21 ศึกชิงเมีย
“มีใครเป็นคนต่างชาติไหม จะได้พาไปซื้อตั๋ว” พี่ริวแซว ทุกคนหัวเราะ พากันไปซื้อดอกไม้ เขามีกฎใหม่ไม่ให้จุดธูปแล้วล่ะครับ รักษามลภาวะ ซึ่งผมว่าดีแล้ว เพราะกลัวคนไม่ระวังเอาธูปจิ้มหลังเอา
วัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นวัดที่สวยมาก มนุษย์สิบคน ยกโขยงกันไปเดินรอบเจดีย์ พี่เรย์นำหัวขบวน ต่อด้วยมิค ไมค์ ฝุ่น พี่ริว ผม แมท ไวท์ ดิวและกู้รั้งท้าย
ใจผมอยากเป็นคนเดินตามหลังฝุ่นมันมากกว่า
ช่วงแรกๆ ยังรวบรวมสติไม่ได้ เดินถือดอกไม้ตามหลังพี่ริว สมองคิดวุ่นไปหมด ทั้งเรื่องฝุ่นและเรื่องอื่นๆ
เพราะจำนวนคนที่เยอะ ทำให้การเดินก้าวไปได้ค่อนข้างช้า ยิ่งช้า สติที่กระจายของผมจึงค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นความนิ่ง ผมพยายามทำจิตใจให้สงบ คนห่างไกลวัดวาแบบผม ทำได้แค่ขอพรเรื่องฝุ่นเข้าไว้เท่านั้น
สาธุ ขอให้ฝุ่นรักขอให้ฝุ่นหลง ขอให้รักเรามั่นคง และทุกคนยอมรับได้เป็นอย่างดี
พอเดินกันเรียบร้อยก็พากันถ่ายรูปตามอัธยาศัย ทั้งด้านในและด้านนอก คนกลุ่มผมไม่ใช่พวกชอบทำบุญกันโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แค่นี้ก็พอ ด้านนอกมีวิวที่ค่อนข้างสวย จุดนี้พวกเราได้ถ่ายรูปกับวิวกันสมใจ และเป็นที่แรกที่ผมได้ถ่ายคู่กับฝุ่น เพราะพี่เรย์เขาดึงพี่ริวไปถ่ายคู่กันตามประสาลูกพี่ลูกน้อง แม้จะแค่ภาพเดียว แต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว
พักเดียวพี่ริวก็มาลากฝุ่นไปต่อ ฝุ่นมันคงดูออกว่าผมกับพี่ริวกำลังทำสงครามกันอยู่ แต่มันก็ยังนิ่งๆ ของมันไปตามประสา
เราลงจากวัดพระธาตุดอยสุเทพกันตอน 11 โมง แวะเข้ามช.ก่อนเพื่อไปยลอ่างแก้วในตำนานของใครหลายๆ คน ถ่ายรูปอัปเฟซกันไปตามประสา ผมยืนสูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด หันไปมองใครบางคนที่ยืนมองอยู่เหมือนกัน
ผมหยิบมือถือมากดถ่ายฝุ่นไปหลายแชะ ซูมภาพมันเข้ามาใกล้ๆ จังหวะหนึ่งมันหันมาสบตา ผมจ้องตามัน ยิ้มให้นิดหนึ่งส่งผ่านความรักไปให้ เขาว่าอ่างแก้ว เป็นอ่างที่คนมีความรักมักมาพลอดรักกัน และเป็นอ่างที่คนอกหัก มักมาทิ้งลมหายใจไว้ที่นี่ด้วย
ไม่ได้มาฆ่าตัวตายนะครับ แค่มาทำมิวสิกเฉยๆ คงได้อารมณ์พอๆ กับได้เดินตากฝนหรือเปิดน้ำยืนเศร้าใต้ฝักบัวล่ะมั้ง ที่นี่บรรยากาศดีมาก กล้องห่วยขนาดไหนรูปก็ออกมาสวย
ผมกับฝุ่นยืนกันอยู่ค่อนข้างไกล แต่ผมไม่สนใจระยะทางนั้น ส่งผ่านความรักผ่านดวงตาไปหาคนที่มองมานั้น พักหนึ่งพี่ริวก็มาดึงความสนใจของฝุ่นไปจากผมอีก ผมหันกลับมามองอ่างแก้วตามเดิม
“โดนกีดกันขั้นรุนแรงเชียวนะมึง นี่แค่อดีตพี่รหัส ถ้าเป็นพ่อหรือแม่เขามึงจะทำยังไงวะ” แมทเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
นั่นน่ะสิ
“นึกอยากยอมแพ้รึยัง”
ผมเหลือบมองคนพูด มันพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งยุกึ่งท้าทาย สรุปมึงจะสนับสนุนหรือจะห้ามปรามกูเอาให้แน่
ผมหันไปมองฝุ่นอีกที เห็นมันยิ้มแล้วแทบจะละลายลงกับพื้น
“ไม่ว่ะ กูไม่ยอม” ผมตอบตรงๆ
แมทหัวเราะหึๆ
“งั้นสู้ต่อไปเพื่อน”
ผมพยักหน้า ฝุ่นหันมาสบตาผมอีกรอบ ก่อนมันจะเบี่ยงหลบมองไปทางอื่น
ท้องพากันร้องแล้ว เราจึงขนขบวนกันไปกินก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่นิมมานเหมินทร์ซอย 17 กินเสร็จจะได้เที่ยวร้านไอเบอร์รี่ของพี่โน้ตได้เลย (มันอยู่ข้างกัน) อร่อยมากครับ คนเต็มร้าน นั่งคอยกันนานเลย พออิ่มเราก็ยกโขยงกันไปร้านพี่โน้ตต่อ คราวนี้สนุกถ่ายรูปอัปเฟซกันสุดๆ โดยเฉพาะมาสคอตพี่อุดมที่เป็นรูปหน้าคนนั้น ตอนนี้มันเปลี่ยนจากสีเหลืองมาเป็นสีชมพูแจ๋วแหววแล้ว
กู้กับดิวกอดขาหมาคนละข้างแย่งกันถ่าย ผมยืนเท่ตามสไตล์ อยากได้ภาพคู่กับฝุ่นบ้าง ผมเดินไปดึงฝุ่นมาถ่ายด้วย ซึ่งไอ้พี่ริวก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร เรายืนคู่กันธรรมดาสำหรับภาพแรก ภาพที่สองผมกอดคอมันไว้อย่างเพื่อนทั่วไป
พี่ริวเข้าไปถ่ายต่อ ยืนเท่ไปตามประสา ก่อนจะกวักมือเรียกฝุ่นเข้าไปบ้าง ฝุ่นมันไม่ปฏิเสธ วิ่งเข้าไปหา ภาพแรกยืนข้างกัน ภาพที่สองพี่แกกอดคอเหมือนที่ผมทำ คิดว่าพี่แกจะหยุดอยู่แค่นั้น แต่แกหันไปหอมแก้มฝุ่นเบาๆ ที
ผมตาโตแทบจะทันที ฝุ่นมันยังตกใจ พี่ริวหัวเราะหึๆ มองตาผม
เจตนาของพี่ริวคืออะไร ชอบฝุ่น หรือแค่ต้องการกวนประสาทผมเท่านั้น ผมมองพี่ริวตาขวาง ประกาศชัดเลยว่าไม่พอใจ
พี่เรย์ถ่ายบ้าง ลากเอาฝุ่นไปถ่ายด้วยอีกคน ฮ็อตจังเมียกู ดีแต่ว่าพี่แกไม่ได้เอาฝุ่นไปกอดหรือหอมแบบพี่ริว หลังจากนั้นพี่เรย์ก็มาลากมิคไปถ่ายบ้าง สิบคนกว่าจะได้รูปกันครบ เล่นเอาเหนื่อย แถมยังต้องสลับให้คนอื่นเขาถ่ายด้วย ไม่งั้นมีเฮ นักท่องเที่ยวเยอะเป็นมด อาจจะเพราะเสาร์อาทิตย์ด้วย
พอหนำใจเราก็พากันไปสั่งเค้กกิน ราคาโหดเหมือนกัน สั่งไปไม่กี่อย่าง จ่ายไปหลายร้อย สั่งใครสั่งมันครับ
แต่อร่อยดีครับ ฝุ่นมันได้กินฟรีเพราะอดีตพี่รหัสมันเลี้ยง ทำให้ทุกคนต่างพากันอิจฉา พี่เรย์ไปขลุกอยู่กับมิคพ่วงเอาเพื่อนผมไปด้วย เพราะเด็กนั่นไอเดียพุ่งขึ้นมากะทันหัน (อาจจะเพราะอยู่ในร้านของนักสร้างผลงานศิลปะอย่างพี่อุดม) มิคพกกระดาษกับดินสอมาด้วย นั่งวาดยิกๆ โดยมีพี่เรย์มองอยู่ข้างๆ อีกด้านเป็นไมค์ที่มองน้องมันวาดตาแป๋ว
กู้สั่งมาเป็นกระบุงโกย ดิวคู่หูมันตามเล็มไปเล็กๆ น้อยๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งข้างฝุ่นด้วย อีกด้านเป็นพี่ริว
“กินเยอะๆ ตัวจะได้โตๆ” พี่ริวบอก
“ด้านบนคงไม่ได้แต่ด้านข้างล่ะไม่จำกัด” ฝุ่นมันกวนกลับ ผมหัวเราะกับมุกนั้น สะกิดแขนมันเบาๆ ฝุ่นหันมามอง ผมตักเค้กชิ้นที่ผมกำลังกินอยู่ไปไว้ใกล้ปากฝุ่น
“ลองชิมดู อันนี้อร่อย” ผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียกความสนใจจากมันหรอกนะครับ แต่เค้กชิ้นนี้อร่อยจริงๆ ฝุ่นมองหน้าผม โอกาสที่มันจะปฏิเสธมี 50/50 แต่มันก็อ้าปากงับ ขยับเคี้ยว พอรสชาติต้องลิ้นดวงตามันวาวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“อร่อย”
“ชอบใช่ไหม งั้นเอาไปกิน” ผมเลื่อนเค้กครึ่งก้อนที่เหลือไปให้
“แล้วมึงไม่กิน”
“พอแล้ว แค่อยากลองชิมดู”
มันพยักหน้า รับไปวางไว้ใกล้ๆ ตักกินทีละคำ คำเล็กๆ
“ป้อนพี่หน่อยสิฝุ่น อยากลองชิมบ้าง”
“เอาเลยครับ” ฝุ่นมันเลื่อนเค้กของผมเมื่อกี้ไปใกล้
“ป้อนดิ อดีตพี่รหัสขอร้องเชียวนา”
“ผมว่าพี่กินเองดีกว่า ผู้ชายป้อนกันมันไม่เหมาะ”
พี่ริวเลิกคิ้วสูง
“ทีเมื่อกี้พลป้อน ฝุ่นไม่เห็นปฏิเสธ”
ฝุ่นมันนิ่งไป ผมยกยิ้ม ผมผัวมันนี่ครับ พี่เป็นแค่อดีตพี่รหัสเท่านั้น ฝุ่นไม่พูดอะไรอีก ตักเค้กชิ้นนั้นไปป้อนพี่ริว
“อร่อย” พี่ริวมองฝุ่นตาเยิ้ม เท้าผมกระตุกยิกๆ แต่รู้ว่าเขาจงใจรวนผมจึงไม่พูดอะไร
เรานั่งคุยกันต่ออีกพักก็พากันมุ่งตรงสู่วัดถ้ำอุโมงค์ วัดโบราณของจังหวัดเชียงใหม่ที่เต็มไปด้วยสถานที่โบราณ แค่องค์เจดีย์ก็ร่วม 700 ปีเข้าไปแล้ว เราเข้าไปกราบสักการบูชาพระประธานก่อน แล้วถึงออกมาถ่ายรูปกันยังจุดต่างๆ
ผมเห็นฝุ่นมันยืนดูเศียรเก่าโบราณตั้งเรียงกัน ผมเดินเข้าไปใกล้ อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจจับมือมันไว้เบาๆ ฝุ่นหันมามอง ผมกระชับมือเบาๆ ส่งยิ้มให้แล้วคลายปล่อย
แค่เสี้ยวไม่ถึงสิบวินาทีกับสัมผัสเล็กๆ นั้น เชื่อกันหรือเปล่าว่ามีอานุภาพมากมายให้ใจผมสั่นไหวแค่ไหน
หลังจากนั้นเจ้าถิ่นก็พาเรากลับเข้าเมืองเพื่อไปเช็กอินที่พัก เราจะพักกันในเกสต์เฮ้าส์ใกล้ๆ กับร้านของอาพี่เรย์นั่นแหละ จอดรถไว้ข้างถนน พากันหิ้วกระเป๋าเดินเข้าไป
เราพักกันห้องละ 2 คน กู้คู่กับดิวตามเดิม แมทคู่กับไวท์ เพราะไมค์จะนอนกับน้องมันเอง พอได้กุญแจมา ผมก็หันไปชวนฝุ่น แต่พี่ริวฉุดข้อมือฝุ่นไว้
“ไปนอนกับพลมัน กูจะนอนกับน้องรหัสกู” พี่ริวบอกพี่เรย์ คราวนี้ผมไม่ยอมอย่างที่แล้วๆ มา ขยับไปจับฝุ่นมาไว้ข้างๆ มองพี่ริวตาขวาง บอกด้วยสายตาว่ายังไงผมก็ไม่ยอม
“พล ปล่อยกูก่อน พี่ริว ผมนอนกับมันก็ได้ครับ”
พี่ริวยกยิ้ม จับแขนฝุ่นดึงเข้าหาตัวเอง
“เฮ้ย ริว พอเหอะ สงสารฝุ่นบ้าง” พี่เรย์ช่วยพูดให้
“ไม่ว่ะ กูจะนอนกับน้องรหัสกู เราก็เหมือนกัน คิดเหรอว่านอนกับมันจะได้นอนดีๆ ไม่ต้องนอนครางทั้งคืนรึไง”
แก้มฝุ่นแดงก่ำ ต่อให้มันเป็นเรื่องจริงก็เถอะ ฝุ่นมันมองผมนิดหนึ่ง ทำท่าคิด
เวรล่ะ ถ้าให้เลือกระหว่างมานอนครางให้ผมฟัง กับอยู่กับอดีตพี่รหัส มันก็ต้องเลือก…
“กูจะนอนกับพี่ริว”
นั่นไง ซื้อหวยไอ้ฝุ่นยังไงก็ถูก ผมหน้าบูด
“ฝุ่น” ผมร้องขอเสียงอ่อย
“ไปกันเถอะ” แล้วมันก็หันหลังให้ผมดื้อๆ ผมมองตามตาละห้อย แมทเดินมาตบหลังผมเบาๆ แล้วเดินเลยไป พอๆ กับไมค์ที่พา
น้องมันเดินนำไปก่อน ตามไปติดๆ ด้วยดิวกับกู้ เหลือไว้แค่ผมกับพี่เรย์เท่านั้น
“ห้องอะไร”
“A6 ครับ”
“มาสิ” พี่เรย์ยื่นมือมาขอกุญแจ ผมยื่นให้อย่างเสียไม่ได้
“พี่ริวเขาเกลียดผมเหรอ” ผมถามตรงๆ
“มีใครเขาชอบคนที่มารังแกน้องตัวเองบ้าง ต่อให้เป็นแค่อดีตพี่รหัส แต่จำไว้เลยว่าริวมันรักฝุ่นเหมือนน้องเหมือนนุ่ง ไม่งั้นไม่
ฝากฝังให้พี่ดูแลดีขนาดนี้หรอก ตอนอยู่มันดูแลฝุ่นอย่างกับเจ้าชาย”
ผมหน้าตึง
“พี่ริวเขาคิดอะไรกับฝุ่นหรือเปล่า”
คนตัวสูงไล่ๆ กับผมชะงัก
“พี่น้อง”
“แน่ใจเหรอครับ”
พี่เรย์มองตา
“แน่สิ” เขาตบหลังผมเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก พักผ่อนเถอะ เดี๋ยวต้องไปเดินเล่นถนนวัวลายกันต่อ”
ผมพยักหน้าเดินเข้าห้อง ห้องเล็กมาก ภายในมีเพียงเตียงขนาดควีนไซซ์สะอาดๆ หนึ่งหลัง ข้างกันเป็นตู้เสื้อผ้า มีทีวีตั้งอยู่บนโต๊ะแถวๆ ปลายเตียงอีกหนึ่งเครื่องเท่านั้น พี่เรย์ให้สิทธิ์ผมอาบน้ำก่อนในฐานะรุ่นพี่ ผมทำตาม พอแล้วเสร็จถึงได้ออกมานอนรอบนเตียง ให้พี่เรย์ได้อาบต่อ นึกไปถึงใครอีกคน
ผมหยิบมือถือมากดไลน์ส่งข้อความหาฝุ่น
‘คิดถึง’
สั้นๆ ครับ แล้วส่งสติกเกอร์ลูกหมากำลังเหงาหงอยไปให้ ไม่หวังว่าจะได้คำตอบอะไรจากมันหรอกครับ เพราะมันไม่เคยตอบไลน์ผมเลย แต่ขึ้นข้อความว่าอ่านแล้ว
‘บ้ารึไง เพิ่งห่างกันเมื่อกี้’
ผมเบิกตากว้าง เด้งลุกขึ้นนั่งทันที เพ่งมองข้อความดีๆ อีกที
ฝุ่นมันตอบไลน์ผมด้วย!!
ผมรีบรัวนิ้วตอบกลับทันทีหลังได้สติ
‘เป็นครั้งแรกเลยนะฝุ่นที่มึงตอบไลน์กู ดีใจจัง’
มันเงียบไปสักพัก ก่อนข้อความใหม่จะเด้งขึ้นมา
‘ประสาท’
ผมฉีกยิ้มกว้างกับคำต่อว่านั้น ทวนอ่านอย่างมีความสุข อยากกอดมันฉิบหาย แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะโดนพี่ริวขวางทางอยู่
‘ฝุ่น มึงดูพี่มึงดิ เขากีดขวางทางรักกู’ ผมอ้อนกลับหวังร้องขอความเห็นใจ
‘ก็เขารักกู’
‘รักแบบไหน’
‘แบบพี่แบบน้อง’
ผมไม่พิมพ์แล้วครับ ไม่ทันใจ โทรไลน์หามันเลย มันรับสายทันที
“พี่ริวล่ะ”
“อาบน้ำ”
“มึงอาบรึยัง”
“อาบแล้ว พี่เขาให้กูอาบก่อน”
ผมหัวเราะ
“เหมือนกัน” ผมกัดปากเบาๆ
“ฝุ่น”
“อะไร”
“คิดถึง”
“ประสาท” อารมณ์เวลาอ่านข้อความกับได้ยินเสียงจริงๆ ไม่ต่างกันเลย ผมเหลือบมองไปทางห้องน้ำ
“มึงอยู่ห้องไหน”
“A9”
ผมรีบลุกพรวดจากที่นอน กดปิดมือถือโดยไม่บอกกล่าวอะไร วิ่งลิ่วๆ ไปเคาะห้อง พักเดียวฝุ่นมันก็เปิด พอมองเข้าไปไม่เห็นใครผมก็สอดตัวเข้าไปทันที จับมันจูบแรงๆ
“คิดถึงใจจะขาด”
“...พล อือ พอ…” มันครางออกมาเบาๆ เมื่อผมซุกซอกคอมันแรง “พล เดี๋ยว พี่ริวอาบน้ำอยู่”
ผมไม่สนครับ จับมันผลักถอยร่นแล้วล้มลงไปนอนหงายบนเตียง
“พล” ฝุ่นพยายามเบาเสียงปรามลง แต่ผมไม่สน คิดถึงจะแย่ ผมซุกซอกคอ เลิกชายเสื้อมันขึ้นสูงจนหัวนมโผล่ อ้าปากงับทันที
ฝุ่นสะดุ้งเฮือก ครางสะท้าน มือหนึ่งจับหัว อีกมือหนึ่งจับแขนผมไว้
กริ๊ก…
เสียงลูกบิดดังเบาๆ ผมเงยหน้าจากซอกคอฝุ่นมอง พี่ริวยืนตะลึงอยู่หน้าห้องน้ำในสภาพผ้าขนหนูพันเอวเอาไว้หมิ่นเหม่ กล้ามเนื้อแน่นหนัน คงชอบออกกำลังกายอยู่เป็นนิจ ออร่าผู้นำเต็มร้อย จะให้ผมไว้ใจให้ฝุ่นอยู่กับคนแบบนี้ได้ยังไงกัน
“ทำอะไรของมึง!”
ฝุ่นรีบดันผมลุก พลิกหันไปมองด้วยผิวแก้มแดงก่ำ
“คิดถึงเมียเลยย่องเข้ามาหา”
“มึง!!” พี่มันถลาจะเข้ามาหา ฝุ่นกั้นกลางไว้ทันที
“พล มึงออกไปก่อน พี่ริวรีบแต่งตัวเถอะ ผมหิวแล้ว”
ผมจ้องคนตัวสูงเท่ากันตาขวาง ก่อนก้มมองฝุ่นอีกที แก้มมันเรื่อแดง รสจูบของผมทำให้ปากมันเจ่อช้ำนิดๆ ผมยกมือเกลี่ยแผ่วเบา ยอมเป็นฝ่ายล่าถอย เดินออกจากห้องมันกลับเข้าห้องตัวเองไป
พี่เรย์ออกมาจากห้องน้ำพอดี
“ไปไหนมา”
“ไปหาฝุ่น”
พี่เรย์เลิกคิ้วสูง ยกยิ้มแล้วหัวเราะ
“อารมณ์ค้างรึไง” เขาคงเดาออกจากบางสิ่งของผม
ผมไม่ได้ตอบ เดินเลยเขาเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย พอออกไปพี่เรย์ก็แต่งตัวเสร็จแล้ว
“เบาขึ้นไหม”
“ตัวเบา แต่ใจหนัก” ผมสารภาพตามตรง พี่เรย์หัวเราะ
“พี่เคยเล่าให้ริวฟังว่าเราทำฝุ่นไว้โหดมาก รายนั้นเลยค่อนข้างเป็นห่วงฝุ่น”
ผมทำหน้ายุ่งยาก เถียงไม่ออก เพราะเวลาผมฮีตจัดๆ ผมก็หนักกับฝุ่นมากจริงๆ
เราพากันออกไปสมทบกันที่ประตูท่าแพเพื่อหาของกินกันแถวนั้น เดินครับ จากที่พัก ไม่ไกลมาก นั่งกินไป ชมวิวท่าแพไป สวยดี ผมกับพี่ริวนั่งเขม่นกันโดยมีฝุ่นอยู่ตรงกลาง พี่มันโอบไหล่ฝุ่นไว้ ฝุ่นมันไม่ขัดขืนพี่มันเองหรอก แต่ถ้าผมทำบ้างมันคงไม่ยอม
หันมองไปอีกด้าน มิคกำลังกินอาหาร โดยมีไมค์คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ดูแลไม่ต่างกับพี่เรย์ที่ขนาบอยู่ข้างกัน มิคยังไม่หยุดร่างๆ ลบๆ อะไรสักอย่างที่น่าจะเป็นสร้อยคอลงบนกระดาษ ผมเลิกสนใจคนทั้งสามหันมากินต่อ ทริปสุดท้ายของวันนี้คือเดินถนนวัวลาย ผมยังไม่เคยเดิน เคยไปแต่ถนนคนเดินวันอาทิตย์เท่านั้น ตื่นตาตื่นใจพอควรครับ ผมพยายามเอาตัวเข้าไปเดินใกล้ๆ ฝุ่นโดยมีสายตาเขม่นจากพี่ริว
ผมไม่สน ฝุ่นมันได้ของมาหลายชิ้นเลย ส่วนใหญ่คงเอาไปฝากคนที่บ้าน ผมทำหน้าที่ถือของให้เหมือนเดิม ตอนแรกเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่หลังๆ ก็ต่างแยกกันเป็นกลุ่มย่อยเพื่อดูของที่ชอบ คนเยอะด้วย คนสิบคนเดินกันเป็นกลุ่มเคลื่อนที่ลำบาก
พี่เรย์กับไมค์แล้วก็มิค จะสนใจพวกสร้อยคอและเครื่องประดับที่เขาเอามาขาย แวะเข้าร้านข้างทางไปแล้ว พวกกู้กับดิวจะหยุดที่โซนของกินเป็นส่วนใหญ่ ล่าสุดที่เห็นคือกำลังต่อคิวเพื่อซื้อลูกชิ้นปิ้งอยู่ แมทกับไวท์มุ่งตรงเข้าหาเสื้อผ้าแนวที่ตัวเองชอบทันที
ตอนนี้กลุ่มที่พากันเดินหน้าต่อจึงเหลือแค่ผม ฝุ่นแล้วก็พี่ริวที่เดินประกบฝุ่นอย่างกับแฟนมากกว่าผมที่เป็นแฟนจริงๆ เสียอีก
ฝุ่นยกตุ๊กตาทำมือลายไทยที่เพิ่งซื้อมาเมื่อกี้ขึ้นดู
“ยัยฝันคงชอบ เด็กนั่นชอบสะสมตุ๊กตา”
“คิดว่าชอบสะสมหนังสือซะอีก”
ฝุ่นสายหัว
“ตุ๊กตา กูว่าอนาคต ถ้าไม่เปิดร้านขายตุ๊กตา ก็น่าจะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์แน่ๆ”
ผมหัวเราะตาม ดีละครั้งหน้าถ้าไปเจอกัน ผมจะได้รู้ว่าควรจะซื้ออะไรไปฝากน้องแฟน
“เออ พล พอดีกูลืมของไว้ที่ร้านขายพวกสมุดทำมือเมื่อกี้ ย้อนกลับไปเอาให้ได้ป่ะ จะรอตรงนี้” พี่ริวหันมาร้องขอกันดื้อๆ
แม้จะเป็นคำขอ แต่น้ำเสียงดูไม่ได้เป็นคำขอแม้แต่น้อย เหมือนเป็นคำสั่งกลายๆ ให้ต้องทำมากกว่า ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่พอใจ แต่ไงก็เป็นรุ่นพี่ แถมยังเป็นคนที่ฝุ่นนับถืออีก ผมรับปากเดินย้อนกลับไปตามทางเดิม มองซ้ายมองขวา ทั้งมองหาเพื่อนๆ ที่น่าจะพากันเดินตามมา หรือว่าร้านสมุดทำมือที่ว่า
ไม่เจอเพื่อนครับ เจอร้านทำมือไม่ห่าง
“โทษครับ พอดีพี่ชายผมเขาลืมถุงสมุดทำมือไว้ ไม่ทราบว่า…”
“โอ้ อยู่นี่เลยค่ะ!” เจ้าของร้านรีบบอก “เห็นมันวางอยู่ริมๆ แผง ยังคิดอยู่เลยว่าเป็นของใคร คนเยอะ ดีนะที่ไม่มีใครหยิบไปก่อน”
ผมยิ้ม รับมาถือ บอกขอบคุณแล้วเดินกลับทางเดิม ผมยกดู ถอนหายใจแรง
“ยังไม่แก่เลย ความจำเสื่อมซะแล้ว” ผมพยายามจดจำว่าฝุ่นกับพี่ริวรอกันอยู่ตรงไหน แต่พอเดินมาถึงที่เดิมจริง กลับมองไม่เห็นสองคนนั้น
“อ้าว” ผมกวาดมองไปรอบๆ เผื่อขี้เกียจยืนรอเฉยๆ แล้วเดินดูของอะไรใกล้ๆ แต่ในระยะที่สายตามองเห็นไม่มีเลยครับ
ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหา ฝุ่นมันดันปิดมือถือ
อะไรวะ ปกติมันไม่เคยปิดมือถือนะ
ผมตัดสินใจโทรหาเพื่อนๆ กู้กับดิวนั่งซัดขนมจีนกันต่อ แมทกับไวท์กำลังซื้อเสื้อผ้ากันอยู่ตามเดิม ส่วนพวกพี่เรย์แวะร้านเครื่องเงินกลางทาง ไม่มีใครเห็นพวกฝุ่นเลย คาดว่าคงเดินนำไปก่อนไกลแล้ว
ผมตัดสินใจขอเบอร์ติดต่อพี่ริวจากพี่เรย์ รายนั้นให้มาง่ายๆ แต่พอโทรหาจริงพี่ริวกลับปิดเครื่องเหมือนกัน
ผมกัดกราม
พี่ริวจงใจแกล้งแยกผมกับฝุ่นแน่ๆ ผมเลิกโทร ยัดมือถือใส่กางเกงตามเดิมตัดสินใจเดินหา ผมก้าวเร็วๆ กวาดสายตาทั้งซ้ายและขวา จากจุดที่นัดยันไปถึงปลายทางก็ไม่เจอ
ผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเดินหาอีกรอบ รออยู่ปลายทางแบบนี้หรือเดินย้อนกลับไปรอที่ต้นทางดี
ผมตัดสินใจเดินย้อนหาอีกรอบ คราวนี้เดินให้ช้าลง แวะเข้าทุกซอยเท่าที่จะเห็น กลางๆ ซอยเห็นพวกแมทกับไวท์ ในมือถือข้าวของมากันคนละถุง
“เจอฝุ่นกับพี่ริวไหมล่ะ”
“ไม่เจอ พี่มันแกล้งกูแน่ๆ” ผมบอกอย่างหัวเสีย แมทตบไหล่ผมเบาๆ
“อย่าไปตามหาเลย ไปเดินด้วยกันป่ะ”
“ไม่ละ ขี้เกียจ พวกมึงไปเดินต่อเถอะ เดี๋ยวกูออกไปรอปากทางออก”
“ไม่ต้องไปรอหรอก เสียเวลาน่า”
ผมส่ายหัวยืนยัน พวกมันไม่เซ้าซี้อีก เห็นพวกพี่เรย์เป็นกลุ่มถัดไป ผมเดินเข้าไปถามก็ไม่มีใครเห็น น้องมิคมองมาด้วยความเป็นห่วง คงเพราะเห็นหน้าบูดๆ ของผมล่ะมั้ง ผมขอตัว เห็นกู้กับดิวเดินดูดน้ำมาตามทาง พวกมันชวนเดินไปด้วยกัน แต่ผมขอไปยืนรอปากทางออกแทนตามเดิม ผมยืนอยู่ในจุดที่เด่น แต่ไม่เกะกะใคร สายตามองไปยังเส้นทางที่ทุกคนจะพากันเดินออกมา สีหน้าบูดสนิท
ผมหยิบมือถือมาโทรหาอีกรอบ กดโทรเข้าเครื่องของฝุ่นก่อน แต่มันยังปิดเครื่องเหมือนเดิม ผมกดไปยังเบอร์ของพี่ริวต่อ คราวนี้มีเสียงสัญญาณ ผมรอด้วยใจจดจ่อ มันดังอยู่สองรอบปลายสายถึงกดรับ
“พี่ริว”
“มีไร” พี่มันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงชวนเตะ
“พี่เอาฝุ่นไปไว้ไหน”
“เอ๋ ตอนนี้เราอยู่กันตรงไหนน้า” พี่มันทอดเสียง “รู้สึกว่าจะเป็นโรงแรมระดับสามดาว การตกแต่งภายในสวยดีนะ เตียงก็สวย คาดว่าคืนนี้ฝุ่นคงหลับสบาย”
ผมกำหมัดแน่นจนเจ็บไปหมด กำลังจะอ้าปากถามว่าโรงแรมอะไรอีกฝ่ายก็ปิดมือถือหนี
ผมสบถคำหยาบออกมา กดหาอีกรอบ แต่คราวนี้เขาปิดเครื่อง ผมขยับอีกครั้งเพื่อไปตามหาโรงแรมที่ว่า แต่เดินยังไม่ถึงสามก้าวเสียงเมสเสจก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงเรียกเข้า ผมเบรกเท้าลงกึก ล้วงหยิบขึ้นมามอง แค่เห็นชื่อเจ้าของเบอร์หัวใจผมก็เต้นแรงแล้ว ผมรีบกดรับทันที ถามกลับด้วยน้ำเสียงเร่าร้อน
“มึงอยู่ไหนฝุ่น” ผมนึกภาพว่ามันอาจกำลังถูกพี่ริวบังคับเอาแบบที่ผมเคยทำยิ่งทำให้รู้สึกร้อนใจ
“แล้วมึงล่ะ” มันถามกลับ
“กูรออยู่ปากทางออก มึงอยู่ไหน กูจะรีบไปหา”
“ไม่ต้องหรอก รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูไปหาเอง”
หัวใจผมไหวแรงไปกับสิ่งที่ฝุ่นพูด
“พี่ริวล่ะ” เพราะเมื่อกี้พี่มันบอกว่าอยู่โรงแรมกับฝุ่น
“กูแยกทางกับพี่เขา พอดีเขามีเพื่อนรุ่นพี่เป็นเจ้าของโรงแรมอยู่แถวนี้จะเข้าไปทักทาย บอกให้กูกลับไปหามึงก่อน”
ผมกัดกราม ใจที่ร้อนดังไฟสุ่มเบาบางลง ผมบอกไม่ถูกว่าควรจะเกลียดพี่ริวดีหรือเปล่า
“เดี๋ยวกูเดินไปรับระหว่างทางฝุ่น”
“ไม่ต้องหรอกพล เดินไปเดินมาเสียเวลา รออยู่นั่นแหละ กูถึงกลางทางแล้ว”
ผมจำใจรับปาก ยืนรอด้วยหัวใจเต้นแรง ชะเง้อคอมองใครสักคนที่น่าจะเป็นฝุ่น
(มีต่อ)
https://goo.gl/mGv8Pa