♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61  (อ่าน 30796 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ปิดซอยตั้งโต๊ะจีนฉลอง :katai2-1:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 21 : ข้าวราดไข่ดิบ



คุณเคยได้ยินคำว่าความสุขบนความเจ็บปวดหรือเปล่า? ตอนนี้ผมกำลังเผชิญมันด้วยตัวเองเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่หลังจากผ่านภารกิจบนเตียงอันหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝ่ายรับถึงได้มีอาการเหมือนจะตายทุกครั้งที่มีอะไรกัน ซึ้งจนน้ำตาไหลปวดร้าวสะโพกไปหมด

ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือนอนตะแคงมองประตูห้องนอนที่เชื่อมกับตัวบ้านว่าเมื่อไหร่มันจะถูกเปิดโดยคนหื่นกามสักที รอมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววของพี่ยูเลยสักนิด ฟันแล้วทิ้งหรือไงวะถึงได้หายหัวไปนานขนาดนี้ ปวดฉี่ อยากอาบน้ำ หิวข้าว เฮ้อ ทำอะไรได้บ้างเนี่ย พยายามลุกก็ไม่ไหว เกลียดความอ่อนแอนี่จริงๆ เลย

ในขณะที่คิดว่าจะข่มตานอนอีกครั้งประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกโดยคนที่ผมเฝ้าทวงถามตลอดว่าหายไปไหน พี่ยูมาพร้อมกับถาดไม้และกลิ่นหอมฉุยของอาหารมื้อเช้าซึ่งเดาได้ว่าเป็นข้าวต้ม ความหงุดหงิดจางหายไปทันทีเมื่อได้รับรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งให้ อยากโกรธอยู่หรอกที่โดนทำรุนแรงแต่เจอแบบนี้ใจอ่อนยวบเลยว่ะ

“ลุกขึ้นไหวไหม?” พี่ยูถามหลังจากที่วางถาดไม้ลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง เขามองมาด้วยสายตาเป็นห่วงจนรู้สึกอุ่นในใจ ไอ้บรรยากาศหวานแหววนี่เหมือนจะทำให้ขาดอากาศหายใจยังไงไม่รู้ ตอนนี้ในสมองก็เอาแต่ขุดความทรงจำเมื่อคืนชัดเป็นฉากๆ โอย เมื่อครู่โดนถามว่าอะไรนะ ลืมไปเลย

“พี่ยูถามว่า... อะไรนะครับ?” เสียงที่เปล่งออกไปกระท่อนกระแท่นเพราะรู้สึกคอแห้ง เมื่อคืนมันหนักหน่วงจริงๆ นั่นล่ะ บ้าเอ๊ย เมื่อไหร่จะหยุดคิดเรื่องนั้นสักที ไอ้ความเสเพลก่อนหน้านี้ไม่ช่วยให้ความเขินอายลดลงเลยหรือยังไง ตอนเป็นคนกระทำไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลยวะ

“พี่ถามว่าเราลุกขึ้นไหวหรือเปล่า ต้องช่วยไหม?” พี่ยูทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันก่อนโน้มตัวลงมาประสานสายตาให้ผมต้องเบนหน้าหนี ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยิน โธ่ ถามไกลๆ ก็ได้มั้ง แล้วเสื้อน่ะไม่มีใส่หรือยังไงถึงได้เปลือยอกโชว์ขนาดนี้ ยิ่งเห็นรอยจ้ำแดงๆ ตามตัวเขาความอายก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น เมื่อคืนต่างคนต่างร้อนแรงไม่แพ้กันเลย

“มัน... เจ็บครับ” ผมเอ่ยตอบเสียงแผ่วก่อนจะหดคอลงเพื่อให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมหายไปในผ้าห่ม เหลือบมองพี่ยูก็เจอเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ดวงตาคมไล่มองกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกำลังประเมินสภาพการณ์

“พี่ขอโทษที่รุนแรงเกินไปหน่อย” พี่ยูก้มหัวขอโทษผมหลายครั้งจนต้องเอื้อมมือไปจับบ่าแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“ผมเข้าใจครับ” ผมคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะรั้งท้ายทอยอีกคนเข้ามากดจูบเพียงแผ่วเบาก่อนจะผละออก เขินฉิบหายแต่ก็ไม่อยากให้เขาดึงดราม่า ต่างคนต่างมีความสุขร่วมกันนี่นา

“เข้าใจว่ายังไง?” คำถามของพี่ยูมันช่างธรรมดาแต่ผมกับแก้มร้อนอย่างควบคุมไม่ได้ ก็คำตอบมัน...

“ก็... พี่ไม่ได้มีเซ็กซ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“อ่า ตามนั้นครับ ก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ไหว” พี่ยูตอบเสียงแผ่วพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ สังเกตได้ว่าแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดจนผมนึกมันเขี้ยว เวลาเขาเขินน่ารักเป็นบ้าเลย

“ครับ ช่วยพยุงผมหน่อยได้ไหม?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเพราะอีกเดี๋ยวคงเกิดอาการกระอักกระอ่วนต่อกันแน่ เขินกันไปเขินกันมาวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรพอดี อีกอย่างคือตอนนี้หิวมาก อยากแปรงฟัน ล้างหน้าและกินข้าวเหลือเกิน

“ได้ครับ ค่อยๆ ขยับตัวนะ”

หลังจากที่โดนพี่ยูอุ้มไปห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จตอนนี้ก็ได้เวลากินสักที จากข้าวต้มร้อนๆ กลายเป็นเย็นแต่ยังพอถูไถ ผมคว้าแก้วน้ำมาดื่มเป็นอันดับแรกในขณะที่อีกคนตักอาหารรอเพื่อป้อน ครั้นจะเอื้อมไปหยิบช้อนก็โดนมองด้วยสายตาดุๆ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก

“กินเยอะๆ นะครับ” ข้าวต้มคำแรกถูกป้อนใส่ปากพร้อมด้วยประโยคนี้หลุดรอดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ผมขมวดคิ้วยุ่งพลางเคี้ยวตุ้ยๆ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแล้วพี่ยูเป็นพ่อเลยวะ สถานะเรามันคือแฟนไม่ใช่เหรอ...

“ผมไม่ใช่ริวนะพี่ยู กินข้าวเองได้ครับ” ปากก็ว่าเขาไปทั้งที่ใจลิงโลดจะตาย นานๆ ทีโดนดูแลแบบนี้ก็มีความสุขดี

“พี่อยากดูแลนี่ครับ” พี่ยูพูดเสียงอ่อยในขณะที่มือก็ยังคอยตักข้าวต้มป้อนกันไม่ขาดสาย ผมมองหน้าเหมือนหมาหงอยนั่นก่อนจะหลุดหัวเราะ ทำไมต้องงอแงด้วย อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ คิดว่าตัวเองน่ารักหรือไง หึหึ สู้ริวไม่ได้หรอก

“โธ่ ผมไม่ได้เจ็บมือหรือแขนสักหน่อย” ผมยืดแขนออกไปพลางแบมือพลิกหน้าหลังให้เขาดูว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติ ไอ้ที่สาหัสน่ะมันเป็นก้นมากกว่าเพราะขนาดนั่งบนเตียงนุ่มๆ ยังรู้สึกไม่สบายตัวเลย เมื่อไหร่จะหายวะเนี่ย อีกสามวันต้องบินกลับไทยแล้วด้วย

“แต่พี่รู้สึกปวดๆ แขนนะครับ” พี่ยูทำหน้าเบ้ก่อนจะวางช้อนในมือลง ผมรีบถลาเข้าไปสำรวจช่วงแขนของเขาด้วยความตกใจจนลืมเจ็บ

“เฮ้ย ไปโดนอะไรมา?” ถามกลับน้ำเสียงตื่นพร้อมกับลงมือจับพลิกแขนแกร่งเพื่อดูร่องรอยความเจ็บปวดแต่กลับไม่พบอะไรนอกจากใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของพี่ยู นี่สรุปว่าโดนแกล้งใช่ไหม โอย รู้สึกสะโพกจะแหลก

“เมื่อคืนยันเตียงมากไปหน่อยน่ะ”

“ไอ้...!” ด่าไม่ออกเลยไง อ๊าก!

หลังจากมื้อเช้าจบลงผมก็โดนสั่งให้กินยาแก้อักเสบตามด้วยการทายาตรงช่องทาง ตบตีกับพี่ยูอยู่พักใหญ่เพราะอายเกินกว่าจะอ้าขาให้เขาดูแลแต่ทำเองมันก็ลำบาก สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฮ้อ ครั้งต่อไปคงเว้นระยะไปอีกนานเลย

ก่อนที่จะข่มตานอนพักผ่อนร่างกายนั้นพี่ยูก็ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อวัตถุดิบทำอาหารอีกสองมื้อที่เหลือในวันนี้ ผมตอบรับด้วยความมึนเบลอแต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากซื้อเยลลี่รสพีช โคล่ากลิ่นพีช และลูกพีชสดเพราะอยากกิน ไอ้อาการคลั่งไคล้ผลไม้สีชมพูรูปหัวใจกลับมาอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยยังไงชอบกลว่ะ

ครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นเพราะมีบางแอพฯ กำลังแจ้งเตือนทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง กำลังเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียวอย่าให้รู้ว่าเป็นใครจะด่าให้ยับเลย ขอนอนสักชั่วโมงสองชั่วโมงเถอะ ร่างกายใกล้พังเต็มทนแล้ว แค่อยากออกไปเดินเล่นทำเอ็มวีในสวนยังไม่สามารถทำได้เลย อ่อนแอเกินไปแล้วไอ้ปัณณ์เอ๊ย

Rrrrr

คราวนี้มาเป็นเสียงริงโทนแต่ผมเลือกที่จะเอาหมอนอีกใบขึ้นมาปิดหู ข่มตาหลับทำเป็นไม่สนใจแต่ไม่นานนักก็ทนไม่ได้เพราะไอ้บ้านั่นโทรเข้าไม่หยุดหย่อน แม่งเอ๊ย ด่าให้ลืมชื่อตัวเองไปเลย!

“ฮัลโหล!” ผมคว้าโทรศัพท์มากดรับด้วยอารมณ์หงุดหงิดเลยกรอกเสียงที่ดังกว่าปกติ ไม่ได้ดูเบอร์ว่าเป็นใคร ถ้าเกิดเป็นคุณป้าขึ้นมาจะได้แก้ไขสถานการณ์ถูก ขืนด่ากราดไปเลยคงแย่

‘โมชิ โมชิ’ เสียงตอบรับจากปลายสายทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น คนญี่ปุ่นที่ไหนโทรผิดมาหรือเปล่าวะ หรือเป็นญาติๆ ของพี่ยู โอย จะนอนไม่เข้าใจหรือยังไง

“ดาเระ?” เขาญี่ปุ่นมาผมก็ญี่ปุ่นกลับโดยถามว่าเป็นใคร ระหว่างรอคำตอบก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานเพราะคิดว่าคงมีเรื่องคุยกันอีกยาวแน่นอน ก็เสียงปลายสายมันคุ้นๆ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า

‘มีความญี่ปุ่น จำเราไม่ได้เหรอปัณณ์?’ แซวชนิดที่ว่าผมหน้าเห่อร้อนเพราะเข้าใจความหมายแฝงของคนปลายสายได้เป็นอย่างดี จะบอกว่ามีความเป็นแฟนคนญี่ปุ่นก็พูดมา เอาให้หงายหลังคือเมียคนญี่ปุ่นไปเลย แม่ง แค่คิดก็เขินเองแล้วไง

“กดรับเลยไงไม่ได้ดูเบอร์” ผมถูแก้มเพื่อลดความเขินก่อนจะเลื่อนลงไปกระชับผ้าห่มให้ปิดลำคอ พี่ยูเปิดแอร์ทิ้งไว้หนาวมาก จะลุกไปปรับก็เกินกว่าร่างกายจะรับไหว อันที่จริงก็สามารถเดินเข้าห้องน้ำได้แล้วแต่เพราะไม่อยากเจ็บก็เลยเลี่ยงดีกว่า

‘อ๋อ เสียงอู้อี้เหมือนเพิ่งตื่นนอนเลย’ เอย์จิว่าเสียงระรื่นเหมือนลองเชิงเผื่อว่าผมจะหลุดพูดอะไรบ้าง หึ ยากน่า เรื่องแบบนี้ต้องเก็บไว้แค่สองคนก็พอ

“หึ กำลังจะนอนต่างหาก มีอะไรปะ?” ถ้าไม่เข้าเรื่องผมจะวางสายไปนอนแล้วจริงๆ ด้วย เดี๋ยวพี่ยูกลับมาจะโดนสวดยาว ไม่อยากฟัง

‘ก็... ปัณณ์ออกมาเปิดประตูบ้านให้หน่อยดิ’ เมื่อครู่ผมหูฝาดหรือเอย์จิเมา?

“ห๊ะ? เราอยู่ญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ไทย จะเปิดยังไง?” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงง อยากจะหัวเราะอยู่หรอกแต่มันรู้สึกแปลก ทำไมน้ำเสียงของเอย์จิมันฟังแล้วให้เศร้ายังไงชอบกล

‘เราหมายถึงบ้านที่ญี่ปุ่นเนี่ย ตอนนี้ยืนรออยู่ข้างหน้า’

“อะไรนะ เอย์จิมาที่นี่เหรอ?” ผมผุดลุกขึ้นโดยลืมว่าตัวเองเจ็บ พอรู้อีกทีก็ระบมไปหมดจนต้องกัดปากกลั้นเสียงเอาไว้เพราะกลัวว่าเอย์จิจะล้อเลียน โอย นี่มันเรื่องบ้าอะไร ไม่ใช่ว่าหนีไอ้ทอยมาหรอกนะ

‘อื้อ’ คำตอบสั้นๆ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจทำให้ผมยกมือขึ้นนวดขมับโดยอัตโนมัติ ที่เดาๆ ไว้คงเป็นจริง เนื่องจากช่วงนี้ไอ้ทอยดูนอยด์เป็นพิเศษแต่ไม่ยอมเล่ารายละเอียดช่วยเอย์จิก็เอาแต่ส่งรูปริวมาให้ดูเหมือนหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องอื่นๆ

“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าเนี่ย” ผมแกล้งถามในขณะที่พยายามขยับตัวลุกจากที่นอน ความเจ็บปวดร้าวไปทั้งสะโพกยังอยู่แต่ว่าทุเลาลงนิดหน่อยตั้งแต่กินยา แต่จะให้พรวดพราดเดินก็ใช่เรื่อง โอย ถ้ามันทรมานขนาดนี้ครั้งหน้าขอเป็นฝ่ายรุกบ้างแล้วกัน แฟร์ๆ ไง

‘ก็บินมากะทันทัน มีเรื่องนิดหน่อย’ ปลายประโยคแผ่วจนผมเผลอขมวดคิ้วเพราะฟังไม่ค่อยถนัด ครั้นจะถามซ้ำก็กลัวว่าเอย์จิอาจไม่สบายใจ เอาเถอะ เขาบอกให้เราเปิดประตูก็ทำแค่นั้นพอ ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“งั้นรอเดี๋ยวจะไปเปิดประตูให้”

ผมวางสายแล้วค่อยๆ ลากสังขารไปที่ประตูบ้านซึ่งอยู่ห่างจากห้องนอนหลายเมตร ในตอนนี้ความเจ็บมีอิทธิพลน้อยกว่าเรื่องของเอย์จิอยู่มากโข จากที่คิดไว้ว่าไอ้ทอยจะง้อเขาได้แต่ทำไมเรื่องราวกลับเป็นแบบนี้ โธ่ คิดจนสมองบวมก็คงไม่ได้คำตอบ

“ทำไมเปิดช้าจัง” คำทักทายแรกเมื่อประตูบ้านใหญ่ถูกเลื่อนออก สภาพนายแบบดูแน่กว่าที่จินตนาการไว้เยอะ ขอบตาคล้ำ รอยยิ้มไม่มีความสุข ร่างกายผอมบาง เห็นแล้วอยากจับมาตีก้นให้เข็ดที่ไม่ยอมดูแลตัวเองขนาดนี้ แต่ผมเป็นเพื่อนแถมไม่ได้สนิทอะไรมากมายคงทำอะไรมากไม่ได้ ก็หวังพึ่งพี่ยูล่ะนะ

เอย์จิมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมขยับเข้ามาใกล้จับนั่นจับนี่เหมือนต้องการสำรวจความสึกหลอ ผมผละตัวหนีได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องนิ่วหน้าเพราะการเสียดสีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นปาดลวกๆ ในขณะที่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง ฮึบ อดทนสิวะ

“ง่วงไง” ผมตอบกลับไปพลางลอบถอนหายใจ หวังว่าเอย์จิจะไม่ตาดีนะ ขี้เกียจตอบคำถามอะไรมากมาย มันเขินไง

“ใช่เหรอ? ท่าเดินแปลกๆ นะ” คำภาวนาของผมคงดังไม่พอที่พระเจ้าจะได้ยินสินะ อืม...

“ไม่ต้องมาจับผิดเลย” ผมหันไปถลึงตาใส่เอย์จิแล้วพบว่าเขากำลังยืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ไม่ไกล ดวงตาสวยฉายแววล้อเลียนอย่างไม่ปิดบัง เออ เจ้าเล่ห์ทั้งพี่ทั้งน้องเลยว่ะ ยอมแพ้

“หึหึ พี่สะใภ้ ~” เสียงทะเล้นเอ่ยล้อก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดมายืนตรงหน้าของผมแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันเล่น ไอ้คนที่ปฏิเสธไม่ได้ก็เขินไปสิ ปัดป่าย หลบหลีกเป็นพัลวัน เฮ้อ แทบเอาหน้ามุดหายไปใต้เสื่อทาทามิแล้ว

“เงียบน่า ห้ามแซวอะไรด้วย”

“ครับๆ หน้าแดงเป็นมะเขือเทศแล้ว” ยัง ยังไม่หยุดล้อเลียนอีกคนเรา!

“เอย์จิ...” ผมเรียกเขาเสียงดุทั้งที่ตัวเองเขินจะแย่ ส่วนเอย์จิหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ ให้มันได้ตลอดรอดฝั่งนะ

หลังจากที่ต้อนรับผู้มาเยือนเป็นที่เรียบร้อยผมก็ได้ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนกลับคืนมา นอนมันยันบ่ายจนเลยไปช่วงเย็น ใครปลุกใครเรียกกินข้าวกินยากก็ไม่รู้สึกตัวจนพี่ยูเกือบจะอุ้มไปส่งโรงพยาบาลแต่ดีที่เอย์จิห้ามไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงอายหมอเพราะสาเหตุของความเพลียแน่นอน เผลอๆ โดนเตือนว่าอย่าหักโหมแถมอีก หน้าไหม้ไปสิถ้าเจอแบบนั้น

ผมตื่นมาก็ได้กลิ่นอาหารหอมตลบอบอวลไปทั้งบ้าน แวบแรกคิดว่าคนที่ลงมือทำคงไม่พ้นพี่ยูแต่ผิดคาดเมื่อเห็นแผ่นหลังบางกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ผีบ้าที่ไหนเข้าสิงเอย์จิวะเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเข้าครัวสักที

“เอย์จิ” ผมส่งเสียงเรียกเมื่อเดินไปหยุดอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ครัวแบบสมัยใหม่ เอย์จิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้กันเหมือนสิ่งที่ทำอยู่ปกติ

“หิวหรือยัง? รอก่อนเนอะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะได้กินอาหารฝีมือเราแล้ว” เอย์จิหันกลับไปทำอาหารที่พอเดาได้ว่าเป็นพวกสปาเก็ตตี้ ผมลอบมองท่าทางของเขาจากทางด้านหลังแล้วได้แต่ถอนหายใจ เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ยิ้มออกมาทั้งที่ไม่มีความสุขใครๆ ก็ดูออกไม่ยาก

“อื้ม แล้วนี่คึกอะไรถึงได้ลุกมาทำอาหาร?” ผมก็แค่อยากวนคุยให้บรรยากาศรอบตัวไม่หนักหน่วงเกินไป เอย์จิไม่ตอบในทันทีเหมือนกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ต้องพูด

“ก็... ทบทวนการทำอาหารไง กลัวลืม” แบบนี้ก็มีด้วยเหรอวะคนเรา ปกติงอแงให้พี่ยูทำตลอดไม่ใช่หรือไง

“ไม่ใช่ว่าหลีกเลี่ยงความฟุ้งซ่านเหรอ?” ผมพูดในสิ่งที่คิดด้วยน้ำเสียงปกติแต่มันสามารถทำให้เอย์จิถึงกับชะงักการกระทำ แต่เพียงไม่นานเขาก็จัดการปิดเตาก่อนตักสปาเก็ตตี้ใส่จานอย่างราบรื่น

“ปัณณ์พูดเรื่องอะไรวะ เราไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เอย์จิพูดพร้อมกับที่จานอาหารวางลงด้านหน้าของผม กลิ่นหอมของมันช่างยั่วยวนให้น้ำย่อยทำงานจนสลัดความอยากรู้ไปจนสิ้น แต่ลึกๆ แล้วเป็นห่วงเขานะ บางทีแกล้งโง่บ้างคงดีกว่านี้

“เอาเถอะ แล้วนี่พี่ยูไปไหนล่ะ?” ผมมองหาผู้ร่วมอาศัยอีกคนที่ช่วงนี้มักชอบหายตัวไปหลบมุมอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้คิดว่าเขามีความลับอะไรแต่ขึ้นชื่อว่ามาเที่ยวควรปล่อยวางเรื่องงานบ้าง ใครหาว่าคนอย่างปัณณ์เห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ ถ้ารู้ว่าปัญหาจากเลขาฯ นั่นเป็นเรื่องที่ระดับผู้จัดการสามารถตัดสินใจเองได้ไม่ต้องถึงมือระดับผู้บริหารเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจความคิดนี้

“นู่น ชานบ้าน เห็นว่ามีงานด่วนอีกแล้ว”

ทายผิดซะเมื่อไหร่ล่ะ งาน งาน งาน มีแต่คนที่โรงแรมโทรมาหา ไม่เห็นว่าร้านอาหารจะมีปัญหาอะไรเลย หึ

“หนีมาไกลขนาดนี้ก็ยังตามจิกกันเนอะ” ผมบ่นพึมพำก่อนจะมองไปยังชานบ้านที่เห็นแผ่นหลังกว้างไวๆ คุยโทรศัพท์แล้วเดินไปด้วยนี่มีอะไรเครียดหรือเปล่านะ

“หึงเหรอ?” หืม ทำไมอยู่ๆ เอย์จิก็ถามแบบนี้วะ ผมดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ บ้าน่า

“อะไร?” ผมถามกลับโดยไม่สบตาเพราะเริ่มรู้สึกว่าในอกมันกรุ่นๆ ด้วยอารมณ์อย่างที่เอย์จิว่าจริงๆ แม่ง ใครที่ไหนมันจะไม่หึงบ้างวะ โทรมาจิกอย่างกับพี่ยูเป็นผัวตัวเองเนี่ย ไม่รู้ว่าแกล้งเป็นแฟนคลับคู่เราเพื่อบังหน้าเพราะอยากคุยกับเจ้านายตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้มองคนแค่ภายนอกไม่ได้หรอก

“ก็แม่เลขาฯ สาวสวยไง” เอย์จิหรี่ตามองผมอย่างจับผิดจนต้องขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปหยิบน้ำในตู้เย็น

“พูดมากจริง” ผมบ่นไม่จริงจังมากนัก แต่อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองพี่ยูอีกครั้ง นี่คุยงานกับเลขาฯ มานานเท่าไหร่แล้ววะ แอบหักซิมทิ้งได้ไหมเนี่ย พาลเว้ยพาล!

“คิก แทงใจดำสิน้า” ไอ้นี่ก็ไม่เลิกแหย่สักที เดี๋ยวเอาขวดน้ำตีกบาลแยกเลยนี่ จะไม่เกรงใจว่าเป็นน้องพี่ยูแล้วนะเว้ย

“กินๆ เข้าไปเลย!”

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มที่ผมหยิบหมอนรองนั่งง่อยๆ ออกมาไว้ตรงชานบ้านเพื่อใช้บรรเทาอาการปวดช่วงล่าง มองฟ้ามองดาวดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนโดยมีเอย์จิอยู่เป็นเพื่อนส่วนพี่ยูขอตัวไปอาบน้ำและเช็คบัญชีร้านอาหารที่พี่เคียวส่งมาให้เมื่อช่วงเย็น งานเข้าของแท้จนล้นมือ ครั้นจะช่วยก็โดนสั่งห้ามเพราะยังถือว่าเป็นคนป่วย อืม เถียงไม่ได้ก็ทำตามไปดีกว่า

“ชอบที่นี่ไหม?” อยู่ๆ เอย์จิก็เอ่ยถามขึ้นมาจนผมที่กำลังชี้นิ้วนับดาวถึงกับชะงักกึกแล้วหันมอง

“หือ ก็ชอบนะ ถามทำไม?” ผมถามกลับเพราะไม่แน่ใจว่าอีกคนอยากรู้อะไรกันแน่

“ก็เผื่อพี่ยูจะย้ายมาอยู่ที่นี่ไง” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะถือวิสาสะทิ้งหัวลงบนลาดไหล่ของผม ถ้าหากพี่ยูมาเห็นฉากนี้คงได้มีไล่เตะกันทั่วบ้านแน่ๆ คิดแล้วก็ขำดี

“อืม นั่นสินะ” ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่คนที่ไร้ซึ่งภาระใดๆ คงตัดสินใจไม่ยาก ก็ทั้งชีวิตนี้เหลือแค่ครอบครัวนี้เท่านั้นที่คอยดูแลกันเสมอมา

“ถ้าเป็นแบบนั้นปัณณ์จะยอมหรือเปล่า?”

“ถ้าพี่ยูออกปากชวนจะอยู่ที่ไหนก็ไปทั้งนั้นล่ะ” ไม่ได้ตอบเอาใจใคร แต่มันคือความจริงที่ผมคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าวันไหนโดนทิ้งก็คงต้องยอมรับชะตากรรม

“หูย รักมากสินะ” ไม่แซวสักเรื่องจะตายไหมเนี่ย เฮ้อ

“พูดแต่เรื่องของเรา เอย์จิล่ะ สบายใจขึ้นหรือยัง?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกอย่างคือบรรยากาศอึมครึมรอบตัวเอย์จิเบาบางลงแล้วคงยอมพูดอะไรบ้าง

“หืม?” ยังเฉไฉ แต่ไม่เป็นไรผมมีความสามารถพอในการคาดคั้น

“มีเรื่องที่ไทยไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นสินะ อืม... ก็อึดอัดน้อยลงแล้วล่ะ” คงปฏิเสธไม่ได้เลยยอมเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา ผมไม่เห็นใบหน้าของเอย์จิเพราะเขายังซบอยู่บนไหล่ แต่จากน้ำเสียงนั้นฟังแล้วรู้สึกเศร้า... เหรอวะ พอดีโฟกัสเรื่องปวดสะโพกมากกว่า จะทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทำไมเยอะๆ เนี่ย กระทบกระเทือนถึงด้านล่างนะ

“เกี่ยวกับทอยเหรอ?” ผมพยายามถามต่อ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดเหมือนกันแต่ความมั่นใจเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ

“โห มีตาทิพย์หรือเปล่าเนี่ย? ใช่ เกี่ยวกับทอยแต่เขาไม่ใช่สาเหตุหรอก” เอย์จิผละตัวออกไปแล้วมองหน้าผมอย่างล้อเลียนก่อนที่นิ้วเรียวจะถูกส่งมาดึงแก้มกัน ทำไมชอบเล่นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย เจ็บนะเว้ย

แต่ไอ้ที่เขาบอกว่าเกี่ยวกับทอยแต่ไม่ใช่สาเหตุนี่มันยังไงวะ หรือเรื่องนี้มีมือที่สามวะ

“อยากระบายไหม?” ผมถามพลางเลื่อนสายตาไปมองสวยด้านหน้าแทนเพื่อลดความกดดันให้น้อยลง ไม่ได้อยากเสือกแต่เป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนทั้งสองคนจริงๆ กว่าจะผ่านอุปสรรคแต่ละอย่างไปได้มันยากลำบากแค่ไหนก็รู้ดีอยู่

“อื้ม ก็... มีปัญหากับเจ้านายนิดหน่อย”

หืม ใหญ่โตขนาดนั้นเชียวเหรอวะ ไม่ธรรมดาแล้ว

“เจ้าของโมเดลลิ่งที่เอย์จิทำงานน่ะเหรอ?” ผมขยับตัวพิงกรอบประตูก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองคู่สนทนาเมื่อเรื่องมันจริงจังมากกว่าที่คาดคิดไว้ มีปัญหากระทบงานเลยเหรอ

เอย์จิส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะคลี่ยิ้มบางแล้วทิ้งหัวลงบนลาดไหล่กันอีกครั้งหนึ่ง

“ลูกชายเขาน่ะ”

เดาว่าคงเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพราะเคยได้ยินข่าวว่าลูกชายเจ้าของโมเดลลิ่งนั่นก็เป็นเกย์เหมือนกับเอย์จิ

“อ๋อ... แล้วทอย?” ผมพุ่งเป้าไปที่เพื่อนสนิทเพราะกลัวมันจะไปก่อเรื่องให้เอย์จิลำบากแล้วพาลผิดใจกันอีกรอบ คราวนี้คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วแม้แต่พี่ยูก็เถอะ

“อ่า ก็วันนั้นไปถ่ายงานที่ภูเก็ต ทอยไม่รู้ตามไปได้ยังไง จังหวะนั้นไอ้ลูกเจ้านายก็กำลังนัวเนียกับเรา... เออ ก็สนุกๆ อะ พอจะเดาออกปะว่าเกิดอะไรขึ้น?” เอย์จิผละตัวออกอีกครั้งแล้วเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วยรอยยิ้มแห้ง ก็นะ... สนุกไปเรื่อยเพื่อประชดความรักเฮงซวยแน่นอน ปกติไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่

“เละ” ผมตอบพลางทำหน้าเหยเก คนอย่างไอ้ทอยมันพุ่งชนคนที่ยุ่งย่ามกับของรักของหวงได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเลยล่ะ

“อืม ประมาณนั้น ต่อยเขาแล้วตะโกนบอกรักเราด้วย”

โอ้โห อยากจะด่าและชมเพื่อนในเวลาเดียวกันเลยว่ะ ทำได้ดีแต่ก็กร่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเกินไป

“เรื่องใหญ่สินะ”

“ก็... เขินมากกว่ารู้สึกโกรธล่ะนะ”

หืม ไหงเป็นงั้นเล่า ควรห่วงเรื่องงานไม่ใช่เหรอ?

“ห๊ะ หนีมาที่นี่เพราะเขินไอ้ทอย?”

“เออ ไม่ได้ถูกไล่ออกหรอก ลูกเจ้านายก็โดนอบรมไปเพราะทำเรื่องไม่เหมาะสม ก็หน้าหาดอะเนอะ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังไง”

จ้า พูดไม่ออกเลย เอาเถอะ ไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว

“อ๋อ เด็กน้อยเหรอ?”

“อื้อ เพิ่งเรียนปีหนึ่งอะ”

“กินเด็กนะเรา” ผมเอ่ยแซว ในขณะที่เอย์จิก็ไหวไหล่เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป

“ก็เด็กมันน่ากินนี่นา” แหนะ ขยิบตาตบท้ายนี่ทำให้ขนลุกได้เลยนะ

บทสนทนาหยุดลงเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปมากกว่ารอยยิ้ม ต่างคนต่างมองนั่นนี่ไปเรื่อยและตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ตกลงว่าเอย์จิกับไอ้ทอยญาติดีกันแล้วใช่ไหมนะ สงสัยว่ะ

“ยังโกรธทอยอยู่หรือเปล่า?” ผมถามขึ้นลอยๆ แอบเหลือบมองปฏิกิริยาคนด้านข้างเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเอย์จิจะยิ้มนะ เป็นยิ้มที่ละมุนทีเดียว

“คำตอบเราโคตรใจง่ายเลย ไม่โกรธตั้งแต่ทอยโทรมาง้อครั้งแรกแล้ว แต่แกล้งตีมึนเพราะอยากดูพฤติกรรมต่อว่าจริงใจหรือเปล่า” หลังจากตอบสิ่งที่คาใจให้ผมจนหมดเปลือกเจ้าตัวก็เอนหลังลงบนพื้นนอนแผ่ดูดาวด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ดวงตาทอประกายแห่งความสุขแต่ก็ยังมีนิดหน่อยที่เผลอฉายแววกังวล

“ดีแล้วล่ะ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องรีบ” ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยนั่นเล่นเบาๆ เอย์จิบุ้ยปากใส่ก่อนจะบ่นออกมา ทางท่าน่ารักจนอยากอัดคลิปไปฝากไอ้ทอยเลยล่ะ

“อื้อ ถ้าทอยรีบก็ให้มันไปหาคนอื่นเลย”

“จะยอมให้เป็นแบบนั้นจริงเหรอไง?” ผมแกล้งถามแล้วพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้ เชื่อสิว่าต้องโวยวายแน่ๆ หึหึ

“บ้าสิ ประชดเว้ย!”

นั่นไง เอย์จิก็คือเอย์จิล่ะน้า ไอ้ทอยไม่มีวันแห้วแน่นอน



----------------------------------------------------

ทุกคู่เคลียร์ปัญหาแล้วเนอะ อีก 3 ตอนก็จะจบแล้ว ~


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอย์จิ กินเด็กหราาา 555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
จานที่ 22 : คาคุนิ



หลังจากที่เติมพลังในทริปญี่ปุ่นจนอิ่มหนำทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติคือการทำงานและส่งหลานไปโรงเรียน เช้านี้ผมมีหน้าที่เตรียมอาหารง่ายๆ สำหรับสี่คนทานโดยได้ลูกมือเป็นนายแบบหน้าหล่อที่ยังมีอาการงัวเงียจะหลับกลางอากาศอยู่ทุกเมื่อ ถ้ามันลำบากขนาดนี้ก็เดินกลับห้องเถอะ เห็นแล้วสงสารชะมัด

“ไปนอนต่อเหอะ” ผมออกปากไล่เอย์จิให้กลับไปนอนเพราะตอนนี้เจ้าตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะอาหารไปแล้ว เห็นสภาพก็เพลียแทน กลางคืนนี่ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์งุ้งงิ้งยันตีสองตีสามทำอย่างกับมีปั๊บปี้เลิฟ อายุจะสามสิบกันแล้วช่วยดูแลสุขภาพกันหน่อย ขี้เกียจพาไปหาหมอเนี่ย

“อยากช่วย” เสียงยานคางดังขึ้นทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกในขณะที่มือก็ยังคงตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูเพื่อนำไปทำไข่เจียวซูเฟล่ เอย์จิจะช่วยให้ยุ่งยากกว่าเดิมน่ะสิ เฮ้อ

“ไปนอนรอดีกว่า เราทำคนเดียวได้” ผมยืนยันคำเดิมก่อนจะละมือออกจากชามไข่ขาวแล้วเดินไปตบบ่าเอย์จิเพื่อให้เขาย้ายก้นซะที แต่สิ่งที่ได้รับความเงียบพอลองเงี่ยหูฟังใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงกรน อืม... เผลอนิดเดียวหลับไปซะแล้ว เอาว่ะ ทำอาหารต่อดีกว่า

ผมเทไข่ขาวฟูลงในชามไข่แดงที่ตีผสมกับเกลือเรียบร้อยแล้ว ค่อยๆ ใช้ไม้พายตะล่อมส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากันก่อนจะย้ายมันใส่ถ้วยเซรามิกที่มีเบคอนรองอยู่ตรงก้น หลังจากนั้นก็นำเข้าเตาอบประมาณ 8-10 นาที ระหว่างรอก็หยิบไส้กรอกออกมาทอดเพิ่มปริมาณอาหารสำหรับผู้ใหญ่สามคน เตรียมนมอุ่นๆ และน้ำผลไม้เป็นอันเสร็จพิธี

ผมเหลือบมองซากศพของเอย์จิอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปสะกิดแขนเพื่อปลุก หน้าตางัวเงียบวกกับเสียงครางอือนั้นทำให้หลุดหัวเราะได้ง่ายๆ สภาพไม่เหมือนนายแบบในหน้านิตยสารที่วางแผงเมื่อหลายวันก่อนเลย ต่างกันลิบลับ

“ลุกไปล้างหน้าล้างตาหรือจะอาบน้ำเลยก็ได้”

“อื้อ” เอย์จิพยักหน้าหงึกหงักจนผมสยายไปทั่วเหมือนสิงโตแต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้นสักที ดวงตาคมยังปิดสนิทเหมือนคนไม่ยอมตื่น เฮ้อ วันนี้จะทำงานไหวไหมเนี่ย ลาก็คงไม่ได้เพราะต้องไปเดินแบบเปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่ของเพื่อน

“เอ้า ลุกสักทีเดี๋ยวไปทำงานสาย แล้วนี่ขับรถเองหรือเปล่าวันนี้?” ปกติแล้วเอย์จิไม่ค่อยขับรถเองในเมืองไทยเท่าไหร่เพราะชอบหลงทางตลอด ส่วนมากไม่ผมก็พี่ยูจะผลัดกันไปส่งเขาที่สตูฯ หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้จัดการหรือลูกค้ารับช่วงต่อ

“หึ เดี๋ยวมีคนมารับ” เอย์จิตอบด้วยน้ำเสียงรายเรียบก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อบิดขี้เกียจ หน้าท้องขาวเริ่มมีกล้ามเนื้อโผล่พ้นชายเสื้อที่ยกสูงขึ้น ขอบกางเกงในยี่ห้อ Diesel ปรากฏสู่สายตากันเต็มๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงพุ่งใส่เขาไปแล้ว แต่ตอนนี้น่ะเหรอ... สมองมันสั่งให้คิดถึงพี่ยูตลอดน่ะสิ Calvin Klein หมิ่นเหม่อยู่ตรงช่วงสะโพก โอย ฟุ้งซ่าน!

“พี่ผู้จัดการน่ะเหรอ?”

“โน” อ้าว

“งั้นเพื่อน?”

“ไม่ใช่อะ” หืม?

“แล้วใครวะ?” เออ คิดไม่ออกแล้วเนี่ยว่าใครจะมารับเอย์จิไปส่ง หรือว่าไอ้ทอย? อันนี้ผมไม่กล้าถามสักเท่าไหร่

“เดี๋ยวปัณณ์ก็รู้เองล่ะน่า” พูดจบก็เดินฮัมเพลงออกไปจากครัว ปล่อยให้ผมยืนคิดไม่ตกอยู่คนเดียว

ผมละเรื่องของเอย์จิเอาไว้แล้วลงมือจัดโต๊ะอาหารเช้าก่อนจะเดินไปยังห้องนอนเพื่อดูว่าสองพ่อลูกพร้อมจะกินข้าวหรือยัง ตอนนี้เกือบจะเจ็ดโมงแล้วถ้าช้ากว่านี้คงสายโด่ ในจังหวะที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากลอดออกมาด้านนอก เดาว่าพี่ยูคงแกล้งอะไรริวอีก ปล่อยให้อยู่กันสองคนที่ไรเป็นแบบนี้ทุกที

“สองพ่อลูกพร้อมกินข้าวกันหรือยังครับ?” ผมโผล่แค่ส่วนหัวเข้าไปในห้องแล้วร้องถามสองคนที่กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ท่อนบนเปลือยเปล่าของพี่ยูเต็มไปด้วยแป้งเด็กเลอะลามไปจนถึงกางเกงยีนส์ ส่วนริวมีแค่เสื้อนักเรียนกับชั้นในติดตัว พวกเขาชะงักก่อนจะหันมาฉีกยิ้มหวานทั้งพ่อทั้งลูกเมื่อรู้ตัวว่าทำผิด

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสอดตัวเข้าไปด้านในแล้วจัดการอุ้มเจ้าตัวแสบขึ้นแนบอกเพื่อวางลงบนเตียงแล้วส่งสายตาคาดโทษให้คนแก่ที่ไม่รู้จักดุริวบ้างปล่อยให้วิ่งเล่นตามใจชอบ ช่วงนี้รู้สึกตัวเองสวมวิญญาณเป็นคุณแม่จำเป็นบ่อยเหลือเกิน อีกอย่างคือเหมือนมีลูกชายสองคน

“ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยครับ?” ผมเอ่ยถามเจ้าตัวแสบที่กระโดดดึ๋งๆ อยู่บนเตียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ครั้นจะบังคับให้อยู่นิ่งก็ไม่ยอม ไงล่ะ ดื้อเพราะพ่อตามใจเนี่ย

“ริวอยากเล่น” คำตอบใสซื่อทำให้ผมถอนหายใจเฮือกพลางขมวดคิ้วมองหน้าหลานอย่างจริงจัง ริวชะงักกึกเมื่อรับรู้ถึงสายตาไม่เป็นมิตร บางเล็กๆ เบะลงเหมือนจะร้องไห้ ก็ดื้อนักต้องโดนดุทั้งพ่อทั้งลูก

“ไม่ใช่เวลาเล่นครับ ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน” ผมว่าก่อนจะลงมือติดกระดุมเสื้อนักเรียนจนเรียบร้อยแล้วคว้ากางเกงตัวจิ๋วมาใส่ให้ สำรวจการแต่งตัวของหลานตั้งแต่หัวจรดเท้าเสร็จก็หันไปทางคนแก่ที่ยืนยิ้มแหย่และเกาหัวแกรกๆ อยู่ไม่ไกล

“ริวออกไปกินมื้อเช้ากับอาจินะครับ เดี๋ยวน้าขอคุยกับป๊าหน่อย” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวหลานด้วยความเอ็นดูก่อนจะแอบตีก้นให้เดินออกจากห้อง แต่ดูเหมือนวันนี้เจ้าตัวแสบจะดื้อกว่าปกติเพราะริวยังยืนจ้องหน้าตาแป๋ว อยากได้อะไรอีกล่ะนี่

“งื้อ ม๊าปัณณ์ไม่งอนป๊าน้า” เจ้าตัวแสบเข้ามากอดขาแล้วทำเสียงออดอ้อนพร้อมกับช้อนตัวตากลมมองกัน ผมชะงักไปตั้งแต่ตอนนี้ได้ยินหลานใช้คำเรียกแปลกๆ

“เดี๋ยวๆ ริวเรียกน้าว่าอะไรนะ?” ผมนั่งยองๆ เพื่อให้ตัวสูงเท่ากับเจ้าตัวแสบ หลานเอียงคอมองก่อนจะคลี่ยิ้มหวานออกเสียงเรียกอีกครั้งอย่างชัดเจน

“ม๊าปัณณ์ ~” เฮ้ย เรียกแบบนี้ไม่ได้นะ

“ใครสอน?” ผมกดเสียงต่ำถามริวแต่สายตากลับเหล่มองผู้ใหญ่ที่แอบย่องไปนั่งบนเตียงด้านหลัง จะมีใครสอนลูกพูดแบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่พี่ยู

“ป๊า!” ริวตอบเสียงดังฟังชัดแถมยังชี้นิ้วไปที่พ่อบังเกิดเกล้า พี่ยูผลุบเข้าใต้ผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว หึ แต่อย่าหวังว่าจะหนีพ้นนะ ยังไงก็โดยอมรมแน่นอน

“หึ ออกไปกินข้าวได้แล้ว” ผมก้มลงหอมเหม่งหลานหนึ่งทีเป็นรางวัลที่บอกว่าใครสอนเรียกแบบนั้น

“ฮับ ~” เสียงเล็กตอบเจื้อยแจ้วก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง ได้ยินพี่ยูขยับตัวออกจากผ้าห่มก็รีบหันมองทันที ขายาวชะงักกึกหันมาคลี่ยิ้มหวานฉ่ำแต่มันไม่ได้ลดอารมณ์คุกรุ่นในอกผมได้เลย เฮ้อ ต้องมาออกปากเตือนคนโตกว่ามันรู้สึกไม่ดีเลยไง

“พี่ยูจะไปไหนครับ?” ผมเดินเข้าไปใกล้พลางเอื้อมมือจับแขนแกร่งให้หยุดอยู่กับที่เพราะเขาเอาแต่จะหนีท่าเดียว ดวงตาคมไม่ยอมสบกันเลยสักครั้งเหมือนเด็กรู้ตัวว่าทำความผิด หึหึ เดี๋ยวโดนไม่ใช่น้อยนะคนแก่ เล่นอะไรถึงได้สอนลูกแบบนั้นเนี่ย

“ไปกินข้าวกับลูกครับ”

“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ?” ผมแกล้งมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ใส่แค่กางเกงยีนส์จะไปกินข้าวแล้วเหรอ ไอ้คราบแป้งก็ไม่คิดปัดทิ้งเลยเนอะ มีพิรุธเกินไปแล้ว

“คือ...”

“ทำไมสอนริวแบบนั้นครับ?” ผมไม่เว้นจังหวะให้พี่ยูแก้ตัวเลยถามสวนกลับไปแบบตรงๆ

“พี่แค่อยากให้ริวเรียกปัณณ์แบบนั้น น่ารักดี” เสียงอ่อยๆ เอ่ยตอบกันจนผมได้แต่ถอนหายใจแล้วดันไหล่ให้พี่ยูนั่งลงบนเตียง ส่วนตัวเองก็ทิ้งตัวลงบนพื้นเงยหน้าขึ้นมองเขา

“ไม่คิดว่าริวจะสับสนเหรอครับ ผมเป็นผู้ชายนะ เรียกม๊าได้ที่ไหนกัน?” ผมถามด้วยน้ำเสียงปกติเพราะเข้าใจว่าพี่ยูกำลังคิดอะไร แต่การที่เด็กอายุแค่สามขวบต้องรับรู้เรื่องแบบนี้มันก็ไม่สมควรหรือเปล่า หลานยังไม่เข้าใจคำว่าแฟนหรือความรักรูปแบบอื่นๆ นอกจากครอบครัวเลยสักนิด

“พี่คิดน้อยไปหน่อย ขอโทษครับ” พี่ยูเอ่ยคำขอโทษก่อนจะโน้มตัวลงมากอดพลางซบหน้าลงบนลาดไหล่ กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากร่างกายกำยำทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแต่คงามกังวลเรื่องริวยังไม่จางหาย กลัวหลานจะโดนใครๆ ล้อที่มีแม่เป็นผู้ชาย โธ่ ถ้าไม่เผลอเรียกนอกบ้านมันก็ดีอยู่หรอก ออกจะเขินด้วยซ้ำ

“ผมเข้าใจว่าพี่ยูอยากให้ริวรู้ความสัมพันธ์ของเรา แต่หลานยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องนี้ แล้วถ้าเขาเอาไปบอกคนอื่นจะเป็นยังไงครับ กลายเป็นตัวตลกสำหรับเพื่อนหรือเปล่า?” ผมพูดสิ่งที่คิดอย่างใจเย็นพลางลูบหลังคนแก่เพื่อปลอบโยนความรู้สึกของเขา นานนับนาทีที่เราไม่ได้ผละออกจากกันแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเขาขยับลงมานั่งบนพื้นแล้วออกแรงกระชับกอดจนแน่น

“อืม... พี่นี่ไม่โตเลยเนอะ” อยู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะฝืดๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่แรงกอดรัดรอบเอวคลายออก ผมใช้สองมือประคองหน้าพี่ยูให้มองสบตากันก่อนจะเคลื่อนเข้าหาเพื่อประทับริมฝีปากลงไปตำแหน่งเดียวกันอย่างแผ่วเบา ถึงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นเด็กในบ้างเรื่องก็ไม่มีปัญหาเพราะคนเราไม่มีใครเฟอร์เฟ็คไปทุกอย่างหรอก

“แต่ผมก็รักพี่ที่เป็นแบบนี้นะครับ คราวหน้าจะทำอะไรก็คิดเยอะๆ หน่อย” ผมเอ่ยเตือนหลังที่ผละออกมามองหน้ากัน พี่ยูพยักหน้ารับก่อนที่จะเปลี่ยนสายตาเศร้าสร้อยเป็นระยิบระยับ อะไรของเขาวะ รู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้

ผมปัดป่ายมือที่ยังโอบรอบเอวไว้หลวมๆ นั้นออกจาตัวก่อนขยับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งสายตาระแวดระวังไปให้พี่ยูที่ตอนนี้ยืนเลียปากแผล็บอยู่ไม่ไกล ไอ้ท่าทางหื่นกระหายนี่มันยังไงวะ นี่มันกลางวันแสกๆ มีภารกิจต้องทำอีกเยอะนะ โอย

“พูดแบบนี้อยากโดนจับฟัดเหรอ?” ใครจะไปอยาก!

“ปัดแป้งออกจากตัวแล้วใส่เสื้อก่อนดีไหมครับ? สายโด่แล้วนะ” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะปล่อยให้พี่ยูได้จัดการตัวเองให้เรียบร้อยส่วนตัวเองก็เดินผิวปากอย่างมีความสุขที่สามารถเอาคืนคนหื่นกามได้ สะใจดี

ในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินตรงไปยังห้องครัวกลับได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นหลายครั้งจนต้องเบนความสนใจไปที่ประตูบ้าน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเพราะคิดไม่ออกเลยว่าใครจะมาหากันตั้งแต่เช้า อยากตะโกนถามเอย์จิแต่ก็กลัวรบกวนเวลาอาหาร สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าตัวเองควรไปดูอย่าปล่อยให้แขกต้องรอ

ผมก้าวขายาวๆ ไปที่ประตูแล้วเปิดมันออก ภาพตรงหน้ารั้วทำให้ชะงักเล็กน้อยเพราะไม่เคยคิดว่าไอ้ทอยจะมาอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ทั้งที่ไม่มีตารางบิน หัวคิ้วที่เคยขมวดแน่นนั้นเพิ่มเลเวลขึ้นอีกจนรู้สึกได้ถึงรอยย่นตรงหน้าผาก หรือคนที่เอย์จิหมายถึงคือมัน ความสัมพันธ์คืบหน้าขนาดนี้เชียวเหรอ ภายในเวลาแค่สองสามอาทิตย์เนี่ยนะ

“มึงมาทำอะไรที่นี่?” คำถามแรกของผมเมื่อเจอเพื่อนไม่มีการห่วงใยถึงสุขภาพเลยสักนิดทั้งที่มันเพิ่งส่งไลน์มาบอกเมื่อคืนว่าเจ็บคอและหวัดกำลังจะแดกแต่โดยรวมที่สังเกตภายนอกแล้วก็ดูสดใสดีนี่หว่า โกหกกันหรือเปล่า ไอ้บ้านี่ชอบแกล้งให้คนอื่นเป็นห่วงซะด้วย คนโรคจิต

“ไม่ได้มาหาคนมีผัวหรอกน่า” มันตอบหน้าระรื่นก่อนจะพยักพเยิดให้ผมเปิดประตูรั้วแต่เรื่องอะไรที่ต้องทำตามในเมื่อยังไม่ได้คำตอบที่พอใจแถมยังโดนกวนตีนอีก ปล่อยให้ยืนตากแดดอยู่ด้านนอกนั่นล่ะดีแล้ว สมน้ำหน้าแม่ง

“สัด ไม่ตอบก็ไม่ต้องเข้าบ้าน” ผมเค้นเสียงรอดไรฟันก่อนจะเอนหลังพิงกรอบประตูบ้านทำหน้าตากวนตีนใส่คนที่ยืนแยกเขี้ยวอยู่หน้าบ้าน มันส่งนิ้วกลางให้ทีหนึ่ง บ่นพึมพำอีกยาวเหยียดจนเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างพี่ยูเดินออกมา คราวนี้ล่ะ ดูสิว่าจะตอบคำถามยังไง

“สวัสดีครับพี่ยู” ไอ้ทอยกลับมาสงบเสงี่ยมทันควันแถมยังยกมือไหว้พี่ยูอย่างกับจะลงประกวดมารยาทไทย ทีกับผมนี่กวนตีนจนอยากต่อยปากให้แตก คนอะไรตีสองหน้าเก่งนัก หึ ระวังตัวไว้เถอะ

“อืม มาทำอะไรแต่เช้า?”

คำถามเหมือนกันเป๊ะ ดูสิว่ามันจะตอบยังไง แหนะ เหลือบตามองกูเพื่อ?

“อ่า พอดีว่ามารับเอย์จิไปส่งที่สตูฯ น่ะครับ” มันตอบพลางคลี่ยิ้มบาง ดูท่าทางจริงใจและอ่อนน้อมกับพี่ยูจนน่าหมั่นไส้ เพราะกำลังจีบน้องเขาอยู่ใช่ไหมถึงได้ทำตัวเป็นเด็กดีขนาดนี้ แต่ผมยอมรับเลยว่าไอ้ทอยเก่งจริงที่สามารถเคลียร์ปัญหากับคู่นอนนับสิบคนได้ในเวลาไม่นานทั้งที่ปกติแล้วมันเป็นคนไม่เด็ดขาดเอาซะเลย ก็คงคิดจริงจังกับเอย์จิถึงขั้นที่ว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงน่าจะขอแต่งงานไปเลย

พี่ยูพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้ผู้มาเยือน เขาเอื้อมมือมาจับท่อนแขนกันแบบเนียนๆ แล้วกระตุกเพื่อเป็นสัญญาณให้เดินเข้าบ้านพร้อมกัน ผมที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยทำตามอย่างไม่มีข้อกังขา ตกลงเขายอมรับไอ้ทอยหรือไม่ยอมรับกันแน่ ทำไมรู้สึกเหมือนเพื่อนกำลังโดนแกล้งทดสอบความอดทนวะ

“คือ... จะให้ไอ้ทอยยืนรออยู่ตรงนั้นเหรอครับ?” ผมออกปากถามเมื่อเราเดินใกล้จะถึงโต๊ะอาหารพลางลอบมองแผ่นหลังกว้างที่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับกระชับมือที่จับแขนกันให้แน่นขึ้น ตอนนี้ให้เดาอะไรก็คงยากว่ะ พี่ยูคิดอะไรกันแน่หรือยังหึงเรื่องเก่าๆ อยู่

สุดท้ายผมก็โดนบังคับให้นั่งกินอาหารเช้าไปเงียบๆ ด้วยสายตาคมดุ อยากจะถามก็ถูกเบรกด้วยการโดนป้อนไส้กรอกใส่ปาก โธ่ ก็ไหนว่าไม่หวงเอย์จิไง การกระทำนี่ยิ่งกว่าพ่อหวงลูกสาวอีกนะ ไอ้ทอยคงเจอก้างชิ้นใหญ่แล้วล่ะ

“พี่ยู” เสียงเอย์จิดังขึ้นเมื่อทุกคนวางอาวุธในมือลงแล้ว พี่ยูหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามในขณะที่มือก็คว้าแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ ผมกับริวเหมือนผู้ชมเหตุการณ์อยู่ไกลๆ ทั้งที่ควรย้ายก้นออกจากโต๊ะแล้วไปโรงเรียนกันได้แล้ว ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า ก็ไอ้บ้าข้างนอกก็เพื่อน ตรงหน้าก็น้องชายของแฟน ความสัมพันธ์ช่างซับซ้อนเหลือเกิน

“ทอยอยู่หน้าบ้านใช่ปะ?” คนถามลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจัดเสื้อเชิ้ตสีหวานให้เข้าที่ก่อนจะเลยไปที่กางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีขาวสะอาด การแต่งตัวของเอย์จิถือว่าขัดหูขัดตามากเพราะมันดูไม่เหมาะสมกับการไปทำงานแล้วยิ่งไอ้ทอยเป็นประเภทหื่นกามไม่แพ้พี่ยูอีก ไว้ใจได้ที่ไหนกัน

“รู้อยู่แล้วจะถามทำไม?” พี่ยูถามกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ฝ่ายเอย์จิเริ่มแสดงสีหน้าไม่ชอบใจทั้งยังกอดอกมองหน้าอีกคนด้วยสายตาจริงจัง คนสังเกตการณ์อย่างผมแสร้งดื่มนมในแก้วจนมันหกเลอะกางเกง โธ่เว้ย ทำไมต้องมาซุ่มซ่ามตอนนี่เนี่ย

“ไม่ชวนเขาเข้ามาล่ะ” เสียงเริ่มแข็ง

“ถ้าแค่นั้นรอไม่ได้ก็กลับไปซะ” ฝั่งนี้ก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน วางแก้วลงบนโต๊ะดังปึงจนริวถึงกับสะดุ้ง พวกเราควรปลีกตัวออกไปโรงเรียนกันหรือเปล่านะ แต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วเวลายังเหลือถมเถไป เผือกอีกสักนิดเถอะ พอดีรู้สึกสงสารไอ้ทอยที่ยืนตากแดดอยู่ด้านนอก

“นี่พี่กำลังหวงผมใช่ไหม?”

“คิดไปเองหรือเปล่า?”

“ถ้าไม่หวงพี่จะแกล้งทอยทำไมกัน?” ผมเห็นด้วยกับคำถามของเอย์จินะ ถ้าพี่ยูไม่หวงน้องก็ไม่จำเป็นต้องกีดกันขนาดนี้เลย

“เอาคืนที่มันทำแกเสียใจไง” พี่ยูตอบหน้าตายก่อนใช้สายตาดุๆ มองเอย์จิกลับ น้ำเสียงไม่ได้จริงจังแต่ก็ไม่มีแววล้อเล่น เขาคงกำลังพยายามเข้าใจในความรู้สึกของน้องเช่นกันซึ่งผมก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของคนในครอบครัวนั้น มากที่สุดคงทำได้แค่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายคุยกันดีๆ ไม่ใช่อารมณ์ล่ะมั้ง

“เพิ่งรู้ว่าพี่ยูเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเขาด้วย” เอย์จิหรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนใช้มือทั้งสองข้างเท้ากับโต๊ะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้พี่ยูเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายต้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูงบ้าง คราวนี้เขาจะต่อยกันหรือเปล่าวะ ผมได้แต่หวั่นๆ คว้าตัวริวมานั่งบนตักแล้วกอดไว้

“หึ ถ้าพี่ไม่รักแกก็คงไม่ทำขนาดนี้หรอกเพราะมันดูเหมือนเด็กก้าวร้าว” พี่ยูหันหลังให้ทุกคนหลังจากพูดประโยคนั้นจบ ผมกับเอย์จิมีความอึ้งเมื่อได้ฟังคำบอกรักที่นานๆ ครั้งจะหลุดออกจากปากเขา ขนาดริวยังล้อเลียนด้วยการย้ำคำนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างร่าเริงจนต้องเอื้อมมือไปห้าม ถ้าป๊าโมโหขึ้นมาเดี๋ยวจะโดนไล่ทั้งน้าทั้งหลานนะลูก

“โธ่ ไม่เห็นต้องเอาคืนทอยแบบนั้นเลย” คนโดนบอกรักอมยิ้มจนแก้มแทบแตกโดยที่ไม่ถือโทษโกรธพี่ชายบังเกิดเกล้า สองแขนเรียวสอดรอบเอวสอบก่อนกระชับไว้แน่นจากด้านหลัง อืม... ผมน่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วส่งให้คุณป้าดูนะ ลูกชายสองคนกำลังงอนง้อกันน่ารักดี แต่คิดแล้วนั่งอยู่เงียบๆ ดีกว่า ไม่อยากโดนข้อหาแอบถ่าย

“แกมันขี้ใจอ่อนไงเอย์จิ เขาพูดหวานหน่อยก็ยอมทุกอย่างแล้ว”

“เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้น” เอย์จิยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวัน สีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนคนถูกจับได้ว่าทำผิด ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะท่าทางเขาคล้ายๆ กับว่าเข้าใจความหมายพี่ยูผิดปะวะ คำว่า ‘ยอม’ ของแต่ละคนขอบเขตไม่เท่ากัน

“แกนึกว่าพี่ไม่รู้เรื่องเหรอ?” พี่ยูหันกลับมาจ้องคู่กรณีตาเขม็ง คราวนี้ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มร้อนระอุแปลกๆ จนต้องแสร้งสะกิดริวให้ช่วยกันเก็บจานไปล้างที่ซิงค์ หลานเชื่อฟังดีแถมไม่ส่งเสียงขัดจังหวะป๊ากับอาของตัวเองด้วย

“หืม เรื่องอะไร?”

“แกกับทอยเกือบจะได้กันบนนี้” พี่ยูตบโต๊ะ ผมสะดุ้งเฮือกไม่แพ้ริวที่เริ่มเบะปาก

“ห๊ะ?” ฉิบหาย ผมหลุดอุทานไปได้ยังไงกันวะ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวสักเท่าไหร่ โอย หัวใจจะวาย แต่ไอ้ประโยคเมื่อครู่มันหมายถึงบนโต๊ะอาหารนั่นใช่ไหม โอย ไอ้ทอยกับเอย์จิเกินไปแล้วจริงๆ อายผีบ้านผีเรือนบ้างเหอะ

“พะ พี่ยูรู้ได้ยังไง?” เอย์จิละล่ำละลักถามแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมที่พยายามเอี้ยวคอกลับไปมองก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังเขามันช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน ทิ้งจานแล้ววิ่งไปเผือกตรงๆ ได้ไหม

แต่ไอ้ทอยกับเอย์จิทำแบบนั้นกันจริงๆ เหรอ?

“แกคิดว่าอยู่กันสองคนหรือไงถึงได้มานัวเนียกันในที่แบบนี้น่ะ” จากคำพูดของพี่ยูเหมือนมีบุคคลที่สามเข้ามาเห็นเหตุการณ์ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นคุณป้าเพราะไม่มีใครถือกุญแจบ้านนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว แบบนั้นก็โคตรซวยเลยไม่ใช่เหรอวะ

“ก็...”

“แกอย่าลืมว่าริวเป็นเด็ก เห็นอะไรก็เล่าไปซะหมดทุกอย่าง ทำอะไรก็ควรระวังตัวไว้ด้วย แล้วจนกว่าจะตกลงคบกับทอยก็ห้ามเลยเถิดอีก เข้าใจไหม?” พี่ยูไม่ได้ใส่อารมณ์ในการพูดตักเตือนคนเป็นน้องเลยสักนิดแต่พยายามใช้เหตุผลมากกว่า ทั้งหมดนั่นผมรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงและความรักของพี่ชายคนหนึ่ง ไม่ว่าเราจะเป็นเพศไหนก็ควรรักษาระยะห้ามทำอะไรเกินเลยกับคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักแบบนั้น ส่วนที่เสเพลมาก่อนหน้านี้ให้ถือเป็นอดีตไป

“งั้นผมไปขอทอยคบกันวันนี้เลยดีกว่า” เสียงทะเล้นพร้อมรอยยิ้มกวนๆ ของเอย์จิทำให้พี่ยูถึงทำอะไรสักอย่างหล่นลงพื้น คาดว่าน่าจะเป็นกล่องนมมั้ง ส่วนผมนี่เกือบทำจานหลุดมือ โอย อย่าไวไฟกันนักเลย หัวใจคนเป็นพี่และเพื่อนจะวายเอาเว้ย

“เอย์จิ!” เสียงตวาดดุๆ จากพี่ยูดังขึ้นพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ย่างสามขุมเข้าหาน้องชาย เอย์จิรีบก้มตัวลงกอดพี่ชายไว้แน่นแล้วพูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอด ผมที่ยังคงง่วนกับการล้างจานหลุดหัวเราะเสียงเบาจนริวเอียงคอมองด้วยความสงสัย เรื่องของผู้ใหญ่ครับเด็กยังไม่ควรรับรู้

“โธ่ ผมล้อเล่นน่าพี่ยู เอาเป็นว่ารับทราบความห่วงใยแล้วครับ จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” เอย์จิผละตัวออกมาทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารเพื่อเป็นการรับทราบ ก็ดูน่ารักดีแต่สำหรับพี่ยูคงอยากถีบมากกว่ามั้ง เอ้า ผมล้างจานเสร็จสักที อุ้มริวไปขึ้นรถดีกว่าเพราะเดี๋ยวจะสาย

“อืม ดีแล้ว รีบไปทำงานซะ”

“ครับๆ คุณพ่อ ~” เอย์จิทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะยืดตัวหอมแก้มพี่ชายแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านโดยเร็ว ไอ้ผมที่กำลังย่องออกจากครัวพร้อมหลานรู้สึกเสียวสันหลังวาบยังไงไม่รู้เมื่อพี่ยูหันมาสบตา เวรกรรมจากการเผือกเรื่องคนอื่นตามมาเร็วจัง

“แล้วสองน้าหลานนี่ยังไม่ไปโรงเรียนกันอีกเหรอครับ หรือรอให้ป๊าหอมเหม่งคนละทีหืม?” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่าลงบนหัว ผมรีบเดินหนีแต่ก็โดนแขนแกร่งกั้นทางออกไว้จนหมด ตอนนี้หัวใจคงอยู่ที่ตาตุ่มแล้วแต่ริวกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกเพราะยิ้มร่าเชียว โอย ไม่ดีเลยลูก น้าจะโดนขย้ำเนี่ย

“ริวเลยครับ ผมไม่เกี่ยว” ผมส่งหลานให้พี่ยูแต่อีกคนไม่ยอมรับในขณะที่ท่อนแขนแกร่งสอดมารัดรอบเอวสอบไว้แน่นจนริวที่อยู่ตรงกลางแทบแบนจมอกคนเป็นพ่อ แต่สีหน้าเจ้าตัวแสบก็มีความสุขดีคงคิดว่าผู้ใหญ่สองคนชวนเล่นทั้งที่มันไม่ใช่ นี่มันสถานการณ์ชวนอึดอัดเลยนะ กำลังจะโดนลวนลามเนี่ย ต่อหน้าเด็กด้วย ไม่ได้นะ ห้าม!

“ไหนๆ ก็หอมริวแล้วเผื่อแผ่คุณน้าด้วยเลยไง” อย่ามาทำสายตาวิบวับต่อหน้าลูกสิวะ เพิ่งพูดเรื่องความไม่เหมาะสมอยู่เมื่อเช้านี่เอง โอย พี่ยู!

“ฮื่อ! ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้วะ” ผมกัดฟันกรอดพลางเอื้อมมือไปฟาดต้นแขนพี่ยูลับหลังริว เขาทำเพียงแค่คลี่ยิ้มทะเล้นโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดเลยสักนิด กวนประสาทกันเกินไปหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวให้ไปส่งริวแทนเลย เบื่อๆ ยัยครูคนสวยนั่นอยู่ด้วยเพราะเธอชอบชะเง้อคอมองหาคุณพ่อคนหล่อของนักเรียนตลอดเวลา

“แบบไหนครับ?” พี่ยูถามกลับด้วยใบหน้าใสซื่อจนอยากจะถีบให้กระเด็นแต่ก็ทำได้แค่จ้องตากลับอย่างไม่ยอมกัน

“ฉวยโอกาส”

“แหม... ก็นิดๆ หน่อยๆ มีแฟนทั้งที” ตีปากแตกได้ไหมเนี่ย ไม่คิดถึงริวกับผมที่ยืนฟังอยู่หรือไง แช้วจมูกน่ะเอาออกไปห่างๆ สิวะ

“มันเกี่ยวอะไรกับความเจ้าเล่ห์ไม่ทราบ?” คราวนี้ผมไม่เกรงใจเพราะสละมือข้างหนึ่งที่อุ้มริวไปผลักหน้าผากอีกคนให้ขยับออกห่างแต่เหมือนกับว่าการกระทำทั้งวันไปกระตุ้นต่อมขี้แกล้งของพี่ยู โอย อยากตี!

“หรือจะให้พี่ไปหอมคนอื่นก็ได้นะ”

ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที ความคิดในหัวตอนนี้คือไม่ไปส่งหลานให้แล้วเว้ย หงุดหงิดพ่อมันเนี่ย จะกวนประสาทอะไรนักหนา!

“อยากเป็นไอ้ด้วนก็ลองดูครับคุณแฟน” ผมแสยะยิ้มก่อนจะยัดเยียดริวให้กับพี่ยูแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างหน้าตาเฉย วันนี้ขอรับหน้าที่เปิดร้านนัทสึแทนแล้วกัน หึ

การทำงานในร้านอาหารยังคงมีสีสันไม่เคยเปลี่ยนเนื่องจากบรรดาสาวๆ ไม่คลายความนิยมในตัวพี่ยูลงเลย ซึ่งผมก็ทำได้แค่ทำใจและพยายามไม่หึงหวงจนเกินความพอดี อย่างเช่นตอนนี้ที่เชฟใหญ่โดนบรรดาลูกค้ารุมล้อมขอช่องทางการติดต่อส่วนตัว บางคนถึงขั้นร้องขออยากเป็นแม่ของริว โธ่ วันนั้นยังเห็นแอบด่าเด็กอยู่เลย

“เช็ดจนโต๊ะสีลอกแล้วมั้งปัณณ์?” พี่เคียวที่กำลังยกถาดอาหารไปเสิร์ฟเอ่ยล้อเลียนผมที่กำลังขัดถูโต๊ะตัวหนึ่งมานานนับห้านาทีเพราะมัวแต่มองพี่ยู ก็มันทำใจได้แต่ก็ไม่กล้าปล่อยในคาดสายตากลัวเขาเผลอไผลโอนอ่อนไปกับคำพูดหวานๆ ของสาวสวยพวกนั้น แต่ละคนยังอยู่ในวัยมหา’ลัยอยู่เลย เดี๋ยวนี้นิยมวัตถุโบราณกันเหรอ นี่ต้องเอาเก็บไว้ที่บ้านหรือเปล่านะ

“ไม่แซวดิ” ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งก่อนจะละมือออกจากโต๊ะตัวเดิมเพื่อหันหลังไปจัดการกับเศษซากจานที่อยู่ด้านหลังต่อ ได้ยินเสียงพี่เคียวหัวเราะเบาๆ ก็รู้สึกว่าแก้มร้อนที่เผลอแสดงความหึงหวงให้คนอื่นเห็น เฮ้อ เอาเป็นว่าไม่วีนแต่ก็โอเคแล้ว จะว่าไปช่วงนี้ลูกค้าไม่เยอะก็เลยมีช่วงเวลาพักเบรกยาวนานหน่อยแต่ว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงนี่สิ

“ก็ไม่อยากแซวหรอกแต่เห็นปัณณ์ถลึงตาแล้วกลัวมันจะหลุดออกมาข้างนอกอะ” คนที่กลับมาพร้อมถาดเปล่าโน้มตัวลงกระซิบข้างหูแล้วตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะคิกคักจนผมแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ  ถ้าเขาไม่พูดก็คงไม่รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหรอก ลองให้แฟนตัวเองถูกห้อมล้อมแบบนั้นดูบ้างสิยังจะล้อเล่นได้อีกไหม

“เดี๋ยวเถอะพี่เคียว”

“อูย หนีไปเตรียมอาหารเที่ยงดีกว่า” แล้วก็ปลีกตัวไปด้วยความเร็วสูงพร้อมถาดคู่ใจของเขาในขณะที่พี่ยูก็ยังไม่ออกจากวงล้อมผู้หญิงพวกนั้นสักที เฮ้อ ช่างมันเถอะ ถ้าเราไว้ใจพี่ยูซะอย่างคงไม่มีอะไรให้กังวลหรอก เพราะฉนั้นตามพี่เคียวไปเตรียมอาหารเที่ยงดีกว่า

“รอด้วย!”




----------------------------------------------

พี่ยูก็คือพี่ยูที่หวงน้องชายมากกว่าใครแถมยังชอบหากำไรจากแฟนอีกด้วย
ตอนหน้า... จบแล้วนะ ต้องจุดพลุหรือร้องไห้ดี 55555

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
บทส่งท้าย : ติดใจ



เช้าวันนี้แม้ว่าจะเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิต่ำแค่ไหนแต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเพราะด้านหลังมีร่างกายกำยำคอยโอบกอดให้อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ผมคลี่ยิ้มทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิท หัวใจเต้นแรงทั้งๆ ที่อีกคนไม่ได้ทำอะไรเกิน มันเป็นความรู้สึกดีที่ไม่สามารถบอกเล่าออกมาเป็นคำพูดได้ ถ้าทุกช่วงเวลาดำเนินไปอย่างนี้ได้เรื่อยๆ คงวิเศษมาก

ผมค่อยๆ ยกแขนแกร่งที่วางพาดอยู่บนเอวสอบออกช้าๆ เพื่อพลิกตัวเขาหาอกอุ่นลอบสูดดมกลิ่นที่คุ้นเคยเข้าปอดแล้วหลับตาพริ้มนึกถึงเรื่องราวระหว่างเราที่ผ่านมาตั้งแต่รู้จักกันจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีเสียใจ ผิดหวังและท้อแท้บ้างแต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอย ความสุขที่ได้มาจากความรักซึ่งกันและกันช่างหอมหวานเหลือเกิน

จุ๊บ

เสียงปากสัมผัสกับซอกคอทำให้ผมต้องดึงตัวเองออกจากความคิดก่อนจะช้อนตามองใบหน้าคมของพี่ยูที่บัดนี้กำลังแย้มยิ้มเต็มแก้ม มือหนาที่วางพาดอยู่แถวสะโพกเปลี่ยนมาลูบไล้ตรงรอยสักรูปเกล็ดหิมะตรงหลังใบหูสร้างความวาบหวิวจนต้องผละหนี

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือเพราะตอนนี้คอแห้งแถมยังกังวลเรื่องกลิ่นผากในยามเช้าแต่ดูเหมือนพี่ยูไม่ได้สนใจเรื่องนี้เพราะเขาขยับเขามาจุ๊บกันหน้าตาเฉย ถ้ารู้ว่าจะโดนลวนลามตั้งแต่ตอนตื่นคงไม่ยอมให้ริวแยกไปนอนกับเอย์จิหรอก ไม่น่าหลงกลคนเจ้าเล่ห์เลย

“ตั้งแต่โดนยกแขนออกนั่นล่ะครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางก่อนซุกหน้าลงบนซอกคอผมอีกครั้ง ได้ยินเสียงสูดลมหายใจถึงกับขนลุกชัน เขาก็น่าจะรู้ว่าตอนเช้าผู้ชายมีอาการแบบไหน ตอนนี้มันเริ่มตึงๆ แล้วสิ

“หยุดลวนลามกันก่อนครับ” ผมผลักใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยออกไปห่างๆ แต่มันกลับไม่เป็นผลเพราะมือปลาหมึกยังคงโอบรอบเอวแถมยังเพิ่มแรงกระชับกอดจนอะไรๆ ที่อยู่ใต้ผ้าห่มเสียดสีกัน เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าอยากขอร้องว่าให้เวลาพักบ้างเถอะ อย่าฟิตมากมายน่า

“ขอฟัดนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เหรอ?” ทำไมต้องใช้น้ำเสียงและสายตาออดอ้อนแบบนั้นด้วยครับ ไม่คิดว่าคนมองจะละลายกลายเป็นของเหลวบ้างหรือไง แต่ผมยอมใจอ่อนไม่ได้เพราะสภาพตัวเองในตอนนี้ใกล้เคียงกับซากศพเข้าไปทุกทีแถมระบมจนไม่กล้าขยับไปไหน

“เมื่อคืนยังไม่พออีกหรือไง ผมจะตายคาเตียงอยู่แล้ว” ผมถามเสียงฉุนก่อนจะใช้มือบีบจมูกคนหื่นไม่แรงมากนักเพื่อเอาคืนแต่ดูเหมือนว่าพี่ยูชอบใจกับสิ่งที่ได้ยินเลยหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ปัณณ์อยากน่ารักทำไมล่ะครับ?” พูดจบก็กดจมูกลงบนแก้มผมหนึ่งครั้งก่อนจะดึงรั้งเอวสอบให้แนบชิดยิ่งกว่าเก่า อะไรๆ ที่เริ่มเสียดสีกันอีกครั้งถึงขนาดปวดหนึบ เดี๋ยวต้องจัดการมันด้วยตัวเองซะแล้วล่ะขืนร้องขออีกคนคงไม่ต้องเดินเหินไปไหนแล้ววันนี้

“ผมไปน่ารักตอนไหนวะพี่ยู อย่ามาโมเม” กำหมัดทุบลงบนอกดังปึกด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะขยับตัวหนีทนความเจ็บตรงช่วงสะโพก โอย ทำไมลำบากแบบนี้วะ

“โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้ครับ” พี่ยูคงทนเห็นผมกัดปากจนหน้าซีดไม่ได้เลยยอมยกธงขาวก่อนจะลุกขึ้นนั่งจัดแจงท่านอนให้กัน ถือว่ายังมีความดีเหลืออยู่ให้อภัยก็ได้

“อือ ผมยังง่วงอยู่เลย” ผมพูดพร้อมกับที่เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง หลังจากนั้นก็โดนมืออุ่นทาบทับลงบนหัวพลางออกแรงลูบเบาๆ คล้ายกล่อมให้หลับ อืม สบายดีจัง

“งั้นนอนต่อก็ได้ครับ แต่พี่จะลุกไปดูลูกสักหน่อย”

“จะกลับเข้ามาอีกไหม?” ผมรีบลืมตาขึ้นเพราะกลัวว่าเขาจะเดินออกไปโดยไม่ได้ตอบคำถามกันก่อน พี่ยูทำเพียงแค่เลิกคิ้วเหมือนกำลังแปลกใจแต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มบางพร้อมส่งมืออุ่นๆ มาลูบหัวกันอีกครั้ง

“ปัณณ์อยากให้กลับมาหรือเปล่า?” คำถามโคตรแย่เลย แล้วผมจะกช้าบอกตรงๆ หรือไงว่าอยากให้กลับมาน่ะ แบบนั้นพี่ยูก็ได้ใจไปกันใหญ่ หึ

“ถ้าไม่กลับก็เพิ่มแอร์ให้ผมด้วย มันหนาว” ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัวหลังจากพูดจบเพื่อหลีกหนีการได้เห็นพี่ยูแสดงสีหน้า เชื่อว่าคนฉลาดอย่างเขาคงแปลความหมายประโยคเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดีเลยมีเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงสั่นของเตียง เฮ้อ ทำไมเดี๋ยวนี้ต้องรู้สึกว่าตัวเองติดแฟนด้วยเนี่ย ไม่ไหวเลยไอ้ปัณณ์!

“อือ” ในระหว่างที่กำลังเคลิ้มจะหลับอีกครั้งกลับรับรู้ได้ถึงแรงยวบบนเตียงแล้วตามมาด้วยสัมผัสอุ่นที่โอบล้อมรอบตัวจากทางด้านหลัง จากนั้นความนุ่มหยุ่นตรงหลังใบหูก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคนที่หายไปทำหน้าที่พ่อได้กลับมาทำหน้าที่... สามีต่อแล้ว โอย กระดากปากแต่มันก็คือความจริงที่ไม่สามารถลบล้างได้

“กลับมาแล้วครับ” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหูในขณะที่ผมพยักหน้ารับและพยายามลืมตามองเขา แต่มันทำได้ยากเหลือเกินเหมือนมีอะไรหนักๆ มาทับไว้ เอาเป็นว่าคุยทั้งแบบนี่ก็แล้วกัน ง่วงฉิบหาย

“ริวเป็นไงบ้างครับ?” ถามไปตามเรื่องตามราวเพราะรู้อยู่แล้วว่าเอย์จิจัดการเรื่องหลานได้อยู่หมัด

“ก็ดีครับ กวนเอย์จิกับทอยเหมือนเดิม” คำตอบเหมือนกับไม่จริงจังแต่ผมสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เจือความสะใจอยู่ในนั้น แม้ว่าสุดท้ายพี่ยูจะต้องยอมรับสิ่งที่เอย์จิทำนั่นคือการตกลงคบกับไอ้ทอยในอีกสามเดือนถัดมาหลังจากวันนั้นแต่การกลั่นแกล้งแย่งชิงเวลาจากคู่รักก็มีเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เป็นคนแก่ที่แสบใช่เล่นเลย

“แผนการของคนหวงน้องหรือเปล่าเนี่ย?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะพลิกตัวช้าๆ เข้าสู่อกอุ่น ชอบนอนซุกเขามากกว่า สบายใจดี

“อะไรครับ? พี่ไม่เห็นเข้าใจเลย” คนแก่แกล้งมึนมันน่าตีนักแต่ผมไม่มีแรงนี่สิ มากสุดตอนนี้ก็สามารถผละออกมาจากอกเพื่อมองหน้าเขาได้สำเร็จแล้ว รู้สึกหายง่วงไปนิดหน่อยที่ได้แหย่พี่ยูเล่น

“ก็ที่ให้เอย์จิเลี้ยงริวทุกครั้งที่ทอยมาหาไง” ผมขยับมือที่กอดตอบพี่ยูขึ้นมสดึงแก้มแทนด้วยความมันเขี้ยว คนอะไรโกหกหน้าตายจริงๆ ปากบอกไม่หวงน้องแต่การกระทำมันชัดเจนมาก ขนาดคนเป็นพ่อเป็นแม่ยังรู้สึกชิวกว่านี้ โธ่ พี่มีน้องชายไม่ใช่น้องสาวนะเว้ย ยังไงก็ไม่ท้องหรอกน่า ถุงยางก็มีให้ใส่

“มันบังเอิญไง” ดูคนเราเถอะ แถจนสีข้างถลอกแล้วมั้งเนี่ย

“ไม่ต้องมาโกหกเลยครับ ผมรู้ทัน” เลื่อนมือไปดีดจมูกเข้าให้ทีหนึ่งเพื่อความสะใจก่อนจะได้รับหน้าตามู่ทู่จากพี่ยู ตลกว่ะแต่หัวเราะมากๆ มันจะสะเทือนไปถึงสะโพกเลยล่ะ

“โธ่ แย่เลย แบบนี้ก็นอกใจ ’เมีย’ ไม่ได้แล้วสิ” สีหน้ายิ้มแย้มไม่ได้เข้ากับคำพูดเลย พี่ยูกำลังกวนประสาทกะนอยู่แน่ๆ แถมยังเรียกผมด้วยคำว่าเมียอีก มันควรใช้ไหมเล่า ไม่ใช่ไม่ชอบแต่มันรู้สึกเขินแปลกๆ

“เคยคิดแบบนั้นด้วยเหรอ?” ผมแกล้งถามกลับเสียงแข็งพร้อมทำหน้าตาดุดันใส่ ดูเหมือนพี่ยูจะเลิกล้อเล่นเพราะเขารีบยกมือขึ้นลูบแก้มกันทันที หึ ชอบแหย่กันดีนักนะ

“โห ไม่ทำหน้าเครียดครับ พี่แค่ล้อเล่น”

“ให้มันจริงเถอะครับ” ผมส่งสายตาคาดโทษก่อนจะดึงนิ้วพี่ยูมากัดเพื่อลงโทษ ดีหน่อยที่เขาไม่ได้แสดงความหื่นกามออกมา ไม่อย่างนั้นคงโดนกดจมเตียงแน่ๆ

“จริงแท้แน่นอน... เอ้อ พี่มีเรื่องจะถาม”

หืม ผมควรจะหลับตาลงแล้วแกล้งกรนหรือเปล่า เกริ่นนำแบบนี้รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ

“ครับ?”

“คือเรื่องรอยสักของปัณณ์...” พี่ยูมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยเหมือนกำลังตัดสินใจว่าควรถามออกมาหรือเปล่าซึ่งผมก็เฉยๆ นะ เพราะสามารถตอบเรื่องเกี่ยวกับรอยสักที่ด้านหลังใบหูได้โดยไม่ต้องปิดบังอะไรแล้วในตอนนี้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความลับแต่เป็นความรักต่างหาก โอย ทำไมเสี่ยวจัง

“.....” ผมเงียบเพื่อรอฟังคำถาม

“มันเกิดขึ้นเพราะพี่หรือเปล่า?”

ผมนับถือความใจกล้าของพี่ยูว่ะ ตรงประเด็นกว่านี้คงไม่มีแล้ว ไอ้ท่าทางอึกอักถือซะว่าเป็นภาพหลอกลวงไปซะ

“แล้วพี่คิดว่ายังไงครับ?” ผมถามกลับพลางมองสบดวงตาคู่คมนั้นที่มีแววไม่มั่นใจสักเท่าไหร่

“ยูกิที่แปลว่าหิมะเป็นคำพ้องเสียงกับชื่อของพี่” เขาพูดแค่นั้นผมก็ยิ้มก่อนพยักหน้ารับโดยดุษฎี มันเป็นคำพ้องเสียงที่ความหมายต่างกันลิบลับ ความกล้าหาญกับหิมะ...

“ครับ... รอยสักตรงนี้มันเกิดขึ้นเพราะพี่ เพราะผมรักพี่ยู” ผมจับมือพี่ยูให้สัมผัสตรงรอยสักที่เขาเพิ่งแตะมันด้วยริมฝีปากไปเมื่อครู่ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออกแล้ววนลูปอยู่แบบนั้น

“ตั้งแต่... เมื่อไหร่?” เป็นคำถามที่ผมอยากตอบที่สุดในโลกเลย

“ถ้าบอกว่าตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันพี่จะเชื่อผมไหม?” ผมมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวยเพื่อค้นหาความรู้สึกของการล่วงรู้ความลับที่ถูกปิดมาเป็นระยะเวลายาวนาน ผลลัพธ์ที่ได้น่าตกใจอยู่นิดหน่อยตรงที่พี่ยูเหมือนจะช็อกไปเลย ริมปีปากหยักเดี๋ยวหุบเดี๋ยวอ้าอยู่หลายครั้ง

“มันนาน... ขนาดนั้นเลยเหรอ?” พี่ยูถามกลับด้วยเสียงสั่นๆ พร้อมกับรอบดวงตาเริ่มมีหยาดน้ำสีใสคลอหน่วย โธ่ อย่าร้องไห้สิคนดีของปัณณ์

“ครับ ผมก็ไม่คิดว่าจะรักใครได้นานขนาดนั้นเหมือนกัน” ผมคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสใบหน้าคนที่ตัวเองรักมานานเหลือเกิน ความฝันได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว

“ที่ผ่านมาปัณณ์คงเจ็บมากใช่ไหม? พี่ขอโทษที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” และแล้วน้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลลงมาจนได้ทั้งที่เรื่องทั้งหมดนั้นพี่ยูไม่ได้ทำผิดเลยสักนิด ผมส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยแก้มเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ผิดนะ ตอนนี้ผมไม่เจ็บแล้วแถมมีความสุขดีด้วย”ผมคลี่ยิ้มหวานให้ก่อนจะขยับเข้าไปบรรจงจูบริมฝีปากหยักเพียงแผ่วเบาโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ มันเหมือนเป็นการยืนยันว่าตอนนี้มีความสุขดีจริงๆ โปรดจงเชื่อเถอะ

“ของคุณนะครับ ขอบคุณที่รักพี่มากขนาดนี้” เขาเอ่ยขอบคุณก่อนจะรั้งตัวผมเข้าไปกอดแน่นแต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัด กลับกันคืออบอุ่นไปทั้งร่างกายและหัวใจ

“ผมก็ต้องขอบคุณเหมือนกันที่พี่ตอบรับความรู้สึกของผม” ถ้าพี่ไม่รับมันทุกวันนี้ผมคงเป็นไอ้บ้าที่ยังแอบรักคนๆ หนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่รักปัณณ์” คำบอกรักที่หวานที่สุดในโลกมาจากคนที่รักที่สุดในโลกมันดีแบบนี้นี่เอง ดีจนน้ำตาไหลเลย

“ปัณณ์ก็รักพี่ยูกิครับ” ไม่ว่าจะนานแค่ไหนคนที่อยู่ในหัวใจของผมก็คงมีแค่พี่คนเดียว 勇気 (Yuuki)

ความรักของคนเรามักจะมีครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม จืด ตามอารมณ์และเวลาที่บ่มเพาะความรู้สึกระหว่างกันก็เหมือนกับอาหารจานหนึ่ง นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า ‘รักรสกลมกล่อม’ ยังไงล่ะ





-----------------------------------------


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนสุดท้าย มันเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราเขียนเกี่ยวกับวัยทำงาน
มีทุกอารมณ์ปะปนกันไปแต่สุดท้ายก็แฮปปี้เอ็นดิ้งเนอะ 5555555
ถ้ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษด้วยน้า นิยายเรื่องหน้าจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้
(เรื่องคำผิดมีแน่นอนเพราะเราไม่ค่อยมีเวลาเช็คก่อนลงอีกรอบเลย T^T)

สุดท้ายนี้ขอฝากติดตามนิยายเรื่อง 'Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ' ด้วยน้า รับรองว่าฟีลกู๊ดแน่นอน

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่แต่งขึ้นมาให้อ่านนะคะประทับใจทุกตอนเหมือนเติบโตตามความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาเรื่อยๆจนมาถึงตอนสุดท้ายสนุกมากเลยค่ะและอบอุ่นมากเช่นกันอ่านแล้วเพลินเลนมีความแฟมิลี่มากเราชอบเด็กมากมาเจอหนูริวก็เอ็นดูมากน่ารักกกกกมีความขี้อ้อนและขี้แงโอ๊ยยยยยยอีป้าคนนี้เอ็นดูแรง  จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ Firstzaza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สนุกมากจริงๆชอบๆๆ จะมีตอนพิเศษไหม?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nitty23

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ที่เขียนออกมาให้อ่านนะคะ อ่านแล้วประทับใจค่ะ พี่ยูมีทั้งความเป็นผู้ใหญ่และเป็นเด็กในเวลาเดียวกัน น้องปัณณ์ก็รักมั่นคงรอมานานจากการแอบรักข้างเดียวจากที่อยากอยู่ห่างๆเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บสุดท้ายก็ยอมแพ้ใจตัวเองและก็มีความสุขทั้งคู่ที่ยอมรับใจตังเอง คู่รองก็เจ็บหน่วงนิดๆ แต่สุดท้ายก็สมหวัง หนูริวผู้น่ารักช่างอ้อนช่างพูดจนน้าปัณณ์รักน้าปัณณ์หลง (รวมทั้งคนอ่านด้วย :mew1:) สุดท้ายรอติดตามผลงานต่อไปนะคะ  :L2:  :bye2:

ออฟไลน์ nuch-p

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 345
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :pig4:รู้สึกดี สนุกมากกกกค่ะ :mew3:

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
รักเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ punpunn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆแบบนี้นะคะ :pig4:

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ PUN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ละมุนน

 :katai2-1:

ออฟไลน์ meyj4ever

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ดีงามมาก~ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะจ๊ะ

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
น่ารัก กันจังเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น่ารักดีนะ

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด