♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61  (อ่าน 30795 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ห๊ะ... ละ แล้ว เป็นยังไงบ้าง?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักก่อนจะเอื้อมมือสั่นๆ ไปแตะแขนของพี่ยูเพื่อช่วยลดอาการกลัวแต่มันไม่ได้ช่วยเลยสักนิดเพราะเขายังคงนิ่งเงียบ ทำหน้าขรึม ไม่หือไม่อือ ไม่หันมามองหน้า สถานการณ์โคตรกดดัน แถมเพลงที่เล่นก็สื่อความหมายอกหักรักคุด

ผ่านไปเกือบนาทีที่เขาเงียบและขับรถไปเรื่อยๆ จนมาจอดอยู่หน้ารั้วบ้าน ความจริงคือผมต้องลงไปเปิดประตูแต่กลับนั่งเฉยพลางออกแรงบีบแขนพี่ยูเพื่อเป็นการกระตุ้นให้พูดอะไรสักอย่างเสียที ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นจนแทบไหลอยู่แล้ว...

เขาหันมาสบตาแล้วดึงมือผมไปกุมไว้บนอกตรงตำแหน่งหัวใจ ใบหน้าหล่อขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะปลายจมูกจะลากผ่านผิวแก้มเพื่อตอบคำถามข้างหู

“ไฟเขียวครับ” เอ๊ะ หมายความว่า...

“ครอบครัวพี่ไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว พวกท่านก็รู้จักปัณณ์ดีด้วยเลยไม่มีปัญหา” ผมเผลอบีบมือเข้าหากันแน่นเมื่อได้ฟังคำตอบก่อนที่มุมปากจะขยับเป็นรอยยิ้มแห่งความดีใจและในจังหวะที่พี่ยูผละตัวออกนั้นทำให้คนขี้เขินต้องรีบวางหน้าผากลงบนไหล่เพื่อซ่อนแก้มแดงๆ ให้รอดพ้นสายตาของหมาป่าที่จ้องเขมือบเหยื่อตลอดเวลา ถ้าเขาเห็นอาจล้วงรู้ความลับก็ได้

“พี่ยู... ผมเกือบช็อคตาย” เอ่ยเสียงแผ่วก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองโดยอีกคนรวบกอดไว้ทั้งตัวซะแล้ว ความอบอุ่นกายรวมถึงหัวใจมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมอบให้ผมได้ มันช่วยเติมเต็มชีวิตที่เว้าแหว่งจนสมบูรณ์ ไม่มีอะไรจำกัดความได้ดีกว่าคำว่า ‘รัก’ อีกแล้ว

“รู้แบบนี้ก็รีบรักพี่นะครับ อยากมีแฟนจะแย่แล้ว” ไอ้คำขอเป็นแฟนกลายๆ ของเขามันดูไม่จริงจังเลยแต่ผมดันหุบยิ้มไม่ได้ แก้มร้อนอย่างกับมีใครเอาไฟมารน หัวใจก็เต้นแรงจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาด้านนอก ตอนนี้อยากสาปส่งพี่ยูมากเรื่องที่บอกว่าจีบใครไม่เป็นโกหกทั้งเพ เพราะที่ทำอยู่นี่เข้าขั้นมืออาชีพแล้ว ปัณณ์อยากหนีไปเขินนอกโลกเว้ย ไม่เอาแล้ว ฮือ

“ผมจะถือว่าไม่ได้ยินที่พี่พูดแล้วกันครับ” ปากบอกแบบนั้นแต่ผมยังไม่กล้าขยับตัวออกจากไหล่ของเขาเลยเหอะ เพราะจำได้ว่าหลอดไฟหน้าบ้านโคตรสว่างสามารถส่องเข้ามาในรถจนเห็นสีแก้มแดงๆ ได้แน่นอน ถือซะว่าให้กำไรชีวิตกับพี่ยูไปก่อนแล้วกัน ซึ่งที่จริงแล้วตัวเราเองก็ได้ด้วย

“ทำไมใจร้ายแบบนี้” เสียงตัดพ้อดังขึ้นเหนือหัวก่อนที่ไหล่ของผมจะถูกดันออกห่าง ในขณะที่จะก้มหน้าลงนั้นกลับโดนมืออุ่นเชยปลายคางขึ้นให้สบตากัน ครั้นอยากหนีก็ทำได้แค่มองจมูกเขาแทน วิธีบังคับเอาคำตอบของพี่ยูมันอันตรายต่อหัวใจมากจริงๆ

“เปล่านี่ครับ ก็แค่... อยากให้เราศึกษากันในความรู้สึกแบบใหม่ให้มากกว่านี้” จริงๆ ผมจะบอกรักเขาตอนนี้ก็ได้เพียงแต่ว่าความรู้สึกอยากแกล้งมันเกิดขึ้นในสมอง รวมทั้งช่วงเวลาที่เหมาะสมยังดำเนินมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ไอ้ความกังวลน่ะหมดไปแล้วตั้งแต่รู้ว่าพี่ยูเอาเรื่องนี้ไปบอกกับที่บ้าน รั้งเขามาจูบปากเลยดีไหม คนบ้าอะไรน่ารักชะมัด

“ก็จริงของปัณณ์ พี่ขอโทษที่รีบร้อนเกินไป” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อเรียกความกล้าแล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดพี่ยูไว้แน่น

“ไม่เป็นไรครับ เราค่อยเป็นค่อยไปกันก็ได้ ผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว” ก็หัวใจของผมอยู่ที่พี่มาตั้งนานแล้วนี่ครับ ไม่ว่าจะวางแผนหนีสักกี่ครั้งแต่สุดท้ายก็หอบเอาร่างกายกลับมาหาอยู่ดี

คนเราไม่มีหัวใจก็ตายน่ะสิ จริงไหม?

“โอเคครับ ปัณณ์โตเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่อีกนะเนี่ย” พี่ยูพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วกระชับกอดกันแน่นมากกว่าเก่า ตอนนี้เหมือนผมจมเข้าไปอยู่ในอกเขาเลยถึงแม้จะปวดเอวเพราะนั่งผิดท่าแต่ความอุ่นก็ช่วยทำให้ลืมความเจ็บได้ชั่วขณะ อืม... หอมกลิ่นตัวพี่ยูจัง นับวันยิ่งดูโรคจิตไปใหญ่แล้ว เฮ้อ

“อย่าแซวสิครับ ผมก็แค่เด็กขี้กลัวนั่นล่ะ” ผมโขกหน้าผากลงกับไหล่ของเขาเพื่อกลบเกลื่อนความเขินที่มีมากขึ้นกว่าเดิม นานๆ จะถูกชมว่าโตเป็นผู้ใหญ่กับเขาสักที รู้สึกภูมิใจจัง

“น่ารักจริงๆ เลย”

“ผมอยู่เฉยๆ นะเว้ย” ผมโวยวายเพราะไม่เข้าใจว่าจะชมเพื่ออะไรทั้งที่ก็นั่งให้เขากอดอยู่เฉยๆ ปะวะ แล้วไอ้ที่เคาะหน้าผากกับไหล่ก็ไม่ได้เข้าใกล้กับคำว่าน่ารักเลย พี่ยูประสาทกลับหรือแกล้งหยอดกันอีกเนี่ย เตรียมใจไม่ทันแล้ว

“อะไรที่ปัณณ์ทำหรือเป็นก็น่ารักหมดนั่นล่ะครับ” คำหวานหูที่ตามมาด้วยจุมพิตกลางศีรษะนั้นทำให้ผมขยำเสื้อด้านหลังของพี่ยูไว้แน่น มันรู้สึกเขินจนไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว ถ้าอ้าปากกัดไหล่เขาจะรู้สึกเบาบางลงหรือเปล่า แย่แแล้วจริงๆ นั่นล่ะ

กว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมผมคงเก๊กจนตะคริวกินไปทั้งตัวแน่ๆ เลย การยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบมันยากมากจริงๆ ถ้าเขาไม่โต้ตอบกลับมันก็สงบเงียบดีอยู่หรอก แต่ปัจจุบันทั้งรุกทั้งหยอด จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“พี่ยู... ผมจะเป็นเบาหวานตายอยู่แล้ว” เสียงอ่อยจนอยากตบปากตัวเองสักทีสองที ไอ้เรื่องที่จะซ่อนแก้มแดงๆ นี่ทิ้งไปได้เลย ป่านนี้เขาคงจับอาการผมได้ทะลุหมดแล้ว โธ่ ผู้ชายคูลๆ ที่ผ่านคู่นอนมานับสิบดันตกม้าตายเพราะพ่อหม้ายลูกติดเนี่ยนะ โคตรไม่แฟร์เลย

“อย่าเพิ่งตายครับ เดี๋ยวพี่เป็นหม้าย”

กล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง

“ตอนนี้ก็เป็นอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมผละตัวออกมาเพื่อสบตาแล้วตกย้ำความเป็นจริงให้เขาตะหนัก พี่ยูถึงกับสำลักลมหายใจจนไอโขลก ดูช่างน่าสงสารแต่อดขำไม่ได้จริงๆ

“โธ่ แค่กๆ เถียงไม่ได้เลย” พี่ยูไอจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ด้วยความที่นึกสงสารผมเลยเอื้อมมือไปลูบหลังให้เขาก่อนจะได้ยินเสียงเคาะกระจกรถ

ก๊อกๆ

ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบผลักตัวออกจากพี่ยูเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ดวงตารีเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นเอย์จิยืนพิงประตูรั้วที่เปิดเรียบร้อยแล้ว หน้าตาเขาฉายแววล้อเลียนแบบไม่ปิดบังซะด้วย คราวนี้ไอ้ปัณณ์โดนล้อเป็นอาทิตย์แน่นอน ขอลาพักร้อนได้ไหมเนี่ย ใจบางเกินจะรับไหวจริงๆ

พี่ยูชักสีหน้าไม่พอใจใส่น้องชายก่อนจะกดปุ่มลดกระจกลงเพื่อคุยกับเอย์จิ ผมเอนตัวพิงพนักหนักๆ เผื่อว่าบางทีตัวเองจะจมหายไปในเบาะได้ อยากหนีจากสถานการณ์นี้ต้องทำยังไง หายตัวเหรอ โอย กูไม่ใช่แฮรี่พอตเตอร์นะ

“มีอะไร?” ยังจะมีหน้าไปถามเขาอีกเหรอ ก็รู้ทั้งรู้ว่าเราเสียเวลากอด เอ๊ย คุยกันอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เปลืองน้ำมันรถจะตาย

“จะกอดกันจนเช้าเลยไหมครับ? ผมยืนดูมานานแล้วเนี่ย” เอย์ถามเสียงทะเล้นก่อนจะเดินเข้ามาเท้าแขนลงกับกรอบหน้าต่าง เขามองผมด้วยสายตาล้อเลียนแล้วถือวิสาสะหยิกแก้มกันเบาๆ ทำให้คนขี้หวงอย่างพี่ยูถึงกับต้องกระชากแขนอีกข้างเพื่อให้เกิดระยะห่าง ตอนนี้ระบมไปทั้งตัวแล้วครับ...

“เรื่องของพี่กับปัณณ์ แกไม่เกี่ยว” ทำหน้าดุใส่น้องไปอีก แต่อย่าคิดว่าคนอย่างเอย์จิจะกลัวเพราะเขายังยืดตัวเข้ามาด้านในเพื่อใช้มือไล้แก้มผม ไม่อยากโดนแย่งเว้ย มันดูเหมือนผู้หญิงยังไงก็ไม่รู้

“อ้อ ใช่สิ เรามันก็แค่น้อง จะไปสู้อะไรกับว่าที่เมียในอนาคตได้” การกระทำสวนทางกับคำพูดมาก แต่เป้าหมายมรอย่างเดียวคือยั่วโมโหพี่ยู เมียบ้าอะไร ผมไม่เคยเป็นเถอะ!

“เอย์จิ!” เสียงผมตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยความโมโหนิดๆ อายหน่อยๆ ที่โดนจำกัดความว่าเป็นเมียในอนาคตของพี่ยู คนที่เคยรุกชาวบ้านมาตลอดชีวิตอยู่ๆ ให้กลายเป็นฝ่ายรับก็ลำบากใจเป็นธรรมดา กลัวเจ็บ กลัวสารพัดไปทุกอย่าง

“ไม่ต้องเขินหรอกน่าปัณณ์ เราอยากให้เตรียมตัวไว้เลย พี่ยูรุกแน่นอน” สีหน้าและแววตาของเอย์จิเต็มไปด้วยความจริงจัง มือที่ไล้แก้มเมื่อครู่ผละออกแล้วเพราะโดนพี่ยูแยกเขี้ยวขู่ ผมได้แต่อึกอักมองคนข้างๆ สลับกัน ตอนนี้สมองตื้อมาก คิดอะไรไม่ออกเลย จะให้ถอยความรู้สึกก็คงทำไม่ได้แล้ว

ไอ้ที่แอบรักเขามาตลอดไม่เคยสนใจเรื่องโพสิชั่นเลยนี่หว่า พอฝันใกล้เป็นจริงทำไมอุปสรรคมันเยอะขนาดนี้เนี่ย

“ระ เรา...” พูดไม่ออกจริงๆ

“ปัณณ์ครับ ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่” พี่ยูเลื่อนมือมาจับประสานกันช้าๆ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างนั้นค่อยประคองใบหน้าผมให้หันไปสบตา ภาพสะท้อนที่เห็นมีแต่ตัวเองกับความจริงจังของเขาเท่านั้น โอเค ควรตั้งสติแล้วปรับอารมณ์ให้เข้าที่ซะ

“พี่ยู ผมไม่เคยเป็นรับ...” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสั่น พยายามแล้วที่จะลดความตื่นกลัวแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ไม่เคยเตรียมใจกับเรื่องนี้เลย แต่มันคือธรรมชาติของมนุษย์โลกที่ต้องมีเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องในความรัก ไม่ง่ายเลยจริงๆ สำหรับคนสองคนที่เป็นผู้ชาย

“ปัณณ์ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นครับ พี่ไม่แคร์เรื่องเซ็กซ์หรอก ใครรุกใครรับก็ได้ ความรู้สึกระหว่างเราต่างหากที่สำคัญ” คำปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มบางตรงหน้าทำให้ผมเผลอพยักหน้ารับเห็นด้วย หัวใจที่เคยเต้นแรงเพราะความหวาดกลัวเริ่มสงบลงจนเป็นจังหวะปกติ รู้สึกดีกับความคิดของพี่ยูจริงๆ

“หูย ฟังดูเป็นพ่อพระ” แต่มาเสียเรื่องเพราะเอย์จิแซวนี่ล่ะ แม่ง ผมเลยระแวงความเจ้าเล่ห์ของพี่ยูขึ้นมาอีกครั้งโดยการขยับตัวหนีมืออุ่นๆ นั่นจนไหล่ชิดติดประตูรถ คนต้นเรื่องหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนานก่อนจะก้มลงหอมแก้มกันแล้ววิ่งหนีเข้าบ้านไปเลย

อะ ไอ้เวรเอย์จิ หาเรื่องตายแล้วไหมล่ะ!

“มึงต้องตาย!” พี่ยูตะโกนลั่นรถจนผมต้องรีบตะครุบปากเขาเพราะเวลานี้บ้านข้างๆ คงเข้านอนไปแล้ว เกิดเขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแล้วตื่นขึ้นมาปาหัวพวกเราจะเป็นเรื่องใหญ่โต

“โหย แค่นี้ทำดุ คืนนี้ผมจะยึดริว” เอย์จิยังกล้าเดินกลับมาแซวพี่ยูแถมแลบลิ้นใส่เหมือนเด็กๆ ผมที่เป็นคนกลางก็ทำได้แค่มองทั้งคู่ด้วยความปลง โตเป็นควายยังหาเรื่องแกล้งกันได้ไม่เว้นวัน แต่ก็ให้ความรู้สึกสนิทรักใคร่กลมเกลียวดีนะ

“เชิญตามสบายครับคุณน้องชาย ไป ชิวๆ” พี่ยูไล่น้องอย่างกับหมาแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขบขัน ตอนแรกผมนึกว่าจะโกรธเรื่องเอย์จิขโมยหอมแก้มนานกว่านี้ซะอีก แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว สมกับอายุและวุฒิภาวะของเขาดี

“พี่ยู...” ผมเรียกเพราะจะบอกให้เขาขับรถเข้าบ้านสักที ตอนนี้ง่วงจนรู้สึกแสบตาแล้ว จะงอแงไม่อาบน้ำก็ไม่ได้เพราะคืนนี้ก็ยังต้องนอนกับพี่ยูเหมือนเดิม

“ปัณณ์ไม่ต้องคิดมากเนอะ” พี่ยูหันมาคลี่ยิ้มพลางขยับมือมาลูบหัวกันเบาๆ สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู แต่ตอนนี้เรากำลังพูดคนละเรื่องนะ... รอให้ผมพูดจบก่อนได้ไหมเนี่ย

“ผม...” อยู่ๆ ผมก็ชะงักกึกเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมอง หาอะไรเล่นสนุกๆ กันดีกว่า

“ครับ?” ขานรับซะเพราะเชียว เดี๋ยวมีช็อคแน่นอนคอยดู

“ผมจะรุก!” ผมหลับตาตะโกนบอกคนข้างกายอย่างหนักแน่นก่อนจะได้ยินเสียงไอโขลกตามมาติดๆ

โธ่ พี่ยูผู้น่าสงสารของปัณณ์ ไหนว่าใครรุกใครรับก็ได้ไง โกหกชัดๆ เลยอาการแบบนี้เนี่ย! ขอให้สำลักอากาศจนตายไปเลย!

ก็ได้แต่ภาวนาให้ผมไม่ใช่หนึ่งในบุคคลที่เป็นฝ่าย ‘ลุกขึ้นมารับ’ หรอกนะ





-----------------------------------------------


ความคืบหน้าของพี่ยูและน้องปัณณ์
มันก็จะน่าอิจฉาหน่อยๆ เนอะ 55555

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ครอบครัวโอเคแล้ว คบกันเล้ยย :hao7:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่ยูคงไม่ยอมเป็นรับง่ายๆหรอกนะน้องปัณณ์ 5555

ออฟไลน์ minkey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลองรับดูก่อนไหมน้องปัณณ์  :hao3:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 14 : ทงคัตสึ



อีกสามวันจะไปอัมพวาแต่ทุกคนกลับโยนให้ผมจัดโปรแกรมเที่ยวอย่างหน้าตาเฉยทั้งที่ไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในทริปนี้ ใครอยากไปตรงไหนก็ช่วยออกความคิดเห็นบ้างสิวะ แล้วดูพี่ยูสิ เอาแต่เล่นมวยปล้ำกับริวจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ส่วนเอย์จิก็เดินวนรอบห้องเหมือนหนูติดจั่น ต่อสายหาไอ้ทอยซ้ำๆ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์ มันจะมีอะไรวุ่นวายเท่าตอนนี้อีกไหม ปวดหัวเว้ย

ผมเท้าแขนลงกับโต๊ะญี่ปุ่นแล้วคลิกเม้าส์เลือกหัวข้อเที่ยวอัมพวาในกูเกิ้ลไปเรื่อย ส่วนมากก็แนะนำคล้ายๆ กัน มีตลาดน้ำ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด ศูนย์อนุลักษณ์แมวไทย วัดบางกุ้ง ตลาดร่มหุบ อุทยานร.2 ประมาณนี้ เอาตามตรงเราสามารถตระเวนเที่ยวครบทุกที่ได้แต่ยังไม่รู้รายละเอียดเลยว่าไปกี่วันกี่คืน แล้วไอ้สมาชิกครอบครัวทั้งหลายช่วยหยุดทำเรื่องปวดหัวแล้วสนใจกันหน่อยได้ไหมเนี่ย ที่เรียกมารวมตัวกันก็เพราะอยากให้ออกความคิดเห็น ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่!

“พี่ยูครับ” ผมตะโกนแข่งกับเสียงหัวเราะของพ่อลูกที่ตอนนี้กำลังเล่นเครื่องบินลอยไปลอยมาอยู่บนที่นอน นั่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกัน ขนาดเรียกซ้ำไปอีกสองครั้งก็เฉย โอเค หันไปเรียกเอย์จิแทนก็ได้วะ

“เอย์... ขอบคุณครับ เฮ้อ” ผมสบถคำประชดประชันด้วยเสียงฉุนๆ เพราะเอย์จิเปิดประตูกระจกออกไปยืนรับอากาศยามค่ำพอดี สรุปว่าไม่มีใครสนใจทริปอัมพวาเลยใช่ไหม โทรไปหาคุณป้าเพื่อยกเลิกซะเลยดีกว่าปะ เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ

ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาก่อนจะเหยียดแขนยาวไปตามโต๊ะแล้วซบหน้าลง ดวงตากรอกขึ้นด้านบนพร้อมกับเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่าย ไม่หันไปทางพี่ยูให้อารมณ์เสียกว่าเดิมหรอก วันนี้ก็ทำงานตัวเป็นเกลียวเหนื่อยจนอยากหลับๆ ซะตรงนี้ ถ้าไม่ติดเรื่องทริปเที่ยวกับจัดกระเป๋าเดินทางน่ะนะ

“ปัณณ์ครับ” น้ำเสียงหวานๆ ของพี่ยูทำให้ผมเบนหน้าไปหาอย่างคาดหวัง เขาคงเลิกเล่นกับลูกแล้วลงมาช่วยกันเลือกสถานที่เที่ยวแน่ๆ แต่มือที่ชี้ไปตรงพื้นข้างตัวคืออะไร

“ช่วยเก็บพี่หมีให้ริวหน่อยครับ” ริวอะไรล่ะ ผมเห็นหลานนอนนิ่งหลับปุ๋ยไปแล้ว!

“.....” ผมนี่กัดฟันกรอดอย่างโมโหก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมีที่นอนอยู่ไม่ไกลขว้างใส่หน้าพี่ยู แม่นตรงเป้าหมายจนอีกคนถึงกับส่งเสียงร้องประหลาดและบ่นพึมพำอยู่คนเดียว สมน้ำหน้า คนเขาจะพูดด้วยแต่ไม่สนใจเอง หึ

“โกรธอะไรพี่ครับเนี่ย?” คนโดนกระทำคลานต้วมเตี้ยมมาถึงปลายเตียง ใบหน้าดูมึนๆ งงๆ จนผมได้แต่เบ้ปากใส่พลางขยับตัวหนีมือที่กำลังจะเอื้อมมาจับไหล่กัน ตอนนี้ขอปรับอารมณ์ก่อนเถอะ หงุดหงิดขั้นกว่าแล้ว ก็ใครใช้ให้เอย์จิชวนไอ้ทอยไปเที่ยวด้วย มันไม่ได้ความจำเสื่อมนะเว้ย ที่เดี๋ยวเดียวก็ลืมว่ากำลังอกหักจากใคร

“สนใจผมได้แล้วเหรอไง?” ยืดตัวขึ้นแล้วหันไปมองเขาตาขวางก่อนกระแทกเม้าส์ลงกับโต๊ะ พี่ยูสะดุ้งพอๆ กับเอย์จิที่เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วผงะไป แม่ง ทั้งคู่เลย สำนึกหรือยังว่าลืมอะไร ถ้าตรงหน้าผมคือโบว์ชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแบบกระดาษคงขยำทิ้งไปแล้ว

“นี่น้อยใจเหรอครับ?” พี่ยูเอ่ยถามพลางขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินมานั่งลงข้างกัน ผมผละหนีห่างออกมาเกือบสามฟุตแล้วลากโต๊ะญี่ปุ่นติดมาด้วยเพราะกลัวว่าจะเผลอทุบเขาเข้าให้ หมั่นไส้มาก หลงตัวเองที่หนึ่ง คิดว่าสำคัญนักหรือไง ไม่มีใครน้อยใจทั้งนั้นล่ะ!

“ใช่ก็บ้าแล้ว!” ทำไมผมต้องใส่อารมณ์จนน้ำลายกระเซ็นแบบนี้แถมยังกำหมัดแน่นพร้อมต่อย รู้สึกปวดแปลบๆ ในอกด้านซ้ายด้วย ไม่จริงน่า คำถามของพี่ยูแทงใจดำอย่างนั้นเหรอ

“อ้าวเหรอ? สงสัยพี่เข้าใจผิดไปเอง” เขาทำหน้าหงอยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนก้าวขาเดินหนีจนผมต้องรีบคว้าข้อมือเพื่อรั้งไว้ ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนเอย์จินั้นหายไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว สงสัยหลบไปทำใจแน่ๆ เพราะคนอย่างไอ้ทอยไม่กล้าเจอหน้ากันหรอก ก็แผลใหญ่เท่าฝ่ามือแต่ตอนนี้ตกสะเก็ดแค่ปลายนิ้วก้อยเองมั้ง

“จะไปไหนครับ?” ผมถามเสียงขุ่นพร้อมจ้องเขม็ง พี่ยูเลิกคิ้วทำหน้าเหวอๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ริวซึ่งหลับสนิทอยู่บนเตียง ยุ่งวุ่นวายอะไรกับลูกอีกล่ะ

“ก็... กลับไปอ่านนิทานให้ลูกฟังไงครับ” พี่ยูตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูยังไงก็โคตรตอแหล ถ้าอยากแกล้งผมช่วยหาวิธีที่ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม ไม่ใช่จงใจแบบชัดๆ จนน่าโมโห ใครมันอ่านนิทานให้ลูกฟังหลังหลับไปแล้วกัน

“ริวหลับไปแล้ว” ผมกัดฟัดกรอดบอกเขาเสียงรอดไรฟันพร้อมกับออกแรงบีบข้อมือแน่นจนพี่ยูเบ้ปากแต่ก็ไม่ได้สะบัดทิ้ง ดวงตาคมมองกันอย่างอ้อนๆ เกือบจะใจอ่อนแล้วแต่ความโมโหเอาชนะได้ หึ

“อ้าว... ลืมไปเลยเนอะ” ยังมีหน้ามายิ้มกว้างให้อีกเหรอ ถ้าไม่ติดว่าพี่ยูอายุมากกว่าเป็นสิบปีจะลุกขึ้นเตะๆๆๆ จนเดี้ยงเลย หึ

“กวนตีน!” ตะโกนด่าเขาเสียงดังอย่างลืมตัวเลยต้องรีบลุกขึ้นไปดูริวบนเตียงว่าตื่นหรือเปล่า แต่โชคดีที่เด็กน้อยยังคงหายใจเข้าสม่ำเสมอ แก้มกลมๆ บุ๋มลงเพราะกำลังคลี่ยิ้ม สงสัยกำลังฝันหวานอยู่ น่าอิจฉาเนอะ

“เปลี่ยนเป็นกวนใจแทนได้ไหมครับ?” พี่ยูที่เดินตามเข้ามาประชิดตัวเอ่ยเสียงทะเล้น ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่ตรงท้ายทอยทำให้ผมต้องขยับตัวหนีจนติดหัวเตียง เขาเลยยกแขนขึ้นดันกำแพงข้างหนึ่งเพื่อกักขังกันไว้ในอ้อมกอด ใกล้เกินไปแล้ว เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!

“อัมพวาเนี่ยไม่ต้องไปแล้วนะ” ผมตัดสินใจผลักอกพี่ยูด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเซถอยหลังเกือบล้มก้นกระแทกพื้น พอหนีออกมาได้ก็ยืนหายใจหอบมองเขาด้วยสายตาดุดัน

“เฮ้ยๆ ได้ไงครับ พี่อุตส่าห์วางแพลนไว้อย่างดิบดี” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถลึงตาใส่แล้วชี้หน้าให้เขาหยุดอยู่ตรงนั้น ยอมรับว่าโมโหมากที่โดนปั่นหัว ถ้าสติแตกขึ้นมาอาจจะอาละวาดบ้านแตก สนุกมากหรือไงวะ ทั้งพี่ทั้งน้องเลย

“ปล่อยให้ผมจัดการทุกอย่างคนเดียวแล้วยังมีหน้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอครับ?” ยั้งปากไม่ทันแล้ว ดูเหมือนพี่ยูจะตกใจมากเพราะสีหน้าแสดงออกชัดเจน ผมลอบถอนหายใจพลางยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อปรับอารมณ์ให้เย็นลง การถูกเมินมันแย่มากไม่รู้กันหรือไง ทิ้งทุกอย่างให้ตัดสินใจคนเดียวทั้งที่ควรช่วยกันคิดมันถูกแล้วเหรอ

ผมเชื่อว่าเขาได้ยินตอนโดนเรียกชื่อแต่ทำเมินกันเพื่อแกล้ง ทริปไปเที่ยวก็ของเขา ถ้าเลือกอยู่คนเดียวแล้วสุดท้ายไม่มีใครถูกใจจะรู้สึกยังไงวะ นั่นคนทั้งครอบครัวเลยนะ

“พี่แค่อยากให้ปัณณ์เป็นคนเลือกว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ก็แค่นั้นเอง” พี่ยูบอกเสียงอ่อย สีหน้าดูแย่มากจนผมเผลอใจกระตุก แต่ด้วยแรงอารมณ์ที่ยังโมโหไม่หายเลยทำให้หลุดปากออกไปอีกครั้ง ถึงมันจะเบาแต่เชื่อว่าอีกคนได้ยินชัดเจนแน่นอน

“ผมไม่ได้อยากไป”

“ปัณณ์...” พี่ยูเรียกชื่อกันเสียงแผ่ว ดวงตาคมฉายแววเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ผมอึกอักส่วนขาก็ก้าวไปหาคนตรงหน้า อยากขอโทษ อยากกอด แต่เขากลับยกมือขึ้นห้ามก่อนจะคลี่ยิ้มบางส่งมาให้ ทำไมล่ะ โกรธที่พูดแบบนั้นเหรอ ก็พี่แกล้งปัณณ์ก่อนไม่ใช่หรือไง

“ผม...”

“พี่ขอโทษ ปัณณ์ไม่ต้องจัดการอะไรแล้วครับ ไปนอนเถอะ” เขาพูดจบก็จัดการตรงไปปิดโน้ตบุ๊คและพับโต๊ะญี่ปุ่นเก็บเข้าที่ ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกวูบโหวงในใจ ถ้ามีเหตุผลและควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้อะไรๆ คงไม่แย่ใช่ไหม ปัณณ์งี่เง่าเอง...

“พี่ยู...” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะไหล่พี่ยูแต่ต้องชะงักเมื่อโดนอีกคนเอี้ยวตัวหลบ หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อการโดนเมินครั้งนี้หนักกว่าที่ผ่านมา เขาแค่เสียใจไม่ได้โกรธ ต้องหาวิธีง้อสินะ

“นอนเถอะครับ พี่ง่วงแล้ว”

สุดท้ายผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับแล้วคลานขึ้นเตียงไปนอนตรงกลางที่เดิม สวิตซ์ถูกปิดลงทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดและได้ยินเพียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจนฟูกยวบตัวลง เมื่อสายตาปรับการมองเห็นได้สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองพี่ยู เขานอนตะแคงหันหลังให้กันเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูด งานหนักแล้วปัณณ์เอ๊ย

นอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดมากเรื่องของเขาไม่หยุด ต้องทำยังไงถึงจะคุยกันได้ดีเหมือนเดิม ปกติแล้วพี่ยูชอบแอบเนียนมากอดกันไว้ แต่คราวนี้ฝ่ายที่อยากทำแบบนั้นกลับเป็นผมเอง ชั่งใจอยู่ไม่นานก็เอื้อมมือไปพาดช่วงเอวสอบเบาๆ แต่ต้องชะงักกึกเมื่อริวกลิ้งมาชนหลัง โอย ใจหายใจคว่ำหมดแล้ว

ผมลอบถอนหายใจดึงมือกลับแล้วพลิกตัวไปอีกด้านเพื่อจัดท่านอนให้ริวซะใหม่ และในจังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงพี่ยูลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบอะไรบางอย่างที่ปลายเตียงก่อนจะเดินออกไปข้างนอก ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นโน้ตบุ๊ค เวลานี้มันเกือบตีสองแล้วไม่ใช่หรือไง

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงเพื่อตามไปดูว่าพี่ยูทำอะไร ขายาวๆชะงักอยู่หน้าประตู นับหนึ่งถึงสิบเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะเอื้อมมือจับลูกบิดแง้มมันออกช้าๆ จนแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามา จากตรงนี้มองเห็นแผ่นหลังกว้างของเขาได้อย่างชัดเจนแต่นั่นทำให้ยากต่อการเดาว่ากำลังทำอะไร

โจรก็ไม่เคยเป็น จอมยุทธ์ในหนังจีนก็ไม่ใช่แต่ผมต้องมาเดินย่องเบาเพื่อเข้าไปใกล้พอที่จะเห็นว่าพี่ยูกำลังทำอะไรกับโน้ตบุ๊ค แอบดูหนังโป๊หรือสะสางงานที่ค้างอยู่กันแน่ ถ้าคิดแง่ลบหน่อยเขาคงกำลังคุยกับใครสักคน เพียงเท่านี้หัวใจก็รู้สึกปวดแปลบแล้ว... แต่เมื่อครู่เกือบสะดุดลูกบอลของริว โอย จะบ้า ใครเอามาทิ้งไว้ตรงนี้เนี่ย

อีกแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่ผมจะเข้าประชิดตัวพี่ยูได้แล้ว แต่สายตาดันชะงักเมื่อเห็นบางอย่างในจอสี่เหลี่ยมนั่น จำได้ว่ามันคือหน้าเว็บไซต์กูเกิ้ล ส่วนคำค้นหายิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจ เขากำลังจัดทริปเที่ยวเอง

ผมเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในอก ดวงตารื้นไปด้วยน้ำสีใส ภาพตรงหน้าบ่งบอกได้ดีว่าพี่ยูกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้ไปเที่ยวด้วยกันถึงแม้ว่าจะโดนพูดจาทำร้ายจิตใจ ต้องยอมอ่อนข้อให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างปัณณ์ขนาดนี่เลยเหรอครับ...

“พี่ยู...” ผมเอ่ยเรียกคนตรงหน้าเสียงสั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดรอบคอเอาไว้แน่น ซบซุกใบหน้าลงบนลาดไหล่กว้างแล้วปล่อยหยดน้ำตาให้ไหลเงียบๆ อยากขอโทษแต่ปากดันไม่ขยับ

พี่ยูสะดุ้งแต่ก็นิ่งไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไม่ปัดป้องไม่ผลักไสจนผมรู้สึกโหวงในอก อย่าเงียบแบบนี้ จะด่าจะว่าแรงๆ ก็ได้ ผม... ไม่เอาแบบนี้ ไม่ชอบ

“พี่ครับ...” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่นพลางกระชับกอดมากยิ่งขึ้นแต่ไม่ถึงขนาดทำให้เขาหายใจลำบาก พี่ยูไม่หือไม่อือทำเหมือนตัวเองอยู่คนเดียว มือหนายังคงคลิกเม้าส์ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ปัณณ์กลายเป็นอากาศธาตุสำหรับพี่ไปแล้วเหรอ

“.....”

“โกรธผมเหรอ?” ผมรวบรวมความกล้าถามเขาออกไปทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ แต่อยากฟังเหตุผลที่พี่ยูทำตัวเย็นชาแบบนี้ต่างหาก เสียใจมากจนเลิกชอบกันแล้วเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นปัณณ์ต้องทำยังไง ต้องขอโทษแบบไหนเราถึงจะกลับมารู้สึกเหมือนเดิม

“เปล่าครับ” คำตอบช่างขัดแย้งกับการกระทำเหลือเกิน ถ้าพี่โกรธก็บอกว่าโกรธเถอะ เป็นแบบนี้ผมเจ็บจนไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว จะงอแงโวยวายเหมือนเด็กก็ไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟายก็คงไม่สนใจ

“แต่พี่เมินผม ไม่สนใจ ไม่กอด...” คำสุดท้ายแผ่วลงเพราะผมเอาแต่ซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้างเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น นี่ขนาดร้องไห้จนเสื้อกล้ามเขาเปียกยังไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาจากจอโน้ตบุ๊คมาสนใจกันเลย หรือต้องให้สารภาพรักถึงจะยอมปลดความเย็นชาทิ้ง

“พี่แค่รู้สึกแย่”

“ผมขอโทษ ขอโทษที่พูดไม่ดี” ผมรีบเอ่ยคำขอโทษเสียงสั่นก่อนจะผละออกจากไหล่กว้างเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของเขา พี่ยูส่ายหัวดิกเป็นการปฏิเสธแล้วทาบทับมือลงมาบนแก้ม ความอุ่นที่แผ่ซ่านทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นจนก้องอยู่ในหู

“ไม่ใช่ครับ แต่พี่รู้สึกผิดที่แกล้งปัณณ์มากไป” เสียงเขาเจือไปด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ ทั้งใบหน้าและดวงตาที่หันมามองกันตอนนี่เต็มไปด้วยความเศร้า ผมขยับตัวหนีเพราะไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนขี้แยที่กลัวเขาไม่รัก

“ฮึก ผมงี่เง่าเอง พี่อยากเอาใจผมไม่ใช่เหรอ?” ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาลวกๆ ภาพตรงหน้าเบลอจนไม่รู้เลยว่าพี่ยูกระโดดข้ามโซฟามาตั้งแต่ตอนไหน ตั้งสติได้อีกทีเมื่อโดนเขาดึงเขาไปปะทะกับอกแล้วรวบกอดไว้ทั้งตัว อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆ ที่สัมผัสกันทำให้หัวใจคลายความหนักอึ้งลงแต่ไม่ได้ช่วยให้หยุดร้องไห้เลย

“แต่ปัณณ์ไม่ชอบ” มือหนายกขึ้นลูบหัวกันช้าๆ แขนข้างที่เหลือก็กระชับกอดกันมากขึ้นเหมือนเป็นการไถ่โทษกลายๆ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธที่จะรับสัมผัสนี้อย่างเต็มใจ

“ผมแค่... รู้สึกแย่ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนรับผิดชอบทริปขึ้นมาแถมไม่มีใครช่วยวางแผน” คำสารภาพเหมือนเด็กน้อยหลุดออกมาจากปากด้วยเสียงเบาแทบกระซิบ ผมซุกใบหน้าเข้ากับอกแกร่งก่อนจะถูไถเบาๆ เพื่ออ้อนแต่เขาคงไม่รู้เพราะเอาแต่ลูบหัวกันอยู่นั่น

“ขอโทษนะครับ พี่เข้าใจแล้ว”

“อื้อ พี่ยูครับ...” ผมพยักหน้ารับก่อนจะผละออกมาเรียกชื่อเขา ใช้สายตาหวานๆ มองจ้องริมฝีปากหยัก ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนลมหายใจประสานกัน อีกแค่คืบเดียวเท่านั้น

“คะ...” พี่ยูเปล่งเสียงตอบรับได้แค่นั้นก็ถูกปิดปากจนเกิดเสียงดัง...

จุ๊บ

เป็นผมเองที่เคลื่อนตัวเข้าไปจุมพิตบนริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะผละออกมามองหน้ากันอีกครั้ง พี่ยูแสดงสีหน้าอึ้ง ร่างกายกระตุกเกร็ง ดวงตาคมเบิกกว้าง ที่ร้ายแรงสุดคือเขากลั้นหายใจด้วย... ทุกอย่างเหมือนถูกสต๊าฟไว้จริงๆ ช็อคไปแล้วหรือเปล่านะ

“.....”

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้ครับ” ผมคลี่ยิ้มหวานให้ทั้งที่ในใจอยากมุดหนีแทบตาย คราวนี้จุ๊บเขาทั้งที่มีสติครบถ้วนทั้งคู่แถมต่อหน้าต่อตาอีกด้วย โอย นี่ปัณณ์ไปเอาความกล้ามาจากไหนเยอะแยะหืม งงตัวเองสุดๆ

“ปะ ปัณณ์...” เสียงเอ่ยเรียกชื่อขาดห้วง สีหน้าของพี่ยูเปลี่ยนเป็นเครียดขึงจนผมแอบใจเสีย หรือว่าทำเกินไปแล้วเขาไม่ชอบ แย่แน่ๆ อุตส่าห์คิดว่าวิธีการง้อแบบนี้ได้ผลดีที่สุดแล้วนะ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะก้มหน้าลงมองปลายเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดมหันต์มากกว่าตอนโวยวายเรื่องทริปเที่ยวอีก ก็คนมันเผลอเริ่มก่อนไปแล้วให้ทำยังไง พี่ยูนั่นล่ะผิด ใครใช้ให้ทำหน้าหมาหงอยจนรู้สึกน่าสงสารกันล่ะ

“พี่ตกใจ... เมื่อกี้มันเหมือนความฝัน” เขาพูดเพ้อๆ โดยที่ดวงตามองตรงไปด้านหน้าแบบไร้จุดโฟกัส เหมือนคนเพิ่งตื่นยังหาสติตัวเองไม่เจอ ผมไม่ตอบอะไรแต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้าอีกครั้ง

จุ๊บ

แตะจูบที่ปลายคางสากอย่างแผ่วเบา ผละตัวออกมาก็เห็นพี่ยูเม้มปากแน่น ดวงตาคมย้ายจุดมองมาทางนี้ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาเพื่อแตะลงบนแก้มของผม มันทั้งสั่นและเย็น

“ใกล้เคียงความจริงหรือยังครับ?” ผมเอ่ยถามเสียงทะเล้นทั้งที่แก้มร้อนเห่อไปหมด ถือว่าเป็นการเอาคืนพี่ยูบ้างแล้วกัน คนอะไรเป็นเชฟทำอาหารญี่ปุ่นดีๆ ไม่ชอบดันมาขายขนมครกหยอดได้หยอดดี

“มัน...” พี่ยูยังคงพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่มือหนาก็ลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของผมช้าๆ อย่างพิจารณา เหมือนเขากำลังชั่งใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและภาพตรงหน้าใช่ของจริงหรือเปล่า

“งั้น... ผมขอทำให้ชัดเจนมากขึ้น พี่จะได้ไม่ต้องคิดมากเนอะ” จบคำพูดผมก็ถือวิสาสะโอบแขนเข้ากับรอบคอของพี่ยู ออกแรงโน้มศีรษะเขาลงมาใกล้จนริมฝีปากของเราแตะกัน ทุกอย่างในโลกราวกับหยุดนิ่ง ดวงตาปิดสนิทเพื่อรับรู้การสัมผัสให้มากยิ่งขึ้น

มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น... เพราะผมเป็นฝ่ายบดริมฝีปากลงไปแนบชิด ละเลียดชิบ ไล่เลียไปตามรอยแยก ขบเม้ม ดูดดึงจนเกิดเสียงหยาบโลน ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้ติดปีกโบยบินบนท้องฟ้ากว้าง ดีจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้

ทั้งหมดที่ผมทำเหมือนการกระตุ้นพี่ยูให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง เขาเริ่มตอบรับ รุกเร้า สอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานในโพรงปาก อ้อมกอดคลายออกแต่แทนที่ด้วยมืออุ่นซึ่งเริ่มลูบไล้ไปตามเอวสอบ ถ้ามากกว่านี้เราคงจบกันบนโซฟาแน่ๆ

“อื้อ!” ผมส่งเสียงประท้วงก่อนใช้มือทุบเข้าที่ไหล่ของเขาเป็นสัญญาณเตือน พี่ยูชะงักกึกแล้วรีบผละตัวออก เราทั้งสองคนหน้าแดงยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศ ครั้นจะสบตากันตรงๆ ก็ดูลำบากแถมยังขัดเขินมาก สุดท้ายเลยกลายเป็นต่างคนต่างหันหลังใส่กัน โอย จูบกับคนมาเป็นสิบ ไหงต้องมาตายเพราะจูบกับเขาด้วยว่ะ

“เรา...” พี่ยูเป็นฝ่ายทำลายความเงียบหลังจากที่ผมยืนแตะปากตัวเองร่วมนาที ก็สัมผัสตอนจูบยังติดค้างอยู่เลยนี่นา

“.....”

“จูบกันขนาดนี้แล้ว พี่อยากรู้ว่า...” แล้วเขาก็เงียบไปเหมือนให้ผมมีส่วนร่วมในการโต้ตอบซึ่งมันขัดใจคนอยากรู้มาก

“ครับ?” แม่ง สุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อของเขาจนได้

“เป็นแฟนกันได้หรือยัง?” มันคือคำขอเป็นแฟนที่ง่ายและคนฟังไม่ทันตั้งตัว ผมไม่ซีเรียสวิธีการเนื่องจากความรู้สึกสำคัญกว่า แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เพราะคนที่จะเป็นฝ่ายขอต้องเป็น...

“รีบเหรอ?” ผมนี่ล่ะ ก็บอกแล้วว่าจะเป็นฝ่ายรุกไงเล่า จำไม่ได้หรือไง

“ก็เปล่าครับ แต่ไม่อยากรอ” แต่พี่ยูคงลืมไปแล้วเพราะเป็นเขาเองที่รุกเอาๆ จนผมเกือบเป๋ตอบรับ ก็น้ำเสียงที่ใช้มันน่าสงสารจับใจ เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินจริงๆ ถ้าเจ้าชู้หน่อยคงมีเมียเป็นโขยงแน่

“แต่ผมอยากให้พี่รออีกนิด”

“ขอถามเหตุผลได้ไหม?”

“ได้ครับ แต่ผมไม่ตอบ” ไม่ได้ตั้งใจจะกวนแต่เพราะสิ่งที่ผมอยากทำนั้นก็แค่สร้างเหตุการณ์ให้เขาจำวันแรกที่เราตอบตกลงเป็นแฟนกันได้อย่างแม่นยำและตราตรึง (คนส่วนใหญ่มักลืมเหตุการณ์ในวันนั้น)

“โธ่ ทำไมปากแข็ง อยากโดนจูบอีกรอบเหรอ?” ถึงปากจะว่าผมแบบนั้นแต่เขากลับเดินมากอดกันจากด้านหลังประสานมือไว้บนหน้าท้อง วางคายเกยกับไหล่ มันคงดูโรแมนติกมากในสายตาคนอื่น

“มากอดผมทำไมเนี่ย แล้วใครปากแข็งครับออกจะนุ่ม ไม่งั้นพี่คงไม่จูบจนเจ่อขนาดนี้หรอก” ผมตั้งใจจะพูดให้เขาเขินแต่เป็นตัวเองที่ดันแก้มร้อนวูบ พี่ยูสะดุดลมหายใจไม่โต้ตอบ เขาค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกพลางพึมพำเสียงเบา

“พี่อยาก...” มองกันด้วยสายตาหวานเชื่อมคืออะไร

“อะ อะไรครับ?”

“อยากเข้าห้องน้ำครับ ปวดฉี่มาก” แล้วพี่ยูก็ปิดท้ายประโยคด้วยการยิ้มเผล่ก่อนจะยกมือขึ้นจับกลางเป้า ผมที่เผลอมองตามเลยต้องรีบเบนหน้าหนีกลบเกลื่อนความลามกของตัวเองด้วยการออกปากไล่เขา

“รีบไปเลย!” โอย กลั้นยิ้ม กลั้นเขินจนปวดแก้มไปหมดแล้ว

ผมเดินไปปิดโน้ตบุ๊คแล้วยกมันขึ้นกอดแนบอกเพื่อเอากลับเข้าห้อง จังหวะที่กำลังจะก้าวขาออกนั้นหูดันแว่วได้ยินเสียงลอยมาจากห้องน้ำ ยิ่งขยับตัวใกล้มากขึ้นทุกสิ่งก็ยิ่งชัดเจนจนอยากเอาหัวโขกกำแพงให้ตายๆ ซะ โอ๊ย!

เข้าห้องน้ำเพราะปวดฉี่บ้าอะไรถึงมีเสียงประหลาดๆ รอดออกมาเนี่ย แถมที่พีคสุดคงเป็นการเรียกชื่อผมนี่ล่ะ รู้จักกันมาก็นานเกือบค่อนชีวิตทำไมเพิ่งมารู้วันนี้ว่าพี่ยูคือไอ้โคตรหื่น ฮือ แก้มร้อนไปหมดแล้ว!

กว่าจะได้นอนเป็นเรื่องเป็นราวก็เกือบสว่าง พอผ่านไปประมาณสองชั่วโมงริวก็ตื่น ผมงัวเงียลุกขึ้นในขณะที่พี่ยูหายไปจากเตียงแล้ว ไม่ไปทำอาหารก็คงหนีไปออกกำลังกายเหมือนเดิม รู้สึกว่าช่วงนี้เขาฟิตหนักกว่าปกติ สงสัยอยากเรื่องซิกแพคแน่นๆ กลับมาให้สาวกรี๊ด หึ เสน่ห์แรงมากหรือไง หมั่นไส้

ผมจัดแจงอุ้มริวขึ้นแนบอกก่อนหาวออกมาพร้อมๆ กันทั้งคู่ ความง่วงไม่เคยปรานีใครแต่เราจำเป็นต้องตื่นเพื่อทำกิจวัตรประจำวันต่อไป วันนี้มีแพลนเดินห้าง กินข้าว ซื้อของเข้าบ้าน จัดกระเป๋าเดินทาง และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่พอจะทำได้

“น้าปัณณ์ ~” เสียงงัวเงียของหลานทำให้ผมดึงตัวเองกลับสู่เหตุการณ์ปัจจุบันก่อนเริ่มก้าวขาตรงไปยังห้องน้ำ เด็กน้อยซุกซบใบหน้าลงบนลาดไหล่คงง่วงล่ะมั้ง อยากให้นอนต่ออยู่หรอกแต่เดี๋ยวจะไม่ทันออกไปข้างนอก

“ครับริว”

“อยากกินติมๆ” เจ้าเด็กน้อยถูไถหัวกลมๆ ไปตามลาดไหล่ของผมอย่างออดอ้อนจนอดไม่ได้ที่จะขยับมือไปดึงแก้มนุ่ม โดนพ่อปฏิเสธเลยมาหาแนวร่วมเป็นน้าปัณณ์สินะ เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย

“เดี๋ยวน้าจะขอป๊าให้เนอะ”

“ต้องอ้อนๆ ป๊าจะยอม” ริวบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในขณะที่ผมลำลักอากาศจนไอโขลก หมายความว่ายังไงไอ้ที่ต้องไปอ้อนป๊าเนี่ย คนอยากกินไอติมเป็นใครกันแน่เล่า

ผมวางริวลงบนเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้าแล้วมองด้วยความเอ็นดู ดวงตากลมโตฉายแววออดอ้อนแถมมือเล็กๆ ก็เอื้อมมาขยำชายเสื้อกันจนแน่น ท่าทางคงอยากกินไอติมจริงๆ แต่เจ้าตัวแสบยังไม่หายป่วยนี่นา ถึงให้น้าปัณณ์อ้อน ป๊าก็คงไม่ยอมหรอก พี่ยูจะลากไปทำอย่างอื่นมากกว่าน่ะสิ

พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็แก้มร้อนทันที บ้าเอ๊ย ใครอนุญาตให้เขาเรียกชื่อผมตอนช่วยตัวเองกันล่ะ โคตรลามกเลย!

“ริวอ้อนป๊าเองแล้วกัน” ผมบอกปัดก่อนจะจัดแจงถอดเสื้อผ้าของริวออกเพื่ออาบน้ำโดยไม่สนใจเสียงง้องแง้งของหลาน เจ้าตัวขยับหนีคลานไปอยู่ตรงมุมสุดของเค้าน์เตอร์เบะปากเตรียมร้องไห้เมื่อโดนขัดใจ

ผมลอบถอนหายใจก่อนเอื้อมมือไปลูบแก้มหลานเบาๆ แต่เด็กน้อยกลับขดตัวเพื่อหนีแล้วส่งเสียงสะอื้นมาเป็นระยะ ทำให้คนเป็นน้าหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไม่เอาแบบนี้สิครับเจ้าตัวแสบ น้าปัณณ์แย่แน่ๆ เลย ใครสั่งใครสอนให้บีบน้ำตาเวลาโดนขัดใจเนี่ย อาเอย์จืใช่ไหม โอย

“ไม่เอา น้าปัณณ์อ้อนๆ ป๊านะ ฮึก ~” ริวเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมามองกันก่อนจะเอ่ยคำขอร้องด้วยเสียงขาดห้วงเพราะยังไม่เลิกสะอื้น ผมอึกอักไม่รับคำในทันทีแต่ดึงตัวหลานเข้ามากอดปลอบเป็นอย่างแรก ขืนพี่ยูกลับมาเห็นสภาพนี้เดี๋ยวจะโดยซักยาวอีก ขี้เกียจตอบคำถามไปหน้าร้อนไป มันไม่คูล

ริวนิ่งไปแค่ครู่เดียวก็ดิ้นขลุกขลักพลางส่งเสียงงอแงดังขึ้นอีกครั้งเพราะยังไม่ได้คำตอบจากผม สาบานเถอะว่าเขาเป็นเด็กสามขวบ แต่ความเจ้าเล่ห์นี่เทียบเท่าคนพ่อกับอาเลยมั้ง นิสัยมันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้เด่นชัดขนาดนี้เชียวหรือ จะเหมือนกันมากไปแล้ว

“อะ โอเคๆ ริวเลิกร้องไห้นะครับ” สุดท้ายผมก็แพ้น้ำตาเด็กจนได้ พอเห็นรอยยิ้มสดใสของริวก็ตระหนักได้ว่าพลาดเข้าแล้ว นี่ต้องเป็นแผนการจากคนพ่อแน่ๆ ร้ายนักนะ อยากให้ปัณณ์อ้อนก็บอกดีๆ สิ จะทำให้อ่อนระทวยไปทั้งตัวเลย หึ

หลังจากปราบเจ้าตัวแสบให้สงบลงได้ผมก็จัดการอาบน้ำพร้อมๆ กับหลานไปเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่แทนที่ทุกอย่างจะราบรื่นเหมือนทุกครั้งกลับเกิดปัญหาใหญ่ซะได้ อยู่ๆ ริวก็งอแงอยากให้พ่อเข้ามาในห้องน้ำด้วยตอนนี้ เดี๋ยวนี้ หนูอยากให้น้าตายคาที่ใช่ไหมหื้ม

ณ เวลานี้มันทำได้ที่ไหนกันเล่า ก็เมื่อคืนพี่ยูเพิ่งช่วยตัวเองโดยการเรียกชื่อกันซะดังลั่น แล้วถ้าวันนี้อยู่ๆ ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไปเรียกเขาเข้ามาอาบน้ำด้วยกันไม่เท่ากับว่าเชิญชวนเหรอ... นั่นหายนะชัดๆ เลยนะ คงได้ข้ามขั้นจากแฟนไปเป็นผัวเมียเลย เก๋ดีไหมล่ะ แค่คิดก็เครียดแล้ว

ถ้าผมมีเปอร์เซ็นต์ว่าจะกดพี่ยูได้แน่ๆ คงไม่ต้องลังเลขนาดนี้ รวบหัวรวบหางให้จบไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้วเว้ย แต่นี่อะไร แค่ขนาดร่างกายก็แพ้ยับเยินแล้ว จะทำยังไงดีวะ!

“จะเอาป๊า ~ ฮือ” ริวสะอื้นส่งเสียงเรียกหาพ่อไม่หยุดหย่อนจนผมเริ่มใจเสีย พอเข้าไปปลอบก็โดนหลานผลักออกมา สุดท้ายเลยทำได้แค่รีบล้างฟองสบู่ออกจากตัวหยิบผ้าขนหนูมานุ่งแล้ววิ่งออกจากห้องน้ำเพื่อตรงไปหาโทรศัพท์ ต้องเรียกพี่ยูกลับมาเดี๋ยวนี้





ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมชะงักกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงที่กำลังเปิดประตูเข้ามา ขายาวรีบหมุนกลับทางเดิมเพราะไม่อยากให้พี่ยูเห็นตัวเองในสภาพนี้ มันล่อแหลมเกินไป แต่คงไม่ทันแล้ว เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาคือสิ่งยืนยันชั้นดี

“ฟองยังติดคออยู่เลย รีบออกมาทำไมครับ?” พี่ยูเข้ามาประชิดตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ผมดันชะงักอยู่ตรงหน้าห้องน้ำเมื่อโดนมือหนาแตะลงบนต้นคอเพื่อปาดคราบฟองสบู่ออก ถ้ามันหยุดแค่นั้นคงดีไม่ใช่ลูบไล้จนมาถึงช่วงเอวแบบนี้ นี่เขาหาโอกาสแต๊ะอั๋งกันตลอดเวลาเลยหรือไง!

ผมปัดป่ายมือปลาหมึกออกจากร่างกายแล้วหันไปถลึงตาใส่ พี่ยูเลิกคิ้วมองกันเหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด น่าหมั่นไส้จนอยากถีบกระเด็นแต่ต้องข่มอารมณ์ไว้เพราะตอนนี้เรื่องริวสำคัญกว่า

“ริวเรียกหาพี่ครับ เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดเลย” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางด้านในห้องน้ำ เสียงสะอื้นของริวเบาลงมากแล้ว

“อ้าว ปัณณ์ทำอะไรลูกครับ?” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เจอริวนั่งปาดน้ำตาอยู่ในอ่างก็หลุดขำ ผมไม่เข้าใจว่าตลกตรงไหน

แล้วไอ้สรรพนามที่ใช้เรียกริวกับผมน่ะ... มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ฟังแล้วเหมือนตัวเองไปเป็นแม่ของหลาน โอย ฟุ้งซ่านชะมัด

“ก็... อาบน้ำให้ไง” ผมตอบเสียงแผ่วก่อนจะเดินไปหาหลาน นั่งยองๆ ลงข้างอ่าง ลูบหัวลูบหางเจ้าเด็กงอแงเพื่อปลอบ พอเห็นหน้าพ่อทำไมไม่โผเข้ากอดให้สมที่เสียน้ำตาไปวะ แปลก...

“สระผมด้วยหรือเปล่า?” หืม...

“ครับ” ผมตอบรับ ก็เมื่อครู่พยายามใช้ฝักบัวราดหัวให้ริว แต่อีกฝ่ายก็วิ่งหลบไปมาหัวเราะคิกคักจนนานเข้ากลายเป็นร้องไห้เรียกหาพ่อ คืออะไรก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนไม่เคยมีลูกนะเว้ย อีกอย่างแล้วถ้าเป็นปกติพี่ยูก็อาบน้ำให้เอง มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะฝากหน้าที่แบบนี้

“อ้อ ริวกลัวน่ะ ต้องเป็นพี่ทำให้คนเดียว” อ้าว ไม่บอกปีหน้าเลยล่ะครับ ให้ริวเกลียดน้าก่อนเลยไหมล่ะ แล้วพี่ยูจะยิ้มเพื่ออะไร นี่มันเรื่องเครียดระดับชาตินะ

“ผมไม่รู้... ขอโทษ” แต่ผมก็ยังเป็นผมที่ยอมรับผิดในสิ่งที่กระทำลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ถามรายละเอียดและวิธีการให้ชัดเจนก่อนรับปากใคร ถือซะว่าเป็นบทเรียนใหม่ในการเลี้ยงลูก เอ๊ย เลี้ยงหลานแล้วกัน

“ไม่เป็นไรน่า คนไม่รู้ไม่ผิดหรอก” พี่ยูเอื้อมมือมาตบไหล่กันก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าออกเพื่อลงอ่างอาบน้ำกับลูกชาย ผมเบนหน้าหนีหุ่นล่ำๆ ของเขา หัวใจเต้นโครมครามเพราะรู้สึกเขินและอาย เสียงครางกระเส่าของเขายังติดตรึงอยู่ในโสตประสาท พอหันหลังเตรียมออกไปด้านนอกก็โดนรั้งไว้ คือโลกต้องการอะไรจากคนอย่างปัณณ์ครับ

“ปัณณ์ยังอาบน้ำไม่เสร็จนี่ครับ จะรีบไปไหน?”

“ผมไปอาบข้างนอกก็ได้ครับ”

“น้าปัณณ์ อาบด้วยกัน ~” ได้ข่าวว่าเมื่อครู่ใครผลักน้าปัณณ์อย่างกับหมูกับหมาครับ ตอนนี้ยิ้มหน้าระรื่นแถมกางแขนตอนรับอย่างดี พ่อหนุ่มน้อยคนเจ้าเล่ห์ คืนนี้จะลงโทษให้เข็ดเลย

“ไม่ดีกว่าครับ” ผมปฏิเสธคนลูกแต่จงใจให้คนพ่อได้ยิน ซึ่งมันประสบความสำเร็จเพราะพี่ยูถึงกับขมวดคิ้วแน่น แล้วขยับมาเกาะขอบอ่างมองกันด้วยสายตาสงสัย

“รังเกียจพี่กับลูกเหรอ?” คำถามเชิงตัดพ้อนั้นฟังแล้วน่าสงสาร แต่ผมเบนหน้าหนีเพราะไม่อยากใจอ่อนให้พวกเขาอีกแล้ว พี่จะไม่รู้สึกเขินบ้างหรือไงกับสิ่งที่ทำเอาไว้เมื่อคืนน่ะ แถมตอนนั้นเปิดประตูห้องน้ำมาเจอหน้ากันยังทำเฉยได้อีก โธ่

“ไม่ใช่แบบนั้น” ผมตอบเสียงแผ่ว ก้มลงมองพื้น เลื่อนมือกระชับผ้าขนหนูเพราะรู้สึกว่ามันเริ่มหลวมเกินไป

“งั้นก็ลงมานี่ครับ” พี่ยูว่าเสียงดุแล้วใช้มือตีน้ำจนกระเพื่อม ดีหน่อยที่ฟองปิดบังร่างกายส่วนนั้นไว้ ไม่อย่างนั่นผมคงตาค้างแน่นอน

“ไม่เอาครับ”

“ทำไมครับ?” ทำไมต้องเสียงแข็งวะ

“เมื่อคืน...” ผมเกริ่นได้แค่นั้นแล้วงับปากลงเมื่อความร้อนของร่างกายกำลังพุ่งสูงขึ้น หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ มือสั่นกึกอย่างควบคุมไม่ได้ ถ้าช็อคตายตรงนี้ใครจะรับผิดชอบวะ

“ครับ?” พี่ยูทำหน้าบ๊องแบ๊วเหมือนคนสร่างเมาที่ไม่สามารถจดจำเรื่องเมื่อคืนได้ น่าหมั่นไส้จนรู้สึกหัวร้อน จากที่รู้สึกอายกลายเป็นว่าหลุดปากพูดไปจนหมด

“พี่ทำอะไรไว้ที่นี่ล่ะ ใครมันจะไปกล้าแก้ผ้าอาบน้ำด้วย!” ตะโกนใส่เขาเสร็จก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น มีขังหวะหนึ่งที่เท้าลื่นจนเกือบล้มหน้าคะมำ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงโดยไม่สนว่าตัวเปียก ยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ เผื่อว่ามันจะลดอาการกระสับกระส่ายลงได้บ้าง อยากจะบ้าตายจริงๆ เลย ไปเตือนความจำให้พี่ยูทำไมเนี่ย โอย ไอ้ปัณณ์โง่

หลังจากผ่านเหตุการณ์ชวนกระอักกระอ่วนใจมาจนถึงกำหนดวันไปเที่ยวอัมพวา ผมลากกระเป๋าเดินทางลายกัปตันอเมริกาและอุ้มริวด้วยแขนอีกข้างขึ้นรถ ส่วนที่เหลือสองพี่น้องรับอาสาทำเอง

สรุปว่าคืนนั้นพี่ยูจำได้ทุกอย่างว่าทำอะไรลงไป เขายอมรับตามตรงว่าช่วยตัวเองจินตนาการเป็นผมมาได้ระยะหนึ่งแล้วจากที่ไม่คิดว่าจะสามารถมีอารมณ์กับเพศเดียวกัน สารภาพมาแบบนี้ต้องรู้สึกยังไงวะนอกจากนั่งเม้มปากอยู่เงียบๆ รับฟังทุกอย่างจดลงในสมอง จิตใต้สำนึกร้องบอกว่าไปเที่ยวครั้งนี้อาจ ‘ยับ’ จนไม่เหลือชิ้นดี

ระยะทางจากกรุงเทพถึงสมุทรสงครามถือว่าไม่ไกลมากแต่สำหรับผมเหมือนนานแรมปีเพราะโดนบังคับให้นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ คอยป้อนน้ำป้อนขนมให้คนขับอย่างพี่ยูโดยมีหน่วยสนับสนุนการแซวอยู่สองคนด้านหลัง คุณป้ากับเอย์จิแอบเสพยาหรือเปล่าทำไมวันนี้คึกจัง

“โอกาซังครับ วันนี้ส้มหว๊านหวานเนอะ” เสียงที่หนึ่งมาแล้ว

“นั่นสิน้า เมื่อวานแม่ค้าบอกว่ามันเปรี้ยวอยู่เลย กลายเป็นหวานซะได้” อันนี้เสียงที่สอง ไม่รู้พวกเขาจะแซวยันถึงโฮมสเตย์เลยหรือเปล่า

“เวลาเปลี่ยนคน เอ้ย รสชาติก็เปลี่ยนไงครับ” เอย์จิหัวเราะคิกคักตบท้ายประโยค นั่นทำให้ผมถึงกับยัดขนมใส่ปากพี่ยูไปทั้งอัน เขินไม่รู้จะเขินยังไง ขอหมอนอิงมากอดก็แล้ว หยิกแขนตัวเองก็แล้ว โอย แพ้!

“เลิกแซวกันเถอะครับ ปัณณ์หน้าแดงหมดแล้ว” คำพูดแสดงความห่วงใยแต่หน้าตายิ้มแย้มคืออะไรวะ ผมหน้าแดงแล้วยุ่งอะไรด้วย เหมือนอยากช่วยนะแต่กลับเพิ่มช่องทางการแซวให้เพิ่มมากขึ้น โอก จิกหมอนจะขาดอยู่แล้ว

“พี่ยู!” ผมตะโกนลั่นรถก่อนจะเอื้อมมือไปทุบต้นแขนเต็มแรง หมั่นไส้มาก ขนาดตอนที่เขาร้องเพราะเจ็บยังน่าโมโหเลย

“ชู่ว เดี๋ยวลูกตื่นนะ” แล้วจะเอานิ้วมาแตะปากคนอื่นทำไมเนี่ย งับแม่งเลย หึ!

ไม่นานนักเราก็ถึงที่หมายเป็นโฮมสเตย์ริมน้ำบรรยากาศดี ผมรับหน้าที่ลากกระเป๋าใบน้อยและอุ้มริวอย่างเคยโดยมีคุณป้าทำหน้าที่เช็คอินและสองคนช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ตอนรับกุญแจมาได้แต่ขมวดคิ้วยุ่ง ทำไมมีจองแค่สองห้องแล้วจะแบ่งกันนอนยังไง

“เดี๋ยวริวกับเอย์จินอนห้องแม่นะ” คุณป้าหันมาพูดกับเจ้าตัวแสบและเอย์จิ ทุกคนพยักหน้ารับอย่างแข่งขัน ไม่มีใครค้านหรืองอแง ผมลองประมวลผลคราวๆ ถึงกับเบิกตาโต เดี๋ยวสิ นี่หมายความว่าต้องนอนกับ... ใครเป็นคนวางแผน! พอเหลือบสายตาไปมองพี่ยูก็พบแต่ไปหน้ายิ้มที่ปราศจากความเจ้าเล่ห์ เนียนเกินไปแล้ว

“คุณป้าครับ คือว่า...”

“ปัณณ์นอนกับยูกิจ้า” เธอย้ำเสียงสดใสก่อนจะสอดแขนมาแย่งริวไปอุ้มไว้ซะเอง ผมอึกอักอยากขอร้องแต่ทุกคนกลับหยิบสัมภาระของตัวเองพร้อมแยกย้าย เฮ้ย เดี๋ยวสิ ทำไมต้องทำกันแบบนี้ด้วย

“อะ...” พออ้าปากจะรั้งก็โดนพี่ยูจับข้อมือแล้วกระตุกยิกๆ เป็นสัญญาณว่าพร้อมจะขึ้นห้องแล้ว สายตาที่มองก็กรุ้มกริ่มจนเสียวสันหลังวาบ ไม่เอาได้ไหม ขอเปิดห้องจ่ายเงินเองก็ได้

“แยกย้าย แล้วเจอกันตอนสิบเอ็ดโมงน้า” เป็นอันจบเรื่องเมื่อคุณป้าสรุปแบบนั้น ผมทำได้แค่ถอนหายใจแล้วปล่อยให้พี่ยูลากขึ้น ‘ห้องของเรา’

ทริปนี้ไม่ผมก็พี่ยูต้องมีสักคนที่เละไม่เป็นท่าแน่ๆ หึ!




------------------------------------------

แม่(ว่าที่)แฟนเป็นใจขนาดนี้ น้องปัณณ์จะเป็นผู้รอดชีวิตหรือเปล่าหนอ 5555
ตอนต่อไปต้องมาดูกันว่าปัณณ์จะทำอะไรกับพี่ยูคนเจ้าเล่ห์ได้บ้าง

ปล. เราลืมบอกไปว่าตอนนี้เดินทางกันมาเกินครึ่งเรื่องแล้วน้า
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ♥

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เป็นใจใส่พานถวายกันทั้งบ้านเลย5555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล



วันแรกของทริปอัมพวาจบลงด้วยการที่คุณป้าหิ้วปลาทูแม่กลองกลับมาทำเมี่ยงกินที่โฮมสเตย์ แม่ค้าบอกว่าของแท้ต้องหน้างอคอหักเท่านั้น พวกเราเลยขำกันใหญ่ ครั้นพี่ยูชวนไปกินข้าวที่ร้านอาหารทุกคนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันเพราะอยากกินฝีมือผม... แค่ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดกับย่างปลาจะไปยากอะไร

ที่ตลาดน้ำอัมพวามีตุ๊กตาปลาทูขนาดต่างๆ ขายด้วยซึ่งริวกลัวจนร้องไห้จนต้องรีบเดินผ่าน แต่ผมชอบมากเลยทำได้แค่มองตาละห้อยเพราะมีเงินก็ซื้อไม่ได้ ในตอนนั้นพี่ยูขอตัวแยกออกไปแล้วกลับมาพร้อมสิ่งนั้น เขาเปย์มันให้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เอาไว้ไล่ลูกไปนอนอีกห้อง จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองคน’ โอ้โห เป็นพ่อที่เลวมาก!

แต่ผมก็ขอบคุณเขาที่ตามใจและเอาใจกันขนาดนี้ อยากกระโดดกอดด้วยซ้ำแต่ติดว่าโดนผู้ร่วมทริปแซวจนยับเยินเลยทำได้แค่แยกย้ายขึ้นรถนั่งกอดตุ๊กตาปลาทูในขณะที่ริวแหกปากต่อว่าพ่อไม่หยุด

พี่ยูถึงกับง้อลูกด้วยการสัญญาว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุก ยอมให้กินไอติม เท่านั้นก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงียบสนิทแถมคลี่ยิ้มกว้างให้อีก โธ่ เด็กหนอเด็ก หลอกง่ายจริงๆ

วัตถุดิบในการทำน้ำจิ้มซีฟู้ดถูกเตรียมโดยพี่ยู ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ชอบใช้พริกสีเขียวแต่ผมว่ามันจืดชืดไปหน่อยเลยใช้สีแดงเข้าแจมด้วย โยนพริก กระเทียม รากผักชีลงในถุงซิปล็อคแล้วใช้ขวดน้ำทุบให้หยาบๆ ตักใส่ถ้วย เพิ่มน้ำปลา น้ำตาล น้ำเปล่า และบีบมะนาวเข้าไปผสมเป็นอันจบขั้นตอน ส่วนปลาทูคุณป้ากับเอจิย์เป็นคนจัดการ

ผมใช้ปลายนิ้วก้อยแตะน้ำจิ้มขึ้นมาเพื่อชิมรสชาติแต่ต้องเบิกตาโตเพราะพี่ยูโฉบหน้าลงมาแล้วใช้ลิ้นชื้นเลีย หัวใจจะวายแล้ว... ทำอะไรของเขาเนี่ย ไม่เกรงใจสายตาอีกสองคู่หรือยังไง นู่น หัวเราะคิกคักกันใหญ่ ดีหน่อยที่ริวยังหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา ไม่อย่างนั้นคงต้องนั่งอธิบายว่าพ่อทำอะไรกับน้าปัณณ์ทั้งคืน

“ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย?” ผมชักมือกลับอย่างรวดเร็วพลางถอยหลังจนติดกับเค้าน์เตอร์ หัวใจเต้นระรัว รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายโดยเฉพาะที่แก้มเพิ่มสูงขึ้น พี่ยูเงยหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มหวาน ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แล้วใช้แขนทั้งสองข้างกักขังกันไว้ในอ้อมกอด

“อยากชิม...” เขากระซิบด้วยเสียงผะแผ่วชิดใบหู เพิ่มแรงกอดรัดจนร่างกายของเราแนบชิดกันมากขึ้นจนใบหน้าของผมแนบไปกับอกกว้างทำให้ได้ยินเสียงหัวใจอย่างชัดเจน เต้นแรงไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย แบบนี้ใครจะไปทนเฉยไหว เขินฉิบหายแต่ต้องพยายามกัดปากกลั้นยิ้มเพราะยังเคลียร์ปัญหาไม่จบ

“แน่ใจเหรอว่าอยากชิมน้ำจิ้ม?” ผมถามเสียงดุก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างดันตัวออกมาเพื่อมองตากัน พี่ยูผิวปากหวือพร้อมกับส่ายหน้า ถ้านี่เป็นการปฏิเสธแล้วความหมายของประโยคเมื่อครู่คืออะไร

“ใครบอกครับ?”

“ก็พี่...” ผมอึกอักไปต่อไม่ถูกเพราะจริงอย่างที่โดนถาม แต่ถ้าไม่อยากชิมน้ำจิ้มจะมาเลียนิ้วกันทำไมวะ พอคิดได้แบบนั้นก็ถลึงตากดดันให้พี่ยูคายความจริงออกมา เขาคงรับรู้ได้เลยพยักหน้าตอบรับ โน้มตัวเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราชนกัน ช่วงเอวโดนกระชับมากยิ่งขึ้น กระดูกจะป่นแล้วครับ โอย

“อยากชิมปัณณ์ต่างหาก” พี่ยูคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มปิดท้ายประโยคก่อนจะผละตัวออกไปให้พอมีระยะห่าง ในขณะที่ผมแขนขาอ่อนแรงแทบทรงตัวไม่อยู่ หัวใจเต้นแรง ตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง ยอมรับว่าช็อกจนตั้งตัวไม่ถูก

สาบานเลยว่าผมไม่เคยนึกเกลียดพี่ยูเลยสักครั้ง แต่ปัจจุบันนี้แทบจะสาปแช่งวันละหลายเวลา ก็เขาเล่นใจร้ายหยอดกันไม่พอยังหื่นใส่อีก นี่มันเกินความคาดหมายไปเยอะมาก พอเลื่อนสถานะขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้เห็นการปฏิบัติตัวที่ต่างออกไป ควรดีใจหรือเสียใจดีที่มีคนคอยจ้องอยากขย้ำขนาดนี้

“ปล่อยผมเลยครับ อย่าทำตัวหื่นกามแถวนี้” ผมสะบัดตัวหนีแต่ยิ่งทำให้กรงขังตัวเองแคบลง ใบหน้าหล่อโน้มลงมาจนปลายจมูกของเราแตะกัน ใกล้จนได้ยินเสียงเต้นตุบๆ ของหัวใจ

“ถ้าทำในบ้านพักของเราก็ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เหมือนมีเสียงหวอร้องเตือนว่าคืนนี้อันตรายแน่ๆ ผมเลยได้แต่อึกอักกรอกตาไปมาด้วยความกังวลและรู้สึกขัดเขิน ส่วนพี่ยูคงถูกใจที่ทำให้คนอื่นปั่นป่วนได้จึงหัวเราะออกมาเบาๆ น่าทุบให้อกเดาะเลยไหม หมั่นไส้ว่ะ

ตอนแรกที่ได้กุญแจจากเค้าน์เตอร์เช็คอินมาผมนึกว่าคุณป้าจองเป็นแบบห้องพัก แต่ที่ไหนได้กลับเป็นบ้านหลังโตสองหลัง... ชัดเจนมาก นี่มันจงใจถวายกันใส่พานให้พี่ยูนี่นา ใชาสิ ก็ปัณณ์มันตัวคนเดียวไม่มีพักพวกเหมือนใครนี่ หึ จะงอนใครก็ไม่ได้ โธ่เว้ย

“ที่ไหนก็ไม่ได้ครับ” ผมกัดฟันกรอดมองคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่องในขณะที่พี่ยูยอมถอยออกไปยืนห่างกัน ความรู้สึกโล่งใจปะทะเข้ามาจนเผลอถอนหายใจแรง กูจะรอดพ้นเงื้อมมือมจุราชอย่างเขาไปได้สักกี่ชั่วโมงกันวะ ขนาดน้องชายกับแม่ยืนอยู่ไม่ไกลยังกล้าทำขนาดนี้เลย น่ากลัวจริงๆ

“โธ่ พี่ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งนะครับ เรื่องแบบนี้ธรรมดาจะตาย” ข้ออ้างของคนอื่นมาพร้อมน้ำเสียงหงอยๆ กับสายตา อ้อนๆ ที่ผมให้ผมเบ้ปากแทบทันที มันฟังขึ้นที่ไหนกันวะ ยังไงก็มีแต่ความหื่นอยู่ดี ไม่ยกถ้วยน้ำจิ้มสาดใส่หน้าด้วยความหมั่นไส้ก็บุญแล้วเหอะ

“แล้วไงครับ ผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นจะทำตัวหื่นเรี่ยราดแบบนี้เลย” ผมกรอกตามองคู่กรณีก่อนเคลื่อนตัวหนีจากระยะแขนของพี่ยูที่ทำท่าจะคว้าเอวกันอีกครั้ง เผลอทีไรเขาก็เขามาประชิดตัวกันตลอด แตะนั่น จับนี่ จนบางทีก็อยากยอมๆ ให้แม่งลูบไล้ทั้งตัว แค่คิดก็ขนลุกแล้ว นี่กูก็สัปดนไม่ต่างกันใช่ไหม เฮ้อ

พี่ยูส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ ท่าทางบ่งบอกว่าเขาหาเรื่องมาเถียงต่อไม่ได้ ผมอาศัยจังหวะนั้นรีบคว้าถ้วยน้ำจิ้มไว้ในมือแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากส่วนครัว ไอ้คนที่ยืนย่างปลาทูอยู่ด้านนอกก็ตะโกนเข้ามาแบบไม่เกรงใจหลานซึ่งหลับอยู่บนโซฟาเลย

“จะสวีทกันอีกนานไหมครับ? น้ำจิ้มหวานหมดแล้ว” หวานบ้าอะไรวะเอย์จิ เพื่อนกำลังจะเสียตัวไม่รู้หรือยังไง แล้วนี่พี่มันจะยิ้มหาพระแสงอะไรวะ ชอบเหรอโดนคนอื่นแซวเนี่ย สงสัยคืนนี้จะมีคนได้นอนเล่นกับยุงนอกบ้านแล้วล่ะ หึ

“หลีกไปครับ โดนแซวแล้ว” ผมโบกมือไล่พี่ยูที่ยืนขวางทางออก แต่เขากลับส่ายหัวหวืดพลางยกแขนขึ้นกอดอก มองตรงมาด้วยสายตาพราวระยับคล้ายกำลังสนุกสนาน

“ยังไม่ชินอีกเหรอ?” เรื่องแบบนี้มันสมควรชินหรือยังไง

“พี่ไม่อายบ้างเหรอไง?” ผมถามเสียงฉุน มองเขาตาขวาง ถ้าแกล้งอีกนิดเดียวรับรองว่าถ้วยน้ำจิ้มบินแน่ๆ มือไม้ยิ่งอ่อนง่ายๆ อยู่ด้วยช่วงนี้

“พี่ไม่อายที่จะแสดงความรักกับปัณณ์นี่ครับ” หืม แสดงอะไรนะ เหมือนหูจะฟาดเลยว่ะ นี่กูเมากลิ่นควันถ่านเหรอไง

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งพร้อมขมวดคิ้วยุ่งแล้วมองพี่ยูด้วยสายตาสงสัย เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะปรากฎบนใบหน้า ระยะห่างหดสั้นลงเรื่อยจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่ข้างใบหู ถ้าผลักเขาออกไปตอนนี้คงไม่ได้คำตอบในสิ่งที่คาใจแน่นอน เอาวะ กัดฟันทนฟังเสียงตุบๆ ไปก่อนแล้วกัน

“พี่รักปัณณ์ครับ” คำพูดของพี่ยูสามารถหยุดลมหายใจของผมได้เกือบครึ่งนาที หัวใจเต้นแรงมากจนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกพวงแก้มร้อนวูบวาบเหมือนมีใครเอาไฟมารนใกล้ๆ ร่างกายเกร็งตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แม้แต่ลูกกะตายังไม่กล้ากรอกไปไหน กลัวว่าถ้าเผลอทำอะไรผิดทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ความฝัน

“พี่...” ผมพึมพำเรียกคนตรงหน้าเสียงเบาเมื่อสามารถรวบรวมสติกลับมาได้มากกว่าครึ่ง รอยยิ้มลพมุนและดวงตาสื่อความหมายของพี่ยูบ่งบอกว่าทุกอย่างเมื่อครู่เกิดขึ้นจริง เจอการสารภาพรักในระยะประชิดแบบนี้เหมือนจะตายให้ได้เลยว่ะ เขินจนไม่กล้าขยับตัวยิ่งกว่าเจอผีซะอีก โอย

“ปะ เรายกน้ำจิ้มไปหาปลาทูกันดีกว่าเนอะ” แต่พี่ยูกลับทำให้ผมถึงกับตะลึง อยู่ๆ เขาก็ดึงถ้วนน้ำจิ้มซีฟู้ดไปถือเอาไว้แล้วกันหลังหนีเตรียมก้าวไปหาคุณป้ากับเอย์จิ คืออะไรยังไงวะ เมื่อครู่บอกรักอยู่ดีๆ ทำไมเปลี่ยนเรื่องคุยเร็วขนาดนี้ งงฉิบหาย

“เดี๋ยวสิ” ผมทำใจกล้าเอื้อมมือไปคว้าไหล่หนาไว้ พี่ยูชะงักเท้าแต่ไม่ยอมหันกลับมาสบตา ท่าทางของเขาแปลกไปจนรู้สึกกังวลถ้าไม่ติดว่าเห็นใบหูแดงๆ นั่นล่ะก็จะโวยวายใส่อยู่แล้วเชียว ที่แท้ก็เขินเป็นเหมือนกันนี่หว่า โอย คนอายใกล้สี่สิบทำตัวเหมือนเด็กสิบสี่เลย จะน่ารักไปไหนหืม

“ครับ?”

“รักผม... จริงๆ เหรอ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วผละมือออกจากไหล่หนา จริงอยู่ว่าดีใจกับคำบอกรักแต่ลึกๆ ก็กลัวว่าความหมายของมันจะไม่ตรงกับที่หวังไว้ ยอมรับว่าคิดมากก็เพราะรู้สึกมาก

ผมได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าแรงมากก่อนที่ใบหน้าหล่อจะหันมามองกันด้วยรอยยิ้ม ถ้วยน้ำจิ้มในมือสั่นเล็กน้อยเมื่อเขาขยับก้าวเข้ามาใกล้ แล้วกูจะถอยหลังทำไมเนี่ย งงตัวเอง

“พี่รู้ว่าปัณณ์ทำใจเชื่อได้ยาก แต่พี่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ” เขายืนยันเสียงหนักแน่นในขณะที่ยื่นมือข้างที่ว่างมาสัมผัสข้างแก้มก่อนจะเกลี่ยเบาๆ ผมสะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องแต่ก้มหน้าหลบสายตาสั่นไหวนั่น เผลอพูดทำร้ายจิตใจพี่ยูไปบ้างหรือเปล่าวะ

“.....” ผมเม้มปากแน่นปล่อยให้อีกคนทำตามใจชอบโดยไม่หือไม่อือเพราะคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ยังมึนงงและสงสัยว่าความฝันในวันวานกลายเป็นจริงแล้วใช่ไหม สำเร็จแล้วสินะ นี่คือผลตอบแทนที่อกทนมาเป็นสิบๆ ปีใช่ไหม

“พี่พร้อมให้ปัณณ์พิสูจน์ทุกอย่างไม่ต้องห่วง แต่ตอนนี้ไปกินมื้อเย็นกันก่อนดีกว่านะครับ” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปหาคนที่รออยู่ ผมคลี่ยิ้มเป็นการตอบรับประโยคเหล่านั้น คงไม่ต้องพิสูจน์ให้เสียเวลาแล้วล่ะ เพราะขืนช้ากว่านี้ รั้งรอ กังวล คิดมาก ทุกสิ่งอาจจะหายวับไปกับตา โดนพี่ยูรุกมาก็เยอะแล้ว ต่อจากนี้ปัณณ์จะขอเป็นฝ่ายโต้ตอบกลับแบบหนักหน่วงบ้างแล้วกัน รอรับมือได้เลย

ไหนบอกว่าจะโต้ตอบเขากลับหนักๆ วะ ทำไมถึงได้มานั่งกอดตุ๊กตาปลาทูแล้วขดตัวอยู่ริมเตียงเดี่ยวขนาดคิงไซส์แบบนี้ ก็ดูอีกคนที่ลืมเอาผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำแต่ดันเดินโทงๆ ออกมาหยิบเองหน้าตาเฉย พี่มันคิดหรือไงว่าเอามือปิดไข่แล้วจะไม่โป๊ นี่จงใจแกล้งกันใช่ไหม! ฮึ่ย เดี๋ยวหายางมาดีดเลยแม่ง

“ทุเรศ!” ผมตะโกนด่าพี่มันเสียงดังแล้วรีบมุดหัวเข้ากับตุ๊กตาปลาทูในอ้อมกอด คือไม่ได้เขินแต่สมองมันพาลคิดเรื่องสัปดนจนแก้มร้อนไปหมด กลัวว่าจะโดนจับได้แล้วถูกล้อไม่จบไม่สิ้นเลยต้องทำแบบนี้

“หืม อยู่ๆ ก็ด่าพี่แบบนั้นหมายความว่ายังไงครับ?” คำถามนั่นดังอยู่ไกลๆ คาดว่าเขาคงกำลังนุ่งผ้าขนหนูแต่สิ่งที่พบเมื่อผมเงยหน้าขึ้นคือภาพของพี่ยูที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงในสภาพที่เลวร้ายกว่าเก่าคือปล่อยมืออกจากของสงวนปล่อยมันห้อยต่องแต่งสู้สายตาคนอื่น กูจะบ้า!

ผมทำอะไรไม่ถูกเลยหยิบหมอนข้างๆ ปาใส่พี่ยู แต่เหมือนจะพลาดเป้าเพราะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำซึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ ที่เป่ารดศีรษะ ไม่ว่าจะหลบหลีกวิธีไหนสุดท้ายก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด เวรเอ๊ย

“เขินเหรอครับน้องปัณณ์?” น้ำเสียงหวานมาพร้อมกับสรรพนามเรียกชื่อที่เปลี่ยนไปทำให้ผมออกแรงกอดรัดปลาทูมากขึ้น คราวนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขินเพราะเสือกคิดว่าตัวเองกับพี่ยูกำลังเข้าสู่ช่วงเล่นกีฬาบนเตียงด้วยกัน ยิ่งตอนที่รู้สึกว่าที่นอนด้านข้างยวบลงก็แทบจะฉีกของในมือออกเป็นชิ้นๆ อย่าเข้ามาใกล้ในสภาพเปลือยล่อนจ่อนแบบนั้นสิ ถ้าเผลอหน้ามืดปล้ำเอาจะทำยังไง ปัณณ์ไม่ใช่ก้อนหินนะเว้ย อย่าอ่อย!

“เขินบ้าอะไรวะ พี่ไม่อายหรือไงเดินโทงเทงอยู่ได้” ผมถามด้วยเสียงอู้อี้เพราะยังไม่กล้าเงยหน้าเผชิญความจริง แค่หางตาเหลือบเห็นขาอ่อนของเขาก็ทำให้หัวใจเต้นแรงเข้าขั้นโคม่า ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบคงกระโดดคร่อมแล้วจัดการพาขึ้นสวรรค์ไปแล้ว แต่เพราะว่าแคร์ความรู้สึกเลยทำได้แค่บ่น

“มีเหมือนๆ กันทำไมต้องอายครับ?” โอ้โห ถามเหมือนกับตัวเองมีตาเหมือนกับผมอย่างนั้นล่ะถึงจะมองตรงๆ ได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจ นั่นของสงวนนะเว้ย ให้ตายเถอะ ถ้าริวรู้ว่าพ่อตัวเองหน้าด้านแบบนี้คงเสียใจแย่

“ถ้าผมทำบ้างพี่จะรู้สึกยังไงวะ?” ผมตะเบ็งเสียงถามก่อนจะทำให้กล้าตวัดสายตามองเขาดุๆ ดีหน่อยที่ผ้าขนหนูผืนนั้นถูกนำมาคลุมช่วงล่างไว้เรียบร้อยแล้ว เฮ้อ โล่งอก นึกว่าต้องคุยกันทั้งๆ ที่มังกรจ้องหน้าซะแล้ว

“ขึ้นครับ” พี่ยูตอบเสียงแหบพลันส่งสายตาวาบวับมาให้ ผมซึ่งไม่เข้าใจความหมายทำได้แค่เพียงขมวดคิ้วและเอียงคอ อะไรขึ้นวะ

“ไม่เข้าใจ”

“ของขึ้นแน่ๆ ครับ” พี่ยูยกยิ้มมุมปากก่อนจะโยกตัวหลบเมื่อผมทำท่าจะขว้างปลาทูในมือใส่ แก้มร้อน หูร้อนไปหมดเลยแม่งเอ๊ย ไม่น่าถามกลับเลยจริงๆ พลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยกู

“ไอ้หื่น ไปแต่งตัวเลยไป!” นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ก่อนจะลงไปนอนดิ้นบนเตียง ดึงผ้าห่มคลุมหัวแล้วร้องอัดระบายความอัดอั้นกับตุ๊กตาปลาทู ระวังตัวไว้เถอะพี่ยู ถ้าเสียตัวขึ้นมาอย่าร้องไห้แล้วกัน!

“ปัณณ์รู้ตัวไหมครับว่าเวลาเขินโคตรน่ารักเลย” เสียงตะโกนดังมาไกลๆ ทำให้ผมชะงักกึกก่อนที่จะตวัดผ้าห่มออกแล้วหลับหูหลับตาด่าคนขี้แกล้งอีกครั้ง โธ่เว้ย ไม่น่าหลงรักคนแบบนี้เลย

“หุบปากไปเลย!”

หลังจากยกธงขาวสงบศึกกันผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นท่องโซเชี่ยลไปเรื่อยแต่พอเห็นเอย์จิอัพสเตตัสในเฟซบุ๊คพลันมือไม้ก็อ่อนยวบเพราะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับ ‘คนผิดที่ผิดเวลายังดีกว่าคนที่ไม่ใช่’ โคตรจุก

ผมตัดสินใจกดเข้าโปรแกรมแชทเพื่อทักไปถามไถ่อาการของเอย์จิแต่ต้องชะงักมือเพราะโดนพี่ยูสะกิดไหล่ยิกๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์ของตัวเองมาตรงหน้า สิ่งที่เห็นคือคลิปวีดีโอหนัง GV ของญี่ปุ่นกำลังเล้าโลมกันอย่างออกรสชาติ เสียงครางอืออาส่งผลให้แก้มร้อนวูบจนต้องเบนหน้าหนี นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย ปรับอารมณ์ไม่ทันเว้ย

“อะ ไอ้พี่ยู มาดูหนังโป๊อะไรตอนนี้วะ?” ผมเอ่ยปากถามเสียงตะกุกตะกักไม่ยอมมองคู่สนทนาที่ตอนนี้ปิดคลิปบ้านั่นไปแล้ว ถ้าขืนยังเปิดไว้ไม่ใครสักคนต้องตะบะแตกแน่ๆ

“ศึกษาไว้ไงครับ ตอนออกศึกจริงๆ จะได้คล่องแคล่ว” ตอบพลางส่งเสียงหัวเราะตบท้ายเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ผมถึงกับหนีบขาแน่น มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าพี่ยูไม่ขยับมาหายใจนดต้นคอกะนขนาดนี้

“พี่แม่ง... ลามก” ผมด่าก่อนจะใช้มือผลักหัวพี่ยูออกไปห่าๆ โดยไม่สนใจเรื่องอายุ สถานการณ์แบบนี้มันสุ่มเสี่ยงพากันขึ้นสวรรค์ฉิบหาย ภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงยังติดตรึงอยู่ในสมอง Full HD จนน่ากลัว แต่ที่แย่กว่านั้นคืออยากให้เขาลองทำเหมือนในคลิป โอย ไอ้ฉิบหาย กูควรเขาวัดนั่งสมาธิ!

“หรือปัณณ์จะเป็นคนสอนพี่?” พี่ยูยังไม่หยุดขยี้ประเด็กนี้ ซึ่งนั่นทำให้ผมคว้าตุ๊กตาปลาทูมากระหน่ำฟาดเขาไม่ยั้งมือ คนโดนกระทำหลบซ้ายหลบขวาอย่างชำนาญจนน่าโมโห แม่งๆๆๆ หมั่นไส้ ถีบสักทีดีไหม

“จ้างล้านนึงก็ไม่สอน” ผมบอกเสียงรอดไรฟันก่อนดึงปลาทูเข้ามากอดแนบอกมองพี่ยูด้วยสายตาขุ่นเคือง นุ่นในตุ๊กตาแทบทะลักแต่เขายังฉีกยิ้มอยู่ได้ บ้าไปแล้วหรือไงกัน เมื่อครู่ก็โดนฟาดแสกหน้าจังๆ หึ สมควรที่ปากดี

“งั้นดูหนังโป๊ดีแล้วเนอะ” ยัง ยังไม่หยุดอีก ดีหน่อยที่ผมนึกถึงเอย์จิขึ้นมาพอดีเลยไม่ได้ถีบพี่ยูอย่างที่ใจนึก ไม่อย่างนั้นคนแก่คงลงไปนอนร้องโอดโอยบนพื้นแล้ว ถือว่าโชคดีไป

“จะทำอะไรก็เชิญเถอะครับ ผมจะออกไปข้างนอก” ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ส่วนพี่ยูถลาตัวเข้ามาคว้าข้อมือกันซะแน่น ตกใจจนเกือบยกขาถีบ

“เฮ้ย จะไปไหนครับ? นี่มันดึกมากแล้ว” เขาดูตกใจปนกังวลที่อยู่ๆ ผมก็ทำท่าเหมือนจะหนี คงนึกว่าตัวเองโดนโกรธล่ะมั้ง

“จะไปหาเอย์จิ” ผมบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย

“ไปหามันทำไม?” น้ำเสียงที่ถามดุอยู่พอตัวคล้ายคนกำลังหึงแต่ถ้าสังเกตแววตาจะรับรู้ได้ว่าพี่ยูแค่เป็นห่วงเพราะเวลานี้ควรเข้านอนมากกว่าชวนใครคุยเล่น

“ผมคิดว่าเขากำลังแย่”

“เรื่องทอยสินะ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ เขาคงอยากช่วยน้องชายแต่ไม่รู้ต้องเริ่มที่ตรงไหนเพราะตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจเรื่องความรักแถมยังไม่รู้จักนิสัยไอ้ทอยอีกด้วย

“อื้อ” ผมครางรับก่อนจะถอนหายใจออกมา ถ้าคุยกับเอย์จิแล้วทุกอย่างผ่านไปด้วยดีคงไม่มีปัญหาแต่ถ้าความเข้มแข็งมีไม่มากพอก็น่าจะแย่พอตัว

“โอเคครับ ไปหาเอย์จิเถอะ แต่พี่ขออย่างนึงได้ไหม?” เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วยืนประจันหน้ากับผม มือหนายกขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้าง ดวงตาคมมองตรงมาอย่างสื่อความหมาย ทั้งกังวล เป็นห่วง และสงสาร

“ครับ?”

“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงช่วยบังคับให้เอย์จิพักผ่อนด้วยนะ พี่เป็นห่วง” พี่ยูก็ยังคงเป็นบุคคลที่ให้ความเป็นห่วงน้องชายเหมือนเดิม ถึงเขาจะแสดงออกไม่อ่อนโยนกับเอย์จิ แต่ความจริงก็รักกันมาก ซึ่งผมชอบความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่นะ มีระยะห่าง ให้อีกคนได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างอิสระ ไม่ก้าวก่ายโดยไม่จำเป็น

“ผม... จะพยายามครับ” ไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไรได้มากแค่ไหน แต่ที่ตอบรับไปเพราะไม่อยากให้พี่ยูต้องเป็นกังวลไปอีกคน ทุกวันนี้แค่งานที่ร้านอาหารพ่วงโรงแรม เลี้ยงลูกอีกก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว

ผมออกมาจากบ้านพักเพื่อตรงไปสวนดอกไม้เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เอย์จิส่งไลน์มาบอกว่าอยู่ที่นั่นกำลังมองดวงจันทร์จนปวดคอไปหมด ความหมายของเขาคงเป็นเงยหน้ากลั้นน้ำตาอยู่ล่ะมั้ง มีอย่างที่ไหนคนไม่รักธรรมชาติจะยอมนั่งตากน้ำค้างตอนกลางคืนแบบนั้น

ย่างก้าวเริ่มเร่งรีบขึ้นเมื่อเสียงร้องครวญครางของท้องฟ้าบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนอาจจะตก สายตาผมปะทะเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยกลางสวนดอกไม้ เอย์จิกำลังทำอย่างที่ได้บอกไว้ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเขากำลังยกมือขึ้นเหมือนอยากคว้าดวงจันทร์ ทำไมยิ่งมองยิ่งรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก เจ็บมากไหม...



ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ซึกิกะคิเรเดสุเนะ” (พระจันทร์สวยดีนะ) เอย์จิพูดขึ้นโดยไม่หันมองกัน เขาคงรับรู้ถึงการมาของผมจากเสียงฝีเท้าซึ่งมันถือเป็นเรื่องดีที่เราไม่ต้องเริ่มบทสนทนาก่อนในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้

ผมก้าวไปยืนข้างเอย์จิพลางรอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา หยอดน้ำที่รื่นอยู่ตรงขอบตากระทบแสงจนเห็นได้ชัด ถ้าหากว่าเจ้าตัวปฏิเสธคงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี แต่เขาไม่ได้มีทีท่าเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะยังคงมองดวงจันทร์ไม่ละไปไหน

“ฝนกำลังจะตก กลับบ้านพักกันเถอะ” ผมเอ่ยปากชวนทั้งที่ตัวเองก็เผลอเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้า มันไม่ได้สวยอย่างที่อีกคนบอกเพราะครึ่งหนึ่งโดนเมฆสีดำปกคลุม สภาพจิตใจของเอย์จิคงไม่ดีมากนัก แต่ไอ้ทอยทำอะไรให้ล่ะ

“ตกก็ดีสิ คิดถึงตอนเด็กๆ ที่ได้เล่นน้ำฝน” เอย์จิเอียงใบหน้ามามองกันทำให้น้ำตาที่รื่นอยู่กลิ้งลงบนแก้ม เขารีบยกมือขึ้นปากมันแล้วคลี่ยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางแบบนั้นคงไม่อยากให้ถามซึ่งผมเข้าใจดี ไม่มีใครอยากคิดถึงความรักที่ล้มเหลวหรอก

“เดี๋ยวจะไม่สบาย” ผมเตือนเขาแต่ก็ยอมยืนอยู่ข้างๆ ไม่รีบร้อนทั้งที่เสียงฟ้าร้องโครมครามและฝนกำลังตกปรอยๆ เอย์จิไม่ตอบรับอะไร เขาเพียงแค่ถอนหายใจแล้วเอนหัวซบไหล่กัน ท่าทางแบบนี้ถ้าใครผ่านมาเห็นคงคิดว่าเรากำลังพลอดรักอยู่แน่ๆ

“ปัณณ์...” เวลาผ่านไปแค่ครู่หนึ่งเสียงสั่นๆ เอย์จิก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ฝนเทกระหน่ำลงมา ผมรีบคว้าข้อมือขาววิ่งเข้าไปหลบฝนหน้าบ้านพักของใครสักคน จังหวะที่กำลังควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงกลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู ถ้าไม่ติดว่าอยู่ด้วยกันสองคนจะนึกว่าผีหลอก

“ทำไมขี้แยจัง?” ผมถามเสียงอ่อนแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขาเพราะเตรียมมาโดยเฉพาะ เอย์จิส่ายหัวก่อนจะเข้ามาสวมกอดและซบหน้าลงกับลาดไหล่แทน ตกลงว่าเสื้อคงซับน้ำตาได้มากกว่าสินะ

“พยายามแล้ว แต่มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ อึก”

“ให้ยืมไหล่ซับน้ำตาแล้วกัน” ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงแล้วยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนเพื่อเป็นการปลอบใจ แรงกระชับกอดจากเอย์จิเพิ่มขึ้นก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคลุมเครือ ช่างไม่สดใสเอาซะเลย

“พระเอกมาก” เอย์จิเคาะหน้าผากลงบนไหล่ซ้ำๆ หลายรอบในขณะที่ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างหงุดหงิด อากาศช่างเป็นใจให้คนอกหักร้องไห้ซะจริงๆ

“แน่นอนอยู่แล้ว” ผมไม่ใช่พระเอกละครหรอกแค่เป็นเพื่อนที่เข้าใจคนอกหักก็แค่นั้นเอง

พวกเราปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไม่มีการพูดคุยเกือบหนึ่งชั่วโมงและยังไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกจนคนรออย่างพี่ยูเดือดร้อนเลยส่งไลน์มาหากัน ถามว่าอยู่ที่ไหน ให้เอาร่มไปรับหรือเปล่า แต่ผมตอบปฏิเสธไปเพราะเอย์จิเอาแต่นั่งกอดเข่ามองพื้น เป็นสถานการณ์ที่อึดอัดยิ่งกว่าตอนที่ต้องอยู่ใกล้พี่ยูซะอีก

ผมตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้เอย์จิแล้วนั่งลงข้างๆ เอื้อมมือไปวางตรงหัวเข่าเป็นการเปิดโอกาสให้อีกคนเอนตัวพิงไหล่ ดูเหมือนว่าคืนนี้โลกจะเอียงบ่อยเนอะ

“อยากเล่าอะไรไหม?” ผมถามพลางก้มลงมองคนที่แทบจะเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดซึ่งตอนนี้โดนโอบไหล่เอาไว้

“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน”

“ไอ้ทอยทำอะไร?” ผมถามตรงประเด็นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติทั้งที่ในใจกำลังเดือด ไม่เข้าใจว่าคนอย่างไอ้ทอยสามารถทำร้ายคนร่าเริงสดใสด้วยวิธีไหนถึงได้พังยับเยินแบบนี้ เอย์จิชะงักกึกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะในลำคออกมาราวกับสมเพสตัวเอง

“ก็แค่... ส่งรูปมา” น้ำเสียงขาดห้วงแทนกด้วยเสียงสะอื้น หยดน้ำตามากมายไหลลงบนแก้มเป็นสายจนผมทนมองไม่ได้เลยต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าซับให้อย่างทะนุถนอม

“รูป?” ถ้าแค่รูปถ่ายปกติทั่วไปคงไม่ทำให้เอย์จิเป็นแบบนี้แน่นอน

“อื้อ นอนกกกับ... ผู้หญิง” เอย์จิตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ฟังดูเจ็บปวด เขายกมือขึ้นขยำอกเสื้อจนขึ้นข้อขาว ปากสั่น ตัวสั่น น่าสงสารจนผมอยากจะกลับกรุงเทพฯ ไปคุยกับไอ้ทอยให้รู้เรื่อง มีวิธีอีกมายมายในการไล่คนๆ หนึ่งออกจากชีวิต แล้วทำไม...

“ทำไมถึง...” ผมพูดไม่ออกจริงๆ ทำได้ดีที่สุดก็แค่ดึงเอย์จิเข้ามากอดไว้

“คงอยากให้เราตัดใจล่ะมั้ง” เสียงพูดกลั้วหัวเราะปนสะอื้นของเขายิ่งทำให้บรรยากาศรอบข้างดูหดหู่มากยิ่งขึ้น ผมกัดฟันกรอดนึกแช่งชักหักกระดูกอดีตเพื่อนสนิทอย่างหนัก ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกล้าทำอะไรแบบนี้

“แต่แบบนั้นก็เหี้ยเกินไป”

“เราว่าจะถอย...” เอย์จิผละตัวออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงบิดแล้วบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ รอยยิ้มบางบนใบหน้าสวยนั่นบ่งบอกว่าสิ่งที่พูดเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง ถอยตั้งแต่เพิ่งเริ่มไม่ใช่นิสัยของเขาเลยว่ะ แปลกมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีของไอ้ทอยทำร้ายจิตใจกันเกินไป เป็นผมคงต่อยสวนมันสักที

“แน่ใจแล้วเหรอ?” ผมลุกขึ้นตามอีกคนแล้วพบว่าขาทั้งสองข้างโดนเหน็บชากินจนรู้สึกคันยุบยิบไปหมด แต่ด้วยความที่คนข้างๆ อยู่ในโหมดอกหักเลยไม่ได้งอแงออกไป

“พยายามไปก็เท่านั้น ทอยบอกเราว่าไม่ได้เป็นเกย์ ไม่มีทางชอบผู้ชายคนอื่นนอกจากปัณณ์แน่นอน”

“เอย์จิ...” พอมีชื่อผมเข้ามาเกี่ยวข้องก็พาลทำให้รู้สึกใจกระตุก ถึงจะไม่ได้เป็นคนผิดแต่ก็กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไอ้ทอยปฏิเสธเอย์จิอยู่ดี ความรักแม่งเข้าใจยากว่ะ

“ชิวๆ น่า เราสบายดี เดี๋ยวไปหาคนดามใจได้ไม่ต้องห่วง” เอย์จิคลี่ยิ้มทั้งที่มือยังปาดน้ำตาบนใบหน้า ผมพยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรต่อแล้วยื่นมือไปบีบไหล่อีกคนเพื่อให้กำลังใจ ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วพอดีกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตรงมาทางนี้ เดาไม่ยากว่าคงเป็นพี่ยู

“อื้ม ถ้ามีอะไรก็คุยกับเราได้ พร้อมรับฟัง” ความเป็นคนดีมันเข้าสิงน่ะนะ แต่เห็นเพื่อนยิ้มได้ก็รู้สึกดีแล้วล่ะ จากที่อยากโทรไปด่าไอ้ทอยกลับรู้สึกว่าคนเราก็มีเหตุผลของการกระทำต่างกัน ต้องยอมรับและเข้าใจเขาล่ะนะ

“เราชักอยากจะแย่งปัณณ์มาจากพี่ยูแล้วสิ” เอย์จิขยับเข้ามาใกล้จนผมเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนจะทำหน้ายักษ์ใส่เมื่อสังเกตได้ว่าพี่ยูที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังกัดฟันกรอด ดีแค่ไหนที่เขาไม่พรวดพราดเข้ามาแยกเราทั้งสองคนออกจากกัน

“อย่าเลยน่า ให้เราสมหวังสักทีเถอะ” ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปดีดหน้าผากเอย์จิด้วยความมันเขี้ยว เขาหัวเราะเสียงใสก่อนจะทำหน้าล้อเลียนกัน

“แหม... หมั่นไส้จังครับ แล้วเมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันสักทีล่ะ พี่ยูมาบ่นกับเราจนหูชาแล้ว”

“คนแก่นี่ใจร้อนเนอะ” ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าอยู่ๆ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ เพิ่งรู้ว่าพี่ยูก็มีนิสัยเด็กงอแงเพราะไม่ได้ดั่งใจสักที ก็เรื่องความรักน่ะมันต้องรอเวลาที่เหมาะสม

“ต้องเข้าใจพี่ยูนะปัณณ์ เขาแก่แล้วน้ำยาก็มีน้อยกลัวแพ้หนุ่มๆ เป็นธรรมดา” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเอย์จิทำให้ผมถึงกับใจเต้นแรง ตอนแรกก็ว่าจะไม่คิดลึกเรื่องน้ำจาอะไรนั่น โธ่เว้ย ทำไมถึงได้ลามกไม่แพ้พี่ยูเลยวะ

“ดึงเข้าเรื่องใต้สะดือตลอด”

“ปัณณ์คิดลึกไปเองหรอก เรายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ยังมีหน้ามาทำไม่รู้ไม่ชี้อีก เจ้าเล่ห์เหมือนคนพี่ไม่มีผิด

“หึ โอเคๆ กลับเข้าที่พักเหอะ ง่วงแล้ว” ผมโบกมือไล่เอย์จิด้วยใบหน้าเหยเกก่อนจะเดินตรงไปหาพี่ยูที่ยืนรออยู่ไม่ไกล รายนั้นฉีกยิ้มหวานต้อนรับต่างกับเมื่อครู่ลิบลับ

“ออกมาทำไมครับเนี่ย?” ผมถามเมื่อเดินไปถึงตัวเขา มองสำรวจสภาพที่หัวกระเซิงไม่เป็นทรง เดาว่าคงลุกจากที่นอนต่อด้วยส่งไลน์แล้วนั่งรอจนฝนหยุดตกแล้วเดินออกมาแน่ๆ อยากหัวเราะใส่แต่ทำได้แค่ส่งยิ้มเพราะดวงตาคมคู่นั้นมีแต่ความเป็นห่วงเต็มไปหมด

“ดึกแล้วเลยออกมาตาม”

“หืม นอนไม่หลับเหรอครับ?” ผมแสร้งถามในขณะที่ก้าวขานำอีกคนกลับเข้าบ้านพักหลังถัดไป พี่ยูขยับตามมาติดๆ ก่อนจะถือวิสาสะวางแขนลงบนลาดไหล่

“ก็... ทำนองนั้นล่ะ เป็นห่วงมัน” เป็นห่วงน้องแต่กอดผมไว้นี่คืออะไรครับ เนียนเหรอ เดี๋ยวตีแขนหักเลยนี่ แต่เอาเถอะ ทำแบบนี้ก็อุ่นดี ใครหาว่าใจง่ายก็ให้โทษฝนฟ้าอากาศแล้วกันเนอะ

“ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ เอย์จิเก่งจะตาย” เชื่อว่าไม่นานเขาคงกลับมาร่าเริงเป็นเอย์จิคนขี้เล่นได้เหมือนเดิมล่ะนะ

“นั่นสิเนอะ”




----------------------------------------------

คนแก่เนี่ยใจร้อนอยากได้เขาเป้นแฟนซะจริงๆ
ส่วนปัณณ์ก็ใจเย็นเพราะรอเวลาเหมาะสมอะไรบางอย่างอยู่

เอย์จิน่ะ แค่ไม่ถอยออกมาทำใจเท่านั้นล่ะ เสียใจไม่นานหรอก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ยอมใจในความหื่นของพี่ยูจริงๆ รุกหนักมากเลย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอย์จิผู้น่าสงสาร :hao5:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 16 : โซบะเย็น



ทริปเที่ยวอัมพวาวันที่สองของพวกเราเริ่มขึ้นในเวลาเกือบสิบโมงเพราะเอย์จิดันตื่นสาย สภาพของเขาไม่ค่อยต่างจากซอมบี้เท่าไหร่ ใต้ตาคล้ำแถมยังบวมอีกต่างหากคงเป็นสาเหตุมาจากการร้องไห้เมื่อคืน ส่วนผมมีอาการง่วงงุนเล็กน้อยในขณะที่พี่ยูร่าเริงพร้อมออกเดินทาง หึ อยากจะหาอะไรมาฟาดหัวนัก เล่นมากอดกัน หายใจรดซอกคอจนข่มตาหลับไม่ลง...

วันนี้มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งคือเอย์จิทำตัวติดผมเหมือนเป็นฝาแฝดโดยการลากกันไปนั่งกับริวด้านหลังแล้วให้คุณป้าเป็นตุ๊กตาหน้ารถแทน พี่ยูมองตาขวางแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก็สมกับที่เขาเป็นผู้ใหญ่เก็บอารมณ์ได้ดี

ภายในรถมีเพลง Baby Shark กำลังเล่นโดนการร้องขอจากริวซึ่งนั่งโยกหัวตามจังหวะอยู่บนคาร์ซีท ปากเล็กๆ ฮึมฮัมฟังไม่เป็นภาษา ใบหน้ากลมยิ้มแย้มอย่างมีความสุข เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดมันเขี้ยวไม่ได้เลยก้มลงฟัดแก้มเจ้าตัวแสบจนได้ยินเสียงประท้วงอ้อแอ้ในลำคอ

“หอมแก้มลูกจนพ่ออิจฉาแล้วครับ” คนขับรถจำเป็นเอ่ยเย้าคลอไปด้วยเสียงหัวเราะขบขันของคนเป็นแม่ ผมชะงักกึกรีบถอยออกห่างริวด้วยใบหน้าแดงก่ำ มาอิจฉาลูกอะไรตอนนี้ ไม่อายคนอื่นบ้าง หยอดไม่ดูเวล่ำเวลาเลย ยิ่งสายตาของเราสบกันก็เหมือนร่างกายจะละลาย

“พี่ยู!” ตะโกนเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินจนริวสะดุ้งเฮือก แต่ดีหน่อยที่หลานไม่ร้องเพราเอย์จิเอาขนมล่อพอดี ช่างเป็นคุณอาที่ชาญฉลาดเหลือเกิน

“หมั่นไส้คนจีบกันอะ” เสียงบ่นพึมพำของเอย์จิดังพอที่จะทำให้พวกเราได้ยินกันทั้งรถเพราะเป็นช่วงเพลงจบพอดี ผมแทบจะพุ่งเข้าไปบีบคอคนพูดแต่ต้องชะงักเมื่อพี่ยูตวัดสายตามองผ่านกระจก ฉิบหาย โดนด่าแน่ๆ

“นั่งเงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้นะ” พี่ยูเบนเป้าหมายไปทางน้องชายตัวเองทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะตอนแรกนึกว่าเสียงดังเกินไปตนทำให้เขาเสียสมาธิขับรถ เฮ้อ รอดๆ

“นี่น้องนะ ต่อหน้าโอกาซังด้วย!” เอย์จิทำหน้าบึ้งเหมือนเด็กตัวเล็กๆ พร้อมกับกอดอกแล้วสบตาพี่ชายผ่านกระจก ดูก็รู้ว่าแกล้งงอนให้เขาง้อ

“อย่าทะเลาะกันสิคะ เดี๋ยวริวก็ตกใจหรอก” คนห้ามทัพกลายเป็นคุณป้าที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในขณะที่พูดก็ยังคงยิ้มแย้มไม่มีแววดุเลย อยู่ๆ ผมก็คิดถึงแม่กับพ่อขึ้นมาแล้วสิ เฮ้อ

“อาขอโทษที่เสียงดังนะครับ” เอย์จิเอ่ยเสียงแผ่วแล้วก้มลงจุ๊บแก้มกลมนั่นดังฟอด ผมแอบอมยิ้มกับความน่ารักของทั้งสองคนแล้วสลัดเรื่องน่าเศร้าของตัวเองทิ้ง ถึงแม้ว่าจะสูญเสียครอบครัวแต่ก็ได้รับความอบอุ่นจากทุกคนในที่นี้ อ่า... อย่าเพิ่งร้องไห้ตอนนี้สิวะ เดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี

“เลี้ยงหนม ไถ่โทษ ~” ริวกอดอกทำท่าทางขึงขังคล้ายกับว่าโกรธเอย์จิอย่างจริงจังแต่ทุกคนรู้ดีว่าเจ้าเด็กคนนี้เพียงแค่อยากกินขนมเท่านั้น แผนสูงยิ่งกว่าคนเป็นพ่ออีกมั้ง โตขึ้นมาคงร้ายน่าดู

“แหนะ ใครสอนให้เจ้าเล่ห์แบบนี้ครับ?” เอย์จิหรี่ตามองหลานอย่างสงสัยในขณะที่ทุกคนก็ทำท่าทีสนใจรอฟังคำตอบ ริวฉีกยิ้มกว้างก่อนที่นิ้วป้อมจะชี้ไปที่คนถาม ไหงดันหวยออกล่ะ ผมแทบหัวเราะแต่ต้องกลั้นไว้

“อาจิ ~” เสียงสดใสจนผมอยากจะอัดไปตั้งริงโทนโทรศัพท์ให้เอย์จิ

“โธ่... เสียหายหมด” คนถามถึงกับคอตกแถมยังทำเสียงงอแงใส่หลานจนฟังไม่เป็นภาษาทำให้ผมที่อยู่ใกล้และได้ยินถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เอย์จิตวัดดวงตาดุๆ มองกัน แต่อย่าหวังว่าใครจะกลัว ก็มันดูเหมือนลูกแมวขี้หงุดหงิดนี่น่า ยังไงๆ ก็น่ารัก

“เราว่าเอย์จินั่งเงียบๆ ดีกว่าเยอะ” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยับตัวจนชิดประตู เชื่อว่าเอย์จิคงเอาคืนอย่างเจ็บแซบแน่นอน เพราะดูจากสีหน้าท่าทางคงเอาเรื่องอยู่

“ปัณณ์... เดี๋ยวเราก็จับจูบซะหรอก” นั่น... จะมากไปปะเนี่ย คนเต็มรถเลยนะเว้ย

กึก

พี่ยูเหยียบเบรกจนพวกเราแทบหัวทิ่ม ส่วนริวเห็นเป็นเรื่องสนุกเพราะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่คนเดียว คุณป้าหันไปดุ ส่วนผมกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมเหยียบเบรกขนาดนั้นแต่ก็โดนสวนขึ้นมาซะก่อน

“อยากตายก่อนแก่เหรอ?” เสียงเย็นเอ่ยถามลอยๆ แต่ผมเข้าใจดีว่าคงเจาะจงเป็นเอย์จิอย่างแน่นอนเพราะเมื่อครู่เขาขู่จะจูบ

“ไรอะ? แค่นี้ถึงกับขู่ฆ่าน้องเลยเหรอ ใจร้าย ฮือ” เอย์จิส่งเสียงงอแงก่อนจะเนียนเอื้อมมือมากอดทั้งผมทั้งริวไว้ในจังหวะที่พี่ยูเริ่มออกรถอีกครั้งหนึ่ง นี่ถ้าเขาเห็นผ่านกระจกมองหลังอีกครั้งคงไม่ต้องไปเที่ยวโรงพยาบาลยกคันใช่ไหม ก็เพิ่งรู้ไม่นานนี่เองว่า ‘โคตรขี้หวง’ เป็นยังไง

“ไม่แกล้งพี่เขาสิลูก ดูๆ หึงจนหน้าดำหน้าแดงหมดแล้ว” คุณป้าเอ่ยแซวก่อนจะหันมามองพวกเราซึ่งกับลังยื้อยุดฉุดกระชาก ผมชะงักกึกเมื่อได้ยินคำว่าหึง ส่วนเอย์จิถึงกับถอนหายใจพรืด นี่มันเบื่อกูหรือพี่ชายตัวเองเนี่ย ไม่กล้าถามเลย

“โธ่ อย่าเอาเรื่องจริงมาพูดสิครับ เดี๋ยวปัณณ์หาว่าผมงี่เง่าแล้วไม่ยอมคบกันพอดี” พี่ยูว่าเสียงอ่อยก่อนจะเหลือบสายตาอ้อนๆ มองกันผ่านกระจก ผมเบนหน้าหนีแสร้งทำว่ากำลังดูวิวข้างทาง ก็สวยดีแต่กลับไม่ได้ช่วยให้จิตใจสงบเลย อยู่ๆ เขาก็พูดเรื่องขอคบขึ้นมาเลยทำให้ความทรงจำในวันนั้นหวนกลับมา แก้มร้อนแปลกๆ ว่ะ

“อ้าวเหรอ? งั้นขอให้ได้คบกันเร็วๆ นะคะ?”

โธ่ คุณป้าจะเชียร์อะไรคุณลูกชายขนาดนั้นครับ เห็นใจผมบ้างเถอะครับ ไม่มีพรรคพวกเลยเนี่ย

สถานที่เที่ยวแห่งแรกของวันนี้คืออาสนวิหารแม่พระบังเกิด เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่อายุนับร้อยปี ด้านในประดับตกแต่งอย่างวิจิตร ไม่ว่าจะเป็นกระจกสี รูปปั้น ธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป เชิงเทียน และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติในพระคัมภีร์คริสตศาสนาล้วนแล้วแต่สวยงามทั้งนั้น

ผมอาสาดูแลริวในขณะที่คุณป้าและเอย์จิถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพี่ยูก็เดินตามกันไม่ห่างไปไหนเหมือนกลัวว่าพวกเราจะหนี ก็ตลกดี... เพิ่งรู้ว่าเขาก็มีมุมกลัวอะไรแบบนี้ด้วย โธ่ กลายเป็นเด็กน้อยเลย

“ปัณณ์ครับ” พี่ยูส่งเสียงเรียกก่อนจะหยุดเดินทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ มีอะไรหรือเปล่านะ

“หือ?”

“ถ่ายรูปกันไหมครับ?” เขาแกว่งโทรศัพท์ในมือไปมาเหมือนเชิญชวนในขณะที่ผมขมวดคิ้ว อยู่ๆ ก็อยากถ่ายรูปขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยมาก่อน หมายความว่ายังไงเนี่ย

“หา คึกอะไรเนี่ย?”

“ก็... รู้จักกันมาตั้งนานไม่เคยถ่ายรูปด้วยกันเลย”

“งั้นเรียกคนอื่นมาถ่ายด้วยสิครับ” ผมมองหาคนอื่นไปทั่วบริเวณแล้วพบว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ กำลังจะอ้าปากเรียกอยู่แล้วเชียวแต่กลับโดนพี่ยูห้ามไว้ ใช้วิธีธรรมดาก็ไม่ได้เนอะต้องเอานิ้วมาแตะปากด้วยหรือไง สงสารหัวใจกันบ้างเถอะ เต้นแรงจนปวดไปหมดแล้ว

“ไม่เอาครับ” ปฏิเสธเสียงขุ่นแถมยังทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจอีก ต้องการอะไรกันแน่เนี่ย ผมเอาใจคนแก่ไม่ถูกเลยว่ะ ดูสิ ขนาดริวยังมองหน้าพ่องงๆ เลย

“อ้าว...”

“แค่สามคนก็พอ” หืม อะไรคือพูดแล้วหน้าแดงเถือกล่ะครับพี่ยู แต่ผมก็มาเข้าใจเอาตอนที่ริวส่งเสียงเรียกป๊านั่นล่ะ สามคนนี่หมายถึง...

“ทำอย่างกับถ่ายรูปพ่อแม่ลูก” ผมพึมพำเสียงเขาเพราะรู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาดื้อๆ ถ้าเป็นไปตามนั้นจริงๆ ถือว่าพี่ยูจีบหนักมาก

“อยากให้เป็นแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ แต่ปัณณ์ไม่ยอมรับรักพี่สักที” ดวงตาคู่สวยของเขาเหลือบมองกันนานเกือบนาที มันสื่อความหมายหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความห่วงหา ความชอบ ความรักจนผมทำได้แค่เม้มปากกลั้นยิ้มไว้

“พูดมากจังครับ จะถ่ายก็ถ่าย” ผมเฉไฉหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดกล้องแทน ริวคลี่ยิ้มทันทีเมื่อเห็นหน้าตัวเองสะท้อนอยู่อีกด้าน แต่พี่ยูกลับไม่ยอมเข้าเฟรมแถมยังเอ่ยแซวให้แก้มร้อนเล่นๆ

“เขินก็บอกว่าเขินสิ” ใครที่ไหนมันจะยอมบอกเล่า เดี๋ยวก็ได้ใจกันพอดี

“ถ้าไม่รีบถ่ายผมจะพาริวไปหาไอติมกินแล้วนะครับ” ผมก็ทำได้แค่ขู่ก็เท่านั้นล่ะเพราะสุกท้ายก็ใจอ่อนให้พี่ยูตอดเล็กตอดน้อยอยู่นานกว่าจะได้ถ่ายรูปดีๆ

ออกจากอาสนวิหารแม่พระบังเกิดก็ตรงไปยังวัดบางกุ้งต่อด้วยแวะถ่ายรูปที่สะพานแขวน ณ จุดนี้สองพี่น้องแทบฆ่ากันตายเพราะเอย์จิวิ่งเข้ามากอดกันซะแน่นแถมยังซุกหน้าลงบนลาดไหล่อีกด้วย คนขี้หึงเกือบทิ้งโทรศัพท์ในมือเลยทีเดียว ถ้าไม่ได้คุณป้าห้ามไว้คงเละเทะ จะหวงอะไรขนาดนั้นครับ

พี่ยูลงโทษน้องด้วยการบังคับให้ขับรถ ตอนนี้เรากำลังมุ่งตรงไปที่ตลาดน้ำอีกครั้งเพื่อซื้อของฝากกลับไปให้คุณลุงคงไม่พ้นปลาทูหน้างอคอหักกับขนมเปี๊ยะเจ้าเด็ดแห่งอัมพวา ส่วนผมเองก็มีแผนนั่งเรือชมหิ่งห้อยในช่วงค่ำ อยากรู้ว่าจะสวยอย่างที่เขาร่ำลือกันไหม (แนะนำให้ไปช่วงเดือนพ.ค. - ต.ค. จะมีโอกาสเห็นหิ่งห้อยเยอะ)

ริวย้ายไปเกาะติดคนเป็นพ่อกับย่าชวนดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเป็นภาพที่น่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปเมื่อพอใจก็เบนกล้องไปหาคนด้านข้างแทนแต่ผมต้องชะงักกึก ทำไมเอย์จิทำหน้าแบบนั้น ตั้งแต่ตอนไหนที่เราทุกคนมองข้ามความรู้สึกของเขา

“เอย์จิ” ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วเอ่ยปากเรียกคนข้างตัว แต่ปฏิกิริยาตอบรับเท่ากับความเงียบ เขายังคงเดินต่อไปอย่างเลื่อนลอยจนน่าเป็นห่วง ขนาดจะชนแผงขายของยังไม่รู้ตัว

“ลองกินไอติมกระท้อนพริกเกลือกันไหม? เขาบอกว่าอร่อยดีนะ” ผมเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยจนเอย์จิรับรู้แล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กัน ทำนองถามว่าเมื่อครู่พูดอะไร

“หือ ว่าอะไรนะปัณณ์?”

“เราถามว่าลองกินไอติมกระท้อนพริกเกลือร้านข้างหน้าดูไหม น่าอร่อยดี” ผมพูดอีกครั้งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ร้านขายไอติมที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เอย์จิยังคงดูเบลอๆ แต่ก็ยอมพยักหน้ารับก่อนที่รอยยิ้มบางจะปรากฏบนใบหน้า มันให้ความรู้สึกว่างเปล่ายังไงชอบกล คงเป็นผลพวงจากเรื่องของไอ้ทอย...

“ซื้อฝากคุณป้ากับพี่ยูด้วยดีไหม?” ผมลองขอความคิดเห็นจากเขาแต่คำตอบที่ได้คือการพยักหน้ารับทั้งที่ปกติต้องงอแงไม่ยอมซื้อของฝากพี่ยูถึงจะถูก ถึงแม้ลึกๆ อยากปลอบให้ตรงประเด็นแต่ดูจากอาการแล้วเงียบไว้ดีกว่า

“งั้นเอย์จิไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวเรามา”

ผมสั่งไอติมแค่สองกรวยเพราะอีกสองคนหายไปจากสายตาแล้ว คงชวนกันไปซื้อของฝากให้คุณลุงล่ะมั้ง ในระหว่างนั้นความกังวลใจก็ทำให้ต้องลอบมองเอย์จิอยู่บ่อยๆ เขาเหม่อลอย ท่าทางดูเซื่องซึม ไม่มีชีวิตชีวา นี่แค่เพิ่งเริ่มชอบไม่ใช่หรือไง ทำไมอาการแย่แบบนี้วะ ถ้าโทรไปถามไอ้ทอยจะเป็นยังไง

“ไอสกรีมได้แล้วครับ ทั้งหมด...” ผมละสายตาจากเอย์จิแล้วจ่ายเงินให้กับคนขายก่อนจะรับไอติมมาถือไว้ หน้าตาดูดี รสชาติคงไม่ต่างจากกระท้อนคลุกพริกเกลือแน่นอน แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายแตกแล้ว

“เอ้า ไอติมได้แล้ว” ผมยื่นไอติมให้เอย์จิ เขาสะดุ้งก่อนจะรับมันไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากบางอ้างับของกินแต่ดวงตากลับมองไปทางอื่น

“กินเลอะแล้วนั่น จะเหม่อไปไหน?” ผมแกล้งดุพลางควานหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าเสื้อแล้วเอื้อมไปซับที่มุมปากให้อย่างแผ่วเบา เอย์ผงกหัวเป็นการขอบคุณก่อนจะเริ่มกินไอติมต่อเงียบๆ รสชาติมันก็อร่อยสมคำร่ำลืออยู่หรอกแต่เจอสถานการณ์แบบนี้แทบกระเดือกไม่ลงเลย

“เราจะไปไหนกันต่อเหรอ?” คนที่จัดการไอติมเรียบร้อยหันมาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมส่ายหัวเป็นการตอบ ขี้เกียจเดินแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเวลานั่งเรือชมหิ่งห้อย ขอนั่งรอตรงนี้ดีกว่า

“หิวไหม?” ผมถามกลับ

“หึ กินไอติมไปแล้วไง” มันไม่ใช่คำตอบของเอย์จิคนเดิมเลย แค่ไอติมมันจะไปอิ่มอะไร

“ยิ้มหน่อยสิ” ผมพูดขึ้นลอยๆ แต่สายตากลับเจาะจงอยู่ที่ใบหน้าของเขา เอย์จิขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อ ก็นะ สติคงลอยออกไปนอกอวกาศแล้วมั้ง

“หืม? เราไม่ใช่คนบ้านะ จะให้ยิ้มตลอดเวลาได้ยังไง” เอย์จิหัวเราะตบท้ายประโยคแล้วยื่นมือมาดึงแก้มกันอย่างหยอกล้อ ผมไม่ปัดป้องเหมือนอย่างเคยปล่อยให้เขาทำตามใจ พลางคิดว่าเพราะสาเหตุอะไรถึงทำให้ไอ้ทอยปฏิเสธด้วยวิธีร้ายแรงแบบนั้นนะ...

“เราขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?” ผมรวบจับมือเรียวเอาไว้แล้วจ้องหน้าเอย์จิด้วยสาตาจริงจัง เขาชะงักกึก เม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่ตอบอะไรกลับมานานนับนาที แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ

“ถ้าเราตอบได้” แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

“ตอนนี้รู้สึกยังไง?” ผมค่อยๆ ออกแรงลูบหลังมือของเอย์จิเบาๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด เขาไหวไหล่ก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น

“ก็... ไม่อยากทำอะไรเลยน่ะ อึนๆ เบลอๆ อธิบายไม่ถูก”

“ไหวไหม?” ผมวางฝ่ามือลงบนลาดไหล่กว้างก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ เอย์จิถอนหายใจแต่พยักหน้ารับคำ

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” นั่นสินะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

“อื้ม ไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยด้วยกันไหม?” ผมเอ่ยปากชวนเอย์จิทั้งที่ตั้งใจว่าจะไปกับพี่ยูแค่สองคน มันเป็นเซอร์ไพร์สเล็กๆ น้อยๆ อยากทำให้เพื่อเป็นการตอบแทนทุกความรู้สึกที่ได้รับมา

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวก็เสียแผนกันพอดี” เอย์จิบุ้ยปากใส่กันแต่ให้หลังก็คลี่ยิ้มอยู่ดี แต่ผมกลับไม่สบายใจที่ตัวเองกำลังจะมีความสุขแต่อีกคนยังเป็นทุกข์

“เรื่องนั้นเอาไว้วันหลังก็ได้” จริงๆ ไอ้การไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยมันก็สำคัญอยู่หรอก แต่ดูสภาพเอย์จิแล้ว...

“วันนี้ล่ะ ถือซะว่าเป็นของขวัญครบรอบสามสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ของพี่ยู” ใช่ วันนี้เป็นวันเกิดพี่ยูที่เราจงใจไม่เอ่ยถึงเพื่อทำเซอร์ไพร์สเขาในตอนค่ำ อดทนกันมาทั้งวันจะให้เสียแผนไม่ได้สินะ เอาวะ ยังไงคุณป้ากับริวคงไม่ปล่อยเอย์จิให้เฉาตายหรอก

“โอเค”

หลังจากกลับไปส่งทุกคนที่โฮมสเตย์เรียบร้อยผมก็อาสาขับรถพาพี่ยูออกมาข้างนอกโดยไม่บอกจุดหมายปลายทาง ความรู้สึกตอนนี้แทบบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ทั้งตื่นเต้น ขัดเขิน ลุ้นระทึก โอย มันตีกันยุ่งเหยิงจนอยากตะโกนใส่หน้าใครสักคน ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมจากคนข้างๆ ด้วยแล้วยิ่งพาให้สติกระเจิง ทำไมต้องรู้สึกอยากกอดแล้วเอาหน้าซุกอกเขาตอนนี้ด้วยวะ

“จะพาพี่ไปปล้ำเหรอเรา ถามอะไรก็ไม่ตอบ” พี่ยูพูดขึ้นลอยๆ ทำให้ผมที่กำลังฮัมเพลงรักถึงกับสำลักอากาศจนไอโขลก ถามบ้าอะไรวะเนี่ย ใครที่ไหนเขาจะลำบากลากออกมาปล้ำข้างนอกเล่า บ้านพักตัวเองก็มีไม่ได้อยู่รวมกับชาวคณะสักหน่อย คิดได้ไง!

“ทำไมคนแก่ขี้สงสัยจังครับ” ว่าพลางเหลือบมองคนด้านข้างว่าตอนนี้กำลังแสดงสีหน้ายังไงอยู่ แต่กลับต้องล้มเลิกความคิดเพราะพี่ยูเอาหน้าแนบกระจกเพื่อมองวิวยามค่ำคืนด้านนอก ความแตกต่างระหว่างเมืองหลวงกับต่างจังหวัด สงบแบบนี้นี่เอง

“ก็อยู่ๆ โดนลากออกมาไม่ทันตั้งตัวนี่ครับ”

“นั่งฟังเพลงสบายๆ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ” พี่ยูพยักหน้ารับก่อนขยับตัวกลับมาที่เดิมแล้วกดเปลี่ยนเพลง เมื่อครู่มาแนวอกหักคงหดหู่เกินไปล่ะมั้ง

“แล้วเอย์จิเป็นยัไงบ้าง?” เขาถามถึงเรื่องน้องชายด้วยน้ำเสียงห่วงใย ถ้าหากว่าผมสามารถหันไปมองได้คงเจอกับสายตาอ่อนโยนปนสงสาร

“ก็... อาการอกหักนั่นล่ะครับ แต่เดี๋ยวก็ผ่านไป” ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน

“ขอบคุณนะ” อยู่ๆ พี่ยูก็เอ่ยคำขอบคุณขึ้นมาทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย คือยังไง ได้ข่าวว่าวันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

“หืม เรื่องอะไรครับ?” ผมถามกลับพลางตบไฟเลี้ยวเขาสู่ท่าเรือนำเที่ยวชมหิ่งห้อย อีกนิดเดียวก็จะถึงที่หมายแล้ว อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรง ใกล้แล้วสินะ...

“รับฟังเอย์จิและคอยอยู่เป็นเพื่อน” พี่ยูเฉลยสาเหตุด้วยรอยยิ้มก่อนที่มืออุ่นจะวางทาบลงมาบนแก้มของผม มันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกจนเผลอเอนซบ เป็นพ่อที่ดีแถมยังเป็น (ว่าที่) แฟนที่ดีอีกด้วย

ผมยังถือว่าตัวเองโชคดีกว่าใครในเรื่องของความรัก แม้ว่ามันจะยาวนานมาเป็นสิบปีแต่ก็ไม่เคยโดนปฏิเสธและในสุดท้ายก็ยังสมหวังอีกต่างหาก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็เรา... เป็นครอบครัวเดียวกัน” พูดคำนี้แล้วรู้สึกขัดเขินจนต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ทำไมเหมือนคู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้ววะ โอย ช่างแม่งเหอะ

“แล้วเมื่อไหร่เราจะเป็นแฟนกันสักทีครับ” แต่การตอบกลับของพี่ยูทำให้มือไม้ผมอ่อนจนเกือบพารถเข้าข้างทาง หัวใจเต้นแรงมาก ปากสั่นกึกๆ ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้หนาวเกินไป นี่คือความเขินอายล้วนๆ ใช่ไหม อย่าหยอดกันนักสิครับ

“พี่ต้องถามผมก่อนว่ารู้สึกยังไงหรือเปล่า? ข้ามขั้นสุดๆ อะ” พยายามตวัดเสียงให้ดูเป็นคนหงุดหงิดแต่พี่ยูกลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา แถมยังคลี่ยิ้มจนน่าหมั่นไส้ กลัวกันบ้างก็ได้ปะ ทำไมชอบแหย่ชอบหยิกให้เขินจนตัวจะบิดอยู่เรื่อย ฮึ่ย!

“ไม่อยากชักช้านี่ครับ กลัวอกหัก” หยอดอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมอดทนที่จะไม่ตอบกลับเพราะถึงที่หมายแล้ว ภารกิจอันยิ่งใหญ่รอคอยอยู่ พ่อแม่ พี่ป่าน เอาใจช่วยปัณณ์ให้ทำสำเร็จด้วยนะครับ

ผมเดินนำพี่ยูไปที่ท่าเรือโดยไม่บอกอะไรแถมยังจัดการช่วยใส่เสื้อชูชีพให้อย่างเรียบร้อย พอก้าวขาลงเรือความตื่นเต้นก็ปรากฏในดวงตาคู่สวย บรรยากาศโคตรโรแมนติกเหมาะแก่การ... สารภาพรัก

“เซอร์ไพร์สวันเกิดพี่เหรอ?” คำถามตรงไปตรงมาทำให้ผมหลุดหัวเราะพรืดทั้งที่เมื่อครู่ยังดื่มด่ำบรรยากาศท้องฟ้าไร้ดวงจันทร์แต่มีดาวอยู่เลย โธ่ ไม่รู้ทันสักเรื่องได้ไหมล่ะครับ อุตส่าห์ปิดปากเงียบยังจับได้อีก แต่แผนสองเชื่อว่ายังคงเป็นความลับอย่างแน่นอน

“ทำนองนั้น” ผมตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปหิ่งห้อยที่ค่อยๆ โผล่มาจากต้นลำพู ถือว่าโชคดีที่ได้เห็นเพราะในรีวิวบางคนบอกว่าคลองมืดตลอดทาง เสียเที่ยวชะมัด

“ขอบคุณมากนะครับ เห็นเงียบๆ นึกว่าลืมไปซะแล้ว” พี่ยูคลี่ยิ้มละมุนพร้อมทั้งโน้มตัวเข้ามาใกล้จนเรือโคลง เดือดร้อนคนพายต้องทรงตัวอีก ถ้าตกน้ำจะทำยังไงเล่า อากาศเย็นด้วยนะ

“พี่ก็ไม่เห็นท้วงอะไรนี่ครับ” ผมเอนตัวเพื่อให้มีระยะห่างสำหรับการหายใจมากขึ้น ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการหลับตาลงแล้วท่องยุบหนอพองพอไปเรื่อย ถ้าเมื่อครู่เรือไม่โคลงเคลงจะเกิดอะไรขึ้นวะ จูบเหรอ... ก็มันใกล้จนสัมผัสลมหายใจได้แล้วนี่นา

“โตแล้ว วันเกิดก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าวันอื่นหรอก ปีที่ผ่านๆ มาก็ยังไปร้านทำงานตามปกติ” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่มีความเคลือบแคลงในสายตาที่มองตรงมา ผมเข้าใจดีว่ายิ่งคนเราอายุมากขึ้นวันเกิดก็ดูไม่สำคัญด้วยเพราะภาระหน้าที่หรือเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง อาจจะมีคำอวยพรเล็กน้อยจากคนสนิท เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้ว

“แล้วตอนอยู่กับพี่ป่านล่ะครับ จัดงานวันเกิดบ้างไหม?” ผมถามเพราะไม่เคยรู้ว่าความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นยังไง ถึงจะบอกว่ารักกันเหมือนเพื่อนแต่ในฐานะสามีภรรยาก็คงมีอะไรแตกต่างบ้างล่ะมั้ง

“รายนั้นจำวันเกิดพี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ” พี่ยูเบ้ปากเมื่อนึกถึงพี่ป่าน เอาจริงๆ รายนั้นจำวันเกิดใครไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะนอกจากพ่อแม่ ขนาดผมที่เป็นน้องยังไม่เคยได้ของขวัญจากเธอสักชิ้นนอกจากคำอวยพรย้อนหลังซึ่งผ่านไปเกือบอาทิตย์

“นั่นสิเนอะ” ผมหัวเราะประสานเสียงให้กับความโก๊ะของพี่สาว ป่านนี้จะสุขสบายอยู่บนฟ้าหรือเปล่านะ แต่อยากจะบอกให้เธอรับรู้ว่าทางนี้มีความสุขดี

ผมปล่อยให้ความเงียบแทรกซึมผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขไปช้าๆ ดื่มด่ำกับแสงหิ่งห้อยและลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ได้แต่แอบรักมาอย่างยาวนาน ถ้าใครมาถามว่าทำไมถึงได้ปักใจกับพี่ยูนักคงตอบไม่ได้ ความรู้สึกน่ะละเอียดอ่อนจนหาความหมายหรือเหตุผลไม่ได้หรอก

“จะว่าไป... ไม่มีของขวัญให้พี่หน่อยเหรอ?” อยู่ๆ เขาก็ยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อขอของขวัญ ผมตะลึงงันเพราะตั้งใจไว้ว่าถ้าพี่ยูถามจะดำเนินแผนขั้นที่สองต่อทันที ถ้าบอกว่ายังไม่พร้อมได้ไหมล่ะ แต่ว่าอีกเดี๋ยวก็หมดเวลาชมหิ่งห้อยแล้ว เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

“อยากได้อะไรเป็นของขวัญล่ะครับ?”

“อืม... มันต้องแล้วแต่คนให้สิ”

“วันนี้ผมตามใจพี่ยูไง ไหนว่ามาสิอยากได้อะไร?” ผมทำเป็นใจกล้าถามกลับไปทั้งที่พอจะเดาคำตอบของเขาได้ มีอยู่เรื่องเดียวในตอนนี้ที่เด่นชัดที่สุดและพี่ยูก็เพียรพยายามของมาตลอด...

“ถ้าพี่ตอบว่า... อยากได้ปัณณ์เป็นแฟนล่ะครับ จะว่ายังไง?” ทำไมต้องถามด้วยเสียงกระซิบให้รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจด้วยวะ กลัวคนพายเรือได้ยินเหรอ แม่ง ทีตอนจะจูบยังไม่เกรงใจใครเลย

“จริงจังไหม?” แต่ผมก็ถามกลับเสียงเบาไม่แพ้กัน อากาศก็เย็นนะแต่ทำไมหน้ามันร้อนๆ ก็ไม่รู้

“ที่สุดเลยครับ” น้ำเสียงหนักแน่นมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่ทาบทับลงมาบนตำแหน่งเดียวกัน ความอ่อนโยน ความรักถูกถ่ายทอดผ่านการสัมผัส รู้สึกดีไปถึงหัวใจ

“อื้อ ก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วล่ะ” ผมพึมพำเสียงเบาเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นเรือ ไม่กล้าสบตา ไม่กล้ามองหน้า เกือบแล้วที่จะกลั้นหายใจแต่กลัวตายซะก่อน

“หมายความว่า...” พี่ยูดูจะยังไม่เข้าใจสิที่ผมต้องการสื่อ ใบหน้าหล่อยามนี้ฉายแววฉงนแต่ดูน่ารักน่าชัง อยากดึงเข้ามาบดจูบให้ปากเจ่อแต่ทำได้แค่พูดสิ่งที่ตั้งใจ

“ผมชอบพี่ยูครับ เป็นแฟนกันนะ” สารภาพออกไปแล้ว สิ่งที่ผมเก็บไว้มาตลอดสิบปีที่ผ่านมา ความรู้สึกโล่งใจเกิดขึ้นในทันที ฝันกำลังจะกลายเป็นจริงเพียงแค่อีกฝ่ายตอบรับกลับมา

รัก รักมาก อยากให้รู้ว่ารักมาตลอดและจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ

“ไอ้เด็กขี้โกง...” พี่ยูกระตุกผมเขาไปกอดในขณะที่เรือเทียบฝั่งแล้ว กลัวเหลือเกินว่าคนพายจะตกน้ำแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากซุกหน้ากับอกแกร่งหายใจนำกลิ่นหอมเข้าสู่ปอด ชอบจัง

“ด่าผมทำไมเนี่ย?” ผมถามกลับเสียงอู้อี้

“พี่ไม่เคยคิดว่าจะได้ของขวัญชิ้นใหญ่ในวันเกิดนี่ครับ ตั้งตัวไม่ทันเลย” ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยเล่า มันทำให้ผมจะร้องไห้ไม่รู้หรือไง

“แล้วจะรับหรือเปล่า?”

“รับสิครับ อยากได้จะแย่แล้ว” คำพูดกำกวมจนพาลให้รู้สึกหน้าร้อน แต่เอาเถอะ เป็นแฟนกันแล้วคนแก่คงไม่งอแงอีกเนอะ

“อื้อ... ดูแลดีๆ นะครับ”

“ด้วยชีวิตเลย”

ผมอายคนทั้งท่าเรือเลยเว้ย โอ๊ย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาตบมือแสดงความยินดีกับพวกเราด้วย ฮือ ไม่น่าเลยไอ้ปัณณ์!




ต่อด้านล่างนะ


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ขากลับได้พี่ยูกลับมาทำหน้าที่คนขับรถเหมือนเดิมโดยที่ผมเอามือปิดหน้าไปตลอดทาง ทั้งเขินทั้งอายเมื่อภารกิจสำเร็จแล้วเงยหน้ามาเจอกับสายตานักท่องเที่ยวและคนพายเรือ แม่ง ก็ไม่ได้นึกว่าจะมีคนสนใจพวกเราขนาดนั้น ต้องกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ในโซเชี่ยลแน่ๆ โว๊ย

เราถึงโฮมสเตย์ในเวลาเกือบสี่ทุ่ม รีบกระโดดลงจากรถแล้วจำอ้าวไปที่บ้านพักของเอย์จิแต่พบว่าพวกเขาดับไฟนอนกันหมดแล้ว คืนนี้ผมจะรอดไหมวะ เป็นแฟนกันวันแรกแต่เจอสายตาหื่นกามเลยก็ระแวงเหมือนกัน

สุดท้ายผมก็ไปไหนไม่รอดต้องทิ้งตัวลงนอนข้างพี่ยูเหมือนเมื่อคืนแต่ดีหน่อยที่ยังมีตุ๊กตาปลาทูคั่นตรงกลาง รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาสิบเปอร์เซ็นต์

“ปัณณ์...” เกลียดการเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชะมัด ยิ่งปิดไฟประสาทสัมผัสยิ่งเด่นชัด แตะอะไรนิดอะไรหน่อยก็รู้สึก แล้วพี่มันจะเอานิ้วเท้าเขี่ยขากันอีกนานไหม ขนลุก!

“ผมจะนอน” ผมสะบัดขาผับๆ แล้วขดตัวหลบอยู่หลังปลาทู ถ้ายังล้ำเส้นมาโดนดีแน่

“นี่...” พี่ยูใช้มือสะกิดแขนผมเลยขยับออกห่างจนชืดริมเตียง อีกนิดเดียวจะลงไปนอนข้างล่างแล้วเว้ย พี่ยูเกิดมาแขนยาวเพื่ออะไร!

“ถ้าสะกิดอีกทีผมถีบจริงด้วย” ผมบอกเสียงขู่พลางยกเท้ากลางอากาศให้พี่ยูเห็นว่าทำจริง

“โธ่ ทำไมใจร้ายกับคนแก่แบบนี้ครับ?” ยังมีหน้ามาโอดครวญเรียกร้องความสนใจทั้งที่ตัวเองเหยียบเบรกหักพวงมาลัยจอดข้างทางแล้วขยี้จูบผมไม่เลี้ยงอะนะ ใจร้ายตรงไหน!

“ผมไปใจร้ายใส่พี่ตอนไหนครับ? ได้ข่าวว่าคนโดนกระทำก็คือผม” ทั้งจูบ ทั้งสะกิด ไหนจะเขี่ยขากันอีก โว๊ย ผมก็คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน ไม่อยากเสียตัวตั้งแต่วันแรกที่คบกันเว้ย มันดูง่ายเกินไป! ที่จริงแล้วลึกๆ คือกลัวเจ็บ

“ก็ปัณณ์เอาแต่กอดปลาทู” เสียงสี่ห้าหกเหรอไง ไม่เห็นจะน่ารัก!

“มันเกี่ยวอะไรกัน?” ปลาทูมันทำอะไรให้วะ

“อิจฉา” เดี๋ยว...

“ห๊ะ?”

“พี่อยากให้ปัณณ์กอดบ้างนี่ครับ” สาบานว่าพี่ยูแก่แล้ว ทำไมถึงยังอ้อนเป็นเด็กๆ อยู่ล่ะ ไม่ใช่ไม่ชอบแต่กลัวว่าจะเผลอใจให้เขาทำมากกว่ากอด

“ละ เลียนแบบริวหรือไง โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะครับ งอแงเป็นเด็กไปได้”

“ขาดความอบอุ่นครับ” พ่อเด็กน้อย

“ผ้าห่มก็มี” กระตุกผ้าห่มโชว์ซะเลย

“ไม่พอ” แหนะ

“พี่ยู... หยุดเจ้าเล่ห์สักห้านาทีไม่ได้หรือไงครับ?” ผมถามไปตรงๆ เพราะรู้ว่าเขาแกล้งกันอยู่ ทำไมกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์แสวงหากำไรจากแฟนอยู่เรื่อยเลย

โอย ไม่จริง ทำไมต้องมาเขินคำว่า ‘แฟน’ ด้วยวะ

“ก็ปัณณ์ไม่หลงกลสักที” ยังมีหน้ามองกันด้วยสายตาตัดพ้ออีกเหรอ แต่ไม่ยอมหลงกลแน่ๆ

“ผมอายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะเว้ย ไม่ใช่เด็ก”

“ไม่กอดพี่จริงเหรอครับ?” ทำไมต้องอ้อนวะ

“ไม่” ตอบเสียงหนักแน่น

“ปลาทูมันดีกว่าพี่ตรงไหน?” นี่มันเด็กแล้ว งอแงจังวะ

“ทุกตรง” ผมโผล่หน้าออกจากหัวปลาทูว่าเขาไปตรงๆ

“โธ่ แฟนครับ ~” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้พร้อมเรียกกันด้วยคำที่ผมถึงกับสะดุดลมหายใจ โอย จะวิ่งไปเคาะประตูบ้านอีกหลังตอนนี้ได้ไหมเนี่ย

“นอนครับ ถ้ายังพูดอีกผมหนีจริงๆ ด้วย” ผมกัดฟันพูดทั้งที่ปากมันเอาแต่จะคลี่ยิ้มอย่างเดียว ไม่น่าเชื่อคำว่าแฟนจะมีอิทธิพลขนาดนี้ หัวใจเต้นแรงมากเลย หวังว่าพี่ยูคงไม่ได้ยินหรอกนะ

เป็นอันว่าเรื่องจบตรงนี้ ผมได้นอนสบายในขณะที่พี่ยูหันหลังใส่ อะไรวะ อยู่ๆ ก็โดนงอนเรื่องกอดปลาทูซะเฉยๆ เอาวะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาง้อโดยการขยี้จูบให้ปากเจ่ออีกสักทีสองทีแล้วกัน


-------------------------------------------

เอ้า ไปเข้าหอกัน? 55555555 เขาเป็นแฟนกันแล้วนะเออ
น้องปัณณ์ไม่ได้เล่นตัว แค่อยากหาโอกาศเหมาะๆ ยกตัวเองให้เป็นของขวัญเท่านั้นเอง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
โอ้ยยย  อิจจ้า บอกเลยว่าอิจ 555 :m25:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง



หลังจากเลื่อนสถานะความสัมพันธ์สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือย้ายข้าวของส่วนตัวเข้าห้องนอนใหญ่โดยพี่ยูบอกว่าจะยกห้องนอนให้กับริว ตอนแรกค้านหัวชนฝาเพราะรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของคนเจ้าเล่ห์ แต่สุดท้ายก็แพ้ราบคาบเมื่อคุณป้าช่วยพูดอีกแรง ทำไมคนบ้านนี้ถึงได้สามัคคีกันนัก ขนาดเอย์จิยังไม่ห้ามเลย

ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าที่ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ในการไปส่งริวที่โรงเรียนเพราะเป็นช่วงเปิดเทอมแล้ว เด็กน้อยร้องไห้โยเยไม่ยอมลุกจากที่นอนต้องหลอกช่อกันแทบตายว่าช่วงบ่ายจะรับไปกินขนม ส่วนพี่ยูก็ให้พักผ่อนเต็มที่เนื่องจากต้องเข้าประชุมสรุปผลประกอบการโรงแรมประจำเดือนนี้

“น้าปัณณ์ หาว ~” เจ้าตัวแสบเอ่ยเรียกชื่อกันในขณะที่ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่ในครัว ไอ้เสียงหาวตบท้ายนั้นช่างน่าเอ็นดูจนอดหัวเราะไม่ได้ จะไหวไหมครับวันนี้ หรือต้องตรงดิ่งไปรับที่โรงเรียนตั้งแต่ตอนเที่ยง

“ครับริว รอก่อนนะ ไข่ยังไม่สุกเลย” ผมตอบกลับไปก่อนใช้ตะหลิวพลิกไข่ดาวในกระทะแล้วยืนรอจนมันสุกทั่วใบ ระหว่างนั้นก็แอบมองริวที่นั่งรออยู่บนโซฟาด้วยความเอ็นดู เอ๊ะ ทำไมเอย์จิถึงตื่นไว ออกจากห้องมาทั้งหัวฟูๆ สภาพดูไม่สมกับเป็นนายแบบเลย

“อาจิ ~ อย่าทับ ริวหนัก” เจ้าตัวแสบบ่นงุ้งงิ้งเมื่อหัวทุยๆ ของเอย์จิเอนลงบนตัก มือเล็กทั้งทุบทั้งตีแต่คนเป็นอากลับนิ่งเฉยแถมหลับตาพริ้มเหมือนสบายเต็มที่ ตื่นมาก็แกล้งหลานเลยเนอะคนเรา

“เอย์จิ อย่าแกล้งหลานสิ” ผมตะโกนเสียงดุกึ่งเล่นกึ่งจริงก่อนจะหันไปตักไข่ดาวใส่จานแล้วต่อด้วยการปิ้งขนมปังเพื่อทาแยมส้มที่หลาน

“เราไม่แกล้งหลานก็ได้ แต่จะแกล้งปัณณ์แทน” เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนแทบประชิดตัว ผมหันขวับไปถลึงตาใส่คนขี้แกล้งแต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นใครอีกคนอยู่ด้านหลังเอย์จิ ทำไมวันนี้ขยันตื่นเช้ากันจังวะ

“ถอยออกมาเลย อย่าเข้าใกล้ปัณณ์ให้มันมากนัก” เสียงทุ้มตืดแหบเพราะเพิ่งตื่นนอนนั่นฟังดูโคตรเซ็กซี่แต่การกระทำที่ดึงคอเสื้อด้านหลังของเอย์จิแล้วดึงตัวออกห่างจากผมนั้นดูดิบเถื่อนดีจริงๆ คนอะไรขี้หวงแม้แต่น้องตัวเองยังไม่เว้น โธ่ นี่ถ้าคู่นอนเก่ากลับมาทักทายกันคงโดยปิดกั้นการติดต่อทุกช่องทางแน่นอน

“คนแก่ขี้หวง!” เอย์จิโวยวายก่อนจะฟาดมือใส่พี่ชายไม่ยั้ง จากที่ดึงคอเสื้อกลายเป็นว่าถูกรวบกอดไว้แนบอก สุดท้ายก็ยอมแพ้แรงพี่ยูแล้วยอมอยู่นิ่งๆ

“แฟนพี่ พี่จะหวงก็ไม่แปลกหรือเปล่าวะ?” พี่ยูก้มลงถามคนในอ้อมกอดก่อนที่มือใหญ่จะยกขึ้นขยี้หัวขนน้องจนมันยุ่งเหยิงกว่าเดิม ผมมองภาพนั้นแล้วหลุดยิ้มออกมา ก็น่ารักดี พาลให้คิดถึงพี่ป่านเลยว่ะ

“หึ แต่ก่อนปัณณ์จะไปไหนกับใครไม่เห็นสนใจ” เอย์จิผละตัวออกแล้วกอดอกจ้องหน้าคนพี่เขม็งแถมด้วยการเดินมาอยู่ข้างกันในขณะที่ผมกำลังหยิบขนมปังออกจากเครื่องปิ้ง จะเบียดจนสิงเข้ามาในตัวเลยไหมเนี่ย

“สนใจสิ แต่ตอนนั้นเป็นแค่พี่น้องกันนี่” พี่ยูตอบกลับเหมือนทั้งห้องครัวมีกันแค่สองคนส่วนผมเป็นอากาศธาตุที่ไม่รับรู้เรื่องราว บางทีเกรงใจคนฟังบ้างก็ได้ หัวใจปั่นป่วนไปหมดแล้วเนี่ย ริวก็ไม่ได้ช่วยกันเลย เอาแต่ดูการ์ตูนสบายใจเฉิบ

“เอ้อ ใช่สิ ตอนนี้คบกันแล้วนี่ ถ้าผมจีบปัณณ์พี่ไม่มีทางสมหวังหรอก” เอ้า... เอาเข้าไป ผมหนีไปทาแยมขนมปังแล้วยกไปกินกับริวที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า ยังไม่อยากเป็นคนกลางระหว่างศึกชิงนายหรอกนะ

“ทำไมวันนี้แกพาลคนอื่นไปเรื่อยหืม?” แต่คำถามนั้นทำให้ผมหยุดชะงักเท้า อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้เอย์จิตื่นเข้าทั้งที่ไม่มีงานแถมยังแกล้งคนนั้นทีคนนี้ทีเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ

“ก็มันเบื่อๆ อะ เดี๋ยวว่าจะออกไปส่งริวกับปัณณ์ด้วย” หืม ทำไมอยู่ๆ ก็มีกะจิตกะใจไปส่งหลานวะ ปกติเอาแต่นอนอุตุ แปลก... แต่ช่างมันเถอะ คงเบื่อจะอยู่บ้านคนเดียวล่ะมั้ง

“งั้นก็รีบไปอาบน้ำสิ นี่หกโมงกว่าแล้ว” พี่ยูโบกมือไล่ เอย์จิพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งไปทางห้องน้ำแต่ไม่วายตะโกนดังลั่นบ้าน

“ระหว่างผมอาบน้ำห้ามทำอะไรปัณณ์นะ!”

“เรื่องของพี่!” ทำไมพี่โต้ตอบเอย์จิแบบนั้นเล่า เฮ้อ ผมควรใส่เครื่องป้องกันเวลาอยู่กับเขาสองคนหรือเปล่าเนี่ย เสี่ยงต่อการโดนล่อลวงไปปล้ำจริงๆ เลย

“ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เลยนะครับ” ผมเอ่ยแซวคนที่ปิดปากหาวอยู่ด้านหลังแล้วเริ่มทาแยมบนขนมปังอีกคู่ซึ่งเป็นของตัวเอง

“สีสันของชีวิตน่ะ พอให้กระชุ่มกระชวย” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้หูก่อนที่แก้มจะร้อนวูบขึ้นมาเพราะโดนปลายจมูกโด่งสัมผัส โอย เกือบคำมีดปาดเนยตกใส่เท้าแล้วไหมล่ะ เล่นอะไรของเขาเนี่ย เผลอไม่ได้เลยเว้ย

“อะ แค่พูดก็ได้มั้งครับ หอมแก้มผมทำไมเนี่ย?” ผมบ่นไม่จริงจังนักก่อนจะหยิบจานอาหารเช้าแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนเจ้าเล่ห์ แต่คงคิดผิดในเมื่อใบหน้าหล่อๆ โน้มเข้ามาใกล้จนเห็นแพขนตายาวได้ชัดเจน ถ้าห้ามใจไม่อยู่แล้วประกบจูบซะดีไหม ริวก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว หึ อ่อยจริงอ่อยจังก็พี่ยูนี่ล่ะ

“วิธีนี้ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นไง มีแรงทนนั่งประชุมทั้งวันเลย” ไม่พูดเปล่ายังจะเอาจมูกมาดุนดันซอกคออีก ผมก็ผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย โอย แต่ต้องท่องไว้ว่าหน้าที่เลี้ยงหลานสำคัญกว่า ผลักหัวแม่ง

“เลิกหยอดได้แล้วมั้งครับ” ผมขยับตัวออกจากรัศมีของพี่ยูแล้วรีบยกจานอาหารเช้าไปให้ริวที่นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่บนโซฟาเนื่องจากดูการ์ตูน

“ทำไมครับ ปัณณ์เขินเหรอ?” พี่ยูยังคงไม่ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ตามมาหลอกหลอนแถมนั่งเบียดลงข้างๆ กัน จะขยับหนีก็ติดที่ริวซึ่งเริ่มหยิบขนมปังใส่ปาก ไม่อายลูกบ้างหรือไงวะ ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้

“หน้าร้อนจะไหม้แล้วล่ะครับ” ผมกัดฟันพูดแล้วหันไปแยกเขียวใส่คนที่นั่งอยู่บนพนักวางแขน ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มหวานแถมด้วยการวางมือลงบนแก้มออกแรงบีบเบาๆ คล้ายมันเขี้ยว

“หึหึ ถ้าไม่ติดว่าปัณณ์ต้องไปส่งลูกนะ พี่ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก” เสียงกระซิบแหบพร่าข้างหูทำให้ผมผละตัวออกแล้วเอนไปทางริวก่อนหันไปจ้องดวงตาคมที่มีความเจ้าเล่ห์ฉายชัดอยู่ในนั้น

“หืม จะทำอะไรผมเหรอ?” แสร้งทำใจดีสู้เสือทั้งที่ข้างในรู้สึกหวั่นๆ เฮ้ย จะโน้มตัวเข้ามาทำไมเนี่ย ใกล้ไปแล้ว!

“อืม... ทำอะไรดีนะ?” แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ผละออกไปทำหน้าครุ่นคิด ท่าทางน่าหมั่นไส้จนผมได้แต่ลอบเบ้ปากใส่ ถ้าไม่มีริวนั่งอยู่ตรงนี้คงแน่แน่ๆ เห็นสวรรค์อยู่รำไรเลยล่ะ

“น้าปัณณ์ นมช็อกกะแลต ~” เสียงเล็กๆ ทำให้ผมรีบหันไปอีกทาง ริวมองตาปริบๆ ปากเลอะแยมส้มจนต้องหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดให้ เลิกสนใจพี่ยูดีกว่า หึ

“เดี๋ยวน้าไปเอามาให้ครับ ริวนั่งกับป๊าไปก่อนเนอะ” แล้วผมก็ทิ้งสองพ่อลูกเอาไว้ก่อนปลีกตัวไปสงบจิตสงบใจ ถ้าเมื่อครู่ริวไม่ขัดจังหวะคงมีการจูบเกิดขึ้น พี่ยูนะพี่ยู เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย!

เอย์จิอาสาเป็นคนขับรถนั่นทำให้ริวรีบพุ่งมานั่งกับผมโดยปล่อยคาร์ซีทว่างเปล่า เสียงเพลงที่เปิดคลอในเช้านี้เป็นแนวสากลเบาๆ ให้ความรู้สึกอยากไหลไปกับเบาะเนื่องจากตื่นเช้ากว่าปกติเลยยังมีความง่วงอยู่นิดหน่อย แถมเมื่อคืนยังโดนพี่ยูแกล้ง เอาตุ๊กตาปลาทูฟาดใส่จนนุ่นแทบทะลักและกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม เพลียโคตร

“น้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบบนตักเอ่ยเรียกชื่อกันพร้อมกับเงยหน้ามองด้วยสายตาสั่นไหวคล้ายมีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่ ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องไปโรงเรียนวันแรกของชีวิต สถานที่ใหม่ ผู้คนใหม่ๆ

“ครับ?” ผมตอบรับก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมแล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน

“โรงเรียนฉาหนุกเปล่า?” ภาษาไทยไม่ค่อยชัดดังขึ้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวเลยจับหลานหอมแก้มซะฟอดใหญ่แล้วตอบคำถามกลับไป

“อืม... สนุกสิครับ มีเพื่อนๆ เยอะแยะเลยน้า” ผมคลี่ยิ้มละมุนส่งให้หลานตัวน้อยก่อนจะโน้มตัวลงแตะจมูกกับอีกคน ไม่รู้ว่าเข้าใจความหมายคำว่า ‘เพื่อน’ มากแค่ไหน

“มีเพื่อนๆ เหรอ?” ริวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด คงจะรู้จักคำว่าเพื่อนอยู่ล่ะมั้ง ถ้าหลานถามว่ามันคืออะไรคงตอบได้ประมาณว่า ‘เหมือนเรนไง’ เออว่ะ ไปโรงเรียนก็ต้องเจอลูกของพี่เคียวนี่นา เจ้าตัวแสบคงไม่ร้องไห้โยเยกลับบ้ายหรอกมั้ง

“ใช่แล้วครับ”

“แต่ไม่มีป๊ากับน้าปัณณ์อ่า” เหมือนเรื่องจะจบแต่กลับไม่จบเพราะเจ้าตัวแสบคงคิดได้ว่าถ้าตัวเองไปโรงเรียนก็จะไม่ได้เจอคนในครอบครัว ผมกำลังจะปลอบหลานแต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเอย์จิเบะปาก โธ่ คนแก่ขี้น้อยใจที่หลานไม่ยอมพูดถึงสินะ ต้องง้อด้วยการเลี้ยงไอติมด้วยปะ เฮ้อ

“ตอนเย็นก็ได้เจอกันครับ” ผมละความสนใจจากสารถีแล้วคุยกับริวต่อ หลานมีสีหน้าดีขึ้นก่อนที่จะขยับตัวมากอดคอกันไว้ซะแน่น

“งืม ไอติม ~” โธ่ นี่น้าปัณณ์ครับไม่ใช่ไอติมช็อกกะแลตของหนู

“พอเป็นของกินนี่จำแม่นเนอะ” ผมแซวหลานแล้วจับฟัดแก้มซ้ายขวาด้วยความมันเขี้ยว เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลั่นรถจนทำให้เอย์จิพลอยหลุดขำไปด้วย ผ่านมาเป็นเดือนแล้วสินะ ที่ไม่ได้เห็นเขามีความสุขแบบนี้ ยอมรับว่าเรื่องของทอยหนักหนาจริงๆ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบว่ามันทำแบบนั้นทำไม

“รักน้าปัณณ์ที่สู้ดเลย” บอกรักจบก็ตรงเข้ามาจุ๊บปากกันก่อนจะคลี่ยิ้มหวานใส่ ผมอดหัวเราะไม่ได้กับความเจ้าเล่ห์ที่ถอดแบบพี่ยูมาเป๊ะๆ ถ้าริวโตขึ้นแล้วเจ้าชู้นี่คงไม่ต้องสงสัยเลย

“แล้วอาจิล่ะ รักไหมครับ?” คนเป็นอาไม่ยอมแพ้เลยยืนหน้าเข้ามาถามหลานบ้างในขณะที่รถติดไฟแดงสุดท้ายก่อนเลี้ยวเข้าโรงเรียน ริวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนเอย์จิเริ่มเบะปาก เฮ้ย อย่างอแงตอนนี้นะ

“รักเหมือนกาน ฮิฮิ” เจ้าตัวแสบกระโดดจุ๊บแก้มเอย์จิเป็นการยืนยันคำพูด จากที่เคยหน้าบึ้งกับยิ้มซะกว้าง นี่ล่ะน้าที่เขาบอกว่าผู้ใหญ่ใจน้อย

ผมอุ้มริวลงจากรถในขณะที่ปล่อยให้เอย์จิไปหาที่จอด ครูสาวคนสวยรีบตรงเข้ามาหาพวกเราแล้วเอ่ยสวัสดีอย่างเป็นมิตร แต่ดวงตากลมของเธอกลับกรอกไปมาเหมือนกำลังรอคอยใครอยู่

“เอ่อ คุณครูมองหาใครอยู่หรือเปล่าครับ?” ผมเอ่ยถามเพราะหวังดีว่าตัวเองอาจจะช่วยเธอได้บ้าง

“ห๊ะ อ๋อ วันนี้คุณพ่อน้องริวไม่มาเหรอคะ?” เธอหันกลับมายิ้มหวานให้ผมแต่คำถามมันช่างชวนให้รู้สึกตะหงิดๆ ในใจชอบกล ทำไมต้องมองหาพี่ยูด้วยวะ หรือโรงเรียนมีกฎให้พ่อกับแม่มาส่งเท่านั้น

“ครับ วันนี้เขาติดงานเลยมาส่งไม่ได้” ผมตอบไปตามความจริงซึ่งเจ้าตัวแสบที่อยู่ในอ้อมแขนก็พยักหน้าเป็นการยืนยันให้กับครูสาวคนสวย พริบตาเธอเผลอทำหน้าเสียดายแต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกธรรมดาแล้วล่ะ

“อ๋อค่ะ น้องริวมาหาคุณครูเร็ว” เธออ้าแขนเพื่อรอรับริวไปสู่อ้อมกอดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เจ้าตัวแสบยังคงนิ่งและมองหน้าผมเหมือนขออนุญาต

“อยู่กับคุณครูนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นน้ามารับเนอะ” ผมบอกหลานก่อนจะก้มลงหอมแล้วส่งต่อให้กับเธอ เจ้าตัวแสบโบกมือหยอยๆ ใบหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขดี

ผมรีบเดินไปหาเอย์จิที่จอดรถรออยู่หน้าโรงเรียน ในหัวก็คิดย้อนถึงเรื่องเมื่อครู่ ทำไมเธอต้องถามหาพี่ยูในเมื่อแจ้งชัดเจนแล้วว่าน้าจะเป็นคนดูแลไปรับไปส่งแทนผู้ปกครองตัวจริง ก็ไม่ได้อยากมองโลกในแง่ร้าย แต่มันทะแม่งๆ หรือคุณครูคิดไม่ซื่อกับพ่อริววะ โอย ปวดหัว

“ทำไมหน้ายุ่งขนาดนั้นวะปัณณ์?” พอขึ้นรถมาได้คำถามแรกจากปากสารถีก็ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า เพราะอะไรวะ ทำไมคิดหาเหตุผลที่ดีกว่านั้นไม่เจอ คุณครูจะจีบผู้ปกครองเหรอ บ้าน่า

“ก็เมื่อกี้... คุณครูที่มารับริวเขาถามถึงพี่ยูน่ะ มันแปลกๆ ปะวะ?” ผมถามหาความคิดเห็นจากคนที่เริ่มเคลื่อนตัวรถออกสู่ถนนใหญ่

“คนที่ชื่อใบเฟิร์นอะไรนั่นปะ?” เอย์จิถามสวนกลับมาแบบนั้นทำให้ผมต้องเค้นสมองว่าป้ายชื่อที่ติดอยู่บนอกของเธอคืออะไร จำได้รางๆ ว่ามีคำว่าใบ... คงจะใช่มั้ง

“อืม เหมือนจะใช่มั้ง” ผมตอบกลับไปแล้วพิงหลังกับเบาะปล่อยหัวสมองให้โล่ง

“ยัยนั่นชอบพี่ยู ตั้งแต่พาริวไปดูโรงเรียนวันแรกแล้วล่ะ” คำตอบของเอย์จิทำให้ผมผงะตัวออกจากเบาะแล้วหันขวับไปมองหน้า ก็ว่ามันทำไมทะแม่งๆ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ น่ะเหรอ

“เฮ้ย จริงดิ...”

“อืม ปัณณ์ไปรับไปส่งหลานน่ะดีแล้ว พี่ยูจะได้ไม่ต้องเจอกับเธอ” จากน้ำเสียงของเอย์จิแล้วเขาก็คงไม่ค่อยพอใจในตัวคุณคูรคนนี้เหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางแสดงออกขนาดนั้นคงไม่สมควรจริงๆ นั่นล่ะ

“หืม ทำไมเอย์จิพูดเหมือนเธอเป็นตัวอันตรายวะ?” ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วพลางคิดสะระตะไปเรื่อย มีเหตุอะไรให้เอย์จิผู้มองโลกในแงดีทำหน้ายี้ใส่วะ

“ก็นิดหน่อย ยัยนี่ขี้ตื๊อจะตาย เคยเอาเบอร์โทรศัพท์พี่ยูไปค้นหาไลน์ด้วย พอสำเร็จก็แกล้งบอกว่าส่งแชทผิดคนงั้นงี้ แต่ก็ทักไปทุกวันๆ” เอย์จิทำเสียงจิ๊จ๊ะปิดท้าย สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ชอบเธออย่างชัดเจน ไอ้การดูโรงเรียนก็เพิ่งไม่นานมานี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าทุกวันนี้คุณครูนั่นก็ยังตื๊อพี่ยูใช่ไหม... ควรรู้สึกยังไงวะ ทำไมหวั่นๆ ชอบกล

“พี่ยู... ยอมคุยด้วยเหรอ?” ผมถามเสียงเบาเพราะในใจก็กลัวว่าถ้าพี่ยูเขว่ขึ้นมาจะทำยังไง เธอคนนั้นก็ดูสวยดูน่ารักดีแถมยังเป็นผู้หญิง...

“ช่วงแรกๆ ก็ตอบบ้าง แต่ช่วงหลังๆ พี่ยูบ่นรำคาญ เราก็เลยจัดการบล็อกไปแล้ว” เอย์จิยักคิ้วจึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากัน ผมพยักหน้ารับแต่อดคิดถึงริวไม่ได้ ถ้าหลานเป็นอะไรขึ้นมาเขาจะติดต่อผู้ปกครองยังไง

“แต่ถ้าเขามีเรื่องด่วนเกี่ยวกับริวล่ะ?” ผมดูเป็นคนดีเนอะ แต่ถามว่าจะให้ปลดบล็อกไลน์ไหม ก็ไม่...

“ด่วนมากก็โทรสิ จะไปยากอะไร” เออ นั่นสิเนอะ

เอย์จิไม่ได้ตรงกลับบ้านในทันทีเพราะเจ้าตัวบ่นว่าหิวเลยแวะกินข้าวที่ร้านข้างทาง ข้าวต้มหมูใส่ไข่โรยขิงกับผักชีถูกเสิร์ฟตรงหน้าพร้อมด้วยโถเครื่องปรุง ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะซัดขนมปังมาแล้วแต่สุดท้ายก็ทนแรงยั่วยุไม่ไหวเลยต้องจัดอีกถ้วย เอาให้อิ่มถึงเที่ยงกันไปเลย

“จะไปที่ไหนต่อปะ?” เอย์จิเอ่ยถามในขณะที่เขาตักพริกป่นใส่ถ้วยเพียงปลายช้อน ส่วนผมไม่ได้ปรุงอะไรนอกจากใส่น้ำปลาเพิ่มรสชาติ

“อืม... ก็ว่าจะไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อยน่ะ” ผมตอบก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า หมูเด้งก้อนโต ไส้อ่อนที่ลวกจนนุ่ม ตับหมูสดๆ สวรรค์จริงๆ แอบตีไข่แดงให้แตกแล้วคนผสม อืม... โคตรอร่อย

“ทำตัวเหมือนภรรยาที่ดีเลยเนอะ”

“อย่าแซวดิ เป็นแค่แฟนก็พอแล้ว” ผมบ่นงุ้งงิ้งหลังจากที่เกือบสำลักตาย รู้สึกแก้มร้อนกว่าข้าวต้มในถ้วยซะอีก ทำไมใครๆ ก็ยัดเยียดตำแหน่งภรรยาให้จังวะ

“ถามจริงเถอะ ใครรุกใครรับเนี่ย?” เอย์จิยังคงถามต่อด้วยใบหน้าระรื่น ผมได้แต่อึกอักแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวอีกคน จะให้ตอบว่าอะไรในเมื่อยังไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น ถ้าเป็นแค่คู่นอนคงเสร็จกันไปตั้งแต่วันแรกๆ ที่อ่อยแล้วมั้ง... แต่นี่คนรักเลยนะเว้ย มันขัดเขินชอบกล อยากเริ่มแต่ก็ไม่กล้า

“ถึงเวลานั้นก็รู้เองล่ะน่า” ผมตอบปัดๆ พลางก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มโดยที่ไม่เป่า ร้อนก็ช่างมันถ้าทำให้เอย์จิเลิกเซ้าซี้สักที แต่เหมือนความผิดพลาดหล่นทับหัวเมื่ออีกคนยังคงถามอยู่นั่น

“ทำใจได้เหรอถ้าต้องเป็นฝ่ายรับ?” เอย์จิทำหน้าขึงขังแล้วมองตรงมาด้วยแววตาเป็นห่วง เขารู้ดีว่าทั้งชีวิตนี่ผมไม่เคยรับให้ใคร อยู่ๆ จะให้เปลี่ยนคงยาก

“จริงๆ ก็แอบกลัวนะ แต่เราเชื่อว่าพี่ยูจะอ่อนโยนเมื่อถึงเวลานั้น” ผมตอบพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก สิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะตกลงคบกัน ไม่ว่าใครอยู่ฝ่ายไหนเชื่อว่าอีกคนต้องทะนุถนอมและอ่อนโยนอย่างแน่นอน

“มองโลกในแง่ดีจังเนอะ” เอย์จิเอ่ยแซวก่อนจะกลับไปลงมือกินข้าวโดยไม่แสดงสีหน้าล้อเลียนเหมือนปกติ ท่าทางแปลกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแต่ผมก็ยังไม่ได้ถามไถ่เพราะยังไม่มีโอกาสเหมาะ

“ติดนิสัยมาจากเอย์จิไง” ผมยังตามน้ำต่อไป ก่อนจะตักไส้อ่อนใส่ถ้วยเขา เห็นบ่นว่าพ่อค้าให้น้อยกินไม่สะใจ

“นั่นสิเนอะ...” เอย์จิคลี่ยิ้มบางเมื่อพูดจบ ผงกหัวขอบคุณผมเรื่องไส้หมูก่อนจะลงมือกินต่อไม่พูดไม่จา พอลอบสังเกตก็เห็นว่าเขาชอบเหลือบมองโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ มีอะไรเกิดขึ้นในนั้นหรือเปล่านะ

“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า?”

“ก็นิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง”

เขาว่ายังไงก็อย่างนั้นล่ะ

ผมทนดูหนังผีที่ไม่ชอบมาร่วมสองชั่วโมงเพราะอยากเอาใจเอย์จิ นั่งกลั้นหายใจแทบทั้งเรื่อง สะดุ้งจนเก้าอี้โยก ป๊อปคอร์นเกือบหลุดมือก็หลายรอบ ครั้นจะยกมือปิดตาก็กลัวโดนล้อ คาดว่าคืนนี้อ้อมกอดของพี่ยูคงเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด

ดีหน่อยที่วันนี้เป็นวันธรรมดาในซุปเปอร์มาร์เก็ตคนเลยไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เดินซื้อของได้สบายๆ โดยไม่ต้องเขียดเสียดหรือแย่งชิง ผมเข็นรถเข้าแผนกครีมอาบน้ำเป็นอย่างแรกเพราะจำได้ว่ามันใกล้จะหมดแล้ว หยิบกลิ่นพีชที่ตัวเองชอบมาสองขวดแล้วหยิบกลิ่นเมนทอลให้พี่ยู ของริวก็ต้องสูตรอ่อนโยนบาธแอนด์บอร์ดี้ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่เพียรสังเกตจนจำได้ ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

“นี่ไง ทำหน้าที่ภรรยาอีกแล้ว” อยู่ๆ เอย์จิที่เดินหายไปหยิบโฟมล้างหน้าก็เอ่ยแซวกัน ผมไม่เข้าใจเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อะไรคือทำหน้าที่ภรรยาอีกแล้ววะ แค่ซื้อครีมอาบน้ำ แปลกตรงไหน

“ก็นี่ไง รู้ด้วยว่าพี่ยูกับริวใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อไหน กลิ่นไหนด้วย” เขาชี้มือไปที่ขวดครีมอาบน้ำแล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนช่างสังเกตจะดูเหมือนภรรยา ตรรกะบ้าอะไรเนี่ย โอย แล้วจะเสือกแก้มร้อนทำไม

“ก็ใช้ห้องน้ำเดียวกันนี่” ผมบอกก่อนจะเข็นรถหนีไปทางอื่น จำได้ว่ารายการของหมดยังมีพวกยาสีฟัน แชมพู กระดาษทิชชู่อีก ถ้าซื้อไม่ครบแย่แน่ๆ

“นี่... ไอ้ครีมอาบน้ำกลิ่นพีชนั่นของปัณณ์เหรอ?” คนที่เดินตามหลังมาเลิกแซวแต่เปลี่ยนเป็นถามถึงของในรถเข็นแทน ผมพยักหน้ารับแบบไม่อายที่มีรสติยมคล้ายผู้หญิงเพราะตัวเองชอบทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่มีกลิ่นพีช

“อ่าฮะ ของเราเอง มันหอมดี” ผมตอบกลับไปโดยมือก็คว้าหยิบยาสีฟันแบบน้ำที่อยากลองใช้มาอ่านวิธีการ จะว่าไปก็เหมือนน้ำยาบ้วนปากแค่มีฟองเพิ่มเท่านั้นเอง

“อืม... กลิ่นน่ากินมาก” เอย์จิหยิบขวดครีมอาบน้ำออกไปเปิดดมแล้วพึมพำอยู่คนเดียว ผมที่ได้ยินพอดีเลยพยักหน้าหงึกหงักรับคำ เนี่ยกว่าจะได้มันมาครองอีกครั้งก็หลายเดือนแล้วเพราะของหมดไวมาก... สงสัยสาวๆ คงฮิตใช้กัน

“ใช่ไหมล่ะ? ดมแล้วรู้สึกสดชื่น” ผมหลับตาพริ้มเมื่อคิดถึงกลิ่นหอมหวานของพีช มันให้ความรู้สึกสดชื่น ละมุนละไมไม่ฉุนเกินไปจนทำให้คนรอบข้างอึดอัด

“อืม... เราว่าปัณณ์ระวังตัวหน่อยก็ดีนะ” เอย์จิวางของในมือลงที่เดิมแล้วมองหน้ากันด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ ผมขมวดคิ้วพลางร้องเสียงหลง อะไรของเขาวะ

“ห๊ะ?”

“พี่ยูจะเขมือบเข้าสักวัน” ทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินหนีไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ แก้มร้อนระอุ มือไม้อ่อนจนทำขวดยาสีฟันแบบน้ำตก

“.....” แม่ง เลิกซื้อของแล้วกลับบ้านเหอะถ้าจะโจมตีกันขนาดนี้!

หลังจากขนของที่ซื้อมาขึ้นรถเรียบร้อยก็ตรงกลับบ้านทันทีเนื่องจากต้องเตรียมตัวไปรับริวในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ในระหว่างนั้นพี่ยูโทรมาบอกว่าเลิกประชุมแล้ว ผมอมยิ้มกับการกระทำที่ดูใส่ใจแบบนี้ รายงานตลอดไม่ว่าจะทำอะไร ไปไหน อยู่กับใครโดยไม่ต้องบังคับ อันที่จริงไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้เพราะรู้ว่าคนเรามักมีพื้นที่ส่วนตัวกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย

ผมกับเอย์จิช่วยกันเตรียมมื้อเที่ยงเป็นเมนูข้าวหมูทอดทงคัตสึกินคู่กับสลัดมันฝรั่ง ใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบหนึ่งชั่วโมงแต่ทันเวลาที่พี่ยูกลับถึงบ้านพอดี บรรยากาศตอนนี้มันเหมือนมีควันสีชมพูจางๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ก็ใครใช้ให้น้องชายตัวแสบของแฟนถีบส่งออกมารับพี่ชายล่ะวะ โอย เหมือนภรรยากับสามีจริงๆ นั่นล่ะ

“กลับมาแล้วครับ” ยิ่งคำพูดของพี่ยูเมื่อเห็นหน้ากันยิ่งทำให้ผมวางตัวไม่ถูก แก้วน้ำที่โดนยัดเยียดให้ถือมาต้อนรับก็สั่นกึกๆ ด้วยความประหม่า บ้าเอ๊ย หยุดคิดเป็นตุเป็นตะก่อนได้ไหมเล่า!

“คะ ครับ เหนื่อยไหม?” ผมถามเสียงสั่นก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้ พี่ยูส่ายหน้าแล้วรับไปดื่มอย่างเป็นธรรมชาติ เฮ้อ โล่งอกที่ไม่ได้แซวเหมือนตอนอยู่กับเอย์จิ

“ชิวๆ ครับ แค่นั่งฟัง ผลประกอบการก็ดี หายห่วง”

“อ๋อครับ แล้วพี่ยูกินข้าวหรือยัง?” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ในใจลุ้นคำตอบแทบตาย

“อืม... กินมาแล้วล่ะครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างเอ็นดู แต่ผมกลับรู้สึกอยากร้องไห้ แล้วหมูทอดล่ะ... อุตส่าห์ทำไว้ให้เชียวนะ

“เหรอครับ?” ผมก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเอง ความน้อยใจก่อตัวขึ้นทีละนิด แต่พี่ยูไม่ผิดหรอก ก็ทางนี้ไม่ได้บอกเขาไว้ก่อนว่าจะทำอาหารเที่ยงนี่หว่า เฮ้อ ไอ้ปัณณ์เอ๊ย โง่จริงๆ เลยมึงเนี่ย

“ทำหน้าหงอยเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า?” พี่ยูชะงักมือที่ลูบหัวกันอยู่แล้วเลื่อนลงมาประคองใบหน้าให้สบตา ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้

“พอดีว่าทำหมูทอดทงคัตสึกับสลัดมันฝรั่งไว้น่ะครับ”

“อ้าว ขอโทษครับ” พี่ยูดูตกใจมาก เขารีบเอ่ยขอโทษทันทีจนผมได้แต่โบกมือปฏิเสธพัลวัน

“เฮ้ย ขอโทษทำไมครับ ผมผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน”

“โธ่ คนดีของพี่” พูดแค่นั้นผมก็หน้าร้อนจะแย่ แล้วเขากางแขนทำไมเนี่ย

“จะทำอะไรครับ?” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนพี่ยูทำเพียงเลิกคิ้วขึ้น

“กอดปลอบไง” หืม... แบบนี้ก็ได้เหรอวะ เจ้าเล่ห์ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ

“ไม่เอาครับ พี่ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวต้องไปรับริวอีก” ผมปฏิเสธเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินไปดันแผ่นหลังกว้างให้ตรงไปทางห้องนอนแต่เจ้าตัวกลับขืนตัวไว้แล้วพลิกตัวกลับมาสบตากัน ทำไมต้องใกล้ขนาดนี้ด้วยวะ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจเอย์จิคงจูบไปแล้ว

“เดี๋ยวสิ แล้วมื้อเที่ยงล่ะ” ยังจะห่วงมื้อเที่ยงอีกเนอะคนเรา แต่ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปไม่สูญเปล่า

“ก็... เดี๋ยวผมกับเอย์จิจัดการเอง” ไม่ทิ้งหรอกน่าเพราะเสียดายของเหมือนกัน

“ได้ไงล่ะครับ ปัณณ์อุตส่าห์ทำไว้ให้” พี่ยูทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ จนผมเผลอหัวเราะ คงกลัวคนทำเสียงใจละมั้งที่ตัวเองไม่ได้กิน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมื้อเย็นผมทำให้ใหม่ก็ได้ หมูทอดเก็บไว้มันไม่อร่อย” นี่เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่าจะจัดการอาหารทั้งหมดกับเอย์จิเอง ขืนเก็บไว้ให้เขากินหมูทอดก็ไม่กรอบกันพอดี สู้ทำใหม่ยังภูมิใจมากกว่า

“สัญญาแล้วนะ” ดูความน่ารักของเขาเถอะครับ ชูนิ้วก้อยให้ผมเกี่ยวด้วยแหนะ ทำตัวแอ๊บเด็กไปได้เนอะ

“ครับผม” แต่ผมก็ยอมเกี่ยวก้อยสัญญาล่ะนะ

ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งหกโมงเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว กว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดมาได้ก็แทบร้องไห้ พอริวเห็นหน้าผมกับพี่ยูที่ไปรับก็กระโดดเข้ามากอดทันทีโดยมีเรนยืนโบกมือหยอยๆ อยู่ด้านหลัง เจ้าตัวแสบเก่งมากที่ไม่งอแง แต่กลับบ่นงุ้งงิ้งเรื่องคุณครูใบเฟิร์นเพราะเธอถามหาป๊าไม่หยุดหย่อน คืออยากขำก็อยาก หึงก็หึง ไม่รู้จะอะไรยังไงก่อนดี สับสนตัวเองจัง

“ป๊าห้ามไปรับนะ” เจ้าตัวแสบที่นั่งอยู่บนตักผมเอ่ยเสียงดุแล้วหันไปมองคนเป็นพ่อเขม็ง ท่าทางไม่พอใจรางกับโกรธใครมานั่นทำให้ผมต้องกลั้นหัวเราะ สงสัยริวจะหวงพ่อแทนน้าแล้วล่ะ

“อ้าว แล้วริวจะกลับบ้านยังไงครับ?” พี่ยูเหลือบตามองลูกพลางขมวดคิ้วยุ่งเพราะไม่เข้าใจความหมายในการห้าม

“กลับกับน้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบกอดอกแน่นพร้อมกับคำหน้าบูดบึ้งใส่พี่ยู ความเด็กขี้หวงนี่มันน่ารักจนผมอดไม่ได้ที่จะแอบบีบแก้ม

“แต่ป๊าก็อยากไปรับริวกับน้าปัณณ์นี่ครับ” เสียงอ้อนลูกของพี่ยูนั้นฟังดูน่ารักน่าหยิกแต่ก็มีความตลกปนอยู่ด้วย ก็นานๆ ครั้งจะได้ยินนี่นา




ต่อด้านล่างน้า



ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“ไม่ได้! เดี๋ยวคูใบเฟิร์นแย่งป๊า” เจ้าตัวแสบตีหน้ายักษ์แล้วดิ้นอยู่บนตักของผมคงไม่พอใจครูคนสวยจริงๆ เธอทำอะไรกับเด็กล่ะนั่น ไม่กลัวถูกไล่ออกบ้างหรือไงนะ

“หา?” แต่พี่ยูกลับร้องเสียงหลง ทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจคำพูดของลูก แต่ผมนี่เบะปากแล้ว หึ จะจำคนที่อ่อยตัวเองไม่ได้เลยหรือไง

“ทำไมพูดแบบนั้นครับริว?” ผมที่ได้สติก่อนเลยถามหลานเสียงเรียบก่อนจะส่ายนิ้วตรงหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ควรพูดแบบนั้น ริวเบะปากแล้วซบหัวลงบนอกแล้วถูไถเบาๆ คล้ายต้องการอ้อน

“ก็คูบอกว่าป๊าหล่อ อยากเป็นแฟน” ผมนี่เบิกตาโตแล้วหันมองพี่ยูเขม็ง ทำไมเธอกล้าพูดแบบนั้นต่อหน้าลูกชายเขาได้วะ ทาวนี่ไปอ่อยอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย ชักตะหงิดๆ แล้วนะ

“โห... แล้วริวไม่ยกป๊าใครครูเหรอครับ?” ยังจะมีหน้ามาถามลูกแบบนั้นอีก แล้วอะไรคือการที่เหลือบตามองผมด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มแบบนั้น อยากตายก่อนแก่สินะ หึ

“ไม่! ริวหวง น้าปัณณ์ก็หวงป๊า” ดะ เดี๋ยวก่อนครับริว จะมัดมือชกแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย น้าเปล่า!

“อู้ว จริงเหรอครับน้าปัณณ์” ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ทันพี่ยูที่ออกปากถามด้วยใบหน้าระรื่น แล้วทำไมรถต้องตืดไฟแดงพอดีด้วยเนี่ย โธ่เว้ย

“หะ หวงที่ไหนล่ะครับ เชื่อริวไปได้” ผมตอบกลับเสียงตะกุกตะกักพลางเสมองไปทางอื่นเพราะทนสายตาของพี่ยูไม่ไหว ลึกๆ ในใจก็รู้สึกหวงเขาจริงแต่ไม่อยากให้รู้หรอก เดี๋ยวก็ยกมาพูดแหย่กันอีก เขินตายพอดี

“แต่เด็กไม่เคยโกหกนะครับ” จะย้ำทำไมเนี่ย!

“พี่ยู...” ผมหันไปเรียกชื่อเขาเสียงดุ แต่เกือบแพ้เพราะเจอสายตาหวานๆ ที่ส่งมา คาดว่าคงต้องไปหาหมอแล้วล่ะ หัวใจเต้นแรงผิดปกติจนน่ากลัวขนาดนี้

“ไม่ดุสิครับ” อย่าอ้อนผมด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับริวสิ ไม่อยากแพ้ราบคาบ

“เสน่ห์แรงนักนะครับ ระวังตัวไว้เถอะ” ผมบ่นพึมพำก่อนแสร้งมองออกไปนอกรถ ตอนนี้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว อีกไม่นานคงถึงบ้าน

“พี่ไม่คิดจะนอกใจแฟนหรอกครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกกันทำให้ผมต้องรีบหันขวับไปห้ามเพราะกลัวว่าริวจะได้ยิน เผลอเอื้อมมือไปปิดปากพี่ยูด้วยว่ะ ทำไมมันนุ่มน่าจูบขนาดนี้

“ชู่ว เดี๋ยวริวได้ยิน”

“ไม่หรอกครับ เจ้าตัวแสบหลับไปแล้ว” พี่ยูจับมือผมไว้แล้วพยักพเยิดหน้าให้ดูเจ้าตัวแสบที่หลับคอพับคออ่อนไปแล้ว ก็ว่าทำไมเงียบแปลกๆ

“อ้าว เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่เลย”

“สงสัยจะเพลียล่ะมั้งที่ไปโรงเรียนวันแรก” พี่ยูออกความเห็นซึ่งมันก็คงจริงตามนั้น แต่ไม่ต้องเนียนจับมือผมไปตลอดทางจนถึงบ้านก็ได้มั้ง แล้วจะยิ้มทำไมล่ะเนี่ย

ผมเข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นอีกครั้งโดยเปลี่ยนลูกมือเป็นพี่ยูแทนเนื่องจากว่าเอย์จิออกไปเที่ยวกับเพื่อน คงเป็นผับหรูสักแห่งใกล้ๆ บ้านล่ะมั้งเห็นไลน์มาบอกกันว่ากลับไม่เกินเที่ยงคืน

เมนูมื้อนี้มีหมูทอดทงคัตสึทำใหม่ของพี่ยูส่วนของริวเป็นปลาแซลมอนย่างซีอิ๊วแล้วเพิ่มโซบะเย็นของผมไปอีกหนึ่งอย่าง ถ้าทำกุ้งเทมปุระด้วยจะเยอะไปไหมนะ แต่อยากกิน... งั้นจัดไปแล้วกัน

“ปัณณ์ครับ” ผู้ช่วยคนสำคัญที่กำลังช่วยเตรียมเนื้อแซลมอนเอ่ยเรียกชื่อกัน ผมชะงักมือที่กำลังพลิกหมูทอดในกระทะแล้วหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับ?”

“พี่ไม่ได้คิดอะไรกับครูใบเฟิร์นนะ บล็อกไลน์แล้วด้วย” หืม อยู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะผมแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้ามากไปอย่างนั้นเหรอ

“แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ยังมีนี่ครับ” ก็ว่าจะไม่อะไรแล้ว แต่มันคิดได้พอดีเรื่องโทรศัพท์เนี่ย ไลน์ไม่ได้ก็ใช่ว่าจีบไม่ได้นี่หว่า

“เธอไม่กล้าโทรหรอก” พี่ยูคลี่ยิ้มบางก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบแซลมอนไปนาบกับกระทะเป็นการย่างแบบง่ายๆ

“ทำไมถึงมั่นใจจังครับ” ผมถามกลับแล้วหันกลับไปสนใจหมูทอดในกระทะต่อ เกือบไหม้เลย เฮ้อ ตักใส่จานดีกว่า

“เพราะเธอเคยโดนพี่ดุน่ะสิ มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องริวมาอ้างแล้วโทรมาหาตอนจะสี่ทุ่ม” เคยมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ

“ก็เธอชอบพี่ยูนี่ครับเลยพยายามหาเรื่องคุยเป็นธรรมดา” ผมสันนิษฐานตามทั่วไป เหลือบมองปฏิกิริยาของพี่ยูไปด้วย ไม่หือไม่อือแต่กลับยิ้มกริ่ม อะไรวะ

“แต่พี่ชอบปัณณ์นี่ครับ แล้วก็อยากชวนคุยไปทั้งชีวิตเลย”

“แม่ง...” ผมว่าอาหารมื้อนี้คงติดรสหวานจนกินไม่ได้เลยล่ะ ฮึ่ย!




-----------------------------------------


พี่ยูนีีมันพี่ยูจริงๆ เลย ทำปัณณ์หลงจนหัวปักหัวปำแล้ว ร้ายกาจ!

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งานอิเรกพี่ยูคือทำสวนอ้อยแน่ๆ555

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
โดนหยอดขนาดนี้ ไม่รอดแน่ๆ 5555555

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ไม่มีที่ว่างให้คุณคูนะค๊าา อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า



อยู่ๆ ผมก็ได้รับคำสั่งจากพี่ยูให้เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยความที่เพิ่งตื่นนอนเลยทำตามโดยไม่มีข้อสงสัยจนเมื่อต้องหยิบชั้นในของเขาก็ได้สติขึ้นมา นี่พวกเรากำลังจะไปไหนกันแถมยังสองต่อสองอีกด้วย แปลกเกินไปแล้ว

“พี่ยูครับ” ผมวางของในมือลงแล้วเอ่ยเรียกคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำพอดี เขานุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวปกปิดท่อนล่างแล้วเปลือยช่วงบนโชว์ซิกแพคแน่นๆ ตอนแรกก็ทำใจไม่คิดอกุศลได้แล้วแต่ทำไมรู้สึกคัดจมูกเหมือนกำเดากำลังจะไหล

“ครับ?” เขาตอบรับพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะพาร่างกายเปียกๆ ขยับเข้ามาใกล้กัน ผมรีบผละหนีจนชิดขอบเตียง สอดส่ายสายตามองพี่ยูอย่างระแวดระวัง สถานการณ์ตอนนี้ล่อแหลมเกินไปแล้ว ไอ้เรื่องที่จะถามก็เกือบลืม โอย สติ!

“เอ่อ พี่ให้ผมจัดกระเป๋าเดินทางทำไมครับ เราจะไปไหนกันเหรอ?” ผมขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วมองหน้าพี่ยูสลับกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ มีชั้นในสีขาวสะอาดวางกองไว้ด้านข้าง ตอนหยิบมาก็ยังเบลอๆ ไม่ได้มีอาการขัดเขินอะไร แต่พอเจ้าของมันยิ้มกริ่มเท่านั้นล่ะ เหมือนมีภูเขาไฟอยู่บนหน้าเลยว่ะ ร้อนได้อีก

“ฮันนีมูนครับ”ตอบพร้อมกับโน้มตัวมาคร่อมกันเอาไว้ ทำให้กลิ่นสบู่อ่อนๆ โชยมาปะทะจมูกจนผมต้องเบนหน้าหนีจากยอดอกที่เกือบจะทิ่มตาอยู่แล้ว ถ้าในหัวไม่คิดเรื่องสัปดนคงอ้าปากกัดให้ขาด แม่ง อ่อยกันอยู่ได้แถมยังได้ผลอีกด้วย

แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่พี่ยูบอกว่าเราจะไปไหนกันนะ?

“ฮันนีมูนบ้าอะไรครับ แค่ตกลงเป็นแฟนไม่ใช่แต่งงาน” ผมท้วงเสียงดังก่อนจะเบ้ปากใส่คนขี้ตู่ที่ผละตัวออกไปยืนขำซะจนหน้าแดง ตลกมากเลยหรือไงที่ทำให้คนอื่นเขินเนี่ย สนุกใช่ไหม ฝากไว้ก่อนเถอะ

“ดุนะเราเนี่ย” ยังไม่หยุดแกล้งกันอีก

“ผมไม่ใช่หมา” ผมบุ้ยปากใส่พี่ยูแล้วขยับข้ามไปอีกฟากของเตียง ตอนนี้อยู่ห่างจากเขาได้เท่าไหร่ยิ่งดีเพราะไม่รู้ว่าไอ้ผ้าขนหนูผืนจิ๋วจะหลุดลงมาเมื่อไหร่ ขยับทีก็คลายปมที

“โอ๋ๆ เสียงแข็งเชียวครับ พี่แค่จะพาไปญี่ปุ่นวันมะรืน” พี่ยูคลี่ยิ้มหวานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนชวนกันไปห้สงแถวบ้านแต่ผมกลับเบิกตาโตมองอีกคนอย่างไม่เชื่อ อยู่ๆ ก็จะได้ไปญี่ปุ่นกันสองต่อสองเนี่ยนะ มันเรื่องบ้าอะไร ริวล่ะ ร้านอาหารล่ะ?

“ห๊ะ ไปทำไมครับ?” เอียงคอถามด้วยความสงสัย

“ไปเที่ยวครับ สองต่อสอง จะเรียกว่าเดทก็ได้นะ” พี่ยูคลี่ยิ้มหวานแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูอีกผืนเพื่อเช็ดผม ปล่อยให้คนฟังได้แต่ยืนกัดปากแน่น อยู่ๆ ก็เขินขึ้นมาซะอย่างนั้น โธ่ แบบนี้แพ้ราบคาบเลยสินะ

“ทำไมเดทซะไกลเลยครับ” ผมถามกลับเสียงอ้อมแอ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้พี่ยู เขาชะงักมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากัน ตรงนี้แอร์ลงพอดีเลยว่ะ โคตรหนาว กระโดดกอดเขาได้ไหมเนี่ย

“เผื่อเปลี่ยนบรรยากาศแล้วปัณณ์อยากกุ๊กกิ๊กกับพี่ไง” โน้มตัวลงมาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ ปะทะเข้าที่แก้ม สายตาคมฉายแวววิบวับจนรับรู้ได้ถึงความอันตรายจนผมต้องผงะถอยหลัง เกือบเหยียบผ้าเช็ดเท้าลื่นล้มตายแล้วไหมล่ะ

“ในหัวมีแต่เรื่องลามกเหรอครับ?” ผมหรี่ตามองอีกคนแล้วหันหลังเพื่อเดินกลับไปหาเตียง ตั้งใจว่าจะจัดกระเป๋าต่อให้เสร็จเพราะเดี๋ยวก็ต้องไปส่งริวที่โรงเรียนเหมือนทุกวัน

“โธ่ พี่ดูเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสียงบ่นงุ้งงิ้งอยู่ใต้ผ้าขนหนูทำให้ผมลอบเบะปากได้อย่างสะดวก คนอย่างพี่ยูไม่เลวหรอก แค่นิสัยที่ปกปิดไว้มันค่อยๆ ออกลายเท่านั้นเอง หึ ตอนเป็นพี่น้องก็ดูเป็นคนธรรมะธรรมโมอยู่หรอก แต่เป็นแฟนนี่... หื่นแทบไม่เลือกเวลาเลยมั้ง

“ยิ่งกว่านั้นอีกครับ” ผมแกล้งแหย่ไปแบบนั้นแล้วเลิกสนใจคนที่แทบจะเหวี่ยงผ้าขนหนูทิ้ง ปลายสายตาเห็นว่าเขาทำสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนจะร้องไห้

“เสียใจจัง” น้ำเสียงตอแหลได้อีกครับ เฮ้อ นี่เขาเรียกมารยาผู้ชายหรือเปล่า

“มัวแต่เล่นอยู่ รีบแต่งตัวแล้วไปทำอาหารเช้าครับ เดี๋ยวลูก... เอ่อ ริวจะสาย” ผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียกริวว่าลูกแต่มันติดมาจากฟังพี่ยูบ่อยๆ แม่ง ปากพาซวยตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือเปล่า ก็เป็นแค่น้าอยู่ๆ สถาปนาตัวเองไปเทียบเท่าได้ยังไง พอเหลือบสายตามองก็เห็นว่าอีกคนยิ้มอยู่

“ชอบนะ”

“หา?” ผมอุทานเสียงหลงพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่ามาบอกชอบทำไมเวลานี้ มือที่กำลังจะหยิบชั้นในใส่กระเป๋าชะงักกึกรอฟังคำอธิบายจากพี่ยู

“ชอบให้ปัณณ์เรียกริวว่าลูก” พี่ยูขยิบตาให้กันก่อนจะหันหลังเพื่อเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่โดยปล่อยให้ผมได้แต่มองแผ่นหลังนั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ควรดีใจหรือเปล่าวะ

“คือ... มันออกจะแปลกๆ” ผมพึมพำแล้วก้มหน้าก้มตาจัดกระเป๋าต่อหยิบผิดหยิบถูกบ้างเพราะสติไม่อยู่กับตัว เกือบเอาหมอนใส่ไปด้วยแล้วไหมล่ะ โอย ใจเย็นๆ ไอ้ปัณณ์

“พี่อยากให้ปัณณ์ทำหน้าที่แม่นะ แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนป่าน ห้ามคิดแบบนั้น” พี่ยูหันกลับมาสบตากันนิ่งด้วยสภาพที่มีเสื้อยืดสีเข้มสวมใส่เรียบร้อย ผมอึกอักเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป ตอบรับ ปฏิเสธหรือยังไง มันสมควรแล้วเหรอที่ผู้ชายจะได้หน้าที่แม่ไป ความรู้สึกริวอีกล่ะ

“เรื่องนั้น...”

“เอาไปคิดดูเนอะ ถ้าได้คำตอบเมื่อไหร่ก็บอกพี่” พี่ยูก็ยังคงเป็นพี่ยูคนดีเหมือนเดิม ไม่คาดคั้น ให้เวลาในการคิดทบทวนเสมอ เฮ้อ เอาเป็นว่าผมจะลองศึกษาวิธีการเป็นแม่แล้วกัน

ห้องนั่งเล่นในตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิดคักจากหลานชายตัวแสบ เดาว่าคงโดนคนพ่อไม่ก็อาหยอกล้ออยู่แน่ๆ ส่วนผมกำลังจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วออกไปสมทบด้านนอก สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดประตูคือสภาพหมอนอิงกระจัดกระจาย ทิชชู่เช็ดปากเกลื่อนเต็มพื้น เอย์จินอยหงายอยู่บนโซฟาโดยมีริวนั่งขย่มท้อง นี่มันอะไรกัน!

“ทำอะไรกัน?” ผมถามเสียงเย็นแล้วก้าวเท้าไปยืนอยู่หลังโซฟา คนที่ชะงักกึกคือเอย์ที่สบตากันพอดี เขาทำหน้าขอโทษขอโพยและพยายามบอกให้ริวหยุดเล่นแต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเพราะเจ้าตัวแสบน่าจะติดลม

“ริวครับ น้าปัณณ์ทำหน้ายักษ์อยู่ด้านหลัง” เอย์จิสะกิดบอกหลานด้วยสีหน้าสำนึกผิดเมื่อกวาดตามองบริเวณรอบตัว ผมพยักพเยิดให้เขาลุกขึ้นทำความสะอาดในขณะที่ริวชะงักแล้วหันมามองด้วยดวงตาไร้เดียงสาแถมรอยยิ้มสดใสรับเช้าวันใหม่ จะดุยังไงดีล่ะวะ

“ริวช่วยอาเอย์จิเก็บของที่หล่นอยู่บนพื้นได้ไหมครับ?” ผมเปลี่ยนจากการดุเป็นถามเพื่อกระตุ้นให้หลานคิดตามว่าควรทำยังไง ริวนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับแล้วลงจากตัวเอย์จิไปยืนอยู่บนพื้นแต่ดูเหมือนจะมีเรื่องข้องใจเพราะเขาขมวดคิ้ว

“ทำไมผมต้องเก็บอ่า?” ถึงจะพยักหน้าตกลงแต่ความสงสัยในฉบับเด็กๆ ยังคงอยู่ ผมถึงกับมองหน้าเอย์จิอย่างขอตัวช่วยเพราะชีวิตนี้ไม่เคยออกปากสอนใครจริงจัง ยิ่งเป็นหลานตัวเล็กจะทำยังไงให้เขาเข้าใจ ต้องวิ่งไปถามพี่ยูในครัวหรือเปล่าวะ

“ก็... ริวทำของตกก็ต้องเก็บใช่ไหมครับ? บ้านจะได้สะอาดไง”

“อื้อ อาจิเก็บของกัน หิวๆ แล้ว ~” เจ้าตัวแสบคลี่ยิ้มให้ผมก่อนหันไปสะกิดคนเป็นอาให้ช่วยเก็บของที่ตกบนพื้น ทั้งสองช่วยกันอย่างดีโดยไม่บ่นสักคำ กระดาษทิชชู่ลงถังขยะ หมอนอิงกลับมาอยู่บนโซฟาเรียบร้อย ผมที่ยืนมองอยู่เงียบๆ ก็ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินผ่านเข้าไปในครัวเพื่อช่วยพี่ยูเตรียมมื้อเช้า

หลังจากที่ส่งริวแล้วพี่ยูก็พาผมไปที่ร้านอาหารเพื่อทำงานหลักตามปกติ วันนี้เรามีเมนูแนะนำเป็นเกี๊ยวซ่าราดชีสซอสสไปซี่เลยทำให้ร้านแน่นขนัดกว่าปกติ กลุ่มลูกค้าก็ยังคงเป็นสาวๆ แทบทุกวัยซะส่วนใหญ่ บ้างก็มากินอาหารจริง บ้างก็มาส่งเชฟคนหล่อเป็นอย่างนี้ประจำจนเริ่มชิน จะหึงหวงไปก็เปล่าประโยชน์ ใช้วิธีปลงซะดีกว่า

อย่างเช่นตอนนี้มีสาวหน้าตาน่ารักกับเพื่อนอีกสองคนนั่งอยู่หน้าเค้าน์เตอร์บาร์กั้นกระจกใสที่พี่ยูกำลังยืนทำข้าวปั้นตรงนั้น เธอกระซิบกระซาบกับเพื่อนเสียงดังพอตัวว่าอยากได้ไลน์ของเชฟคนหล่อซึ่งผมที่เดินผ่านถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที อยากบอกเหลือเกินว่าเขามีแฟนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ต้องอดทนทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเท่านั้น นี่ล่ะที่เขาบอกว่าลูกค้าคือพระเจ้าและเป็นคนจ่ายเงินเดือนเราที่แท้จริง

ผมกลั้นใจเดินผ่านเค้าน์เตอร์บาร์และทำเป็นไม่สนใจคำพูดของพวกเธอเพื่อตรงไปเสิร์ฟน้ำที่โต๊ะริมบานกระจกที่อยู่ในมุมปลีกวิเวก ชายหนุ่มหน้าตาดีที่มาพร้อมกับกระดานวาดรูป เดาว่าคงเรียนสถาปัตย์ไม่ก็พวกที่เกี่ยวกับการออกแบบ เขาชอบมานั่งกินข้าวแล้วทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อรอใครอีกคนเข้ามาสมทบ จะถือว่าเป็นลูกค้าประจำก็คงได้มั้ง

“น้ำครับ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อทำการวางแก้วคาปูชิโนเฟรปเป้ลงบนโต๊ะ เด็กหนุ่มชะงักมือที่กำลังวาดรูปแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันเป็นการขอบคุณ ถ้าเป็นแต่ก่อนคงได้เต๊าะเพื่อเอาไปเป็นคู่นอนแล้วล่ะ คนอะไรสายตาแพรวพราวเหลือเกิน

“วันนี้พี่ทำเองหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มถามขึ้นแล้วใช้ดินสอในมือชี้ไปที่แก้วน้ำของตัวเองแล้วมองหน้ากันเพื่อรอคอยคำตอบ ส่วนผมที่รู้ทันว่ากำลังจะโดนเต๊าะเลยคลี่ยิ้มหวานก่อนส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ แค่สวิตซ์เปิดเครื่องทำกาแฟอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลย จะให้ทำคงไม่ไหว

“พี่อีกคนทำให้เหมือนเดิมครับ” แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางพี่เคียวที่กำลังรับออเดอร์อยู่โต๊ะถัดไป รายนั้นสาวๆ ก็รุมไม่น้อยเหมือนกัน นี่ถ้าพี่สะใภ้รู้เข้าคงโดนสวดยับแน่

“โธ่ ผมอยากชิมฝีมือพี่บ้างนี่นา ต้องอร่อยมากแน่ๆ เลย” เด็กหนุ่มส่งสายตาอ้อนมาให้จนผมหลุดหัวเราะออกมา อ่อยเก่งจริงๆ เลยน้า แต่ก็น่ารักดี ถือว่าเป็นสีสันชีวิตแล้วกัน

“ถ้าพี่ทำให้ขึ้นมาจริงๆ แล้วไม่อร่อย เราจะว่ายังไงครับ?” ถามหยั่งเชิงทั้งที่รู้ว่าต่อไปต้องโดนมุกจีบแน่ๆ เจ้าเด็กคนนี้มันร้ายพอตัวผมดูออก แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเพราะอีกคนที่ชอบมาสมทบทีหลังเหมือนจะคุมน้องอยู่ ประมาณเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทั้งคู่แต่ไม่กล้าจีบกันทำนองนั้น

“ไม่ว่าพี่จะทำมาหวานเจี๊ยบหรือขมปี๋ แต่ใจผมมันบอกว่าอร่อยก็คืออร่อย” ปากหวานไม่พอยังส่งยิ้มหวานละลายใจคนฟังมาให้อีก ผมยอมรับว่าอึ้งไปเหมือนกันกับมุกจีบแบบนี้ จะว่ามันเสี่ยวก็ใช่แต่ดูน่ารักมากกว่า ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นลูกค้าคงลากไปฟัดให้น่วมแล้ว อ่อยแรงจริงๆ เลย

“หืม... เต๊าะเก่งนะเรา พี่ขอตัวไปทำงานต่อก่อนดีกว่าเนอะ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วโบกมือลาเจ้าเด็กขี้อ่อย ก่อนจะไปก็เห็นสีหน้าหงอยๆ ที่แกล้งทำ สังเกตได้ง่ายจากแววตาที่ฉายแววทะเล้นกับมือที่ยกดินสอเคาะกับกระดานวาดรูปเป็นจังหวะ ก๊อกๆ

“รีบมาเสิร์ฟอาหารของผมเร็วๆ นะครับ” แหนะ จะมาไม้ไหนอีกครับพ่อคนขี้เต๊าะ

“ก็ตามคิว” ส่วนผมก็ทำตัวใสซื่อไม่เข้าใจสิ่งที่น้องกำลังจะสื่อ

“คิดถึง” เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ ประกอบคำพูดพร้อมด้วยส่งสายตาน้องหมาอ้อนเจ้านายมาให้ ส่วนผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำเพียงแค่ยิ้มแล้วหันหลังเดินออกมาเท่านั้น ขืนต่อความยาวสาวความยืดเดี๋ยวพี่ยูได้พุ่งเข้ามาตบกบาลแยกทั้งคู่แน่ๆ ก็เขาเห็นแล้วนี่ หึหึ ถือว่าหายกันเรื่องหึงหวงเนอะ

ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปนั่งพักในส่วนครัวเมื่อลูกค้าซาลงในช่วงบ่ายสองโมง ขณะนั้นพี่ยูกำลังทำมื้อเที่ยงสำหรับเราสามคนอย่างคล่องแคล่วมองดูแล้วเพลินตาดี แผ่นหลังกว้างน่าซบ ท้ายทอยทุยๆ น่าจูบ เอวสอบก็น่าวาดแขนโอบ สรุปว่าอะไรก็ดีไปซะหมดจนเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในฝันที่ได้ผู้ชายคนนี้เป็นแฟน

กลิ่นหอมของอาหารลอยปะทะเข้ากับจมูกทำให้ผมได้สติว่าอีกคนกำลังตักยากิโซบะใส่จาน สีสันดูน่ากินจนเรียกให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างหนัก พี่ยูเหลือบสายตามองกันเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เงียบแล้วเดินเอากระทะไปวางในซิงค์ล้างจาน รู้สึกบรรยากาศมาคุชอบกล ขอออกไปตามพี่เคียวมากินมื้อเที่ยงดีกว่า แต่ครั้นจะลุกขึ้นกลับโดนมืออุ่นๆ รั้งเอาไว้

“ปัณณ์ เมื่อกี้น่ะ...” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบไปแต่มือยังไม่ผละออกจากหัวไหล่ที่รั้งกันไว้เมื่อครู่ สภาพตอนนี้คล้ายพระนางในละครหลังข่าวหรือเปล่านะ

“ครับ?” ผมหันไปมองแล้วขานรับสั้นๆ พี่ยูหลับตาลงก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังเตรียมพร้อมกับอะไรบางอย่างซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ถือว่าเก่งมาก สมแล้วที่เป็นผู้ใหญ่แยกงานกับความเป็นส่วนตัวออกจากกันได้

“ไม่ได้คิดอะไรกับไอ้เด็กคนนั้นใช่ไหม?” น้ำเสียงสั่นจนจับความรู้สึกได้ว่าเขากำลังกลัว ผมไม่เสียใจที่ทำให้เกิดเรื่องนี้แต่ดีใจมากกว่าที่เห็นพี่ยูให้ความสำคัญกับความรักของเราถึงแม้จะมีการระแวงเกิดขึ้นก็ตาม มันก็แค่เล็กน้อยไม่ได้มากจนรู้สึกกดดันอะไร ดีซะอีกที่ได้เห็นมุมขี้หึงขี้หวงบ้าง

“ก็... คิดครับ” ผมไม่ได้แกล้งตอบแต่เป็นการบอกสิ่งที่คิดอยู่ในหัวจริงๆ ใครจะสามารถมองข้ามเด็กหน้าตาดีที่ตั้งใจเต๊าะกันเพื่อสร้างสีสันในชีวิต ไม่ได้จริงจังถึงขนาดว่าถ้ามึงไม่รับรัก กูจะทำร้ายตัวเอง

“ปัณณ์” พี่ยูใช้น้ำเสียงเย็นสัมผัสได้ถึงความโมโหและหงุดหงิด ดวงตาคมฉายแววเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาถลกหลังกันหากผมบอกว่าสนใจเด็กคนนั้นเหมือนที่สนใจตัวเขา โธ่ แค่ชอบไม่ได้แปลว่าต้องเชิงชู้สาวหรือเปล่า ขี้หึงนะเราเนี่ย

“อย่าเพิ่งดุสิ น้องเขาแค่น่ารักดี ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซะหน่อย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยื่นมือไปดึงแก้มเพื่อให้หน้าบึ้งๆ ของพี่ยูคลายออกสักที ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้นเลย โธ่

“ก็แล้วไปครับ แต่เด็กนั้นจีบปัณณ์” พี่ยูกอบกุมมือของผมไว้แล้วเอาแก้มแนบลงมาก่อนจะถูไถเบาๆ อย่างออดอ้อน ถ้าพูดถึงเรื่องอายุแล้วคงดูไม่เหมาะสมแต่ทำไมกลับรู้สึกว่าน่ารักดี

“เปล่าหรอกครับ น้องก็แค่อ้อนๆ โปรยเสน่ห์ตามนิสัยเจ้าชู้ ความจริงแล้วมีคนคุม” ผมบอกในสิ่งที่คิดไว้แล้วคลี่ยิ้มหวานๆ ให้คนขี้กลัว หลังจากนั้นก็ผละมือออกเพื่อเตรียมตัวไปเรียกพี่เคียวเข้ามากินมื้อเที่ยง มัวแต่คุยไม่รู้ว่าอาหารเย็นหมดหรือยัง

“หมายความว่ายังไง?” แต่พี่ยูกลับยังไม่หมดข้อสงสัย หัวคิ้วขมวดอีกครั้งจนผมต้องยื่นมือไปคลึงมันให้คลายออกเบาๆ แล้วตอบกลับไป

“ก็... ผู้ชายอีกคนที่ตามมาทีหลังไงครับ”

“อย่างนั้นเหรอ? อืม ช่างมันเถอะ กินมื้อเที่ยงกันดีกว่าเนอะ” แล้วเรื่องนั้นก็ถูกปัดตกไปเมื่อพี่ยูดึงมือผมไปจูบแล้วชวนกินข้าวอย่างหน้าตาเฉย แม่ง... คิดว่าคนโดนกระทำไม่เคยหรือยังไงวะ ร้ายจริงๆ เลย แฟนใครเนี่ย

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกเพราะตอนนี้ผมกับพี่ยูอยู่ที่สนามบินเพื่อเตรียมขึ้นเครื่องมุ่งสู่สนามบินนาริตะแล้ว กระเป๋าเดินทางใบเขื่องสำหรับเที่ยวหนึ่งอาทิตย์กำลังถูกลากเข้าเกทผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ มองไปรอบๆ ก็คิดถึงวันวานที่เคยเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ถามว่าอยากกลับมาทำไหมก็คงมีความรู้สึกอยู่นิดหน่อยแต่ปัจจุบันก็ดีไม่แพ้กัน

“ตื่นเต้นไหมครับ?” พี่ยูที่เดินอยู่ข้างกันถามขึ้นลอยๆ ดีหน่อยที่ผมเข้าใจว่าเขาคุยด้วยเลยทำให้หาคำตอบได้ทันที

“แค่ไปญี่ปุ่นทำไมต้องตื่นเต้นครับ?” ไม่ได้ตอบแต่ถามกลับไปเพราะไม่เข้าใจว่าประเทศญี่ปุ่นมันน่าตื่นเต้นยังไง บางทียังคิดว่าที่นั่นเป็นบ้านหลังที่สองอยู่เลย บินไปกลับบ่อยเหลือเกิน เที่ยวจนแทบครบทุกที่แล้วมั้ง

“ก็ได้ไปกับพี่แค่สองคนไงครับ” พี่ยูมองหน้ากันและยิ้มกริ่มก่อนจะปล่อยให้ผมยืนคว้างอยู่กลางทางเพราะเขาเดินเข้าร้านค้าเพื่อไปซื้อน้ำกับลูกอมซะแล้ว แม่ง คนบ้าอะไรทิ้งระเบิดลูกใหญ่แล้วหนีแบบนี้ เขินนะเว้ย จากที่ไม่ตื่นเต้นในตอนแรก ตอนนี้กลับควบคุมจังหวะหัวใจไม่ได้เลย ฮื่อ!

ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วในการออกเดินทาง แอร์โฮสเตสของสายการบินกำลังสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะยังจำได้ขึ้นใจ ส่วนทางพี่ยูกำลังหยิบนิตยสารท่องเที่ยวในกระเป๋าหน้าที่นั่งขึ้นมาพลิกอ่านไปเรื่อย อีกไม่นานก็ต้องเข้านอนกันแล้ว ใครจะมานั่งแหกขี้ตาเล่นอะไรตอนเที่ยงคืนล่ะ

“ทริปหน้าไปไหนกันดีครับ?” พี่ยูถามขึ้นทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากหนังสือ ผมเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นหน้าแนะนำประเทศนิวซีแลนด์เมืองของแกะ แกะ แล้วก็แกะมีอากาศบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยธรรมชาติซึ่งนั่นก็เป็นเมืองในฝันที่อยากไปสัมผัสสักครั้งถ้ามีโอกาส

“ที่ถามเนี่ย จะพาผมไปเหรอ?” ผมละสายตาจากหนังสือแล้วมองใบหน้าด้านข้างของพี่ยูอย่างพิจารณาโดยไม่สนว่าเขาจะคิดยังไงกับคำถาม เป็นคุณพ่อลูกหนึ่งที่หล่อมากแถมเสน่ห์แรงตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่ม ขนาดตอนนี้สาวๆ ที่นั่งอยู่อีกฝั่งยังจ้องตาเป็นมัน หึ จับแลกที่ซะดีไหมนะ

“ใช่ครับ อยากไป... ที่ไหนล่ะ?” พี่ยูชะงักกลางประโยคเมื่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วพบว่าผมกำลังจ้องอยู่ด้วยสายตาสื่อความหมาย ก็แค่อยากให้รู้ไม่ว่าเวลาไหนก็รัก ห่วง และหวงเสมอแต่ทำไมต้องเบิกตาโตใส่กันขนาดนั้นด้วยวะ ตกใจ เขิน หรือไม่ชอบเนี่ย

“นิวซีแลนด์ครับ อยากไป” ผมตอบแล้วจ้องหน้าเขาก่อนจะถือวิสาสะแอบสอดคล้องแขนกันเอาไว้เพื่อเนียนบอกสาวๆ อีกฝั่งหนึ่งว่าให้เลิกมองและเลิกกระซิบกระซาบว่าอยากสานสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้ พี่ยูเลิกคิ้วขึ้นเหมือนสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไรออกมาถือเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นคงเขินจนแทบอยากมุดดินหนีที่แสดงอาการหึงหวงออกมาชัดเจน

“ไว้ทริปหน้าเราไปกันสามคนเนอะ” จบประโยคด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเก็บหนังสือลงในกระเป๋าหน้าที่นั่ง

“พ่อแม่ลูกสินะครับ” ผมกระซิบเบาๆ ข้างหูก่อนจะผละตัวออกมาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้แอร์โฮสเตสเอาไปเม้าท์สักเท่าไหร่ ก็รู้จักกันหมดทุกคนนี่หว่า เขินเป็นธรรมดาล่ะน่า แต่พี่ยูช็อกไปแล้วมั้งนั่น โธ่ๆ พ่อคนรักครอบครัว

“ปัณณ์...” เขาเรียกชื่อผมเสียงสั่น แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความดีใจ เชื่อว่าถ้าตอนนี้อยู่กันสองคนคงพุ่งเข้ามาจูบกันแล้วแน่ๆ

“ผมจะลองเป็นแม่ให้ริวดูครับ พี่ช่วยกันด้วยนะ” ผมคลี่ยิ้มหวานอย่างจริงใจแถมยังชักชวนให้ช่วยดูแล ‘ลูก’ ด้วยกัน ตอนนี้เครื่องปรับอากาศบนเครื่องที่ว่าหนาวยังแพ้ความอบอุ่นในหัวใจ

“ไม่มีปัญหาครับที่รัก”

แม่งเอ๊ย ใครใช้ให้เรียกที่รักด้วยเสียงกระเส่าแบบนั้นวะ ทริปญี่ปุ่นนี่มีจุดประสงค์ไปเที่ยวจริงๆ หรือล่อลวงให้เสียตัวกันแน่... ไม่อยากคิดต่อเลย!

หลังจากที่คุยกันเรื่อยเปื่อยมานานเป็นชั่วโมงก็ถึงเวลาแนะนำกัปตัน ผู้ช่วยและลูกเรือทั้งหมดในเครื่องบินลำนี้ ในตอนแรกก็กะว่าจะนอนเพราะไม่มีอะไรทำแต่อยู่ๆ ก็เกิดความอยากรู้เลยรอฟัง ส่วนพี่ยูนั่งดูหนังไปเรียบร้อยแล้ว

“สวัสดีครับท่านผู้โดยสารทุกท่าน ผมกัปตันทิวา...” คำแนะนำตัวดังมาตามลำโพงในตัวเครื่องบินยาวยืดจนจบถึงลูกเรือคนสุดท้าย ผมสตั้นไปตั้งแต่ชื่อกัปตันเพราะเขาคือไอ้ทอยที่ไม่ได้พูดคุยกันแรมเดือน อยู่ๆ จะเจอมันก็เจอขึ้นมา ส่วนลึกก็อยากรู้ว่ามันสบายดีไหม ทำใจได้หรือยังแต่ไม่กล้าถามไถ่ ไม่กล้าติดต่อ แถมยังมีเรื่องของเอย์จิอีก แม่ง... เอาไงดี

“ปัณณ์ครับ” เสียงทุ้มของพี่ยูดึงผมออกจากความคิด ใบหน้าคมคายหันมามองกันอย่างเป็นห่วง เขาคงจำได้ว่า ‘กัปตันทิวา’ คือใคร

“ผมว่าบางทีเราควรรอเจอกัปตันทิวาหลังจากลงเครื่องที่นาริตะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจเลยว่าไอ้ทอยจะยอมเจอหน้ากันหรือเปล่า แต่ผมคิดถึงมัน อยากคุย อยากปรับความเข้าใจ อยากให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมสักที และสุดท้ายคืออยากขอโทษที่พูดจาทำร้ายจิตใจทำร้ายร่างกาย

พี่ยูหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังข่มความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ ผมเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอยากขอโทษและล้มเลิกความคิดนั่นซะแต่ในตอนที่กำลังจะอ้าปากอีกฝ่ายกลับสวนขึ้นมาก่อน



ต่อด้านล่างน้า


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“พี่ให้เวลาคุยครึ่งชั่วโมงนะครับ พอไหม?” พี่ยูใจดีและเข้าใจความรู้สึกของผมเสมอ

“ครับ ขอบคุณนะ”

เราฆ่าเวลาเดินทางด้วยการนอน ตื่นอีกครั้งก็ได้ยินเสียงประกาศว่ากัปตันกำลังลดระดับบินเพื่อลงจอดที่สนามบินนาริตะแล้ว ผมขยับตัวเพื่อคลายความเมื่อขบของร่างกายแต่ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงอะไรหนักๆ บนไหล่ เหลือบสายตามองก็เจอหัวทุยของคนที่มาด้วยกันพลันรอยยิ้มมุมปากก็ปรากฏขึ้น ถ้ามีใครถ่ายรูปตอนนี้คงดูหวานจนเลี่ยน

ผมไม่กล้าขยับตัวต่อเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการนอนของพี่ยูเลยได้แต่ก้มมองเขาด้วยความรักใคร่ ตอนนี้แอร์โฮสเตสเริ่มทำหน้าที่เดินสำรวจความเรียบร้อยภายในเครื่องบินและเก็บขยะจากผู้โดยสารจนเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าเราก่อนจะส่งกระดาษใบเล็กมาให้ ยอมรับมางงแต่ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคลี่กระดาษออกก็พบข้อความที่ต้องทำให้ขมวดคิ้วแน่น อ่านซ้ำอีกรอบเพื่อความมั่นใจ มันผิดคาดมากที่อยู่ๆ ไอ้ทอยเป็นฝ่ายนัดเจอกันก่อนแบบนี้ คงมีเรื่องอยากคุยและปรับความเข้าใจอย่างแน่นอน ก็ดีเหมือนกันที่ผมไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะโดนหนีหน้าหรือเปล่า

“อือ” เสียงครางของคนที่พิงไหล่กันอยู่ดังขึ้นทำให้ผมรีบเก็บกระดาษใบนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อเพราะไม่อยากให้พี่ยูคิดมาก แค่เขายอมให้คนที่จูบแฟนตัวเองคุยด้วยก็ดีเกินพอแล้ว

พี่ยูผละตัวออกไปแล้วอ้าปากหาวหวอดโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง แต่มันก็ยังคงดูดีในแบบฉบับคนหล่อ เขาบิดตัวซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบแล้วหันมาปรือตาใส่กัน คงยังง่วงอยู่แต่ได้ยินเสียงประกาศจากสายการบินเลยจำใจต้องตื่น

   “ใกล้ถึงแล้วสินะ” พี่ยูถามเสียงเครือแล้วคว้าขวดน้ำไปดื่มแก้กระหาย ผมพยักหน้ารับก่อนจะมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เห็นปุยเมฆสีขาวทีไรก็อยากยื่นมือออกไปจับทุกที ดูแล้วมันให้ความรู้สึกนุ่มละมุนเหมือนสายไหม

   ตอนนี้ผู้โดยสารกำลังทยอยลงจากเครื่องบินแล้วเดินไปตามงวงช้างที่เข้ามาต่อไปยังตัวอาคาร ผมกับพี่ยูไม่รีบร้อยเพราะขี้เกียจไปเบียดเสียดกับชาวบ้าน นั่งรอจนเป็นคู่สุดท้ายก็ตามทุกคนไปเอากระเป๋าเดินทาง ระหว่างนั้นเราพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยเรื่องทริปที่จะไปเที่ยวหลังถึงบ้านในญี่ปุ่น เรื่องมื้อเช้าที่อยากกินจนกระทั่งถึงที่หมาย

   “บอกทอยแล้วเหรอครับว่าอยากคุยด้วย” พี่ยูถามขณะที่กำลังยืนรอกระเป๋าของตัวเองจากสายพาน ผมละสายตาจากโทรศัพท์ในมือแล้วพยักหน้ารับไป ที่จริงไอ้ทอยนัดสถานที่ผ่านกระดาษใบนั้นเรียบร้อยแล้วไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำหรอก

   “ถ้ามีอะไรไม่ดีก็โทรเรียกพี่แล้วกันครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะขยับตัวไปหยิบกระเป๋าที่เป็นของผมให้แล้วยืนรออีกใบโดยไม่หันกลับมาสนใจกันอีก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ดูนิ่งจนน่ากลัวขนาดนี้ อยากถามให้แน่ใจแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวคำตอบว่าจะเกลียดไอ้ทอย ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องทำยังไงล่ะ

   ผมยืนมองแผ่นหลังของพี่ยูด้วยความกังวลใจจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาลากกระเป๋าทั้งสองใบมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วพยักพเยิดให้ออกเดินต่อไปเพื่อรอเจอกับไอ้ทอยที่คงใกล้จะมาถึงแถวนี้แล้ว สถานการณ์ระหว่างเราดูเหมือนปกติแต่มันกลับมีบางอย่างแอบแฝงคล้ายมีรังสีแห่งความไม่สบายใจโอบล้อมอยู่แต่ไม่มีใครเปิดปากพูดออกมา มันน่าอึดอัดจนแทบขาดอากาศหายใจ

   “พี่ยูครับ” ผมเรียกเขาพร้อมกับเอื้อมมือไปจับต้นแขนแกร่งเอาไว้ พี่ยูชะงักการเดินแล้วหันมามองกันด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ไม่ได้ออกปากถามตามปกติ ทำไมมันเงียบเหมือนป่าช้าแบบนี้วะ ยังไม่ทันได้ไปเที่ยวจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย

   “ถ้าพี่ไม่สบายใจผมไม่คุยกับไอ้ทอยก็ได้นะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วออกแรงบีบต้นแขนพี่ยูเบาๆ จากนั้นก็มองดวงตาคมด้วยความเป็นห่วง เขาส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแก้มกัน คลี่ยิ้มบางแล้วมองไปรอบๆ อาคารสนามบินเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างและมันคงไม่พ้นไอ้ทอย

   “พี่ยอมรับว่าไม่สบายใจ แต่ถ้าปัณณ์อยากคุยก็จะไม่ห้าม”

   “พี่ยูเชื่อใจผมใช่ไหมครับ?” ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะควบคุมไม่ได้ รู้สึกอยากร้องไห้ทุกครั้งที่ทำให้พี่ยูไม่สบายใจแบบนี้ หรืออาจจะหาคำจำกัดความง่ายๆ ว่ารักเขามากแคร์เขามากนั่นเอง

   “เชื่อสิ ไม่งั้นพี่จะให้เวลาเราตั้งสามสิบนาทีทำไมกัน” พี่ยูคลี่ยิ้มแล้วแอบบีบแก้มกันเบาๆ ก่อนจะผละมือออกไปจับกระเป๋าเดินทางเหมือนเดิม ผมมองหน้าเขานิ่งครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเข้าใจ นั่นสินะ ถ้าไม่ไว้ใจคงไม่ปล่อยให้คุยนานขนาดนั้นหรอก

   “อื้อ เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบคุยกับทอยแล้วกลับมาหาพี่นะ”

   “ครับผม นั่นทอยหรือเปล่า? เดินมาทางนี้แล้ว” พี่ยูชี้นิ้วไปตรงทางออกที่เราเพิ่งเดินผ่านมาซึ่งตอนนี้มีบุคคลในเครื่องแบบเดินเรียงกันมาหลายคนแต่ไอ้ทอยก็เป็นจุดวางสายตาที่ดีที่สุดเสมอ มันโดดเด่นดูมีออร่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ตาม ผมพยักหน้ารับคำของแฟนแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับความจริงบทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หวังว่าทุกอย่างคงผ่านไปได้ด้วยดี



------------------------------------

ตอนหน้าจะได้เคลียร์ทุกเรื่องที่ค้างคาระหว่างปัณณ์กับทอยจริงๆ สักที
รวมถึงเรื่องของเอย์จิกับทอยด้วยน้า

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านนะคะ สู้ๆค่ะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น่าจะหมดดราม่าแล้วเนอะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
5555 พี่ยูเหมือนหลุดบ่วงออกมา
ทำตัวเหมือนคนเก็บกดแล้วถูกปล่อย
ตอดตลอด หยอดตลอด จนหลุมท่วมตัวแล้ว

ปัณณ์ก็เตรียมพร้อมตลอด ทำตัวเข้มไปงั้น 5555
ใจไปล่วงหน้าแล้ว กายก็พร้อมจะตามไปมาก

เอย์จินี่ยังไง ทำไมซึมได้ขนาดนั้น
ทอยยังลืมไม่ได้ ก็ต้องให้เวลาบ้างนะ
แล้วที่จะคุยกัน จะจบด้วยดีไหม หรือทอยยังจะฝืน

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 19 : ไก่คาราเกะ



ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเราคือร้านกาแฟในสนามบินที่ผู้คนพลุกพล่านไม่น้อย เสียงพูดคุยหลายภาษาเป็นแบ็คกราวน์ทำให้ผมรู้สึกรำคาญแต่ก็ไม่มากเกินกว่าความอดทนเพื่อคุยกับคนตรงหน้า เขาดูไม่เปลี่ยนไปจากเดิมยังคงดูดีแต่แววตากลับฉายแววเศร้าจนอดรู้สึกแย่ไม่ได้

“สั่งอะไรกินก่อนไหม?” ไอ้ทอยเอ่ยถามขณะที่หยิบเมนูไปดู ผมส่ายหน้าเพราะเวลาที่พี่ยูให้มาแค่ครึ่งชั่วโมง อีกอย่างก็ไม่อยากปล่อยเขารอนาน

“กูอิ่มแล้ว มึงจะกินก็สั่ง” ผมบอกก่อนจะขยับพิงพนักเก้าอี้ปล่อยให้อีกคนสั่งกาแฟกับขนมอีกชิ้นเป็นมื้อเช้า ทางด้านพี่ยูก็คงหาที่นั่งรออยู่ไม่ไกล

“สบายดีไหม?” คำถามจากไอ้ทอยทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจแล้วพยักหน้ารับแทนคำตอบก่อนจะปลายสายตามองใบหน้าที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน

“มึงล่ะ?” ผมถามกลับพร้อมขยับตัวเล็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่มองตรงมาทางนี้ มันสื่อความหมายอะไรไม่สามารถคาดเดาได้เลย

“ก็... เรื่อยๆ ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” มันคลี่ยิ้มบางก่อนจะทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตา ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดรวบรวมความกล้าในการถามไถ่ถึงสาเหตุ หวังว่าไอ้ทอยจะตอบตามความจริง ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เคลียร์ความรู้สึกที่ค้างคาอย่างแน่นอน

“เพราะกูหรือเปล่า?” ผมถามแล้วมองบรรยากาศโดยรอบเพราะไม่อยากจดจ่อจนเกิดเป็นความกดดัน ความคิดเริ่มฟุ้งซ่านเมื่อพี่ยูที่เคยอยู่ในสายตาหายไป เขาโกรธหรือเปล่าวะ แต่คงไม่หรอกในเมื่อออกปากอนุญาตให้คุยโดยไม่เข้ามายุ่งเอง

“ไม่ๆ ไม่ใช่เพราะมึง เรื่องนั้นลืมไปแล้วล่ะ” มันปฏิเสธรัวพร้อมกับโบกมือเป็นการปฏิเสธ ดวงตาคมที่จ้องมาเต็มไปด้วยความจริงใจไม่หลุกหลิก ผมพยักหน้ารับและรู้ว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเรากำลังจะวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่คงต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อย

“แล้ว?” ผมถามต่อเมื่อคนตรงหน้าเงียบไปเกือบนาที มันเหลือบมองกันก่อนจะยกแก้วกาแฟที่เพิ่งมาเสิร์ฟขึ้นจิบแทะเล็มแซนวิชต่ออีกนิดก่อนตอบคำถามที่เหนือความคาดหมายจนสมองแทบประมวลผลไม่ทัน

“มึง... จะหาว่ากูนิสัยเหี้ยยังไงก็ได้ แต่ช่วยบอกหน่อยว่าเอย์จิหายไปไหน?” ดวงตาคมที่จ้องมองมาทำให้รู้ว่ามันจริงจังเรื่องเอย์จิมากแค่ไหน มือไอ้ทอยที่พยายามบีบแก้วกาแฟไว้นั้นสั่นกึกๆ จนสังเกตได้ว่าร้อนรนอยากได้คำตอบแต่ผมทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ เพราะกำลังช็อก ก็ไหนทำเป็นว่าไม่สนใจเขาไง ตอนนี้มาถามถึงคืออะไร งงในงง

“กูไม่เข้าใจ...”

“กูชอบเอย์จิว่ะ”

“แล้วทำไมมึง...” ผมพูดได้แค่นั้นก็เม้มปากแน่นเพราะคิดถึงตอนเอย์จิเสียใจแล้วรู้สึกเจ็บแปลบ แต่ไอ้ทอยคงมีอาการไม่ต่างกันเพราะดวงตาคมนั้นสั่นไหว ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันมีน้ำตาคลอหน่วย

บรรยากาศรอบตัวของเรายังคงขับเคลื่อนไปตามเวลา ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันนับสิบ บางคนยิ้มทักทาย บางคนก็เฉยเมยเพื่อเร่งรีบไปสู่จุดหมายซึ่งต่างจากผมที่นั่งเหม่อมองไอ้ทอยแต่ก็ไม่ได้โฟกัสสายตาเพราะกำลังคิดถึงคนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ป่านนี้จะทำอะไรหรือลืมเรื่องใครคนหนึ่งหรือยัง

“ตอนนั้นกูคิดว่ารักมึงมากจนไม่สามารถตัดใจได้ก็เลยทำทุกวิถีทางให้เอย์จิถอย แต่พอเขาออกไปจากชีวิตจริงๆ เหมือนกูเป็นคนโง่เลยว่ะ” น้ำเสียงของไอ้ทอยสั่นมากแต่มันก็กลบเกลื่อนด้วยการยัดแซนวิชใส่ปากคำโตแล้วดื่มกาแฟตามอึกใหญ่จนไหลเยิ้มตรงขอบปาก ผมทนเห็นสภาพนั้นไม่ได้เลยหยิบทิชชู่ส่งให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรเพราะลึกๆ แล้วก็รู้ดีว่าเพื่อนมีเหตุผลที่ทำร้ายเอย์จิ แต่มันไม่เหมาะสมเหมือนๆ กับที่ตัวเองก็เคยกระทำมาหนหนึ่ง

“.....” ผมเงียบแล้วมองไอ้ทอยรับทิชชู่ไปเช็ดปากลวกๆ แก้มกร้านยังขยับขึ้นลงเพราะอาหารในปาก สภาพตอนนี้หมดราศีของกัปตันคนหล่ออย่างสิ้นเชิง เหลือแต่ไอ้ทอยที่เป็นหมาอกหักนั่งปรับทุกข์กับเพื่อน สงสารก็สงสารแต่ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อตอนนี้เอย์บอกว่าพอแล้ว ไม่อยากพยายามอะไรอีก

“มึงโกรธใช่ไหมปัณณ์ กูขอโทษทุกเรื่องที่เคยทำลงไป ขอโทษจริงๆ จะเกลียดก็ไม่ว่า แต่ช่วยบอกทีว่าเอย์จิหายไปไหน?” ไอ้ทอยทิ้งศักดิ์ศรีหรือแม้แต่มาดของผู้ชายแบดบอยทิ้งไปจนหมดก่อนจะเอื้อมมือมาเขย่าแขนกันด้วยดวงตาอ้อนวอน สีหน้าของมันบ่งบอกว่าสภาพจิตใจตอนนี้ดิ่งจนยากที่จะทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ตลอดเวลาที่เอย์จิตัดการติดต่อไปนั้นต่างคนต่างทรมานแค่ไหนกันนะ เจ็บเหมือนที่ผมเคยผ่านมาก่อนหรือเปล่า

“ทอย กูขอโทษที่เคยทำแย่ๆ กับมึง กูไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียด แต่เรื่องของเอย์จิ...” ผมเม้มปากลงในประโยคสุดท้ายเพราะรู้ดีกว่าฝั่งเอย์จิเสียใจกับการกระทำของไอ้ทอยไม่น้อย ทุกวันนี้เห็นร่าเริงแต่ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแววตาที่เคยสดใสมันเปลี่ยนไป ถึงปากจะบอกว่าพอแต่ลึกๆ คงมีความหวัง

“ปัณณ์... กูขอร้อง” ไอ้ทอยปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาตามแก้มอย่างไม่อายบรรดาผู้โดยสารที่เดินขวักไขว่ในสนามบินหรือแม้กระทั่งพนักงานร้านกาแฟที่เก็บจานชามอยู่ข้างโต๊ะ สภาพกัปตันผู้หล่อเหลาเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วหายวับไปกับตาจริงๆ จนผมต้องเอื้อมมือไปลูบหัวมันเป็นการปลอบโยน

“เอย์จิเหนื่อยที่จะพยายามเรื่องของมึงแล้ว” ผมบอกมันเสียงอ่อนแล้วมองด้วยสายตาเป็นห่วง อยากช่วยแต่ก็ไม่อยากสะกิดแผลเป็นของเอย์จิ รายนั้นมีคนเข้ามาจีบเยอะแยะแต่ไม่เคยคบใครสักคน ที่เห็นมาจริงจังกับไอ้ทอยก็โคตรประหลาด ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเพิ่งเกิดแต่ความรู้สึกก็ไม่อาจใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสินได้ว่ามีมากหรือน้อย

“ช่วยกูที... ติดต่อเอย์จิให้หน่อยนะ” คำขอร้องเบาหวิวทำให้หัวใจของผมกระตุก ตอนนี้ความคิดในหัวกำลังตีกันยุ่งเหยิงแคร์ความรู้สึกเพื่อนก็ใช่ เอย์จิก็ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือพี่ยู เขาจะยอมปล่อยคนที่ทำร้ายน้องชายตัวเองให้กลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตอีกอย่างนั้นเหรอ มันยากที่จะยอมรับเลยใช่ไหมล่ะ

“ทอย กู...” ผมอึกอักไม่กล้าสบมองดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน ผละมือออกจากศีรษะคนตรงหน้าอย่างอ่อนแรง ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นโต๊ะสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้า แม่ง สถานการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่เขาแก้ยังไงวะ ลุกขึ้นลากกระเป๋าเดินหนีไปเลยได้ไหม แต่ถ้าทำแบบนั้นชาตินี้คงไม่ได้เพื่อนสนิทกลับมาแล้วล่ะ ดีไม่ดีมันอาจจะแช่งให้เลิกกับพี่ยูเร็วๆ ด้วยซ้ำ โอย ปวดหัว!

“จะคุยกับเอย์จิทำไมอีก?” เสียงทุ้มต่ำของคนที่คิดว่าหายไปห้องน้ำกลับดังขึ้นข้างหูและนั่นทำให้ผมเลิกสนใจโต๊ะไม้กิ๊กก๊อกของร้านกาแฟทันที พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับพี่ยูที่มีใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกแต่บรรยากาศรอบตัวช่างทะมึนจนสัมผัสได้ น่ากลัวยิ่งกว่าพายุเข้าประเทศญี่ปุ่นอีก คราวนี้ไอ้กัปตันทิวาจะเหลือแต่ชื่อหรือเปล่าวะ ฉิบหาย

“พี่ยู...” ผมครางเสียงเบาแล้วเอื้อมมือไปจับแขนพี่ยูเอาไว้เพื่อเตือนให้ใจเย็นๆ และดูเหมือนมันจะได้ผลเมื่อเขาเหลือบมองกันแล้วพยักหน้ารับ เฮ้อ โล่งไปหน่อย ดีนะ ที่ไม่ใช่วัยรุ่นเลือดร้อนแต่เป็นชายฉกรรจ์ที่อายุเกือบสี่สิบปี มีเหตุผลและความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว

“พี่ยู ผม...” ไอ้ทอยตกใจจนเกือบเผลอปัดแก้วกาแฟหก มันละล่ำละลักเรียกคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้วยเสียงสั่นเทา ดวงตาคมหลุบลงโฟกัสไปยังแจกันดอกไม้ประดับโต๊ะ จ้องขนาดนั้นจะให้งอกรากเลยหรือยังไงวะ

“มารู้ตัวตอนนี้มันไม่สายเกินไปหน่อยหรือไง” พี่ยูพูดต่อก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างกันเมื่อลูกค้าคนอื่นภายในร้านมองมาทางนี้ด้วยความสนใจ ไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็ชอบเผือกร้อนด้วยกันทั้งนั้น แม่ง ฟังออกกันหรือยังไง! ไม่ต้องเอียงหูฟังเว้ย

“ผมขอโทษที่ทำเรื่องแย่ๆ กับเขา” ถึงเสียงไอ้ทอยจะแผ่วแต่รับรู้ได้ถึงความจริงจังเมื่อมันกล้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับพี่ยู ตอนนี้ผมอยากลุกออกไปสั่งน่ำเปล่าสักขวดเพื่อดับความกระหายและความกังวลในจิตใจ ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นวะ

“ไม่ต้องมาบอกพี่ นั่นมันเรื่องของทอยกับเอย์จิ” นั่นปะไร พี่ยูโหมดโหดที่ผมไม่เคยปรารถนาอยากเจอที่สุดกลับปรากฏต่อหน้าไอ้ทอยทั้งสีหน้าแววตาและน้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่พอใจมาก ถึงดูเหมือนว่าเขาไม่รักน้องแต่ความจริงแล้วทั้งรักทั้งหวง เอย์จิเข้มแข็งก็จริงแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ

“.....” ไอ้ทอยเงียบไม่โต้ตอบอะไร มันก้มหน้าลงต่ำพลางเม้มปากจนเป็นเส้นตรงและขาวซีด มือข้างที่ยังถือทิชชู่ค้างอยู่กำเข้าหากันแน่นจนสั่นกึกๆ ไม่ใช่เพราะกำลังโมโหแต่คือความกลัว กลัวว่าจะไม่ได้เจอเอย์จิอีก

“พี่ยูครับ ไม่ได้เกลียดเอย์จิใช่ไหม?” ผมกระซิบถามด้วยเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเหลือบมองไอ้ทอยว่ามันได้ยินหรือเปล่า ไม่อยากให้กระทบกระเทือนจิตใจมากกว่านี้แต่ก็อยากรู้ความคิดของพี่ยูเพื่อเอามาประเมินแนวทางเรื่องของเอย์จิว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่จะได้พูดคุยเคลียร์ปัญหานี้อีกครั้งหนึ่ง บางทีก็อยากเขกหัวไอ้ทอยแรงๆ ที่ชอบทำอะไรไม่ไตร่ตรองให้ดีซะก่อน

“ไม่เกลียดครับ แต่ก็ไม่ได้ชอบ” คำตอบของพี่ยูตรงไปตรงมาซึ่งผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจได้ ใครมันจะชอบคนที่เคยพุ่งเข้ามาจูบแฟนตัวเองต่อหน้าต่อตาแถมยังทำให้น้องชายเจ็บอีก งานยากแล้วมึงไอ้ทอยเพื่อนรัก

“ผม...” มันก็จะฉิบหายหน่อยๆ ที่ผมคิดว่าไอ้ทอยไม่ได้ยินสิ่งที่เรากระซิบกระซาบกันสองคน... แม่ง กูขอโทษนะเพื่อน ไม่ได้อยากทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมเลย

“ถ้าพี่บอกว่าเอย์จิมีแฟนแล้วทอยยังอยากจะคุยกับมันหรือเปล่า” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เนื้อความกลับทำให้ทั้งผมและไอ้ทอยเบิกตาโตด้วยความตกใจ นั่นเรื่องจริงเหรอที่เอย์จิมีแฟนแล้วหรือแค่อยากลองใจว่าอีกคนจะมีปฏิกิริยายังไง เดาไม่ถูกเลยจริงๆ

“อึก... คะ คุยครับ แค่ได้ขอโทษเอย์จิก็ยังดี” ไอ้ทอยฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตามันไหลอาบแก้มอีกครั้ง ผมกัดฟันแน่นเพราะไม่สามารถขัดขวางพี่ยูได้เพราะเขาคงคิดมาดีแล้วก่อนจะถามออกไปแบบนั้น ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลคืออะไรแต่มันคงทำให้ตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้ง่ายขึ้น

“อืม เดี๋ยวพี่พูดให้ เอย์จิพร้อมเมื่อไหร่คงเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเอง”

หลังจากนั้นผมก็โดนพี่ยูลากออกมาโดยที่ยังไม่ได้บอกลาไอ้ทอยแบบงงๆ คือตกลงว่ายังไงอะไรวะ มันยังไม่เคลียร์ไม่ใช่เหรอ สงสัยไปก็เท่านั้นเมื่อตอนนี้รถที่บ้านของเขามาจอดเทียบให้ขึ้นแล้ว โอย สับสนเว้ย แล้วตกลงว่าต้องพักกับคุณลุงเหรอ ให้ตายสิ!

“พี่ยูครับ” ผมเอ่ยเรียกเมื่อเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่เราทั้งสองต่างนั่งเงียบกันมาตลอดทาง ดูวิวก็แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโรมมิ่งเล่นโซเชี่ยลก็แล้วแต่มันก็ไม่ได้คลายความอยากรู้เรื่องไอ้ทอยลงเลย ตกลงว่าเรื่องมันจบแบบไหนเนี่ย

“หืม?” เขาครางรับทั้งที่ยังหันหน้าไปอีกด้าน แผ่นหลังกว้างพิงเข้ากับเบาะ แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้หลวมๆ ท่าทางเหมือนคนเตรียมหลับพักผ่อนแต่ไม่ได้หลับตาก็แค่นั้น

“พี่จะช่วยไอ้ทอยใช่ไหมครับ?” ผมถามต่อแล้วลอบมองปฏิกิริยาตอบกลับด้วยหัวเต้นเต้นรัว พี่ยูทำเพียงแค่คลี่ยิ้มก่อนจะหลับตาลงปิดกั้นทุกสิ่งไว้เบื้องหลังความมืด เข้าใจว่ามันยากที่ปล่อยให้คนๆ หนึ่งซึ่งเคยทำร้ายเอย์จิกลับมามีบทบาท แต่เขาก็คือเขาคนที่แคร์น้องชายไม่แพ้กัน

“พี่ถือว่าเป็นการดึงเอย์จิให้กลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ทำร้ายตัวเองเพื่อเคลียร์เรื่องคาใจมากกว่า”

เหตุผลเหมาะกับพี่ยูดี ให้น้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองซึ่งผมก็เห็นด้วย

“ถ้าเอย์ยอมกลับไปคุยกับไอ้ทอยล่ะครับ?” อันนี้ผมถามเผื่อในอนาคตถ้าพี่ยูกีดกันทีหลังนี่โคตรแย่เลยนะ แต่ดูเหมือนพี่ยูจะไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะเขาลืมตาขึ้นมาและคลี่ยิ้มบาง

“ก็... คงปล่อยให้พวกเขาศึกษากันไปตามที่ต้องการนั่นล่ะ ต่างคนต่างก็อยู่ในวัยที่ตัดสินใจเองได้แล้ว”

“สรุปง่ายๆ คือรับได้ใช่ไหม?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจจะได้เที่ยวอย่างโล่งอกไม่ต้องกังวลเรื่องเพื่อนกับน้องชายแฟนไปตลอดทั้งทริป

“ประมาณนั้น ถึงพี่จะชอบหรือไม่ชอบหน้าทอย แต่ถ้าเป็นความสุขของเอย์จิก็คงต้องยอมรับเพราะเลี่ยงไม่ได้” พี่ยูขยับตัวเล็กน้อยแล้วหันมาสบตากันเหมือนขอความคิดเห็น ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยแล้วโผเข้ากอดเขาแน่นเพื่อขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง

“นั่นสินะ... ผมขอบคุณพี่ยูที่ไม่กีดกัน”

“พี่ขอเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ?” ดวงตาคมที่มองมาเป็นประกายวิบวับจนผมเผลอขยับตัวหนีชิดกระจกรถฝั่งตัวเอง สิ่งที่ไม่อยากคิดกลับผุดวาบขึ้นในสมองซะเฉยๆ ไอ้ที่ยอมเปย์ตลอดทั้งทริปคือการหลอกมาฟันหรือเปล่าวะ...

“จะ จะเอาอะไร?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับยกมือขึ้นกอดตัวเองอย่างหวงแหน พี่ยูโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนจนหัวใจเริ่มเต้นโครมคราม จะผลักเขาออกก็โดนรั้งข้อมือไว้ คือไม่แคร์ความรู้สึกกันก็ช่วยเกรงใจคนขับรถบ้างเหอะ ตาถลนแล้วมั้งนั่น โอย

“อืม... ยังไม่บอกตอนนี้แล้วกันครับ” เขาผละออกไปเมื่อเห็นผมหายใจติดขัดก่อนจะคลี่ยิ้มหวานชวนให้หวั่นใจยิ่งกว่าเดิม

“งั้นผมก็ไม่รับปากว่าจะให้”

“ฉลาดนะเนี่ย” พี่ยูบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ซึ่งผมก็ทำได้แค่ปล่อยไปตามความต้องการของเขา ไม่ได้รู้สึกโมโหแต่อบอุ่นใจมากดว่าที่ถูกเอ็นดูแบบนี้

“ก็เพราะอยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างพี่ไงครับ” ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งก่อนเนียนซบหน้าลงบนตักของพี่ยู หลับตาลงเพื่อพักสมองและร่างกายที่อ่อนล้าเพราะอีกไม่นานการผจญภัยครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นแล้ว ยูกิแอนด์ปัณณ์อินเจแปน

ตอนนี้รถที่เรานั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ารั้วสีขาวสูงท่วมหัวที่ครั้งหนึ่งผมเคยมาเหยียบเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่พี่ป่านเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ จำได้ว่าตัวแบบบ้านเป็นสไตล์ญี่ปุ่นสมัยเก่าขนาดแท้แต่ปรับเปลี่ยนวัสดุจากไม้กลับกระดาษให้มีความคงทนมากขึ้นด้วยปูนซีเมนต์ พื้นบ้านจะยกตัวสูงเหนือพื้นดินเล็กน้อย มีการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ภายในเป็นแบบเปิดโล่งไว้สำหรับรับแขก แยกกับส่วนห้องนอน มีชานบ้านให้นั่งเล่น

บริเวณรอบโดยรอบจัดเป็นสวนไตล์มาชิยะซึ่งจะถูกซ่อนอยู่ภายในลานกลางบ้านคล้ายๆ สวนลับในหนังจีน เลื่อนบานประตูห้องนอนออกมาก็จะเจอ มันเป็นมุมโปรดของผมกับพี่ป่านในตอนนั้นเลยล่ะ

“ตอนนี้เข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนแล้วตอนเย็นพี่จะพาไปเดินเล่นแถวชินจูกุ” หลังจากลงจากรถมายืนบนพื้นได้สำเร็จพี่ยูก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกันด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมมองตัวบ้านด้วยความรู้สึกคิดถึงก่อนที่เขาจะยกแขนขึ้นพาดบ่าแล้วออกแรงดันเป็นสัญญาณให้ก้าวเดินเข้าสู่ด้านใน

เราผ่านสวนหินด้านหน้าแล้วหยุดนั่งถอดรองเท้าที่ชานบ้าน ตั้งแต่เดินมาจากลานจอดรถก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเราทั้งที่คุณลุงน่าจะอยู่เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แปลก... หรือเดินทางไปที่อื่นแล้ว

“ครับ แล้วคุณลุง...” ผมเปรยออกไปแค่นั้นก่อนจะต้องเบิกตาค้างเมื่อพี่ยูตอบกลับมาอย่างรู้ทัน

“ไปออสเตรเลีย” พี่ยูตอบเสียงใสก่อนเข้ามากระชับอ้อมแขนแน่นจนหลังของผมเกยอยู่กับหน้าอกของเขาทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่และสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากร่างกายอีกคน มันรู้สึกดีเพราะอากาศหลังฝนตกช่างหนาวเหลือเกิน แต่...

“ห๊ะ...” ผมร้องเสียงหลงเพราะเหมือนโดนหลอกให้มาเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อขยับความสัมพันธ์ของเราเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่าเหมือนที่เอย์จิเคยแซว โอย อุตส่าห์ไม่คิดมากแล้วนะเว้ย มือไม้อ่อนเปลี้ยจนทำรองเท้าหลุดมือเลยเหอะ

“ในบ้านก็มีแค่เราสองคนนี่ล่ะครับ ทำอะไรก็สะดวก” พี่ยูก้มลงมากระซิบคำท้ายประโยคข้างใบหู ความร้อนจากลมหายใจทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวจนต้องหดคอหนีก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำถูกอกถูกใจที่สามารถแกลังกันให้ขวัญกระเจิงได้ เดี๋ยวเถอะ!

“พี่ยู!” ผมผละตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งแล้วเงยหน้าแยกเขี้ยวขู่เจ้าของบ้านแง่งๆ พร้อมตั้งการ์ดเตรียมต่อยถ้าหากว่าพี่ยูขยับเข้ามาใกล้แม้แต่ก้าวเดียว

“ครับๆ เรียกเสียงดังเชียว” พี่ยูพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเป็นคนเลื่อนประตูบ้านให้เปิดออก กลิ่นหอมอโรม่ากระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณเนื่องจากที่นี่ชอบใช้เครื่องทำไอน้ำอยู่บ่อยๆ มันให้ความรู้สึกสดชื่นแต่ตอนนี้ไม่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจได้เพราะสายตาของคนตรงหน้าที่มองมามีเลศนัยแปลกๆ

“คิดอะไรอยู่เนี่ย?” ผมถามเสียงฉุนก่อนดันตัวลุกขึ้นเพื่อเดินตามอีกคนเข้าไปในบ้าน ลอบสูดหายใจรับกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ เข้าเต็มปอด อ่า... ธรรมชาติสรรสร้าง โคตรชอบ ถ้าให้หมกอยู่ในบ้านทั้งอาทิตย์ก็ไม่มีปัญหานะ

“เปล๊า” พี่ยูไหวไหล่แล้วเดินนำผมเข้าบ้าน ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้เต็มไปด้วยความร่าเริงจนคนตามได้แต่ส่ายหน้าทำใจ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดสินะ ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ความต้องการคงไม่ต่างเท่าไหร่

ห้องนอนของพี่ยูจะอยู่ทางปีกขวาของบ้านแบ่งแยกโซนกับคุณลุงและคุณป้าโดยมีห้องนั่งเล่นกั้นกลางเป็นโถงโล่งประดับด้วยรูปภาพต้นซากุระผืนใหญ่ มีโต๊ะไม้เนื้อดีสำหรับรับแขก ด้านข้างกำแพงมีชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่อัดแน่นไปด้วยตำราต่างๆ มากมายซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นแทบทั้งหมด ผมเคยหยิบมาเปิดอ่านอยู่หลายครั้งแต่ก็ต้องยอมแพ้เพราะมันเป็นระดับสูงเกินเอื้อม คันจิที่ไม่เคยพบเห็นทำให้สมองมึนงงได้ง่ายๆ

ผมชะงักเท้าอยู่ตรงหน้าประตูบานเลื่อนที่มีชื่อภาษาญี่ปุ่นเป็นอักษรคันจิว่า ‘ยูกิ’ แปลว่าความกล้าหาญ มือเรียวเผลอยกขึ้นรูปรอยสักข้างกกหูที่เป็นรูปเกล็ดหิมะซึ่งเป็นคำพ้องเสียงกันกับชื่อของเขา ความตั้งใจในตอนนั้นคืออยากบันทึกสิ่งที่รักไว้บนร่างกายแต่ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวจับได้เลยเลือกวิธีการแบบนั้น

จนถึงตอนนี้พี่ยูก็ยังไม่รู้เลยว่ารอยสักนี้หมายถึงตัวเขาเอง โธ่ คนแก่ผู้น่าสงสาร

“ผมขอนอนห้องพักแขก” ผมเอ่ยปากบอกคนที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยน้ำเสียงเรียบจนลุกกระโจนเข้ามาหากันแบบไม่ทันตั้งตัวก่อนคว้าข้อมือแล้วลากให้เข้าไปด้านในพร้อมปิดประตูลงกลอน ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาทีไม่ทันได้ขัดขืนหรือปฏิเสธ โธ่เว๊ย เมื่อไหร่ปัณณ์จะไล่ตามความคิดคนในครอบครัวนี้ทันสักที

“ยังไม่ได้ทำความสะอาดครับ” พี่ยูดันตัวผมให้นั่งลงบนเตียงแล้วจัดการเท้าแขนคร่อมกันเอาไว้ไม่ให้หนี ความใกล้ชิดทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัด กลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ จากปากเขาเกือบทำให้เผลอยืนหน้าเข้าไปประกบจูบ แม่ง สติ สติ!

“ผมทำเองก็ได้” น้ำเสียงจริงจังถูกส่งออกไปพร้อมด้วยออกแรงผลักหน้าอกแกร่งให้ถอยห่าง อยู่ใกล้กันบนเตียงแบบนี้มันเริ่มหวั่นใจจนบอกไม่ถูก ถ้าผมเป็นฝ่ายเริ่มทำอะไรๆ ก่อนคงโดนล้อยันแก่แน่นอน อายตายเลย

“รังเกียจที่จะนอนกับพี่เหรอ?” คนที่ผละออกไปนั่งข้างกันส่งเสียงถามกระเง้ากระบอกเหมือนลูกชายตอนงอแงไม่มีผิด ดวงตาคมที่มองมาสั่นไหวจนผมเบนหน้าหนีไปทางอื่น กลัวว่าถ้าจ้องกันนานๆ เดี๋ยวใจอ่อนอีก

“เปล่า แต่ไม่น่าไว้ใจ” ผมบอกเสียงแผ่วก่อนจะเม้มปากเข้าหากันเมื่อโดนมืออุ่นสัมผัสลงบนมือ เขาออกแรงกระชับแล้วบีบเบาๆ จนต้องหันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉับพลันด้านนอกบ้านนั่นฝนก็เทลงมาอย่างหนัก เชื่อเถอะว่าวันนี้คงได้นอนพักผ่อนจนถึงรุ่งเช้าแน่นอน เดินเล่นชินจุกุอะไรนั่นอย่าหวังเลย

“ถ้าปัณณ์ไม่สมยอมมีหรือพี่จะกล้า” พี่ยูไม่พูดเปล่ายังจับมือของผมยกขึ้นไปจรดแนบกับรอมฝีปากจนรู้สึกว่าเลือดไหลเวียนสูบฉีดขึ้นบนใบหน้า โอย สุดท้ายก็ต้องมาแพ้ลูกอ้อนหวานๆ แบบนี้น่ะเหรอ เฮ้อ

“ขอให้เป็นอย่างที่พูดเถอะ” และแล้วผมก็ติดกับของเสือเจ้าเล่ห์อย่างพี่ยูจนได้ เอาวะ ถ้าปล้ำมาก็ปล้ำกลับ ไม่มีอะไรยากสักหน่อยเนอะ!

หลังจากที่ช่วยกันรื้อเสื้อผ้าออกมาแขวนเก็บไว้ในตู้จนเรียบร้อยแล้ว พี่ยูก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสีขาวสะอาดพร้อมกับกระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงออกก่อนบอกราตรีสวัสดิ์ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาแค่เที่ยงตรง ผมปล่อยให้เขาพักผ่อนส่วนตัวเองก็เลื่อนบานประตูหลังห้องเพื่อออกไปนั่งชมสวนกลางบ้านปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นสมัยก่อน ถ้าได้ใส่ชุดยูกาตะคงเข้าคอนเซ็ปมากกว่านี้

ผมเอนหลังพิงกรอบประตูแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูแจ้งเตือนมากมายที่ถูกส่งเข้ามาเมื่อหลายนาทีที่แล้ว ส่วนใหญ่มาจากเอย์จิซะส่วยใหญ่คงส่งข้อความมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเช่นเคยหรือไม่ก็แซวนั่นนี่ตามประสาคนขี้แกล้ง

Eiji : ถึงญี่ปุ่นยัง?
Eiji : หรือว่านอนกกกับพี่ยูไปซะแล้ว

กกบ้ากกบออะไรเล่า นอนแผ่เต็มเตียงคนเดียวเป็นปลาดาวอยู่นู่น เอย์จิโคตรเพ้อเจ้อเลยว่ะ แต่ผมจะหน้าร้อยเพื่ออะไรล่ะเนี่ย โอย บ้าบอ

Eiji : โห ไรเนี่ย? ไม่ตอบเราเลย สงสัยโดนจัดหนักแน่ๆ

ผมขมวดคิ้วยุ่งก่อนตวัดสายตามองคนบนเตียงที่ตอนนี้ขยับพลิกตัวหามุมสบายแล้วหันกลับมาจ้องจอโทรศัพท์เขม็ง จัดหนักบ้าอะไรเล่า ไม่มีเหอะ!

Eiji : ขยันปั๊มน้องให้ริวกันเหรอ? คิกคิก

แน่ะ! แค่ไม่ได้ตอบไลน์สองสามชั่วโมงหลังลงจากเครื่องบินเอย์จิก็มโนใหญ่โตได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ต้องรีบเคลียร์ความเข้าใจผิดนี้แล้ว ถ้าเขาเอาไปถามพี่ยูคงมองหน้ากันไม่ติดแน่

Pann : พี่ยูนอนตายอยู่บนเตียงโน่น เลิกเพ้อเจ้อสักทีเหอะน่า!
Pann : *สติ๊กเกอร์หมีโกรธ*

ผมส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนทอดสายตามองท้องฟ้าหลังฝนที่ยังคงครึ้มพร้อมที่จะสาดเทลงมาอีกระลอก พอเลื่อนสายตาลงมองเบื้องหน้าก็พบน้ำเจิ่งนองในสวนเคลือบก้อนหินกลมกลิ้งสีขางสะอาดจนแวววาวจนอยากเหยียบย่ำลงไปเล่น กิ่งก้านของต้นซากุระแผ่ปกคลุมหลังคาบ้านส่วนหนึ่งเกิดเป็นร่มเงา ถ้ามาที่นี่ตอนเดินเมษาฯ คงได้เห็นดอกสีชมพูบานสะพรั่ง คิดแล้วก็เสียดายจัง

ครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ผมละสายตาจากธรรมชาติตรงหน้าแล้วหยิบมันขึ้นมาดู เป็นข้อความที่มาจากไอ้ทอยซึ่งไม่ได้ส่งหากันมานานหลายเดือน มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อเพื่อนสนิทคนเดิมกลับมาซะที

Toy : กูกลับมาเป็นเพื่อนกับมึงเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?

ผมอ่านข้อความของไอ้ทอยจบก็ลอบถอนหายใจก่อนคลี่ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้ารับทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นก็ตาม ไม่ว่าเพื่อนจะทำผิดอะไรแค่ไหน สุดท้ายก็ให้อภัยได้อยู่ดีล่ะน่า

Pann : ก็เป็นเพื่อนกันมาตลอดเหอะ ไปเลิกกันตอนไหนวะ?

ผมไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของเราจะเปลี่ยนไปเลยสักครั้งเดียว มันก็แค่มีการไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นเท่านั้น

Toy : เออว่ะ จริงของมึง
Pann : เรื่องเอย์จิรอหน่อยแล้วกัน

ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากรื้อฟื้นความรู้สึกแย่ๆ ขึ้นมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันดีสำหรับไอ้ทอย

Toy : เออ กูรอได้ มึงไปพักเหอะ เดี๋ยวพี่ยูเห็นว่าคุยกันจะหึงอีก 555555

โอ้โห พอกูญาติดีเข้าหน่อยก็แซะกันเลยเนอะ ไอ้เพื่อนประเสริฐ อย่าให้ถึงทีผมบ้างแล้วกัน หึ!

Pann : ขี้แซวว่ะ!

ถึงข้อความที่ส่งไปจะดูเกรี้ยวกราดแต่หลังจอนั้นก็คลี่ยิ้มบางอย่างสบายใจ โล่งใจ และอุ่นใจที่สามารถเคลียร์ปัญหาหนักสมองให้จบลงได้สักที ต่อไปคงเต็มที่กับความสัมพันธ์ระหว่างพี่ยูแล้วล่ะ ฮึบ ปัณณ์น่ะ... รักคุณยูกิที่สุดเลย!

ความรู้สึกง่วงคืบคลานเข้ามาท่ามกลางอากาศเย็นระหว่างฝนตกลงมาอีกครั้ง ผมปิดเปลือกตาลงก่อนขยับพิงกรอบประตูให้มั่นคงเพื่องีบครู่หนึ่ง พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของพี่ยูที่เข้ามากอดจากด้านหลังทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงชานบ้าน โธ่ แต๊ะอั๋งได้ตลอดเวลาจริงๆ เลยคนเรา

“อื้อ” ผมครางออกมาเบาๆ เมื่อโดนคนที่อยู่ด้านหลังประทับรอยจูบลงมาบนแก้ม ไรหนวดแข็งขูดไล่ลงมาจนถึงซอกคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้เลยผละตัวหนีแล้วแยกเขี้ยวขู่

“ไปโกนหนวดเลย” ผมบอกเสียงฉุนแล้วพยายามแกะมือปลาหมึกของพี่ยูออกจากเอวแต่ยิ่งพยายามเขาก็ยิ่งรัดแน่นจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะหัก โว๊ย นี่พูดภาษาคนอยู่นะครับ

“หอมนิดหอมหน่อยทำเป็นรังเกียจ” พูดจบก็ฝังจมูกลงมาซ้ำๆ อีกหลายรอบจนผมต้องหดคอหนี

“หนวดทิ่มมันเจ็บไง”

“โกนให้หน่อยสิครับแฟน” พี่ยูออดอ้อนชิดริมใบหูด้วยน้ำเสียงหวานๆ ยิ่งคำเรียกตรงท้ายประโยคเป็นแบบนั้นหัวใจแข็งๆ ก็ละชายกลายเป็นน้ำได้อย่างง่ายดาย แต่ขอเล่นตัวหน่อยเหอะ เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยโกนหนวดให้ใครนี่หว่า

“ไม่เอา ถ้ามีดบาดเดี๋ยวพี่จะเจ็บ”

“พี่เชื่อใจปัณณ์ครับ” อย่ามองกันด้วยสายตาจริงจังแบบนั้นสิ

“ไม่พูดแบบนี้ดิ” ผมบ่นเสียงเบาแล้วเบนสายตาหนีเพราะไม่อาจสู้พี่ยูได้ ใจอ่อนรอบที่ร้อยแล้วมั้งเนี่ย เกลียดตัวเองจริงๆ เลย

“งั้น... พี่รักปัณณ์ครับ”


“.....”

ตายอย่างไม่ต้องสืบหาสาเหตุเลยครับ อ๊าก!





------------------------------------------------

เรื่องทอยเคลียร์กันอย่างสวยงามแล้วน้า
ต่อไปน้องปัณณ์จะรักพี่ยูหนักๆ เลย (หืม?)
ส่วนเรื่องทอยกับเอย์จิต้องลุ้นกันสักหน่อยว่าจะยังไงบ้าง หึหึ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 :m25:ตายๆๆๆช็อตนี้ตายจริงๆ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 20 : ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น




เช้าวันนี้ดูพี่ยูแปลกๆ เพราะตั้งแต่ตื่นมาเขาก็เอาแต่มุดหัวอยู่ในตู้เสื้อผ้ามาร่วมชั่วโมง ถามว่าหาอะไรก็ไม่ยอมตอบแถมยังไล่ให้ผมไปเตรียมมื้อเช้าแบบง่ายๆ แซนวิชแฮมกับเอ้กเบเนดิกต์พร้อมด้วยเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลชอตและอเมริกาโน่ถูกจัดใส่ถาดไม้สวยงามก่อนจะยกออกมาจากครัวตรงไปยังบริเวณห้องนั่งเล่นเพราะอยากชมสวนระหว่างกิน

ตอนสายๆ ของวันผมตั้งใจว่าจะหัดเรียนชงชาแบบญี่ปุ่นโดยให้พี่ยูสอน เขาบอกว่าตอนเด็กๆ เคยฝึกอยู่เป็นปีจนชำนาญ เกือบขอพ่อแม่เปิดร้านขายอยู่แล้วเชียวแต่โดนเอ็ดซะก่อนเพราะพวกท่านนึกว่าประชด ชีวิตของเขาไม่เคยเครียดนอกจากเรื่องพี่ป่านประสบอุบัติเหตุ

ผมนั่งรอพี่ยูพลางหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเล่นฆ่าเวลา วันนี้ไม่มีแจ้งเตือนไลน์จากเพื่อนสนิทหรือเอย์จิเหมือนพวกเขาหายสาปสูญไปตามกาลเวลา อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีเทคโนโลยีก็คล้ายย้อนกลับไปสมัยก่อนด้วยกลิ่นไอของบ้านและเสื่อทาทามิที่อยู่ใต้ฟูกนุ่มๆ

จากที่ตะลอนเที่ยวญี่ปุ่นในสามวันที่ผ่านมาพบว่าที่นี่กลายเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของการมาพักผ่อนหย่อนใจจากคนทั่วโลก ทั้งวัฒนธรรม อาหาร ความเป็นอยู่ เทคโนโลยี ระเบียบ ภาษา การแต่งกาย ทุกอย่างล้วนดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนก็จะมีเทศกาลทานาบะตะ เทศกาลดอกไม้ไฟและอื่นๆ ให้ดื่มด่ำเต็มที่

“ปัณณ์” เสียงทุ้มของคนที่รออยู่ดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์แล้วหันไปยิ้มให้เขาแบบเต็มแก้ม ในอ้อมแขนของพี่ยูมีชุดยูกาตะสีสันสดใส อย่าบอกนะว่าที่ไปมุดหัวในตู้เพื่อหาสิ่งนี้ บ้าน่า จะเอามาทำอะไรเนี่ย

“เอาชุดยูกาตะออกมาทำไมครับ?” ผมถามแล้วมองชุดสีฟ้าสดใสสลับกับใบหน้าของพี่ยูที่เริ่มประดับด้วยรอยยิ้มหวานๆ ขายาวก้าวเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้ากัน

“ไปเที่ยวงานทานาบาตะกันครับ” ชุดถูกส่งมาให้ผมพร้อมรอยยิ้มเชิญชวนจนตาพร่า แต่ด้วยความที่ในชีวิตนี้ไม่เคยใส่ชุดประจำชาติไหนเดินเที่ยวงานกลางเมืองขนาดนั้นเลยรู้สึกแปลกๆ ไม่กล้าว่ะ กลัวไม่เข้าที่เข้าทางยังไงชอบกล

“ให้ผมใส่... ชุดนี้อะเหรอ?” ผมถามย้ำแล้วชี้กองผ้าสีฟ้าที่บัดนี้ถูกตั้งไว้บนโต๊ะข้างมื้อเช้า พี่ยูพยักหน้าหงึกหงักแล้วยกเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลชอตขึ้นจิบ ป่านนี้คงเบิร์นจนขมแล้วมั้งนั่น... กลับมาเรื่องชุดก่อนเว้ยปัณณ์

“อืม พี่ก็ใส่เหมือนกัน” ท่าทางของพี่ยูสบายๆ เหมือนชวนผมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกไปเดินเที่ยวห้าง แถมยังกินมื้อเช้าอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่รอกัน โธ่ คนกำลังอึ้งไง ไปไม่ถูกเลยเนี่ย แล้วไอ้ที่บอกเหมือนกันคือลักษณะชุดหรือสี โอย ธีมคู่รักปะเนี่ย อายตายเลย!

“เอ่อ ไม่ต้องเต็มยศขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ” ผมพยายามเลี่ยงแต่พี่ยูกลับคะยั้นคะยอให้ยอมใส่ชุดด้วยการขยับเข้ามาใกล้แล้วขโมยหอมแก้มแบบหน้าซื่อตาใส เอาจริงๆ มันระทวยตั้งแต่น้ำเสียงอ้อนนั่นแล้วล่ะ ไม่แพ้สักวันจะตายเหรอไงปัณณ์

“นานๆ จะมาตรงเทศกาลสักครั้ง ลองใส่ดูเถอะครับ”

“แต่มัน...” ผมอึกอักพลางหลบสายตาอ้อนวอนนั่นแล้วแกล้งทำเป็นคว้ากาแฟขึ้นมาจิบทั้งที่ยังไม่ได้เป่า โห โคตรร้อนอะแต่ต้องเก็บอาการ

“มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นเชียวนะครับ ไม่อยากเรียนรู้วัฒนธรรมบ้างเหรอ?”

โอเค ผมโบกธงขาวยอมแพ้แต่โดนดีเลยครับ

“โอเคๆ ยอมแพ้ครับ แต่ผมมัดโอบิไม่เป็นนะ” นี่ก็เป็นอีกปัญหาของผมคือไม่เคยใส่ยูกาตะเลย แม้แต่ชุดไทยเองก็ไม่เคย... เป็นเด็กที่โตมากับเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างแท้จริง

“เรื่องนั้นพี่ช่วยเองครับ” พี่ยูยิ้มกริ่มก่อนขยับออกไปนั่งกินมื้อเช้าแบบมีความสุข แต่ผมรู้สึกว่าเมื่อถึงเวลานั้นต้องมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ช่วยแต่งตัวเชียวนะ แล้วอีกอย่างคือถ้าจำไม่ผิดชุดยูกาตะไม่ใส่ชั้นในนี่ ตายแน่ๆ กูเนี่ย!

หลังจากมื้อเช้าผ่านไปแล้วผมก็นั่งเอกเขนกอยู่ตรงชานบ้านเพื่อดื่มด่ำกับสวนสไตล์มาชิยะไม่เลิกตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แอบเซลฟี่ไปหลายรอบบางทีติดพี่ยูกำลังเปลือยท่อนบนเลยต้องลบออกเพราะจะเอาไปอัพลงไอจี ใครว่าหวงแฟนก็ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้

ในตอนนี้พี่ยูกำลังคุยงานกับทางเลขาฯ ของคุณป้าอยู่ตรงโต๊ะรับแขกกลางบ้าน ดูท่าทางคงมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาจองห้องพักแล้วต้องการสิทธิพิเศษ จริงๆ ก็อยากช่วยแต่ไม่ถนัดทางนี้เลยขอนั่งให้กำลังใจอยู่ห่างๆ จะว่าไปใช้เวลานี้เตรียมอุปกรณ์ชงชาดีกว่ามั้ง เดี๋ยวช่วงบ่ายก็ต้องออกไปงานทานาบาตะแล้ว

ผมดันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินผ่านหลังพี่ยูเพื่อไปค้นอุปกรณ์ชงชาตามคำบอกเล่าว่าอยู่ในครัว คงต้องใช้เวลาหาสักพักเพราะเก็บไว้นานจนลืม

“จะไปไหนครับ?” พี่ยูผละโทรศัพท์ออกแล้วหันมาถามกันด้วยความอยากรู้ ผมชี้นิ้วไปในครัวเป็นการตอบรับ

“ขอน้ำเปล่าเย็นๆ สักแก้วได้ไหม?”

“ครับ เดี๋ยวเอามาให้เนอะ” ผมพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้ ก็ตั้งใจว่าจะเอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟเขาอยู่แล้วเพราะเห็นคุยงานยาวเกือบครึ่งชั่วโมงยังไม่ยอมวางสาย ลึกๆ ก็แอบคิดว่าคุณเลขาฯ โทรมาจีบพี่ยูหรือเปล่าวะ ทะแม่งชอบกล

“ขอบคุณครับแฟน” พี่ยูเอ่ยขอบคุณก่อนหันกลับไปสนใจคนในสายเหมือนเดิม ถ้าฟังไม่ผิดจะได้ยินเสียงกรี๊ดจากปลายสายดังมาอย่างควบคุมไม่อยู่จนผมแก้มร้อนวาบ ตกลงไม่ได้โทรมาจีบแต่เป็นแฟนคลับคู่เราอยู่สินะ โอย เขินเฉยเลยแม่ง

ส่งน้ำเปล่าเย็นๆ ให้คนบ้างานเสร็จผมก็พาตัวเองเข้าครัวอีกครั้งเพื่อหาอุปกรณ์ที่อยู่บนตู้บิวท์อินน์เหนือศีรษะ เปิดประตูปุ๊บก็เจอเข้ากับชะเซนที่ใช้สำหรับคนผงชาให้เข้ากัน ถัดไปด้านข้างเป็นชะวังหรือถ้วยสำหรับใส่น้ำชา และมีชะคุฉะหรือช้อนไม้ไผ่อยู่ในนั้น ส่วนชะคะมะ (กาใส่น้ำร้อน) และนัทสึเมะ (โถใส่ชา) อยู่บนเค้าน์เตอร์ด้านล่าง

ผมหยิบทุกอย่างที่ต้องการวางในถาดไม้แล้วยกไปตั้งเตรียมไว้ไม่ไกลจากที่พี่ยูนั่ง เขาเหลือบมองกันเล็กน้อยพลางส่งยิ้มให้แล้วขยับปากขอเวลาอีกสิบนาทีเพื่อเคลียร์งานเอกสารบนหน้าจอโน้ตบุ๊ค ถ้ารู้ว่ามาเที่ยวยังจะมีงานตามมาด้วยคงให้ปิดทุกช่องทางการติดต่อ ปลีกวิเวกอยู่กันแค่สองคนก็พอ

“งานด่วนเหรอ?” ผมนั่งลงข้างๆ เขาแล้วเอ่ยปากถามทั้งที่ก็พอได้ยินมาบ้างว่าทางฝั่งนู้นโทรมาปรึกษาเรื่องอะไร ขอสิทธิพิเศษที่คล้ายกับว่าให้พักฟรีกินฟรีนี่... โคตรเอาเปรียบคนทำธุรกิจเลยว่ะ แต่ทำไงได้เมื่อลูกค้าวีไอพีโคตรๆ

“นิดหน่อยครับ เบื่อหรือเปล่า?” พี่ยูเบนสายตาจากจอสี่เหลี่ยมมามองกันด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าก่อนส่งรอยยิ้มหวานไปให้ เขาอุตส่าห์สละเวลาอันมีค่าข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อพาเที่ยวขนาดนี้จะรู้สึกเบื่อได้ยังไงกัน แค่นอยด์นิดหน่อยที่งานยังตามมาหลอกหลอน

“ไม่ครับ แต่ช่วยดูให้หน่อยว่าผมเตรียมของครบหรือยัง?” ผมขยับถาดอุปกรณ์ไปให้พี่ยูตรวจความถูกต้อง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันใดเหมือนกำลังใช้ความคิด หยิบนั่นจับนี่ไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงอืออาในลำคอ

“อ่า... ขาดชะคิงกับฮิชะคุครับ” ชะคิงคือผ้าที่ทำจากป่านใช้เช็ดทำความสะอาดรอบถ้วยชา ส่วนฮิชะคุถ้าจำไม่ผิดจะเป็นที่ตักน้ำสำหรับชงชา

“อ้อ โอเคครับ พี่ทำงานต่อเถอะ ผมรอได้” แล้วผมก็ให้กำลังใจเข้าด้วยการขยับเข้าไปหอมแก้มก่อนจะผละออกมาหยิบของที่ขาดด้วยหัวใจเต้นรัว โอย หน้าด้านเกินไปแล้งไอ้ปัณณ์เอ๊ย เรียนชงชาคงไม่ต้องแล้วมั้ง

ครบสิบนาทีตามที่พี่ยูขอเอาไว้เขาก็เดินมาสะกิดไหล่ผมที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงชานบ้านให้เข้าไปเตรียมตัว เราทิ้งตัวลงบนฟูกในท่านั่งทับส้นเท้าโดยมีโต๊ะตัวเตี้ยคั่นอยู่ตรงกลาง เขาเริ่มอธิบายวิธีใช้อุปกรณ์ต่างๆ และสอนวิธีทำคร่าวๆ ก่อนจะให้ลงมือทำ

“จำได้ใช่ไหมครับว่าต้องทำอะไรก่อน?” พี่ยูถามพลางจ้องเขม็ง ผมพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบเพราะบันทึกข้อมูลทุกอย่างลงในสมองจนจำได้ขึ้นใจ แค่ชงชามันจะไปยากอะไร

“ถ้าพลาดพี่จะทำโทษนะ” คนสอนหรี่ตามองพลางยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมเริ่มหวั่นใจ ไอ้ความจำดีๆ เริ่มติดขัด มัน... ต้องเริ่มทำอะไรก่อนวะ ฉิบหาย ก็ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะโดนทำโทษนี่ โอย เกลียดพี่ยู!

“เฮ้ย... อนุโลมบ้างสิครับ ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรกนะ” ผมเริ่มโวยวายตอนที่เขาส่งโถชามาตรงหน้า ขณะยื่นมือไปรับก็สังเกตได้ว่ามันสั่นกึกๆ จนโดนอีกฝ่ายหัวเราะ ถ้าจะจ้องจับผิดกันขนาดนี้ก็พุ่งเข้ามาทำโทษเลยเหอะ

“ถ้ามั่นใจว่าทำได้ก็ไม่ต้องกลัวนี่ครับ” มีเกทับ ถ้าไม่เกรงใจว่าพี่ยูแก่กว่าจะถีบให้กระเด็นออกไปนอกบ้านเลย แม่ง!

“คนเราตื่นเต้นเดี๋ยวมันก็ลืม” ผมบ่นงุ้งงิ้งก่อนจะเริ่มคิดทบทวนถึงขั้นตอนการชงชาที่ได้รับฟังไปคร่าวๆ เมื่อครู่ โอย ลืมแล้ว!

“ลืมก็ลงโทษไงครับ” ย้ำจังเนอะ แล้วจะยิ้มกริ่มเพื่ออะไร ไม่ชงแล้วได้ไหมชาเนี่ย

“จะ จะลงโทษยังไง?” แต่ปากก็ไวจนหลุดถาม ดวงตาที่มองเขานั้นเริ่มมีแววระวังตัว แย่แน่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้น พี่ยูก็เป็นคนหื่นพอสมควรนะเว้ย

“ผิดหนึ่งขั้นตอนจูบหนึ่งครั้ง”

กู-ว่า-แล้ว!

“พี่ยู!” ผมตะโกนร้องด้วยความตกใจก่อนจะลุกขึ้นเพื่อหนีแต่พี่ยูคว้าต้นแขนไว้แล้วพูดด้วยเสียงเนิบนาบที่ฟังแล้วหัวใจกลับร้อนรุ่ม โอย พลาด!

“หึหึ เริ่มเถอะครับ เดี๋ยวหมดเวลานะ”

จากการที่โดนข่มขู่ก็กลายเป็นว่าระแวงทำผิดๆ ถูกๆ โดยจูบไปก็หลายครั้งเกือบจบลงบนเสื่อทาทามิในตอนกลางวันแสกๆ แต่ดีหน่อยที่เสียงโทรศัพท์ของพี่ยูดังขึ้นเป็นสายจากน้องชายสุดที่รัก เอย์จิโวยวายยกใหญ่ว่าทำไมปล่อยให้ไอ้ทอยติดต่อเขาได้ ว่านู่นด่านี่จนโดนตะคอกว่า ‘แล้วมึงยังชอบเขาอยู่ไหมล่ะ?’ เออ จบ ไร้ซึ่งการเถียงกลับ

ช่วงเที่ยงคุณเชฟยูโชว์ฝีมือทำอาหารสไตล์อิตาลีขัดกับบรรยากาศตัวบ้านแต่รสชาติกลับกลมกลืนและลงตัวอย่างเหลือเชื่อ ผมกินจนเกลี้ยงแถมบนว่าไม่อิ่มจนโดนอีกคนเสนอ ‘ไส้กรอก’ คือ... คิดเหรอว่าไม่รู้ความหมายแฝง เดี๋ยวเฉือนให้เป็ดเลยนี่ หื่นนักหนา

“ไปไกลๆ เลย จะหื่นอะไรนักหนาครับ?” ผมผลักหน้าพี่ยูออกไปห่างๆ เมื่อเขาขยับเข้ามาเสนอขาย ‘ไส้กรอก’ ส่วนตัวให้กันด้วยใบหน้าระรื่นพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ สรุปได้ว่าแค่แกล้งกันเล่นใช่ไหมชอบทำให้เสียวไส้ทุกทีเลย

“ก็อยู่ใกล้แฟนมันต้องมีบ้างสิครับ” คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น สงสัยมานานแล้วว่าเสือผู้หญิงอย่างเขาจะเปลี่ยนความรู้สึกทางเพศได้เหรอ อันนี้จริงจังเพราะในอนาคตมันคงเกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ของเรา

“ผมถามหน่อยเหอะ พี่ยูมีอารมณ์กับผู้ชายได้จริงๆ เหรอ?”

“ลองพิสูจน์ดูไหมล่ะครับ?” พี่ยูพูดน้ำเสียงเนิบนาบแต่ดวงตากลับเป็นประกายวิบวับจนผมทำตัวไม่ถูก อันที่จริงลึกๆ มันก็อยากรู้ว่าเขาเปลี่ยนได้จริงไหม อืม ไม่เสี่ยงดีกว่าว่ะ ยังไม่พร้อมเสียตัว!

“ผม... ไปเปลี่ยนชุดดีกว่า” แล้วผมก็วิ่งหนีเขาไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องน้ำ เฮ้อ ดูท่าทางแล้วทริปเที่ยวครั้งนี้คงมีคนเสียเลือดเสียเนื้อเพราะความอยากรู้แน่นอน

วันนี้พี่ยูก็ยังอาสาขับรถเองเพราะมันสะดวกกว่าเวลาคิดอยากจะไปไหนหรือเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ผมเหลือบมองคนข้างตัวก่อนก้มมองสภาพตัวเองด้วยความขัดเขิน ไม่คุ้นชินกับชุดยูกาตะเลยสักนิดอีกอย่างคือรู้สึกโล่งชอบกล

“พี่ยู...” ผมเรียกคนข้างๆ เสียงเบาเมื่อการจราจรเริ่มติดขัดเพราะใกล้ถึงสถานที่จัดงานทานาบาตะเข้าไปทุกที ไอ้ความมั่นหน้ามั่นใจในการใส่ชุดที่ไม่มีอยู่แล้วทำให้อยากวิ่งลงไปถอดทิ้งเหลือเกิน มันดูอินเกินไปหรือเปล่าวะ

“ครับ?” เสียงขานรับมาพร้อมกับการเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ดวงตาคมมองไล่ตั้งแต่ใบหน้าของผมไปจนถึงช่วงขาก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะผุดตรงมุมปาก คืออะไรยังไงวะ คนยิ่งประหม่าอยู่ด้วย เดี๋ยวเตะเลยนี่!

“เปลี่ยนชุดได้ปะ มันไม่ชินเลยพี่ยู” ผมตามเสียงอ้อมแอ้มแล้วดึงสาบชุดด้านบนด้วยความไม่มั่นใจ ยอมรับว่าสวยแถมส่องกระจกดูก็โอเค แต่เวลายืนข้างๆ พี่ยูมันเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายรับน้อยๆ ทั้งหุ่นและสีเสื้อผ้า โอย แม่ง ถึงจะรับรู้ได้ลึกๆ ว่าอะไรคืออะไรแต่ก็เสียเซลฟ์ไง เคยรุกชาวบ้านมาตลอดงี้ ฮือ ร้องไห้ได้ไหมล่ะ

“เปลี่ยนทำไมครับ เสียเวลาออก”

“ไม่นานครับ ถ้าพี่อนุญาตให้เปลี่ยน” ถอดในรถก็ได้เหอะถ้าพี่ยูไม่คิดอกุศลล่ะนะ แต่คำตอบที่ได้กลับมามันทำให้มือไม้อ่อนนี่สิ เวรเอ๊ย

“พี่ไม่อนุญาตครับ แบบนี้ก็น่ารักดีแล้ว” เขามองผมด้วยดวงตาแวววาวพร้อมรอยยิ้มหวานอีกครั้ง แต่ก่อนเคยหงุดหงิดกับคำชมว่าน่ารักจนต้องด่าใครๆ กลับแต่เมื่อคนพูดเป็นพี่ยูมันก็รื่นหูขึ้นมาซะอย่างนั้น แถมรู้สึกเขินจนแก้มร้อน

“พี่...” เสียงอ่อยอย่างกับคนกำลังจะหมดแรง โอ๊ย เกลียดตัวเอง

“เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงที่จอดรถแล้วครับ เดี๋ยวเดินไปสักนิดก็เข้างานได้เลย” พี่ยูชวนคุยเรื่องอื่นแล้วชี้ที่ทางในการจอดรถให้ผมดูเหมือนก่อนหน้านั้นไม่เคยพูดอะไรให้คนอื่นชวนเคย มันเป็นธรรมชาติจนบรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลาย ก็เป็นซะอย่างนี้ไม่รักก็แย่แล้ว

เวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว บริเวณภายในงานเลยมีการเปิดไฟประดับให้แสงสว่างแก่ผู้เยี่ยมชม ร้านค้าสองข้างทางมีทั้งอาหารพื้นเมืองและสมัยใหม่รวมถึงแผงเล่นเกม สินค้างานฝีมือต่างๆ ไปตลอดสาย ผมตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นเป็นครั้งแรกเพราะมาญี่ปุ่นทีไรก็ไม่เคยเที่ยวเทศกาลแบบนี้สักที

“ไปเขียนกระดาษขอพรกันครับ” พี่ยูดึงผมกลับสู่ด้านหน้างานที่วุ่นวาย ใกล้ๆ กับที่เรายืนอยู่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งประดับด้วยกระดาษหลากสีห้อยอยู่เต็มต้น น่าถ่ายรูปเก็บไปฝากริวแต่ทำไมมือมันรู้สึกอุ่นๆ วะ หืม...

“ครับ แต่ว่า... ไม่ต้องจับมือก็ได้มั้ง” ผมก้มลงมองมือตัวเองด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ถามว่าชอบไหมที่พี่ยูทำอย่างนี้ ก็คงตอบได้ว่าโคตรชอบแต่นี่มันที่สาธารณะกลางเมืองญี่ปุ่นคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็โดนมองจนจะพรุนไปทั้งตัวแล้วเนี่ย

“ไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ พี่อยากทำตัวให้เหมือนแฟนจริงๆ บ้างก็เท่านั้นเอง” เขาบอกพร้อมกระชับมือของเราทั้งคู่ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมมองตรงมาเหมือนจะขอความคิดเห็นซึ่งผมก็ทำได้แค่เบนหน้าหนีเพราะเขิน ตอนนี้ขอทำตัวเป็นแฟนกันจริงๆ สักทีเถอะ ที่ผ่านมาก็มีแต่คนทักว่าเป็นพี่น้องกันก็ปวดใจจะแย่ บางทีเดินห้างมีสาวเข้ามาขอเบอร์โทร ขอไลน์ ทำได้ดีที่สุดแค่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลทั้งที่หวงกันมาก

“ตะ ตามใจ” ไม่พูดหรอกว่าอยากให้จับมือเดินเที่ยวงานน่ะ อายจะตาย!

ผมโดนยัดเยียดกระดาษแผ่นยาวสีชมพูสดใสใส่มือทั้งที่อยากถามหาความหมายของสีอื่นๆ จากคนดูแลแต่พี่ยูไม่ยอมเพราะจะให้ขอพรเรื่องความรักลูกเดียว แถมยังให้เหตุผลอีกว่ากลัวสักวันหนึ่งหัวใจของเราจะไม่ตรงกันอีกเลยอยากให้มีอะไรบางอย่างเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ความคิดของเขาเหมือนเด็กๆ แต่ก็ยอมรับว่าทำให้ยิ้มได้ไม่ยาก ก็มันน่ารัก... แม่ง อย่าด่าเลยว่าเห่อแฟนเดี๋ยวแก้ตัวไม่ทัน

หลังจากเดินเที่ยวงานด้วยความตื่นเต้นบวกกับความแฟนในการจับมือแล้วนั้นทำให้โดนชาวบ้านมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันไปแต่พวกเราเลือกที่จะเมินและสนใจความสุขของตัวเองเป็นหลัก แวะซื้อขนมบ้าง อาหารบ้าง ของฝากกระจุกกระจิกบ้าง จนสุดท้ายก็มานั่งเล่นอยู่ริมแม่น้ำใกล้สถานที่จุดพลุ

ผมจิ้มดังโงะเข้าปากคำแล้วคำเล่าในขณะที่พี่ยูเอาแต่คุยโทรศัพท์กับใครบางคนที่เป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ชาย มันก็ดูปกติดีถ้าไม่ติดว่าเขาคนนั้นชอบเพื่อนตัวเอง เฮ้อ เมื่อไหร่จะวางสักทีเนี่ย

ถาดยากิโซบะที่ปล่อยเย็นชืดอยู่ตรงหน้าทำให้ผมเกิดความคิดดีๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาแล้วคีบเส้นยาวยืดจ่อปากพี่ยู เขาผงะถอยแล้วสายหน้าพรืดพลางชี้ไปที่โทรศัพท์เป็นทำนองว่าคุยอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้และเริ่มหงุดหงิดคนในสายเพราะเริ่มส่งเสียงออดอ้อนแปลกๆ คล้ายกำลังนั่งดื่มอยู่ตรงไหนสักที่ใกล้ๆ ใครมันจะปล่อยแฟนตัวเองไปให้เสือล่ะ ยัดเข้าปากแม่ง!

“อือ!” พี่ยูส่งเสียงครางเมื่อยากิโซบะถูกยัดเข้าปากไปจนได้ สีหน้าเขาดูไม่พอใจแต่ก็ยอมเคี้ยวหงับๆ อยู่ดี ส่วนผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเลื่อนตะเกียบคู่เดิมมาเลียแล้วคีบเส้นยาวๆ ใส่ปากบ้าง อืม... อร่อยกว่าคุยกับไอ้คิตะอะไรนั่นอีก หึ!

“แสบนักนะ” ได้ยินเสียงพึมพำภาษาไทยเบาๆ จากพี่ยูผมเลยเหลือบตามองเขาแล้วทำเป็นไม่สนใจพลางเปลี่ยนไปจิ้มดังโงะขึ้นมากินต่อ แต่เพราะท่าทางกวนตีนหรืออะไรสีกอย่างเลยทำให้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์ถึงกับพาดแขนหนักๆ ลงบนไหล่แล้วกระชับรั้งกันเข้าสู่อ้อมแขน กอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวจะหาย

“จะมากอดทำไมครับ ก็คุยกับเพื่อนไปสิ” ผมบ่นแล้วพยายามผละตัวออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอมแถมยังปล่อยโทรศัพท์วางทิ้งไว้บนตักแล้วรวบกอดกันทั้งตัว โอย ถึงตรงนี้จะมืดแต่ก็ไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้หรือเปล่า อายคนเว้ย!

“รู้ว่าหวง” พี่ยูแม่งมีพรายกระซิบหรือไง จะรู้ไปหมดทุกเรื่องแบบนี้ไม่ได้ปะวะ ผมอุตส่าห์คีพลุคเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผล ไม่งอแงกับเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น

“สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่าครับ?” ผมตีมึนแล้วถามกลับด้วยเสียงเรียบแล้วหยุดขัดขืนอ้อมกอดอุ่นๆ นั่น ยอมนั่งนิ่งให้พี่ยูได้ทำตามใจเพื่อไม่แสดงพิรุธไปมากกว่าเก่า

“พูดจาแบบนี้แถมหึงให้ด้วยอีกข้อ” พี่ยูขยับเข้ามาเอาแก้มแนบจนผมเผลอสะดุ้งเบิกตาโตตกใจทั้งคำพูดและการกระทำ มันจะรู้มากเกินไปแล้ว แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ โอย อยากกลับบ้านเว้ย แยกห้องนอนด้วย!

“พี่ยู!” ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดแล้วหันไปถลึงตาใส่ ตอนนี้รู้สึกเหมือนแก้มและหูร้อนไปหมด ทั้งอายทั้งโมโหที่ถูกจับไต๋ได้ เถียงก็ไม่ออกได้แต่กำชุดยูกาตะแน่น

“ก็แค่คนที่เคยชอบพี่ ไม่มีความสำคัญมากไปกว่าปัณณ์หรอกครับ” น้ำเสียงแผ่วแต่มั่นคงดังออกมาจากริมฝีปากหยักที่กำลังขยับยิ้มบาง ทุกคำที่ได้ยินสามารถเชื่อได้อย่างไม่มีข้อกังขาแต่ผมกลับปฏิเสธมันแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก็ถ้าพี่คิตะไม่สำคัญจะคุยด้วยทำไมตั้งนาน แถมไม่สนใจกันอีกต่างหาก พอเรียกทีก็เลิกคิ้วทีขมวดคิ้วทีจนไม่แน่ใจว่าใครเป็นแฟนใครกันแน่ แม่ง น้อยใจอะ

“แน่ใจเหรอครับ? คุยกันมาเกือบชั่วโมงแล้วนี่” ไหนๆ พี่ยูก็รู้แล้วผมก็จะไม่ปิดบัง ถามจบก็เริ่มออกเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำ พยายามดื่มด่ำบรรยากาศสดชื่นยามค่ำคืน มองฟ้ามองต้นหญ้าเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องพ

“อืม ก็ต้องเคลียร์กับคิตะให้รู้เรื่องสิครับ ในเมื่อเขาชวนพี่ไป ‘นอน’ ด้วยกัน” พี่ยูเน้นหนักตรงคำว่านอนจนผมต้องหันไปตีหน้ายักษ์ใส่เขาที่เดินตามกันมา นี่ขนาดไปอยู่ไทยตั้งหลายปียังฮอตกับเพื่อนเก่าเหรอ จะมากไปแล้วปะวะ

“นอนกับผมดีกว่าอีก” ผมกัดฟันกรอดแล้วพูดด้วยเสียงคลุมเครือจนแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะพิสูจน์ได้จากหัวคิ้วของพี่ยูที่ขมวดเข้าหากันแน่นแล้วเอียงคอมองด้วยความสงสัย แม่ง ไม่น่าพูดออกไปเลย กลัวว่าเวอร์จิ้นประตูหลังจะไม่พ้นคืนนี้

“ปัณณ์ว่าอะไรนะครับ?”

“พี่ยูนอนกับผมดีกว่า!” เออ แล้วผมจะตะโกนอีดหน้าเขาทำไมเนี่ย ดูสิ พี่ยูขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเลยเหอะ ผมรุกแรงไปใช่ไหม ขอโทษ...

“หมายความว่า...”

“คืนนี้มาลองขยับความสัมพันธ์กันเถอะ” ไอ้ปัณณ์เป็นเด็กใจแตก!

ตั้งแต่หลุดพูดประโยคนั้นออกไปพวกเราก็เงียบใส่กันแม้กระทั่งตอนที่พลุดังปึงปังกระจายตัวอยู่บนท้องฟ้า มีเหลือบสายตามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสู่อาการเดิมเหมือนต่างคนต่างทำตัวไม่ถูก จนขึ้นรถขับออกมาจากงาน ถึงบ้านก็แล้ว... อึดอัดว่ะ

“พี่...” พอผมเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างที่เรานั่งข้างๆ กันบนเตียงในชุดยูกาตะตัวเดิม อีกฝ่ายก็ถามสวนขึ้นมาในจังหวะเดียวกันเหมือนรู้ว่าบทสนทนาต่อไปจะเป็นยังไง โธ่ แบบนี้ก็อึดอัดไม่หายน่ะสิ มันไม่เคลียร์ไง

“พรุ่งนี้เราไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์กันไหม?” เขาเอ่ยชวนทั้งที่สายตามองตรงไปยังสวนกลางบ้านเหมือนมันน่าสนใจนักหนา มืดก็มืดมันจะไปสวยได้ยังไงเล่า ทำแบบนี้มีพิรุธไม่รู้หรือไง

“เอ่อ... ชวนอย่างกับผมเป็นริวเลย” ผมหัวเราะแห้งก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงเพื่อลอบมองแผ่นหลังกว่าแสนอบอุ่นนั่น เดาได้ว่าพี่ยูคงคิดไม่ตกกับเรื่องขยับความสัมพันธ์เพราะก่อนหน้านี้เราเหยียบคำว่าเซ็กซ์ในจมอยู่ใต้เท้าเพื่อรอเวลาแห่งความพร้อม

“เผื่ออยากไปเที่ยวแบบเด็กๆ ไง”

“ผมไม่เด็กแล้วนะครับ” ผมผุดลุกขึ้นแล้วใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของพี่ยูให้หันมาสบตากัน เขาระบายยิ้มก่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ขยับแนบชิดจนปลายจมูกของเราแตะเพียงแผ่วเบา แต่แค่นี้ก็พาลให้หัวใจเต้นตุบๆ ได้ไม่ยากเลย

“งั้นเหรอ?” พี่ยูถามก่อนจะผละออกไปเหมือนพยายามบังคับอารมณ์ตัวเองให้ดูปกติทั้งที่จริงแล้วดวงตาของเขามีแววกังวลแฝงกับความอยาก... ก็อย่างว่านั่นล่ะ

“พิสูจน์ไหมล่ะครับ?” ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพราะพี่ยูคงไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าการกอดจูบถ้าไม่ได้รับอนุญาตอย่างจริงจัง นี่ล่ะที่ใครหลายๆ คนบอกไว้ว่าความรักมักมาพร้อมความกลัว ถ้าเผลอทำอะไรไม่ถูกใจอีกฝ่ายก็ระแวงกับระดับความรู้สึกที่อาจลดลงได้

“จะทำอะไร?” เขาตวัดสายตามองผมก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะบังคับให้นอนราบไปกับเตียง

“ก็...” เออ ผมพูดไม่ออกเลยแต่แต่กระพริบตาปริบๆ แล้วเม้มปากแน่น โอย เขินสัด หน้าจะไหม้แล้ว

“เรื่องนั้น... จะทำจริงๆ เหรอ?” แต่ไอ้คนที่จู่โจมน่ะสิ กลับเอ่ยปากถามกันตรงๆ จนผมตั้งตัวไม่ถูก

“ครับ?”

“ขยับความสัมพันธ์น่ะ”

“อ๋อ ถ้าผมพูดว่าล้อเล่นพี่จะ...” ผมลองเชิง แต่คงผิดจังหวะไปหน่อยเมื่อดวงตาคมฉายแววหงุดหงิดแถมเขายังขยับเข้ามาเบียดจนลำตัวแนบชิด อ่า ตายไม่ตายล่ะงานนี้

“พี่ไม่รอแล้วได้ไหมครับ?” น้ำเสียงกระเส่าจนจับความรู้สึกได้ว่าคืนนี้ผมไม่รอดแน่ๆ แต่ยังนับถือใจพี่ยูนะที่ยังมีการร้องขอทั้งที่พร้อมขย้ำเหยื่อทุกเวลาแบบนี้

“.....” ผมเลือกเงียบแล้วตอบในใจว่า ‘ก็ไม่ต้องรอสิครับ จะทำอะไรก็ทำ อ่อยแล้ว’ แต่มันกระดากปากไง เก็บไว้น่ะดีแล้ว

“จะด่าจะว่าพี่หื่นยังไงก็ได้ ทนไม่ไหวแล้วครับ” เขาพูดจบก็ผลักให้ผมนอนราบลงบนเตียงแล้วตามมาคร่อมกันไว้จนระยะห่างระหว่างเราเหลือแค่ความหนาของนิ้วที่สามารถผ่านได้ ด้วยความที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยใช้มือทั้งสองข้างดันหน้าอกอีกฝ่ายแล้วละล่ำละลักถามไม่เป็นภาษา ไอ้ความตั้งใจจะรุกเขาตอนนี้เท่ากับศูนย์

“เดี๋ยวสิ ทำไมอยู่ๆ ก็คึกขึ้นมาล่ะครับ?” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะปกติก็เห็นพี่ยูหื่นแต่ไม่เคยลงมือทำจริงจังขนาดนี้มาก่อน ถึงจะรู้สึก ‘อยาก’ มากก็จัดการตัวเองได้ไม่เคยงอแง แต่ครั้งนี้ทำไมล่ะ... เพราะความหึงหวงที่เผลอแสดงออกไปหรือเปล่า ไม่สิ บ้าน่า

ผมโดนพี่ยูจ้องนานนับนาทีโดยไม่ได้สัมผัสกันเลยสักนิดแต่ลมหายใจกลับแรงขึ้นๆ ทวีคูณบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นเหมือนฟองเบียร์สีขาวนุ่มกำลังไหลทะลักล้นแก้ว ดวงตาคมเริ่มขยับมองจากใบหน้าไล่ลงไปเรื่อยตามร่างกายอย่างละเอียดละออ ถ้าบอกว่าเริ่มเขินจะแปลกไหม สำรวจแบบนี้ก็แย่สิ

“พี่ขอสารภาพแบบลูกผู้ชายเลยแล้วกันว่า... ตั้งแต่เห็นปัณณ์ใส่ชุดยูกาตะก็มีอารมณ์ซะเฉยๆ รู้สึกว่าเร้าใจตอนจินตนาการว่าได้ถอดมันออก”

ไอ้เชี่ย... พี่ยูโรคจิต ก็ว่าทำไมคะยั้นคะยอให้ผมใส่ชุดนี้นัก แต่จะโกรธก็ไม่ได้ในเมื่อเขารู้สึกกับเราคนเดียวไม่ได้หื่นในคนใส่ยูกาตะไปทั่ว แม่ง ควรพูดอะไรต่อดีโอย แก้มร้อนมาก!

“อ่า... งะ งั้นก็ลองดูสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่ยูเปลี่ยนรสนิยมทางเพศได้จริงๆ ไหม?” ก็ถือซะว่าได้พิสูจน์ความกังวลใจของตัวเองไปด้วย ต่อจากนี้ความรักระหว่างเราต้องสดใสจนใครๆ อิจฉา ยกตัวอย่างเช่นไอ้ทอยกับเอย์จิเป็นไง ป่านนี้คงตีกันตายไปแล้วมั้ง

“ถ้าลุกไม่ไหวโทษพี่ไม่ได้นะครับ”
“ใครกันแน่ครับ หึ!” อย่าสบประมาทคนอย่างปัณณ์นะพี่ยู ใครดีใครได้ ผมเริ่มก่อนต้องได้รุกสิวะ ฮึบ!

ผมได้รุกจริงๆ นั่นล่ะ... ลุกขึ้นนั่งชันเข่าให้พี่ยูคนหื่นกามเปลื้องเสื้อผ้าอย่างช้าๆ แง้มทีละนิดละหน่อยให้หัวใจเต้นโครมครามเพราะมัวแต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะโป๊ ยิ่งพอเห็นสายตาซุกซนที่มองมาแล้วก็พาลเขินจนเนื้อตัวแดงไปหมด เปลี่ยนใจตอนนี้ได้ไหม ไม่เอาแล้วได้ไหม กลัวเนี่ย กลัว!

“ขาว” เอ่ยชมเมื่อตาเห็น

“เนียน” เอ่ยชมเมื่อได้สัมผัส

“นุ่ม” เอ่ยชมเมื่อได้บีบเค้น

“อร่อย” เอ่ยชมเมื่อลิ้นร้อนตวัดชิมผิวเนื้อและริมฝีปากประทับดูดดุนไปตามทุกส่วนของร่างกาย

“อะ อา...”

“น่ารัก” เอ่ยชมเมื่อยามที่ได้ยินเสียงร้องไม่เป็นภาษาซึ่งเกิดมาจากการเล้าโลมให้เสียวซ่านจนแทบขาดใจ




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
เขาจะรู้ตัวไหมว่ากำลังทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับทุกอย่างที่ถูกปรนเปรออย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ร่างกายขยับไปตามความต้องการของพี่ยูไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเพื่อเปิดทางสัมผัสให้มากยิ่งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนปลายเท้าและมือจิกเกร็งลงบนที่นอนเพื่อระบายความเสียว ผมเพิ่งตระหนักในตอนนี้เองว่าฝ่ายรับรู้สึกดีแค่ไหน ชักจะติดใจแล้วสิ...

“ผ่อนคลายนะครับปัณณ์” พี่ยูโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูเมื่อกำลังจะผ่านด้านการเล้าโลมไปสู่ขั้นถัดไปที่ผมรู้ดีว่ามันคือการเตรียมความพร้อมให้กับการตอบรับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเขาเข้ามาในตัว

ผมพยักหน้ารับแล้วพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกทำสมาธิให้ผ่อนคลายไม่กังวัลหรือกลัวกับความเจ็บที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มันยากเพราะสมองกลับคิดถึงเรื่องเก่าๆ ยามขึ้นเตียงกับคู่นอน บางคนบนว่าเจ็บจนจะขาดใจ บางคนเลือดออก บางคนคับแน่นจนไม่สามารถสอดใส่ได้แม้จะมีการเตรียมความพร้อมหรือใช้สารหล่อลื่นมากแค่ไหน แล้วไอ้คนที่รุกมาตลอดชีวิตคงทำใจลำบาก

“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้พี่หยุดก่อนก็ได้นะครับ” คำถามที่หลุดออกจากปากพี่ยูทำให้ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ กลัวว่าเขาจะผิดหวังทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นฝ่ายคะยั้นคะยอขอขยับความสัมพันธ์ ดวงตาคมฉายแววเป็นห่วงแต่ยังแฝงราคะไว้จนแน่น ถ้าตอบตกลงไปจริงๆ หลังจากนี้เรื่อฃบนเตียงคงยากขึ้น

ผมก็เป็นผู้ชายที่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาผัวพันกับชีวิตอยู่ตลอดเวลา จะทำเป็นไม่เข้าใจอารมณ์คนที่เป็นแฟนก็คงดูใจร้ายเกินไป เขาอยากไม่ใช่เรื่องผิด ฉะนั้นจึงไม่ควรล้มเลิกคืนนี้ทั้งที่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“ไม่ครับ ผมขอเวลาอีกนิดไม่เกินห้านาที”

“ครับ พี่รอได้ ให้ช่วยไหม?”

“อื้อ จูบหน่อย... นะครับ” ผมอ้อนขอด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและผลของมันคือใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มต่ำลงมาจนจรดริมฝีปากลงที่ตำแหน่งเดียวกัน ความอุ่นร้อนท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เสียงดูดดุน ความเปียกชื้น ลิ้นที่เกี่ยวตวัดกันไปมาแบบไม่มีใครยอมใครทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายลง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อนิ้วเรียวเริ่มขยับเข้าออกในช่องทางด้านหลัง มันช่างนุ่มนวลแต่ก็อึดอัดไปพร้อมกัน

ผมไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมีจุดกระสันตรงช่องทางด้านหลังเหมือนคู่นอนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเพราะมีความสุขหฤหรรษ์กับความเป็นชายอันน่าภาคภูมิใจมาตลอดยี่สิบเจ็ดปี แต่คืนนี้ทุกอย่างที่เคยเชื่อกลับตาลปัตรเมื่อความเป็นพี่ยูเริ่มชำแรกเข้ามาในสนามรบ ความรู้สึกเจ็บ จุกพุ่งทะยานเข้ากระแทกใส่กันไม่ยั้ง เสียงร้องครวญครางถูกระงับด้วยการปรนเปรอตรงยอดอกทั้งดูดทั้งเลียจนสามารถเบี่ยงเบนความสนใจ

‘มิดด้าม’ คำพูดเชิงลามกที่เคยได้ยินมานัดต่อนัดกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองด้วยความพยายามของพี่ยู ความเจ็บเริ่มเปลี่ยนเป็นชาชินจนเมื่อความเป็นชายเริ่มขยับเข้าออกภายในช่องทางอุ่นร้อนก็ถูกแทนที่ด้วยอาการ ‘เสียวกระสัน’ จนร่างกายบิดเร่าเพราะถูกกระแทกย้ำลงที่จุดอ่อนไหว ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีความปรานีใดๆ ครั้นจะให้หยุดก็คงทำใจไม่ได้ ก็มันติดรสสัมผัสนี้ไปแล้ว

“อ่า บะ เบาหน่อย” ผมร้องบอกคนด้านบนด้วยน้ำเสียงขาดห้วง น้ำตาหยาดใสไหลรดลงข้างแก้มเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับติดกันไว้เว้นระยะให้หายใจ จะตายอยู่แล้ว ช้าลงหน่อยก็เร้าใจไม่แพ้กันหรอกน่า

“เบาแค่ไหนครับ?” พี่ยูลดความเร็วลงจนผมแทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวทางด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มอ่อนโยนยามทอดสายตามองกัน อ่า... เขินฉิบหาย

“ระ เร็วขึ้นหน่อย อย่าแกล้งสิครับ” ผมรู้ว่าเขาแกล้งแต่ก็ต้องขอร้องอ้อนวอนไปตามประสาคนโดนกระทำเนื่องจากไม่ใช่ผู้คุมเกมในครั้งนี้ พี่ยูตอบรับด้วยการขยับสะโพกเร็วขึ้นอีกหนึ่งจังหวะซึ่งเป็นที่น่าพอใจจนอยากได้อีก นี่สินะที่ใครๆ เขาบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่โลภมากเท่าไหร่ไม่รู้จักพ

“อ๊ะ อืม ระ แรงอีกได้ไหม? จะเสร็จละ แล้ว” เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยขออีกครั้งเมื่อความอึดอัดตรงส่วนความเป็นชายมีมากขึ้นจนแทบระเบิดออกมา พี่ยูที่ขยับตัวอย่างหนักหน่วงพยักหน้ารับก่อนกระแทกลงมาไม่ยั้ง ความเสียวแล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกายทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งและนั่นทำให้พี่ยูถึงกับครางไม่เป็นภาษา บุกจู่โจมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า หนักขึ้น แรงขึ้นจนสุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน

ผมนอนหมดสภาพหลังจากผ่านสนามรบมาถึงสองรอบ คนที่ได้กำไรอย่างพี่ยูกลับยิ้มหน้าบานจนแก้มจะแตก น่าหมั่นไส้แต่ก็โกรธไม่ลงในเมื่อเป็นฝ่ายสมยอมและเริ่มก่อนซะเอง ความรู้สึกขัดเขินยังคงเจือจางเมื่อเราเผลอสบตากันได้ขณะที่กำลังทำความสะอาดร่างกายด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ

“อ้าขาออกหน่อยครับ พี่เช็ดไม่ถนัด” น้ำเสียงกึ่งสั่งกึ่งร้องขอดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ขาทั้งสองข้างขยับเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ ใครที่ไหนจะบ้าอ้าขาให้เขาดูตอนนี้ล่ะวะ แต่ลืมตัวไปว่าระบมอยู่ โอย เจ็บ!

“อะ...” เจ็บจนร้องไม่ออกแต่น้ำตาไหลเป็นทางจนเดือดร้อนให้พี่ยูรีบคว้าทิชชู่มาซับให้ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากเป็นการปลอบประโลม

“ขอโทษครับ พี่ไม่น่ารุนแรงเลย” ทำเสียงเป็นหมาหงอยขนาดนี้ใครจะไปด่าลงวะ

“ไม่ใช่ความผิดพี่สักหน่อย มานอนเถอะครับ ผมง่วงแล้ว” ผมเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนแกร่งแล้วใช้สายตามองไปที่ว่างข้างตัว ลงมานอนสักทีเถอะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว อยากกอด...

“แต่พี่ยังเช็ดตัวให้ปัณณ์...”

“ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ค่อยอาบน้ำ” ผมว่าก่อนจะรั้งแขนเขาแทนการขอร้องแล้วขยับเข้าไปกอดเมื่อพี่ยูทิ้งตัวลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว

“งั้น... ฝันดีนะครับปัณณ์” จบคำพูดนั้นผมก็ได้รับสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้มไล่ขึ้นมาจนถึงหน้าผาก อืม อุ่นจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จัง ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่ยู ไม่สิ รักเลยล่ะ

“อื้อ เหมือนกันครับ” โคตรมีความสุขเลย



-------------------------------------------------

จุดพลุกันหน่อยยย ความรักของพี่ยูกับน้องปัณณ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ฮึ้ยยย
ต่อไปก็ลุ้นคู่ทอยกับเอย์จิกันหน่อยเนอะ อีกแค่ 4 ตอนจะจบเรื่องแล้ว ฮึบๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด