จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง
หลังจากเลื่อนสถานะความสัมพันธ์สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือย้ายข้าวของส่วนตัวเข้าห้องนอนใหญ่โดยพี่ยูบอกว่าจะยกห้องนอนให้กับริว ตอนแรกค้านหัวชนฝาเพราะรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของคนเจ้าเล่ห์ แต่สุดท้ายก็แพ้ราบคาบเมื่อคุณป้าช่วยพูดอีกแรง ทำไมคนบ้านนี้ถึงได้สามัคคีกันนัก ขนาดเอย์จิยังไม่ห้ามเลย
ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าที่ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ในการไปส่งริวที่โรงเรียนเพราะเป็นช่วงเปิดเทอมแล้ว เด็กน้อยร้องไห้โยเยไม่ยอมลุกจากที่นอนต้องหลอกช่อกันแทบตายว่าช่วงบ่ายจะรับไปกินขนม ส่วนพี่ยูก็ให้พักผ่อนเต็มที่เนื่องจากต้องเข้าประชุมสรุปผลประกอบการโรงแรมประจำเดือนนี้
“น้าปัณณ์ หาว ~” เจ้าตัวแสบเอ่ยเรียกชื่อกันในขณะที่ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่ในครัว ไอ้เสียงหาวตบท้ายนั้นช่างน่าเอ็นดูจนอดหัวเราะไม่ได้ จะไหวไหมครับวันนี้ หรือต้องตรงดิ่งไปรับที่โรงเรียนตั้งแต่ตอนเที่ยง
“ครับริว รอก่อนนะ ไข่ยังไม่สุกเลย” ผมตอบกลับไปก่อนใช้ตะหลิวพลิกไข่ดาวในกระทะแล้วยืนรอจนมันสุกทั่วใบ ระหว่างนั้นก็แอบมองริวที่นั่งรออยู่บนโซฟาด้วยความเอ็นดู เอ๊ะ ทำไมเอย์จิถึงตื่นไว ออกจากห้องมาทั้งหัวฟูๆ สภาพดูไม่สมกับเป็นนายแบบเลย
“อาจิ ~ อย่าทับ ริวหนัก” เจ้าตัวแสบบ่นงุ้งงิ้งเมื่อหัวทุยๆ ของเอย์จิเอนลงบนตัก มือเล็กทั้งทุบทั้งตีแต่คนเป็นอากลับนิ่งเฉยแถมหลับตาพริ้มเหมือนสบายเต็มที่ ตื่นมาก็แกล้งหลานเลยเนอะคนเรา
“เอย์จิ อย่าแกล้งหลานสิ” ผมตะโกนเสียงดุกึ่งเล่นกึ่งจริงก่อนจะหันไปตักไข่ดาวใส่จานแล้วต่อด้วยการปิ้งขนมปังเพื่อทาแยมส้มที่หลาน
“เราไม่แกล้งหลานก็ได้ แต่จะแกล้งปัณณ์แทน” เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนแทบประชิดตัว ผมหันขวับไปถลึงตาใส่คนขี้แกล้งแต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นใครอีกคนอยู่ด้านหลังเอย์จิ ทำไมวันนี้ขยันตื่นเช้ากันจังวะ
“ถอยออกมาเลย อย่าเข้าใกล้ปัณณ์ให้มันมากนัก” เสียงทุ้มตืดแหบเพราะเพิ่งตื่นนอนนั่นฟังดูโคตรเซ็กซี่แต่การกระทำที่ดึงคอเสื้อด้านหลังของเอย์จิแล้วดึงตัวออกห่างจากผมนั้นดูดิบเถื่อนดีจริงๆ คนอะไรขี้หวงแม้แต่น้องตัวเองยังไม่เว้น โธ่ นี่ถ้าคู่นอนเก่ากลับมาทักทายกันคงโดยปิดกั้นการติดต่อทุกช่องทางแน่นอน
“คนแก่ขี้หวง!” เอย์จิโวยวายก่อนจะฟาดมือใส่พี่ชายไม่ยั้ง จากที่ดึงคอเสื้อกลายเป็นว่าถูกรวบกอดไว้แนบอก สุดท้ายก็ยอมแพ้แรงพี่ยูแล้วยอมอยู่นิ่งๆ
“แฟนพี่ พี่จะหวงก็ไม่แปลกหรือเปล่าวะ?” พี่ยูก้มลงถามคนในอ้อมกอดก่อนที่มือใหญ่จะยกขึ้นขยี้หัวขนน้องจนมันยุ่งเหยิงกว่าเดิม ผมมองภาพนั้นแล้วหลุดยิ้มออกมา ก็น่ารักดี พาลให้คิดถึงพี่ป่านเลยว่ะ
“หึ แต่ก่อนปัณณ์จะไปไหนกับใครไม่เห็นสนใจ” เอย์จิผละตัวออกแล้วกอดอกจ้องหน้าคนพี่เขม็งแถมด้วยการเดินมาอยู่ข้างกันในขณะที่ผมกำลังหยิบขนมปังออกจากเครื่องปิ้ง จะเบียดจนสิงเข้ามาในตัวเลยไหมเนี่ย
“สนใจสิ แต่ตอนนั้นเป็นแค่พี่น้องกันนี่” พี่ยูตอบกลับเหมือนทั้งห้องครัวมีกันแค่สองคนส่วนผมเป็นอากาศธาตุที่ไม่รับรู้เรื่องราว บางทีเกรงใจคนฟังบ้างก็ได้ หัวใจปั่นป่วนไปหมดแล้วเนี่ย ริวก็ไม่ได้ช่วยกันเลย เอาแต่ดูการ์ตูนสบายใจเฉิบ
“เอ้อ ใช่สิ ตอนนี้คบกันแล้วนี่ ถ้าผมจีบปัณณ์พี่ไม่มีทางสมหวังหรอก” เอ้า... เอาเข้าไป ผมหนีไปทาแยมขนมปังแล้วยกไปกินกับริวที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า ยังไม่อยากเป็นคนกลางระหว่างศึกชิงนายหรอกนะ
“ทำไมวันนี้แกพาลคนอื่นไปเรื่อยหืม?” แต่คำถามนั้นทำให้ผมหยุดชะงักเท้า อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้เอย์จิตื่นเข้าทั้งที่ไม่มีงานแถมยังแกล้งคนนั้นทีคนนี้ทีเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ
“ก็มันเบื่อๆ อะ เดี๋ยวว่าจะออกไปส่งริวกับปัณณ์ด้วย” หืม ทำไมอยู่ๆ ก็มีกะจิตกะใจไปส่งหลานวะ ปกติเอาแต่นอนอุตุ แปลก... แต่ช่างมันเถอะ คงเบื่อจะอยู่บ้านคนเดียวล่ะมั้ง
“งั้นก็รีบไปอาบน้ำสิ นี่หกโมงกว่าแล้ว” พี่ยูโบกมือไล่ เอย์จิพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งไปทางห้องน้ำแต่ไม่วายตะโกนดังลั่นบ้าน
“ระหว่างผมอาบน้ำห้ามทำอะไรปัณณ์นะ!”
“เรื่องของพี่!” ทำไมพี่โต้ตอบเอย์จิแบบนั้นเล่า เฮ้อ ผมควรใส่เครื่องป้องกันเวลาอยู่กับเขาสองคนหรือเปล่าเนี่ย เสี่ยงต่อการโดนล่อลวงไปปล้ำจริงๆ เลย
“ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เลยนะครับ” ผมเอ่ยแซวคนที่ปิดปากหาวอยู่ด้านหลังแล้วเริ่มทาแยมบนขนมปังอีกคู่ซึ่งเป็นของตัวเอง
“สีสันของชีวิตน่ะ พอให้กระชุ่มกระชวย” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้หูก่อนที่แก้มจะร้อนวูบขึ้นมาเพราะโดนปลายจมูกโด่งสัมผัส โอย เกือบคำมีดปาดเนยตกใส่เท้าแล้วไหมล่ะ เล่นอะไรของเขาเนี่ย เผลอไม่ได้เลยเว้ย
“อะ แค่พูดก็ได้มั้งครับ หอมแก้มผมทำไมเนี่ย?” ผมบ่นไม่จริงจังนักก่อนจะหยิบจานอาหารเช้าแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนเจ้าเล่ห์ แต่คงคิดผิดในเมื่อใบหน้าหล่อๆ โน้มเข้ามาใกล้จนเห็นแพขนตายาวได้ชัดเจน ถ้าห้ามใจไม่อยู่แล้วประกบจูบซะดีไหม ริวก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว หึ อ่อยจริงอ่อยจังก็พี่ยูนี่ล่ะ
“วิธีนี้ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นไง มีแรงทนนั่งประชุมทั้งวันเลย” ไม่พูดเปล่ายังจะเอาจมูกมาดุนดันซอกคออีก ผมก็ผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย โอย แต่ต้องท่องไว้ว่าหน้าที่เลี้ยงหลานสำคัญกว่า ผลักหัวแม่ง
“เลิกหยอดได้แล้วมั้งครับ” ผมขยับตัวออกจากรัศมีของพี่ยูแล้วรีบยกจานอาหารเช้าไปให้ริวที่นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่บนโซฟาเนื่องจากดูการ์ตูน
“ทำไมครับ ปัณณ์เขินเหรอ?” พี่ยูยังคงไม่ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ตามมาหลอกหลอนแถมนั่งเบียดลงข้างๆ กัน จะขยับหนีก็ติดที่ริวซึ่งเริ่มหยิบขนมปังใส่ปาก ไม่อายลูกบ้างหรือไงวะ ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้
“หน้าร้อนจะไหม้แล้วล่ะครับ” ผมกัดฟันพูดแล้วหันไปแยกเขียวใส่คนที่นั่งอยู่บนพนักวางแขน ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มหวานแถมด้วยการวางมือลงบนแก้มออกแรงบีบเบาๆ คล้ายมันเขี้ยว
“หึหึ ถ้าไม่ติดว่าปัณณ์ต้องไปส่งลูกนะ พี่ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก” เสียงกระซิบแหบพร่าข้างหูทำให้ผมผละตัวออกแล้วเอนไปทางริวก่อนหันไปจ้องดวงตาคมที่มีความเจ้าเล่ห์ฉายชัดอยู่ในนั้น
“หืม จะทำอะไรผมเหรอ?” แสร้งทำใจดีสู้เสือทั้งที่ข้างในรู้สึกหวั่นๆ เฮ้ย จะโน้มตัวเข้ามาทำไมเนี่ย ใกล้ไปแล้ว!
“อืม... ทำอะไรดีนะ?” แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ผละออกไปทำหน้าครุ่นคิด ท่าทางน่าหมั่นไส้จนผมได้แต่ลอบเบ้ปากใส่ ถ้าไม่มีริวนั่งอยู่ตรงนี้คงแน่แน่ๆ เห็นสวรรค์อยู่รำไรเลยล่ะ
“น้าปัณณ์ นมช็อกกะแลต ~” เสียงเล็กๆ ทำให้ผมรีบหันไปอีกทาง ริวมองตาปริบๆ ปากเลอะแยมส้มจนต้องหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดให้ เลิกสนใจพี่ยูดีกว่า หึ
“เดี๋ยวน้าไปเอามาให้ครับ ริวนั่งกับป๊าไปก่อนเนอะ” แล้วผมก็ทิ้งสองพ่อลูกเอาไว้ก่อนปลีกตัวไปสงบจิตสงบใจ ถ้าเมื่อครู่ริวไม่ขัดจังหวะคงมีการจูบเกิดขึ้น พี่ยูนะพี่ยู เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย!
เอย์จิอาสาเป็นคนขับรถนั่นทำให้ริวรีบพุ่งมานั่งกับผมโดยปล่อยคาร์ซีทว่างเปล่า เสียงเพลงที่เปิดคลอในเช้านี้เป็นแนวสากลเบาๆ ให้ความรู้สึกอยากไหลไปกับเบาะเนื่องจากตื่นเช้ากว่าปกติเลยยังมีความง่วงอยู่นิดหน่อย แถมเมื่อคืนยังโดนพี่ยูแกล้ง เอาตุ๊กตาปลาทูฟาดใส่จนนุ่นแทบทะลักและกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม เพลียโคตร
“น้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบบนตักเอ่ยเรียกชื่อกันพร้อมกับเงยหน้ามองด้วยสายตาสั่นไหวคล้ายมีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่ ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องไปโรงเรียนวันแรกของชีวิต สถานที่ใหม่ ผู้คนใหม่ๆ
“ครับ?” ผมตอบรับก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมแล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน
“โรงเรียนฉาหนุกเปล่า?” ภาษาไทยไม่ค่อยชัดดังขึ้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวเลยจับหลานหอมแก้มซะฟอดใหญ่แล้วตอบคำถามกลับไป
“อืม... สนุกสิครับ มีเพื่อนๆ เยอะแยะเลยน้า” ผมคลี่ยิ้มละมุนส่งให้หลานตัวน้อยก่อนจะโน้มตัวลงแตะจมูกกับอีกคน ไม่รู้ว่าเข้าใจความหมายคำว่า ‘เพื่อน’ มากแค่ไหน
“มีเพื่อนๆ เหรอ?” ริวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด คงจะรู้จักคำว่าเพื่อนอยู่ล่ะมั้ง ถ้าหลานถามว่ามันคืออะไรคงตอบได้ประมาณว่า ‘เหมือนเรนไง’ เออว่ะ ไปโรงเรียนก็ต้องเจอลูกของพี่เคียวนี่นา เจ้าตัวแสบคงไม่ร้องไห้โยเยกลับบ้ายหรอกมั้ง
“ใช่แล้วครับ”
“แต่ไม่มีป๊ากับน้าปัณณ์อ่า” เหมือนเรื่องจะจบแต่กลับไม่จบเพราะเจ้าตัวแสบคงคิดได้ว่าถ้าตัวเองไปโรงเรียนก็จะไม่ได้เจอคนในครอบครัว ผมกำลังจะปลอบหลานแต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเอย์จิเบะปาก โธ่ คนแก่ขี้น้อยใจที่หลานไม่ยอมพูดถึงสินะ ต้องง้อด้วยการเลี้ยงไอติมด้วยปะ เฮ้อ
“ตอนเย็นก็ได้เจอกันครับ” ผมละความสนใจจากสารถีแล้วคุยกับริวต่อ หลานมีสีหน้าดีขึ้นก่อนที่จะขยับตัวมากอดคอกันไว้ซะแน่น
“งืม ไอติม ~” โธ่ นี่น้าปัณณ์ครับไม่ใช่ไอติมช็อกกะแลตของหนู
“พอเป็นของกินนี่จำแม่นเนอะ” ผมแซวหลานแล้วจับฟัดแก้มซ้ายขวาด้วยความมันเขี้ยว เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลั่นรถจนทำให้เอย์จิพลอยหลุดขำไปด้วย ผ่านมาเป็นเดือนแล้วสินะ ที่ไม่ได้เห็นเขามีความสุขแบบนี้ ยอมรับว่าเรื่องของทอยหนักหนาจริงๆ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบว่ามันทำแบบนั้นทำไม
“รักน้าปัณณ์ที่สู้ดเลย” บอกรักจบก็ตรงเข้ามาจุ๊บปากกันก่อนจะคลี่ยิ้มหวานใส่ ผมอดหัวเราะไม่ได้กับความเจ้าเล่ห์ที่ถอดแบบพี่ยูมาเป๊ะๆ ถ้าริวโตขึ้นแล้วเจ้าชู้นี่คงไม่ต้องสงสัยเลย
“แล้วอาจิล่ะ รักไหมครับ?” คนเป็นอาไม่ยอมแพ้เลยยืนหน้าเข้ามาถามหลานบ้างในขณะที่รถติดไฟแดงสุดท้ายก่อนเลี้ยวเข้าโรงเรียน ริวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนเอย์จิเริ่มเบะปาก เฮ้ย อย่างอแงตอนนี้นะ
“รักเหมือนกาน ฮิฮิ” เจ้าตัวแสบกระโดดจุ๊บแก้มเอย์จิเป็นการยืนยันคำพูด จากที่เคยหน้าบึ้งกับยิ้มซะกว้าง นี่ล่ะน้าที่เขาบอกว่าผู้ใหญ่ใจน้อย
ผมอุ้มริวลงจากรถในขณะที่ปล่อยให้เอย์จิไปหาที่จอด ครูสาวคนสวยรีบตรงเข้ามาหาพวกเราแล้วเอ่ยสวัสดีอย่างเป็นมิตร แต่ดวงตากลมของเธอกลับกรอกไปมาเหมือนกำลังรอคอยใครอยู่
“เอ่อ คุณครูมองหาใครอยู่หรือเปล่าครับ?” ผมเอ่ยถามเพราะหวังดีว่าตัวเองอาจจะช่วยเธอได้บ้าง
“ห๊ะ อ๋อ วันนี้คุณพ่อน้องริวไม่มาเหรอคะ?” เธอหันกลับมายิ้มหวานให้ผมแต่คำถามมันช่างชวนให้รู้สึกตะหงิดๆ ในใจชอบกล ทำไมต้องมองหาพี่ยูด้วยวะ หรือโรงเรียนมีกฎให้พ่อกับแม่มาส่งเท่านั้น
“ครับ วันนี้เขาติดงานเลยมาส่งไม่ได้” ผมตอบไปตามความจริงซึ่งเจ้าตัวแสบที่อยู่ในอ้อมแขนก็พยักหน้าเป็นการยืนยันให้กับครูสาวคนสวย พริบตาเธอเผลอทำหน้าเสียดายแต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกธรรมดาแล้วล่ะ
“อ๋อค่ะ น้องริวมาหาคุณครูเร็ว” เธออ้าแขนเพื่อรอรับริวไปสู่อ้อมกอดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เจ้าตัวแสบยังคงนิ่งและมองหน้าผมเหมือนขออนุญาต
“อยู่กับคุณครูนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นน้ามารับเนอะ” ผมบอกหลานก่อนจะก้มลงหอมแล้วส่งต่อให้กับเธอ เจ้าตัวแสบโบกมือหยอยๆ ใบหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขดี
ผมรีบเดินไปหาเอย์จิที่จอดรถรออยู่หน้าโรงเรียน ในหัวก็คิดย้อนถึงเรื่องเมื่อครู่ ทำไมเธอต้องถามหาพี่ยูในเมื่อแจ้งชัดเจนแล้วว่าน้าจะเป็นคนดูแลไปรับไปส่งแทนผู้ปกครองตัวจริง ก็ไม่ได้อยากมองโลกในแง่ร้าย แต่มันทะแม่งๆ หรือคุณครูคิดไม่ซื่อกับพ่อริววะ โอย ปวดหัว
“ทำไมหน้ายุ่งขนาดนั้นวะปัณณ์?” พอขึ้นรถมาได้คำถามแรกจากปากสารถีก็ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า เพราะอะไรวะ ทำไมคิดหาเหตุผลที่ดีกว่านั้นไม่เจอ คุณครูจะจีบผู้ปกครองเหรอ บ้าน่า
“ก็เมื่อกี้... คุณครูที่มารับริวเขาถามถึงพี่ยูน่ะ มันแปลกๆ ปะวะ?” ผมถามหาความคิดเห็นจากคนที่เริ่มเคลื่อนตัวรถออกสู่ถนนใหญ่
“คนที่ชื่อใบเฟิร์นอะไรนั่นปะ?” เอย์จิถามสวนกลับมาแบบนั้นทำให้ผมต้องเค้นสมองว่าป้ายชื่อที่ติดอยู่บนอกของเธอคืออะไร จำได้รางๆ ว่ามีคำว่าใบ... คงจะใช่มั้ง
“อืม เหมือนจะใช่มั้ง” ผมตอบกลับไปแล้วพิงหลังกับเบาะปล่อยหัวสมองให้โล่ง
“ยัยนั่นชอบพี่ยู ตั้งแต่พาริวไปดูโรงเรียนวันแรกแล้วล่ะ” คำตอบของเอย์จิทำให้ผมผงะตัวออกจากเบาะแล้วหันขวับไปมองหน้า ก็ว่ามันทำไมทะแม่งๆ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ น่ะเหรอ
“เฮ้ย จริงดิ...”
“อืม ปัณณ์ไปรับไปส่งหลานน่ะดีแล้ว พี่ยูจะได้ไม่ต้องเจอกับเธอ” จากน้ำเสียงของเอย์จิแล้วเขาก็คงไม่ค่อยพอใจในตัวคุณคูรคนนี้เหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางแสดงออกขนาดนั้นคงไม่สมควรจริงๆ นั่นล่ะ
“หืม ทำไมเอย์จิพูดเหมือนเธอเป็นตัวอันตรายวะ?” ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วพลางคิดสะระตะไปเรื่อย มีเหตุอะไรให้เอย์จิผู้มองโลกในแงดีทำหน้ายี้ใส่วะ
“ก็นิดหน่อย ยัยนี่ขี้ตื๊อจะตาย เคยเอาเบอร์โทรศัพท์พี่ยูไปค้นหาไลน์ด้วย พอสำเร็จก็แกล้งบอกว่าส่งแชทผิดคนงั้นงี้ แต่ก็ทักไปทุกวันๆ” เอย์จิทำเสียงจิ๊จ๊ะปิดท้าย สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ชอบเธออย่างชัดเจน ไอ้การดูโรงเรียนก็เพิ่งไม่นานมานี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าทุกวันนี้คุณครูนั่นก็ยังตื๊อพี่ยูใช่ไหม... ควรรู้สึกยังไงวะ ทำไมหวั่นๆ ชอบกล
“พี่ยู... ยอมคุยด้วยเหรอ?” ผมถามเสียงเบาเพราะในใจก็กลัวว่าถ้าพี่ยูเขว่ขึ้นมาจะทำยังไง เธอคนนั้นก็ดูสวยดูน่ารักดีแถมยังเป็นผู้หญิง...
“ช่วงแรกๆ ก็ตอบบ้าง แต่ช่วงหลังๆ พี่ยูบ่นรำคาญ เราก็เลยจัดการบล็อกไปแล้ว” เอย์จิยักคิ้วจึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากัน ผมพยักหน้ารับแต่อดคิดถึงริวไม่ได้ ถ้าหลานเป็นอะไรขึ้นมาเขาจะติดต่อผู้ปกครองยังไง
“แต่ถ้าเขามีเรื่องด่วนเกี่ยวกับริวล่ะ?” ผมดูเป็นคนดีเนอะ แต่ถามว่าจะให้ปลดบล็อกไลน์ไหม ก็ไม่...
“ด่วนมากก็โทรสิ จะไปยากอะไร” เออ นั่นสิเนอะ
เอย์จิไม่ได้ตรงกลับบ้านในทันทีเพราะเจ้าตัวบ่นว่าหิวเลยแวะกินข้าวที่ร้านข้างทาง ข้าวต้มหมูใส่ไข่โรยขิงกับผักชีถูกเสิร์ฟตรงหน้าพร้อมด้วยโถเครื่องปรุง ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะซัดขนมปังมาแล้วแต่สุดท้ายก็ทนแรงยั่วยุไม่ไหวเลยต้องจัดอีกถ้วย เอาให้อิ่มถึงเที่ยงกันไปเลย
“จะไปที่ไหนต่อปะ?” เอย์จิเอ่ยถามในขณะที่เขาตักพริกป่นใส่ถ้วยเพียงปลายช้อน ส่วนผมไม่ได้ปรุงอะไรนอกจากใส่น้ำปลาเพิ่มรสชาติ
“อืม... ก็ว่าจะไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อยน่ะ” ผมตอบก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า หมูเด้งก้อนโต ไส้อ่อนที่ลวกจนนุ่ม ตับหมูสดๆ สวรรค์จริงๆ แอบตีไข่แดงให้แตกแล้วคนผสม อืม... โคตรอร่อย
“ทำตัวเหมือนภรรยาที่ดีเลยเนอะ”
“อย่าแซวดิ เป็นแค่แฟนก็พอแล้ว” ผมบ่นงุ้งงิ้งหลังจากที่เกือบสำลักตาย รู้สึกแก้มร้อนกว่าข้าวต้มในถ้วยซะอีก ทำไมใครๆ ก็ยัดเยียดตำแหน่งภรรยาให้จังวะ
“ถามจริงเถอะ ใครรุกใครรับเนี่ย?” เอย์จิยังคงถามต่อด้วยใบหน้าระรื่น ผมได้แต่อึกอักแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวอีกคน จะให้ตอบว่าอะไรในเมื่อยังไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น ถ้าเป็นแค่คู่นอนคงเสร็จกันไปตั้งแต่วันแรกๆ ที่อ่อยแล้วมั้ง... แต่นี่คนรักเลยนะเว้ย มันขัดเขินชอบกล อยากเริ่มแต่ก็ไม่กล้า
“ถึงเวลานั้นก็รู้เองล่ะน่า” ผมตอบปัดๆ พลางก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มโดยที่ไม่เป่า ร้อนก็ช่างมันถ้าทำให้เอย์จิเลิกเซ้าซี้สักที แต่เหมือนความผิดพลาดหล่นทับหัวเมื่ออีกคนยังคงถามอยู่นั่น
“ทำใจได้เหรอถ้าต้องเป็นฝ่ายรับ?” เอย์จิทำหน้าขึงขังแล้วมองตรงมาด้วยแววตาเป็นห่วง เขารู้ดีว่าทั้งชีวิตนี่ผมไม่เคยรับให้ใคร อยู่ๆ จะให้เปลี่ยนคงยาก
“จริงๆ ก็แอบกลัวนะ แต่เราเชื่อว่าพี่ยูจะอ่อนโยนเมื่อถึงเวลานั้น” ผมตอบพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก สิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะตกลงคบกัน ไม่ว่าใครอยู่ฝ่ายไหนเชื่อว่าอีกคนต้องทะนุถนอมและอ่อนโยนอย่างแน่นอน
“มองโลกในแง่ดีจังเนอะ” เอย์จิเอ่ยแซวก่อนจะกลับไปลงมือกินข้าวโดยไม่แสดงสีหน้าล้อเลียนเหมือนปกติ ท่าทางแปลกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแต่ผมก็ยังไม่ได้ถามไถ่เพราะยังไม่มีโอกาสเหมาะ
“ติดนิสัยมาจากเอย์จิไง” ผมยังตามน้ำต่อไป ก่อนจะตักไส้อ่อนใส่ถ้วยเขา เห็นบ่นว่าพ่อค้าให้น้อยกินไม่สะใจ
“นั่นสิเนอะ...” เอย์จิคลี่ยิ้มบางเมื่อพูดจบ ผงกหัวขอบคุณผมเรื่องไส้หมูก่อนจะลงมือกินต่อไม่พูดไม่จา พอลอบสังเกตก็เห็นว่าเขาชอบเหลือบมองโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ มีอะไรเกิดขึ้นในนั้นหรือเปล่านะ
“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า?”
“ก็นิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง”
เขาว่ายังไงก็อย่างนั้นล่ะ
ผมทนดูหนังผีที่ไม่ชอบมาร่วมสองชั่วโมงเพราะอยากเอาใจเอย์จิ นั่งกลั้นหายใจแทบทั้งเรื่อง สะดุ้งจนเก้าอี้โยก ป๊อปคอร์นเกือบหลุดมือก็หลายรอบ ครั้นจะยกมือปิดตาก็กลัวโดนล้อ คาดว่าคืนนี้อ้อมกอดของพี่ยูคงเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด
ดีหน่อยที่วันนี้เป็นวันธรรมดาในซุปเปอร์มาร์เก็ตคนเลยไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เดินซื้อของได้สบายๆ โดยไม่ต้องเขียดเสียดหรือแย่งชิง ผมเข็นรถเข้าแผนกครีมอาบน้ำเป็นอย่างแรกเพราะจำได้ว่ามันใกล้จะหมดแล้ว หยิบกลิ่นพีชที่ตัวเองชอบมาสองขวดแล้วหยิบกลิ่นเมนทอลให้พี่ยู ของริวก็ต้องสูตรอ่อนโยนบาธแอนด์บอร์ดี้ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่เพียรสังเกตจนจำได้ ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
“นี่ไง ทำหน้าที่ภรรยาอีกแล้ว” อยู่ๆ เอย์จิที่เดินหายไปหยิบโฟมล้างหน้าก็เอ่ยแซวกัน ผมไม่เข้าใจเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อะไรคือทำหน้าที่ภรรยาอีกแล้ววะ แค่ซื้อครีมอาบน้ำ แปลกตรงไหน
“ก็นี่ไง รู้ด้วยว่าพี่ยูกับริวใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อไหน กลิ่นไหนด้วย” เขาชี้มือไปที่ขวดครีมอาบน้ำแล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนช่างสังเกตจะดูเหมือนภรรยา ตรรกะบ้าอะไรเนี่ย โอย แล้วจะเสือกแก้มร้อนทำไม
“ก็ใช้ห้องน้ำเดียวกันนี่” ผมบอกก่อนจะเข็นรถหนีไปทางอื่น จำได้ว่ารายการของหมดยังมีพวกยาสีฟัน แชมพู กระดาษทิชชู่อีก ถ้าซื้อไม่ครบแย่แน่ๆ
“นี่... ไอ้ครีมอาบน้ำกลิ่นพีชนั่นของปัณณ์เหรอ?” คนที่เดินตามหลังมาเลิกแซวแต่เปลี่ยนเป็นถามถึงของในรถเข็นแทน ผมพยักหน้ารับแบบไม่อายที่มีรสติยมคล้ายผู้หญิงเพราะตัวเองชอบทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่มีกลิ่นพีช
“อ่าฮะ ของเราเอง มันหอมดี” ผมตอบกลับไปโดยมือก็คว้าหยิบยาสีฟันแบบน้ำที่อยากลองใช้มาอ่านวิธีการ จะว่าไปก็เหมือนน้ำยาบ้วนปากแค่มีฟองเพิ่มเท่านั้นเอง
“อืม... กลิ่นน่ากินมาก” เอย์จิหยิบขวดครีมอาบน้ำออกไปเปิดดมแล้วพึมพำอยู่คนเดียว ผมที่ได้ยินพอดีเลยพยักหน้าหงึกหงักรับคำ เนี่ยกว่าจะได้มันมาครองอีกครั้งก็หลายเดือนแล้วเพราะของหมดไวมาก... สงสัยสาวๆ คงฮิตใช้กัน
“ใช่ไหมล่ะ? ดมแล้วรู้สึกสดชื่น” ผมหลับตาพริ้มเมื่อคิดถึงกลิ่นหอมหวานของพีช มันให้ความรู้สึกสดชื่น ละมุนละไมไม่ฉุนเกินไปจนทำให้คนรอบข้างอึดอัด
“อืม... เราว่าปัณณ์ระวังตัวหน่อยก็ดีนะ” เอย์จิวางของในมือลงที่เดิมแล้วมองหน้ากันด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ ผมขมวดคิ้วพลางร้องเสียงหลง อะไรของเขาวะ
“ห๊ะ?”
“พี่ยูจะเขมือบเข้าสักวัน” ทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินหนีไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ แก้มร้อนระอุ มือไม้อ่อนจนทำขวดยาสีฟันแบบน้ำตก
“.....” แม่ง เลิกซื้อของแล้วกลับบ้านเหอะถ้าจะโจมตีกันขนาดนี้!
หลังจากขนของที่ซื้อมาขึ้นรถเรียบร้อยก็ตรงกลับบ้านทันทีเนื่องจากต้องเตรียมตัวไปรับริวในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ในระหว่างนั้นพี่ยูโทรมาบอกว่าเลิกประชุมแล้ว ผมอมยิ้มกับการกระทำที่ดูใส่ใจแบบนี้ รายงานตลอดไม่ว่าจะทำอะไร ไปไหน อยู่กับใครโดยไม่ต้องบังคับ อันที่จริงไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้เพราะรู้ว่าคนเรามักมีพื้นที่ส่วนตัวกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย
ผมกับเอย์จิช่วยกันเตรียมมื้อเที่ยงเป็นเมนูข้าวหมูทอดทงคัตสึกินคู่กับสลัดมันฝรั่ง ใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบหนึ่งชั่วโมงแต่ทันเวลาที่พี่ยูกลับถึงบ้านพอดี บรรยากาศตอนนี้มันเหมือนมีควันสีชมพูจางๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ก็ใครใช้ให้น้องชายตัวแสบของแฟนถีบส่งออกมารับพี่ชายล่ะวะ โอย เหมือนภรรยากับสามีจริงๆ นั่นล่ะ
“กลับมาแล้วครับ” ยิ่งคำพูดของพี่ยูเมื่อเห็นหน้ากันยิ่งทำให้ผมวางตัวไม่ถูก แก้วน้ำที่โดนยัดเยียดให้ถือมาต้อนรับก็สั่นกึกๆ ด้วยความประหม่า บ้าเอ๊ย หยุดคิดเป็นตุเป็นตะก่อนได้ไหมเล่า!
“คะ ครับ เหนื่อยไหม?” ผมถามเสียงสั่นก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้ พี่ยูส่ายหน้าแล้วรับไปดื่มอย่างเป็นธรรมชาติ เฮ้อ โล่งอกที่ไม่ได้แซวเหมือนตอนอยู่กับเอย์จิ
“ชิวๆ ครับ แค่นั่งฟัง ผลประกอบการก็ดี หายห่วง”
“อ๋อครับ แล้วพี่ยูกินข้าวหรือยัง?” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ในใจลุ้นคำตอบแทบตาย
“อืม... กินมาแล้วล่ะครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างเอ็นดู แต่ผมกลับรู้สึกอยากร้องไห้ แล้วหมูทอดล่ะ... อุตส่าห์ทำไว้ให้เชียวนะ
“เหรอครับ?” ผมก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเอง ความน้อยใจก่อตัวขึ้นทีละนิด แต่พี่ยูไม่ผิดหรอก ก็ทางนี้ไม่ได้บอกเขาไว้ก่อนว่าจะทำอาหารเที่ยงนี่หว่า เฮ้อ ไอ้ปัณณ์เอ๊ย โง่จริงๆ เลยมึงเนี่ย
“ทำหน้าหงอยเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า?” พี่ยูชะงักมือที่ลูบหัวกันอยู่แล้วเลื่อนลงมาประคองใบหน้าให้สบตา ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้
“พอดีว่าทำหมูทอดทงคัตสึกับสลัดมันฝรั่งไว้น่ะครับ”
“อ้าว ขอโทษครับ” พี่ยูดูตกใจมาก เขารีบเอ่ยขอโทษทันทีจนผมได้แต่โบกมือปฏิเสธพัลวัน
“เฮ้ย ขอโทษทำไมครับ ผมผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน”
“โธ่ คนดีของพี่” พูดแค่นั้นผมก็หน้าร้อนจะแย่ แล้วเขากางแขนทำไมเนี่ย
“จะทำอะไรครับ?” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนพี่ยูทำเพียงเลิกคิ้วขึ้น
“กอดปลอบไง” หืม... แบบนี้ก็ได้เหรอวะ เจ้าเล่ห์ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ
“ไม่เอาครับ พี่ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวต้องไปรับริวอีก” ผมปฏิเสธเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินไปดันแผ่นหลังกว้างให้ตรงไปทางห้องนอนแต่เจ้าตัวกลับขืนตัวไว้แล้วพลิกตัวกลับมาสบตากัน ทำไมต้องใกล้ขนาดนี้ด้วยวะ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจเอย์จิคงจูบไปแล้ว
“เดี๋ยวสิ แล้วมื้อเที่ยงล่ะ” ยังจะห่วงมื้อเที่ยงอีกเนอะคนเรา แต่ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปไม่สูญเปล่า
“ก็... เดี๋ยวผมกับเอย์จิจัดการเอง” ไม่ทิ้งหรอกน่าเพราะเสียดายของเหมือนกัน
“ได้ไงล่ะครับ ปัณณ์อุตส่าห์ทำไว้ให้” พี่ยูทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ จนผมเผลอหัวเราะ คงกลัวคนทำเสียงใจละมั้งที่ตัวเองไม่ได้กิน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมื้อเย็นผมทำให้ใหม่ก็ได้ หมูทอดเก็บไว้มันไม่อร่อย” นี่เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่าจะจัดการอาหารทั้งหมดกับเอย์จิเอง ขืนเก็บไว้ให้เขากินหมูทอดก็ไม่กรอบกันพอดี สู้ทำใหม่ยังภูมิใจมากกว่า
“สัญญาแล้วนะ” ดูความน่ารักของเขาเถอะครับ ชูนิ้วก้อยให้ผมเกี่ยวด้วยแหนะ ทำตัวแอ๊บเด็กไปได้เนอะ
“ครับผม” แต่ผมก็ยอมเกี่ยวก้อยสัญญาล่ะนะ
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งหกโมงเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว กว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดมาได้ก็แทบร้องไห้ พอริวเห็นหน้าผมกับพี่ยูที่ไปรับก็กระโดดเข้ามากอดทันทีโดยมีเรนยืนโบกมือหยอยๆ อยู่ด้านหลัง เจ้าตัวแสบเก่งมากที่ไม่งอแง แต่กลับบ่นงุ้งงิ้งเรื่องคุณครูใบเฟิร์นเพราะเธอถามหาป๊าไม่หยุดหย่อน คืออยากขำก็อยาก หึงก็หึง ไม่รู้จะอะไรยังไงก่อนดี สับสนตัวเองจัง
“ป๊าห้ามไปรับนะ” เจ้าตัวแสบที่นั่งอยู่บนตักผมเอ่ยเสียงดุแล้วหันไปมองคนเป็นพ่อเขม็ง ท่าทางไม่พอใจรางกับโกรธใครมานั่นทำให้ผมต้องกลั้นหัวเราะ สงสัยริวจะหวงพ่อแทนน้าแล้วล่ะ
“อ้าว แล้วริวจะกลับบ้านยังไงครับ?” พี่ยูเหลือบตามองลูกพลางขมวดคิ้วยุ่งเพราะไม่เข้าใจความหมายในการห้าม
“กลับกับน้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบกอดอกแน่นพร้อมกับคำหน้าบูดบึ้งใส่พี่ยู ความเด็กขี้หวงนี่มันน่ารักจนผมอดไม่ได้ที่จะแอบบีบแก้ม
“แต่ป๊าก็อยากไปรับริวกับน้าปัณณ์นี่ครับ” เสียงอ้อนลูกของพี่ยูนั้นฟังดูน่ารักน่าหยิกแต่ก็มีความตลกปนอยู่ด้วย ก็นานๆ ครั้งจะได้ยินนี่นา
ต่อด้านล่างน้า