะไรวะ

“เล่นในแบบผู้ใหญ่ไงครับ” น้ำเสียงทุ้มเจือความสนุกสนานตอบกลับมา แต่ผมไม่เห็นสายตาของเขาขณะพูด ทำไมต้องชวนให้ใจสั่นและคิดลึกอยู่เรื่อย

“ยะ ยังไง?” มันจะเหมือนหนังแบบผู้ใหญ่หรือเปล่าวะ แล้วทำไมผมต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้ พี่ยูไม่มีทางคิดเรื่องแบบนั้นแน่นอนเชื่อสิ! ไอ้ปัณณ์หยุดเพ้อเจ้อสักทีเถอะ

“น้าปัณณ์ ริวอยากกินขนม งั่มๆ” บทสนทนาระหว่างเราจบลงเมื่อริวเริ่มงอแงควานมือหาถุงขนมที่หยิบติดมือมาด้วย ผมส่ายหัวไล่ความสับสนออกไปแล้วรีบทำตามที่หลานขอร้อง

“เอ่อ เดี๋ยวน้าแกะให้เนอะ เอาอันไหนดี?” ผมหยิบถุงขนมมาเปิดออกตรงหน้าแล้วให้ริวเลือก เด็กน้อยเอียงคอมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกเสียงใส

“ทูน่าๆ อย่อย” คงหมายถึงขนมปังไส้ทูน่าสินะ

“โอเค” ผมคลี่ยิ้มก่อนจะหยิบถุงขนมปังทูน่ามาแกะแล้วค่อยๆ บิเป็นชิ้นเล็กเพื่อป้อนให้ คนกินดูมีความสุขมากพอปากว่างก็ฮัมเพลง เฮ้อ อิจฉาเด็กจัง

กว่าจะถึงสวนสัตว์เล่นเอาผมหลับพับคาตักหลานไปซะอย่างนั้น ส่วนเจ้าตัวแสบก็ไม่งอแงแถมยังขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด พี่ยูบอกว่าปรามไปหลายครั้งแต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม ดีหน่อยที่น้ำลายไม่ได้หยดใส่หัว... คิดแล้วสยองกลิ่นทูน่าเลย

ผมอุ้มริวลงจากรถแล้วตรงไปที่ช่องขายตั๋วเข้าสวนสัตว์โดนมีพี่ยูเดินตามมาด้านหลัง อากาศร้อนจนต้องหยิบหมวกแก๊ปในกระเป๋าผ้าสวมให้กับเจ้าตัวแสบ กลัวว่าจะงอแงกลับบ้านเพราะไม่สบายตัวเหลือเกิน

“ปัณณ์เดี๋ยวพี่ไปซื้อตั๋วให้” พี่ยูก้าวเท้ามาเดินข้างกันแล้วส่งรอยยิ้มหวานละมุนให้ ไหล่ของเราเสียดสีกันเพราะความใกล้ชิดที่มากเกินพอดี หัวใจเต้นแรงขึ้นตามลำดับ อยากขยับถอยออกมาแต่ลึกๆ กลับรู้สึกดี

“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบาพลางก้มหน้าลงมองเด็กในอ้อมแขนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ริวชี้นั่นชี้นี่ด้วยความตื่นเต้นจนพี่ยูหลุดหัวเราะแล้วแยกตัวออกไปเพื่อจัดการหน้าที่ของตัวเอง สายเปย์จริงๆ เชื่อเขาเลย

ผมวางริวลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาถ่ายรูป จัดท่าทางตลกๆ ให้หลานบ้าง เซลฟี่ด้วยกันบ้างเพื่อฆ่าเวลารอพี่ยูที่ไปเข้าคิวซื้อตั๋ว มีหลายครั้งที่อยากเบนกล้องไปทางเขาแต่ก็ต้องตัดใจกลัวว่าจะเอาไปนอนดูทั้งคืน มันอาจมีความสุขอยู่ในมุมคนแอบรักแต่ก็เศร้าไม่แพ้กัน

พี่ยูเดินกลับมาพร้อมตั๋วในมือสามใบ ผมกวักมือเรียกให้เข้ามาร่วมเฟรมเพื่อเก็บภาพสองพ่อลูกเอาไว้เพื่ออวดครอบครัวที่ไม่ได้มาด้วยกันโดยเฉพาะเอย์จิ เขาดันติดงานมาด้วยไม่ได้ทั้งทีนัดกันอย่างดิบดีแล้ว

“นี่ครับ ปัณณ์ถือไว้นะ ส่วนเจ้าริวจะเดินเองหรือให้ป๊าอุ้ม” พี่ยูส่งตัวในมือให้ผมก่อนหันไปถามลูกชายตัวยุ่งที่เต้นดึ๋งๆ เพราะตื่นเต้น เดี๋ยวก็เหนื่อยก่อนได้ดูสัตว์หรอก

“เดินเอง!” เสียงดังฟังชัดพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างมาให้คนเป็นพ่อ ผมแอบถ่ายรูปนั้นแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

“วันนี้เก่งจังครับ งั้นจับมือป๊ากับน้าปัณณ์ไว้เนอะ” พี่ยูจับมือริวไว้แล้วพยักพเยิดให้ผมเป็นคนจับมือหลานอีกต่อ มันเหมาะสมแล้วเหรอที่เราจะทำแบบนั้น

“มันจะไม่ดูแปลกๆ เหรอครับ?” ผมถามพลางขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเบนสายตามองไปรอบบริเวณที่มีผู้คนประปรายพร้อมเข้าสู่ด้านในสวนสัตว์ บางคนส่งยิ้มให้เราแต่บางคนก็จ้องอย่างกับเจอของประหลาด

“ทำไมล่ะ ก็ดูเป็นครอบครัวดีออก เนอะริว” พี่ยูไหวไหล่ไม่สนใจใครนอกจากพวกเราแค่สามคนแถมยังคง้ามือผมไปจับกับริวอย่างง่ายดายก่อนจะเริ่มพาขบวนเข้าสู่โลกของสัตว์ เดี๋ยวสิ นี่มันเกินความคาดหมายของปัณณ์แบบสุดโต่งเลย เขาทำเพราะอยากให้ลูกมีความสุขหรือเพราะแค่คิดว่าจูงมือกันแบบครอบครัวที่มีพ่อ น้องชาย และลูกไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“ใช่ๆ จับมือกัน เดี๋ยวหลงน้า” เสียงเจื้อยแจ้วของริวทำให้ผมถอนหายใจแล้วยอมเดินไปพร้อมๆ กับพวกเขา ทิ้งความคิดมากไว้ด้านหลังแล้วเต็มที่กับการเที่ยวในวันนี้คงดีกว่า ฮึบ!

ด่านแรกไม่ไกลจากประตูทางเข้าคือการขึ้นสะพานไปดูจระเข้ที่นอนนิ่งอาบแดดอยู่ริมสระ ริวเอาแต่เกาะขาผมแน่นเพราะกลัวฟันแหลมๆ ของมัน เราเดินเที่ยวกันไปเรื่อยเข้าซอยนู้นออกซอยนี้ตามแผนที่ที่ได้รับมาพร้อมกับตั๋ว

ริวดูจะได้สัตว์ตัวโปรดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิด มันคือคาปิบาร่าหรือคนทั่วไปอาจจะเรียกมันว่าหนูยักษ์เพราะเป็นตระกูลเดียวกันแต่คนละสายพันธุ์ เจ้าตัวแสบเต้นดึ๋งๆ ร้องเรียกให้ผมถ่ายรูปไปหลายชอตจนพี่ยูถึงกับพูดเปรยว่าถ้าที่ไหนขายพวกมันจะยอมซื้อให้เลี้ยงที่บ้าน

ผมถึงกับหลุดหัวเราะก๊ากเพราะเห็นความฉิบหายอยู่รางๆ ขนาดคาปิบาร่าอยู่ในสวนสัตว์ยังวิ่งเร็วจนฝุ่นตลบขนาดนั้นถ้าอยูาบริเวณบ้านสนามหญ้าต้องเละแน่นอน แถมสระน้ำยังมีสิทธิ์กลายเป็นที่แช่ตัวของมัน




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่เราเดินเที่ยวกับแบบไม่หยุดพักจนเหนื่อยหอบ พี่ยูร้องขอน้ำเย็นๆ เป็นคนแรกแถมยังบ่นว่าปวดเข่าเลยต้องหาที่นั่งในขณะที่ริวยังงอแงจะไปต่อจนผมต้องเอาไอติมล่อถึงจะยอม

ผมหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋าสะพายข้างแล้วส่งให้พี่ยูก่อนจะเอาที่เหลือกลับมาเช็ดเหงื่อให้เจ้าตัวแสบที่นั่งกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจใคร แก้มของริวเป็นสีแดงจัดดูแล้วน่ารักจนอดใจไม่ไหวที่จะแอบบีบเบาๆ มันเขี้ยว

“ไปดูแสดงโชว์แมวน้ำกันไหม?” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ถามขึ้น ผมละสายตาจากริวพร้อมกับขมวดคิ้วเมื่อเจอสายตามองตรงมาที่ตัวเอง

“ถามริวสิครับ ถามผมทำไม” ผมบุ้ยปากไปทางเจ้าตัวแสบแต่พี่ยูกลับคลี่ยิ้มบางแล้วเอื้อมมือไปโยกหัวกลมนั่นเล่นทั้งที่สายตายังโฟกัสอยู่ที่เดิม ตกลงว่าพาใครมาเที่ยวสวนสัตว์กันแน่ ปัณณ์หรือริว งงแล้วเนี่ย

“ก็เผื่อปัณณ์ไม่อยากไปเราจะได้ไปขึ้นรถบัสกันเลย” พี่ยูคงหมายถึงรถบัสชมสัตว์ในพื้นที่เปิดโล่ง

“พี่พาริวมาเที่ยวไม่ใช่ผมซะหน่อย เอาใจลูกเถอะครับ” ผมว่าก่อนจะคลี่ยิ้มให้เขาแล้วหยิบทิชชู่แผ่นใหม่เช็ดคราบไอติมที่มุมปากของริวออก พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านกับการเอาใจใส่เกินความจำเป็นของพี่ยูซึ่งมันดูมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเหมือนอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

“พี่อยากเอาใจปัณณ์บ้างไม่ได้เหรอ?” ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมาบนหัว ประโยคเมื่อครู่ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบขวดน้ำให้ริวหยุดชะงัก

ผมยอมรับว่าตกใจแต่ความอึดอัดที่ก่อตัวมาเป็นเวลาหลายวันนั้นกลับปะทุเพราะทนไม่ไหวต้องหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ขยับตัวห่างออกมาเพื่อรักษาระยะห่างมากพอเพื่อตั้งตัวรับทึกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากถามคำถามที่คิดไว้ออกไป

“ผมถามจริงๆ เถอะ ช่วงนี้ทำไมพี่ยูทำตัวแปลก” พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดแล้วทำใจกล้าสบตากับพี่ยูเพื่อค้นหาความจริงที่เขาปิดบังเอาไว้ เขาคุยอะไรกับเอย์จิในวันนั้น ทำไมการกระทำและคำพูดถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้

“ยังไงครับ?” พี่ยูเลิกคิ้วถามเหมือนคนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง แล้วไอ้การที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเบียดริวเนี่ยมันคืออะไร จะนั่งตักลูกเหรอ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าคำถามต่อไปหรอก

“เหมือนพี่กำลัง... จีบผม” ปลายประโยคเสียงหายไปในลำคอแต่ก็พอจะทำให้พี่ยูได้ยิน ผมหลบสายตาหนีเพราะกลัวว่าคนโดนถามจะชักสีหน้าไม่พอใจใส่หรือมากดว่านั้นคือโกรธ ผู้ชายที่ไหนบ้างจะชอบที่โดนกล่าวหาว่าจีบเพศเดียวกัน ถึงอยากย้อนเวลากลับแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ปากพาซวยแท้ๆ เลยไอ้ปัณณ์เอ๊ย

“อย่างนั้นเหรอครับ?” พี่ยูถอยออกไปแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเที่ยงวัน รอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากไม่ได้มีความรังเกียจแฝงอยู่แม้แต่นิดเดียว

“ผมคงคิดมากไปเอง เดินต่อเถอะครับ” ผมลุกขึ้นแล้วโน้มตัวลงเพื่ออุ้มริวขึ้นแต่ต้องชะงักเมื่อพี่ยูเอื้อมมือมาจับไหล่กันไว้ก่อน

“ปัณณ์...” เขาเรียกชื่อพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตา

“ครับ” ผมตอบรับแล้วผละมือออกจากตัวริวเพื่อรอฟังสิ่งที่พี่ยูจะพูด

“พี่กำลังจีบปัณณ์อยู่จริงๆ” ทุกคำที่ออกมาจากปากพี่ยูชัดจนไม่ต้องถามย้ำ ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ หัวสมองขาวโพลนไร้ความคิด มือไม้อ่อนจนคว้าจับอะไรไม่ได้สักอย่าง ร่างกายร้อนวูบเหมือนมีใครเอาไฟมาเผา ไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังนึกสนุกอะไรอยู่ เล่นกับความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ

“นี่... ล้อเล่นกันใช่ไหมครับ?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะทั้งที่ในใจกำลังสับสน ดวงตาคมของพี่ยูไม่ได้ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้เหมือนอยู่ในความฝันหรือว่าอากาศร้อนทำให้คนเพี้ยนไปจริงๆ กันนะ แม้แต่ริวเองยังเอาแต่สนใจสิ่งรอบข้างแทนที่จะงอแงติดน้าอย่างเคย

“พี่จริงจัง” คำยืนยันของพี่ยูมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานจริงใจ เขาลุกขึ้นยืนตามผมแล้วอุ้มริวก้าวออกไปจากตรงนี้โดยปล่อยผมให้ยืนอึ้งเพราะคิดหาทางออกไม่เจอ ตกลงว่าเขาชอบกันจริงๆ เหรอ ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ ทำไมไม่รู้ตัว... มีแต่คำว่าทำไมเต็มหัวไปหมด

“.....” ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะคิดอะไรไม่ออกทั้งที่ใจอยากถามว่าเขาชอบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงชอบ หรือเพราะอยากลองของแปลกกันแน่แต่ปากกลับไม่ยอมขยับ โธ่เว๊ย พอโดนสารภาพรักมันควรดีใจไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นว่าเกิดความระแวงขึ้นแทน กลัวว่าจะโดนหลอก

“อย่าเพิ่งสงสัยเลยเนอะ ไว้คุยเรื่องนี้ต่อที่บ้าน เดินเที่ยวต่อดีกว่า”

ผมจะขัดอะไรพี่ยูกับริวได้นอกจากเก็บความสงสัยแล้วเดินตามเขาไปต้อยๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งได้มองแผ่นหลังกว้างยิ่งอยากเข้าไปกอดแล้วเคลียร์สิ่งที่ค้างคาใจ หลอกหรือจริงจัง ถ้าวาร์ปกลับบ้านตอนนี้ได้ก็อยากถามเรื่องให้กระจ่างทั้งหมด เมื่อไหร่ริวจะง่วงวะ ปัณณ์งอแงแทนหลานได้ไหม!



---------------------------------------------------

พอคุณพ่อเขารู้ใจตัวเองก็รุกหนักเลย
แต่ปัณณ์ค่อนข้างสับสนเพราะไม่คิดว่าความฝันจะเป็นจริง? 5555
รอดูกันต่อไปเนอะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและคอมเม้นท์น้า ชอบอ่าน มันมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะเลย ♥

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ยู รุกหนักมาก หยอดเอาๆ นี่ถ้ายิ่งรู้ว่าปัณณ์แอบชอบพี่แกอยู่แล้ว ไม่ยิ่งลั๊ลลาเลยเหรอนั่น :laugh:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เขาบอกรักกันแล้ววว :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โง้ยยยยย เขินพี้ยู น้องริวรีบๆง่วงเร็วลูกกกก

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 10 : ทาโกะยากิ



ตั้งแต่กลับมาจากสวนสัตว์พี่ยูก็เอาแต่ทำตัวยุ่ง คุยโทรศัพท์บ้าง อ่านเอกสารบ้าง กล่อมลูกนอน เข้าครัวหรือแม้กระทั่งอาบน้ำนานเป็นชั่วโมงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้ผมที่รอถามเรื่องค้างคาก็เอาแต่เดินวนรอบห้องรับแขกจนพื้นจะสึกอยู่แล้ว นี่เขาจงใจหลีกเลี่ยงตอบคำถามหรือเปล่า หรือสำนึกผิดที่แกล้งกันแรงเกินไป

ผมถอนหายใจเฮือกแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์พุ่งพล่านเพื่อรอพี่ยูออกมาจากห้องน้ำ พยายามนับแกะหรือท่องศัพท์ภาษาญี่ปุ่นไปเรื่อยแต่ไม่เป็นผลสำเร็จเมื่อคำพูดเมื่อตอนนั้นลอยกลับมาเข้าสมอง ตกลงว่าเขาจีบกันจริงๆ น่ะเหรอ เพราะชอบกันหรือไปรู้อะไรจากเอย์จิมา หรือแย่หน่อยคืออยากลองของแปลก...

แกร๊ก

เสียงเปิดประตูทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วใช้แขนทั้งสองข้างพยุงตัวลุกแต่กลับโดนแขนยาวๆ พาดทับลงบนลาดไหล่แล้วตามมาด้วยการกระชับกอดรอบคอ ตอนนี้อย่าว่าแต่ขยับไปไหนเลยแค่หายใจยังไม่กล้า พี่ยูกำลังทำบ้าอะไรเนี่ย สงสารหัวใจคนอื่นบ้างหรือเปล่า มันเต้นแรงก็เท่ากับเหนื่อยนะ

“ยังไม่เข้านอนอีกเหรอครับ?” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหูแล้วตามมาด้วยลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าลงมาให้รู้สึกขนลุกจนเผลอย่นคอหนีแต่ยังไม่กล้าพอที่จะออกแรงให้หลุดจากพันธนาการนี้ ยิ่งเจอกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ มันยิ่งทำให้เคลิบเคลิ้มกว่าเก่า ต้องคอยเตือนสติตัวเองว่ามีเรื่องสำคัญต้องถามพี่ยู

“กะ ก็อยู่เคลียร์เรื่องนั้นไงครับ” เสียงตะกุกตะกักแสดงชัดว่าผมกำลังตื่นเต้นและเชื่อว่าคนด้านหลังก็รับรู้ได้เพราะเขาคลายอ้อมกอดแล้วเดินอ้อมมานั่งข้างกันแทบไม่เว้นระยะห่าง ถ้าขึ้นเกยตักได้คงทำไปแล้ว

“เรื่องไหนเอ่ย?” พี่ยูเนียนพาดแขนมาโอบไหล่กันไว้แต่สายตากลับมองไปด้านหน้าเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไร ผมเหลือบมองเขาก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฎอยู่ไม่ไกล พี่ยูกำลังแกล้ง ถ้าไม่ติดว่าปัณณ์กลัวความลับแตกคงโน้มคอเข้ามาจูบแล้ว หมั่นไส้!

“พี่ยู... อย่าแกล้งสิครับ” ผมบอกเสียงดุแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่เขา ทำไมเวลาอยู่ด้วยกันถึงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ไร้ทางสู้ แต่พอเวลาตีปีกผจญภัยกลับกลายเป็นเสือล่าเหยื่อ งงจริงๆ

“ก็จำไม่ได้จริงๆ นี่” เขาหันมาคลี่ยิ้มด้วยใบหน้าใสซื่อทำให้ผมต้องหลบสาตาอย่างช่วยไม่ได้ อะไรก็ตามที่ประกอบรวมเป็นเขาสามารถทำให้ปัณณ์ใจสั่นได้เสมอ อย่างเช่นสัมผัสบางเบาที่หัวไหล่... อุ่นจนแทบหลอมละลาย

“เรื่อง... จีบ” แล้วทำไมผมถึงพูดมันออกมาได้แค่ลมล่ะ เสียงหายไปกับความตื่นเต้นหมดแล้วเหรอ

“ไม่เชื่อพี่เหรอ?” พี่ยูเข้าโหมดเคร่งขรึมพลางขยับใบหน้าดุดันเข้ามาใกล้จนผมต้องขยับถอยห่างเพื่อตั้งตัว

“คือมันกะทันหัน แล้วพี่... เป็นผู้ชาย” ผมก้มหน้าลงมองตักเมื่อพูดจบประโยค มันรู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อคิดว่าพี่ยูนั้นเป็นใคร เพศไหน และมีความสัมพันธ์แลบใดกับตัวเอง คนที่ซื่อตรงในผู้หญิงมาตลอดสามสิบเจ็ดปีจะหันมาชอบผู้ชายได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเกิดเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบสุดท้ายปัณณ์ก็เจ็บไม่ต่างจากเมื่อก่อน

“ปัณณ์ก็เป็นผู้ชายนี่ครับ” เขาย้อนพลางขมวดคิ้วแน่น

“มันไม่เหมือนกัน” ผู้ชายแต่คนละไทป์ปะวะ

“พี่จะชอบใครสักคนไม่เห็นต้องคำนึงถึงเรื่องเพศเลยนี่ครับ” พี่ยูพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติที่สังคมรับได้ แต่คนฟังอย่างผมถึงกับตะลึง

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเข้าใจถูกต้องตรงกันหรือเปล่า ในขณะที่พี่ยูคลี่ยิ้มหวานให้ มันใช่เวลามาทำใจคนอื่นสั่นแบบนี้เหรอวะ

“พี่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเพศครับ” เขาย้ำอีกครั้งอย่างชัดเจนแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ โธ่เว๊ย ทำไมลำบากขนาดนี้เนี่ย ไอ้เรื่องความรู้สึกน่ะ ง่ายๆ สบายๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง

“ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้น” ผมบอกเสียงนิ่งแล้วมองตาเพื่อเค้นเอาคำตอบ รู้อยู่แล้วว่าพี่ยูแกล้งทำเป็นตอบเรื่องนั้น คนฉลาดอย่างเขาน่ะ

“อ๋อ... พี่ชอบปัณณ์ครับ” เขาคลี่ยิ้มกว้างจนตาเป็นขีดก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักของผม ดูพี่ยูทำสิครับ จะให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไงล่ะ แต่ต้องใจแข็งดูท่าทีไปก่อน ถ้าเกิดสุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบจะได้ไม่เสียใจมากกว่าเดิม

“ชอบ... แบบไหน?” ผมยังไม่มั่นใจว่ะ เพราะมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ กับการแอบรักเขามานาน มันไม่เคยมีท่าทีจะเปลี่ยนความสัมพันธ์เลยสักช่วงเวลา แต่ตอนนี้...

“หืม ชอบถึงขั้นจีบมันคือชอบแบบไหนล่ะครับ?” พี่ยูพลิกตัวนอนหงายแล้วยกมือขึ้นแล้วโน้มใบหน้าผมเพื่อให้สบตากัน ก็จริงของเขา ชอบแบบที่อยากจีบมันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง เอาเป็นว่าขอดีใจสุดๆ ไปเลยแล้วกันหลังจากกังวลมาครึ่งค่อนวัน

“พี่... จริงเหรอครับ?” ผมหมายถึงชอบกันแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม อย่างฟังอีกสักครั้งให้มั่นใจ

“จริงสิครับ เนี่ย ถ้าจีบติดนะ พี่ก็จะได้คุณแม่คนใหม่ของริวด้วยไง” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะดึงแก้มผมจนรู้สึกเจ็บ ใบหน้าเปี่ยมสุขของพี่ยูบ่งบอกว่าคำพูดทั้งหมดไม่ได้โกหก แต่พอมีชื่อริวเข้ามาแทรกความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด

“พี่ยูไม่กลัวว่าริวจะ...” ถ้าริวรู้ว่าเราสองคนคิดอะไรต่อกันจะรู้สึกยังไง พ่อกับน้ารักกันในเชิงชู้สาวเด็กจะรับได้อย่างนั้นเหรอ สังคมล่ะ ครอบครัวล่ะ

“ถ้าถึงวันนั้นพี่จะเป็นคนอธิบายให้ริวเข้าใจเอง” พี่ยูผละมือออกจากใบหน้าของผมแต่ให้ความมั่นใจโดยการอ้อมแขนกอดรอบเอวไว้พลางซุกหน้าลงกับท้อง โอเคครับ ผมจะตายแล้ว เขินจนไม่รู้จะเอาแก้มไปซ่อนไว้ตรงไหนของบ้านดี เฮ้อ

“คะ ครับ” เสียงสั่นเลยไหมล่ะ พี่ยูจะถูจมูกกับท้องผมทำไมเนี่ย ว๊อย!

“ยังสงสัยอะไรอีกไหม?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามก่อนก่อนจะลุกพรวดออกจากตักแล้วจ้องหน้าผมในระยะประชิดที่จมูกแทบชนกัน ครั้นอยากขยับหนีก็ติดขอบโซฟาแล้ว สถานการณ์มันตื่นเต้นยิ่งกว่าขึ้นเตียงกับคู่นอนคนใหม่ซะอีก

ผมลังเลว่าควรจะถามสิ่งที่สงสัยมาตลอดเวลาหรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน เหลือบมองพี่ยูก็เห็นว่ากำลังทำท่าตั้งใจฟัง เอาวะ ยังไงๆ เรื่องราวก็ดำเนินมาไกลกว่าจะหมุนตัวกลับแล้ว ถามให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า

“คือ... พี่ยูยังรักพี่ป่านหรือเปล่าครับ?” ผมก้มหน้าลงเมื่อจบคำถามเพราะกลัวว่าเขาจะโกรธที่ถามถึงอดีตอันไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นครอบครัวริวคงสมบูรณ์กว่านี้

“รักสิ ยังรักแบบเพื่อนอยู่เสมอ” คำตอบนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรักจริงๆ แต่ผมกลับสะดุดลมหายใจตัวเองเพราะคำว่าเพื่อน สรุปว่าเรื่องที่เคยได้ยินผ่านหูมาเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ เขาไม่ได้รักกันแต่แต่งงานเพราะธุรกิจ

“พวกพี่ไม่ได้รักกันจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?” ผมถามพลางแอบมองใบหน้าของพี่ยู เขาคลี่ยิ้มบางก่อนพยักหน้ารับแบบง่ายดาย จะให้โทษเขาทั้งสองคนว่าทำปัณณ์ทรมานมาหลายปีก็คงไม่ได้ในเมื่อเราไม่ได้บอกความรู้สึกกับใครทั้งนั้น

“ป่านบอกปัณณ์แล้วสินะ อืม... ใช่ เราไม่ได้รักกันแบบนั้น” พี่ยูเบนหน้าไปทางอื่นแล้วพึมพำคำตอบออกมา ผมพยักหน้ารับพลางเม้มปากแน่นเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว ถ้าไม่ได้รักกันแล้วทำไมถึงได้มีเซ็กซ์จนมีลูกล่ะ...

“แล้วทำไมถึงมีริว...” ปลายประโยคขาดหายไปเพราะมีก้อนอะไรบางอย่างจุกขึ้นมาที่อก ความรู้สึกปวดแปลบในใจนี่เกิดขึ้นเพราะอะไรกัน สงสารตัวเองหรือสงสารริว

พี่ยูหันมาสบตากันแล้วเอื้อมมืออุ่นวางทาบทับลงบนหัวก่อนจะออกแรงลูบเบาๆ รอยยิ้มละมุนที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นทำให้รู้สึกว่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ผมคิด การที่เขาวางแผนมีลูกคงทบทวนมาดีอยู่แล้ว

“เด็กในหลอดแก้วน่ะ เราไม่เคยมีอะไรกัน แต่พี่กับป่านรักริวนะ”

“.....” ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะตลอดเวลาเอาแต่คิดว่าพี่ยูกับพี่ป่านรักกันเลยหนีไปทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ย้ายที่อยู่ ติดต่อหาบ้างยามเมื่อคิดว่าถึงคราวจำเป็น จะให้ทนใช้ชีวิตมองพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันคงทำไม่ได้

ช่วงแรกที่ริวคลอดเคยรู้สึกว่าเกลียดเด็กมากด้วยซ้ำเพราะนั่นเป็นเหมือนเครื่องหมายความรักของทั้งคู่ แต่เมื่อคิดได้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลยปรับทัศนคติใหม่จนปัจจุบันกลายเป็นคนหลงหลานไปแล้ว

“เสียใจไหมที่พี่กับป่านไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ เห็นจากภายนอก” คำถามของพี่ยูนั้นทำให้ผมต้องก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ จะว่าดีใจก็ไม่ จะว่าเสียใจก็ไม่ มันกึ่งๆ กลางๆ จนไม่สามารถอธิบายมาเป็นคำพูดได้ เอาเป็นว่าถ้าเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดคงดีกว่านี้

“อ่า... ผมคิดอะไรไม่ออกเลยครับ” นั่นคือคำตอบแบบปัดความรับผิดชอบของผม ขอเวลาตั้งตัวกับเรื่องราวต่างๆ ที่เพิ่งรับรู้ความจริงในวันนี้สักหน่อย อีกอย่างต้องคอยรับมือกับวิธีจีบของพี่ยูด้วย ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนและนานแค่ไหน

ไม่ใช่ว่าคนเราจะยอมใจอ่อนให้กับคนที่แอบรักได้โดยง่ายเพียงเพราะว่าเขาชอบเรากลับ มันต้องใช้เวลาพิสูจน์ความจริงใจ ความพยายาม หรือแม้กระทั่งดูว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกของพี่ยูนั้นแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า ใครหาว่าปัณณ์เล่นตัวก็ช่างเถอะ ทั้งหมดก็เพื่อความสบายใจ

“อย่าโกรธพวกเราได้ไหมครับ?” พี่ยูผละมือมากุมมือผมเอาไว้แล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาที่มองมามีแต่คำขอโทษอยู่เต็มไปหมด อยากบอกว่าไม่ได้โกรธเลยสักนิด แต่ลึกๆ ก็สงสารทั้งคู่ที่ไม่ได้มีความรักอย่างแท้จริง

“ผม...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะโดนดึงเข้าไปกอดไว้จนแน่น พี่ยูเกยคางลงมาบนลาดไหล่ก่อนจะพร่ำบอกสิ่งที่คิดออกมา

“ถ้าจะโกรธก็ไม่เป็นไร พี่ให้เวลาปัณณ์กับเรื่องนี้เสมอ แต่เรื่องจีบพี่ถอยไม่ได้หรอก” ทุกคำพูดดูดีหมดแต่ไอ้ตรงประโยคสุดท้ายทำไมมันฟังแล้วรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ วะ หรือใครแอบเอาไฟมาจุกเผาเราทั้งคู่เพราะกำลังทำบาปต่อพี่ป่าน

“ทำไมครับ?” ผมผลักพี่ยูออกแล้วมองนิ่งเพื่อเค้นเอาคำตอบ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนยกมือหนาขึ้นมาตะปบข้างแก้มกันเอาไว้บังคับให้สบตาหวานๆ คู่นั้น คุยกันธรรมดาไม่ต้องโปรยเสน่ห์สักหนึ่งนาทีได้ไหมล่ะ ตอนนี้ปัณณ์เหมือนคนเป็นไบโพล่าร์เข้าไปทุกที เดี๋ยวสุขเดี๋ยวเสร้า เฮ้อ ต้องโทรไปปรึกษาพี่หมอทาวน์ไหมเนี่ย (ทาวน์ : กูเป็นหมอศัลฯ ท่องไว้ ไอ้ตัวน่ารำคาญทั้งหลาย!)

“คู่แข่งเยอะน่ะสิ ถ้าไม่ทำคะแนนเดี๋ยวจะได้กินแห้ว” พี่ยูทำหน้างอนๆ พลางบีบแก้มผมอย่างมันมือ หงุดหงิดคนอื่นแล้วลงที่น้องได้ด้วยเหรอวะ ไม่ได้ไปขอร้องพวกมันให้มาชอบตัวเองซะหน่อย แค่เริ่มจีบก็ออกอาการหวงแล้วหรือไง แบบนี้ก็เขินสิวะ โอย ผ่านผู้ชายมาก็เยอะ ทำไมต้องมาตกม้าตายเพราะอดีตพี่เขยด้วยวะ โลกนี้ไม่ยุติธรรม!

“ไม่ชอบกินแห้วสินะครับ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วปัดมือเขาทิ้ง พอได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งราวกับเด็กต้อยของพี่ยูก็ต้องรีบเม้มปากไว้เพราะกลัวว่าจะขำเสียงดังกว่าเดิม คนหล่อกลายเป็นคนหน้ายุ่งไปแล้ว

“ถ้าบอกว่าอยากลองกินปัณณ์มากกว่าจะว่าอะไรไหม?” พี่ยูเขาคืนด้วยคำพูดที่ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกด้านซ้าย เบนหน้าหนีจากสายตาคุกคาม ขยับขึ้นไปนั่งบนที่พักแขนเพราะกลัวว่าเขาจะอ้าปากเพื่อกินกันเข้าไปจริงๆ เห็นเขานิ่งๆ ที่จริงน่ะโคตรหื่น สมัยเรียนช่วงปีหนึ่งปีสองเชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงมากด้วย (อันนี้ฟังจากเพื่อนเล่ามาอีกที)

“พี่ยู... รุกกันมากไปไหมครับ?” ผมแยกเขี้ยวใส่ทั้งทีตัวเองคงหน้าแดกเถือกไปถึงหู โธ่เว้ย แพ้คนที่ชื่อยูกิเพื่ออะไรกันวะ

“ก็จะรุกจนกว่าปัณณ์จะรับ” เดี๋ยว รีบเหรอ!

“ระ รับอะไร?” จีบก่อนสิวะ จะล็อกโพสิชั่นแล้วหรือไง ถึงจะเห็นผมขึ้นเตียงกับคู่นอนบ่อยๆ แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายรับให้ใครนะเว้ย

พี่ยูคงสังเกตเห็นใบหน้าตื่นตูมของผมเลยขยับออกห่างพอให้มีพื้นที่หายใจสะดวกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะร่าเริงออกมา มันมีอะไรให้ตลกตรงไหนวะ ล่าสุดขึ้นเตียงกับกราฟยังบ่นๆ ว่าระบมสะโพกอยู่เลย เป็นฝ่ายรับนี่ต้องใจเด็ดแค่ไหนกันเชียว แค่คิดก็กลัวแล้ว

“รับรักไงครับ คิดอะไรทะลึ่งแน่ๆ แก้มแดงเชียว” อ้าว ฉิบหาย คดีพลิกเฉยเลย สรุปว่าผมคิดลึกไปเองใช่ไหม ไม่สิ พี่ยูแกล้งกันแน่ๆ เดี๋ยวเถอะ จะเหมาไร่อห้วมาให้!

“ไม่คุยด้วยแล้ว ง่วง!” ผมตะโกนบอกแล้วลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ใบหน้าร้อนผ่าวลามไปลำคอจนถึงปลายเท้า มือไม้ดูเกะกะไม่มีที่ไว้เลยตกยกขึ้นเกาหัวแรงๆ ถ้าขี้รังแคกระเด็นก็โทษพี่ยูแล้วกัน แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าห้องนอนอยู่ไกลจังวะ ก้าวขาสักทีสิเฮ้ย

“จะไปไหนครับนั่น?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับที่ผมรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง เมื่อคนูเพิ่งก้าวขาไปแค่ข้างเดียวเขาจะรีบทักกันเกินไปไหมวะ

“นอนสิครับ” ผมตอบโดยไม่หันไปนอนแล้วก้าวขาอีกข้างตามแต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อโดนโจมตีด้วยคำพูดเข้าไปอีกหนึ่งดอก

“นอนกับพี่สิ” ขอกันแบบนี่เขาไม่เรียกว่าจีบแล้วเว้ย อย่าข้ามขั้นตอนให้มันมากนักสิ คนเขาชอบตัวเองอยู่แล้วเดี๋ยวยอมนอนนิ่งๆ ให้ปล้ำจะทำยังไง

“ไม่ครับ เดี๋ยวพี่หาว่าผมง่าย” ผมพูดตามที่คิด ถ้าเกิดยอมเขาตั้งแต่วันนี้ตามหัวใจเรียกร้องก็เท่ากับว่าเป็นของตายโดยที่ไม่ต้องทำตัวให้น่าเบื่อ ต้องเก็บเรื่องแอบชอบไว้เป็นความลับ ไม่อย่างนั้นพี่ยูจะได้ใจไปกันใหญ่ จากที่เคยพยายามจีบจะเปลี่ยนเป็นพยายามปล้ำกันแทน

“โธ่... พี่ก็อายุปูนนี้แล้ว คิดมุกจีบหนุ่มไม่ออกหรอก” เสียงอออดอ้อนที่ฟังดูแล้วเสแสร้งสิ้นดีทำให้ผมลอบเบะปากก่อนแอบชูนิ้วกลางให้ คนอย่างพี่ยูที่โปรยเสน่ห์ให้ลูกค้าสาวๆ หลงใหลไปทั่วเนี่ยนะจะคิดวิธีจีบใครไม่ออก เชื่อก็ความแล้วครับคุณ ไว้เอาไปหลอกริวเถอะ!

“ไม่เห็นเกี่ยวเลยครับ ถ้าชอบกันจริงยังไงคนเราก็ต้องพยายามจนถึงที่สุดใช่ไหมล่ะ?” เหมือนกับผมที่พยายามเก็บความลับมาทั้งชีวิตแต่โดนเอย์จิจับได้ซะอย่างนั้น เฮ้อ พรุ่งนี้คงต้องโทรหาสักหน่อยแล้ว ไอ้สาเหตุที่กระตุ้นให้พี่ยูเข้าใจความรู้สึกตัวเองมันคืออะไรกันแน่

“ครับๆ ไม่เถียงแล้วครับแม่” พี่ยูเหมือนจะยอมแพ้แต่ไอ้คำเรียกท้ายประโยคมันคืออะไรอีกวะ ใครเป็นแม่กัน

“ผมไม่ใช่แม่” ผมหันไปค้อนใส่เขาวงใหญ่แต่คนโดนกลับยักคิ้วหลิ่วตากวนประกาศ ถ้ากระโดดถีบให้หงายหลังสักครั้งเขาจะเปลี่ยนความคิดที่ชอบกันหรือเปล่า เอาเป็นว่าระงับอารมณ์เพื่อลดความเสี่ยงดีกว่าเนอะ

“แม่ทูนหัว”

โอเคครับ ครั้งนี้ผมทนไม่ไหวจริงๆ จนต้องถอยหลังไปคว้าหมอนอิ้งแล้วปาใส่เขาก่อนจะจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้นด้วยร่างกายที่ร้อนจนแทบระเบิด เขินเหี้ยๆ เพิ่งเข้าใจคนที่กำลังจะสมหวังในความรักก็วันนี้ล่ะ โอย ความพยายามตลอดสิบกว่าปีไม่สูญเปล่าแล้ว

ผมเข้านอนตามปกติแต่แทนที่จะหลับสบายเพราะไม่ต้องระวังริวกลับกลายเป็นว่าสมองเอาเรื่องพี่ยูมาคิดจนรอยยิ้มบางเริ่มปรากฎบนใบหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้เคียงกับคนบ้าเข้าไปทุกที พลิกซ้ายทีขวาทีแต่ทำยังไงก็ไม่เลิกแก้มร้อน โธ่ ปัณณ์อาการหนักเกินเยียวยาแล้ว ก็มันคือรักแรกนี่นา

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนกี่โมงแต่แสงแรกของวันที่รอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ผมขยับตัวเพื่อบิดไล่ความเมื่อยขบสะสมจากการนอนตะเคียงเข้าผนังทั้งคืน ดวงตากระพริบถึ่ๆ ปรับการมองเห็นก่อนจะพาดแขนไปข้างตัว แต่เดี๋ยว... ทำไมมันมีก้อนอะไรแข็งๆ คล้ายๆ คนนอนอยู่วะ อย่าบอกนะว่าผีหลอกตั้งแต่เช้าที่นอนคนเดียว!

“เฮ้ย!” ผมร้องโวยวายก่อนจะผละตัวหนีเมื่อเห็นว่าใครตอนอยู่ข้างๆ จนพลาดตกเตียงระบมไปทั้งตัวแต่ต้องกลั้นเสียงไว้เพราะกลัวอีกคนจะตื่น ยกมือขึ้นลูบหลังลูบก้นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เชื่อว่าตรงมีเนื้อบางส่วนเขียวช้ำแน่ๆ ใครใช้ให้พี่ยูแอบย่องเข้ามาในห้องเนี่ย!

“ปัณณ์ ไปทำอะไรตรงนั้น?” เสียงงัวเงียตามมาพร้อมกับสภาพพี่ยูที่กำลังตาปรือได้ที่กำลังยื่นหน้าพ้นเตียงเพื่อมองกัน ผมยิ้มแหยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแต่แอบปวดเมื่อยจนเผลอซี๊ดปาก

“ผมต้องถามพี่มากกว่าว่าทำไมมานอนที่นี่ได้” ผมหย่อนก้นลงบนขอบเตียงเป็นจังหวะเดียวกันที่พี่ยูขยับเข้ามาซุกหน้าที่บั้นเอวคล้ายกำลังอ้อน มืออุ่นเอื้อมมาโอบกอดกันไว้ชวนให้เกร็งไปทั้งร่าง เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์ทำไมต้องสร้างเรื่องใหม่อีก คิดว่าทำให้หัวใจคนอื่นเต้นแรงแล้วจะให้อภัยเหรอ บอกเลยว่ายาก

“นอนไม่หลับ” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดรอบเอวที่เพิ่มขึ้น ในตอนนี้ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าโคตรอึดอัดแต่โคตรรู้สึกดีก็เลยยอมอยู่นิ่งๆ ให้พี่ยูทำตามใจโดยที่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่พอใจที่เขาย้ายสำมะโนครัวมานอนด้วย แล้วริวล่ะ?

“มันเกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย แล้วริวล่ะ?” ผมแงะแขนของเขาออกจากเอวแล้วหันไปทำหน้าดุใส่ แต่พอเห็นสภาพหัวยุ่งเป็นรังนกก็อดที่จะขำไม่ได้ จากคุณพ่อที่ดูหล่อเหลาตลอดเวลามาตอนนี้ช่างน่ารักน่าชังเหมือนคนลูกไม่มีผิด จะมีสักกี่คนที่ได้พบเจอมุมนี้ หมดความคูลเลยล่ะ

“ลูกยังหลับอยู่ ไม่ตื่นตอนนี้หรอกครับ” เขาให้คำเรียกแทนตัวริวต่างจากปกติ ทั้งแววตาและน้ำเสียงทุ้มนั่นทำให้ผมเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้เพราะตอนนี้รู้สึกว่าเขากำลังพูดกับภรรยายังไงไม่รู้ แม่ง... ปัณณ์ต้องจุดธูปขอโทษพี่ป่านอีกกี่ร้อยครั้งถึงจะเลืกรู้สึกผิดเนี่ย

“แต่พี่ก็ควรระวังหน่อยนะครับ เดี๋ยวริวตื่นมาไม่เจอใครจะร้องไห้เอา” ผมเตือนสติเขาเรื่องริวเพราะตามหลักการแล้วเราไม่ควรทิ้งเด็กไว้ที่ไหนคนเดียวนานๆ ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจะทำยังไง ให้ผลิตลูกคนใหม่ก็ทำไม่ได้นะเออ

พี่ยูถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะพยักหน้ารับความผิดครั้งนี้โดยไม่โต้ตอบ เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแล้วโค้งตัวเพื่อขอโทษ ผมส่ายหน้าแล้วคลี่ยิ้มบาง ก็แค่อยากเตือนในระวังมากกว่านี้ อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือทุกสิ่งที่สำคัญกว่า จีบปัณณ์น่ะเมื่อไหร่ก็ได้ไม่หนีไปไหนแน่นอน

“งั้นพี่ขอตัวไปดูลูกก่อน ถ้าปัณณ์ง่วงก็นอนต่อเถอะ” พี่ยูลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันมาคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเตรียมออกจากห้อง ส่วนผมหยิบผ้าห่มมาสะบัดพับเก็บทำให้อีกคนเหลียวมองกันด้วยใบหน้าสงสัย ขมวดคิ้วจนแทบเป็นโบว์อยู่แล้ว ตลกชะมัด

“เดี๋ยวผมไปเตรียมอาหารเช้าให้ดีกว่า” ผมเดินไปยืนข้างเขาแล้วหันไปยิ้มกว้างให้ก่อนจะก้าวขาต่อเพื่อออกไปช้างหน้าแปรงฟันด้านนอกแต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อข้อมือโดนรั้งจากอีกคนที่ยังไม่ยอมขยับไปไหน พอเหลียวไปมองก็พบว่าพี่ยูมีสีหน้าที่อธิบายยาก สันกรามขบแน่นจนขึ้นสันนูน เอ่อ ปัณณ์พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ทำตัวน่ารักแบบนี้อยากให้พี่ตายเหรอครับ?” เขากัดฟันพูดแล้วมองกันด้วยสายตาแวววับ ผมรับรู้ถึงความอันตรายแต่ไม่สามารถถอยหนีได้เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมความน่ารักถึงมีอานุภาพรุนแรงขนาดนั้น

แต่ปกติผมก็อาสาทำกับความอยู่ตั้งหลายครั้งไม่เห็เคยชมว่าน่ารัก พอรู้ใจตัวเองนี่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเชียวนะ กลัวจีบไม่ติดหรือกลัวหมาคาบไปแดกกันแน่เนี่ย รุกหนักเกินไปแล้วจริงๆ

“หืม ทำไมต้องตายด้วยล่ะครับ?” ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนขยับเข้าไปใกล้พี่ยู จะคิดว่าแกล้งให้เขาลำบากใจมากยิ่งขึ้นก็คงได้เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเบนหนีไปทางอื่นแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

“ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะจีบติด อยากทำอะไรกับปัณณ์มากกว่านี้” พี่ยูพึมพำเสียงเบาแต่ผมได้ยินอย่างชัดเจน เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ ทำไมฟังแล้วไม่เข้าใจวะ

“หมายถึงอะไรครับ?” ผมถามพลางขยับก้าวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างแต่พี่ยูกลับไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นโดยการกระตุกแขนผมจนลำตัวของเราปะทะกัน ต่อจากนั้นคือโดนรวบกอดจนแน่นหนาจะดิ้นหนีก็กลัวว่าเดี๋ยวพลาดไปโดนปากของเขาที่อยู่ใกล้มากชนิดที่ว่าหายใจรดกันได้

“มันเขี้ยว อยาก...” ใบหน้าหล่อโน้มลงมากระซิบเสียงแผ่วชิดใบหู ผมเบิกตาโพลงก่อนจะออกแรงผลักพี่ยู อยากบ้าอะไรวะ จีบกันไม่กี่วันจะปล้ำกันแล้วหรือไง ปัณณ์ไม่ง่ายนะเว้ย!

“อยากอะไร?” ผมถามย้ำแล้วมองพี่ยูอย่างหวาดระแวง ไม่กล้าเข้าใกล้ในระยะที่เขาจะเอื้อมมือถึงกัน จริงๆ ถ้าเขาคิดจะปล้ำคงไม่มีแรงสู้ ขนาดตัวไม่ได้ช่วยเรื่องกำลังกายเลย

พี่ยูมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยจนต้องถอยเท้าจนชนกับขอบเตียงแล้วล้มหงายหลังลงไป ส่วนอีกคนยังตามไม่เลิกถึงขนาดตามมาคร่อมด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม ถ้าปล้ำกันมีถีบจริงด้วย ตอนนี้ปัณณ์ไม่พร้อมรับอะไรทั้งนั้นล่ะเว้ย

“อยากฟัดครับ” พี่ยูเฉลยคำตอบก่อนจะผละออกไปยืนหัวเราะอยากมีความสุขอยู่ไม่ไกล ไอ้ผมที่ช็อกตาค้างเพราะเขาขึ้นคร่อมนั้นตอนนี้ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห เกลียดตัวเองที่เผลอแสดงความคิดอกุศลออกทางสีหน้าและท่าทาง โว๊ย แบบนี้จะเอาอะไรไปชนะคนแก่วะ

“ปะ ไปดูริวเถอะครับ ป่านนี้คงตื่นแล้ว!” สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับหูหลับตาตะโกนไล่เขาออกจากห้อง ยังดีที่มันได้ผลก็เลยมีเวลานอนสงบจิตใจก่อนออกไปเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคน

ไม่คิดว่าเป็นคนโดนจีบจะเหนื่อยขนาดนี้ หัวใจเต้นแรงชะมัด เฮ้อ

ผมผ่านมื้อเช้าด้วยเมนูง่ายๆ อย่างข้าวผัดไข่ใส่ไส้กรอกกับน้ำซุปผักรวมก่อนลากสมาชิกออกไปเปิดร้านอาหาร พี่ยูเป็นคนขับรถส่วนริวงอแงจะนั่งตักน้าสุดที่รักเหมือนเดิม ตกลงใครเป็นพ่อเจ้าตัวแสบกันแน่หนอ ติดยิ่งกว่าแฟนก็หลานนี่ล่ะครับ

ลองคิดเล่นๆ ถ้าตอนนี้ผมไปจีบคนอื่นซึ่งไม่ใช่พี่ยูแต่เวลาทั้งหมดดันให้ริวทั้งหมด อีกฝ่ายคงส่งแห้วทั้งไร่มาให้ทำทับทิมกรอบกินแน่

วันนี้พี่เคียวมาถึงร้านเป็นคนแรก เขากวาดขยะถูพื้นและจัดโต๊ะอย่างเรียบร้อย เหลือแต่วัตถุดิบทำอาหารที่รอให้พี่ยูลงมือ ส่วนผมกระเตงลูกชายของคนอื่นไปวางในคลอกกั้นเด็ก รื้อหนังสือการ์ตูนออกมาก่อนนั่งลงข้างๆ เพื่อตกลงว่าวันนี้จะทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง ท่องศัพท์หนึ่งคำแลกขนมหนึ่งชิ้นดีไหม ขุนให้อ้วนเป็นหมูไปเลย



ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“วันนี้ริวอยากเล่นอะไรครับ?” ผมเอ่ยถามหลานชายที่ตอนนี้กำลังวุ่นวายกับกล่องน้ำผักผสมผลไม้ที่คนพ่อซื้อให้ดูดก่อนจะมาถึงร้าน ริวชะงักเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมากันแล้วเอียงคอเหมือนกำลังใช้ความคิด

“งืม... ช่วยน้าปัณณ์” ริวฉีกยิ้มกว้างแล้วทิ้งกล่องนมเพื่อเดินมาหาผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คำตอบนี้เป็นข้อห้ามของพี่ยูเชียวล่ะเพราะมันหมายถึงเจ้าตัวแสบอยากวิ่งเล่นด้านนอก ถ้าไปกวนลูกค้าจะโดนดุไม่น้อยเลย

“เล่นท่องศัพท์ดีกว่า ถ้าริวทำได้น้าปัณณ์ให้ขนม” ผมหยิบขนมปังกรอบสอดไส้ช็อกโกแลตขึ้นมาหลอกล่อ ริวรรบพยักหน้ารับแล้วมองตาเป็นประกายเพราะคือของโปรด

“ท่องๆ เริ่มเยย” ริวกระโดดเหยงๆ แล้วตีมือลงบนแขนผมเบาๆ เพื่อเร่ง ถ้าเป็นเรื่องของกินไม่มีปฏิเสธเลยเด็กคนนี้ แก้มถึงได้ป่องน่ากันขนาดนี้ไงล่ะ หึหึ

ผมรับคำของหลานแล้วควานหาบัตรคำศัพท์ในกระเป๋าเป้เลือกเอาเฉพาะคำที่เกี่ยวกับฤดูกาลมากองไว้รวมกันก่อนที่จะเริ่มภารกิจก็แอบเหลือบมองพี่ยูที่กำลังคุยอะไรบางอย่างกับพี่เคียวตรงประตูครัว คงปรึกษาเรื่องร้านล่ะมั้ง แต่ไอ้การที่ปากสนทนากับอีกคนแต่สายตาดันอยู่ที่อีกคนนี่มันอะไรกัน

เลิกสนใจสายตาหวานเชื่อมของพี่ยูแล้วยกบัตรคำศัพท์อันแรกให้ริวดูรูปหยอดน้ำที่หล่นลงมาจากก้อนเมฆหรือที่เราเรียกกันว่าฝน ซึ่งมันเข้ากับบรรยากาศตอนนี้ทากเพราะด้านนอกกำลังอึมครึมได้ที่ ผ่านหน้าร้อนเข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการแล้วสินะ

“นี่อะไรครับ?” ผมถามหลานแต่สายตากับเหลือบมองพี่ยูอีกครั้ง เขาหายไปจากตรงนั้นแล้ว คงกลับไปเตรียมของสำหรับเปิดร้าน ส่วนพี่เคียวที่ยังยืนอยู่แถวนั้นกลับหันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้ ประหลาด... เมื่อครู่เขาคุยอะไรกันวะ

“เรน ~” เสียงใสๆ ดึงสติผมให้กลับไปสนใจริวอีกครั้ง คำตอบเมื่อครู่ถูกต้องแต่ยังไม่ครบตามที่เราตกลงกันไว้ว่าต้องสามภาษา ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น

“ภาษาไทยล่ะครับ?”

“งืม... ฝน”

“ถูกต้องครับ ภาษาญี่ปุ่นด้วย”

“อะเมะ!” ตอบด้วยความมั่นใจพลางฉีกยิ้มหวานเพราะริวรู้ว่ากำลังจะได้กินขนมที่ชอบแล้ว แต่ผมกลับส่ายหัวเป็นการปฏิเสธเพราะคำว่า ‘อะเมะ’ ในภาษาญี่ปุ่นยังมีอีกความหมายซึ่งถือเป็นคำพ้องเสียง

“ริวจำได้ไหมว่า ‘อะเมะ’ แปลว่าอะไรได้อีกบ้าง?” ผมเคยสอนให้เขาท่องจำคำพ้องเสียงพวกนี้ไปด้วยไม่ใช่สักแต่ว่าอยากถามก็ถามสักหน่อย

“งื้อ... อยากกินขนม” แต่ริวกลับเริ่มงอแงเพราะไม่ได้กินขนมสักที ไอ้หมูน้อยเอ๊ย ห่วงกินมากกว่าห่วงเล่นซะอีก อนาคตคงเป็นนายแบบไม่ได้แล้ว

“ถ้าริวตอบได้น้าให้สองชิ้นเลย” ผมเพิ่มจำนวนขนมเพื่อหลอกล่อให้ริวใช้สมองในการคิดหาคำตอบ จากที่เคยหน้าบูดบึ้งตอนนี้กลับตาเป็นประกาย ฉลาดเรื่องกินจริงๆ เลยเด็กคนนี้

“ง่า... ขอคิดก่อนน้า” มีแปะโป้งด้วยเหรอเจ้าตัวแสบ น่ามันเขี้ยวจริงๆ เลย แล้วไอ้ท่าทางยกนิ้วจิ้มข้างขมับเพื่อใช้ความคิดก็น่ารักซะไม่มี

ผมนั่งรอคำตอบโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทวิตเตอร์ที่ช่วงนี้ไม่ได้แตะมันเลยพอๆ กับพี่ยูที่เปิดแอคเค้าท์แล้วทิ้งร้างไว้แบบนั้น แอบส่องแท็กเชฟหล่อบอกต่อด้วยก็ยังมีเจ้าของร้านนัทสึอยู่ในนั้นเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีริวติดไปด้วย สรุปว่าฮอตทั้งพ่อทั้งลูก มันก็น่าภูมิใจแต่หงุดหงิดมากกว่า

“เล่นอะไรกันอยู่ครับ?” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็เจอกับใบหน้าหล่อที่อยู่ห่างออกไปแค่คืบเดียว หัวใจจะวายตาย ใกล้เกินไปแล้ว เกรงใจคนอื่นบ้างสิวะ ลูกก็นั่งหัวโด่อยู่ทั้งคนเนี่ย

“เอ่อ... ทายคำศัพท์ครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียงเพราะขยับตัวหนีพี่ยูไปด้วย เขาหลุดหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างกัน เอื้อมมือไปลูบหัวริวแล้วหันกลับมามองกันอีกรอบด้วยสายตาหวานเยิ้ม เกลียดเขาโหมดนี้จริงๆ เพราะพลังทำลายล้างสูงขึ้นเกือบสิบเท่า ใครไม่ตายปัณณ์ตายเอง

“พี่เล่นด้วยได้ไหม?” ขอเล่นทายคำศัพท์ไม่จำเป็นต้องยื่นหน้ามาหายใจรดกันก็ได้ไหม ทำแบบนี้มันคิดลึกไม่รู้หรือไง ปัณณ์น่ะเก่งกับทุกคนแต่อ่อนด้อยกับพี่ยูนะเว้ย แพ้ทุกทางจริงๆ

“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอครับ?” ผมเฉไฉไปเรื่องอื่นแล้วหยิบขนมใส่ปากตัวเองแก้เก้อ ได้ยินเสียงริวงอแงที่โดนขโมยของกินแต่ใครจะสนใจในเมื่อตอนนี้โดนมือของพี่ยูเกลี่ยริมฝีปากกันอยู่ แม่ง ถ้าลูกค้าเข้ามาเห็นฉากนี้ต้องบรรลัยแน่ๆ ไม่อยากกลายเป็คนดังภายในหนึ่งชั่วโมงที่เขาถ่ายรูปลงโซเชี่ยลหรอก

“อื้ม” พี่ยูตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะผละมือออกไป ผมลอบถอนหายใจแล้วสัญญากับตัวเองว่าครั้งหน้าจะกินระวังไม่ให้ปากเลอะเป็นอันขาดเพราะมันเหมือนการเปิดทางให้พี่ยูทำคะแนนอย่างง่ายดาย ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ ปัณณ์คงยอมใจอ่อนให้ในไม่ช้า

“ได้สิครับ” ปากตอบเขาเสียงเรียบแต่หัวใจเต้นแรงมาก จะควบคุมตัวเองได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว แล้วนี่ริวบอกความหมายอีกอย่างหรือยังวะ ไม่ทันได้สนใจฟังเลย

“ขอของรางวัลด้วยนะถ้าพี่ตอบถูก” พี่ยูยกยิ้มมุมปากแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างชัดเจนแต่ผมกล้บคิดว่าเขาอยากแย่งขนมลูกกินก็เท่านั้นเลยพยักหน้ารับง่ายๆ

“ได้ครับ เดี๋ยวผมให้ขนม” ล้วงหยิบขนมเต็มห่อขึ้นมาเตรียมไว้แต่พี่ยูกลับส่ายหน้าปฏิเสธ อ้าว ก็ไหนว่าอยากได้รางวัลเหมือนริวไง

“ไม่เอาครับ อยากได้อย่างอื่น” ไม่ต้องใช้เสียงกระซิบได้ไหมล่ะครับคุณพ่อ มันชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

“จะเอาอะไรครับ?” ผมทำใจดีสู้เสือถามออกไปตรงๆ ทั้งที่ในใจเริ่มหวั่น สิ่งที่เขาอยากได้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะสายตาที่มองมานั้นโคตรเจ้าเล่ห์ คล้ายอยากกลืนกินเข้าไปทั้งตัว

“หนึ่งข้อต่อหนึ่งจุ๊บ”
นั่นไง กูว่าแล้ว ถ้าซื้อหวยถูกแบบนี้บ้างจะเอาเงินไปเปย์รถใหม่!

“ถ้าพี่กล้าทำต่อหน้าริวก็ลองดูครับ” ผมท้าอย่างผู้เหนือกว่าแล้วอุ้มริวออกมาจากคอกกั้น ทุกอย่างมันจะดีกว่านี้ถ้าไม่ได้รู้สึกว่าแก้มร้อน... เสียท่าให้พี่ยูจนได้!

“กล้าสิครับ ระดับนี้แล้ว” ขนาดมีริวนั่งอยู่ตรงกลางเขายังไม่วายขยับตัวเข้ามาประชิดจนปลายจมูกแทบแตะกัน นี่มันรุกหนักเกินไปไหม กะว่าจีบอาทิตย์เดียวได้เป็นแฟนเลยหรือยังไงกัน

“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะครับ อยู่ๆ ก็ปวดท้อง” ผมส่งริวให้กับเขาแล้วลุกพรวดขึ้นเดินหนีไปทางห้องน้ำ ได้ยินเสียงหัวเราะตามท้ายมาก็ได้แต่ยกมือขึ้นตีหน้าผากซ้ำๆ เกลียดความโง่ของตัวเองเหลือเกิน ทำอะไรก็มีพิรุจไปหมด เหตุผลส้นตีนมาก เฮ้อ

วันนี้ผ่านไปด้วยความรู้สึกไม่ปกติสักเท่าไหร่เพราะผมแทบจะมีหน้าที่เป็นช่างภาพมืออาชีพ เดี๋ยวลูกค้าคนนั้นขอให้ถ่ายรูปพี่ยูกับตัวเองบ้าง อุ้มริวมาเข้าเฟรมบ้าง มีเกาะแขน โอบไหล่ แตะเนื้อต้องตัวสารพัดท่าโพสต์ ถ้าปัณณ์ได้เลื่อนสถานะเมื่อไหร่อย่าหวังเลยไอ้การกระทำแบบนั้นน่ะ พ่อจะไล่ออกจากร้านให้หมด ที่นี่ขายอาหารไม่ใช่ผู้ชาย ดูได้มืออย่าต้องของจะเสีย!

ผมถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วปาดเหงื่อตรงหน้าผากออกเพราะเพิ่งช่วยพี่เคียวเก็บโต๊ะเสร็จ พี่ยูอุ้มริวที่ยังคงหลับปุ๋ยลงมาจากชั้นบนเพื่อเตรียมกลับบ้าน ระหว่างทางคงต้องแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตเนื่องจากขาดวัตถุดิบทำแกงเขียวหวานไก่ (พี่ยูเรียกร้องอยากกินคืนนี้)

Rrrrr

เสียงริงโทนทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวไปเอากระเป๋าเป้ มือข้างหนึ่งล้วงหยิบมันขึ้นมาดูว่าเป็นใครติดต่อมา ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ ไหนบอกว่ามีติดงานที่ญี่ปุ่น ทำไมเบอร์ถึงเป็นของไทย งงในงงว่ะ

ผมเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสาย ยังไม่ทันกรอกเสียงลงไปปลายสายก็โผลงขึ้นมาก่อน ดังจนริวที่หลับอยู่บนบ่าของพี่ยูถึงกับสะดุ้ง หูกูจะแตกไหมเนี่ยเอย์จิ

‘มาหาที่สนามบินหน่อย มีเรื่อง!’

เดี๋ยวๆ เฮ้ย บอกแค่นั้นแล้ววางสายไปเลยคืออะไรวะ โทรกลับก็ไม่มีคนรับ เพิ่งมีชีวิตสงบได้ไม่กี่วันเอง โอย ผมขอลาออกจากการเป็นปัณณ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!



-------------------------------------------------

หัวใจจะพังเพราะมุกหยอดของพี่ยูนี่ล่ะฮะ ไม่พักให้ปัณณ์หายใจเลย
1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจน้า

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่ยูรุกหนักไปไหน  :-[
รอตอนต่อไปนะคะ เกิดอะไรขึ้นที่สนามบินนะ อยากรู้ๆๆๆ :hao7:

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่ยูสู้ๆ ถ้าได้รู้ว่าปัณณ์แอบรักตัวเองมานานขนาดนี้จะทำยังไงนะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ส่งสายตาดาเมจขนาดนี้ ไปไหนไม่รอดหรอกจ้า~

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่ยูรุกหนักมาดจริงๆ ส่วนเอย์จิมีเรื่องอะไรล่ะนั่น

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 11 : ซาซิมิ



“เอย์จิแม่ง...” ผมสบถคำหยาบออกมาเมื่อพยายามติดต่อกลับไปหาอีกคนแต่ไม่ยอมรับสายเลย ตกลงว่ามีเรื่องอะไรที่สนามบินกันแน่ น้ำเสียงเมื่อครู่ก็ดูร้อนรนผิดวิสัยคนเอาตัวรอดได้ดี โอย จะบ้า

“มีอะไรหรือเปล่า ขมวดคิ้วยุ่งเชียว” พี่ยูเอ่ยปากถามพลางสละมือข้างหนึ่งมาคลึงหว่างคิ้วให้ด้วยความเป็นห่วง ผมพ่นลมหายใจออกแล้วขยับปากบอกเรื่องเมื่อครู่ให้ฟัง

“เอย์จิบอกว่าให้ผมไปหาที่สนามบิน เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น” ผมขมวดคิ้วอีกครั้ง พยายามกดโทรศัพท์ติดต่ออีกฝ่ายใหม่แต่ผลก็เหมือนเดิม ไม่มีใครรับทั้งที่สายว่าง เอย์จิไปพกระเบิดขึ้นเครื่องหรือยังไงวะ ถ้าพวกเราไปถึงแต่เจอเรื่องไม่เป็นเรื่องจะเตะให้ก้นช้ำเลย ทำคนอื่นเป็นห่วงแล้วหายตัวไปแบบนี้ได้ยังไงกัน

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย” พี่ยูบอกเสียงเรียบแต่ใบหน้าแสดงความเป็นห่วงน้องชายอย่างเห็นได้ชัด ผมชะงักมือที่กดโทรศัพท์เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะหยุดที่ริว หลานง่วงจนตาเหลือขีดเดียวแล้ว ทำไงล่ะทีนี้

“แล้วริวล่ะครับ?” ผมมองตาพี่ยูเพื่อหาตัวช่วยจนเขาเบนหน้าไปทางพี่เคียวที่ยืนเลือกคิ้วไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ตรงประตูร้าน

“ริวอยู่กับอาเคียวก่อนได้ไหมครับคืนนี้?” พี่ยูก้มลงไปถามเด็กในอ้อมแขนด้วยเสียงนุ่มนวล ริมเงยหน้าขึ้นมองพ่อพลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนเอื้อมมือไปแตะแก้มกร้าน

“ป๊าจะไปไหนอ่า?” กระพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดูใส่พ่อด้วยว่ะ โคตรน่ามันเขี้ยว

“มีธุระด่วนมากๆ เลย” พี่ยูยังคงพยายามหลอกล่อลูกต่อไปโดยที่ผมยังไม่ยอมละสายตาจากเขา ส่วนพี่เคียวก็ยืนเกาหัวแกรกๆ เพราะรอว่าพวกเราจะเอายังไงกันแน่ ยิ่งคุยเวลาก็ยิ่งผ่านไป ดึกจนเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา ที่จริงอยากกลับบ้านมากกว่า

“งืม... ริวอยู่กับน้าปัณณ์ไม่ได้เหรอ?” ไหงหวยมาออกที่ผมล่ะ โธ่ อยากส่งพี่ยูไปแทนแต่ก็กลัวเอย์จิโกรธเพราะปกติแล้วเวลามีปัญหาเขาก็ไม่เคยโทรหากันตรงๆ แบบนี้

“น้าปัณณ์ต้องไปกับป๊าครับ ไว้จะซื้อขนมมาฝาก ดีไหม?” ผมนับถือพี่ยูที่สามารถเข้าของกินหลอกลูกได้ตลอดเวลาทั้งที่ความจริงแล้วเขามักจะซื้อพวกธัญพืชให้มากกว่า ขนมกรุบกรอบทั่วไปนี่อย่าหวัง

“โอเคฮับ” เด็กน้อยยิ้มกว้างให้คนเป็นพ่อก่อนจะยืดตัวหอมแกเมื่อได้ขนมเป็นของแลกเปลี่ยน พี่ยูหัวเราะก่อนเดินตรงไปหาพี่เคียวแล้วส่งริวให้

“ฝากริวด้วย”

“ได้ จะให้นอนกับกูเลยใช่ไหม?” พี่เคียวฟัดแก้มหลานอย่างมันเขี้ยว ดูเขามีความสุขที่ได้เลี้ยงเด็ก ก็คนมีลูกแล้วนี่เนอะ

“ตามนั้น ไปล่ะ” พี่ยูตบไหล่เพื่อนแล้วบอกลา ก้มลงหอมหัวริวก่อนจะหันมาจับมือผมออกไปจากร้าน เหลือบตาไปเห็นพี่เคียวยิ้มกริ่มก็อยากเอาหน้ามุดถนนหนี ทำไมถึงได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้วะ นี่บอกคนอื่นมาจีบปัณณ์อยู่ใช่ไหม

ผมไม่ได้สะบัดมือพี่ยูทิ้งเพราะรู้สึกดีและเป็นชั่วโมงเร่งรีบ เขาประจำที่คนขับแล้วออกรถตรงสู่สนามบิน เอย์จิยังคงไม่รับโทรศัพท์เหมือนติดต่อมาจบก็ตายไปเลย มันไม่คิดว่าคนอื่นจะกังวลบ้างหรือไง ยิ่งได้ยินเสียงโวยวายดังเป็นแบ็คกราวน์ยิ่งคิดไปในทางที่ดีไม่ได้ หรือท้าต่อยกับคนแถวนั้นวะ โอย สมองบวมแล้วกู

“ปัณณ์” พี่ยูที่เหยียบคันเร่งจนเลขไมล์สูงเป็นตัวเลขร่วมร้อยเรียกชื่อกันในขณะที่ผมพยายามทั้งโทรและส่งข้อความไปหาเอย์จิ นิ้วเรียวชะงักกึกก่อนจะหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับพี่”

“เอย์จิบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร?”

“ไม่ครับ บอกให้ไปหาแล้วก็วางสายเลย ผมโทรไปก็ไม่รับ” ผมบอกด้วยเสียงร้อนรน อยากได้ประตูโดราเอม่อนฉิบหาย วาร์ปไม่ถึงห้าวินาทีก็ถึงที่หมายแล้ว

“อย่าให้เจอตัว พี่จะเขกหัวให้กบาลแยก” พี่ยูขบกรามแน่นทุบมือลงบนพวงมาลัยจนผมเผลอสะดุ้ง นี่ล่ะคนใจดีเวลาโมโหน่ากลัวกว่าเสือซะอีก ได้แต่ภาวนาให้เอย์จิรอดพ้นจากการโดยฆ่าด้วยเถอะ

“ใจเย็นๆ ครับ” ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่คนขับเพื่อปลอบให้เขาใจเย็นลง ดวงตาคมเหลือบมองครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ สีหน้าแสดงทั้งความหงุดหงิดและความเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มจะสงบลงหรือเปล่านะ... แล้วทำไมต้องมานั่งคิดอกุศลตอนนี้ พี่ยูจีบกูห้ามรุกเองสิวะ

“กล้าดียังไงมาทำให้ปัณณ์ของพี่เป็นกังวล” พี่ยูบอกเสียงฉุนแล้วคว้ามือผมไปจับไว้แน่น ครั้นจะดึงออกก็โดนกระชับบีบจนขยับไม่ได้ แก้มร้อนหูร้อนไปหมดแล้วกู สาบานว่าตอนนี้เครียดเรื่องเอย์จิอยู่ อยากจะว้ากให้รถพังจริงๆ ทำอะไรของเขาเนี่ย

“จะหยอดทุกสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้นะครับ” ผมพึมพำเสียงเบาแล้วถลึงตามองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างเอาเรื่อง ดีหน่อยที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนคงไม่เห็นสีแก้มระเรื่อนี่หรอก แล้วมือน่ะแทนที่จะปล่อยกลับประสานแนบชิดกว่าเดิม พี่ยูไม่เขินแต่ปัณณ์ใกล้ตายแล้ว เพิ่งรู้ว่าเขินแทบขาดใจเป็นยังไงก็คราวนี้ล่ะ

“ขนาดหยอดทุกวันยังจีบไม่ติดเลย” เสียงอ่อยจนผมใจกระตุกเลยเหอะ ไอ้กำแพงที่สร้างขึ้นสูงจรดฟ้าเนี่ย ตอนนี้ความสูงเหลือแค่เอวแล้วมั้ง โธ่ ไอ้ปัณณ์ ใช้เวลาดูความจริงใจของพี่ยูมากกว่านี้ไม่ได้หรือยังไง

“รู้ได้ไงว่าจีบไม่ติดครับ” ผมพูดให้พี่ยูตกใจเพื่อจะดึงมือที่ถูกกอบกุมออกและมันก็ได้ผลดีเกินคาดเพราะเขาถึงกับเหยียบเบรกจนหัวทิ่ม ดีหน่อยที่เวลานี้ถนนไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงท้ายบี้ไปแล้ว

“ปัณณ์อย่าบอกนะว่าพี่จีบตะ...” พี่ยูยังพูดไม่ทันจบผมก็สวนขึ้นทันที

“ไม่ครับ ตั้งใจขับรถเถอะ ผมจะพยายามโทรหาเอย์จิต่อ” ก็กลัวว่าจะตอบความจริงเขาไปทำนองว่าไม่จีบก็ชอบก็รักอยู่แล้วอะไรแบบนั้น ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาหรอก อยากให้เชื่อมั่นในความรู้สึกของพี่ยูมากกว่านี้

“ใจร้ายชะมัด” คนผิดหวังถึงกับบุ้ยปากแล้วส่งเสียงพึมพำราวเด็กน้อย ผมกลั้นขำจนไหล่สั่นกำหนดลมหายใจให้เข้าสู่อารมณ์ปกติ โธ่ ถ้างอแงอีกนิดคงไม่ต่างจากคนลูกเลยเนี่ย น่าถีบมากกว่าน่าหยิก อย่าลืมว่าอายุตัวเองจะเหยียบเลขสี่อยู่แล้ว

“บ่นอะไรครับ ผมได้ยินนะ” ผมแกล้งว่าเสียงดุแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนช่างหยอด เขาสะดุ้งเฮือกก่อนหันมาคลี่ยิ้มกว้าง ใช้วิธีกลบเกลื่อนได้แย่ที่สุดเลยรู้ตัวไหมเนี่ย

“เงียบแล้วครับๆ” มีแววจะกลัวเมีย เอ๊ย แฟนด้วยล่ะ หึหึ แบบนี้ก็หวานหมูน่ะสิ

พี่ยูฝ่ารถติดเมื่อถึงเขตสนามบินในเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นไปได้ป่านนี้เอย์จิคงเคลียร์ปัญหาจบไปแล้ว แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นพอได้ที่จอดก็รีบวิ่งเข้าสู่ตัวอาคาร กดโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อติดต่อว่าเขาอยู่ที่ไหน กว้างขนาดนี้ใครจะไปหาเจอไม่ใช่เซเว่นนะเว้ย

“ติดต่อได้หรือยัง?” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะปลายสายยังไม่มีการตอบรับ แล้วไอ้แถวตรวจสัมภาระจะยาวไปถึงไหนวะเนี่ย แซงคิวก็ไม่ได้ โอย บ้าฉิบหาย

“ไอ้เด็กเวร” คำสบถด่าหลุดออกจากริมฝีปากหยักอีกครั้ง คราวนี้เขาเป็นคนกดโทรหาเอย์จิเอง ส่วนผมสอดส่ายสายตามองไปทั่วเผื่อจะเจอตัวการณ์ของเรื่องนี้บ้าง แม่ง ไม่มี ตรงไหนก็ไม่มี ไปมุดรูอยู่ที่ไหน!

แถวเริ่มขยับไปเรื่อยๆ จนถึงคิวผมที่อยู่ด้านหน้า ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มกดโทรศัพท์หาเอย์จิอีกครั้งแต่ต้องชะงักเมื่อมีสายเรียกเข้าซะก่อน ไม่จริงน่า ทำไมกลายเป็นไอ้ทอยล่ะ ควรจะรับดีหรือเปล่า

“มีอะไรเหรอปัณณ์ ยืนมองโทรศัพท์ทำไม?” พี่ยูเดินมาแตะไหล่พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้ว่าควรบอกดีหรือเปล่า แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงก็เลยยื่นโทรศัพท์ให้ดู

“คือ... ทอยโทรมา”

“.....” พี่ยูนิ่งเงียบก่อนพยักหน้ารับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ผมลังเลหนักกว่าเดิมจนสายตัดไปแต่ทอยก็ยังโทรมาอีกครั้ง แปลกที่อยู่ๆ ก็โทรมาทั้งที่หายไปนานแล้ว

“ผมรับสายดีไหม?” ถามความคิดเห็นคนข้างกายอีกครั้งเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าผมมีอะไรในกอไผ่กับทอย

“รับสิ เผื่อเขามีธุระ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางก่อนจะหันไปมองทางอื่นเหมือนกำลังหาเอย์จิ แต่ผมรู้ดีว่าลึกๆ เจ้าตัวคงกังวลเรื่องทอยอยู่ไม่น้อย ช่วยมั่นใจหน่อยเถอะว่าปัณณ์ไม่อยากกินเพื่อนน่ะ

ผมเลิกสนใจพี่ยูแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือเรียวสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายก่อนจะกรอกเสียงปกติลงไป ถึงแม้จะรู้สึกแปลกก็ตามที ไอ้คนที่เราอยากให้ติดต่อมันดันหายหัว บ้าจริง

“ว่าไง?”

‘ปัณณ์ มึงอยู่ที่ไหน?’ คำถามของไอ้ทอยทำให้ผมขมวดคิ้วฉับเพราะไม่มีการทักทายหรือถามสารทุกข์สุกดิบเหมือนอย่างปกติ ขายาวๆ ก้าวห่างออกจากพี่ยูเล็กน้อยเผื่อว่ามีการพูดคุยบางเรื่องที่ไม่อยากให้เขารู้

“สนามบิน มีอะไรหรือเปล่า?”

‘มาที่ออฟฟิศหน่อย’ ออฟฟิศสายการบินผมจะเข้าไปได้ยังไงวะ ไม่ได้เป็นพนักงานของเขาแล้วสักหน่อย

“กูกำลังรีบไปหาญาติ” ผมตอบไปตามความจริงเพราะตอนนี้ยังคงหาเอย์จิไม่เจอ ส่วนพี่ยูเริ่มหยิบโทรศัพท์มากดต่อสายหาน้องชายอีกครั้งพลางมองหาไปรอบๆ เชื่อว่าเจอตัวเมื่อไหร่คงได้มีปากเสียงกันแน่นอน

‘ถ้าหมายถึงผู้โดยสารที่ชื่อเอย์จิ เขาอยู่ที่นี่’ อะไรนะ!

“เกิดอะไรขึ้นไอ้ทอย เอย์จิเป็นอะไร?” ผมถามเสียงรัวพร้อมกับเบิกตาโต ทำไมถึงไปอยู่ด้วยกันตรงนั้นได้ เอย์จิไปทำอะไรให้ไอ้ทอย ทะเลาะกัน มีปัญหาหรือยังไง โลกกลมได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

‘มาเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง’ มันบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนตัดสายไป ผมรีบเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไปจับต้นแขนพี่ยู สีหน้าของเขาเวลานี้เรียบตึงจนกลัวว่าถ้าพูดไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียวอาจจะโดนตวาดลั่นก็ได้

“พี่ยูครับ ทอยโทรมาบอกว่าเอย์จิอยู่กับมัน” ผมเล่าสิ่งที่รับรู้ให้เขาฟังแล้วปล่อยมือออกจากต้นแขนย้ายมาลูบใบหน้าของตัวเองหวังเพียงว่าจะลดความกังวลลงได้บ้าง พี่ยูคล้ายสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะ สีหน้าแสดงความงงงวยและสับสนอย่างเห็นได้ชัด คงรู้สึกไม่ต่างว่าทำไมสองคนนั้นถึงอยู่ด้วยกัน

“รีบไปเถอะครับ” ผมถือวิสาสะคว้าข้อมือพี่ยูตรงไปที่ออฟฟิศของสายการบินซึ่งอยู่บริเวณชั้นสอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านการสัมผัสทำให้ความกังวลเบาบางลงแต่หัวใจกลับเต้นแรง เพิ่งมาคิดได้เอาตอนก้าวขึ้นบันไดเลื่อนว่าเผลอแต๊ะอั๋งเขาก่อนซะแล้วทั้งที่ตั้งใจว่าจะวางมาดแท้ๆ แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้เรื่องอื่นสำคัญกว่า

ตลอดทางเดินจนถึงออฟฟิศผมไม่ได้ปล่อยมือพี่ยูเลยแถมยังสอดประสานกันแน่นกว่าเดิม (ถ้าเป็นฉากโรแมนติกของเราก็คงดี) ถึงขนาดยอมใช้แขนข้างที่ว่างดันประตูให้เปิดออก ภาพที่เห็นคือทอยกำลังยืนพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานสีหน้าเรียบตึงอยู่ในชุดนักบินเต็มยศคาดว่าเพิ่งลงจากเครื่อง ส่วนเอย์นั่งกอดอกจ้องเขม็งอยู่บนเก้าอี้แถมด้วยการกัดฟันกรอดท่าทางเอาเรื่อง สถานการณ์ตึงเครียดจนน่ากลัว ถ้าแต่ละคนบันดาลโทสะมากกว่านี้คาดว่าคงต่อยกันไปแล้ว

เสียงประตูเปิดทำให้สายตาทั้งสองคู่มองตรงมาทางนี้ ผมกับพี่ยูเผลอบีบมือกันแน่นโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาล้อมรอบบริเวณห้อง มันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน ปล่อยมันสองคนเถียงกันต่อไปเหมือนเดิมดีไหม เริ่มไม่อยากสอดปากยุ่งแล้วสิ

“ปัณณ์!” เอย์จิเบิกตาโตแล้วลุกพรวดตรงมากอดกันแน่นแทบหายใจไม่ออก ผมดิ้นขลุกขลักสู้แรงอีกคนแต่ไม่สำเร็จ มือที่ประสานกับพี่ยูผละออกจากกันแทบทันที รู้สึกเสียดายความอุ่นนั่นแต่มันไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องส่วนตัวนี่หว่า โอย ขอแกะไอ้ตุ๊กแกยักษ์นี่ออกก่อนเถอะ!

“เฮ้ย กอดเราทำไม?” ผมโวยวายก่อนจะผลักเอย์จิออกแต่ไม่ทันพี่ยูที่จับต้นแขนน้องชายแล้วลากออกไปซะไกล อย่าบอกนะว่าหวง ในสถานการณ์แบบนี้สามารถเขินได้หรือเปล่าวะ

“ถอยออกไปสงบสติอารมณ์เดี๋ยวนี้” พี่ยูสั่งเสียงเข้มไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ไม่กล้าพูดแทรกอะไร หางตาเหลือบเห็นไอ้ทอยยืนนิ่งเลยรู้สึกอึดอัดแทบบ้า ทำไมต้องจ้องมาทางนี้ คู่กรณีมันเป็นเอย์จิไม่ใช่หรือไงกัน

“ผมกำลังสะเทือนใจนะเว้ย ขอกอดแค่นี้ก็ไม่ได้ ขี้งก” เอย์จิสะบัดหน้าใส่พี่ชายก่อนจะหลบมาเกาะแขนกันอยู่ด้านหลัง ผมรีบยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เขาเงียบซะ ไม่อย่างนั้นจากที่มีเรื่องกับไอ้ทอยจะกลายเป็นว่าเพิ่มคู่กรณีอีกคน คราวนี้ปัณณ์ขอลาล่ะไม่อยากปะทะพายุอารมณ์

“เงียบก่อนน่าเอย์จิ เดี๋ยวพี่ยูกินหัวเอา” ผมกระซิบข้างหูเอย์จิแล้วเหลือบมองพี่ยูที่ละสายตาไปมองไอ้ทอยแทน ตอนนี้ทำไมรู้สึกว่าเขาทั้งสองคนกำลังเปิดศึกแย่งผมไม่ใช่การเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นวะ ไม่ได้คิดไปเอง แต่บรรยากาศรอบตัวมันฟ้อง

“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน?” พี่ยูเอ่ยถามไอ้ทอยก่อนน้องตัวเอง ผมเข้าใจว่าฝั่งเราเป็นคนมุทะลุกว่าจะใจเย็นคุยรู้เรื่องคงอีกนานเลยเบนเข็มไปทางนู้นที่ดูควบคุมอารมณ์ได้มากกว่า

“คุณเอย์จิขโมยกระเป๋าตังค์ของผม” ไอ้ทอยพูดเสียงเรียบไม่มองคู่สนทนาแต่กลับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เอย์จิทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนจะก้าวท้าวตรงไปหาคู่กรณี แต่ดีหน่อยที่พี่ยูเข้าไปดักหน้าได้ทัน ตอนแรกมันยังไม่ต่อยกันแต่ตอนนี้ไม่แน่

“ไม่ได้ขโมย ก็บอกว่ามันตกอยู่บนพื้นไงเล่า ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง อุตส่าห์เก็บมาคืนยังไม่สำนึกบุญคุณอีก!” เท้าไปหาเรื่องเขาไม่ได้แต่ปากไม่ยอมแพ้เว้ย เสียงดังจนผมต้องยกมือขึ้นอุดหู ในส่วนของพี่ยูถึงกับหันมาถลึงตาใส่ คาดว่าคงหงุดหงิดเต็มที่แล้ว

“เอย์จิ พี่บอกให้เงียบ” เสียงเย็นขึ้นเป็นสองเท่าจนคราวนี้ผมใช้มือปิดปากเอย์จิแล้วลากมันเข้ามุมห้องอีกด้านหนึ่งปล่อยให้พี่ยูเป็นคนเจรจากับไอ้ทอยไป ถ้าหากว่าเรื่องไม่เคลียร์เดี๋ยวปัณณ์คนนี้จะคุยเอง รับรองว่าจบทุกอย่าง อาจหมายรวมถึงความสัมพันธ์ด้วยเพราะเริ่มรู้สึกว่าสายตาที่มองมานั้นมีแต่ความโหยหา

“ทำไมถึงคิดว่าเอย์จิขโมยกระเป๋าตังค์?” พี่ยูยังคงถามด้วยน้ำเสียงเรียบไม่แสดงท่าทีคุกคามอีกฝ่ายที่เอาแต่กล่าวหาเอย์จิ ลองคิดง่ายๆ ว่าคนที่เป็นนายแบบได้เงินจากการทำงานครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทจะขโมยกระเป๋าตังค์คนอื่นเพื่ออะไร ต้องเอาชื่อเสียงตัวเองมาแลกกับของแค่นี้น่ะเหรอ โคตรไม่เมคเซ้นส์

“ผมเก็บมันอย่างดีในกระเป๋าเดินทาง” ไอ้ทอยยังคงยืนยันคำเดิมทั้งที่สายตามองข้ามไหล่พี่ยูมาหาผมชัดๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอาจจะไม่ใช่กระเป๋าตังค์เจ้าปัญหาแต่เป็นความรู้สึกของคนๆ หนึ่งต่างหาก

“ไม่ใช่!” เอย์จิผู้ไม่ยอมคนยังคงส่งเสียงปฏิเสธจนผมต้องแอบหยิกแขนเขาให้สงบเสงี่ยมลง ขืนยังใช้อารมณ์อยู่แบบนี้มีหวังพี่ยูกระโดดถีบหน้าแน่ๆ ดูจากที่เขากำหมัดสิ ไม่รู้โมโหน้องหรือไอ้ทอย

“เอย์จิ อย่าตะโกนสิ” ผมปรามคนข้างตัวจนโดนมองแรงใส่แต่สุดท้ายก็ยอมเชื่อฟังถึงแม้จะมีเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก็ตาม

“ไอ้บ้านั่นทำตกจริงๆ นะปัณณ์ เราจะขโมยกระเป๋ามันเพื่ออะไร เงินมีท่วมหัวใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดอะ” เอย์จิบ่นงุ้งงิ้งใส่ผมแล้วส่งสายตาอาฆาตไปให้ไอ้ทอย ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้นพลางเอื้อมมือไปบีบไหล่เพื่อปลอบใจ

“เราเชื่อเอย์จิ ใจเย็นๆ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปหาพี่ยูที่ยังคงนิ่งเงียบแล้วใช้สายตาจ้องมองไอ้ทอยคล้ายพยายามหาความจริง เขาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“พี่ยูครับ ผมขอคุยกับทอยสองคนได้ไหม?” ผมคิดว่าปัญหาทั้งหมดคงเริ่มจากตัวเองด้วยเรื่องเดิมๆ ที่เรียกว่าความรู้สึก ถ้าบอกว่าเหนื่อยไม่อยากพูดแล้วจะดูเลวเกินไปไหม ถ้ามันยากในการทำใจตัดเพื่อนก็ได้ ถึงจะเสียใจแต่มันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

“จะดีเหรอปัณณ์?” พี่ยูมองผมสลับกับไอ้ทอยอย่างไม่ไว้ใจเพราะตั้งแต่ที่เราคุยกันมาต้องมีการเสียน้ำตาตลอด ไม่เคยคุยกันได้ ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยจบลงด้วยดีสักครั้ง

“นะครับ ไม่มีอะไรหรอก” ผมคลี่ยิ้มให้เป็นเชิงบอกว่าสบายใจได้ พี่ยูเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนพยักหน้ารับ

“พี่ให้เวลาสิบนาที” เสียงเครียดเชียว หวงปะเนี่ย

“โธ่ สั่งเหมือนพ่อเลย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

“อืม ก็พ่อทูนหัวไงครับ” พูดแบบนั้นก่อนจะเดินไปลากเอย์จิออกจากห้อง แบบนี้ก็ได้เหรอ โยนระเบิดให้เขินเนี่ยนะ มันใช้จังหวะหยอดกันหรือยังไงเล่า โอย บิ้วซะดราม่าไม่ออกเลย

แต่ในความเป็นจริงที่ผมแสดงออกต่อหน้าเพื่อนนั้นกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉยพร้อมเอาเรื่องได้ทุกเวลา ทั้งห้องเงียบสงบมีแค่เสียงลมหายใจและเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังสลับกันสร้างความกดดันให้มากยิ่งขึ้น ไอ้ทอยเอาแต่มอง มอง แล้วก็มองโดยไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดก่อน

“มึงต้องการอะไร?” ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเพราะทนความกดดันไม่ไหว ร่างกายตอนนี้เรียกร้องหาที่นอนนุ่มๆ อยากนอนเอนหลัง อยากซุกตัวในผ้าห่มหนาๆ ท่ามกลางเสียงสายฝนเทกระหน่ำ

“ทำไมถามแบบนั้น?” เอย์จิขยับยืนตัวตรงก่อนแสดงใบหน้าของคนไม่เข้าใจคำถาม ผมกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิด ทำไมต้องเป็นแบบนี้

“ก็น่ารู้อยู่แก่ใจหรือเปล่าว่าคนอย่างเอย์จิจะไม่ทำเรื่องแบบนั้น” ไอ้ทอยรู้จักเอย์จิดีเพราะผมเคยเล่าให้มันฟังบ่อยๆ ว่าน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าจะเอาความจำว่านั่นคือน้องของพี่ยูซึ่งแน่นอนว่าต้องพ่วงกับชีวิตปัณณ์ซึ่งเอามาสร้างเรื่องได้ขนาดนี้มันก็เหี้ยเกินไปไหม

“กูผิดมากไหมที่ใช้เขาเป็นเครื่องมือให้มึงมาที่นี่” ผมเหมือนถูกล็อตเตอรี่หกสิบล้านแต่โดนปล้นกลางทางไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าใส่ติดตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้ทอยใช้สมองคิดเรื่องชั่วแบบนี้ ทำอะไรโดยไม่คิด เอาหน้าที่การงานมาเสียงก็ได้เหรอ คุ้มไหมกับการเจอหน้ากันในสภาพต่างคนต่างหงุดหงิดและมีเรื่องเก่าค้างใจ

“ทอย... มึงทำบ้าอะไรอยู่ สมองพิการไปแล้วเหรอไง?” ผมเค้นเสียงถามเพราะกำลังพยายามระงับอารมณ์ ทอยมองกันด้วยสายตาสั่นไหวก่อนที่หยอดน้ำใสจะกลั่นตัวลงมาบนแก้ม ร่างทั้งร่างทรุดลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่เอย์จินั่ง

“อยากเจอ... อึก” เสียงสั่นๆ ดังขึ้นพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ผมได้แต่เบนหน้าหนีแล้วถอนหายใจทิ้งเป็นรอบที่ร้อยกับปัญหาเรื่องนี้ เมื่อไหร่มันจะจบความงี่เง่าซะที อยากเจอก็ทำตัวปกติเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเหรอ ทำไมต้องใช้ความเจ้าเล่ห์กับเพื่อนแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน

“ทอย มึงไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะเว้ย เรียกร้องความสนใจแบบนี่มันไม่สนุก ถ้าเกิดเอย์จิเอาเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?” ผมขมวดคิ้วมองมันพลางถอนหายใจ รู้ดีว่าไม่สามารถห้ามความรู้สึกของใครได้แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอามากๆ สงสารคนที่ไม่รู้เรื่องแล้วต้องมารับกรรม อีกอย่างคือเสียเวลา

ไม่ใช่ว่าทอยไม่สำคัญแต่ถ้ายังทำตัวแบบนี้ผมก็เหนื่อยใจเพราะหาทางออกไม่ได้ มันเคยสนใจความรู้สึกคนอื่นบ้างไหมเอาแต่มองตัวเอง อยากให้ตัวเองมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว แบบนี้จะเรียกว่าความรักได้จริงๆ เหรอ

“กู... ตัดใจจากมึงไม่ได้จริงๆ” ทั้งน้ำเสียงและริมฝีปากของไอ้ทอยสั่นมากจนแทบฟังไม่รู้เรื่องแต่มันกลับสื่อความรู้สึกเจ็บปวดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนผมเผลอสะดุดลมหายใจ สองมือกำหมัดแน่นเพื่อกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในอก ความหวังที่อยากได้เพื่อนกลับมามันไม่มีแล้วจริงๆ เหรอ

ไอ้ทอยยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงเงียบๆ บนแก้มโดยไร้เสียงสะอื้น ไหล่หนาสั่นกึกเพราะแรงอารมณ์ภายใน ถ้ามันใจร้อนกว่านี้อีกสักนิดเชื่อว่าเราทั้งคู่คงไม่มีโอกาสยืนจ้องอีกคนแบบนี้ อยากเป็นพ่อมดในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ชะมัด จะได้เสกคาถาลบความทรงจำซะ

ผมจนปัญญาหาทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้วจริงๆ ไม่ว่าจะงัดเหตุผลร้อยแปดออกมาเจรจากี่ครั้งผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถบังคับกันได้ก็เข้าใจดี แต่จะให้รับมันไว้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกก็เป็นสิ่งที่เลวไม่ใช่หรือ

“กูขอโทษทอย ขอโทษที่ยอมรับความรู้สึกของมึงไม่ได้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอวะ?” ผมเม้มปากแน่นแล้วมองเพื่อนสนิทตรงหน้าด้วยแววตาอ้อนวอน กลับมาเป็นอย่างเดิมคงยากเกินไปสินะ

ไอ้ทอยตอบรับกันด้วยการสะอื้นแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับไหล่กันก่อนออกแรงบีบจนรู้สึกเจ็บแปลบ ผมอยากสะบัดตัวออกแต่ต้องจำใจทนต่อไป เคลียร์ให้จบๆ วันนี้เถอะ พอกันทีกับความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง

“ยากนะ ฮึก เหมือนที่มึงเป็นพี่น้องกับเขาไม่ได้ยังไงล่ะ” ไอ้ทอยซบหน้าลงกับลาดไหล่แล้วปล่อยความรู้สึกทุกอย่างไหลผ่านม่านน้ำตามากมาย ผมได้แต่ยืนนิ่งมองตรงไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย ตอนนี้หัวสมองว่างเปล่า จิตใจด้านมืดร้องบอกว่าถ้าทนไม่ไหวก็แค่ตัดความสัมพันธ์แล้วจบๆ จะได้กลับบ้านไปนอนสักที แต่จิตใจด้านสว่างยังคงบอกว่านั่นเพื่อนสนิทนะ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก โอย ปวดหัว!

มันพูดถูกแต่ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพี่ยูเลยสักครั้งเพราะในเวลานั้นรู้ดีว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนในชีวิตเขา มีความสำคัญแบบไหนและเว้นระยะห่างอย่างพอดีมาตลอด

“จะให้กูทำยังไง มึงถึงจะเลิกคิดทำอะไรตื้นๆ สักที” ผมบอกอย่างอ่อนแรงพลางยกมือขึ้นดันไหล่ของไอ้ทอยออกห่างเพื่อสบตาค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในนั้น มันยกยิ้มบางทั้งที่ริมฝีปากสั่น ขยับเข้ามาแนบชิดกว่าเก่าจนต้องก้าวถอยหลังหนี

“คบกับกู” พูดง่ายแต่ทำโคตรยากเลยว่ะเพื่อน

“ได้แค่ตัวหัวใจไม่เอาน่ะเหรอ?” ผมยิ้มแล้วจิ้มนิ้วลงที่หน้าอกของไอ้ทอยพลางเบนสายตาไปทางพี่ยูเพื่อในมันตระหนักว่าหัวใจของปัณณ์อยู่ที่ใคร

“ปัณณ์... มึงมันเหี้ย” ไอ้ทับปัดมือทิ้งแล้วกระชากคอเสื้อของผมจนใบหน้าเราห่างกันแค่คืบเดียว ปลายหางตาเห็นพี่ยูขยับตัวอย่างร้อนรนทำท่าจะผลักประตูเข้ามาแยกเราออกจากกันแต่โดนเอย์จิห้ามไว้ ยังไม่ครบกำหนดเวลาสิบนาทีเลย อย่าเพิ่งนะครับ อดทนอีกแค่แป๊ปเดียวทุกอย่างก็จบแล้ว

“กูยอมรับ” จะว่าผมยังไงก็เอาเถอะ เวลานี้น้อมรับได้ทุกคำกล่าวหาแล้วจริงๆ

“กูไม่อยากยอมแพ้พี่ยู...” มือที่กำคอเสื้อคลายออกแต่เลื่อนมาขยำตรงอกจนรู้สึกว่าปลายเล็บจิกเข้าที่เนื้อ ผมกัดฟันอดทน หลับตาลงเพื่อรวบรวมความกล้าพ่นประโยคสุดท้ายที่ว่ามันสามารถจบทุกอย่างลงได้

“ยังไงมึงก็ไม่มีวันชนะ... อื้อ!” ผมเบิกตาโตเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนของเพื่อนสนิทประกบลงมาแนบชิดพี้อมกับออกแรงบดขยี้จนรู้สึกเจ็บไปตามแนวฟัน ด้วยความตกใจเลยเผลอปล่อยหมัดเข้าที่แก้มคว้าของไอ้ทอยอย่างจังจนมันล้มไปกองกับพื้น ของเหลวสีแดงค่อยๆ ไหลลงมา ไม่มีเสียงร้องโวยวายหรือแม้แต่คำกนด่าเพราะเวลานี้มีแต่แววตาสิ้นหวัง เสียใจ ทุกข์ทรมานเท่านั้น



ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ปัณณ์!” เสียงผลักประตูพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นก่อนที่จะถูกพี่ยูรวบตัวไปกอดไว้แน่น ผมซบหน้าลงกับอกแกร่งโดยไม่ปริปากพูดอะไรแล้วมองคนบนพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ต้องทำอะไรต่อไป ส่วนเอย์จินั้นได้แต่ยืนนิ่งคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จากกระเป๋าตังค์ใบเดียวกลายเป็นความรัก

ทอยยกมือขึ้นเช็ดเลือดตรงมุมปากก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล มันก้าวตรงมาทางนี้ทำให้เอย์จิรีบขยับตัวขวางทางไว้ กางแขนออกจนสุดทั้งสองข้างปกป้องผมและพี่ยูจากการรุกราน

“กลับกันเถอะครับ” ผมเอ่ยบอกพี่ยูก่อนจะผละตัวออกมา เหลือบสายตามองไอ้ทอยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินนำทุกคนออกจากออฟฟิศ ทิ้งทุกอย่างทุกความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนสนิทไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ถ้ามันพร้อมกลับไปเป็นแบบเดิมเมื่อไหร่ก็ยินดีต้อนรับเสมอ

ระหว่างทางเดินกลับไปที่ลานจอดรถมีแต่เสียงฝีเท้าของเราสามคนสลับกันไป พี่ยูอยู่ทางด้านขวาคอยสอดประสานฝ่ามือให้ความอบอุ่น ส่วนเอย์จิอยู่ทางด้านซ้ายเอาแต่ขมวดคิ้วพึมพำอะไรอยู่คนเดียวเป็นภาษาญี่ปุ่น ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าร่างกายอยากพักผ่อนปล่อยวางให้หัวใจสงบลงสักที

สารถีประจำค่ำคืนนี้ยังเป็นคนเดิม เปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถเป็นเอย์จิซึ่งในตอนแรกเขาตั้งใจจะเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านเองแต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน ผมย้ายมานั่งด้านหลังโดยอ้างว่าอยากนอนยาวๆ ทั้งที่ความจริงแล้วแค่หลับตาปิดกั้นคำถามทุกอย่างจากทุกคน ไม่พร้อมจะตอบอะไรเลย

“ปัณณ์... ตกลงมันคืออะไรวะ เรางงไปหมดแล้ว” พอรถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนไม่ถึงห้านาทีก็ได้ยินเสียงเอย์จิเอ่ยถาม ผมหรี่ตามองผ่านความมืดแล้วได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบหมอนอิงอีกใบขึ้นมาปิดหน้า อุตส่าห์แกล้งหลับยังไม่รอดอีก ฉลาดเกินไปแล้วเหอะ

“ค่อยถามพรุ่งนี้มันจะตายหรือไงเอย์จิ” เสียงทุ้มของพี่ยูเอ่ยขัดได้ถูกจังหวะ จากที่ลองประเมินดูแล้วเขาน่าจะหงุดหงิดที่ผมโดยขโมยจูบอยู่ไม่น้อยเพราะสังเกตได้ตั้งแต่อยู่ในสนามบินว่าเอาแต่จ้องปากกันไม่หยุด ถ้าเอาผ้ามาถูๆ เช็ดๆ ได้คงทำไปแล้ว

“อ้าว ก็ผมไม่เข้าใจนี่ ทำไมปัณณ์โดนไอ้บ้านั่นจูบอะ ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนไง”

ผมรู้สึกจุกกับคำว่าเพื่อนจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ ได้แต่ปล่อยให้มันไหลลงเงียบๆ แล้วใช่หมอนอิงซับ พรุ่งนี้ค่อยเอาลงจากรถไปซักให้นะพี่ยู

“เงียบๆ เถอะน่า ถ้ายังพูดไร้สาระเดี๋ยวพี่จะถีบแกลงจากรถ” พี่ยูสายโหดจริงๆ เลย แต่ก็น่ารักนะ

“หึ นี่น้องนะ เดี๋ยวจะฟ้องโอกาซัง!” รายนี้ก็ติดแม่จังเลย

“คนข้างหลังก็ว่าที่แฟน จะทำไม?” โห เจอประโยคนี้เข้าไปน้ำตาแห้งเลยว่ะ แต่เหนื่อยตรงที่ต้องกัดปากกลั้นยิ้มแทน ขนาดผมหลับยังจะหยอดเนอะคนเรา ไหนปากบอกว่าจีบไม่เป็นไง นี่มันสกิลระดับสูงแล้ว

“เอ้อ ให้มันได้แบบนี้สิครับพี่ชาย เดี๋ยวผมก็กลับมาจีบปัณณ์แข่งซะเลยนี่” เอย์จิไม่ยอมแพ้ถึงขนาดออกปากไปแบบนั้น ผมหายใจติดขัดภาวนาให้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น อย่ามาเสน่ห์แรงตอนใกล้จะสมหวังเลยเดี๋ยวก็พลาดแดกแห้วกันหมด

“มึงควรหุบปากแล้วนอนไปครับ”

โอเคจบ ผมจะได้นอนหลับบนรถจริงๆ สักที

เสียงปลุกจากเอย์จิทำให้ผมต้องปรือตาแล้วลุกขึ้นนั่งโงนเงนอยู่ครู่ใหญ่กว่าสติจะครบถ้วนก่อนลากสังขารเปลี้ยๆ ลงจากรถเพื่อเข้าบ้าน ส่วนพี่ยูช่วยแบกกระเป๋าเดินทางของน้องชายตามมาด้านหลัง สรุปว่าคืนนี้เพิ่มสมาชิกขึ้นมาอีกหนึ่งคน เออ แล้วเจ้าตัวแสบงอแงถึงพวกเราบ้างหรือเปล่านะ ขนมก็ยังไม่ได้ซื้อให้เลย เห็นทีพรุ่งนี้ต้องแวะร้านเบเกอรี่

ผมเหวี่ยงกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวตาม หลับตาลงเพื่อบรรเทาความอ่อนล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ได้ยินเสียงสองพี่น้องคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบรัวๆ ยิ่งทำให้รูสึกง่วงจนไม่อยากอาบน้ำ ขนาดข้าวมื้อเย็นยังไม่อยากกินเลย ตอนนี้เอาอูนิมาตั้งตรงหน้าก็เมิน

เสียงคุยกันเรื่องงานเงียบลงแล้วแต่รับรู้ถึงแรงยวบของโซฟาด้านข้าง ผมปรือตามองก็พบกับเอย์จิที่จ้องกันอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย

“ปัณณ์ คืนนี้เรานอนด้วยนะ” ผิดคาดไปหน่อยที่เอย์จิไม่ถามถึงเรื่องในสนามบิน ผมขยับตัวจัดท่านั่งให้เป็นปกติก่อนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง เขาคงไม่อยากนอนกับพี่ชายเท่าไหร่มั้ง รายนั้นตื่นง่ายมากแค่จะลุกไปเข้าห้องน้ำยังเกรงใจ

“ได้สิ”

“ไม่ได้” เสียงปฏิเสธดังมาจากทางด้านหลังก่อนที่ไหล่ของผมจะรู้สึกอุ่นวาบเพราะมีมือหนาทาบทับลงมาทั้งสองฝั่ง เงยหน้าขึ้นมองก็พบกับพี่ยูที่ตอนนี้กำลังทำตาขวางใส่น้องชาย อาการแบบนี้เรียกว่าหวงใช่ไหมนะ โธ่ น่ารักเกินไปแล้ว

“อะไรเนี่ย เจ้าของห้องอนุญาตแล้ว” เอย์จิกอดอกแน่นพลางเบะปากลงเป็นเส้นโค้ง ไม่ใช่เพราะอยากร้องไห้แต่เป็นความหมั่นไส้ส่วนตัวมากกว่า ก็เขาถึงขนาดเสียสละยอมถอยเพื่อให้พี่ชายตัวเองจีบผมนี่นา คนดีศรีสังคมจริงๆ เลย

“พี่เป็นเจ้าของบ้าน ถ้าเรื่องมากก็ออกไปนอนข้างนอก” คนโตกว่าใช้สิทธิ์ที่ตัวเองมีอย่างเต็มที่จนผมเกือบหลุดหัวเราะกับนิสัยเด็กของเขา แม้กระทั่งน้องตัวเองก็ไม่เว้นเนอะ

“ไอ้คนขี้หวง!” นี่ก็ด่าไม่เกรงใจเลยว่าน้ำลายมันกระเด็นใส่หน้าผมเนี่ย โหย รู้แบบนี้ยอมหนีไปอาบน้ำตั้งแต่เข้าบ้านมาจะดีกว่า

“หึ เออ ยอมรับ” พี่ยูไม่ปฏิเสธแถมเปลี่ยนจากจับไหล่เป็นกอดรอบคอของผมแทนที่มากกว่านั้นคือเกยคางบนหัวด้วย จะให้รู้สึกอะไรนอกจากนั่งเกร็งเพราะเขินล่ะวะ อย่าถามเลยว่าเรื่องของไอ้ทอยยังอยู่ในหัวไหม มันกระจายไปตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ก็คุณพ่อลูกติดเขาเล่นหยอดไม่สนเวลาเลยนี่

เอย์จิทำท่าฮึดฮัดแล้วสะบัดบ๊อบหนีพี่ยู ปากนี่ยู่จนจะถึงปลายจมูกอยู่แล้ว คนขี้งอนกับคนขี้แกล้งอยู่ด้วยกันก็มีแต่ความบรรลัย แต่ผมซึ่งเป็นคนกลางก็ยังคงต้องรับหน้าที่เคลียร์ปัญหาเหมือนเดิม เฮ้อ ไม่ฟินแล้วปวดหัวชะมัด

“พี่ยูจะให้เอย์จินอนที่ไหนครับ?” ผมถามในขณะที่ขยับตัวเป็นเชิงให้เขาคลายกอดลงหน่อย ตอนนี้อยากมองหน้ากันมากกว่า

“โซฟา” เขาตอบก่อนจะผละตัวออกไปเพราะเอย์จิแทบกระโดดงับหัว นี่ถ้าไม่ติดว่ามีโซฟากั้นอยู่คงฟัดกันเละไปแล้ว

“ยุงกัด!” เอย์จิตะโกนเสียงดังจนผมต้องเอามือดันหน้าออกไปไกลๆ แสบหูหมดแล้วเนี่ย ข้างบ้านจะปาขวดใส่หรือเปล่า ชักเสียวสันหลัง

“นอนห้องพี่ก็ได้นี่ครับ” ผมเสนอความคิดเห็นแล้วขยับตัวหันข้างไปพูดกับเขาให้เป็นเรื่องเป็นราว พี่ยูส่ายหัวทันควันก่อนจะเบ้ปากใส่เอย์จิที่ตอนนี้ยังกอดอกอยู่เหมือนเดิม

“ไม่เอา มันนอนดิ้น เดี๋ยวตื่นมาเท้าจะอยู่บนหัว”

“งั้นผมนอนโซฟาเอง เอย์จิเข้าไปนอนในห้อง”

“ปัณณ์มานอนกับพี่ ให้เอย์จินอนอีกห้อง ตามนี้” พี่ยูเสนอด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตากลับแวววับจนผมรู้สึกหวั่นใจ สาบานว่าเขาไม่ได้คิดอกุศลแค่อยากให้นอนด้วยเฉยๆ น่ะ

“โอ๊ย หมั่นไส้ พ่อค้าค้ากำไรเกินควรสุดๆ” เอย์จิบุ้ยปากใส่พวกเราก่อนเอ่ยแซวซึ่งทำให้ผมแก้มร้อนจนต้องลุกหนีไปอีกทาง ไปอาบน้ำดีกว่าเผื่อร่างกายจะเย็นลงบ้าง

ผมออกมาจากห้องน้ำในชุดกางเกงนอนขายาวกับเสื้อยืดสีขาว ผ้าขนหนูผืนเล็กแปะลงบนหัวก่อนออกแรงขยี้เพื่อซับน้ำ ตอนนี้ห้องนั่งเล่นว่างเปล่าคาดว่าคนอื่นๆ คงเข้านอนกันหมดแล้ว สรุปวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นกันสินะ เอาเถอะ ตื่นเช้าค่อยจัดเต็มแล้วกัน

เสียงเคาะประตูเป็นการให้สัญญาณว่าผมกำลังจะเข้าไปด้านใน ยืนรอการตอบรับจากอีกฝ่ายแต่ทุกอย่างก็เงียบกริบเลยตัดสินใจเปิดเข้าไปแล้วสอดส่ายสายตาหาพี่ยู พบว่าเขานอนแผ่อยู่ที่เตียงฝั่งซ้ายมีเพียงแค่กางเกงวอร์มติดตัวชิ้นเดียว นี่ปัณณ์ต้องข่มอารมณ์แค่ไหนวะ ปูฟูกบนพื้นยังดีกว่าอีก

เจ้าของห้องเข้าสู่ห่วงนิทราเรียบร้อยแล้วเนื่องจากลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดี ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างเตียงพลางมองใบหน้ายามหลับของพี่ยู ขนตาเรียงเป็นแพสวย สันจมูกโด่ง ริมฝีปากรูปกระจับ สันกรามที่ชัดเจน รวมกันแล้วทำให้เขาดูดีไม่มีที่ติจนหนุ่มสาวแทบทุกเพศทุกวัยให้ความสนใจ

เมื่อก่อนที่ผมเห็นเขาใกล้ชิดกับลูกค้ามากเกินพอดีจะรู้สึกหงุดหงิดจนอยากกระชากตัวออกมาจากตรงนั้นทั้งที่ความเป็นจริงทำได้แค่ฮึดฮัดมองดูสถานการณ์เงียบๆ แต่ในปัจจุบันนี้คงได้สิทธิ์หึงหวงมาครองแล้ว ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตทำอะไรบางอย่างหน่อยคงไม่ว่ากันเนอะ

“ผมขอลบรอยจูบหน่อยนะครับพี่ยู” จบประโยคนั้นริมฝีปากของผมก็เคลื่อนเข้าไปประกบตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าเนิ่นนานจนพอใจโดยไม่รุกล้ำไปมากกว่านี้ ปล่อยความรู้สึกหดหู่ เสียใจให้ไหลไปกับอากาศก่อนจะผละตัวออกมาคลี่ยิ้มบาง

เอาล่ะ ผมควรเข้านอนได้สักที พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน

แสงแดดยามเช้าพร้อมกับเสียงนกในสวนร้องปลุกในผมลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย ป่ายมือไปด้านข้างก็พบเพียงความว่างเปล่าก็พอจะเดาได้ว่าพี่ยูคงออกหนีไปออกกำลังกายแล้วหลังจากที่ร้างรามานาน ครั้นอยากล้มตัวลงนอนกลับโดนเสียงท้องร้องฉุดรั้งไว้ เอาวะ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเริ่มทำอาหารกันดีกว่า

ผมจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้วหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาเช็คดูว่ามีใครติดต่อมาหรือเปล่าก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูห้อง มือเรียวเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วเปิดมันออก

“เหี้ย!” ผมตะโกนด้วยความตกใจเมื่อเจอสิ่งมีชีวิตยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอน เกือบขว้างโทรศัพท์ใส่แล้วไหมล่ะเอย์จิ!

“ไหนเหี้ย นี่เราเอง!” คนโดนด่ารีบโวยวายกลับด้วยสีหน้าแตกตื่นไม่แพ้กัน ผมเบ้ปากก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ ถ้าเป็นเวลากลางคืนแล้วต้องมาเจอเหตุการณ์นี้คงง้างเท้าถีบเอย์จิกระเด็นไปแล้ว

“มายืนทำอะไรหน้าห้องเนี่ย?” ผมหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วมองหน้าอีกคนเพื่อเค้นคำตอบ เอนตัวพิงกรอบประตูไว้เพราะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมานิดหน่อยเนื่องจากเมื่อคืนนอนดึกเอาแต่กังวลเรื่องขโมยจูบพี่ยู กลัวว่าเขาจะรู้ตัวน่ะ

“คือเรา...” จากคนโวยวายกลายเป็นคนอ้ำอึ้งอย่างสมบูรณ์แบบแถมหลบสายตากันอีก แบบนี้มันมีพิรุธ หรือจะมาประกาศตัวแย่งพี่ยูจีบผมจริงๆ วะ ไม่อยากให้เกิดสงครามภายในครอบครัวเลย

“ว่า?”

“ไปคุยกันที่โซฟานะ” เอย์จิพูดจบก็สะบัดก้นเดินไปนั่งที่โซฟาเฉยเลย ไอ้ผมที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวก่อนจะขยับตัวออกจากห้องแล้วปิดประตูเพื่อทำตามที่อีกคนต้องการ

“มีอะไร?” เมื่อก้นสัมผัสกับโซฟาก็เอ่ยปากถามทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลาเตรียมอาหารเช้า กลัวพี่ยูจะกลับมาซะก่อน เอาง่ายๆ คือเป็นห่วงเรื่องปากท้องของเขานั่นล่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องออกไปลุยงานกันต่อแล้ว

เอย์จิเหลือบมองผมครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปเพื่อเม้มปากเข้าหากัน มือไม้ดูเกะกะเพราะเขาจับตรงนั้นทีตรงนี้ทีเหมือนทำอะไรไม่ถูก ถ้าให้เดาเรื่องที่กำลังจะพูดต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนแน่ๆ

“คือ... เมื่อคืนเรานอนไม่หลับ”

“หืม ทำไม?”

“คิดมากทั้งคืนเลยว่ะ” คนอย่างเอย์จิเนี่ยนะคิดมาก โคตรเซอร์ไพร์สเลย เห็นปกติทำตัวสบายๆ ตลอด อย่างเรื่องที่ผมชอบพี่ยูเนี่ย ชิวสุด ไม่มีท่าทีตกใจด้วยซ้ำ

“เรื่องเรากับทอยน่ะเหรอ?” จะว่าเดาก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะเมื่อคืนได้ยินเสียงเอย์จิพึมพำเรื่องนี้อยู่ในห้องนอน

“อื้ม” เขาพยักหน้ารับแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ตามด้วยการยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้า ดูยังไงก็คิดว่าเอย์จิกังวลเรื่องนี้มากกว่าผมซะอีก โธ่ พ่อคนดี

“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราคิดว่ามันคงจบแล้วล่ะ ถ้าเป็นเพื่อนกันไม่ได้จริงๆ ก็ช่างเถอะ” ไม่ใช่ว่าผมไม่แคร์ แต่เพราะว่าแคร์มากเลยทำอะไรไม่ได้ต่างหาก สู้ทำใจแล้วปล่อยวางซะดีกว่า ถ้าหาวันหนึ่งที่ไอ้ทอยเห็นคำว่ามิตรภาพสำคัญก็คงกลับมาเอง

“ไม่ใช่... เราอยากขอเบอร์โทรอะ”

เดี๋ยวสิ เอย์จิพูดเรื่องอะไรวะ แล้วทำไมต้องหน้าแดง!

“ห๊ะ?” ผมนี่ร้องเสียงหลงพร้อมขมวดคิ้วเลยเถอะ มึนหนักกว่าตอนที่โดนไอ้ทอยจูบอีก

“เราสนใจทอย” เสียงอ้อมแอ้มที่ตอบกลับมาทำให้ผมรู้สึกหน้าตึงขึ้นมา ไม่ได้หวงเพื่อนแต่ไม่เข้าใจว่าเอย์จิประทับใจอะไรในตัวไอ้ทอย ก็เมื่อคืนเขาเถียงกันจะเป็นจะตายไม่ใช่เหรอ หรือคนญี่ปุ่นซาดิสม์...

“หมายความว่ายังไง?” อันนี้ไม่ได้แกล้งโง่แต่อยากยืนยันอีกครั้งว่าเอย์จิไม่ได้พูดอะไรผิด

“เราจะจีบทอย แต่อย่าบอกพี่ยูนะ” เอย์จิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแถมมีแววตามุ่งมั่นจนผมไม่กล้าถามเหตุผลอื่นใด เอาเป็นว่าเขาชอบไอ้ทอยก็พอแล้ว

“แน่ใจแล้วเหรอเอย์จิ?”

“เออน่า เชื่อมือเราว่าปัณณ์จะได้เพื่อนสนิทคืนมาแถมตำแหน่งน้องเขยอีกด้วย!” พูดจบก็ฉีกยิ้มให้ผมจนหน้าบาน เกือบหลุดหัวเราะอยู่แล้วเชียว กล้าประกาศตัวว่าจะเอาไอ้ทอยมาเป็นเชียว แต่ก็ดีที่มีจุดหมาย ไม่เหมือนคู่ของเราที่ไม่รู้เลยว่าใครจะรุกหรือรับ ถ้าว่ากันตามลักษณะทางกายภาพของร่างกายแล้วนั้นพี่ยูได้เปรียบแน่นอน

“โอเค เราเอาใจช่วย” ผมเอื้อมมือไปตบบ่าเอย์จิให้กำลังใจแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์โทรติดต่อของไอ้ทอย หลังจากนี้ก็ได้แต่หวังว่าความรู้สึกและหัวใจของทุกคนจะอยู่ในสภาพที่ดี มีความสุข

ผมเตรียมมื้อเช้าไว้สำหรับสามคนก่อนปลีกตัวไปอาบน้ำ กลับออกมาก็เห็นพี่ยูนั่งอยู่ปลายเตียงในสภาพพร้อมไปทำงานแล้ว เขาจะทำทุกอย่างไว้กินไปแล้ว

“ปัณณ์”

“ครับพี่” ผมขานรับในขณะที่กำลังเช็ดหัวให้แห้ง ไม่อยากใช่ไดร์เพราะมันเสียงดังรบกวนคนอื่นในบ้าน

“วันนี้จะพักผ่อนอยู่บ้านก็ได้นะ” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งยิ้มละมุนมาให้กัน ผมอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะ หยุดมือพลางก้าวขายาวๆ เข้าไปหาอีกคน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไปทำงานด้วยกันนี่ล่ะ ผมชิวๆ น่า” บอกเขาจบก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องเพื่อไปจัดการมื้อเช้าซึ่งเป็นแซนวิซแฮมชีสกับนมจืดแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อโดนมืออุ่นๆ รั้งไหล่ไว้

“เสียใจมากไหม?” คำถามที่มาพร้อมอ้อมกอดอุ่นจากทางด้านหลังนั้นช่างมีอานุภาพชวนให้ใจเต้นแรงและส่งผลไปจนถึงพวงแก้มสีระเรื่อ ผมเม้มปากกลั้นยิ้มพลางส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ เสียใจก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องมันดีขึ้นมา สู้ปล่อยวางแล้วเดินหน้ากันดีกว่า

“ก็... ชินชาไปแล้วล่ะครับ”

“กอดพี่ไหม? เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น” ถามทั้งที่เขาก็กอดผมอยู่เนี่ยนะ บ้าจริง ใครกันแน่ที่เป็นคนเสียใจจนเบลอขนาดนี้

“ไม่เอาครับ แค่นี้พี่ก็แต๊ะอั๋งผมไปเยอะแล้ว”

“โห รู้ทันแบบนี้พี่ก็แย่สิครับ” ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก สำนึกสิครับไม่ใช่เอาคางมาถูไถบนไหล่ให้ยิ่งรู้สึกเขินมากขึ้น แม่ง ถ้ารู้ว่าพี่ยูเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ผมจะไม่ให้เข้าใกล้ในระยะห้าเมตรเลย!

“ผมไม่หลงกลพี่ง่ายๆ หรอกครับ” ปากบอกแบบนั้นแต่ไอ้ที่ยืนนิ่งเป็นเสาให้เขากอดคืออะไรวะปัณณ์ ทำไมย้อนแย้งขนาดนี้หืม แต่ก็เอาเถอะ มีความสุขกับสิ่งไหนก็ทำต่อไป เฮ้อ อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าคนวัยทองอีกมั้งกู เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

“ห่อเหี่ยวจัง เฮ้อ” พี่ยูผละออกไปแล้วแกล้งทำหน้าเศร้า ผมที่หันไปเห็นพอดีถึงกับรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ เสแสร้งจริง!

“บ่นอะไรครับ รีบไปกันเถอะ จะสายแล้ว” ผมจบบทสนทนาของเราไว้แค่นั้นเพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีความสามารถพอจะต้านทานความเจ้าเล่ห์เพทุบายของพี่ยูได้เลย ขืนยังคุยกันต่ออีกสองสามประโยคบางที่ปากอาจประกบปากก็เป็นได้

ผมเชื่อว่าอีกไม่นานกำแพงของตัวเองต้องพังไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน ก็พี่ยูเล่นใช้รถเครนมารื้อถอนรากถอนโคนขนาดนี้ ไอ้คนขี้โกง!




-------------------------------------------


ปัณณ์ลูกกกก ไปขโมยจูบพี่ยูมันทำไม ฮื้อ
เอย์จิเขาจะรุกทอยแล้วหนา -..-

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจน้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อยากรู้ว่าเอย์จิจะจีบทอยแบบไหนเนี่ย :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ skykick

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่ยูนี่หยอดได้หยอดดี เปลียนมาขายทองหยอดตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ 555

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เอย์จิจะจีบทอย แอร๊ยยยย  :-[

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 12 : ไข่ม้วน
Yuuki’ s Part



ปัณณ์คงลืมไปว่าผมรู้สึกตัวง่ายแม้แต่เสียงโทรศัพท์สั่นยังตื่น แล้วไม่คิดว่าการมีอะไรนุ่มๆ มาแตะบนริมฝีปากนั้นรู้สึกยังไงบ้าง... ก็แทบหยุดหายใจน่ะสิ พยายามบังคับอารมณ์แทบตายเพื่อไม่ให้จูบตอบเขาน่ะ เกร็งทรมานยิ่งกว่าโดนผีอำอีก

เพิ่งตะหนักว่าจูบกับผู้ชายก็ไม่ได้แย่แถมยังรู้สึกดีอีกต่างหาก เอ... แต่ต้องบอกว่าจูบกับคนที่ชอบถึงจะถูกสินะ สมองยังจำได้ทั้งสัมผัสและกลิ่นพีชอ่อนๆ ของลิปมันจากเขา ปัณณ์ทำให้ผมนอนไม่หลับจนถึงเช้า

เมื่อแสงตะวันแรกของวันโผล่พ้นขอบฟ้าผมรีบลุกจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย ก่อนจะออกจากห้องก็หันไปมองตัวต้นเหตุที่ยังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข สนุกนักหรือไงที่ทำให้คนอื่นรู้สึกปั่นป่วนแบบนี้

ผมวิ่งไปตามถนนคอนกรีตพลางคิดถึงเรื่องของปัณณ์กับทอย ต่างคนต่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน เข้าใจว่าความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนแถมยังไม่สามารถบังคับกันได้ ตอนนั้นคนที่ได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์ต้องพยายามระงับอารมณ์โมโหที่น้องโดนจูบ กดความอยากรู้อยากเห็นไว้ข้างในเพื่อรออีกฝ่ายพร้อมจะพูดเอง เชื่อว่าการอดทนได้ผลที่ดีเสมอ

กลับมาถึงบ้านก็เจอเอย์จินอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาเล่นโทรศัพท์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง ผมเดินเข้าไปหาก่อนจะเอื้อมมือไปเขกหัวมัน ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้ เดี๋ยวก็สายตาเสียพอดี อยากใส่แว่นหรือยังไง

“เคาะหัวทำไมเนี่ย?” เอย์จิลดโทรศัพท์ลงแล้วเหลือกตามองผมที่ยื่นค้ำหัวกันอยู่ ท่าทางฮึดฮัดทำให้รู้สึกหมั่นไส้จนเอื้อมมือตรงไปเคาะหัวน้องอีกครั้ง สะใจว่ะ

“ถ้าจะเล่นโทรศัพท์ก็ลุกขึ้นนั่งดีๆ”

“ขี้บ่นยิ่งกว่าพ่ออีก” คนโดนดุบุ้ยปากใส่แต่ก็ยอมลุกขึ้นนั่งดีๆ โทรศัพท์ในมือถูกยกขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือก ตกลงมีอะไรกับเครื่องสี่เหลี่ยมนั่นนักหนา ทำหน้าอยากกับอกหักหรือโดนคู่นอนคนปัจจุบันทิ้ง

“ไม่เถียงสักเรื่องได้ไหม? ที่เตือนเพราะเป็นห่วง” ผมเอื้อมมือไปยีหัวน้องจนยุ่งเหยิง เจ้าตัวค้อนขวับแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องยอมให้สัมผัสแต่โดยดี เอย์เลิกสนใจกันพลางเบนสายตากลับสู่หน้าจอแชทที่ยังนิ่งเงียบไร้การตอบกลับ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันเห็นมันทำหน้าเศร้าขนาดนี้มาก่อน

“รู้แล้วครับๆ นี่ไปวิ่งมาเหรอ?” ถามทั้งที่สายตาไม่ยอมละจากโทรศัพท์ ผมผละมือออกก่อนจะเดิมอ้อมไปทิ้งตัวนั่งลงข้างเอย์จิ ไม่ได้ตอบคำถามในทันทีเพราะความรู้สึกที่ถูกขโมยจูบย้อนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ความคิดมากมายตีรวนตั้งแต่เมื่อคืน ตกลงว่าตอนนี้จีบปัณณ์ติดหรือยังวะ

คงเพราะว่าปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่นานเอย์จิเลยหันมาขมวดคิ้วใส่เป็นเชิงถามย้ำ ผมพยักหน้ารับก่อนหลุบสายตาลงมองพื้น ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งโตเป็นหนุ่มไม่ประสีประสาเรื่องความรัก ไม่มั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำลงไปกับปัณณ์นั้นได้ผลบ้างหรือเปล่า อยากถามแต่ลึกๆ ก็กลัวคำตอบ ถึงจะมีเรื่องจูบเข้ามาให้เข้าข้างตัวเองบ้างก็เถอะ

“อืม”

“อ่าฮะ ถ้าพี่จะอาบน้ำก็ใช้ห้องด้านนอกนะ” น้องตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำด้านนอก ผมมองตามพลางขมวดคิ้วอย่างงุนงง ทำไมต้องข้างนอก ข้างในสวมตันหรือยังไง

“ทำไม?” ผมถามพลางลุกขึ้นบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยล้า ไม่ได้ออกแรงวิ่งซะนานคืนนี้คงนอนตายแน่ๆ โธ่ ไม่น่าตื่นเต้นเรื่องที่ปัณณ์ขโมยจูบเลย ทำตัวอย่างกับเด็กหนุ่มเพิ่งมีความรักไปได้ไอ้ยูกิ มึงจะสี่สิบอยู่แล้ว!

“ปัณณ์อาบน้ำอยู่อะ” คำตอบนั้นทำให้ผมชะงักกึก สมองพาลคิดไปถึงอะไรต่อมิอะไรใต้ร่มผ้า มันจะขาวและเนียนแค่ไหนกันวะ แก่แล้วไม่น่าฟุ้งซ่านขนาดนี้เลยให้ตาย

“อ๋อ โอเค”

สุดท้ายผมก็หอบเสื้อผ้าออกมาอาบน้ำด้านนอกจนได้แต่พอเสร็จก็กลับไปนั่งบนเตียงเพื่อรออีกคน ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้แต่ก็อยากเห็นหน้า อยากคุย อยากเห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ฝืนแบบเมื่อคืน เอาง่ายๆ คือเป็นห่วงความรู้สึกของเขาหลังจากโดนเพื่อนหักหลังนี่ล่ะ ไม่รู้ใจพังไปเท่าไหร่แล้ว

ปัณณ์เปิดตูห้องน้ำออกมาในสภาพที่มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหัว เขาดูตกใจที่เห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้แต่ก็ส่งรอยยิ้มบางๆ มาให้กัน ทุกอย่างเหมือนปกติแต่มันไม่ใช่ บรรยากาศรอบตัวเขาอึมครึมมาก

“ปัณณ์”

“ครับพี่”

“วันนี้จะพักผ่อนอยู่บ้านก็ได้นะ” ในที่สุดผมก็ยั้งปากตัวเองให้พูดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ คงเพราะสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ปัณณ์พยายามซ่อนทุกอย่างไว้ภายใต้ท่าทางร่าเริงและรอยยิ้ม อยากให้ระบายหรือร้องไห้มากกว่า

ปัณณ์เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะคลี่ยิ้มตามแบบฉบับของเขาแล้วบอกว่าเรื่องนี้ชิวๆ ทำงานได้สบาย ผมพยักหน้ารับไม่เซ้าซี้ให้มากความ ถ้าปิดบังความรู้สึกกันแล้วตาแดงขนาดนี้ เขาไม่พูดก็จะถามเอง

“เสียใจมากไหม?” หลังจบประโยคก็เกิดเดตแอร์ครู่หนึ่งแต่ไม่นานเกินรอปัณณ์ก็ตอบกลับมาด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ว่าชินไปซะแล้ว ผมเลยเข้าไปกอดจากด้านหลังเพื่อต้องการปลอบประโลม พูดหยอกล้อให้เขาหัวเราะ ไม่ได้ตั้งใจจะแต๊ะอั๋งหรอกเชื่อกันหน่อยสิ

วันนี้ก็เป็นเหมือนปกติที่ลูกค้าจะแน่นในช่วงเวลาเที่ยงและยังคงมีการแอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมากหน่อยก็กล้องถ่ายรูป ผมชินกับเหตุการณ์แบบนี้แต่ดูเหมือนกับปัณณ์จะไม่ชอบสังเกตได้จากน้ำเสียงและใบหน้าที่เปลี่ยนทันทีเมื่อพวกเธอทำแบบนั้น ช่วยไม่ได้นะ ร้านเราขายอาหารไม่ได้ขายเด็กเสิร์ฟสักหน่อย เริ่มรู้สึกหวงขึ้นมาแล้วสิ

ผมมองภาพปัณณ์หน้าบึ้งกำลังรับออเดอร์อาหารอยู่มุมหนึ่งของร้าน ลูกค้าสาวสวยวัยมหา’ลัยร่วมห้าคนถามนั่นถามนี่ไปเรื่อย ชื่อ ไลน์ เบอร์โทร หนักสุดคงเป็นมีแฟนหรือยัง อยากตะโกนตอบแทนเหลือเกินว่ายืนหัวโด่อยู่หลังเค้าน์เตอร์นี่ (ขอโมเมหน่อย) แต่ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วทำไข่ม้วนต่อ

ในขณะที่ผมเทไข่ลงในกระทะทรงสี่เหลี่ยมเป็นครั้งที่ห้านั้นเคียวก็เดินมาส่งออเดอร์ที่หน้าเค้าน์เตอร์ ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แต่เขาก็ยังยืนที่เดิมเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด (ดีหน่อยที่วันนี้ริวไม่ได้มาที่ร้านเพราะยังติดลมเล่นกับน้องเรนลูกของเคียว)

“มีอะไร?” ผมถามก่อนจะละสายตากลับไปม้วนไข่ในกระทะแล้วเทส่วนที่เหลือลงไปอีกรอบ เคียวได้โอกาสเลยกระโดนขึ้นนั่งบนเก้าอี้บาร์พลางเท้าแขนมองกัน อยากบอกมันว่าทำแบบนี้ชวนขนลุกฉิบหาย

“ไม่หวงปัณณ์บ้างเหรอไง เดี๋ยวนี้สาวๆ ถ่ายรูปน้องไปลงทวิตเตอร์เยอะเลยนะ แท็กเด็กเสิร์ฟหล่อบอกต่อด้วยอะไรนั่นน่ะ” เคียวพูดอะไรยาวยืดที่จับใจความได้แค่ว่าไม่หวงปัณณ์เหรอ มาชวนคุยตอนทำอาหารเดี๋ยวก็ไหม้พอดี ผมไม่ตอบกลับในทันทีแต่จัดการตักไข่ม้วนแท่งยาววางลงบนเขียงแล้วหันออกเป็นชิ้นๆ ตกแต่งจานจนสวยงามก่อนจะยกวางไว้บนเค้าน์เตอร์ เพื่อส่งให้อีกคนยกไปเสิร์ฟ

“นี่คุยด้วยอยู่นะยูกิ” เคียวย้ำอีกครั้งทำให้ผมต้องละมือจากกระดาษจดออเดอร์แผ่นปัจจุบันแล้วจ้องหน้ามันพลางขมวดคิ้ว ตกลงว่าจะไม่เอาไข่ม้วนไปเสิร์ฟให้ลูกค้าใช่ไหม แล้วปัณณ์น่ะทำไมยืนอยู่ที่เดิมนานจังวะ

“กูได้ยินแล้ว แต่ตอนนี้มึงควรยกจานนี่ไปเสิร์ฟลูกค้าสักที” ผมเลื่อนจานไปตรงหน้าเคียวแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะของลูกค้า เคียวถอนหายใจใส่แล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ ท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจไม่มีผิด สงสัยติดนิสัยน้องเรนมาแน่ๆ

“จีบน้องแต่ดันยืนมองน้องโดนจีบ สงสัยจะได้กินแห้ว” เคียวพึมพำกับตัวเองแต่ผมดันหูดีได้ยินเลยยื่นมือไปผลักหัวคนปากเสีย มันแทบจะเหวี่ยงจานไข่ม้วนใส่ มึงช่วยสำนึกหน่อยว่ากูมีศักดิ์เป็นพี่

“จะให้กูเข้าไปลากคอเสื้อปัณณ์ออกมาหรือไง” ผมบอกเสียงเรียบก่อนจะมองไปทางปัณณ์ที่ตอนนี้หน้าหงิกลงกว่าเดิมสักสองเท่าแต่ลูกค้าดันไม่รู้ยังเพราะพวกเธอยังคงประวิงเวลาเพื่อยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปอยู่ คนอย่างยูกิทำอะไรไม่ได้นอกจากลอบถอนหายใจ ขืนทำตามที่พูดร้านคงโดนด่าลงโซเชี่ยลแน่นอน

“แสดงท่าทีหวงบ้างก็ได้” เคียวเหล่มองเหมือนไม่เชื่อว่าผมกำลังจีบปัณณ์อยู่จริงๆ ก็เข้าใจที่ระแวงเพราะตั้งแต่เล็กจนโตก็ชวนกันดูสาวสวยอยู่ตลอด แต่เวลาเปลี่ยนใจคนก็เปลี่ยนได้ อีกอย่างคือมันออกอาการห่วงน้องมากจนน่าหมั่นไส้ ตกลงว่าอยู่ข้างใครกันแน่วะ มึงเป็นญาติใคร!

“ที่กูนิ่งไม่ได้แปลว่ากูไม่สนใจหรือเปล่า มึงนี่มันวุ่นวายจริงๆ” ผมบ่นก่อนจะละสายตากลับมาอ่านออเดอร์ที่ต้องทำอีกครั้ง มัวแต่คุยกับมันเสียเวลาไปมากแล้ว เผลอๆ ลูกค้าจะกินหัวเอา แล้วดูเมนูสิ โอโคโนมิยากิ เวรเอ๊ย ต้องวิ่งเข้าครัวอีก อดสอดส่องดูแลปัณณ์เลยไง

“เมื่อไหร่หมาคาบไปแดกกูจะหัวเราะให้” ไอ้นี่ยังไม่จบ ขนาดยกจานไข่ม้วนเดินไปตั้งหลายก้าวยังหันมาเยาะเย้ยกันได้อีก เดี๋ยวไล่ออกจากงานแม่งเลย

กว่าจะถึงเวลาปิดร้านผมก็แทบคลานออกจากครัว วันนี้สาหัสจริงๆ เพราะคนเยอะกว่าทุกวันทั้งที่ฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายส่งผลให้ตอนนี้ต้องมานั่งรอมันหยุดตกเพราะไม่มีร่ม บรรยากาศเหมาะแก่การนอนบนเตียงนุ่มๆ ห่มผ้าหนาๆ กอดใครสักคนเพิ่มความอบอุ่น แค่คิดก็ฟินจนเผลอเหลือบมองปัณณ์ เขาซบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วฮัมเพลงงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว ดูมีความสุขต่างจากเมื่อเช้าลิบลับ

“พี่ยูครับ” เสียงเรียกที่มาพร้อมกับใบหน้าของปัณณ์ที่สลับหันมาด้านนี้ทำให้ผมต้องรีบเบนสายตาหนีทำเป็นสนใจสายฝนด้านนอกร้าน หัวใจเต้นรัวเร็วกลัวว่าเขาจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองมานาน

“ครับ” ผมตอบรับทั้งที่ยังคงจ้องตรงไปด้านหน้าตาแทบไม่กระพริบ พยายามปรับจังหวะการหายใจให้เป็นปกติ ต้องสงบนิ่งให้มากกว่านี้เดี๋ยวปัณณ์จะหาว่ารีบร้อนรวบหัวรวบหางเขาเกินไป แค่หยอดเขาทุกเวลาที่มีโอกาสก็โดนดุตลอด

“ถ้าให้เลือกระหว่างทะเลกับภูเขา ชอบที่ไหนมากกว่ากันครับ?”

“.....” ผมส่ายหน้า ทำให้ปัณณ์ขมวดคิ้วยุ่ง ที่จริงแล้วคำตอบคือทะเล แต่ตอนนี้อยากหาเรื่องหยอดเขามากกว่า

“พี่ชอบเรามากกว่า”

“พี่ยู...” ปัณณ์ครางเสียงเบาก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ กลายเป็นสีแดง เขาเม้มปากแน่นไม่ยอมมองกันเหมือนเมื่อครู่ ผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าน่ารักเต็มหัวไปหมด ถ้าจับฟัดได้คงทำไปแล้ว

“จะชวนไปเที่ยวเหรอครับ?” เห็นปัณณ์แทบเอาหน้ามุดโต๊ะผมก็เลยชวนคุยทำนองอื่นเพราะไม่อยากโดนหาว่าหยอดไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่ถ้ายอมตามใจตัวเองคงหาวิธีทำให้เขาเขินหนักกว่านี่แน่ ชอบแก้มแดงๆ นั่น ชอบแววตาสั่นไหวที่มองมา

“อะ อะไรครับ แค่ถามเฉยๆ” ปัณณ์ตอบเสียงตะกุกตะกักก่อนจะเฉไฉทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตั้งทิ้งไว้โดยไม่สนใจด้วยซ้ำ เวลาเขินแล้วกลบเกลื่อนน่าแกล้งชะมัด

“อ้าวเหรอ? นึกว่าอยากไปเดทนอกสถานที่กับพี่” ผมยิ้มกริ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวังจะให้เขามุดหน้าหายไปกับโต๊ะแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือดวงตาดุๆ และฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาดันหน้าผาก นี่ถ้าอายุไล่กันคงโดนตบหัวไปแล้ว

“พี่ควรเป็นฝ่ายชวนผมปะ?” โดนเลยครับ โธ่ อยากเป็นคนโดนจีบบ้างได้ปะ

“นั่นสินะ ก็พี่มันเป็นคนจีบนี่เนอะ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกทางแล้วแอบยิ้มให้กับความน่ารักของเขา ทำหน้าดุแต่แก้มแดงขนาดนั้นให้คิดว่ายังไงดีล่ะ

“ใช่ครับ พี่จีบผม” น้องย้ำเสียงดุ ขยับตัวยุกยิกอยู่ข้างๆ กัน

“งั้นถ้าพี่ชวนไปเที่ยวก็จะตกลงใช่ไหม?” ผมหันกลับไปถามดูน้องจะตกใจมากแต่สุดท้ายก็ควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ปัณณ์ไหวไหล่ก่อนยกมือขึ้นเท้าคางมองเหม่อไร้จุดหมาย ปล่อยให้คนแก่ลุ้นคำตอบนานแบบนี้น่าตีจริงๆ เลย

“ไม่รู้สิครับ รอให้ถึงเวลานั้นผมถึงจะตอบ” ปัณณ์คลี่ยิ้มไม่มีท่าทีว่าจะหันมาสนใจคนแก่คอตกข้างๆ เลยสักนิด แต่ผมมั่นใจว่าความรู้สึกระหว่างเรากำลังพัฒนาอย่างแน่นอน ยืนยันได้จากจูบเมื่อคืนถึงแม้ว่ามันเป็นแค่การล้างรอยก็เท่านั้น

“ว้า ไม่เห็นหนทางจะจีบติดเลย แย่จัง” ผมแกล้งบ่นไปอย่างนั้นล่ะ เพื่อเด็กน้อยจะยอมใจอ่อนเร็วๆ นี้

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้” อ้าว หันมาแยกเขี้ยวใส่ซะอย่างนั้น แต่ก็น่ารักจนผมเผลอเอื้อมมือไปหยิกแก้ม ปัณณ์สะดุ้งปัดป่ายการสัมผัสยกใหญ่ โธ่ เขินสินะ

“ก็แก่แล้วนี่ครับ จะสี่สิบอยู่แล้ว” อันนี้ไม่ได้น้อยใจแต่พูดเรื่องจริง อีกสามปีเท่านั้นก็เข้าหลักสี่แล้ว เฮ้อ ก็ได้แต่ภาวนาว่าปัณณ์คงไม่ไปถูกใจใครที่ไหนก่อนที่ผมจะจีบเขาติด

“ครับๆ เอ้อ ผมลืมบอกว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นจะขอเลิกงานก่อนสักสองชั่วโมง”

“ทำไมครับ?” ผมถามสวนกลับอย่างรวดเร็วพลางขมวดคิ้วมองเขา ปัณณ์ไม่เคยขอลางาน ไม่เคยไปไหนคนเดียวเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แปลก...

“เพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยนัดเจอครับ”

“ที่ไหน?”

“ร้านเหล้าแถวๆ ห้าง xxx ครับ”

“ทอยไปด้วยหรือเปล่า?” ผมไม่ได้หวงปัณณ์ แต่ที่ถามเพราะกลัวว่าเขาจะอึดอัดเวลาต้องเจอหน้ากับทอย เรื่องมันจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่และยังเป็นแผลสด

ปัณณ์หันมาคลี่ยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ แววตายังคงเจือไปด้วยความเสียใจซึ่งผมก็ทำได้แค่เอื้อมมือไปแตะไหล่โดยไม่พูดอะไรออกไป สถานการณ์แบบนี้การอยู่ข้างๆ อาจดีกว่าการออกความคิดเห็นเพราะเราไม่ได้รู้จักทอยมากพอ

“ไม่ครับ มันมีไฟล์ทบินคืนนี้”

“ให้พี่ไปส่งไหม? ถ้าขากลับเมาก็ไม่ต้องขับรถ” ผมเสนอด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ว่าน้องเป็นคนดื่มหนักจนเมาเละเทะ จำได้ว่าตอนจัดงานแต่งทอยต้องเป็นคนลากเขาไปนอน พอคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหวงขึ้นมาซะเฉยๆ เฮ้อ เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิวะยูกิ

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวให้เพื่อนมารับที่นี่ ขากลับก็ให้มันไปส่ง” ปัณณ์บอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้วเดินไปเกาะกระจกร้านเพื่อสังเกตว่าฝนหยุดตกหรือยัง ท่าทางแบบนั้นคงอยากกลับบ้านแน่นอนแต่ผมยังคุยกับเขาไม่จบเลย

“ให้พี่ทำคะแนนบ้างสิครับ” ผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับพูดประโยคขอร้องนั้น ลอบมองปฏิกิริยาของปัณณ์อยู่ด้านหลังเงียบๆ เห็นน้องชะงักไปในใจก็ลุ้นสารพัดว่าจะได้คำตอบแบบไหนกลับมา รับหรือปฏิเสธ

“แต่มันจะเสียงาน” ปัณณ์ตอบกลับเสียงเขาทำให้ผมต้องขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมเพื่อสังเกตสีหน้าเขาผ่านภาพสะท้อนในกระจก ปากบางที่เม้มเข้าหากันแน่นกับมือที่ขยำชายเสื้อไว้บอกอะไรได้หลายๆ อย่างจนทำให้หัวใจเต้นแรง น้องเขินอีกแล้วว่ะ

“แค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า” คราวนี้ผมไม่ปล่อยให้ความหนาวของสายฝนทำร้ายตัวเองได้โดยการถือวิสาสะกางแขนแล้วโอบรอบลำตัวอีกคนเอาไว้ ได้ยินเสียงสูดลมหายใจแรงๆ ร่างกายกระตุกเกร็งแต่ไม่มีการปัดป้อง ขอบคุณที่ให้กอดครับคนดี

“ตะ ตามใจครับ” โอย น่ารักฉิบหายเลยเด็กๆ เนี่ย

ปัณณ์รับอาสาขับรถกลับบ้านให้เนื่องจากผมหาวไปหลายรอบแถมยังตาปรือคล้ายคนจะหลับ ระหว่างทางได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ มันช่างหวานและสื่อความหมายของการแอบรักได้อย่างชัดเจนจนเผลอคิดว่าเขาแอบรู้สึกแบบนั้นกับใครบ้างหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมาไม่เคยได้ยินว่าน้องมีแฟนแบบจริงจังเลยสักคน มีแต่คู่นอนผ่านมาก็ผ่านไป

ความคิดวนเวียนอยู่ในสมองมากมายแต่สุดท้ายก็แพ้ความเหนื่อยล้าซึ่งลากผมเข้าสู่ห้วงนิทรา มารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็ตอนที่รถเข้าจอดในรั้วบ้านเรียบร้อย ลืมตาขึ้นก็เจอกับปัณณ์ที่โน้มตัวลงมาช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยให้ในระยะประชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมแนวฟรุตตี้ อยากปั้นๆ เขาแล้วกลืนลงท้องชะมัด

ผมแกล้งขยับตัวจนปลายจมูกแตะเข้ากับแก้มใสตรงหน้าพลางลอบสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด คนโดนแต๊ะอั๋งถึงกับสะดุ้งแล้วผละตัวออกอย่างรวดเร็ว สีหน้าแสดงความตกใจ มือไม้ดูเกะกะไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหน ถ้าให้เปรียบเทียบคงเหมือนกระต่ายตื่นตูม น่ารักน่าแกล้ง

“ตะ ตื่นแล้วเหรอครับ?” ปัณณ์ละล่ำละลักถามแทบไม่เป็นภาษาก่อนจะใช้มือคลำๆ ปลดล็อคประตูรถเพื่อหนีจาเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ผมกลับคว้ามือของเขามากุมไว้แล้ววางลงที่ตำแหน่งหัวใจ ใช้สายตาหวานเยิ้มสบมอง

“ครับ พี่ตื่นแล้ว” ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้เพื่อตอบคำถามนามด้วยส่งรอยยิ้มหวานๆ เป็นการปิดท้ายประโยค ปัณณ์หลบสายตาก่อนพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมแต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายเลยแยกเขี้ยวขู่กันซะอย่างนั้น โธ่ๆ เด็กน้อย ไหนล่ะพ่อเพลย์บอยรักสนุก โดนจีบแค่นี้กลายเป็นคนขี้เขินไปเลย น่าจับฟัดแรงๆ สักที

“จะจับอีกนานไหมครับ? ผมจะลงแล้ว” บุ้ยปากใส่กันแล้วกระชากมือออกอีกครั้งแต่ผมออกแรงรั้งเขาเข้าหาตัวจนในที่สุดเราก็อยู่ในท่ากอดกัน ถึงจะไม่แนบแน่นและรู้สึกเจ็บจากการกระแทกไปบ้างแต่ก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่อุ่นจนอยากคลอเคลียทั้งคืน ถ้าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่จะกอดไม่ยอมปล่อยเลยคอยดู

“พี่ยู!” ปัณณ์ตะโกนอัดหูจนผมต้องเบ้หน้าแต่อย่าหวังว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดมากขึ้น คนอะไรเขินแล้วน่าขย้ำเป็นบ้า

“ชู่ว ~ ไม่เสียงดังสิครับคนดี” ผมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากอีกคนแล้วขยับเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน ปัณณ์เบิกตาโตก่อนผงะถอยหลังจนหัวโขกกับกระจกหน้าต่างด้านหลัง ครั้นจะเข้าไปช่วยบรรเทาความเจ็บก็โดนน้องแยกเขี้ยวใส่ โธ่ อุตส่าห์หวังดี ถ้าจุ๊บกระหม่อมคงหายไวแน่ๆ

“พี่นั่นล่ะ ทำบ้าอะไรอยู่ครับ?” เขาถามเสียงดุพลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนยกมือข้างหนึ่งลูบหลังศีรษะที่โขกเมื่อครู่ ผมไหวไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วขยับนั่งตัวตรงเนื่องจากรู้สึกปวดหลัง อาการบ่งบอกความแก่ฉิบหาย

“ก็แค่อยากกอดปัณณ์” ผมพึมพำแต่กลับมองน้องด้วยสายตากรุ้มกริ่ม จริงๆ จะบอกว่าอยากจูบแต่กลัวโดนถีบ ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกันเดี๋ยวกระต่ายตกใจ

“มันใช่เวลาเหรอครับ ผมง่วงแล้ว” ดูสิ ขนาดเวลาทำหน้าบึ้งยังดูดีเลย นี่ผมกำลังหลงน้องแบบหัวปักหัวปำใช่ไหม แต่มั่นใจว่าไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแน่นอน

“ถ้างั้นเวลาอื่นพี่ก็กอดได้ใช่ไหม?” ผมไม่ได้ถามแต่ปากเพราะใช้ร่างกายเข้าแนบชิดกับเขาอีกครั้งจนโดนกำปั้นหนักๆ ทุบลงบนไหล่ ยอมรับว่าเจ็บแต่ไม่อยากปล่อย ก็น้องเล่นตัวหอมกลิ่นพีชขนาดนี้ (ปกติผมไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมแนวฟรุตตี้หรอก มันรู้สึกแสบจมูก แต่พออยู่บนตัวปัณณ์คือโคตรฟิน)

“นี่! ยังพูดไม่ทันขาดคำเลย ปล่อยครับ ไม่งั้นผมกัดไหล่พี่จริงๆ ด้วย” ปัณณ์ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแต่ผมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แถมออกแรงกระชับมากยิ่งขึ้น โอย นุ่มนิ่ม ชอบมาก

“เป็นหมาเหรอ?” ผมกระซิบถามข้างหูเลยได้ยินเสียงขู่กลับมา หมาจริงๆ ด้วยนั่นล่ะ

“ใช่ ดุด้วย” ปัณณ์ยอมรับก่อนจะกัดลงมาบนไหล่กันจริงๆ แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะเขาออกแรงน้อย ไอ้การกระทำแบบนี้ขอโมเมว่าอยากทำสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของได้หรือเปล่านะ คนแก่ก็มีสิทธิ์จินตนาการ

“พี่ชอบครับ อยากเลี้ยงหมาขึ้นมาแล้วสิ”

“พอเถอะครับ ผมจะตายแล้ว” เสียงของปัณณ์แผ่วจนผมตกใจรีบผละตัวออกแล้วเปลี่ยนเป็นจับไหล่เขาไว้เพื่อดูอาการ

“เฮ้ย พี่กอดแรงไปเหรอ? ขอโทษครับ” ผมมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ไม่เห็นว่ามีตรงไหนน่าจะเจ็บ แค่แก้มแดง... หรือว่าปัณณ์เขิน

“ไม่ใช่... พี่ทำให้ผมใจเต้นแรงเกินไปแล้วต่างหาก” จบประโยคแผ่วๆ นั่นเขาก็หนีลงจากรถไปทันทีปล่อยให้ผมนิ่งค้างเพราะกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ถ้าหากใจเต้นแรงเพราะคำพูดพวกนั้นก็แสดงว่า...

“ปัณณ์... ปัณณ์หวั่นไหวกับพี่แล้วใช่ไหม?!” ผมตะโกนถามพลางรีบเปิดประตูลงจากรถจนเกือบสะดุดขาล้มหน้าคะมำ ความดีใจตีตื้นขึ้นในอก รอยยิ้มบนใบหน้าคลี่ออกกว้างราวกับคนบ้า อีกนิดเดียวคงจะได้ครอบครองความรู้สึกและร่างกายของปัณณ์อย่างสมบูรณ์

ผมวิ่งตามน้องเข้าไปในบ้านแล้วเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยกำลังหยุดคุยกับใครอีกคน น้ำเสียงที่ได้ยินเคร่งเครียดกว่าปกติ ยิ่งใกล้ยิ่งเห็นถึงความผิดปกติบนใบหน้าเอย์จิ

“เฮ้ย เอย์จิทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้น?” ผมรีบปรี่เข้าไปจับน้องชายสำรวจทั่วร่างกายนอกร่มผ้า ใบหน้าของเขามีรอยเขียวช้ำ มุมปากแตก นี่ไปถ่ายแบบหรือไปฟัดกับหมา อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดไม่เห็นเห็นมันในสภาพนี้เลย

“มีเรื่องนิดหน่อยอะ แต่เคลียร์ไปแล้ว ไม่ต้องห่วงครับ” เอย์จิยิ้มแหย่ก่อนจะเดินไปหย่อนก้นลงบนโซฟา ได้ยินเสียงซี๊ดปากเมื่อมือเรียวแตะเข้าที่แผลเลือดซิบ



ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“กับคนในสตูดิโอน่ะเหรอ?” ผมขยับเข้าไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเอย์จิแล้วเลื่อนมือจับปลายคางเพื่อดูรอยแผลอีกครั้ง ส่วนปัณณ์คงหายไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผล

“เปล่าครับ” น้องส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหลุบตาลงมองตักคล้ายคนทำความผิด ผมเม้มปากแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอตวาด เป็นห่วงมันจะแย่ เวลาปกติพูดมากพอตอนนี้กลับกลัวดอกพิกุลจะร่วง น่าตีจริงๆ

“แล้วใครเป็นคนทำ? บอกพี่มา” ผมคาดคั้นเอย์จิด้วยเสียงขรึมแต่สัมผัสที่แตะลงมาบนไหล่ทำให้ต้องหันไปมองด้านหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปัณณ์จะมาขัดจังหวะตอนนี้ไม่ได้นะ โธ่เอ๊ย

“เอ่อ ผมหิวอะ พี่ยูไปทำอะไรให้ผมกินหน่อยได้ไหม? รู้สึกปวดๆ ท้องด้วย” ปัณณ์เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงและสายตาอ้อนๆ ทำให้เกิดความลังเลระหว่างคาดคั้นคำตอบกับทำอาหารเอาใจว่าที่แฟน อย่างไหนดีกว่ากันวะ

“แต่ว่า...”

“นะครับ เดี๋ยวเรื่องเอย์จิผมจัดการเอง” โอ้โห เสียงสองก็มาจนหัวใจผมอ่อนระทวยไปหมด เอาวะ ทำอาหารเอาใจว่าที่แฟนเสร็จค่อยเรียกน้องชายคุยอีกครั้งคงไม่เป็นไร อีกอย่างปัณณ์คงช่วยเคลียร์ปัญหาเบื้องต้นได้ล่ะมั้งก็เล่นพูดขนาดนั้นแล้ว

“เอางั้นก็ได้ครับ” สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ลูกอ้อนของเด็กจนได้ เฮ้อ แย่เลยว่ะ

สรุปว่าเรื่องของเอย์จินั้นทำให้ผมถึงกับต้องนั่งกุมขมับในเช้าวันถัดมาเพราะได้ยินเสียงเขาทะเลาะกับใครบางคนผ่านทางโทรศัพท์ มันไปจูบทอย... ไอ้น้องบ้าคิดยังไงไปจีบเพื่อนปัณณ์ด้วยวิธีแบบนั้น ไม่ใช่อีกฝ่ายจะชอบนะ จะโดนเกลียดเข้าให้น่ะสิ

“คิดว่าทำแบบนั้นจะจีบเขาติดหรือไง?” ผมลากน้องชายมานั่งปรับทัศนคติในสวนก่อนออกไปทำงานโดยมีปัณณ์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างๆ เดี๋ยวจะโดนลงโทษเรื่องทำอะไรไม่ปรึกษา พอถามก็ตอบว่ากลัวพี่ยูด่า เฮ้อ คิดได้ยังไง โตๆ กันแล้ว เรื่องความรักไม่มีใครห้ามหรอกน่า

“ผมไม่เคยจีบใครเหมือนๆ กับพี่นั่นล่ะ ห้ามด่าสิ” เอย์จิเถียงแถมยังทำหน้าบึ้งใส่กันอีก ผมได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเขกหัวน้องชายสุดที่รัก ทำไมชอบยอกย้อนแบบนี้ ไม่เห็นน่ารักเหมือนปัณณ์เลย

“เถียงตลอด ช่วยฟังพี่บ้างครับคุณน้องชาย” มองน้องอย่างเอือมๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนัก ถ้าวันนี้หยุดร้านสักวันจะได้ไหมนะ เริ่มขี้เกียจเพราะอยากใช้เวลาวอแวปัณณ์ก่อนที่เขาจะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนจัง

“ก็มันจริงนี่” น้องชายตัวดีทำปากยื่นปากยาวบ่นเสียงงุ้งงิ้งจนปัณณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่บีบไหล่ปราม ผมเข้าใจว่าคนเรามีวิธีจีบแตกต่างกันไป รุกแรง รุกเบา หรือค่อยๆ ขยับความสัมพันธ์

“เออ แต่พี่ก็ไม่เคยจู่โจมใครแบบนั้น”

“เหรอครับ?” ไม่ใช่เอย์จิแต่เป็นปัณณ์ที่ถามแถมยังเหล่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจ อย่ากล่าวหากันสิ ยูกิคนนี้ไม่เคยจู่โจมจูบเขาแบบนั้นนะ มีแต่อีกฝ่ายนั่นล่ะ... ยังจำความหนุ่มหยุ่นได้ชัดเจนอยู่เลย

“พี่เคยจูบปัณณ์ไหมล่ะครับ มีแต่...” ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่าไม่ควรเอ่ยประโยคต่อไปเลยหยุดไว้แค่นั้น แต่สายตาอยากรู้อยากเห็นของเอย์จิก็ทำให้คันปากใช่เล่น ส่วนคู่กรณีถึงกับหน้าซีดเชียว หึหึ

“อะ อะไรครับ?” ปัณณ์กรอกตามองซ้ายขวาก่อนถามกลับเสียงสั่น สีหน้าเหมือนอยากร้องไห้อยู่รอมร่อ จะแกล้งต่อก็กลัวโดนโกรธเลยส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธและคลี่ยิ้มปิดท้าย

“เปล่าๆ”

“นี่ ถ้าไม่คุยผมจะไปทำงานแล้วนะ” เอย์จิพูดทะลุกลางปล้องแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปกระตุกแขนให้นั่งลงที่เดิม จะรีบหนีไปไหน คุยกันยังไม่รู้เรื่องสักนิด แล้วสภาพแบบนี้ทำงานได้เหรอ หน้าตาเยินเชียว จากรอยเขียวก็กลายเป็นม่วง

“สภาพแบบนี้จะไปทำอะไรได้”

“เข้าไปดูงานในโรงแรมไง” ตอบเสียงสะบัดก่อนจะเบ้ปากใส่กัน ผมละมือออกจากเขาแล้วพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจ เดี๋ยวคุยเสร็จอยากไปทางไหนก็ไป ไม่ห้ามหรอก

“อืม พี่ไม่ได้จะว่าอะไร แต่ขอให้แกปรับเปลี่ยนวิธีจีบเขาหน่อย อย่ารุกแรงเกินความจำเป็น เดี๋ยวโดนต่อยมาอีกไม่คุ้ม” สรุปง่ายๆ คือผมเป็นห่วงน้องก็แค่นั้นแต่ไม่อยากพูดตรงๆ ให้ได้ใจ

“บางทีการเสี่ยงมันอาจจะได้ผลที่คุ้มค่านะ” ที่เอย์จิพูดก็ถูก ผมไม่เถียงแต่ถ้าผลที่ออกมาตรงกันข้ามล่ะ ไม่ต้องมานั่งเจ็บตัวและเสียใจไปพร้อมๆ กันหรอกเหรอ ขึ้นชื่อว่าความรักยังไงก็ต้องมีข้อดีข้อเสียอยู่วันยันค่ำนั่นล่ะ

“เอาเถอะ พี่แค่เป็นห่วงไม่อยากให้แกเจ็บตัว”

“ครับ ผมจะระวังและใจเย็นมากกว่านี้”

“กัมบัตเตะ!” ผมกับปัณณ์พูดพร้อมกันจนเอย์จิเอาแต่หัวเราะและแซวว่าช่างเหมาะสมเหลือเกิน

วันนี้ลูกค้าก็ยังแน่นเหมือนเคยแต่ก็พอรับมือไหวไม่ได้จุกจิกวุ่นวายแบบเมื่อวาน คงอาจเป็นเพราะปัณณ์เลือกเพลงอกหักเจ็บจี๊ดมาร้องช่วงพักเที่ยงทุกคนเลยคิดว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีซึ่งผมก็พอใจให้เป็นแบบนั้น จะได้ไม่ต้องมายืนตีหน้ายักษ์หึงหวงกันอยู่

ผ่านช่วงเวลาแห่งการทำงานเข้าสู่การปิดร้านก่อนเวลาสองชั่วโมง ตอนแรกที่บอกกับเคียวนั้นโดนแซวแทบจะมุดแผ่นดินหนี หาว่าผมเอาใจว่าที่แฟนเหลือเกิน ทั้งรักทั้งหลง ต่อไปคงต้องเข้าสมาคมเกียมัวแน่ๆ โธ่ นั่นมันเรียกว่าดูถูกไม่ใช่หรือไง คนอย่างยูกิไม่มีทางซะหรอก ต้องเป็นพ่อบ้านใจกล้าสิ หึหึ

ปัณณ์ขอกลับไปอาบน้ำที่บ้านซึ่งผมก็ไม่ขัดอะไรแต่พอเห็นเสื้อผ้าและการแต่งตัวของเขาก็อยากให้เสียๆ ซะอย่างนั้น ใครใช่ให้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวปลดกระดุมสองเม็ด กางเกงแบบสกินนี่ขาดเกือบทั้งขา เซ็ตทรงผมเปิดเหม่ง ประโคมต่างหูเท่ๆ ใส่ทุกรูหูที่เจาะทิ้งไว้ ดูแบดบอยและมีเสน่ห์จนไม่อยากให้ใครพบเจอ

แต่ผมจะห้ามอะไรได้ในเมื่อคนทุกคนต้องการพื้นที่ส่วนตัวทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเข้าใกล้จนไม่มีอากาศหายใจ ขยับตัวหน่อยก็ระแวง พูดกับใครหน่อยก็หึงหวง ชอบให้พอดี รักแบบถูกวิธีจะทำให้ความสัมพันธ์ของเรายั่งยืนมากกว่า

“พี่ให้เวลาถึงห้าทุ่ม” ผมบอกคนที่นั่งข้างกันในเวลานี้ขณะที่รถเคลื่อนไปตามเส้นทางมุ่งสู่ร้านเหล้าหรูใจกลางเมือง ปัณณ์หันขวับมามองกันก่อนขมวดคิ้วยุ่ง เบ้ปากใส่เหมือนเด็กโดนขัดใจ

“โห ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ร้านปิดตั้งตีสอง” ปัณณ์บ่นเสียงกระเง้ากระงอด ใช้สายตาจ้องเขม็งคล้ายอยากพุ่งเข้ามางับหัวผมให้ขาด แต่ใครจะสนใจเล่า นี่ยอมให้ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่าให้ถึงขนาดต้องไปนั่งเฝ้าเลย คนมันหวงเข้าใจบ้าง ยิ่งเป็นพวก Sex Appeal สูงอีก น่ากังวลจริงๆ

“แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

“พรุ่งนี้วันหยุดนะ” เสียงอ้อนเชียว ผมรู้ว่าวันหยุด แต่ขอให้ทำกิจกรรมอื่นร่วมกันบ้างสิ ไม่ใช่นอนแฮงค์อยู่บ้าน

“อย่าดื้อสิครับ” ผมดุเขาแต่เสียงอ่อนมากแถมด้วยการเอื้อมมือไปจับมือน้องบีบเบาๆ เป็นเชิงขอร้อง

“พี่ยู...” คราวนี้ปัณณ์เรียกชื่อผมด้วยเสียงสั่นๆ เหมือนอยากเถียงแต่ไม่กล้า ก็ผมกำลังอ้อนเขาอยู่นี่

“ถ้าไม่ยอมกลับห้าทุ่ม พี่จะอุ้มลูกไปตามที่ร้าน”

“เฮ้ย อย่าทำแบบนั้นสิ” น้องตกใจมากถึงขนาดนั่งไม่ติดเบาะ ดวงตารีกรอกไปมา มือไม้ปัดป่ายมั่วซั่ว ท่าทางแบบนี้อยากดึงเข้ามากอดแล้วหอมแก้มสักฟอดสองฟอด มันเขี้ยว

“ทำไมครับ อายเหรอ?” แกล้งหยอกเขาไปในขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าร้านเหล้า แอบถอนหายใจเพราะไม่คิดว่าจะถึงที่หมายเร็วขนาดนี้ เฮ้อ ต้องแยกกันแล้วเหรอวะ

“ไม่ใช่เว้ย... จะเขินมากกว่า”

“หึหึ งั้นห้าทุ่มพี่ไปรับนะ” ใครจะว่าผมหวงของเป็นเด็กก็เอาเถอะ เพิ่งมีความรักจริงๆ กับเขาครั้งแรกตอนอายุจะสี่สิบก็ต้องกลัวหมาตัวอื่นคาบไปแดกเป็นธรรมดา

“ครับ ไอ้คนชอบเผด็จการ!”

หึหึ หน้าตาตอนโกรธนี่อยากดึงมาจูบให้ปากเจ่อชะมัด น่ารักจริงๆ น้องปัณณ์ของพี่ยู




--------------------------------------------

พี่ยูนี่น่าหยิกจริงๆ เลย ปากบอกว่าจีบไม่เป็นแล้วที่ทำอยู่เขาเรียกขายขนมครกสินะ
หยอดได้หยอดดี หมั่นไส้จริงๆ หึหึ

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจน้า

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พี่ยูรุกแรงเกินไปแล้ว  :hao7:

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่ยูรุกแรงนะ หยอดนู่น แตะนี่ตลอด เดี๋ยวโอบ เดี๋ยวกอด :hao7:

ออฟไลน์ Kkfu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
 :katai2-1: :o8: พอรู้ตัวว่าชอบน้องพี่เขาก็รุกแบบรถไฟความเร็วสูงขนาดนี้เลยหรอ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก



คนบ้าที่ไหนเขาแสดงความหวงด้วยการบังคับให้ยอมกลับบ้านตอนห้าทุ่มแถมขู่ว่าจะกระเตงลูกมาตามที่ร้านเหล้า สาบานเถอะว่าพี่ยูอายุใกล้เลขสี่แล้ว โธ่ ทำตัวอย่างกับเด็กหวงของ แต่ไม่มีอะไรแย่กว่าผมที่นั่งกลั้นยิ้มมาเป็นชั่วโมงจนเพื่อนหาว่าประสาทแดกนี่ล่ะ เสียภาพพจน์เพลย์บอยหมด เฮ้อ

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำหน้ากรุ้มกริ่มสักทีวะปัณณ์ เห็นแล้วขนลุก” ไอ้ป้อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนเหล้าในแก้วที่ผมถืออยู่กระเฉาะเลอะกางเกง มึงวอนแดกตีนแล้วไหมล่ะ ตัวนี้ราคาเกือบหมื่นที่สำคัญอยู่ที่คนเปย์ให้ต่างหาก...

“เสือกอะไรกับหนังหน้ากูครับ แดกๆ ไป” ผมวางแก้วลงแล้วโบกมือปัดป่ายตรงหน้าเป็นเชิงไล่มันก่อนที่จะเอื้อมหยิบทิชชู่มาซับเหล้าออกจากกางเกงโดยมีไอ้จิงช่วยอีกแรง ถือว่ามันคือเพื่อนที่โคตรประเสริฐ เรียนเก่ง หน้าตาพอไปวัดไปวา แต่ที่สำคัญเลยคือได้ผัวหล่อ... ส่วนไอ้ป้อนเป็นคนไร้เมียเพราะเพิ่งโดนทิ้ง แผลสดมากและนี่คือสาเหตุที่ทุกคนมานั่งกระดกแอลกอฮอล์อยู่ตรงนี้

“มีแฟนหรือยัง?” อยู่ๆ มันก็ถามขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดูท่าทางจะลากผมกับไอ้จิงเข้าโหมดดราม่าแล้วสินะ เหนื่อยใจกับคำว่าอกหัก ไม่รู้จะปลอบมันยังไงดี

“ถามกู?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อยืนยัน ไอ้ป้อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรงก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด ยิ่งดึกเหล้ายิ่งเข้ม โซดาที่สั่งมานั่นเทๆ ดื่มบ้างเหอะ เสียดายของ

“ก็มีมึงคนเดียวนั่นล่ะพ่อเพลย์บอย ไอ้จิงมันได้ผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว ถ้าแม่งท้องได้คงมีลูกตั้งทีมฟุตบอลไปแล้ว” ไอ้ป้อนบ่นยืดยาวก่อนยกนิ้วชี้หน้าคู่กรณีที่ตอนนี้ปัดป่ายมือไปในอากาศเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่หลักฐานคือแก้มแดงๆ ของไอ้จิง ผมดีใจกับเพื่อนที่มีคนรักดีๆ ค่อยอยู่เคียงข้างถึงแม้ว่าพี่เขาจะขี้หึงไปหน่อยก็เถอะ เผลอๆ ตอนนี้อาจมานั่งเฝ้ามันตรงไหนสักแห่งของร้านก็ได้ หึหึ

“ไอ้เชี่ยป้อน มึงเมาแล้วปากหมา” ไอ้จิงถึงขนาดยืดตัวจากโต๊ะอีกฝั่งมาเพื่อผลักหัวไอ้ป้อนจนซบลงมาบนไหล่ของผมและไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปนั่งตรงแบบเดิม เมาแล้วเรื้อนไม่มีใครเกิน สงสัยต้องขอพี่ยูให้ช่วยไปส่งมันที่บ้านแล้วล่ะ

“อย่าพูดมาก มีหน้าที่ชงเหล้าก็ชงไป กูจะคุยกับน้องปัณณ์สุดที่ร๊าก” น้ำเสียงของไอ้ป้อนมาถึงขั้นที่บรรลัยกู่ไม่กลับ ทั้งยานทั้งฟังไม่รู้เรื่อง สาวโต๊ะข้างๆ ที่ทำท่าจะเข้ามาขอเบอร์มันถึงกับชะงักกึก สงสัยไม่ชอบผู้ชายเมาแล้วพร่ำเพร้อซึ่งเพื่อนผมอาการหนักสุดๆ

“เรียกซะกูขนลุก” ผมเบ้ปากใส่ก่อนเหลือบตามองมนุษย์เพื่อนที่เริ่มใช้หัวถูไถกับไหล่ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันทำตามใจ ขออย่างเดียวอย่าอ้วกใส่ก็พอ

“อย่าเฉไฉฮะ บอกพี่ป้อนคนนี้มาเร็วๆ ว่ามึงมีเมียหรือยัง?” มันจิ้มนิ้วที่อกตัวเองก่อนจะเปลี่ยนมาจิ้มผมตรงตำแหน่งเดียวกัน เสียงอ้อแอ้ของคนเมาทำให้สาวโต๊ะข้างๆ หลุดหัวเราะออกมาพลางซุบซิบกันเบาๆ ถ้าให้เดาคงคิดว่าไอ้ป้อนหมดสภาพคนหล่อล่ะมั้ง

“ไม่มี” ผมตอบก่อนปัดมือเพื่อนทิ้งแล้วเอื้อมมือไปรับแก้วเหล้าจากไอ้จิง ขยันชงเหลือเกินพ่อคุณ มึงจะมอมพวกกูในขณะที่ตัวเองแดกแต่โค้กไม่ได้นะเว้ย กลัวผัวถึงขนาดไม่กล้าแตะแอลกอฮอล์ น่ารักจริงๆ

“อย่ามาตอแหล ไอ้ที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มนี่ไม่ใช่ว่าคิดถึงเขาหรอกเหรอ?” สาบานว่าไอ้ป้อนเมา ทำไมมันช่างสังเกตขนาดนั้นวะ แล้วมือที่ยกขึ้นหยิกแก้มกันจนเจ็บนี่คืออะไร คนอื่นเขานึกว่าเป็นคู่เกย์หมดแล้ว ส่วนไอ้จิงไม่ช่วยกันทำมาหากินเลยเพราะชงเหล้าเสร็จก็นั่งกดโทรศัพท์สบายใจเชียว

“ทำตัวแสนรู้” ผมใช้มือดันหัวไอ้ป้อนออกเพราะเริ่มรู้สึกปวดไหล่ อีกอย่างคือยังไม่อยากเป็นข่าวกับมันให้พี่ยูแหกอก รายนั้นเห็นทำตัวเงียบๆ แต่ความขี้หึงน่าจะไม่เป็นรองใครสังเกตได้จากการกำหนดเวลากลับบ้าน

“ด่ากูว่าหมาเลยยังดูจริงใจมากกว่า เอิ๊ก” หลับหูหลับตาด่ากันแถมยังเรอเอิ๊กใส่จนกลัวว่ามันจะอ้วกกลางร้าน ไอ้จิงถึงกับคว้าแก้วเหล้าหนีมือเพื่อนด้วยท่าทีหวาดกลัว แล้วมึงจะเทเพิ่มให้กูทำไม โอย สติครับคุณ!

“สัด หยุดแดกได้แล้ว เดี๋ยวอ้วก” ไอ้จิงตะโกนแข่งกับดนตรีจังหวะหนักๆ ที่กำลังเล่นเพลงไว้ใจของวงเคลียร์ ผมถึงกับสะดุดลมหายใจแล้วหันมองไอ้ป้อนโดยอัตโนมัติ มันจะทันฟังหรือเปล่า จะร้องไห้น้ำตาแตกไหม แต่พอเห็นสภาพโยกซ้ายทีขวาทีของเพื่อนก็รู้ว่าสติแตกนานแล้ว อาการคงไม่หนักไปกว่านี้แน่นอน

“นั่งเงียบๆ ไอ้จิง เดี๋ยวกูก็โทรเรียกให้ผัวมึงมารับซะหรอก” เสียงหัวเราะฮิฮิตบท้ายฟังดูโรคจิตยังไงชอบกล ไอ้คนพูดเอาหัวปักกับตักของผมก่อนจะเก็บแข้งขาขึ้นนอนยาวบนโซฟา ทำตัวอย่างกับแดกเหล้าอยู่ที่บ้านไม่อายคนบ้างหรือไง ทาวด้านไอ้จิงนี่ยกขวดอัดลมเตรียมปาแสดหน้าเพื่อนเรียบร้อยแล้ว โว้ว อารมณ์ร้อนจังวะ

“เออ ก็ดี กูจะได้กลับไปนอนให้พี่มันกก!” คำพูดคำจาไม่เหมาะกับแว่นสายตาที่มันกำลังใส่อยู่เลยว่ะ เดี๋ยวนี้ฮาร์ดคอร์แถมหน้าด้านขึ้นเยอะ เอะอะยอมรับ เอะอะอยากโดนกก นี่สินะข้อดีของคนมีแฟน หวานไม่แคร์สื่อ (ผมกำลังหลงประเด็นอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ รู้สึกมึนๆ เหมือนจะเหมาตามไอ้ป้อนไปอีกคนแล้ว)

“แรด!” ไอ้ป้อนผงกหัวขึ้นด่าทั้งที่ตายังปิดสนิททั้งสองข้าง ผมที่เป็นหมอนชั่วคราวก็ทำได้แค่ใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากมัน หมั่นไส้ปากหมาๆ ที่ชอบหาเรื่องเพื่อนเวลาเมา พอสร่างก็เสือกความจำเสื่อมอีก ไม่รู้เหรอว่าเป็นแบบนี้โคตรวอนโดนตีนเลย

“หยุดหาเรื่องคนอื่นสักทีเหอะไอ้ขี้เมา” ผมเคาะข้อนิ้วลงไปหลายๆ ครั้งจนไอ้ป้อนส่งเสียงจิ๊ะจ๊ะก่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ดวงตาคมปรือขึ้นจ้องเขม็งที่ปลายคาง ถ้ามันลำบากในการมองหน้าขนาดนั้นก็หลับเถอะ กูขอร้อง สภาพทุเรศมากจริงๆ

“มึงตอบคำถามกูมาสิ” แหนะ ข้อต่อรองอะไรของมึงอีก ปัญหาเยอะ คู่กรณีเยอะจริงๆ

“คำถามไหน?”

“ทั้งหมด” เมาแล้วยังจะจำได้อีกเหรอว่าถามอะไรผมไปบ้าง เชื่อมึงเลยจริงๆ ป้อน

“กูลืมไปแล้ว” ผมตอบปัดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วตรงหน้าแต่กลับโดนรั้งไว้ด้วยเสียงก่นด่า

“ปัณณ์ มึงมันเลว!” ไอ้ป้อนกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า ผมตกใจที่โดนด่าแต่ก็หลุดขำก๊ากที่เพื่อนเมาเละถึงขนาดนี้ กูไม่บินขึ้นไปอยู่เหนือหัวมึงหรอก ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะเว้ย

“อ้าว ด่ากูทำไมเนี่ย?”

“ที่ไม่ยอมบอกเพราะหนีกูไปมีผัวใช่ไหม?!” เดี๋ยว ผัวบ้าบออะไร คนหันมามองทั้งร้านแล้วไอ้เพื่อนเชี่ย! ที่หนักสุดคือไอ้จิงพ่นน้ำอัดลมจนกระเด็นใส่หน้าเลย แม่ง สกปรก

“ห๊ะ มะ มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ย?” ปากถามไอ้ป้อนแต่มือควานหากระดาษทิชชู่เอามาเช็ดหน้าโดยมีไอ้จิงช่วยอีกแรง นี่ถ้าพี่เขานั่งเฝ้ามันอยู่จริงๆ เชื่อว่าอีกไม่นานได้มีดราม่ารักสามเส้าเกิดขึ้นแน่ คือกูไม่ได้อยากแย่งเมียใครแต่เขามาเอง ไม่ได้ขอร้องเลย เชื่อสิ!

“อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะ... อึก มีผู้ชายหล่อๆ มาส่งมึงนี่” โอย มึงอย่าเพิ่งอ้วก เอามือปิดปากไว้ถูกแล้ว แต่ผมเนี่ยสิจะทำตามมันเพื่ออะไร ตกใจที่เพื่อนเห็นพี่ยูปะวะ... ต้องใช่แน่ๆ โอย ฉิบหาย

“แล้วไงวะ กูอาจจะเป็นผัวเขาก็ได้ปะ?” ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องของเขาแต่เฉไฉเปลี่ยนประเด็นมากกว่า ใครผัวใครเมียไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ยังไม่ได้คบกัน คนเมาเหมือนจะเริ่มคล้อยตามเพราะมันเอาแต่พยักหน้าก่อนเข้ามาซบไหล่กันอีกครั้ง ท่าทางเหมือนลูกหมาเหงานั้นทำให้อดยกมือขึ้นลูบหัวไม่ได้ ไอ้ป้อนคงเจ็บหนักกว่าที่เห็นภายนอก แฟนนอกใจเป็นอะไรที่แย่สุดๆ ยิ่งกว่าหมดรักกันอีก

“นั่นสิน้า เอิ๊ก แล้วกูควรสนใจผู้ชายแบบพวกมึงด้วยปะ?” มันยิ้มเผล่แล้วผงกหัวมองหน้าผมสลับกับไอ้จิง ถ้าดูเผินๆ คงคิดว่าไอ้ป้อนปกติดี พูดเล่นได้ หากลองสังเกตแววตาสักหน่อยจะรู้ว่าในนั้นสะท้อนความเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด

“ใจเย็นๆ ไอ้ป้อน มึงอกหักจนเพี้ยนหรือไง?” ไอ้จิงพูดทีเล่นทีจริงไม่ได้ตั้งใจตอกย้ำแต่อีกฝ่ายกลับชะงักนิ่ง น้ำตาเริ่มก่อตัวก่อนจะไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผมเห็นสภาพแบบนั้นเลยรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับหน้าให้เพราะไม่อยากให้มันดูโสโครกไปมากกว่านี้

“กู... ฮึก” โอเค ในที่สุดไอ้ป้อนก็ยอมร้องไห้สักทีเพราะตั้งแต่โดนบอกเลิกเมื่อวานมันยังอดทนอดกลั้นทำตัวร่าเริงมาตลอด ได้ระบายออกมาอะไรๆ คงดีกว่านี้

“ฉิบหาย กูพูดอะไรผิดเนี่ยปัณณ์?” ไอ้จิงร้องเสียงหลงก่อนจะหันมามองกันด้วยดวงตาเป็นกังวล มือเรียวเอื้อมมาแตะแขนไอ้ป้อนเบาๆ เหมือนกำลังปลอบในขณะที่คนเมาโถมตัวเข้ากอดผมแบบเต็มรัก

“มึงไปจี้จุดมันน่ะสิ” ผมคลี่ยิ้มบางส่งให้ไอ้จิง ยกมือขึ้นลูบหัวไอ้ป้อนช้าๆ เพื่อให้มันรู้สึกอุ่นใจและร้องไห้ระบายความอัดอั้นไปเรื่อยๆ สงสารแต่ก็พูดอะไรไม่ได้กลัวว่าจะทำร้ายเพื่อนมากกว่าเดิม

“กูหนีกลับบ้านได้ปะ? ปลอบไม่เป็น” ไอ้นี่... เอะอะก็จะกลับบ้านอย่างเดียว พี่เขาลีลาเด็ดนักหรือไง

“หยุดเลย ทำมันร้องก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าหนีไปนอนให้ผัวกก” ผมตั้งใจแซวส่วนไอ้เรื่องดุน่ะแค่แกล้งเฉยๆ อยากรู้ว่ามันจะปลอบเพื่อนยังไงหรือปล่อยให้ร้องจนหลับ

“มึงอย่าแซว กูพูดเล่นเว้ย” ครับเพื่อน ตกลงว่าจะไม่ปลอบไอ้ป้อนสินะ ที่ผมนึกอยากแซวเพราะมีจังหวะหนึ่งที่ผมหันหาพนักงานเสิร์ฟเพื่อต้องการขอทิชชู่เพิ่มแต่ดันเห็นหน้าคล้ายๆ แฟนไอ้จิงนั่งอยู่โต๊ะถัดออกไปประมาณสิบก้าว ตกลงพี่เขามานั่งเฝ้ามันจริงดิ ตอนแรกก็แค่พูดเล่น... ส่วนพี่ยูคงงุ้งงิ้งอยู่กับลูกชายมั้งตอนนี้

“หึหึ เหรอครับคุณจิง ~ ไอ้ที่นั่งตาขวางอยู่ตรงโน้นน่ะ ผัวมึงไม่ใช่หรือไง?” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางเป้าหมาย พี่เขาเหมือนจะรู้ตัวเลยหันหน้าไปทางอื่นพลางดึงหมวกแก็ปลงปิดครึ่งหน้า แต่เชื่อสิว่าคนที่นอนด้วยกันอยู่ด้วยกันทุกวันต้องจำได้ ยืนยันได้จาตาโตๆ จนแทบเท่าไข่ห่านของไอ้จิง

“ฉิบหาย พี่มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” มันหันมาป้องปากกระซิบถามผมในขณะที่พี่เขามองตรงมาทางนี้พอดี ดูสายตานั่นสิ แทบจะเดินมากระชากคอเสื้ออยู่แล้ว โอย อยากตะโกนบอกเหลือเกินว่าปัณไม่เคยพิศวาสไอ้จิงเลย แค่เห็นก็รู้สึกคันไปทั้งตัวแล้วครับ

“มึงนัดพี่เขากี่โมงล่ะ?” ดันหัวไอ้จิงออกไปไกลๆ แล้วขยับเบียดคนเมาเพื่อให้พี่เขารู้ว่าผมไม่ได้เป็นชู้กับเมียเขา ถ้าไม่กลัวว่าเพื่อนจะโดนลงโทษจนลุกไม่ขึ้นคงแกล้งไปแล้ว แหย่พวกขี้หึงสนุกดี

“สี่ทุ่มครึ่ง” ไอ้จิงตอบเสียงอ้อมแอ้มก่อนยกแก้วเหล้าของไอ้ป้อนขึ้นจิบอย่างลืมตัว ผมกำลังจะเอ่ยห้ามแต่ไม่ทันเพราะมันพ่นน้ำออกมาจากปาก โอ้โห กรรมเวรอะไรของกูที่ต้องมาเจอแบบนี้เนี่ย เลอะเทอะฉิบหาย

ไอ้ป้อนส่งเสียงอ้อแอ้พึมพำไม่เป็นภาษาอยู่ข้างๆ มือไม้สอดเข้ามารวบเอวผมกอดไว้แน่น ไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับน้ำมนต์จากปากเพื่อนไปเท่าไหร่ ไอ้จิงก้มหัวขอโทษหลายครั้งพร้อมส่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อมาให้แต่พอเห็นลายบนนั้นก็แทบกลั้นขำไม่อยู่ ใครจะไปกล้าใช้ครับ รูปพี่เขาเต็มผืนเลย แม่ง...

“หนักกว่ากูอีก” ผมเอ่ยแซวมันเรื่องเวลาแล้วผลักผ้ากลับไปให้ ไอ้จิงขมวดคิ้วคล้ายกับงงแต่พอก้มมองของในมือก็พยักหน้าเข้าใจ ไอ้ท่าทางแบบนี่คงไม่ได้เตรียมของเองแน่ๆ พี่เขาจะดูแลเอาใจใส่มันมากไปแล้ว น่าอิจฉาชะมัด

“โดนจำกัดเวลาเหมือนกันเหรอ?” ไอ้จิงไม่ได้โกรธที่ถูกแซวแต่มันดันมองผมด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้จนต้องร้องห้าม ดีหน่อยที่เข้าใจง่าย ถ้าไม่อย่างนั้นกูคงโดนต่อยแน่นอน ก็พี่เขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาแล้ว

“เออ แต่ห้าทุ่ม”

“เขาหวงเราท่องไว้ แล้วจะมีความสุขกับการโดนจำกัดเวลาเที่ยว” มันคลี่ยิ้มกว้างพร้อมยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ ส่วนผมพยักหน้ารับคำเพราะเห็นด้วย ถ้าเขาไม่รักไม่หวงจะออกคำสั่งให้เปลืองน้ำลายทำไมจริงไหมล่ะ พอคิดได้แบบนี้ก็อยากกลับบ้านเร็วๆ แล้วสิ ขอเลียนแบบไอ้จริงว่ากลับไปนอนให้พี่ยูกกได้ไหม ก็รายนั้นชอบแอบเข้ามากอดกลางดึก อย่าคิดว่าไม่รู้นะ สงสัยติดใจกลิ่นน้ำหอมพีชแน่ๆ หึ

“เออ ก็ไม่ได้แย่หรอกน่า”

“คนนี้จริงจังใช่ไหมปัณณ์?” ไอ้จิงมองสบตาผม ใบหน้าเคร่งขรึมจนดูตลกแต่ก็เข้าใจความคิดมันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาปัณณ์ไม่เคยยอมให้ใครมาบงการชีวิตได้ขนาดนี้ แล้วไอ้ที่คุมเวลากลับบ้านน่ะอย่าหวังว่าจะทำได้ ถ้าคนนั้นไม่พิเศษจริงๆ

“อืม ก็รอมานานแล้ว” ผมพยักหน้าก่อนตอบคำถามมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าไม่จริงจังกับพี่ยูคงแย่แล้ว แอบรักเขามาเป็นสิบๆ ปี จะสมหวังอยู่รอมร่อไม่ยอมเปลี่ยนใจหรอก

“ขอให้มีความสุขกับเขามากๆ นะเว้ย” ฟังแล้วนึกว่าอวยพรงานแต่ง...

“เออ มึงก็ด้วยไอ้จิง” ผมจะทำอะไรได้นอกจากเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนแล้วอวยพรกลับไป อยากให้ทุกคนมีความสุขกับความรักแม้กระทั่งตัวไอ้ทอยเอง หวังว่าเอย์จิจะทำสำเร็จนะ

ไอ้ป้อนที่เงียบไปนานขยับตัวยุกยิก มันผลักออกไปก่อนจะส่งเสียงง้องแง้งไม่เป็นภาษาเพื่อเรียกร้องความสนใจและมันก็สำเร็จเพราะผมกับไอ้จิงยอมหันไปดูสภาพคนเมาอย่างหมา ตอนแรกที่เจอหน้ากันอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารตอนนี้เหมือนหลุดออกมาจากศรีธัญญามากกว่า หัวยุ่งเหยิงโคตรๆ

“พวกมึงมันเลว ปล่อยให้กูร้องไห้แล้วนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงสองคนเนี่ยนะ ฮือ งอนแล้ว!” ทรงตัวนั่งหลังตรงได้ก็เอ่ยปากด่ากัน พอจบก็ทำท่ากอดอกเชิดหน้าบึนปากขึ้นจนแทบติดจมูก ผมพยายามทั้งกัดฟันเม้มปากเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเมื่อเจอคำพูดของไอ้จิง

“น่ารำคาญ!” จบเสียงอีกคนก็มีเสียงร้องโหยหวนของอีกคนดังตามมาไม่ขาดสาย ทั้งอายทั้งเขินจนต้องลากมันออกจากร้านเหล้าแล้วให้ไอ้จิงจัดการค่าเสียหาย ขืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้เดาไม่ออกเลยว่าขวดแก้วจะลอยมากระทบหัวเมื่อไหร่ เฮ้อ

รอไม่นานพี่ยูก็ขับรถเข้าเทียบหน้าร้าน ผมสอดตัวนั่งประจำที่แล้วคลี่ยิ้มมึนๆ ให้ ก่อนหน้านี้แบกไอ้ป้อนไปส่งให้พี่ปีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานพ่วงด้วยตำแหน่งรูมเมท เขาอาสามารับถึงที่ ถ้ามองไม่ผิดคนนี้คงดามใจมันได้แน่นอนถ้ายอมเปลี่ยนรสนิยมมาชอบผู้ชายน่ะนะ

“ดื่มไปเยอะหรือเปล่า?” พี่ยูถามขึ้นในระหว่างที่เขาเลี้ยวออกจากร้านเหล้า ผมซึ่งกำลังมองวิวข้างทางเพลินๆ ได้แต่ส่ายหัวดิก จะเอาเวลาที่ไหนจับแก้วล่ะ ต้องดูแลคนเมาอย่างไอ้ป้อนเกือบตลอดเวลา เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่าทำไมไอ้จิงถึงเลือกนั่งซะไกล แม่ง แผนสูง

“พอจะยกแก้วไอ้ป้อนก็ถามนั่นถามนี่ขัดจังหวะตลอด ผมเสียดายเงินมากอะ ดื่มไปแค่สามแก้วเองมั้ง” ผมบ่นไม่จริงจังนัก ถือซะว่าได้เจอเพื่อนเก่าไปนั่งเป็นที่ระบายให้มัน อัพเดตชีวิตของแต่ละคน

“คราวหน้าพี่จะพาไปเอง เดี๋ยวเลี้ยง”

“เลี้ยงเหล้าผมอะนะ? ปกติไม่ชอบให้ดื่มนี่” ผมหรี่ตามองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย ปกติพี่ยูไม่ค่อยชอบให้ดื่มแอลกอฮอล์เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนบุหรี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ห้ามสูบเด็ดขาด แล้วอยู่ๆ จะเลี้ยงเหล้าคืออะไร มีแผนใช่ไหม

“ถ้าปัณณ์ต้องการพี่ก็ไม่ขัดครับ” พี่ยูยิ้มกริ่มจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี

“เอาใจจังเลยเนอะ” แกล้งแซวเขาไปทั้งที่ตัวเองแทบนั่งไม่ติดเบาะเพราะพี่ยูแอบเคลื่อนมือมาจับต้นขาตรงรอยขาดของกางเกงแบบพอดิบพอดี ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบหลอกแต๊ะอั๋งกันอยู่เรื่อยเลย

“ก็อยากได้ใจปัณณ์นี่ครับ” คำตอบของเขาทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิกแขนอีกคนทันที ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งพอพี่ยูออกแรงบีบต้นขาตัวก็ยิ่งเกร็ง อยากทำตัวเป็นคนบ้าไม่รับรู้ โอย เขินเว้ย พูดมาได้ไม่อายปาก ไหนว่าจีบไม่เป็นไง!

“ไม่ใช่ว่าอยากมอมเหล้าผมเหรอ?” แต่คนอย่างปัณณ์ไม่ยอมแพ้เพราะถามสวนกลับด้วยประโยครู้ทัน ดีหน่อยที่พี่ยูใช้สมาธิขับรถเลยไม่ทันสังเกตว่าผมแทบซุกหน้าเข้ากับคอนโซลรถอยู่แล้ว ไอ้อาการเขินตัวจะแตกเพิ่งเข่าใจวันนี้นี่เอง

“อันนั้นก็คือผลพลอยได้ไม่ใช่เหรอ?” ตอบได้หน้าด้านมากแต่ผมดันใจเต้นแรงแทนที่จะโกรธ สมองพาลคิดไปไกลว่าหลังจากเมาแล้วเราทำอะไรกันต่อ...

“จะค้ากำไรเกินควรแล้วนะครับพี่ยู” เสียงอ่อยได้อีก น่าหงุดหงิดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย พออยู่กับเขาทีไรความเข้มแข็งดูเจนโลกก็เหลือแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เอ็นดู แบบนี้เขาเรียกแพ้ทางหรือเปล่า

“ไม่เถียงสักคำเลยครับ” เขายอมรับง่ายๆ ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะผละมือออกไปจากขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผมได้แต่สูดหายใจแรงๆ สงบอารมณ์ให้เป็นปกติซบหน้าลงกับคอนโซลเพื่อปิดบังอาการเขินอายของตัวเองจากดวงตาคม

ระหว่างทางที่เราต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยมีเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุยามดึกเปิดคลอ ผมแอบเหลือบมองพี่ยูเป็นระยะ มีหลายครั้งที่แอบกังวลว่าสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ทุกวันนี้จะเป็นเพียงแค่ความอยากรู้อยากลองหรือเปล่า ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วปัณณ์ต้องทำยังไงกับความรู้สึกที่เพิ่มพูนขึ้น รักใครว่ามีแต่สุขเพราะมันมาคู่กับความทุกข์เสมอ

“ปัณณ์ครับ” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ดึงผมกลับมาสู่โลกปัจจุบันกลางสี่แยกไฟแดง พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน กลิ่นมิ้นท์จางๆ คงมาจากลูกอมที่เขากินอยู่

“ครับ?” ผมค่อยๆ เบนตัวไปทางซ้ายเพื่อเพิ่มระยะห่างให้กับตัวเอง ตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนน่าเป็นห่วง ถ้าพี่ยูคิดจะทำอะไรเกินเลยคงหนีไม่พ้นแน่นอน

“ตอนนี้รู้สึกยังไงกับพี่?” สีหน้าของเขาเครียดขึงดูจริงจังจนผมประหม่า คำตอบสำหรับเรื่องนี้มันก็มีอยู่แล้วแต่ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน

“อยากได้คำตอบแบบไหนครับ?” ผมถามลองเชิงเผื่อว่าพี่ยูจะแค่หยอกกันเล่น แต่พอเห็นแววตาสั่นไหวของเขานั้นก็เข้าใจได้ทันที่ว่าจริงจัง ทำยังไงดี ควรบอกไปตรงๆ ไหมว่าแอบรักมานานแค่ไหน

“เอาความจริง” เขาย้ำอีกครั้งก่อนจะผละออกไปเมื่อสัญญาณไฟจารจรเปลี่ยนสี ผมทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดทบทวนทุกสิ่งว่าถึงเวลาขยับความสัมพันธ์ของเราแล้วหรือยังเพราะค่อนข้างกังวลในความรู้สึกของพี่ยูที่บอกว่าชอบ เข้ามาจีบ และทำท่าจริงจัง

“ผม...”

Rrrrr

ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงริงโทนที่จำได้ว่าเป็นของพี่ยูก็ดังขัดจังหวะ ผมถอนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอาเป็นว่าขอเก็บความในใจต่ออีกหน่อยเพื่อรอดูท่าทีของเขา บางคนบอกว่ารักไม่ต้องการเวลา แต่สำหรับคนที่ใช้เวลารักมานานหลายปีมันสำคัญจริงๆ

“จิ๊ รับโทรศัพท์ให้พี่หน่อยสิครับ” พี่ยูส่งเสียงไม่พอใจแต่ก็ยอมปล่อยวางเรื่องของเราก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ใกล้กระปุกเกียร์ ผมเลิกคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ เอาความเป็นส่วนตัวใส่ในมือคนอื่นจะดีเหรอ

“หือ จะดีเหรอครับ? คุณป้าโทรมานะ” ผมยอมรับว่าเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของพี่ยูเลยเผลอมองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่โชว์รายชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นนั่น

“ดีสิครับ พี่ขับรถอยู่รับสายไม่สะดวก” เขายืนยันเสียงหนักแน่นทำให้ผมที่ลังเลต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ แค่คุยโทรศัพท์กับคุณป้าแทนคงไม่เป็นอะไรหรอกเนอะ

“สวัสดีครับคุณป้า” ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป ทางคุณป้าดูจะตกใจเล็กน้อยเพราะหายเงียบไปชั่วอึดใจ คงคิดอยู่ล่ะมั้งว่าเป็นใคร ดึกดื่นป่านนี้พี่ยูคงไม่หนีเที่ยวที่อื่นหรอก ลูกรออยู่ที่บ้านทั้งคน

‘ปัณณ์เหรอจ๊ะ?’

“ครับ พี่ยูกำลังขับรถ” ผมเอ่ยบอกสาเหตุที่ต้องถือวิสาสะรับสายแทนซึ่งปลายสายก็หัวเราะตอบกลับมาเบาๆ คงไม่ซีเรียสเรื่องนี้

‘งั้นป้าคุยกับปัณณ์ก็ได้ค่ะ’

“ครับ”

‘คือป้าจะชวนพวกหนูๆ ไปอัมพวากันอาทิตย์หน้า มียูกิ เอย์จิ ริว แล้วก็ปัณณ์ด้วยค่ะ’ เสียงหวานๆ นุ่มๆ ของคุณป้าช่างเหมาะแก่การโน้มน้าวให้เราคล้อยตามแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ผมกลับรู้สึกแปลกกับสรรพนามที่เธอใช่เรียกพวกเรา มันดูน่ารักน่าเอ็นดูเกินไปหรือเปล่า ถ้าใช้กับริวคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก

แต่เดี๋ยวก่อน... ทำไมอยู่ๆ ก็มีชื่อผมรวมอยู่ในทริปนี้ด้วยล่ะ ก็เกริ่นมาเหมือนจะไปเที่ยวเป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอ

“เอ่อ ผมด้วยเหรอ?” ผมถามย้ำก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างชี้เข้าหาตัวเองอย่างเคยชิน ทางด้านพี่ยูคงอยากรู้เรื่องที่เราคุยกันเลยหันมาเลิกคิ้วใส่ จ้างให้ก็ไม่บอกหรอก ยังมึนๆ งงๆ อยู่เลย

‘ใช่แล้ว ก็ปัณณ์เป็นคนในครอบครัวนี่คะ’ คำตอบของคุณป้าทำให้หัวใจของผมกระตุก ความรู้สึกอุ่นวาบที่เกิดขึ้นข้างในมันช่างรู้สึกดีเหลือเกิน จากที่เคยคิดว่าเหลือเพียงตัวคนเดียวในโลก ตอนนี้มีบุคคลให้พึ่งพิงจิตใจเพิ่มแล้ว รักครอบครัวนี้จัง

“อ่า... ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้ามองเห็นไฟข้างทางกลายเป็นแฉกๆ ไปหมด บ้าจริง พี่ยูหันมาตอนนี้ทำไมเล่า หลบแทบไม่ทันแหนะ

‘เอาเป็นว่าป้าบังคับพวกหนูเลยแล้วกัน อาทิตย์หน้าเจอกันที่บ้านใหญ่นะคะ’

“ดะ เดี๋ยวสิครับคุณป้า” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อสัญญาณตัดไปแล้ว ตกลงว่าเธอแค่โทรมาบอกให้เตรียมตัวไปเที่ยวใช่ไหม ไม่ได้เอ่ยปากชวนอย่างที่เข้าใจ โธ่... คนบ้านนี้ความคิดซับซ้อนจริงๆ ตามไม่ทัน

“มีอะไรเหรอ?” พี่ยูถามขึ้นทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เขาหยุดเคาะนิ้วตามจังหวะเพลงหรือทำแม้กระทั่งชะลอความเร็วของรถลงเพื่อรอฟังคำตอบ เขาไม่คิดว่าปัณณ์จะประหม่าบ้างหรือไงวะ

“คุณป้ามัดมือชกพาพวกเราไปอัมพวา” จะบอกว่าชวนคงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

“อ๋อ อาทิตย์หน้าใช่ไหม?” พี่ยูร้องถามเสียงใสก่อนจะเริ่มเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเหมือนเดิม ดูท่าทางอารมณ์ดีกว่าเก่าเป็นสิบเท่า คำตอบของคำถามที่ค้างไว้คงไม่ต้องการแล้ว แต่แทนที่เขาจะแปลกใจกลับเป็นผมต้องขมวดคิ้ว รู้ล่วงหน้าเหรอหรือยังไง

“ทำไมพี่ยูรู้เรื่องแล้วล่ะ?” ก็คุณป้าเพิ่งโทรมาชวนหรือเปล่าวะ

“จริงๆ โอกาซังเขาจะโทรมาบังคับปัณณ์นั่นล่ะ กลัวจะโดนปฏิเสธไง” พี่ยูบอกเสียงอ่อยเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิดบวกกับรอยยิ้มแหยๆ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าครอบครัวเขาวางแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงเจ้าตัวไม่ขับรถก็คงส่งโทรศัพท์ให้รับแทนอยู่ดี ร้ายนัก ทั้งแม่ น้องชาย และพี่ชายเลย ส่วนคุณลุงละไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะวันๆ ทำแต่งานอย่างเดียว ระดับผู้บริหารก็งี้ล่ะ

“โธ่ แบบนั้นไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ” ผมร้องเสียงอ่อยแต่ก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้ที่ทุกคนให้ความสำคัญกับตัวเองมากขนาดนี้ ถ้าเจอหน้าคุณป้าจะกอดให้แน่นจนพี่ยูอิจฉาเลยคอยดู แต่เอย์จิคงไม่สนใจเรื่องแบบนี้ เพราะเขาโฟกัสไอ้ทอยมากกว่า ล่าสุดก็โทรมาปรึกษาว่ารายนั้นชอบกินอะไร มีวิธีเช็คตารางบินหรือเปล่า จริงจังยิ่งกว่าตอบสอบเข้าเรียนป.โทอีกมั้ง

“ไปเดทด้วยกันเนอะ” หน้าระรื่นแถมส่งยิ้มทำลายล้างมาให้กันอีก มันใช่เวลาที่จะหยอดให้ผมใจเต้นแรงหรือไง นี่อ่อนยิ่งกว่าขี้ผึ้งรนไฟแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าขาดสติมีปากแตกแน่นอน... อยากพุ่งเข้าไปจูบให้รู้แล้วรู้รอด คนบ้าอะไรชวนเดทได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลย!

“อะไรครับ ไปเที่ยวกันยกบ้านจะเรียกว่าเดทได้ยังไง?” ผมไม่ยอมเขินอายเป็นเด็กสาวเพิ่งมีความรักครั้งแรงหรอก ช่วงเวลาไฟมืดๆ ที่มองไม่เห็นสีแก้มแบบนี้ต้องไฟท์ให้ถึงที่สุด

“โอกาซังรับปากว่าจะช่วยดูริวให้ ส่วนเราสองคนก็เดทกันไงครับ” ยัง ยังไม่รู้ตัวอีกว่าคำพูดของตัวเองมันน่าตีขนาดไหน ไปเที่ยวกับครอบครัวจะมีเวลาส่วนตัวได้ยังไง เพ้อเจ้อขั้นสุดแล้ว

“หมายความว่ายังไงเนี่ย ผมไม่เข้าใจ”

“เขารู้เรื่องที่พี่จีบปัณณ์แล้ว” เดี๋ยวสิ พี่ยูพูดเรื่องอะไรวะ สมองผมตื้อไปชั่วขณะ ลมหายใจติดขัดจนน่ารำคาญ คือ... ที่บ้านรู้แล้วว่าเรากำลังคุยกันในเชิงชู้สาวอะนะ ผู้ชายกับผู้ชายทั้งคู่ เฮ้ย ไม่ใช่ว่าคุณป้าจะพาผมไปฆ่าโยนทิ้งทะเลใช่ไหม โอย เครียดๆๆ





ต่อหน้า 3 น้า


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด