**{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast  (อ่าน 37521 ครั้ง)

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม


6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



********************************************************

 :pig2:


จากเป็นซินเดอเรลล่าอยู่ก้นครัว
 กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร ได้เจอเจ้าชาย
 แต่น่าเสียดาย เจ้าชายที่ว่านั่น
 ดันเป็นเจ้าชายอสูรน่ะซี!
 "แค่จีบยังโดนขนาดนี้ ถ้ายอมเป็นเมียนี่ไม่ฟ้าเหลืองเลยเหรอ"

     จากเป็นเด็กชายที่ถูกแม่เลี้ยงรังแก ซินเดอร์เรลล่า วิว ได้มาเจอกับ อสูร พี่ชายหน้าตาโหดคนหนึ่ง ที่สอนให้เขาได้รู้จักสู้กลับคืนบ้าง แต่แล้วคืนหนึ่ง เขากลับจับพลัดจับผลู ตกเป็นเมียพี่ชายคนนั้นเพราะความเมา แล้วมารู้ทีหลังว่าพี่ชายคนนี้ คือนายแห่งไร่รุ่งอรุณีผู้ยิ่งใหญ่ แถมเป็นอาของเพื่อนสนิท ที่วิวตกหลุมรักอีกด้วย!


เชษฐ์ไชย(เชษฐ์) อายุ 33 ปี


วิริยะ(วิว) อายุ 17 ปี

ไรเตอร์ทอล์ก
เรื่องนี้เป็นนิยายเบาสมองนะคะ (หรือจะเครียดกว่าเดิมก็ไม่รู้ ถถถ) ฝากอีกหนึ่งผลงานของหนูนาด้วยนะคะ รับรองว่าจะหลงรักนายเชษฐ์และน้องวิวแน่นอนคะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2018 12:42:37 โดย noonaaRP »

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๑


ความยากลำบากของมนุษย์ทุกคนมีแนวทางที่แตกต่างกัน บางคนคิดว่าความลำบากด้านจิตใจส่งผลกระทบมากกว่า บางคนทนความลำบากด้านร่างกายไม่ไหว แต่สิ่งเดียวที่หลายคนมองเห็นตรงกันคือการใช้ชีวิตมันไม่มีคำว่า ‘ง่าย’ เลย มันเหนื่อยและไม่สามารถหยุดได้จนกว่าจะหมดหนทางดิ้นรน หรือไม่ก็จนกว่าจะตาย


เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ในขณะที่เด็กหนุ่มใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการออกแรงวิ่ง ช่วงหัวค่ำรถเยอะและติดจนคิดว่าไปด้วยตัวเองยังง่ายเสียกว่า ลำขายาวพาวิริยะฝ่าทะเลรถที่ติดขนัดมุ่งหน้าไปยังบ้าน หลังจากออกมาทำงานพาร์ทไทม์เสร็จ และนี่อาจจะเป็นสายจากทางบ้านโทรเร่งให้เขารีบเสนอหน้ากลับไปที่นั่นก็ได้ คิดได้แล้วเด็กหนุ่มจึงหยิบมันออกมากดรับโดยไม่ละแม้แต่ฝีก้าวเดียว


เพราะพ่อไม่รู้ว่าเขาทำงานนี้


“ครับ” เขาขานรับ


“อยู่ไหนแล้ว ถ้าแกไม่รีบมา ฉันจะบอกพ่อว่าแกแอบไปรำแก้บน”


“อีกสิบนาทีนะครับพี่ทราย บอกพ่อว่าผมติดทำโครงงานหรืออะไรก็ได้”


“ไม่เอาแล้ว! ทำไมฉันจะต้องแก้ตัวให้คนอย่างแกด้วยไอ้วิว ถ้าแกมาช้าฉันจะฟ้องพ่อว่าแกเป็นตุ๊ด ไปแต่งหน้าทาปากฉีกแข้งฉีกขารำต่อหน้าต่อคนเยอะแยะ คราวนี้แหละ แกโดนเฉดหัวออกจากบ้านแน่!”


“เดี๋ยวสิพี่ทราย” วิริยะเชื่อว่าหล่อนจะทำอย่างที่พูดแน่นอน เด็กหนุ่มรีบร้อนเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีก “ขอร้องละครับ ให้พ่อรู้ไม่ได้ ถ้าพ่อรู้ผมจะไม่ได้ทำงานอีก ก็เงินเดือนผมพี่เอาไปใช้แล้วไง”


“ถ้าฉันช่วยแล้วจะได้อะไร อ้อ…” ปลายสายหัวเราะ “ฉันเป็นฝ่ายเหนือกว่า ก็ต้องเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้แกต่อรองสินะ”


วิริยะรู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงพี่สาวต่างมารดาหัวเราะ


ทรายเป็นลูกติดภรรยาใหม่ของบิดาเขา นอกนั้นเด็กหนุ่มก็มีน้องสาวอีกหนึ่งคนในวัยเก้าขวบ น้องเล็กไม่ค่อยพูดจาเพราะเกรงกลัวพี่สาวคนโตมาก จะมีแต่เขาที่คอยดูแลเท่านั้น วันนี้เป็นวันที่บิดากลับจากแท่นหลังจากอยู่กลางทะเลมาตลอดสามเดือน ท่านเป็นเสาหลักของบ้านและเด็กหนุ่มไม่อยากทำอะไรให้ไม่สบายใจ


“งั้น แบ่งเงินค่าตัวของแกให้ฉันห้าสิบเปอร์เซ็นต์”


แต่เธอฮุบเงินเดือนที่บิดาฝากให้เขาไปแล้วนี่


วิริยะรู้สึกหมดหนทางเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่ได้มองว่าด้านหน้าเปลี่ยนสัญญาณเป็นไฟเขียวแล้วแล้วเมื่อไร มารู้สติอีกทีก็ตอนเสียงแตรของรถข้างหลังที่ดังขึ้น เด็กหนุ่มขาแข็ง หันไปมองแสงไฟที่สาดเข้าดวงตา รถยนต์ข้างหลังแล่นมาด้วยความเร็วจนคิดว่าเขาหลบไม่ทันแน่ โทรศัพท์ในมือเด็กหนุ่มร่วงลงพื้นไม่ได้พูดสายต่อ ยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเองด้วยความตกใจและคิดว่านี่คือวินาทีสุดท้ายของชีวิตแน่แล้ว


ร่างกายวิริยะชาวาบเมื่อแสงสีขาวสาดใส่ร่างพร้อมกับแรงเบรกจนเกิดเสียงแหลมสะท้านก้องไปทั่ว ทว่ามันมิได้แล่นมาชนร่างเขา อาจเป็นเพราะคนขับเบี่ยงพวงมาลัยหนี สิ่งที่กระทบตัวเด็กหนุ่มคือลมอย่างแรงเมื่อมันผ่านหลังเขาไป แล้วเสียงโครมใหญ่ก็ดังขึ้นจนวิริยะสะดุ้ง รถคันนั้นเบี่ยงไปชนท้ายเก๋งคันหนึ่งซึ่งติดไฟแดงรอวนรถอยู่


วิระยะมือสั่น ก้มลงเก็บโทรศัพท์ที่พังยับมาใส่กระเป๋า วิ่งไปยังรถยนต์คันนั้นเพื่อถามไถ่อาการ เมื่อไปถึงเห็นว่าทั้งส่วนท้ายรถผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และผู้ได้รับผลกระทบต่อเขาโดยตรงนั้น หน้ารถยับ คิดว่าค่าซ่อมมันต้องแพงแน่


เด็กหนุ่มรู้สึกตัวชาเมื่อเห็นเจ้าของรถเปิดประตูลงมาหน้าซีเรียส ผู้ถูกชนท้ายคนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน และคนที่ขับเบี่ยงหลบเขาเป็นผู้ชายวัยสักสามสิบกว่า หน้าตาไม่ค่อยรับแขกนัก


น่ากลัว


“เจ็บตรงไหนกันไหมครับ” วิริยะถามขึ้น


คุณป้าผู้ถูกชนท้ายเลิกคิ้ว อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าเพราะเขา คู่กรณีอีกฝ่ายจึงเบี่ยงไปชนท้าย


“ไม่จ้ะ แต่ต้องเสียเวลาแน่เลย”


วิริยะใช้ความกล้าทั้งหมดเลยไปมองคู่กรณีอีกคน ยิ่งมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งน่ากลัว อีกฝ่ายไว้หนวดไว้เครา ผมยาวประมาณบ่าและมัดรวบไว้ข้างหลัง แถมคิ้วยังดกดำ มองไปแล้วเหมือนกอริลล่าตัวผู้ อีกซ้ำลำแขนมีกล้ามเนื้อเป็นมัดชัดเจน โผล่พ้นเสื้อยืดพอดีตัวออกมา


“เอ่อ…พี่เจ็บตรงไหนไหมครับ ผม…ขอโทษนะ”


อีกฝ่ายเกาศีรษะ ก้มลงมองรถตัวเองอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “ขอโทษอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะน้อง ตัวพี่เจ็บน่ะทนได้ แต่ลูกรักของพี่เจ็บขนาดนี้ น้องรู้ใช่ไหมว่าต้องรับผิดชอบ ต้องรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวน้องเป็นต้นเหตุ” น้ำเสียงคนพูดดูเคร่งเครียด


“ตายจริง เรียกประกันมาคุยกันก่อนซีจ๊ะพ่อหนุ่ม”


“ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะป้า มีคนรอผมอยู่!”


วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดหนทาง ที่บ้านก็กำลังรีบ ทางนี้ก็กำลังเรียกร้องความรับผิดชอบ


“แม่ง! คนยิ่งกำลังรีบ ๆ อยู่ด้วย วันนี้มันวันซวยอะไรกันวะ” เสียงสบถร้าย ๆ ของชายตัวใหญ่ข้างกาย ทำเอาเด็กหนุ่มพูดไม่ออก ลำขายาว ๆ เตะเศษหินเศษกรวดระบายโทสะ วิริยะเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสวมคอมแบท รถที่ขับเป็นปิ๊กอัพยกสูงที่ผ่านโคลนตมราวกับเพิ่งออกจากป่า ซอมซ่อแบบนี้มีหวังเรียกเงินเขาบานเบอะแน่


แต่เขาก็ผิดอยู่ดี


เด็กหนุ่มถอนใจ เหลือบมองคุณป้ากำลังโทรเรียกประกัน และผู้ชายน่ากลัวที่ก้มลงรีบรับโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียง


จะเอาไงดี เขาก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน ชั่วโมงนี้ใครเขาก็รีบกันทั้งนั้น


“พี่ครับ” วิริยะตัดสินใจเดินไปหา ตั้งใจว่าจะคุยขอชดเชยค่าเสียหายทีหลัง ทว่าอีกฝ่ายยกมือบอกให้เขารอก่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เด็กหนุ่มกำลังรีบและไม่อาจรอได้เช่นกัน “พี่ครับ ฟังผมก่อนได้ไหม”


“ก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนไง”


“แต่ผมรีบนะครับ ผมต้องไปแล้ว”


เด็กหนุ่มรีบควานหาปากกาและกระดาษในกระเป๋านักเรียน เขียนเบอร์โทรศัพท์สองใบแล้วฉีกนำไปให้คุณป้า และวนกลับมาหาผู้ชายหน้าโหดอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับการพูดสาย ทว่ารอไม่ได้แล้ว เด็กหนุ่มดึงมือหนามารับกระดาษเบอร์โทร พูดกับอีกฝ่าย “ผมต้องไปแล้ว ยังไงพี่ติดต่อผมมานะครับ”


“เฮ้ย! ยังไม่อนุญาตให้ไป นี่น้องคิดจะชิ่งงั้นเหรอ”


“เปล่านะ ผมจะใช้หนี้พี่แน่ แต่วันนี้ผมอยู่ไม่ได้จริง ๆ”


“ไม่เชื่อ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”


เจ้าของร่างใหญ่หัวเสียขึ้นมาอีกระดับ เมื่อพูดจบเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อฟังเขาเลยสักนิด วิ่งจากไปโดยไม่คิดหันหลังกลับมาแม้แต่น้อย ทั้งที่ในชีวิตประจำวันของเขาพูดคำไหนคนฟังก็กระตือรือร้นรีบทำตาม


เชษฐ์ไชย ทุบมือลงบนรถระบายความขุ่นข้อง ก้มลงมองกระดาษในมือที่บอกหมายเลขและชื่ออย่างนึกหงุดหงิด


“ไอ้เด็กวิว…ตัวแสบ! อย่าให้ฉันเจออีกนะ”


มือหนายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้งหลังนึกขึ้นมาได้ “อัฐษ์ ฉันมีปัญหา ส่งคนมารับฉันให้ด่วนที่สุด”


“ไม่ทันแล้วเชษฐ์”


เชษฐ์ไชยชะงัก ร่างกายชาไปทุกส่วนเมื่อได้ยินน้องชายจากปลายสายพูดผ่านเสียงสะอึกสะอื้น “คุณปู่ ท่าน…จากเราไปแล้ว แกมาไม่ทัน สุดท้าย…ปู่ไม่ได้เห็นหน้าแกก่อนตาย”


สิ่งที่อัฐษไชยกล่าวผ่านสายนั้นทำให้เชษฐ์ไชยพูดไม่ออกไปหลายวินาที น้ำตาเขาไหล ที่เขาไปไม่ทันได้ดูใจคุณปู่ทั้ง ๆ โรงพยาบาลก็อยู่ข้างหน้า อีกไม่ไกล ใกล้แค่นี้ก็ไม่สามารถไปได้ เพียงเพราะเด็กไม่มีความรับผิดชอบคนนั้นแท้ ๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มเสียเวลา เขาจึงไม่ได้เอ่ยลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย


เสียงแหบพร่าของท่านเมื่อช่วงบ่าย ยังคงตรึงในสมองของชายหนุ่มอยู่ตลอด เป็นประโยคเดียวกันที่ได้ยินมาทั้งชีวิต


กลับมาที่บ้านบ้าง กลับมาอยู่ด้วยกัน กลับมาช่วยงานปู่หน่อย


หลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะไปอย่างเคย อาการป่วยของท่านก็ได้ทรุดลง


น่าเสียดาย…ที่เขาทำตามความต้องการของท่านไม่ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย ท่านก็ยังคงผิดหวังต่อหลานคนนี้ต่อไป


 


วิริยะรีบจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซค์หลังจากมาถึงบ้านอีกสิบนาทีต่อมา เด็กหนุ่มรีบยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลาเพราะกลัวบิดามาถึงก่อน ทว่ามันเปิดไม่ติด หน้าจอก็แตก เขาส่ายหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปข้างใน นึกใจหายที่เห็นแผ่นหลังของบิดาบนโต๊ะอาหาร


“ขอโทษครับที่มาช้า”


เด็กหนุ่มหยุดอยู่ข้างบิดา ท่านช้อนตาขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเจ้าระเบียบอย่างเคย พร้อมกับสายตาของพี่สาวต่างแม่ที่มองด้วยความไม่พอใจ อาจเป็นเพราะที่วิริยะไม่ได้ตอบตกลงเรื่องข้อเสนอนั่นกระมัง


“ไปไหนมาทำไมกลับบ้านมืดค่ำแบบนี้ ตอนที่พ่อไม่อยู่แกก็ทำตัวแบบนี้ประจำเหรอ”


วิริยะทรุดลงนั่งร่วมโต๊ะ กลืนน้ำลายฝืดคอเมื่อมองพี่สาว เพราะเธอกุมความลับของเขาอยู่และทำหน้าอย่างกับเหนือกว่า ใช่…เหนือกว่ามาก “ทำโครงงานส่งอาจารย์ครับ”


“ก็กลับเวลานี้แหละค่ะคุณ แต่บางวันก็โทรมาบอกป้าบ้างก็ได้นะ ถ้าจะกลับดึกกว่านี้ ป้าเป็นห่วง”


เด็กหนุ่มเบิกตามองคนพูด “ผมก็โทรบอกตลอดนี่ครับป้าอร”


“อย่าเถียงป้าเขา เขาดีแค่ไหนที่ดูแลแกแทนพ่อ อย่าทำตัวมีปัญหาให้เป็นภาระเขามากนัก เข้าใจรึเปล่า”


ได้ฟังที่สามีพูดอิงอรก็ระบายยิ้มพอใจ สองแม่ลูกเหลือบมองกันอย่างรู้นัยยะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มถูกติติงตั้งแต่มาถึง วิริยะก้มหน้าลงมองจานข้าว จะหยิบช้อนตักอะไรทาน เสียงของแม่เลี้ยงก็ดังขึ้นมาก่อน “เอ้อ เห็นว่าออกไปทำงานพาร์ทไทม์เป็นยังไงบ้าง ชาวบ้านแถวนี้เขามาเล่าให้ป้าฟัง”


บิดาเงยขึ้นมองวิริยะ “ทำไมต้องไปทำ”


“อะ เอ่อ คือว่า” เด็กหนุ่มหันไปหาพี่สาวต่างแม่


“ก็ดีแล้วนี่คะคุณลุง วิวมันจะได้มีประสบการณ์”


“แต่ฉันมีปัญญาส่งแกเรียนนะวิว บ้านเราไม่ได้ขัดสนอะไรขนาดนั้น”


เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้นครับพ่อ มันเป็นชมรมของโรงเรียน เราได้ทำกิจกรรมแล้วก็ได้ค่าแรงมานิดหน่อยแค่นั้น ผมไม่ได้อยากให้คนเขาเข้าใจว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้สักหน่อย”


“แต่ชาวบ้านเขาก็เข้าใจไปแล้วนี่จ๊ะ มีคนมาถามป้าด้วยว่าบ้านเรามีปัญหาอะไรรึเปล่าถึงได้ปล่อยวิวไปทำงานแบบนั้น ส่วนป้าก็ได้แค่ยิ้มอาย ๆ เพราะห้ามเธอแล้วแต่เธอไม่ยอมฟัง” อิงอรทำหน้าเศร้ามองสามี


ได้ฟังแล้วธเนศก็วางช้อนส้อมในมืออย่างอารมณ์เสีย


“แกทำงานอะไรอยู่วิว ไอ้ชมรมไร้สาระนั่นอีกแล้วใช่ไหม พ่อจำได้นะว่าสั่งให้แกออกจากชมรมนี้ไปแล้ว”


เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงไม่อยากมาช้า เพราะจะเป็นประเด็นให้ป้าอรเล่นงานเขาได้ นอกจากจะเป็นแม่เลี้ยงแล้ว นางยังเป็นแม่มดประจำบ้านด้วย แม่มดที่แสร้งทำตัวเป็นนางฟ้าในสายตาบิดาของเขาอย่างไรเล่า วิริยะคิดแล้วทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนใจนั่งร่วมวงอาหารนั้น


เขาจะออกจากชมรมนั่นได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นรายได้หลักที่ส่งเขาเรียนมาจนถึงตอนนี้ เงินที่บิดาฝากให้ไม่เคยได้ถึงมือเด็กหนุ่มเลยแม้แต่สตางค์เดียว ค่าข้าว ค่าอาหารก็ต้องออกเองเพราะไม่เคยได้ทานที่บ้านร่วมกับพวกเธอเลยสักครั้ง หากจะบอกบิดาก็ไม่ได้ เขาจะกลายเป็นไอ้หน้าตัวเมียที่กล่าวหาคนดี ๆ อย่างพวกนี้ขึ้นมาทันที ความผิดจะตกอยู่ที่เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้


“พ่อขอสั่ง ว่าให้ออกจากจากชมรมนั่นซะ ไม่งั้นพ่อจะเล่นงานถึงครูที่ปรึกษา”


“อย่าถึงขนาดนั้นเลยค่ะคุณลุง วิวมันโตแล้ว มันก็คงอยากจะทำอะไรที่วัยรุ่นเขาทำกัน อย่าไปห้ามมันเลย”


“ใช่ค่ะใช่ ฉันอาจจะเคยห้ามก็จริง แต่พอมาคิดดูแล้วก็ให้ลูกได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มดีกว่า”


เมื่อได้ฟังน้าอรพูด ธเนศทอดถอนใจมองลูกชาย จำต้องยอมในที่สุด


สุดท้าย ก็เป็นฝ่ายนั้นอีกครั้งที่กลายเป็นแม่พระในสายตาบิดาของเขา วิริยะก้มมองชามข้าวอย่างนึกหน่ายเหนื่อยกับชีวิต แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเด็กผู้ชาย เขาอดทนได้ดีกว่าเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว เด็กหนุ่มก้มมองน้องสาวที่กำลังทาน เธอหันมาสบตาเขาราวกับรู้สึกว่ากำลังถูกพี่ชายมองอยู่ ส่งกำลังใจให้วิริยะด้วยรอยยิ้มแสนน่ารัก


หลังทานอาหาร วันนี้แปลกหน่อยที่แม่เลี้ยงกับพี่สาวเป็นคนทำความสะอาดจานชาม เพราะทุกครั้งเป็นเด็กหนุ่มที่ต้องกลับมาทำทุกอย่างให้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าและชุดชั้นใน มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันที่บิดากลับมาเขาจะสบายและได้รับการปฏิบัติด้วยดีเป็นพิเศษ วิริยะอยากให้บิดาอยู่ด้วยทุกวัน


ทั้งสองเดินออกมาหน้าบ้านเพราะบิดาอยากย่อยอาหาร ที่จริงบ้านของเขาไม่ได้ขัดสนอย่างที่คุณธเนศเคยพูดไว้ข้างต้น แต่เมื่อลับสายตาท่าน การปฏิบัติตัวของแม่เลี้ยงและพี่สาวทำให้เด็กหนุ่มต้องพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เขาไม่โทษที่ทั้งสองจะเกลียดลูกเมียเก่า ตราบใดที่ได้นอนหลับพักในบ้านที่บิดาและมารดาของเขาสร้างขึ้นมาด้วยกัน วิริยะคิดว่ามันไม่ได้แย่สำหรับเขาเลย


“ตั้งใจเรียนอย่างที่พ่อบอกรึเปล่า”


วิริยะหันมองคนถามหลังได้ยิน ยกยิ้มเล็กน้อย “ครับ ถึงผมจะเอาใจใส่งานชมรม แต่เรื่องเรียนผมก็ไม่ได้ทิ้ง ปีหน้าก็จะถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมอยากให้พ่อภูมิใจตอนที่ผมเข้าคณะที่พ่ออยากให้เข้า”


คนตัวสูงกว่าหันมาสบตา “ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยล่ะ”


“แล้วพ่อจะอยู่นานแค่ไหนครับ ครั้งนี้”


“อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ แต่กลับไปแล้วอยู่ยาวถึงห้าเดือนเลย”


ได้ฟังแล้ววิริยะถึงกับใจหาย เขาจะได้เจอพ่ออีกห้าเดือนข้างหน้าโน่นหรือ “ไม่มีวันหยุดเลยเหรอครับ”


คนฟังหันมาสบตา และมองวิริยะราวกับว่าเข้าใจความเหงาของเขาจากน้ำเสียง “อันที่จริงก็มี แต่ไม่หยุดก็จะได้เงินเยอะกว่านี่นา วิว…แกรู้ใช่ไหมว่าที่พ่อทำแบบนี้ไปก็เพื่ออนาคตของแกกับน้อง เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวให้ป้าอรหนักใจนัก เป็นเด็กดี แล้วจะโทรมาหาบ่อย ๆ”


ยังไงเขาก็ขอให้พ่อหยุดไม่ได้อยู่ดี


“ครับ”


เด็กหนุ่มพยักหน้ารับในสิ่งที่บิดาพูดในความสงัดของค่ำคืน ถูกแล้ว…พ่อของเขาต้องใช้ชีวิตจำเจในแท่นกลางมหาสมุทรก็เพื่อพวกเขา เขาไม่ควรก่อปัญหาให้ท่านไม่สบายใจ วิริยะจะยืนหยัดและเข้มแข็งเพื่อให้ท่านภาคภูมิใจ ท้ายที่สุดบิดาก็ควักกระเป๋าหยิบธนบัตรสีเทาออกมาสองใบ ยื่นให้เด็กหนุ่ม “เงินที่ส่งให้พอใช้ใช่ไหม นี่…พ่อให้ เอาไปซื้อขนมกินหน่อย กลับมาครั้งนี้แกผอมลงไปมาก”


เด็กหนุ่มรีบไหว้ขอบคุณ กะว่าจะเอาไปซ่อมโทรศัพท์ “ขอบคุณครับ”


น้ำมืออุ่น ๆ ของบิดาที่ยกมายีศีรษะเขาเป็นสัมผัสที่ห่างหายไปนานเหลือเกิน แม้ว่าท่านได้เดินจากไปแล้ว วิริยะก็ยังคงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้รับความอบอุ่นจากคนที่ห่างกันไกล เป็นความสุขสิ่งเดียวที่เขารอและต้องการได้รับเสมอมา


“เป็นบ้าอะไรยืนยิ้มคนเดียว”


เสียงคนที่ชะโงกจากประตูบ้านเรียกสติเด็กหนุ่มหลับมา วิริยะมองพี่สาวที่อายุมากกว่าสามปีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอเหลือบมองเงินในมือเขาแล้วฉกไปเสียเฉย ๆ อย่างติดเป็นนิสัย “นี่เป็นค่าที่ฉันช่วยแกให้ได้ทำงานนั่นต่อไป ขอบคุณฉันด้วยล่ะ”


เธอแอบฟังอยู่ตลอดว่าพ่อพูดอะไรกับเขา


“พี่ทราย ผมต้องใช้เงินนั่นนะ”


“ทำไม แกจะหือเหรอ” หล่อนยัดธนบัตรสีเทาเข้าไปในร่องหน้าอกของตัวเองอย่างต้องการชนะ ฉีกยิ้มสะใจ “ฉันอุตส่าห์ช่วยแกนะ แกก็รู้ว่าชีวิตในมหาลัยต้องมีเรื่องให้ใช้เงินมากขนาดไหน เด็กม.ปลายอย่างแกมันไม่เข้าใจหรอก แล้วก็จะไม่มีวันเข้าใจด้วย เพราะแกจะไม่ได้เรียนต่อ จำใส่กะลาหัวตัวเองด้วย”


“อะไร หมายความว่าไง” เธอไม่สนใจจะตอบคำถามวิริยะ เดินฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดีหลังจากได้เงินของเขาไปอีกครั้ง วิริยะงุนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด แต่ไม่มีวันที่เขาจะไม่ได้เรียนต่อแน่นอน หากป้าอรจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขา ตัววิริยะนี่แหละจะส่งเสียตัวเองเรียนไปจนจบ


เด็กหนุ่มคิดทั้งทรุดกายนั่งลงพักบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน






---------------------------------------------------

เปิดเรื่องมาแล้ว เล่าถึงความถูกรังแกของนายเอกเบา ๆ ทุกคนต้องทำใจนะคะ ว่านายซินก็ต้องถูกรังแก แต่อีกไม่นานจะกลับมาฮึดสู้ ตอกแม่เลี้ยงหน้าหงายแน่ อิอิ

วิวน่ารัก รับรองว่าคุณผู้อ่านจะหลงรักวิวแน่ ๆ ค่ะ

เรื่องนี้หนูนาซุ่มเขียนไว้ ชอบไม่ชอบอย่าลืมคอมเม้นบอกกันด้วยนะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa




วันนี้เป็นเช้าที่สดใส บิดาของเขาขับรถมาส่งถึงโรงเรียน

เข้าวันที่สามแล้วที่ธเนศกลับมาอยู่ด้วยที่บ้าน วิริยะรู้สึกมีความสุขแม้จะลำบากใจเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาแห่งความไม่พอใจของแม่เลี้ยง อันที่จริงครอบครัวของเขาไม่ใช่คนยากคนจน ใช้ชีวิตไม่ได้แร้นแค้นเท่าคนอื่น แต่ในสายตาของเพื่อนร่วมห้องแล้ววิริยะคือเจ้าพ่องานพาร์ทไทม์ เขารับทำงานทุกอย่างที่ได้เงินแม้ว่าโรงเรียนนี้จะเป็นโรงเรียนคุณหนู

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในชั้นเรียนแล้วเก็บสัมภาระของตนเอง แจกจ่ายสมุดการบ้านที่รับทำให้แก่เพื่อน ๆ ครั้นเสร็จก็เหลือบเห็นว่าเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันไม่ได้มา เด็กหนุ่มจึงหันไปถามอีกคน “ไอ้มาร์ค ไอ้อิกมันไม่มาโรงเรียนเหรอ”

“ไม่ได้มา นี่มึงไม่รู้ข่าวเหรอว่าปู่มันเสีย ออกข่าวครึกโครมจะตาย”

วิริยะส่ายหน้า “ไม่อะ พอดีโทรศัพท์กูพัง ที่บ้านก็ไม่ได้ดู”

“มึงนี่ก็มีเรื่องให้ต้องใช้เงินทุกทีเลยนะ”

“เออ โคตรซวยเลย” เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่

แต่เดี๋ยวก่อน ในเมื่อโทรศัพท์ของเขาพังแล้วจะให้เบอร์คนอื่นไปอีกทำไม และหมายความว่าผู้ประสบอุบัติเหตุวันนั้นไม่สามารถติดต่อเขาได้เลยน่ะซี วิริยะยกมือกุมหน้าตัวเองคิด แล้วอย่างนี้อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน มีหวังผู้ชายหน้าโหดคนนั้นได้ไปแจ้งความเอาเรื่องเขาโทษฐานหลอกลวงแล้วน่ะซี จะทำอย่างไรดี หากพ่อรู้เข้ามีหวังต้องโดนว่าอีกแน่

“เออ ไอ้วิว เมื่อกี้อาจารย์ปริมมาบอกว่าถ้ามึงมาแล้วให้ไปหาที่ห้องชมรมหน่อย สงสัยมีงานให้ทำ”

“เออ ขอบใจ เดี๋ยวกูมานะ”

มาร์คพยักหน้ารับราวกับเข้าใจเมื่อได้ยินเพื่อนบอก วิริยะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ชมรมซึ่งอยู่ท้ายตึกเรียนชั้นสี่ ช่วงกลางวันมีผู้คนสัญจรไปมาก็ดีอยู่ แต่ช่วงกลางคืนที่อยู่ซ้อมกันนั้นเขารู้สึกขนลุกเป็นพิเศษ ครั้นถึงเด็กหนุ่มเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป เห็นครูที่ปรึกษากำลังจัดเตรียมชุดเพื่อใช้ในงานอยู่พอดี เธอยกยิ้มให้เขาอยู่ช่วงหนึ่ง “มาแล้วเหรอ วันนี้ตอนเที่ยงมาซ้อมด้วยนะ บ่ายสามต้องไปแสดงในพิธีเผาผู้ใหญ่”

“ครับ แล้วนี่ใช้นางรำเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“อื้ม วันนี้งานใหญ่มาก ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ นับหน้าถือตา เราต้องแสดงให้สมฐานะท่านหน่อยน่ะ”

วิริยะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “อาจารย์จะให้ผมทำอะไรครับ”

“วันนี้เธอตีระนาดนะ นางรำมีครบแล้ว เธอจะได้ไม่ลำบากใจ ถึงแม้ว่าครูจะแอบเสียดายท่ารำสวย ๆ ของเธอก็เถอะ” อาจารย์ปริมยกยิ้มขันถามเห็นสีหน้าเด็กหนุ่มขณะจัดเตรียมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ชมรมของเขาคือชมรมดนตรีไทยประสมนาฏศิลป์ วิริยะแค่ตกกระไดพลอยโจนแต่งตัวเป็นนางรำช่วยโรงเรียนครั้งเดียวเพราะเหตุสุดวิสัย แต่ผิดตรงที่งานนั้นดันใกล้บ้านเขา เด็กหนุ่มจึงกลายเป็นตุ๊ดในสายตาชาวบ้านไปแล้ว

“วันนี้การแสดงต้องดีและเป๊ะทุกอย่าง เจ้าภาพจะได้ไม่เสียหน้า” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเมื่อได้ยินอาจารย์เปรย เธอเงยขึ้นมาสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง “เอ…ที่จริงเธอก็รู้จักกับหลานท่านนี่ เขาเป็นเพื่อนเธอไม่ใช่เหรอ ชื่ออะไรนะ อัศวินเหรอ”

“อ๋อ ไอ้อิก…”

ผู้ใหญ่ที่ว่าคือปู่ของอัศวินเองนั่นหรือ

ที่จริงเขาก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าครอบครัวของอัศวินเป็นผู้นำทางธุรกิจ เปิดบริษัทแปรรูปผลไม้ในรูปแบบต่าง ๆ แต่เพราะเพื่อนสนิทคนนี้ติดดินและใช้ชีวิตกับเขาราวเป็นเด็กธรรมดาหาใช่พวกคุณหนูที่ไหน ทำให้วิริยะลืมไปเลยว่าอัศวินกับเขาแตกต่างกัน อีกทั้งเพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็ต่างร่ำรวยกันทั้งนั้น ไม่มีใครขัดสนเรื่องเงินเลยแม้แต่นิด ทว่าก็ดีกับเขาเสมอเหมือนเป็นชนชั้นเดียวกัน

“เดี๋ยวนางรำจะมาแต่งตัวกันตอนเที่ยง ส่วนนักดนตรีอย่างพวกเธอสวมชุดนักเรียนก็แล้วกัน พิธีเริ่มตอนบ่ายสาม เราจะต้องไปสแตนด์บายรอที่วัดก่อนแขกจะมาครบ ระหว่างนั้นเธอก็ช่วยครูด้วยนะ”

“ครับ”

เวลาเดินมาไวกว่าที่คิด หลังซ้อมเสร็จวิริยะก็ช่วยอาจารย์หิ้วยกเครื่องดนตรีขึ้นรถร่วมกับนักแสดงคนอื่น เมื่อไปถึงงานก็บ่ายสอง วัดที่นี่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดจึงมีลานที่กว้าง บริเวณเมรุกำลังถูกจัดดอกไม้เติมแต่งให้สวยงาม ส่วนศาลาก็เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวจัดเป็นพุ่มอยู่ทุกมุม ม่านสีสวยอยู่ด้านหลังโลงศพอันเต็มไปด้วยดอกไม้อาลัยรักของเหล่าลูกหลานนั้นสวยงาม รวมกับไฟประดับที่กะพริบอยู่ไม่หยุด พวงหรีดของผู้ส่งความอาลัยถึงล้นจนไม่มีที่เก็บ บ่งบอกว่าผู้เสียชีวิตมีความสำคัญมากเพียงไหน

เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นงานศพของใครยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนเลย

การมาถึงของพวกเขาเรียกความสนใจต่อแขกที่มาบางส่วน วิริยะและเพื่อนหิ้วระนาดเดินผ่านศาลาเพื่อเลยไปยังด้านหลังม่านนั้น เห็นอัศวินนั่งอยู่บริเวณหน้าสุดซึ่งเป็นที่นั่งของครอบครัวผู้เสียชีวิต ใกล้กับบิดามารดา และใครคนหนึ่งซึ่งตัวโต อายุราวสามสิบ ท่าทางภูมิฐานและสง่างาม เด็กหนุ่มรู้สึกคุ้นตามาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ซึ่งคนทั้งหมดสวมเครื่องแต่งกายสีดำไว้ทุกข์

นัยน์ตาคมของชายผู้นั้นเหลือบมาเห็นพวกเขา พยักหน้าทักทาย เป็นอาจารย์ปริมที่ตอบรับด้วยท่าทางนอบน้อมและเร่งนักเรียนให้เดินเร็วขึ้นเพราะไม่อยากให้รบกวนแขกผู้ใหญ่

วิริยะกับเพื่อนช่วยกันจัดเครื่องดนตรีให้เข้าที่ตรงหน้าศพอย่างที่เคยทำ อัศวินพยักหน้าทักทายเขา เด็กหนุ่มตอบรับคืนเช่นเดียวกันทางสายตา รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาพูดคุยถามไถ่กัน ครั้นจัดเสร็จก็หลบไปอยู่รวมกับเหล่านางรำด้านหลังเพื่อรอให้พิธีเริ่มตามเวลา

“นี่ไง ครอบครัวของบริษัทรุ่งอรุณีที่ว่ารวยมากน่ะ” สาวนางรำพูดกับเพื่อน

“แก แกเห็นคุณคนนั้นไหม หล่อมากเลย”

“เขาชื่อคุณอัฐษ์ใช่ไหม ได้ยินอาจารย์ปริมเรียก ไม่เคยคิดเลยว่าตัวจริงเขาจะหล่ออย่างนี้”

“เห็นว่าเขาเป็นคนเสนอให้โรงเรียนเรามาแสดงที่นี่ด้วยนะ”

“พวกเธอ เงียบ ๆ กันได้แล้ว” อาจารย์สาวปรามเมื่อได้ยินเสียงโฆษกเริ่มพิธี วิริยะส่ายหน้า เมื่อหล่อน ๆ ทั้งหลายไม่หยุดกันง่าย ๆ แค่ได้กระซิบและหัวเราะคิกคักกันก็พอใจแล้ว ขณะที่รอให้ถึงเวลา มีคนเดินถือน้ำมาแจก น่าจะเป็นคนจากครอบครัวเจ้าภาพ เป็นชายวัยมหาวิทยาลัยยกยิ้มให้พวกเขาแล้วยื่นถาดน้ำให้หยิบมาดื่ม “รับไปซีครับ”

วิริยะส่ายหน้า “ผมยังไม่หิวครับ พี่ให้คนอื่นเลย”

“หน้าคุ้น ๆ นะเนี่ย เหมือนเคยเห็นที่ไหน”

“ไม่หรอกครับ เราไม่เคยเจอกัน”

อีกฝ่ายยักไหล่แล้วเดินเลยเขาไปหาคนอื่น “อ้อ จำได้แล้ว นางรำคนสวย ๆ คนนั้นนั่นไง”

สิ้นคำของอีกฝ่าย คนอื่นก็หัวเราะกันพรืด แม้กระทั่งอาจารย์ปริมก็เป็นไปกับเขาด้วย วิริยะหน้าบึ้งเมื่อเห็นแววตาล้อเลียนของคนพูดแซวเมื่อครู่ที่ไม่กล่าวอะไรต่อ เพียงแค่เดินทำตามหน้าที่ตนเองไปเท่านั้น กระทั่งครบทุกคนแล้วรุ่นพี่คนนั้นจึงหันมาบอกกับอาจารย์ว่า “เดี๋ยวจะมีคนสวนมาเอาดอกไม้กับพวงหรีดไปจัดเรียงที่เมรุอีก จะใช้ตรงนี้เป็นทางผ่านนะครับ”

“ได้ค่ะ มีอะไรให้เด็ก ๆ ช่วยก็บอกนะคะ” อาจารย์ปริมตอบ อีกฝ่ายยิ้มรับด้วยไมตรีก่อนจะเดินจากไป

“พี่เขาไปทันเห็นไอ้วิวรำด้วยว่ะ ผ่านไปเจอได้ไง” สาวคนหนึ่งเปิดประเด็น

“ตายแล้ว ฉันจะโดนแย่งงานรึเปล่าเนี่ย มีแต่คนชอบแกรำน่ะวิว”

“โน ยังไงก็ไม่รำอีกเด็ดขาด ไปแล้วนะ ปวดฉี่” วิริยะตัดบทแล้วลุกขึ้นจากกลุ่ม เดินลัดเลาะออกไปด้านข้างศาลา

ด้านนอกเป็นบริเวณต้นไม้ร่มรื่นที่จัดแต่งสวนสวยงาม เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหย่อนใจ และไม่ไกลตรงนั้นเป็นห้องน้ำ ครั้นเสร็จธุระเด็กหนุ่มก็เดินออกมาล้างมือ ตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปที่งานทว่าจำต้องชะงัก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครสักคนยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างนอก ลำขาไวกว่าความคิด พาให้วิริยะวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำเดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็วและตกใจ

ไอ้พี่หน้าโหดคนนั้นมาทำอะไรที่นี่!

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายตรงมาที่ห้องน้ำหลังจากพ่นควันบุหรี่ออกมาจนเหม็นถึงห้องที่เขาอยู่ แล้วสภาพตอนนี้มันคืออะไร อีกฝ่ายโยนคอมแบท โยนเสื้อยืดแสนเน่ากับกางเกงทหารโง่ ๆ ตัวนั้นทิ้ง แล้วมาใส่สูทซึ่งไม่เข้ากับหนวดเคราและผมยาวรุงรังนั้นได้อย่างไร

หรือจะเป็นญาติของท่านผู้ใหญ่ที่เสียวันนี้ เป็นญาติกับอัศวินน่ะหรือ!

ซวยแล้วไอ้วิว!





-------------------------------------------

เจอกับคุณกอริลล่า เอ๊ย! คุณเชษฐ์อีกแล้ว แล้วตอนหน้าจะโดนคุณเชษฐ์เล่นงานมั้ย

รอติดตามนะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ



ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๒

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายออกไปพร้อมกับความโล่งใจของวิริยะ เด็กหนุ่มแง้มประตูออกมาดูลาดเลาให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว แล้วจึงย่องออกมาด้านนอกเพื่อชะโงกดูอีกรอบ ที่ทำแบบนี้เขาไม่ได้ตั้งใจหนี แต่จะรอให้ตัวเองพร้อมกว่านี้ก่อนแล้วค่อยไปแสดงความรับผิดชอบทีหลังต่างหาก

โล่งใจที่ยังไม่ถูกเห็น เด็กหนุ่มจึงเดินไปทรุดนั่งร่วมกับเพื่อนนักดนตรีอย่างรู้สึกกดดัน

“หายไปไหนมาไอ้วิว เดี๋ยวจะเริ่มแสดงแล้ว”

“โทษที” เด็กหนุ่มยิ้มแหย ทว่ารอยยิ้มจางลงไปดื้อ ๆ เมื่อเห็นกอริลล่าตัวใหญ่ในชุดสูทเดินถือพุ่มดอกไม้จากด้านหน้ามาเจอะเขาพอดี ร่างใหญ่ชะงักเมื่อเห็นเช่นนั้น มองสบตาเด็กหนุ่มเขม็งราวกับต้องการคาดโทษไว้ล่วงหน้า ซึ่งวิริยะทำได้เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาไม่สู้อย่างรู้ตัวดี

ตายแน่ เด็กหนุ่มต้องตายแน่ ๆ

แต่ดูเหมือนในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ อีกฝ่ายคงคิดไว้หน้าเขาอยู่บ้าง ไม่ได้เล่นงานวิริยะตอนนี้ เดินเลยไปยังเมรุเพื่อจัดดอกไม้ต่อโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร แต่แค่เพียงเห็นตาเพชฌฆาตนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกขนลุกเกรียวกราวขึ้นมาแล้ว

“คนสวนยังแต่งตัวดีเลย แต่รู้สึกมันไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร” นางรำคนหนึ่งพูดขึ้น

“ที่จริงเขาก็หล่อนะ แต่ดูไม่มีออร่า ขนาดใส่สูทราคาแพงขนาดนั้นยังดูจนอยู่เลย นี่แหละน้า ที่เขาเรียกว่าราศีของผู้ดี ดูอย่างคุณอัฐษ์เป็นตัวอย่างสิ มองไกล ๆ ยังดูออกเลยว่าเป็นพวกผู้ดีมีอันจะกิน”

“แล้วดูทรงผมนั่นสิ มีเหาไหมน่ะ”

วิริยะแอบขำคำวิจารณ์ของพวกหล่อน

“กล้ามนั่นจะใหญ่ไปไหน เอาไว้ยกกระถางดอกไม้สินะ”

“ไอ้หล่อก็ดูหล่อนะ แต่ทำหน้าตาอย่างกับหมาพิทบูลปวดขี้ ตอนที่มาบอกให้เราถอยออกเพราะพวกเขาจะขนดอกไม้ไปน่ะ ฉันล่ะหมั่นไส้ จะทำหน้าดี ๆ กว่านี้ไม่ได้เลยรึไง” ไม่ไหวแล้ว เขาจะตายกับคำเหล่านั้นให้ได้เมื่อนึกถึงอีตาพี่คนโหดเมื่อครู่ มันตรงกับความคิดเขาเผงเลย วิริยะกลั้นขำอย่างสุดความสามารถจนกระทั่งถึงเวลาการแสดง นี่เป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขานั่งรอได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ

การฟังเพื่อนรุ่นพี่สาว ๆ นินทาตากอริลล่าตัวผู้นั่นน่ะ

ทั้งหมดเดินเข้าไปทรุดนั่งต่อหน้าเครื่องดนตรีของตนเอง นางรำเข้าตำแหน่งที่เคยฝึกซ้อม วิริยะเหลือบมองแขกทุกคน คราวนี้ที่นั่งในศาลาเต็มจนแน่นเอียดผิดจากเมื่อครู่ใหญ่ตอนเดินเข้ามา สายตาเด็กหนุ่มไปหยุดอยู่ที่นัยน์ตาคมของชายผู้ภูมิฐานที่นั่งอยู่หน้าสุดอย่างไม่ได้ตั้งใจ อีกฝ่ายสบตาเขาจนวิริยะต้องเป็นฝ่ายผละหลุดลงมองเครื่องดนตรีตนเอง

เห็นอัศวินกระซิบกระซาบคุณอัฐษ์แล้วชี้นิ้วมาทางนี้ ใจวิริยะระทึกขึ้นไปอีกเท่าตัว

“ต่อไปนี้จะเป็นการแสดงจากโรงเรียนเทพผดุงธรรมวิทยา ชื่อชุดการแสดง แสงเทียนนำทาง ฝึกสอนโดยอาจารย์ปริม รินนารี เพื่อเป็นเสียงและแสงนำทางให้คุณไกรเลิศได้เดินทางไปถึงภพภูมิที่ดีอย่างมีความสุข เชิญรับชมครับ”

สิ้นคำของโฆษกแล้ว ทั้งหมดทำสมาธิกันไม่นาน เสียงฉิ่งและกรับดังขึ้นเพื่อคุมจังหวะให้การแสดงเริ่มขึ้นได้ วิริยะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดในฐานะระนาดเอกซึ่งเป็นตัวหลักของวง แล้วเริ่มทิ้งไม้กระทบลงบนแป้นตามโน้ตที่ฝึกอย่างชำนาญ เสียงตอบรับคือการปรบมือของผู้ชม ช่วงวินาทีหนึ่งที่ลากตัวโน้ตยาวตามจังหวะเพลงช้า เด็กหนุ่มผละเงยขึ้นสบมองแขกขณะยังคงเล่น นางรำเริ่มร่ายรำอ่อนช้อยตามเสียง ทว่าสายตาเขาเหลือบไปเลยเห็นอีตาคนสวนหน้ากอริลล่ายืนอยู่ด้านหลังของแขก มือถือโทรศัพท์ถ่ายอะไรสักอย่างอยู่

ใจวิริยะหายวูบ ตายแน่

อีตานั่นรอจัดการเขาอยู่

เด็กหนุ่มหน้าเสียลงไป ก้มหน้าก้มตาลงเล่นอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกนัยหนึ่งคือไม่ต้องการให้โทรศัพท์จับภาพใบหน้าของเขาได้ชัดเจน กระทั่งการแสดงจบลงไปได้ด้วยดี เสียงตอบรับเป็นการปรบมือที่ดังที่สุดตั้งแต่พวกเขาเคยแสดงมาทั้งหมด หลังจากนั้นก็เป็นการแจกซองสมนาคุณนักแสดง ทุกคนกระตือรือร้นอยากไปรับเร็ว ๆ เพราะผู้ให้คือคุณอัฐษ์

เจ้าภาพคนหล่อระบายยิ้มเล็กน้อยกับอาจารย์ปริมขณะที่ส่งซองสีขาวให้ปึกหนึ่ง

อีกซ้ำยังมีซองพิเศษที่ตั้งใจจะแจกอีกหนึ่งชุด เด็ก ๆ ต่างเข้าคิวเดินไปรับด้วยความดีใจ กระทั่งถึงคิววิริยะ เด็กหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณ ไม่ลืมที่จะเงยขึ้นไปสบตาอีกฝ่ายด้วยความนับถือ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับด้วยแววตาอ่อนละไมให้เขา

ดูเป็นคนอบอุ่นเหลือเกิน

หลังแสดงจบเป็นการขอบคุณแขกก่อนจะเริ่มพิธีเผา และมอบผ้าตรัยแก่พระสงฆ์ มีพระชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ก่อน ระหว่างนั้นวิริยะถูกรุ่นพี่นางรำขอแกมบังคับให้พาไปเข้าห้องน้ำ เขาต้องไปช่วยพวกเธอแกะชุดและช่วยใส่เพราะมันแน่นหนา จะให้ช่วยกันเองก็ไม่ได้เพราะทุกคนต่างก็บอกว่าปวดมากและทนมานานแล้ว รอไม่ไหว

กว่าจะกลับมา เหล่าแขกเหรื่อทุกคนก็วางดอกไม้จันท์ใกล้จะหมดแล้ว วิริยะอยากร่วมส่งวิญญาณด้วยจึงรีบไปหยิบดอกไม้ในพานมาถือและต่อแถว ท่านคนนี้คงทำความดีไว้มากถึงได้มีคนรักและเคารพนับถือเยอะแยะเพียงนี้ และเด็กหนุ่มอยากนำส่งให้ท่านไปสู่สวรรค์อย่างมีความสุขด้วย ทว่าไปถึง เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนต้องชะงักเท้าเมื่อคู่กรณีตัวใหญ่ที่ยืนรอส่งแขกอยู่หน้าบันไดเมรุขยับมาดักทางเขา ใช้หน้าโหด ๆ จ้องวิริยะ

“เธอไม่มีสิทธิ์ขึ้นไป”         

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วสงสัย “ทำไมผมจะขึ้นไปส่งท่านไม่ได้”

“ฉันไม่ให้ไป”

“เป็นแค่คนสวน มีสิทธิ์อะไรมาสั่งห้ามแขก” วิริยะย้อนทั้งยักไหล่

“ว่าไงนะ” คนฟังถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ทำหน้าราวกับงุนงง

เด็กหนุ่มจึงพูดต่ออีกอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นี่เป็นงานเจ้านายตัวเองแท้ ๆ ยังจะมากร่างใส่คนอื่นอีก ระวังนะ เดี๋ยวผมจะไปฟ้องเจ้านายพี่ว่าทำนิสัยแย่ ๆ ใส่ แล้วจะตกงานไม่รู้ตัว ถอยไป…”

ไอ้เด็กนี่ยังไม่สำนึก “เฮ้ย ยังจะไปอีก…”

เชษฐ์ไชยมองตามร่างผอมโปร่งของเด็กหนุ่มที่ขัดคำสั่งเขาเป็นรอบที่สอง เดินลอยหน้าลอยตาขึ้นไปด้านบนอย่างไม่สนแล้วรู้สึกขัดใจ แต่ที่ทำให้เขาไม่อาจต่อว่าหรือเอาเรื่องอะไรได้เพราะยังไว้หน้าปู่ อีกอย่าง…ประโยคเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มอึ้งไปพักหนึ่ง “หมายความว่าไง มองว่ากูเป็นคนสวนงั้นเหรอ”

กี่รอบแล้วที่มันขัดใจเขา ท้าทายเขา ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับนายใหญ่เจ้าของไร่รุ่งอรุณีมาก่อน!

“เป็นอะไร หน้าอย่างกับโดนเด็กแกล้งอย่างนั้น”

“ไม่ต้องมาแซว” ชายหนุ่มถอนใจ มองน้องชายที่ยกมือตบบ่าเปาะ ๆ ราวต้องการล้อเลียนอยู่ในที “ถ้าไม่ไว้หน้าปู่นะ ไอ้เด็กนั่นโดนนายเชษฐ์แห่งไร่รุ่งอรุณีเล่นแน่ แล้วนี่อะไร ฉันเป็นใครมันยังไม่รู้จักเลยยังจะกล้ามาต่อปากต่อคำด้วยอีก เห็นแล้วอยากจะเขกมะเหงกมันนัก”

“อย่าใจร้อนสิเชษฐ์ นั่นเด็กนะ เขาไม่รู้หรอกว่าแกคือซีอีโอคนต่อไปของรุ่งอรุณี” อัฐษไชยยกยิ้มเล็กน้อยอย่างวางท่าที

“เออ แม่งโคตรไม่รู้เลย ไอ้พวกมีตาไม่มีแวว ตาถั่ว!” เขาเป็นถึงว่าที่ผู้บริหารอาณาจักรรุ่งอรุณี มีแค่พวกตาต่ำเท่านั้นแหละที่มองชายหนุ่มตัวล่ำบึก ผิวกร้านแดด ปล่อยหนวดเคราและไว้ผมยาวอย่างเขาเป็นแค่คนสวน คิดแล้วหน้าเชษฐ์ไชยก็ยับยู่จนแขกไม่กล้าแม้แต่จะเดินผ่านเสียด้วยซ้ำ

อัฐษไชยส่ายหน้าให้พี่ชาย เห็นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างนี้ ทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน ทว่าเกิดมาพร้อมความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พี่ชายเป็นพวกชอบลุยและค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร ส่วนอัฐษไชยเป็นพวกสำอาง เจ้าระเบียบ และมักนึกถึงความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ ตอนนี้มองอย่างไรทั้งสองก็ไม่เหลือเค้าความเป็นแฝดให้ใครเห็น น้อยคนนักจะรู้ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอย่างไรกัน เพราะเชษฐ์ไชยใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ต่างจังหวัด ในไร่รุ่งอรุณี

อาณาจักรอีกแห่งหนึ่งของครอบครัว

นายเชษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่คืออีกหนึ่งฉายาที่คนงานในไร่ตั้งให้ เพราะเชษฐ์ไชยเด็ดเดี่ยวและเป็นผู้นำของทุกคนที่นั่น มีสิทธิ์ขาดในการชี้เป็นชี้ตายของคนงานทั้งหมด นั่นยิ่งทำให้คนจอมเอาแต่ใจยิ่งได้ใจไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งหนึ่งที่ชาวไร่รัก นอกจากความโหดแล้ว ก็คงเป็นความยุติธรรมในการตัดสินใจ และแม้ภายนอกจะดูก้าวราวดุดันเพียงไหน แต่ภายในนั้นมีความเมตตาอยู่ลึก ๆ

และอัฐษไชยรู้เสมอว่าพี่ชายของเขาเป็นคนอย่างนี้เสมอมา เชษฐ์ไชยเป็นคนดี

ทว่ายังดีไม่พอในสายตาบิดาของพวกเขาก็เท่านั้นเอง

นั่นกระมัง ที่เป็นเหตุให้พี่ชายนอกคอกของเขาไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่บ้านจนกระทั่งคุณปู่เสีย

 





วิริยะเดินลงอีกบันไดหนึ่งท่ามกลางผู้คนมากมายหลังจากวางดอกไม้จันทน์ เหลือบกลับไปยังทางขึ้นเห็นอัฐษไชยซึ่งตัวสูงกว่าคนรอบข้างและคนสวน กำลังยืนคุยกันอยู่หน้าตาเคร่งเครียด นั่นปะไร! เขาพูดไม่ทันขาดคำอีตานั่นก็โดนเจ้านายเอ็ดจนหงอ หน้าเหลือสองนิ้ว จากกอริลล่ากลายเป็นลูกลิงแสมแล้ว ทำกร่างใส่คนอื่น เจอคุณอัฐษ์ของเขาแล้วทำคอตก

“สมน้ำหน้า”

เอ่อ…แต่คุณอัฐษ์ไม่ใช่ของเขาหรอก วิริยะสะบัดความคิดแปลก ๆ ของตนเอง สะดุ้งเมื่อลำแขนยาวของเพื่อนรักทิ้งลงบนบ่า อัศวินในชุดไว้ทุกข์คลี่ยิ้มเมื่อเห็นหน้าเขาซีดตกใจ พ่นคำด่าเป็นอันดับแรก “ไอ้ห่า กูตกใจหมด”

“ทำไม คิดเรื่องอกุศลอะไรกับอากูอยู่เหรอ เห็นมองนานแล้ว”

“เปล๊า…” วิริยะยักไหล่ คนที่เขาคิดอกุศลไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็ไอ้เพื่อนสนิทคนที่ถามนี่แหละ อยากจะตะโกนใส่หน้าในความเป็นคนดีและมีไมตรีต่อทุกคนของมันเหลือเกิน ทำให้เขาคิดเกินเพื่อนจนได้ หากทว่าทนเก็บไว้ในใจเสียจะดีกว่า เขาไม่อยากเสียเพื่อนอย่างอัศวินไป

“อามึงท่าทางดูใจดี”

“ไปสิ เดี๋ยวกูพาไปแนะนำ” อัศวินลากคอวิริยะเดินตามอัฐษไชยกลับเข้ามาที่ศาลา หลังจากที่คุณอาของเพื่อนดุคนสวนนิสัยกร่างแล้วเสร็จ แวบหนึ่งเด็กหนุ่มเห็นพ่อกอริลล่าหันไปปาดน้ำตา แต่แค่แวบเดียวเท่านั้น

หรือหมอนั่นจะโดนไล่ออกเพราะเขา ความรู้สึกผิดแล่นเข้าสู่ใจเด็กหนุ่มเป็นอันดับแรกอย่างเป็นนิสัย

“อาอัฐษ์” อัศวินเรียกน้องชายบิดาขณะดึงรั้งคอเพื่อนสนิท วิริยะร้องครางเพราะอยากหลุดพ้นจากมันสักที คนที่ถูกเรียกจึงคลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อหันไปพบเห็นความสดใสของเด็ก ๆ “คนนี้ไงที่ผมเล่าให้ฟัง เจ้าพ่องานพาร์ทไทม์ อยากจ้างอะไรสั่งได้ แม้แต่นางรำก็เป็นมาแล้ว”

“ไอ้อิก!” ไม่ต้องขายเพื่อนขนาดนั้นก็ได้ “มึงจะแซวยันลูกกูบวชเลยรึไง”

“ถ้ามึงต้องการ”

“กูไม่ต้องการ มึงเอาอะไรมาคิดว่ากูต้องการ” วิริยะสะบัดแขนเพื่อนออกมานวดบีบคอ ลืมไปเสียสนิทว่าอยู่ในสายตาญาติผู้ใหญ่ของเพื่อน เด็กหนุ่มเบิกตาโตเท่าไข่ห่านยกมือไหว้อัฐษไชยอีกครั้ง คนซึ่งมองอยู่เพียงคลี่ยิ้มรับเท่านั้น อัศวินจึงรีบแนะนำทั้งสอง

“ไอ้วิว นี่อากู อาอัฐษ์ อาอัฐษ์นี่ไอ้วิวนะครับ เป็นเพื่อนที่โรงเรียน ผมสนิทกับมันน้อยที่สุดเพราะมันไม่มีเวลาให้ เอาแต่ทำงานพาร์ทไทม์ไม่สนใจเพื่อนฝูง ไม่เคยให้เวลากับผมเลย”

“มึงเลิกงอแงเพราะเรื่องนี้สักทีสิพับผ่า” วิริยะใช้เสียงอย่างหน่ายใจกับคำแกล้งของเพื่อน ทำเสียงฮึดฮัดรำคาญกลบเกลื่อนความเขินอาย อัศวินมักใช้วิธีนี้ออดอ้อนเขาเสมือนแฟนสาวต้องการความรักอยู่เสมอ และเด็กหนุ่มก็ไม่เคยต้านทานความน่ารักของอีกฝ่ายได้เลย

“ที่เล่นระนาดเมื่อกี้สินะ เล่นเก่งมากเลย” อาหนุ่มพูดขึ้นเสียงทุ้มนุ่มใจดี

“ขอบคุณครับ”

“แต่ถ้าเงยหน้ามามองคนดูบ้าง มันจะน่าดูกว่านี้นะ เวลายิ้มน่ารักออก” คนกล่าวระบายยิ้มให้เด็กหนุ่มหลังจากพูดจบอย่างไม่ปิดบัง วิริยะก็อยากทำอย่างนั้นอยู่หรอก หากไม่มีเจ้ากรรมนายเวรหน้าตาคล้ายกอริลล่าตัวผู้ยืนจ้องเขม็งพร้อมมือถือคู่ใจถ่ายเขาอยู่ วิริยะยิ้มแห้ง ๆ ให้แก้ขัดเขินไม่ได้ตอบกลับเล่าความจริงให้ฟัง

“แล้วอาเชษฐ์ไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย เดี๋ยวผมไปตามมาพักก่อน วันนี้อาเชษฐ์ทำแต่งานตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดเลย” อัศวินจะเดินแยกไปหา ทว่ามือใหญ่ของผู้เป็นอารั้งต้นแขนไว้ได้ทัน

“ไม่ต้องหรอกอิก เชษฐ์เขาอยากอยู่คนเดียวสักพัก”

อัศวินมองหน้าอัฐษไชยแล้วเข้าใจ “จริงสิ อาเชษฐ์เป็นคนเดียวที่ไม่ทันดูใจคุณปู่ คงเสียใจน่าดูเลย”

“อืม ให้เวลาเขาทำใจคนเดียวไปก่อนเถอะ แกไปส่งเพื่อนได้แล้ว เมื่อกี้เห็นว่าครูปริมเรียกกลับเสียยกใหญ่ ไปช้าเดี๋ยวได้โดนดุเอานะ อาเองก็จะไปส่งแขกเหมือนกัน”

“ครับ ไปเถอะไอ้วิว” อัศวินเอื้อมจูงแขนวิริยะ

เด็กหนุ่มยกมือไหวอัฐษไชยอีกครั้งเป็นการลา ผู้ใหญ่แสนสุขุมพยักหน้ารับเล็กน้อย แม้ภายนอกเจ้าภาพทุกคนยิ้มแย้มรับแขกแต่คงเจ็บปวดกับการสูญเสียไม่น้อย อย่างเดียวที่รู้สึกชื่นใจอาจเป็นภาพผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาแสดงความเสียใจนี่กระมัง เพราะได้เห็นว่ามีคนรักและชื่นชมคุณปู่ของพวกเขามากเพียงไหน

หลังเดินออกมาที่ลานด้านนอก อัศวินก็ถอนใจ “สงสารอาเชษฐ์ฉิบหาย”

วิริยะไม่ได้ตอบอะไรหรือสอบถามเพื่อนเพราะคิดว่าจะเป็นการก้าวก่าย เด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าลืมกุญแจล็อกเกอร์ไว้ที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำก็ตกใจ ยกมือตบสมองตัวเองมาทีอย่างต้องการลงโทษ “ไอ้วิว ไอ้สมองกลวง มึงไปลืมของไว้ทำไมที่ห้องน้ำ”

เพี่อนตัวสูงกว่าชะงักเท้ากึก “ต้องกลับเข้าไปเหรอ”

“เออ” เด็กหนุ่มถอนใจ

“เดี๋ยวกูเดินไปบอกอาจารย์ว่ามึงไปเอาของนะ เดี๋ยวเขาเป็นห่วงแล้วตามหามึงกันให้วุ่น” อัศวินบอก วิริยะพยักหน้ารับแล้วเดินแยกกลับไปที่ศาลา อ้อมไปด้านข้างและเห็นว่าแขกทั้งหลายเริ่มบางตาลงแล้ว อัฐษไชยที่พูดคุยอยู่กับแขกชั้นผู้ใหญ่ผละสายตามามองเล็กน้อยราวกับแปลกใจที่เห็นวิริยะเดินกลับมา เด็กหนุ่มค้อมศีรษะให้แล้วเดินผ่านไปยังสวนด้านหลังศาลาซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องน้ำ

ครั้นกลับไปก็โล่งใจอยู่บ้างว่ามันยังวางอยู่ที่เดิมแม้จะมีผู้คนเดินเข้าออกบ้างประปราย ไม่มีใครคิดขโมย สภาพของมันก็เก่ากึก หยิบไปก็กลัวว่าสนิมจะติดมือเปล่า ๆ คนเขาถึงไม่ต้องการ เด็กหนุ่มหยิบมาใส่กระเป๋าแล้วตั้งใจเดินกลับ หากสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำไว้ทุกข์นั่งสูบบุหรี่หันหลังให้เขาอยู่ลิบ ๆ

วิริยะรู้ว่าเป็นใคร

เขาเห็นว่าอีกฝ่ายถอนใจ ไหล่ตกราวกำลังทดท้อ

จริง ๆ ตานั่นก็ไม่ได้ทำอะไรผิดมากนัก อาจแค่กำลังเสียใจ

เด็กหนุ่มเข้าไปหาหวังจะพูดอะไรด้วยสักอย่าง และหากถูกไล่ออก เขาอยากบอกว่าตนเองจะพยายามหาเงินชดเชยค่าเสียหายเรื่องรถให้ได้ เพราะเงินนั่นอาจช่วยให้นายคนสวนคนนี้ไม่อดตายในช่วงตกงาน ทว่าไปถึงแล้ววิริยะไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นพูดตรงไหน ยามไหล่กว้างของคนด้านหน้าเคลื่อนไหวขึ้นลงราวกำลังเศร้าและกลัดกลุ้ม

ควันบุหรี่ฉุยฉายลอยไปตามลมเพราะความเครียดของคนตัวใหญ่ที่นั่งหันหลังให้

ปู้ด...

ไม่นาน เสียงผายลมดังปู้ดใหญ่ก็เกิดขึ้น ทำลายความเงียบของทั้งสอง วิริยะอ้าปากค้างขณะยกมือปิดจมูกอย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อไอ้ตัวใหญ่ที่คิดว่ากำลังเศร้านั้น ได้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ที่นั่งหลังปล่อยมันออกมา ดูมีท่าทางผ่อนคลายลง

“โอ…นึกว่าจะไม่ออกซะแล้ว ท้องอืดนี่มันแย่จริง ๆ” คนพูดลูบท้องตัวเองทอดถอนใจ

คนอุตส่าห์นึกเห็นใจ คิดว่าจะเครียด

“สรุปที่นั่งคอตกหน้าซีดหน้าเซียวเพราะตดไม่ออกเนี่ยนะ!” วิริยะเสียงดัง

เชษฐ์ไชยหันมามองอย่างไม่ตกใจและรู้สึกอายอะไรนัก ทำหน้าระอาเด็กหนุ่มอยู่ในที “อะไร คนอุตส่าห์หนีมาอยู่คนเดียวยังตามมาดมกลิ่นตดกันอีก ไปให้พ้น ๆ เลย ไม่มีอารมณ์คุยด้วย ปวดท้อง”

“ไม่ได้เศร้าเรื่องโดนเจ้านายไล่ออกหรอกเหรอ”

“พูดเรื่องอะไร อย่ามากวนใจน่า โอย…” ไม่พูดเปล่า เบ่งตดเสียหน้าดำหน้าแดงใส่วิริยะ เด็กหนุ่มยกมือปิดจมูกเมื่อเสียงมันสนั่นหวั่นไหวไม่เกรงใจเด็กหนุ่มตรงนี้เอาเสียเลย อดจะเอื้อมไปทุบบ่าคนแสดงท่าทางเสียมารยาทตุบตับไม่ได้ ไหน ๆ ก็เป็นแค่คนสวนคนหนึ่งแล้ว เป็นคนสวนที่ไม่ค่อยรู้จักมรรยาทเสียด้วย

“แหวะ เหม็นโว้ย! คนก็อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะถูกไล่ออกไม่มีตังค์ใช้ ไอ้หนวดบ้า!”

“มีสิทธิ์อะไรมาตีฉัน แล้วฉันก็ไม่ได้ชื่อไอ้หนวดด้วย ไอ้เด็กนักต้มตุ๋น” คนตัวใหญ่ชี้หน้า

“ผมไม่ได้ต้มตุ๋นสักหน่อย ก็กำลังจะมาบอกอยู่นี่ไงว่าเดี๋ยวจ่ายเงินชดเชยให้ มาตดใส่กันเสียได้”

“ไม่ต้องมาแถ ถ้าฉันไม่เจอเธอวันนี้โดยบังเอิญคงไม่มีทางติดต่อได้ ก็เล่นให้เบอร์ปลอม ๆ มาอย่างนั้น” วิริยะถูกนิ้วชี้ยาวชี้หน้า เด็กหนุ่มไม่ยอมรับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวหาเป็นความจริง เขาแค่ไม่ทันได้นึกว่าโทรศัพท์ตัวเองพังไปแล้วก็เท่านั้นเอง ปากเล็ก ๆ อ้ากัดฉับนิ้วคนปรักปรำอย่างต้องการเอาคืน

“โอ๊ย! ปล่อย ปล่อย!”

คนตัวใหญ่ท่าทางดุดันสิ้นท่า ดิ้นเร่าเจ็บราวกับหมาขี้เรื้อนโดนน้ำร้อนลวกในสายตาเด็กหนุ่ม  ภาพใบหน้าคมเข้มบิดเบี้ยวร้องว๊ากเพราะความเจ็บทำให้วิริยะหลุดขำพรืดปล่อยอิสระให้ในท้ายที่สุด ส่วนคนถูกกัด ทำหน้าอย่างกับโกรธเขาเพราะไปฉี่รดใส่ที่นอนอีกฝ่ายอย่างนั้น มือหนาถูลูบขาตัวเองป้อย ๆ ให้อาการเจ็บแสบบนนิ้วจางลง อีกนัยหนึ่งคือเกรงว่าพิษหมาบ้าตรงหน้าจะเเล่นเข้าสู่ร่างกาย

 “กัดเข้ามาได้ คนนะไม่ใช่กระดูกไก่”

วิริยะนึกขัน “ผมไม่ใช่หมา”

“ก็คล้าย ๆ แหละ คนปกติดีที่ไหนจะมากัดคนไม่รู้จักได้มั่วซั่วอย่างนี้”

“เฮอะ!” เด็กหนุ่มกอดอกอย่างนึกระอา เรียกให้คนที่มีท่าทางเศร้าเมื่อครู่มองแล้วเผลอหลุดยิ้มขำสีหน้านี้อยู่แวบหนึ่ง แต่ถึงจะเก็บอาการเร็วอย่างไร วิริยะก็มองได้ทันและเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ “พี่ยิ้มแล้ว…”

คนฟังชะงัก ทำเป็นไม่ยอมรับว่าเมื่อครู่ทำท่าอ่อนแอให้คนอื่นเห็น “แล้วไง”

“ผมรู้ว่าพี่เสียใจที่เจ้านายพี่เสีย ท่านคงใจดีมากถึงมีแต่คนรักอย่างนี้” เด็กตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมากโข เรียกให้เชษฐ์ไชยต้องเงยขึ้นไปมองสีหน้าว่าคนพูดเป็นอย่างไร และเขาเหนื่อยจะแก้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คนสวนของบ้าน และอัฐษ์หรือคุณปู่ไม่ใช่เจ้านายของเขา ชายหนุ่มจึงถอนใจยอมรับอย่างเสียมิได้เพราะเหนื่อยที่จะเถียงด้วย อย่างน้อยเขาก็หาคนพูดเสมอเพื่อนอย่างนี้ยาก

“ถูกของเธอ ท่านเป็นคนดีมีเมตตา”

คนฟังยกมือลูบบ่าราวเป็นเพื่อน บางทีเด็กนี่ชักจะมากเกินไปแล้วนะ

“แล้วพี่จะทำยังไงต่อไปครับ”

เชษฐ์ไชยถอนใจ “ขี้…”

“ฮะ…” วิริยะย้อนหน้าแปลกใจ

“พี่ปวดขี้ พี่ต้องไปขี้ น้องจะตามไปคุยกับพี่ที่ห้องน้ำไหมครับ น้องวิว…” คนถามทำหน้าตายแม้ใช้วาจาอันตรงเผงจนคนฟังรู้สึกกระดากอายแทน แล้วเดินจากเด็กหนุ่มไปยังห้องน้ำเสียดื้อ ๆ โดยไม่สนว่าวิริยะจะทำหน้าระอาอย่างไร โธ่…หมดกันยางอายของอีกฝ่าย อยากจะตะโกนก่นด่าตามหลังไปอยู่หรอก หากเสียงอัศวินไม่ดังขึ้นมาดักก่อน

“ไอ้วิว มึงกินขี้หมดโถส้วมแล้วเหรอ คนอื่นเขารอกันทั้งคันรถแล้ว แล้วกูต้องลำบากเดินไปเดินมาเนี่ย!”

“เออ ไปแล้ว อยู่ตรงนี้เหม็นตดจะแย่ ไม่อยู่นานหรอก” พูดจบ วิริยะยักไหล่แล้วเดินไปหาเพื่อนรัก ตัดใจลบภาพสีหน้าและกลิ่นของไอ้บ้ากอริลล่านิสัยประหลาดนี่ไม่ได้เลย มันมากกว่าความประทับใจยามแรกพบแล้ว!

 






ให้หลังอัศวิน หลานชายของเขาที่กอดไหล่พาเด็กวิวนั่นเดินออกไป เชษฐ์ไชยออกมามองแผ่นหลังเล็กนั้นนิ่งอย่างนึกประหลาดแก่ใจ จากที่มีความคิดทะมึนมืดอยู่กลางอกและเจ็บปลาบ ความสดใสของเด็กคนนั้นทำให้ชายหนุ่มเผลอไผลยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มารู้ตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายทักราวต้องการทำให้เขายิ้มได้ อย่างกับรู้ใจชายหนุ่มไปเสียทุกอย่าง

มือหนายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมองรูปใหม่ในแกลอรี ปรากฏร่างผอมบางในชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นสีฟ้านั่งหลังระนาด เจ้าตัวกำลังมองไปที่ใดสักที่ มีรูปหนึ่งที่ใบหน้าขาวแลดูบอบบางมองมายังกล้องอย่างรู้ทันโดยสัญชาตญาณ ก่อนรูปถัดไปจะงุดหน้าลงราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกแอบถ่าย

“อยู่ใกล้จมูกแค่นี้เอง ไอ้เด็กแสบ…”

คราวแรกตั้งใจจะเล่นงาน แต่หากเป็นเพื่อนของอัศวินหลานรักเขาก็จะเว้นไว้

นัยน์ตาคมงุดลงจ้องภาพที่เจ้าตัวมองกล้องอยู่ครู่แล้วเผยยิ้มราวกับกำลังสบตากัน เชษฐ์ไชยอยากรู้เหลือเกิน ว่าหากอีกฝ่ายรู้ว่าเขามิใช่ไอ้คนสวนอย่างที่พยายามปรักปรำและวางตัวเสมอเพื่อนเล่น แต่เป็นถึงอาของเพื่อนสนิทของเจ้าตัว อีกฝ่ายจะมีสีหน้าอย่างไร

แค่คิด ความสนุกเล็ก ๆ ก็ก่อขึ้นมาอยู่ในใจ





---------------------------------

 กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ

ปล. นิยายอาจมีคำหยาบเพื่อเพิ่มอรรถรสบ้าง

คนอ่านห้ามซึมซับความหยาบ

ขอความกรุณา งดเว้นคำหยาบคายที่ไม่น่ารักนะคะ ขอบคุณจ้า


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

ตอนที่ ๓

“แน่ใจนะว่ามึงอยากจะไปทำงานช่วงปิดเทอมนี้จริง ๆ ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”

“แน่ใจสิ ที่บ้านไม่มีใครห้ามกูหรอก มีแต่จะสบายตากว่าเดิมอีกที่ไม่เห็นกู” วิริยะยักไหล่ตอบอัศวิน ผู้ฟังทำหน้าไม่ค่อยวางใจและเก็บข้าวของที่ช่วยกันติวไปพลาง ในขณะที่คนอื่นสนใจโต๊ะพูลอีกมุมของห้องมากกว่า

ที่นี่คือบ้านพักของอัศวิน ค่อนข้างใหญ่สมฐานะผู้นำทางธุรกิจและรวยติดอันดับต้นของประเทศ วิริยะทำท่าสำรวจรอบกายอยู่ครู่หนึ่งเพราะเพิ่งเคยมาครั้งแรก สอบคราวนี้พวกเขายังคงจริงจังกับมัน แม้ภายนอกจะดูเป็นเด็กเอาแต่เล่นกันมากกว่า แต่เมื่อยามผลออกมาพวกเขาก็ระดับหัวกะทิกันทั้งนั้น

“ออกไปเดินเล่นไหม ไหน ๆ ก็ได้พักกันแล้ว อุดอู้อยู่ในนี้มึงคงไม่ชอบ” อัศวินถามพลางบิดขี้เกียจ ซึ่งเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นความต้องการของเจ้าตัวมากกว่าที่อยากออกไป

“จะพาไปเหรอ”

“อืม”

วิริยะผุดยิ้ม ยกนิ้วชี้ล้อ “มาไม้ไหนอีกวะเพื่อน เอาใจกูขนาดนี้”

“ก็มึงจะไปทำงาน ช่วงปิดเทอมแทนที่จะได้พัก ได้นัดกันเที่ยวเล่นกันบ้าง ไหงมึงทิ้งเพื่อนไปทำงานอีกแล้วละ” คนกล่าวทำหน้าน้อยใจอย่างออกนอกหน้า มือก็ดึงคอวิริยะมาพาดแขนพาเดินออกนอกห้องอย่างติดนิสัย อัศวินหนอ จะทำให้เขารู้สึกดีอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร เด็กหนุ่มคิดพลางลอบมองมุมข้างของเพื่อนรักในระยะใกล้ มุมนี้ก็ดูดีจนเขาใจสะท้าน ความขัดเขินก่อเกิดมานิด ๆ

อัศวินมักจะเป็นคนที่แบ่งปันรอยยิ้มให้วิริยะเสมอ ช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มรู้สึกราวกำลังทุกข์ทน ท้อใจ เมื่อเห็นอัศวินล้อเลียนด้วยสีหน้าตลกวนเวียนรอบกาย คอยให้คำปรึกษา มันพลอยทำให้วิริยะผ่อนคลายไปได้มากโข จนกลายเป็นว่าหลงรักไปแล้ว

“เอาน่า ก็ได้ไปเที่ยวกับมึงแล้วนี่ไง” วิริยะตอบ

ทั้งสองเดินผ่านตัวบ้านมายังห้องโถงด้านล่าง ทิ้งให้เพื่อนร่วมกลุ่มคนอื่นสนุกกับพูลกันในห้องรับแขกด้านบน อัศวินนำเขาไปยังสวนบริเวณหลังบ้าน ซึ่งร่มรื่นและเต็มไปด้วยไม้ประดับต้นใหญ่ มีสะพานเล็ก ๆ พาให้ทั้งสองเดินข้ามผ่านสระเลี้ยงปลาคาร์ปขนาดกว้าง วิริยะสะดุดตากับสีสันของพวกมันแล้วทรุดนั่งลงบนสะพานเตี้ยนั้น “โอ้โห…”

“เอ้านี่” อัศวินยื่นกระปุกอาหารปลาให้เมื่อเห็นเพื่อนสนใจ วิริยะรับมาเปิดฝา แล้วค่อย ๆ โปรยอาหารให้เหล่าปลาสวยงามด้านหน้าอย่างเชื่องช้าและเป็นสุข ภาพพวกมันยื้อแย่งกันพลอยให้เรียกรอยยิ้มเด็กหนุ่มขึ้นมา รู้สึกสงบใจอย่างน่าประหลาด

“โอ้โห บ้านมึงเลี้ยงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

“อืม อาอัฐษ์เขาชอบ สวนนี่แกก็จัดเองไปเรื่อย ๆ นะ มานั่งทำทุกวันอาทิตย์ละ”

“แล้ววันนี้ละ” วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์เช่นเดียวกัน

อัศวินยักไหล่ แล้วขยับมาทรุดกายนั่งข้าง “ไม่รู้ สงสัยอยู่มุมโน้น หรือไม่ก็ออกไปแล้ว ตอนนี้มันบ่ายแล้วไง ส่วนมากแกจะตื่นออกมาทำตอนเช้า ๆ เพราะอากาศไม่ร้อน”

“สวยดีนะ อยากมีมั่งจัง โอ้ว…พวกแกนี่ตะกละจังเลย”

“เหมือนมึงนั่นแหละ”

วิริยะหันขวับมองเพื่อน ส่ายหน้าไม่ยอมรับ “แบบกูไม่ได้เรียกว่าตะกละ กูแค่รีบกินเพราะต้องรีบไปทำงาน ยูโน๊ว”

“ในหัวมึงนี่มีแต่เรื่องงาน กูงอนแล้วนะ” ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ของเพื่อนเอื้อมมาบีบแก้มแล้วบิดข้อมือให้วิริยะหันไปหา ใจเด็กหนุ่มเต้นตึกเมื่อถูกกระทำเช่นนี้ ไม่ว่าจะสนิทกันเพียงไหนเขาก็ไม่อาจทานการกระทำเช่นนี้ได้เลย ดวงตากลมจ้องใบหน้าอัศวินเขม็งพูดไม่ออกไปช่วงหนึ่ง แล้วพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

“ยังไงก็ได้เจอกันตลอดอยู่แล้วไหมวะ อีกตั้งเป็นปีกว่าจะจบ หลังจากทำงานช่วงปิดเทอม เดี๋ยวจะกลับมานอนให้ฟัดเต็มที่จนกว่าจะเรียนจบเลย พอใจไหมครับไอ้คุณอิก จะตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เอาให้เขาคิดว่ากูเป็นเมียมึงเลย โอเคไหม” วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองไม่อาจเข้าใกล้อัศวินได้สนิทใจเฉกเช่นเดียวกับที่เพื่อนคนอื่นวางตัวต่ออัศวิน ทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายเข้าใกล้คนอื่น ทำให้วิริยะรู้สึกว่าตนเองเริ่มห่างไกลอีกฝ่ายออกไปทุกที

ไม่แปลกที่เพื่อนอย่างอัศวินจะเข้าใจว่าเด็กหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาให้

“กูมีเรื่องจะบอกมึงนะวิว” อัศวินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

แวบหนึ่งใจของวิริยะเต้นตึก แอบคิดว่าอีกฝ่ายจะมีใจตรงกัน

“อะ…อะไรเหรอ”

“เพราะมึงเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยได้คุยกัน” คนกล่าวถอนใจพลางจ้องตาเปรยในสิ่งที่ต้องการกล่าว ซึ่งวิริยะเองพยักหน้าบอกว่ากำลังรับฟัง อัศวินจึงกล่าวต่ออีกว่า “เรื่องนี้กูพูดกับพวกไอ้มาร์คทางไลน์แล้ว ในกลุ่ม แต่มีมึงคนเดียวที่โทรศัพท์พัง กูเลยอยากบอกมึงตอนนี้”

ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่วิริยะกำลังหวัง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้งอย่างรู้สึกใจหวิวแปลก ๆ “เรื่องใหญ่ไหม”

“สำหรับมึงอาจจะไม่ใหญ่ก็ได้นะ คือ หลังสอบปลายภาคครั้งนี้กูจะบินไปต่อไฮสคูลปีสุดท้าย แล้วก็เรียนมหาลัยที่อเมริกาเลย จนกว่าจะจบ กูคงไม่ได้กลับมาที่นี่สักพัก”

“สักพักห่าอะไร กว่าจะเรียนจบตั้งกี่ปี ไอ้สันขวาน มึงพูดอย่างกับไปวันนี้อาทิตย์หน้าก็กลับอย่างนั้นแหละ!” วิริยะโพล่งขึ้นเสียงดัง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจนอัศวินต้องทำตาม ระดับเสียงนั้นเรียกให้คนจัดสวนอีกมุมหันขวับไปมองเห็นวัยรุ่นสองคนยืนอยู่บนสะพานเล็กของบ้าน

อัศวินเกาศีรษะยิ้มแหยให้เพื่อน “ก็…พักใหญ่ ๆ เลยไง”

“แล้วทำไมมึงถึงเพิ่งมาบอกกูวะ ไอ้อิก…อยู่เฉย ๆ มาบอกจะย้ายก่อนจบแบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะเว้ย!” คนพูดทำเสียงดังงอแงราวเด็กถูกขัดใจจนออกนอกหน้า เดินย่ำเท้าไปมาหงุดหงิด เรียกนัยน์ตาคมที่ง่วนอยู่กับแปลงดอกไม้ผละไปมองหน้าใสอันยับยู่นั้น แล้วโคลงศีรษะให้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ทำด้วยรอยยิ้ม เป็นท่าทีแสดงถึงความเอ็นดูมากกว่าระอา

เพื่อนหลานชายคนนี้ชักยังไง

“ไม่รู้ละ กูโกรธ” วิริยะกอดอก

“แต่ช่วงปิดเทอมกูไปอยู่กับมึงตั้งอาทิตย์เลยนะ”

“อยู่ตลอดสองเดือนเลยไม่ได้เหรอ”

อัศวินส่ายหน้า “ไม่ได้ ต้องรีบกลับมาจัดเตรียมเอกสารหลายอย่าง”

“มึงไม่รักกูเลยไง จะเอากูไปทิ้งไว้ที่ไร่แล้วหนีกลับเหรอ นั่นมันต่างจังหวัดนะ ที่นั่นกูตัวคนเดียว เกิดอาเชษฐ์ของมึงบ้าดีเดือดโขกสับใช้งานกูหนักก็ไม่มีคนคอยเข้าข้าง คอยเถียงให้แทนน่ะสิ แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก” วิริยะพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ เล่นเอาคนฟังยกยิ้ม

“สรุปไม่ไปทำแล้ว”

“ไป แต่มึงต้องไปอยู่ด้วย”

คนฟังอดที่จะยิ้มขำไม่ได้ สรุปไม่ได้รักเพื่อนจริงนี่หว่า “พูดแบบนี้ กูจะรีบทำเอกสารให้เสร็จไว ๆ เลย”

“ยังพูดเป็นเล่นอีก ฮืออออ!”

“เอะอะอะไรกัน” ช่วงเวลาที่วิริยะกระโดดกอดคอเพื่อนตัวสูงโย่ง แขกผู้ยืนฟังอยู่ตั้งแต่แรกก็ปรากฏตัวขึ้นทำให้ทั้งสองตกใจ ครั้นรู้ว่าเป็นใคร ราวถูกคำสั่งจากสมองอัตโนมัติให้วิริยะถอยออกห่างจากอัศวิน แม้ในสายตาของผู้เป็นอาที่เคยถูกกล่าวถึงเมื่อครู่จะไม่มีแววเอ็ดหรือดุแต่อย่างใด

ผู้มาใหม่ในชุดลำลองสบาย บนตัวสูงใหญ่สวมใส่เสื้อโปโลสีเขียวขี้ม้ากลมกลืนกับต้นไม้ใบหญ้าแถวนี้ ตัดกับกางเกงสแลคสามส่วนสีกรมท่าทำให้แลยิ่งดูเป็นมิตรกว่าเก่าที่มักสวมสูทผูกไทเป็นทางการ วิริยะมองท่าทีสุขุมของอัฐษไชยอย่างนึกประหม่า คงเพราะเป็นครั้งแรกที่มาเหยียบบ้านพักของเพื่อน และไม่ชินกับท่าทีของผู้ใหญ่ที่แลดูโด่งดังในครอบครัวอัศวิน

“อาอัฐษ์ นึกว่าออกไปพักแล้ว” อัศวินทัก ขณะที่เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดยิ้มตรงหน้าพวกเขา

“ยังเลย พอดีวันนี้แดดไม่มาก ลมก็ดี เลยออกมานั่งเล่นเพลิน ๆ ตรงมุมนั้นน่ะ” วิริยะมองไปยังมุมที่อัฐษไชยว่า เป็นท้ายสวนร่มไม้หนาใบ แต่ครั้นสังเกตผ่านพุ่มใบและดอกไม้ไป จะเห็นว่ามีสระว่ายน้ำและเก้าอี้เอนหลังตั้งอยู่สองสามตัว ผู้มีอายุมากที่สุดกล่าวต่ออีกว่า “แต่เห็นว่าตรงพุ่มไม้ริมสระนั่นยังลงดอกไม้ไม่หมด เลยได้มานั่งทำเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ แล้วได้ยินเสียงคนโวยวายเข้า”

วิริยะเบิกตาเขินกับคำแซว “ขอโทษครับคุณอัฐษ์ ที่รบกวน”

“คุณเคิณอะไร เรียกอาเหมือนเจ้าอิกก็พอแล้ว ไม่ต้องพิธีรีตองกับฉันมากหรอก”

วิริยะส่ายหน้า “ไม่กล้าหรอกครับ”

“ทำไมละ เป็นเพื่อนอิกก็ต้องเรียกแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วนี่ คนอื่นเขาก็เรียก ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากนักหรอก”

ได้ฟังเสียงสุขุมของอัฐษไชยแล้ว ไม่ลดทอนความรู้สึกประหม่าของวิริยะลงได้แม้แต่นิด อย่างไรแล้วอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใครต่างนับหน้าถือตา ภาพลักษณ์ของอัฐษไชยเป็นเหมือนเทวดาที่อยู่คนละชั้นกับเขา อันที่จริง อัศวินก็เป็นเช่นนั้น ดูห่างไกลจากวิริยะเหลือเกิน ห่างไกลเสียจนเอื้อมไม่ถึง

เขาจะบอกใครได้ว่าตอนนี้เจ็บใจ แต่จำต้องเข้มแข็งเฉไฉไปเรื่องอื่น

“แล้วนี่ ติวกันเสร็จแล้วเหรอ” อัฐษไชยถามขึ้นอีกครั้ง ก้มลงมองนาฬิการ้องคราง “อ้อ ไม่น่าถาม บ่ายกว่าแล้วนี่ ตาอิกพาเพื่อนกินอะไรกันหรือยัง ถ้ายัง เดี๋ยวอาบอกแม่บ้านให้เตรียมไว้ให้ เธอก็อยู่กินด้วยกันก่อนสิ”

เด็กหนุ่มยกยิ้ม “ขอบคุณครับ คุณ…”

“บอกแล้วไงว่าให้เรียกอา หรือจะให้ฉันแทนตัวเองว่าอาแบบที่พูดกับอิกด้วย ถึงจะยอมเรียกน่ะ วิว…” คนกล่าวใช้เสียงล้อไม่พอ ยังระบายยิ้มแกล้งมาทีราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มจะวางตัวไม่ถูกเมื่อได้ฟัง

“ครับ ครับ…อาอัฐษ์”

ทั้งอัศวินและคนฟังยกยิ้มอย่างพอใจ เคลื่อนมือใหญ่มาโยกศีรษะด้วยแววตาเอ็นดู

“ดีมาก ไปกันเถอะ”

วิริยะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายยังจำชื่อของเขาได้ ยามพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ มีอำนาจ ทว่าอ่อนโยนแล้วนั้น จากใจที่คิดว่าต้องสร้างกำแพงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นจนใจอ่อน ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สัมผัสมันเมื่ออยู่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว ยามคิดถึงก็พาลให้รู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงพ่อที่จะต้องเจอกันในอีกห้าเดือนข้างหน้า

“อากูใจดีใช่ไหมละ”

ให้หลังคนอายุมากกว่าไปแล้ว ครั้นเห็นเพื่อนยังคงยิ้มด้วยความปีติไม่ยอมไปไหน อัศวินอดที่จะแซวไม่ได้ ซึ่งวิริยะก็ตอบกลับด้วยการพยักหน้ายอมรับมาโดยตรงและยิ้มแป้นแล้นสดใส ยิ่งทำให้คนถามรู้สึกพึงพอใจ เอื้อมมือขึ้นพาดบ่าพาเพื่อนเดินตามหลังอัฐษไชยไปด้านในตัวบ้าน

คุณอาคนนี้น่ะ คือความภาคภูมิใจของเขาเลยละ

 


--๕๐--


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

--ต่อ--

วิริยะคิดว่าจะกลับหลังทานมื้อเที่ยง ทว่าเขาถูกอัศวินและอัฐษไชยขอให้อยู่ต่อจนกระทั่งทานมื้อเย็นเสร็จ แม้ระหว่างอยู่ที่นั่นจะรู้สึกดีเพราะความน่ารักเอาใจใส่ของอัศวิน และคำพูดอบอุ่นของอัฐษไชยทำให้วางใจอยู่บ้าง แต่ภายในใจเด็กหนุ่มรู้สึกชา ไม่เป็นอันทำอะไรตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนรักกำลังจะไปอยู่คนละซีกโลก จากเคยนึกมองอย่างไม่สนใจเพราะใกล้กัน ตอนนี้เขาสับสนไปหมด คิดว่าควรบอกหรือทำอะไรดี หรือปล่อยให้อัศวินเดินห่างออกไปอีก

“เงียบทำไมวิว อยากกลับบ้านเหรอ” อัศวินถามหลังจากทานข้าวเสร็จก็พาเขาเดินออกมาข้างนอก ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว เขากลัวว่าจะกลับถึงบ้านดึก กลัวว่าจะมีอะไรน่าระทึกหากไปพบสองแม่ลูกนั่น

“เปล่า แค่คิดว่าที่ไร่จะมีงานอะไรให้ทำบ้างน่ะ”

“โห่ เรื่องงานอีกแล้ว ขอเถอะในสมองมึงมีกูอยู่สักหนึ่งเปอร์เซ็นบ้าง”

“จะขี้นอยด์อะไรนักหนา มีแล้วไง คิดถึงมึงแล้วกูรวยขึ้นป่ะ” วิริยะแสร้งย้อนกวนประสาท

“ก็ไม่รวยขึ้นหรอก แต่ถ้ามึงนึกถึงหน้าหล่อ ๆ ของกู มึงอาจจะอารมณ์ดีขึ้น เวลามึงเครียด ๆ จะได้หายเครียดไง แบบนี้น่ะ” คนพูดฉีกยิ้มทำท่าน่ารักให้ดู

“เครียดกว่าเดิมละสิไม่ว่า” ถึงจะบ่นเช่นนั้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

ซึ่งคนมองก็เห็นอย่างชัดแจ้ง

“ไปเถอะ กูไปส่ง วันนี้กูเป็นคนขอให้มึงอยู่จนค่ำ ต้องรับผิดชอบหน่อยแล้ว” พูดจบ คนตัวสูงกว่าก็จูงมือวิริยะเดินลิ่วไปยังโรงรถของบ้าน วินาทีนั้นเด็กหนุ่มแปลกใจ แต่เพราะรู้ว่านี่คืออัศวินจึงไม่ได้คัดค้าน นอกจากเดินตามไปด้วยใจที่ระทึก สั่นไหวแทบจะกระดอนออกจากอก

ทุกครั้งหมอนี่จะใช้วิธีกอดคอ หรือกอดบ่า ไม่เคยกุมมือเขาเลยสักครั้ง

ให้ตายซี จะทำให้เขินอย่างนี้ไปอีกกี่ครั้งกัน

ตลอดทางที่อยู่บนรถ วิริยะรู้สึกราวไม่รู้จักอัศวินโดยแท้จริงอย่างที่เพื่อนพยายามขอเวลา เพราะมุมนี้ยามเห็นอีกฝ่ายบังคับขับเคลื่อนยานพาหนะแล่นอยู่บนท้องถนนอย่างคล่องแคล่วชำนาญ ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์จนต้องลอบหันมองบ่อย ๆ แต่เขาต้องชวนคุยบ้าง ไม่อย่างนั้นบรรยากาศของทั้งคู่จะอึดอัดเกินไป ไม่เหมือนเพื่อนที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างสนิทใจ เกรงว่าอัศวินจะเห็นถึงความเปลี่ยนไปของเขา

“ทำไมมึงตัดสินใจไปเร็วจังเลยวะ”

เมื่อรู้ว่าวิริยะกล่าวถึงเรื่องไปเรียนต่างประเทศ คนฟังชำเลืองตามองอยู่ครู่หนึ่ง “ก็กูเห็นว่ามันดีกว่าที่นี่ อันที่จริงกูตัดสินใจจะไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว แต่พ่อกับแม่กูไม่ยอม ไม่รู้จะเป็นห่วงอะไรนักหนา แต่คราวนี้มีญาติกูได้ทำงานที่สถานทูตที่นั่น กูเลยอยากไปหาประสบการณ์”

“หาที่นี่ก็ได้ ระบบการศึกษาที่ไทยดีออก”

อัศวินยิ้มเล็กน้อย “มึงประชดกูรึเปล่าเนี่ย”

“กูเปล่าประชด ก็ดีจริง ๆ นี่” วิริยะส่ายหัว

“อยากลองไปเรียนที่โน่นซักปีให้พ่อกับแม่เชื่อใจก่อนว่าดูแลตัวเองได้ ก่อนจะเข้ามหาลัยจะได้ย้ายไปอยู่คนเดียว วิว…มึงก็สู้สำหรับหนทางของมึง กูก็สู้สำหรับหนทางของกูเหมือนกัน กูเบื่อที่ใคร ๆ ต่างก็พูดว่ากูมีเงินจะทำอะไรก็ได้ กูเองก็อยากมีเส้นทางของตัวเอง อยากยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเหมือนกัน” ดวงตาของอัศวินผละมาสบตาเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง หมายความว่าเขาหมดหนทางจะรั้งไว้แล้วซีนะ

“งั้นก็สู้ ๆ ละกัน”

คนพูดทอดถอนใจ แม้จะไม่เต็มใจเอ่ยก็ตาม

รอยยิ้มใจดีของอัศวินเป็นสิ่งสุดท้ายที่วิริยะจำได้ หลังจากปล่อยให้รถยนต์ของเพื่อนเคลื่อนผ่านไปจนลับสายตาในความมืด หลงเหลือเพียงไฟท้ายสีแดงบนอากาศลิบ ๆ

ยืนเศร้ากับตัวอยู่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูรั้ว เป็นพี่สาวต่างมารดาที่ยืนหน้าเซ็งบอกบุญไม่รับ ในชุดนอนสายเดี่ยวตัวเล็กกับกางเกงขาสั้น “มาดึกขนาดนี้คราวหน้าจะไม่เปิดรับแล้วนะ นอนข้างถนนไปเลย รู้ไหมมันรบกวนคนอื่นเขา”

“ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มไม่พูดคำอื่น แม้จะแอบคิดว่ามันก็ไม่ได้ดึกขนาดที่หล่อนจะเข้านอนแล้ว ปกติเห็นคุยโทรศัพท์จนดึกดื่นค่อนคืน หรือไม่ก็ออกเที่ยวคลับยามป้าอิงอรไม่อยู่จนรุ่งสาง แต่ก็อย่างว่า เขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น

คนฟังทำหน้าระอา มองวิริยะขณะเอ่ยถาม “แล้วนี่ใครมาส่ง งานพาร์ทไทม์เนี่ย รวมถึงรับไปนวดถึงห้องรึเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย ผมทำงานสุจริตน่า”

“ถามแค่นี้ทำเป็นเสียงดัง ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่ยะ” หล่อนกอดอกจิ๊ปาก พยักเพยิดหน้าไล่ให้วิริยะรีบเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะกล่าวไล่หลังเด็กหนุ่ม “ถึงจะทำจริง ๆ ฉันก็ไม่ได้ว่าหรอก ตราบใดที่ฉันยังได้ใช้เงินเดือนของแก ถ้าขายตัวได้ก็ขายเถอะนะ ถ้ามีคนเขาซื้อในราคาถูก ๆ ก็ต้องขาย อย่าไปโก่งราคาให้มันมาก”

นั่นแหละ พี่สาวที่แสนดีในครอบครัวของเขาละ วิริยะหลับตาผ่อนอารมณ์ให้คลายลง เขายังรู้สึกตื้อในอกเรื่องของอัศวิน ไม่อยากรับคำพูดอะไรเข้ามาใส่ในสมองให้บั่นทอนความรู้สึกอีกแล้ว หากทว่าเมื่อเดินเข้าไปด้านในของบ้านก็พบกับความคุกรุ่นของอีกคน หล่อนทำหน้าราวยักษ์ขมูขี ยื่นโทรศัพท์ส่วนตัวมาให้วิริยะอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “พ่อเธออยากคุยด้วย”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กหนุ่ม เพราะตั้งแต่ครั้งล่าสุดก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วที่บิดากลับแท่นไป “ครับพ่อ”

ธเนศยังพยายามติดต่อเขา

“โทรศัพท์วิวเป็นอะไร ทำไมพ่อโทรไปกี่ครั้งไม่เคยติดเลย”

เด็กหนุ่มรู้สึกดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น “อ๋อ…ตกพื้นแล้วพังน่ะครับ แต่เดี๋ยวผมจะเอาไปซ่อมแล้ว”

“งั้นคราวหน้าพ่อจะโทรไปเบอร์วิวนะ”

“ครับ ผมจะรอพ่อโทรมานะ” เด็กหนุ่มยิ้ม เป็นยิ้มที่คนยืนมองเกลียดจนคลื่นไส้และแสดงออกทางสีหน้ายามลอบฟังอย่างชัดแจ้ง ทว่าตอนนี้วิริยะไม่สนว่าพวกหล่อน ๆ จะคิดเห็นอย่างไร เขาคือลูกของพ่อ แค่นี้คือสิ่งเดียวที่สำคัญ

“แล้วทำไมกลับค่ำอีกแล้ว ป้าอรก็บ่นว่าพักนี้ลูกชักเหลวไหล ไปบ้านเพื่อนกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ตลอด ติดเกมหรือติดผู้หญิงรึเปล่า ขอร้องนะวิว อย่าไปติดยาหรืออะไรทำนองนั้น ห้ามทำเด็ดขาด อย่าให้ป้าอรลำบาก อย่าให้พ่อเสียใจ” เสียงในสายทั้งดุและประสมความเป็นห่วง วิริยะผละสายตาไปมองคนพูดถึงเขาทางด้านลบครู่หนึ่ง อดที่จะเคืองไม่ได้

“ผมไม่เคยกลับดึก ๆ สักหน่อย”

คนแอบฟังเข่นเขี้ยวเมื่อเห็นสายตาลูกเลี้ยง “ดีแล้ว อย่าให้เขาเป็นห่วงลูกนัก พ่อต้องขอให้เขาสละเวลามาดูแลลูกให้ ต้องขอบคุณเขานะที่ทำหน้าที่แทนพ่อดีอย่างนี้ ทำให้แกเป็นเด็กดี ทั้งที่พ่อไม่เคยมีเวลาให้เขาเลย” แล้วเวลาสำหรับเขาเล่า วิริยะคิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป

ที่จริงการที่พวกหล่อนเสแสร้งทำดีกับเขาอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน นั่นทำให้บิดาของวิริยะสบายใจในยามทำงาน ไม่ต้องคอยพะวงถึงทางนี้ว่าจะเจอกับอะไร ครั้นได้ฟัง วิริยะไม่พูดคำอื่น “ครับ…”

“ดี งั้นพ่อขอคุยกับป้าอรหน่อย”

เด็กหนุ่มยื่นสิ่งในมือกลับไปให้แม่เลี้ยง จากนั้นภาพสีหน้าที่แสดงความไม่พอใจของหล่อนก็คลายลงไปยามพูดคุยกับบิดาของเขา หล่อนรู้จักประจบ รู้จักพูดเรื่องไม่จริงให้เป็นเรื่องจริงได้ ใจวิริยะตื้อชาจนคิดว่าอาจไม่เต้นแล้วก็ได้ เด็กหนุ่มจึงพาตัวเองขึ้นไปยังห้องพักด้านบน ครั้นปิดประตูกั้นตนเองจากโลกภายนอกได้ ลำขาที่ว่ายืนหยัดได้ก็อ่อนเปลี้ยทรุดลง ไม่มีแรงยืนเอาเสียเลย มีแต่ความเจ็บปวดจนร่างกายด้านชาไปหมด

นี่เขา…เคยคิดเพื่อตนเองมากกว่านี้ไหม ในหัวเด็กหนุ่มเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นจนตนเองต้องเจ็บปวดไปหมด

เสียงเคาะประตูตึงตังให้หลังวิริยะ เป็นเสียงไม่สบอารมณ์ของแม่เลี้ยง “ออกมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้ เมื่อกี้แกมองฉันด้วยสายตาอย่างนั้นได้ยังไง ไอ้เด็กเนรคุณ แกตั้งใจจะบอกอะไรกับพ่อของแก หา!”

วิริยะไม่เปิดประตู เดินไปทรุดกายบนเตียงปกปิดใบหน้าอันเผยความรู้สึกจริงแท้ของตัวเอง หากแม่เลี้ยงใจร้ายคนนี้เห็น หล่อนคงพอใจกับความสำเร็จของตนเองแน่ที่ทำลายความเข้มแข็งของเขา วิริยะจะไม่มีวันเผยความอ่อนแอให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นเด็ดขาด

 

ช่วงสอบผ่านไปเร็วไวเหลือเกิน

“เป็นอะไรวะวิว เห็นเงียบมาตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว”

อัศวินเหลือบมองเพื่อนผู้นั่งข้างกันมาตลอดทางอย่าง วิริยะผิดวิสัยมาได้ครู่ใหญ่แล้ว ปกติจะพูดจ้อจนฟังไม่ทัน เพราะอย่างนั้นเขาถึงให้วิริยะมานั่งข้างเป็นเพื่อนอาอัฐษ์ เพราะจะได้คุยแก้ง่วงกันไปด้วย แต่อีกฝ่ายกลับเงียบจนผิดสังเกตไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า มึงทำหน้าอย่างนี้ตั้งแต่ยืนรออยู่หน้าบ้านละนะ บอกกูได้”

วิริยะฝืนยิ้ม “ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจหรอก”

กล่าวจบเด็กหนุ่มก็หันไปมองสองข้างทางที่มืดแล้ว แม้จะไม่เห็นอะไรภายนอกเลยก็ยังคงสนใจมันต่อไป ไม่ได้เริ่มสนทนาอะไรกับเพื่อนผู้นั่งเบาะใกล้กัน อันที่จริงมันก็มีอย่างที่อัศวินเข้าใจ มันเป็นความอึดอัดที่สะสมอยู่ในใจเด็กหนุ่มมานานหลายปีแล้ว

หลังจัดการเรื่องสอบเสร็จแล้ววิริยะเดินทางถึงบ้านตามเวลาเลิกเรียนเพราะต้องการมาเก็บเสื้อผ้า ตกลงกันว่าอัศวินจะเข้ามารับแล้วไปกันเลยตั้งแต่วันนี้ เพื่อน ๆ ต่างลงความเห็นว่าหลังสอบควรได้เที่ยวด้วยกันบ้าง ทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจไปเที่ยวไร่รุ่งอรุณีก่อนแยกย้ายไปใช้เวลาปิดเทอมทั้งหมดกับอย่างอื่น แต่กับวิริยะแตกต่างจากเพื่อน ๆ เพราะเขาตั้งใจอยู่ต่อจนจบฤดูร้อน เพราะเห็นว่าที่นั่นมีงานให้ทำ

ไปถึงเด็กหนุ่มชะงักเท้า เมื่อเห็นข้าวของเครื่องใช้ของตนเองถูกโยนมากองหน้าห้องพัก เด็กหนุ่มรีบไปเก็บหนังสือเรียน เสื้อผ้า และเอกสารต่าง ๆ ขึ้นมาถือ ด้านในมีคนกำลังจัดแจงของตกแต่งใหม่ทั้งหมด คือแม่เลี้ยงของเขา

“ทำอะไรกับห้องผมน่ะ” เด็กหนุ่มถามขึ้น

“มันไม่ใช่ห้องของแกแล้ว ตั้งแต่นี้ไปแกไปนอนห้องเก็บของข้างล่าง เพื่อนฉันเขาจะมาเที่ยวที่ไทยช่วงหน้าร้อนนี้ ห้องนี้มีแอร์ กว้างก็กว้าง ต้องเป็นห้องสำหรับรับแขกของฉัน รีบเก็บข้าวของเกะกะขวางทางของแกลงไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเอาไปทิ้งถังขยะ”

“ให้ผมย้ายไปนอนกับน้องวาก็ได้นี่ ในห้องเก็บของมันไม่มีอะไรเลยนะ ประตูยังไม่มีกลอนเลยด้วยซ้ำ” วิริยะใจหาย

“อีกหน่อยน้องก็โตแล้ว จะไปนอนกับน้องได้ยังไง แกเป็นผู้ชายนะจะไปมีความลับอะไรนักหนา ดึก ๆ ดื่น ๆ ก็เห็นเปิดไฟเปิดแอร์ไม่ยอมหลับยอมนอน เพราะแกค่าไฟถึงได้มากมายขนาดนี้” อิงอรออกมายกนิ้วชี้หน้า จะว่าอะไรเขา สั่งให้ปิดแอร์นอน ปิดไฟ หรืออะไรก็ได้ แต่จะไล่เขาออกจากห้องตัวเองอย่างนี้ไม่ได้

“ผมต้องอ่านหนังสือครับป้าอร ใกล้จะได้สอบเข้าแล้ว แต่จากนี้ไปผมจะเปิดโคมไฟเล็ก ๆ เท่านั้น”

“ฉันจะไม่ให้เงินแกเรียนต่อแน่”

รู้สึกจะไม่มีใครฟังคำขอของวิริยะ ความรู้สึกและความอดทนของเขาขาดผึงเมื่อกรอบรูปขนาดกว้างซึ่งมีเขาและพ่อยืนคู่กันถูกเหวี่ยงลงพื้นต่อหน้า กระจกแตกร้าวกลบรอยยิ้มทั้งสองในความทรงจำวิริยะไปหมดสิ้น แตกไปพร้อมใจของเด็กหนุ่มที่พยายามก่อสร้างความแข็งแกร่ง

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ” วิริยะใช้เสียงต่ำ จ้องตาหล่อน

“แกว่าอะไรแม่ฉัน” พี่สาวที่ยืนกอดอกรอสมทบพูดขึ้น หากทว่าวิริยะเก็บข้าวของของตัวเองเดินกลับเข้ามาด้านในจนหมดทุกอย่าง เด็กหนุ่มรื้อผ้าปูที่นอน ข้าวของที่ถูกนำมาจัดใหม่โยนออกไปข้างนอก

“จะทำอะไรของแก ไอ้เด็กเหลือขอ!”

“ที่ผมยอมมาตลอดไม่ใช่ว่าผมอ่อนแอหรอกนะ แต่ถ้ายังจะทำตัวเป็นตัวร้ายในละครแบบนี้ต่อไป ป้ากับพี่ทรายเจอดีแน่” เขายังคงใช้เสียงโทนเดิม ทว่าคนฟังอ้าปากค้างทำพะงาบอยากพูด ตัวสั่นงกราวกับเจ้าเข้าด้วยความโกรธ ซึ่งวิริยะเองก็ไม่ต่างกัน “อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่มีทางสู้ เขาแค่ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ไม่อยากเอาทองไปแลกกับกรวด ผมขอเตือนว่าสิ่งที่ป้ากับพี่ทำ รับรองว่าไม่ใช่แค่พ่อที่จะได้รู้ ผมจะทำให้คนทั้งสังคมรู้ว่าป้ากับลูกสาวป้าเป็นคนยังไง”

“แก!” หล่อนเงื้อทำมือจะตบ หากทว่าวิริยะมองด้วยสายตาเขม็ง

“ผมเป็นผู้ชายนะ อยากโดนต่อยรึไง”

“ลองเข้ามาซี! ฉันจะฟ้องพ่อแกว่าแกทำร้ายร่างกายฉัน คราวนี้แกได้โดนเฉดไปโรงเรียนประจำแน่ คนอย่างแกเหรอพ่อจะเชื่อคำพูด ยังไงเขาก็เชื่อเมียที่แสนดีอย่างฉันมากกว่าอยู่แล้ว เพราะแกมันเด็กเหลือขอ ลูกอีตัวยังไงละ ว้าย!”

แจกันดอกไม้ถูกวิริยะเหวี่ยงลงพื้นอย่างสุดทน “ตัวเองดีนักเหรอ มาว่าแม่คนอื่น”

“แก!” พี่สาวเดินเข้ามาชี้หน้า ยกมือทุบตีวิริยะบันดาลโทสะ “ไอ้เนรคุณ!”

“ใครกันแน่ที่เนรคุณ!”

เด็กหนุ่มร้องขึ้นเสียงดัง “มาอาศัยบ้านคนอื่น เกาะพ่อให้หาเงินเลี้ยงโดยที่ตัวเองนอนกระดิกเท้าสบายใจเฉิบ ถ้าไม่ออกไปช้อปหรือเสริมสวยข้างนอกอาจจะกลายเป็นง่อยแล้วก็ได้ ก่อนจะว่าคนอื่น ก้มดูสารรูปตัวเองตอนเดินมาอยู่กับพ่อของผมวันแรก ๆ ด้วยก็ดี แล้วถ้าไม่อยากไปเดินข้างถนนให้ขี้เหล้าซ้อมเหมือนเมื่อก่อน กรุณาทำดีกับลูกของคนที่คุณเกาะให้มากกว่านี้ด้วย คุณนาย”

วิริยะกำหมัดแน่น มองพวกหล่อนดีดเด้งอารมณ์ขึ้นเพราะกล่าวถึงอดีต “อย่าทำตัวทราม ๆ ต่ำ ๆ ให้น้องสาวผมเห็นมากนัก ผมไม่อยากให้น้องของผมโตมามีนิสัยแบบพวกคุณ ออกไป”

กล่าวจบเด็กหนุ่มก็ชี้นิ้วไล่ เขายอมกลายเป็นไอ้หน้าตัวเมียวันนี้ หากไม่ทำอะไรเพราะคิดว่าพวกหล่อนคงคิดเองได้ทีหลัง แต่ไม่…คนพวกนี้ไร้จิตสำนึก และเขาจะโดนรุกรานอย่างนี้ไปตลอดอย่างย่ามใจ

“หน็อย…” หล่อนกระทืบเท้า

“บอกให้ออกไปไง พวกปรสิต พวกเห็บหมัด!”

“กรี๊ดดดดด!”

“น่าขยะแขยง ขี้เหร่แล้วยังสันดานเสียอีก อีผี!” วิริยะหันไปมองพี่นอกไส้แล้วตะโกนใส่หน้า

“แกว่าลูกฉัน ไอ้เด็กเปรต”

“ผมเปรตกว่าที่คุณคิด อย่ามาบีบผม อย่ามาแตะต้องแม่ผม!” เด็กหนุ่มใช้เสียงโทนต่ำอีกครั้ง แล้วก้มมองคนยืนขบเขี้ยวตรงหน้า “แก่แล้วยังไม่เจียมกะลาหัวอีก ถ้าโดนพ่อเขี่ยทิ้งคราวนี้อย่าหวังว่าจะหาผัวใหม่ได้ ยายหน้าเหี่ยว บอกให้ออกไป!”

วิริยะเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ไม่สนเสียงกรี๊ดของสองแม่ลูกข้างนอกเมื่อไม่ได้ดังใจ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ปิดล็อกประตูหน้าต่างห้องพักให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมารอเพื่อนอยู่ข้างนอก ก่อนออกมา วิริยะยังไม่ลืมทิ้งท้ายกับแม่ลูกสองคนนั้นไว้

“อย่าไปยุ่งกับห้องของผม ถ้าผมเห็นว่ามีร่องรอยถูกงัด หรือเหมือนมีใครเข้าไป ผมบอกพ่อแน่”

เด็กหนุ่มมองผู้หญิงสองคนอย่างไร้ความรู้สึก หล่อนราวโกรธแค้นแต่ไม่อาจระเบิดอารมณ์ออกมาได้ “ถ้าไม่อยากกลับไปเป็นเมียพวกขี้เหล้าข้างถนน ควรสำเหนียกสถานะตัวเองไว้ด้วยนะ ถึงผมมันจะเป็นเด็กไม่เอาไหน ถูกว่าและเอ็ดก็บ่อย แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมเป็นลูกในไส้ของเขา พ่อไม่มีทางตัดผมขาดได้หรอก มีแต่พวกคุณนั่นแหละ ถึงจะพยายามทำให้ตัวเองดูสำคัญยังไง พวกคุณมันก็แค่…คนอื่น”

แล้วก็เดินออกมาด้านนอก

แม้วันนี้เขาดูเหมือนเก่ง ต่อกรกับพวกหล่อนได้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อกลับมาพวกหล่อนจะหาเรื่องอะไรจัดการกับเขาอีก เพราะสำหรับคนเหล่านั้นแล้ว การไม่เห็นเขาในบ้านเป็นหนามยอกอกคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่แปลกที่จะพยายามหาเรื่องไล่เขาให้ไปเรียนโรงเรียนประจำให้ได้

เขาทนมานานแล้ว สิ่งนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาตอบโต้ไป

หวังว่าข้างหน้า เขาจะไม่แพ้ภัยให้กับสิ่งที่ตัวเองทำวันนี้ หวังเหลือเกิน…



--๑๐๐--

-------------------------------------------

มาอัพให้อ่านกันแล้วค่า ตอนหน้าน้องวิวได้กลับไปเจออาเชษฐ์อีกแล้ว

แล้วสถานะของวิวกับอิกจะเป็นยังไง ทำไมเพื่อนคนนี้แสดงท่าทางออกนอกหน้าขนาดนั้น

ส่วนอาอัฐษ์ก็เป็นตัวหลักนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร

1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔} Cinderella man and the beast
«ตอบ #6 เมื่อ05-03-2018 17:17:15 »


ตอนที่ ๔

“อิกมาถึงรึยังต้อย”

คนถามก้มลงมองนาฬิกาข้อมือดูเวลา บอกว่าตอนนี้ทุ่มครึ่งแล้ว

หลังจากเลิกงาน อาบน้ำอาบท่าชำระกายเสร็จ นายใหญ่ของอาณาจักรรุ่งอรุณีก็เดินลงมาด้านล่างด้วยชุดลำลอง หลานชายบอกไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่าจะพาเพื่อนมาพักผ่อนช่วงปิดเทอมที่นี่สักหนึ่งอาทิตย์ เหลือบไปเห็นแม่บ้านเตรียมข้าวปลาครบสำรับแล้ว ฟ้าก็มืดได้นานโข เหตุใดแขกทั้งหลายยังมาไม่ถึงสักที ชายหนุ่มคิดทั้งทิ้งตัวนั่งอยู่บนโต๊ะที่ส่งกลิ่นกับข้าวหอมเรียกน้ำย่อย

และเมื่อเชษฐ์ไชยถาม แม่ต้อยก็หันมาส่ายหน้ากล่าวด้วยเสียงอย่างกันเองเพราะอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เจ้านายยังอายุสิบสี่สิบห้า “ยังเลยค่ะนายเชษฐ์ ฉันก็กำลังคิดอยู่ว่ากับข้าวจะเย็นชืดก่อนหรือเปล่า ให้เก็บก่อนไหมคะ”

“ไม่ต้องล่ะ เห็นบอกว่าจวนจะถึงตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว นี่ขับรถหรือนั่งบนหลังเต่า”

คนฟังคลี่ยิ้ม “ใจร้อนอะไรนักคะ หรือว่าวันนี้หิวเป็นพิเศษ เอ…ได้ยินข่าวว่าคุณอิกพาเพื่อนมาเที่ยวด้วยนี่นา คุณหนูตัวเล็กของบ้านป่านนี้จะโตเป็นหนุ่มขนาดไหนแล้วหนอ ไม่ได้มาเหยียบที่นี่หลายปี ไม่รู้คิดยังไงถึงได้มานะคะนายเชษฐ์”

“ค่อยถามมันเอาเองแล้วกัน แล้วนี่แค่เพื่อนหลานฉันมา ต้องใช้ของสิ้นเปลืองขนาดนี้เลยเหรอ”

“แหม นายเชษฐ์ก็ ของพวกนี้จะไปสิ้นเปลืองอะไร บ้านเราปลูกเองเลี้ยงเองทั้งนั้น อีกอย่างบ้านเราไม่มีแขกมาก็นานแล้วนะคะ เพราะเจ้าบ้านเอาแต่ตีหน้ายักษ์ใส่คนละแวกนี้เสียหมด”

“เดี๋ยวเถอะต้อย” เชษฐ์ไชยทำเสียงขุ่นใส่แม่บ้าน นางเห็นก็เพียงยิ้มเอ็นดูเท่านั้น

“ก็มันจริงนี่คะ นายเชษฐ์นะนายเชษฐ์ ใครเข้าหาก็ไม่สนใจ จะมัวปักใจอะไรแต่กับผู้หญิงสารเลวพรรค์นั้น”

“ฉันไม่ได้ปักใจ ฉันเบื่อ”

“เบื่อน่ะซีคะถึงต้องมีความรัก คนเขาว่ากันว่า คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไปนิดนึง” นางบิดเอวเต้นท่าน่ารักในขณะจีบปากจีบคอร้องเพลงในช่วงท้าย ภาพคุณป้าอายุราวห้าสิบสวมเสื้อลูกไม้สีขาวและผ้าซิ่นสีน้ำตาลทำท่านั้น ได้เรียกแม่บ้านเด็กหัวเราะกันคิกคักข้างหลัง ยิ่งทำให้ใบหน้าของเชษฐ์ไชยดูเคร่งเครียดและเบื่อไปกว่าเดิม

ชายหนุ่มหันไปถอนใจ “จะทำอะไรก็อายเด็กเสียบ้าง”

“อายอะไรกันคะ สมัยนายเชษฐ์จีบกันกับแม่นั่นใหม่ ๆ ทำตัวน่าอายกว่านี้ตั้งเยอะ อย่าให้ฉันโม้”

“เงียบไปเลยนะต้อย ถ้าต้อยพูดฉันไล่ต้อยไปทำงานที่สวนแน่ โน่น…เสียงเจ้าอิกมันมาแล้ว ไป ๆ ไปช่วยกันขนของจะได้มากินข้าวกินปลา”

“ว่าแต่นายเชษฐ์จะไม่โกนหนวดโกนเคราสักหน่อยเหรอคะ ถ้าโกนสักหน่อย ป่านนี้สาวติดทั้งจังหวัดแล้ว”

“เอ๊ะ ฉันบอกให้ไปไงล่ะต้อย”

ในขณะที่แม่บ้านคนอื่นเกรงกลัวต่อคำสั่งจากนายใหญ่ของบ้าน วิ่งออกไปกันหมดแล้ว  ต้อยยังยืนคลี่ยิ้มมองเชษฐ์ไชยและถามไถ่กระเซ้าอยู่ เพราะรู้ดีว่าวันนี้เชษฐ์ไชยใจร้อนกับการรอแขกมาเยี่ยมเยียน ปกติคนใจร้ายไม่สนโลกคนนี้มีหรือจะแคร์ว่าใครจะมาหรือไป นางส่ายหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม เมื่อมือหนาเคลื่อนมาดุนไหล่เชิงบังคับให้นางเดินออกไปต้อนรับเจ้านายคนเล็กด้วยอีกคน

“ค่า ๆ ต้อยยอมไปแล้วค่า”

“ทำไมต้องให้ขึ้นเสียงใส่ตลอด ฉันกลายเป็นยักษ์เป็นมารก็เพราะเธอนะต้อย” คนตัวใหญ่ด้านหลังบ่นอุบ

“ไม่ต้องมาโทษฉันหรอกค่ะ นายเชษฐ์ชอบเผลอดุคนงานเอง ฉันช่วยไม่ได้นะคะ บอกแล้วว่าให้มีแฟนจะได้ใจเย็นขึ้นหน่อยก็ไม่ยอมเชื่อกัน”

ในระหว่างที่คุย เด็กในบ้านหอบกระเป๋าสองมือทำท่าจะสะดุดล้มหน้าคะมำ ทว่าหล่อนก็ทรงตัวได้ในที่สุด หากแต่เชษฐ์ไชยก็มองทัน ด้วยความปากไวชายหนุ่มก็พูดเอ็ด “เดินดี ๆ หน่อยสิอิน เกิดล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมา เลือดเปื้อนของของแขกมีปัญญาใช้เขาหรือเปล่าก็ไม่ ดูแลให้มันดี ๆ จะได้ไม่มีปัญหา เข้าใจที่ฉันพูดไหม”

“ค่ะ นายเชษฐ์” เด็กรับใช้วัยรุ่นขานตอบเสียงอ่อน แล้วรีบเดินเข้าไปข้างในด้วยกลัวว่าจะถูกเอ็ดอีก

คนยืนข้างหันไปส่ายหน้าให้อย่างหน่ายใจ “พูดไม่ทันขาดคำแท้ ๆ”

เชษฐ์ไชยยักไหล่อย่างไม่สนใจเมื่อเห็นสายตาแม่ต้อย ชายหนุ่มยืนไขว้แขนไว้ด้านหลังอยู่บริเวณหน้าบ้านรอต้อนรับ ส่วนแขกจอดรถอยู่ในโรงรถฝั่งซ้ายของบ้านซึ่งเปิดไฟไว้รอนานแล้ว ที่พักอาศัยของเชษฐ์ไชยกว้างขวางและใหญ่โตสมฐานะนายใหญ่แห่งอาณาจักรรุ่งอรุณี อยู่ท่ามกลางท้องทุ่ง เฉพาะทางเข้าก็กินเนื้อที่แล้วหนึ่งกิโลเมตร ถูกล้อมรอบด้วยไม้ดอกไม้ประดับหลากชนิด

ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สีเหลืองเข้มหลังใหญ่เคลือบสีมันวาวดูใหม่อยู่ตลอด มีอยู่สองชั้น ประตูหน้าต่างเป็นกระจก มีเหล็กดัดลวดลายสวยงามปิดล็อกอย่างแน่นหนา ที่ทำให้ดูเด่นจนสะดุดตาคือดอกกุหลาบสีขาวที่ถูกจัดแต่งล้อมรอบตัวบ้าน ลามไปจนถึงโรงจอดรถที่เหล่าแขกต่างพากันยกกระเป๋าสะพายบนหลังและลงไปรวมตัวกัน เชษฐ์ไชยที่ยืนมองอยู่ไกลนึกแปลกใจว่าเหตุใดตัวเองจึงถอยกรูดไปตั้งหลักจนแม่ต้อยสงสัย หรือหาที่กำบังร่างตนเองทั้งที่มั่นใจว่าที่นี่ไม่มีภัยอันใดทำให้เขาเกรงกลัวได้

อาจเป็นเพราะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ผอมโปร่ง ผิวขาว ตาเรียว คนเดียวกันกับคนที่อยู่ในโทรศัพท์ของเขากระมัง เด็กหนุ่มที่เข้าใจว่าเชษฐ์ไชยเป็นเพียงคนสวนของครอบครัวมาโดยตลอด ซึ่งนายใหญ่ของที่นี่ก็มั่นใจว่าหากเด็กวิวเห็นเขาตอนนี้คงตกใจเป็นแน่

“นายเชษฐ์จะไปไหนคะ รอรับแขกก่อนสิ”

“อ๋อ…ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องจัดการให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้ เอากาแฟขึ้นไปให้ด้วยนะต้อย”

“เดี๋ยวสิคะ อยู่ทักทายกันแค่ไม่กี่นาทีก็ได้…” นางมองตามเจ้านายด้วยความงุนงง เชษฐ์ไชยมีท่าทางผิดแปลกไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองไปยังกลุ่มเด็ก ๆ เพื่อนของอัศวิน ราวกับกำลังเจอผี พูดไม่ทันจบดี ร่างใหญ่ก็ถอยกรูดแล้วหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในบ้านเสียอย่างนั้น คนมองทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าให้อย่างมิอาจเข้าใจความคิด ก่อนจะหันมายิ้มรับเด็ก ๆ ที่มาถึงก็ยกมือไหว้ทักทาย

“ว้าย คุณหนูตัวเล็กของป้าโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วเหรอคะเนี่ย ขอป้ากอดให้ชื่นใจสักที คงไม่รังเกียจใช่ไหมคะ”

นางทำเสียงตื่นเต้นมองเจ้านายที่เคยตัวเล็กสูงราวเอว นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นางเห็นอัศวิน เพราะคุณอิทธิ บิดาของอัศวินหรือพี่ชายของเจ้านายนางต้องการตีตนออกห่างด้วยอยากสืบทอดธุรกิจ ใช้ชีวิตติดหรูทำตัวสูงส่ง เท่านั้นยังไม่พอ เพราะคำพูดของคุณอิทธิทำให้บิดาของสองแฝดเกลียดขี้หน้าเชษฐ์ไชย กล่าวหาว่าเชษฐ์ไชยก้าวร้าวและทำตัวไม่ดีอยู่บ่อย ๆ

น่าเสียดายที่รวยไปก็เปล่า พี่น้องมองกันเป็นศัตรูเพื่อแก่งแย่งชิงดี พี่ชายคนโตค่อนข้างขี้อิจฉา เหตุที่เชษฐ์ไชยผูกพันกับที่นี่มากกว่าเพราะได้อาศัยมาตั้งแต่วัยรุ่นกับคุณปู่ ต้นเหตุก็เพราะทะเลาะกับพี่ชายคนโตจนถึงขั้นชกต่อย แต่บิดาไม่ฟังความของเชษฐ์ไชยสักครั้ง เพราะเห็นว่าลูกชายเป็นคนมุทะลุ จึงไล่ให้มาอยู่กับคุณปู่ที่นี่

ยังดีหน่อยที่แต่เดิมธุรกิจนี้คุณไกรเลิศ ปู่ของสองแฝดเป็นคนบุกเบิกและสร้างมาจนยิ่งใหญ่ และท่านก็ยังรักและขอบคุณเชษฐ์ไชยเสมอที่คอยดูแลไร่ให้ท่านมาโดยตลอด บ้านหลังนี้เป็นของท่านกับคุณย่า แต่หลังคุณย่าเสียตั้งแต่วัยกลางคน ท่านก็เดินทางไปอยู่ร่วมกับคุณแม่ของเชษฐ์ไชย นางกับคุณปู่พยายามขอร้องให้เชษฐ์ไชยกลับไปอยู่ด้วยกัน

เชษฐ์ไชยก็ตอบกลับไปว่าเปล่าประโยชน์ที่จะชวน ตราบใดที่บิดาและพี่ชายอยู่ตรงนั้น

เมื่อหวนคิดแล้วต้อยก็สะบัดหน้า ทุกอย่างคงเปลี่ยนไปแล้วกระมัง ตั้งแต่เชษฐ์ไชยได้รับตำแหน่งซีอีโอของบริษัท การให้ลูกชายมาทำดีกับอานอกคอกคนนี้ไว้มันคงเป็นทางที่ถูกแล้ว ใจจริงต้อยไม่อยากคิดเช่นนี้เลย แต่เหตุการณ์ที่เชษฐ์ไชยถูกกระทำเมื่อก่อนมันจำต้องทำให้คิด

นางจำชื่อเด็ก ๆ ราวห้าหกคนได้ไม่หมด เพราะมีแต่คนมีชื่อเรียกยากทั้งนั้น คนแก่ที่อาศัยอยู่แต่บ้านนอกอย่างนางลิ้นแข็งและรู้สึกกระดากอาย แต่จำได้จากลักษณะท่าทางเอาเสียมากกว่า โดยเฉพาะเด็กผู้ชายผิวสีขาวสะอ้านค่อนข้างยิ้มเก่งที่แนะนำตัวเองว่าจะมาทำงานที่นี่ แม้ท่าทางเจ้าตัวจะผอมบางเกินกว่าจะทำงานอะไรได้ก็ตาม

“ฝากป้าต้อยดูแลมันด้วยนะ” อัศวินบอก แล้วต้อนพาเพื่อนเดินเข้าไปด้านใน ครั้นเห็นสายตาตื่นเต้นของทุกคนยามสำรวจบ้านแล้วผู้ดูแลมาโดยตลอดอย่างนางก็พลอยยิ้มด้วยความเอ็นดู

นอกนั้นยังได้พบกับอัษฐไชยอีกด้วย “คุณอัฐษ์ ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“แม่ต้อยก็สวยเหมือนเดิมเลย”

“ต๊าย! คนอะไรปากหวานตั้งแต่เด็กจนโต ปากหวานอย่างนี้มีแฟนรึยังคะ” นางทำเสียงคนบ้ายอจนเรียกรอยยิ้มของอัฐษไชยได้อีกครั้ง ชายหนุ่มเพียงโคลงศีรษะตอบ “จะไปมีได้ยังไงกันเล่า วัน ๆ ฉันก็เอาแต่ทำงาน”

“สองพี่น้องนี่สมกับเป็นแฝดจริงเชียว หวงชีวิตโสดไปทำไมกันคะ”

“ก็ผู้หญิงแบบแม่ต้อยหายากยังไงล่ะ แม่ต้อยน่ะ สเปคฉันเลยนะ” อัฐษไชยยิ้มสุขุม

“ขอโทษนะคะ ถึงคุณอัฐษ์จะสารภาพอย่างนี้แล้ว แต่ฉันเลิกกับไอ้แสวงไม่ได้จริง ๆ อีกอย่างฉันไม่อยากจับปลาสองมือด้วย เพราะนายเชษฐ์ก็บอกแบบนี้กับฉันเหมือนกัน คุณสองคนนี่เป็นแฝดแล้วยังสเปคเหมือนกันอีกนะคะ” นางพูดเป็นตุเป็นตะ เรียกรอยยิ้มของคนฟังอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แล้วทั้งคู่ก็เดินตามเด็ก ๆ เข้าไปข้างใน

“อย่างนี้ผมก็อกหักน่ะสิ” คนตัวสูงแกล้งล้อ

“โถ คุณอัฐษ์ก็รู้จักหาวิธีแซวฉันนะคะ ไปทานข้าวเถอะค่ะ เตรียมไว้รอแล้ว เดี๋ยวเย็นชืดเสียหมด”

ตาคมเหลือบมองไปทั่วบ้าน เมื่อนึกขึ้นมาได้

“แล้วเชษฐ์ล่ะ ไปไหน” คนเดินพร้อมกันถามขึ้น เพราะเมื่อตอนเย็นยังตอบชายหนุ่มอยู่เลยว่าอยู่บ้าน ไม่ได้มีธุระออกไปไหน มิหนำซ้ำยังบอกอยู่ว่าจะเตรียมมื้อเย็นทานด้วยกัน ทุกคนจึงหิ้วท้องรอมากินที่นี่แม้จะหิวกันขนาดไหน เขากลัวเหลือเกินว่าคนผอม ๆ ที่เอาแต่เงียบบนรถจะเป็นลม

“โอ๊ย รายนั้นน่ะวิ่งขึ้นไปข้างบนแล้วค่ะ เห็นว่างานด่วนต้องรีบทำ ไปเถอะค่ะเด็ก ๆ ท่าทางหิวแย่แล้ว”

“จ้า ๆ” ชายหนุ่มตอบเสียงหวาน เดินตามแรงจูงคนอายุมากกว่าผู้สวมผ้าซิ่นย่ำเท้าดุ่ม ๆ นำ โดยไม่สนว่าเข็มขัดเงินจะหลุดแล้วผ้าจะไปกองลงอยู่ที่ตาตุ่มหรือไม่ อัฐษไชยคลี่ยิ้มมองคนอาวุโสใจดี ผู้เคยเป็นพี่เลี้ยงของพวกเขาในวัยเด็กด้วยความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากอาศัยอยู่ภายในบ้านที่กว้างขวางทว่าไม่มีอะไรเลย

เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเชษฐ์ไชยถึงไม่อยากจากที่นี่ไป

แต่บางทีก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมพี่ชายถึงทิ้งเขาให้เผชิญทุกอย่างที่นั่นเพียงลำพังแล้วมามีความสุขที่นี่

ทำไม…





 

หิวโว้ย!

เชษฐ์ไชยในชุดนอนกางเกงขายาวกับเสื้อยืดแขนสั้นผุดลุกขึ้นนั่งอย่างหงุดหงิด เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาต้องลุกออกไปทำงาน แต่เพราะความหิวโจมตีคนตัวยักษ์ใหญ่อย่างเขาไม่เลิก ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจข่มตาหลับลงได้แม้จะเข้านอนตั้งแต่หัววัน ท้ายที่สุด เชษฐ์ไชยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ทุกคนคงเข้านอนเร็วเพราะเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ลงไปตอนนี้คงไม่มีปัญหาอะไร…มั้ง

ร่างสูงเดินออกไปข้างนอกแล้วหยุดชะงักที่หัวบันไดเพื่อเงียบฟังสถานการณ์ ไฟด้านบนปิดสนิท มีเพียงแสงน้อย ๆ จากห้องครัวสาดมาเท่านั้น ชายหนุ่มค้อมตัวมองประตูของแขกแต่ละบานก็ปิดไฟมืด บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทุกคนแยกย้ายไปพักกันแล้ว

ได้ยินเสียงคนล้างจานชาม น่าจะเป็นแม่ต้อยกับลูกสาวที่ยังอยู่ดึกดื่นเพราะดูแลแขก นางจัดการทุกอย่างเสมือนที่นี่เป็นบ้านของตนเอง นั่นแหละที่ทำให้เชษฐ์ไชยรู้สึกวางใจยามไม่อยู่เพราะรู้ดีว่าแม่ต้อยจะทำหน้าที่ตนเองเป็นอย่างดี ชายหนุ่มจึงเดินลงไปข้างล่าง “ทำอะไรน่ะ!”

“ตาเถร!” นางสะดุ้ง แม้จะอยู่กับลูกสาวก็ยังผวา หันกลับมาทำหน้าดุเชษฐ์ไชยใหญ่ “นายเชษฐ์! เกิดฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไงคะ เห็นสวย ๆ สาว ๆ อย่างนี้จะหกสิบแล้วนะคะ จะแกล้งเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว”

“ต้อยนั่นแหละ โดนประจำแล้วยังไม่หายอีก ว่าแต่มีอะไรกินบ้าง ฉันหิวน่ะ”

“ไม่มีหรอกค่ะนายเชษฐ์ ดึกขนาดนี้จะมีอะไรละคะ ของที่เหลือนายเชษฐ์ก็บอกให้เด็กที่บ้านกินหมดแล้ว” หน่อย ลูกสาววัยสิบหกปีของต้อยตอบพลางเช็ดถ้วยชามช่วยแม่ที่เพิ่งล้างเสร็จไปพลาง เด็กคนนี้มีความกตัญญู ว่างเมื่อไรเป็นต้องมาช่วยมารดาทำงานที่บ้านตลอด ซึ่งนอกจากจะได้เงินเดือนแล้ว เชษฐ์ไชยยังเอ็นดูส่งเสียให้เรียนเองด้วย เขาเห็นหน่อยเป็นเหมือนน้องสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

“ไม่มีอะไรเหลือเลยเหรอ ไอ้คนพวกนี้ กะกินล้างกินผลาญเลยรึไง”

“ก็นายเชษฐ์บอกเองนี่คะว่าเหลือก็ทิ้งไปเปล่า ๆ ให้กินกัน หรือไม่ก็ห่อไปให้พ่อแม่ที่บ้าน ตอนนี้น่าจะมีแค่ข้าวไข่เจียวค่ะ เพราะมันมืด ถ้าไปสวนก็กลัวเดินเหยียบคองูเข้า มีแค่นี้กินไหมคะ” หน่อยตอบด้วยรอยยิ้ม เชษฐ์ไชยพยักหน้าตอบแบบขอไปทีขณะนั่งรอบนโต๊ะ เห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงหันบอกมารดา “แม่ ทำข้าวไข่เจียวให้นายเชษฐ์หน่อย จะได้กลับบ้านไปนอนได้แล้ว”

ชายหนุ่มถอนใจ “ก็นอนห้องข้างล่างนี่ได้ ทำอย่างไม่เคยแอบนอนตอนฉันไม่อยู่”

สองแม่ลูกมองหน้ากัน แล้วหัวเราะคิก “ไม่เอาหรอกค่ะ วันนี้แขกเยอะ ไม่อยากรบกวน อีกอย่างเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านแล้ว หน่อยกับแม่ถือเสียมไปคนละอัน คุณเชษฐ์ไม่ต้องกลัวนะคะว่าใครจะมาฉุดเรา”

“ใครมันกล้ามาหยามในถิ่นฉัน ฉันจะจับมันขึงเชือกทรมานให้ดู”

แม้จะเป็นคำพูดที่ดูโหดร้าย แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยจนสองแม่ลูกสัมผัสได้

อันที่จริงบ้านพักของทั้งสองไม่ได้ไกลและอยู่ในเขตดูแลของไร่อรุณีนี่เอง บ้านหลังนี้อยู่บนเนินเขาขนาดเล็กที่ดูไม่ชัน แต่มองไกล ๆ ก็เห็นเป็นคล้ายเขาลูกเล็กลูกหนึ่งซึ่งมีบ้านตั้งอยู่ มองลิบ ๆ เหมือนหลังเล็กแต่ครั้นมาถึงแล้วทุกคนต้องตกใจกับขนาดของมัน เดินลงเนินไปเพียงร้อยเมตรก็เป็นบ้านพักของคนงานที่อยู่ไกลต่างอำเภอ ซึ่งเชษฐ์ไชยทำไว้เพื่อรองรับ บางห้องเป็นเพื่อนร่วมรุ่น บางห้องเป็นครอบครัว ด้านในก็มีเตียงซึ่งแล้วแต่ว่าคนงานจะขนของอะไรมาใส่เพิ่มเติม เพื่อความประหยัด ห้องน้ำจะเป็นห้องรวมทว่าแยกระหว่างชายหญิงอย่างละสองห้อง อยู่คนละฟากเพื่อความปลอดภัยและถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่คนงานหญิงจะแอบไปดูคนงานชายมากกว่า

บ้านของต้อยดีหน่อยเพราะอยู่มานาน ของนางได้เป็นหลังเล็ก ๆ ที่มีห้องพักและห้องน้ำส่วนตัว เชษฐ์ไชยอาสาต่อเติมให้เพราะเห็นว่าหน่อยกำลังโตเป็นสาวแล้ว นี่คือพระคุณอย่างหนึ่งที่ต้อยรำลึกถึงอยู่เสมอว่าเจ้านายไม่เคยลืมพวกนางเลย

ครั้นแล้วเสร็จต้อยก็วางจานข้าวไข่เจียวลงต่อหน้าเจ้านาย กลิ่นหอมของมันลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้องครัว “งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะคะนายเชษฐ์ พรุ่งนี้อยากทานอะไร ฉันจะได้เตรียมให้”

“แล้วแต่ต้อยเห็นสมควร”

เชษฐ์ไชยไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากอาหารตรงหน้า หน่อยวางแก้วน้ำไว้ข้างคนตัวโตแล้วหันมองมารดาอย่างไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนายใหญ่ของบ้านต้องทำร้ายตัวเอง ปล่อยให้หิวจนดึกดื่นอย่างนี้ ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร ทั้งคู่เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้เจ้านายมีความสุขกับอาหารตรงหน้าเท่านั้น

ทว่า กินได้ไม่กี่คำเท่านั้น เชษฐ์ไชยก็สำลักอาหารในปากอย่างเฉียบพลัน เมื่อมีใครเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะที่เขากำลังสำราญกับของกิน ไม่ใช่แม่ต้อยลืมของ ไม่ใช่ผี แต่เป็นเด็กหนุ่มตัวผอมผิวขาวสะอ้านที่เขาพยายามหลบเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมานี้ต่างหาก!

“พี่หนวด”

อีกฝ่ายมองเขาด้วยรอยยิ้มพราวที่คาดเดาไม่ได้

“อั่ก!” เชษฐ์ไชยทุบอกตัวเอง รีบยกน้ำดื่มอย่างตกใจ

“พี่หนวด พี่จริง ๆ ด้วย!” คนตรงหน้ายิ้ม เห็นเชษฐ์ไชยหน้าดำหน้าแดงกระหืดกระหอบยกน้ำดื่มไม่หยุดก็เดินมาช่วยลูบหลัง “กินช้า ๆ ก็ได้นี่พี่ ไปตายอดตายอยากมาจากไหน หรือกลัวเจ้าของบ้านลงมาเห็นเหรอ เห็นเขาว่ากันว่าคุณเชษฐ์ดุอย่างกับหมาร็อตไวเลอร์แหนะ”

จะให้เขาบอกตรง ๆ ว่าตกใจมันงั้นหรือ เชษฐ์ไชยหอบหายใจ “แล้วเธอล่ะ มาแอบกินอะไรในครัวคนอื่นฮะ”

“ถามคนอื่นแบบนั้น คิดว่าเขาจะทำเหมือนพี่งั้นเหรอ แล้วพี่เข้ามาได้ยังไง แม่บ้านล็อกบ้านไม่ดีงั้นเหรอ หรือว่าพี่จะมาปล้นบ้านเจ้านาย สรุปพี่เป็นโจรรึเปล่าวะเนี่ย” เด็กวิวทำหน้าตาตื่นเต้น

“ต้องเป็นโจรแน่ถ้าเธอยังไม่เอาเงินมาคืนฉัน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น โจรบ้าที่ไหนวะจะมานั่งกินข้าวบ้านคนอื่นสบายใจเฉิบ ของมีราคาก็ตั้งอยู่เยอะแยะ” แล้วเขาจะไปอธิบายกับเด็กนี่ทำไมกัน เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วตักข้าวไข่เจียวกินอย่างอารมณ์เสีย รู้อย่างนี้บอกความจริงแล้วได้กินของดี ๆ เมื่อตอนเย็นยังดีกว่า เพราะยังไงเด็กนี่ก็ได้เห็นเขาอยู่ดี

“ก็กำลังมาทำงานหาเงินใช้หนี้พี่อยู่นี่ไง” วิริยะตอบ

“ว่าไงนะ” คนหน้าหนวดย้อนอย่างไม่เข้าใจ อย่าบอกนะว่าเพื่อนที่จะมาทำงานช่วงปิดเทอมที่อัศวินพูดถึงคือไอ้เด็กผอมกะหร่องแทบไม่มีแรงเดินคนนี้ อีกอย่าง ไหนจะผิวสีขาวละเอียดนี่อีก บ่งบอกชายหนุ่มอยู่แล้วว่าไม่เคยเจอแดดและงานหนัก ๆ มาก่อน แล้วจะไปทำงานกับพวกคนงานคนอื่นได้อย่างไร เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาก็มาหาว่าเขาใช้งานหนักเกินไปอีก

“ก็ผมจะมาทำงานที่นี่ไง พี่เองก็ทำงานที่นี่เหมือนกันเหรอ” คนตรงหน้าทำตาแป๋ว เปลี่ยนมาตีสนิทอย่างสังเกตได้

“อ๋อ อืม…”

“แล้วพี่ทำงานอะไร โอ๊ย! ดีใจ งั้นผมก็ไม่เหงาแล้วน่ะสิ มีพี่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย แล้วพี่ก็สอนงานผมหน่อยนะ นะพี่หนวดนะ” เด็กหนุ่มหน้าใสจนออกไปทางซีดเดินมากุมต้นแขนเขาเขย่าดีใจจนออกนอกหน้า สัมผัสจากฝ่ามือนั้นบอกชายหนุ่มอีกครั้งให้รู้ดีว่าวิริยะไม่เคยผ่านงานพวกนี้มาก่อน มันนิ่มและบอบบาง

“ไม่รอดหรอก เธออยู่ที่นี่ไม่รอดหรอก”

คนฟังแปลกใจ “หมายความว่าไงวะพี่ พี่ดูถูกผมเหรอ”

“เออ โคตรดูถูกเลย ก้มดูสภาพตัวเองรึยังก่อนคิดจะมาทำงานที่นี่ กลับไปตีระนาดอย่างเดิมน่ะดีแล้ว” มือใหญ่ตักข้าวทำท่าจะกิน หากทว่าคนตัวเล็กกลับอ้าปากแล้วดึงมือใหญ่ไปงับกินเสียเอง พูดเสียงอู้อี้เพราะข้าวเต็มปากว่า “พี่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินผม มาไล่ผมกลับไปอีกแล้วเนี่ย ตัวเองเป็นแค่คนสวน รู้ไหมว่าผมเป็นใคร”

“แล้วเธอรู้ไหมฉันเป็นใคร…”

“พี่หนวด!” วิริยะไม่ได้เสียงดังแค่ร้องด้วยความตกใจ เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีใครเดินลงบันไดมา เด็กหนุ่มกระตุกดึงคนตัวโตกว่าไปอยู่หลังตู้เย็นตัวใหญ่ให้ไหล่กว้างพิงกับกำแพง ราวเป็นสัญชาติญาณที่ต้องช่วยเหลืออีกฝ่ายเพราะกลัวจะถูกเจ้านายจับได้แล้วไล่ออก หากรู้ว่าพ่อหน้ากอริลล่าคนนี้แอบย่องเข้ามาหาของกินถึงในบ้าน

นิ้วมือเรียวยาวปิดริมฝีปากคนตัวโตกว่าแล้วยกนิ้วชี้อีกข้างบอกให้เงียบเสียงลง เมื่ออีกฝ่ายพยายามดิ้นให้หลุด “เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก พี่อยากตกงานรึไง เงียบไปเลย เดี๋ยวผมออกไปดูเองว่าใครมา”

เชษฐ์ไชยอยากจะบ้า ยามคนตัวเล็กอมข้าวไว้เต็มปากแล้วถลึงตาราวตกใจอะไรอยู่ทำให้เขานึกถึงหนูแฮมสเตอร์จอมซนขึ้นมา ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจจนลืมเคี้ยวข้าวในปากจริง ๆ เห็นเช่นนั้นแล้วเขาก็จะยอมทำตามความประสงค์อีกฝ่ายให้แล้วกัน ครั้นพยักหน้ารับ วิริยะก็ลดมือที่กุมปากสากของเขาลง ไม่รู้ทำไม ความร้อนจากมือนุ่มยังไม่ยอมจางหายไปแม่ว่าเด็กคนนั้นเดินห่างออกไปแล้ว

“ใครอยู่ในครัว”

เสียงของน้องชายเขานี่ อัฐษไชย

“ผมเองครับ อาอัฐษ์” เสียงเด็กหนุ่มตอบสดใสอย่างเช่นทุกครั้ง

“วิวเองหรอกเหรอ มาทำอะไรในครัวตอนนี้ หืม ฉันก็คิดว่าเสียงผีบ้านผีเรือนที่ไหนคุยกัน”

“คุยอะไรกันครับ ไม่มี๊ สงสัยอาอัฐษ์ได้ยินเสียงละครที่ผมดูในโทรศัพท์มั้งครับ” เด็กหนุ่มทำตาโตโกหก รีบเคี้ยวข้าวในปากตุ้ย ๆ ไปด้วย เป็นภาพที่น่าดูสำหรับคนมองที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจนผุดยิ้มขึ้น

รู้เช่นนั้นเชษฐ์ไชยจึงแอบชะเง้อมองไปออกไป เห็นวิริยะยืนอยู่ขอบประตูพูดคุยกับอัฐษไชยซึ่งสวมชุดนอน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมที่ไม่ได้มัดปิดชุดไว้ แต่ที่น่าแปลกใจ เขาไม่ได้เห็นสายตาของน้องชายแบบนั้นมาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูยามมองอะไรสักอย่าง “แล้วสรุปลงมาทำอะไรกลางดึก มาดูละครเหรอ”

“อ๋อ…ผมลงมาหาอะไรกินน่ะครับ รู้สึกหิวน่ะ เลยดูละครไปพลาง แหะ ๆ” วิริยะเกาหัวแกรกตอบด้วยเสียงไม่เต็มนัก ก็เพราะว่ากำลังโกหกน่ะซี คนแอบฟังส่ายหน้าให้กับความเจ้าเล่ห์ของเด็กนี่ มาทำงานที่นี่ก็ดี พ่อคนจอมแถจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตขึ้นอีกเยอะแน่ ด้วยน้ำมือของนายเชษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้อย่างไรเล่า

“จริงซีนะ เมื่อตอนเย็นเห็นว่ากินนิดเดียว เอาแต่นั่งเงียบ” กล่าวพลางเอื้อมมือหยิบเศษข้าวบนแก้มเด็กตรงหน้าออก

คนฟังนิ่งไป ส่วนหนึ่งเพราะนึกตกใจที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น “อะ ครับ”

สองคนนี้มันอย่างไรแน่ เชษฐ์ไชยคิดทั้งมองทั้งสองอย่างไม่วางตา

“งั้นอาไปพักเถอะครับ ขับรถมาตั้งไกล เดี๋ยวผมกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปแล้ว”

“อยู่คนเดียวได้นะ”

“ได้ครับ สบายมาก” วิริยะยักไหล่ท่ามกลางรอยยิ้มเอ็นดูของผู้จับตามองอยู่ตรงหน้า ก่อนอัฐษไชยจะหมุนตัวกลับไปยังห้องพัก

ทั้งสองปล่อยให้อัฐษไชยเดินขึ้นไปด้านบน เงี่ยหูฟังจนรู้ว่าเข้าไปในห้องแล้ว เชษฐ์ไชยจึงได้ออกมายืนหยุดอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่มอย่างไม่เข้าใจสายตาน้องชายตัวเองยามมองเด็กวิวนี่ ครั้นเด็กหนุ่มหันกลับมาโดยไม่ทันรู้ว่าเขาอยู่ข้างหลัง ตัวเล็ก ๆ สะดุ้งโหยงเมื่อชนกับหน้าอกเขา และเป็นช่วงเวลาที่เชษฐ์ได้เห็นอย่างเต็มตาว่าทำไมน้องชายฝาแฝดจึงได้ใช้สายตาเช่นนั้นมองเด็กตรงหน้า

ในระยะแค่คืบที่ทั้งสองสบตากัน บอกสเน่ห์บางอย่างให้เขาได้รู้สึก แต่เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นวิริยะก็ถอยตัวออก “โอย ตกใจหมดเลยพี่ เดี๋ยวผมไปนอนก่อนนะ ส่วนพี่น่ะรีบกินแล้วก็รีบออกไปได้แล้ว แล้วก็ล็อกบ้านให้ดี ๆ ด้วยนะ รู้ไหม ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกเจ้านายพี่ เพราะงั้นแลกด้วยการให้พี่สอนผมนะ ไปล่ะ”

เชษฐ์ไชยไม่อาจหยุดคิดได้ ว่าน้องชายของเขากำลังตกหลุมรักหน้าใส ๆ ขนตายาว ๆ และเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กคนนี้

เขาไม่รู้ว่ารสนิยมของน้องชายเป็นแบบไหน อันที่จริง…เขาไม่รู้เลยต่างหากว่าอัษฐไชยชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ในแววตาของน้องชายร่วมท้องยามสบตากัน แม้จะใช้คำพูดที่ดี แต่ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาและห่างเหิน หรือเขา…รู้จักอัฐษไชยน้อยไปกันหนอ

ชายหนุ่มกอดอกคิด พลางมองตามร่างผอมโปร่งของวิริยะไปด้วยความสงสัย





-------------------------------------------------------------------------

มาเจอกันที่ไร่แล้ว พอทั้งสองได้เจอกัน จากหม่น ๆ จะมีแต่ความสดใสน่ารัก แล้วคุณนักอ่านทุกคนจะค่อย ๆ ตกหลุมรักอาเชษฐ์กับน้องวิวทีละนิด จนกลายเป็นโงหัวไม่ขึ้น อิอิอิอิ

หนูนาตั้งใจจะเขียนให้ทั้งสองมีความขุ่น เทา ในเส้นทางของตัวเอง แต่พอมาเจอกันทำให้ทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง มีทะเลาะ มีเถียง และเริ่มสนิทกัน และมองกันเป็นคนพิเศษในที่สุด เพราะฉะนั้นนักอ่านทุกคนได้ได้ฟินแบบยาว ๆ แน่นอนค่ะ


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #7 เมื่อ07-03-2018 16:14:11 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #8 เมื่อ07-03-2018 22:09:18 »

 :z2: :z2: :z2:
โหย อะไรจะไปสนิทกับพี่หนวดได้เร็วขนาดนั้น
อย่าลืมสิ ตัวเองเป็นคนทำให้รถคนอื่นเสียหายนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #9 เมื่อ08-03-2018 00:42:43 »

 นึกว่าจะไม่ลุกมาสู้คนซะแล้ว ไม่อย่างนั่รตะเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
« ตอบ #9 เมื่อ: 08-03-2018 00:42:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๔ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #10 เมื่อ08-03-2018 12:07:16 »

ติดตามค่ะ อยากเห็นวิวจัดการนังสองแม่ลูกมากๆ!!!

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #11 เมื่อ09-03-2018 14:23:57 »




ตอนที่ ๕

เข้าวันที่สองในการพักผ่อน ในเช้าวันถัดมาวิริยะยังไม่มีโอกาสได้พบนายเชษฐ์ เจ้าของไร่ที่นี่เลย เพราะได้ยินว่าเป็นคนห่วงงานและค่อนข้างมีนิสัยที่จู้จี้เรื่องความเรียบร้อยมากเป็นพิเศษ จึงมักออกไปควบคุมคนงานด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า ทุกคนต่างเตรียมตัวทักทายเจ้าบ้าน แต่แม่ต้อยบอกว่าเชษฐ์ไชยลุกไปไร่ตั้งแต่ตีสี่กว่า ๆ แล้ว สรุปว่าวันนี้จนถึงห้าโมงเย็น เด็ก ๆ ก็ยังไม่มีโอกาสทักทายเจ้าของบ้าน

แม้แต่อัฐษไชยยังไม่เข้าใจพี่ชายตนเองเลย

ช่วงสายหน่อย ๆ อัศวินก็พาเพื่อนทุกคนออกไปเที่ยวชมอาณาจักรรุ่งอรุณีด้วยการให้ลุงแสวง คนที่สวนขับรถเป็นสารถีให้ เพราะเกรงใจอาอัฐษ์ที่ขับรถมาส่งเมื่อวาน ไม่ไกลจากไร่รุ่งอรุณีเป็นอุทยานแห่งชาติ น้ำตกอยู่ในช่วงไหลเอื่อย ไม่มากทว่าพอมีน้ำให้เล่น เด็ก ๆ ผู้เคยอยู่แต่ในเมืองซึ่งรายล้อมไปด้วยป่าปูนซีเมนต์ต่างตื่นเต้นกันยกใหญ่ ยกกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บภาพความทรงจำกันถี่ระรัวไม่กลัวเมมโมรี่เต็ม

“เล่นน้ำกันเถอะ”

เพื่อนทุกคนชวนกัน ทว่าวิริยะออกตัว “กูไม่เล่นนะ ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“มึงเอาเสื้อผ้ามาเผื่อมั้ย” อัศวินถาม วิริยะคิดว่าเพื่อนต้องการยืมเพราะไม่ได้ติดมือมา ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับ จะหันไปหยิบเสื้อในกระเป๋าที่สะพายมา ร่างเด็กหนุ่มก็ลอยขึ้นด้วยแรงยกของเพื่อนตัวใหญ่

“เฮ้ย! ไอ้อิก!”

“ไม่เล่นเหรอ งั้นมึงเปียกคนแรกเลย!”

“อ๊ากกกกก!” ตัวบางลอยละลิ่วลงน้ำตูมใหญ่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนคนอื่นและลุงแสวง จากนั้น ทุกคนก็ถอดเสื้อผ้าเหลือเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ชั้นใน แล้วกระโดดลงตามวิริยะไป นอกเสียจากเสียงสายน้ำกระทบกับโขดหินแล้ว เสียงความสุขของพวกเขาในวันนั้นยังดังก้องไปทั่วอุทยาน

“เอ้า มองกล้องนะครับ” เสียงคนแก่ร้อง

“ถ่ายดี ๆ นะลุงแหวง”

ภาพเด็กหนุ่มวัยรุ่นเปียกปอนไปด้วยน้ำ เกาะกลุ่มหันหน้าเข้าหากล้อง ภาพและความรู้สึกนี้คงถูกเก็บไว้ในความทรงจำของทุกคน วิริยะมองตามอัศวินที่ยังคงสนุกสนานกับการปีนโขดหินแล้วกระโดดลงน้ำ เล่นกับเพื่อนคนอื่น ส่วนเขารู้สึกหนาว นั่งคลุมผ้าขนหนูตากแดดรออยู่ตรงนี้ ไม่นานทุกคนก็รู้สึกหิว ลุงแสวงสามีแม่ต้อยบอกว่าจะลงไปซื้ออาหารที่ร้านก่อนทางขึ้นน้ำตกให้เอง วิริยะจึงอาสาเดินไปช่วยคุณลุงถือ

กลับมาก็เห็นลูกหมาตกน้ำสี่ห้าตัวนั่งกอดเข่าคลุมด้วยผ้าขนหนูเรียงกันบนโขดหินก้อนใหญ่ วิริยะเห็นแล้วนึกขัน ถืออาหารเที่ยงไปแจกจ่ายให้ทุกคนจนครบถ้วน สนุกสนานกับการเล่นน้ำกันอีกสักพัก ทั้งหมดจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบริเวณจุดต้อนรับนักท่องเที่ยว แล้วไปชมธรรมชาติที่อื่นต่อ กว่าจะกลับมาถึงที่ไร่ก็บ่ายสามเศษ เด็กทุกคนลงความเห็นว่าจะแยกย้ายกันอาบน้ำ พักผ่อน แล้วค่อยลงมาเจอกันในช่วงมื้อค่ำ

รอขอบคุณเชษฐ์ไชยที่ให้ที่พักอย่างดี

หลังอาบน้ำล้างตัวเสร็จวิริยะเดินออกมาข้างนอก ชั้นบนมีห้องสำหรับรับรองแขกอยู่สามห้อง ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ปีกซ้ายของบ้านยกให้อัฐษไชยพักคนเดียวเพราะไม่อยากรบกวนและคิดว่าคุณอาคงต้องการความเป็นส่วนตัวกว่า ส่วนเขาพักอยู่กับอัศวิน อีกห้องถัดไปซึ่งใหญ่ที่สุดเป็นห้องพักของเจ้าของบ้าน และปีกซ้ายที่ใหญ่พอ ๆ กันนั้น ยกให้มาร์คและเพื่อนอีกสองคนนอนด้วยกัน

 วิริยะเหลือบมองประตูถัดไปจากห้องพักของตนเองอยู่ครู่หนึ่งอย่างใคร่ทราบ เพราะใจจริงเขาอยากรู้จักคุณเชษฐ์ไชย  ได้ข่าวว่าเป็นฝาแฝดกับอัฐษไชย แม้จะได้ยินเสียงลือเล่าอ้างว่านายใหญ่ของที่นี่ดุกว่าเสือ พูดจาขวานผ่าซาก ทำตัวไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่อย่างน้อย หากเขาจะต้องมาอยู่ที่นี่ถึงสองเดือน วิริยะควรทำความรู้จักกับว่าที่เจ้านายตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ

หรือที่พี่หนวดพูดเมื่อคืนมันจะจริง เขาจะอยู่ที่นี่ไม่รอดอย่างนั้นหรือ วิริยะสะบัดหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะครบสองเดือน ขอให้คำสัตย์ต่อตัวเองไว้ตรงนี้เลย

“ออกไปไหนคะน้องวิว อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลามื้อเย็นแล้ว อ้าว…” แม่ต้อยร้องครางเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านกรีดร้อง หลังเอ่ยทักวิริยะด้วยเสียงใจดี เด็กหนุ่มมองตามร่างเล็กของนางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปพูดสาย คงมีธุระ จึงไม่ได้ให้คำตอบ ตัดสินใจออกมาเดินเล่น “สวัสดีค่ะ ไร่รุ่งอรุณีค่ะ เอ้า…นายเชษฐ์ โทรมาทำไมกันคะ”

ลำขาเด็กหนุ่มชะงัก หันกลับไปมองด้วยความใคร่ทราบ

“จะไม่มาทานข้าวเย็นที่บ้าน จะทานกับคนงานในไร่ เอ…แต่ว่านายเชษฐ์ไม่ได้มารับแขกเลยนะคะ วันนี้เข้ามาทานที่บ้านสักหน่อยไม่ได้เลยหรือคะ คุณอัฐษ์ก็มาทั้งที” ต้อยพูดเสียงอ่อนเชิงขอร้อง แต่ใบหน้ายามนางรับฟังคนในสายตอบเป็นอย่างดีว่า ไม่ว่าอย่างไรนายเชษฐ์คนนั้นก็จะไม่เข้ามา “ก็ได้ค่ะ ไว้เป็นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน แล้วนายเชษฐ์จะกลับเข้ามา…ฮัลโหล นายเชษฐ์คะ นายเชษฐ์ โถ…พ่อคุณของอีต้อย!”

นางทอดถอนใจ หันมาเห็นวิริยะที่ตั้งใจฟังแล้วรีบเดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มพยายามทำท่าให้เป็นปกติที่สุด ไม่แสดงให้คนตรงหน้ารู้ทันว่าเขากำลังอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นอยู่ นางส่งยิ้มให้แล้วพูดว่า “เดินลงเนินไปเป็นไร่ส้ม น้องวิวลองไปดูลาดเลาก่อนก็ได้นะคะว่าเขาทำงานกันยังไงบ้าง ส่วนคอกม้าอยู่ไม่ไกลจากไร่ส้มเท่าไร มีลูกม้าอยู่ด้วย ถ้าสนใจก็ลองไปให้อาหารมันได้นะคะ”

“ครับ” วิริยะขานตอบเสียงสดใส “ขอบคุณมากครับป้าต้อย”

“ไม่เป็นไร ยินดีมากเลยค่ะ”

เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังคอกม้า สองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวขจี ไม่รก ส่วนใหญ่เป็นลานกว้างและจัดแต่งต้นไม้ต้นใหญ่ไว้เป็นจุด ๆ ไป เหลือบไปเห็นหลังคาคอกม้าลิบ ๆ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไป  เห็นกองฟางเรียงเป็นบล็อกใหญ่ ๆ จนสูง ม้าหลายตัวต่างสีต่างขนาดเรียงอยู่แต่ละคอก หากทว่าตาใสกวาดไปเจอะอะไรเข้า

เขาชะงักเท้ากึก เมื่อเห็นคนตัวโตคนหนึ่งสวมเสื้อแขนยาวลายตาราง กางเกงสีน้ำตาลเข้ม ผมมัดรวบไว้ข้างหลังและสวมหมวกทรงคาวบอยทับกำลังง่วนอยู่กับการฉีดน้ำใส่ม้าตัวสีดำทะมึนใหญ่ตัวหนึ่งอยู่หน้าคอก อันที่จริงม้าตัวนี้ก็คล้ายอีตานี่เหมือนกัน

“พี่!”

“เชี่ย!”

“โอ๊ย!” คนถูกทักหันขวับมาหาพร้อมกับน้ำในสายยางพุ่งเข้ามาเต็มหน้าวิริยะ เด็กหนุ่มยกมือลูบหน้าสำลักกลืนน้ำไปหลายอึก อีกฝ่ายยังไม่มีความสงสารเขาเลยแม้แต่น้อย ทำเสียงหงุดหงิดต่อว่าเขาเสียยกใหญ่ “ไอ้เด็กนี่! ทำไมชอบมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอยู่เรื่อยเลยวะ ดีนะที่ไม่เผลอเตะแถมไปอีกที ตกใจหมด”

“เปียกหมดเลย!”

“เออ! สมควร คราวหลังจะถีบเข้าให้ ชอบมาแบบนี้ดีนัก” ไม่พูดเปล่า ลำขายาว ๆ ยกเตรียมจะทำร้ายวิริยะแล้ว เด็กหนุ่มหน้าเหวอแล้วถอยกรูดออกห่างมองคนทำหน้ายักษ์ใส่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เอาจริงอย่างที่พูด เขาก็ควรทำท่ากลัวเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจเสียบ้าง คิดแล้ววิริยะก็สะบัดเช็ดเสื้อเปียกของตัวเองไปพลาง เดินเข้าไปดูพ่อกอริลล่าตัวใหญ่ทำงานไปพลาง

“ทำอะไรอยู่น่ะ ให้ผมช่วยไหม จะได้เสร็จไว ๆ”

ตาคมเห็นว่าเด็กตรงหน้าขยับมาใกล้ ทำท่าจะหยิบแปรง “ไม่ต้อง ทำเสร็จแล้ว ถอยไปสิบก้าวเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ!” กล่าวจบวิริยะก็ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ถอยกรูดออกตามจำนวนเป๊ะ ทำเอาคนออกคำสั่งทีเล่นทีจริงรู้สึกถึงความสนุกขึ้นมาทันใด ประกอบกับหน้าใส ๆ เด๋อ ๆ ยามรับฟังนั้น บอกได้เลยว่าอัฐษไชยจะมองด้วยสายตาเช่นนั้นก็ไม่แปลก “ยืนอยู่นั่นแหละ ให้ห่างม้าไว้เลย”

“ทำไมล่ะพี่หนวด ผมแค่อยากช่วย”

“ช่วยทำให้ลำบากน่ะซี รออยู่นี่แหละ พี่…จะเอาม้าไปผูก”

หากเด็กคนนี้เป็นเพื่อนของอัศวิน เขาควรแทนตัวเองว่าอาอย่างที่น้องชายพูดหรือไม่ หากทว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้คำตอบให้ตัวเองในตอนนั้น เมื่อเหลือบเห็นว่าเสื้อที่วิริยะสวมเป็นสีขาว และเมื่อโดนน้ำก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนหมดแล้ว ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย หันไปทิศอื่นเมื่อรู้สึกคอแห้งผากอย่างไม่เข้าใจตนเองว่าเป็นเพราะอะไร กว่าจะเรียกสติตนเองได้ ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อนอกลายตารางของตัวเองโยนไปแปะหน้าอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว

“อะไร ให้เอามาเช็ดตัวเหรอ” คนด้านหลังร้องตาม ขณะที่เชษฐ์ไชยเลือกจูงม้าเดินหนีเข้ามาที่คอก

“จะทำอะไรก็ทำไปสิ”

“งั้นใส่นะ”

“ซักมาคืนด้วย”

“ขอบคุณครับ”

เชษฐ์ไชยอยากเขกมะเหงกตัวเองที่ทำเช่นนั้นแล้วมาตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อยากยอมรับว่ากำลังช่วยอีกฝ่าย ครั้นผูกม้าในคอกแล้วเสร็จชายหนุ่มก็ทอดถอนใจคิดว่าจะเดินกลับไปด้วยหน้าตาอย่างไรดี เพราะเกรงว่าเด็กวิวนั่นจะมองเขาแปลกไป เหตุใดเขาต้องทำดีกับผู้ชายด้วยกัน ทำอย่างกับหมอนั่นเป็นผู้หญิงที่ไม่สมควรปล่อยให้ใครเห็นรูปร่างภายใต้ร่มผ้าได้ จะพูดไป การปฏิบัติของอัฐษไชยก็แลดูทนุถนอมเด็กคนนี้เกินไปกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่แน่...วิริยะอาจเคยชินกับการถูกดูแลเช่นนี้แล้วก็ได้

ใช่แล้ว มันไม่มีอะไรพิเศษทั้งนั้นแหละ!

คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่เดิม ยังเห็นคนตัวเล็กผอมโปร่งยืนรออยู่ ทว่าบัดนี้สวมเสื้อของชายหนุ่มไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชษฐ์ไชยรู้สึกแปลก เมื่อเห็นภาพทับซ้อนของใครบางคนที่สวมชุดของเขายืนส่งยิ้มให้ เธอผมยาวสลวย ยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน แล้วโบกมือเรียกให้เขารีบเดินไปหา

“กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นปอดบวมตายห่า”

“อ้อ จริงสิ”

เด็กหนุ่มตรงหน้าราวนึกขึ้นมาได้ จึงปลดกระดุมเสื้อแขนยาวของเชษฐ์ไชย แล้วก็ถอดเสื้อสีขาวด้านในออก เห็นดังนั้นหน้าของหนุ่มโสดมานานกว่าห้าปีก็ร้อนผ่าวขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผิวของวิริยะละเอียดเนียนสมอายุเด็กวัยรุ่น บนคอมีสร้อยพระเล็ก ๆ ห้อยอยู่ ที่แปลกคงเป็นเพราะสีผิวของเด็กนี่มันขาวเกินไปจนเหมือนคนป่วย แลไม่น่ามองเท่าไรนัก ไม่ซี…จะน่ามองรึไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา “ใส่แค่เสื้อของพี่ดีกว่า”

 นายใหญ่ของไร่รู้สึกว่าพักนี้ตัวเองมีอาการแปลก ๆ ไป หรือทำงานมากจนป่วย หลังจากแขกกลับไปเขาคงต้องหาเวลาพักบ้างเสียแล้วกระมัง

“พี่ทำที่นี่นานยัง คราวที่แล้วที่เจอกัน พี่ไปร่วมงานคุณไกรเลิศเฉย ๆ เหรอ” วิริยะถามขณะสวมเสื้อ

“ตั้งแต่สิบหก”

“ก็ยี่สิบปีเลยงั้นสิ”

“ยังไม่แก่ขนาดนั้น เดี๋ยวตบลูกตาหลุด” คนตอบทำเสียงหงุดหงิดใส่ ทำเอาวิริยะหน้าหงอ แต่ก็เท่านั้นเอง เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายตั้งใจเอ็ดหรือดุอะไรจึงไม่รู้สึกว่าน่ากลัว ออกจะตลกและสนุกเสียด้วยซ้ำที่กวนอีกฝ่ายให้ขุ่นได้

“รู้ได้ไงว่าตัวเองไม่แก่ ดูหน้าสิ สามสิบห้าอัพแล้วใช่ไหมเรา”

“เพื่อนเล่นเหรอวิว!”

“อุ๊ เรียกชื่อผมด้วยแหละ นึกว่าลืมไปแล้วเสียอีก”

วิริยะหัวเราะคิกคัก เดินตามหลังคนตัวใหญ่ที่บัดนี้สวมเพียงเสื้อกล้ามเดินไปยังต้นไม้ต้นใหญ่แถวลานกว้าง บริเวณนั้นน่าจะเป็นที่สำหรับขี่ม้าเดินเล่นชมไร่ ร่มรื่นและลมพัดผ่านตลอด ครั้นเห็นคนหน้าหนวดนั่งลงเอนหลังพิงความหนักแน่นของไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นหลัก วิริยะก็รีบทำตาม ทรุดลงไปพิงอยู่ข้างกันแล้วยิ้มให้แหย ๆ “ไม่เอาสิ อย่ามองแบบนั้น ผมก็แค่อยากมีเพื่อนช่วงทำงานที่นี่ แล้วพี่ก็เป็นคนเดียวที่ผมรู้จัก”

เชษฐ์ไชยถอนใจ “ไม่รู้จักฉันมันดีกว่าอีก”

“อะไรนะพี่”

“แล้วทำไมต้องอยากกระเสือกกระสนมาทำงานที่นี่ด้วยวะ แค่ตีระนาดตามงานศพก็พอแล้วไหม” คนถามผุดขยับมานั่งหลังตรงถามอย่างเอาจริงเอาจัง สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรำคาญและระอาที่ถูกไล่ตามเต็มที

“พี่ไม่เข้าใจผมหรอก ผมต้องใช้เงิน ไหนจะมีหนี้ที่ผมติดพี่อีก ผมต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่อีก…” วิริยะอยากคุยกับพ่อใจจะขาด เขาดีใจที่ธเนศบอกว่าจะโทรมา

“นี่นะเหตุผล โคตรไร้สาระเลย แค่โทรศัพท์ใหม่ขอพ่อแม่ซื้อให้ก็หมดเรื่องแล้ว”

“พี่ไม่เข้าใจ!” เมื่อได้ยินวิริยะเสียงดังพร้อมสีหน้าเปลี่ยนไปเชษฐ์ไชยก็ชะงัก อันที่จริงเขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เศร้าเลย แม้ท่าทางเด็กข้างกายจะทำราวไม่ได้เป็นอะไร แต่เมื่อกล่าวถึงครอบครัวขึ้นมา ในแววตาของวิริยะมีความเศร้าฉายเด่นจนไม่อาจปิดเขามิด

“ทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นพวกเด็กกำพร้า พ่อแม่ไม่มี ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง อย่ามาใช้มุกเด็กอนาถากับฉันนะ มันไม่ได้ผลหรอก แล้วเลิกซะนิสัยแถแบบที่ทำกับไอ้อั…” ลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงไอ้หนวด คนสวนของไร่ หากเรียกชื่อน้องชายด้วยสรรพนามเช่นนั้น เด็กนี่ต้องหาเรื่องพูดแกล้งเขาเป็นแน่ “ช่างมันเถอะ ฉันรู้แค่ว่าเธอไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้นานเกินอาทิตย์หรอก”

วิริยะหัวเราะดังเฮอะ “พี่นี่ นอกจากบุกไปกินข้าวบ้านเจ้านายแล้วก็ดีแค่พูดสินะ คงอิจฉาผมละซี๊ที่มาทีหลังแถมเป็นเพื่อนของไอ้อิกอีก ผมเชื่อนะ ว่าเรื่องนี้จะทำให้ผมได้เจองานที่สบายกว่าคนตัวถึก ๆ อย่างพี่”

“ฝันอยู่เหรอ ทำไมฉันต้องอิจฉาเธอมิทราบฮะ” มือใหญ่ทำท่าจะเขกมะเหงกอย่างสุดทน เห็นเพียงรอยยิ้มพราวของคนแกล้ง ขณะที่อีกฝ่ายเอนตัวหลบและปัดมือเชษฐ์ไชยออกราวลูกแมวกำลังเล่นของเล่น “ตัดสินใจกลับไปตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ ที่นี่ไม่ใช่ที่คนเคยอยู่สบายอย่างเธออยู่ได้”

คนฟังยกยิ้ม หันสบใบหน้าอันปกคลุมไปด้วยหนวดเคราที่มองออกไปยังทุ่งหญ้าเบื้องหน้า หนำซ้ำวันนี้ก็อากาศดี ท้องฟ้าสดใสกว่าทุกทีที่วิริยะเคยมอง “พูดแบบนี้ เป็นห่วงผมอยู่งั้นสิ”

“เข้าข้างตัวเองไปรึเปล่า ฉันจะห่วงเธอทำไม” คนย้อนเบิกตาโต

“ก็กลัวไม่ได้เงินคืนไง ทำไม คิดอะไรอยู่เหรอ”

ไอ้เด็กนี่! เชษฐ์ไชยล่ะเบื่อกับลูกแถและนิสัยต่อปากต่อคำของมันเหลือเกิน ประสมกับรอยยิ้มกวนบนใบหน้ายามสบตาแล้วนั้น จากที่ควรนึกเคือง ดันกลายเป็นว่าทำไม่ลงเสียได้ ชายหนุ่มไม่เข้าใจความคิดเบื้องลึกของตนเองเลยสิพับผ่า!

เชษฐ์ไชยทอดถอนใจ ปล่อยให้ความเงียบดำเนินมาหาพวกเขาบ้าง ตั้งแต่ที่ได้เจอกันรู้สึกว่าจะมีแต่ชวนทะเลาะและถกเถียงเสียส่วนใหญ่ ใจชายหนุ่มกระตุกวูบเมื่อบ่ากว้างรู้สึกหนักราวแบกอะไรไว้ ตาคมหลุบลงไปเห็นศีรษะเล็กและแก้มแดงปลั่งที่แนบอยู่ เปลือกตาของคนช่างเถียงปิดสนิทจนเห็นขนตาเรียงกันสลวย จากที่มองไม่ชัดเมื่อคืน เชษฐ์ไชยเห็นสเน่ห์ของวิริยะแล้ว

และเชื่อว่าน้องชายของเขาก็เห็นมันเช่นกัน

มือใหญ่ขยับเคลื่อนไปเชยคางประคองให้ใบหน้าใสเงยขึ้น เห็นชัดจนเขาสามารถจดจำรายละเอียดได้ ชัดจนสเน่ห์ที่ว่านั้น ได้ดึงดูดใบหน้าคมคายให้เคลื่อนขยับเข้าไปใกล้ ใกล้จนเว้นไว้ด้วยระยะของลมหายใจเท่านั้น…

“ตื่นโว้ย! มาหลับมานอนอะไรเอาป่านนี้!” แล้วร้องปลุกคนหลับอยู่ข้างหูจนสะดุ้งตื่น เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้ผล คนตัวยักษ์หัวเราะอย่างสะอกสะใจ ไม่สนหน้าบูดหน้างอของคนเพิ่งตื่น

“โถ่พี่ ก็คนไปเที่ยวมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะปล่อยให้นอนต่อสักหน่อย” วิริยะบ่น

“แค่ไปเที่ยวยังบ่นว่าเหนื่อย ทำงานที่นี่หนักกว่าสิบเท่านะจะบอกให้” ไม่บอกเปล่า นิ้วชี้เรียวจิ้มหน้าผากสั่งสอนอยู่สองสามที วิริยะเพียงนั่งโงนเงนพิงต้นไม้ต้นใหญ่ไม่สนคำพูดของคนตัวใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ได้จะนอนต่อ มองแผ่นหลังกว้างของคนนั่งข้าง ซึ่งอีกฝ่ายยังคงมองทอดออกไปยังวิวต่อหน้าไปเรื่อย

“พี่หนวด”

คนฟังหันมาสบตา แล้วเบี่ยงกลับไปอย่างเดิม “อะไร”

“พี่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าบ้างไหม”

คำที่เด็กข้างกายเปรยขึ้นนั้น จี้ใจดำของเชษฐ์ไชยจนรู้สึกเจ็บ ชายหนุ่มหันไปมองว่าคนถามกำลังทำสีหน้าอย่างไร เห็นเพียงมุมข้างของอีกฝ่าย ยามเอื้อมแขนผอมเล็กขยับไปเล่นใบไม้ใบหญ้าแถวนั้น อากาศก็เย็นร่มรื่น ทว่าท่าทางอีกฝ่ายดูเหมือนร้อน เหงื่ออาบลงจากไรผมมาถึงแก้มขาวที่เคยซีด บัดนี้ระเรื่อแดงมีเลือดฝาดเพราะความร้อนแล้ว เชษฐ์ไชยพยายามปรับสีหน้าของตัวเองเกรงว่าอีกฝ่ายจะเงยขึ้นมาเห็น เห็นว่าคำถามนี้มีผลกระทบต่อใจเขา

หรือที่พยายามดิ้นรนมาถึงที่นี่ เพราะอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับเขา

ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานไปทุกวัน เพื่อให้คนอื่นยอมรับและมองเห็นค่า

แล้วจะได้เป็นที่ต้องการ ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป…



--๕๐--



--------------------------------------------------------------

เอาห้าสิบเปอร์เซ็นมาฝากก่อน ส่วนอีกห้าสิบที่เหลือจะปั่นมาให้อ่านอีกเรื่อย ๆ จ้า

ถ้าชอบก็คอมเม้นกันด้วยนะคะ เดี๋ยวตั้งแต่ห้าสิบเปอร์เซ็นหลังนี้ เนื้อหาจะเริ้มเข้มขึ้น มีปมขึ้น วิวจะตกเป็นของอาเชษฐ์แล้วมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนขึ้น ส่วนวิวจะได้รู้ว่าพี่หนวดเป็นอาเชษฐ์เมื่อไรก็คงเป็นตอนหน้าค่ะ

นับถอยหลังตอนที่วิวเรียกอาเชษฐ์ ในขณะที่อาเชษฐ์ยังแทนตัวเองว่าพี่ คิดแล้วมันฟินน่าดู

จะเข้าสู้โหมดวัวแก่กินหญ้าอ่อนในไม่ช้านี้แล้ว แม้แต่คนเขียนยังตื่นเต้นเลยค่ะ

ชอบก็แชร์ คอมเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะคะ ได้อ่านจนจบแน่นอนค่ะ

ส่วนเรื่องลบตอนออกเอาไว้ที่หลังนะคะ เจอกันอีกทีตอนหน้าค่า!!

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
Re: **{5.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #12 เมื่อ09-03-2018 14:28:01 »


(ต่อ)

“พี่หนวด”

คนฟังหันมาสบตา แล้วเบี่ยงกลับไปอย่างเดิม “อะไร”

“พี่เคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าบ้างไหม”

คำที่เด็กข้างกายเปรยขึ้นนั้น จี้ใจดำของเชษฐ์ไชยจนรู้สึกเจ็บ ชายหนุ่มหันไปมองว่าคนถามกำลังทำสีหน้าอย่างไร เห็นเพียงมุมข้างของอีกฝ่าย ยามเอื้อมแขนผอมเล็กขยับไปเล่นใบไม้ใบหญ้าแถวนั้น อากาศก็เย็นร่มรื่น ทว่าท่าทางอีกฝ่ายดูเหมือนไม่เย็นกับเขาด้วย เหงื่ออาบลงจากไรผมมาถึงแก้มขาวที่เคยซีด บัดนี้ระเรื่อแดงมีเลือดฝาดเพราะความร้อนแล้ว เชษฐ์ไชยพยายามปรับสีหน้าของตัวเองเกรงว่าอีกฝ่ายจะเงยขึ้นมาเห็น เห็นว่าคำถามนี้มีผลกระทบต่อใจเขา

หรือที่พยายามดิ้นรนมาถึงที่นี่ เพราะอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกับเขา

ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานไปทุกวัน เพื่อให้คนอื่นยอมรับและมองเห็นค่า

แล้วจะได้เป็นที่ต้องการ ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป…

 “ถามทำไม” ชายหนุ่มย้อน

วิริยะทอดถอนใจ “ผมพูดจริง ๆ นะพี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าในสายตาคนอื่นเลย ไม่รู้เป็นตั้งแต่เมื่อไร มารู้อีกทีสมองก็คิดแต่เรื่องงาน คิดแต่จะดิ้นรนหาเงินให้ได้เยอะ ๆ คิดแค่ว่าถ้าผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ ได้ทำงาน ตัวผมจะมีค่าขึ้นมาบ้าง แล้ว…เขาจะได้มองผมดี ๆ สักที”

ความรู้สึกของเชษฐ์ไชย ดูเหมือนจะมีคนข้าใจหัวอกแล้ว

“ไม่มีใครตัดสินคนอื่นด้วยเรื่องแค่นี้หรอก มีแต่พวกใจแคบเท่านั้นแหละ” เชษฐ์ไชยรู้สึกเข้าใจคนข้างกายขึ้นมาถนัดตา เพราะเขาเองก็มีสถานะไม่ต่างกัน ที่เขาตากแดดลงทุนลงแรงทั้งหมดก็เพื่อให้ใครเห็นค่าทั้งนั้น

วิริยะหัวเราะหึในลำคอ “งั้นเหรอ”

“เขามีความหมายกับความรู้สึกเธอมากขนาดนั้นเลยรึไง”

วิริยะยักไหล่ “ก็ไม่เชิงหรอก ก็แค่…พวกปากหอยปากปูที่ชอบว่าคนอื่นน่ะ”

“พูดจาอย่างกับผู้หญิง”

“เอ้า ก็ไม่รู้จะเอาไปเปรียบกับอะไรนี่นา แล้วพี่ล่ะ พี่ไม่เห็นตอบผมเลย” คนอายุน้อยกว่าสะกิดด้วยสีหน้าทะเล้น

“เรื่องอะไรจะบอก ที่มาถามกันเนี่ยเพราะว่าอยากระบายไม่ใช่รึไง ก็ระบายมาสิ” เจ้าของไหล่กว้างพาตนเองเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ขยับหมวกลงมาปิดหน้าพร้อมที่จะงีบพักสายตาทั้งที่เพิ่งบอกเด็กหนุ่มว่ากำลังรับฟังอยู่ เห็นดังนั้นวิริยะเองก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด

“อันที่จริงผมก็รู้สึกกังวลตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้วว่าหลังจากนี้จะเป็นไงต่อ พี่รู้ไหม ถึงจะเห็นผมไม่ค่อยทำหน้าเศร้าหรืออะไรให้ใครเห็น แต่ข้างในผมมันโคตรพัง โคตรรวนเลย ทั้งที่ผมพยายามทำดีกับพวกเขามาตลอดแท้ ๆ แต่พวกเขาไม่เคยปฏิบัติกับผมดีเลยสักครั้ง ผมเหนื่อยแต่ไม่สามารถหยุดได้ ถ้าผมอ่อนแอเมื่อไร พวกเขาก็จะเหยียบผมซ้ำ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมดิ้นรนสู้ เป็นเหตุผลที่ผมต้องมาไกลถึงที่นี่เพื่อทำงาน ผมถึงอยากเป็นเพื่อนกับพี่ไง พี่หนวด…”

“อืม อืม…” คนนั่งข้างครางในลำคอ

“พ่อของผม เขาเป็นคนที่เก่งมากเลย ตลอดระยะเวลาที่ให้ผมอยู่กับแม่เลี้ยงก็คอยถามถึงผมตลอด โดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำอะไรกับผมบ้าง ส่วนผม ก็เอาแต่เป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นจนลืมความรู้สึกของตัวเอง มารู้ตัวอีกทีใจผมก็พังไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเหลือตัวคนเดียวแล้ว ที่พึ่งหนึ่งเดียวของผมก็กำลังจะไปจากที่นี่ มัน…กำลังจะไปเมืองนอก ผมโคตรไม่รู้เลยว่าจะทำไงดี”

เด็กหนุ่มหันมองคนข้างกายที่พยักหน้าบอกว่ากำลังรับฟัง แล้วหันมาทอดถอนใจเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนขึ้นรถมาอีกครั้ง “แล้วผมนี่ก็โคตรบ้าเลย กลับไปต้องเจอเรื่องแย่ ๆ ที่สองแม่ลูกนั่นหามาใส่อีกแน่ ไม่น่าหลุดโมโหใส่เลย มองเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่โต้ตอบอย่างทุกทีเรื่องก็จบแล้ว”

น้ำเสียงเด็กหนุ่มมีน้ำโห บ่นต่ออีกว่า “แต่พวกนั้นก็ทำเกินไปจริง ๆ จะโขกจะสับอะไรผมไม่เคยว่า ไม่เคยตอบโต้ ผมลำบากทำงานตัวเป็นเกลียวหาเงินให้ตัวเองได้เรียนน่ะยอมได้ แต่พวกนั้นไม่ควรพูดถึงแม่ของผมเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ควรก้าวก่ายสมบัติหรือสิ่งของไหน ๆ ที่พ่อกับแม่ผมช่วยกันหามา พี่เข้าใจผมใช่ไหมพี่หนวด แม่ใครใครก็รัก” วิริยะรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดบนใบหน้า

“ผมรู้ว่าผมผิดที่ระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แต่ผมไม่ผิดที่จะปกป้องแม่ตัวเอง ใช่ไหม” คนตัวเล็กกว่าหันไปหาเชษฐ์ไชย หวังว่าพี่หน้ากอริลล่าจะตอบกลับมาบ้าง หากทว่าไร้วี่แววคนพูดมากอย่างเคย อีกซ้ำลมหายใจของอีกฝ่ายยังสม่ำเสมอราวกับว่าตอนนี้ไม่ได้ยินเขาพูดอีกต่อไปแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นวิริยะโมโหยิ่งกว่าตอนถูกว่าแม่อีก

“ไอ้พี่หนวด!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง ดึงหมวกที่ปิดหน้าอีกฝ่ายออก

“อะไร เสียงดังทำไม!”

“นี่พี่หลับไปตอนไหน ไอ้ผมก็อุตส่าห์ระบายความในใจด้วย สรุปพี่ปล่อยให้ผมพูดกับกองขี้ม้าตรงนั้นเหรอ” นิ้วชี้เรียวพุ่งไปตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนปัดก้น ฝุ่นผงปลิวกระจายเข้าเต็มหน้าหนวดของเชษฐ์ไชยจนต้องยืนบ้าง อารมณ์เสียขั้นสุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“ทำดี ๆ สิวะ เห็นไหมฝุ่นมันเข้าตากูเนี่ย”

วิริยะยังไม่กลัว “พูดกับเพื่อนเจ้านายแบบนี้ได้ยังไง พูดไม่เพราะเลยว่ะพี่”

“ใครเป็นเจ้านาย มานี่ก็เป็นแค่คนงานล่ะว้า”

“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็น แต่ถึงเป็นผมก็เหนือกว่าพี่อยู่ดี คอยดูเถอะ ถ้าผมได้เจออาเชษฐ์เมื่อไร ลูกน้องปลายแถวอย่างพี่โดนจัดหนักแน่” คนพูดทำหน้าเหนือกว่าและถือวิสาสะพูดจาราวสนิทสนมกับเชษฐ์ไชยเพื่อข่มเขา ใจหนึ่งก็นึกโมโหในความจองหองพองขน ใจหนึ่งก็นึกเอ็นดูในความน่ารักนี้อย่างเสียมิได้ เชษฐ์ไชยพูดไม่ออกไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เพราะชื่ออาเชษฐ์ที่อีกฝ่ายกำลังเรียกก็เป็นตัวเขา

“นั่นไง พอผมพูดถึงอาเชษฐ์แล้วหน้าซีดเลย” คนตรงหน้าล้ออย่างไม่เคยรู้อะไรเลย

ชายหนุ่มอึกอัก เพราะไม่อยากบอกความจริงตอนนี้ เขายังสนุกที่ได้เห็นสีหน้าของวิริยะตอนโมเมพูด “กลับไปเลยไป หรือจะไปบ่นให้กองขี้ม้าตรงนั้นฟังต่อก็ไป พี่จะไปหาข้าวกินแล้ว”

“ว่าแต่พี่เคยเห็นอาเชษฐ์ปะ หล่อมั้ย” วิริยะทำหน้าอยากรู้

“ก็หล่อแหละ ใคร ๆ ก็พูดว่านายเชษฐ์แห่งไร่อรุณีหล่อทั้งนั้น พอ ๆ กันกับณเดชน์ ประมาณนั้น” คนพูดยักไหล่ ยิ่งเห็นสีหน้าตื่นเต้นของวิริยะที่บอกว่าเชื่ออย่างสนิทใจแล้วยิ่งรู้สึกสนุก

“แล้วไงอีก เท่มั้ย ที่เขาว่าอาเชษฐ์ดุเหมือนหมานี่จริงรึเปล่า”

“เฮ้ย ต้องดุเหมือนเสือสิ! คนบ้าอะไรดุเหมือนหมา”

“แล้วพี่จะทำหน้าโกรธผมทำไม ผมไม่ได้ว่าพี่สักหน่อย”

เชษฐ์ไชยอยากจะตะโกนใส่หน้าเด็กคนนี้เหลือเกินว่าคนที่ตัวเองพูดถึงคือเขาเอง แต่ติดตรงที่มันพูดไม่ได้ มือใหญ่ดันให้วิริยะเดินหลบไป หากทว่าคนตัวเล็กไม่ทันระวัง สะดุดล้มไปตะครุบเอากองขี้ม้าตรงหน้า

“อี๋!” เด็กหนุ่มมองที่มือตัวเอง สะบัดมือเอาความสกปรกออกท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกอริลล่าตัวใหญ่ด้านหลัง ตั้งแต่พบกัน วิริยะไม่เคยเห็นคนตรงหน้าหัวเราะจนตัวขดตัวงอเช่นนี้มาก่อน “ขำอะไรนักหนา นี่แหนะ!” พูดจบก็สะบัดฝ่ามือไปตรงหน้า ขี้ม้าปลิวว่อนไปแปะเต็มหนวดจนคนหัวเราะถึงกับชะงัก ดีที่ไม่เข้าปากที่กำลังอ้าด้วย

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” วิริยะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย แต่จากตกใจ เปลี่ยนมาหน้าเขียวหน้าดำราวกับยักษ์ไม่ได้ดังใจ เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นเตรียมวิ่งเมื่อเห็นท่าไม่ดี ตัวใหญ่หนาก้าวดุ่ม ๆ มาใกล้ด้วยสีหน้านั้น

“ไอ้เด็กเปรต!”

“ก็พี่ทำผมก่อน พี่ผลักผมก่อน” ทั้งสองเถียงกันลั่นคอกม้า ตัวเล็ก ๆ ของวิริยะวิ่งไปหลบหลังต้นไม้พร้อมกับคนอายุมากกว่าที่วิ่งไล่หวังจับมาลงโทษ

“มึงเป็นใคร กล้ามาทำกับกูเป็นนี้หา วิว มานี่เลย บอกให้มาไง”

“ใครไปก็โง่แล้วพี่ ก็ผมไม่ผิดอะ พี่ผลักผมก่อน” วิริยะหลบซ้ายหลบขวา

“ขาอ่อนเองช่วยไม่ได้ ก็บอกให้มานี่ไง ถ้าจับได้โดนดีแน่” เชษฐ์ไชยกระโดดตะตรุบ วิริยะจึงคิดได้ว่าควรทำอย่างไร เมื่อเหลือบไปเห็นสายยางที่คนหน้าหนวดใช้อาบน้ำให้ม้าเมื่อครู่ที่ผ่าน เด็กหนุ่มหลบไปเปิดก๊อกแล้วฉีดใส่หน้าที่เปื้อนด้วยขี้ม้าทันที พร้อมกับที่ลำขายาวชะงักกึกอย่างไม่อยากเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“ฉันหมดความอดทนแล้วนะวิว!”

“เอ้า ผมก็ล้างออกให้พี่แล้วไง”

“ไอ้วิว!” ร่างใหญ่ปอนเปียกไปด้วยน้ำแผดเสียง ส่วนเจ้าของยืนหอบฟึดฟัดราวกระทิงพร้อมที่จะพุ่งชนเต็มที่ เห็นดังนั้นวิริยะรู้สึกว่าภัยกำลังมาเยือน จึงปกป้องตัวเองด้วยการเปิดน้ำแรงสุดขีด ฉีดเข้าเต็มเบ้าหน้าของกอริลล่าที่พุ่งตรงหวังจะเล่นงานเด็กหนุ่ม “อ๊ากกกกก!”

คนบ้าตรงหน้าน่ากลัวกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีตัวใหญ่ ๆ ก็กระโจนผ่านสายน้ำเข้ามาราวกับเสือร้ายตัวโต ทำเอาวิริยะเสียหลักล้มไปยังพื้นทั้งยืน หากทว่าเพราะทุ่มมาเต็มกำลัง เชษฐ์ไชยก็ล้มตามลงมาด้วย ช่วงเวลาโกลาหลที่คนล้มกำลังร้องเพราะตกใจ สันจมูกของชายหนุ่มก็กระแทกเข้าไปที่ฟันของอีกฝ่าย จากที่ต้องการเล่นงานให้เด็กคนนี้เจ็บแสบ กลับเป็นเชษฐ์ไชยเสียเองที่ถูกฟันจอบเฉาะหน้าเข้าให้!

“โอ๊ยยยย!”

“อั่ก เจ็บ ๆ ๆ ๆ” เชษฐ์ไชยลูบจมูกตัวเองป้อย ๆ ไม่สนร่างเล็กที่โดนเขานอนทับ

“ฟันหักรึเปล่าวะเนี่ย”

“โอยยยย ดั้งฉัน!” คนอายุมากกว่าบ่นเสียงดังแล้วกุลีกุจอลุกนั่ง บนตัวทั้งสองเปื้อนไปด้วยเศษดินและโคลนอย่างช่วยไม่ได้ และฝ่ายวิริยะได้สติก่อนเพราะไม่ได้เจ็บตัว เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าเมื่อเหลือบเห็นเลือดไหลซิบบนสันจมูกของคนด้านบน มือเล็ก ๆ จึงเอื้อมไปปาดออกปกปิดความผิดของตัวเอง โดยที่ไม่รู้เลยว่าปลายนิ้วร้อน ๆ นี่ทำให้หัวใจที่ปิดผนึกสั่นไหว

เชษฐ์ไชยตกใจที่จู่ ๆ ถูกปฏิบัติเช่นนี้ ชายหนุ่มผละมองดวงตากลมใสเบื้องหน้าอย่างตกใจ

“ทำอะไร”

“ปละ เปล่า” วิริยะหลบตา กลัวว่าจะถูกโกรธที่ทำให้อีกฝ่ายเลือดไหล

หรือเด็กนี่กำลังเขิน เชษฐ์ไชยแอบคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาน่ะหล่อเหลาจนใครเหลียวหลังตาม ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะกำลังใจเต้นสะท้านเพราะเขาสบตา คนอย่างเชษฐ์ไชยน่ะสเน่ห์เหลือล้นอยู่แล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกเกร็ง แม้ว่าตัวเองจะกำลังคิดผิดอยู่ก็ตาม “งั้น กลับไปล้างเนื้อล้างตัวได้แล้ว”

“พี่…เจ็บมากไหม” คนผิดตะล่อมถาม ขืนบอกตรง ๆ มีหวังโดนฆ่าแน่

“เจ็บอะไร๊ ไม่เห็นเจ็บ”

“งั้นผมกลับก่อนนะ เอ่อ…ไปล่ะ” ไปก่อนที่คนหน้าหนวดจะรู้ดีกว่า วิริยะยิ้มแหยให้เชษฐ์ไชยแล้วรีบลุกขึ้นเดินออกมา

“เฮ้ยวิว!” เด็กหนุ่มชะงัก ขนลุกซู่ด้วยกลัวที่จะถูกจับทุ่มลงพื้นบันดาลโทสะ หันไปหาคนเรียกพร้อมหน้าที่สตรองที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วฉีกยิ้มให้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงกุมจมูกตนเองแสดงถึงความเจ็บปวด ทั้งที่โกหกว่าไม่ได้รู้สึกอะไร เด็กหนุ่มปั้นเสียงหวานตอบ “ว่าไงครับ พี่หนวด”

ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังปั้นหน้าขึงขังเช่นกัน พูดกับวิริยะว่า “ใครที่มันเอาเปรียบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องก็อย่าไปยอม คนพวกนี้ยิ่งยอมพวกมันยิ่งได้ใจ เพราะงั้น อย่าให้ฉันรู้ว่าเธอยอมให้พวกนั้นรังแกอีก สู้ซะ! หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะบ่นให้ฉันฟัง”

ใจวิริยะเต้นตึกเมื่อได้ฟังคำพูดอันเข้มแข็งนั้น เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างและพยักหน้ารับ

“พี่นี่มันคนดีจริง ๆ”

“แล้วก็บอกไว้เลยว่าที่ฉันพูดไปน่ะ เพราะเห็นว่ามันไม่ถูกต้องแค่นั้นแหละ เลิกโง่ให้เขาเอาเปรียบได้แล้ว”

คนฟังหน้าบูดลง “เริ่มไม่เป็นคนดีละ เฮอะ”

พูดจบแล้วเด็กหนุ่มคนสดใสก็สะบัดหน้าขวับเดินกลับไป เชษฐ์ไชยส่ายหน้า มองตามร่างนั้นไปจนลับสายตาแล้วความเจ็บปวดก็แล่นเข้าจมูกจนต้องร้องซี๊ดอย่างลืมตัว ทำอวดเก่งวางท่าว่าไม่เป็นไรให้ไอ้เด็กนั่นเห็นไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงเขาเจ็บจนอยากล้มตัวลงไปดิ้นร้องไห้ราวกับเด็กห้าขวบจะตายอยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น ในสมองของเขากลับไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงรอยยิ้มพราวระยับของเด็กแสนสดใสเมื่อครู่กลบไปเสียจนหมดสิ้น ไม่น่าเชื่อเลย ว่าความทุกข์ ความเครียดและความเหงาหลาย ๆ อย่างมลายหายไปพริบตาเพียงเพราะรอยยิ้มของใครสักคน ทั้งที่เขาพยายามลบเลือนมันออกจากจิตใจทุกหนทางแต่ก็ไม่เป็นผล

พยายามมานานนับปีแล้ว

“หึ…”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่ไม่เคยเผยให้ใครที่นี่เห็นสักครั้ง ขณะเดินไปยังโรงอาหารของคนงาน ทุกคนยกมือทำความเคารพเมื่อเห็นนายใหญ่ของอาณาจักรเดินเข้ามาด้านใน ผ่านคนที่กำลังนั่งทาน ไปยังแถวที่กำลังต่อคิวรอรับมื้อเย็นอย่างรู้หน้าที่  อันที่จริงหัวหน้าแม่ครัวอย่างแม่ต้อยเคยเรียกให้เขาไปรับอาหารเลย แต่เชษฐ์ไชยปฏิเสธ เขาพูดว่าจะไม่ใช้อภิสิทธิ์การเป็นนายอย่างเอาแต่ใจอีกต่อไปแล้ว

ตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งนั้นเขาหลงเมียเกินเหตุ เอาใจเธอสารพัดอย่างเพื่อให้ได้ดังใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งกดขี่ข่มแหงน้ำใจของคนงานหลายคน ถึงหล่อนจะหนีไปกับชายชู้ได้หลายปีแล้ว แต่ความรู้สึกผิดนี่ยังคงติดอยู่ในใจชายหนุ่มไม่หายไปไหน ทว่าก็ไม่ได้นำไปพูดกับใคร

“นายเชษฐ์ วันนี้นึกยังไงถึงมาทานที่นี่ครับ”

“นี่ก็บ้านกู กูจะมากินมันแปลกรึไง” ชายหนุ่มตอบ แล้วถือโอกาสวางถอดอาหารนั่งร่วมกับคนทักเลย หนุ่มผิวคล้ำรุ่นน้องเขาห้าหกปีทำหน้าเหวอไปพักหนึ่งแล้วหัวเราะหลังได้ยินคำตอบ พูดว่า “ไอ้มากินมันไม่แปลกหรอกครับนายเชษฐ์ แปลกตรงที่นายเชษฐ์ยืนยิ้มอยู่คนเดียวตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

มือที่ตักอาหารพร้อมเข้าปากชะงัก “ใครยิ้ม”

“นายเซษฐ์บ่ฮู้โตเลยบ่ครับ ยิ้มหน้าบ้านเปิ้นเวิ้น ข้อยแนมเห็นตั้งแต่ร้อยเมตรพู้น มีอีหยังดีน้อ เล่าให้หมู่ผมฟังนำแหน่ รึว่านายเซษฐ์เจอผู้สาวงาม ถืกตาต้องใจอยากได้มาเฮ็ดเมีย” ไอ้ดำหนุ่มอีสานพูดขึ้น ทำเอาเชษฐ์ไชยสำลัก

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกมึงคิดเองเออเองทั้งนั้นแหละ เห็นกูอารมณ์ดีเข้าหน่อยก็ดึงเข้าเรื่องอย่างว่าเลยนะ รึอยากให้กูอารมณ์เสียถึงจะพอใจ”

“เอ๋า กะเห็นนายเซษฐ์เปลี่ยวมาโดนแล้วเนาะ”

“เปลี่ยวพ่อมึงสิ!” เชษฐ์ไชยรู้สึกถึงหน้าที่ร้อนวูบวาบ

“นายเชษฐ์ร้อนเหรอครับ หน้าแดงมากเลย ไอ้ดำไปเอาพัดลมมาเปิดให้นายเชษฐ์ซิ” ไอ้หมอกเพื่อนรุ่นเดียวกันกับดำบอกเพื่อน ได้ฟังหนุ่มอีสานก็ลุกทำตามคำของของหมอกอย่างว่าง่าย หรือไม่ก็ต้องการเอาอกเอาใจเจ้านายเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วหน้าของเจ้านายของพวกมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย

“ว่าแต่ฮูดังนายเซษฐ์ไปถืกหยังมาครับ เลือดแตกเลย” ไอ้ดำทัก เชษฐ์ไชยเบิกตา ลูบสันจมูกตัวเองนึกขึ้นมาได้

“ไอ้อาเธอร์ดีดประตูใส่หน้ากู” ชายหนุ่มพูดถึงม้าที่คอกแทน ขืนตอบความจริงโดนขำตายแน่ แต่ถึงจะตอบเช่นนี้เขาก็ได้ยินลูกน้องตัวดีหัวเราะพรืดกัน ชายหนุ่มวางช้อนลงเสียงดังบอกว่าตอนนี้เริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว พวกมันจึงหรี่เสียงลง แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“เอาจั่งได๋แลงนี้บักหมอก สถานที่พร้อม กับแกล้มพร้อม มื้ออื่นหยุดพร้อม หาของเมา ๆ กินกันบ่”

“อยู่ดี ๆ ไม่ว่าดี อยากกินยากันยุงแล้วไอ้ห่าดำ” หมอกส่ายหน้า

“บักฮูดาก กูหมายถึงเหล้า” ไม่พูดเปล่า มือสากตบกบาลเพื่อนไปทีพร้อมเสียงหัวเราะของหมอก ในขณะที่เชษฐ์ไชยก้มลงมองข้อความที่อัฐษไชยส่งมาโวยวายเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่เข้าไปทานข้าวที่บ้าน โดยที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าจะเป็นเช่นนั้น พร้อมกับคำขอร้องให้รีบกลับเข้าไปของน้องชายที่ยังส่งกระหน่ำตามมาอีกยาวเหยียด

‘วันนี้เด็ก ๆ เขานัดดื่มกัน มีเครื่องดื่มเยอะแยะ มาสังสรรค์กับอิกหน่อยเร็ว หลานมันเรียกหาแต่แกทั้งวัน จะงานยุ่งอะไรนักหนาวะเชษฐ์ ฉันไม่เข้าใจแกเลย ถามจริง ๆ งานหนักมากจนแกผละมาหาครอบครัวไม่ได้สักหน่อยเลยเหรอ อีกไม่กี่วันเด็ก ๆ กับฉันจะกลับกันแล้ว ใจแกจะไม่มาเจอกันตลอดอาทิตย์เลยรึไง’

ชายหนุ่มส่ายหน้าให้ข้อความบนจอมือถือแล้วปิดมันลง คราแรกตั้งใจจะต่อว่าคนงานพวกนี้ที่หาเรื่องเมา แต่เปลี่ยนใจแล้ว ชายหนุ่มวางช้อนในมือลงแล้วถามทั้งสองไปว่า “มีกับแกล้มแล้วใช่ไหม กูไปด้วย”

สองหนุ่มผิวคล้ำชะงักราวกับไม่เชื่อหู “อีหยังนะครับ”

“กูจะไปกินด้วย ทำไม หรือพวกมึงจะไม่ให้กูไป”

“โอ๊ยยยย ให้ไปอยู่แล้วครับนายเซษฐ์ของข้อย แต่ว่าพวกเฮาบ่มีไวน์รึว่าวิสกี้แพง ๆ ให้นายเซษฐ์เด๊ะ เฮามีแต่เหล้าขาวสี่สิบดีกรี นายเซษฐ์กินนำได้อยู่บ้อ สิบ่แสบคอแม่นบ่” คนพูดตะล่อมถาม ใจหนึ่งก็ไม่เชื่อว่าเจ้านายจะรับได้

“กูแดกได้หมดนั่นแหละ แค่ได้เมาก็พอ” ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้องชายจะไม่มาตามเขาถึงที่นี่ แต่เชษฐ์ไชยกลับอยากหนี อยากลบความรู้สึกบางอย่างที่มันติดค้างในใจของเขาออก เมื่อจู่ ๆ ก็นึกถึงความหลังยามอยู่กับภรรยาสุดรักเมื่อห้าปีก่อน เมื่อนึกถึงลูกที่เสียไปเพราะความเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนของเขา

ปิดกั้นความรู้สึก เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดตัวเอง ปล่อยตัว ทำแต่งาน

ทุกอย่างทำให้เชษฐ์ไชยคนก่อนตายไปแล้วกลายเป็นเขาในปัจจุบัน

เจ็บจนอยากหายไปจากโลกใบนี้....

 

 
----------------------------------------------------
 ขอตัดมาจบตอนช่วงนี้ก่อนนะคะ ยาวมากเลย

เดี๋ยวมาอัพอีกทีช่วงบ่าย ๆ และตอนหน้าวิวก็จะได้รู้แล้วว่าพี่หนวดคนบ้าที่น่ารักเป็นอาเชษฐ์

สถานะของทั้งสองจะสั่นคลอน รวมถึงความรู้สึกเปลี่ยนไปมากขนาดไหน

กลับมาอัพแล้วค่ะ จะรีบปั่นต้นฉบับให้จบแล้วส่ง สนพ.

ขอบคุณค่ะ อิอิ

 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: **{9.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #13 เมื่อ09-03-2018 16:34:36 »

 :pig4:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: **{9.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #14 เมื่อ09-03-2018 19:14:01 »

โว๊ะ คนแก่จะเขินอะไรขนาดนั้น คนแซวเขาไม่รู้หรอก
ว่าแต่คนเขียนมาต่อเร็วๆ นะ คิดถึงน้องวิวแล้วละ
 :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
Re: **{9.3.61-ตอนที่ ๕ } Cinderella man and the beast
«ตอบ #15 เมื่อ09-03-2018 22:07:25 »

โว๊ะ คนแก่จะเขินอะไรขนาดนั้น คนแซวเขาไม่รู้หรอก
ว่าแต่คนเขียนมาต่อเร็วๆ นะ คิดถึงน้องวิวแล้วละ
 :katai4: :katai4:
จะอัพให้อ่านทุกวันนะคะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๖

“กูยังไม่เมาเลยอิก มึงดูตากูสิ กูกินต่อได้เพื่อน”

“นี่กี่นิ้ว”

“สี่…”

“มึงเมาแล้วเพื่อนวิว ปะ กูไปส่งเข้าห้องนอน”

ไม่คิดว่าวิริยะจะคออ่อนถึงขนาดนี้ อัศวินหิ้วแขนเพื่อนขึ้นพาดคอแล้วพาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองหลังจากบังคับให้ดื่มด้วยความไม่รู้ เพื่อนรักเดินสะโหลสะเหลก้าวขึ้นไปพร้อมกันอีกทั้งบ่นอุบตามประสาคนเมาไปด้วย อัศวินก้มมองที่ข้อมือตนเองบอกเวลาเพิ่งจะสามทุ่ม ไม่คิดว่าวิริยะจะอ่อนได้ขนาดนี้

เพื่อนสนิทมองคนเมาแล้วอดที่จะแอบยิ้มขันไม่ได้ “ไอ้กาก กูมาส่งแค่ตรงนี้นะ เข้าไปนอนได้แล้วไป”

ทว่ากำลังจะหมุนตัวเดิน ร่างของเขาก็ชะงัก

“อิก…อิก อย่าเพิ่งไป”

อีกฝ่ายร้องเรียก เข่าทรุดจนอัศวินต้องรีบพุ่งเข้าไปรับด้วยเกรงจะล้มหัวฟาดพื้นเข้า ความสลัวของชั้นบนของบ้านที่ไม่ได้เปิดไฟทำให้อัศวินตกใจ เมื่อเหลือบเห็นน้ำตาของเพื่อนสะท้อนแสงไฟด้านล่าง มือยาวกอดคอรั้งเขาเข้าไปหาอย่างไม่เคยทำมาก่อน อีกทั้งยังสั่นเทาราวลูกนก

“เป็นอะไรวะวิว” อัศวินถามขึ้น ความเมายิ่งทำให้เขางุนงงไม่เข้าใจอารมณ์ของเพื่อน รู้เพียงแค่ว่าการกอดปลอบจะช่วยบรรเทาความเศร้าของวิริยะได้ไม่มากก็น้อย “ทำไมมึงร้องไห้ เป็นอะไร บอกกูหน่อย”

“กูเสียใจ” วิริยะกอดคอเพื่อนแน่น “กูเสียใจที่ไม่เคยใช้เวลาร่วมกับมึงเลย กูอยากอยู่กับมึงนาน ๆ”

“ดราม่าอะไรวะเนี่ย มึงเมาแล้วชอบเรื้อนร้องไห้เหรอ”

“กูชอบมึง ชอบมึงมาก ๆ เลย”

“เออ กูรู้ กูก็ชอบมึงเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่ชอบคงเลิกคบไปนานแล้ว” อัศวินตอบพลางลูบผมของอีกฝ่ายเป็นเชิงปลอบ แม้เสียงของอีกฝ่ายยามเอ่ยสั่นเครืออ่อนไหวแสดงถึงความเจ็บปวด แต่มันก็ยังคงฟังดูน่ารักเสมอเมื่อออกจากปากของวิริยะ เขาเองก็รู้สึกใจหายไม่แพ้กันเมื่อเห็นเพื่อนเสียใจขนาดนี้

วิริยะเอาแต่ฉีกยิ้มให้ ไม่เคยแสดงมุมอ่อนไหวให้เขาเห็นแม้สักครั้ง

“ขอโทษนะวิว แล้วกูจะติดต่อมาตลอด แค่ซ่อมโทรศัพท์รอกูก็พอ” ได้ฟัง วิริยะคิดว่ามันเป็นคำสัญญา เด็กหนุ่มเงยขึ้นมองหน้าเพื่อนอยู่ครู่หนึ่งทั้งน้ำตาแล้วพยักหน้ารับ เข้าใจอย่างสนิทว่าทั้งสองเปิดอกคุยกันแล้วและอัศวินตกปากรับคำด้วยสัญญา

ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งในความสลัว เป็นวิริยะที่ขยับขึ้นไปแนบปากจูบอีกฝ่ายก่อนเพราะความเมา ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำนั้นน่าตกใจสำหรับอัศวินเพียงไหน อัศวินตัวแข็งทื่อ เบิกตาโตเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น และท้ายที่สุดก็ผละตัวออกห่างอย่างต้องการรักษาเพื่อนไว้

“ดะ เดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มยกมือปราม “มึงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแล้ววิว”

ทั้งสองมองตากันท่ามกลางเสียงดังด้านล่าง

อัศวินเพิ่งจะรู้ว่าคำเมื่อครู่ที่วิริยะพูด ไม่ใช่แค่ความชอบของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนอย่างที่เขามองอีกฝ่ายมาโดยตลอด เด็กหนุ่มอยากพูดอะไรสักอย่างเพื่ออธิบายให้วิริยะเข้าใจ และรู้ว่าไม่ควรถือสาในสิ่งที่วิริยะกระทำเพราะคนตรงหน้ากำลังเมาไม่ได้สติ

“ไอ้อิก! อาเชษฐ์มา อาเชษฐ์มาแล้ว!”

เพื่อน ๆ ด้านล่างเรียก ทำให้ความเงียบของทั้งสองถูกทำลายลง

“อิก กู…” วิริยะเอื้อมมือมากุม

“กูลงไปหาอาเชษฐ์ก่อนนะ มึงเข้าไปนอนซะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน กูอยากคุยตอนที่มึงไม่เมามากกว่า” แล้วอัศวินก็วิ่งลงไปโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้วิริยะทั้งงงและเมาอยู่มุมนั้น สุดท้ายเด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินควานหาห้องเอง เข้าไปหลบทำสติให้พ้นสายตาคนอื่น

เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในความมืดโดยที่ไม่เปิดไฟ หวังจะให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็ว ๆ อย่างที่เพื่อนรักว่า อยากพูด อยากเปิดใจคุยกันให้เข้าใจ แม้จะต้องเสียเพื่อนดี ๆ อย่างอัศวินก็ตาม อย่างน้อยเขาก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองก่อนที่อัศวินจะไป นี่แหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาตัดสินใจทำในชีวิต

ถึงจะคิดอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมน้ำตาของเด็กหนุ่มไหลไม่ยอมหยุดสักวินาที จนกระทั่งผล็อยหลับไปเมื่อไรก็ไม่ทราบ

มารู้สึกตัวสลึมสลือก็ตอนได้ยินเสียงใครสักคนเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องมืด ๆ ความคิดแรกคืออาจจะเป็นอัศวินเข้ามาพัก หลังจากดื่มกับทุกคนอยู่ข้างล่างก็เป็นได้ วิริยะพลิกนอนคะแคงเมื่อรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของเตียงคล้ายมีคนทิ้งตัวลงนอน แต่เพราะความเมาและสติที่ยังกลับมาไม่ครบถ้วนทำให้เด็กหนุ่มส่งเสียงอือออได้เท่านั้น

ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงของเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ สัมผัสใบหน้าและลำตัวราวพินิจพิเคราะห์

“รตี…รตี…”

วิริยะร้องปราม หูแว่วได้ยินเสียงใครสักคน ใครสักคนที่พยายามกอดเขาพร้อมพร่ำคำคร่ำครวญบางอย่างอยู่ข้างหู

“เธอกลับมาแล้วเหรอ กลับมาหาฉันแล้วเหรอ”

มือใหญ่ลากไล้ตามลำตัวเขาไปจนถ้วนทั่ว แล้วขึ้นมาคร่อมทับอย่างอุกอาจ บังคับกอดและจูบราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย ตัวใหญ่หนักทาบทับร่างเด็กหนุ่ม บวกกับกลิ่นเหล้าแรง ๆ บอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่านี่ไม่ใช่อัศวินอย่างแน่นอน

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้เพียงว่าก็เมาหนักไม่ต่างกัน วิริยะพยายามส่งเสียงบอกว่าเขาไม่ใช่ใครที่ไหนทั้งนั้น แต่ร่างกายไม่อำนวยเอาเสียเลย

“ไอ้หมอนั่นมันให้เธออย่างที่ฉันให้ไม่ได้ ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเธอจะกระเสือกกระสนกลับมาเข้าสักวัน”

วิริยะตัวหนักอึ้ง รู้เพียงว่าเสื้อผ้าถูกกระตุกออกจากร่างกาย แต่ตัวเองเพียงร้องอือออไม่เป็นศัพท์ได้เท่านั้น คนด้านบนไร้สติ เอาแต่พล่ามอะไรสักอย่างราวกับคนบ้า “ต่อให้คลานเข่ากลับมา อย่าหวังว่าจะได้ฐานะเมียของฉันคืน ฉันให้ได้แค่เป็นของว่างของฉันแค่นั้นแหละ จำไว้ จำไว้เลย!”

“อื้อ! ฮึก…”

ความรุ่มร้อนอะไรบางอย่างทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บ ยามมันเสียดแทรกเข้ามาในกาย

“เธอมัน…ผู้หญิงชั้นต่ำ”

ถ้อยคำหยาบโลนถูกกรอกเข้าหูเด็กหนุ่มโดยที่เขาไม่เข้าใจและไม่มีทางเข้าใจ อีกทั้งความกดดันและคับแค้นใจของคนด้านบนกระทั้นกระแทกเข้ามาสู่ร่างกายราวพายุโหมพัดกระหน่ำ วิริยะทำได้เพียงแค่ส่งเสียงและยกลำแขนระโหยโรยแรงปรามเท่านั้น เขาเจ็บปวด แต่ก็รู้ว่าคนด้านบนเองก็กำลังเจ็บปวดอยู่ไม่ต่างกัน

“สารเลว นังสารเลว!”

แม้จะมีแต่ถ้อยคำร้ายกาจสาดใส่ มันกลับประสมไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ของอีกฝ่าย

“อื้อ อื้อ!” มือยาวไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว กลายเป็นกอดคนด้านบนแนบแน่น

ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ปลอบโยนกันและกัน นำพาไปสู้ห้วงฝันอันเวิ้งว้างที่ห่างไกลความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรรอพวกเขาอยู่

 

วิริยะสะดุ้งตื่นเพราะความปวดหัวและแรงกระเพื่อมยามพลิกไปมาของคนข้างกาย เด็กหนุ่มขยับตัวงัวเงียโอดโอยไปพร้อมกัน โดยไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดส่วนไหนก่อนดี วินาทีหนึ่งมีภาพบางอย่างแล่นเข้าสมองเมื่อนึกหาสาเหตุของการเจ็บปวดร่างกาย เด็กหนุ่มเบิกเปลือกตาตื่นอย่างเต็มตา สำรวจร่างกายตนเองซึ่งบัดนี้ล้อนจ้อนไร้เสื้อผ้า แม้อยากให้คิดว่ามันเป็นฝัน แต่มันไม่ใช่!

วิริยะไม่รู้เลยว่าใคร ใครเป็นคนนอนกับเขาเมื่อคืน

เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังไปดู

“ฉิบหายแล้ว…”

เด็กหนุ่มก้มลงมองสภาพร่างกายตนเอง จำไม่ได้เลยว่าผ่านวิธีการอย่างไร รู้เพียงว่าก่อนหลับเขากับอัศวินสัญญากันไว้ว่าจะปรับความเข้าใจกัน วิริยะพยายามพาร่างอันเจ็บปวดลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าสวมใส่ลวก ๆ ตัดสินใจจะเดินหนีออกไปข้างนอกแล้วทำทีว่าไม่เกิดอะไรขึ้น หากทว่าเขาไม่เหลือบไปเห็นคนนอนบนเตียงเดียวกันกับเขาว่าเป็นใครเสียก่อน

เด็กหนุ่มตัวชา แปลกใจและงุนงงไปหมด

“พี่ พี่หนวด…” วิริยะตัวชา ก้าวขาไม่ออกไปชั่ววินาทีหนึ่ง

อีกฝ่ายได้ยินเสียงเขาแล้วงัวเงีย ลืมตาตื่น ทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม วิริยะถอยกรูดออกห่างทันทีอย่างระวังท่าทีเมื่อเห็นอีกคนลุกขึ้นนั่ง มองเขา เพราะยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำบางอย่างเมื่อคืนหลงเหลืออยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาพยายามเดินออกไปข้างนอกก็กุลีกุจอลุกเดินตามมา “เธอ…วิว”

โดยไม่สนเลยว่าตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไร “พี่ พี่! พี่ไปใส่กางเกงก่อนเถอะ” วิริยะก้มหน้า

คนฟังควานหยิบผ้าขนหนูที่ไหนสักที่มาพันเอว เดินตรงมาที่วิริยะ “เรื่องเมื่อคืนนี้ ฉัน…”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละพี่ พี่รีบลงไปดีกว่า คราวที่แล้วก็แอบเข้าครัว คราวนี้แอบมานอนบนเตียงเจ้านายอีก ผมไม่อยากให้คนสวนอย่างพี่เดือดร้อน ไปรีบใส่เสื้อผ้าแล้วลงไปเถอะ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใครเลย รวมถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ด้วย มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาทั้งนั้น” เด็กหนุ่มก้มหน้า ส่ายมือระรัวเพราะไม่อยากสบตา

คนฟังรู้สึกฉุน “ทำไม จะบอกว่าเมื่อคืนนี่ฉันนอนเอากับรูในแจกันรึไง”

“ปากเสีย!” เด็กหนุ่มเหวอย่างทนฟังไม่ได้ สีหน้าบอกไม่พอใจ “เมื่อคืนพี่ก็รู้ว่าเราเมามาก พี่มาจากไหนวะ ผมนอนของผมอยู่ดี ๆ แท้ ๆ”

ชายตัวใหญ่หนวดเฟิ้มตรงหน้าไม่สะทกสะท้านคำกล่าวหาของวิริยะ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต่างหากที่มานอนรอบนเตียงในห้องของเขาเอง แม้กระทั่งตอนนี้เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่ในห้องของใคร ชายหนุ่มถอนใจ ยอมรับผิดส่วนหนึ่งที่ใช้กำลังเอาชนะเด็กตรงหน้า

เชษฐ์ไชยสางผมยุ่งของตัวเอง “เออ พี่ผิดเอง แล้วพี่ก็อยากจะรับผิดชอบ…”

“ถ้าอยากรับผิดชอบก็ลืมไปให้หมดเลยนะพี่ อย่าให้ใครรู้เรื่องคืนนี้ ผมขอร้อง” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ให้มันจบกันตรงนี้ได้ไหม ผมไม่อยากมีปัญหา ลืมเรื่องนี้ไปเลยนะครับ นะ...”

เชษฐ์ไชยนิ่งไป เพราะยังคงไม่เข้าใจคำที่อีกฝ่ายตอบ “ปัญหาอะไร”

“ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ผมไม่อยากคิดเรื่องอื่นให้ปวดสมอง แล้วก็อยากมาที่นี่เพื่อทำงานจริง ๆ”

“อย่ามาดูถูกฉันนะ ฉันก็แค่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันทำ”

“ไม่ ๆ ๆ พี่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ไม่ต้องหรอก ผมโอเค แล้วผมก็ไม่ต้องการการรับผิดชอบอะไรจากพี่ด้วย…”

“แต่ฉันไม่โอเค!”

วิริยะถอยออกห่างเมื่อเชษฐ์ไชยแสดงสีหน้าไม่ได้ดังใจ แล้วรีบเดินหนีชายหนุ่มออกจากห้องไปโดยไม่อยู่รอฟังคำไหนทั้งนั้น ท่าที และคำพูดแสดงออกมาโดยตรงแล้วว่าการนอนกับเขาเมื่อคืนเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ในชีวิต

เมื่อถูกปฏิเสธเช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มยกมือหนาขึ้นสางผมยาวของตัวเองเดินวนไปยังห้องน้ำพร้อมกับความโมโหที่ยังอบอวลอยู่ในอก ครั้นเห็นร่างกายตนเองในกระจกแล้วนั้น มองดูสภาพของตอนนี้แล้วก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะเขาเป็นไอ้หนวดคนสวนธรรมดา ไม่ได้มีฐานะใหญ่โตที่ไหน เขาดูต่ำต้อยเรี่ยดินอย่างที่เคยถูกมองตลอด

เด็กนั่นจึงปฏิเสธ

“เวรเอ๊ย!” เขาเบื่อจริง ๆ พวกหน้าเงิน!

สุดท้าย…มันก็จบอย่างเห็นแก่ตัวอย่างนี้ทุกที ทุกคนมันก็เห็นแก่ตัวกันหมด

หน้าเงิน น่าขยะแขยง!

เชษฐ์ไชยคิดพลางขบฟันจนกรามปูดนูนด้วยความโมโห

เด็กนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้ว คนอย่างนายเชษฐ์น่ะ ฆ่าได้…หยามไม่ได้!

 

วิริยะรู้สึกร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง เด็กหนุ่มเดินออกมาข้างนอกก็ตกใจที่ตัวเองเข้าห้องผิด หากทว่าเพราะทุกอย่างมันสุมหัวทำให้ไม่ได้หยุดฉุกคิดอะไร เข้ามาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายในห้องพักของตัวเองด้วยความยากลำบาก กว่าจะเสร็จก็ได้กลิ่นอาหารจากด้านล่างลอยขึ้นมายั่วน้ำย่อยแล้ว

เด็กหนุ่มยกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนบ่นถึงเขาเพราะความคออ่อนเมื่อคืน นินทาในระยะเผาขนกันเลยเชียว คิดแล้วก็เดินลงบันไดตรงไปยังโต๊ะอาหารที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งกันจนครบถ้วน ร่วมด้วยอาอัฐษ์ และใครอีกคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กหนุ่มจนทำให้ลำขาไม่มีแรงขึ้นมาเสียเฉย ๆ

เด็กหนุ่มชะงักขา ตาคมของอีกฝ่ายผละมามองเขาและรับรู้การมาถึง

“นั่นไง ไอ้กากมาพอดีเลย เป็นไง สร่างเมารึยังวะวิว”

อัศวินทัก ทว่าวิริยะหน้าซีด พูดไม่ออก เมื่อเหลือบไปเห็นนัยน์ตาคมของเจ้าของร่างใหญ่ที่เพิ่งจะแยกกันเมื่อเช้าเหลือบจ้องไม่ยอมละ แวบหนึ่งเขาเห็นรอยยิ้มเหยียดและสะใจที่เขาแสดงท่าที่เช่นนี้ “เอ้อ มึงยังไม่ได้เจออาเชษฐ์นี่ นี่อาเชษฐ์ของกูนะวิว อาเชษฐ์ครับนี่ไอ้วิว คนที่ผมบอกว่าจะมาทำงานที่นี่”

“อ้อ คนนี้นี่เอง…”

วิริยะยกมือไหว้ทั้งที่หน้ายังเสีย รู้สึกจุกจนพูดไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติกับอัศวินว่าไม่รู้จักวิริยะเลยสักนิด แล้วมองมายังเขาด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเคย

เขาไม่เคยรู้และไม่เคยเอะใจเลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร รู้เพียงว่าตอนนี้รู้สึกราวกับถูกทรยศและคิดว่าเชษฐ์ไชยเห็นเป็นเพียงของเล่นสนุก ได้ดูเขาพูดจาเข้าข้างตัวเอง ได้มองเขาวางท่าบ้า ๆ มาตลอดอย่างน่าขัน น่าตลก น่าตลกสิ้นดีเมื่อถูกมองด้วยสายตาเย็นชาตรงหน้าหลังความจริงเปิดเผย

ความจริงแล้วเขากับอีกฝ่ายมันคนละชนชั้น

นี่สินะ ธาตุแท้และตัวตนที่แท้จริงของเชษฐ์ไชย!

ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมหลังจากนี้ ในนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายบอกเด็กหนุ่มเช่นนั้น

เชษฐ์ไชยที่เขาเห็นยามนี้ เป็นสายตาของนายเชษฐ์จอมโหดของไร่รุ่งอรุณี ไม่ใช่สายตาของพี่หนวดแสนใจดีคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

มันจบแล้ว…



--๕๐--

---------------------------------------------------------------------------

วิวรู้ความจริงแล้ว ทุกอย่างเริ่มมีชนวน เริ่มจุดไฟตั้งหม้อมาม่าแล้ว อิอิ

คนนึงก็โกรธและมีปมเรื่องโดนหลอกลวง อีกคนนึงก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของเล่น

ต่อไปจะงอน จะโกรธ จะดราม่ารึเปล่า ต้องรอติดตาม

อย่าลืมนะคะ ถ้าเห็นใจก็คอมเม้น โหวต ทุกทางที่ให้กำลังใจหนูนาได้ สนับสนุนหนูนาได้ ขอความกรุณาด้วยนะคะ

แล้วจะตอบแทนด้วยการขยันอัพนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
  :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โธ่.... วิวน้อยโดนเขมือบเสียแล้ว  :hao5:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
โธ่.... วิวน้อยโดนเขมือบเสียแล้ว  :hao5:
เดี๋ยวมีอีกค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: **{10.3.61-ตอนที่ ๖--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-03-2018 18:25:49 »





ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


(ต่อ)

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นและเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหยอกล้อของผู้ร่วมรับประทาน ทว่าวิริยะกลับไม่รู้จะพูดอะไรดี มีเพียงอัฐษไชยเท่านั้นที่เพียรตักกับข้าวมาให้ สอบถามว่าอร่อยถูกปากหรือเปล่า เด็กหนุ่มเพียงยกยิ้มและพยักหน้ารับอย่างระวังท่าที เพราะยังไม่หายตกใจจากเรื่องใหม่ที่เพิ่งได้รับทราบ

เหลือบมองคนนั่งหัวโต๊ะผู้มีตำแหน่งนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณีที่กำลังตักอะไรทาน หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ภาพลักษณ์ที่เขาเคยมองเมื่อก่อนก็มลายหายไปหมดแล้ว พี่หนวดคนธรรมดาของเขาไม่หลงเหลือเค้าเดิมให้เห็น หากเป็นเช่นนั้นแล้วการทำงานจะเป็นอย่างไรต่อ วิริยะไม่รู้เลย

“วิว วิว!”

“หะ หา…” เด็กหนุ่มเงยมองหน้าอัศวินที่นั่งอยู่ข้างอาคนโต แม้จะผ่านเรื่องสะเทือนใจเมื่อคืนมาแล้วนั้น ท่าทีของเพื่อนรักยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม มองเขาด้วยรอยยิ้มใจดีเช่นเคย “อะไร มีอะไรเหรอ”

“ก็มึงบอกว่าอยากเรียนรู้งาน จะได้ช่วยอาเชษฐ์ได้ไง นี่กูก็กำลังฝากมึงให้อาเชษฐ์ดูแลอยู่ ดีไหม”

“ดีกับผีน่ะสิ” เด็กหนุ่มบ่นอุบกับตนเอง

“อะไรนะ”

“อ๋อ เปล่า ขอบใจนะ กูซึ้งใจมากเลย” เด็กหนุ่มแค่นยิ้มให้เพื่อนท่ามกลางสายตาเอ็นดูของคนนั่งข้าง อาคนเล็กของอัศวินเพียงยกยิ้มเท่านั้น หันมองพี่ชายที่ยังคงปั้นหน้าเข้มราวกับไม่สบายท้อง ทั้งที่ความเป็นจริงก็ไม่ควรเก๊กท่าให้เหนื่อยหน้าอย่างนี้เลย อยู่กับคนกันเองทั้งนั้น อัฐษไชยจึงเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงก็เห็นรู้จักกันก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ เชษฐ์กับวิว”

วิริยะชะงัก เงยมองคนนั่งข้าง

“รู้จักอะไร ก็แค่บังเอิญเจอกันผ่าน ๆ” เชษฐ์ไชยตอบ

“ใช่เหรอ เมื่อวานฉันลองเดินตามวิวไปที่คอกม้า เห็นเล่นน้ำสนุกกันใหญ่ ก็คิดว่าแกจะตามวิวมากินข้าวด้วยกันแต่ก็ไม่ ฉันเลยโมโหส่งข้อความไปตามแกอีกรอบไง” อัฐษไชยอธิบายเสียงฉุนเล็กน้อยพอให้รู้ว่ายังมีความรู้สึก และนั่นทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสองเงียบไป ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเล่นพูดว่าจับได้คาหนังคาเขาแบบนั้น

“อ๋อ รู้แล้ว! ที่ป้าต้อยถามว่ามึงไปเอาเสื้ออาเชษฐ์มาใส่ได้ยังไงใช่ไหม กูจำได้แล้ว” มาร์คถามวิริยะขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น ได้ยิน เด็กหนุ่มพูดไม่ออกเพราะตอนนั้นเขาไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ

“เออ แล้วมึงก็โมเมตอบป้าต้อยว่าเป็นเสื้อของคนสวน อำเก่งนะเนี่ย” อัศวินยกนิ้วชี้ล้อ

“กูไม่ได้อำ” วิริยะตอบ ปรายตามองคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่หัวโต๊ะ

“ยังจะมาพูดเล่นอีก เป็นคนตลกน่ะเรา”

“ก็มันเป็นเสื้อของคนสวนจริง ๆ นี่”

“เพื่อนวิว พอได้แล้วเพื่อน พวกกูขำจนฉี่จะราดอยู่แล้ว มุกมึงตลกดีจริง ๆ แซวอากูซะไปไม่เป็นเลย เห็นแบบนี้อากูก็หล่อนะโว้ย”

“กูไม่ได้พูดเล่น ก็กูคิดว่าเป็นเสื้อคนสวนไง กูไม่รู้ไง!” ดูเหมือนคนช่างจ้อจะไม่สนุกด้วย วิริยะลุกขึ้นยืน เดินหนีไปอย่างอารมณ์เสีย พลอยให้คนนั่งข้างที่เผลอขำขันไปกับหลานชายต้องชะงักมอง ทุกคนแปลกใจเมื่อเพื่อนผู้สดใสไม่เล่นด้วยอย่างเคย ท้ายที่สุดอัฐษไชยก็เหลือบมองพี่ชายที่ยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดใด นอกจากมองตามแผ่นหลังแคบของวิริยะอย่างเงียบเชียบ

อัฐษไชยรู้แล้วว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น

“กินกันต่อเลย เดี๋ยวฉันมา ไปดูวิวก่อน”

อัฐษไชยยกมือบอกทุกคน แม้กระทั่งแม่ต้อยก็ยังเป็นห่วงวิริยะจนออกนอกหน้า

“กินข้าวทีละสองสามคำ แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปทำงานวะ” มาร์คพูดถึงเพื่อนตัวผอมที่เดินออกไป หลังจากอัฐษไชยเดินตามวิริยะไปแล้ว “ไอ้อิก กูว่าชวนมันกลับไปกับเราเถอะ เดี๋ยวค่อยหางานอื่นให้มันทำที่โน่นเอาก็ได้ เดี๋ยวกูฝากมันให้ทำงานที่ร้านอาหารญาติกูเอง”

“เออ ก็ดีเหมือนกัน กูว่ามันก็ไม่น่าจะมาทำงานที่ไร่ไหว” เพื่อนอีกคนเออออ

“แต่มันบอกว่าอยากอยู่ที่นี่แล้วนะ แถมมาบอกว่าไปตีสนิทคนที่ไร่ไว้แล้วด้วย โม้ใหญ่เลยว่าพี่เขาใจดีมาก คอยช่วยมันทุกอย่างเลย กูถึงได้มาฝากให้อาเชษฐ์คอยดูแลมันห่าง ๆ ให้นี่ไง” อัศวินยักไหล่แล้วหันไปหาอาในประโยคสุดท้าย ได้ฟัง เชษฐ์ไชยที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเพื่อนทั้งหมดถึงคอยเอาอกเอาใจเด็กคนนี้นักหนาก็รู้ อาจเป็นเพราะวิริยะเป็นพวกใสซื่อ มักแสดงออกอย่างโดยตรง จึงทำให้คนมองดูรู้สึกเป็นห่วงเรื่องการใช้ชีวิต

“ไม่รู้จะกวนอาเชษฐ์ไหม แต่วิวมันเป็นพวกตั้งใจเรียนรู้มากเลย ฝากดูแลมันเป็นพิเศษได้ไหมครับ”

ชายหนุ่มหันมองหลานชายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ขัด

“ถ้าแกต้องการ ได้สิ อาจะดูแลให้อย่างพิเศษเลย” เชษฐ์ไชยรับคำอย่างว่าง่าย เพราะรู้ดี วิริยะเองก็ดูท่าจะโกรธเหมือนกัน ที่เขาพยายามปกปิดสถานะตัวเอง

แต่หาได้ใช่ความผิดของเขา ก็เด็กนั่นดันคิดเอง ชายหนุ่มช่วยไม่ได้

 

วิริยะหยุดลำขาอยู่บริเวณทุ่งกว้างห่างจากคอกม้าไม่ไกลนัก เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเอาความขุ่นมัวอออกไป บอกตัวเองว่าเขาไม่มีสิทธิ์โกรธที่โง่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนสวน ไม่ว่ามันจะน่าโมโหขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามหนีเขาเพื่อปิดมันหรือไม่ อีกฝ่ายก็ต้องถูกกว่าเสมอ เพราะเป็นผู้ใหญ่กว่าและกำลังจะเป็นเจ้านายด้วย

แต่อยู่คนเดียวได้ไม่นาน ไม่ทันหยุดหอบเสียด้วยซ้ำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครวิ่งตามหลังมา

“วิว!”

เด็กหนุ่มเบิกตาเมื่อเห็นอัฐษไชยเหงื่อแตก วิ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกาย ระหว่างทั้งสองมีเพียงลมหายใจระรัวเท่านั้นกั้นกลาง กระทั่งหายเหนื่อยแล้ววิริยะจึงเงยขึ้นไปสอบถาม เหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้กับเขาได้ “อาอัฐษ์วิ่งตามผมมาทำไมครับ ทำไมไม่ทานข้าวต่อ”

คนตัวสูงกว่าโคลงศีรษะ “จะให้กินลงได้ไง เห็นเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งหนีมาต่อหน้าต่อกันขนาดนี้”

“ผมเปล่าสักหน่อย!” วิริยะกอดอกทำหน้ามุ่ย

“แล้วเป็นอะไร เพื่อน ๆ งงกันเป็นไก่ตาแตกหมดแล้ว”

เด็กหนุ่มงุดหน้าลงพื้น ตั้งแต่เช้ารู้สึกไม่สบายตัว เจ็บปวดขัด ๆ ทำให้พลอยหงุดหงิดง่ายไปด้วย “เปล่าครับ”

มือใหญ่ข้างกายเอื้อมมาจับต้นแขนเด็กหนุ่มให้หันไปสบตาหวังจะจับผิด วิริยะทำได้เพียงแค่ก้มลงมองพื้นเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่ากำลังเศร้า กำลังกังวล หรือเสียความรู้สึก เด็กหนุ่มแยกแยะไม่ออกเลยว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร ตอนนี้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

“บอกมาเถอะน่าวิว มีเรื่องอะไรกับเชษฐ์รึเปล่า ปรึกษาอาได้ เดี๋ยวอาไปว่ามันให้”

“มะ ไม่ใช่หรอกครับอาอัฐษ์ อย่าไปว่าเขาเลย ผมผิดเอง เข้าใจทุกอย่างผิดไปเอง” วิริยะรีบส่ายหน้าระรัวเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ไหนจะเรื่องแม่เลี้ยง ไหนจะเรื่องหนี้ที่ต้องทำงานชดใช้ แล้วยังมีเรื่องบ้า ๆ นี่เข้ามาให้รกสมองอีก แล้วเขาก็ปัดออกไปไม่ได้สักอย่างด้วยซี “ผมดันไปเข้าใจว่าพี่…เอ่อ อาเชษฐ์เป็นแค่คนงานธรรมดา เมื่อวานก็เลยเล่นกับเขาแรงไปหน่อย แค่นั้นเอง”

ใบหน้าคนพูดดูเหมือนสำนึกผิดจริง

“งั้นเองหรอกเหรอ” อัฐษไชยหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

วิริยะพยักหน้ารับเล็กน้อย “แล้วก็ แผลตรงจมูกนั่น ฝีมือผมเอง” เล่าให้ฟัง

คนฟังเบิกตาตื่นเต้น แล้วหลุดหัวเราะอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ “จริง ๆ เหรอ เธอเป็นคนทำมันเหรอ”

“ทีนี้ไม่รู้จะทำตัวยังไงเลยครับ มันรู้สึกแปลก ๆ ไม่ค่อยกล้าเล่นด้วยเหมือนเมื่อก่อน”

คนตัวใหญ่กว่าส่ายหน้า “ไม่ต้องคิดมากหรอก เชษฐ์เขาก็แค่วางท่าดุไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงเขาเป็นคนจิตใจดีมากนะ ถ้าสนิทกันก็น่าจะรู้นี่ เดี๋ยวอีกหน่อยก็เลิกอวดเบ่งใส่แล้วแหละ ไม่ต้องห่วง”

ถึงจะพูดอย่างนั้นให้เขาสบายใจ วิริยะกลับรู้สึกคาราคาซัง ก่อนหน้านี้เขาเห็นท่าทีของเชษฐ์ไชยยามวางท่า ยามอวดเบ่งมาก่อน ทว่าอีกฝ่ายไม่เคยมองเขาด้วยวิธีเย็นชาเช่นตอนนี้เลยแม้แต่สักครั้ง นั่นทำให้วิริยะคิดว่าคราวนี้อีกฝ่ายกำลังมีกำแพงบางอย่างก่อขึ้นอยู่ในใจ ไม่ต่างจากความรู้สึกของเขาที่มีรอยร้าวเมื่อได้รับรู้สถานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย รู้ได้ว่าไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

“กลับไปกินข้าวเถอะ เพื่อน ๆ อาจรออยู่” เจ้าของร่างสูงใหญ่ข้างกายเอ่ยขึ้น เรียกให้เด็กหนุ่มเงยขึ้นไปมองใบหน้ารูปหล่อและถึงบางอ้อขึ้นมาทันใด ว่าที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาอัฐษไชยก็เพราะเคยเห็นเชษฐ์ไชยมาก่อนนี่เอง วิริยะพยักหน้ายอมทำตามคำสั่ง แล้วหมุนตัวเดินกลับไปพร้อมกันขณะที่เอ่ยปากไถ่ถาม “อาอัฐษ์กับพี่…อาเชษฐ์เป็นฝาแฝดเหรอครับ”

“ใช่ แล้วเธอก็กำลังคิดอยู่ ว่าพวกอาไม่เหมือนกันสักนิดเดียวเลยใช่ไหมล่ะ” ผู้อาวุโสย้อนด้วยน้ำเสียงใจดีกึ่งขำขัน เรียกรอยยิ้มเล็กน้อยขึ้นมาบนใบหน้าขาวซีด ครั้นเห็นสีหน้าวิริยะดีขึ้นมา ตาคมที่งุดลงมองคนเดินข้างอยู่แวบหนึ่งจึงผละออกไปมองทิวทัศน์บริเวณอื่น

“ก็อาอัฐษ์ออกจะหล่อ ใจดี ทุกอย่างดีไปหมด ใครจะไปรู้ว่ามีแฝดเป็นตรงกันข้ามกันหมดทุกอย่าง…” พูดยังไม่ทันจบดี ปิ๊กอัพยกสูงคันคุ้นตาก็แล่นมาจอดอยู่ตรงหน้าของพวกเขา อันที่จริงคาดว่าน่าจะมาที่คอกม้ามากกว่า ซึ่งเห็นอัฐษไชยหยุดยืนรอดูทำให้วิริยะจำต้องยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งที่ไม่อยากเจอหน้าเลยแท้ ๆ

ทั้งสองมองคนที่ถูกพาดพิงถึง กำลังทำหน้าเป็นกอริลล่าจอมโหดเดินลงจากรถ ดูยังไงก็ไม่มีทางจะมาดีแน่ หากไม่ได้ยืนอยู่กับน้องชายของอีกฝ่าย ป่านนี้วิริยะวิ่งหางจุกตูดไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่อยากพูดกับคนหน้าบูดพรรค์นี้

“ทำไมรีบมาจังเลย พวกเรากำลังจะกลับ” อัฐษไชยถามพี่ชาย

ผู้ถูกทักทำทีสาละวนกับการเก็บของอยู่หลังรถ ชำเลืองตาเห็นร่างผอมโปร่งที่กำลังมองไปที่อื่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบ “ขืนรอกินข้าวด้วยคงได้กินตอนเที่ยงโน่น ฉันมีงานที่จะต้องทำ เรื่องเวลาแค่นี้ไม่รู้แล้วจะไปทำห่าอะไรได้”

วิริยะรู้ตัวว่าถูกด่า ซึ่งทำได้เพียงแค่ยืนหน้างอ และผู้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดก็หัวเราะกับท่าทีทั้งของพี่ชายและเพื่อนของหลานอย่างไม่อาจปิดได้ อายุก็มากกันแล้ว เหตุใดทั้งสองจึงตัวเป็นเด็กโกรธกันไปได้ อัฐษไชยจึงเริ่มพูดกับพี่ชายที่เป็นฝ่ายอายุมากกว่า “สรุปจะงอนกันอย่างนี้ต่อไปน่ะเหรอเชษฐ์”

“ใครงอนใคร” เชษฐ์ไชยเสียงดัง

“แกทำแบบนี้เด็กจะเครียดเอานะ”

“ก็ช่างสิ อีกไม่กี่วันก็จะกลับไปแล้ว”

“ใครบอกว่าผมจะกลับ ผมไม่กลับ ผมจะทำงานที่นี่” วิริยะรีบแย้งทั้งโคลงศีรษะ แล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของเชษฐ์ไชย “หรือว่า อาเชษฐ์ อยากจะไล่ให้ผมกลับไปกันล่ะ”

คำเรียกที่เด็กตรงหน้าเน้นย้ำสถานะของเชษฐ์ไชย ทำให้ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ขยับตัวสูงใหญ่ทำงานตรงหน้าต่อโดยไม่รีบไม่ตอบคำถาม “ฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่างานที่นี่ไม่เหมาะกับเธอ ถ้าจะมาอยู่แล้วกินแรงคนอื่น หวังจะได้เงินเยอะกว่าคนอื่นเพียงเพราะเป็นเพื่อนของหลานฉัน กลับไปซะ ที่โน่นมีงานสบาย ๆ รออยู่เยอะแยะ”

“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นสักหน่อย” วิริยะรีบตอบ แล้วฉุกคิดขึ้นได้ว่าเคยพูดไปเล่น ๆ ครั้งหนึ่ง “อาจจะ…มีแอบคิดนิดนึง แบบว่าขี้โม้ไปบ้าง แต่ผมไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นเลย ผมตั้งใจมาทำงานจริง ๆ แล้วก็ไม่ยอมกลับไปจนกว่าจะเปิดเทอมด้วย” เด็กหนุ่มพูดหน้าจริงจัง แล้วก็หันไปหาอัฐษไชยขอความช่วยเหลืออีกแรง

ผู้ยืนฟังอยู่ตลอดยกยิ้ม “เด็กสัญญาแล้ว แกก็กล้ารับหน่อยสิ”

“ฉันไม่ได้ป๊อด ฉันขี้เกียจมีปัญหา”

“ถ้าอยากทำสวนมากนัก เดี๋ยวอาจ้างมาทำที่บ้านก็ได้นะวิว”

“แต่มันไม่เหมือนกันนี่ครับ” วิริยะทำเสียงสูงราวเด็กถูกขัดใจ

“เด็กเขาอยากทำงานกับแก นี่ยังจะไล่อีกเหรอ”

“ไม่ได้ไล่โว้ย ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากมีปัญหา ก็ได้…ให้ทำก็ได้ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน” นิ้วชี้ยาวยกชี้หน้าเด็กหนุ่ม ก่อนผู้พูดจะเดินสามขุมยกสัมภาระเข้าไปในคอกม้า ปล่อยให้วิริยะกับอัฐษไชยมองหน้ากันอยู่ตรงนี้หลังได้ยินคำอนุญาต

อันที่จริงวิริยะไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ขนาดนั้น แต่เขายังไม่อยากกลับไปที่บ้าน ไปเจอคนพวกนั้น

เผชิญหน้ากับเชษฐ์ไชยตรงนี้ยังไม่น่ากลัวเท่า

กลับไปถึงที่พักแล้ววิริยะก็แวะพูดคุยกับเพื่อนที่หวังดีอยากให้กลับไปด้วย เด็กหนุ่มปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ทุกคนลำบากหางานให้ หรือนำเขาไปฝากกับใคร หลังเข้าใจกันแล้วก็ขึ้นตรงไปนอนต่อเพราะรู้ลึกล้าร่างกาย เขาสลบเหมือด มารู้สึกตัวยามกลางดึกของวัน ขณะที่พยายามลุกจากเตียงให้เบาที่สุดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพลิกของอัศวิน ก่อนที่เพื่อนรักจะรู้สึกตัวตื่น

“ไปไหนอีก” เจ้าของร่างบนเตียงสอบถาม

“หิวน้ำ…”

อัศวินลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจสองสามที “เป็นอะไรรึเปล่า นอนยาวขนาดนี้กูนึกว่าซ้อมตาย มานี่ซิ” พูดพลางกวักมือเรียก ได้ยินแล้วเด็กหนุ่มจึงทำตามคำบอกของเพื่อนอย่างว่าง่าย ย่างเท้าเข้าไปหา หยุดยืนอยู่ตรงหน้าให้มือยาวยกขึ้นมาอังหน้าผาก สัมผัสบริเวณแก้มอยู่สองสามครั้ง ถูกทำเช่นนี้ใจวิริยะเต้นตึกจนแทบทะลุออกจากอก

“ทำแบบนี้ จะจีบกูปะเนี่ย” เด็กหนุ่มพูดฝ่าความเงียบ ซึ่งได้ฟังเพื่อนก็หลุดยิ้มขัน

“กูไม่ชอบเด็กอายุห้าขวบ”

“สิบเจ็ดแล้วเพื่อน”

“นิสัยมึงก็ไม่ต่างหรอก เพื่อน ๆ กับกูถึงต้องคอยดูแลอย่างนี้นี่ไง” อัศวินบอกพลางยกยิ้ม แล้วดึงให้วิริยะทรุดลงนั่งข้างกันหวังจะคุยปรับความเข้าใจ คราวแรกเด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัด แต่ท่าทางของอัศวินไม่ได้แปลกไปเลย ทำให้ใจของเขาชื้นขึ้นมาบ้าง ฟังอีกฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “ขอโทษที่กูดีกับมึงเกินไปจนทำให้มึงคิดแบบนั้นกับกูก็แล้วกันนะ แต่จะให้กูเลิกทำก็ไม่ได้ ทำไปเพราะหวังดีกับมึงจริง ๆ”

วิริยะพยักหน้ารับ “มึงก็ดีของมึงอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ต้องขอโทษหรอก กูเข้าใจทั้งหมดนั่นแหละ”

“กูยังอยากเป็นเพื่อนกับมึงอยู่ เป็นเพื่อนมันยั่งยืนกว่าเป็นอย่างอื่นนะ”

“รู้น่า กูแค่อยากบอกให้มึงรู้ก่อนไปแค่นั้น ไม่ได้หวังให้มึงมาเป็นผัวกูหรอก” วิริยะผลักหัวเพื่อนแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มให้บอกว่าตอนนี้เข้มแข็งแล้ว อัศวินยังกุมจับมือของเขาเป็นการปลอบประโลมใจ ยังเป็นอัศวินที่แสนดีเช่นเคย อัศวินที่เขาตกหลุมรัก

ถึงจะบอกกับเพื่อนไปเช่นนั้นแล้ว ภายในใจของวิริยะก็ช่างขี้แพ้เหลือเกิน

เด็กหนุ่มเดินลงมาที่ครัว แล้วทรุดลงนั่งร้องไห้ในความมืดมิดนั้นอย่างปิดกั้นความรู้สึกไม่ได้อีกต่อไป

 

วิริยะลุกลงมาข้างล่างตั้งแต่เช้า เป็นเพราะเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนต่อจนสว่างจึงลงมาหาอะไรทำเพื่อแก้อารมณ์ให้คลายขุ่น แต่เอาเข้าจริงแล้วแม่ต้อยก็ทำทุกอย่างเองเสียหมด หน้าที่ก็แบ่งให้แม่บ้านทุกคน จะให้วิริยะไปแย่งทำก็กระไรอยู่ เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงทรุดนั่งลงบนโต๊ะอาหารพลางทอดถอนใจ

“เห็นว่าจะกลับวันนี้กันใช่ไหมคะน้องวิว” แม่ต้อยถามขึ้น

“ครับ อาจจะไปช่วงเย็น แต่ผมไม่ได้ไปด้วยหรอกนะครับ จะยังอยู่ทำงานที่นี่ต่อ”

“อ้าว ก็ไหนเพื่อน ๆ คุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะชวนน้องวิวกลับไปด้วยคะ”

“ผมไม่อยากกลับน่ะครับ ที่นี่บรรยากาศดี แถมป้าต้อยก็ทำกับข้าวอร่อยด้วย อยากอยู่ต่อ”

“แหม…ปากหวานไม่เบานะคะเนี่ย” นางหันมายิ้มแซว เรียกความสบายใจแก่วิริยะขึ้นมาได้นิดหน่อย และแม้จะได้นอนพักตั้งแต่เมื่อวาน วิริยะกลับยังไม่รู้สึกสบายตัวขึ้นเลย โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกเจ้าของอาณาจักรแห่งไร่รุ่งอรุณีล่วงล้ำ ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รู้ว่ามันจะหายเมื่อไร

สีหน้าของวิริยะไม่ค่อยสู้ดีนักจนแม่ต้อยสังเกตได้ นางทักว่าเด็กหนุ่มกำลังไม่สบายและตระเตรียมมื้อเช้าให้ทานก่อนใคร แล้วบอกแม่บ้านคนอื่นให้หยิบยาแก้ไข้มาให้เขาทานเสร็จสรรพ วิริยะทานได้ไม่กี่ทำก็ไม่รู้สึกอยาก อาจเป็นเพราะพิษไข้อย่างที่แม้ต้อยว่า เด็กหนุ่มทานยาตามคำขอร้องของนางแล้วพาตัวเองเดินออกไปข้างนอก ผ่านห้องโถงใหญ่ของบ้านไปยังบันได

ระหว่างนั้นสวนทางกับเชษฐ์ไชยที่กำลังเดินลงมา วิริยะพยายามอย่างที่สุดเพื่อให้ตัวเองดูแข็งแรงในสายตาอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ให้กลับบ้านอีก เมื่อพ้นสายตาของอัฐษไชย วิริยะรับรู้แต่โดยดีว่าเชษฐ์ไชยไม่จำเป็นต้องพูดคุยดีกับเขา หรือมองด้วยสายตาของคนรู้จัก เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองพื้นแต่ละขั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ พาร่างอ่อนระโหยไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง

รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

หวังว่าทุกอย่างมันจะเป็นอย่างที่อัฐษไชยพูด ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมในอีกไม่ช้า

หวังเหลือเกิน





----------------------------------------------



 ตอนหน้าเป็นช่างเวลาของอาเชษฐ์กับวิวอย่างเดียวแล้วค่ะ เพราะทุกคนจะกลับไปแล้ว เหลือแค่ทั้งสองได้ใช้เวลาด้วยกัน เรื่องราวก็เริ่มข้นขึ้น ความสัมพันธ์ของตัวละครก็มีมากขึ้น

ยังไงก็คอยติดตามกันด้วยนะคะ

เจอกันตอนหน้าจ้า

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สงสารวิว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
วิวสูๆ นะ นึกถึงเพลงพี่เบิร์ด กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
เป็นช่วงที่สับสนสุดๆนะ กลับไปก็ไม่อยากเจอคนที่บ้าน ตั้งใจอยู่ต่อ
แต่ก็ต้องปรับตัว และยังสับสนอีก
 :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
วิว สู้ๆนะลูก  :กอด1:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๗

“ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

อัศวินบอกขณะที่ทั้งหมดยืนกันอยู่หน้าบ้านพัก หลังจากเก็บข้าวของขึ้นรถยนต์ วิริยะยกยิ้มทั้งพยักหน้ารับความห่วงใยในฐานะเพื่อนสนิท เวลาเที่ยวของทุกคนผ่านไปไวกว่าที่คิดจนต้องกลับแล้ว ข้างกายอัศวินเป็นอัฐษไชยที่ยืนอยู่กับพี่ชายฝาแฝด ร่างสูงขยับเข้าไปกอดเชษฐ์ไชยแล้วตบบ่าหนาเปาะด้วยรอยยิ้มสุขุมเช่นเคย

“ฉันกับหลานไปก่อนนะ ถ้ามีเวลาพวกเราจะมาอีก”

“ใช่ครับ พวกเราสนุกมาก คนของอาเชษฐ์ก็ดูแลพวกเราดีมากเลย” มาร์คพูดขึ้น พลอยให้เพื่อนคนอื่นเออออ แล้วจบด้วยคำหวานเอาอกเอาใจคนแก่ “ยิ่งกับข้าวป้าต้อยคนสวยนะ อร่อยมากเลยครับ”

“ขอบคุณค่ะ” นางทำหน้าพอใจปนขัดเขิน

“ลูกสาวป้าต้อยก็สวยด้วย”

“ไอ้แฟรงค์!”

มาร์คตบหัวเพื่อนผู้โพล่งขึ้นอย่างตกใจ อีกคนก็ช่วยกันปิดปากพร้อมแสดงสีหน้าว่าบริสุทธิ์ใจให้แม่ต้อยเห็น นางโคลงศีรษะ ระอาอยู่ในทีแต่ก็ยังยิ้ม “หนุ่มเมืองนี่กะล่อนเชื่อไม่ได้ตั้งแต่เด็กอย่างนี้ทุกคนรึเปล่าคะ คราวหน้าฉันจะได้สั่งไม่ให้ลูกสาวเดินผ่านเลยสักครั้ง เดี๋ยวโดนล่อลวงเอาได้”

“เปล่านะครับป้าต้อย ไอ้แฟรงค์มันชมตามความจริง น้องเขาน่ารักดี”

“ชอบน้องเขาก็บอก กลัวแม่ยายไม่ให้จีบอะเด้!”

“ไอ้แฟรงค์!” มาร์คหันไปช่วยเพื่อนกุมปากพ่อแฟรงค์จอมโพล่งด้วยสีหน้าเฝื่อนลง แล้วส่งยิ้มแหยให้ฝั่งแม่ต้อยและเจ้าของสถานที่ที่ยืนหน้ามุ่ย ตอนนี้ก็สี่โมงเย็นแล้ว ไม่มีแดดให้ร้อนหรือชวนอารมณ์เสียใด ๆ เด็กหนุ่มคาดว่าสีหน้าของอีกฝ่ายที่เป็นอยู่ตอนนี้ ต้นเหตุมาจากเขา

“จะจีบเด็กบ้านนี้มันเร็วไปสิบชาติ ข้ามศพฉันไปก่อน”

เสียงของเชษฐ์ไชยดังขึ้น เรียกให้วิริยะหันไปมอง เห็นท่าทีนิ่งกว่าทุกครั้งและแม่ต้อยที่เพียงยิ้มขัน “ก็ตามที่นายเชษฐ์บอกนั่นแหละค่ะ”

สิ้นคำนั้น ทำเอามาร์คถึงกับอึ้งไป เรียกเสียงหัวเราะของทั้งวิริยะและเพื่อนรุ่นเดียวกันได้เป็นอย่างดีเพราะไม่เคยเห็นมาร์คเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน

อัฐษไชยยกยิ้มเมื่อเห็นเด็ก ๆ ร่าเริง สะกิดพี่ชายให้หันดูวิริยะที่กำลังยิ้มจนตาหยีชี้นิ้วใส่เพื่อนร่วมกลุ่ม ครั้นเชษฐ์ไชยมองตาม ชายหนุ่มก็พูดว่า “วิวเป็นเด็กแบบนั้น ดูท่าทางเหมือนปิดตัวไม่ยอมรับใครเลย แต่พอรู้จักกันจริง ๆ แล้วเข้ากับคนง่ายกว่าที่คิด เวลาสนิทกันเขาจะปล่อยรอยยิ้มแบบนั้นออกมา รอยยิ้มนั่นสามารถชาร์จพลังงานชีวิตของเราได้”

“พูดเรื่องอะไรเข้าใจยากฉิบหาย” พี่ชายยักไหล่

“เวลาแกเหงาก็คุยกับเด็กคนนี้สิ”

“ไม่เอา ไร้สาระ”

อัฐษไชยมองพี่ชายส่ายหน้า แล้วยกยิ้มให้คนวางท่า “แกไม่เคยคิดเลยเหรอ ว่ารู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้เขา”

คนฟังหันขวับมามองเขม็ง “ฉันไม่ใช่แก ไม่ได้อยู่ใกล้เด็กผู้ชายแล้วยิ้มหน้าบานอย่างแก”

“แกไปเห็นฉันทำหน้าอย่างนั้นตอนไหน แอบมองฉันงั้นเหรอ เอ…หรือว่าแอบมองใคร…”

“หุบปากไปเลย ไม่ต้องมาเดาใจฉัน ไอ้น้องเวร”

เห็นทีท่าร้อนตัวของเชษฐ์ไชยแล้วคนเป็นน้องก็ส่ายหน้า “ฉันเป็นน้องแกไม่กี่นาทีเอง แล้วบางประเทศเขาถือว่าคนออกมาทีหลังเป็นพี่ด้วย เพราะฉะนั้นหัดรับฟังสิ่งที่ฉันพูดบ้างก็ได้ ไอ้พี่เวร”

“เป็นบุญหูฉันที่ได้ยินแกพูดคำหยาบ” เชษฐ์ไชยยกยิ้มแล้วยกมือล้วงกระเป๋า เหลือบมองประเด็นหลักที่รู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึงอย่างไม่กระโตกกระตาก พูดกับอัษฐไชยอีกว่า “ถ้าฉันเหงา ฉันแค่ไปที่คอกม้า ไปที่ไร่ ทำงานหาเงินแล้วเอาเงินนั้นมาปรนเปรอตัวเอง”

“มีเงินไม่เหมือนมีเมียหรอก”

“พูดเหมือนเคยมี!” คนมีประสบการณ์เยอะกว่าทำท่าเหนืออย่างเห็นได้ชัด อัษฐไชยส่ายหน้าให้อย่างอดทนกับนิสัยของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ ชายหนุ่มขยับเข้าไปยืนใกล้ กระซาบเสียงแผ่วให้เชษฐ์ไชยฟังว่า “ก็รู้อยู่ว่าแกเคยมี แต่หลังจากนี้แกควรเปลี่ยนนิสัยตัวเองเวลามีเมียได้แล้ว กับเมียใหม่น่ะ”

“ไอ้อัฐษ์ แกพูดเรื่องอะไร!” คนย้อนเบิกตาโต มองน้องชายที่ยกยิ้มมีเลศนัย

“ไม่ มี อะ ไร หรอก ครับ…”

แล้วหางตามองไปยังวิริยะเป็นเชิงยั่วเย้าพี่ชาย เชษฐ์ไชยรู้สึกถึงลมที่วิ่งพล่านไปทั่วตัวแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเตะขายาว ๆ ของอัฐษไชยไปทีอย่างหงุดหงิด คนน้องแทนที่จะโกรธ แต่กลับหัวเราะพึงพอใจมากกว่าที่กระเซ้าเย้าแหย่พี่ชายให้โมโหได้ พลอยได้เรียกรอยยิ้มของแม่ต้อยที่ยืนมองให้มีความสุขไปด้วย เพราะนึกถึงเมื่อครั้งวัยเยาว์ ทั้งสองก็หยอกล้อกันเป็นเพื่อนเล่นตลอดเช่นนี้

“ไปกันดีกว่า ล่ำลากันเสร็จแล้วนะเด็ก ๆ” คุณอาหนุ่มหันไปถาม

“ครับ ว่าแต่อาเชษฐ์ครับ ฝากดูไอ้วิวมันอีกทีนะครับ” อัศวินบอก

“เออ! อาจะดูแลอย่างดีเลย”

คนกล่าวยกมือเกาศีรษะอย่างนึกรำคาญอยู่ในที น้ำเสียงนั้นได้เรียกให้คนตัวโปร่งหันไปมองเพราะต้องการทราบว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ซึ่งครั้นอีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกมอง ก็หันมาตีหน้าดุใส่เขาอย่างไม่ปิดบัง หลังจากที่หลานชายของเจ้าตัวขึ้นรถไปแล้ว

วิริยะโบกมือลาจนรถของอัฐษไชยลงเนินไปหายลิบ มีเพียงฝุ่นควันสีแดงลอยละลิ่วหลงเหลือเล็กน้อยเท่านั้น พอมาคิดอีกทีก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน เพราะหลังจากนี้จะเหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว คนที่คิดว่าจะฝากผีฝากไข้ก็กลายร่างเป็นยักษ์ ยืนทำหน้าเป็นหมาร็อตไวเลอร์รอเขาอยู่ด้านหลัง

เด็กหนุ่มหันไปเห็นเชษฐ์ไชยยืนกอดอกรออยู่ ไม่ได้รีบเดินหนีเข้าไปในบ้าน สายตาของอีกฝ่ายดูไร้ความรู้สึกและห่างเหินกันมากจนเด็กหนุ่มต้องหลบตาทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เห็นเช่นนั้นแล้ววิริยะตัดสินใจเดินแยกออกมา คิดว่าเป็นฝ่ายเขาสิควรโกรธที่ถูกหลอกมาโดยตลอด

คิดว่าเป็นเจ้าของที่นี่ เป็นอาของอัศวินแล้วอยากทำตัวยังไงต่อเขาก็ได้งั้นหรือ

เขาไม่แคร์หรอก เขาต่างหากที่ควรทำท่าทางอย่างนั้นต่ออีกฝ่าย

“เดี๋ยว!”

เสียงเรียก ทำให้วิริยะชะงักเท้าอยู่กลางโถงใหญ่ของบ้านไม้ เด็กหนุ่มหันไปมองคนขานชื่อที่เดินมาหยุดทำหน้าขึงขังใส่อย่างงุนงง ถึงจะคิดแบบอวดเก่ง แต่ครั้นพอรู้ว่าพี่หนวดของเขาคือใครก็อดที่จะรู้สึกหวั่นกลัวไม่ได้ ตัวก็ใหญ่ หน้าก็ดุ พละกำลังก็มหาศาล

“ครับ อาเชษฐ์”

คนตรงหน้าถอนใจ ยกมือเท้าสะเอว “ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า”

“ฮะ” วิริยะย้อนหน้างง

“ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า”

“ไม่ได้ให้พูดใหม่ ผมแค่งงว่าอาเชษฐ์ให้ผมไปเก็บเสื้อผ้าทำไม” เด็กหนุ่มรีบพูด

“ย้ายไปอยู่ที่ใหม่”

“อะไรนะ”

เชษฐ์ไชยยกมือสางผมที่หล่นมาปรกตาขึ้น ทำหน้าจริงจังกล่าวว่า “ก็หลานฉันกลับไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าเธอไม่ใช่แขกของฉันอีกต่อไป เธอเป็นคนงาน ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่สำหรับคนงานอยู่น่ะสิ บ้านของฉันไม่ให้คนอื่นนอกจากคนในครอบครัวของฉันอยู่หรอก”

วิริยะรู้สึกเหมือนถูกตอกหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ก็ไหนอาเชษฐ์รับปากกับไอ้อิกว่าจะดูแล…”

“ก็ดูแลได้แค่ในฐานะคนงานนั่นแหละ เร็ว ฉันให้เวลาเก็บของแค่ห้านาที อีกห้านาทีฉันต้องเห็นเธอไปรอที่รถ”

“นี่พี่จะทำแบบนี้กับผมใช่ป่ะ!” วิริยะเสียงดังอย่างสุดทน โกรธจนหน้าดำหน้าแดงแต่ทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยเอาจริง ไม่ใช่พี่ชายคนเก่า แล้วเด็กหนุ่มจะทำอย่างไรได้เล่า นอกจากมุ่นคิ้วหน้ายู่ยับกว่ากระดาษ “เออ! ไปก็ได้ ไม่ง้อหรอก”

แล้วคนกล่าวก็เดินกระแทกเท้าตึงตังเดินขึ้นไปด้านบน เชษฐ์ไชยเพียงแค่มองตามเท่านั้น ไม่ได้สะทกสะท้านต่อพฤติกรรมของเด็กคนนี้ รู้เพียงว่าน้องชายได้เห็นความลับของพวกเขาเข้าแล้ว ความลับที่เด็กคนนั้นไม่ต้องการให้ใครรู้ และคนที่รู้นี้อาจจะเป็นใครที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นคนที่ชอบก็ได้ เพราะยามที่วิริยะมองอัฐษไชยก็เต็มตื้นไปด้วยสายตายกย่องเชิดชูเหลือเกิน

เชษฐ์ไชยเข้าไปที่ห้องพักจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะรู้สึกเหนียวตัว ด้วยทำงานมาทั้งวัน อัฐษไชยก็บังคับให้มาส่งหลานชายกับเพื่อนเขาจึงได้ปลีกตัวจากงานมา

ผ่านไปสิบนาทีจึงลงมาด้านล่าง เห็นเด็กหนุ่มที่เขาสั่งให้รอกำลังยืนหน้ามุ่ยอยู่ ชายหนุ่มมองผ่านสีหน้านั้นแล้วเดินวนรถคู่ใจไปยังฝั่งคนขับโดยไม่พูดมาก

แม้จะยืนรอกว่าห้านาทีแล้ว และอีกฝ่ายไม่มีทีท่ารู้สึกผิดที่บอกให้เขาทำ วิริยะสะบัดความขุ่นใจออกแล้วเปิดประตู เห็นกองเอกสารวางอยู่บนเบาะข้างคนขับแล้วก็แปลกใจ ครั้นเมื่อเด็กหนุ่มจะยกมันออก สายตาพิฆาตก็สาดมาใส่ให้เขาชะงักมือ “ใครบอกให้นั่งตรงนี้ ไปนั่งข้างหลัง เอามือออกจากงานฉันซะ”

“แต่…”

“รึจะวิ่งไป”

เด็กหนุ่มถอนใจให้พ่อวัวกระทิงจอมเหวี่ยงนี่ จำใจปิดประตูเดินไปด้านหลังโดยไม่พูดอันใดต่อ โยนกระเป๋าใส่กระบะแล้วปีนขึ้น ไม่ทันได้นั่งดีเสียด้วยซ้ำรถก็ขยับขับเคลื่อนออกอย่างไว ทำเอาวิริยะกลิ้งหลุน ๆ ไปกองที่ท้ายรถ ยังดีที่มันปิดไว้ ไม่อย่างนั้นอาจเห็นเด็กหนุ่มนอนคลุกฝุ่นอยู่ก็ได้

นั่นทำให้วิริยะรู้ตัวว่าเขาอาจถูกเกลียดแล้ว เชษฐ์ไชยแกล้งเขา

แต่ช่างเถอะ ใครจะไปง้อ!

ได้ต่างคนต่างอยู่อย่างนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องลำบากเวลาเจอหน้ากัน

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีแต่นานสำหรับวิริยะเหลือเกิน กว่าจะถึงที่พักที่ว่านั้น หัวของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนมาเป็นสีแดงหมดแล้ว

ครั้นรถจอดเขาก็รีบลงมาสะบัดปัดฝุ่นออกจากผม เนื่องจากเป็นเวลาหลังเลิกงาน ทุกคนจึงยังอยู่หน้าบ้าน ไม่ได้รีบเข้าพักผ่อน ที่นี่เป็นห้องแถวเรียงกันยาวอยู่สองฝั่ง ด้านหน้าแต่ละห้องมีที่สำหรับให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจทุกบ้าน เมื่อไปถึงได้เรียกสายตาของทุกคนให้ความสนใจเด็กหนุ่มเป็นพิเศษ

เจ้าของสถานที่เดินนำไปหาลุงแสวงที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ เป็นสามีของแม่ต้อย พูดคุยกันสองสามนาที วิริยะเห็นลุงแกชี้ไปยังฝั่งของห้องแถวห้องหนึ่งอยู่สักพัก แล้วเชษฐ์ไชยก็เดินแยกมาเรียกเขา “ตามมา จะพาไปที่ห้อง นี่กุญแจ ตรงนั้นเป็นห้องอาบน้ำของผู้ชายที่เธอต้องใช้ กับห้องน้ำที่ต้องใช้รวมกัน”

มันตั้งอยู่ท้ายของห้องแถวที่ไกลพอสมควร

“ไม่มีห้องน้ำในตัวเหรอครับ” เด็กหนุ่มรีบถาม “แล้วถ้าปวดตอนดึก ๆ ล่ะ”

“นั่นมันเรื่องของเธอ”

ว่าจบก็เดินไปอีกฝั่ง ไม่ใช่ฝั่งที่ลุงแสวงชี้บอกให้ไป วิริยะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแค่หอบข้าวของแล้วยิ้มทักทายคนที่เดินผ่าน ซึ่งกำลังพักผ่อนหรือรวมกลุ่มพูดคุยกันอยู่หน้าห้องพักของตนเอง ตึกแถวนี้มีสิบกว่าห้องเรียงกันยาวไปจนเกือบสุดตา มีสองตึกซึ่งหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางเป็นลานกว้างไว้ใช้ทำกิจกรรม มีต้นไม้และเก้าอี้นั่งเล่น

เชษฐ์ไชยพาเด็กหนุ่มไปหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่งซึ่งอยู่เกือบท้าย มันอยู่ใกล้ห้องน้ำดี แต่ข้อเสียคือตอนกลางคืนคงมืดมาก เพราะไฟติดอยู่กลางตึก และตรงหน้าห้องน้ำ ที่สำคัญเขาเป็นพวกกลัวผีจนยอมนอนอั้นฉี่ถึงเช้าได้ ยามไปเข้าค่ายที่ไหนมักเป็นแบบนั้น เมื่อเห็นห้องพักของตนเองแล้ว วิริยะรีบเปิดประตูเข้าไปด้านใน วินาทีแรกเด็กหนุ่มชะงักไปกับกลิ่นฝุ่น แต่ไม่เป็นไร ของแค่นี้มันทำความสะอาดได้

ภายในห้องเป็นสีขาวสะอาดตาดีอยู่ ด้านบนก็ติดฝ้าอย่างดี แต่ก็มีรอยโหว่อยู่หนึ่งแผ่นคล้ายว่าน้ำซึมลงมาใส่จนมันแตกผุ ห้องกว้างพอวางข้าวของได้ครบ เสียแต่เขาไม่มีสมบัติอะไรนอกจากเสื้อผ้า ในนี้มีตู้ให้ใส่ข้าวของจิปาถะเล็กน้อย ใส่เสื้อผ้า ฟูกเนื้อต่ำที่ถูกพับไว้และปกคลุมด้วยผ้าป้องกันฝุ่นไรอีกที อันที่จริงพื้นปูกระเบื้องอย่างดี แต่เจ้าของเก่าคงชอบเสื่อน้ำมันมากกว่า และลวดลายมันก็น่ารักดีหากทำความสะอาดเอาฝุ่นออก

เดินสำรวจทั่วทั้งห้อง เด็กหนุ่มเห็นพัดลมตัวขนาดกลางตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าก็เดินไปหยิบมาดู น่าเสียดายที่คอมันหักจนหน้าง้ำลง อาจจะพังไปแล้วก็ได้ น่าเสียดายจริง ๆ

“ห้องเก่าไปหน่อย อยู่ได้ใช่ไหม” คนด้านหลังถามเมื่อเห็นวิริยะสำรวจรอบกาย แวบหนึ่งเด็กหนุ่มเห็นสายตาที่บอกได้ว่ากำลังดูถูก บอกว่าเขาติดสบาย คงอยู่ที่แบบนี้ไม่ได้แน่

“ได้ครับ ดีกว่าที่คิด” แต่อยากได้พัดลมสักตัวก็ยังดี หน้าร้อนเขาอยู่แบบไม่มีพัดลมไม่ได้เลย

“ในตู้เสื้อผ้ามีมุ้ง แล้วเรื่องของกินต้องมากินตามเวลาที่ไร่ทำ มาช้ากว่านั้นก็อด” คนกล่าวกอดอกพูดหน้าตาเฉย มองตามวิริยะที่เดินออกมาข้างนอกวางข้าวของลงไว้ก่อน แล้วเดินไปทักทายเพื่อนบ้านที่เป็นครอบครัวคนต่างจังหวัดด้วยรอยยิ้มสดใส

จากนั้นเจ้าตัวก็ขอยืมไม้กวาดและไม้ถูพื้นกลับมาที่ห้องพัก จัดการลงมือทำความสะอาดเองอย่างขมักเขม้นบอกเป็นนัยว่าเรื่องนี้สบายมาก ไม่มีอะไรทำลายความมุ่งมั่นของเจ้าตัวได้

“นายเซษฐ์ พาคนงานใหม่มาพักเบาะครับ คือบ่พาไปห้องดี ๆ ทางพู้น”

เชษฐ์ไชยหันขวับมองไอ้ดำกับคำทักทายของมัน “เรื่องของกู”

“ให้มาพักฝั่งนี้ ว่าแต่แม่นผู้สาวบ่ครับ งามบ่” ว่าแล้วมันทำท่าจะชะโงกหน้าเข้าไปด้านใน เชษฐ์ไชยดึงคอเสื้อคนงานรุ่นน้องกลับอย่างเป็นไปอัตโนมัติ โดยไม่เข้าใจตนเองว่าจะหวงทำไม แล้วสะบัดมือออกเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของดำ มันเกาศีรษะถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นวิริยะก้มหน้าก้มตาถูพื้นอยู่ “ผู้ซายคือให้มาอยู่ม่องนี้ล่ะครับ ดำกะนึกว่านายเซษฐ์พาผู้สาวมา กะว่าสิจีบจักหน่อย”

“ฝั่งนี้มันใกล้ห้องน้ำ เด็กมันอยากอยู่ใกล้ห้องน้ำ”

ชายหนุ่มตอบผ่าน ๆ

“ผู้ซายอีหยังคือมาขาวจูนพูนพอปานหยวกกล้วยแท้ สิเฮ็ดงานหยังได้ครับนายเซษฐ์”

“ทำได้ก็แล้วกันน่ะ”

วิริยะเดินออกมาข้างนอกหลังถูพื้นเสร็จ มือยาว ๆ ยกไม้ในมือตั้งฉากกับพื้นทำหน้าทำตาไม่พอใจเมื่อโดนดูถูกอีกครั้ง เมื่อออกมาด้านนอกได้ คนอายุมากกว่าทั้งสองก็ได้เห็นว่าเลือดฝาดขึ้นมาอยู่เต็มหน้าขาวของเด็กหนุ่มรวมกับเหงื่อบนหน้าผาก

เมื่อเห็นว่าดำแอบพินิจพิเคราะห์เด็กตรงหน้า เชษฐ์ไชยก็กระแอมเสียงดัง

“นี่ไอ้ดำ คนงานที่นี่” ชายหนุ่มบอกวิริยะ เด็กหนุ่มผละมองชายที่รู้ว่าอายุมากกว่าแล้วยกมือไหว้ ท่าทีพอรู้อยู่ว่าอายุน้อยกว่าเชษฐ์ไชยแต่มากกว่าเขา อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเป็นอาวุธ ถึงแม้ตัวจะคล้ำทว่ากลับทำให้เพิ่มความดูดีขึ้นมากอีกเมื่อดูในภาพรวม

“สวัสดีครับ ผมชื่อวิว”

“ไอ้ดำ สรุปเจอไหมวะสาวที่มึงว่า” เสียงใครสักคนร้องมาแต่ไกล เป็นหนุ่มตัวสูงโปร่งผิวสะอ้านกว่าดำระดับหนึ่ง แต่คล้ำกว่าเชษฐ์ไชย หน้าตาหล่อ ตัวบางกว่าดำและก็ดูมีสัดส่วนน่ามอง ที่สำคัญพูดภาษากลางด้วย

“นี่บักหมอก หมู่อ้าย นี่น้องวิว คนงานคนใหม่ที่นายเซษฐ์พามาเด้อหมอก ถ้าน้องวิวต้องการให้พวกเฮาซ่อยอีหยังบอกมาได้เลย ห้องพวกอ้ายอยู่ฝั่งพู้น ห้องที่มีกระถางต้นไม้งาม ๆ นั่น ย่างไปหาเฮาได้ตลอด รึจะแวะมานั่งเล่นนำกันกะได้ บ่ต้องเกรงใจ” ดำพูดยาวเป็นหางว่าว ทำเอาวิริยะแทบประมวลคำศัพท์ที่ได้ยินเกือบไม่ได้ รู้เพียงว่าตอนพูดด้วยนั้นดำยิ้มด้วยไมตรีจิตที่ดี

“ครับ ขอบคุณครับพี่ดำ”

“ว่าแต่ทำไมนายเชษฐ์ให้มาอยู่นี่ล่ะ ฝั่งโน้นก็ยังโอ๊ย…” ดำกอดคอเพื่อนแล้วหยิกตูดให้เงียบไป ไม่อย่างนั้นความหวังดีของพวกเขาอาจเป็นการทำให้ตกงานก็เป็นได้ เมื่อเห็นสายตาของคนยืนฟังนั้นเดือดเป็นน้ำร้อนรออยู่

ดำยกยิ้มแล้วพูดลา “ซั่นอ้ายไปก่อนเด้อ มื้อนี่มีนัดกับหมู่ในกลุ่มว่าสิไปอาบน้ำอยู่น้ำตก ไป…บักฮูดาก!” แล้วก็ลากคอหมอกไปอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มสุดพิรุธ

วิริยะเพียงยิ้ม แล้วหันมาเจอะหน้าบูดของเชษฐ์ไชย พลอยให้อารมณ์เขาบูดตามไปด้วย

“พี่ดำ ขอผมไปอาบน้ำด้วยสิ...”

“ทำธุระเสร็จแล้วรึไง!” เชษฐ์ไชยทำเสียงดังกลบ ขณะที่ยังกอดอกมองอยู่ วิริยะสะดุ้งหันขวับไปมองคนดุ ซึ่งเสียงอันมีอำนาจนั้นได้เรียกสายตาเพื่อนบ้านให้มามองอยู่จุดนี้เป็นจุดเดียว

ตอนนี้หน้าเขาคงหงอยเหลือสองนิ้วเท่านั้น วิริยะทำได้เพียงมองเข้าไปข้างในแล้วพูดเสียงเบาว่า “ยังครับ”

“ทำให้เสร็จ เรื่องแค่นี้ก็ยังต้องให้บอก” คนฟังเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พูดเรื่องสำคัญพร้อมยกนิ้วชี้สั่ง “แล้วก็ต่อจากนี้ไป อย่าเรียกฉันว่าพี่ต่อหน้าใครเด็ดขาด ถ้าเรียกเมื่อไรฉันจะไล่ออกไปโดยไม่มีข้อแม้ ที่นี่ฉันเป็นนายใหญ่ใคร ๆ ก็นับถือ อย่ามาตีสนิทกับฉัน ไม่ต้องมารู้จักกัน ไม่ต้องมาทำตัวเด่นเพราะเป็นเพื่อนของหลานฉัน”

วิริยะเข้าใจแล้ว เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธความต้องการของอีกฝ่าย

“ครับ…”

แล้วก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง

“ไปกินข้าวที่โรงอาหารฝั่งโน้น แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำ รีบเข้านอนด้วย พรุ่งนี้ต้องเริ่มงาน ต้องตื่นแต่เช้า”

คนฟังหันกลับมารับคำสั่งเสียงอ่อนลง “ครับ”

ผู้เป็นเจ้านายนิ่งไปพักหนึ่งเพราะหมดคำพูด ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเกินคาด ทั้งที่คิดว่าฝ่ายวิริยะจะต้องเถียง ต้องพยายามเอาแต่ใจเพื่อให้ได้อยู่ในห้องที่ดีและสะอาดกว่านี้แน่

เชษฐ์ไชยมองตามแผ่นหลังแคบของคนงานคนใหม่ที่กำลังจัดข้าวของอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินกลับมาที่รถ ชายหนุ่มไม่ได้ขับออกไปแต่เดี๋ยวนั้น รอจนกว่าเห็นวิริยะเดินเอาไม้กวาดและไม้ถูพื้นไปคืนเพื่อนห้องข้างแล้วจึงสตาร์ทรถ รู้สึกหงุดหงิดร้อนใจประหลาด สะบัดภาพสีหน้ายามเด็กคนนั้นตอนขานรับคำสั่งของเขาง่าย ๆ ไม่ได้เลย

มันมีแต่ความผิดหวัง

แต่ช่างมันเถิด เขาไม่สน ก็แค่คนงานคนหนึ่งเท่านั้น…

ชายหนุ่มบอกตนเองเช่นนั้นแล้วบังคับยานพาหนะคู่ใจแล่นออกไป

 

 
-----------------------------------------------------------------------
อะไรคือความหวง ไม่ยอมให้คนอื่นเห็นน้องคะอาเชษฐ์ อิอิ

เนื่องจากเขียนทั้งสองมุมมอง คงไม่มีใครเกลียดอาเชษฐ์ใช่มั้ย นางจะใจร้ายแบบไม่ร้ายสุด ๆ นะ จะแอบมองตลอด

แม้ว่าอาเชษฐ์จะเป็นสามีที่ซึนมาก แต่นางจะไม่ได้ซึนขั้นสุด จะมีหลุดออกมาให้คนอ่านกระชุ่มกระชวยใจ ยังย้ำว่าเรื่องนี้เป็นแนวเบาสมองนะคะ ไม่ต้องคิดมากว่าทั้งสองโกรธกันแล้วจะดราม่าอะไร เดี๋ยวเรื่องจะเข้มข้นและน่ารักขึ้นค่า

คอมเม้น ไลค์ แชร์ให้ด้วยนะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


--๕๐--


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไม่เกลียด แต่หมั่นไส้ ขอทีเถอะ  :fcuk:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะร้องไห้แล้วนะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ทำไมทำกับโสรยาได้เพียงนี้นะ พี่เชษฐ์ อ้าว..วิวเองเหรอ นึกว่าเรื่องจำเลยรักซะอีก อิอิอิ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
พี่เชษฐ์ น้องไม่ได้ตั้งใจ อย่าแกล้งน้องเลยนะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


(ต่อ)

หลังทำความสะอาด จัดแจงข้าวของสัมภาระอันน้อยนิดของตนเองแล้วนั้น วิริยะเดินสำรวจห้องตนเองอีกครั้ง เจอะกับเจ้าพัดลมหน้าหักงอตัวเดิมตั้งอยู่ ด้วยความอยากรู้จึงยกไปเสียบปลั๊กแล้วลองเปิดว่าใช้ได้หรือไม่ ความที่ตั้งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว ครั้นกดปุ่มเปิด ฝุ่นที่เกาะกรังก็พุ่งลอยเข้ามาเต็มหน้าเด็กหนุ่มจนร้องเหวอ ควานหาปุ่มปิดแทบไม่ทัน

ถึงจะน่าตกใจ แต่มันยังใช้ได้อยู่

“ขอบคุณพระเจ้า!” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม ลูบตัวช่วยชีวิตตรงหน้าอย่างดีใจราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต “อยู่ไปกับผมนาน ๆ นะ อยู่ไปจนถึงสองเดือนข้างหน้าเลยก็ได้ ผมสัญญาว่าจะดูแลอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลย”

คนเพ้อพูดคนเดียวยกมันไปทำความสะอาดข้างนอกอยู่ครู่ ครั้นแล้วเสร็จเด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้มหน้าบานมีความสุขที่สุด “โอ้โหพี่ชาย ที่แท้ก็สีเขียวนี่เอง ถึงจะหน้างอไปหน่อย แต่พอตัวสะอาดแล้วหล่อไม่เบานะเนี่ย มาเถอะ มาดูแลผมข้างในกันเถอะ” ไม่พูดเปล่า วิริยะอุ้มยกอย่างทนุถนอมเข้าไป ไม่ทันได้เห็นสายตาคนข้างห้องที่มองตามด้วยความอึ้งระคนสงสัยในความบ้าบอของเขา

เด็กหนุ่มไม่สน ตอนนี้เขามีความสุข ได้ออกมาจากสายตาดุ ๆ นั่น ได้อยู่เป็นส่วนตัวอย่างนี้เขาก็พอใจแล้ว

“นี่ มีใครอยู่ข้างในไหม”

วิริยะหันขวับไปตามเสียงด้วยความใคร่ทราบเมื่อมีใครเรียก ครั้นวางพัดลมตัวเขียวไว้อย่างเบามือแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกับเพื่อนอีกสองคนยืนรออยู่ “ครับ มีอะไรเหรอครับ”

“เราเองเหรอที่มาอยู่นี่ ก็นึกว่าผู้หญิงซะอีก” หล่อนกอดอกมองวิริยะตั้งแต่หัวจรดเท้าครู่หนึ่ง ฝ่ายเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้นิ่งถูกคุกคามทางสายตาเพียงฝั่งเดียว เขาสำรวจเห็นว่าคนถามน่าจะอายุมากกว่าหลายปี สักยี่สิบกว่าได้ หน้าดูเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา ผิวคล้ำแดด แต่ผิวหน้าดีและเนียนละเอียดกว่าสองคนข้างหลัง

เด็กหนุ่มตอบกลับว่า “ครับ ผมเอง พี่ ๆ มีอะไรรึเปล่า”

ผู้ฟังกลอกตา แล้วหันไปทำท่าหัวเราะ เป็นหัวเราะปลอมที่สุดเท่าที่วิริยะเคยเห็นมาเลย “เปล่าหรอกจ้ะ พวกพี่ก็แค่อยากมาเห็นหน้าคนที่นายเชษฐ์มาส่งถึงที่กันเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าจะวิเศษวิโสมาจากไหน”

“หมายความว่าไง” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว หรือจะเป็นพวกขี้อิจฉา

“ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกจ้ะ พวกพี่แค่แซวเล่น” หล่อนสะบัดมือพูดทั้งหัวเราะ “ก็แค่คิดกันว่านายเชษฐ์ติดผู้หญิงที่ไหนรึเปล่า เห็นเขาว่ามาส่งถึงที่ขนาดนี้ ถ้าเป็นเราพวกพี่ก็โล่งใจไปเปราะนึง”

“ทำไมเหรอครับ พวกพี่ชอบอาเชษฐ์เหรอ”

“บ้าน่ะซี ใครจะไปกล้ากันเล่า เราน่ะไม่รู้อะไรหรอกว่าสมัยนายเชษฐ์มีเมียน่ะเอาแต่ใจขนาดไหน ที่สำคัญ พวกพี่ไม่มีทางนอกใจพ่อเทพบุตรบอยแบนด์ของพวกพี่หรอกจ้ะ” แม้จะแปลกใจกับสรรพนามที่วิริยะเรียกเชษฐ์ไชย ทว่าหล่อนทำท่าบิดตัวเขินเมื่อกล่าวถึงบอยแบนด์ที่ว่า ซึ่งเป็นกลุ่มคนดังที่วิริยะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยสักครั้ง

เด็กหนุ่มเพียงแค่เกาศีรษะ “เอาแต่ใจนี่ หมายถึงโหดด้วยใช่ไหมครับ”

“ใช่จ้ะ พวกพี่นี่ร้องไห้ร้องห่มกันมาหมดแล้ว เพราะความขี้เอาใจเมียของนายเชษฐ์ทั้งนั้น”

“เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ” วิริยะกระตือรือร้นอยากรู้

“ดีเลยจ้ะ พวกพี่อยากระบายกันมานานแล้ว ที่พวกพี่ไม่อยากให้นายเชษฐ์มีเมียก็เพราะว่าเขาเป็นพวกหลงเมียจนโงไม่ขึ้นเลยล่ะ ถ้าได้เมียดีก็ดีไป แต่ที่ผ่านมาเป็นเมียที่เลวมาก เอาแต่ใจแล้วก็กดขี่ข่มเหงพวกเราสารพัด เชิดคอว่าตัวเองเป็นเมียนายใหญ่ของที่นี่ แกล้งแม้กระทั่งคนงานตัวเล็ก ๆ คนแก่ ๆ อย่างป้าต้อยยังโดนเลย แล้วนายเชษฐ์ก็ไม่สนใจ เห็นดีเห็นงามตามใจเมียไปหมด เมียทำผิดก็ไม่เคยว่าเลย…” คนเล่าพูดด้วยทำหน้าจริงจังไปด้วย วิริยะทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับฟัง

“แล้วไงต่อครับ เมียเขาไปไหนแล้วล่ะ”

“ก็หนีไปน่ะสิจ๊ะ นายเชษฐ์เป็นพวกคนบ้างาน นังนั่นก็เลยหนีตามผู้ชายไปแล้วทิ้งลูกไว้ให้…”

“แล้วเด็กไปไหนล่ะครับ ฝากใครเลี้ยงเหรอ”

“คือ…” คนเล่าทำหน้าลำบากใจ มีทีท่าเสียใจไม่ต่างกับอีกสองคนที่นึกถึงเด็กคนนั้น วิริยะรู้สึกร้อนใจและอยากฟัง แต่รอให้ทั้งหมดพร้อมก่อนจะดีกว่า ซึ่งหล่อนก็ทำใจได้ไวอย่างที่คิด บอกเด็กหนุ่มเสียงเศร้าว่า “น้องณิชา แกเสียแล้วจ้ะ แกมีโรคประจำตัว ป่วยหนักแล้วก็จากนายเชษฐ์ไปเมื่อสองปีที่แล้ว ห่างจากตอนที่แม่รตีนั่นหนีไปแค่ปีเดียว ตอนนั้นน้องณิชากำลังน่ารัก ไม่น่ารีบจากไปเลย”

เด็กหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าเชษฐ์ไชยจะผ่านอะไรหนักหน่วงมาเช่นนั้น แม้ท่าทางจะดูมืดมนไปบ้าง ปิดกั้นตัวเองกับผู้อื่น แต่ก็ยังมองดูเป็นคนที่พึ่งพาได้จนเด็กหนุ่มมองผ่านท่าทางไร้อารมณ์ต่อโลกนั้นไปได้ นับว่าตากอริลล่านั่นเข้มแข็งพอควรเลย

“ว่าแต่เห็นเรียกนายเชษฐ์ว่าอาเชษฐ์ แบบนี้ใช่ไหมนายเชษฐ์ถึงได้พามาส่งถึงที่อย่างนี้” คนถามฉีกยิ้ม ทำเอาวิริยะนิ่งไป เขาเพิ่งรับปากคนหน้าดุว่าจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ไม่อยากให้ใครมองว่าเขาใช้เส้นสายหรืออวดเบ่งว่าเกี่ยวข้องอะไรกัน

“พวกพี่ ๆ อย่าไปบอกใครได้ไหมครับ ผมแค่ถูกคนรู้จักของอาเชษฐ์ส่งมา แต่ก็มาเป็นแค่คนงานธรรมดาเหมือนกัน ไม่ได้พิเศษอะไรกว่าคนอื่นเลย”

“พวกพี่เข้าใจจ้ะ ไม่ต้องห่วง” พวกหล่อนพยักหน้ารับคำ “แต่ดูท่าดูทางแบบนี้จะทำงานไหวเร้อ พี่ไม่ได้ดูถูกเรานะ ดูหุ่นสิผอมกะหร่องแบบนี้ ผิวก็เหมือนไม่เคยโดนแดดเลย อยากให้มาเห็นหนุ่ม ๆ ที่ไร่จังว่าตัวขนาดไหนถึงจะทำงานได้ ไม่แปลกใจที่คนเขาจะประคบประหงมกัน”

“โธ่ ผมทำได้นะพี่ พรุ่งนี้จะพิสูจน์ให้ดู” เด็กหนุ่มหน้าง้ำ

“ว่าแต่กินข้าวมารึยัง พวกพี่กำลังจะไปกิน แล้วก็…ว่าจะแวะไปหาอะไรเจริญหูเจริญตาดูสักหน่อย อย่างหลังเราคงไม่อยากไปด้วยหรอก” พวกหล่อนหันไปหัวเราะคิกคัก “เอ้อ มาชวนคุยตั้งนาน พี่ชื่อส้มนะ นั่นพี่กุ้ง อีกคนชื่อพี่ตา เราชื่ออะไร อายุเท่าไร ทำไมยังดูเด็กอยู่เลย”

วิริยะยกยิ้ม “ผมชื่อวิวครับ ตอนนี้สิบเจ็ดแล้ว”

“มิน่าล่ะทำไมดูเด็ก” พวกหล่อนเบิกตา เปลี่ยนแววที่เคยมองจิกมาเอ็นดูอย่างฉับพลัน “ไป ออกไปกินข้าวกับพวกพี่กันดีกว่า เดี๋ยวพาไปทำความรู้จักกับลุง ๆ ป้า ๆ ที่นี่ด้วยเลย เวลาต้องการความช่วยเหลือแกจะได้ช่วยได้ มาอยู่ที่นี่แค่ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูพวกแกก็พร้อมที่จะเอาใจแล้ว ยิ่งรูปร่างหน้าตาดูคุณหนูขนาดนี้ หลงกันทั้งไร่”

ไม่พูดเปล่า มือยาวเอื้อมมาดึงแก้มวิริยะส่ายไปมาอย่างมันเขี้ยวด้วย

“พี่ส้มก็” ไม่ชอบแบบนี้เลย เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าและลูบมันป้อย เมื่อได้ยินเพื่อน ๆ ของพี่สาวตรงหน้าหัวเราะคิก

หลังจากยอมให้ส้มแซวจนพอใจแล้ว วิริยะตามพี่ ๆ ทั้งสามไปยังโรงอาหารของไร่อย่างที่หล่อนต้องการ เด็กหนุ่มได้มีโอกาสทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ของไร่ และเหล่าพี่ ๆ ป้า ๆ หลายคน เมื่อไปถึงก็กรูกันเข้ามาทักทาย ชมเปาะว่าเขาน่ารัก ถึงขั้นสัมผัสเนื้อตัวราวกับไม่ค่อยเห็นคนมาจากเมืองเท่าไรนัก จากที่เด็กหนุ่มคิดหวั่นใจในตอนแรกว่าจะเข้ากับใครไม่ได้ แต่ทุกคนต่างเป็นกันเองและส่วนใหญ่ดูซื่อ ๆ ตามประสาชาวบ้านธรรมดา ทำให้วิริยะรู้สึกแปลกใจเหลือเกิน

ส้มพูดถึงว่ามีลูกหลานไปเรียนในเมืองก็เยอะแยะ หล่อขึ้น สวยขึ้น ผิวสะอ้านขึ้นมากันเยอะ แต่คนในเมืองแท้ ๆ กับคนย้ายเข้าสู่เมืองมันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดแสดงอยู่ ซึ่งวิริยะมีข้อนั้น เด็กหนุ่มจึงยิ้มรับคำทักทายแสนน่ารักของทุกคนอย่างรู้สึกอุ่นใจว่าจากนี้ไปคงอยู่อย่างมีความสุขกว่าที่คิด

“เดี๋ยวกินเสร็จจะไปอาบน้ำเลยก็ได้นะ พวกพี่จะแวะไปน้ำตกกันซักหน่อย”

วิริยะชะงัก ได้ข่าวว่าดำกับหมอกก็ไปที่น้ำตกเหมือนกัน มันใกล้ขนาดที่ใครก็ไปได้อย่างนั้นหรือ “ไปทำไมกันครับ เดี๋ยวก็มืดแล้วด้วย ไม่อันตรายเหรอ”

“ไม่หรอกจ้า น้ำตกอยู่ที่ท้ายไร่นี่เอง ส่วนจะอันตรายก็น่าจะอันตรายก็ตอนวันเสาร์อาทิตย์ละมั้ง”

“พูดมากไปแล้วยายตา” ส้มปรามเพื่อนปนยิ้มเมื่อนึกถึงสิ่งที่พาดพิงไปเมื่อครู่ สร้างความฉงนงุนงงให้แก่เด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก วิริยะรู้สึกราวตัวเองเป็นคนโง่ตามอะไรก็ไม่ทัน อยากรู้อยากเห็นไปหมด

“สรุปพวกพี่ไปทำไมกันครับ”

กุ้งวางช้อนลง แล้วยิ้ม “ไปดูเทพบุตร”

“อะไรนะ”

“ก็เทพบุตรบอยแบนด์ของพวกเราไง รึว่าวิวอยากไปดูด้วย” ส้มถาม เรียกรอยยิ้มแก่เพื่อนอีกสองคนขึ้นมาทันใด วิริยะหน้ามุ่ยเพราะตามสถานการณ์ไม่ทัน ที่จริงก็กลัวว่าจะมืดก่อนแล้วไม่กล้าอาบน้ำ แต่เขาก็อยากรู้เรื่องไอ้เทพบุตรที่ว่านั่นเหมือนกัน ครั้นตัดสินใจได้แล้ววิริยะก็ยืดหลังตรงอย่างมุ่งมัน ตอบกลับพวกหล่อนไปว่า

“โอเค! ผมจะไปน้ำตกกับพวกพี่…”

“ตายแล้ว เบา ๆ สิวิว” กุ้งรีบกระโจนมากุมปากวิริยะไม่ให้เสียงดัง ส่วนส้มก็ยกมือร้องชู่ด้วยหน้าแตกตื่นตกใจ พลอยให้วิริยะฉงนตามไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความลับ เด็กหนุ่มย่นคิ้ว มองทั้งสามคนอย่างไม่เข้าใจ

กระทั่งพวกหล่อนพาเขาปั่นจักรยานไปตามถนนของไร่ ลงไปจนสุดเนินขนาดสุดลูกหูลูกตาแล้วเลี้ยวไปทางตีนเขา คราแรกวิริยะเกรงใจที่จะให้กุ้งถีบจักรยาน แต่หล่อนบอกว่าเขาตัวเล็กนิดเดียว น้ำหนักยังน้อยกว่าหล่อนมากเพราะเป็นสาวอวบ อีกทั้งเขาไม่รู้เลยว่ากุ้งจะแข็งแรงได้ขนาดนี้ ปั่นโดยไม่หอบสักนิด อาจเป็นช่วงลงเนินด้วยทำให้ทุกคนไม่เหนื่อย และถึงสถานที่เร็วกว่าที่คิด เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นเอง

ไปถึง พวกเขาเห็นรถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงกันสองสามคันอยู่ที่ชายป่าสุดเขตของไร่ วิริยะยกมือเกาหัว แทนที่พวกหล่อนจะเอาจักรยานไปจอดที่โล่งดี ๆ กลับซ่อนไว้หลังพุ่มไม้ มันน่าสงสัย

ในขณะที่ทั้งสามย่องเข้าไป มีเพียงวิริยะเดินด้วยท่าทางปกติสุด เพราะเริ่มรู้สึกว่าสามสาวไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเมื่อได้ยินเสียงน้ำตกและคนเล่นน้ำไกล ๆ ส้มกระตุกดึงวิริยะให้ค้อมหมอบ เดินย่องตามกุ้งไปเรื่อย ๆ จนถึงต้นไม้ต้นใหญ่ริมตลิ่งฝั่งนี้ ห่างจากน้ำตกราวสิบกว่าเมตรได้ บริเวณโดยรอบเป็นต้นไม้พุ่มเล็กพุ่มใหญ่ไม่หนามากนัก ยกเว้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ตระหง่านตั้งอยู่ ซึ่งกุ้งก็ตรงไปหลบอยู่หลังมัน แล้วค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกไป

“ทำอะไรอะพี่”

“ชู่...”

หรือแอบมาดูพวกสัตว์ป่ากินน้ำทำนองนั้น วิริยะเบิกตาทำหน้างง มองส้มยกนิ้วชี้จ่อปากห้ามมิให้ส่งเสียงดัง แล้วเป็นกุ้งที่กวักมือเรียก วิริยะจึงลุกเดินเสียงเบาด้วยกลัวว่าสิ่งที่คิดจะแตกตื่น ครั้นไปถึงเด็กหนุ่มก็ชะโงกหน้าออกไป เห็นน้ำตกไม่เล็กไม่ใหญ่ มีน้ำไหลเอื่อยสาดกระเซ็นลงมาข้างล่าง ซึ่งเป็นบ่อน้ำสีมรกตสวยจนเกิดฟองอากาศสีขาว แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงคือ ผู้ชายมากกว่าห้ากำลังเล่นน้ำด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นอย่างสนุกสนาน!

สรุปมาแอบดูผู้ชายกันนี่หว่า!

“พี่!”

“ชู่ พี่บอกให้เงียบไง เดี๋ยวไก่ตื่นกันพอดีหรอก” ส้มบอกพร้อมคลี่ยิ้มหวาน แลบลิ้นทำท่าหื่นชะโงกมองออกไป “ดูสิ วันนี้หมอกใส่กางเกงในสีชมพูด้วย น่า…จริง ๆ เลย”

วิริยะอ้าปากค้าง “พวกพี่ทำอะไรกันเนี่ย”

“ไม่ได้ทำอะไร แค่ดู” ตาพูดแล้วชะโงกคอทำตาฉ่ำหวาน “โอ๊ยยย! จะถอดแล้วแก จะถอดแล้ว”

“หยุดกันเลย ห้ามดูนะพี่” วิริยะเบิกตา ปกป้องของสมบัติผู้ชายด้วยกันที่ไม่ควรเสียให้สาว ๆ หื่นพวกนี้ดู

“ห้ามไปก็เปล่าประโยชน์ พวกพี่มาดูกันบ่อย มากกว่านี้ก็เห็นมาแล้ว”

“เขาได้กันให้ดูเหรอพี่”

คนฟังหันขวับมามองเด็กหนุ่ม “เล่นมุกถูกมั้ย พี่หมายถึงแบบ…แบบ เปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรอย่างนี้จ้ะ” ได้ฟังแล้ววิริยะยกมือกุมขมับกับสาวทั้งสาม ไม่คิดว่าสาวบ้านนอกจะทำเรื่องขนาดนี้ได้ ถ้าหนุ่มๆ ที่น้ำตกแจ้งความก็เอาผิดได้เลย

“ดูทำหน้าเข้า วิวจ๊ะ พวกพี่ก็แค่ดู เป็นผู้ชายไม่เสียหายหรอกน่า ที่สำคัญพวกพี่ไม่บ้าถึงขั้นดูแล้วไล่ข่มขืนพวกมันด้วย” ส้มหัวเราะคิกคักกับกลุ่มเพื่อน พูดต่ออีกว่า “แล้วนี่พวกพี่ก็มาดูแค่นาน ๆ ที พวกนั้นก็ไม่ได้แก้ผ้าแก้ผ่อนจริง ๆ หรอก พี่อำกันเล่น น้ำตกเนี่ยเป็นของสาธารณะ วิวจะมาอาบก็ได้นะ”

วิริยะรีบส่ายหน้า เมื่อเห็นแววตาของสามสาว

“แต่วันเสาร์อาทิตย์อย่ามาเด็ดขาดเลย อาจถึงตายได้”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว “ทำไมละครับ”

“เพราะเป็นวันของจ้าวอสูรไงจ๊ะ ห้ามมาเหยียบที่นี่เด็ดขาดเลย”

อีกแล้วเหรอเนี่ย วิริยะถอนใจเมื่อได้ยินถ้อยคำกำกวมชวนให้อยากรู้ของทั้งสามสาว แต่ไม่รู้สึกว่าอยากรู้เหมือนเมื่อครู่ใหญ่ ๆ ที่ผ่านมาแล้ว ท้ายที่สุดทั้งสามก็กลับมาที่ห้องพักกันก่อนตะวันตกดิน วิริยะจึงได้มาอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงนอนเล่นบนฟูกผืนกว้างแค่เมตรเดียว ความหนาไม่ต้องพูดถึง ดีกว่านอนทับเสื่อนิดหน่อย ดีหน่อยที่มีลมจากพี่เขียวสุดหล่อพัดมาไล่ยุงและทำให้สดชื่น คืนนี้ของวิริยะจึงผ่านไปอย่างง่ายดาย

ช่วงเวลานอนผ่านไปไวกว่าที่คิด เด็กหนุ่มรู้สึกตัวตื่นเพราะมีคนมาเคาะประตูร้องเรียกบอกว่าสายแล้ว จำเสียงได้ว่าเป็นคุณน้าข้างห้อง วิริยะยกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นดู ให้รู้ว่าตอนนี้เพิ่งแค่หกโมงกว่า อีกตั้งนานกว่าจะแปดโมงและเริ่มงาน แต่ทว่าเมื่อคิดดูอีกที กว่าเขาจะเข้าคิวอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปเข้าคิวกินข้าวอีกก็คงนานอยู่ วิริยะรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ถึงจะรีบขนาดไหน เด็กหนุ่มก็ยิ้มหวาน ค่อย ๆ คลานไปลูบปิดพี่เขียวอย่างอ่อนโยนที่สุด

กว่าวิริยะจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เจ็ดโมงกว่า เป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ตั้งใจจะเอาข้าวของส่วนตัวเข้าไปเก็บในห้องพักก่อนแล้วไปทานข้าว มาถึงก็เห็นเชษฐ์ไชยยืนกอดอกมองด้วยสายตาคมดุ บริเวณโดยรอบไร้คนงานคนอื่นเพราะทุกคนต่างรู้เวลาและหน้าที่กันหมดแล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะไปรวมตัวกันอยู่ที่โรงอาหาร

มาทำไม เขายังไม่ทันสายสักหน่อย วิริยะย่นหน้าเดินเลยคนตัวใหญ่มาเปิดประตูเก็บของ

“อย่าบอกนะว่าจะใส่ชุดนี้ทำงาน” คนด้านหลังถามขึ้นฝ่าความเงียบระหว่างที่วิริยะเดินออกมา เด็กหนุ่มถึงกับก้มลงมองตัวเอง เป็นกางเกงวอร์มขายาวที่เคยใส่ออกกำลังกายกับเสื้อยืดแขนสั้นตัวสีเทาเข้ม มันก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรสักหน่อย มีรองเท้าผ้าใบด้วย แบบนี้ทะมัดทะแมงจะตาย

“ครับ ชุดนี้แหละ” วิริยะขานตอบ

“ไปเปลี่ยนเป็นชุดที่มันมิดชิดกว่านี้ คิดว่านี่อยู่ฟินแลนด์ดินแดนหิมะรึไง ออกไปแค่ห้านาทีตัวก็ไหม้แล้ว”

ไหม้ก็ตัวผม ผิวก็ผิวผม อาเชษฐ์จะมาเดือดร้อนอะไรด้วยเล่า วิริยะคิดอยู่ในใจแล้วเชยตามองคนหน้างอเป็นก้นลิงแล้วถอนใจ “ผมไม่ชอบใส่ชุดหนา ๆ ตอนทำงาน มันร้อน เดี๋ยวหายใจไม่ออก”

“แล้วคิดว่าโดนแดดตรง ๆ ทั้งวันมันจะไม่ร้อนตายห่ารึไง ไปเอาเสื้อตัวอื่นมาใส่เดี๋ยวนี้”

วิริยะถอนใจ “ไม่มีหรอก วันนี้ใส่ตัวนี้ไปก่อน”

“ฉันสั่งว่าให้ไปหยิบมาใส่!” คนตัวสูงผู้ยืนกอดอกตรงหน้าเพิ่มระดับเสียงอีกนิด ทำเอาคนหูทวนลมกะว่าจะเดินเลี่ยงไปที่อื่นชะงักเท้า นึกได้ขึ้นมาว่าในกระเป๋ามีอยู่ตัวหนึ่ง เขาไม่ได้กลัวตาลิงหน้าโหดนี่หรอก ก็แค่ไม่อยากมีปัญหา คิดแล้ววิริยะก็หยิบเอาเสื้อลายตารางตัวที่เคยยืมเชษฐ์ไชยเมื่อวันก่อนขึ้นมาสวมทับ เดินหน้ายุ่งออกมาข้างนอกโดยหวังว่าคนอายุมากกว่าจะไม่หาเรื่องเขาอีก

“พอใจยังครับ” น้ำเสียงคนถามติดกึ่งฉุนกึ่งรำคาญ

เชษฐ์ไชยเห็นเสื้อที่เด็กหนุ่มตรงหน้าใส่แล้วก็เปลี่ยนท่าทีไป พูดไม่ออกพักหนึ่ง รู้แค่ว่าเลือดวิ่งพล่านไปทั่วทั้งหน้าอย่างไม่รู้สาเหตุ แล้วก็เดินดุ่ม ๆ จากไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้วิริยะมองตามด้วยความไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย

“อะไรของเขาวะ” ไม่เข้าใจเอาเสียเลย

วิริยะเกาหัว สรุปเมื่อกี้เชษฐ์ไชยมาทำไม เด็กหนุ่มไม่ทันได้ถาม

ชักจะแปลกไปทุกทีแล้ว

“วิว วิว!” ส้มกวักมือเรียกขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะแล้ว เด็กหนุ่มรีบเดินไปเข้าคิว ส่งภาษาใบ้ไปบอกพวกหล่อนว่ากลัวข้าวหมดก่อน หากทว่าส้มก็ส่ายมือ ชี้ที่ชามข้าวที่ตักมาเผื่อให้แล้ว เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มหน้าบานดีใจ วิ่งไปราวลูกหมาตัวน้อยถูกเจ้านายเรียก ท่ามกลางสายตาของเชษฐ์ไชยและกลุ่มของหมอกกับดำ

“พวกเฮา กลุ่มอีส้มมันยาดน้องใหม่เฮาไปแล้ว เฮ็ดจังใด๋ดี” หนุ่มอีสานพูดขึ้นพลางมองไปยังวิริยะที่กำลังทำหน้าตาพึงพอใจกับข้าวเช้าฝีมือแม่ต้อย ราวเด็กน้อยได้ของถูกใจ ใคร ๆ ก็รุมเอาอกเอาใจ แม้แต่เชษฐ์ไชยก็แปลกใจที่ทุกคนลงความเห็นว่าวิริยะน่ารักสดใส ไม่มีใครไม่หลงรัก ไม่เว้นแม้แต่พวกเห่อเด็กใหม่อย่างกลุ่มที่เขานั่งด้วยตรงนี้

“น้องมันเป็นผู้ชาย จะให้ไปอยู่กลุ่มพวกนั้นไม่ได้ ต้องมาเป็นเด็กเราเท่านั้น” หมอกบอก

เหนือ หนุ่มอีกคนรีบแสดงความเห็น “รึว่าน้องมันเป็นตุ๊ดวะ ที่จริงต้องมาตีสนิทกับกลุ่มเราแทนที่จะเป็นกลุ่มผู้หญิง”

“บ่ น้องวิวมันบ่ได้เป็น มันปฏิเสธซุมหมู่นั่นบ่ได้ต่างหากล่ะ เบิ่งตี๊ เฮ็ดหน้าบ่ถืกเลย” ดำร้องว่าพลางชวนให้คนอื่นมองตามไปด้วย หากทว่าเพื่อนและเชษฐ์ไชยส่ายหน้า เมื่อเห็นเพียงว่าวิริยะมีแต่ยิ้มอย่างพอใจกับพวกหล่อนเท่านั้น หาได้เป็นอย่างที่ดำว่าแม้แต่นิด

“ไปถามน้องมันหน่อยว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย เดี๋ยวมีใครหาว่าเราหล่อแล้งน้ำใจ”

“ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้น เดี๋ยวถึงเวลาเชคชื่อแล้ว ใครไม่ทันวันนี้กูไม่ให้เงิน” เชษฐ์ไชยกล่าว เรียกสีหน้าพ่อหนุ่มหล่อทั้งหลายให้รู้สึกเซ็งขึ้นมากันสลอน เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์เพียงแค่ชำเลืองมองวิริยะอยู่ครู่แล้วยอมทำตามอย่างว่าง่าย หันรีหันขวางไปเก็บจานชามแล้วพากันเดินหนีไป ท่ามกลางสายตาสาวน้อยสาวใหญ่ สาวดุ้น และสาวแก่แม่หม้ายที่มองตามกันเป็นพรวน

นัยน์ตาคมผละไปมองร่างที่อยู่ในเสื้อของเขา ไม่เข้าใจว่าวิริยะตั้งใจทำอะไร ทำไมต้องใส่มันมากวนประสาทด้วย เชษฐ์ไชยคิดทั้งมองตามร่างผอมโปร่งที่กำลังยิ้มแฉ่งจ้อกับสาว ๆ ตรงหน้าอย่างไม่ยอมหยุด กระทั่งรู้ตัวว่าถูกมองนั่นแหละ จึงละรอยยิ้มลงเปลี่ยนมาเป็นบึ้งตึง แล้วก้มหน้าก้มตาตักของตรงหน้าทาน

วิริยะเดินตามกลุ่มพี่ ๆ ไปเช็กชื่อพร้อมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ขณะที่เชษฐ์ไชยยืนสังเกตการณ์อยู่ตลอด สรุปแล้วเด็กหนุ่มถูกแยกให้ไปอยู่กับกลุ่มบอยแบนด์ทั้งเจ็ด บริเวณที่ต้องใส่ปุ๋ยบำรุง ส่วนพวกของส้มต้องแยกไปเก็บและคัดผลที่ต้องใช้ความชำนาญในการตัดสินกว่า แต่เพราะได้ทำความรู้จักกับดำและหมอกก่อนแล้ว วิริยะจึงไม่รู้สึกว่าลำบาก อีกอย่างเวลาทำงานก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ เขารู้สึกสบายใจ เพียงแต่ไม่ค่อยชอบใจกับสายตาคอยจับผิดตลอดเวลาของใครบางคนที่เดินวนเวียนอยู่แถวนี้นัก

“เอาไปสะพาย ของเอ็งเอาแค่ครึ่งถังพอ เดี๋ยวยกบ่ไหว” ดำโยนตะกร้าใส่ปุ๋ยมาให้ เป็นกระป๋องสำหรับใส่น้ำที่ประยุกต์ใส่สายเอาไว้สะพายบนบ่าแทนการถือ เด็กหนุ่มเห็นคนอื่นจับยกขึ้นสะพายไว้ข้างหน้า เทปุ๋ยใส่เต็มแล้วกำออกมาทีละสองข้าง โยนใส่ต้นผลไม้แล้วเดินไปจนสุดแถว

“ไม่เป็นไรพี่ ใส่เต็มเหมือนคนอื่นเลย ผมไหว” ขืนใส่ทีละครึ่งเขาก็ต้องเดินมาเติมตรงนี้อีก สรุปกว่าจะเสร็จก็เดินไปกลับรวมสี่รอบเลยน่ะซี ในขณะที่คนอื่นใส่เต็มถัง สามารถใช้ได้จนถึงสุดท้ายของสวน ซึ่งมันก็ไกลมาก

“ซั่นกะลองใส่เต็มคุเบิ่งก่อน ถ้าบ่ไหวแล้วจั่งค่อยลดลงเนาะ”

คนพี่ตัวโตถามพลางยกถุงปุ๋ยขึ้นเทให้ โดยไม่คำนึงถึงน้ำหนักของมันราวคุ้นชินกับการยกของหนัก วิริยะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นกล้ามเนื้อนูนโผล่พ้นเสื้อกล้ามตัวสีดำของพี่ชายจากอีสาน เพราะไม่สนเรื่องสีผิวของตัวเอง ดำจึงไม่ชอบใส่เสื้อแขนยาวกระมัง แต่ก็ดูแมนสมชายชาตรีอย่างบอกไม่ถูก หากพวกส้มได้มาเห็นยามนี้คงกรี๊ดกันลั่นสวนแน่ คิดแล้ววิริยะก็กวาดสายตามองหนุ่มคนอื่น

เห็นหนุ่มตัวใหญ่อีกคนยกกระป๋องปุ๋ยขึ้นสะพายพอดี นี่ก็อีกคน จะแมนไปกันถึงไหน

“แนมอีหยัง เอ้ายกขึ้นได้แล้วอ้ายจะซ่อย”

วิริยะหันมายิ้มให้พี่ชายเบื้องหน้า “บ่มีอีหยังหรอกคร้าบ”

ได้ยินคนกรุงพูดบนไทยไปด้วย หนุ่มอีสานฟังแล้วรู้สึกเอ็นดูกับความน่ารักของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าอย่างทนไม่ไหว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความไม่ถือตัวนี้ มิน่าเล่าใครก็ต่างเห่อวิริยะกันทั้งนั้น เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง คิดแล้วดำก็ช่วยยกถังขึ้นใส่บนไหล่แคบของเด็กตรงหน้า จากหน้าขาว ๆ เริ่มแดงเพราะความหนัก แต่ก็ปั้นยิ้มบอกว่าไหว

“โอ้ พอได้อยู่ครับพี่ดำ” แม้จะแอบเซอยู่ก็เถอะ

“ไหวแท้บ่ ฟ้าวย่างฟ้าวเหวี่ยงใส่ต้นไม้มันก็สิบ่หนักแล้ว” มือใหญ่จับไหล่วิริยะช่วยให้ยืนคงที่ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แล้วสิบ่ใส่หมวกใส่อีหยังปิดแดดโดนหัวเลยเบาะ เดี๋ยวบ่ซำบายเอาเด้ เดี๋ยวแดดออกอ้ายกะสิใส่คือกัน”

“ไม่ต้องหรอกพี่ นี่ก็ทำงานกับต้นไม้ทั้งนั้น มีร่มอยู่ตลอดทาง ไม่ร้อนหรอก สบายมาก ไปแล้วนะ” ว่าจบก็เดินนำออกไป อาจเป็นเพราะหนักแต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าเชษฐ์ไชยด้วย ดำเพียงยืนค้ำเอว มองตามหนุ่มน้อยจากเมืองใหญ่เดินทุลักทุเลค่อย ๆ หยุดกำปุ๋ยโยนใส่ต้นไม้อย่างนึกห่วง

กะว่าจะเดินไปยกถุงปุ๋ยมาเปิดรอเพื่อนคนอื่น เผื่อใครต้องการมาเติมจะได้สะดวก ดำวางถังสะพายของตัวเองแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังกองปุ๋ย ผ่านเจ้านายที่ยืนกอดอกมองอยู่ ดูเหมือนวันนี้เชษฐ์ไชยจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดูจากสีหน้าที่มองเขาตอนนี้แล้วดำรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดอะไรสักอย่าง แต่เพราะเป็นคนอัธยาศัยดีแต่เดิมแล้ว หนุ่มอีสานจึงยิ้มให้เจ้านายแล้วค้อมหัวยามเดินผ่าน

แปลกใจที่เชษฐ์ไชยดูไม่ดีขึ้น แล้วทำหน้ายักษ์ใส่กว่าเก่า หรือคิดว่าเขายิ้มเยาะเย้ยกัน ทำอย่างกะไอ้ดำคนนี้เป็นชู้กับเมียตัวเองอย่างนั้น ขณะที่ก้มจะหยิบยกถุงปุ๋ยทั้งคิดอย่างนึกงงและสงสัย หนุ่มอีกสานรู้สึกว่ามีแรงถีบจากด้านหลังมาโดนก้น จนเขาหัวทิ่มไปใส่กองปุ๋ยขี้ไก่อีกกอง!

“อ๊ากกกก เหม็นโว้ย อุแหวะ!” ที่สำคัญวันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาวทับเสียด้วย ตัวเหม็นหมดแล้ว กว่าจะเลิกงานก็เข้าใกล้ใครไม่ได้!

“เอ้า ทำงานอยู่ดี ๆ เสือกอยากเล่นขี้แล้วไหมล่ะไอ้ดำ”

น้ำเสียงคนด้านหลังบ่งบอกว่าอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มโวยวายทำท่าจะอ้วก ดำลุกขึ้นมองคนอายุมากกว่าหน้างอ รู้เลยว่าเชษฐ์ไชยแกล้งเขาเพราะหมั่นไส้เรื่องอะไรสักอย่าง “โห่ นายเซษฐ์ แกล้งดำเฮ็ดหยังครับ ย่านดำหล่อกั่วแล้วผู้สาวสนใจกั่วเบาะ”

คนฟังยักไหล่ แล้วชี้หน้าเตือน “มึงช่วยตัวเองให้รอดก่อน ก่อนจะไปช่วยคนอื่น”

ดำเลิกคิ้วงงไปกว่าเดิม สรุปเมื่อเช้าเขาทำให้เจ้านายไม่พอใจเรื่องอะไร “ข้อยซ่อยโตเองตลอดแหละครับ บ่มีเมีย”

“ไอ้สัตว์...”

เป็นคำด่าที่อารมณ์ดีที่สุดของเจ้านาย

แล้วเชษฐ์ไชยก็เดินเข้าไปในสวน ตรวจตราว่าวิริยะโยนปุ๋ยเข้าไปที่ต้นไม้ได้เรียบร้อยดีหรือไม่ หรือไม่ก็ตามไปติเตียนวิริยะก็เป็นได้ เพราะไปถึงก็เห็นเด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งหลังได้ฟังสิ่งที่เชษฐ์ไชยพูด คงไม่วายแกล้งเด็กใหม่อีกตามเคย คิดแล้วหนุ่มอีสานก็เพียงส่ายหน้า ปัดกลิ่นขี้ไก่ออกจากตัวอย่างหงุดหงิด

โดนนายซังแล้วบักดำเอ๊ย!


--๑๐๐--



---------------------------------------------------

ซัง=เกลียด

ซ่อย=ช่วย

กั่ว=กว่า

ยาด=แย่ง

ย่าน=กลัว

เผื่อมีใครอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ 55555



อาเชษฐ์มีความหมั่นไส้หนุ่มอื่น อิอิ

วันนี้พี่ ๆ พาวิวไปดูผู้ชายอาบน้ำ เดี๋ยวตอนหน้ามีความตลกด้วย น่ารักด้วย วุ่นวายด้วย เพราะน้องจะแอบไปดูอสูรอาบน้ำ ปูเรื่องขนาดนี้ มีหรือว่าวิวจะไม่อยากไปดู 555555

รอเจอกันตอนหน้านะคะ

คอมเม้นด้วย รอกำลังใจอยู่นะคะ

กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด