งวดสุดท้าย
หลังอาการฟื้นตัวของไอ้น้ำ สุดสัปดาห์ก็วนมาอีกครั้ง น้ำมีนัดกับผู้กองจะนำชุดไทยสวยๆ ไปถวายเจ้าแม่ตะเคียน ผัดผ่อนก็หลายครั้งแล้ว กลัวแม่ตะเคียนจะเสียใจ ครั้งนี้มันเลยมายืนเลือกชุดอยู่ในร้านค่อนข้างนานทีเดียว
“ซื้อไปถวายเจ้าแม่เหมือนเดิมเรอะ” คนขายเอ่ยทัก
“จ้ะ เลื่อนมาหลายทีแล้ว เดี๋ยวเจ้าแม่จะโกรธ” น้ำอธิบาย มือก็ยังเลือกสีชุดไปเรื่อย
“สนใจชุดไหนล่ะ ไอ้น้ำ”
“ยังไม่รู้เลยจ้ะ ฉันไม่ค่อยถนัดเลย หลายชุดเหลือเกิน ตาลาย” น้ำสารภาพ มันแยกสี แยกแบบไม่ได้หรอก ชุดไหนๆ ก็เหมือนกันหมด
“ให้เจ๊ช่วยเลือกไหมล่ะ”
“เอาสิจ้ะ แนะนำฉันมาเลย” น้ำยิ้มรับความหวังดี
“เดี๋ยวเจ๊หยิบแบบใหม่มาให้ดู เพิ่งมาเมื่อวาน ยังไม่ได้แขวนเลย” นางหายเข้าไปหลังร้านอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อมกับชุดไทย สไบเฉียงสีต่างๆ สองสามสี
น้ำรับมาแล้วมองสลับกับชุดไทยที่แขวนอยู่บนราวไปมาอย่างใช้ความคิด
“แยกออกไหมล่ะ”
น้ำยิ้มแหย พลางบอกว่า “ไม่ออกเลยจ้ะ”
“นี่ เอ็งดูตรงนี้ สไบตรงนี้จะมีลายด้วย เหมือนชุดเวลาใส่ออกงาน ส่วนชุดไทย จะเรียบๆ เหมือนชุดอยู่บ้าน” เจ๊เจ้าของร้านพยายามอธิบายอย่างง่ายๆ ให้ไอ้น้ำฟัง
“อืม เห็นเจ้าแม่กี่ที กี่ทีก็มีแต่สไบธรรมดาแบบอยู่บ้าน” น้ำคิดพลางพูดกับตัวเอง
“เอ็งว่าไงนะ”
“เปล่าจ้ะ งั้นเอาชุดออกงานอย่างเจ๊ว่า สักสองชุด เอาสีอะไรก็ได้ที่ผู้หญิงเขาชอบเลย ส่วนชุดอยู่บ้าน เอามาสามชุดจ้ะ เจ๊เลือกสีเลยเหมือนเดิม” มันสั่งเสร็จเตรียมจะควักเงินแล้วนึกขึ้นได้อีก
“อ้อ..เจ้ ไม่เอาสีชมพู” น้ำพยายามระลึก สีที่มันเคยเห็นอยู่สองสามครั้ง สีชมพูน่ะ มันแน่ใจ แต่มันออกเข้มหน่อยๆ คงใช่ล่ะมั้ง “สีชมพูบานเย็นจ้ะ แม่ตะเคียนเขาใส่บ่อยแล้ว ฉันกลัวจะเบื่อเอา” เจ๊เจ้าของมองหน้าไอ้น้ำ คันปากอยากถามเหลือเกินว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าแม่ตะเคียนใส่จนบ่อย
แต่อนิจจาบางอย่างไม่รู้จะดีกว่ารู้
“นี่จ้ะ แล้วเอ็งจะถือไปอย่างไร ตั้งหลายชุด” เจ๊ถามหลังจากจ่ายเงินเสร็จสรรพเตรียมจะแยกย้าย
“นั่นสิ ฉันก็ลืมไป”
“เดี๋ยวพี่ช่วยถือไปไว้ในรถ” เหมือนได้ยินเสียงเจ้าชายขี่ม้าขาว ถึงจะเป็นแค่การแก้ปัญหาชุดไทย แต่ไอ้น้ำในช่วงที่กำลังหลงนั้น ไม่ว่าผู้กองจะทำอะไรมันก็เห็นดีเห็นงามไปหมด
ผู้กองเดินเข้าไปในร้านแล้วช่วยไอ้น้ำถือชุดสไบออกมา เพราะครั้งนี้ซื้อมากกว่าปกติ ไอ้น้ำเลยขอแบ่งมาถือเองสักสองชุด พร้อมกับใช้มืออีกข้างรองชุดเอาไว้ไม่ให้ชายผ้าถุงละพื้นดินจนเลอะ
“มาถึงนานยังครับ” น้ำเริ่มถามเมื่อรถออกตัวมาได้ครู่หนึ่ง
“สักพัก พี่แวะเข้าไปบ้านเราก่อน เจอน้ำฝนกำลังเล่นกับด่างกับปุยอยู่หน้าบ้าน”
“อ่อ” น้ำครางรับในลำคอ คาดว่าคงเป็นน้ำฝนเองล่ะที่บอกว่าเขาอยู่ไหน
“ไปหาเจ้าแม่ตะเคียนเลยไหม” ผู้กองถามขึ้นบ้าง
“ไม่อยากไปเลย” ผู้กองหันมามองน้ำเล็กน้อยเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนหวาดกลัวได้ดี
“พี่ไปด้วย ไม่มีอะไรต้องกลัว”
“ขอแค่พี่ปรานต์ไม่ทิ้งผมไว้คนเดียวก็พอ”
“พี่เคยทำด้วยเหรอ” ผู้กองย้อนถาม
“ไม่รู้ครับ บอกเผื่อไว้ก่อน”
“พี่ไม่มีทางทิ้งน้ำหรอกน่า อย่าห่วงไปเลย”
นั่งมาในรถเงียบๆ กันอีกสักพักก็ถึงจุดหมายที่ทั้งคู่ต้องมา ผู้กองดังเครื่องก่อนจะลงจากรถเพื่อมาเตรียมชุดไทยให้อีกฝ่ายก่อนระหว่างที่รอคนดีของเขาตั้งสติเตรียมใจ เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ข้างหน้านี้
“มาเถอะ พี่ถือเอาชุดมาให้หมดแล้ว”
“คะ..ครับ” น้ำรับคำเสียงเบา เหงื่อเริ่มผุดพรายหน้าผากบ้างเล็กน้อย พลางก้าวลจากรถ มือก็เกาะแขนผู้กองไว้แน่น ราวกับว่าชั่วชีวิตนี้มันจะไม่ยอมให้มือของมันหลุดออกจากแขนของผู้กองได้เป็นอันขาด
“ไม่เป็นไร” ผู้กองคอยปลอบอีกฝ่าย
น้ำไม่ได้เกลียดแม่ตะเคียน ข้อนี้เขารู้ดี แต่ความกลัวของคนเรา มันก็เป็นอีกเรื่อง ห้ามกันไม่ได้
“แม่..แม่ตะเคียนจ้ะ..ฉันเอาชุดไทยมาถวาย รอบนี้ฉันเอามาถวายให้หลายชุดเลย” น้ำพูดขึ้นเมื่อหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเรือไม้เก่า ส่วนผู้กองที่ไอ้น้ำยอมปล่อยให้แขนให้เป็นอิสระนั้นก็นำชุดไทยไปแขวนแทนคนขี้กลัว
“คนขายบอกว่ามีทั้งชุดใส่ไปงาน แล้วก็ชุดอยู่บ้านด้วย หวังว่าแม่ตะเคียนคงจะชอบนะจ๊ะ” น้ำอธิบายเพิ่มเติม
‘อุ๊ย เกือบมาไม่ทัน ขอโทษทีจ้ะ ฉันเผลอหลับไปหน่อย’เสียงเย็นดังขึ้นอีกแล้ว ไอ้น้ำผวา โผเข้าเกาะแขนผู้กองทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ เด็กชายนทีของผู้กองคงกำลังเผชิญหน้ากับเสียงของแม่ตะเคียนเป็นแน่
‘ไหนดูหน่อยซี สวยๆ ทั้งนั้นเลย แบบนี้ก็ชอบ ชุดนี้ก็ชอบ ชอบทุกชุดเลย’น้ำเสียงของแม่ตะเคียนเต็มไปด้วยความดีใจที่มีชุดใหม่ๆ
“ชอบใช่ไหมจ๊ะ” น้ำกลั้นใจถามออกไป
‘ชอบจ้ะ ชอบมาก พ่อน้ำของฉันรู้ใจฉันที่สุด’
“เจ๊เจ้าของร้านเขาเลือกให้” น้ำรีบปฏิเสธเพราะกลัวแม่ตะเคียนจะเข้าใจผิด
‘ไม่เป็นไรจ้ะ ถึงพ่อน้ำไม่ได้เลือกเองแต่ก็ไปนำมันมาให้ฉันเอง’แม่ตะเคียนยังพูดอย่างอารมณ์ดีเช่นเดิม
“ฉันกลับก่อนนะ”
‘เดี๋ยวสิพ่อ อะไรกันเพิ่งมาครู่เดียว จะกลับแล้วเหรอ’
“หมดธุระฉันแล้วนี่นา”
‘อยู่คุยกับฉันก่อนสิจ๊ะ’นางเอ่ยชวน
“ไม่เอาอะ”
‘เถิดหนาพ่อ ครู่เดียวก็ยังดี ฉันเหงา ไม่มีคนคุยด้วยเลย’แม่ตะเคียนขอร้องคนหนุ่มตรงหน้า
“ก็คุยกับผู้กองสิ” ผู้กองได้ยินชื่อตัวเองก็หันมามองน้ำอย่างไม่ไว้ใจ
‘โธ่ พ่อน้ำก็รู้ดีว่าฉันคุยกับพ่อรูปหล่อสูงใหญ่ได้ซะทีไหนกันเล่า’
“ทำไมกันล่ะ ทำไมต้องคุยกับฉันได้คนเดียวด้วย” น้ำครวญ
‘สมัยนี้เขาเรียกอะไร อ่อ..ใจของเราไม่คลิ๊กกันไงจ๊ะ’
“รู้คำสมัยนี้กับเขาด้วย”
‘ก็ต้องมีเรียนรู้ไว้บ้าง เวลามีคนมาขออะไรจะได้เข้าใจไม่ผิด’แม่ตะเคียนบอก
“หลวงพ่อจะพาแม่ตะเคียนไปที่ไหนเหรอ”
‘พ่อน้ำรู้มาจากไหนจ๊ะ’
“หลวงพ่อบอกมาน่ะ วันก่อนตอนตักบาตร”
‘ฉันยังไม่รู้เรื่องเลยจ้ะ’
“มีเรื่องที่แม่ตะเคียนไม่รู้ด้วยเหรอ”
‘แน่นอนสิจ๊ะ ฉันคาดเดาชะตาตัวเองไม่ได้หรอกจ้ะ’แม่ตะเคียนบอกเสียงเศร้า
“ไม่เสียใจนะ ฉันจะหาโอกาสทำบุญให้แม่ตะเคียนบ่อยๆ แล้วกัน” น้ำพยายามหาทางออกให้ตัวเองและดีกับแม่ตะเคียนมากที่สุด
‘ขอบใจนะจ้ะ พ่อน้ำคนดีของฉัน’
“เอ่อ..” น้ำชะงักจะรับคำก็กลัวจะเป็นคนของแม่ตะเคียนไปจริงๆ
‘เอาล่ะๆ ฉันไม่กวนคู่รักข้าวใหม่ปลามันแล้ว’
“พูดอะไรเล่า ไม่ใช่สักหน่อย”
‘หึหึ ฉันแค่ไม่รู้เรื่องตัวเอง แต่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อน้ำหรอกนะจ๊ะ’
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ ฉันกลับล่ะ แล้วจะทำบุญไปให้”
‘ขอบใจจ้ะ อย่าลืมว่ามีปัญหาอะไร มาบอกให้ฉันช่วยได้ทุกเมื่อเลยนะจ๊ะ เรื่องของพ่อน้ำ สำหรับฉันแล้ว ฉันยินดีช่วยทุกเรื่อง’แม่ตะเคียนบอกอย่างคนใจกว้าง
‘ขอบใจแม่ตะเคียนเหมือนกัน เรื่องที่ช่วยฉันกับผู้กองด้วยนะ’น้ำบอกแม่ตะเคียนในใจเสร็จแล้วจึงกระตุกแขนคนข้างๆ “กลับกันเถอะครับ”
“อืม”
.
.
“อะไรกันลูกคนนี้ ทำไมไม่ให้ผู้กองเขาพักอยู่ที่นี่ล่ะ คนเขาอุตส่าห์มาหายังให้เขาไปนอนโรงแรมในเมืองอีก” แม่น้อยบ่นไอ้น้ำเสียยกใหญ่ที่มารู้หลังทานอาหารเสร็จว่าผู้กองได้จองที่พักเป็นโรงแรมในเมืองสำหรับค้างคืนไว้เรียบร้อยแล้ว
“นั่นสิ คนเป็นแฟนกันแท้ๆ ยังให้ไปนอนที่อื่น” น้ำฝนเข้าผสมโรง
“ไม่เป็นไรหรอกน่าแม่ ให้เขามาพักบ่อยๆ มันจะดูไม่ดี เดี๋ยวคนแถวนี้จะมาว่าแม่ได้” น้ำบอกพยายามพูดเสียงเรียบให้ทุกอย่างดูเย็นเข้าไว้
“วัวหายล้อมคอกหรือไง” น้ำฝนประชดใส่พี่ชาย
“ใคร๊ ใคร มันกล้าพูด ลองไอ้ อีที่ไหนปากมากสิ ข้าจะตามไปด่าให้ถึงหน้าบ้าน กล้าดีอย่างมาว่าลูกเขยข้า” แม่น้อยถามอย่างหาเรื่อง
“แม่..ไม่ใช่ลูกเขยสิ เขาจะว่าฉันกับแม่ ไม่ใช่ผู้กองหรอก” น้ำส่ายหน้าเล็กน้อย ตกลงใจคอจะไม่ห่วงลูกชายคนนี้ใช่ไหม
“ถ้าคนนอกมันจะมาว่าเอ็งหรือข้า ก็ช่างหัวมันเถิด ข้าไม่เห็นจะสนใจ แต่ถ้ามาด่าผู้กองล่ะก็ ข้าไม่ยอมแน่”
น้ำเหลือบตามองเพดานเล็กน้อย สรุปแม่รักผู้กองมากกว่าลูกชายที่แม่เบ่งออกมาอย่างเขาใช่ไหมเนี่ย
“คราวหน้าคราวหลังก็ให้ผู้กองเขาพักที่นี่” แม่น้อยสั่ง
“แม่...”
“เอ็งกลัวอะไร กลัวคนจะมานินทาพวกเราหรือไอ้น้ำ ไม่ทันแล้วล่ะ เขารู้กันหมดตั้งแต่ที่เอ็งตามผู้กองไปนอนที่โรงแรมแล้ว ข้าไม่จับเอ็งมัดแล้วตีก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ไอ้น้ำกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
“ยุคสมัยไหนแล้ว แม่ก็พูดเหมือนจะเฆี่ยนตีฉันอย่างนั้นแหละ”
“เออ ข้าเพิ่งดูละครมา ก็ว่าจะทำตาม” แม่น้อยว่าติดตลก
“แม่..” น้ำเรียกก่อนจะถามออกไปกล้าๆ กลัวๆ “จริงเหรอที่แม่บอกว่าคนเขารู้กันหมดแล้ว”
“พี่น้ำก็เชื่อแม่ไปได้ จะมีใครรู้ถ้าไม่ป่าวประกาศน่ะ แม่พูดไปอย่างนั้นเองแหละ” น้ำฝนเฉลย ทำให้ไอ้น้ำค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“ทำตามที่ข้าสั่ง ให้ผู้กองมาพักที่นี่ เพราะสิ่งที่ข้าต้องกลัวหรือกังวลมันหมดไปตั้งแต่คืนที่เอ็งไปกับเขาแล้วโว้ย” แม่น้อยประชดเสียงดัง
“แม่ก็..” น้ำขยับเข้าไปบีบนวดแขนขาเอาใจแม่น้อย
“อะไรเล่า” นางแสร้งหดขาหนีไม่ให้ลูกชายมาถูกเนื้อตัว
“แม่อย่าโกรธฉันสิ”
“โกรธอะไร เปล๊า ไม่โกรธเลย เอ็งโตแล้ว” แม่น้อยพูด
“ก็แม่พูดเหมือนโกรธ”
“พี่น้ำนี่วัวสันหลังหวะจริงๆ ดูไม่ออกหรือไงว่าแม่แกล้งเล่น ฉันก็พอเข้าใจว่าความรักมันทำให้คนตาบอด แต่ไม่คิดว่าจะตาบอดถาวรดูอะไรไม่ออกเอาเสียเลย” น้ำฝนได้ทีรีบถล่มทับพี่ชาย แต่ไอ้น้ำรอบนี้ไม่พลาดมันรีบเขกหัวของน้ำฝนจนเกิดเสียงดัง
“โอ๊ยย เจ็บนะพี่น้ำ”
“ดี เจ็บจะได้จำ พี่เอ็งนะไอ้ฝน เดี๋ยวเถอะ” เป็นแม่น้อยที่คราวนี้เข้าข้างลูกชาย
“เรื่องเรียนยายฝนที่กรุงเทพฯ จะพักที่ไหนยังไง” แม่น้อยถามเรื่องใหม่
“ฉันยังคิดอยู่เลยจ้ะ ใจหนึ่งก็อยากให้พักที่เดิมที่ฉันอยู่ แต่อีกใจคุณแม่ผู้กองเขาก็อยากให้น้ำฝนไปอยู่ที่นั่น”
“เขาก็คงเอ็นดูทั้งเอ็งและยายฝนนั่นแหละ” แม่น้อยบอก
“แล้วแม่ว่าไง ฉันควรจะไปดีไหม น้ำฝนล่ะ” น้ำถามความเห็น
“ฉันยังไงก็ได้” น้ำฝนบอกเพราะกรณีนี้จริงๆ แล้วเธอไม่มีสิทธิ์เสียงเลยด้วยซ้ำ แค่พี่ชายของเธอต้องกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลเธอ ก็ต้องขอบคุณอีกฝ่ายมากแล้ว
“จากที่เดิมที่พักมันค่อนข้างไกลจากมหา’ลัย ยายฝนอยู่ไม่น้อย ปีหนึ่งเรียนก็เยอะ รับน้อง กิจกรรมต่างๆ ก็เยอะ น้ำฝนไม่ได้อยู่หอ ไปกลับจะดึกและอันตราย แต่ถ้าไปพักกับที่บ้านผู้กอง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง น้ำฝนก็ถึงบ้านอย่างปลอดภัย” น้ำลำดับความคิดออกมา
“ข้าก็เกรงใจบ้านนั้นเขาเหมือนกัน เอ็งลองเลียบๆ เคียงๆ ถามเขาดูอีกทีก็แล้วกัน ดูปฏิกิริยาเขาด้วยล่ะ ว่าเขาชวนตามมารยาทหรือตั้งใจจริงๆ จะพักที่ไหนข้าก็ไม่ว่าหรอก ขอแค่เป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับพวกเอ็งทั้งคู่ก็พอ” แม่น้อยพูดด้วยความเป็นห่วง กรุงเทพพฯ อันตรายน้อยเสียเมื่อไหร่กันล่ะ
“จ้ะแม่” น้ำรับคำ
“แล้วพรุ่งนี้จะพาผู้กองเขาไปไหนหรือเปล่าล่ะ” แม่น้อยชวนคุยไม่ได้คาดหวังคำตอบอะไรในคำถามนั้นอยู่แล้ว
“ไม่ล่ะจ้ะ”
“อืม พาเขาไปเที่ยวบ้างก็ดี เมื่อก่อนมาประจำอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนไม่ใช่หรือ”
“จ้ะ ไว้คราวหน้านะ”
“คราวหน้าให้เขานอนที่นี่” แม่น้อยสำทับอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น บอกเป็นนัยว่าเตรียมจะไปเข้านอน “พวกเอ็งก็รีบเข้านอน โดยเฉพาะไอ้น้ำ เพราะพรุ่งนี้ข้าว่า ลูกเขยข้าคงมาแต่เช้านั่นล่ะ”
เช้าวันต่อมา ปรานต์มาหาน้ำแต่เช้าอย่างที่แม่น้อยคาดการณ์เอาไว้จริงๆ ชายหนุ่มพยายามไม่ให้เช้าเกินไปนักเพราะเกรงใจ แต่ที่ผิดคาดคือเมื่อมาถึงเขาก็ไม่เจอน้ำอีกแล้วกลับเจอน้ำฝนเช่นเคยและได้รับคำตอบว่าวันนี้เป็นวันหวยออก และน้ำคงไปแถวตลาด เขาตัดสินใจจอดรถยนต์ไว้ที่บ้านของน้ำก่อนจะเดินเท้าไปยังจุดหมายที่ได้รับมา
ผู้กองเดินมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน หวนนึกถึงครั้งแรกที่มาที่นี่ มีแต่ความไม่เข้าใจว่าการที่เขาไม่ร่วมมือทำความผิด นี่คือสิ่งที่เขาได้รับตอบแทนมาหรือ ได้รับความเจ็บปวดในใจที่ต้องเลิกรากับคนรักเก่า ถึงจะไม่ได้รักอีกฝ่ายเท่าเดิม แต่ความรักมันก็ยังมีหลงเหลืออยู่ มีแต่ความเป็นห่วงที่ต้องจากที่บ้าน พ่อกับแม่ที่ห่วงเขา พอๆ กับที่เขาเป็นห่วงพวกท่าน
ลึกๆ แล้ว เขาอยากบอกกับทุกคนว่าเขาไม่ได้อยากจะย้ายมาเลย แต่เขาก็หลีกเลี่ยงหน้าที่ของตนเองไม่ได้ แต่ในความโชคร้าย ก็มีความโชคดีเสมอ ที่นี่ทำให้เขาได้เจอคนคนหนึ่ง ที่สะพานข้ามไปตลาดตรงนี้ ครั้งแรกที่เราเจอกัน
ผู้กองอดยิ้มไม่ได้ กับเหตุการณ์ที่เจอน้ำครั้งแรก เจ้าตัวมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด แววตาหลุกหลิก ไม่ต้องเป็นตำรวจหรือผู้เชี่ยวชาญใดๆ ก็คงประเมินได้อย่างแน่นอนว่ามันมีอะไรผิดปกติ
“เดี๋ยว ไอ้หนู” คำพูดที่เคยพูดเมื่อครั้งหนึ่งกลับมาอีกครั้ง เมื่อผู้กองมาถึงสะพานแล้วเห็นคนคุ้นตากำลังจะเดินผ่านเขาไป
“หือ? เรียกฉันเหรอ....ลุง” คำตอบกวนๆ ที่เคยถามก็ถามอีกฝ่ายไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปรานต์ไม่ได้รู้สึกฉุนอะไรแล้ว เขากำลังขำกับบทละครที่เด็กชายนทีชวนเขาเล่น
“ใช่..จะไปไหน” ปรานต์ถามอีกฝ่าย
“จะไปไหนแล้วทำไมต้องตอบลุงด้วยล่ะ ประชาชนที่หมู่บ้านนี้ก็มีสิทธิ์เสรีภาพไปไหนมาไหนได้ทั้งนั้น”
“ตอบเฉไฉ ไม่ตรงประเด็น มีอะไรปิดบังเจ้าหน้าที่ตำรวจใช่หรือเปล่า” ปรานต์สาวเท้าเข้าไปใกล้
“ไม่มี” รอบนี้ไม่มีความขลาดกลัวใดๆ มีแต่ความกล้าหาญพร้อมจะท้าทาย
“ค้นตัวหน่อยก็แล้วกัน” ปรานต์ตัดบทคว้าร่างของไอ้น้ำเข้ามาใกล้ แล้วเริ่มทำการตรวจค้นทันที ส่วนน้ำของเขาก็ยืนนิ่งให้เขาค้นตัวเช่นกัน
เจ้าตัวคงมีแผนอะไรแน่นอน ปรานต์คิดในใจแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
เขาค่อยๆ ค้นตัวอีกฝ่ายตามตัวแต่ก็ไม่พบอะไร แต่คนถูกค้นตัวที่ไหนถึงยืนล้วงกระเป๋าแบบนี้กันล่ะ ปรานต์ดึงมือของอีกฝ่ายออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ แล้วแทนที่ด้วยมือของเขาเอง
“นี่อะไร โพยหวยงั้นเหรอ” เขาคีบกระดาษใบจิ๋วนั้นออกมาพร้อมกับชูให้คนตรงหน้าเห็น ไอ้น้ำไม่ได้มีทีท่ากังวลแล้วยังยิ้มกว้างอีก
มันน่านัก เขาบอกให้เลิกเดินโพยหวยแล้วไม่ใช่หรือไง
“จับไปนอนในคุกสักทีดีไหม” ปรานต์ขู่
“เอาสิ ถ้าเป็นโพยหวยจริงล่ะก็ จะจับผมไปนอนในคุกหลายๆ คืนก็ได้นะ” นอกจากไม่กลัวคำขู่แล้วยังท้าเขากลับอีกด้วย
ปรานต์คลี่กระดาษแผ่นนั้นออก ใบหน้ายากเกินกว่าที่น้ำจะคาดเดาได้ว่า อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นมัน เจ้าตัวยืนนิ่งอ่านกระดาษแผ่นนั้นอยู่พักใหญ่ก็พับกระดาษลงดังเดิม พลางเก็บลงกระเป๋ากางเกงของตัวเองแทนเสียเอง
“จะยังจับอยู่ไหม”
“จับสิ..”
น้ำเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เงยหน้ายิ้มกว้างให้ผู้กองพลางพูดคำที่ขัดกับรอยยิ้มเหลือเกิน “ใจร้าย”
“ยังไงก็คงต้องจับน้ำไว้ ปล่อยให้ไปยิ้มกับคนอื่นแบบนี้เห็นทีจะไม่ไหวแล้ว” ผู้กองบอกเสียงพร่า
“เลยจะจับเข้าคุกสินะ”
“ใช่ คุกของพี่คนนี้แหละ เข้ามาแล้ว ออกไม่ได้ รู้ไหม”
“ต่อให้มีคนมาประกันตัว ผมก็จะไม่ยอมออกจากคุกของพี่หรอก”
“แน่นอน เพราะพี่ก็จะไม่ให้ใครเข้ามาประกันตัวน้ำเช่นกัน”
จบ
==============================================
จบแล้วค่ะ
อยู่ด้วยกันมาหลายเดือนเลย
จุดเริ่มต้นจากหวย จบลงที่แม่ตะเคียน แฟนคลับเจ้าแม่เยอะมากเลยค่ะ
ครั้งแรกไม่มั่นใจเลยว่าจะแต่งแนวนี้ได้ไหม เพราะพื้นฐานของเขม
ไม่ได้เป็นคนตลกและกวนอย่างไอ้น้ำหรือแม่น้อยเลย
ก็พยายามอย่างเต็มที่ให้ทุกคนได้หัวเราะ ได้เฮฮา ได้ผ่อนคลายจากการเรื่องนี้
ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาแต่งแบบนี้ได้อีกไหม เพราะดูเหมือนจะง่าย
แต่สำหรับเขม การเขียนคอเมดี้ ไม่ง่ายเลย
และถ้าไม่คอเมดี้ ก็ขอให้เป็นฟีลกู๊ดเนาะ (แถไปเรื่อย)
><
ดีใจที่ทุกคนชอบ ดีใจที่ทุกคนได้อ่านเรื่องนี้นะคะ
ดีใจมากๆ เลย มีแต่คำว่าดีใจเต็มไปหมด
เวลาที่เห็นคอมเมนท์หรือแทกในทวิตดีใจมากๆ เช่นกันค่ะ
สุดท้ายขอบคุณทุกคนเลยนะคะ ไม่ว่าจะคนที่แวะผ่านมาเฉยๆ
หรือจะแวะแล้วพูดคุย
ก็ยินดีและขอบคุณทั้งหมดเลยค่ะ
จริงๆ มีเรื่องที่อยากบอกอีกมากมาย แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
ติชมได้เสมอนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ปล เจอกันเรื่องหน้านะคะ อาจจะฉีกแนวไปบ้าง
แต่ก็อยากให้ลองได้อ่านค่ะ
ปล สอง เขมแต่งตอนพิเศษ สำหรับเรื่องนี้ไว้ ห้าตอน
รวมแม่ตะเคียนที่ลงในเวบไปแล้วด้วยค่ะ
หาก สุดท้ายไม่ได้รวมเล่ม เขมจะเอามาลงให้อ่านกันนะคะ
บุญรักษาและรักเสมอค่ะ
ติด Tag ได้เลยค่ะ #LOTTOสื่อรัก #คนบ้าหวย2018