ตอนที่ ๑
ความยากลำบากของมนุษย์ทุกคนมีแนวทางที่แตกต่างกัน บางคนคิดว่าความลำบากด้านจิตใจส่งผลกระทบมากกว่า บางคนทนความลำบากด้านร่างกายไม่ไหว แต่สิ่งเดียวที่หลายคนมองเห็นตรงกันคือการใช้ชีวิตมันไม่มีคำว่า ‘ง่าย’ เลย มันเหนื่อยและไม่สามารถหยุดได้จนกว่าจะหมดหนทางดิ้นรน หรือไม่ก็จนกว่าจะตาย
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ในขณะที่เด็กหนุ่มใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการออกแรงวิ่ง ช่วงหัวค่ำรถเยอะและติดจนคิดว่าไปด้วยตัวเองยังง่ายเสียกว่า ลำขายาวพาวิริยะฝ่าทะเลรถที่ติดขนัดมุ่งหน้าไปยังบ้าน หลังจากออกมาทำงานพาร์ทไทม์เสร็จ และนี่อาจจะเป็นสายจากทางบ้านโทรเร่งให้เขารีบเสนอหน้ากลับไปที่นั่นก็ได้ คิดได้แล้วเด็กหนุ่มจึงหยิบมันออกมากดรับโดยไม่ละแม้แต่ฝีก้าวเดียว
เพราะพ่อไม่รู้ว่าเขาทำงานนี้
“ครับ” เขาขานรับ
“อยู่ไหนแล้ว ถ้าแกไม่รีบมา ฉันจะบอกพ่อว่าแกแอบไปรำแก้บน”
“อีกสิบนาทีนะครับพี่ทราย บอกพ่อว่าผมติดทำโครงงานหรืออะไรก็ได้”
“ไม่เอาแล้ว! ทำไมฉันจะต้องแก้ตัวให้คนอย่างแกด้วยไอ้วิว ถ้าแกมาช้าฉันจะฟ้องพ่อว่าแกเป็นตุ๊ด ไปแต่งหน้าทาปากฉีกแข้งฉีกขารำต่อหน้าต่อคนเยอะแยะ คราวนี้แหละ แกโดนเฉดหัวออกจากบ้านแน่!”
“เดี๋ยวสิพี่ทราย” วิริยะเชื่อว่าหล่อนจะทำอย่างที่พูดแน่นอน เด็กหนุ่มรีบร้อนเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีก “ขอร้องละครับ ให้พ่อรู้ไม่ได้ ถ้าพ่อรู้ผมจะไม่ได้ทำงานอีก ก็เงินเดือนผมพี่เอาไปใช้แล้วไง”
“ถ้าฉันช่วยแล้วจะได้อะไร อ้อ…” ปลายสายหัวเราะ “ฉันเป็นฝ่ายเหนือกว่า ก็ต้องเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้แกต่อรองสินะ”
วิริยะรู้สึกถึงลางไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงพี่สาวต่างมารดาหัวเราะ
ทรายเป็นลูกติดภรรยาใหม่ของบิดาเขา นอกนั้นเด็กหนุ่มก็มีน้องสาวอีกหนึ่งคนในวัยเก้าขวบ น้องเล็กไม่ค่อยพูดจาเพราะเกรงกลัวพี่สาวคนโตมาก จะมีแต่เขาที่คอยดูแลเท่านั้น วันนี้เป็นวันที่บิดากลับจากแท่นหลังจากอยู่กลางทะเลมาตลอดสามเดือน ท่านเป็นเสาหลักของบ้านและเด็กหนุ่มไม่อยากทำอะไรให้ไม่สบายใจ
“งั้น แบ่งเงินค่าตัวของแกให้ฉันห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
แต่เธอฮุบเงินเดือนที่บิดาฝากให้เขาไปแล้วนี่
วิริยะรู้สึกหมดหนทางเมื่อได้ยินดังนั้น ไม่ได้มองว่าด้านหน้าเปลี่ยนสัญญาณเป็นไฟเขียวแล้วแล้วเมื่อไร มารู้สติอีกทีก็ตอนเสียงแตรของรถข้างหลังที่ดังขึ้น เด็กหนุ่มขาแข็ง หันไปมองแสงไฟที่สาดเข้าดวงตา รถยนต์ข้างหลังแล่นมาด้วยความเร็วจนคิดว่าเขาหลบไม่ทันแน่ โทรศัพท์ในมือเด็กหนุ่มร่วงลงพื้นไม่ได้พูดสายต่อ ยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเองด้วยความตกใจและคิดว่านี่คือวินาทีสุดท้ายของชีวิตแน่แล้ว
ร่างกายวิริยะชาวาบเมื่อแสงสีขาวสาดใส่ร่างพร้อมกับแรงเบรกจนเกิดเสียงแหลมสะท้านก้องไปทั่ว ทว่ามันมิได้แล่นมาชนร่างเขา อาจเป็นเพราะคนขับเบี่ยงพวงมาลัยหนี สิ่งที่กระทบตัวเด็กหนุ่มคือลมอย่างแรงเมื่อมันผ่านหลังเขาไป แล้วเสียงโครมใหญ่ก็ดังขึ้นจนวิริยะสะดุ้ง รถคันนั้นเบี่ยงไปชนท้ายเก๋งคันหนึ่งซึ่งติดไฟแดงรอวนรถอยู่
วิระยะมือสั่น ก้มลงเก็บโทรศัพท์ที่พังยับมาใส่กระเป๋า วิ่งไปยังรถยนต์คันนั้นเพื่อถามไถ่อาการ เมื่อไปถึงเห็นว่าทั้งส่วนท้ายรถผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และผู้ได้รับผลกระทบต่อเขาโดยตรงนั้น หน้ารถยับ คิดว่าค่าซ่อมมันต้องแพงแน่
เด็กหนุ่มรู้สึกตัวชาเมื่อเห็นเจ้าของรถเปิดประตูลงมาหน้าซีเรียส ผู้ถูกชนท้ายคนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน และคนที่ขับเบี่ยงหลบเขาเป็นผู้ชายวัยสักสามสิบกว่า หน้าตาไม่ค่อยรับแขกนัก
น่ากลัว
“เจ็บตรงไหนกันไหมครับ” วิริยะถามขึ้น
คุณป้าผู้ถูกชนท้ายเลิกคิ้ว อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าเพราะเขา คู่กรณีอีกฝ่ายจึงเบี่ยงไปชนท้าย
“ไม่จ้ะ แต่ต้องเสียเวลาแน่เลย”
วิริยะใช้ความกล้าทั้งหมดเลยไปมองคู่กรณีอีกคน ยิ่งมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งน่ากลัว อีกฝ่ายไว้หนวดไว้เครา ผมยาวประมาณบ่าและมัดรวบไว้ข้างหลัง แถมคิ้วยังดกดำ มองไปแล้วเหมือนกอริลล่าตัวผู้ อีกซ้ำลำแขนมีกล้ามเนื้อเป็นมัดชัดเจน โผล่พ้นเสื้อยืดพอดีตัวออกมา
“เอ่อ…พี่เจ็บตรงไหนไหมครับ ผม…ขอโทษนะ”
อีกฝ่ายเกาศีรษะ ก้มลงมองรถตัวเองอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “ขอโทษอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะน้อง ตัวพี่เจ็บน่ะทนได้ แต่ลูกรักของพี่เจ็บขนาดนี้ น้องรู้ใช่ไหมว่าต้องรับผิดชอบ ต้องรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวน้องเป็นต้นเหตุ” น้ำเสียงคนพูดดูเคร่งเครียด
“ตายจริง เรียกประกันมาคุยกันก่อนซีจ๊ะพ่อหนุ่ม”
“ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วนะป้า มีคนรอผมอยู่!”
วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดหนทาง ที่บ้านก็กำลังรีบ ทางนี้ก็กำลังเรียกร้องความรับผิดชอบ
“แม่ง! คนยิ่งกำลังรีบ ๆ อยู่ด้วย วันนี้มันวันซวยอะไรกันวะ” เสียงสบถร้าย ๆ ของชายตัวใหญ่ข้างกาย ทำเอาเด็กหนุ่มพูดไม่ออก ลำขายาว ๆ เตะเศษหินเศษกรวดระบายโทสะ วิริยะเพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสวมคอมแบท รถที่ขับเป็นปิ๊กอัพยกสูงที่ผ่านโคลนตมราวกับเพิ่งออกจากป่า ซอมซ่อแบบนี้มีหวังเรียกเงินเขาบานเบอะแน่
แต่เขาก็ผิดอยู่ดี
เด็กหนุ่มถอนใจ เหลือบมองคุณป้ากำลังโทรเรียกประกัน และผู้ชายน่ากลัวที่ก้มลงรีบรับโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียง
จะเอาไงดี เขาก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน ชั่วโมงนี้ใครเขาก็รีบกันทั้งนั้น
“พี่ครับ” วิริยะตัดสินใจเดินไปหา ตั้งใจว่าจะคุยขอชดเชยค่าเสียหายทีหลัง ทว่าอีกฝ่ายยกมือบอกให้เขารอก่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เด็กหนุ่มกำลังรีบและไม่อาจรอได้เช่นกัน “พี่ครับ ฟังผมก่อนได้ไหม”
“ก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนไง”
“แต่ผมรีบนะครับ ผมต้องไปแล้ว”
เด็กหนุ่มรีบควานหาปากกาและกระดาษในกระเป๋านักเรียน เขียนเบอร์โทรศัพท์สองใบแล้วฉีกนำไปให้คุณป้า และวนกลับมาหาผู้ชายหน้าโหดอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ยังคงหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับการพูดสาย ทว่ารอไม่ได้แล้ว เด็กหนุ่มดึงมือหนามารับกระดาษเบอร์โทร พูดกับอีกฝ่าย “ผมต้องไปแล้ว ยังไงพี่ติดต่อผมมานะครับ”
“เฮ้ย! ยังไม่อนุญาตให้ไป นี่น้องคิดจะชิ่งงั้นเหรอ”
“เปล่านะ ผมจะใช้หนี้พี่แน่ แต่วันนี้ผมอยู่ไม่ได้จริง ๆ”
“ไม่เชื่อ กลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”
เจ้าของร่างใหญ่หัวเสียขึ้นมาอีกระดับ เมื่อพูดจบเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อฟังเขาเลยสักนิด วิ่งจากไปโดยไม่คิดหันหลังกลับมาแม้แต่น้อย ทั้งที่ในชีวิตประจำวันของเขาพูดคำไหนคนฟังก็กระตือรือร้นรีบทำตาม
เชษฐ์ไชย ทุบมือลงบนรถระบายความขุ่นข้อง ก้มลงมองกระดาษในมือที่บอกหมายเลขและชื่ออย่างนึกหงุดหงิด
“ไอ้เด็กวิว…ตัวแสบ! อย่าให้ฉันเจออีกนะ”
มือหนายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้งหลังนึกขึ้นมาได้ “อัฐษ์ ฉันมีปัญหา ส่งคนมารับฉันให้ด่วนที่สุด”
“ไม่ทันแล้วเชษฐ์”
เชษฐ์ไชยชะงัก ร่างกายชาไปทุกส่วนเมื่อได้ยินน้องชายจากปลายสายพูดผ่านเสียงสะอึกสะอื้น “คุณปู่ ท่าน…จากเราไปแล้ว แกมาไม่ทัน สุดท้าย…ปู่ไม่ได้เห็นหน้าแกก่อนตาย”
สิ่งที่อัฐษไชยกล่าวผ่านสายนั้นทำให้เชษฐ์ไชยพูดไม่ออกไปหลายวินาที น้ำตาเขาไหล ที่เขาไปไม่ทันได้ดูใจคุณปู่ทั้ง ๆ โรงพยาบาลก็อยู่ข้างหน้า อีกไม่ไกล ใกล้แค่นี้ก็ไม่สามารถไปได้ เพียงเพราะเด็กไม่มีความรับผิดชอบคนนั้นแท้ ๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มเสียเวลา เขาจึงไม่ได้เอ่ยลาท่านเป็นครั้งสุดท้าย
เสียงแหบพร่าของท่านเมื่อช่วงบ่าย ยังคงตรึงในสมองของชายหนุ่มอยู่ตลอด เป็นประโยคเดียวกันที่ได้ยินมาทั้งชีวิต
กลับมาที่บ้านบ้าง กลับมาอยู่ด้วยกัน กลับมาช่วยงานปู่หน่อย
หลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะไปอย่างเคย อาการป่วยของท่านก็ได้ทรุดลง
น่าเสียดาย…ที่เขาทำตามความต้องการของท่านไม่ได้จนถึงวินาทีสุดท้าย ท่านก็ยังคงผิดหวังต่อหลานคนนี้ต่อไป
วิริยะรีบจ่ายค่าวินมอเตอร์ไซค์หลังจากมาถึงบ้านอีกสิบนาทีต่อมา เด็กหนุ่มรีบยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลาเพราะกลัวบิดามาถึงก่อน ทว่ามันเปิดไม่ติด หน้าจอก็แตก เขาส่ายหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปข้างใน นึกใจหายที่เห็นแผ่นหลังของบิดาบนโต๊ะอาหาร
“ขอโทษครับที่มาช้า”
เด็กหนุ่มหยุดอยู่ข้างบิดา ท่านช้อนตาขึ้นมามองเขาด้วยสายตาเจ้าระเบียบอย่างเคย พร้อมกับสายตาของพี่สาวต่างแม่ที่มองด้วยความไม่พอใจ อาจเป็นเพราะที่วิริยะไม่ได้ตอบตกลงเรื่องข้อเสนอนั่นกระมัง
“ไปไหนมาทำไมกลับบ้านมืดค่ำแบบนี้ ตอนที่พ่อไม่อยู่แกก็ทำตัวแบบนี้ประจำเหรอ”
วิริยะทรุดลงนั่งร่วมโต๊ะ กลืนน้ำลายฝืดคอเมื่อมองพี่สาว เพราะเธอกุมความลับของเขาอยู่และทำหน้าอย่างกับเหนือกว่า ใช่…เหนือกว่ามาก “ทำโครงงานส่งอาจารย์ครับ”
“ก็กลับเวลานี้แหละค่ะคุณ แต่บางวันก็โทรมาบอกป้าบ้างก็ได้นะ ถ้าจะกลับดึกกว่านี้ ป้าเป็นห่วง”
เด็กหนุ่มเบิกตามองคนพูด “ผมก็โทรบอกตลอดนี่ครับป้าอร”
“อย่าเถียงป้าเขา เขาดีแค่ไหนที่ดูแลแกแทนพ่อ อย่าทำตัวมีปัญหาให้เป็นภาระเขามากนัก เข้าใจรึเปล่า”
ได้ฟังที่สามีพูดอิงอรก็ระบายยิ้มพอใจ สองแม่ลูกเหลือบมองกันอย่างรู้นัยยะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มถูกติติงตั้งแต่มาถึง วิริยะก้มหน้าลงมองจานข้าว จะหยิบช้อนตักอะไรทาน เสียงของแม่เลี้ยงก็ดังขึ้นมาก่อน “เอ้อ เห็นว่าออกไปทำงานพาร์ทไทม์เป็นยังไงบ้าง ชาวบ้านแถวนี้เขามาเล่าให้ป้าฟัง”
บิดาเงยขึ้นมองวิริยะ “ทำไมต้องไปทำ”
“อะ เอ่อ คือว่า” เด็กหนุ่มหันไปหาพี่สาวต่างแม่
“ก็ดีแล้วนี่คะคุณลุง วิวมันจะได้มีประสบการณ์”
“แต่ฉันมีปัญญาส่งแกเรียนนะวิว บ้านเราไม่ได้ขัดสนอะไรขนาดนั้น”
เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้นครับพ่อ มันเป็นชมรมของโรงเรียน เราได้ทำกิจกรรมแล้วก็ได้ค่าแรงมานิดหน่อยแค่นั้น ผมไม่ได้อยากให้คนเขาเข้าใจว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้สักหน่อย”
“แต่ชาวบ้านเขาก็เข้าใจไปแล้วนี่จ๊ะ มีคนมาถามป้าด้วยว่าบ้านเรามีปัญหาอะไรรึเปล่าถึงได้ปล่อยวิวไปทำงานแบบนั้น ส่วนป้าก็ได้แค่ยิ้มอาย ๆ เพราะห้ามเธอแล้วแต่เธอไม่ยอมฟัง” อิงอรทำหน้าเศร้ามองสามี
ได้ฟังแล้วธเนศก็วางช้อนส้อมในมืออย่างอารมณ์เสีย
“แกทำงานอะไรอยู่วิว ไอ้ชมรมไร้สาระนั่นอีกแล้วใช่ไหม พ่อจำได้นะว่าสั่งให้แกออกจากชมรมนี้ไปแล้ว”
เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงไม่อยากมาช้า เพราะจะเป็นประเด็นให้ป้าอรเล่นงานเขาได้ นอกจากจะเป็นแม่เลี้ยงแล้ว นางยังเป็นแม่มดประจำบ้านด้วย แม่มดที่แสร้งทำตัวเป็นนางฟ้าในสายตาบิดาของเขาอย่างไรเล่า วิริยะคิดแล้วทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนใจนั่งร่วมวงอาหารนั้น
เขาจะออกจากชมรมนั่นได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นรายได้หลักที่ส่งเขาเรียนมาจนถึงตอนนี้ เงินที่บิดาฝากให้ไม่เคยได้ถึงมือเด็กหนุ่มเลยแม้แต่สตางค์เดียว ค่าข้าว ค่าอาหารก็ต้องออกเองเพราะไม่เคยได้ทานที่บ้านร่วมกับพวกเธอเลยสักครั้ง หากจะบอกบิดาก็ไม่ได้ เขาจะกลายเป็นไอ้หน้าตัวเมียที่กล่าวหาคนดี ๆ อย่างพวกนี้ขึ้นมาทันที ความผิดจะตกอยู่ที่เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พ่อขอสั่ง ว่าให้ออกจากจากชมรมนั่นซะ ไม่งั้นพ่อจะเล่นงานถึงครูที่ปรึกษา”
“อย่าถึงขนาดนั้นเลยค่ะคุณลุง วิวมันโตแล้ว มันก็คงอยากจะทำอะไรที่วัยรุ่นเขาทำกัน อย่าไปห้ามมันเลย”
“ใช่ค่ะใช่ ฉันอาจจะเคยห้ามก็จริง แต่พอมาคิดดูแล้วก็ให้ลูกได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มดีกว่า”
เมื่อได้ฟังน้าอรพูด ธเนศทอดถอนใจมองลูกชาย จำต้องยอมในที่สุด
สุดท้าย ก็เป็นฝ่ายนั้นอีกครั้งที่กลายเป็นแม่พระในสายตาบิดาของเขา วิริยะก้มมองชามข้าวอย่างนึกหน่ายเหนื่อยกับชีวิต แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเด็กผู้ชาย เขาอดทนได้ดีกว่าเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว เด็กหนุ่มก้มมองน้องสาวที่กำลังทาน เธอหันมาสบตาเขาราวกับรู้สึกว่ากำลังถูกพี่ชายมองอยู่ ส่งกำลังใจให้วิริยะด้วยรอยยิ้มแสนน่ารัก
หลังทานอาหาร วันนี้แปลกหน่อยที่แม่เลี้ยงกับพี่สาวเป็นคนทำความสะอาดจานชาม เพราะทุกครั้งเป็นเด็กหนุ่มที่ต้องกลับมาทำทุกอย่างให้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าและชุดชั้นใน มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันที่บิดากลับมาเขาจะสบายและได้รับการปฏิบัติด้วยดีเป็นพิเศษ วิริยะอยากให้บิดาอยู่ด้วยทุกวัน
ทั้งสองเดินออกมาหน้าบ้านเพราะบิดาอยากย่อยอาหาร ที่จริงบ้านของเขาไม่ได้ขัดสนอย่างที่คุณธเนศเคยพูดไว้ข้างต้น แต่เมื่อลับสายตาท่าน การปฏิบัติตัวของแม่เลี้ยงและพี่สาวทำให้เด็กหนุ่มต้องพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เขาไม่โทษที่ทั้งสองจะเกลียดลูกเมียเก่า ตราบใดที่ได้นอนหลับพักในบ้านที่บิดาและมารดาของเขาสร้างขึ้นมาด้วยกัน วิริยะคิดว่ามันไม่ได้แย่สำหรับเขาเลย
“ตั้งใจเรียนอย่างที่พ่อบอกรึเปล่า”
วิริยะหันมองคนถามหลังได้ยิน ยกยิ้มเล็กน้อย “ครับ ถึงผมจะเอาใจใส่งานชมรม แต่เรื่องเรียนผมก็ไม่ได้ทิ้ง ปีหน้าก็จะถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมอยากให้พ่อภูมิใจตอนที่ผมเข้าคณะที่พ่ออยากให้เข้า”
คนตัวสูงกว่าหันมาสบตา “ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยล่ะ”
“แล้วพ่อจะอยู่นานแค่ไหนครับ ครั้งนี้”
“อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ แต่กลับไปแล้วอยู่ยาวถึงห้าเดือนเลย”
ได้ฟังแล้ววิริยะถึงกับใจหาย เขาจะได้เจอพ่ออีกห้าเดือนข้างหน้าโน่นหรือ “ไม่มีวันหยุดเลยเหรอครับ”
คนฟังหันมาสบตา และมองวิริยะราวกับว่าเข้าใจความเหงาของเขาจากน้ำเสียง “อันที่จริงก็มี แต่ไม่หยุดก็จะได้เงินเยอะกว่านี่นา วิว…แกรู้ใช่ไหมว่าที่พ่อทำแบบนี้ไปก็เพื่ออนาคตของแกกับน้อง เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวให้ป้าอรหนักใจนัก เป็นเด็กดี แล้วจะโทรมาหาบ่อย ๆ”
ยังไงเขาก็ขอให้พ่อหยุดไม่ได้อยู่ดี
“ครับ”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับในสิ่งที่บิดาพูดในความสงัดของค่ำคืน ถูกแล้ว…พ่อของเขาต้องใช้ชีวิตจำเจในแท่นกลางมหาสมุทรก็เพื่อพวกเขา เขาไม่ควรก่อปัญหาให้ท่านไม่สบายใจ วิริยะจะยืนหยัดและเข้มแข็งเพื่อให้ท่านภาคภูมิใจ ท้ายที่สุดบิดาก็ควักกระเป๋าหยิบธนบัตรสีเทาออกมาสองใบ ยื่นให้เด็กหนุ่ม “เงินที่ส่งให้พอใช้ใช่ไหม นี่…พ่อให้ เอาไปซื้อขนมกินหน่อย กลับมาครั้งนี้แกผอมลงไปมาก”
เด็กหนุ่มรีบไหว้ขอบคุณ กะว่าจะเอาไปซ่อมโทรศัพท์ “ขอบคุณครับ”
น้ำมืออุ่น ๆ ของบิดาที่ยกมายีศีรษะเขาเป็นสัมผัสที่ห่างหายไปนานเหลือเกิน แม้ว่าท่านได้เดินจากไปแล้ว วิริยะก็ยังคงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้รับความอบอุ่นจากคนที่ห่างกันไกล เป็นความสุขสิ่งเดียวที่เขารอและต้องการได้รับเสมอมา
“เป็นบ้าอะไรยืนยิ้มคนเดียว”
เสียงคนที่ชะโงกจากประตูบ้านเรียกสติเด็กหนุ่มหลับมา วิริยะมองพี่สาวที่อายุมากกว่าสามปีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอเหลือบมองเงินในมือเขาแล้วฉกไปเสียเฉย ๆ อย่างติดเป็นนิสัย “นี่เป็นค่าที่ฉันช่วยแกให้ได้ทำงานนั่นต่อไป ขอบคุณฉันด้วยล่ะ”
เธอแอบฟังอยู่ตลอดว่าพ่อพูดอะไรกับเขา
“พี่ทราย ผมต้องใช้เงินนั่นนะ”
“ทำไม แกจะหือเหรอ” หล่อนยัดธนบัตรสีเทาเข้าไปในร่องหน้าอกของตัวเองอย่างต้องการชนะ ฉีกยิ้มสะใจ “ฉันอุตส่าห์ช่วยแกนะ แกก็รู้ว่าชีวิตในมหาลัยต้องมีเรื่องให้ใช้เงินมากขนาดไหน เด็กม.ปลายอย่างแกมันไม่เข้าใจหรอก แล้วก็จะไม่มีวันเข้าใจด้วย เพราะแกจะไม่ได้เรียนต่อ จำใส่กะลาหัวตัวเองด้วย”
“อะไร หมายความว่าไง” เธอไม่สนใจจะตอบคำถามวิริยะ เดินฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดีหลังจากได้เงินของเขาไปอีกครั้ง วิริยะงุนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด แต่ไม่มีวันที่เขาจะไม่ได้เรียนต่อแน่นอน หากป้าอรจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขา ตัววิริยะนี่แหละจะส่งเสียตัวเองเรียนไปจนจบ
เด็กหนุ่มคิดทั้งทรุดกายนั่งลงพักบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
---------------------------------------------------
เปิดเรื่องมาแล้ว เล่าถึงความถูกรังแกของนายเอกเบา ๆ ทุกคนต้องทำใจนะคะ ว่านายซินก็ต้องถูกรังแก แต่อีกไม่นานจะกลับมาฮึดสู้ ตอกแม่เลี้ยงหน้าหงายแน่ อิอิ
วิวน่ารัก รับรองว่าคุณผู้อ่านจะหลงรักวิวแน่ ๆ ค่ะ
เรื่องนี้หนูนาซุ่มเขียนไว้ ชอบไม่ชอบอย่าลืมคอมเม้นบอกกันด้วยนะคะ
กำลังใจที่ดี ช่วยบอกว่าคุณนักอ่านคิดเห็นอย่างไร
1 เม้น ต่อ 1 ตอนนะคะ