บทที่ 2
ปรากฏการณ์หงส์ดำ
“นายเชื่อที่ฉันพูดสิ!”
วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ชายหนุ่มรูปร่างสูงภูมิฐานตรงหน้ากลับย่นคิ้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์นั้นทำให้ไม่มีใครอยู่ใกล้นอกจากคู่สนทนา
เอดิสัน เกรย์ ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีแดงอ่อนของตัวเองเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดเจนว่า “ต่อให้นายพูดสักร้อยครั้งฉันก็ไม่เชื่อหรอก ถึงจะไม่ได้ทำงานด้านนี้เหมือนนาย แต่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์”
หลังจากเอดิสันผู้กำลังสุขสบายในช่วงเวลาพักผ่อนต้องจำยอมขับรถตรงบึ่งไปบ้านของวิลเลี่ยมเพราะเขาโทรมาขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายก็จัดการพาไปสถานีตำรวจเสร็จสรรพ แจ้งรูปพรรณสัณฐาน ลงบันทึกเรียบร้อยก็พบว่าเป็นคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ที่ชอบก่อเหตุบริเวณนั้น พวกตำรวจกำลังตามจับอยู่
ดีที่ครั้งนี้มันไม่ได้อะไรไปจากวิลเลี่ยมเลยแม้แต่น้อย
แม้จะปลอดภัย แต่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดการสอบสวน เอดิสันคิ้วกระตุกอยู่หลายรอบ ปั้นหน้ายักษ์ไปทุกห้านาที แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูชัดว่ากำลังใจลอยไปเรื่องอื่น ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนนั้นทำให้ตำรวจเข้าใจผิดว่าจริงๆ แล้วเจ้าทุกข์คือเอดิสัน
เปล่าเลยไอ้คนไม่รู้ร้อนรู้หนาวข้างๆ เขาต่างหาก
ระหว่างทางกลับไปบ้านวิลเลี่ยม เขาถามอีกฝ่ายทันที การเป็นเพื่อนกันมานานทำให้เขารู้ได้ว่านักวิจัยนี่เพิ่งเจอเรื่องดีๆ มา ดีเสียจนกลบเรื่องที่ตัวเองเกือบถูกลอบทำร้ายด้วย
พอเอดิสันถาม วิลเลี่ยมไม่ชักช้าจัดการเล่าสิ่งที่ตนเจอวันนี้ทันที หัวข้อใหญ่คงไม่พ้นเซ็ธ โอเมก้าหนุ่มน้อยที่เขาเจอที่โรงพยาบาลเคมาน อวดอ้างว่าตนรอดมาได้เพราะเด็กคนนั้น หลังจากเจอเหตุการณ์นี้ไปนักวิจัยหนุ่มคนนี้สามารถฟันธงไปได้ 70% แล้วเกี่ยวกับความพิเศษของเซ็ธ
แต่เอดิสันไม่ได้เจอกับตัวเลยไม่รู้ แถมยังเถียงอย่างจริงจังจนเล่นเอาตัวเขาที่กำลังเริงร่าชะงักไปวูบหนึ่ง
“ใช่ มันไม่เคยมี...” วิลเลี่ยมทวนคำอีกฝ่ายคล้ายจำยอม แต่ก็สวนกลับไปต่อว่า “แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีตลอดไป”
คราวนี้เป็นฝ่ายที่เอดิสันชะงัก วิลเลี่ยมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตรงข้ามเขาก่อนจะพูดนำขึ้นว่า
“นายเคยได้ยินคำว่าปรากฏการณ์หงส์ดำไหม”
“แน่นอนว่าไม่” เอดิสันปฏิเสธเสียงเรียบ นี่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของวิลเลี่ยมแต่อย่างใด แต่การที่เขาเงียบไปพักหนึ่งเพราะรู้ดีว่าคู่สนทนาไม่ได้ทำงานอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์ จึงต้องเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย
“แต่นายคงได้ยินภาษิตโบราณที่ว่า หงส์ทุกตัวเป็นสีขาว (All Swans Are White) ใช่ไหม อย่าทำมาเป็นจำไม่ได้ ลงวิชาเลือกเดียวกันนะตอนนั้นน่ะ” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น “แต่นี่คือปัจจุบัน นายก็เห็น มีหงส์สีดำอยู่ และจำนวนไม่มากน้อยไปกว่าหงส์ขาว แต่มนุษย์เพิ่งค้นพบพวกมันไม่นาน อย่างน้อยก็หลังจากมีภาษิตนี้เกือบร้อยปี”
เอดิสันเอนกายพิงหลังกับโซฟา เกริ่นมาขนาดนี้เขารู้แล้วว่าน่าจะยาว
“คนเราเชื่อโดยทัศนคติ โดยสามัญสำนึก สมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าหงส์มีแต่สีขาวเท่านั้น สีอื่นเป็นแค่เรื่องเหลือเชื่อ แต่สุดท้ายก็พบว่าผิด! หงส์ทุกตัวไม่ได้เป็นสีขาว พอมีการพบหงส์สีดำก็กลายเป็นข่าวสะเทือนโลก” วิลเลี่ยมอธิบายตาเป็นประกาย
“ปรากฏการณ์หงส์ดำที่ฉันพูดถึงก็คือ ปรากฏการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น ไม่มีใครคาดการณ์ว่าจะเกิดภายใต้สามัญสำนึกทั่วๆ ไป และจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง”
“เหมือนจะคุ้นว่ามีคนใช้ในแวดวงของฉัน” เอดิสันพึมพำขึ้น หน้าที่การงานของเขา...หากถามว่าเกี่ยวข้องยังไงกับนักวิจัยนี่ก็คงมีทางเดียว ทั้งเขาและเครือบริษัทที่เขาเป็นประธานบริหารคือนายทุนผู้สนับสนุนงบวิจัยของวิลเลี่ยม ส่วนสาเหตุนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัดนอกจากตัวเพื่อนสนิททั้งสองคน
“ใช่ไหม ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ใช้จำเพาะเจาะจงในวงการใดวงการหนึ่ง และที่ฉันยกมาพูดนี่ก็เพื่อให้นายเห็น เราอาจเจอ ‘หงส์ดำ’ แถมยังเป็นหงส์ดำที่มีค่ามากเสียด้วย” วิลเลี่ยมอธิบายไปยิ้มแก้มปริไป เป็นนิสัยส่วนตัวยามค้นพบทางสว่างของงานวิจัย
งานวิจัยของวิลเลี่ยมใจความสำคัญอย่างหนึ่งคือการพิสูจน์ว่าโอเมก้าไม่ได้ไร้ศักยภาพ และหากโอเมก้าที่ไปพบเจอนั้นเป็นดังที่พวกเขาคาด นี่ถือเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่
แต่เดิมการแบ่งแยกชนชั้นนั้นจัดตามสิ่งที่เห็น แม้ภายหลังจะมีการวิเคราะห์เชิงพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ที่เด่นชัดทางกายภาพเป็นสิ่งสำคัญ
ร่างกายของอัลฟ่านั้นเด่นชัดอยู่แล้วตรงอวัยวะเพศ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็มีเหมือนกัน ที่สำคัญคือเรื่องกลิ่น กลิ่นของอัลฟ่าจะเป็นรูปแบบจำเพาะ ดึงดูดทุกคน กลิ่นนั้นจะปรากฏเมื่อย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 12 ปี
ส่วนสิ่งสำคัญอีกอย่างคือพลังจิตที่เหนือชั้นกว่าพวกเบต้า เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเขาคือผู้สูงส่งที่แข็งแกร่งที่สุด
ส่วนโอเมก้านั้นมีความพิเศษที่ชายหรือหญิงก็สามารถตั้งครรภ์ได้ ที่หลังคอมีสัญลักษณ์พิเศษ กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ที่หอมหวาน กลิ่นนั้นจะปรากฏเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เช่นเดียวกัน แต่โอเมก้านั้นช้ากว่าอัลฟ่า อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 14 ปี และไม่มีพลังอะไรเลย เป็นพวกอ่อนแอที่มักจะถูกสบประมาท
ตามทัศนคติเดิมควรเป็นเช่นนั้น ยกเว้นแต่จะได้รับการเปลี่ยนแปลง
เอดิสันเองก็เป็นอัลฟ่าย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดที่เรียกว่าพลังจิต วิลเลี่ยมเล่าให้เขาฟังว่าที่รอดมาได้เพราะได้รับคำเตือนจากเซ็ธแล้วเอารูปภาพมาให้ดู ซ้ำยังเล่าไปถึงรูปที่เจอในห้องของโอเมก้าคนนั้น โดยรวมแล้วหากให้ทายก็เดาออก
ภาพพวกนั้นเกี่ยวโยงกับอนาคตที่กำลังจะเกิด แต่ใจความสำคัญที่พวกเขามุ่งไปไม่ใช่ภาพวาด สิ่งที่วิลเลี่ยมและเอดิสันสนใจคือ ‘การมองเห็น’ ที่น่าทึ่งนั่น
“ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าจะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นด้วยตา” ชายผมสีแดงอ่อนนั้นยืนกราน เขาไม่ใช่คนที่สนใจความเป็นอยู่หรือการเปลี่ยนแปลงของโอเมก้าสักเท่าไร และไม่ใช่คนที่เชื่อจากลมปาก ดังนั้นจึงไม่ปักใจทันที
“ฉันรู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้นายต้องไปกับฉัน”
“ไป? ที่ไหน?”
“ถามได้ โรงพยาบาลเคมานไง ไปหาเด็กคนนั้น” วิลเลี่ยมยักไหล่ตอบก่อนจะย้ำเพิ่มว่า “เคลียร์คิวให้ว่างช่วงบ่ายนะเรื่องนี้สำคัญ”
เอดิสันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่งึมงำตามน้ำไป
ในฐานะที่เป็นนายทุนสนับสนุนโครงงานวิจัยนี้ เขาต้องการผลกำไรและความสำเร็จสูงสุด ในเมื่ออีกฝ่ายค้นพบก็ต้องให้การสนับสนุน แต่เพื่อความมั่นใจเอดิสันก็ต้องการไปเห็นกับตาตัวเอง
ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนมีพลังจิต ไม่มีแม้แต่ความสามารถพิเศษทางกายภาพด้วยซ้ำ การค้นพบนี้ถือเป็นเครื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง
วิลเลี่ยมและเอดิสันนั้นเพียงมองและประสบกับตัวเองย่อมรู้ดี การมองเห็นอดีต อนาคต หรือการอ่านใจนั้นไม่ใช่ข้อจำกัดของพลังจิต พวกเขาเองก็เคยเจอคนที่มองเห็นอนาคตมาแล้ว และเพราะแบบนี้วิลเลี่ยมจึงแน่ใจในแทบจะทันทีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเซ็ธคือของจริง และเป็นสิ่งที่อันตราย
พวกอัลฟ่ามีพลังจิต แต่ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด มีเงื่อนไขที่ต้องหาทางพิสูจน์กันเอาเอง ยิ่งพลังสูงก็จะยิ่งอันตราย ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตจะถูกบั่นทอนไปเรื่อยๆ เมื่อใช้พลัง เหมือนแลกกับอายุขัย
พลังของวิลเลี่ยมนั้นเป็นพลังที่สูงก็จริง แต่เพราะเขาสามารถควบคุมได้จึงไม่มีปัญหา อัลฟ่าทุกคนถ้าผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นมาได้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเช่นเดียวกัน
โอเมก้าที่มีความพิเศษเช่นนี้ก็คงเหมือนกัน หากเด็กคนนั้นยังควบคุมพลังไม่ได้ น่ากลัวว่าทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจจะยิ่งถูกบั่นทอนไปเรื่อยๆ แต่เดิมโอเมก้าเองก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว
วิลเลี่ยมจึงอยากช่วยเหลือ เป็นความต้องการที่ไม่มีเจตนาหาผลประโยชน์แอบแฝง เพราะเขารู้ว่ามันทรมานเพียงใด พลังจิตพวกนี้คนทั่วไปคิดว่าเป็นพรวิเศษ แต่ที่จริงแล้วการต้องทนทรมานแสนสาหัสเพราะควบคุมไม่ได้นั้นราวกับการกลั่นแกล้งจากปีศาจ
เอดิสันยืนยันว่าจะไปกับเขาพรุ่งนี้ทำให้วิลเลี่ยมยกยิ้มใหญ่ ก่อนที่จะเดินออกไปส่งอีกฝ่ายข้างนอกแล้วกลับไปเคลียร์งานในห้องต่ออีกสักพักก็นอนตอนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว
วิลเลี่ยมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเวลาหกนาฬิกาตามปกติ ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมาเตรียมอาหารเช้า เขาทานอย่างไม่รีบร้อนขณะฟังข่าวในโทรทัศน์ไปด้วย
บ้านของเขาเป็นบ้านสองชั้นสีฟ้าอ่อน รอบบ้านมีพื้นที่ใช้สอยน้อยและวิลเลี่ยมเองก็ลงแรงเอาต้นไม้มาปลูกให้ร่มรื่นไปหมดแล้ว เหลือพื้นที่ให้นั่งเล่นแค่นิดเดียว ในบ้านมีแค่สองห้องนอน สองห้องน้ำอยู่ชั้นบนและชั้นล่าง แต่มีห้องทำงานกับห้องสมุดที่เขาสร้างแยกกันไว้ด้วย
ชั้นหนึ่งแทบจะไม่มีกำแพงกั้นระหว่างห้องยกเว้นก็แต่ห้องน้ำกับห้องครัว เพียงแค่แบ่งเป็นส่วนๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถดูทีวีได้แม้ว่าจะนั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่ส่วนโต๊ะกินข้าว
เมื่อล้างจานเสร็จเรียบร้อย เขาคว้าโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิด รอสักพักก็เปิดหน้าต่างอีเมลขึ้นมา หาชื่อผู้ติดต่อที่คุ้นเคยแล้วเล่าความคืบหน้าของการวิจัยไป เรื่องสำคัญที่เขาจะแจ้งก็คือการค้นพบโอเมก้าชนิดพิเศษ
เมื่อกดส่งไปแล้วเขาก็ทำงานส่วนอื่นต่อ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา เนื้อความนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ ทางนั้นขอรายละเอียดเพิ่มเติมกับถามต่อว่าจะทำอย่างไรต่อไป
วิลเลี่ยมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่าให้ข้อมูลที่มีอยู่ไปหมดแล้วแต่กำลังจะไปศึกษาต่อ ส่วนสิ่งที่เขาต้องการต้องรอให้แน่ใจก่อนจึงจะบอกได้เต็มปาก
ฝ่ายนั้นตอบกลับมาสั้นๆ ว่าตกลงแล้วการสนทนาของพวกเขาก็จบลง วิลเลี่ยมจึงได้เอนกายลงพิงโซฟาเพื่อพักผ่อน หลายชั่วโมงผ่านไปเสียงกดออดก็ดังขึ้น
วิลเลี่ยมดีดตัวขึ้นเดินไปเปิดประตู เป็นเอดิสันอย่างที่เขาคาดเดา อีกฝ่ายอยู่ในชุดสูทเรียบร้อยผมเสยขึ้นดูขัดกับภาพลักษณ์อารมณ์ร้อนจนอยากจะขำให้ฟันร่วง แต่เขาได้แค่ยิ้มๆ แล้วทักทายตามประสา “น้องหนูของนายไม่ได้มาด้วยเหรอ”
“ฉันไม่ได้กลับไปบ้าน เลิกงานแล้วตรงมานี่เลย อีกอย่างนายควรจะรู้ว่าฉันไม่ให้เขามาเด็ดขาด” คำหลังนั้นเอดิสันเน้นย้ำอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา แต่วิลเลี่ยมยิ้มสู้กลับแล้วยักไหล่บ่นพึมพำ
“น่าเสียดายๆ น้องหนูนั่นโชคร้ายจริงๆ ได้แฟนแบบนาย”
อีกฝ่ายไม่ได้แย้งอะไรกลับมาแต่เปลี่ยนเรื่องในทันทีว่า “จะไปกันได้หรือยัง ไหนบอกว่าจะไปก่อนเวลาไง”
“อ้อใช่ แปบนะ เดี๋ยวไปเอากระเป๋าก่อน” วิลเลี่ยมทิ้งให้เพื่อนรออยู่หน้าบ้านแล้วคว้ากระเป๋าที่เตรียมพร้อมไว้แล้วออกมา ปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้วนั่งรถของเอดิสันไปตามเส้นทาง
“แวะร้านโดนัทก่อนนะ” ศาสตราจารย์หนุ่มขอร้องขึ้นทำให้เอดิสันตัดสินใจเลี้ยวรถไปจอดริมถนนแล้วเดินลงไปซื้อขนมกับวิลเลี่ยมสองคน
“เด็กคนนั้นจะชอบไหมน้า” วิลเลี่ยมพึมพำคล้ายพูดกับตัวเองแล้วหยิบโดนัทที่วางเรียงรายอยู่หลายชิ้น เอดิสันดูแล้วคาดการณ์ว่าคงจะบ้าเหมาหมดอย่างละชิ้นทำให้อดขมวดคิ้วไม่ได้ ความสนใจในตัวเด็กคนนั้นมีมากจริงๆ
“ขอบคุณมากนะคะ” พนักงานสาวก้มหัวขอบคุณด้วยรอยยิ้มขณะที่วิลเลี่ยมหอบหิ้วเอาถุงโดนัทที่ซื้อมาทั้งหมดออกไปนอกร้าน
“นายคิดว่าจะกินหมดเหรอ?” เอดิสันตั้งคำถามแต่กลับได้คำตอบคลุมเครือ “ไม่รู้สินะ”
“เป็นเด็กที่มีเสน่ห์ขนาดนั้นเลยหรือไง”
“อย่างน้อยก็เป็นเด็กที่มีคุณค่าในงานวิจัยฉันน่ะ” วิลเลี่ยมตอบ ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปที่รถพลันถูกดึงแขนกลับไปด้านหลัง แม้แรงจะไม่มากแต่ก็ทำให้พวกเขาชะงัก
เมื่อวิลเลี่ยมหันไปมองก็เป็นอันเบิกตากว้าง แต่เพียงชั่วครู่ก็ต้องหันกลับไปที่รถตามเสียงโครมที่ดังขึ้น ทั้งเขาและเอดิสันตาค้างในบัดดล
รถคันหนึ่งเสียหลักพุ่งมาชนรถของเอดิสันที่จอดอยู่ กระโปรงหน้าพังยับ ส่วนคู่กรณีหน้าซีดเดินออกมานอกรถเหมือนจะไม่บาดเจ็บอะไร มีคนเริ่มเข้ามามุงแต่วิลเลี่ยมไม่ได้สนใจหันกลับไปด้านหลังอีกครั้งด้วยความสับสน
“เซ็ธ ทำไมนายถึงมาอยู่นี่?” เป็นคำถามที่เขาคิดว่าคงไม่ได้คำตอบแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล แต่หน้าซีดเผือดเหงื่อซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจหอบแรง เซ็ธเหมือนพยายามจะสื่อสารกับเขาแต่ร่างกายทรุดฮวบลงไป
เอดิสันรีบคว้าตัวเด็กคนนั้นไว้ เขาค่อยๆ คุกเข่าลงไปเพื่อวางเซ็ธไว้บนตัก วิลเลี่ยมเองก็รีบวางของที่อยู่ทั้งหมดแล้วนั่งลงดูอาการอีกฝ่ายทันที
“เซ็ธ...เซ็ธ ทำใจดีๆ ไว้” วิลเลี่ยมเขย่าตัวแล้วเอ่ยเรียกน้ำเสียงร้อนรน แต่เด็กคนนี้หมดสติไปแล้ว เขามองหน้าเอดิสัน รับเด็กหนุ่มมาประคองต่อแล้วให้เพื่อนลุกขึ้นไปเคลียร์เรื่องรถเพราะเริ่มมีคนถามหาเจ้าของแล้ว
เอดิสันยกโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อใครสักคน แล้ววางสาย ก่อนที่จะโทรอีกรอบ
“โอเมก้านี่นา...” เสียงรอบข้างที่เริ่มมามุงดูพึมพำขึ้น เซ็ธเองก็เริ่มมีกลิ่นเอกลักษณ์ออกมาแล้วจึงถูกมองออกอย่างง่ายดาย วิลเลี่ยมเช็กดูแล้วเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากแต่เขาอยากรีบพากลับไปให้เร็วที่สุด
“วิลเลี่ยม รถมาแล้ว” ในที่สุดเอดิสันก็เอ่ยขึ้นแล้วเป็นคนยกถุงขนมไปแทนเขา วิลเลี่ยมไม่มีเวลาให้ถามเลยรีบอุ้มเซ็ธขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไป ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุมีรถอีกคันจอดรออยู่ ส่วนคู่กรณีนั้นมีคนเข้าไปคุยด้วย เขาคาดว่าน่าจะเป็นคนของเอดิสัน
วิลเลี่ยมพาเซ็ธไปนั่งที่เบาะหลัง ส่วนเอดิสันนั่งข้างคนขับ เมื่อบอกสถานที่ก็ขับออกไปทันที
“นายไม่อยู่ตกลงกับคนชนเหรอ” วิลเลี่ยมถามขึ้น แต่เอดิสันกลับส่ายหน้า “ไม่ ให้ฝ่ายประกันคุยแทนแล้วจะโอเคกว่า เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง แต่ควรรีบกลับไปที่โรงพยาบาล” วิลเลี่ยมบอก เขาให้เซ็ธหนุนตักตัวเองแทนหมอน รอรถไปถึงที่หมายอย่างใจจดใจจ่อพลางอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ดูแล้วคงไม่มีการเตรียมพร้อม กว่าจะมาถึงตรงนี้ก็เกือบห้าร้อยเมตร เท้าของเด็กคนนี้เปลือยเปล่าจึงเห็นแผลฟกช้ำกับรอยที่ถูกบาดอย่างง่ายดาย คงจะวิ่งหนีออกมา
ไม่นานรถก็ขับมาถึงโรงพยาบาลเคมาน ทั้งวิลเลี่ยมและเอดิสันรีบร้อนพาเซ็ธออกมานอกรถ ศาสตราจารย์หนุ่มอุ้มเด็กคนนี้เดินไปท่ามกลางความแตกตื่นของคนไข้และญาติ รวมทั้งหมอและพยาบาล
พยาบาลคนหนึ่งเดินมาเห็นจึงรีบร้อนนำเขาไปที่ห้องของเซ็ธทันที วิลเลี่ยมวางเด็กหนุ่มลงบนเตียงสั่งให้พยาบาลรีบนำอุปกรณ์ทำแผลมา ระหว่างนั้นรีเบคก้าและแพทย์อีกสองสามคนก็เข้ามาด้วยความตะลึง
“คุณเจอเขาที่ไหนคะ?” รีเบคก้าเป็นคนถามขึ้น วิลเลี่ยมละจากการดูแลเซ็ธมาตอบว่า “ย่านการค้าครับ”
“โรงพยาบาลนี้มันอะไร ทำไมถึงปล่อยคนไข้ให้หนีออกไปได้!” เอดิสันตะคอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เกิดใครเป็นอะไรขึ้นมาจะรับผิดชอบยังไง?”
“เอ็ด ไม่เอาน่า” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเสียงเบา แต่ในใจก็อดเห็นด้วยไม่ได้ การปล่อยให้คนไข้หนีไปได้ถือเป็นความสะเพร่าของโรงพยาบาล
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะออกไป แถมยังหนีออกไปข้างนอกอีก ปกติเขาไม่เคยออกไปไหนเองแบบนี้”
พยาบาลคนหนึ่งสารภาพอย่างสำนึกผิด เป็นรีเบคก้าที่ถอนหายใจขึ้นแล้วยืนยันว่า “ระบบการรักษาความปลอดภัยของเราไม่ได้หละหลวม ฉันยืนยันได้ แต่เรื่องที่เขาหนีออกไปฉันขอยอมรับผิด ต่อจากนี้จะระวังให้มากขึ้น”
“เขาไม่เป็นอะไรก็ดีมากๆ แล้วครับ” วิลเลี่ยมพยายามพูดในแง่ดีเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียดในห้อง เขาไม่ต้องการโทษพวกหมอพยาบาลของที่นี่ไปมากกว่านี้ เพราะมีสิทธิ์ที่จะเกิดการโยนความผิดไปที่คนต้นเหตุ
“เขายังไม่ฟื้น เป็นอะไรหรือเปล่า” เอดิสันถามกับพวกหมอขึ้น พยาบาลจึงเข้าไปดูแลและทำแผลที่เท้า หมอท่านหนึ่งที่เข้าไปดูก็ตอบว่า “ดูแล้วน่าจะมีไข้นิดหน่อยกับหมดสติไป ต้องรอเขาฟื้นก่อนถึงจะถามได้”
“งั้นก็โอเค พวกคุณออกไปได้แล้ว” ชายในชุดสูทยังคงสั่งต่อทำให้วิลเลี่ยมอดมองไม่ได้ คนคนนี้ทำท่าทีเหมือนทุกคนเป็นลูกน้องตัวเอง แถมพวกพยาบาลกับคุณหมอยังยอมตัวงอเดินออกไปอีกด้วย
“นายเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้หรือไง” วิลเลี่ยมบ่นพึมพำอย่างระอา แต่เอดิสันไม่ได้ตอบอะไรเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเผลอเอานิสัยตอนทำงานมา
“โทษที เวลาหงุดหงิดแล้วชอบพูดไม่คิด” เอดิสันกล่าวแล้วเดินมาข้างเตียงกับวิลเลี่ยม
“ดูเหมือนเขาจะมีไข้นะ” ศาสตราจารย์หนุ่มพึมพำแล้วหาผ้าขนหนูกับกะละมังที่พยาบาลเตรียมไว้ไปใส่น้ำ นำมาเช็ดให้อีกฝ่าย
“ใครเห็นคงมองเป็นไก่ตาแตก” เอดิสันพึมพำขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหลุดขำออกมา ปกติแล้วอัลฟ่าไม่ยุ่งกับโอเมก้า เป็นการหลีกเลี่ยงในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างช่วงฮีท บางคนถึงกับมีความคิดว่าถ้าอัลฟ่าอยู่ด้วยกันกับโอเมก้าคือต้องมีเพศสัมพันธ์กัน
“เด็กนี่ไม่ได้อยู่ในช่วงฮีทเสียหน่อย แค่ป่วยธรรมดา” วิลเลี่ยมบอกก่อนจะสะดุดเมื่อยกมืออีกฝ่ายขึ้นมาเช็ดแล้วสังเกตเห็นความผิดปกติใต้ร่องเสื้อ
เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนข้างๆ เห็นไหม แต่เพื่อความแน่ใจตนจึงแกะกระดุมถอดเสื้อโอเมก้าหนุ่มดูเล็กน้อย
“บอกก่อนเลยว่าฉันไม่ได้มีอารมณ์หื่นใดๆ ทั้งสิ้น” วิลเลี่ยมรีบขัดขึ้นก่อนที่จะเปิดเสื้อออก เขากับเอดิสันอดเบิกตากว้างไม่ได้
ผิวเนื้อภายใต้เสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ทั้งที่ถูกไฟจี้เป็นจุดๆ กับร่องรอยคล้ายถูกของมีคมบาด มากมายเสียจนเขารู้สึกสะอิดสะเอียน คนที่กระทำเช่นนี้ได้ไม่น่าเรียกว่าคน
“เวรเอ๊ย” เขาไม่พูด แต่เอดิสันที่พื้นเพเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วย่อมสบถออกมา สายตาเต็มไปด้วยความสงสารเวทนา “มันยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
“คงคิดว่าประเสริฐกว่าใครทั้งปวงมั้ง” ศาสตราจารย์หนุ่มพึมพำขณะใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้อีกฝ่าย เขาเดินไปอีกฝากของเตียงยกแขนเซ็ธขึ้นแล้วเช็ดให้ พลันไปเห็นจุดสังเกตที่ข้อมือ
“คงเจ็บปวดมามาก...” รอยแผลเป็นจากการกรีดข้อมือยังมีให้เห็น ไม่ใช่แค่รอยสองรอย ดูแล้วน่าเวทนาชวนให้วิลเลี่ยมน้ำตาซึม
“หมอบอกหรือเปล่าว่าเด็กคนนี้...ชื่ออะไรนะ?”
“เซ็ธ”
“เออ บอกหรือเปล่าว่าเซ็ธไปเจออะไรมา”
“เขาบอกถูกรังแกมาโดยตลอด แผลที่ข้อมือนี่คงเป็นเพราะเขาเคยพยายามฆ่าตัวตาย” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเสียงเบา แต่ก็ยังเช็ดตัวให้อีกฝ่ายต่ออย่างอ่อนโยน เอดิสันไม่ได้พูดอะไร
จู่ๆ มือที่ศาสตราจารย์กุมมือไว้ก็ขยับ พลอยให้ทั้งคู่ชะงัก
เซ็ธลืมตาขึ้น นิ่งไปราวห้าวิ เมื่อกวาดสายตาจนมองเห็นคนทั้งสองก็เบิกตากว้างแล้วลุกพรวด สะบัดมือวิลเลี่ยมให้ออกห่างจากตัว เด็กหนุ่มเด้งตัวไปนั่งชิดหัวเตียง หดแขนขาด้วยความหวาดกลัว
“ใจเย็นๆ นี่ฉันไง ฉันเอง” วิลเลี่ยมเห็นดังนั้นจึงรีบปลอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เซ็ธมองมาที่เขาแต่สายตายังตื่นกลัว “จำได้ใช่ไหม ไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่ทำร้ายนาย”
ความหวาดกลัวนั้นค่อยๆ คลายลง แต่ไม่รวดเร็ว เซ็ธไม่ได้พูดอะไรแต่มองคนสองคนสลับไปมา
“นี่เพื่อนฉัน ชื่อเอดิสัน ให้เขาเข้ามาในห้องได้ใช่ไหม?” วิลเลี่ยมแนะนำเพื่อนของตนด้วยความเป็นมิตร เซ็ธเหลือบมองชายร่างสูงหน้าโหดอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร
“เฮ้ ถ้าไม่เต็มใจฉันออกไปก็ได้นะ” เอดิสันโพล่งขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น วิลเลี่ยมเองก็คาดเดาได้ว่าเซ็ธไม่ได้เต็มใจเลยมองดูอยู่เงียบๆ อีกฝ่ายอ้ำอึ้งอยู่นานมาก เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด
“ไม่ต้องกังวลนะ ถึงเขาจะหน้าเหมือนยักษ์แต่ก็เป็นคนใจดี” ศาสตราจารย์พยายามพูดปลอบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันออกไปก็ได้” ชายหนุ่มผมแดงเตรียมหันหลังออกจากห้องไปแต่ก็ถูกรั้งไว้
“ไม่...” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเบาแล้วปล่อยมือที่คว้าเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็ว “ผม...ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร” เอดิสันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน การพูดเสียงดังเหมือนปกติไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เขาคุยกับโอเมก้านี้ได้
วิลเลี่ยมเห็นบรรยากาศในห้องเป็นปกติเลยยิ้มอย่างพอใจ แล้วนึกบางอย่างได้ “จริงด้วย โดนัทๆ เซ็ธ กินโดนัทไหม อร่อยน้า”
เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็รู้ว่าแค่ยังลังเลเลยหันไปบอกเอดิสันว่า “เอ็ด ไปเอาขนมมาหน่อยสิ”
“หา? ทำไมต้องเป็นฉัน?” ชายร่างสูงขมวดคิ้ว ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะเลิกคิ้วใส่ “หืม ไม่เห็นต้องถาม หรือจะให้ฉันไป”
แต่ถ้าฉันไปแล้วนายต้องอยู่กับเด็กคนนี้แทนนะ...
วิลเลี่ยมพยายามสื่อเช่นนั้นออกมา ถึงจะบอกว่าเอดิสันใจดีไม่เหมือนหน้าตา แต่การรับมือกับเด็กนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ครั้งหนึ่งญาติของอีกฝ่ายฝากเด็กให้ช่วยเลี้ยง ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ก็ต้องโทรตามเขาให้ไปช่วย
คนถูกใช้เดินออกจากห้องไปเอาขนมมาโดยไม่พูดอะไร ทำให้วิลเลี่ยมได้มีโอกาสอยู่กับเด็กคนนี้แค่สองคน
“เซ็ธ” เขาลองเอ่ยเรียกก่อนจะถามว่า “นายหนีออกจากโรงพยาบาลไปทำไม?”
“...” เซ็ธยังคงไม่ตอบ เขาได้ยินมาว่าตั้งแต่มารักษาตัวที่นี่เขาก็แทบไม่พูดกับใครเลย
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ว่าอะไร ตอบมาเถอะตามที่นายคิด” ศาสตราจารย์หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วหาเก้าอี้มานั่งแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเป็นผู้ชายโสดขี้เหงาน่ะ ช่วยพูดกับฉันหน่อยสิ”
เซ็ธชะงักไปครู่หนึ่ง คงจะใช้เวลาคิดอยู่นานแต่ก็ยอมบอก “ผม...ไปช่วยคุณ”
วิลเลี่ยมเลิกคิ้ว ในอกรู้สึกเหมือนโดนน้ำเทกรอกลงมาจนล้นปริ่ม คำพูดนั้นสะกดเขาไว้อย่างดี
“นายช่วยฉันเพราะมองเห็นใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น” วิลเลี่ยมยิงคำถามเพราะเซ็ธเงียบไป เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา
“คุณ...บอกว่าจะมา ถ้าหาก...รถชนก็จะไม่มา” เขาตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อ แต่เพียงแค่นี้ก็พอจะรู้เจตนาบางส่วนแล้ว ถ้าหากว่าถูกรถชนจริงๆ ก็คงต้องไปรักษาตัวโรงพยาบาลอื่นก่อน แล้วคงไม่ได้มาที่นี่
“ผม...อยากให้คุณมา” เซ็ธหันมาเอ่ยกับเขา แม้ดวงตานั้นจะไม่ได้สื่อความรู้สึกอะไรแต่คำพูดกับทำให้วิลเลี่ยมรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเด็กคนนี้
เขาชะงักไปนาน ก่อนที่จะค่อยๆ เผยยิ้มออกมาเหมือนปกติ
“เด็กดี อยากเจอฉันใช่ไหม?”
วิลเลี่ยมรู้สึกอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด เป็นความรู้สึกที่พูดอะไรไม่ออก เขาลืมเรื่องงานไปชั่วขณะ แต่เพียงแค่แวบเดียวก็นึกห่วงขึ้นมา
เซ็ธมีพลังจิตจริงๆ อย่างที่เขาคาด เอดิสันเองก็คงคิดเหมือนกัน เป็นสัญญาณที่ดีต่องานวิจัยและสิ่งที่เขาต้องการจะทำ
เด็กคนนี้เป็นหงส์ดำอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ และหากผู้คนรู้เรื่องนี้คงจะกลายเป็นเรื่องสะเทือนโลกทีเดียว
------------------------------