Climax Change เมื่อรักทักทายกัน {Omegaverse} อัพตอนพิเศษ P4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Climax Change เมื่อรักทักทายกัน {Omegaverse} อัพตอนพิเศษ P4  (อ่าน 76597 ครั้ง)

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Climax Change เมื่อเราได้พบกัน
[/size]

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรื่องย่อ
โลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง หล่อหลอมให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น
ผู้อ่อนแอไม่ได้รับการปกป้องและถูกทำร้าย
วิลเลี่ยม ซี. มาร์เดน อัลฟ่าหนุ่มนักวิจัยเห็นถึงปัญหานี้จึงคิดจะหาทางแก้ไข
หนทางการเรียกร้องให้แก่โอเมก้าดำเนินไปท่ามกลางความคิดสบประมาท
เขาได้พบกับโอเมก้าหนุ่มน้อยที่แตกต่างจากคนอื่น เป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง
เขาเลือกที่จะปกป้องอีกฝ่ายและพาเด็กคนนั้นไปสู่ความสำเร็จที่ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนเคยทำได้
เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็น
ความสัมพันธ์อันยากจะลืมหลอนค่อยๆ เติบโตขึ้นเมื่อทั้งคู่ใกล้ชิดกัน
[/size]
----------------------------------
สารบัญ
สวัสดีค่ะ ขอฝากผลงานแนวโอเมก้าเวิร์สเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2018 17:49:26 โดย sakana04 »

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทนำ
หลังจากการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน  มนุษย์ได้ค้นพบถึงพลังจิตที่ซ่อนอยู่ในตัว  พวกเขาปรับสภาพร่างกายให้ตอบสนองต่อพลังแฝงนั้นมาตลอด  จนในยุคปัจจุบันผู้คนก็สามารถใช้มันได้อย่างอิสระและมีประสิทธิภาพ

ทว่าก็มีบางกลุ่มที่ไม่สามารถใช้พลังอะไรได้เลย  หนำซ้ำมนุษย์ยังเผชิญวิกฤติการณ์ที่เรียกว่าการลดลงของจำนวนประชากรจนทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีก 

ผู้ที่ไม่มีพลังใดๆ  เลยนั้นถูกปรับสภาพให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถตั้งครรภ์ได้ 

นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเห็นความแตกต่างที่พิเศษเหล่านั้นของมนุษย์จึงได้กำหนดเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยกขึ้นตั้งแต่เมื่อเก้าสิบปีก่อน

ลบล้างระบบแบบเดิม  แล้วหันมาใช้ชนชั้นมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นตามมติของโลกซึ่งมีอยู่  3  ชนชั้นด้วยกัน

ชนชั้นแรกคืออัลฟ่า  ชนชั้นที่อยู่สูงสุด  ผู้เพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญาอันล้ำเลิศ  มีพลังจิตที่เหนือกว่าคนทั่วไปและหาได้ยาก  รูปแบบพลังนั้นไม่ได้ปรากฏทางกายภาพ  ใช้ควบคุมจากสมองโดยตรง  เช่น  การควบคุมสิ่งของ  การอ่านใจ  แต่ถึงอย่างนั้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ไม่พบผู้ที่มีพลังรุนแรงถึงขนาดควบคุมดินฟ้าอากาศได้  และอัลฟ่าทุกคนจะต้องขึ้นทะเบียนเพื่อตรวจสอบพลังพิเศษที่มี

ในจำนวนประชากรทั้งหมด  ผู้ที่เป็นอัลฟ่านั้นเทียบได้เป็นจำนวน  30  ต่อ  100  คน

ชนชั้นกลางลำดับต่อมาคือเบต้า  มนุษย์ที่จัดได้ว่าเป็นบุคคลธรรมดาเพราะมีจำนวนประชากรมากที่สุด  ความพิเศษของพวกเขาไม่พอจะเรียกว่าพลังจิตแต่ก็มีศักยภาพมากกว่ามนุษย์ในอดีต  ตัวอย่างเช่นเบต้าบางคนมีพลังขาที่แข็งแรง  บางคนนั้นว่องไวเป็นพิเศษ  และบางคนก็มีความสามารถวิเคราะห์ที่สูง

ส่วนชนชั้นสุดท้ายคือโอเมก้า  แต่เดิมนั้นไม่มีความหมายพิเศษอะไร  มนุษย์ในกลุ่มนี้คือผู้ที่ไม่มีพลังอะไรเหมือนมนุษย์ในยุคอดีตแต่ร่างกายของพวกเขา  ทั้งชายและหญิงสามารถตั้งครรภ์ได้

ทว่าภายหลังการกำหนดชนชั้นนั้น  ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็เริ่มเด่นชัดมากขึ้น  ผู้คนมองว่าโอเมก้าเป็นเพียงแค่เศษเดนที่ไม่มีค่าอะไรนอกจากการผลิตลูก  และเมื่อโลกพ้นวิกฤติปัญหาประชากรลดลงแล้ว  โอเมก้าก็ไม่ได้มีค่าอะไรอีกต่อไป  สิทธิ์หลายอย่างที่ควรมีก็ถูกลิดรอนไปเรื่อยๆ  มีบางกลุ่มจงเกลียดจงชังพวกโอเมก้าจนเกิดการฆาตกรรมบ่อยๆ
หรือบางครั้งโอเมก้าก็ไม่สามารถทนต่อภาวะแรงกดดันจากสังคมได้จนฆ่าตัวตาย  ทำให้ประชากรโอเมก้าในปัจจุบันนั้นเหลือเพียง  10  ต่อ  100  คน

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่พวกโอเมก้าถูกกระทบเป็นเรื่องไม่สมควรแม้แต่น้อย  หรือหากจะพูดให้ถูกคือไม่มีใครคิดจะปกป้องพวกเขาเลยสักนิด

ทว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนได้เกิดเรื่องฮือฮาขึ้นในหมู่นักวิชาการ  ในงานเลี้ยงสัมมนาวิชาการนานาชาติที่มีคนสำคัญมาร่วมงานมากหน้าหลายตานั้น  ชายหนุ่มที่เพิ่งได้รับการสถาปนาเป็นนักวิจัยที่ทรงคุณค่าได้ประกาศจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้แก่โอเมก้า  ให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโอเมก้าเสียใหม่

ชายผู้ที่ถูกมองว่าเสียสติและกระทำการที่เปล่าประโยชน์นั้นมีชื่อว่า  วิลเลี่ยม  ซี.  มาร์เดน

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  1 การพบกันของทั้งสองคน (ครึ่งแรก)

กริ๊ง!

เสียงกดกริ่งดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวหลังจากนั่งก้มหน้ารัวนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดมาสักพัก  เขาเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกเมื่อหันไปมองนาฬิกาซึ่งเข็มสั้นกำลังชี้เลขสิบเอ็ดอยู่  ตอนนี้นักข่าวที่นัดไว้คงมากันแล้วดังนั้นเจ้าตัวจึงรีบลุกขึ้นจัดเส้นผมสีน้ำตาลที่ชี้ฟูออกมาให้เข้าที่แล้วถอดแว่นออก  จากนั้นก็รีบเดินไปเปิดประตูให้

“สวัสดีครับ”  เขาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววเป็นมิตรทำให้บรรยากาศดูสดใส  อีกฝ่ายทักทายกลับมาตามมารยาทพร้อมยื่นนามบัตรมาให้  เธอเป็นนักข่าวสาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง  เขาเองก็เคยเห็นในทีวีบ่อยๆ  ข้างๆ  นั้นเป็นผู้ชายที่คงมาเป็นผู้ช่วย

“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ”  เขาผายมือเชิญทั้งสองเข้ามาก่อนที่จะพาไปยังห้องรับแขก  แล้วนั่งลงบนโซฟารอตอบคำถามอย่างใจเย็น

“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม  ทำไมคุณถึงคิดจะเรียกร้องสิทธิ์ให้พวกโอเมก้าคะ”  นักข่าวสาวถามทันทีที่เห็นเขาเปิดโอกาส  เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนเธอตามตื๊อเขาอยู่นานกว่าจะได้มาสัมภาษณ์เช่นนี้

วิลเลี่ยม  ซี.  คาร์เดนยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง  เป็นนิสัยประจำของเขาที่ทำเมื่อคุยกับคนอื่น  ก่อนที่จะบอก  “มันเป็นความตั้งใจของผมเองครับ  อีกทั้งความสนใจอยากจะศึกษาในตัวพวกเขา  ร่างกายของพวกเขาเองก็น่าอัศจรรย์ไม่แพ้อัลฟ่าหรือเบต้า  และที่สำคัญพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน  ดังนั้นแล้วผมจึงคิดว่าโอเมก้าก็ควรจะได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับเบต้าหรืออัลฟ่า”

“คุณอยากให้โอเมก้าได้รับสิทธิ์เทียบเท่ากับอัลฟ่า?”  หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่ง  สีหน้าเหยเกขึ้นมาทันทีโดยไม่ปกปิด วิลเลี่ยมรู้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นอัลฟ่า  ซึ่งก็คงมีความคิดดูถูกพวกโอเมก้าอยู่  “อัลฟ่าเป็นชนชั้นสูง  คุณก็รู้  ฉันคิดว่าไม่เหมาะสมเลยที่จะให้สิทธิ์พวกมันเท่ากับเรา  แค่เบต้ายังพอว่า”

ชายคนที่อยู่ข้างๆ  นั้นเหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่งแล้วกลับมาทำสีหน้าเรียบเฉย  แต่เพียงครู่เดียวนั้นวิลเลี่ยมก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ  เหตุเพราะการดูถูกชนชั้นซึ่งๆ  หน้า

“ผมไม่ได้พูดว่าต้องการให้โอเมก้าได้รับสิทธิ์เท่าเทียมกับอัลฟ่า  เพราะผมรู้ดีว่านั่นจะทำให้เกิดปัญหาความไม่พอใจขึ้น  เหมือนกับที่คุณเป็นอยู่ยังไงล่ะ”  สิ้นเสียงของศาสตราจารย์หนุ่ม  นักข่าวสาวก็ชะงักไปทันที  เธอกัดฟันแน่นแล้วกลบเกลื่อนอารมณ์  วิลเลี่ยมพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วพูดต่อ

“อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ  ในปัจจุบันหากคุณลองมองดูดีๆ  มีคนที่ทำร้ายพวกโอเมก้าเยอะมาก  ทั้งทางตรงและทางอ้อม  ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ควรที่เราไปรังแกคนอ่อนแอ”

“นั่นสินะคะ  พวกโอเมก้าทั้งอ่อนแอและไร้สมอง”  นักข่าวสาวเสริมก่อนจะบอกว่า  “แต่ศาสตราจารย์อย่าลืมสิคะว่าพวกโอเมก้าเองก็ก่อคดีอาชญากรรมเยอะเหมือนกัน  ไม่ใช่ว่ามันจะดีเสียทั้งหมด”

“เรื่องนั้นผมทราบดี  แต่ผมก็ไม่ได้บอกนี่ครับว่าโอเมก้านั้นดีทุกคน  สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อกับคุณก็แค่การถูกรังแกจากสังคม  หากให้เทียบเปอร์เซ็นต์ที่โอเมก้าถูกทำร้ายจากคนชนชั้นอื่นกับจำนวนครั้งของอาชญากรรมที่โอเมก้าเป็นคนก่อนั้นต่างกันชัดเจน  พวกเขาถูกกระทำมากกว่ากระทำ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจังพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะตบท้ายว่า

“คุณผู้หญิง  เรามาจบการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ดีกว่า  ผมอยากให้คุณวางอคติที่รุนแรงไปเสียก่อน  หากต้องการสัมภาษณ์ผมอีก  ผมก็ยินดีทุกเมื่อ” 

“ว่ายังไงนะคะ!?”  หญิงสาวคนนั้นเบิกตากว้างแล้วลุกขึ้นด้วยความตกตะลึง  วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นปลอบก่อนจะพูดซ้ำน้ำเสียงชัดเจน 

“ผมคิดว่าคุณไม่เหมาะจะสัมภาษณ์ผมตอนนี้  เชิญออกไปก่อนเถอะครับ”

นักข่าวสาวลอบกำหมัดแน่นก่อนที่จะเดินกระแทกเท้าออกไปอย่างอารมณ์เสีย  นั่นทำให้วิลเลี่ยมเลิกคิ้วแล้วพึมพำทิ้งท้ายว่า
 
“ให้ตาย  เธอเป็นนักข่าวดังได้ยังไงเนี่ย”

ชายหนุ่มตรงหน้าเขาขืนยิ้ม  ดูเหมือนเจ้าตัวก็ทนการกระทำมาหนักเหมือนกัน  แต่การที่อีกฝ่ายยังนั่งอยู่ไม่ได้ตามออกไปทำให้วิลเลี่ยมแปลกใจ

“ผมไม่ได้มากับเธอ”  คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมเหม่อไปสักพักแล้วนึกออกว่านักข่าวที่นัดเขาไว้ในวันนี้มีสองคน 

“แต่พวกคุณอยู่ด้วยกันตอนผมเปิดประตูก็เลยเผลอนึกว่าคุณเป็นผู้ช่วยเสียอีก”

“เปล่าครับ  ผมเลือกวันนี้ไว้ก่อนเธอคนนั้นอีก  อีกอย่างเธอคนนั้นน่ะทึกทักเอาเองว่าผมอยากขอความช่วยเหลือจากเธอ”  อีกฝ่ายพึมพำคล้ายบ่นกับเขาก่อนที่จะถอนหายใจ  วิลเลี่ยมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่องให้ 

“แล้วคุณมีอะไรจะถามผมบ้างไหม”

“มีสิครับ”  อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น  แล้วหยิบเครื่องบันทึกเสียงมากดเพื่อบันทึกต่อแล้วหยิบกระดาษมาจด  “ผมขออนุญาตถามต่อจากเมื่อครู่นี้เลยนะครับ”

“ได้ครับ”

“คุณคิดว่างานวิจัยของคุณจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจโอเมก้าได้มากน้อยเท่าไรครับ?”  เบต้าหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นทำให้วิลเลี่ยมยกยิ้มอย่างพอใจ 

“เป็นคำถามที่ดี  แต่ผมคงตอบไม่ได้  ขึ้นอยู่กับการเปิดใจรับและการลดอคติของทุกคน  ทางผมเองก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดและจะทำให้มันเป็นแรงขับดันที่ทำให้พวกโอเมก้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

งานวิจัยที่เขากำลังทำอยู่นี้เป็นงานเกี่ยวกับโอเมก้า  ทั้งลักษณะทางกายภาพและสภาพสังคม  รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ  ที่เขาค้นพบ  เป็นเสมือนสารานุกรมที่รวบรวมข้อมูลไว้โดยเฉพาะ

“แล้วตอนนี้ความคืบหน้าของงานวิจัยประสบความสำเร็จไปได้เท่าไรแล้วหรือครับ?”  นักข่าวหนุ่มถามต่อ 

“ประมาณ  60%  ได้ครับ”  วิลเลี่ยมตอบโดยคาดคะเนงานที่เสร็จไป  “แต่ยังมีหลายอย่างที่ผมต้องศึกษาเพิ่มเติม  อาจจะเรียกได้ว่าคงยังไม่เสร็จในเร็วๆ  นี้”

“งั้นหรือครับ  ผมเองก็รออ่านงานของศาสตราจารย์อยู่นะครับ”  นักข่าวหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจจริงหรือเพียงแค่กะจะเอาใจแต่ก็ทำให้วิลเลี่ยมใจชื้นขึ้นได้ 

“ขอบคุณครับ”

“แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรหรือครับ  พอจะตอบได้ไหมครับ?” 

“ต่อจากนี้จะไปที่โรงพยาบาลจิตเวชเคมานน่ะครับ  ผมอยากจะศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบจากการถูกทำร้ายของพวกโอเมก้า”  ศาสตราจารย์หนุ่มตอบก่อนจะหันไปมองนาฬิกา  “นี่ก็ใกล้จะได้เวลาที่นัดแล้ว  ขอโทษนะครับ  ผมคงต้องขอให้จบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้”

“ได้ครับ  ขอบคุณมากสำหรับวันนี้ครับ”  นักข่าวหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะลุกขึ้น  เก็บของที่นำมาด้วยแล้วยื่นนามบัตรให้ศาสตราจารย์  “ถ้าหากต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มก็ติดต่อมาได้นะครับ”

“ไมเคิล  โรเบน”  วิลเลี่ยมทวนชื่อที่อยู่ในนามบัตรเบาๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ทราบแล้วครับ  ต้องขอบคุณจริงๆ  ที่คุณอยากจะช่วยเหลือในงานวิจัยของผม”

“ไม่เป็นอะไรครับ  ที่จริงผมเองก็มีคนรู้จักที่เป็นโอเมก้าน่ะครับ  ดูเธอทรมานมากกับสังคมเลยอยากจะหาทางช่วยเธอบ้างน่ะครับ”  ไมเคิลพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะจากไป  วิลเลี่ยมออกไปส่งแขกที่หน้าประตูก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก

ศาสตราจารย์หนุ่มคว้าเสื้อโค้ตตัวยาวมาสวมแล้วเดินไปที่โรงจอดรถเพื่อขับรถสีดำคู่ใจออกไป  เวลาที่นัดกับจิตแพทย์โรงพยาบาลเคมานคือบ่ายโมงตรง  ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี  เขาพอจะมีเวลาแวะไปซื้อมื้อเที่ยงที่ร้านโปรดได้ 

วิลเลี่ยมขับรถออกมาตามท้องถนน  หมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างเงียบสงบเพราะส่วนใหญ่เป็นคนแก่ที่เกษียณแล้วมาพักอาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือไม่ก็พวกที่ไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน  เขาขับมาเรื่อยๆ  จนถึงย่านการค้าใจกลางเมือง  ผู้คนจึงเริ่มหนาแน่นขึ้น  แต่เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนรถจึงไม่ติด

ชายหนุ่มจอดรถไว้หน้าร้านแฮมเบอร์เกอร์วิลสัน  แล้วเดินลงไปสั่งซื้อเซ็ตอาหารกลางวันมาหนึ่งชุด  เขารออยู่สักพักพนักงานก็นำมาเสิร์ฟ  วิลเลี่ยมแกะห่อออกหยิบแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมากินตามด้วยดื่มน้ำอัดลมแล้วหยิบเฟรนฟรายใส่กระเป๋าพร้อมเดินไปจ่ายเงิน 

“นี่ของแถมสำหรับเดือนนี้ค่ะ”  พนักงานยื่นห่อลูกกวาดสีสันสดใสมาให้เขาหลังจากคิดเงินเรียบร้อยแล้ว  เป็นจุดเด่นอีกอย่างของร้านวิลสันที่มักจะสรรหาของแถมมาให้ลูกค้าทุกเดือน  วิลเลี่ยมรับมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินออกไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องเพื่อขับต่อ

ระหว่างทางคนของโรงพยาบาลเคมานโทรมาถามอีกรอบเพื่อความแน่ใจ  เขาจึงได้ยืนยันว่ากำลังจะเดินทางไป  เมื่อพ้นจากย่านการค้าและขับต่อไปอีกห้าร้อยเมตรก็ถึงที่หมาย  หลังจากขับรถไปจอดที่ลานจอดรถตามที่ยามบอกแล้วจึงลงมา

วิลเลี่ยมเดินไปที่ห้องประชาสัมพันธ์ทันที  “ขอโทษนะครับ  ผมมาขอพบแพทย์หญิงรีเบคก้า  วาร์นครับ”

“รอสักครู่นะคะ”  พยาบาลสาวเอ่ยเสียงใสแล้วยกโทรศัพท์ขึ้น  พูดอะไรสักพักหนึ่งก็วาง  วิลเลี่ยมเดินไปรอที่เก้าอี้อย่างว่าง่าย  ขณะรอก็มองไปรอบๆ  ส่วนนี้ของโรงพยาบาลไม่มีอะไรมาก  มีญาติคนไข้ที่มารอเยี่ยมบ้าง  กับพยาบาลที่กำลังพาคนไข้เดินเล่นอยู่แถวๆ  สวนด้านหน้า

ทุกสายตามองมาที่เขาด้วยความรู้สึกประหลาด  บ้างมองอย่างหวาดกลัว  บ้างมองอย่างรังเกียจ

เขาเข้าใจดี  ที่นี่คือโรงพยาบาลจิตเวชสำหรับโอเมก้าโดยเฉพาะ  เพราะพวกโอเมก้านั้นมีความสามารถพิเศษ  ในทุกๆ  สามเดือนจะมีช่วงที่เรียกว่า  ‘ฮีท’  ซึ่งจะตกอยู่ในห้วงอารมณ์ตัณหา  ดึงดูดพวกอัลฟ่าให้ไร้สติแล้วเข้าจู่โจม

เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่ดีและพวกอัลฟ่าเรียกร้องที่จะไม่อยู่ร่วมกับพวกโอเมก้าจึงได้มีการสร้างอาคารพิเศษแยกมาโดยเฉพาะ  ทั้งโรงพยาบาล  โรงเรียน  สถานรับเลี้ยงเด็ก  หรือโบสถ์

โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลจิตเวชนี้  ผู้คนส่วนใหญ่ป่วยทางจิตเพราะถูกกระทำจากอัลฟ่า  ชนชั้นเดียวกับเขา  แล้วโอเมก้าเองก็มองอัลฟ่าไม่ดีอยู่แล้ว  วิลเลี่ยมจึงทำได้แค่ประดับรอยยิ้มบางๆ  ไว้บนใบหน้า  แต่ถึงอย่างนั้นรอบตัวเขาราวสิบเมตรไม่มีใครเฉียดเข้าใกล้เลย

“สวัสดีค่ะคุณวิลเลี่ยม  ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน  ฉันเพิ่งตรวจคนไข้รอบเช้าเสร็จ”  หญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม  แล้วยกมือขึ้น  “ดิฉันรีเบคก้า  วาร์น  ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ผมวิลเลี่ยม  ซี.  มาร์เดนครับ  ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูลครั้งนี้นะครับ  ลำบากคุณแย่เลย”  วิลเลี่ยมแนะนำตัวกลับ  อีกฝ่ายกลับนอบน้อมตอบมาว่า 

“ไม่เลยค่ะ  ตอนที่รู้ข่าวเรื่องคุณ  ดิฉันยินดีด้วยซ้ำ  หวังว่าสิ่งที่คุณพยายามทำอยู่จะสำเร็จก่อนที่ฉันจะลงโลงนะคะ”
คำพูดนั้นกึ่งจริงกึ่งเล่น  แต่ทำให้วิลเลี่ยมหัวเราะออกมาเบาๆ  ได้  ก่อนจะตอบด้วยความมุ่งมั่นว่า  “แน่นอนครับ  มันต้องเสร็จในเร็ววันนี้แน่ครับ”

“ถ้ายังงั้นดิฉันจะพาไปแนะนำนะคะ  โอเมก้าที่อยู่ที่นี่  สาเหตุการป่วยส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของสังคมได้  บางคนก็ถูกกระทำจากพวกอัลฟ่าอย่างไม่เต็มใจจนเกิดภาวะเครียดจัด”  รีเบคก้าอธิบายให้เขาฟังก่อนจะเดินไปเรื่อยๆ  สุ่มตัวอย่างผู้ป่วยที่เจอบางคนมาเล่าให้เขาฟังว่าเป็นอะไรและเกิดจากอะไร

เป้าหมายของวิลเลี่ยมวันนี้คือการพูดคุยกับโอเมก้าโดยตรง  แต่เพราะเขาเป็นอัลฟ่า  ถ้าไม่โดนขว้างของใส่ผู้ป่วยก็จะคลั่งจนพูดไม่รู้เรื่อง  จึงทำให้เขาท้อใจ

“เฮ้อ  ลำบากแย่เลยนะครับ  แบบนี้...”  ชายหนุ่มถอนหายใจพลางบ่นพึมพำ  รีเบคก้านิ่งคิดอยู่นานก่อนจะบอกบางอย่างออกมา 
“ดิฉันมีอีกคนหนึ่งที่คิดว่าคุณน่าจะคุยด้วยได้”

“เอ๊ะ?”

“เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างแปลก  ตัวเขาเองเกิดในตระกูลที่มีแต่อัลฟ่า  พออายุห้าขวบก็ถูกทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เลี้ยงรวมกับเบต้า  ถูกรังแกสารพัด  แถมยังถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนรวมจึงถูกรังแก  เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาทนไม่ไหวเลยพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง  สุดท้ายก็เลยถูกส่งตัวมาที่นี่” 

แพทย์หญิงอธิบายสีหน้าหดหู่  แม้แต่วิลเลี่ยมที่เพิ่งได้ฟังยังรู้สึกปวดในอกด้วยซ้ำ

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

“ค่ะ  พอเด็กคนนั้นถูกส่งตัวมาที่นี่ก็ไม่พูดกับใครเลย  เอาแต่วาดรูปอยู่อย่างเดียว”  รีเบคก้าถอดสายตาไปยังหอผู้ป่วยพิเศษชายก่อนจะหันมาถามว่า  “คุณอยากจะลองไปพบเขาดูไหมคะ?”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร  แต่วิลเลี่ยมก็ตอบกลับไปทันทีว่า  “ครับ  ผมอยากไปพบกับเขา”

“ถ้ายังงั้น  ทางนี้ค่ะ”  รีเบคก้าเดินนำชายหนุ่มไปยังหอพิเศษนั้น  ทั้งสองคนขึ้นลิฟต์ของเจ้าหน้าที่ขึ้นไปยังชั้นสาม  ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าสุดแล้วจึงจะสามารถเข้าประตูไฟฟ้ามาได้ 

รีเบคก้าแนะนำเขากับเจ้าหน้าที่ในห้องพร้อมกับให้ตรวจค้นวิลเลี่ยมว่าไม่ได้พกของอันตรายมา  และบอกให้ปลดล็อกประตูไฟฟ้าห้องที่กำลังจะเข้าไป

พวกเขาเดินผ่านโถงกลางที่ไม่มีใครอยู่ไปจนถึงหอนอนที่อยู่ด้านในสุด  รีเบคก้าหยุดยืนอยู่หน้าห้องแล้วหันมาบอกกับเขาว่า  “ถ้าจะเข้าไป  คุณต้องเข้าไปคนเดียวนะคะ  เด็กคนนั้นไม่ชอบให้เข้าไปหลายคน” 

 “ได้ครับ”  วิลเลี่ยมพยักหน้าก่อนจะสูดลมหายใจ  บรรยากาศที่แผ่ออกมานอกห้องนั้นชวนให้อึดอัด  ชายหนุ่มทำใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเคาะประตูเปิดเข้าไป

ความเย็นเยียบของแอร์ทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกว่าแก้มตัวเองถูกแช่แข็งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะชะงักเมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบจากใต้ฝ่าเท้าจึงก้มลงดู  ทั่วห้องนี้เต็มไปด้วยกระดาษที่ถูกละเลงสีแล้ว

มีทั้งที่มองเห็นเป็นรูปวาดอย่างชัดเจน  ที่ถูกละเลงสีเฉยๆ  และที่ร่างแค่ดินสอไว้  วิลเลี่ยมมองไปเรื่อยๆ  จนหยุดอยู่ที่กลางห้อง 
เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุดคู้อยู่ที่พื้น  มีกระดาษกับสีอยู่ข้างตัว  ตรงหน้าเด็กคนนั้นมีกระดาษที่กำลังถูกละเลงสีเทียนอยู่  ดวงตาสีดำคู่สวยนั้นจดจ่ออยู่ที่แต่กับภาพ

ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดที่วิลเลี่ยมไม่สามารถอ่านได้

เหมือนกับทะเลทรายแห้งแล้งที่เติมน้ำไปก็ไม่มีวันได้เป็นบ่อบึง

วิลเลี่ยมเดินเข้าไปใกล้  ก่อนจะย่อตัวลงนั่งหน้าเด็กหนุ่ม  เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสว่า  “สวัสดี”

เด็กคนนั้นหยุดชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขา  ดวงตานั้นทำให้เขาอดรู้สึกประหลาดไม่ได้  แต่โดยรวมองค์ประกอบรูปร่างของเด็กคนนั้นไม่ได้แย่  สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าดีด้วยซ้ำ  ทั้งเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ  ผมสีดำเงางามดูนุ่มมือ  รูปร่างที่หากมีเนื้อหนังมากกว่านี้ก็คงจะสมส่วน  น่าเสียที่ตัวเล็กไปหน่อยอาจเป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลดีเท่าที่ควร

เด็กคนนี้มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกโอเมก้าค่อนข้างเข้มข้น  ดูจากรูปร่างแล้วคงอยู่ในวัยที่เริ่มฮีทได้ไม่นาน  โอเมก้าส่วนใหญ่จะเริ่มฮีทเมื่ออายุ  13  เป็นต้นไป

“ฉันวิลเลี่ยม  ซี.  มาร์เดน  ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

วิลเลี่ยมนึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อของเด็กคนนี้ทำให้ต่อบทสนทนาไม่ค่อยออก  แถมพอเห็นเขา  เด็กตรงหน้าก็เกิดอาการตกใจจนถอยหลังหนีไปก้าวหนึ่ง  หยุดมือที่วาดรูปทันที 

“ไม่ต้องกลัวนะ  ฉันแค่มาคุยกับเธอ  ไม่มีอะไรหรอก”  วิลเลี่ยมพยายามเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน  เด็กหนุ่มเองก็คล้ายจะเข้าใจเลยกลับมาหยิบสีเทียนแล้วระบายต่อ  แต่คงไม่มีความคิดจะคุยกับเขา  ชายหนุ่มยิ้มขืนก่อนจะหาเรื่องคุยต่อ  “ชอบวาดรูปเหรอ  รูปที่เธอวาดสวยมากเลยนะ  ขอฉันดูได้ไหม?”

เด็กคนนั้นพยักหน้าแต่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาแม้แต่น้อย  ทำให้วิลเลี่ยมลำบากใจไม่น้อย  แต่การได้รับอนุญาตให้ดูของของเจ้าตัวก็ถือว่าได้รับความไว้ใจในระดับหนึ่ง

วิลเลี่ยมหันไปสนใจรูปที่ถูกวาดที่วางอยู่เต็มห้อง  ก่อนจะสะดุดตาที่ภาพหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว  มันเป็นรูปตึกที่เขาเคยเห็นในเมือง  ทว่ามีร่องรอยเพลิงไหม้ใหญ่ในตึก  ห่างออกจากรูปนั้นเองก็เป็นรูปเครื่องบินที่ลอยอยู่กลางน้ำ  มีผู้คนออกมาชูมือขอความช่วยเหลือเต็มไปหมด

ไกลออกไปเขาเห็นภาพรถที่กำลังชนคนด้วย  ภาพเหล่านั้นทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด  เขารีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายไว้  แล้วเดินดูรอบๆ  ภาพที่ถูกวาดนั้นแตกต่างกันออกไป  ภาพน่ากลัวนั้นเป็นส่วนน้อย  เด็กคนนี้วาดได้หลายแบบ  เป็นภาพทิวทัศน์และพวกสัตว์

แต่ไม่มีรูปคนอยู่เลยนอกจากรูปเหตุการณ์พวกนั้น

วิลเลี่ยมหันกลับมามองเด็กตรงหน้า  และเขาก็พบข้อสังเกตหนึ่งอย่าง  เด็กคนนี้กำลังสั่นหงกๆ  เหมือนกับคนกำลังหนาว  พอเขาหันไปมองเลขดิจิตอลที่แสดงอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศก็พบว่ามันขึ้นที่  21  องศาซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างเย็นจัดสำหรับช่วงนี้
ด้วยความหวังดีเขาเลยลุกขึ้นไปหยิบรีโมทแอร์มาปรับก่อนจะหยิบผ้าห่มที่วางอยู่บนเตียงมาห่มให้เด็กหนุ่ม  อีกฝ่ายนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยอมห่มผ้าแต่โดยดี  “ไม่ได้นะ  ถ้าทนตากอากาศหนาวแบบนี้เรื่อยๆ  เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

เด็กคนนั้นก้มหน้านิ่ง  หยุดมือที่วาดอยู่อีกครั้ง  พอเห็นว่าไม่ได้สนใจสิ่งใดแล้ววิลเลี่ยมเลยพยายามชวนคุยอีก

“จริงสิ  กินลูกอมไหม  ฉันมีติดมา”  เขาว่าพร้อมล้วงเอาห่อลูกกวาดสีสันสดใสมาให้เด็กหนุ่ม  “หวานนะ  อร่อยด้วย”

อีกฝ่ายจ้องห่อลูกกวาดด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจะยื่นมือมารับช้าๆ  ทำให้วิลเลี่ยมดีใจไม่น้อย  พอเห็นแบบนั้นแล้วเลยหยิบเอาห่อเฟรนฟรายที่หยิบมาด้วยมาวางไว้ตรงหน้า

“นี่ก็อร่อยนะ  ลองกินไหม  มีซอสให้ด้วยนะ”  เขาจัดแจงเปิดถ้วยซอสมะเขือเทศที่หยิบติดมา  แล้วหยิบเฟรนฟรายหนึ่งชิ้นมากินโชว์ให้อีกฝ่ายเห็น  เขารบเร้าอยู่สักพักในที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยอมหยิบไปกินชิ้นหนึ่ง

เมื่อกัดไปแล้ว  เด็กคนนั้นนิ่งสนิท  วิลเลี่ยมไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรเพราะใบหน้านั้นเรียบเฉยมาก  แต่การเห็นอีกฝ่ายลองจิ้มกินกับซอสจนหมดแท่งแล้วหยิบแท่งใหม่ขึ้นมากินอีกก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของเขา

วิลเลี่ยมยิ้มแก้มปริขึ้นทันที  ก่อนจะชวนอีกฝ่ายคุยหลายเรื่อง  เหมือนกับว่าได้เล่าเรื่องหลายๆ  อย่างให้เด็กคนนี้ฟัง  ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้แต่คนตรงหน้ากำลังตั้งใจฟังเขาอยู่

จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกทำให้เขาหันไปมอง  เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลกำลังลากรถเข็นเข้ามา  แล้วเอ่ยขึ้นว่า  “คุณเซ็ธได้เวลาทานอาหารแล้วค่ะ”

วิลเลี่ยมเหลือบมองเวลา  พบว่าตอนนี้หกโมงแล้วจึงรีบลุกขึ้นบ่นพึมพำว่า  “ตายล่ะ  ผมเผลอคุยยาวไปหน่อย  ถ้างั้นจะไม่รบกวนแล้วนะครับ  บายนะ  แล้วเจอกันใหม่”

ประโยคหลังเขาหันไปคุยกับเด็กหนุ่ม  อีกฝ่ายมองตาเขาก่อนที่ดวงตาสีดำนั้นจะเบิกกว้างแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาวาดรูปอย่างลวกๆ  จากนั้นก็ส่งให้วิลเลี่ยม

“เอ๊ะ  นี่คือ?”

“คุณ...ระวัง”  เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเป็นคำๆ  ที่ไม่ค่อยเข้าใจ  วิลเลี่ยมรับกระดาษแผ่นนั้นมาก่อนที่พนักงานจะทักขึ้นด้วยความแปลกใจ
 
“ตายแล้ว  ฉันไม่ได้ยินเขาพูดมานานมากแล้วนะ  ดูท่าเขาจะถูกใจคุณ”

วิลเลี่ยมยิ้มรับก่อนที่จะขอตัวออกจากห้อง  ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปนั้นเขาได้กางกระดาษดู

เป็นรูปคนที่ไม่เคยมีในห้อง  ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในตอนกลางคืนบนถนนเปลี่ยว  ที่น่าตกใจกว่าคือด้านหลังนั้นมีคนอีกคนกำลังง้างท่อนเหล็กเตรียมฟาดมา 

วิลเลี่ยมพับรูปนั้นเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะเดินออกมาพบกับรีเบคก้าข้างนอก  เธอรีบลุกขึ้นมาถามเขาทันที  “เป็นยังไงบ้างคะ?”

“ก็ดีครับ  ถึงเขาจะไม่คุยกับผม  แต่การที่เขาไม่กลัวนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีครับ”  เขาตอบด้วยรอยยิ้ม  “เป็นเด็กที่เป็นมิตรจริงๆ”

“งั้นหรือคะ  แต่ว่า...จะพูดยังไงดี  ดิฉันคิดว่าเด็กคนนั้นค่อนข้างมีอะไรแปลกๆ  นิดหน่อย  เมื่อก่อนก็มีแพทย์เจ้าของไข้อยู่หรอกค่ะ  แต่ว่าตอนนี้ย้ายไปแล้ว”

“เอ๋  ทำไมหรือครับ?”  วิลเลี่ยมเลิกคิ้วขึ้นถามขึ้นด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบว่า  “หมอคนนั้นเขากลัวเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้น่ะค่ะ  เพราะว่าครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับภาพจากเด็กคนนั้น  เหมือนว่าจะเป็นภาพรถชนคนยังไงนี่แหละค่ะ  แล้วเย็นวันนั้นเธอก็โดนรถชน  เจ็บเอาการเลยทีเดียว”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น  วิลเลี่ยมก็รู้สึกขนลุกวาบขึ้นมาทันที  แต่เขาไม่ได้เล่าว่าตนเองก็ได้รับกระดาษมาเหมือนกัน
“แล้วตอนนี้ใครเป็นคนดูแลเด็กคนนี้หรือครับ”  ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องทันที

“ไม่มีค่ะ  ผลตรวจชี้แล้วว่าเขาเป็นปกติ  แต่ว่าเราติดต่อไปยังไงก็ไม่มีใครมารับเลย  เด็กคนนี้เหมือนว่าตอนนี้จะถูกตัดญาติไปหมดแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมยืนค้าง  แล้วหันไปมองห้องที่เขาเพิ่งออกมา  เด็กคนนั้นถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวในโรงพยาบาล  ในห้องที่อ้างว้าง  พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา

-------------------------

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 1 การพบกันของทั้งสองคน (ครึ่งหลัง)

“จวนจะได้เวลาดิฉันไปทำธุระอย่างอื่นแล้ว  คุณมีอะไรที่อยากจะถามอีกไหมคะ”  รีเบคก้าเอ่ยถามขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหันมา  ก่อนจะยิ้ม 

“ไม่มีแล้วครับ  ผมเองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน  วันนี้ขอบคุณมากๆ  นะครับ”

ชายหนุ่มโค้งหัวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุดซึ้งก่อนที่จะเดินไปที่รถแล้วขับกลับบ้าน  เมื่อมาถึงก็นำข้อมูลทั้งหมดมาบันทึกใส่ในคอมพิวเตอร์  แล้วนึกขึ้นได้เรื่องรูปจึงเปิดโทรศัพท์  แล้วค้นข้อมูลจากชื่อที่จำได้ในหัว

ทันทีที่หน้าจอประมวลผลเสร็จในเสี้ยววิวิลเลี่ยมก็อดอุทานด้วยความทึ่งไม่ได้

“พระเจ้า...”

นั่นคือตึกวิลสันแอนด์ซอนที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับการส่งออก  แต่หกเดือนก่อนมีเหตุเพลิงไหม้ขึ้น  ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการลอบวางเพลิง  ตอนนี้สามารถจับคนร้ายได้แล้ว  สืบสาวไปจนทราบว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว  ผู้ที่มีความแค้นกับประธานบริษัทเป็นคนจ้างวานมา

ตึกโดนไฟไหม้ชั้นเดียว  ส่วนเดียวกันกับรูปที่ถูกวาดขึ้น

เขาลองหาข้อมูลจากอีกสองสามภาพ   เครื่องบินที่ลอยอยู่บนน้ำนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลดิร์เรเนียน  แถวกรุงโรมของประเทศอิตาลีเมื่อสองเดือนที่แล้ว

และเมื่อเขาค้นหาเลขทะเบียนรถที่ถูกวาดขึ้นก็พบว่ามันเป็นรถที่เกิดอุบัติเหตุกับจิตแพทย์หญิงคนหนึ่งของโรงพยาบาลจิตเวชเคมาน  วิลเลี่ยมคาดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับที่เคยดูแลเซ็ธมาก่อน

เขาอดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเหตุใดเหตุการณ์พวกนี้จึงสอดคล้องกับรูปที่เด็กคนนั้นวาดอย่างพอดิบพอดี  ราวกับเห็นภาพมาก่อน  จะมีทางใดที่คนไข้ในโรงพยาบาลได้รับข่าวบ้างเพราะเขาเห็นว่าห้องนั้นไม่มีโทรทัศน์หรืออุปกรณ์ที่จะช่วยให้ติดตามข่าวสารได้สักนิด

วิลเลี่ยมตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหารีเบคก้าเพื่อคุยกับเธออีกครั้ง  และได้คำตอบที่ชวนให้น่าทึ่งไม่น้อย

ตั้งแต่มาอยู่เมื่อหนึ่งปีก่อนเซ็ธก็หลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนมาโดยตลอด  เรื่องการดูโทรทัศน์ในห้องรวมนั้นจึงเป็นไปไม่ได้  และเด็กคนนั้นก็ไม่อ่านหนังสืออื่นนอกจากนิทานภาพ  นั่นทำให้วิลเลี่ยมคิดหนักไม่น้อย  เขาตัดสินใจนัดวันเวลากับรีเบคก้าอีกครั้งเพื่อตรวจสอบข้อมูลในวันพรุ่งนี้เวลาบ่ายสอง

ศาสตราจารย์อดตื่นเต้นไม่ได้ที่ได้พบโอเมก้าที่พิเศษแบบนั้น  เขาคิดหาทฤษฎีความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้วเขียนร่างไว้  และคิดหาหนทางที่จะทำให้เซ็ธยอมพูดกับเขา

ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกทำลายลงเพราะเสียงท้องร้อง  วิลเลี่ยมย่นคิ้วขณะเหลือบมองนาฬิกา  ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วและเขายังไม่ได้กินข้าวเย็น  ทว่าพอเดินไปเปิดตู้เย็นดูก็พบความว่างเปล่า  ดูเหมือนสต๊อกอาหารของเขาจะหมดแล้ว แต่จะไปซื้อกินข้างนอก  ร้านแถวนี้ก็คงปิดหมดแล้ว

ทางเลือกเดียวของเขาก็คือร้านสะดวกซื้อที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร  วิลเลี่ยมคว้าโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลมาสวมไว้แล้วหยิบกระเป๋าเงินเดินออกไป

ถนนยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างเปลี่ยวเพราะคนแถวนี้ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  อุณหภูมิเย็นจัดที่เขารับรู้ได้ผ่านสายลมที่พัดมาทำให้นึกถึงเซ็ธขึ้นมา  เพราะเด็กคนนั้นไม่กล้าที่จะพูดกับใครจึงร้องขอสิ่งที่ต้องการไม่ได้  เขาหวังแค่ว่าตอนนี้คงจะมีคนปิดแอร์ให้แล้ว

บรรยากาศรอบข้างนั้นค่อนข้างน่ากลัว  ชายหนุ่มจึงหยุดคิดเรื่องอื่นแล้วจ้ำฝีเท้าไปให้ถึงร้านสะดวกซื้อโดยเร็วที่สุด  เขาซื้ออาหารกับเครื่องดื่มสองสามอย่างแล้วตรงไปชำระเงิน  รอของอุ่นร้อนสักพักก็เดินออกมา

ขากลับนั้นเรียกได้ว่าเปลี่ยวยิ่งกว่าเพราะไม่มีรถผ่านมาเลย  ไฟตามถนนเองก็ไม่ได้ส่องทั่วถึง 

แล้วจู่ๆ  เขาก็นึกถึงรูปที่เซ็ธให้ขึ้นมา

ในรูปนั้นผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าใส่โค้ตตัวยาวสีน้ำตาล  เหมือนกับเขา...

วิลเลี่ยมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบามาก  มันจะไม่ได้ยินหากเขาไม่ได้ตั้งใจฟัง  แต่เพราะนึกถึงรูปวาดนั้นทำให้เขามีสติขึ้นมา  ชายหนุ่มหันกลับไปด้านหลังทันที  และเป็นดังที่คาด

ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่กำลังง้างท่อนเหล็กในมือชะงักไปวูบหนึ่ง  แต่ก็เตรียมฟาดใส่เขาอีกครั้ง  วิลเลี่ยมรีบกระโดดหลบก่อนจะคว้าก้อนหินแถวนั้นปาใส่มืออีกฝ่ายจนท่อนเหล็กร่วงลงมา  โจรนั่นร้องโอดโอยก่อนจะรีบเผ่นไปทันที

ดูจากความเร็วแล้วเขาคงตามไม่ทัน  วิลเลี่ยมจึงได้สบถในใจแล้วรีบกลับบ้าน  การไปสถานีตำรวจคนเดียวตอนนี้ไม่ปลอดภัยเลยกะจะไปหาคนช่วย  ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็คว้าโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนสนิททันที

“เอ็ด  เมื่อกี้มีคนจะทำร้ายฉัน  ช่วยมาพาไปสถานีตำรวจหน่อยสิ”  เขากรอกเสียงพูดที่ดูเชื่องช้าแต่ใจเย็น  อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด

“หา!  ว่ายังไงนะ  นายนี่มัน...เคยบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนว่าให้ระวัง”  ไม่ทันไร  เอดิสันหรือเอ็ด  เพื่อนของเขาก็โวยวายผ่านโทรศัพท์กลับมาทำให้วิลเลี่ยมยิ้มขืน  เพราะไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้  เจ้าคนใจร้อนนั่นตัดสายทิ้งไป  แล้วเดี๋ยวก็คงโผล่มา

เขาหันกลับไปหยิบรูปภาพที่ได้รับมาจากเซ็ธอีกครั้ง  หากไม่ได้นึกถึงภาพนี้แล้วเพิ่มการระวังตัวขนาดนี้ล่ะก็  เขาก็คงไม่รอดแล้ว
วิลเลี่ยมอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังพบเจอกับบุคคลที่มีคุณค่ามากที่สุด

เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าเด็กคนนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติและภาพลักษณ์ของชนชั้นต่างๆ  ในสังคมได้
-----------------------------------
สวัสดีค่ะ นี่เป็นผลงานโอเมก้าเวิร์สที่เขียนเรื่องแรก ค่อนข้างสนุกค่ะ เรื่องนี้ (ความตั้งใจตั้งต้น) เป็นแนวเรื่อยๆ สบายๆ สดใส ดราม่ากรุบกริบ ยังไงก็มาเป็นกำลังใจให้วิลเลี่ยมคนดีของเรากันนะคะ แต่ว่าทางเราขอทุ่มหัวใจเอ็นดูน้องเซ็ธค่ะ (ฮา)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รอนะคะ

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น่าสนใจมากค่ะ น้องโอเมก้าผู้มองเห็นภาพในอนาคต ว่าแต่เรื่องนี้พระเอกเราจะเลี้ยงต้อยช่ะ -..-

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  2
  ปรากฏการณ์หงส์ดำ

“นายเชื่อที่ฉันพูดสิ!” 

วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง  แต่ชายหนุ่มรูปร่างสูงภูมิฐานตรงหน้ากลับย่นคิ้ว  สีหน้าไม่สบอารมณ์นั้นทำให้ไม่มีใครอยู่ใกล้นอกจากคู่สนทนา

เอดิสัน  เกรย์  ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสีแดงอ่อนของตัวเองเบาๆ  ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดเจนว่า  “ต่อให้นายพูดสักร้อยครั้งฉันก็ไม่เชื่อหรอก  ถึงจะไม่ได้ทำงานด้านนี้เหมือนนาย  แต่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์”

หลังจากเอดิสันผู้กำลังสุขสบายในช่วงเวลาพักผ่อนต้องจำยอมขับรถตรงบึ่งไปบ้านของวิลเลี่ยมเพราะเขาโทรมาขอความช่วยเหลือ  อีกฝ่ายก็จัดการพาไปสถานีตำรวจเสร็จสรรพ  แจ้งรูปพรรณสัณฐาน  ลงบันทึกเรียบร้อยก็พบว่าเป็นคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ที่ชอบก่อเหตุบริเวณนั้น  พวกตำรวจกำลังตามจับอยู่

ดีที่ครั้งนี้มันไม่ได้อะไรไปจากวิลเลี่ยมเลยแม้แต่น้อย

แม้จะปลอดภัย  แต่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดการสอบสวน  เอดิสันคิ้วกระตุกอยู่หลายรอบ  ปั้นหน้ายักษ์ไปทุกห้านาที  แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  ดูชัดว่ากำลังใจลอยไปเรื่องอื่น  ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนนั้นทำให้ตำรวจเข้าใจผิดว่าจริงๆ  แล้วเจ้าทุกข์คือเอดิสัน 

เปล่าเลยไอ้คนไม่รู้ร้อนรู้หนาวข้างๆ  เขาต่างหาก

ระหว่างทางกลับไปบ้านวิลเลี่ยม  เขาถามอีกฝ่ายทันที  การเป็นเพื่อนกันมานานทำให้เขารู้ได้ว่านักวิจัยนี่เพิ่งเจอเรื่องดีๆ  มา  ดีเสียจนกลบเรื่องที่ตัวเองเกือบถูกลอบทำร้ายด้วย

พอเอดิสันถาม  วิลเลี่ยมไม่ชักช้าจัดการเล่าสิ่งที่ตนเจอวันนี้ทันที  หัวข้อใหญ่คงไม่พ้นเซ็ธ  โอเมก้าหนุ่มน้อยที่เขาเจอที่โรงพยาบาลเคมาน  อวดอ้างว่าตนรอดมาได้เพราะเด็กคนนั้น  หลังจากเจอเหตุการณ์นี้ไปนักวิจัยหนุ่มคนนี้สามารถฟันธงไปได้  70%  แล้วเกี่ยวกับความพิเศษของเซ็ธ

แต่เอดิสันไม่ได้เจอกับตัวเลยไม่รู้  แถมยังเถียงอย่างจริงจังจนเล่นเอาตัวเขาที่กำลังเริงร่าชะงักไปวูบหนึ่ง

“ใช่  มันไม่เคยมี...”  วิลเลี่ยมทวนคำอีกฝ่ายคล้ายจำยอม  แต่ก็สวนกลับไปต่อว่า  “แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีตลอดไป”
คราวนี้เป็นฝ่ายที่เอดิสันชะงัก  วิลเลี่ยมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตรงข้ามเขาก่อนจะพูดนำขึ้นว่า

“นายเคยได้ยินคำว่าปรากฏการณ์หงส์ดำไหม”

“แน่นอนว่าไม่”  เอดิสันปฏิเสธเสียงเรียบ  นี่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของวิลเลี่ยมแต่อย่างใด  แต่การที่เขาเงียบไปพักหนึ่งเพราะรู้ดีว่าคู่สนทนาไม่ได้ทำงานอยู่ในวงการวิทยาศาสตร์  จึงต้องเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย

“แต่นายคงได้ยินภาษิตโบราณที่ว่า  หงส์ทุกตัวเป็นสีขาว  (All Swans Are White)  ใช่ไหม  อย่าทำมาเป็นจำไม่ได้  ลงวิชาเลือกเดียวกันนะตอนนั้นน่ะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  “แต่นี่คือปัจจุบัน  นายก็เห็น  มีหงส์สีดำอยู่  และจำนวนไม่มากน้อยไปกว่าหงส์ขาว  แต่มนุษย์เพิ่งค้นพบพวกมันไม่นาน  อย่างน้อยก็หลังจากมีภาษิตนี้เกือบร้อยปี”

เอดิสันเอนกายพิงหลังกับโซฟา  เกริ่นมาขนาดนี้เขารู้แล้วว่าน่าจะยาว

“คนเราเชื่อโดยทัศนคติ  โดยสามัญสำนึก  สมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าหงส์มีแต่สีขาวเท่านั้น  สีอื่นเป็นแค่เรื่องเหลือเชื่อ  แต่สุดท้ายก็พบว่าผิด!  หงส์ทุกตัวไม่ได้เป็นสีขาว  พอมีการพบหงส์สีดำก็กลายเป็นข่าวสะเทือนโลก”  วิลเลี่ยมอธิบายตาเป็นประกาย

 “ปรากฏการณ์หงส์ดำที่ฉันพูดถึงก็คือ  ปรากฏการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น  ไม่มีใครคาดการณ์ว่าจะเกิดภายใต้สามัญสำนึกทั่วๆ  ไป  และจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง”

“เหมือนจะคุ้นว่ามีคนใช้ในแวดวงของฉัน”  เอดิสันพึมพำขึ้น  หน้าที่การงานของเขา...หากถามว่าเกี่ยวข้องยังไงกับนักวิจัยนี่ก็คงมีทางเดียว  ทั้งเขาและเครือบริษัทที่เขาเป็นประธานบริหารคือนายทุนผู้สนับสนุนงบวิจัยของวิลเลี่ยม  ส่วนสาเหตุนั้นไม่มีใครทราบแน่ชัดนอกจากตัวเพื่อนสนิททั้งสองคน

“ใช่ไหม  ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ใช้จำเพาะเจาะจงในวงการใดวงการหนึ่ง  และที่ฉันยกมาพูดนี่ก็เพื่อให้นายเห็น  เราอาจเจอ  ‘หงส์ดำ’  แถมยังเป็นหงส์ดำที่มีค่ามากเสียด้วย”  วิลเลี่ยมอธิบายไปยิ้มแก้มปริไป  เป็นนิสัยส่วนตัวยามค้นพบทางสว่างของงานวิจัย
งานวิจัยของวิลเลี่ยมใจความสำคัญอย่างหนึ่งคือการพิสูจน์ว่าโอเมก้าไม่ได้ไร้ศักยภาพ  และหากโอเมก้าที่ไปพบเจอนั้นเป็นดังที่พวกเขาคาด  นี่ถือเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่

แต่เดิมการแบ่งแยกชนชั้นนั้นจัดตามสิ่งที่เห็น  แม้ภายหลังจะมีการวิเคราะห์เชิงพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ที่เด่นชัดทางกายภาพเป็นสิ่งสำคัญ

ร่างกายของอัลฟ่านั้นเด่นชัดอยู่แล้วตรงอวัยวะเพศ  ไม่ว่าหญิงหรือชายก็มีเหมือนกัน  ที่สำคัญคือเรื่องกลิ่น  กลิ่นของอัลฟ่าจะเป็นรูปแบบจำเพาะ  ดึงดูดทุกคน  กลิ่นนั้นจะปรากฏเมื่อย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์  โดยเฉลี่ยอยู่ที่  12  ปี

ส่วนสิ่งสำคัญอีกอย่างคือพลังจิตที่เหนือชั้นกว่าพวกเบต้า  เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเขาคือผู้สูงส่งที่แข็งแกร่งที่สุด

ส่วนโอเมก้านั้นมีความพิเศษที่ชายหรือหญิงก็สามารถตั้งครรภ์ได้  ที่หลังคอมีสัญลักษณ์พิเศษ  กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ที่หอมหวาน  กลิ่นนั้นจะปรากฏเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เช่นเดียวกัน  แต่โอเมก้านั้นช้ากว่าอัลฟ่า  อายุเฉลี่ยอยู่ที่  14  ปี  และไม่มีพลังอะไรเลย  เป็นพวกอ่อนแอที่มักจะถูกสบประมาท

ตามทัศนคติเดิมควรเป็นเช่นนั้น  ยกเว้นแต่จะได้รับการเปลี่ยนแปลง

เอดิสันเองก็เป็นอัลฟ่าย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดที่เรียกว่าพลังจิต  วิลเลี่ยมเล่าให้เขาฟังว่าที่รอดมาได้เพราะได้รับคำเตือนจากเซ็ธแล้วเอารูปภาพมาให้ดู  ซ้ำยังเล่าไปถึงรูปที่เจอในห้องของโอเมก้าคนนั้น  โดยรวมแล้วหากให้ทายก็เดาออก

ภาพพวกนั้นเกี่ยวโยงกับอนาคตที่กำลังจะเกิด  แต่ใจความสำคัญที่พวกเขามุ่งไปไม่ใช่ภาพวาด  สิ่งที่วิลเลี่ยมและเอดิสันสนใจคือ  ‘การมองเห็น’  ที่น่าทึ่งนั่น

“ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าจะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นด้วยตา”  ชายผมสีแดงอ่อนนั้นยืนกราน  เขาไม่ใช่คนที่สนใจความเป็นอยู่หรือการเปลี่ยนแปลงของโอเมก้าสักเท่าไร  และไม่ใช่คนที่เชื่อจากลมปาก  ดังนั้นจึงไม่ปักใจทันที

“ฉันรู้อยู่แล้ว  เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้นายต้องไปกับฉัน”

“ไป?  ที่ไหน?”

“ถามได้  โรงพยาบาลเคมานไง  ไปหาเด็กคนนั้น”  วิลเลี่ยมยักไหล่ตอบก่อนจะย้ำเพิ่มว่า  “เคลียร์คิวให้ว่างช่วงบ่ายนะเรื่องนี้สำคัญ”

เอดิสันพูดอะไรไม่ออก  ได้แต่งึมงำตามน้ำไป

ในฐานะที่เป็นนายทุนสนับสนุนโครงงานวิจัยนี้  เขาต้องการผลกำไรและความสำเร็จสูงสุด  ในเมื่ออีกฝ่ายค้นพบก็ต้องให้การสนับสนุน  แต่เพื่อความมั่นใจเอดิสันก็ต้องการไปเห็นกับตาตัวเอง

ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนมีพลังจิต  ไม่มีแม้แต่ความสามารถพิเศษทางกายภาพด้วยซ้ำ  การค้นพบนี้ถือเป็นเครื่องสำคัญ  เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง

วิลเลี่ยมและเอดิสันนั้นเพียงมองและประสบกับตัวเองย่อมรู้ดี  การมองเห็นอดีต  อนาคต  หรือการอ่านใจนั้นไม่ใช่ข้อจำกัดของพลังจิต  พวกเขาเองก็เคยเจอคนที่มองเห็นอนาคตมาแล้ว  และเพราะแบบนี้วิลเลี่ยมจึงแน่ใจในแทบจะทันทีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเซ็ธคือของจริง  และเป็นสิ่งที่อันตราย

พวกอัลฟ่ามีพลังจิต  แต่ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด  มีเงื่อนไขที่ต้องหาทางพิสูจน์กันเอาเอง  ยิ่งพลังสูงก็จะยิ่งอันตราย  ทั้งสุขภาพกาย  สุขภาพจิตจะถูกบั่นทอนไปเรื่อยๆ  เมื่อใช้พลัง  เหมือนแลกกับอายุขัย

พลังของวิลเลี่ยมนั้นเป็นพลังที่สูงก็จริง  แต่เพราะเขาสามารถควบคุมได้จึงไม่มีปัญหา  อัลฟ่าทุกคนถ้าผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นมาได้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเช่นเดียวกัน

โอเมก้าที่มีความพิเศษเช่นนี้ก็คงเหมือนกัน  หากเด็กคนนั้นยังควบคุมพลังไม่ได้  น่ากลัวว่าทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจจะยิ่งถูกบั่นทอนไปเรื่อยๆ  แต่เดิมโอเมก้าเองก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว

วิลเลี่ยมจึงอยากช่วยเหลือ  เป็นความต้องการที่ไม่มีเจตนาหาผลประโยชน์แอบแฝง  เพราะเขารู้ว่ามันทรมานเพียงใด  พลังจิตพวกนี้คนทั่วไปคิดว่าเป็นพรวิเศษ  แต่ที่จริงแล้วการต้องทนทรมานแสนสาหัสเพราะควบคุมไม่ได้นั้นราวกับการกลั่นแกล้งจากปีศาจ

เอดิสันยืนยันว่าจะไปกับเขาพรุ่งนี้ทำให้วิลเลี่ยมยกยิ้มใหญ่  ก่อนที่จะเดินออกไปส่งอีกฝ่ายข้างนอกแล้วกลับไปเคลียร์งานในห้องต่ออีกสักพักก็นอนตอนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว

วิลเลี่ยมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเวลาหกนาฬิกาตามปกติ  ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ  ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมาเตรียมอาหารเช้า  เขาทานอย่างไม่รีบร้อนขณะฟังข่าวในโทรทัศน์ไปด้วย

บ้านของเขาเป็นบ้านสองชั้นสีฟ้าอ่อน  รอบบ้านมีพื้นที่ใช้สอยน้อยและวิลเลี่ยมเองก็ลงแรงเอาต้นไม้มาปลูกให้ร่มรื่นไปหมดแล้ว  เหลือพื้นที่ให้นั่งเล่นแค่นิดเดียว  ในบ้านมีแค่สองห้องนอน  สองห้องน้ำอยู่ชั้นบนและชั้นล่าง  แต่มีห้องทำงานกับห้องสมุดที่เขาสร้างแยกกันไว้ด้วย

ชั้นหนึ่งแทบจะไม่มีกำแพงกั้นระหว่างห้องยกเว้นก็แต่ห้องน้ำกับห้องครัว  เพียงแค่แบ่งเป็นส่วนๆ  ดังนั้นเขาจึงสามารถดูทีวีได้แม้ว่าจะนั่งกินอาหารเช้าอยู่ที่ส่วนโต๊ะกินข้าว

เมื่อล้างจานเสร็จเรียบร้อย  เขาคว้าโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิด  รอสักพักก็เปิดหน้าต่างอีเมลขึ้นมา  หาชื่อผู้ติดต่อที่คุ้นเคยแล้วเล่าความคืบหน้าของการวิจัยไป  เรื่องสำคัญที่เขาจะแจ้งก็คือการค้นพบโอเมก้าชนิดพิเศษ

เมื่อกดส่งไปแล้วเขาก็ทำงานส่วนอื่นต่อ  ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา  เนื้อความนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ  นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้  ทางนั้นขอรายละเอียดเพิ่มเติมกับถามต่อว่าจะทำอย่างไรต่อไป

วิลเลี่ยมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่าให้ข้อมูลที่มีอยู่ไปหมดแล้วแต่กำลังจะไปศึกษาต่อ  ส่วนสิ่งที่เขาต้องการต้องรอให้แน่ใจก่อนจึงจะบอกได้เต็มปาก

ฝ่ายนั้นตอบกลับมาสั้นๆ  ว่าตกลงแล้วการสนทนาของพวกเขาก็จบลง  วิลเลี่ยมจึงได้เอนกายลงพิงโซฟาเพื่อพักผ่อน  หลายชั่วโมงผ่านไปเสียงกดออดก็ดังขึ้น

วิลเลี่ยมดีดตัวขึ้นเดินไปเปิดประตู  เป็นเอดิสันอย่างที่เขาคาดเดา  อีกฝ่ายอยู่ในชุดสูทเรียบร้อยผมเสยขึ้นดูขัดกับภาพลักษณ์อารมณ์ร้อนจนอยากจะขำให้ฟันร่วง  แต่เขาได้แค่ยิ้มๆ  แล้วทักทายตามประสา  “น้องหนูของนายไม่ได้มาด้วยเหรอ”

“ฉันไม่ได้กลับไปบ้าน  เลิกงานแล้วตรงมานี่เลย  อีกอย่างนายควรจะรู้ว่าฉันไม่ให้เขามาเด็ดขาด”  คำหลังนั้นเอดิสันเน้นย้ำอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา  แต่วิลเลี่ยมยิ้มสู้กลับแล้วยักไหล่บ่นพึมพำ

“น่าเสียดายๆ  น้องหนูนั่นโชคร้ายจริงๆ  ได้แฟนแบบนาย”

อีกฝ่ายไม่ได้แย้งอะไรกลับมาแต่เปลี่ยนเรื่องในทันทีว่า  “จะไปกันได้หรือยัง  ไหนบอกว่าจะไปก่อนเวลาไง”

“อ้อใช่  แปบนะ  เดี๋ยวไปเอากระเป๋าก่อน”  วิลเลี่ยมทิ้งให้เพื่อนรออยู่หน้าบ้านแล้วคว้ากระเป๋าที่เตรียมพร้อมไว้แล้วออกมา  ปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้วนั่งรถของเอดิสันไปตามเส้นทาง

“แวะร้านโดนัทก่อนนะ”  ศาสตราจารย์หนุ่มขอร้องขึ้นทำให้เอดิสันตัดสินใจเลี้ยวรถไปจอดริมถนนแล้วเดินลงไปซื้อขนมกับวิลเลี่ยมสองคน

“เด็กคนนั้นจะชอบไหมน้า”  วิลเลี่ยมพึมพำคล้ายพูดกับตัวเองแล้วหยิบโดนัทที่วางเรียงรายอยู่หลายชิ้น  เอดิสันดูแล้วคาดการณ์ว่าคงจะบ้าเหมาหมดอย่างละชิ้นทำให้อดขมวดคิ้วไม่ได้  ความสนใจในตัวเด็กคนนั้นมีมากจริงๆ

“ขอบคุณมากนะคะ”  พนักงานสาวก้มหัวขอบคุณด้วยรอยยิ้มขณะที่วิลเลี่ยมหอบหิ้วเอาถุงโดนัทที่ซื้อมาทั้งหมดออกไปนอกร้าน

“นายคิดว่าจะกินหมดเหรอ?”  เอดิสันตั้งคำถามแต่กลับได้คำตอบคลุมเครือ  “ไม่รู้สินะ”

“เป็นเด็กที่มีเสน่ห์ขนาดนั้นเลยหรือไง”

“อย่างน้อยก็เป็นเด็กที่มีคุณค่าในงานวิจัยฉันน่ะ”  วิลเลี่ยมตอบ  ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปที่รถพลันถูกดึงแขนกลับไปด้านหลัง  แม้แรงจะไม่มากแต่ก็ทำให้พวกเขาชะงัก

เมื่อวิลเลี่ยมหันไปมองก็เป็นอันเบิกตากว้าง  แต่เพียงชั่วครู่ก็ต้องหันกลับไปที่รถตามเสียงโครมที่ดังขึ้น  ทั้งเขาและเอดิสันตาค้างในบัดดล

รถคันหนึ่งเสียหลักพุ่งมาชนรถของเอดิสันที่จอดอยู่  กระโปรงหน้าพังยับ  ส่วนคู่กรณีหน้าซีดเดินออกมานอกรถเหมือนจะไม่บาดเจ็บอะไร  มีคนเริ่มเข้ามามุงแต่วิลเลี่ยมไม่ได้สนใจหันกลับไปด้านหลังอีกครั้งด้วยความสับสน

“เซ็ธ  ทำไมนายถึงมาอยู่นี่?”  เป็นคำถามที่เขาคิดว่าคงไม่ได้คำตอบแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง  เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล  แต่หน้าซีดเผือดเหงื่อซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด  ลมหายใจหอบแรง  เซ็ธเหมือนพยายามจะสื่อสารกับเขาแต่ร่างกายทรุดฮวบลงไป

เอดิสันรีบคว้าตัวเด็กคนนั้นไว้  เขาค่อยๆ  คุกเข่าลงไปเพื่อวางเซ็ธไว้บนตัก  วิลเลี่ยมเองก็รีบวางของที่อยู่ทั้งหมดแล้วนั่งลงดูอาการอีกฝ่ายทันที

“เซ็ธ...เซ็ธ  ทำใจดีๆ  ไว้”  วิลเลี่ยมเขย่าตัวแล้วเอ่ยเรียกน้ำเสียงร้อนรน  แต่เด็กคนนี้หมดสติไปแล้ว  เขามองหน้าเอดิสัน  รับเด็กหนุ่มมาประคองต่อแล้วให้เพื่อนลุกขึ้นไปเคลียร์เรื่องรถเพราะเริ่มมีคนถามหาเจ้าของแล้ว

เอดิสันยกโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อใครสักคน  แล้ววางสาย  ก่อนที่จะโทรอีกรอบ

“โอเมก้านี่นา...”  เสียงรอบข้างที่เริ่มมามุงดูพึมพำขึ้น  เซ็ธเองก็เริ่มมีกลิ่นเอกลักษณ์ออกมาแล้วจึงถูกมองออกอย่างง่ายดาย  วิลเลี่ยมเช็กดูแล้วเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากแต่เขาอยากรีบพากลับไปให้เร็วที่สุด

“วิลเลี่ยม  รถมาแล้ว”  ในที่สุดเอดิสันก็เอ่ยขึ้นแล้วเป็นคนยกถุงขนมไปแทนเขา  วิลเลี่ยมไม่มีเวลาให้ถามเลยรีบอุ้มเซ็ธขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไป  ใกล้ๆ  ที่เกิดเหตุมีรถอีกคันจอดรออยู่  ส่วนคู่กรณีนั้นมีคนเข้าไปคุยด้วย  เขาคาดว่าน่าจะเป็นคนของเอดิสัน
วิลเลี่ยมพาเซ็ธไปนั่งที่เบาะหลัง  ส่วนเอดิสันนั่งข้างคนขับ  เมื่อบอกสถานที่ก็ขับออกไปทันที

“นายไม่อยู่ตกลงกับคนชนเหรอ”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  แต่เอดิสันกลับส่ายหน้า  “ไม่  ให้ฝ่ายประกันคุยแทนแล้วจะโอเคกว่า  เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง  แต่ควรรีบกลับไปที่โรงพยาบาล”  วิลเลี่ยมบอก  เขาให้เซ็ธหนุนตักตัวเองแทนหมอน  รอรถไปถึงที่หมายอย่างใจจดใจจ่อพลางอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ดูแล้วคงไม่มีการเตรียมพร้อม  กว่าจะมาถึงตรงนี้ก็เกือบห้าร้อยเมตร  เท้าของเด็กคนนี้เปลือยเปล่าจึงเห็นแผลฟกช้ำกับรอยที่ถูกบาดอย่างง่ายดาย  คงจะวิ่งหนีออกมา

ไม่นานรถก็ขับมาถึงโรงพยาบาลเคมาน  ทั้งวิลเลี่ยมและเอดิสันรีบร้อนพาเซ็ธออกมานอกรถ  ศาสตราจารย์หนุ่มอุ้มเด็กคนนี้เดินไปท่ามกลางความแตกตื่นของคนไข้และญาติ  รวมทั้งหมอและพยาบาล

พยาบาลคนหนึ่งเดินมาเห็นจึงรีบร้อนนำเขาไปที่ห้องของเซ็ธทันที  วิลเลี่ยมวางเด็กหนุ่มลงบนเตียงสั่งให้พยาบาลรีบนำอุปกรณ์ทำแผลมา  ระหว่างนั้นรีเบคก้าและแพทย์อีกสองสามคนก็เข้ามาด้วยความตะลึง

“คุณเจอเขาที่ไหนคะ?”  รีเบคก้าเป็นคนถามขึ้น  วิลเลี่ยมละจากการดูแลเซ็ธมาตอบว่า  “ย่านการค้าครับ”

“โรงพยาบาลนี้มันอะไร  ทำไมถึงปล่อยคนไข้ให้หนีออกไปได้!”  เอดิสันตะคอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์  “เกิดใครเป็นอะไรขึ้นมาจะรับผิดชอบยังไง?”

“เอ็ด  ไม่เอาน่า”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเสียงเบา  แต่ในใจก็อดเห็นด้วยไม่ได้  การปล่อยให้คนไข้หนีไปได้ถือเป็นความสะเพร่าของโรงพยาบาล

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ  ค่ะ  ฉันไม่คิดว่าเขาจะออกไป  แถมยังหนีออกไปข้างนอกอีก  ปกติเขาไม่เคยออกไปไหนเองแบบนี้” 

พยาบาลคนหนึ่งสารภาพอย่างสำนึกผิด  เป็นรีเบคก้าที่ถอนหายใจขึ้นแล้วยืนยันว่า  “ระบบการรักษาความปลอดภัยของเราไม่ได้หละหลวม  ฉันยืนยันได้  แต่เรื่องที่เขาหนีออกไปฉันขอยอมรับผิด  ต่อจากนี้จะระวังให้มากขึ้น”

“เขาไม่เป็นอะไรก็ดีมากๆ  แล้วครับ”  วิลเลี่ยมพยายามพูดในแง่ดีเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียดในห้อง  เขาไม่ต้องการโทษพวกหมอพยาบาลของที่นี่ไปมากกว่านี้  เพราะมีสิทธิ์ที่จะเกิดการโยนความผิดไปที่คนต้นเหตุ

“เขายังไม่ฟื้น  เป็นอะไรหรือเปล่า”  เอดิสันถามกับพวกหมอขึ้น  พยาบาลจึงเข้าไปดูแลและทำแผลที่เท้า  หมอท่านหนึ่งที่เข้าไปดูก็ตอบว่า  “ดูแล้วน่าจะมีไข้นิดหน่อยกับหมดสติไป  ต้องรอเขาฟื้นก่อนถึงจะถามได้”

“งั้นก็โอเค  พวกคุณออกไปได้แล้ว”  ชายในชุดสูทยังคงสั่งต่อทำให้วิลเลี่ยมอดมองไม่ได้  คนคนนี้ทำท่าทีเหมือนทุกคนเป็นลูกน้องตัวเอง  แถมพวกพยาบาลกับคุณหมอยังยอมตัวงอเดินออกไปอีกด้วย

“นายเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้หรือไง”  วิลเลี่ยมบ่นพึมพำอย่างระอา  แต่เอดิสันไม่ได้ตอบอะไรเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเผลอเอานิสัยตอนทำงานมา

“โทษที  เวลาหงุดหงิดแล้วชอบพูดไม่คิด”  เอดิสันกล่าวแล้วเดินมาข้างเตียงกับวิลเลี่ยม 

“ดูเหมือนเขาจะมีไข้นะ”  ศาสตราจารย์หนุ่มพึมพำแล้วหาผ้าขนหนูกับกะละมังที่พยาบาลเตรียมไว้ไปใส่น้ำ  นำมาเช็ดให้อีกฝ่าย
 
“ใครเห็นคงมองเป็นไก่ตาแตก”  เอดิสันพึมพำขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหลุดขำออกมา  ปกติแล้วอัลฟ่าไม่ยุ่งกับโอเมก้า  เป็นการหลีกเลี่ยงในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างช่วงฮีท  บางคนถึงกับมีความคิดว่าถ้าอัลฟ่าอยู่ด้วยกันกับโอเมก้าคือต้องมีเพศสัมพันธ์กัน

“เด็กนี่ไม่ได้อยู่ในช่วงฮีทเสียหน่อย  แค่ป่วยธรรมดา”  วิลเลี่ยมบอกก่อนจะสะดุดเมื่อยกมืออีกฝ่ายขึ้นมาเช็ดแล้วสังเกตเห็นความผิดปกติใต้ร่องเสื้อ

เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนข้างๆ  เห็นไหม  แต่เพื่อความแน่ใจตนจึงแกะกระดุมถอดเสื้อโอเมก้าหนุ่มดูเล็กน้อย

“บอกก่อนเลยว่าฉันไม่ได้มีอารมณ์หื่นใดๆ  ทั้งสิ้น”  วิลเลี่ยมรีบขัดขึ้นก่อนที่จะเปิดเสื้อออก  เขากับเอดิสันอดเบิกตากว้างไม่ได้
ผิวเนื้อภายใต้เสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น  ทั้งที่ถูกไฟจี้เป็นจุดๆ  กับร่องรอยคล้ายถูกของมีคมบาด  มากมายเสียจนเขารู้สึกสะอิดสะเอียน  คนที่กระทำเช่นนี้ได้ไม่น่าเรียกว่าคน

“เวรเอ๊ย”  เขาไม่พูด  แต่เอดิสันที่พื้นเพเป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วย่อมสบถออกมา  สายตาเต็มไปด้วยความสงสารเวทนา  “มันยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”

“คงคิดว่าประเสริฐกว่าใครทั้งปวงมั้ง”  ศาสตราจารย์หนุ่มพึมพำขณะใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้อีกฝ่าย  เขาเดินไปอีกฝากของเตียงยกแขนเซ็ธขึ้นแล้วเช็ดให้  พลันไปเห็นจุดสังเกตที่ข้อมือ

“คงเจ็บปวดมามาก...”  รอยแผลเป็นจากการกรีดข้อมือยังมีให้เห็น  ไม่ใช่แค่รอยสองรอย  ดูแล้วน่าเวทนาชวนให้วิลเลี่ยมน้ำตาซึม

“หมอบอกหรือเปล่าว่าเด็กคนนี้...ชื่ออะไรนะ?”

“เซ็ธ”

“เออ  บอกหรือเปล่าว่าเซ็ธไปเจออะไรมา”

“เขาบอกถูกรังแกมาโดยตลอด  แผลที่ข้อมือนี่คงเป็นเพราะเขาเคยพยายามฆ่าตัวตาย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเสียงเบา  แต่ก็ยังเช็ดตัวให้อีกฝ่ายต่ออย่างอ่อนโยน  เอดิสันไม่ได้พูดอะไร

จู่ๆ  มือที่ศาสตราจารย์กุมมือไว้ก็ขยับ  พลอยให้ทั้งคู่ชะงัก

เซ็ธลืมตาขึ้น  นิ่งไปราวห้าวิ  เมื่อกวาดสายตาจนมองเห็นคนทั้งสองก็เบิกตากว้างแล้วลุกพรวด  สะบัดมือวิลเลี่ยมให้ออกห่างจากตัว  เด็กหนุ่มเด้งตัวไปนั่งชิดหัวเตียง  หดแขนขาด้วยความหวาดกลัว

“ใจเย็นๆ  นี่ฉันไง  ฉันเอง”  วิลเลี่ยมเห็นดังนั้นจึงรีบปลอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น  เซ็ธมองมาที่เขาแต่สายตายังตื่นกลัว  “จำได้ใช่ไหม  ไม่ต้องกลัวนะ  ฉันไม่ทำร้ายนาย”

ความหวาดกลัวนั้นค่อยๆ  คลายลง  แต่ไม่รวดเร็ว  เซ็ธไม่ได้พูดอะไรแต่มองคนสองคนสลับไปมา

“นี่เพื่อนฉัน  ชื่อเอดิสัน  ให้เขาเข้ามาในห้องได้ใช่ไหม?”  วิลเลี่ยมแนะนำเพื่อนของตนด้วยความเป็นมิตร  เซ็ธเหลือบมองชายร่างสูงหน้าโหดอยู่นาน  ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ  เหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“เฮ้  ถ้าไม่เต็มใจฉันออกไปก็ได้นะ”  เอดิสันโพล่งขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น  วิลเลี่ยมเองก็คาดเดาได้ว่าเซ็ธไม่ได้เต็มใจเลยมองดูอยู่เงียบๆ  อีกฝ่ายอ้ำอึ้งอยู่นานมาก  เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด

“ไม่ต้องกังวลนะ  ถึงเขาจะหน้าเหมือนยักษ์แต่ก็เป็นคนใจดี”  ศาสตราจารย์พยายามพูดปลอบ

“ไม่เป็นไร  เดี๋ยวฉันออกไปก็ได้”  ชายหนุ่มผมแดงเตรียมหันหลังออกจากห้องไปแต่ก็ถูกรั้งไว้

“ไม่...”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเบาแล้วปล่อยมือที่คว้าเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็ว  “ผม...ขอโทษ”

“ไม่เป็นไร”  เอดิสันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  การพูดเสียงดังเหมือนปกติไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เขาคุยกับโอเมก้านี้ได้
วิลเลี่ยมเห็นบรรยากาศในห้องเป็นปกติเลยยิ้มอย่างพอใจ  แล้วนึกบางอย่างได้  “จริงด้วย  โดนัทๆ  เซ็ธ  กินโดนัทไหม  อร่อยน้า”

เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร  แต่เขาก็รู้ว่าแค่ยังลังเลเลยหันไปบอกเอดิสันว่า  “เอ็ด  ไปเอาขนมมาหน่อยสิ”

“หา?  ทำไมต้องเป็นฉัน?”  ชายร่างสูงขมวดคิ้ว  ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะเลิกคิ้วใส่  “หืม  ไม่เห็นต้องถาม  หรือจะให้ฉันไป”
แต่ถ้าฉันไปแล้วนายต้องอยู่กับเด็กคนนี้แทนนะ...

วิลเลี่ยมพยายามสื่อเช่นนั้นออกมา  ถึงจะบอกว่าเอดิสันใจดีไม่เหมือนหน้าตา  แต่การรับมือกับเด็กนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย  ครั้งหนึ่งญาติของอีกฝ่ายฝากเด็กให้ช่วยเลี้ยง  ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ก็ต้องโทรตามเขาให้ไปช่วย

คนถูกใช้เดินออกจากห้องไปเอาขนมมาโดยไม่พูดอะไร  ทำให้วิลเลี่ยมได้มีโอกาสอยู่กับเด็กคนนี้แค่สองคน

“เซ็ธ”  เขาลองเอ่ยเรียกก่อนจะถามว่า  “นายหนีออกจากโรงพยาบาลไปทำไม?”

“...”  เซ็ธยังคงไม่ตอบ  เขาได้ยินมาว่าตั้งแต่มารักษาตัวที่นี่เขาก็แทบไม่พูดกับใครเลย

“ไม่เป็นไร  ฉันไม่ได้ว่าอะไร  ตอบมาเถอะตามที่นายคิด”  ศาสตราจารย์หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วหาเก้าอี้มานั่งแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า  “ฉันเป็นผู้ชายโสดขี้เหงาน่ะ  ช่วยพูดกับฉันหน่อยสิ”

เซ็ธชะงักไปครู่หนึ่ง  คงจะใช้เวลาคิดอยู่นานแต่ก็ยอมบอก  “ผม...ไปช่วยคุณ”

วิลเลี่ยมเลิกคิ้ว  ในอกรู้สึกเหมือนโดนน้ำเทกรอกลงมาจนล้นปริ่ม  คำพูดนั้นสะกดเขาไว้อย่างดี

“นายช่วยฉันเพราะมองเห็นใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”  วิลเลี่ยมยิงคำถามเพราะเซ็ธเงียบไป  เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะค่อยๆ  พูดออกมา

“คุณ...บอกว่าจะมา  ถ้าหาก...รถชนก็จะไม่มา”  เขาตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อ  แต่เพียงแค่นี้ก็พอจะรู้เจตนาบางส่วนแล้ว  ถ้าหากว่าถูกรถชนจริงๆ  ก็คงต้องไปรักษาตัวโรงพยาบาลอื่นก่อน  แล้วคงไม่ได้มาที่นี่

“ผม...อยากให้คุณมา”  เซ็ธหันมาเอ่ยกับเขา  แม้ดวงตานั้นจะไม่ได้สื่อความรู้สึกอะไรแต่คำพูดกับทำให้วิลเลี่ยมรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเด็กคนนี้

เขาชะงักไปนาน  ก่อนที่จะค่อยๆ  เผยยิ้มออกมาเหมือนปกติ

“เด็กดี  อยากเจอฉันใช่ไหม?”

วิลเลี่ยมรู้สึกอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด  เป็นความรู้สึกที่พูดอะไรไม่ออก  เขาลืมเรื่องงานไปชั่วขณะ  แต่เพียงแค่แวบเดียวก็นึกห่วงขึ้นมา

เซ็ธมีพลังจิตจริงๆ  อย่างที่เขาคาด  เอดิสันเองก็คงคิดเหมือนกัน  เป็นสัญญาณที่ดีต่องานวิจัยและสิ่งที่เขาต้องการจะทำ
 
เด็กคนนี้เป็นหงส์ดำอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ  และหากผู้คนรู้เรื่องนี้คงจะกลายเป็นเรื่องสะเทือนโลกทีเดียว
------------------------------


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  3
เหตุการณ์ยามค่ำคืน

บรรยากาศหลังเอดิสันกลับมานั้นคลายความกังวลลงไปเยอะ  แต่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงมีท่าทีเกร็งๆ  คิดว่าสิ่งเดียวที่เรียกว่ายังคงหน้าระรื่นได้ไม่ลำบากก็คงเป็นวิลเลี่ยมเพียงคนเดียว

“ดูสิๆ  โดนัทหลายชิ้นเลยล่ะ  นายชอบแบบไหนเหรอ?”  ศาสตราจารย์หนุ่มวัยยี่สิบห้าเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงร่าเริง  ดูแล้วเหมือนครูอนุบาลที่กำลังหลอกล่อเด็กมากกว่า  ไม่สิ  ในกรณีของคนคนนี้ภาพลักษณ์ที่ถูกต้องอาจเป็นคนแปลกหน้าอันตรายก็ว่าได้

เซ็ธกวาดสายตามองโดนัทที่มีแต่ยังไม่จำเพราะเจาะจงสักทีเพราะเขาเพิ่งเคยเห็นของที่น่ากินและมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรก  ทั้งรูปลักษณ์และสีสันนั้นล้วนสวยงาม

วิลเลี่ยมเห็นอีกฝ่ายกำลังลังเลอย่างหนักเลยลองหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมา  เป็นโดนัทรูปสุนัขสีขาวแต่งเติมด้วยช็อกโกแลตสีน้ำตาลเป็นหูด่าง  “ลองอันนี้ไหม”

“...ขอบคุณครับ”  ในที่สุดเด็กหนุ่มก็รับไปก่อนจะกัดโดนัทเล็กน้อย  เมื่อเคี้ยวจนกลืนลงคอไปแล้ววิลเลี่ยมจึงได้ถาม  “เป็นไง?”

“หวาน...อร่อย”  เซ็ธเงยหน้าขึ้นมาตอบเขา  แม้สายตาจะไม่เปลี่ยนไปเท่าไรแต่คำพูดนั้นก็ทำให้วิลเลี่ยมดีใจจนยิ้มแก้มปริ 

“งั้นกินอีกนะ  กินเยอะๆ  เลย”

“หยุดล่อลวงเด็กแบบนั้นได้แล้วน่า”  สุดท้ายแล้วเอดิสันก็เป็นฝ่ายทนดูไม่ได้เลยรีบหิ้วคอเพื่อนตัวเองให้ห่างออกมา  วิลเลี่ยมหัวเราะแห้งๆ  ก่อนจะกระแอมไอแล้วกลับมาทำสีหน้าปกติ 

“งั้นฉันขอเข้าเรื่องจริงจังสักครู่นะ  เซ็ธ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ  เมื่อเขากินโดนัทไปจนหมด  วิลเลี่ยมจึงได้เริ่มถาม

“เซ็ธ  นายมองเห็นอนาคตได้ใช่ไหม”  เขาเริ่มจากการทำให้ตัวเองและเอดิสันแน่ใจเสียก่อน  เซ็ธนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะตอบว่า  “ผมไม่แน่ใจ...”

“งั้นนายจะอธิบายได้ไหม  สิ่งที่นายเห็นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใช่ไหม”  ศาสตราจารย์หนุ่มไม่ยอมแพ้ที่จะจำกัดวงคำถามให้เด็กหนุ่มพอจะตอบออกมาได้  จากการศึกษาพฤติกรรมของพวกโอเมก้ามานั้นทำให้เขารู้ข้อจำกัดทางความคิด  เพราะไม่ได้รับสิทธิ์การศึกษาจากรัฐบาลทำให้พวกเขาค่อนข้างหัวช้า

“ไม่ใช่ทั้งหมด...หมายถึง  ผมไม่ได้เห็นทั้งหมดว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นบ้าง”  เซ็ธค่อยๆ  พูดออกมา  เขาสูดลมหายใจเข้าก่อนจะบอกว่า  “ผม...เห็นแค่เรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น”

วิลเลี่ยมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย  แต่เมื่อหันไปมองเอดิสันก็พบว่ายังคงมีสีหน้าปกติอยู่  เขาหันกลับมามองที่ตัวโอเมก้าหนุ่มต่อ

 อีกฝ่ายอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกต่อว่า  “ถ้าได้สบตากัน  ผมจะมองเห็นเคราะห์ร้ายของเขา”

“งี้นี่เอง  แล้วนายมีอาการอะไรไหม  แบบ...ปวดหัว อะไรแบบนี้”  วิลเลี่ยมถามนำขึ้นทำให้เซ็ธพยักหน้า 

“เมื่อก่อนถ้าเห็นผมจะปวดหัวมากๆ  คลื่นไส้ด้วย  บางที...ก็อาเจียนออกมาจริงๆ”

“มันเป็นอาการข้างเคียงของการใช้พลังจิตน่ะ”  เอดิสันเป็นคนบอกขึ้น  “พลังจิตจะสำแดงออกมาผ่านการกระตุ้นโดยตรงและสั่งการจากสมอง  เพราะเป็นพลังที่ร่างกายไม่ชินจึงจะแสดงอาการแพ้ออกมาบ้าง  แต่ไม่นานก็จะเริ่มชินไปเอง”

“ตอนนี้ถ้านายเห็นจะรู้สึกยังไง”  ศาสตราจารย์หนุ่มถาม  “ตอนที่นายเจอฉัน  นายเห็นใช่ไหมแล้วรู้สึกยังไง”

“มึนหัวแล้วก็ปวดท้องหน่อยๆ”  เซ็ธอธิบายตามความเป็นจริง  ก่อนจะเงียบไป  ทำให้วิลเลี่ยมต้องคิดคำถามใหม่

“เซ็ธ  นายรู้ใช่ไหมว่าโอเมก้าทั่วไปเป็นยังไง”  เขาลองถามขึ้น  แน่นอนว่าเด็กหนุ่มพยักหน้า  วิลเลี่ยมจึงได้พูดต่อ  “และนายรู้ใช่ไหมว่าตัวเองไม่เหมือนโอเมก้าคนอื่น”

อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป  เขาจึงเปลี่ยนคำถาม  “นายรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไรว่าสามารถทำแบบนั้นได้”

เซ็ธเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมาอย่างกล้าๆ  กลัวๆ  “ตั้งแต่...จำความได้”

“น่าทึ่งมาก”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยตาเป็นประกาย  แม้เอดิสันเองก็ยังตกใจด้วย  ในบรรดาอัลฟ่าทั้งหมด  มีจำนวนน้อยนักที่จะสามารถใช้พลังจิตได้ตั้งแต่เล็ก  ส่วนใหญ่จะต้องผ่านการกระตุ้นด้วยเทคโนโลยีคัดกรองชนชั้นเสียก่อน

“แล้วนายได้บอกคนอื่นไหม?”  วิลเลี่ยมถามต่อ  แม้จะไม่มีใครคาดคิดเรื่องโอเมก้าเองก็สามารถใช้พลังจิตได้  แต่ด้วยนิสัยของเด็กหนุ่มที่เขาคาดเดาแล้ว  คิดว่าคงต้องได้เตือนคนอื่นบ้าง

“ผม...เคยบอกเพื่อนๆ  กับคุณครู  แต่ไม่มีใครเชื่อผม...”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง  เขากำผ้าห่มแน่นก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา  “เขาคิดว่าผมเป็นตัวประหลาด...ตัวประหลาดที่สาปแช่งพวกเขา...ก็เลยทำร้ายผม”

น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่นเครือจนวิลเลี่ยมพูดอะไรไม่ออก  เขายกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ  แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า  “ไม่ต้องร้อง  ฉันอยู่นี่แล้ว  ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว  เด็กดี...”

“ไม่”  แต่เซ็ธกลับตัดบทสนทนาพลางส่ายหน้า  “ผมกลัว...กลัวพวกเขา”

คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมขมวดคิ้ว  “พวกเขา...ใคร?”

เด็กหนุ่มตัวสั่นขึ้นมาจนสังเกตได้ชัด  สีหน้านั้นแสดงความหวาดกลัวต่อบางอย่างออกมา  “พวกเขา...พวกเขาอยู่ในโรงพยาบาล  คอยขายพวกโอเมก้าให้คนอื่น  แล้วพวกเขา...พวกเขาจับตามองอยู่”

วิลเลี่ยมชะงักไปทันที  เขากอดเด็กหนุ่มไว้เพื่อปลอบอาการตัวสั่นแล้วหันไปมองเอดิสัน  อีกฝ่ายเองก็ทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะทำท่าเหมือนต้องการพูดอะไร  แต่ทว่าประตูห้องกลับถูกเปิดขึ้นก่อน

“ขอโทษนะครับ  ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยม”  เสียงนุ่มทุ้มของนายแพทย์คนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาพร้อมพยาบาล  “ต่อจากนี้ผมขอเวลาตรวจคนไข้ด้วยครับ  เซ็ธต้องทานยาให้ตรงตามเวลาด้วย  ขอเชิญพวกคุณกลับไปก่อนเลย”

แม้น้ำเสียงจะปกติ  แต่วิลเลี่ยมกลับรู้สึกได้ถึงเจตนาขับไล่แฝงมา

“เดี๋ยวพวกผมจะออกไปแล้วครับ  ขอคุยกับเขาอีกนิดหนึ่งจะได้ไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“อะไรกัน?  คุยอะไรอีก  นี่ผมให้พวกคุณทำธุระกันมานานมากพอแล้วนะ  ตรงนี้เป็นพื้นที่คนไข้พิเศษ  เวลาเข้าเยี่ยมคือสามสิบนาที  แต่คุณเกินมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว  ถึงคุณรีเบคก้าจะขอไว้  แต่นี่มันค่อนข้างจะเกินไปนะครับ”  หมอคนนั้นสวนกลับมาทำให้วิลเลี่ยมชะงัก

“แล้วอีกอย่าง...ที่นี่มีแต่พวกโอเมก้า  อัลฟ่าอย่างพวกคุณคงจะขยะแขยงไม่น้อยสินะ  ขนาดผมเป็นเบต้ายังรู้สึกไม่ดีเลย  อ้อ...ลืมไปว่าคุณคือศาสตราจารย์ผู้หลงใหลในโอเมก้านี่นะ  มาที่นี่คงจะอยากได้โอเมก้ากลับไปนอนด้วยสักคนสินะ”

เพราะวิลเลี่ยมยังคงกอดเซ็ธไว้อยู่อาจทำให้อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นออกมา  และพอได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มที่ยังกลัวกับเรื่องในอดีตอยู่จึงกำเสื้อเขาแน่น

“เฮ้  พูดอะไรระวังปากหน่อย”  เป็นเอดิสันที่เอ่ยขึ้นเสียงขุ่น  จากที่คล้ายยักษ์อยู่แล้วก็จะเป็นยักษ์ไปจริงๆ  จนวิลเลี่ยมต้องยกมือห้ามไว้  เขาละแขนจากเซ็ธก่อนจะยิ้มให้เด็กหนุ่มแล้วบอกว่า  “โดนัทนี่ฉันจะเหลืออันสวยๆ  ไว้ให้นะ  แล้วพรุ่งนี้จะมาหาใหม่”

“จริงเหรอ?”  ดวงตาของเด็กหนุ่มดูดีใจขึ้นมาบ้าง  ทว่ากลับถูกขัดขึ้นจากหมอคนนั้น

“คุณยังคิดมาหาอีกหรือ?”  หมอหนุ่มถามย้ำด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ 

แต่วิลเลี่ยมกลับยกยิ้มให้ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า  “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“หา!?”  อีกฝ่ายนั้นขึ้นเสียงสูง  เห็นชัดว่ากำลังโมโห  แต่วิลเลี่ยมนั้นไม่ยี่หระแต่อย่างใดแล้วโต้กลับจากที่ทนฟังอยู่เมื่อครู่ไปจนหมด 

“ที่ผมเกินเวลานั้นเป็นความผิดจริงๆ  ต้องขอโทษด้วยที่ขัดขวางการทำงานของคุณ  จะตำหนิอะไรผมก็ไม่ว่า  แต่การดูถูกคนไข้แบบนี้  ในความคิดเห็นของผมคิดว่าคุณไร้จรรยาบรรณการเป็นแพทย์จริงๆ  แถมยังเป็นถึงจิตแพทย์?...โรงพยาบาลนี้น่าผิดหวังกว่าที่ผมคิดซะอีกนะครับ”

อีกฝ่ายชะงักไปทันทีจนเห็นได้ชัด  วิลเลี่ยมกับเอดิสันเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงด่าทอจากด้านหลัง  แต่ก็ยังไม่หายคลางแคลงใจ  วิลเลี่ยมตรงเข้าไปพบกับรีเบคก้า  รอให้เธอเสร็จธุระจากการตรวจเยี่ยมคนไข้แล้วขอคุยบางอย่าง

“ระยะนี้มีผู้ป่วยที่อาการย่ำแย่ลงโดยไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะ”  รีเบคก้าเล่าขึ้นพลางถอนหายใจหลังจากที่เขาไปถามว่าเดี๋ยวนี้ที่โรงพยาบาลมีอะไรแปลกไปไหม

“โรงพยาบาลนี้รับผู้ป่วยที่เป็นโอเมก้าเป็นหลัก  ได้งบจากรัฐบาลก็จริงแต่ให้พูดแล้วก็น้อยมาก  จัดสรรงบกันแต่ละทีก็ต้องเน้นการรักษา  ด้านการรักษาความปลอดภัยนั้นเลยได้งบน้อย”  เธอถอนหายใจขึ้นอีก  “แต่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรไม่ดีมากไปกว่านี้หรอกนะคะ”

“ขอบคุณมากครับ  ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”  วิลเลี่ยมกล่าวทิ้งท้ายด้วยความสุภาพก่อนจะเดินออกไป  เอดิสันที่รออยู่หน้าห้องเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะเดินไปที่รถ  ซึ่งคนขับยืนรออยู่แล้ว

“เป็นยังไงบ้าง”  วิลเลี่ยมถามคนที่นั่งข้างๆ  เอดิสันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอกว่า  “โดนด่ายับเลย  แถมยังโดนขูดเลือดขูดเนื้อไปตั้งเยอะ  ไว้ฉันจะหักจากทุนงานวิจัยนายละกัน”

ศาสตราจารย์หนุ่มหัวเราะแห้งๆ  แล้วยิ้มขืนกลับไป  ก่อนจะเหลือบมองไปทางโรงพยาบาลที่ออกมาแล้วพึมพำขึ้นมา  “ถ้าไม่เป็นอะไรก็คงจะดีสินะ”

“เป็นห่วงเหรอ?”  เอดิสันถามขึ้นพลางเลิกคิ้ว  วิลเลี่ยมหันมาพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่า 

“แน่นอนสิ  เด็กคนนั้นน่ะมีเสน่ห์อย่าบอกใครเชียว”

“ก็เป็นโอเมก้านี่นะ  สำหรับอัลฟ่า  พวกเขาก็น่าดึงดูดให้คิดถึงเรื่องอย่างว่า  ถึงสถานะพวกเขาจะยังน่ารังเกียจในสังคมก็เถอะ”  เอดิสันพึมพำ  ทัศนคติของอัลฟ่าทั่วไป  โอเมก้าเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ชั้นดีกับเครื่องผลิตทายาท  เรื่องเสน่ห์เย้ายวนนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้อัลฟ่าเห็นค่า

“ใช่แล้ว  ใครบางคนก็ตกหลุมรักโอเมก้าเพราะเสน่ห์นั้นเหมือนกัน...”  วิลเลี่ยมพูดสีหน้ายิ้มแย้มแต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อเจอฝ่ามือตบหน้าผากไปเต็มๆ

“จริงสิๆ  ไปบ้านนายก่อนไหม  โดนัทที่เหลือมานี่ฉันคิดว่าน้องหนูของนายจะต้องชอบแน่ๆ  หวา  อย่าทำหน้าเหมือนจะฆ่ากันอย่างนี้สิ”  ใบหน้าของเอดิสันตอนนี้เป็นยักษ์ไปแล้วจริงๆ  เจ้าตัวฮึดฮัดก่อนจะก่นด่าว่า 

“ไม่ให้ทำได้ไง  แกไปบ้านฉันทีไร  ขาเตียงมีแต่จะหักมิหักอยู่รอมร่อ  ยังจะเสนอหน้ามาอีก!”

วิลเลี่ยมทิ้งท้ายด้วยการหัวเราะแหะๆ  อย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะเสหน้าไปทางอื่น  อย่างไรก็ตามวันนี้ทั้งเขาและเอดิสันก็คงต้องเหนื่อยหน่อย  แต่นั่นก็เผื่อคลี่คลายเรื่องของเซ็ธ

“อดทนไปสักพักก่อนนะ...”

...

เซ็ธหยุดมือที่ระบายสีลง  เขาเหลือบไปมองโดนัทลายแมวสุดน่ารักที่วางเด่นอยู่บนจาน  นี่เป็นชิ้นที่เขาชอบที่สุด  แต่ไม่ได้หยิบมากิน  คงเพราะเสียดายลวดลายแบบนี้  จริงๆ  เขาชอบเกือบทุกลาย  กว่าจะกินแต่ละชิ้นล้วนฝืนใจทั้งนั้น

เขาไม่เคยได้รับของดีๆ  จากคนแปลกหน้า  และรู้ด้วยสามัญสำนึกว่าไม่ควรรับ  แต่ผู้ชายคนนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างประหลาด  เป็นถึงอัลฟ่าแต่กลับสนใจในตัวโอเมก้า  ไม่ใช่ในแง่เรื่องกามารมณ์ด้วย 

แล้วอีกฝ่ายก็มีบรรยากาศที่ดี  ดังนั้นเขาจึงสามารถวางใจได้  อยากจะขอบคุณทั้งเรื่องโดนัทและการเข้ามาคุยด้วย  เซ็ธจึงตั้งใจวาดรูปชิ้นที่ชอบเก็บไว้ให้อีกฝ่ายดูพรุ่งนี้

พอวิลเลี่ยมออกไป  หมอคนนั้นก็คุยกับเขาอีกสักพักแล้วยื่นยามาให้  เด็กหนุ่มนั้นหวาดกลัวแต่ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกไป  เพราะถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาไหวตัวทน  ตัวเองก็จะไม่ปลอดภัย

เซ็ธอึดอัดกับการอยู่ที่นี่...คุณหมอผู้หญิงยืนยันผลแล้วว่าเขาปกติดีตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน  แต่ก็ยังถูกขังในห้องแคบๆ  นี่  ไม่มีโทรทัศน์หรือสื่อใดดู  ซ้ำยังมีคนคอยจับตามองตลอด  หมอคนนั้นเข้ามาหลังจากที่หมอประจำตัวเขาประสบอุบัติเหตุและย้ายไปที่อื่น  ดูก็รู้ว่าไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

แต่เขาไม่สามารถบอกใครได้  ไม่มีใครเชื่อเขา  และมองเขาเป็นตัวประหลาดเพราะพลังที่ดูเหมือนคำสาปนั่น

ทว่ามีคนหนึ่งที่เขาสามารถบอกได้  หากว่าได้เจอกันอีกเซ็ธก็อยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือไป

เด็กหนุ่มหยิบยาที่วางไว้อยู่ในถาดขว้างทิ้งไปในถังขยะ  เขาไม่ต้องกินยามาสักพักแล้ว  การที่จู่ๆ  ก็ถูกหว่านล้อมให้กินนั้นค่อนข้างแปลก

เซ็ธกลับไปวาดรูปต่อให้เสร็จ  จนกระทั่งตกกลางคืนที่เงียบสงัด  จู่ๆ  เขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกทำให้ต้องรีบล้มตัวลงแกล้งนอนหลับ

เด็กหนุ่มไม่ได้หันหน้าไปทางประตูจึงไม่เห็นว่าใครเข้ามา  แต่เสียงพูดคุยกันนั้นคาดเดาได้ว่าไม่ได้มาแค่คนเดียว

“มันหลับแล้ว  รีบๆ  เอาตัวไป”  เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา  เด็กหนุ่มเบิกตากว้างทันทีเพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของหมอคนนั้น  ทันทีที่มือลึกลับเอื้อมมาจะถึงตัวเขา  เซ็ธก็รีบผุดลุกขึ้นเหวี่ยงสมุดสเกตเล่มหนาใส่แล้วรีบกระโดดลงจากเตียง

“เฮ้ย  จับไว้”  คนพวกนั้นโวยวายขึ้นแล้วกรูกันเข้ามาล็อกตัวเขาไว้  เด็กหนุ่มที่หนีไม่พ้นจึงถูกกดลงกับพื้น  “อยู่เฉยๆ  สิวะ  ไอ้บ้านี่”

พวกมันจับมือของเขาไพล่หลัง  แล้วมัดไว้ก่อนจะกระชากตัวเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นแล้วพาออกไปข้างนอก

“อยู่นิ่งๆ  อย่าส่งเสียง  ไม่งั้นแกโดนฆ่าแน่”  ชายร่างกำยำที่จับตัวเขาไว้ขู่ขึ้นก่อนจะเดินตามคนอื่นออกไปข้างนอก  หมอหนุ่มคนนั้นเป็นคนนำทาง

“เร็วๆ  เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”  หมอคนนั้นเร่งก่อนที่อีกคนจะพึมพำว่า  “ไม่เข้าใจจริงๆ  ว่าเจ้านายให้จับตาดูไอ้เด็กนี่ไปทำไม”

“จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ  รีบพามันไปก่อนที่ไอ้บ้านั่นจะกลับมาพรุ่งนี้”  หมอคนนั้นหันมาเตือน  เซ็ธถูกฉุดกระชากให้เดินไป  เพราะถูกล้อมด้วยคนแปลกหน้าน่ากลัวสามคน  เขาจึงไม่กล้าส่งเสียง

ที่ตรงนี้มีแต่ผู้ป่วย  คุณหมออยู่ห่างออกไปในห้องพัก  พยาบาลก็อยู่ที่เคาท์เตอร์ซึ่งคนพวกนี้คงจะหลีกเลี่ยงไป  หากตะโกนออกไป  กว่าความช่วยเหลือจะมาเขาอาจจะตายก่อน  เป็นความกังวลที่ทำให้เซ็ธไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา

เขาพยายามคิดหาหนทางเรื่อยๆ  จนกระทั่งออกมานอกตัวอาคาร  พวกมันพาเขาลัดเลาะไปตามสวนที่ไม่มีไฟส่อง  ข้างหน้าเป็นรถสีดำคันหนึ่ง

ทว่าขณะนั้นเองคนที่เดินอยู่ข้างๆ  เขากลับล้มหงายตึงไปหลังจากมีเสียงถูกอะไรบางอย่างฟาดดังพลั่ก!

สิ่งที่ล้มกลิ้งอยู่ข้างๆ  คนที่สลบเหมือนไปคือสับปะรดลูกหนึ่งซึ่งค่อนข้างเละไปบางส่วน  ท่ามกลางความสับสนของทุกคนว่ามันมาได้อย่างไร  เงาร่างสูงโปร่งสองร่างก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้

วิลเลี่ยมสะบัดผมเพื่อปัดใบไม้ที่ติดอยู่ออกก่อนจะยกยิ้ม  เอ่ยเสียงยานคางว่า  “จะ – ไป – ไหน – กัน – เอ่ย”

“พวกแก!?”  หมอหนุ่มคนนั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  “รู้ได้ยังไง”

“ฉันไม่โง่พอจะจับพิรุธไม่ได้หรอกนะ”  วิลเลี่ยมสบตากับคนคนนั้นตรงๆ  อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าตัวเขานั้นไม่พอใจเอามากๆ  แต่จากสายตาตอนนี้ก็คงพอจะรู้สึกเองได้อยู่  “เซ็ธอุตส่าห์ขอความช่วยเหลือขนาดนั้น  จะไม่ให้เอะใจก็คงไม่ได้”

เด็กหนุ่มที่ฟังอยู่เบิกตากว้าง  แต่ตั้งแต่ที่คนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาเขากลับโล่งใจอย่างน่าประหลาด

“เพราะเซ็ธหวาดกลัวนายอย่างเห็นได้ชัด  และการที่นายเข้ามาขัดตอนเราคุยเรื่องที่เขากังวลอยู่ก็เป็นการเผยออกมาแล้วว่านายอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง”  วิลเลี่ยมอธิบายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง  “ประกอบกับที่คุยกับคุณรีเบคก้า  ฉันเลยสงสัยอะไรขึ้นมา  ก็เลยไหว้วานเอ็ดเพื่อนยากให้จ้างนักสืบฝีมือดีมาค้นข้อมูลให้ไง”

“เรื่องนั้น...ไม่มีทางเป็นไปได้!”  อีกฝ่ายยังคงค้านออกมา  จริงๆ  วิลเลี่ยมก็คาดไว้แล้ว  แต่ก็ต้องขอบคุณเอดิสันที่รู้จักนักสืบอัลฟ่าฝีมือดีที่มีพลังจิตยอดเยี่ยม  เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถหาข้อมูลมาได้มากมายแล้ว  แต่ต้องแลกกับเงินจำนวนมากทีเดียว

“พวกนายใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยนี้  ลักพาตัวโอเมก้าไปค้ามนุษย์ให้นายหน้า  แถมยังเฝ้าจับตาดูโอเมก้าคนนี้อีก”  วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดขณะยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย  “ทั้งพาตัวผู้ป่วยไปซ้ำเติมจนสุขภาพจิตย่ำแย่  การดูถูกผู้ป่วยและไม่เห็นค่าอย่างนี้  นายนี่มันไร้จรรยาบรรณจนไม่น่าอภัยให้จริงๆ”

“หนวกหู!  มัวทำอะไรอยู่  จัดการพวกมันสิ”  หมอคนนั้นตวาดลั่นแล้วหันไปสั่งสองคนที่เหลือแล้วคว้าตัวเซ็ธมา  เบต้าสองคนนั้นเลิ่กลั่กมองหน้ากันสักพักก่อนจะพุ่งหมัดมาทางพวกเขา

วิลเลี่ยมกับเอดิสันกระโดดหลบแยกกันไปคนละทาง  ก่อนที่ศาสตราจารย์หนุ่มจะวาดแขนออกไป  พุ่มไม้เกิดการสั่นไหวก่อนที่กระสุนปืนใหญ่จะพุ่งออกมาโจมตีเบต้าที่ไล่ตามเขามา

จะเรียกว่ากระสุนปืนใหญ่ก็เป็นแค่ชื่อชั่วคราวเท่านั้น  จริงๆ  แล้วก็แค่สับปะรดลดราคาที่ไปเหมามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะแค่นั้นเอง

พลังจิตของวิลเลี่ยมหลักๆ  คือการควบคุมสิ่งของ  รวมกับความแม่นยำที่ฝึกฝนมานั้นทำให้โดนเข้าที่กระหม่อมอย่างจังจนเบต้านั่นล้มหมอบไป

ส่วนทางด้านเอดิสัน  วิลเลี่ยมไม่ต้องไปกังวลให้มากความ  ด้วยความเป็นยักษ์ของอีกฝ่ายแค่ศัตรูเจอหน้าก็คงจะถวายคอให้เตะกันดีๆ  แล้ว  ยิ่งตอนนี้เพื่อนของเขากำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะรู้พฤติกรรมของคนพวกนี้  ภาวนาให้แค่ไม่คอหักตายก็คงจะลำบากเกินไป

วิลเลี่ยมหันไปหาหมอคนนั้นที่ยืนทึ่งอยู่  เมื่อเห็นเขามองมาก็สะดุ้งโหยงแล้วจะกระชากเซ็ธให้ไปที่รถ  แต่เพราะกำลังตกใจ  การจับกุมเลยหละหลวม  เด็กหนุ่มสะบัดตัวเต็มแรงครู่เดียวก็หลุดจากนั้นก็หันกลับไปแล้วถีบเข้าที่หว่างขาเต็มแรงจนเกิดเสียงโหยหวนขึ้นทั่วโรงพยาบาล

“อ๊ะ”  เพราะตอนหันกลับไปไม่ทันได้ตั้งหลักดี  เซ็ธจนเอนไปข้างหลังจวนเจียนจะล้มทว่ากลับถูกดันไว้ด้วยสองมือของใครบางคน  วิลเลี่ยมรีบถามทันทีขณะจับแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มให้หันมาหา 

“ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ”

“คะ...ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าทึ่งๆ  เขาได้รับการช่วยเหลือจากอีกฝ่าย  เป็นเรื่องที่ทั้งประหลาดใจและตื้นตันจนแสดงอารมณ์ไม่ถูก  เขาไม่เคยได้รับการใส่ใจแบบนี้มาก่อนเมื่อเห็นรอยยิ้มสว่างสดใสแบบนี้ก็ชักรู้สึกตาพร่ามัวไปชั่วขณะ
เซ็ธทำอะไรไม่ถูกเลยก้มหน้าหนี  จนอีกฝ่ายเลิกคิ้วถามขึ้น  “หืม  เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ปะ...เปล่า”  เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาครู่หนึ่งเพื่อพูดคำบางคำ  “ขะ...ขอบคุณครับ”  แล้วรีบหลบหน้าหนีไป
วิลเลี่ยมตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะยกยิ้มขึ้น  “ไม่เป็นไร  ถ้าเพื่อนายแล้วฉันยินดีเสมอ”

“วิล  รถตำรวจมาแล้ว  เอาเจ้าพวกนี้ขึ้นรถแล้วแกก็ขึ้นตามไปด้วยเลยนะ”  เอดิสันขัดขึ้นขณะที่ลากตัวผู้ร้ายอีกสองคนมากองรวมกัน  และทนเห็นพฤติกรรมที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรรมไม่ได้  เลยรีบขัดขึ้น  จะด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวก็ดีหรือความห่วงอนาคตของเด็กนี่ก็ดี

“ไม่เอาน่าเอ็ด  อย่าพูดเล่นสิ”  วิลเลี่ยมหัวเราะขึ้นทำเป็นไม่ใส่ใจ  จนเอดิสันถอนหายใจยาวๆ  แล้วพึมพำว่า  “สิบปีเชียวนะ  สิบปี  เข้าคุกตอนนี้ทุนวิจัยฉันก็เสียเปล่าหมดน่ะสิ”

ท่ามกลางการโต้เถียงกันของสองเพื่อนสนิท  เซ็ธก็ได้แต่มึนงงว่าหมายถึงอะไร

พวกตำรวจเข้ามาในที่เกิดเหตุ  ลากตัวคนร้ายทั้งสามขึ้นไปแล้วเชิญพวกเขาไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ  เซ็ธลำบากใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยไป  แต่พอวิลเลี่ยมบอกว่าทั้งตัวเองและเอดิสันก็จะไปด้วยจึงยอมขึ้นรถมา

เมื่อไปถึง  แรงกดดันจากพวกอัลฟ่าและเบต้าที่อยู่ที่นั่นทำให้เซ็ธอึดอัด  เขาขยับไปหารีเบคก้าที่มาด้วยในฐานะหมอของโรงพยาบาลทันที  วิลเลี่ยมเป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง  รวมทั้งเรียกตัวนักสืบที่เอดิสันจ้างไว้นำข้อมูลมาประกอบคดี  ว่าคนพวกนี้เป็นพวกค้ามนุษย์

อาศัยจุดบอดของโรงพยาบาล  นำคนไข้ที่เป็นโอเมก้าออกไปขายให้กับพวกอัลฟ่าที่มาซื้อบริการ  และส่งคนมาแทรกซึมเพื่อสังเกตการณ์ในโรงพยาบาล

“แล้วเขาจะจับตาดูเด็กคนนี้ไปทำไม”  ตำรวจคนหนึ่งตั้งข้อสงสัยขึ้น  โดยทั่วไปแล้วโอเมก้านั้นนอกจากจะธรรมดาแล้วยังไม่ควรชายตามองอีก  เซ็ธรู้ดีว่าเรื่องที่เขาแตกต่างออกไปไม่สามารถพูดไปได้

“คงเพราะมีคนใหญ่คนโตสนใจล่ะมั้งครับ”  วิลเลี่ยมเลือกที่จะโกหกออกไปและตำรวจก็ไม่ได้สงสัยอะไร  เพราะนี่เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกัน  การกระทำอุกอาจอย่างนี้  มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง

พวกเขาให้การอยู่พักใหญ่ในที่สุดตำรวจก็อนุญาตให้กลับได้โดยการพามาส่งที่โรงพยาบาล  แม้จะผ่านไปราวสองชั่วโมงแต่ยังมีตำรวจเดินตรวจตราตามรอบนอกโรงพยาบาลอยู่

“นี่ก็จะตีหนึ่งอยู่แล้ว  ไปพักผ่อนเถอะ”  วิลเลี่ยมหันไปพูดกับเซ็ธ  สีหน้าของเด็กหนุ่มดูเพลียจริงๆ  จนเขาอดห่วงไม่ได้  แต่อีกฝ่ายก็ไม่อยากกลับไปที่ห้องของตัวเอง

“ไม่ต้องห่วงนะ  เดี๋ยวฉันจะให้เธอไปที่ห้องใหม่  รับรองปลอดภัยกว่าห้องก่อน”  รีเบคก้ารีบเข้ามากุมมือของเซ็ธไว้เพื่อปลอบโยน  เธอเป็นแพทย์ใหญ่ของที่นี่ย่อมไม่ถูกสงสัยว่าจะมีส่วนร่วมมือกับพวกค้ามนุษย์  และเป็นคนที่ไว้วางใจได้

“ขอบคุณมากครับ”  เด็กหนุ่มเอ่ยสั้นๆ  รีเบคก้าจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วหันมาหาอัลฟ่าหนุ่มทั้งสอง 

“ต้องขอบคุณพวกคุณมากๆ  นะคะ  ฉันเป็นหมอของที่นี่แท้ๆ  แต่กลับไม่คาดคิดเรื่องพวกนี้ไว้เลย  ขอบคุณจริงๆ  ที่ช่วยเหลือเด็กคนนี้แล้วก็พวกโอเมก้าไว้”

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ  ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”  วิลเลี่ยมบอกปัดสีหน้าขวยเขินที่ถูกชม  แต่รีเบคก้าก็ยังให้ท้ายเขาด้วยความจริงใจว่า  “วิลเลี่ยม  คุณเหมาะจะช่วยพวกโอเมก้าให้พ้นทุกข์จากการถูกกดดันจริงๆ”

หมอหญิงทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะพาเซ็ธกลับเข้าไปในตึกผู้ป่วย  วิลเลี่ยมยืนมองสักพักก่อนที่เอดิสันจะชวนกลับไปเช่นกัน  เขาถูกพาไปส่งบ้าน  บรรยากาศเงียบสงบทำให้เขาได้ครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง

การวิจัยของเขา...แต่เดิมนั้นก็ต้องการศึกษาโอเมก้าอยู่แล้ว  เขาเคยมีความคิดว่าต้องการโอเมก้าสักคนมาเป็นตัวอย่างเพื่อดูแนวโน้มที่น่าจะเป็น  แต่พับเก็บเรื่องนั้นไว้นานแล้วเพราะคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้ 

ส่วนเรื่องของเซ็ธ...อาจมีคนที่รู้ถึงพลังมองเห็นอนาคตของเด็กหนุ่มอยู่  ในบรรดาพลังจิตทั้งหมด  การมองเห็นอดีต  อนาคตนั้นล้วนเป็นของหายาก  และเป็นประโยชน์โดนเฉพาะต่อพวกนักธุรกิจหรือนักการเมือง  ถ้าความลับเรื่องนี้รั่วไหลไปในตอนนี้ย่อมเป็นผลไม่ดีต่อเซ็ธ

วิลเลี่ยมหมุนปากกาในมือไปมา  คิดไม่ตกจนไม่สามารถเขียนตัวอักษรอะไรออกมาได้สักตัว  เขากำลังชั่งใจเกี่ยวกับการตัดสินใจต่อไป  ขณะนั้นเองที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาสว่างวาบขึ้นชื่อผู้ติดต่อแสนสำคัญของเขา

ฝ่ายนั้นย่อมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโอเมก้าพิเศษคนนั้น  เมื่อเขาเล่ารายละเอียดไปก็พบกับคำถามที่ทำให้ชะงัก

คุณจะนำเขามาดูแลไหม?...

เป็นคำถามเดียวกันกับที่เขากำลังตัดสินใจอยู่พอดี
----------------------------
ปฏิบัติการเลี้ยงต้อยกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ 555555

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 4
การตัดสินใจ

Q:  คุณจะนำเขามาดูแลไหม?

W:  ผมเองก็คิดแบบนั้นอยู่  ถึงจะดูเหมือนว่าเขากำลังโดนทอดทิ้งอยู่ก็เถอะแต่คงไปพาตัวออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้

Q:  เขามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใช่ไหม  ฉันขอชื่อที่นั่นได้ไหม

W:  ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะชื่อเอลรี

Q:  เดี๋ยวฉันจัดการเอง

ข้อความที่ถูกส่งมานั้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เขายกยิ้มขึ้นก่อนจะพิมพ์บอกขอบคุณไป  การสนทนาระหว่างเขากับอีกฝ่ายสิ้นสุดลง  หลังจากนี้ชายหนุ่มคิดว่าจะนอนก่อนและตื่นมาสะสางงานในเช้าวันถัดไป

งานวิจัยของเขา  น่าเสียดายที่มีคนเข้าร่วมวิจัยค่อนข้างน้อยหากเทียบกับงานอื่นๆ  ที่คนอื่นกำลังทำ  และส่วนใหญ่เป็นเบต้าที่อยากให้มีสิทธิ์สำหรับโอเมก้าบ้าง

ส่วนพวกอัลฟ่านั้นยังคงมีทัศนคติแบบเดิม  แม้แต่เอดิสัน  หากไม่มีเรื่องราวความรักมาเกี่ยวข้องก็คงไม่ยื่นข้อตกลงขอเป็นนายทุนใหญ่แบบนี้  แม้ว่าส่วนหนึ่งของเครือข่ายเอดิสันจะทำหน้าที่ผลิตยาและอุปกรณ์สำหรับป้องกันฟีโรโมนของพวกโอเมก้าและยาคุมกำเนิดก็ตาม

วิลเลี่ยมเองก็ต้องยอมรับว่าหากโอเมก้าฮีทขึ้นมาก็ยากที่จะมีอัลฟ่าคนไหนต้านทานได้  เพื่อป้องกันการเกิดเหตุสุดวิสัยนั้นจึงต้องมีการบังคับให้โอเมก้ากินยาต้านอาการฮีท  เมื่อปลายปีที่ผ่านมาบริษัทของเอดิสันเองก็สามารถผลิตยาระงับแบบฉุกเฉินได้สำเร็จแล้วหุ้นจึงเพิ่มขึ้นมาก

และหากว่าโอเมก้ามีเพศสัมพันธ์กับอัลฟ่าในช่วงที่เกิดอาการฮีทมีโอกาสสูงที่จะตั้งครรภ์ได้  ดังนั้นแล้วยาคุมเองก็เป็นสิ่งสำคัญ
เกี่ยวกับการฮีทของโอเมก้า  วิลเลี่ยมเคยทดลองกับตัวเอง  ตอนนั้นเขาพาเบต้าอีกสองคนไปหาโอเมก้าคนหนึ่งเพื่อจับเขาออกมาหากไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  และศาสตราจารย์หนุ่มก็พบว่าต้องใส่หน้ากากกันแก๊สพิษเท่านั้นจึงจะต้านกลิ่นของอีกฝ่ายได้

จากการทดลองนั้น  เขาจ่ายค่าจ้างโอเมก้าไปเยอะทีเดียว  เพราะนอกจากหาวิธีเข้าใกล้ตอนที่ฮีทแบบปลอดภัยทั้งสองฝ่ายแล้ว  วิลเลี่ยมก็ได้ศึกษาการหาช่วงเวลาฮีทไว้ด้วย

ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นประโยชน์เพื่อที่วันข้างหน้าเขาจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับโอเมก้าตลอดเพื่อการศึกษา  ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ 
คืนนั้นวิลเลี่ยมเอาแต่คิดว่าถ้าเซ็ธมาอยู่ที่บ้านหลังนี้จะเป็นยังไง  แถวนี้มีแต่อัลฟ่ากับเบต้าอยู่  แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่ๆ  กันทั้งนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร  ปัญหาที่เขาคิดไม่ตกคือเด็กหนุ่มจะปรับตัวได้ไหม

วิลเลี่ยมเผลอหลับไปก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์เข้า  เสียงที่กรอกตามสายมานั้นทำให้เขาตื่นเต็มตา  รีบเด้งตัวขึ้นทันที

“เรื่องที่บอกเมื่อคืน  สำเร็จแล้วนะ  ฝ่ายนั้นยอมตกลง  คุณไม่ต้องทำเอกสารอะไรเดี๋ยวจะมีคนพาเด็กคนนั้นไปส่งตอนสิบสามนาฬิกา”  เสียงของหญิงชราบอกมาทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้แล้วเหลือบไปมองนาฬิกาที่วางอยู่บนหัวเตียง  แปดนาฬิกา...ถือว่าเช้าและรวดเร็วมากเกี่ยวกับการติดต่อ

ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือการติดต่อมาด้วยตัวเองแบบนี้  ทำให้เขารู้สึกภูมิใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“ขอบคุณมากนะครับ  ผมจะทำวิจัยนี้อย่างเต็มที่ครับ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสายไปโดยที่ฝากความหวังไว้เต็มที่

เมื่อเสร็จสิ้นธุระกะทันหันแล้วเขาจึงได้ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ  แต่งตัวเป็นชุดลำลองแล้วทำอาหารเช้าง่ายๆ  จากนั้นก็ลงมือทำงานที่ค้างไว้ต่อ

วิลเลี่ยมรัวนิ้วมือเรียวบนคีย์บอร์ดไปอย่างคล่องแคล่ว  พิมพ์ๆ  หยุดๆ  เพราะต้องเปิดดูเอกสารอ้างอิงและบันทึกที่จดไว้  บางครั้งก็ต้องรับอีเมล์จากเพื่อนร่วมวงการที่ไปไหว้วานให้ช่วยหาข้อมูลให้

ข้อมูลส่วนใหญ่นั้นเขาเป็นคนทำเอง  แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องใช้การอ้างอิงเพิ่มเติม  การศึกษาโครงสร้างของโอเมก้านั้นมีงานวิจัยอยู่บ้างเพื่อแก้ปัญหาการให้กำเนิดที่ไม่พึงประสงค์  แต่เท่าที่เขาอ่านมา  ไม่มีวิธีใดที่ทำให้อัลฟ่าต้านทานฟีโรโมนของโอเมก้าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์  นั่นเป็นเพราะสัญชาตญาณโดยกำเนิดของทุกคนมากกว่า

แต่ฟีโรโมนเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ความรักระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้ายั่งยืน  แถมนับวันสถานะของโอเมก้าเองก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ  หลังจากมนุษย์พ้นวิกฤติปัญหาการขาดแคลนประชากรแล้ว  พวกเขาอยู่เพื่อเป็นทาสและเครื่องผลิตลูกเท่านั้น

ทัศนคติแบบนั้นสำหรับวิลเลี่ยมนั้นบอกได้เลยว่าแย่และน่าสะอิดสะเอียน  ในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกันก็ควรให้การเคารพซึ่งกันและกัน

วิลเลี่ยมละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์หลังจากจดจ่อมาเกือบสามชั่วโมง  วันนี้เขาสามารถปิดหัวข้อหนึ่งได้ตามเป้าหมาย  ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นจากนั้นจึงเดินออกมา

เขามองไปรอบๆ  บ้านแล้วก็นึกกังวลขึ้นมา  การรับเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย  โดยเฉพาะโอเมก้าที่ไม่ชินกับอัลฟ่าเช่นเขา  ก่อนอื่นเลยต้องจัดการทำความสะอาดบ้านหลังนี้เสียก่อน..
.
วิลเลี่ยมนึกขอบคุณตัวเองในใจที่เลือกบ้านหลังนี้ตอนขอมาอยู่คนเดียว  ทีแรกเขาตั้งใจเก็บห้องนั้นไว้เป็นห้องเก็บของแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เอาอะไรเข้าไปเก็บมากนัก

“อ๊ะ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”  หลังจากทำความสะอาดไปเกือบเสร็จ  วิลเลี่ยมก็เงยหน้ามองนาฬิกาและพบว่าใกล้ถึงเวลาบ่ายโมงแล้ว  เขารีบเร่งเก็บของให้เสร็จแล้วนั่งรออยู่ที่โซฟาสลับกับลุกไปมาหลายครั้ง

จนกระทั่งเวลาบ่ายโมงสี่สิบห้า  เสียงบีบแตรรถก็ดังขึ้นหน้าบ้านวิลเลี่ยมจึงรีบวิ่งไปดู  ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกก่อนที่ชายคนหนึ่งจะก้าวออกมา  จากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นคนของโรงพยาบาล  ส่วนด้านหลังนั้นมีผู้หญิงอีกคนลงมาพร้อมกับเซ็ธ

วิลเลี่ยมรีบออกไปต้อนรับ  แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่ม  อีกฝ่ายเองก็พยายามหลบตาเขาอยู่

“หวังว่าคุณจะรับมือเขาได้นะครับ”  ชายคนนั้นกล่าวก่อนที่จะเดินจากไปทันที  ทิ้งให้วิลเลี่ยมอยู่ตามลำพังกับเซ็ธ  สองคนนั้นจากไปไวกว่าที่คิด  เขายังไม่ทันได้พูดขอบคุณ  ใบหน้าที่ยิ้มแย้มไว้ก็ค้างอยู่

“อะ...เออ  งั้นเราเข้าบ้านกันไหม?”  วิลเลี่ยมลองถาม  แต่เซ็ธยังคงยืนเงียบ  ท่าทางแบบนั้นทำให้เขาอึดอัด  พยายามสังเกตทุกอากัปกิริยาของเด็กหนุ่ม  อีกฝ่ายก้มหน้านิ่งและกำเสื้อแน่น

“เซ็ธ  เป็นอะไรไปน่ะ?”  ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นเมื่อมั่นใจว่าเด็กคนนี้กำลังต่อต้านอยู่อย่างเงียบๆ

“คุณน่ะ...ก็อยากให้ผมขึ้นเตียงด้วยใช่ไหม?”  คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมเบิกตากว้าง  รีบแย้งขึ้นทันที 

“เดี๋ยวเซ็ธ  ไม่ใช่นะ...”

“ก็แล้วทำไมถึงให้ผมมาบ้านคุณล่ะ”  เด็กหนุ่มตั้งคำถาม  ก่อนที่วิลเลี่ยมจะถามอะไร  อีกฝ่ายก็เล่าขึ้นว่า  “คนเมื่อกี้บอกว่าคุณให้พาผมมาเพื่อที่จะนอนด้วย”

ชายหนุ่มชะงัก  ใจหนึ่งก็อยากใช้พลังจิตปาหินไปใส่รถที่ออกไปแล้ว  แต่เขาต้องเคลียร์กับเซ็ธให้เข้าใจก่อนที่กำแพงกั้นระหว่างพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอีก

“ผม...คิดว่าคุณจะไม่เหมือนอัลฟ่าคนอื่นเสียอีก”  คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  สายตาของเซ็ธที่ยอมเงยหน้าขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจจนเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ชั่วขณะ

ระหว่างนั้นเขาจึงได้คิดทบทวน  วิลเลี่ยมสูดลมหายใจเฮือกใหญ่  เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายหนึ่งก้าวแล้วลองยื่นมือไปหาแต่เซ็ธกลับถอยหนี

“...โดนเกลียดเสียแล้ว”  เขาพึมพำขึ้นอย่างผิดหวัง  ก่อนจะเรียกอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มถึงแม้ว่าจะรู้สึกเสียใจก็ตาม  “เซ็ธ  ฉันขอโทษจริงๆ”

“...”  เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร  และเริ่มหลบหน้าเขาอีกครั้ง  แต่นี่ก็ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เกินคาดสำหรับวิลเลี่ยมสักเท่าไร

“ทั้งหมดนี่เป็นความเอาแต่ใจของฉันเอง  ขอโทษที่ไม่ได้บอกไป  มันกะทันหันมากใช่ไหมกับการต้องเปลี่ยนที่อยู่แบบนี้”  เขาเอ่ยขึ้นตามปกติเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น  “ฉันควรบอกนายก่อนว่าจะรับดูแลนาย  ขอโทษนะที่ไม่ได้ให้เวลานายเตรียมตัวเลย”

เซ็ธขมวดคิ้วครู่หนึ่ง  แววตามีความสงสัยฉายปนอยู่

“แต่ฉันสาบานได้  ไม่เคยคิดจะใช้นายเป็นเครื่องมือระบายความใคร่อะไรทั้งนั้น  คนเมื่อกี้เป็นใครฉันยังไม่รู้จักเลย  แต่การพูดพล่อยๆ  แบบนั้นกับนาย  ฉันให้อภัยไม่ได้จริงๆ”  วิลเลี่ยมพูดต่อขณะที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น  คราวนี้เซ็ธไม่ได้ถอยหนีไป  “ที่โรงพยาบาลนั้นไม่เหมาะสมสำหรับนาย  และมันก็เป็นอันตรายเกินไป  เพราะฉะนั้นฉันเลยตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะดูแลนายเอง”

“ดูแล...?”

“ใช่”  เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนที่จะยกมือของเด็กหนุ่มขึ้นจับไว้  วิลเลี่ยมสบตากับเซ็ธก่อนที่จะเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสว่า  “ต่อจากนี้มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง  เขาไม่ได้ตอบอะไรอีกฝ่ายไปได้แต่หลบตาไปทางอื่น  แต่การไม่สะบัดมือหนี  ศาสตราจารย์หนุ่มคนนี้จะถือว่าเป็นการยอมรับแล้วกัน

“เข้าบ้านกันเถอะ”  เมื่อเคลียร์ความเข้าใจส่วนแรกได้แล้ว  วิลเลี่ยมก็คว้ากระเป๋าใบเดียวของอีกฝ่ายมาถือไว้มือหนึ่ง  อีกข้างจูงมือเซ็ธเดินเข้าบ้านไป

เขาให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ที่โซฟา  นำขนมกับน้ำชามาให้  เด็กหนุ่มยังคงเกร็งๆ  อยู่  เมื่อเห็นวิลเลี่ยมนั่งก็หันมาถามอย่างไม่เชื่อ  “ผมอยู่ที่นี่ได้เหรอ”

เจ้าของบ้านเลิกคิ้วก่อนจะตอบอย่างมั่นใจว่า  “ได้สิ  ทำไมจะไม่ได้”

“แล้วเรื่อง...เอ่อ...ผมต้องมีอาการฮีท”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง  ช่วงแรกของโอเมก้าที่พร้อมสืบพันธุ์แบบนี้  อาการฮีทจะไม่ส่งผลรุนแรงเท่าไร  แล้วถ้าถึงช่วงนั้นจริงๆ  ฉันจะกินยาต้าน  ส่วนนาย...ถ้ากังวลล่ะก็ฉันมียาคุมกับยาระงับอาการฮีทแบบฉุกเฉินให้”  วิลเลี่ยมร่ายยาวถึงความเตรียมพร้อมในส่วนนี้ของเขา

“ไม่ต้องกังวลนะ  ฉันแค่จะดูแลนายให้เหมือนครอบครัวคนหนึ่งเท่านั้น  ไม่ได้คิดเรื่องอย่างว่าหรอก”  วิลเลี่ยมย้ำอีกรอบเพราะเห็นอีกฝ่ายยังคงไม่สบายใจทำให้อดสงสัยไม่ได้  “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า  ทำไมถึงดูกังวลขนาดนี้”

“ก่อนที่ผมจะเข้าโรงพยาบาล...มีคนเคยรับผมไปเลี้ยง”  เซ็ธเอ่ยขึ้น  มือทั้งสองกำแน่นและเอ่ยออกมาทั้งที่ไม่เต็มใจจะพูดเท่าไรว่า  “เขารับเด็กโอเมก้ามาเพื่อขึ้นเตียงด้วย  แต่เพราะผมคลั่งไปเสียก่อนก็เลยต้องไปที่โรงพยาบาล”

“เขาไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  คำตอบคือการพยักหน้าของเด็กหนุ่ม  แม้จะรู้สึกโล่งใจแต่การที่เซ็ธเคยตกไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจนต้องเขาโรงพยาบาลจิตเวชนั้นนับว่าเป็นเรื่องไม่ดี

“แล้วคนขับรถที่มาส่งนายนี่พูดอะไรเหรอ”  ศาสตราจารย์หนุ่มถามขึ้น  อีกฝ่ายหลบตาลงคล้ายกลัวเขาก่อนจะตอบว่า  “เขาบอกว่าอัลฟ่าที่ออกตัวรับโอเมก้าไปแบบนี้ก็คงจะมีแต่เอาไปทำเรื่องอย่างว่า”

“ไม่จริงหรอก  หน้าฉันดูหื่นกามขนาดนั้นเลยหรือไง”  วิลเลี่ยมยกนิ้วชี้หน้าตัวเอง  ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไงกับประโยคนั้น  แต่ตอนนี้เขาอยากวิ่งตามไปใช้พลังจิตโจมตีคนขับรถนั่นสักป้าบสองป้าบ

วิลเลี่ยมเห็นว่าพวกเขาเริ่มเงียบและบรรยากาศค่อยๆ  อึดอัดขึ้นจึงพยายามหาเรื่องคุย  “นี่  ก่อนอื่นเลยเรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่านะ”

เซ็ธหันกลับมามองเขา  และตั้งใจฟังเงียบๆ  “ตอนนี้งานของฉันคือการทำวิจัยเกี่ยวกับโอเมก้าเพื่อทวงคืนสิทธิ์ให้พวกนาย  แต่เพราะอัลฟ่ากับโอเมก้าแยกกันอยู่เกือบจะชัดเจน  ตอนนี้ฉันเลยค่อนข้างจะลำบากในการศึกษาพฤติกรรม  ก็เลยอยากให้นายมาช่วยหน่อย”

“ช่วย?”

“ช่วยตอบคำถามของฉันก็พอ  จริงๆ  แล้วแค่อยากศึกษาเรื่องทั่วๆ  ไปมากกว่า  ในบ้านหลังนี้นายจะทำอะไรก็ได้ตามใจเลย  หรือถ้าไม่แน่ใจก็ถามฉันก่อนก็ได้”  วิลเลี่ยมอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง  “แล้วฉันจะดูแลในเรื่องต่างๆ  ทั้งเข้าโรงเรียนและการพัฒนาพลังของนาย  รวมทั้งเรื่องทั่วๆ  ไปด้วย  ถ้ามีอะไรก็ถามฉันได้”

“ครับ...”  เด็กหนุ่มก้มหน้าตอบรับเสียงเบา  แล้วความเงียบก็เกิดขึ้น  แม้วิลเลี่ยมจะพยายามชวนคุยเรื่อยๆ  แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเหมือนเขาพูดคนเดียวเห็นได้ชัดว่าเซ็ธยังคงเกร็งอยู่

แต่หากให้กลับไปเด็กหนุ่มก็คงไม่เอา  สถานการณ์ในตอนนี้เซ็ธไม่มีที่ไหนให้กลับไปได้แล้ว

สุดท้ายวิลเลี่ยมเลยยอมแพ้  ฝืนพูดมากไปก็มีแต่จะสร้างความอึดอัดให้เพิ่มขึ้น  เขาเลยลุกขึ้นพาอีกฝ่ายไปที่ห้องนอนที่เตรียมไว้  และพบว่าในกระเป๋าที่เซ็ธนำมานั้นมีแต่อุปกรณ์วาดรูป  ส่วนเสื้อผ้าก็มีแค่ที่สวมใส่อยู่เท่านั้น

“ผม...ไม่มีชุดอื่นแล้ว”  เด็กหนุ่มก้มหน้าสารภาพซึ่งวิลเลี่ยมก็ไม่ได้แปลกใจอะไร  เด็กคนนี้อยู่แต่ในโรงพยาบาล  มีชุดผู้ป่วยให้ใส่จึงไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้ามากนัก

“ไม่เป็นไร  เดี๋ยวเราออกไปซื้อเสื้อผ้ากันนะ”  เขาเอ่ยชวนขึ้น  ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา  เวลาบ่ายสามโมงแล้ว

เพื่อที่จะทำให้เซ็ธเปิดใจมากขึ้น  เขาจำเป็นจะต้องใช้ตัวกลาง  และตอนนี้ก็มีคนคนหนึ่งเหมาะสมพอดี  แต่ค่อนข้างจะได้ตัวมาลำบาก  ก้างขวางคอชิ้นใหญ่คอยกันเขาออกทุกวิถีทาง

--------------เดี๋ยวต่อครึ่งหลังนะคะ---------------------

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 4 ครึ่งหลัง

“เซ็ธ  นายเดินดูในบ้านได้ตามสบายนะแต่อย่าเพิ่งออกไปไหน  เดี๋ยวฉันมา”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินลงมาแต่กว่าที่จะออกไปนั้นเขาก็อดหันไปดูเซ็ธไม่ได้  ตลอดเวลาที่อยู่ในรถนั้นเขากังวลเสมอ  เด็กคนนั้นยังเข้ากับบ้านได้ไม่ค่อยดีคงต้องรีบรับตัวช่วยไปดูแล

วิลเลี่ยมขับมาจนถึงศูนย์รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนแห่งหนึ่ง  ที่แห่งนี้รับดูแลโอเมก้าเด็กที่พ่อแม่ต้องทำงานไม่มีเวลาดูแลช่วงกลางวัน  ตอนนี้เด็กๆ  ทยอยกลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว  และเป้าหมายของเขาก็กำลังยืนส่งเด็กอยู่หน้าประตู
ชายหนุ่มขับรถไปจอดข้างทาง  เมื่อเปิดกระจกรถลงก็เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายหันมามองพอดี  “สวัสดี”

“วิลเลี่ยม?  แปลกใจจังที่เห็นคุณมาแบบนี้”  อีกฝ่ายถามด้วยความสงสัย  ชายหนุ่มคนนี้เป็นโอเมก้าเหมือนกับเซ็ธแต่เป็นผู้ใหญ่กว่า  ปีนี้ก็อายุยี่สิบสี่แล้ว  ใบหน้านั้นชวนให้หลายคนหลงใหลแต่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่วิลเลี่ยมเคยคิดว่าหอมมากตอนนี้จางลงไปแล้ว  ผิดกับรอยกัดที่คอที่ชัดเจนขึ้นอีกแล้ว  แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็มักจะสวมปลอกคอเสมอ

“มีเรื่องให้ช่วยหน่อยพอจะมีเวลาหรือเปล่า  พวกเขายังไม่มารับใช่ไหม”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  อีกฝ่ายจึงตอบกลับพลางยิ้มบางๆ 

“วันนี้เอ็ดติดงานน่ะ  คงกลับเกือบเที่ยงคืน”

“ดีสิ  ขึ้นมาด้วยกันก่อน”  พอได้ยินแบบนั้น  วิลเลี่ยมก็อดโล่งใจไม่ได้รีบชวนอีกฝ่ายทันที  โอเมก้าหนุ่มหัวเราะก่อนจะถามขึ้นว่า  “คุณไม่กลัวเขาหรือไง”

“เขาฆ่าฉันไม่ได้หรอก  ขึ้นมาเร็ว”  วิลเลี่ยมตอบอย่างมั่นใจก่อนจะเร่งเร้าอีกฝ่าย  สุดท้ายโอเมก้าหนุ่มเลยจำยอม  เพราะหน้าที่ส่งเด็กของเขาหมดแล้วจึงขึ้นมานั่งข้างๆ  คนขับ  “ฉันเอาแก้วน้ำนี่ขึ้นมาได้ไหม”

“ได้อยู่แล้ว”  วิลเลี่ยมตอบด้วยรอยยิ้มหลังจากเห็นแก้วพลาสติกลวดลายสวยงามที่ใส่น้ำผลไม้ไว้ในมือของอีกฝ่าย
 
“ฉันเคยเห็นยี่ห้อนี้นี่  เห็นว่าอร่อย”

“จริงเหรอ  ฉันเพิ่งเคยกินครั้งแรก  มีผู้ปกครองซื้อมาฝาก”

“ถ้าเอ็ดรู้เขาต้องให้ขว้างทิ้งแน่ๆ”  วิลเลี่ยมคาดการณ์หากเพื่อนตัวเองเป็นคนมารับโอเมก้าคนนี้เหมือนทุกที

เลนเนอร์  ราล์ฟ  เป็นโอเมก้าไม่กี่คนที่เขาสนิทด้วย  สถานการณ์ที่พวกเขาพบกันค่อนข้างลำบาก  ที่ดินที่สร้างศูนย์รับเลี้ยงเด็กนี้เคยเกือบจะถูกริบคืนไปสร้างห้างสรรพสินค้าโดยเครือข่ายของเอดิสัน  เลนเนอร์เลยต้องวิ่งวุ่นหาเงินมาใช้แทนพ่อแม่ที่เสียไปด้วยทุกวิถีทาง

ช่วงนั้นวิลเลี่ยมเองก็ติดสอยห้อยตามเอดิสันมาสอดส่องโอเมก้าเรื่อยจึงพบว่าทั้งเอดิสันและเลนเนอร์มักจะทะเลาะเรื่องที่ดินกันเป็นประจำ  ฝ่ายหนึ่งก็ดึงดันจะเอาที่ดินไปขาย  อีกฝ่ายก็ไม่ยอมและดิ้นรนหาเงินมาใช้แม้จะรู้ว่ามูลค่าหนี้สินที่พ่อแม่ก่อไว้มันมากมายเท่าไร

เอดิสันเป็นเจ้าหนี้หน้าเลือด  ใครที่รู้เหตุการณ์ช่วงนั้นต่างก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น  ถึงขนาดให้รถบรรทุกขนอุปกรณ์ก่อสร้างมารอแล้วเพราะเชื่อว่ายังไงเลนเนอร์ก็คงไม่มีวันหาเงินมาใช้ได้หมด  วิลเลี่ยมเองก็หาทางคุยกับโอเมก้าคนนี้เพื่อให้การเจรจาจบลงด้วยดี  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจมุ่งมั่นของเลนเนอร์ทลายลงไปเลย

แต่ถึงจะหน้าเลือดยังไง  เอดิสันก็ยังมีความใจดีอยู่บ้าง  เรื่องนี้วิลเลี่ยมสังเกตได้ดีที่สุด  อีกฝ่ายใช้วิธีสันติกับเลนเนอร์ตลอด  ไม่เคยมีการปะทะกันจนเลือดตกยางออกแม้ตอนนั้นอีกฝ่ายจะมีทัศนคติต่อโอเมก้าไม่ต่างจากคนอื่น  จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน  เอดิสันก็รับผิดชอบเต็มที่  ตอนนั้นเองที่วิลเลี่ยมได้รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย

เอดิสันตกหลุมรักเลนเนอร์  เป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะเหลือเชื่อ  วิลเลี่ยมในฐานะเพื่อนสนิทก็ควรจะช่วย  ทว่าตอนนั้นเลนเนอร์เองก็ชอบเขาอยู่เหมือนกัน

กลายเป็นรักสามเศร้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  แต่สุดท้ายจบสวยที่เลนเนอร์รู้ใจตัวเองแล้วว่าที่จริงก็รักเอดิสัน

ความรักของทั้งสองคนเป็นเรื่องที่ปิดซ่อนจากสังคมรอบตัวเอดิสัน  เพราะรู้ดีว่าหากมีใครรู้ในตอนนี้ก็คงไม่ดีทั้งตัวเองและเลนเนอร์

คนที่รู้ความลับนี้มีเพียงลูกน้องคนสนิทไม่กี่คนของเอดิสันกับวิลเลี่ยมเท่านั้น

วิลเลี่ยมนั้นแสนดีอกดีใจกับการที่เพื่อนไร้มนุษย์สัมพันธ์คนนี้จะไม่ขึ้นคานแล้ว  แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าบ้านอีกเลย  แค่พยายามจะขอข้อมูลจากเลนเนอร์ยังเป็นเรื่องยาก  นั่นเป็นเพราะเอดิสันกลัวว่าคนรักของตนยังมีใจให้วิลเลี่ยมอยู่  ประกอบกับไปแต่ละทีก็สร้างความร้าวฉานให้จนเอ็ดอยากจะตัดเพื่อนอยู่รอมร่อ

“โดนัทที่ให้ไปอร่อยไหม”  เขาถามขึ้นขณะขับรถ  เลนเนอร์เหมือนนึกขึ้นได้พอดีจึงรีบบอกขอบคุณ 

“อร่อยมาก  ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไร  ฉันยินดี”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะถามต่อว่า  “แล้วคุณมีธุระอะไรถึงอยากให้ผมไปด้วย”

“จริงๆ  แล้วตอนนี้ที่บ้านฉันมีโอเมก้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่...”  เมื่อเริ่มเกริ่นไป  เลนเนอร์ที่กำลังดูดน้ำผลไม้อยู่ก็มีอันต้องพ่นออกมาทันทีด้วยความตกใจ  อีกฝ่ายรีบควานหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้ตัวเองก่อนจะถามย้ำว่า  “ที่คุณพูดมันจริงเหรอ?”

“ฉันจะโกหกทำไม  แต่เด็กนั่นตอนนี้ยังไม่ชินกับบ้านฉันสักเท่าไรเลยอยากให้นายช่วยหน่อย”  วิลเลี่ยมชี้แจ้งจุดประสงค์ที่ฝ่ากลุ่มบอร์ดี้การ์ดไปลักพาตัวเลนเนอร์มา  อีกฝ่ายเองก็เพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความบอกพวกลูกน้องไปแล้วว่าไม่ต้องกังวล

เลนเนอร์เป็นโอเมก้าก็จริงแต่พ่อแม่ของเขาเป็นเบต้าที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา  พยายามส่งลูกเรียนจนสำเร็จ  เลนเนอร์จึงเป็นโอเมก้าที่แตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน  แม้จะไม่มีพลังจิตเหมือนเซ็ธแต่เจ้าตัวสนใจด้านจิตวิทยาจึงเรียนรู้จนสามารถอ่านความรู้สึกของคนผ่านทางสายตาได้  และมีความถนัดในการเลี้ยงดูส่งสอนเด็กๆ

ฉะนั้นแล้วจึงไม่มีใครเหมาะสมกับการแนะนำเซ็ธไปมากกว่านี้แล้ว

“เขาเป็นเด็กที่น่าทึ่งมาก  ทั้งๆ  ที่เป็นโอเมก้าแต่มีพลังจิตมองเห็นอนาคตได้”  วิลเลี่ยมเล่าให้ฟัง  แน่นอนว่าเลนเนอร์เองก็ไม่ได้เชื่อเสียทีเดียว  แต่พอฟังที่เขาอธิบายก็อดสนใจไม่ได้

วิลเลี่ยมรีบขับกลับไปที่บ้านตัวเอง  เมื่อถึงที่หมายก็พบว่าเซ็ธนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกเหมือนเดิมและกำลังวาดรูปอยู่

“เซ็ธ  ฉันกลับมาแล้ว”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะก้าวเข้าไป  เด็กหนุ่มจึงหยุดมือที่กำลังวาดอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมา  สายตาเหลือบไปมองเลนเนอร์ด้วยความสงสัย

“เซ็ธ  ทางนี้คือเลนเนอร์  เขาเป็นโอเมก้าเหมือนกับเธอ”  เมื่อเห็นว่าเด็กที่นั่งอยู่หันมามองแล้ววิลเลี่ยมก็เริ่มแนะนำตัว  “เลนเนอร์  เด็กคนนี้คือเซ็ธที่ฉันเล่าให้ฟัง”

“เขาดูเด็กกว่าที่ผมคิด”  เลนเนอร์ออกความเห็นแล้วมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ  ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ  “น่าเป็นห่วงจริงๆ”

“สายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงกัน?”

คำถามนั้นของวิลเลี่ยมไม่ได้รับการตอบรับ  เลนเนอร์เดินเข้าไปใกล้เซ็ธแล้วลองยื่นมือไปหา  “สวัสดี  ฉันเลนเนอร์  เธอคือเซ็ธใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าให้  ก่อนจะยื่นมือมาจับช้าๆ

“ขอฉันคุยด้วยได้ไหม”  เลนเนอร์เอ่ยถาม  ก่อนจะนั่งลงข้างๆ  เด็กหนุ่ม  วิลเลี่ยมเองพอเห็นแบบนั้นก็นั่งเก้าอี้มองดูทั้งสองคน 
เลนเนอร์ทำตามที่เขารบกวน  อีกฝ่ายช่วยคุยกับเซ็ธให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง  เพราะเป็นโอเมก้าเหมือนกันและมีบรรยากาศเป็นผู้ใหญ่กว่าเลยทำให้เด็กหนุ่มไว้วางใจ  ถึงจะพูดน้อยแต่ก็มากกว่าที่คุยกับวิลเลี่ยมเมื่อครู่จนตัวเขาแอบเศร้าใจ

“เธอคงลำบากมามากสินะ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นด้วยความสงสารหลังจากเห็นแผลที่ข้อมือของเซ็ธและได้ฟังเรื่องราวบางส่วน  “ไม่ต้องกังวลนะ  วิลเลี่ยมเองก็เป็นคนที่ดี  เขาจะดูแลเธออย่างเต็มที่แน่นอน”

“แต่...อัลฟ่ากับ...โอเมก้า” 

“ไม่ต้องห่วงหรอก  ฉันเองก็อยู่กับอัลฟ่า  มันไม่ได้แย่อะไรเลย”  เลนเนอร์ตอบทำให้ความกังวลของเซ็ธคลายลงบ้าง

“อ๊ะ  จริงสิ  เซ็ธยังไม่มีเสื้อผ้ากับพวกของใช้นี่นา  เลนเนอร์นายพอจะรู้จักตลาดดีๆ  บ้างไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้น

“มีสิ  ห่างจากโรงเรียนไปสองร้อยเมตร”  เลนเนอร์ตอบทำให้วิลเลี่ยมรีบลุกขึ้นทันที 

“งั้นไปซื้อของก่อนไหม  นะ  เซ็ธ”

เมื่อถูกหันมาหาคล้ายขอความคิดเห็นเซ็ธก็ได้แต่พยักหน้าโดยดี  วิลเลี่ยมพาทั้งสองคนขึ้นรถออกไปอีกครั้ง  เมื่อเห็นตลาดอยู่ไม่ไกล  เลนเนอร์ก็สั่งให้จอดรถแล้วหันไปชักชวนเซ็ธให้ลง

“คุณไม่ต้องลง”  เลนเนอร์หันมาบอกเขาเล่นเอาคนที่เตรียมจะลงชักสีหน้าเหวอแล้วชี้หน้าตัวเองถามขึ้นว่า  “ฉันน่ะนะ?”

“อัลฟ่าไปเดินในที่ที่มีโอเมก้าอยู่เยอะมันเป็นเรื่องไม่ควรเท่าไรน่ะ”  เลนเนอร์หันมาตอบวิลเลี่ยมก่อนจะย้ำว่า  “ทิ้งเงินไว้ให้ก็พอแล้วรออยู่ตรงนี้แหละ”

วิลเลี่ยมอยากคร่ำครวญออกมาแต่ก็แอบเห็นด้วยกับเลนเนอร์  จึงจำใจมอบกระเป๋าเงินไปให้แล้วรออยู่เฉยๆ  ทั้งที่อยากไปเดินซื้อของสร้างความสัมพันธ์กับเซ็ธแท้ๆ

สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่นั่งมองคนสองคนเดินไปซื้อของและนั่งรอเกือบหนึ่งชั่วโมง

เมื่อเห็นเลนเนอร์กับเซ็ธเดินกลับมา  วิลเลี่ยมก็ดีดตัวขึ้นจากม้านั่งตรงเข้ามาถามทันที  “เป็นยังไงบ้าง”

“คิดว่าได้ของที่จำเป็นครบแล้ว  นี่เงินที่เหลือ”  เลนเนอร์ตอบขณะยื่นกระเป๋าเงินคืน  วิลเลี่ยมรับมาก่อนจะหันไปถามเซ็ธ
 
“เป็นยังไงบ้าง  สนุกไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ  ก่อนที่จะยื่นกล่องใบหนึ่งมาให้  “นี่ครับ”

“เอ๊ะ?”  วิลเลี่ยมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ  แต่ก็รับกล่องเค้กที่ถูกยื่นมาให้โดยดีแล้วมองหน้าเซ็ธ  อีกฝ่ายอ้ำอึ้งอยู่สักพักก่อนจะบอกว่า  “ขะ...ของฝาก”

“ของฝาก...ซื้อมาให้ฉันงั้นเหรอ  ขอบคุณมากนะ  ดีใจสุดๆ  เลย”  เมื่อประมวลผลในสมองเสร็จ  วิลเลี่ยมก็ห้ามอาการดีใจไม่อยู่  สวมกอดเด็กหนุ่มไปทีหนึ่งแทนคำขอบคุณก่อนที่จะพากันขึ้นรถกลับบ้าน

เลนเนอร์ขอให้ไปส่งที่บ้านเพราะเริ่มเย็นมากแล้ว  วิลเลี่ยมเลยพาไปทันที  พวกเขาล่ำลากับโอเมก้าหนุ่มเสร็จก็ขับกลับบ้าน
มื้อเย็นวันนั้นวิลเลี่ยมตั้งใจทำอาหารสุดฝีมือเป็นการเลี้ยงฉลองการมาอยู่บ้านของเซ็ธ  เด็กหนุ่มยังคงดูเกร็งๆ  อยู่บ้างแต่ก็เริ่มปรับตัวได้เยอะ  เขาพยายามชวนคุยเรื่อยๆ  แต่เพราะต้องทำงานเลยทำให้เวลาช่วงกลางคืนก็ปล่อยให้เซ็ธดูโทรทัศน์บ้าง  แต่ส่วนใหญ่เด็กหนุ่มจะจดจ่อกับการวาดรูปมากกว่า

พวกเขาอยู่ในห้องรับแขกคนหนึ่งพิมพ์งาน  อีกคนวาดรูป  ส่วนโทรทัศน์ก็เหมือนเปิดไว้กลบความเงียบ  วิลเลี่ยมเหลือบไปมองเด็กหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง  ช่วงสามทุ่มกว่านั้นเขาเห็นเซ็ธนั่งหาวอยู่เลยบอกให้ไปอาบน้ำและเข้าห้องนอนที่ชั้นสอง

“วันนี้ใส่ชุดฉันไปก่อนแล้วกันนะ”  วิลเลี่ยมบอกขณะหยิบเสื้อที่รีดไว้เรียบร้อยแล้วออกมาให้เซ็ธ  เด็กหนุ่มรับไปก่อนจะกล่าวขอบคุณ 

“ขอบคุณครับ”

“นี่ผ้าเช็ดตัวนะ”  วิลเลี่ยมส่งผ้าขนหนูสีขาวให้อีกผืน  เด็กหนุ่มรับไว้แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ  วิลเลี่ยมรออยู่หน้าห้องราวเจ็ดนาทีอีกฝ่ายก็ออกมาด้วยท่าทีงุนงง  “คุณจะใช้ห้องน้ำต่อหรือ?”

“เปล่าหรอก  แค่กลัวว่าเธอจะไม่ชินกับการใช้ชีวิตข้างนอกเลยมาเฝ้าก่อนน่ะ”  วิลเลี่ยมตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะชวนให้อีกฝ่ายเข้าไปในห้องนอน  “นี่ก็ดึกแล้ว  นอนเถอะ”

“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะเปิดประตูห้องของตัวเองเข้าไป  เมื่อคิดว่าเรียบร้อยแล้ววิลเลี่ยมก็เตรียมจะเดินลงไปข้างล่าง

“วิลเลี่ยม...”  แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก  เมื่อหันมาก็เห็นเซ็ธยังยืนอยู่ที่หน้าประตู  เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกมาว่า  “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

วิลเลี่ยมอึ้งไปสักพัก  แม้นี่จะไม่ได้อยู่ในความคาดหวังแต่ได้รับการทักทายก่อนนอนแบบนี้ก็ควรถือว่าความสนิทของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาบ้าง  ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นก่อนจะกล่าวกลับไปว่า  “ราตรีสวัสดิ์  ฝันดีนะ”

เซ็ธพยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง  วิลเลี่ยมเองก็ยืนอยู่ที่ทางเดินสักพักแล้วเดินลงไป  มือหนึ่งยกขึ้นปิดหน้าที่เลือดขึ้นมาสูบฉีดมากกว่าปกติจนสังเกตเห็นได้แล้วสูดหายใจลึก  “อ้า  แบบนี้มันเกินกว่าที่คิดจริงๆ  ด้วย”

ชายหนุ่มพึมพำขึ้น  เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมอีกครั้งก่อนจะย้ำเตือนตัวเองว่า  “ไม่ได้  แบบนี้ไม่ได้”

ค่ำคืนนั้น  กลายเป็นคืนที่นอนไม่หลับและเขียนงานไม่ออกของวิลเลี่ยมไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 5
เริ่มต้นอยู่ด้วยกัน

เขานอนไปกี่ชั่วโมง...

วิลเลี่ยมลุกขึ้นจากเก้าอี้มองนาฬิกาแล้วถอนหายใจออกมา

หนึ่งชั่วโมง...ไม่สิ  สามสิบนาที  เป็นเวลาที่เขาเผลอฟุบหลับลงบนโต๊ะ  บนหน้าคอมพิวเตอร์ตัวโปรดแสดงหน้าเวิร์ดซึ่งมีบรรทัดเพิ่มขึ้นมาเพียงบรรทัดเดียวจากเมื่อวานก่อน

วิลเลี่ยมทอดถอนหายใจอีกครั้ง  ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดอื่นๆ  ออกไปแล้วเดินออกจากห้อง  เข้าห้องน้ำล้างหน้าแล้วเดินเช็ดหน้าออกมา  สายตาที่ก้มมองอยู่พลันเห็นขาของใครบางคนอยู่ด้านหน้าจึงรีบตวัดสายตาขึ้น

“...อรุณสวัสดิ์ครับ”  ฝ่ายนั้นตกใจที่เห็นวิลเลี่ยมรีบเงยหน้าขึ้นมา  แต่ก็ตัดสินใจทักทายในที่สุดแม้จะยังกล้าๆ  กลัวๆ  เพราะยังเบลอกับอาการนอนไม่เต็มที่ของตัวเอง  วิลเลี่ยมจึงอึ้งกินไปพักหนึ่ง

เซ็ธเห็นดังนั้นก็ยิ่งลนลาน  คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด  จนกระทั่งวิลเลี่ยมนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเขาเพิ่งรับเด็กหนุ่มคนนี้มาดูแลก็เลยรีบยิ้มออกมา  ทักทายอย่างสดใสว่า  “อรุณสวัสดิ์  ตื่นนานหรือยัง?”

“สักพักหนึ่งแล้วครับ”  เซ็ธตอบเสียงเรียบก่อนจะเงียบไป  เสื้อผ้าที่เด็กหนุ่มสวมอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ชุดเดิมที่เขาให้ใส่นอน  คาดว่าคงอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดที่ซื้อมาเมื่อวานแล้ว

“หิวไหม  ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนก็ได้  เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นก่อนจะนำอีกฝ่ายไปที่ส่วนครัว  เซ็ธเดินไปนั่งเก้าอี้ตามคำสั่ง  ส่วนชายหนุ่มก็เดินไปทำอาหาร  เพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่เมนูที่ทำจึงเป็นแบบง่ายๆ  ขนมปัง  ไข่ดาว  และไส้กรอกแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก  วิลเลี่ยมแค่เพิ่มรูปแบบให้ไข่ดาวด้วยการใช้แม่พิมพ์รูปดาวตอนทอด

แม้จะเป็นเมนูธรรมดา  แต่เซ็ธคงไม่เคยเห็นไข่ดาวเป็นรูปดาวเลยตาเป็นประกายขึ้นมา  ในส่วนนี้วิลเลี่ยมใช้ความพยายามอย่างมากที่จะดูสีหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มออก

“เมื่อคืนหลับสบายไหม”  ชายหนุ่มถามขึ้นระหว่างมื้ออาหาร  เด็กหนุ่มเพียงตอบสั้นๆ  ว่า  “ครับ”

แต่แค่นั้นก็ทำให้วิลเลี่ยมใจชื้นขึ้นมาบ้าง  “ดีแล้ว  ฉันกังวลว่าเธอจะนอนหลับได้หรือเปล่า  เตียงนุ่มไหม  ไม่หนาวไปใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้ากับพูดครับเป็นคำตอบทุกอย่างที่เขาถาม  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเกรงใจหรือเปล่า  แต่การได้คุยกันแบบนี้ทำให้วิลเลี่ยมสบายใจขึ้นบ้าง

“ถ้ามีปัญหาก็บอกฉันได้เลยนะ”

“ครับ...”  เซ็ธพยักหน้าแทนคำตอบให้กับสิ่งที่วิลเลี่ยมเสนอขึ้นก่อนที่จะบอกอะไรบางอย่าง  “เมื่อคืนคุณลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะห้องรับแขกใช่ไหมครับ”

“อ้อ  ใช่  จะว่าไปก็เพิ่งนึกได้นี่เอง”

“เมื่อกี้ผมเห็นชื่อคุณเอดิสันขึ้นมา  แต่ผมไม่กล้าแตะมัน...”  เซ็ธเอ่ยขึ้นทำให้วิลเลี่ยมที่กำลังเคี้ยวอาหารคำสุดท้ายรีบกลืนลงไปแล้วลุกพรวดไปหยิบโทรศัพท์มา  เป็นจังหวะเดียวกันที่มีสายโทรเข้าพอดี

ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เซ็ธก่อนจะกลั้นใจกดรับสายในที่สุด

“ไอ้เจ้าบ้า!!!”  เป็นคำแรกที่อีกฝ่ายตะโกนมา  แม้แต่เซ็ธที่นั่งห่างออกไปยังได้ยินนับประสาอะไรกับเขาที่กำลังยกขึ้นแนบหูจะไม่รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมา

“มีอะไรถึงโทรมาแต่เช้ากัน”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามไปด้วยความสงสัย  ธุระอะไรที่ทำให้เอดิสันต้องโทรมาเช้าขนาดนี้

“ฉันโทรหาแกเป็นสิบๆ  สายทำไมไม่รับ  รู้ไหมว่าเวลาของฉันเป็นเงินเป็นทองมากแค่ไหน”  อีกฝ่ายกรอกน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดผ่านสัญญาณมา  ทีแรกวิลเลี่ยมคิดว่าจะโทรมาด่าเรื่องที่แอบพาเลนเนอร์มาไม่บอกไม่กล่าว

แต่ครั้งนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องนั้น

วิลเลี่ยมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดของเอดิสันตามมาด้วยเสียงเลขาสาวที่แทรกขึ้นเสียงสั่น  ประมาณว่าจะไม่ทันการประชุม  เพื่อนของเขาจึงตัดบทว่า

“เย็นนี้ว่างไหม”  อีกฝ่ายถามขึ้น  วิลเลี่ยมเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบไปตามความจริง  “ว่างสิ”

“ไปตีเทนนิสกัน” คำชวนนั้นเรียบง่าย  เขาหันไปมองเซ็ธที่เริ่มเก็บจานให้เรียบร้อยก่อนจะตอบตกลง  “ได้สิ  ห้าโมงเย็นเจอกัน”

“ได้”  เอดิสันตอบกลับสั้นๆ  ก่อนจะวางสายไป  วิลเลี่ยมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินมาหาเด็กหนุ่มที่กำลังยืนงงอยู่หน้าอ่างล้างจาน

“ให้ช่วยไหม”  วิลเลี่ยมเสนอตัว  แต่เด็กหนุ่มกลับเงียบแล้วหยิบขวดน้ำยาล้างจานมาถาม  “นี่เอาไว้ล้างพวกจานชามใช่ไหมครับ”

“ใช่  จะลองล้างจานดูเหรอ?  ลองดูก็ได้นะ”  เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนอยากล้างจาน  เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหยิบขวดน้ำยานั้นบีบใส่ฟองน้ำที่ถืออยู่อีกข้างแล้วลองหยิบจานใบหนึ่งมาล้างดู

การล้างจานเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน  แต่คนที่อยู่โรงพยาบาลมาตลอดปีคงเป็นเรื่องแปลกใหม่ทีเดียว  วิลเลี่ยมเองเห็นแบบนั้นก็อดลุ้นไม่ได้แต่เซ็ธเองก็ทำได้ดีกว่าที่คิด  ดูจากท่าทางแล้วคงจำจากตัวเขามา

“เซ็ธ  เย็นนี้ฉันจะไปออกกำลังกาย  ไปด้วยกันไหม?”  เขาลองเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเก็บจานเรียบร้อยแล้ว  เซ็ธเลยถามขึ้นด้วยความสงสัย  “ไปได้เหรอครับ?”

อีกฝ่ายเป็นโอเมก้า  ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ถูกจำกัดสิทธิ์หลายอย่างทางสังคม  กล่าวคือมักจะถูกเหยียดหยามจากบรรดาอัลฟ่าและเบต้า  หลายสถานที่ก็มีการตั้งกฎชัดเจนว่าไม่ให้โอเมก้าเข้า

“เข้าได้สิ  ฉันว่าเอดิสันคงพาไปในที่ที่ไม่มีกฎอะไรผูกมัดมากหรอก  เขาไม่ชอบอะไรยุ่งยากน่ะ”  วิลเลี่ยมตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะชวนอีกฝ่ายเดินไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น  เมื่อเห็นเซ็ธมีความสนใจหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะก็เลยถามขึ้นว่า  “อ่านหนังสือได้ใช่ไหม”

เท่าที่วิลเลี่ยมรู้จักมา  โอเมก้าส่วนใหญ่ยังอ่านหนังสือไม่ออก  มีเพียงส่วนน้อยที่จะโชคดีได้เรียนหนังสือบ้าง  แต่หลายคนมักจะเรียนไม่จบด้วยปัญหาหลายๆ  อย่าง

“ผมเคยเรียนมาบ้าง  ถึงเกรดห้า”  เด็กหนุ่มไม่พูดต่อจากนั้น  แต่จากสีหน้าและการเหลือบมองบาดแผลที่ข้อมือของตัวเองนั้นก็ทำให้วิลเลี่ยมพอเดาอะไรได้บ้าง  เขายังไม่ถามเรื่องราวความหลังของเด็กคนนี้เพราะมันเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เซ็ธมีปัญหาสุขภาพจิตจนต้องเข้าโรงพยาบาล  ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากรื้อฟื้นมัน

“งั้นก็แสดงว่านายอ่านหนังสือออกใช่ไหม”  เขาตั้งคำถาม  เด็กหนุ่มก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ  วิลเลี่ยมจึงได้ถามอีกว่า  “แล้วชอบอ่านหนังสือไหม”

“ครับ”  คำตอบนั้นทำให้วิลเลี่ยมยิ้ม  และลุกขึ้นพาอีกฝ่ายเดินไปยังห้องสมุดของตัวเองทันที  “เลือกอ่านเอาจากในนี้ได้เลยนะ  มีเก้าอี้ให้นั่งอ่านอยู่”

เด็กหนุ่มยืนจ้องอยู่สักพัก  ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจว่า  “ผมอ่านได้หรือครับ?”

“ได้สิ  ทำไมจะไม่ได้”  วิลเลี่ยมรีบตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่จะพาเข้าไปข้างใน  กางโต๊ะตัวเล็กออก  แล้วหยิบเบาะรองมาให้เซ็ธนั่งพร้อมบอกเสริมว่า  “จะวาดรูปในนี้ก็ได้นะ”

“ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มยังมีอาการเกร็งอยู่  แม้วิลเลี่ยมจะทำตัวเป็นมิตรมากแค่ไหน  ดูเหมือนว่าจะยังไม่ค่อยเข้ากันดีเสียเท่าไร  แต่เซ็ธก็ไม่ได้เกลียดเขาและไม่ได้กลัวในฐานะอัลฟ่าด้วย

วิลเลี่ยมปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ในห้องนั้น  ส่วนตัวเองก็เดินไปเอาอุปกรณ์วาดภาพของเด็กหนุ่มและโน้ตบุ๊คของตนมานั่งทำงานด้วยในห้อง

ช่วงแรกนั้นเซ็ธออกอาการเกร็งอยู่บ้าง  แต่พอได้จับหนังสืออ่านก็เข้าโลกส่วนตัวไป  วิลเลี่ยมเห็นอีกฝ่ายตั้งใจอ่านขนาดนั้นก็ไม่อยากกวนอะไร  จริงๆ  แล้วตัวเขาก็กังวลมากกว่าว่าหนังสือที่อยู่ที่นี่เซ็ธจะอ่านรู้เรื่องไหมเพราะส่วนใหญ่เต็มไปด้วยหนังสือวิทยาศาสตร์  ทฤษฎี  ปรัชญา  และประวัติศาสตร์  ทั้งแบบเข้าใจง่ายและแบบเจาะลึก

แต่พอเห็นอีกฝ่ายตั้งใจอ่านแบบนั้นก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา  ขณะที่พิมพ์งานวิจัยไปส่วนหนึ่งวิลเลี่ยมก็ตัดสินใจโน้ตให้ตัวเองด้วยว่าจะซื้อหนังสือเรียนสำหรับเด็กวัยมัธยมมาไว้ด้วย

นอกจากนั้นถ้าอ่านหนังสือจบเล่มหนึ่งแล้วเซ็ธก็หันไปวาดภาพ  วิลเลี่ยมเห็นว่าอีกฝ่ายชอบวาดรูปด้วยก็เลยโน้ตเพิ่มว่าพวกหนังสือศาสตร์ศิลป์ก็สำคัญ

เขาหันกลับไปทำงานต่อ  จนถึงกระทั่งตอนเที่ยงจึงรองถามขึ้นว่า  “เซ็ธ  กินพิซซ่าไหม”

“ครับ?”  เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากสมุดวาดภาพ  ลังเลอยู่พักหนึ่งจึงตอบว่า  “ตามใจคุณเถอะครับ”

“ถ้างั้นลองกินพิซซ่านะ”  วิลเลี่ยมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหยิบโบรชัวร์พิซซ่าที่เคยได้รับมาเมื่อสองวันก่อนดูเมนูแล้วโทรสั่ง  รอสักพักพิซซ่าก็มาส่งในเวลารวดเร็ว

เขานำของที่สั่งมาวางไว้ในห้องสมุด  เห็นแก้วน้ำอัดลมที่แถมมาด้วยก็เลยนึกขึ้นได้จึงชักถามอาการเซ็ธว่าเคยมีอาการปวดท้องเพราะน้ำอัดลมไหม  แต่เซ็ธนั้นถึงแม้จะอยู่โรงพยาบาลมาปีหนึ่งก็เคยดื่มมาแล้วจึงไม่มีปัญหา

พิซซ่าที่เขาสั่งมาเป็นหน้าฮาวายเอี้ยนขนาดกลาง  ในชุดมีไก่ทอดสี่ชิ้นและน้ำอัดลมให้ด้วย  ขณะที่วิลเลี่ยมกินไปได้สองชิ้น  เซ็ธก็เพิ่งกินหมดไปหหนึ่งชิ้นแล้วมีท่าทีว่าจะอิ่มแล้ว

“ลองไก่ทอดไหม”  เขาเสนอเพราะคิดว่าเซ็ธคงเกรงใจจนทานอะไรไม่ค่อยได้  เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วหยิบไก่ไปกินสองชิ้นแล้วบอกว่าอิ่มจริงๆ  ส่วนที่เหลือนั้นวิลเลี่ยมก็จัดการหมด

“สงสัยเย็นนี้ต้องเผาผลาญไขมันจริงจังเสียหน่อย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นแกมติดตลกพลางตบท้องตัวเองเบาๆ  เซ็ธอาสาเก็บกล่องไปทิ้งโดยได้รับคำแนะนำจากเจ้าของบ้านว่าควรไปทิ้งตรงไหน  เมื่อเด็กหนุ่มเดินออกไปนอกห้องแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจัดที่จัดทางแล้วไปทำงานต่อ

เซ็ธเดินกลับมาในห้องก็ได้แต่นั่งอ่านหนังสือกับวาดรูปสลับกัน  เพราะวันนี้ไม่ได้เจอใครเลย  พลังของเขาจึงไม่ได้แสดงออกมา
ช่วงบ่ายพวกเขาก็ขลุกอยู่แต่ในห้องสมุด  จนกระทั่งถึงเวลาสี่โมงเย็นวิลเลี่ยมจึงได้ลุกขึ้นอีกครั้งบอกให้เซ็ธไปอาบน้ำก่อน “เซ็ธ ใกล้ได้เวลาแล้วนะ  ไปอาบน้ำเตรียมตัวก่อนเลย”

“คุณล่ะ?”  อีกฝ่ายถามด้วยความสงสัย  แต่วิลเลี่ยมก็ยกยิ้มแล้วบอกว่า 

“ฉันจะจัดการอะไรอีกนิดหน่อย กว่าจะเสร็จนายก็คงอาบน้ำเรียบร้อยพอดี”

“ครับ”  เซ็ธพยักหน้าแล้วเดินออกไป  ส่วนวิลเลี่ยมก็เก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อยแล้วขึ้นไปเตรียมชุดกับอุปกรณ์กีฬาบนห้อง  กระทั่งเรียบร้อยแล้วจึงเดินมารอหน้าห้องน้ำ  เมื่อเซ็ธออกมาจากห้องน้ำย่อมเห็นเขาและมีอาการตกใจเล็กน้อยเป็นธรรมดา
วิลเลี่ยมยิ้มให้เด็กหนุ่ม  เซ็ธอยู่ในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ  นุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียว  กลิ่นสบู่ยังคลุ้งเจือผสมกับกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกโอเมก้าทำให้ชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เพื่อบอกบางอย่าง

“เอ่อ...งั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”

“อะ...อ้า  แล้วลงไปรอข้างล่างนะ  เดี๋ยวฉันอาบน้ำเสร็จจะรีบลงไป”  วิลเลี่ยมบอกหลังจากตั้งสติได้ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ  มีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่พอช่วยให้จิตใจเขาสงบลงได้บ้าง

วิลเลี่ยมเดินลงมาข้างล่างหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมกับถืออุปกรณ์กีฬามา  คว้ากุญแจรถพาเซ็ธขับออกไป  มีข้อความที่เอดิสันส่งมาบอกว่าถึงแล้วก่อนที่รถจะออกพอดี

“ไว้เล่นเสร็จแล้วเราไปหาอะไรกินกันไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้นขณะขับรถไปสนามกีฬาเป็นการหาเรื่องคุยกับอีกฝ่าย  เซ็ธพยักหน้าเป็นคำตอบแต่ไม่ได้บอกว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษ  เขาเลยตั้งเป้าว่าจะพาไปหาร้านนั่งกินข้างนอก

วิลเลี่ยมขับรถมาจอดบริเวณลานจอดรถของสนามกีฬาก่อนจะพาเซ็ธเดินไปยังสนามเทนนิสโดยโทรถามเอดิสันก่อน  เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาอย่างรู้สึกกดดันจากสายตาที่มองมาทั้งหลาย

“โอ๊ะ  มากันสองคนเหรอ?”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นเมื่อถึงสนามเทนนิส  ตรงหน้าเขามีเอดิสันและเลนเนอร์ยืนรออยู่  คนแรกอยู่ในชุดกีฬาส่วนโอเมก้าหนุ่มนั้นแต่งชุดลำลองส่งยิ้มอ่อนโยนให้พวกเขาแล้วทักทายอย่างเป็นมิตร

“สวัสดี”

“สวัสดีครับ”  เซ็ธทักทายขึ้นอย่างนอบน้อม  ก่อนที่จะชะงักเพราะเอดิสันจ้องเขม็งมาที่เขา  เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายก้าวขายาวๆ  เข้ามาใกล้แล้วมองเขาสลับกับคนข้างๆ

“ไม่เอาน่า  เอดิสัน”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นเสียงเบาก่อนที่จะยื่นมือมาโอบไหล่เซ็ธไว้และพาเดินออกไปนอกสนาม  “พวกคุณจะเล่นกีฬากันไม่ใช่หรือไง  ไม่รีบเริ่มเดี๋ยวก็มีคนมาแย่งใช้สนามหรอก”

“นั่นสินะ”  วิลเลี่ยมพยักหน้าเห็นด้วย  ก่อนที่จะนำอุปกรณ์ออกมาจากกระเป๋า  เลนเนอร์พาเซ็ธไปที่ม้านั่งข้างสนามพร้อมกระเป๋าที่ได้รับฝากมา

ในสนามเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน  ไม่ต้องพูดให้มากความวิลเลี่ยมก็ถามขึ้นทันทีขณะที่อีกฝ่ายเตรียมหยิบลูกเทนนิสขึ้นมาว่า  “มีอะไรจะพูดเหรอ”

“มีน่ะสิ  ถึงเรียกมาแบบนี้”  เอดิสันโยนลูกขึ้นสูงก่อนที่จะกระชับไม้ออกแรงตบลูกสุดแรงแล้วเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห
 
“ใครใช้ให้แกรับเขามาเลี้ยงโดยไม่บอกกล่าวฉัน!”

“หา!?”  วิลเลี่ยมออกวิ่งไปรับลูก  แรงส่งของอีกฝ่ายนั้นทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะงัดแรงตีโต้กลับไป  “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย  เป็นแม่ฉันหรือไง?”

“ฉันเป็นคนให้ทุนแกว้อย!”  เอดิสันตะคอกขึ้นขณะที่ไม้สัมผัสกับลูกและโต้กลับไป  “คิดจะทำอะไรปรึกษาฉันด้วยสิวะ  แกรู้ไหมว่าการรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงมันมีภาระมากมายขนาดไหน”

“ก็ต้องรู้สิ  แล้วคิดว่าฉันไม่เตรียมพร้อมอะไรหรือไง  นี่ฉันก็พยายามดูแลเขาให้ดีที่สุดไง”  วิลเลี่ยมเถียงกลับขณะวิ่งไปหวดลูกกลับไป  คนสองคนตีโต้กันไปมาขณะที่เถียงกันไม่หยุดหย่อนคล้ายกับว่าจะปาไม้ใส่กันได้ทุกเมื่อ

“ถ้าเตรียมพร้อมจริงแล้วทำไมเมื่อวานถึงยังมาพาเลนเนอร์ไปล่ะฮะ!  อย่ามาโกหกหน่อยเลย  แกตัดสินใจปุบปับไปแล้ว!”  เอดิสันโวยวายกลับมาด้วยความโกรธ  คำพูดที่เป็นความจริงนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก

“ก็มันฉุกเฉินนี่นา  นายก็เห็นว่าที่นั่นไม่ปลอดภัยสำหรับเขา”  ชายหนุ่มแก้ต่างแต่เอดิสันก็ยังไม่ยอมเชื่อใจและดูออกว่าการมาอยู่ของเซ็ธนั้นไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวแต่แรก 

“แต่แกจะบังคับเขามาแบบนี้ไม่ได้!”

“แต่ตอนนี้ฉันกับเซ็ธเข้ากันดีม๊ากมาก  ไม่เชื่อถามเขาดูสิ!  เนอะเซ็ธ...อ้าว”  วิลเลี่ยมกล้าเอ่ยออกไปอย่างมั่นใจก่อนจะหันไปยังม้านั่งเพื่อขอคำยืนยันแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เลย

ลูกเทนนิสกลิ้งตกลงบนพื้นเพราะไม่มีใครคิดจะตีมันต่อ  ทั้งวิลเลี่ยมและเอดิสันต่างมองหน้ากันพร้อมคำถามที่ว่าคนที่เขาพามาด้วยทั้งสองคนหายไปไหน  ในที่ที่เต็มไปด้วยอัลฟ่าและเบต้าแบบนี้

โดยไม่รอช้า  พวกเขารีบออกวิ่งไปค้นหาทันที

...
จบครึ่งแรก

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 5 ครึ่งหลัง

“ออกมาโดยไม่บอกแบบนี้จะดีหรือครับ”  เซ็ธถามขึ้นด้วยความสงสัย  เพราะไม่ได้เตรียมน้ำมา  เลนเนอร์จึงชวนเขามาซื้อที่ตู้กดน้ำอัตโนมัติโดยที่ไม่ได้บอกทั้งสองคน  ชายหนุ่มที่ก้มลงหยิบน้ำขวดจากช่องรับของเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกว่า  “ไม่เป็นไรหรอก  สองคนนั้นทะเลาะกันแบบนั้นแล้วไม่ค่อยฟังรอบข้างน่ะ  เรารีบซื้อแล้วรีบกลับไปจะดีกว่า”

“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ  แล้วช่วยอีกฝ่ายถือขวดน้ำบ้าง  ทั้งๆ  ที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน  แต่เซ็ธรู้สึกคุ้นชินกับเลนเนอร์มากกว่าและไว้วางใจได้  อาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่เป็นโอเมก้าเหมือนกัน  และอีกฝ่ายก็มีบรรยากาศของผู้ใหญ่ที่น่าพึ่งพา
เขาไม่กล้าเปรียบเทียบระหว่างวิลเลี่ยมกับเลนเนอร์  ทั้งคู่นั้นดูพึ่งพาได้และเจตนาดี  แต่ในเรื่องความไว้วางใจของเขานั้น  เอนเอียงไปทางเลนเนอร์มากกว่า

“อยู่กับวิลเลี่ยมเป็นยังไงบ้าง  ลำบากใจไหม?”  ชายหนุ่มถามขึ้นแล้วจ้องมาที่ดวงตาของเขา  เซ็ธรีบหลบตาเพราะกลัวพลังของตัวเองจะสำแดงฤทธิ์ออกมา  แต่ก็ตอบไปว่า  “ก็...นิดหน่อยครับ  แต่เขาเป็นคนดี”

“จะโดนความใจดีนำพาไปแบบนั้นเฉยๆ  ไม่ได้หรอกนะ”

“เอ๊ะ?”  เด็กหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความสับสน  ตอนนั้นเองที่เขากล้าสบตากับอีกฝ่าย  เลนเนอร์มองคนที่อายุน้อยกว่าตรงหน้าด้วยดวงตาแฝงไปด้วยความรู้สึกหลายๆ  อย่าง  มือขวายกขึ้นสัมผัสแก้มเด็กหนุ่มแล้วพูดเสริมว่า  “ยังไงเขาก็เป็นอัลฟ่า  สังคมนี้อัลฟ่าคือจ่าฝูง  เป็นสัตว์ร้ายสำหรับพวกเรา  อย่าลืมเสียล่ะ”

สำหรับเลนเนอร์  เด็กคนนี้ยังบริสุทธิ์  ตราโอเมก้าที่อยู่หลังคอนั้นยังไม่ถูกใครตีตราจองไว้  แม้กลิ่นหอมหวานนั้นจะยังไม่มาก  แต่เมื่อโตขึ้นมากกว่านี้มันก็คงเริ่มรุนแรงขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง  เชิญชวนให้พวกสัตว์ร้ายนั้นเข้ามาใกล้

กลิ่นหอมหวานอันรุนแรงที่เป็นดั่งมนต์สะกดของโอเมก้าจะเชิญชวนพวกอัลฟ่าให้เข้ามา  ตีตราจับจองเป็นเจ้าของราวกับสินค้าทั่วๆ  ไป  แม้ว่าโอเมก้าจะไม่เต็มใจสักแค่ไหน  แต่ร่างกายนั้นก็ยังต้องการใครสักคนให้เข้ามาสยบกลิ่นหอมเย้ายวนนั้น
เซ็ธเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ  ทิ้งขวดนำทั้งหมดที่ตนถือเข้าไปผลักเลนเนอร์ให้ออกจากระยะ  ตรงจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่เมื่อครู่มีวัตถุหนึ่งลอยผ่านไปด้วยความเร็วพอตัว  เกิดเสียงดังเพล้ง!  ขึ้นที่กระจกตู้ขายน้ำอัตโนมัติจนเสียงสัญญาณกันขโมยดังขึ้น

“โอ๊ะ  หลบได้ด้วยว่ะ”  เสียงทุ้มห้าวของใครบางคนเอ่ยออกมา  พวกเขาทั้งสองรีบหันไปมองและพบว่าไม่ไกลจากที่ตนยืนมีกลุ่มอัลฟ่าชายสามคนยืนอยู่

เลนเนอร์ขยับตัวมาข้างหน้าเพื่อกันเด็กหนุ่มไว้  อย่างน้อยตัวเขาก็มีปลอกคอ  มีรอยตีตราจองอาจทำให้ถูกเพ่งเล็งน้อยกว่าและทำให้พวกนั้นเลิกสนใจไปก็ได้

“โอเมก้าสวะอย่างพวกแกมาทำอะไรกันที่นี่วะ  น่าขยะแขยงสิ้นดี”  คำพูดเสียดสีนั้นดังขึ้นจากชายที่อยู่ตรงหน้าสุดและดูท่าว่าจะเป็นคนปาก้อนหินมา  หากเลนเนอร์ไม่ได้เซ็ธช่วยไว้ป่านนี้จะมีสภาพเป็นยังไงก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการ

“ไสหัวออกไปก่อนจะเจ็บตัวดีกว่ามั้ง  หรืออยากหาใครมาเสียบก้นของแก  ถ้ายังงั้นให้ฉันช่วยไหม  ฮ่าฮ่าฮ่า!”  อีกฝ่ายระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อได้พูดประโยคเสียดสีไปแล้ว  เซ็ธที่หลบอยู่ด้านหลังเลนเนอร์กำเสื้อชายหนุ่มไว้แน่น  คำสบประมาทพวกนั้นทำให้เขานึกถึงช่วงที่ถูกเพื่อนในสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนรังแก

เขากลัวเหลือเกินว่าตัวเองกับเลนเนอร์จะได้รับอันตราย

แต่เลนเนอร์นั้นก็เจอเรื่องประมาณนี้มาไม่ได้น้อยไปกว่าเขา  เทียบอายุกันแล้วยังสามารถบอกได้ว่ามีประสบการณ์มากกว่า  การเรียนจิตวิทยาและความสามารถในการอ่านสีหน้าและสายตาของคนได้นั้นทำให้เลนเนอร์สามารถรับมือได้ในบางสถานการณ์
เขาค่อนข้างถูกโรคกับอัลฟ่าที่ฉลาด  มีความสามารถและใจเย็นพอที่จะต่อปากต่อคำได้  แต่หากเป็นพวกใจร้อนแบบคนข้างหน้านี้ก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เลนเนอร์สูดลมหายใจเข้าปอดสยบความกลัวแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูง  แล้วบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า  “เราแค่ติดตามอัลฟ่าของพวกเรามา  นี่ก็แค่มาซื้อน้ำให้พวกเขา  ถ้าคุณไม่พอใจยังไงก็ขอโทษด้วย  เราจะไปกันแล้ว”

พวกอัลฟ่านั้นบางทีก็เกรงกลัวซึ่งกันแล้วกัน  เห็นโอเมก้าเป็นเพียงสิ่งของและคงไม่มีใครอยากใช้สินค้าที่ใช้การได้ไม่ดี  เพราะเมื่อถูกตีตราจองแล้ว  โอเมก้าคนนั้นจะไม่สามารถไปมีสัมพันธ์กับใครอื่นได้  การบอกว่ามีเจ้าของแล้วจะช่วยลดความเสี่ยงได้ดีส่วนหนึ่ง

เลนเนอร์รีบจูงมือเซ็ธผ่านคนพวกนั้นออกมา  ทีแรกคิดว่ารอด  แต่เมื่ออัลฟ่าหันกลับมาเห็นเด็กหนุ่มที่ไร้ปลอกคอและรอยตีตราทำให้สนใจไม่น้อยและคว้าตัวไว้
 
“เฮ้ๆ  ไหนบอกว่ามากับเจ้านายไง  แล้วนี่อะไร  ปลอกคอยังไม่มีเลย  อยากได้คนเสียบรูก้นของแกหรือไง  ไอ้หนู”

“ปล่อยเขา”  เลนเนอร์รีบหันกลับมาคว้าแขนเซ็ธข้างหนึ่งไว้คิดจะช่วยอีกฝ่าย  แต่อัลฟ่าตรงหน้าก็ไม่ยอมง่ายๆ  เมื่อเห็นเขาคิดจะดึงเด็กหนุ่มกลับไปก็ออกแรงบีบแขนมากขึ้นอีก

“โอ๊ย”  เซ็ธชักสีหน้าเจ็บปวดออกมาเมื่อถูกบีบแขนเต็มแรงทำให้เลนเนอร์ชะงักไปด้วย  ชายหนุ่มรู้แล้วว่ายิ่งพยายามดึงเด็กหนุ่มออกมามากเท่าไร  อัลฟ่าคนนี้ก็จะออกแรงบีบมากขึ้นซึ่งสำหรับเด็กที่ผอมแห้งนี้อาจทำให้บาดเจ็บรุนแรงได้

“น่าเสียดายนะ  ดูท่าแกเองก็คงมีดีใช่ย่อย  อยากจะลองเล่นกับนายทั้งคู่แต่น่าเสียดายจริงๆ  ที่ถูกตีตราไปแล้ว”  เลนเนอร์กัดฟันกรอด  แววตาอีกฝ่ายฉายแววของผู้อยู่เหนือกว่าและต้องการสนองตัณหาของตัวเอง  เขาถูกอัลฟ่าที่เหลืออีกสองคนจับแยกให้ออกมาห่างเด็กหนุ่ม

เมื่อไร้ที่พึ่งพิง  เซ็ธพลันเกิดกลัวขึ้นมาจนร่างกายสั่นไม่ยอมหยุด  อดีตอันแสนทุกข์ทรมานหวนกลับมาอีกครั้งยามที่อีกฝ่ายลูบไล้นิ้วมือไล่ขึ้นมาที่ต้นคอของเขาแล้วตุตะขึ้นเองว่า  “เฮ้  ไอ้หนูนี่ไม่ขยับเลยว่ะ  หรืออยากให้ฉันเสียบแกที่นี่  ก็ได้นะ  ไม่มีใครมาเห็นหรอก”

“อย่าคิดแตะต้องเขาไปมากกว่านี้นะ!”  เลนเนอร์ดิ้นรนตะคอกใส่  แต่อัลฟ่าพวกนี้ไม่ยอมหยุด  เขาเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและทรมานของเด็กหนุ่มแล้วไม่สามารถอยู่เฉยได้  พยายามดิ้นให้หลุดจากการถูกล็อกจากคนสองคนแต่ไม่เป็นผล

“นี่  แกไม่เคยทำกับใครมาก่อนสินะ  ฮะฮ้า  ฉันนี่โชคดีเป็นบ้า”  อัลฟ่าที่จับเซ็ธไว้อยู่ยังไม่หยุดพูดเล้าโลมใส่  คำพูดพวกนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา  แต่ถึงแม้จะพยายามสะบัดหนีเท่าไรก็ไม่เป็นผล  ปลายลิ้นเปียกแฉะลากผ่านต้นคอของเขาทำให้รู้สึกแขยงขึ้นมา

เซ็ธตัวสั่นสะท้านขึ้นมา  ทั้งหวาดกลัวและขยะแขยงจนอยากจะอาเจียน  รู้สึกได้ว่าตัวเองอยากจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา  เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น  ได้แต่ภาวนาในใจให้หลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ  นี่ไปเสียที

“หึๆ  กลิ่นหอมใช้ได้นี่”  อัลฟ่าหนุ่มแสยะยิ้ม  ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินฝีเท้าคนหนึ่งวิ่งมาพร้อมกับเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราด 

“ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้!”

“วิลเลี่ยม...เอดิสัน”  เลนเนอร์เผยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ  กลับกันกับอัลฟ่าอีกสามคนที่เบิกตาโตกว้าง

ในบรรดาอัลฟ่าที่มีพลังพิเศษนั้นย่อมสัมผัสได้ถึงพลังที่ต่างชั้นกันจากคนที่เหนือกว่า  แต่สิ่งที่ทำให้อัลฟ่าทั้งสามหวาดกลัวได้คือบรรยากาศที่คล้ายกับมีรังสีสังหารแผ่ออกมารอบๆ  ตัวของทั้งสองคนนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอดิสัน  อารมณ์โกรธเพื่อนที่ทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวยังไม่หายดีก็มีเรื่องน่าหงุดหงิดเพิ่มเข้ามา  เขาเสยเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าขึ้นแล้วก้าวเดินมาข้างหน้า  ทุกย่างก้าวราวกับมีน้ำแข็งแผ่กระจายอยู่รอบๆ

ร่างองอาจเดินเข้าไปหาเลนเนอร์ที่ถูกอัลฟ่าสองคนล็อกตัวไว้  ก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้า  เพียงแค่ชายตามองก็ทำให้อัลฟ่าทั้งสองคนนั้นสะดุ้งเฮือก

“ปล่อยเขา”  คำสั่งสั้นๆ  ทำให้ทั้งสองคนรีบปล่อยเลนเนอร์ทันที  แล้วเตรียมเผ่นออกไป  ทว่ายังหันหลังกลับไปไม่ได้เท่าไร  ทั้งคู่ก็ต้องถูกกระแทกอย่างจังราวกับตรงหน้ามีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่จนล้มไปกองกับพื้น

“ไม่เอาน่า  ทำผิดก็อย่าเพิ่งคิดหนีสิ”  เอดิสันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่เมื่อศัตรูเห็นแล้วอยากจะกลั้นใจตายไปเสียตั้งแต่ตรงนั้น

อัลฟ่าหนุ่มอีกคนที่จับตัวเซ็ธไว้เบิกตากว้าง เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้ก็รีบผลักเซ็ธให้วิลเลี่ยมที่เดินมาอยู่ข้างหน้าแล้วออกวิ่ง  ทว่าก็ต้องล้มตึงเพราะมีเชือกมาพันขาไว้

“เชือก...เชือกมาจากไหน!?”

วิลเลี่ยมจัดการลากคนทั้งสามมากองรวมกัน  แล้วถามเลนเนอร์ว่า  “เมื่อกี้พวกนี้พูดอะไรไม่ดีไว้กับพวกนายหรือเปล่า”

“เยอะแยะ”  เลนเนอร์ซึ่งหันไปมองเซ็ธที่ยังขวัญหายกับเรื่องเมื่อครู่แล้วตอบสั้นๆ  เขาไม่ต้องการรื้อฟื้นทุกคำพูด  และวิลเลี่ยมเองก็คงพอเข้าใจได้  จากการถามย้ำว่า  “ถูกล่วงเกิน?”

เมื่อเลนเนอร์พยักหน้า  อัลฟ่าทั้งสองที่มาช่วยต่างนิ่งไปชั่วขณะ  วิลเลี่ยมหันไปมองคนทั้งสามก่อนจะหันมาบอกว่า  “พาเซ็ธออกห่างไปหน่อยหนึ่งก่อนได้ไหม”

“ได้”  เมื่อเป็นคำขอร้องของวิลเลี่ยมที่เห็นแก่เซ็ธ  เลนเนอร์ก็ไม่ปฏิเสธและพาเด็กหนุ่มที่ยังตกใจกับเรื่องเมื่อครู่ไปปลอบในที่ที่ห่างออกไปเสียหน่อย

“พวกคุณจะทำอะไรพวกเรา?”  เมื่อเห็นโอเมก้าทั้งสองไปแล้ว  อัลฟ่าหัวโจกก็ถามขึ้นเสียงสั่น  พวกเขาถูกเชือกลึกลับจากไหนไม่รู้มามัดรวมกันไว้  และรอบข้างก็คล้ายกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่

วิลเลี่ยมยกยิ้มให้พวกเขาทีหนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณว่าร้ายพวกเขาไว้มากเท่าไหน  ทางที่ดีถ้ารีบสารภาพออกมาก็อาจจะได้ลดหย่อนโทษลงไปบ้าง” 

“หา?  คุณจะทำอะไร”

“เอ้า  สารภาพมาสิ”  เอดิสันเสริมต่อ  รังสีสังหารนั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการยืดเส้นยิดสายด้วยการหักนิ้วดังกร็อบๆ  พร้อมหักไม้เทนนิสที่ถือติดมาด้วยเป็นสองท่อนคามือ  เรียกความหวาดผวาให้แก่ตัวการทั้งสามจนตัวสั่นหงกๆ  ยอมเล่าออกมาด้วยความกลัว

“ผมไม่ชอบที่พวกคุณที่เป็นอัลฟ่าอันมีเกียรติ์ไปดูถูกโอเมก้าเลย  การพูดจาล่วงเกินแบบนั้นก็ถือเป็นการล่วงละเมิดอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือครับ”  วิลเลี่ยมเลิกคิ้วถามอีกฝ่าย  อัลฟ่าทั้งสามนิ่งเงียบ  วิลเลี่ยมจึงเร่งบอกสิ่งที่ตนต้องการ  “ขอโทษพวกเขาซะ”

“หา  ทำไมฉันจะต้อง!?”  อัลฟ่าคนนั้นขมวดคิ้วถามเสียงดังด้วยความไม่พอใจ  ทำให้วิลเลี่ยมต้องอธิบายเพิ่ม

“เพราะพวกเขาเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา  นิสัยก็ไม่ได้แย่  และสิ่งที่คุณพูดมามันก็ไม่จริง  เพราะฉะนั้นผมถึงอยากให้ขอโทษ”

“ไม่”  ทั้งสามคนตอบด้วยคำตอบเดียวกันทำให้วิลเลี่ยมชะงักก่อนจะทอดถอนหายใจ 

“ถ้างั้นคงต้องใช้ศาลเตี้ยกันหน่อยมั้งครับ”

“หา  พวกคุณจะทำอะไร?”  อัลฟ่าคนนั้นถามขึ้นอีกด้วยความหวาดกลัว  ในหมู่คนที่มีพลังจิตนั้นย่อมสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งกว่าตน

วิลเลี่ยมยกยิ้ม  แล้วหยิบลูกเทนนิสสามลูกออกมาจากกระเป๋าของตนเอง  ปล่อยมันลงพื้นและดูการเคลื่อนไหวที่ผิดธรรมชาติของมัน

“แค่ขอโทษมันยากหรือครับ  ผมไม่คิดว่าขอโทษแล้วหาย  แต่ต้องการให้พวกคุณได้รับการสั่งสอนบ้างนะ”

“อย่าทำอะไรบ้าๆ  นะ  คิดจะทำอะไรรุนแรงหรือไง”

“ไม่เอาน่า  เมื่อกี้คุณยังจงใจขว้างหินใส่โอเมก้าอยู่เลยนี่”  วิลเลี่ยมทำตาโตย้อนอีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน  คนที่สารภาพออกมาเองว่าเป็นคนปาหินใส่เลนเนอร์ถึงกับสะอึก  ศาสตราจารย์หนุ่มยกยิ้มก่อนจะถามย้ำว่า  “ตกลงจะขอโทษหรือไม่ครับ”

“ไม่”  ลูกเทนนิสลอยขึ้น  แล้วพุ่งไปอัดใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มแรงจนมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา

“จะขอโทษไหมครับ”  วิลเลี่ยมถามย้ำด้วยรอยยิ้ม  การสั่งสอนครั้งนี้เต็มไปด้วยความโกรธเคือง  ทั้งจากของเขาและเอดิสัน  ทั้งฝ่ายหลังยังเป็นคนมีชื่อเสียงย่อมปิดข่าวนี้ได้จะด้วยวิธีการใดๆ  ก็ตาม

น่ายินดีว่าอัลฟ่าทั้งสามนั้นหวาดกลัวต่อพลังของเขาและยอมขอโทษในที่สุด  เมื่อวิลเลี่ยมและเอดิสันปลดพลังของตัวเองที่พันธนาการไว้  พวกนั้นก็เผ่นแนบไปทันที  อัลฟ่าทั้งสองจึงเดินออกไปหาพวกเซ็ธ

เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนม้านั่ง  ข้างๆ  เป็นเลนเนอร์ที่คอยปลอบอยู่

“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”  วิลเลี่ยมวิ่งเข้ามาถามเซ็ธด้วยความเป็นห่วง  เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่เป็นอะไรก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้  “ดีใจจัง  คิดว่าจะบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า  กลัวแทบแย่แน่ะ”

“นายก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรใช่ไหม”  เอดิสันถามเลนเนอร์ขึ้น  เพราะยังมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่ในอก  อีกฝ่ายเลยยกยิ้มให้หวังคลายความตึงเครียด 

“ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนหรอก  ดีที่เซ็ธช่วยไว้  ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ  นะ”

“ไม่เป็นอะไรครับ”  เด็กหนุ่มตอบกลับไป  เมื่อสอบถามแล้วว่าไม่มีอะไรแล้ววิลเลี่ยมจึงได้ชวนกลับ  เอดิสันมีธุระที่จะต้องทำต่อจึงพาเลนเนอร์กลับไป  ส่วนเขากับเซ็ธทีแรกกะว่าจะไปหาร้านอาหารกินนอกบ้าน

แต่ไม่ว่าร้านไหนก็มีอัลฟ่าปะปนอยู่  กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเผชิญเรื่องกับอัลฟ่ามาคงไม่ดีแน่หากต้องลงไปตอนนี้  เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้สำหรับพวกอัลฟ่าแล้ว  โอเมก้ายังเป็นชนชั้นต่ำที่ไม่ต่างอะไรจากทาส  คงจะต้องรอวันที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองชนชั้นดีขึ้นมากกว่านี้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าก่อนจะตัดสินใจในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเซ็ธ

“เรากลับไปกินที่บ้านกันก่อนไหม”

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 6
งานเลี้ยงวันเกิดอันน่ายินดี

วิลเลี่ยมตื่นมาในตอนเช้าตรู่เหมือนเช่นปกติ  แต่วันนี้ไม่ได้สดใสเหมือนทุกที  เรื่องเมื่อวานยังคงกวนใจเขาซ้ำไปซ้ำมา  แม้ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามาก  แต่ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าเซ็ธไม่สบายใจเอามากๆ

เด็กที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเพราะถูกทำร้ายจากอัลฟ่านั้น  ย่อมไม่ต้องการพบเจอเรื่องแบบเมื่อวานนี้
ตอนที่เห็นแววตาหวาดกลัวคู่นั้น  วิลเลี่ยมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ทำผิดบาปไปแล้ว  เขาเป็นคนดึงเซ็ธออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอก...โลกที่แสนโหดร้ายสำหรับโอเมก้านี้  แม้จะเพื่อทวงคืนสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ  แต่ในตอนนี้หากจิตใจเด็กคนนั้นไม่เข้มแข็งพอก็อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้

เขาทั้งกลัวและเป็นกังวลอย่างมาก  ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบเมื่อวานเกิดขึ้นซ้ำสอง

กลัวว่าเซ็ธจะเกลียดตัวเองเหมือนที่เกลียดอัลฟ่าคนอื่นๆ

“อรุณสวัสดิ์ครับ...”  วิลเลี่ยมที่ยืนใช้ความคิดอยู่มุมห้องสะดุ้งโหยง  เล่นเอาคนที่เดินเข้ามาทักแปลกใจไปเล็กน้อย  เซ็ธเลิกคิ้วด้วยความสงสัย  เขาเลยต้องรีบกระแอมไอก่อนจะทักทายตอบไปด้วยรอยยิ้ม  “อะ...อรุณสวัสดิ์  ตื่นนานแล้วเหรอ”

“เมื่อกี้ครับ”  เด็กหนุ่มตอบ  วิลเลี่ยมเห็นเส้นผมด้านหน้าของเซ็ธเปียกอยู่เขาเลยคิดว่าคงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วลงมาเลย  ชุดยังเป็นชุดนอนอยู่ด้วยซ้ำ  อีกฝ่ายจ้องมองเขาก่อนจะถามว่า  “คุณมีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”

“หืม  เปล่า”  วิลเลี่ยมปั้นยิ้มโกหก  เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะมองออกทะลุปรุโปร่งเหมือนเลนเนอร์  อาจจะแค่เดาจากท่าทีของเขา  หากปฏิเสธไปเด็กคนนี้ก็จะเชื่ออย่างสนิทใจ  “หิวหรือยัง  ฉันจะทำอาหารเช้าให้กินนะ”

ว่าแล้ววิลเลี่ยมก็เดินไปที่ครัว  ลงมือทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ  ให้อีกฝ่าย  เซ็ธเริ่มคุ้นชินกับการอยู่บ้านนี้แล้ว  เด็กหนุ่มพยายามช่วยงานเขาเท่าที่ทำได้  อย่างรินนมใส่แก้ว  ล้างจาน  หรือกวาดบ้าน  แล้วยังชอบจดจำเรียนรู้วิธีจากการเห็นเขาทำเรื่องต่างๆ
อาหารเช้าอย่างง่ายใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที  แต่วิลเลี่ยมก็ยังอุตส่าห์ไปเสียเวลากับการจัดตกแต่งจานให้ดูกินมากยิ่งขึ้นก่อนจะยกมาเสิร์ฟ  มื้อเช้าของพวกเขาจึงได้เริ่มขึ้น

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?”  ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล  อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตามความจริงว่า  “ครับ  หลังกินยาไปแล้วก็หลับสนิทเลย”

วิลเลี่ยมหาคำพูดต่อไม่ได้  ตอนกลับมาบ้านเซ็ธยังมีท่าทีหวาดๆ  อยู่  แต่เด็กหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าเป็นเพราะอะไร  ดังนั้นจึงบอกเขาว่าแค่กินยาที่ต้องกินทุกวันก็จะไม่เป็นอะไร

“เรื่องเมื่อวาน...”  จู่ๆ  เด็กหนุ่มก็เกริ่นขึ้นมาทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  และมองอีกฝ่ายเพื่อรอฟัง  เซ็ธลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ผมกลัวมากๆ  ตอนที่อัลฟ่าพวกนั้นจับไว้  มันทำให้ผมนึกถึงอดีต  ผมกลัวว่าตัวเองจะโดนทำร้าย...”

เซ็ธก้มหน้านิ่ง  สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น  วิลเลี่ยมเห็นดังนั้นจึงยื่นมือไปกุมไว้เพื่อคลายความกังวล  ขณะนั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้พูดขึ้นต่อ

“ทั้งๆ  ที่ผมกลัวอัลฟ่า  แต่ตอนนั้นผมกลับภาวนาให้คุณมาช่วย  คุณ...เป็นคนเดียวที่ผมคิดถึง”  วิลเลี่ยมชะงักทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น  อีกฝ่ายพยายามขืนยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่า  “แล้วคุณก็มาจริงๆ  ขอบคุณนะครับ”

รอยยิ้มนั้นไม่ได้สดใสสักเท่าไร  มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง  ทั้งดีใจ  เศร้า  และเจ็บปวดต่อสิ่งที่เด็กคนนี้กำลังคิด  แต่มันกลับสะกดสายตาของวิลเลี่ยมไว้ได้อยู่หมัด  เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมองใบหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้านานเท่าไร  เหมือนกับเวลามันหยุดลงชั่วขณะ  แม้ว่าเซ็ธจะไม่ได้ยิ้มแล้วแต่เขาก็ยังคงมองต่อไป

จนกระทั่งได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดัง  วิลเลี่ยมจึงได้สติและวิ่งออกไป  ปรากฏว่าเป็นไปรษณีย์ที่นำซองเอกสารมาส่ง
ในซองสีน้ำตาลนั้นบรรจุเอกสารไว้หลายอย่าง  วิลเลี่ยมถือเข้ามาในส่วนห้องนั่งเล่น  จานชามเมื่อครู่เซ็ธก็กำลังเก็บล้างอยู่  ดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

ตราประทับหน้าซองทำให้เขาเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนที่จะแกะดู  พบว่าเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเซ็ธทั้งนั้น  ทางเบื้องบนคงได้รับมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เซ็ธเคยอยู่กับโรงพยาบาลจากนั้นก็ทำการเพิ่มเติมเอกสารบางอย่างแล้วส่งมาให้
ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่วิลเลี่ยมเคยขอรบกวนไป  เพราะหากจะดำเนินตามแผนการที่เขาคิดไว้  สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญ  แต่ดูแล้วคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง

ขณะที่กำลังอ่านข้อมูลที่ได้รับมานั้นวิลเลี่ยมก็ตั้งใจหาข้อมูลหนึ่งอยู่

วันเกิด...ใช่แล้ว  ถ้าเขาสามารถจัดงานวันเกิดให้เซ็ธมีความสุขได้  ความสนิทสนมของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น

เขาแค่ต้องรู้ก่อนว่าเซ็ธเกิดวันไหน...

“วันที่  18  มีนาคม...”  วิลเลี่ยมที่พึมพำอยู่ถึงกับตะลึงค้างก่อนจะสบถออกมา  “พระเจ้า  พรุ่งนี้แล้ว”

เขาเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บจานอยู่ก่อนจะหันกลับมามองข้อมูลที่อยู่ในมือ  ถ้าจะทำแผนเซอร์ไพรส์ตอนนี้จะทันหรือเปล่านะ?

ไม่รอช้าเขารีบเก็บข้อมูลที่ได้รับมาในตู้ใส่เอกสารก่อนจะเดินไปหาเซ็ธ  ตั้งใจจะถามว่ามีอะไรอยากได้เป็นพิเศษไหม

แต่แล้วก็ต้องชะงัก  ถ้าถามไปตอนนี้มันก็จะไม่เป็นการเซอร์ไพรส์  แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเซ็ธสนใจอะไรกันแน่  หรือว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม

สุดท้ายเขาก็ยืนขบคิดอยู่หน้าครัวจนกลายเป็นที่สงสัยของเซ็ธ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”  เซ็ธถามขึ้นทำให้เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน  “เปล่าๆ  ไม่มีอะไร”

“หรือครับ...”  เด็กหนุ่มพึมพำก่อนจะเดินไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น  หยิบหนังสือนิยายมาอ่านต่อ  เซ็ธชอบอ่านหนังสือ  วันๆ  หนึ่งถ้าไม่ได้ช่วยงานบ้านก็จะเอาแต่อ่านหนังสือ  ทั้งนิยาย  การ์ตูน  หรือหนังสือความรู้ต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน  เด็กคนนี้ก็ชอบอ่านหมด

หรือเขาควรจะซื้อหนังสือให้ดี?...ไม่ล่ะ  ก่อนหน้านี้ก็ซื้อหนังสือเพิ่มมาจนจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว  และเซ็ธเองก็ไม่ใช่คนอ่านหนังสือไว  ถ้าไม่สนุกจริงอย่างไวก็ใช้เวลาอ่านสามวันต่อเล่ม  ไม่รวมพวกหนังสือวิชาการที่ต้องคิดตามอีก

เขาอยากซื้ออะไรที่มันตอบสนองความต้องการอย่างอื่นมากกว่าส่งเสริมให้เรียนอย่างเดียว  แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าเด็กวัยแบบนี้ต้องการอะไร

สุดท้ายแล้วเขาเลยส่งข้อความไปบอกเอดิสันว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเซ็ธ  อยากขอความช่วยเหลือ  แน่นอนว่าโดนบ่นมาก่อนว่ากะทันหันไปไหม  แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วบอกว่าจะช่วยเท่าที่ทำได้

ดังนั้นแล้ววิลเลี่ยมเลยขอคุยกับเลนเนอร์ต่อ  เดินปลีกตัวไปให้ไกลพอแล้วเล่าแผนการที่เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้  และวันนี้ก็อยากให้อีกฝ่ายมาช่วยดูแลเซ็ธช่วงที่เขาจะออกไปข้างนอกก่อน

เลนเนอร์ตกปากรับคำไม่อิดออด  ดูก็รู้ว่าเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนั้นมากแค่ไหน  วิลเลี่ยมกลับมานั่งรออยู่ข้างๆ  เซ็ธ  ไม่นานเอดิสันกับเลนเนอร์ก็มา

เซ็ธทำหน้าที่ต้อนรับแขกอย่างดีด้วยการเตรียมน้ำมาให้ทั้งสองคนพร้อมของว่างที่มีอยู่  พวกเขาคุยเล่นกันไปสักพักก่อนที่วิลเลี่ยมจะชวนเอดิสันออกไปข้างนอก  และฝากเลนเนอร์ให้ช่วยดูแลเซ็ธ

ชายหนุ่มทั้งสองเดินออกมาข้างนอก  ทันทีที่เข้าไปนั่งในรถของเอดิสันเรียบร้อยแล้ว  วิลเลี่ยมก็จัดการเปิดอุปกรณ์รับสัญญาณจากเครื่องดักฟังที่แอบติดไว้ในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่

“นับวันยิ่งทำตัวโรคจิตขึ้นเรื่อยๆ”  เอดิสันพึมพำขึ้นมาพลางถอนหายใจอย่างระอา  ส่วนวิลเลี่ยมแม้จะรู้ตัวว่าโดนว่าแต่ก็หาได้ใส่ใจไม่  เขารอฟังเสียงของเลนเนอร์กับเซ็ธอย่างใจจดใจจ่อ

แผนการของเขาคือการให้เลนเนอร์ถามเซ็ธว่าอยากได้อะไรไหม  ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังชวนเด็กหนุ่มคุยไปเรื่อย  หลักๆ  ก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกับเขา  แล้วตบท้ายไปว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า

ทีแรกเซ็ธเงียบไป  นานมากจนเขาคิดว่าเครื่องมีปัญหาจนกระทั่งได้ยินเสียงเลนเนอร์เอ่ยเรียกชื่อเซ็ธขึ้น  “เซ็ธ  เป็นอะไรหรือเปล่า?  ฉันถามอะไรผิดงั้นเหรอ”

“เปล่าครับ”  เสียงของอีกฝ่ายปฏิเสธเป็นพัลวันก่อนจะเงียบไปอีกพัก  คงกำลังใช้ความคิด

“มันค่อนข้างน่าอาย...”  เซ็ธเอ่ยขึ้นคล้ายจะพึมพำ  ก่อนจะบอกว่า  “จริงๆ  แล้วตอนกลางคืน  เวลาที่นอน...ผมรู้สึกเหงา...”
วิลเลี่ยมชะงักไปครู่หนึ่ง  แล้วตั้งใจฟังต่อ

“เตียงมันกว้างเกินไปสำหรับผม...”  เซ็ธเล่าออกมาช้าๆ ทีละประโยค  น้ำเสียงไม่มีความมั่นใจเลยจนต้องตั้งใจฟังมากขึ้น

จะว่าไปห้องนั้นก็แคบกว่าห้องเขาเล็กน้อย  แต่เพราะมันไม่มีอะไรอยู่เลยทำให้ดูกว้างกว่าห้องเขาที่รกและเต็มไปด้วยเอกสาร  แล้วก็แทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรด้วย

“นายอยากเปลี่ยนเตียงเหรอ?”  เลนเนอร์ลองถามขึ้น  ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบว่า  “ไม่ใช่ครับ  เตียงนั่นวิลเลี่ยมอุตส่าห์ยกให้  จะขอเปลี่ยนเพราะไม่ชอบก็กระไรอยู่น่ะครับ”

วิลเลี่ยมชะงัก  รู้สึกว่ามุมปากตัวเองกำลังยกขึ้นมาด้วยความสุข  แต่สุดท้ายก็โดนเอดิสันตอกหน้าว่า  เขาแค่เกรงใจแก  เลยเปลี่ยนไปตั้งใจฟังต่อ

“แล้วอยากได้อะไรเหรอ  ถ้าเป็นอะไรที่ไม่ลำบากฉันมาก  จะลองหามาให้ก็ได้นะ”  เลนเนอร์ถามขึ้นต่อ  เซ็ธเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบอ้อมแอ้มว่า

“ตุ๊กตา”

“หืม?”  วิลเลี่ยมอุทานขึ้นในลำคอ  พร้อมๆ  กับเลนเนอร์ที่คงแปลกใจเหมือนกัน  เสียงของเซ็ธดังขึ้นมาต่อว่า  “ก็เตียงมันกว้างไป  ผมคิดว่าถ้ามีตุ๊กตาด้วยอาจจะไม่รู้สึกเหงาเท่าไร...”

วิลเลี่ยมพยักหน้าหงึกหงักคนเดียว  บางทีเซ็ธก็ยังมีแง่มุมของความเป็นเด็กอยู่บ้าง...ก็น่ารักดี  เขาเห็นว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่อยากได้ต่อแล้วจึงปิดอุปกรณ์ลงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี  “ได้ของขวัญแล้วสิ”

“จะซื้อตุ๊กตาให้เหรอ?”  เอดิสันตั้งคำถามก่อนจะแซวขึ้นว่า  “สู้ให้แกเอาตัวเองไปนอนด้วยกันกับเด็กนั่นจะไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ความคิดดีนี่”

“เมื่อกี้ฉันล้อเล่น  แกคงไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งใช่ไหม  นักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่งติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์  แถมเป็นผู้เยาว์ที่พาตัวมาจากโรงพยาบาลโดยพลการอีก”  เอดิสันรีบแก้ต่างทันควันแถมยังตอกกลับไปเสียงเรียบ  วิลเลี่ยมเพียงแค่ยกยิ้มแล้วยักไหล่ไม่ใส่ใจ 

“เห็นอย่างนี้ฉันมีความอดทนสูงนะ”

อีกฝ่ายเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเชื่อก่อนจะขับรถไปตามปกติ  พวกเขาไปจอดในย่านการค้าของเมือง  หน้าร้านขายของตกแต่ง  ซื้ออุปกรณ์สำหรับจัดงานวันเกิดมาและเดินต่อไปสั่งเค้กที่อยู่อีกสามร้านถัดไป  จากนั้นก็ตรงดิ่งเข้าร้านขายตุ๊กตาทันที  เอดิสันเห็นบรรยากาศร้านแล้วก็รีบบอกว่าจะรออยู่ด้านนอก  ปล่อยให้วิลเลี่ยมเดินไปคนเดียว

พนักงานสาวที่ยืนอยู่เดินมาต้อนรับเขาทันที  วิลเลี่ยมจึงได้บอกว่า  “อยากได้ตุ๊กตาเป็นของขวัญวันเกิดน่ะครับ”

“ทางเรามีบริการห่อของขวัญให้ด้วยนะคะ  ถ้ายังไงเชิญคุณลูกค้าเลือกชมดูก่อนได้”  พนักงานสาวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม  ก่อนจะผายมือไปยังโซนในร้านที่เต็มไปด้วยตุ๊กตานานาชนิด

“คุณลูกค้าจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกสาวใช่ไหมคะ?”  เธอลองยิงคำถามมา  ทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เขารีบส่ายหน้าทันทีก่อนจะปฏิเสธ  “ไม่ใช่ครับ”

“อ้อ  งั้นแฟนหรือคะ  ตุ๊กตาทางนั้นเป็นคอลเลคชั่นใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมจากหมู่สาวๆ  เลยนะคะ  ด้วยความนุ่มมือของมัน  แล้วยังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายด้วย”

เธอผายมือไปทางโซนทางขวาสุดซึ่งรายล้อมไปด้วยหญิงสาววัยรุ่นที่ยืนเลือกตุ๊กตากันอยู่  ทีแรกวิลเลี่ยมก็สนใจเพราะได้ยินคำว่าได้รับความนิยมแต่ก็พลันนึกได้ว่าเซ็ธเองก็เป็นผู้ชาย  คงไม่ชอบสีชมพูหวานแหววแบบนั้นสักเท่าไร

“คุณลูกค้ามีแบบที่อยากได้ไหมคะ”  เธอถามขึ้นเมื่อเห็นวิลเลี่ยมเงียบไป  ชายหนุ่มยืนคิดสักพักก่อนจะบอกว่า  “เอาที่...ที่มันนอนด้วยแล้วไม่เหงาน่ะครับ”

พนักงานยืนยิ้มอยู่แต่ตาเธอโตเป็นไข่ห่าน  วิลเลี่ยมดูแล้วเห็นว่าคำพูดตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรจึงขอโทษแล้วเดินไปหาเอาเอง  เขาเดินดูตามชั้นวางตุ๊กตาต่างๆ  มีแบบมากมายให้เลือกดู

วิลเลี่ยมค่อนข้างสนใจตุ๊กตารูปสัตว์  เพราะมันไม่ได้หวานแหววเกินไป  แถมยังนุ่มมือน่ากอด  ไปๆ  มาๆ  ก็เลือกมาได้สี่ตัว  เขาขอให้พนักงานห่อกล่องของขวัญให้แล้วชำระเงินเดินออกมาหาเอดิสันที่รออยู่ข้างนอก

เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าซื้อของครบ  พวกเขาก็ตัดสินใจขับรถกลับไปที่บ้านของวิลเลี่ยม  ระหว่างทางวิลเลี่ยมก็นึกอะไรขึ้นได้

“วันเกิดเลนเนอร์คือวันไหนนะ”

“มกราปีหน้า”  เอดิสันตอบเสียงเรียบ  แต่วิลเลี่ยมนั้นรับรู้ได้ถึงความใส่ใจอย่างประหลาด  เพราะปกติแล้วเพื่อนของเขาไม่ชอบจำวันสำคัญของใครสักเท่าไร  ขนาดวันเกิดของเขา  ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้

วิลเลี่ยมคิดว่าเลนเนอร์น่าจะเป็นคนแรกที่เอดิสันจำวันเกิดได้

“คิดว่าจะซื้อของขวัญอะไรให้ไหม”  เขาถามขึ้นด้วยความอยากรู้  แต่ดูเหมือนว่าบางอย่างจะไปแทงใจอีกฝ่ายเข้าจนชักสีหน้าขมขื่นขึ้นว่า  วิลเลี่ยมเลยนึกออก

มกราที่ผ่านมาเอดิสันต้องไปทำงานต่างประเทศทั้งเดือน  นานๆ  ทีจะติดต่อกลับมาหาเลนเนอร์  กลับมาก็ตอนสิ้นเดือนแล้ว  เขาได้ยินว่าตอนนั้นอีกฝ่ายเห็นพวกกระปุกออมสินฝีมือเด็กระบายสี  ตุ๊กตากระป๋อง  หรือดอกไม้แห้งๆ  ก็สงสัยว่าเป็นงานฝีมือเด็กหรือ  เลนเนอร์ถึงได้ตอบว่าเป็นของขวัญที่ได้รับมาจากพวกเด็กๆ

ตอนนั้นเอดิสันสารภาพว่าทำตัวไม่ถูกไปไม่เป็น  แล้วไม่รู้จะทำอะไร  รู้ตัวอีกทีก็นัดวิลเลี่ยมมาหาแล้วนั่งหน้าเครียดอยู่ในบาร์เป็นชั่วโมงๆ  วันเกิดครั้งแรกหลังจากที่ตกลงคบหากัน  เขาดันไม่รู้แถมยังไม่มีโอกาสได้บอกอวยพรอะไรเลย

จะโกรธที่เลนเนอร์ไม่ยอมบอกก็ไม่ได้  ด้วยนิสัยเจ้าตัวแล้วไม่มีทางบอกแน่ๆ  ถ้าไม่ถาม  แถมช่วงนั้นเอดิสันก็ยุ่งมากๆ  อีกฝ่ายถึงไม่อยากกวน

ดังนั้นเอดิสันเลยตั้งใจว่า  วันเกิดปีหน้าของเลนเนอร์จะทำให้ประทับใจจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว  ถึงกับประกาศการที่ประชุมว่าช่วงอาทิตย์นั้นอย่าได้มีใครนัดหมายงานให้เขาเชียว

“แหวนแต่งงานก็คงดี”  เอดิสันตอบคล้ายจะพึมพำหลังจากนิ่งคิดมานานเล่นเอาวิลเลี่ยมตะลึงตาค้าง 

“เอาจริงดิ  มันคงวิเศษมากแน่ๆ  เตรียมแผนไว้หรือยัง  ให้ฉันช่วยไหม  แต่ว่านะ...ต่อให้นายโรยตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์มาขอแต่งงาน  เลนเนอร์ก็คงไม่แปลกใจเท่าไรหรอก”

“ก็กำลังคิดอยู่  แต่ว่า...จะได้มีโอกาสทำแบบนั้นหรือเปล่าเถอะ”  สิ้นเสียงของเอดิสัน  วิลเลี่ยมก็อดคิดไม่ได้  การแต่งงานของอัลฟ่ากับโอเมก้า...ในสังคมปัจจุบันนี้ยังไม่ยอมรับเลยแม้แต่น้อย

“จะพยายามให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยก่อนปีหน้านะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มให้กำลังใจ  จริงๆ  แล้วเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถทำให้ทุกคนโอนอ่อนไปในความคิดนั้นได้ไหม

ทั้งคู่เงียบไปพักใหญ่  ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องเพื่อคลายบรรยากาศอึมครึม  เอดิสันใช้เวลาขับรถไม่นานในที่สุดก็ถึงบ้านของวิลเลี่ยม  ทั้งคู่นำของที่ซื้อมาซ่อนไว้ในโรงรถ  ระหว่างนั้นวิลเลี่ยมก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นเอดิสันซื้ออะไร

“ไว้ไปซื้อกับเลนเนอร์เย็นนี้”  เป็นคำตอบของเอดิสันก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าบ้านไป  ตอนนั้นเลนเนอร์กำลังดูโทรทัศน์อยู่  ส่วนเซ็ธผล็อยหลับไปข้างๆ  เห็นแบบนั้นพวกเขาเลยไม่กล้าส่งเสียงดังอะไรมาก

เอดิสันชวนเลนเนอร์กลับไปก่อน  วิลเลี่ยมจึงไปส่งสองคนนั้นที่หน้าบ้านแล้วกลับมานั่งที่โซฟา  ข้างๆ  เซ็ธที่นอนหลับอยู่  ใบหน้าตอนหลับนั้นดูไร้เดียงสาและอ่อนโยนกว่าตอนที่ทำหน้าเรียบเฉยยามปกติอีก

แต่ตอนที่วิลเลี่ยมเผลอจ้องมองอยู่  เซ็ธก็ตื่นขึ้นมา  เมื่อเห็นเขาก็ดูงุนงงไปมาก  “วิลเลี่ยม?”

“ตื่นแล้วเหรอ  จะนอนต่อก็ได้นะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  แต่อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นมานั่ง  ดูแล้วคงไม่นอนอีก  วิลเลี่ยมเลยชวนคุย  “นายอยู่บ้านนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ”  เซ็ธตอบเสียงเรียบ  แต่นั่นไม่ใช่คำตอบแบบขอไปทีเมื่อเด็กหนุ่มพูดเสริมขึ้นมา  “เหมือนกับว่าได้มีครอบครัวใหม่อีกครั้ง”

วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ  เขาไม่ได้ถามต่อว่าสำหรับอีกฝ่าย  ตัวเขานั้นมีฐานะเหมือนอะไร  บางอย่างในใจทำให้เขาไม่กล้าถามออกไป  สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ต้องเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น  เซ็ธอ่านหนังสือเล่มเก่าจบแล้วและตอนนี้ก็จมอยู่กับนิยายเรื่องใหม่  เขาเห็นปกแล้วก็กล้ารับรองได้ว่าสนุก  เด็กคนนี้คงวางไม่ลงไปอีกสักพักจึงได้เดินไปทำอาหารเย็น

จนกระทั่งถึงเวลาหกโมง  เขาก็เรียกเซ็ธไปกินข้าว  ทั้งสองคนคุยกันมากขึ้น  ยิ่งเซ็ธอ่านหนังสือที่เขาเคยอ่านไปแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เปิดอกคุยกันได้มากขึ้น 

คืนนั้นเซ็ธขอตัวไปนอนก่อนเพราะง่วงแล้ว  วิลเลี่ยมเองก็อยู่เตรียมแผนการสำหรับพรุ่งนี้จนถึงเที่ยงคืนแล้วก็เข้านอน...
-----ต่อครึ่งหลังด้านล่างค่ะ--------------------------

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 16 ครึ่งหลัง

เช้าวันต่อมา  เซ็ธตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้า  ปกติแล้วเขาจะนอนไม่ค่อยหลับจากที่ไม่ชินกับเตียงหรือเพราะอาการที่เคยเป็น  แต่เมื่อคืนวานก็ยอมรับได้ว่าหลับสบายมากขึ้น  อาจจะเป็นผลจากการที่สนิทกับวิลเลี่ยมมากขึ้น

โอเมก้าหนุ่มน้อยคนนี้ไม่กล้าที่จะเปิดใจกับใคร  แต่เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของคนคนนี้มา  ได้เห็นวิลเลี่ยมตอนประกาศการเรียกร้องสิทธิ์ให้โอเมก้า  ทั้งสีหน้า  ท่าทาง  และความคิดไม่เหมือนกับอัลฟ่าคนอื่น 

เซ็ธเคยเติบโตมาในตระกูลอัลฟ่า  แม้ตอนนั้นจะเด็กแต่เขาก็จำความขมขื่นนั้นได้ไม่มีวันลืม  ตัวเขาในตอนสี่ขวบ  วัยอันไร้เดียงสาที่อิจฉาการมีงานวันเกิดของพี่ชายจนเอ่ยปากขอมีงานวันเกิดกับพ่อ  สุดท้ายตัวเขาก็ได้รับยาพิษอันหวานหอม

ในตอนที่เขาอายุครบห้าปี  พ่อกับแม่จัดงานวันเกิดให้เขาในตอนเช้า  แม้จะเป็นงานเล็กๆ  แต่ก็ทำให้เด็กคนหนึ่งมีความสุขได้  ทว่ามันเป็นเพียงแค่ความสุขชั่ววูบเท่านั้น

เซ็ธเผลอหลับไปตอนกลางวัน  แล้วตื่นขึ้นมาตอนบ่าย  บ้านหลังน้อยที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่เหลือใครเลย  เด็กน้อยเดินไปทั่วบ้าน  ร้องเรียกหาพ่อกับแม่สุดเสียง  แต่มันเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์  ไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังนั้นอีกแล้ว  ตอนเย็นของวันนั้น  เจ้าหน้าที่จากศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าถึงได้มารับเขาไป

เพราะครอบครัวที่ให้กำเนิดเขามานั้นเป็นอัลฟ่าทั้งหมด  เมื่อเซ็ธเกิดมาจึงไม่มีใครยอมให้โอเมก้าแสนสกปรกมาร่วมอาศัยใต้คฤหาสน์เดียวกัน  พ่อกับแม่ของเซ็ธจึงซื้อบ้านหลังน้อยมาแล้วให้พี่เลี้ยงมาดูแลที่นี่  แวะมาดูหน้าเป็นครั้งคราว  เพื่อรอเวลา...รอเวลาที่จะสามารถส่งไปยังศูนย์รับเลี้ยงเด็กได้

ตั้งแต่วันนั้นมาเซ็ธก็ปิดกั้นความอยากได้ของตัวเองลง  ปิดบังความรู้สึกของตัวเองยามถูกหักหลัง  ไม่อยากรับรู้อะไรเมื่อถูกทำร้ายจากโลกใบนี้

จนกระทั่งวิลเลี่ยมเข้ามา  เซ็ธจึงค่อยๆ  เปิดใจมากขึ้น

ปกติแล้วเขามักจะเห็นวิลเลี่ยมตื่นมาในช่วงเวลานี้  แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่ตื่นเขาเลยไปเข้าห้องน้ำ  ทำธุระอาบน้ำก่อน  เรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปชั้นล่าง  เห็นโน้ตใบหนึ่งแปะไว้ข้างตู้กระจก

วิลเลี่ยมออกไปแล้ว  บอกว่าจะไปทำธุระด่วนเลยออกไปตอนเซ็ธยังไม่ตื่น  แต่ก็ทำอาหารเช้าไว้แล้วเขาจึงไปกินแล้วเก็บจานให้เรียบร้อย

เซ็ธเดินมานั่งรอที่ห้องนั่งเล่น  เปิดโทรทัศน์ดูไปพลาง  วาดรูปไปพลาง  แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไร  เด็กหนุ่มคิดเพียงแค่ว่าเมื่อไรวิลเลี่ยมจะกลับมา  รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววเสียที

ตอนนั้นเองที่เซ็ธเห็นโน้ตอีกใบสอดไว้ในหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา  เปิดอ่านดูแล้วพบว่าตอนกลางวันให้เอาขนมปังแซนด์วิชที่อยู่ในตู้เย็นมากินก่อน

แล้วเซ็ธก็นั่งรอไปจนถึงเย็น...ก็ยังไม่มีวี่แววกลับมาจนเขากังวลว่าจะเกิดเหตุอะไรไม่ดีหรือเปล่า  แต่ถ้าเกิดเขาก็ต้องเห็นหรือพลังของเขาจะไม่เสถียร  วันนี้ไม่เห็นหน้าวิลเลี่ยมเลยอาจจะมองไม่เห็นอนาคตแล้วก็ได้

เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา  ในหัวก็คิดต่างๆ  นานาว่าเหตุใดวิลเลี่ยมถึงยังไม่กลับ  นี่ก็จะมืดแล้ว  แม้จะมีเสียงโทรทัศน์เปิดอยู่แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวมันน้อยลงเลยสักนิด  เซ็ธจ้องมองไปที่ประตูรอดูว่าเมื่อไรวิลเลี่ยมจะกลับมา
แต่ขณะนั้นจู่ๆ  ก็ได้ยินเสียงของตกในห้องสมุด  เขาเลยหันไปมอง  นึกว่าวิลเลี่ยมใช้ประตูหลังเดินเข้ามา

“วิลเลี่ยม...”  เซ็ธลองร้องเรียกดู  แต่ไร้เสียงตอบรับ  เด็กหนุ่มลุกขึ้นแต่ตอนนั้นภาพในหัวตอนเด็กที่ติดตรึงอยู่ในใจพลันฉายขึ้นมา  เขาที่ถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวตลอดไป  “วิลเลี่ยม...”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา  ตอนนั้นไฟทั่วบ้านพลันดับสนิทลง  เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง  หันมองไปรอบๆ  ก็ไม่เห็นใครจนเกิดกลัวขึ้นมา

“วิลเลี่ยม...ช่วยด้วย”  น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นเครือ  ตอนนั้นเองที่เขาพลันได้ยินเสียงเรียกตอบกลับมา  “เซ็ธ”
เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียง  ตอนนั้นเองที่ทำให้เขาเบิกตากว้าง  ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออก  พร้อมแสงไฟที่ส้มอ่อนที่ค่อยๆ  เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมร่างหนึ่งที่ถือมันมา

ไฟในบ้านกลับมาสว่างขึ้นอีกครั้ง  ทำให้เซ็ธเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน  วิลเลี่ยมเดินเข้ามาใกล้พร้อมเค้กก้อนหนึ่งที่จุดเทียนไว้พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม  ต่อจากนั้นเลนเนอร์กับเอดิสันก็เดินเข้ามาแล้วร้องเพลงอวยพรวันเกิดขึ้น

เซ็ธยืนนิ่งไปชั่วขณะ  มองคนตรงหน้าด้วยความสับสน  วิลเลี่ยมยิ้มให้อีกครั้งเมื่อเพลงจบ  ก่อนจะบอกว่า  “สุขสันต์วันเกิดนะ  เซ็ธ  ขอให้มีความสุขมากๆ  เอ้า  เป่าเทียนเลย”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นก้อนเค้กมาให้  เด็กหนุ่มก็กัดริมฝีปากแน่น  ดันเอาเค้กก้อนนั้นไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆ  ก่อนที่จะสบตากับวิลเลี่ยมอีกครั้ง  อีกฝ่ายจึงเห็นว่าเซ็ธสีหน้าไม่เหมือนกับปกติ  “เซ็ธ  เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ฮึก...”  เซ็ธสูดลมหายใจเข้าขณะสะอื้น  เมื่อถูกถามเช่นนั้นก็ปล่อยโฮออกมาทันทีพร้อมกับสวมกอดวิลเลี่ยมไว้  น้ำตามากมายรินไหลออกมาท่ามกลางความตกใจของคนที่เหลือ  โดยเฉพาะวิลเลี่ยมที่ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก

“เมื่อกี้...ผมกลัว...กลัวมากด้วย”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงสะอื้นขณะกอดรัดวิลเลี่ยมไว้แน่น  ตอนนั้นเองที่เอดิสันหันมาถลึงตาใส่เพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกประมาณว่า  ‘บอกแล้วว่าอย่าเล่นแบบนี้!’  เพราะเคยเตือนมาแล้วเกี่ยวกับแผนการเซอร์ไพรส์ของอีกฝ่าย
วิลเลี่ยมคิดจะเอ่ยปากขอโทษตอนนั้น  แต่เซ็ธก็เอ่ยขึ้นมาพอดีว่า  “ผมนึกว่าคุณจะทิ้งผมไป  ทิ้งผมให้อยู่คนเดียว  ฮึก...เหมือนกับพ่อแม่”

“เซ็ธ”  ชายหนุ่มเอ่ยเรียกขึ้นขณะเอื้อมมือมาจับไหล่ของเซ็ธให้ออกจากตัวแล้วมองหน้าตน  “ไม่ต้องร้อง  ไม่มีอะไรแล้ว”
วิลเลี่ยมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เด็กหนุ่ม  แล้วเอ่ยอย่างปลอบโยนว่า  “จะไม่มีใครกล้าทิ้งนายอีกแล้ว  ฉันจะไม่มีวันแยกจากกับนาย  ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”

เซ็ธสูดจมูกเสียงดังก่อนจะเช็ดน้ำตาที่เปรอะหน้า  แม้จะแก้ความเข้าใจผิดกันได้แล้วแต่เด็กหนุ่มก็ยังงุนงงอยู่  “แล้วนี่มันอะไรกันครับ  ทำไมคุณถึงไม่อยู่บ้านทั้งวันเลย”

“เป็นแผนการเซอร์ไพรส์วันเกิดจากเจ้าหมอนี่น่ะ  แกล้งไม่อยู่ทั้งวันแล้วมาเซอร์ไพรส์ตอนกลางคืนแบบนี้  เฮ้อ  คราวหลังอย่าเล่นอีกนะ”  เอดิสันเฉลยขึ้นก่อนจะแยกเขี้ยวตำหนิวิลเลี่ยม  เห็นเด็กร้องไห้แล้วก็ใช่ว่าเขาจะใจแข็งทนมองได้เสียเมื่อไร

“เรื่องนั้นต้องขออภัยจริงๆ  ครับ  ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเด็ดขาด”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความสำนึกผิดแล้วคุกเข่าลงขอขมาต่อหน้าเด็กหนุ่ม  ทั้งนี้ก็ยังจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาหมายมั่นจะสัญญา  แต่เลนเนอร์กลับขัดขึ้นก่อน  “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ  เซ็ธ  หลับตาแล้วอธิษฐานเลย  เป่าเทียนเถอะก่อนที่น้ำตาเทียนจะละลายไปลงกับเค้ก”

“อ๊ะ  ครับ”  เซ็ธโดนดึงความสนใจไปหาเค้ก  เล่นเอาคนที่ทุ่มตัวลงไปหมอบราบกับพื้นเสียจังหวะรีบเด้งขึ้นมาก่อนเพื่อถ่ายรูปจังหวะเป่าเทียนอันเป็นเอกลักษณ์ของงานวันเกิดให้ทัน  เซ็ธหลับตาแล้วอธิษฐานแม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความงุนงงก่อนจะเป่าให้เทียนดับ

เมื่อเทียนดับเรียบร้อยพวกเขาก็ไปนั่งที่โซฟา  รอกินเค้กที่วิลเลี่ยมอาสาตัดให้  แต่เสียเวลาตรงที่คนตัดพยายามคำนวณให้ชิ้นส่วนมันเท่ากันจนเอดิสันเริ่มมีน้ำโห  ก่อนจะเปิดฉากทะเลาะกันเลนเนอร์ก็ห้ามไว้แล้วเดินไปหยิบเครื่องเคียงของทานเล่นที่เตรียมไว้ออกมาเสิร์ฟ

เซ็ธได้รับของขวัญมาจากทั้งสามคน  แต่มีเจ็ดกล่อง  วิลเลี่ยมเชียร์ให้เปิดออกเลยทำให้เด็กหนุ่มต้องมานั่งเปิดทีละกล่อง
อันแรกเป็นของเลนเนอร์  ซึ่งซื้อกล่องดนตรีให้  เพราะคิดว่าทำนองของมันจะทำให้จิตใจผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
ส่วนของเอดิสันเป็นชุดยาสำหรับโอเมก้าแบบพิเศษ  ซึ่งขอมาจากบริษัท

ต่อมาเป็นของวิลเลี่ยม  เซ็ธคิดว่าจริงๆ  มันควรมีแค่สามกล่องเพราะผู้ร่วมงานมีแค่สามคน  เขาจึงดูจ่าหน้าว่าของใครในบรรดากล่องที่เหลือ  ปรากฏว่ามีวิลเลี่ยมอีกกล่อง  แล้วก็อีกกล่อง  และอีกกล่อง

สรุปว่ากล่องที่เหลือเป็นของจากวิลเลี่ยมทั้งหมด

“ก็เขาบอกใส่รวมกันไม่ได้  ก็เลยต้องแยกกล่องมานี่”  วิลเลี่ยมแก้ตัวเมื่อเห็นสายตากังขาจากเพื่อนสนิทตัวเอง  แต่เจ้าของงานก็ไม่ได้ติดใจอะไรซ้ำยังยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ขอบคุณนะครับ”

เซ็ธแกะกล่องของขวัญต่อ  กล่องใบที่หนึ่งเป็นตุ๊กตาแมวน้ำตัวอ้วนกลม  วิลเลี่ยมเฉลยว่ามีกล่องตุ๊กตาสี่กล่อง  เพราะฉะนั้นที่เหลือจึงเป็นตุ๊กตารูปแมว  หมีขาว  และแฮมสเตอร์ขนาดกำลังกอดได้พอดี  ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับอึ้งไปชั่วขณะแต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ให้ของขวัญมา

“ขอบคุณนะครับ  เป็น...เป็นวันเกิดปีแรกที่ผมมีความสุขมากๆ”  เซ็ธกล่าวขึ้นทั้งรอยยิ้ม  ที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเขาก็ไม่กล้ามีวันเกิดอีกเลย  เพราะจำฝังใจว่านั่นจะทำให้ตัวเองถูกทิ้ง

“ยังเหลือของขวัญอีกชิ้นที่ยังไม่เปิดนะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะยื่นกล่องใบเล็กมาให้เขา  เซ็ธเลยรับมาเปิดแต่โดยดี
ในนั้นมีสิ่งหนึ่งวางไว้อยู่  มันเป็นปลอกคอสีดำเส้นหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก  เหมือนๆ  กับของโอเมก้าทั่วๆ  ไป  แต่วิลเลี่ยมกับเอดิสันที่เคยสั่งมาก่อนย่อมรู้ดีว่าหนังมันทำมาเป็นพิเศษ  และมีกลไกระบบปลดออกเพื่อความปลอดภัย

วิลเลี่ยมเห็นว่าหากจะพาเซ็ธออกไปข้างนอกก็ต้องทำให้ปลอดภัยจากเงื้อมมือพวกอัลฟ่าเสียก่อน  ปลอกคอถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ดีมาก

“ให้ผมใช้หรือครับ?”  เด็กหนุ่มถามขึ้น  เพราะแต่ก่อนอยู่ในโรงพยาบาลไม่มีความจำเป็นจะต้องใส่  วิลเลี่ยมพยักหน้าเป็นคำตอบเซ็ธจึงเอ่ยขึ้นว่า  “ขอบคุณนะครับ  แต่ว่า...นี่มันคืออะไรเหรอครับ?”

อีกฝ่ายชี้ไปยังลายเส้นสีขาวที่ตวัดไปมาเป็นตัวอักษร  ชื่อของวิลเลี่ยม

“ก็...ถึงจะมีปลอกคอแล้วก็ใช่ว่าพวกอัลฟ่าจะไม่มายุ่งด้วยเด็ดขาดนี่”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  “เพราะฉะนั้นฉันเลยคิดว่าทำเป็นว่ามีคนจองไว้แล้ว  จะได้ไม่มีปัญหาอะไร  พวกอัลฟ่าไม่ค่อยชอบยุ่งกับโอเมก้าที่มีเจ้าของแล้วหรอก”

“แต่เขายังไม่มีรอยกัดเลยนะ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้น  เขามีปลอกคอเหมือนกันแต่ก็มีรอยกัดด้านหลังตรงสัญลักษณ์โอเมก้าทำให้อัลฟ่าคนอื่นรู้ว่ามีคนเป็นเจ้าของแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องมีรอยกัดหรอก  ฉันตั้งใจทิ้งชื่อฉันไว้บนปลอกคอเพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่า  ‘เด็กคนนี้เป็นของฉัน’  น่ะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  ก่อนจะหันไปถามความเห็นเซ็ธว่า  “นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ  แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรแต่เขาคิดว่าทำแบบนี้ก็คงไม่เป็นอะไร

“ก็แค่เอาไว้ขู่พวกอัลฟ่าเฉยๆ  ใช่ไหม  ไม่ได้คิดจริง”  เอดิสันตั้งคำถามขึ้นกับเพื่อนสนิท  อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มบางๆ  กลับมาก่อนที่จะบอกปัด 

“เลิกคุยเรื่องนี้ก่อนเถอะ  ตอนนี้ต้องฉลองงานวันเกิดให้เซ็ธสิ  เนอะ”

วิลเลี่ยมเดินเข้าไปดึงตัวเซ็ธมาใกล้แล้วเริ่มฉลองวันเกิดขึ้นอีกครั้ง

แม้จะมีผู้ร่วมงานแค่สามคน  แม้จะไม่มีงานวันเกิดมานับสิบปี  แต่เซ็ธกลับรู้สึกว่านี่คืองานวันเกิดที่วิเศษที่สุด 
-------------------------
ฮือออ อบอุ่นแทนน้องเซ็ธ มาเป็นกำลังใจให้น้องและวิลกันนะคะ #วิลจะสู้เพื่อน้องเซ็ธ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 7
ข่าวลือ

เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้วิลเลี่ยมที่กำลังทำซุปอยู่ชะงัก  เขาหรี่ไฟหม้อลงแล้วเดินไปดูพลางนึกสงสัยว่าใครกันมาเช้าปานนี้  เมื่อเปิดประตูดูก็เจอไมเคิล นักข่าวเบต้าหนุ่มที่ยืนตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าอยู่


วิลเลี่ยมเลิกคิ้วขึ้นทันทีแล้วทักทายด้วยความสงสัย  “อ้าว  นายนั่นเอง  มีอะไรแต่เช้า”


“ก็เรื่องคุณนั่นแหละ”  อีกฝ่ายตอบมาด้วยน้ำเสียงที่อิดโรย  “เขาลือกันให้แซดว่าคุณซุกโอเมก้าเด็กไว้ในบ้าน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นวิลเลี่ยมก็ถึงกับตัวแข็งค้าง  คล้ายจะได้ยินเสียงเอดิสันด่าทอตัวเองขึ้นมาในหัวทั้งๆ  ที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่แถวนี้  เขารีบมองไปรอบๆ  เมื่อไม่เห็นใครอยู่ก็ขอให้ไมเคิลตามเข้ามาในบ้าน


“รอแปบนึงนะ”  เจ้าตัวบอกก่อนที่จะเดินไปในครัวเพื่อทำอาหารต่อให้เสร็จ  จากนั้นก็เดินมานั่งที่โซฟาแล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายพูด  “ว่ามา”


“เข้าเรื่องเลยนะครับ  จริงหรือเปล่าครับที่คุณซุกเด็กโอเมก้าไว้ที่บ้านตัวเอง”  ไมเคิลถามเปิดขึ้นทำให้วิลเลี่ยมยิ้มเจื่อน  อันที่จริงก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบัง  แต่ไอ้เรื่องสาเหตุที่ว่าทำไมถึงรับมาเลี้ยงย่อมถูกถามตามมาอย่างแน่นอน  ในส่วนของเรื่องนั้นเขาไม่ต้องการให้รับรู้...อย่างน้อยก็ในตอนนี้


แต่คนตรงหน้าก็ถือว่าเป็นนักข่าวที่ไว้วางใจได้  หลังจากสัมภาษณ์เสร็จในคราวนั้น  วิลเลี่ยมก็เคยติดต่อขอข้อมูลบางอย่างกับไมเคิลอยู่หลายครั้ง  นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้เจอหน้ากัน  แล้วเป็นการเจอกันที่มาพร้อมกับเรื่องใหญ่  เขาเชื่อว่าตอนนี้ในแวดวงคนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของเขาย่อมกำลังโหมข่าวลือให้แผ่ไปอยู่


“เป็นความจริงที่ผมรับเด็กโอเมก้าคนหนึ่งมาเลี้ยง”  วิลเลี่ยมตอบด้วยสีหน้าปกติ  อีกฝ่ายตาโตขึ้นทันที  แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรเขาก็ได้แทรกขึ้นก่อน  “แต่ก็แค่เลี้ยงดูในฐานะเด็กในอุปการะคนหนึ่งเท่านั้นครับ  ก่อนหน้านี้เขาประสบปัญหาบางอย่างทำให้อยู่ที่เดิมไม่ได้  และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่องานวิจัยของผม”


“เกี่ยวข้องกับงานวิจัยของคุณยังไงครับ?”  อีกฝ่ายถามขึ้นตามสัญชาตญาณ  วิลเลี่ยมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “เขาเป็นเด็กที่พิเศษ  เป็นโอเมก้าที่ต่างไปจากคนอื่น”


“ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูดเลย  อีกอย่างคุณจะยอมให้คนอื่นเข้าใจแบบข่าวลือหรือ  ตอนนี้มีแต่คนคิดว่าคุณร่วมเตียงกับเด็กแล้ว  อาจจะมีตำรวจมาเคาะประตูหน้าบ้านเร็วๆ  นี้ก็ได้”  ไมเคิลเอ่ยขึ้นในสิ่งที่เป็นไปได้แต่นั่นก็ทำให้วิลเลี่ยมเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ 


“ทำไมคนต้องเข้าใจว่าเวลาอัลฟ่าอยู่กับโอเมก้าต้องมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วย”


“อันนี้ผมก็ไม่รู้”


“ผมก็ไม่ได้ต้องการให้คุณตอบสักเท่าไร  แต่ผมสาบานได้  ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น  อย่าทำให้เด็กอันไร้เดียงสาต้องมาแปดเปื้อนเรื่องแบบนี้สิ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นสีหน้าจริงจังยามต้องการให้อีกฝ่ายเชื่อและปั้นยิ้มตบท้าย  ก่อนที่อีกฝ่ายจะถอนหายใจ 


“โอเมก้าน่ะ...ต่อให้เป็นเด็กก็มีสิทธิ์ที่จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้  คุณจะให้ทำอย่างไร”


“คุณก็ทำอะไรสักอย่างสิ  ผมอ่านหนังสือพิมพ์ที่คุณเขียนแล้วใช้ได้แล้ว  ดูท่าทักษะการดึงคนให้คล้อยตามจะเป็นทักษะพิเศษของคุณสินะ”  วิลเลี่ยมว่าด้วยรอยยิ้มทำให้อีกฝ่ายชะงักไปชั่วขณะกับความรอบรู้ของอีกฝ่ายก่อนที่จะยิ้มเจื่อน 


“ผมทำได้ที่ไหน...”


“เท่าไร”  วิลเลี่ยมถามขึ้นสั้นๆ  เป็นอันเข้าใจ  ทำให้ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้น 


“ผมไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้หรอก  ต้องไปคุยกับหัวหน้าก่อน  เขาเป็นกลางและกระหายความจริงอยู่”


“งั้นก็จัดการง่ายหน่อย  แต่คงไม่ทำให้ฟรีๆ  ใช่ไหม  บอกเขาว่าเรื่องเงินไม่มีปัญหา”  วิลเลี่ยมกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่ไมเคิลก็ยังไม่คลายสีหน้ากังวล  “แต่จะให้ผมเขียนว่าอะไรล่ะ  ผมหาข้ออ้างอะไรไม่ได้หรอกนะ”


“งั้นเหรอ  อืม...ถ้างั้นผมจะบอกความจริงให้คุณฟัง  แค่คุณคนเดียว”  ศาสตราจารย์หนุ่มเอ่ยขึ้น  ดวงตาหรี่ลงมองคนตรงหน้าไม่ให้ขยับสายตาไปไหน  ไมเคิลนิ่งค้างไปทันทีเพื่อรอฟังเขา  “เขาเป็นเด็กที่มีพลังพิเศษ  ไม่ใช่ในระดับเบต้า  แต่มีพลังจิตอยู่ในระดับของอัลฟ่าเลยล่ะ”


“เรื่องนั้นเป็นไปได้ด้วยหรือครับ?”  ไมเคิลตั้งคำถามขึ้นทันที  วิลเลี่ยมเพียงแค่หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมขึ้นและพูดขึ้นต่อ 


“จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องพิสูจน์เองครับ  พลังของเขาเองตอนนี้ก็ค่อนข้างหายากในหมู่อัลฟ่าด้วย  ที่ผมต้องปิดบังเขาไว้ก็เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับเขา”


ไมเคิลแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  แต่หากนี่เป็นความจริง  เขาก็ค่อนข้างจะเข้าใจเหตุผลที่วิลเลี่ยมปิดบังตัวตนของเด็กคนนี้ไว้แล้ว  โอเมก้าที่มีพลังจิต  พลังจิตที่แบ่งชนชั้นระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้ามาโดยตลอด  สิ่งนี้อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบชนชั้นในสังคมมนุษย์ในภายภาคหน้า


วิลเลี่ยมลุกขึ้น  เดินเข้ามาใกล้ไมเคิลแล้วก้มหน้าลง  กระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคนว่า  “ผมเชื่อใจคุณนะถึงยอมเล่าให้ฟังขนาดนี้  ถ้าหากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป...อา  เลี้ยงดูน้องสาวกับแม่ที่ป่วยแบบนี้ตัวคนเดียวก็ลำบากนะครับ  ถ้าพวกเขาเสียเสาหลักแบบคุณไปคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่”


ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น  ก่อนจะยิ้มตบท้าย 


“เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อนะครับ”  พูดเช่นนี้แล้วเดินจากไป  ทิ้งให้ไมเคิลนั่งเหงื่อตกอยู่ที่โซฟา  วิลเลี่ยมที่ดูอ่อนโยนนั้นเมื่อครู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนเยือกเย็นจนคิดว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น  แม้แต่ข้อมูลที่เขาพยายามปิดมาโดยตลอดยังสามารถล่วงรู้ได้  นักข่าวหนุ่มคิดว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา


“อ๊ะ  ตื่นแล้วเหรอ”  น้ำเสียงสดใสของวิลเลี่ยมดังขึ้นทำให้ไมเคิลตื่นจากห้วงภวังค์  เขารีบเงยหน้าขึ้นเห็นอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ตรงบันได  รอใครบางคนเดินลงมา  ไม่นานร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น  อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา


ไมเคิลรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าเพราะปลอกคอที่สวมอยู่  ใบหน้าเรียบเฉยนั้นมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละไปตามเสียงของวิลเลี่ยม  นักข่าวหนุ่มลอบสังเกตที่หลังคอที่มีเส้นผมสีดำปิดบังไว้เล็กน้อยแต่พอเห็นว่ายังไม่มีการตีตราที่สัญลักษณ์ของพวกโอเมก้า  ท่าทางสิ่งที่วิลเลี่ยมพูดจะเป็นความจริง


“ไหนๆ  คุณก็มาทันเวลาอาหารเช้าแล้วก็มาทานด้วยกันสิ”  วิลเลี่ยมเอ่ยชวนขึ้นขณะตักซุปใส่ถ้วยใบที่สามให้เขา  ไมเคิลเองแม้จะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ยังยืนนิ่งๆ  อยู่หน้าครัวจนอีกฝ่ายนึกขำ  “ไม่มียาพิษหรอกน่า  คิดว่าผมเป็นคนยังไงกัน”


มาแบบนี้เขาก็เริ่มคิดแล้วล่ะว่าอาจจะมี  แต่ดูแล้วคงไม่มีทางเกิดขึ้น  วิลเลี่ยมต้องการใช้เขาเป็นสื่อในการหยุดข่าวลือพวกนั้น 


ไมเคิลนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งเดียวกับวิลเลี่ยม  ส่วนฝั่งตรงข้ามของศาสตราจารย์หนุ่มนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่เขายังไม่รู้จักชื่อ  อีกฝ่ายกินอย่างเดียวไม่สนใจรอบข้าง  เห็นแล้วรับรู้ถึงความรู้สึกกดดันแปลกๆ  ซุปในถ้วยก็ไม่ได้รสชาติอร่อยมากนั้น  เขาเลยจำใจกินไปจนหมดแล้วคิดจะออกไปทำงานต่อ


ตอนที่วิลเลี่ยมกำลังเก็บจานไปล้างและเขากำลังจะออกจากห้องครัว  จู่ๆ  ชายเสื้อก็ถูกใครบางคนดึงไว้  เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มโอเมก้าคนนั้น


“มีอะไรหรือ?”  ไมเคิลถามด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ตอนเที่ยง  ระวังปลั๊กไฟระเบิด  ไม่งั้นมือคุณจะใช้การไม่ได้ไปอีกตลอดชีวิต”


“หา?”  นักข่าวหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว  เมื่อหันไปมองวิลเลี่ยมก็เห็นว่าอีกฝ่ายยืนยิ้มอยู่  “เชื่อไว้บ้างก็ดีนะ”


ไมเคิลถึงกับงุนงงไปหลายนาที  เด็กหนุ่มคนนั้นปล่อยเขาแล้วก็เดินจากไป  นักข่าวหนุ่มเลยขอตัวกลับไปทำงานต่อ


“เดี๋ยวนี้ระบุเวลาได้แล้วเหรอ”  วิลเลี่ยมถามขึ้นเมื่อไมเคิลกลับไปแล้ว  เซ็ธที่ไปหยิบอุปกรณ์วาดรูปมาจึงเงยหน้าขึ้นมาตอบช้าๆ  “ผมเห็นนาฬิกา...พอจิตใจสงบแล้วเหมือนว่าจะมองเห็นสถานการณ์รอบๆ  ได้มากขึ้น”


“หืม  น่าสนใจดีนี่”  วิลเลี่ยมพึมพำขึ้นก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆ 


หลังจากเงียบไปนานเซ็ธก็ถามขึ้นว่า  “คนเมื่อกี้...เป็นใครหรือครับ”


“ไมเคิลน่ะเหรอ  เขาเป็นนักข่าวที่ช่วยงานฉันหลายๆ  อย่างน่ะ”  วิลเลี่ยมตอบก่อนที่จะเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาพิมพ์ข้อมูลที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืนสลับกับเขียนในสมุดจดข้างๆ  ส่วนเซ็ธก็นั่งวาดรูปเงียบๆ  ตั้งแต่ได้อุปกรณ์สีมาใหม่ก็ดูสนุกกับการวาดรูปขึ้น  แล้วจิตใจดูสงบขึ้นกว่าตอนที่พามาที่นี่ใหม่ๆ


“อ้า  จริงสิ”  หลังจากผ่านไปสักพัก  วิลเลี่ยมก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหันไปบอกเซ็ธว่า  “พรุ่งนี้ฉันจะไม่อยู่นะ  ต้องไปทำงานวิจัยนอกสถานที่  กับให้คำแนะนำนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย  ถ้ายังไง...ไปอยู่กับเลนเนอร์ก่อนไหม”


“กับ...เลนเนอร์”  เด็กหนุ่มดูตกใจไปชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้ายอมรับ  “ครับ  เข้าใจแล้วครับ”


“ขอโทษนะ  จริงๆ  ก็อยากพานายไปด้วยนั่นแหละ  แต่...” 


“ไม่เป็นไรครับ  ผมอยู่กับเลนเนอร์ได้  ไม่มีปัญหา”  เซ็ธตอบเสียงเรียบขณะที่ยังก้มหน้าก้มตาวาดรูปอยู่  เล่นเอาคนที่ยังพูดไม่จบตาค้างไปแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อแล้วกลับไปทำงานในส่วนนี้  หากไม่ใช่เพราะเส้นตายคือวันพรุ่งนี้เขาก็คงไม่มานั่งปั่นไฟลุกแบบนี้หรอก


วันนั้นทั้งวันวิลเลี่ยมแทบไม่ทำอะไรมากไปกว่าการทำงาน  ส่วนเซ็ธนั้นปกติก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วจึงวาดรูปวิวหน้าบ้านจนเสร็จ  ตอนที่พวกเขากำลังกินอาหารกลางวันอยู่  จู่ๆ  ไมเคิลก็ติดต่อมาทางโทรศัพท์


“ปลั๊กไฟระเบิด!”  เป็นคำแรกที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง  ดูท่าครั้งนี้พลังจิตของเซ็ธก็ยังคงแม่นยำดี  วิลเลี่ยมไม่ต้องเสียเวลาถามอะไรอีกฝ่ายก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังทันที  พอถึงเวลาเที่ยงแล้วไมเคิลกลับไปถึงสถานี  ตั้งใจว่าจะทำงานแต่คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ไม่ติด  เลยก้มไปเช็กปลั๊กไฟ  ทว่าก็นึกถึงคำพูดของเซ็ธได้เลยชะงัก  และตอนที่กำลังชักมือกลับจู่ๆ  ปลั๊กไฟก็ระเบิดขึ้นเล่นเอาทั้งที่ทำงานวุ่นวายไปหมด


ช่างไฟเช็กดูแล้วสาเหตุเป็นเพราะเต้ารับมีปลั๊กเสียบอยู่มากเกินไปจนเสื่อมสภาพเร็วเลยระเบิด  ไมเคิลที่อยู่ใกล้สุดนั้นโดนแค่สะเก็ดไฟเล็กน้อยไม่ได้เป็นอะไรมาก  แต่ตัวเขานั้นตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องของเซ็ธไม่น้อย


“ผมเชื่อคุณแล้ว  ผมเชื่อคุณแล้ว”  อีกฝ่ายพึมพำผ่านโทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงระคนตื่นเต้น  “ผมอยากทำเรื่องของเด็กคนนั้น”


“ไม่ได้” แต่วิลเลี่ยมกลับปฏิเสธไปเสียงเรียบ  “ยังไม่ถึงเวลา”


“ทำไมหรือครับ”


“เด็กคนนั้นยังไม่พร้อม  ผมคิดว่าถ้าถึงเวลาจริงๆ  แล้วผมจะเรียกคุณมาเอง”  วิลเลี่ยมเอ่ยเช่นนั้นก่อนที่ไมเคิลจะจำใจตอบรับแล้ววางสายไป


เรื่องนี้ถือว่าเป็นข่าวใหญ่  แต่สำหรับวิลเลี่ยมแล้วมันยังใหญ่กว่านี้ได้  ในตอนนี้ยังไม่มีเวทีไหนให้โอเมก้ายืน


หลังจากมื้อเย็นวันนั้น  เซ็ธก็ขอตัวไปนอนในห้องเพื่ออ่านหนังสือ  ส่วนเขาก็นั่งทำงานในห้องตัวเองจนถึงตีสองแล้วหลับไป


ตื่นมาตอนหกโมงก็ลงมาทำอาหารเช้ารอ  ก่อนจะขึ้นไปปลุกเซ็ธให้ลงมา  เด็กหนุ่มในชุดนอนยังคงนอนขดเป็นเด็กๆ  อยู่จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าจะไม่ปวดหลังเหรอ  ดีที่อีกฝ่ายตื่นง่าย  แม้จะงัวเงียก็ลุกขึ้นมาอย่างว่าง่าย  พอเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าก็เรียกได้ว่าตื่นแล้ว


วิลเลี่ยมให้เซ็ธแต่งตัวในชุดลำลองแล้วให้ลงมากินข้าวเลย  เมื่อทานเสร็จแล้วกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพอดี  พอไปเปิดก็เห็นเลนเนอร์ยืนอยู่หน้าบ้าน


“เข้ามาสิ  กำลังรออยู่พอดี”  วิลเลี่ยมทักทายขึ้นก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายเข้ามา  เลนเนอร์ทักทายเขาก่อนที่จะไปหาเซ็ธแล้วถามว่า  “วันนี้ไม่ว่าอะไรใช่ไหมที่ต้องอยู่กับฉัน”


“ผมไม่ว่าอะไรหรอก  ดีใจด้วยซ้ำ”  เซ็ธเอ่ยขึ้นตามที่ตนคิด  เลนเนอร์รอให้อีกฝ่ายเตรียมของใส่กระเป๋าให้พร้อมก็พาออกไปที่รถ  วิลเลี่ยมยังคงตามมาส่งแม้ว่าจะมีสายเรียกเข้าโทรตามให้ไปทำงานได้แล้วก็ยังคงโบกมือส่งจนสุดสายตา


“วิลเลี่ยมเนี่ยเหลือเกินจริงๆ  เลยนะ”  เลนเนอร์บ่นขึ้นพลางทอดถอนหายใจอย่างเหลืออด  เด็กที่อยู่ข้างๆ  เขายังไม่ค่อยเข้าใจและได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทาง


จริงๆ  แล้วเลนเนอร์ก็เคยตั้งใจจะให้เซ็ธลองเข้าสังคมดูบ้างเลยถามวิลเลี่ยมดู  เมื่อมีโอกาสแล้วอีกฝ่ายก็ติดต่อให้เขามารับเด็กหนุ่มไปดูแล


“เธอเองก็เคยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กมาใช่ไหม”  เลนเนอร์ถามขึ้นระหว่างที่กำลังขับรถไป  เซ็ธหันมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง  ก่อนจะตัดสินใจตอบไปตามความจริง  “ครับ  เคยอยู่...เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีทั้งเบต้าและอัลฟ่าอยู่”


“ลำบากแย่เลยนะ”  เลนเนอร์ไม่ได้ว่าอะไรต่อ  แค่พึมพำไปเช่นนั้นแล้วบทสนทนาก็จบลง  เขาเคยได้ข้อมูลสถานรับเลี้ยงเด็กนั่นมาแล้ว  ส่วนใหญ่เด็กที่นั่นจะเป็นเด็กที่ผู้ปกครองไม่ค่อยมีเวลาดูแล


“ถึงแล้วล่ะ”  เลนเนอร์ชะลอความเร็วรถลงแล้วเลี้ยวเข้าไปในสถานที่หนึ่ง  เซ็ธเห็นป้ายหน้ากำแพงเขียนว่า  ‘สถานรับเลี้ยงเด็กโรฟาน’  ตอนที่กำลังเข้าไป  เขาจึงหันไปมองคนขับรถที่กำลังขับเข้าที่โรงจอด


เลนเนอร์เองก็คงรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อเลยบอกก่อนว่า  “ฉันทำงานเป็นคนดูแลเด็กที่นี่น่ะ  นอกจากฉันก็มีลูกจ้างอีกสองคน  วันนี้ลาไปคนหนึ่งเลยให้เธอมาช่วยงานน่ะ”


“ช่วย?”  เซ็ธทวนคำอย่างไม่เชื่อหู  “ผมจะช่วยอะไรได้”


“ลองมาดูก่อนเดี๋ยวก็รู้  เอาล่ะ  ลงกันเถอะ”  ว่าแล้วเลนเนอร์ก็เปิดประตูรถออกไป  เซ็ธเลยลงมาด้วยแล้วตามอีกฝ่ายไป


“ที่นี่เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีแต่โอเมก้า  พวกคนทำงานที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกก็จะนำมาฝากไว้  เพราะพวกเขาไม่ค่อยมีรายได้  ค่าเลี้ยงดูเลยต่ำมากน่ะ  จะว่าเป็นการกุศลก็ว่าได้”  เลนเนอร์อธิบายขณะพาเขาเข้าไปยังอาคารชั้นเดียวที่สภาพภายนอกดูใหม่มากๆ  “เมื่อปีที่แล้วได้รับการบริจาคจากเอดิสันก็เลยได้ฟื้นฟูอะไรหลายๆ  อย่างเลย”


เซ็ธเดินตามอีกฝ่ายไปจนห้องใหญ่ห้องหนึ่ง  เลนเนอร์เลื่อนประตูที่ครึ่งบนเป็นกระจกออกแล้วเข้าไปข้างใน  เสียงของพวกเด็กๆ  ดังขึ้นมาอย่างดีใจ


“เลนเนอร์มาแล้ว!”  “เลนเนอร์!” 


เด็กๆ  นับสิบกว่าคนกรูกันเข้ามาหาเลนเนอร์ทันที  อีกฝ่ายเองก็ย่อตัวลงไปโอบกอดพวกเด็กๆ  ไว้  “อรุณสวัสดิ์  ทุกคน”


“อรุณซาหวัด!”  พวกเด็กๆ  ขายขึ้นพร้อมๆ  กัน  ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วหันมาจูงมือเซ็ธให้เข้ามาข้างใน  ในห้องนั้นนอกจากพวกเด็กๆ  ก็ยังมีเด็กสาวอีกคนหนึ่งยืนอยู่  พอเธอเห็นเลนเนอร์ก็เข้ามาหา  ในมือมีเด็กทารกวัยประมาณสองขวบอยู่


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ  คุณครู”  เธอโค้งหัวให้ด้วยความเคารพแล้วส่งเด็กทารกที่อุ้มอยู่ให้เลนเนอร์  ฝ่ายหลังเองก็ตอบรับอย่างเป็นกันเองว่า  “อรุณสวัสดิ์  เคธี่  บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ใช่คุณครูสักหน่อย”


“แต่คุณก็เคยจะเป็นไม่ใช่เหรอ  อีกอย่างฉันคิดว่าคุณน่ะเหมาะกับคำว่าคุณครูแล้ว”  เด็กสาวตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ก่อนจะหันมามองเขาทำให้เซ็ธตัวเกร็ง  “เด็กคนนี้คือใครหรือคะ?”


“คนรู้จักนะ  วันนี้เขาจะมาช่วยงานในส่วนของฉัน”  เลนเนอร์ตอบอีกฝ่ายไปก่อนจะหันมาหาเซ็ธ  “เซ็ธ  นี่เคธี่  เป็นแม่ครัวของที่นี่  ส่วนเคธี่  นี่เซ็ธนะ”


“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”  เคธี่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  เธอมีเส้นผมสีแดงสดใสช่วยให้ภาพลักษณ์ของเธอดูร่าเริงมากยิ่งขึ้น  และความสดใสนั้นก็ทำให้เซ็ธเกร็งตัวมากขึ้น  “ยะ...ยินดีที่ได้รู้จัก”


“ขี้อายเหรอ?  ไม่ได้นะ  เดี๋ยวก็ถูกจับกินหรอก”  คำพูดของเคธี่ทำให้เซ็ธชะงัก  อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้แล้วตบไหล่ของเขา  “วันนี้ก็พยายามเข้านะ  ถ้ามีอะไรก็ถามฉันได้เลย”


“อะ...อืม”


“งั้นไปซื้อของก่อนนะ  คุณครู  ฝากลูกสาวของหนูด้วยนะคะ”  เคธี่ว่าแล้วก็หันไปโบกมือลาเด็กๆ  แล้ววิ่งออกไป  เลนเนอร์เองก็โบกมือลาเธอเหมือนกันก่อนที่จะหันมาหาเขา


“เคธี่เป็นเด็กที่ทำงานอยู่ที่นี่น่ะ  พ่อกับแม่ของเธอเป็นเบต้าและเปิดร้านอาหารอยู่แถวนี้เลยทำอาหารเก่งทีเดียว  เพราะไม่มีใครอยากรับโอเมก้ามาทำงานฉันก็เลยจ้างเธอไว้น่ะ”  เลนเนอร์อธิบายขึ้น  แล้วเซ็ธก็พลันสัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่จ้องมองมา


“เลนเนอร์  พี่ชายคนนี้ใครเหรอคะ?”  เด็กหญิงคนหนึ่งถามขึ้นมาขณะที่จ้องมองเซ็ธด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


“พี่ชายคนนี้ชื่อเซ็ธนะ  วันนี้จะมาเป็นพี่เลี้ยงของพวกเธอ”  เลนเนอร์อธิบายขึ้นทำให้พวกเด็กๆ  ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจแล้วหันมาทักทาย  “สวัสดีค่า/คร้าบ”


“อะ...เอ่อ...”  คนที่จู่ๆ  ก็ถูกเด็กมากมายห้อมล้อมไว้ก็เริ่มไปไม่ถูก  เซ็ธหันไปมองเลนเนอร์เพื่อขอความช่วยเหลืออีกฝ่ายก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเรียกพวกเด็กๆ  นั่งรวมกัน  “เอ้า  ถึงเวลาเรียนแล้วนะ  มารวมตัวกันเร็ว”


เด็กๆ  จึงกรูกันไปนั่งเป็นวงกลมรอบๆ  เลนเนอร์และเซ็ธ  เพราะอีกฝ่ายอุ้มเด็กอยู่จึงมือไม่วางเลยวานให้เขาช่วย  “เซ็ธ  ช่วยแจกกระดาษวาดรูปที่อยู่บนโต๊ะให้ทุกคนทีนะ”


“คะ...ครับ”  เซ็ธพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนที่จะเดินไปหยิบกระดาษวาดรูปมาแจกให้พวกเด็กๆ  ทุกคนต่างรับจากมือเขาไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเลนเนอร์ก็บอกให้เขาเอาสีมาวางไว้ให้พวกเด็กๆ  ใช้


ช่วงเช้านั้นเป็นกิจกรรมที่ทำในห้อง  เพราะมีเด็กเล็กที่ต้องดูแลเลนเนอร์เลยไม่ค่อยว่างมาดูแลเด็กคนอื่นเท่าไร  แล้วทุกคนก็มุ่งความสนใจไปที่เซ็ธกันเพราะเป็นหน้าใหม่  และเด็กหนุ่มได้แสดงฝีมือวาดรูปออกมาให้เด็กๆ  เห็นทุกคนเลยมามุ่งดูกันใหญ่


ช่วงเวลาอาหารกลางวันนั้นเด็กๆ  นั่งล้อมเป็นวงกลมกันอีกครั้ง  เคธี่เข้ามาพร้อมรถเข็นหม้อใบใหญ่ที่เตรียมมื้อกลางวันไว้  เธอเดินเข้ามารับเด็กทารกที่เลนเนอร์ดูแลอยู่ไปแล้วปล่อยให้หน้าที่แจกอาหารเป็นของชายหนุ่มกับเซ็ธ


พวกเด็กๆ  กินข้าวกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  เพราะเป็นช่วงพัก  เซ็ธจึงได้กินด้วย  ส่วนเลนเนอร์นั้นเพราะต้องป้อนเด็กบางคนด้วยเลยทำให้ไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไร


ต่อจากนั้นเลนเนอร์ก็ปล่อยให้พวกเด็กๆ  วิ่งเล่นกันที่สนามด้านนอก  เคธี่เองก็อยู่กล่อมลูกสาวให้นอนกลางวันอยู่อีกห้องหนึ่ง


เลนเนอร์พาเซ็ธมานั่งที่ม้านั่งยาวก่อนที่จะถามว่า  “เป็นยังไงบ้าง  เข้ากับทุกคนได้ไหม”


“เอ๊ะ...ก็...”  เซ็ธเอ่ยค้างไว้  เขาไม่กล้าพูดออกไปเพราะช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เท่าไร  แม้จะมีเด็กบางคนสนใจในตัวเขา  แต่ก็ไม่ได้คุยกันเท่าไร  บางคนก็เห็นชัดว่ากลัวเขาอยู่


“ไม่เป็นไร  แรกๆ  ก็อย่างนี้แหละ  ถ้าเธอทำไปนานๆ  ก็จะชินเอง”  เลนเนอร์ปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  “เด็กทุกคนที่นี่เป็นเด็กดีนะ  ไม่สิ...ต้องบอกว่ายังไร้เดียงสา  ไม่รู้จักความโหดร้ายเสียเท่าไร”


เซ็ธชะงัก  เลนเนอร์เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเล่าต่อ  “เพียงแค่บอกว่าเป็นโอเมก้า  ภาพลักษณ์ของพวกเราก็ถูกมองแบบติดลบแล้ว”


เด็กหนุ่มหันกลับมามองตัวเอง  มันก็จริงดังที่อีกฝ่ายว่า  เพราะเป็นโอเมก้าเลยถูกจำกัดสิทธิ์เกือบทุกอย่าง  เพราะเกิดมาไม่ใช่อัลฟ่า  เลยถูกกีดกันออกมาจากตระกูล


“เคธี่เองก็เป็นผลจากความโหดร้ายของสังคม  เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีใจสู้  แต่ครั้งหนึ่งเคยเกือบฆ่าตัวตาย  เพราะท้อง...ท้องกับผู้ชายคนหนึ่งที่เข้ามาข่มขืนเธอตอนกำลังฮีท”  เลนเนอร์เล่าขึ้น  ดวงตาทอความเศร้าออกมาเมื่อนึกถึงอดีต  แต่สุดท้ายก็กลับมายิ้มได้  “แต่ว่านะ...โลกนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายเสียทีเดียวหรอก  แม้ว่าตอนแรกเธอจะไม่ได้รับความยุติธรรม  แต่สุดท้ายวิลเลี่ยมก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นติดคุกไปได้แล้ว  และเธอเองก็กลับมาใช้ชีวิตปกติได้”


“เลนเนอร์  คุณจะบอกอะไรผม”  เด็กหนุ่มถามขึ้นทำให้อีกฝ่ายหันมาแล้วพูดขึ้น 


“โลกใบนี้มีทั้งโหดร้ายและอ่อนโยน  ทั้งฉัน  ทั้งเคธี่ก็เคยเจอมาทั้งหมด  พ่อแม่ของเด็กพวกนี้เองก็ด้วย  แต่ถึงจะมีสองด้าน  แต่ไม่มีใครอยากให้ลูกของตนเองพบเจอกับเรื่องโหดร้ายหรอก  จริงไหม?”


เลนเนอร์ถามเซ็ธกลับ  อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบ  ชายหนุ่มจึงเล่าต่อ  “ฉันเอง...ก็อย่างที่เคธี่เคยบอก  เมื่อก่อนฉันอยากเป็นครู  อยากสอนพวกเด็กๆ  ให้มีความรู้จะได้สู้กับพวกเบต้าไม่ก็อัลฟ่าได้  แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเพราะว่าเป็นแค่โอเมก้า”


เลนเนอร์หันกลับไปมองพวกเด็กๆ  ที่วิ่งเล่นกันอยู่ก่อนจะบอกว่า  “ตอนนั้นนอกจากจะไม่ได้เป็นครูแล้ว  ที่ดินผืนเดียวหรือก็คือที่นี่ก็ถูกบังคับให้ขาย  ชีวิตตอนนั้นของฉันเหมือนเจอกำแพงขนาดใหญ่ขวางทางอยู่  อยากจะหนีหายไป  อยากจะยอมแพ้มันเสียทุกอย่าง  แต่ฉันทำไม่ได้  เพราะเบื้องหลังยังมีพวกเด็กๆ  กับทุกคนที่ฝากความหวังไว้อยู่เลยไม่ยอมแพ้”


“คุณเลยก้าวข้ามอุปสรรคมาได้หรือครับ”  เด็กหนุ่มถามขึ้น  เลนเนอร์ยกยิ้มก่อนที่จะบอกว่า  “ลำพังตัวคนเดียวก็ทำไม่ได้หรอก  แต่พอดีว่าฉันเจอยักษ์เสียก่อน  เป็นยักษ์ที่มาพังกำแพงตรงหน้าให้หายไป”


“ยักษ์?”  เซ็ธขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่าย  เลนเนอร์ก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาปกปิดอะไรจึงบอกไปว่า  “เอดิสันเป็นคนพาฉันเดินต่อมา  เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันเดินหน้าต่อ”


“แต่ว่านะ...อัลฟ่าก็ยังคงเป็นอัลฟ่า  เขาช่วยฉัน  ฉันก็ต้องตอบแทนเขาด้วยร่างกายนี้”  เลนเนอร์เล่าให้ฟังถึงช่วงท้ายก็ยกยิ้ม  เซ็ธสังเกตเห็นว่าเมื่อพูดถึงเอดิสันอีกฝ่ายจะดูมีความสุขมากกว่าทุกที


“คุณกับเอดิสันเนี่ย  เป็นคู่รักที่วิเศษไปเลยนะครับ”  เซ็ธพึมพำขึ้นอย่างชื่นชม  อีกฝ่ายเลยยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวเขา  “พูดเกินจริงไปหน่อยแล้ว  ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”


“แต่ว่าพอมาลองคิดดู  ฉันก็ไปต่อไม่ได้เลยถ้าไม่ได้เขา”  เลนเนอร์พึมพำขึ้นก่อนจะบอกว่า  “บางทีฉันก็คิดว่าในตอนนี้  ขณะที่อัลฟ่ากับเบต้าสามารถบินไปหาจุดหมายของตัวเองได้ด้วยตัวเองแล้ว  โอเมก้ายังต้องพึ่งพาอัลฟ่าอยู่  แต่เดิมทั้งอัลฟ่าและโอเมก้าก็เกิดมาเพื่อพึ่งพาและเกื้อหนุนกันอยู่แล้ว”


เซ็ธนั่งฟังอย่างเงียบๆ  เรื่องราวในสมัยก่อนเขาไม่ค่อยได้รับรู้เท่าไรนัก  แต่จากหนังสือที่อ่านในบ้านของวิลเลี่ยม  สมัยแรกหลังเริ่มต้นประวัติศาสตร์ใหม่ของมนุษย์  อัลฟ่ากับโอเมก้าถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อคู่กัน  เพื่อช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ที่กำลังสูญพันธุ์  แต่ตอนนี้เมื่อหมดประโยชน์ก็ถูกโยนทิ้งมาเป็นประชากรที่ต่ำที่สุด


“นายเอง...ในตอนนี้ก็ยังต้องพึ่งพาอัลฟ่าเหมือนกัน”  เลนเนอร์หันมาหาเขาพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัว  “วิลเลี่ยมน่ะ  ฉันเชื่อว่าเขาจะพานายบินไปได้สูง  ยิ่งกว่าที่เอดิสันพาฉันขึ้นไป  ยิ่งกว่าอัลฟ่าใดๆ  ไปสู่จุดที่ทุกคนยอมรับในตัวนายได้อย่างแน่นอน”


เซ็ธได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไปพักใหญ่  เพราะที่ผ่านมาเขาเองก็เห็นว่าวิลเลี่ยมพยายามมามากแค่ไหน  เห็นถึงความใส่ใจของอีกฝ่ายที่มีต่อตัวเอง


เย็นวันนั้นวิลเลี่ยมมารับเขากลับจากสถานรับเลี้ยงเด็ก  เมื่ออยู่กันเกือบทั้งวันแล้วเด็กๆ  ก็เริ่มชอบเซ็ธขึ้นมาจึงได้ของขวัญเป็นดอกไม้ตอบแทนมา  พอเห็นว่าเขาเข้ากับพวกเด็กๆ  ได้ดีไม่มีปัญหาวิลเลี่ยมก็ยิ้มแก้มปริ


เซ็ธจึงเข้าใจว่านี่ก็เป็นเรื่องที่อีกฝ่ายทำเพื่อเขา


เด็กหนุ่มนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่  เพราะคิดถึงหนทางที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้นกว่านี้


“วิลเลี่ยม”  เซ็ธเอ่ยเรียกอีกฝ่ายก่อนที่จะบอกว่า  “ผมอยากเรียนหนังสือ”


ประโยคนั้นทำให้วิลเลี่ยมตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มออกมา  “ก็ดีสิ  ฉันจะสอนนายเอง”


เซ็ธยิ้มออกมาอย่างโล่งอก  แต่สาเหตุที่เขาอยากเรียนนั้นไม่ได้บอกอีกฝ่ายไป  ความที่ไม่ต้องการพึ่งพาอีกฝ่ายอยู่ข้างเดียว  เขาต้องการเป็นที่พึ่ง เป็นคนที่สามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้


หากวิลเลี่ยมต้องการจะให้เขาขึ้นไปอยู่ในจุดที่ทุกคนยอมรับรับในตัวเขาได้


เซ็ธก็จะทำให้ทุกคนเห็นว่าวิลเลี่ยมเป็นคนสำคัญที่พาตัวเขาเองไปอยู่ในจุดนั้นให้ได้

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 8
เจ้าภาพที่ไม่ได้รับเชิญ

หลังจากติดต่อกับไมเคิลไปในวันนั้น  ข่าวลือเรื่องที่เขาซุกโอเมก้าไว้ที่บ้านก็เบาลงไป  แม้จะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าหายไปเลย  แต่คนก็พูดถึงกันน้อย  ส่วนใหญ่เมื่อเอ่ยถึงวิลเลี่ยม  ซี.  มาร์เดนแล้วก็มักจะนึกถึงงานวิจัยที่เจ้าตัวกำลังทำอยู่มากกว่า


เข้าสู่เดือนพฤษภาคม  อุณหภูมิก็เริ่มอบอุ่นขึ้นเป็นสัญญาว่าจะเข้าช่วงฤดูร้อนแล้ว  อากาศเย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกตัวเป็นขนมากขึ้น  แต่เส้นตายของงานก็ไม่ได้ขยับย้ายไปไกลเลย  ตลอดทั้งเดือนนี้ศาสตราจารย์หนุ่มก็ยังคงวิ่งวุ่นอยู่กับงานวิจัย


เซ็ธอยู่บ้านเสมอ  เพราะไม่อยากรบกวนวิลเลี่ยมเลยฝึกทำอาหารง่ายๆ  กับทำงานบ้านบางอย่างได้คล่องแล้ว  ช่วงที่เขาไม่อยู่ก็ไปช่วยเลนเนอร์ที่ศูนย์เลี้ยงเด็ก  นอกจากจะช่วยงานอีกฝ่ายแล้วก็จะได้รับการสอนหนังสือบางวิชาให้ด้วย


ส่วนเมื่อกลับมาบ้าน  และพวกเขามีเวลาว่างตรงกันวิลเลี่ยมก็จะสอนหนังสือให้ด้วย  ชายหนุ่มมักจะออกข้อสอบตามบทเรียนที่สอนไปมาให้เซ็ธทำเพื่อวัดผลที่ได้


โอเมก้าถูกตราหน้ามาเสมอว่าไร้สมอง  ไม่สามารถศึกษาร่วมกับคนอื่นได้  หลักสูตรพื้นฐานที่กฎหมายบังคับให้จบก็ไม่มี  ดังนั้นแล้วหลายคนจึงมีวุฒิการศึกษาน้อยไปจนถึงไม่มีเลย  เพราะไม่มีใครอยากรับโอเมก้าไปเรียนด้วย  มีคนกล่าวอ้างว่าเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนได้จึงไม่ควรได้รับการศึกษา


แต่วิลเลี่ยมไม่ได้เชื่ออย่างนั้น  ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นเลนเนอร์ศึกษาด้วยตัวเองจนเกือบจะได้ดีแล้วแต่กลับถูกขัดขวางเสียก่อน  สมองก็ไม่ได้แย่อย่างที่ลือกัน  นอกจากนี้เขายังทำการทดลองสอนโอเมก้าเด็กอีกหลายคน  รวมทั้งให้เลนเนอร์สอนเด็กที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเก็บข้อมูลดู  และพบว่าหลายคนก็ศึกษาได้อย่างปกติ  จะมีบ้างที่หัวช้าไปเสียหน่อย


แต่ที่เขาเห็นผลลัพธ์มากที่สุดก็คงเป็นเซ็ธ  ไม่ใช่แค่ว่าเรียนได้  แต่คะแนนสอบของเด็กคนนี้ดีมาก  ส่วนใหญ่เป็นคะแนนเต็ม  มีครั้งหนึ่งหลังจากสอนคณิตศาสตร์ไปแล้วเขาลองให้ทำข้อสอบระดับมหาวิทยาลัยดู  ปรากฏเด็กคนนี้ทำได้  แม้จะแค่ข้อเดียวแต่แค่ข้อเดียวก็พิสูจน์ได้แล้วว่าระดับสมองของเด็กคนนี้อาจจะพอๆ  กับอัลฟ่าเลยก็ได้


ทีแรกวิลเลี่ยมคิดว่าอาจเป็นเพราะตัวเองออกข้อสอบง่ายไปเลยไปขอให้ศาสตราจารย์ที่รู้จักกันช่วยออกข้อสอบให้  ปรากฏว่าเซ็ธก็ทำได้อีก  นับว่าเป็นทรัพยากรข้อมูลที่ทำให้วิลเลี่ยมตื่นเต้นไม่น้อย


ครั้งเมื่อเขาเอาข้อมูลที่รวบรวมไว้ไปใส่ในความคืบหน้างานวิจัยครั้งล่าสุด  หลายคนก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เซ็ธทำ  และตั้งข้อสงสัยว่าคนที่ทำข้อสอบอาจเป็นอัลฟ่าก็ได้  วิลเลี่ยมยังไม่ต้องการเปิดเผยเซ็ธในตอนนี้  โดยเฉพาะกับพวกกระหายข้อมูลแบบนี้จึงเลี่ยงไปว่าเดี๋ยวจะมีการพิสูจน์ให้เห็นในการสอบใหญ่ที่จะมีถึง


“เซ็ธ  ยังอ่านหนังสืออยู่เหรอ”  เมื่อเขากลับมาบ้านก็เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น  อีกฝ่ายหันมาหาเขาก่อนที่จะกล่าวทักทายว่า  “สวัสดีครับ”


“อ่านอะไรอยู่น่ะ?”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายวางหนังสือลงก่อนจะบอกว่า  “สังคมน่ะครับ  พรุ่งนี้เลนเนอร์จะเตรียมข้อสอบให้ทำผมเลยต้องเตรียมตัวไว้”


“ขยันจังนะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะถอดเสื้อคลุมออกวางพาดไว้กับเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปในครัว  “งั้นเย็นนี้ฉันจะทำสปาเก็ตตี้คาโบนาราของโปรดให้ละกัน”


“ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ  ขึ้นก่อนที่จะเดินไปที่เก้าอี้  ตั้งใจจะหยิบเสื้อคลุมที่วิลเลี่ยมมักจะสวมเวลาออกไปข้างนอกไปเก็บที่อื่น  ทว่าชายหนุ่มที่หันมาเห็นพอดีได้ร้องตะโกนห้ามขึ้น  “อย่าแตะนะ!”


เซ็ธสะดุ้งเฮือกแล้วชักมือกลับทันที  เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่ายแล้ววิลเลี่ยมจึงได้รู้ตัวว่าเผลอทำไม่ดีไป  “เอ่อ...ขอโทษ  มันค่อนข้างจะสกปรกน่ะ  เดี๋ยวฉันจะเก็บเอง  นายมาช่วยเตรียมของทางนี้ดีกว่า”


“...ครับ”  เด็กหนุ่มเงียบค้างไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบรับสั้นๆ  แล้วเดินมาช่วยในครัว  หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ววิลเลี่ยมก็ช่วยติวให้เซ็ธ


“เลนเนอร์บอกว่าถ้าผิดแม้แต่ข้อเดียวเขาจะไม่ให้ผมวาดรูปเล่นอีก”  เซ็ธเอ่ยขึ้นขณะซุกหน้าลงบนตุ๊กตาหมีทำให้วิลเลี่ยมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา  เลนเนอร์ก็เคยโทรมารายงานเขาเหมือนกันว่าเซ็ธชอบวาดรูปแล้วเหม่อและจะไม่สนใจอะไรเลย  ซึ่งเขาก็ยังหาทางแก้ไม่ได้  ดูท่าอีกฝ่ายจะหาวิธีหักดิบได้แล้ว


“ยังงั้นหรือ  คราวหน้าฉันลองใช้วิธีนี้บ้างดีกว่า”  เซ็ธจึงหันขวับมาหาเขาด้วยสายตาประหลาดทำให้วิลเลี่ยมหลุดหัวเราะออกมา  “ฮะๆ  ล้อเล่นนะ”


วิลเลี่ยมติวหนังสือให้เซ็ธสักพักก็เปิดโทรทัศน์ดูข่าว  แล้วจากนั้นก็ปล่อยให้เด็กหนุ่มไปนอนพักผ่อน  ส่วนตัวเขาก็ทำงานต่อ


เช้าวันถัดมาหลังจากจัดการธุระตอนเช้าเสร็จ  วิลเลี่ยมก็ขับรถไปส่งเซ็ธที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่เลนเนอร์รอรับอยู่จากนั้นก็ไปทำงานต่อ


เซ็ธยืนรอรับพวกเด็กๆ  ที่ผู้ปกครองมาส่ง  ขณะนั้นเขาก็เอ่ยเรียกเลนเนอร์ขึ้น  “เลนเนอร์”


“หืม?”


“เมื่อเช้าผมเปิดกระเป๋าของวิลเลี่ยมดู”  เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะถูกเลนเนอร์บอกน้ำเสียงเชิงเตือน 


“ไม่ดีนะ  เปิดของคนอื่นดูโดยพลการเนี่ย”


“ทราบครับ  แต่ผมอยากรู้ว่าเขาเกิดวันที่เท่าไรน่ะ”  เซ็ธบอกถึงเหตุผลที่ทำเช่นนั้นทำให้เลนเนอร์อดประหลาดใจไม่ได้  “แล้ววิลเลี่ยมเกิดวันไหนล่ะ”


“วันที่แปดนี้ครับ”  เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ  เป็นเลนเนอร์เองต่างหากที่ตกใจ  “ใกล้แล้วนี่”


“ครับ”  เซ็ธพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะถามน้ำเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความกังวล  “ผมควรจะทำยังไงดีครับ”


“เธออยากทำอะไรล่ะ?”


“ผมอยากจัดงานวันเกิดให้เขาบ้าง  เหมือนที่เขาเคยทำให้ผม”  เด็กหนุ่มตอบถึงจุดประสงค์  “แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงบ้าง”


“นั่นสินะ...”  เลนเนอร์พึมพำขึ้น  ก่อนที่จะอธิบายตามความคิดของตัวเอง  “วิลเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว  จัดงานวันเกิดแบบเธอก็คงไม่ได้”


พวกเขาทั้งสองต่างเงียบไปสักพัก  ก่อนที่เลนเนอร์จะบอกว่า  “แต่ว่านะ  คนอย่างวิลเลี่ยมน่ะแค่รู้ว่าเธอคิดจะจัดงานให้ก็ดีใจแล้ว  ยิ่งถ้าเธอหาของขวัญไปให้ก็คงเป็นบ้าไปเลยล่ะมั้ง”


“ยังงั้นหรือครับ”  เซ็ธพึมพำขึ้นคล้ายจะปักใจเชื่อ  เลนเนอร์พยักหน้าก่อนจะอาสาขึ้น 


“เรื่องจัดงานน่ะไว้ให้เป็นหน้าที่ของฉันกับเอดิสันเอง  เธอลองคิดดูก็ได้ว่าจะให้ของขวัญอะไรวิลเลี่ยม”


“เรื่องนั้น...ผมควรให้อะไรดีล่ะ”  เด็กหนุ่มพึมพำขึ้น  เขาไม่รู้ว่าวิลเลี่ยมชอบอะไรกันแน่  เพราะปกติอีกฝ่ายก็ไม่มีความชอบชัดเจนและไม่แสดงออกมาเลยว่าอยากได้อะไร


“คนที่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลักอย่างหมอนั่นน่ะเหรอ...”


“ให้ยาบำรุงไปจะดีไหมครับ?”  เซ็ธเอ่ยถามขึ้นเมื่อได้ยินเลนเนอร์พูดแบบนั้น  อีกฝ่ายนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะพยักหน้า  “ก็ได้นะ”


“แต่ผมไม่รู้ว่าควรซื้อยังไงนี่สิ”


“เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันช่วยเอง  เย็นนี้ไปหาของขวัญกันเถอะ”  เลนเนอร์เอ่ยชวนขึ้นซึ่งเซ็ธก็พยักหน้าตอบรับทันทีก่อนที่จะโทรไปบอกวิลเลี่ยมว่าจะกลับช้า 


เมื่อถึงตอนเย็นแล้วเลนเนอร์ก็พาเขาขึ้นรถไปยังร้านยาที่อยู่ไม่ไกลเท่าไร  แล้วช่วยเขาเลือกยาบำรุงให้  ระหว่างทางเซ็ธหยุดชะงักที่ร้านขายของขวัญ  พลังของขวดโหลที่คล้ายจะบรรจุสวนฤดูใบไม้ผลิไว้ด้านในดึงดูดเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี


“จะแวะดูไหม”  เลนเนอร์เอ่ยถามขึ้นเหมือนรู้ใจ  เซ็ธรีบพยักหน้าทันทีแล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในร้าน  หลังจากนั้นก็ออกมาพร้อมกล่องของขวัญใบหนึ่ง


ด้วยความรีบร้อนเพราะใกล้จะมืดแล้วทำให้เซ็ธไม่ทันได้มองรอบๆ  จึงชนเข้ากับใครบางคนเต็มๆ  เมื่อออกมาจากร้าน  แรงชนนั้นทำให้เด็กหนุ่มเซไปเกือบจะล้มแต่ถูกคว้าแขนไว้


“โอ๊ะ  ขอโทษครับ”  น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นจากชายที่มาชนและคว้าแขนเซ็ธไว้  อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาว  และมีแว่นกันแดดปกปิดดวงตาอยู่  เส้นผมเองก็ซ่อนไว้ใต้หมวกไบเล่ที่สวมอยู่  เพราะเห็นว่ามีท่าทีไม่ปลอดภัยเลนเนอร์จึงรีบดึงเซ็ธให้ออกห่าง


“ไม่เป็นไรครับ  เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  อีกฝ่ายมองดูแต่เด็กหนุ่มก่อนที่จะเผยยิ้มออกมา  “แปลกใจจังที่เห็นโอเมก้าแบบพวกคุณมาเดินในย่านการค้าแบบนี้  มาซื้อของขวัญหรือครับ”


“ครับ”  เลนเนอร์ตอบไปห้วนๆ  ก่อนที่จะบอกว่า  “ขอตัวก่อนนะครับ  เซ็ธไปกันเถอะ”


แล้วชายหนุ่มก็ลากเซ็ธออกไปจากตรงนั้น  ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ก็พร่ำสอนว่าอยู่ให้ห่างคนแปลกหน้าไม่น่าไว้วางใจแบบนั้นไว้ 


เลนเนอร์พาเซ็ธมาส่งที่บ้าน  ของขวัญและอุปกรณ์ตกแต่งทุกอย่าง  เลนเนอร์จะเอาไปซ่อนไว้ที่บ้านของตัวเองก่อน  หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จแล้วเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปในบ้าน


“กลับมาแล้วเหรอ  เซ็ธ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นพลางยิ้มร่าตรงเข้ามาหา  “วันนี้ฉันทำซุปหัวหอมไว้รอนายเลยนะ”


“ผมไม่ชอบหัวหอม...”


“กำลังโตเลือกกินไม่ได้รู้ไหม”  ชายหนุ่มปรามก่อนที่จะเข้ามาใกล้แล้วหยุดชะงักเมื่อเห็นบางอย่างตกมาจากเสื้อคลุมที่เซ็ธกำลังถอดเก็บอยู่  “มีอะไรตกพื้นน่ะเซ็ธ”


“ครับ?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความงุนงงก่อนจะหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาดู  ไม่ใช่ลายมือของเขาหรือเลนเนอร์  แถมดูๆ  แล้วก็เหมือนลายมือวิลเลี่ยมมากกว่า  เซ็ธไม่ยักจะจำได้ว่าเคยเก็บกระดาษที่คล้ายจดหมายแบบนี้ไว้ด้วย 


ข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษที่พับครึ่งไว้คือ  ‘ถึงตัวฉัน’


เพราะเป็นลายมือของวิลเลี่ยมเด็กหนุ่มจึงยื่นให้อีกฝ่ายดู  “นี่น่าจะเป็นของคุณมากกว่า  มันลายมือคุณไม่ใช่หรือ”


“หืม?  งั้นเหรอ”  วิลเลี่ยมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่จะคว้ากระดาษนั้นไปอ่านดู  เมื่อเปิดเนื้อหาดูแล้วอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วแน่นแล้วชักสีหน้าประหลาดใจออกมา


“ไปได้กระดาษแผ่นนี้มาจากไหน!”  วิลเลี่ยมถามขึ้นเสียงดังทำให้เซ็ธสะดุ้งเฮือก  แต่เขาก็ยืนยันว่าไม่รู้


“วันนี้ไปเจอใครมาหรือเปล่า?”  เขาเปลี่ยนคำถาม  เซ็ธจึงนึกขึ้นได้  “ผมชนผู้ชายคนหนึ่งหน้าร้านขาย...ร้านขายของ  ที่เหลือก็เป็นคนที่ผมศูนย์รับเลี้ยงเด็ก”


เมื่อได้ฟังเช่นนั้นวิลเลี่ยมก็เงียบไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยว่า  “ยังไงก็ตามแต่  เซ็ธ นอกจากฉันก็อย่าไปยุ่งกับอัลฟ่าคนอื่นเด็ดขาดนะ”


“ครับ”  เด็กหนุ่มตอบรับสั้นๆ  ก่อนที่วิลเลี่ยมจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วดันเขาให้เข้าไปกินซุปหัวหอมที่อยู่ในครัว


เมื่อเวลาย่างเข้าสู่วันที่แปดเซ็ธก็อดตื่นเต้นไม่ได้  วันนี้วิลเลี่ยมไม่อยู่บ้านจนถึงช่วงบ่ายสาม  จริงๆ  เขาก็ควรจะไปอยู่กับเลนเนอร์  แต่เพราะต้องการตกแต่งบ้านให้สมกับที่จะฉลองงานวันเกิดเขาเลยขออยู่บ้านวันหนึ่ง  ของตกแต่งและของขวัญ  เอดิสันก็ขับรถเอามาให้ก่อนที่เจ้าตัวจะไปทำงาน


เซ็ธวุ่นอยู่กับการจัดตกแต่งอยู่พักหนึ่ง  จึงเมื่อถึงเวลาเที่ยงก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูหน้าบ้านดังขึ้น  เพราะอยู่คนเดียวเขาจึงไม่กล้าเปิดและรออีกฝ่ายพูด


“เซ็ธ  นี่ฉันเอง  วิลเลี่ยมไง  เปิดประตูให้หน่อยสิ”  จนกระทั่งอีกฝ่ายพูดออกมาทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจ  “พอดีว่ามีเอกสารสำคัญที่ลืมไว้น่ะ  แล้วรีบออกมาหน่อยก็เลยลืมกุญแจไว้ที่มหาวิทยาลัยเสียได้”


“จะเปิดให้เดี๋ยวนี้แหละครับ”  พอได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มก็รีบเปิดประตูให้  วิลเลี่ยมยืนรออยู่ด้านหน้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนเช่นทุกครั้ง  แต่เมื่อสบตากันแล้วเซ็ธกลับรู้สึกขนลุกขึ้นมา


“คุณ...ไม่ใช่...วิลเลี่ยม”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ  อีกฝ่ายเลยเลิกคิ้วด้วยสีหน้าสับสน  “อะไรกัน  พูดแบบนี้ใจร้ายจังเลยนะ”


เซ็ธกัดฟันแน่นข่มความกลัวที่เริ่มลุกลามขึ้นมาแล้วออกแรงจะปิดประตู  แต่ทว่าท่อนแขนแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็สามารถรั้งไว้ได้  อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม  รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏขึ้นบนหน้าที่คล้ายคลึงกับวิลเลี่ยมราวกับแกะ


“ทั้งๆ  ที่ฉันเป็นแฝดที่เหมือนกับหมอนั่นแท้ๆ”  เซ็ธเบิกตากว้าง  ครั้นจะวิ่งหนี  อีกฝ่ายก็คว้าแขนของเขาไว้  ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างที่มีผ้าผืนเล็กปิดปากของเขาไว้  กลิ่นฉุนแสบจมูกตีขึ้นมาทันที  เด็กหนุ่มดิ้นรนขัดขืนสุดกำลังแต่ประสาทสัมผัสทุกอย่างก็เริ่มอ่อนลงจนกระทั่งสติของเขาดับวูบไป


ร่างของเด็กหนุ่มถูกช้อนขึ้นอุ้มด้วยแขนทั้งสองข้างของผู้มาเยือน  ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจ


วิลเลี่ยมกลับมาบ้านตอนบ่ายสองโมงครึ่ง  ก่อนเวลาที่เขาเคยบอกเซ็ธ  เมื่อรถจอดหน้าบ้านเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ตรงดิ่งเข้าไปในด้วยความรีบร้อน  คนที่ยืนรออยู่ทั้งสองคนอย่างเลนเนอร์และเอดิสันมองเขาด้วยสีหน้าเครียดจัด


“นี่มันหมายความว่ายังไง!”  วิลเลี่ยมตะโกนถามขึ้นด้วยความโมโห  ก่อนหน้านี้สิบนาทีเขาได้รับโทรศัพท์จากเลนเนอร์ว่ามาที่บ้านแล้วไม่เจอเซ็ธอยู่  ให้กลับมาด่วน


“ใจเย็นก่อน  เลนเนอร์กับฉันเองก็เพิ่งมาถึง  ไม่รู้อะไรเลย  นอกจากประตูไม่ได้ล็อกแล้วเจอนี่วางไว้บนพรม”  เอดิสันเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสุขุม  ในเวลานี้เขาไม่ควรทำตัวอารมณ์ร้อนให้เพื่อนสนิทคนนี้ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพิ่ม  วิลเลี่ยมรับจดหมายนั้นมาเปิดดูก่อนที่จะสบถออกมา 


“ไอ้เวรนั่น!”


“นี่มันเรื่องอะไรกันวิลเลี่ยม  เซ็ธไปไหน”  เลนเนอร์ถามด้วยความร้อนใจ  เขาเองก็กังวลเหมือนกันว่าเซ็ธจะเป็นอะไรไป


วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปบอกเอดิสันว่า  “มัน...กิลเบิร์ตมันกลับมาเล่นงานฉันอีกแล้ว”


“กิลเบิร์ตอีกแล้วเหรอ”  เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอดิสันก็อดขมวดคิ้วไม่ได้  “คราวนี้มันจะทำอะไร”


“มันให้ไปหามัน...แค่ตัวคนเดียว  ที่โกดังร้าง  บ้าเอ้ย  เมื่อวานมันก็ส่งจดหมายมา  บอกว่าฉันจะทำร้ายนาย  ไม่คิดเลยว่ามันจะเล่นงานเซ็ธแบบนี้”  วิลเลี่ยมก่นด่าออกมาด้วยความโมโห  เอดิสันจึงต้องห้ามปรามไว้ 


“ใจเย็นก่อน  นายที่อารมณ์ร้อนแบบนี้ไม่มีทางชนะเจ้านั่นได้หรอก”


“ก็ใช่  แต่จะให้ฉันทำไง  แค่กับฉันยังพอว่า  แต่นี่มันลากเซ็ธมาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้  ฉันทนไม่ได้หรอก”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห  ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  แล้วปล่อยออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์ในระดับหนึ่ง  “เดี๋ยวฉันมานะ”


“เฮ้  จะไปจริงๆ  น่ะเหรอ”  เอดิสันเอ่ยถามขึ้น  วิลเลี่ยมจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า  “แน่นอนสิ  พวกนายอยู่เฝ้าบ้านทีนะ”


“เฮ้  เดี๋ยว...”  เลนเนอร์พยายามจะเอ่ยเรียก  แต่วิลเลี่ยมกลับไม่ฟังแล้ววิ่งออกจากบ้านไปทำให้ชายหนุ่มอดกังวลไม่ได้แล้วหันไปตำหนิใส่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ  “นี่  ทำไมไม่ช่วยห้ามเขาล่ะ  แล้วยังไปส่งเสริมวิลอีก”


“นายไม่เคยเห็นเจ้าหมอนั่นโกรธจริงจังแบบนั้นมาก่อนสินะ”  เอดิสันเอ่ยถามขึ้นก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โซฟา  “ถ้าเจ้านั่นโกรธขึ้นมาน่ะ  ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่”


“แล้วเรื่องความปลอดภัยล่ะ  ไปคนเดียวแบบนั้นไม่อันตรายเหรอ  แล้วเซ็ธอีก”


“ไม่ต้องห่วงหรอก  ถึงยังไงเจ้านั่นก็เป็นคนที่มีพลังจิตระดับสูงนะ  ไม่มีอะไรจะต้องกังวล”  เอดิสันเอ่ยขึ้นก่อนที่จะถอนหายใจออกเฮือกใหญ่  “มานั่งตรงนี้แล้วภาวนาให้สองคนนั้นปลอดภัยกลับมาจะดีกว่า”


วิลเลี่ยมขับรถตรงดิ่งมาที่โกดังร้างตามที่อีกฝ่ายเขียนไว้ในจดหมาย  สถานที่นี้เงียบสงบจนเหมือนไม่มีใครอยู่  ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเล่นหมาหมู่กับเขา  ชายหนุ่มตรงดิ่งไปเปิดประตูโกดังออก  แสงจากข้างนอกส่องเข้าไปทำให้ด้านในสว่าง  เขาพบสิ่งหนึ่งตกอยู่


ปลอกคอที่เขาเคยให้เซ็ธไว้...


วิลเลี่ยมเบิกตากว้าง  และยิ่งมั่นใจว่ามันคืออันที่เขาให้เซ็ธเมื่อเก็บขึ้นมา  ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากที่ซ่อน


“โห  มาไวกว่าที่คิดนี่”  คนตรงหน้าแสยะยิ้มขึ้น  อีกฝ่ายนั้นทั้งน้ำเสียง  รูปร่าง  หน้าตา  แม้กระทั่งสีผมสีตาก็ยังเหมือนกับวิลเลี่ยมทุกอย่าง  แทบไม่มีใครที่แยกออกได้ว่าใครคือวิลเลี่ยม  ใครคือกิลเบิร์ต 


ทั้งคู่เป็นฝาแฝดที่เหมือนกันแทบทุกอย่าง  ยกเว้นก็แต่นิสัยที่แสดงออกมาที่ทำให้แยกออกได้บ้าง


“คืนเซ็ธมาเดี๋ยวนี้”  ชายหนุ่มถามขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาถึง  อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นแล้วผุดยิ้ม 


“โห  มาไวแบบนี้เพราะเด็กนั่นสินะ  ว่าแล้วไม่ผิด  หึๆ”


“แกแอบตามดูพวกฉันอยู่ใช่ไหม  ตั้งแต่เมื่อไร”


“เมื่อไรกันนะ...ก็ตั้งแต่มีข่าวลือว่าแกซุกโอเมก้าไว้ในบ้านนั่นแหละ”  กิลเบิร์ตตอบก่อนจะกระตุกยิ้มแล้วหันหลังไปก่อนจะกระชากคอเสื้อของเด็กที่นอนขดอยู่ข้างหลังให้ก้าวมาข้างหน้า


วิลเลี่ยมเบิกตากว้าง  ไฟโมโหในอกคล้ายลุกโหมขึ้นเมื่อเห็นสภาพของเซ็ธที่ถูกซ้อมจนเป็นแผลฟกช้ำหลายจุด  เสื้อผ้าที่ฉีกออก  และลำคอที่ไร้การป้องกัน


“เป็นโอเมก้าที่น่าสนใจดีนี่  แค่มองฉันก็รู้เลยว่าไม่ใช่แก  น่าประทับใจจริงๆ”  กิลเบิร์ตเอ่ยชมขึ้นก่อนที่จะกระชากเซ็ธให้ลุกขึ้นมาแล้วล็อกไว้ด้วยแขนข้างเดียว  ก่อนที่จะใช้มือข้างเดียวกันนั้นเชยคางอีกฝ่ายขึ้น  ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


“คิดจะทำให้เห็นหรือว่าอัลฟ่ากับโอเมก้าสามารถอยู่ด้วยกันได้...เหอะ  ยังคงฝันอะไรไร้สาระเหมือนเดิมเลยนะ  วิล”  กิลเบิร์ตแค่นเสียงเยาะเย้ยออกมาทำให้วิลเลี่ยมกัดฟันกรอด


“นี่  ฉันละไม่เข้าใจแกจริงๆ  ทำไมไม่ตีตราจองเด็กคนนี้ไว้ล่ะ”


 วิลเลี่ยมชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น  ใบหน้าของกิลเบิร์ตยื่นเข้าไปใกล้คอของเซ็ธมากยิ่งขึ้นเพื่อสูดดมกลิ่นอันหวานหอมของโอเมก้า  “ถึงจะทำปลอกคอไว้  แต่รหัสแบบนั้นน่ะฉันเดาได้ง่ายๆ  เลยล่ะ”


“แก...”


“แล้วยังไงดีล่ะ  ฉันที่เป็นคนถอดปลอกคอได้ก็ควรจะได้ตีตราจองเด็กคนนี้ใช่ไหม”  กิลเบิร์ตยกยิ้มขึ้นก่อนที่จะอ้าปากเตรียมกัดไปที่คอของเซ็ธ  ท่ามกลางความหวาดกลัวของเด็กหนุ่ม  “อย่า...”


ฟุบ!

เคร้ง!

แต่ก่อนที่กิลเบิร์ตจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้  เสียงวัตถุแหวกผ่านอากาศก็ดังขึ้นก่อนที่จะเกิดเสียงเหล็กกระทบกันแล้วมีดเล่มหนึ่งก็พุ่งไปปักกำแพงด้านหลัง  ทั้งที่เป้าหมายของมันคือร่างของอัลฟ่าคนนี้


“หืม  โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ”  กิลเบิร์ตยกยิ้มขึ้น  อัลฟ่าหนุ่มทิ้งเซ็ธลงพื้นทันทีก่อนที่จะเดินมาข้างหน้า  “ก็เอาซี่  คิดจะต่อกรกับฉันก็ลองดู”


กิลเบิร์ตยกมือทั้งสองข้างขึ้น  ก้อนหินรอบๆ  ตัวก็ลอยขึ้นมา  รวมทั้งเศษท่อนเหล็กที่ตกอยู่  ส่วนวิลเลี่ยมเองก็สะบัดเสื้อคลุมที่สวมอยู่  สาเหตุที่เขามักจะใส่เสื้อตัวนี้ไปไหนมาไหนก็เพื่อความสบายใจ  เพราะว่ามันมีกระเป๋าลับซ่อนอยู่มากมาย


มีดเล็กทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมค่อยๆ  ลอยออกมาตามการควบคุมของชายหนุ่ม  วิลเลี่ยมประจันหน้ากับอีกฝ่ายไม่คิดจะถอยหนี  แม้จะรู้ว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าและตามนิสัยปกติแล้วเขาจะไม่เอาตัวเองไปสู้ให้เจ็บตัว  แต่ครั้งนี้มีเซ็ธเป็นเดิมพัน  วิลเลี่ยมจึงต้องสู้  เพื่อปกป้องอีกฝ่ายไว้


ศึกของผู้ใช้พลังจิตการควบคุมสิ่งของจึงเริ่มขึ้น  วิลเลี่ยมวาดมือไปด้านหน้า  มีดที่ลอยอยู่ก็พุ่งไปทันที  ทุกเล่มเล็งเป้าหมายไปที่กิลเบิร์ตซึ่งยืนแสยะยิ้มอยู่  โดยไม่ต้องทำอะไร  หินที่ลอยอยู่รอบๆ  ตัวอีกฝ่ายก็เข้าไปกระแทกมีดจนกระเด็นออกไปพ้นรัศมี  บางส่วนก็พุ่งมาที่ชายหนุ่มซึ่งก็ใช้มีดปัดไปเหมือนกัน


ทั้งสองคนสลับการโจมตีและสวนกลับแบบนั้น  ในโกดังราวกับเกิดห่าฝนของมีดและก้อนหินขึ้น  วิลเลี่ยมนั้นไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าการโค่นคนตรงหน้าได้


แต่เซ็ธนั้นไม่ได้สนใจการต่อสู้ของทั้งสองคน  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและสบตากับวิลเลี่ยม  เขาจึงเห็นบางอย่าง


ลูกกระสุนปืนที่ถูกยิงมาจากนอกหน้าต่างทะลุศีรษะของวิลเลี่ยมไปก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลง...


“วิลเลี่ยม!”  เด็กหนุ่มตะโกนลั่น  ก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปดันอีกฝ่ายออกไปจากตำแหน่งเดิมขณะที่วิลเลี่ยมยังตื่นตะลึง  เสียงปืนดังก้องขึ้นก่อนที่กระจกหน้าต่างโกดังจะแตกออก  ลูกกระสุนลอยผ่านทั้งสองคนไปอย่างหวุดหวิด


วิลเลี่ยมเบิกตากว้างและรีบกอดเซ็ธไว้แน่น  มีดที่หยุดการเคลื่อนไหวไปครู่หนึ่งเพราะสมาธิของเขาโดนทำลายลอยขึ้นมาใหม่  แต่กิลเบิร์ตกลับยืนนิ่ง  “น่าแปลกจริง”


ฝ่ายนั้นพึมพำเสียงเบาแล้วทำท่าครุ่นคิดบางอย่าง  แต่ขณะนั้นเสียงรถตำรวจได้ดังเข้ามาใกล้ทำให้กิลเบิร์ตชะงักแล้วถอยหลังไป  “ครั้งนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อนแต่จำไว้...”


มีดพับเล่มหนึ่งถูกปามาปักพื้นด้านหน้าวิลเลี่ยม  ก่อนที่กิลเบิร์ตจะเอ่ยขึ้นแล้วจากไปว่า  “ไม่ว่ายังไง  ฉันก็จะทำลายความฝันของแกให้สิ้นซาก”


“ไม่มีวันเสียหรอก”  วิลเลี่ยมสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น  ร่างของกิลเบิร์ตหายไปจากโกดังแล้ว  ขณะเดียวกันเอดิสันก็เข้ามาพร้อมคนอีกกลุ่มหนึ่ง  ฝ่ายนั้นรีบร้อนมาดูอาการของพวกเขาสองคนทันที  “วิล  เซ็ธ  เป็นอะไรมากไหม”


“มาได้จังหวะพอดีเลย”  วิลเลี่ยมที่ตีหน้าเครียดอยู่หันไปปั้นยิ้มก่อนที่จะส่งเซ็ธให้เอดิสันแล้วบอกว่า  “ฝากดูแลเซ็ธหน่อยสิ”


“หืม?”


“ฉันขอพักแปบนึง”  สิ้นเสียงของตัวเองแล้ว  ราวกับสวิตซ์ในตัวของวิลเลี่ยมพลันปิดลง  สติวูบดับ  ร่างสูงโปร่งเกือบจะทิ้งตัวลงบนพื้นแต่เอดิสันสามารถใช้แขนอีกข้างที่ว่างอยู่รับไว้ได้ทัน


“วิลเลี่ยม!”  เซ็ธอุทานขึ้นอย่างตกใจ  สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลแต่เอดิสันก็ปลอบก่อน 


“ไม่ต้องกังวลหรอก  แค่ใช้พลังจิตมากไปจนหมดสติน่ะ  พักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 9
อาการฮีท

วิลเลี่ยมกับเซ็ธถูกพากลับมาที่บ้าน  ศาสตราจารย์หนุ่มนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงมีเซ็ธนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ  เพราะไม่แน่ใจว่ากิลเบิร์ตจะย้อนกลับมาอีกไหม  เอดิสันกับเลนเนอร์เลยอยู่เฝ้าด้วย  รอบๆ  บ้านนั้นมีลูกน้องคนสนิทของเอดิสันตรวจตรารอบๆ


“เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”  เซ็ธถามเสียงสั่นด้วยความกังวลเพราะตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้วแต่วิลเลี่ยมยังไม่ฟื้น  เลนเนอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ  เตียงเหมือนกันเลยลูบหัวปลอบ


“ไม่ต้องกังวลไปหรอก  เซ็ธ  เดี๋ยวเขาก็ฟื้นแล้ว”  โอเมก้าหนุ่มบอกก่อนที่จะถามต่อว่า  “แล้วแผลเป็นยังไงบ้าง  เจ็บมากไหม”


“เจ็บไม่มากครับ  เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”  เซ็ธบอกขณะลูบแผลฟกช้ำที่มุมปากของตัวเอง  เลนเนอร์เห็นเช่นนั้นก็เบาใจเรื่องแผลไปบ้าง  แต่ก็ยังกังวลอีกเรื่องอยู่  “แล้วเธอ...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม  กลัวหรือเปล่า  ถูกทำอะไรไม่ดีบ้างไหม”


เซ็ธชะงักไปทันที  ก่อนที่จะบอกว่า  “ผมกลัว...”


“เจ้าหมอนั่นทำอะไรนาย”  เอดิสันเอ่ยถามขึ้น  “มันได้พูดอะไรบ้างไหม”


“เขาซ้อมผม”  เซ็ธเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าเหมือนพยายามคิด  หาจุดที่น่าจะสำคัญ  “เขาเอาอะไรมาอุดหน้าผมไม่รู้  เหมือนเป็นยา...พอได้กลิ่นก็รู้สึกเวียนหัวจนหมดสติไป  ตื่นขึ้นมาก็ยังมึนๆ  อยู่  เขาถามผมเรื่องวิลเลี่ยม  แต่ผมไม่ยอมบอกก็เลยถูกซ้อม”


“ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก”  เอดิสันพึมพำขึ้น  เซ็ธเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า  “ต่อจากนี้เขาจะยังกลับมาอยู่ไหมครับ”


“ฉันไม่รู้...”  ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ  “ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไร”


“เอดิสัน...”


“อือ...”  เสียงครางในลำคอของวิลเลี่ยมดังขึ้นขณะที่เจ้าตัวเริ่มขยับทำให้ทุกคนหันไปมอง  ศาสตราจารย์หนุ่มค่อยๆ  ลืมตาขึ้น  เมื่อเห็นหน้าเซ็ธก็แทบจะเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที


“เซ็ธ  เป็นอะไรหรือเปล่า!  อ้ะ...โอ๊ย!”  เพราะลุกขึ้นมาเร็วเกินไปทำให้การไหลเวียนของเลือดปรับตัวไม่ทัน  อาการปวดหัวจึงตามมาแทบจะทันทีจนวิลเลี่ยมร้องออกมาแล้วทรุดลงไปกับเตียงอีกครั้ง


“วิลเลี่ยม  เจ็บมากหรือเปล่า”  เด็กหนุ่มถามขึ้นขณะเข้าไปประคองคนที่พยายามยันตัวลุกขึ้นมา  อีกฝ่ายโอดโอยอยู่ครู่เดียวก็บอกว่า  “ไม่เป็นไร  นายต่างหาก  เจ็บมากไหม  มีเลือดออกตรงไหนอีกหรือเปล่า  เจ้าหมอนั่นพูดจาอะไรไม่ดีใส่ไหม  มันล่วงเกินนายหรือเปล่า”


“คะ...คือว่า...”


“วิล  ใจเย็นก่อน  ถามรัวๆ  แบบนั้นคิดว่าใครจะตอบได้ทันกัน”  เอดิสันห้ามปรามขึ้น  ก่อนที่จะจับเขากับเซ็ธแยกออกจากกัน 


“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ  ถึงจะกลัวอยู่บ้าง  แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”  เด็กหนุ่มตอบ  ความคาดหวังของเขาก็คือการทำให้วิลเลี่ยมสบายใจ  แต่อีกฝ่ายยังคงมีสายตาเป็นห่วง 


“ขอโทษนะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลก่อนจะบอกว่า  “นายไม่จำเป็นต้องโกหกฉันหรอก  ถ้ากลัวก็บอกว่ากลัว  ไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว  แบบนั้นพวกเราจะหาทางรับมือได้มากกว่า”


“ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรหรอก  ห่วงคุณมากกว่า”  คำพูดที่ออกมาจากปากของเซ็ธนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เจ้าตัวนิ่งค้างไปพักหนึ่งก่อนที่จะกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์  “งั้นเหรอ  ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร  พอเห็นนายไม่ได้บาดเจ็บอะไรรุนแรงฉันเองก็ดีขึ้นมากๆ  แล้วล่ะ”


กลายเป็นเอดิสันที่ทำท่าเหมือนจะสำลักอากาศออกมาแทน


“วิลเลี่ยม...”  เซ็ธเอ่ยขึ้นมาหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง  เขาสบตากับอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงก่อนที่จะถามว่า  “คนคนนั้น...ทำไมคุณกับเขาถึงได้ทะเลาะกันล่ะครับ”


“กิลเบิร์ตน่ะเหรอ”  วิลเลี่ยมพึมพำชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว  “เขาเป็นฝาแฝดกับฉัน  เราไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่เด็กๆ  แล้ว  ช่วงไฮสคูลเราทะเลาะกันหนักมากเลยแยกกันอยู่  ชีวิตกิลหลังจากนั้นค่อนข้างเสเพล  ถูกพ่อแม่กดดัน  เขาเลยพาลมาเกลียดฉันที่เป็นลูกรักแทน”


“แต่นี่เหมือนไม่ใช่แค่การทะเลาะกันของพี่น้องนี่  ฝ่ายนั้นจะเอาชีวิตนายเลยไม่ใช่เหรอ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้น


“กิลเกลียดโอเมก้า  เขาทำงานเป็นลูกน้องผู้มีอิทธิพลที่มีส่วนเรื่องค้าโอเมก้า  การทำให้โอเมก้ามีสิทธิ์จะขัดขวางการทำงานของเขา  ไม่แปลกหรอกที่จะเอาชีวิต”  ชายหนุ่มว่าเช่นนั้นก่อนจะบอกทิ้งท้ายว่า  “ไม่ต้องห่วงหรอก  ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่ป้องกันตัวเสียเมื่อไร  ต่อจากนี้เองก็คงจะวางใจได้บ้าง”


“หืม?  นายหมายถึงคนที่หนุนหลังให้นายอยู่น่ะเหรอ”  เอดิสันเอ่ยถามขึ้นอีกฝ่ายจึงหันมาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มให้เขา  “ถูกต้อง”


“ดูท่าว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตมากสินะ”  ชายหนุ่มนักธุรกิจสันนิษฐานเช่นนั้น  ทำให้ความสงสัยที่มีแต่แรกกระจ่างลง 


วิลเลี่ยมไม่ใช่คนบ้า  การที่ออกมายืนยันว่าจะยืนหยัดเพื่อโอเมก้าแบบนี้ย่อมมีการเตรียมการและคำนวณมาอย่างดิบดี  ต้องมีคนหนุนหลังที่ดีถึงจะทำให้เพื่อนของเขากล้าที่จะเดินไปสู่จุดหมายได้


“แล้วทำไม  กิลเบิร์ตอะไรนั่นต้องเลือกวันนี้”  เลนเนอร์เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  ความตั้งใจของเซ็ธพังทลายหมดเพราะเรื่องฉุกเฉินแบบนี้


“คงเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของพวกเราล่ะมั้ง”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้  “จะว่าไปตอนที่กลับมาบ้านเมื่อตอนบ่ายก็เห็นห้องตกแต่งใหม่  จะจัดปาร์ตี้วันเกิดกันเหรอ”


ทั้งสามคนสะอึกไปทันทีเมื่อเจอการเดาที่แม่นยำของวิลเลี่ยม  อีกฝ่ายยิ้มแฉ่งผิดกับเซ็ธที่หดหู่ลง 


“ขอโทษนะครับ  ทั้งๆ  ที่ตั้งใจจะจัดให้คุณดีใจแท้ๆ  แต่ดันมาเกิดเรื่องจนคุณต้องเจ็บตัวแบบนี้...”


“อะไรกัน  ไม่ต้องเศร้าหรอก  เดี๋ยวงานเลี้ยงวันเกิดที่มีค่าแบบตอนนี้ของฉันจะเสียหมด”  วิลเลี่ยมปลอบเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงสดใส  ก่อนที่จะดึงเซ็ธมากอด  “แค่เธอบอกว่าจัดงานแบบนี้ฉันก็ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว”


เอดิสันกระแอมไอขึ้นเพื่อช่วยเตือนสติเพื่อนที่พยายามกระโจนเข้าไปในคุก


“ลุกไหวหรือเปล่า  ข้างล่างมีของกินรอไว้อยู่เพียบเลย”  เลนเนอร์เป็นคนบอก  วิลเลี่ยมจึงพยักหน้าแล้วชักชวนให้ทั้งสามคนลงไปข้างล่างโดยจูงมือเซ็ธลงไปด้วย


“เซ็ธ  ลืมเรื่องร้ายๆ  ของวันนี้ไปเถอะนะ  แล้วมามีความสุขกัน  อย่างน้อยนี่ก็เป็นวันเกิดของฉัน”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้มทำให้เด็กหนุ่มที่มีสีหน้าอมทุกข์อยู่คลายมุมปากขึ้นได้บ้าง  แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายโล่งใจขึ้นได้


“เอาล่ะ  ของขวัญจะเป็นอะไรกันน้า”  หลังจากผ่านงานเลี้ยงฉลองแบบผู้ใหญ่ที่มีเบียร์และกับแกล้มปนมากับพวกเมนูหลักแล้ว  วิลเลี่ยมก็ปั้นยิ้มกว้างรอของขวัญอย่างใจจดใจจ่อเหมือนเด็ก


แต่ทั้งเลนเนอร์และเอดิสันย่อมรู้ดี  ว่าวิลเลี่ยมไม่ได้รอของขวัญทั้งหมดหรอก  แค่อยากรู้ว่าเซ็ธจะให้อะไรมากกว่า  ต่อให้เด็กหนุ่มให้กางเกงในใช้แล้วไปตัวหนึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงดีใจเหมือนได้สมบัติ  แต่แบบนั้นก็อาจจะดูโรคจิตไปหน่อย  เอดิสันอาจจะได้เห็นเพื่อนตัวเองไปนอนคุกก็ได้


ของขวัญของเลนเนอร์นั้นเป็นนาฬิกาข้อมืออันใหม่  เพราะวิลเลี่ยมเคยไปบ่นว่าตัวเก่าจะเซ็ตเวลายุ่งยาก  ส่วนเอดิสันเป็นรองเท้ากีฬาแบรนด์โปรดของเพื่อนสนิท  นอกจากนั้นก็ยังซื้ออีกคู่มาให้เซ็ธด้วย


ทั้งสองชิ้นนั้นล้วนให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่เหมาะสมกับผู้รับ  เซ็ธได้ให้ยาบำรุงกับวิลเลี่ยมไปเป็นของขวัญ  อีกฝ่ายยกยิ้มยินดีอย่างสุดซึ้ง  แต่ก็มีอีกชิ้นที่เขานั่งกอดไว้  จู่ๆ  ก็เกร็งขึ้นมา  ชิ้นนี้เขาเลือกมาเอง...จากความรู้สึก  แต่ก็ดันลืมนึกไปว่าวิลเลี่ยมเป็นผู้ใหญ่แล้ว  อาจจะไม่ต้องการของแบบนี้ก็ได้


“เซ็ธ  ของนายอีกอันเป็นอะไรเหรอ”  เจ้าภาพงานวันเกิดยื่นหน้าเข้ามาถามแทบจะทันทีด้วยรอยยิ้มสดใสทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก  ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็คว้ากล่องของขวัญไปดื้อๆ  แล้วชิงเปิดเลยโดยไม่ฟังเสียงร้องห้าม


สวนในขวดแก้วที่ปิดผนึกอย่างดีวางอยู่ในกล่องของขวัญ  ราวกับว่าด้านในมีสวนของจริงอยู่ในนั้น  ทั้งหมู่ดอกไม้และพืชพรรณล้วนให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิ 


“ชะ...ชอบหรือเปล่าครับ?”  เซ็ธเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล  รู้สึกเหมือนหน้าตัวเองเริ่มร้อนขึ้น  วิลเลี่ยมนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันมามองเขาทำให้เด็กหนุ่มรีบอธิบาย  “คือ...คือผมซื้ออันนี้มาให้  เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับคุณเลย”


“เหมือนฉัน...”


“คุณน่ะ...เหมือนฤดูใบไม้ผลิของผม”  เซ็ธก้มหน้าตอบเสียงเบา  แต่ก็เรียกได้ว่าดังพอจะตรึงวิลเลี่ยมให้อยู่กับที่ได้  รู้สึกเหมือนมือจะอ่อนระโหยโรยแรงจนต้องรีบวางขวดโหลลงบนโต๊ะก่อน  ในหัวเหมือนจะได้ยินแค่ไม่กี่คำสะท้อนก้องไปว่า  ‘ของผม...ของผม’


วิลเลี่ยมชะงักไปครู่หนึ่ง  อยากจะยิ้มออกมาแต่น้ำตากลับไหลแทนเสียอย่างนั้นทำให้เซ็ธกังวล  “วิลเลี่ยม  เป็นอะไรหรือเปล่า”


“ปะ...เปล่า  ไม่ได้เป็นอะไร”  วิลเลี่ยมขืนยิ้มก่อนจะรีบปาดน้ำตาที่ไหลออกมา  “แค่ดีใจมากไปหน่อย  ฮะๆ  เซ็ธ  ขอบใจนะ  เป็นของขวัญที่ดีจริงๆ”


คุณค่าของของขวัญชิ้นนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่โหลแก้วหรือศิลปะการจัดสวนด้านใน  แต่เป็นสถานะของวิลเลี่ยมในสายตาของเซ็ธ  ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองขยับจากคนแปลกหน้าในวันนั้นมาได้ไกลมากแล้ว


“อา  แบบนี้แย่เลยนะ”  เอดิสันพึมพำขึ้นทำให้เลนเนอร์ที่อยู่ข้างๆ  หันมามอง  “ยังไม่เคยมีใครทำเจ้านั่นร้องไห้ได้มาก่อนเลย...แบบนี้น่ะจะห้ามยังไงได้ล่ะ”


“ฉันคิดว่าวิลเลี่ยมก็คงมีจิตสำนึกอยู่บ้างแหละนะ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นทำให้อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม 


ร่างสูงองอาจเดินเข้าไปตบไหล่เพื่อนหนึ่งทีก่อนจะบอกว่า  “จะอะไรก็พึงระวังห้องขังไว้ด้วยล่ะ  บรรลุนิติภาวะเสียก่อนค่อยว่ากัน”


“เจ้าบ้า  พูดแบบนี้ต่อหน้าเขาได้ยังไง”  วิลเลี่ยมหันมาถลึงตาใส่เอดิสัน  ก่อนที่ทั้งสองจะเชิงตีเชิงหยอกกันเล่น  แต่เพราะแรงไปเลยเกือบจะทำให้โหลแก้วตกขอบโต๊ะ  วิลเลี่ยมเลยคว้ามันมากอดไว้แน่น  “เอ็ด  ระวังหน่อยสิ  เกิดเจ้าวิลเลี่ยมมันแตกขึ้นมาจะทำยังไง!?”


“อย่าเอาชื่อตัวเองไปตั้งชื่อให้ของขวัญสิวะ!” 


ในวันนั้นจบลงที่วิลเลี่ยมกับเอดิสันชวนกันดื่มเบียร์ต่อเลยนอนค้างที่นี่  เลนเนอร์เลยขอตัวพาเซ็ธไปนอนในห้องปล่อยให้อัลฟ่าทั้งสองดื่มเหล้ากันไป


หลังจากวันนั้น  วิลเลี่ยมก็ยุ่งอยู่เกือบตลอดเวลา  จนกระทั่งผ่านไปราวอาทิตย์กว่าๆ  ชายหนุ่มถึงเริ่มมีวันหยุด  เช้าวันนี้เขานัดกับเลนเนอร์ไว้เลยตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าไว้  เซ็ธตามลงมาในทีหลัง  จนเวลาประมาณเก้าโมงเขาถึงรับรู้ถึงความปกติ


หลังทานอาหารเช้าไปแล้วเซ็ธมีอาการแปลกๆ  บอกว่ามึนหัว  แล้วดูซึมๆ  ไป  วิลเลี่ยมจึงเริ่มเอะใจแต่กว่าที่จะสันนิษฐานสาเหตุแล้ววิ่งไปดูสถิติการฮีทที่ขอมาโรงพยาบาลก็สายไปเสียแล้ว


เสียงโครมครามคล้ายเก้าอี้ล้มดังขึ้นจากห้องครัวเพราะเซ็ธพยายามลุกกลับไปที่ห้องแต่อาการเวียนศีรษะทำให้เขาล้มลง 


วิลเลี่ยมพลันเบิกตากว้างเมื่อกลิ่นหอมอันรุนแรงลอยมาแตะจมูก  สัญชาตญาณที่อยู่ในตัวออกคำสั่งให้เขาพุ่งเข้าไปหาเซ็ธ  ร่างกายของเด็กหนุ่มตอนนี้ร้อนรุ่มไปหมด  ใบหน้านั้นเจือไปด้วยสีแดงระเรื่อ  มือเท้าไร้เรี่ยวแรงจะปัดป่าย  ทุกส่วนสัดอ่อนไหวยามถูกสัมผัส


วิลเลี่ยมรู้ดีว่านี่คืออาการฮีท  เขาลืมไปว่านี่ควรจะเป็นช่วงเวลานั้นของเซ็ธแล้ว  และตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น  กลิ่นหอมนั้นจึงรุนแรงกว่าปกติ


มือที่ปัดป่ายอยู่พวกนี้น่ารำคาญ  พอคิดแบบนั้นวิลเลี่ยมก็ใช้กำลังตรึงแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไว้บนพื้น  ก่อนที่จะชะงักเพราะเสียงร้องห้าม


“วิลเลี่ยม!  อย่า...ได้โปรด”


เสียงนั้นตะโกนเรียกชื่อเขาเพื่อร้องห้ามก่อนที่จะขอร้องด้วยเสียงสั่นเครือ  วิลเลี่ยมถึงได้สติแล้วกัดริมฝีปากตัวเองแน่น  เขารีบลุกออกจากร่างของเซ็ธไปแล้วกระชากเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น  พาขึ้นไปยังชั้นสองแล้วเปิดประตูห้องนอนของอีกฝ่ายจากนั้นก็โยนเซ็ธเข้าไป


“ล็อกประตูซะ!”  วิลเลี่ยมตะโกนสั่งขึ้นก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องตัวเองเพื่อหยิบยาระงับอาการฮีทของอัลฟ่ามากินเพื่อบรรเทาอาการ  จากนั้นก็รีบไปนั่งอยู่ข้างล่างด้วยสายตาเคร่งเครียด  พอดีกับที่เลนเนอร์มาหาพอดี


“กลิ่นแบบนี้...เกิดอะไรขึ้น?”  อีกฝ่ายพึมพำทันทีที่เข้ามาบ้านเหมือนจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  ยิ่งเห็นวิลเลี่ยมมีสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนกำลังอดทนต่ออะไรบางอย่างอยู่ที่โซฟาเลยพอเดาอะไรได้บ้าง  “เซ็ธปลอดภัยดีใช่ไหม  เขาอยู่ที่ไหน”


“ในห้อง  เอายาให้เขากินที”  วิลเลี่ยมตอบเสียงเบา  เลนเนอร์รีบวิ่งขึ้นข้างบนทันทีแล้วเคาะเรียกอีกฝ่าย  ตัวเขาเป็นโอเมก้าย่อมรู้ดี  ในช่วงวัยรุ่นนั้นจะอันตรายเพียงใด  กลิ่นที่แสนเชิญชวนนี้จะรุนแรง  รัศมีอาจมากกว่าบ้านพักหนึ่งหลัง  เชิญชวนคนแปลกหน้าให้เข้ามาในบ้านได้


“เซ็ธ  นี่ฉันเองเลนเนอร์  ให้ฉันเข้าไปหน่อยสิ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นหลังจากเคาะเรียก  ไม่นานห้องก็ปลดล็อก  เด็กหนุ่มเปิดประตูออกมาเขาจึงเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายไม่สู้ดี  “ไข้ขึ้นเหรอ  ไปนอนพักก่อน”


ชายหนุ่มบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะพาเดินไปที่เตียงโดยไม่ลืมล็อกประตูไว้  ก่อนจะถามว่า  “ของขวัญที่ได้จากเอดิสันอยู่ที่ไหน”


“ใน...ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือครับ”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นน้ำเสียงปนหอบ  ไม่รอช้าเลนเนอร์รีบไปค้นหาทันทีเมื่อเจอชุดยาแล้วก็จัดการหยิบยาระงับอาการฮีทแบบฉุกเฉินขึ้นมา  มันเป็นยาที่บรรจุอยู่ในเข็มฉีดอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาการเตรียมการแต่อย่างใด


“เจ็บนิดหนึ่งนะ”  เขาบอกก่อนจะคลำหาเส้นแล้วฉีดยาไปตามที่เคยได้เรียนมา  มันจะช่วยระงับการส่งกลิ่นยั่วยวนพวกอัลฟ่าได้บ้าง  แต่ผลข้างเคียงของอาการฮีทยังคงอยู่  เซ็ธคงจะมีไข้ไปอีกสองสามวัน  ยาตัวนี้ก็ใช่ว่าจะทำให้ช่วงฮีทหายไปดังนั้นเขาเลยเลือกวิธีที่ดีที่สุด


เลนเนอร์อุ้มเซ็ธขึ้นมาจากเตียงนอน  โชคดีที่อีกฝ่ายน้ำหนักเบาจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร  จากนั้นก็ลงมาข้างล่างเห็นวิลเลี่ยมยืนรออยู่  ดูเหมือนว่ายาระงับอาการของอัลฟ่าจะออกฤทธิ์แล้ว


“เซ็ธเป็นยังไงบ้าง?”  วิลเลี่ยมถามด้วยความกังวล


“ฉีดยาไปแล้วเดี๋ยวเรื่องกลิ่นก็คงไม่ต้องห่วง  แต่เพื่อความชัวร์ฉันจะพาเขาไปพักที่บ้านก่อน  ที่นั่นปลอดภัยจากอัลฟ่าทุกคน”  เลนเนอร์บอกซึ่งวิลเลี่ยมก็ไม่ได้คัดค้านอะไรและปล่อยให้อีกฝ่ายพาเซ็ธไป


ลับหลังเลนเนอร์ไป  วิลเลี่ยมแทบจะทิ้งตัวลงบนโซฟาทันที  เขาถอนหายใจยาวอย่างอ่อนล้าแล้วซุกหน้าลงกับมือทั้งสองข้าง


เมื่อครู่เขาเกือบทำเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดไปแล้วเสียแล้ว...


ไม่ใช่แค่ว่าตัวเองจะเสียชื่อเสียง  หากมีข่าวลือหลุดออกไปค่าความน่าเชื่อถือของงานวิจัยก็จะลดลง  เหนือสิ่งอื่นใดคือเซ็ธ  ออกจะดูหัวโบราณไปหน่อยแต่วิลเลี่ยมคิดว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตแบบปกติในฐานะวัยรุ่นแบบนี้ต่อไปจะดีกว่า  ไม่มีเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้อง 


จะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำให้เด็กแปดเปื้อน  เพื่อที่จะทำให้เซ็ธก้าวไปสู่จุดทัดเทียมกับอัลฟ่าโดยไร้มลทิน


เพื่อการนั้นเขาจึงต้องอดทน...


เมื่อลืมตาขึ้นมาอาการปวดหัวก็ยังคงมีอยู่  รู้สึกเหมือนว่าการหายใจเป็นเรื่องลำบาก  ร่างกายก็ยังคงร้อนอยู่แม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะทำงานอยู่  เซ็ธยังคงไม่ชินกับอาการแบบนี้  พอตื่นสายตาก็พร่าเบลอชั่วขณะจนมองไม่ค่อยเห็นอะไร  แต่มีคนนั่งอยู่ที่ข้างเตียงเขาเลยเอ่ยเรียก  “วิลเลี่ยม...”


“ตื่นแล้วเหรอ  เดี๋ยวฉันหาน้ำมาให้นะ”  เป็นเสียงของเลนเนอร์  อีกฝ่ายขยับลุกขึ้น  พอเซ็ธปรับระดับสายตาได้แล้วเขาจึงได้รู้ว่าไม่ใช่วิลเลี่ยมที่เฝ้าอยู่  พอนึกทวนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก็จำได้แค่อยู่ในห้องครัวแล้วจู่ๆ  ก็หน้ามืด


ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเขาก็จำไม่ได้  ตอนนี้พอมองดูดีๆ  แล้วนี่ก็ไม่ใช่ห้องของเขาหรือของวิลเลี่ยมเลยด้วย


“ที่นี่...”


“ห้องของฉันเอง  บ้านนี้ฉันเอาไว้พักตอนที่มีอาการฮีทน่ะ”  เลนเนอร์ตอบขณะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงแล้ววางแก้วน้ำลง  จากนั้นก็ประคองเด็กหนุ่มขึ้นมาป้อนน้ำให้  “นายเกิดอาการฮีทขึ้นมา  ฉันเลยพานายมาพักที่นี่ก่อนน่ะ”


เซ็ธนอนฟังเงียบๆ  เขาจำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น  ภาพวิลเลี่ยมที่มีสีหน้าแสนจะทรมานเพราะตนทำให้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา  พอคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง  เด็กหนุ่มก็ร้องไห้ออกมา  “ผม...ทำให้...วิลเลี่ยมลำบาก  ฮึก”


“ไม่หรอก  มันเป็นเรื่องธรรมชาติ  หลีกเลี่ยงไม่ได้  วิลเลี่ยมเองก็เข้าใจดี”


“เขาจะ...โกรธผมไหม”  เซ็ธถามขึ้นอีกเสียงสั่น  หยดน้ำอุ่นๆ  ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างไม่หยุด 


“วิลเลี่ยมไม่มีทางโกรธนายเพราะเรื่องนี้  ฉะนั้นไม่ต้องกังวล  เขาคงรอนายกลับไปอย่างใจจดใจจ่อด้วยซ้ำ”  เลนเนอร์ปลอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  ดูท่าทางแล้วเซ็ธคงเพ้อจากพิษไข้จนเกิดความเครียดได้ง่าย  เขาลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ  แล้วบอกว่า  “นอนพักเถอะ  จะได้ดีขึ้น”


เซ็ธผล็อยหลับไปแทบจะทันที  เลนเนอร์จึงลุกออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก  อันดับแรกก็บอกเอดิสันก่อนว่าจะไม่กลับบ้านสามสี่วันหรือจนกว่าเซ็ธจะหายฮีท  แล้วก็โทรไปบอกวิลเลี่ยมว่าไม่ต้องห่วง  ตอนที่พาเด็กหนุ่มมานั้น  อัลฟ่าหนุ่มนั้นมีสีหน้าเครียดจัด  ดูก็รู้ว่าเกือบจะทำเรื่องไม่ดีไป  มีหรือที่อัลฟ่าจะทนต่อกลิ่นของโอเมก้าได้


แต่ตอนนี้วิลเลี่ยมเองก็คงสงบใจได้แล้ว  กลายเป็นฝ่ายถามเขายกใหญ่เกี่ยวกับเซ็ธ  ดูท่าจะห่วงมากจนเลนเนอร์ก็เริ่มจะเอือมระอา  สุดท้ายก็บอกเดี๋ยวจะโทรไปเวลาอื่นแล้วตัดสายไป


เย็นวันนั้นเซ็ธตื่นขึ้นมา  ใบหน้าดูอ่อนเพลียและโทรมจัดแต่พอจะมีแรงลุกขึ้นมาแล้ว  เลนเนอร์ทำอาหารที่ย่อยง่ายๆ  ให้กินจากนั้นก็คุยกันอยู่พักหนึ่ง  ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมให้คำแนะนำที่ดีแก่เด็กหนุ่มได้


ในระหว่างนี้เซ็ธต้องกินยาหลายอย่างตามที่แพทย์สั่ง  ซึ่งแพทย์คนนี้เอดิสันส่งมาตรวจหลังทราบเรื่อง  ที่สำคัญคือยาแก้อาการฮีทที่จะควบคุมไม่ให้ร่างกายของเขาไปกระตุ้นอัลฟ่าคนอื่น


และถึงแม้ไข้จะหายตั้งแต่วันที่สาม  แต่เซ็ธก็ต้องอยู่จนถึงวันที่สี่  ในระหว่างนั้นเลนเนอร์ก็เอือมวิลเลี่ยมไปแล้วจริงๆ  ทุกเช้าสายบ่ายเย็นต้องโดนถามความเป็นอยู่ของเซ็ธทุกวัน  ให้คุยด้วยก็แล้วยังไม่สาแก่ใจอีกฝ่าย  เซ็ธเองไม่ได้รับรู้ถึงระดับความคิดถึงอันน่ากลัวนั้นของวิลเลี่ยมเลยไม่เป็นอะไร  แต่เขาสิถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า  นึกแล้วก็อยากจะโยนโทรศัพท์ไปให้เอดิสันจัดการแต่ดูเหมือนด่าไปก็ไม่ได้ทำให้ได้สติสักเท่าไร


จนวันที่ห้าวิลเลี่ยมก็ตรงมารับเซ็ธถึงบ้านด้วยน้ำตาแห่งความยินดี  รอยยิ้มกว้างเหมือนสามารถแผ่ทุ่งดอกไม้ไปรอบๆ  “เซ็ธ  กลับบ้านกันน้า”


“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ  เป็นคำตอบก่อนจะหันไปลาเลนเนอร์กับเอดิสัน  ฝ่ายหลังย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าลืมพกยาระงับไว้เสมอเพื่อป้องกันตัว  เขาเลยตอบรับไป


พอกลับมาถึงบ้าน  ตอนที่นั่งกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นวิลเลี่ยมก็หยิบปฏิทินตั้งโต๊ะมาเปิดดูสามเดือนถัดไปแล้ววงกลมไว้ก่อนที่จะหยิบเอกสารบางอย่างมาดู  “เซ็ธ  ครั้งก่อนที่มีอาการฮีทก็เป็นช่วงนี้ใช่ไหม  วันที่  13 – 15  ใช่ไหม”


“ประมาณนั้นครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบไป  อีกฝ่ายเลยบอกว่า  “งั้นรอดูรอบต่อไป  ถ้าเป็นช่วงนี้ก็แสดงว่ารอบฮีทนายแน่นอนแล้ว  จะได้ป้องกันได้ถูก”


“มันจะเป็นช่วงนั้น  เดือนนั้นจริงๆ  เหรอครับ”  เด็กหนุ่มถามขึ้นด้วยความใคร่รู้  ก่อนที่วิลเลี่ยมจะตอบว่า  “ใช่  โอเมก้าจะฮีททุกๆ  สามเดือนอย่างแน่นอน  และช่วงระยะเวลาที่เป็นก็สามารถคาดการณ์ได้...”


วิลเลี่ยมพูดค้างไว้และชะงักไปเหมือนนึกอะไรได้  ท่าทางนั้นทำให้เซ็ธสงสัย  “วิลเลี่ยม  เป็นอะไรไปหรือครับ?”


“เปล่า...แค่สงสัยบางอย่างน่ะ  โอเมก้าจะฮีททุกสามเดือนอย่างแน่นอน  และถ้าว่ากันตามตรงแล้ว  ช่วงต้นเดือนนี้เลนเนอร์ต้องฮีทแล้วสิ  ทำไม...”


ชายหนุ่มคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง  เลนเนอร์เองก็เป็นบุคคลอ้างอิงข้อมูลในงานวิจัย  มีหลายอย่างที่เขาศึกษาจากโอเมก้าคนนั้นเลยทำให้พอจะมีความรู้เรื่องนี้บ้าง  แต่หลังจากไปอยู่กับเอดิสันก็ไม่ค่อยได้ติดต่ออะไรกันมาก


ข้อสันนิษฐานบางอย่างผุดมาในความคิดของวิลเลี่ยม  แต่ครู่เดียวก็ต้องสลัดทิ้ง  ไม่มีทางเป็นไปได้...เอ็ดย่อมป้องกันอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  10
สถานการณ์ที่ไม่พร้อม

วิลเลี่ยมไม่ได้บอกความสงสัยในช่วงนี้ให้แก่ใคร  เซ็ธนั้นไม่รู้เรื่องย่อมไม่มีทางเข้าใจ  ส่วนอีกสองคนก็ค่อนข้างซับซ้อนเขาจึงเป็นฝ่ายรอเวลา  เพราะเชื่อว่าย่อมมีคนที่รู้แก่ใจดีอยู่แล้ว


ในที่สุดก็มีใครบางคนมาหาถึงบ้านตอนเช้าของวันที่  20  เลนเนอร์ที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มใจนั่งเงียบอยู่ที่โซฟา  เซ็ธไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดตามคำแนะนำของวิลเลี่ยม  พวกเขาจึงได้มีเวลาส่วนตัว


วิลเลี่ยมยกชาคาโมมายล์มาให้ดื่มก่อนที่จะนั่งรอ  อีกฝ่ายจิบไปสองสามอึกในที่สุดก็เริ่มพูด  “เดือนนี้ฉันยังไม่ฮีทเลย”


“รอบฮีทนายค่อนข้างแม่นยำมากนะ  ผ่านมาถึงวันนี้แล้วยังไม่ฮีทก็แปลกแล้วล่ะ”  วิลเลี่ยมเสริมขึ้นก่อนที่จะถามตรงประเด็นทันทีว่า  “ซื้อที่ตรวจครรภ์มาแล้วหรือยัง”


“ลองแล้ว”  อีกฝ่ายตอบสั้นๆ  “สามอัน”


“ผลสรุปล่ะ?”  เขาถามขึ้นเสียงเรียบ  แต่บรรยากาศรอบห้องตอนนี้เต็มไปด้วยความอึมครึม  เลนเนอร์เงียบไปสักพักก่อนจะบอกเสียงแผ่วเบา 


“ท้อง...”


วิลเลี่ยมสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งเบาๆ  เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันมีสิทธิ์เป็นไปได้  แต่ดูจากอาการของเลนเนอร์แล้วแสดงว่ายังไม่พร้อม  ใช่แล้ว  ในช่วงนี้ไม่ควรจะมีจริงๆ


“บอกเอ็ดหรือยัง?”  เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายส่ายหน้าแทบจะทันที  “ไม่ต้องห่วง  หมอนั่นยุ่งกับงานจนหัวหมุนไปหมด  ไม่มีเวลามาจนใจว่าฉันจะฮีทตอนไหนหรอก”


“นายจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเหรอ?”  วิลเลี่ยมเลิกคิ้วด้วยความไม่เชื่อ


“ฉันไม่อยากให้หมอนั่นเครียดไปมากกว่านี้น่ะ”  ช่วงนี้เอดิสันยุ่งจริงๆ  เพราะตัวเขาต้องชิงตำแหน่งประธานบริษัทของตระกูลกับพี่น้องคนอื่น  ปัญหาที่สำคัญคือความคิดที่สวนทางกับที่บ้าน


เอดิสันสนับสนุนการช่วยเหลือพวกโอเมก้า  มีงานเกื้อหนุนการวิจัยหรือผลิตยาต่างๆ  แต่ทางบ้านกลับเกลียดโอเมก้า  และไม่เห็นด้วยที่เอดิสันคบหากับเลนเนอร์จนมีความตั้งใจว่าจะแต่งงานกัน


หากว่าทัศนคติของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ยังถูกย้อมด้วยความเกลียดชังต่อโอเมก้า  เด็กที่กำลังจะเกิดมาภายใต้ความอคตินี้อาจจะเกิดปัญหาตามมา  ยิ่งเกิดในตระกูลดังยิ่งมีความเสี่ยงใหญ่


“แล้วจะทำยังไง” 


“ตราบใดที่การแต่งงานกันของอัลฟ่าและโอเมก้าเป็นเรื่องต้องห้าม  ฉันก็คิดว่ายังไม่เปิดเผยจะดีกว่า”  เลนเนอร์เอ่ยความตั้งใจออกมา  “กับเอดิสันก็ด้วย”


“ทำไม”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความสงสัย


“หมอนั่นไม่ได้อยากมีลูกมาตั้งแต่แรกแล้ว  ปกติก็ป้องกันอย่างดี  แต่...”  เลนเนอร์พูดค้างไว้  เพราะเป็นเรื่องที่วิลเลี่ยมอยากรู้แต่แรกว่าทำอีท่าไหนถึงท้องได้เลยตั้งใจฟัง  “ฮีทรอบที่แล้ว  ฉันขอให้เขาไม่ใช่ถุงยาง”


“ทำไมทำแบบนั้น”  เขาถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกต่อ


“เป็นความเอาแต่ใจของฉันเองแหละ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นพลางหลุบตาต่ำ  “แค่อารมณ์ชั่ววูบ  อยากจะมีลูกกับหมอนั่นเหมือนคนทั่วๆ  ไป  มีความสัมพันธ์เหมือนคนรักปกติ  ไม่ต้องมีข้อจำกัดอะไร  ไม่ต้องโดนดูถูกอะไร”


เสียงของอีกฝ่ายสั่นเครือเมื่อค่อยๆ  พูดแต่ละประโยคออกมา  เพราะอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ด้านในมันมากมายเกินไปจึงล้นออกมาผ่านน้ำตา  “ฉันมันก็แค่คนโง่คนหนึ่ง”


โอเมก้าหนุ่มตำหนิตัวเองเช่นนั้นขณะปาดน้ำตาที่ล้นเอ่อออกมา  วิลเลี่ยมเองก็ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง  เขาก็คิดไม่ออกว่าเอดิสันจะว่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้


“แล้วต่อจากนี้จะทำยังไง”  เขาถามขึ้น  อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะบอกว่า  “ฉันคิดว่าจะเลี้ยงเขาคนเดียว  เอดิสันจะได้ไม่ต้องลำบาก”


วิลเลี่ยมเบิกตากว้างก่อนจะบอกทันทีว่า  “ไม่ได้นะ”


“วิล  ฉันเลี้ยงเด็กคนเดียวได้  ตอนนี้ครอบครัวเอดิสันกำลังมีเรื่องเบาะแว้งกัน  มันเกี่ยวข้องกับธุรกิจ  ฉันไม่อยากให้เขาต้องมาจนตรอกเพราะข้ออ้างเรื่องนี้  แล้วอีกอย่างฉันไม่อยากให้เขากับลูกในท้องของฉันต้องได้รับอันตรายจากคนในบ้านของเขา”


“แต่นาย...แต่แรกนายอยากมีลูกเพราะต้องการครอบครัวไม่ใช่เหรอ  อยากมีลูกกับเอ็ด  อยากอยู่ด้วยกันกับหมอนั่นแบบครอบครัวคนอื่นไม่ใช่เหรอ  นายต้องบอกเขาแล้วช่วยกันแก้ปัญหาสิ  อย่าคิดแบกภาระไว้คนเดียว”  วิลเลี่ยมแทบจะลุกจากเก้าอี้ไปเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย  แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะให้โอเมก้ามีลูกกับอัลฟ่าเลย


“ตอนแรกก็คิดแบบนั้น  แต่พอมาไตร่ตรองดูอีกที  ฉันคิดว่านี่เป็นทางที่เหมาะสมแล้ว  ไม่เอาน่า  ฉันกับเอ็ดไม่ได้คิดจะเลิกกันเสียหน่อย  แค่แยกไปเลี้ยงลูกเอง”  เลนเนอร์บอกพลางขืนยิ้มทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  ภาระเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่แบกรับคนเดียวไว้  และเอดิสันคงไม่ยอมแน่ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น  ผลลัพธ์อาจจะร้ายแรงกว่าบอกไปตอนนี้ก็ได้


“ถ้ายังงั้น  ฉันจะทำให้มันเป็นจริงเอง...”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายทำให้เลนเนอร์ชะงัก  “ทำให้สังคมนี้ยอมรับพวกโอเมก้า  ทำให้การแต่งงานระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ  อีกไม่นานหรอก  อีกไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น”


“วิล...”


“ถ้าถึงตอนนั้น...ไม่สิ  ถ้าพร้อมเมื่อไร  ช่วยบอกเรื่องนี้กับเอ็ดด้วยตัวเองนะ  ฉันเชื่อว่าเขาจะยินดีร่วมแก้ปัญหานี้ไปกับนายแน่นอน”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ  ทำให้เลนเนอร์สามารถยิ้มออกมาโดยไม่ต้องขืนได้แล้ว  “แน่นอน  ฉันจะบอกกับเขา”


“ดีมาก”  ชายหนุ่มยกยิ้มด้วยความโล่งอก  ก่อนที่จะสวมกอดอีกฝ่าย  “สู้ไปด้วยกันนะ  ฉันจะคอยช่วยเหลือด้วย”


“ขอบคุณนะ  นายเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ”  เลนเนอร์เอ่ยชมเช่นนั้นก่อนที่จะเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล  “เซ็ธ...”


เพียงแค่พูดคำนั้นออกไป  วิลเลี่ยมก็แทบจะดีดตัวออกห่างไปทันที  ก่อนที่จะหันไปแก้ตัวติดๆ  ขัดๆ  ว่า  “มะ...ไม่ใช่อย่างที่คิดนะเซ็ธ  เข้าใจผิดแล้ว!”


“อะไรหรือครับ?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจขณะเดินเข้ามาใกล้  ก่อนที่จะหันไปทักทายตามเลนเนอร์ตามปกติ 


“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ”  เมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้วเลนเนอร์ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะมีงานเลี้ยงเด็กอยู่  วิลเลี่ยมพาอีกฝ่ายไปส่งถึงรถแล้วยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน  เมื่อผ่านไปสักพักก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู  น่ายินดีที่อีกฝ่ายนั้นไม่ได้กดวางสายไป


“ก็เป็นแบบที่นายได้ยินนั่นแหละ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  อีกฝ่ายเงียบอยู่เช่นนั้นเหมือนไม่มีใครคุยสายกับเขา  แต่จากเสียงลมหายใจที่ดังเป็นระยะก็พอจะรู้ว่ายังไม่หายไปไหน  “จะทำยังไงต่อล่ะ  เอ็ด”


“...ไม่รู้สิ  หนีไปร้องไห้มั้ง”  น้ำเสียงไร้อารมณ์ตอบมาห้วนๆ  เนิ่นนานกว่าที่อีกฝ่ายจะถอนหายใจยาวมาอีกครั้ง  “ทำยังไงดี”


“นี่  ฉันเองก็ไม่อยากถูกด่าว่าปากสว่างหรอกนะ  เพราะฉะนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือหุบปากซะ  ทำเหมือนยังไม่รู้เรื่องไป”


“แล้วจะกดโทรหาฉันทำไม”  เอดิสันถามกลับมาด้วยความสงสัย  เพราะวิลเลี่ยมก็สันนิษฐานเรื่องท้องได้แต่แรกพอเห็นเลนเนอร์มาปรึกษาก็เลยโทรหาเอดิสันเพื่อให้ทราบเรื่องด้วย 


“ปัญหานี้แก้ไม่ได้ถ้ามีแค่ฝ่ายเดียวถูกไหม  ทำเขาท้องก็รับผิดชอบด้วยสิ”  เขาเอ่ยไปด้วยรอยยิ้ม  น้ำเสียงสดใสทำให้คนที่เครียดอยู่สบถคำหยาบออกมา  ก่อนจะถามกลับว่า  “นายว่าเสื้อผ้าเด็กแบรนด์ไหนดี”


“ไม่รู้สิ  ไม่เคยเลี้ยงเด็ก  แต่ฉันคิดว่ารู้เพศก่อนแล้วค่อยหาของจะดีกว่า” 


เอดิสันตอบรับพลางๆ  ก่อนจะกดวางสายเพราะมีคนเข้ามาในห้อง  เขาเลยเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านเห็นเซ็ธยืนรออยู่


“เซ็ธ  มีอะไรเหรอ?”  เขาถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้ากังวล  อีกฝ่ายลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกว่า  “เมื่อกี้ผมได้ยินที่คุณคุยกับเลนเนอร์”


วิลเลี่ยมเลิกคิ้ว  ถึงเซ็ธจะเป็นเด็กแต่ย่อมรู้ดีว่าที่คุยกันเมื่อกี้มันคืออะไร


“ตอนนี้น่ะ  อัลฟ่ากับโอเมก้ารักกันไม่ได้เลยจริงๆ  เหรอครับ”  เด็กหนุ่มถามขึ้น 


“ใช่  ตามกฎหมายแล้วไม่มีการสนับสนุนการรักกันระหว่างอัลฟ่ากับโอเมก้า  ในสังคมก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้ด้วย”  วิลเลี่ยมตอบไปตามความจริง  ก่อนจะนึกขำ  “น่าแปลกนะ  ทั้งๆ  ที่เมื่อก่อนช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ใหม่ๆ  อัลฟ่ายังเรียกร้องหาแต่โอเมก้าอยู่เลย  พอมาในตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วก็โยนทิ้งเหมือนเป็นของไร้ค่า”


“เพราะเหตุการณ์นั้นในประวัติศาสตร์หรือครับ”  เซ็ธเอ่ยถามขึ้น  จุดเริ่มต้นของความเกลียดชังมาจากเรื่องราวในอดีต  ที่พวกอัลฟ่าส่วนหนึ่งมีความคิดเห็นว่าโอเมก้านั้นน่ารังเกียจ  ร่างกายที่ถวิลหาแต่ตัณหา  ผลักดันชนชั้นตนให้เสพสมด้วยแล้วเอาลูกมาอ้างเพื่อขึ้นไปยืนในจุดที่ทัดเทียมกันนั้นแสนสกปรก  ประกอบกันมีการประท้วงที่รุนแรงเลยทำให้เรื่องราวบานปลาย


ผลสรุปคือคนในยุคนั้นเกลียดชังโอเมก้าและมองพวกเขาเป็นชนชั้นต่ำสุดที่ไม่ควรสุงสิงด้วย  จนกระทั่งถึงปัจจุบันความคิดเช่นนั้นก็ยังไม่หายไปแถมยังฝังรากลึกอีกด้วย


ทั้งๆ  ที่หากมองในความเป็นจริงแล้ว  โอเมก้าก็ไม่ได้น่าเกลียดอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง


วิลเลี่ยมปัดเรื่องตึงเครียดในเช้าวันนี้ด้วยการเปลี่ยนไปกินข้าวเช้า  ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยเลยนึกเรื่องบางอย่างออก


“จริงสิเซ็ธ  ฉันคิดว่านายพร้อมจะไปเรียนต่อระดับมัธยมปลายได้แล้วนะ”  เซ็ธมองหน้าอีกฝ่ายคล้ายตะลึงไปชั่วขณะ  ก่อนจะบอกว่า  “แต่ผมไม่ได้เรียนต่อตั้งแต่เกรดสามแล้วนะครับ”


“ไม่เป็นไร  จริงๆ  ตั้งแต่รับนายมาดูแลฉันก็ทำเรื่องให้นายเรียนโฮมสคูลแล้ว  เล่นตุกติกนิดหน่อยก็ไม่มีใครสงสัยอะไรหรอก”  อีกฝ่ายว่าพร้อมฉีกยิ้มภาคภูมิใจ  เพราะการศึกษาต่อเป็นสะพานให้เด็กคนนี้ประสบความสำเร็จเขาเลยทำเรื่องนี้ไว้แต่แรก


“แล้วผมต้องทำอะไรบ้างหรือครับ?”  เด็กหนุ่มถามขึ้นต่อด้วยความสงสัย  วิลเลี่ยมกระแอมไอหนึ่งครั้งก่อนที่จะอธิบาย  “ปกติแล้วการสอบในประเทศเราจะแบ่งตามชนชั้นเหมือนประเทศอื่น  แต่ก็นะปัจจุบันเหลือแค่การสอบของอัลฟ่าและการสอบของเบต้า  แต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมจะมีการสอบใหญ่ที่ไว้ใช้เป็นอีกเกณฑ์หนึ่งในการสมัครเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา...”


ชายหนุ่มหยุดพูดก่อนครู่หนึ่งแล้วหยิบคู่มือการสอบมาให้เซ็ธ  “การสอบเดือนกรกฎานั้นไม่จำกัดชนชั้น  ทุกคนสามารถสมัครสอบได้  เป็นเหมือนการแข่งขันกันนั่นแหละ  แล้วยังมีวิชาให้เลือกสอบประมาณ  50  รายวิชา  เลือกสอบได้ประมาณ  7 – 10  รายวิชา”


“ไม่จำกัดชนชั้น  ก็หมายความว่าผมสามารถสอบได้สินะครับ”  เซ็ธเอ่ยถามขึ้นในแบบที่ตัวเองเข้าใจ  วิลเลี่ยมพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะบอกว่า  “ใช่  ทุกแม้ทุกปีที่ผ่านมาจะไม่มีโอเมก้ามาสมัครเลยแต่ก็ใช่ว่าจะสอบไม่ได้  ในเมื่อบอกว่าสอบได้หมดก็ต้องได้ทุกชนชั้น”


เซ็ธพยักหน้าเบาๆ  เป็นการเข้าใจก่อนที่จะไล่ดูรายวิชาที่ถูกระบุในนั้น 


“นายเลือกเฉพาะอันที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพในอนาคตก็ได้  หน้าหลังๆ  จะมีบอกไว้ว่าสายไหนควรสอบวิชาไหนบ้าง”  วิลเลี่ยมให้คำแนะนำก่อนที่จะนึกขึ้นได้  “นายมีอาชีพที่อยากทำแล้วหรือยัง”


“มีแล้วครับ”  เด็กหนุ่มตอบแทบจะทันที  “จริงๆ  ก็คิดไว้สักพักหนึ่งแล้วแต่ผมนึกว่าจะทำไม่ได้”


“ไม่เป็นไร  ถ้าเธอสามารถสอบอันนี้ได้ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้แล้ว”  วิลเลี่ยมกล่าวพร้อมยิ้มให้กำลังใจ  เขาปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจอยู่หนึ่งวัน  ก่อนที่จะชวนไปสมัครในวันถัดไป


ในอาคารที่เปิดรับสมัครสอบเนืองแน่นไปด้วยผู้คน  ทั้งอัลฟ่าและเบต้าที่พาลูกหลานมาสมัครสอบ  ทันทีที่วิลเลี่ยมพาเซ็ธเข้าไปก็คล้ายจะถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง


“โอเมก้านี่...”  เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่  ก่อเกิดเป็นเสียงกระซิบมากมายทั่วทุกหนแห่ง  ทั้งเสียงพวกนั้นและสายตาที่จ้องมาทำให้เซ็ธเกิดความกังวล


“หา?  ทำไมมีโอเมก้ามาอยู่ที่นี่ได้  เฮ้ย!  แก  ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”  ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียงดังลั่นก่อนที่จะตรงดิ่งเข้ามาจะคว้าตัวเซ็ธไว้แต่วิลเลี่ยมก็ก้าวเข้ามาขวางเสียก่อน 


“กรุณาอย่าเสียมารยาทด้วยครับ”


“หา?  แกเป็นใคร  กล้าดียังไงพาโอเมก้ามาในที่แบบนี้  เกิดมันฮีทขึ้นมาจะทำยังไง”  อีกฝ่ายตะคอกเสียงดังใส่หน้าวิลเลี่ยมแต่เขาก็ยังยิ้มใจเย็นอยู่  “ไม่มีทางหรอกครับ  ถ้าเขาเข้าช่วงฮีท  ผมเองก็ไม่โง่พอจะพาเขามาเสี่ยงในที่แบบนี้หรอก”


“แล้วแกพามันมาทำไม”


“ก็นี่มันสถานที่สมัครสอบก็ต้องมาสมัครสอบสิ”  วิลเลี่ยมตอบเสียงเรียบ  สิ้นเสียงของเขา  อีกฝ่ายก็ออกอาการอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนกับคนอื่นๆ  ที่อยู่รอบๆ


“ฮ่าๆ  บ้าไปแล้ว  โอเมก้าเนี่ยนะจะมาสอบระดับประเทศ  ไม่เจียมตัวเลย”


“แม่  ทำไมผมต้องมาสอบสนามเดียวกับโอเมก้าด้วย”


“ก็ดีสิแบบนี้  มีตัวดึงมีนให้ต่ำแบบนี้  เฮ้ย  ไอ้กากแกคงได้สูงสุดก็แค่ห้าคะแนนเองมั้ง”


หลากหลายคำสบประมาทที่ได้ยินทำให้เซ็ธยืนนิ่ง  ร่างกายของเขากำลังสั่น  เสียงที่ได้ยินนั้นเหมือนมีดที่กรีดแทงในใจของเขา  คนพวกนี้เขาไม่ควรอยู่ใกล้  จิตใต้สำนึกบอกให้เขาหนี  หนีไปให้ใกล้จากอัลฟ่าที่น่าขยะแขยงพวกนี้  ทุกคนล้วนน่าขยะแขยง  ไม่มีใครที่คิดจะเห็นค่าของเขาสักคน


“ไม่ต้องกลัว”  ทว่าท่ามกลางเสียงหัวเราะนั้น  เสียงของวิลเลี่ยมก็ดังขึ้นมาเหมือนกับกลบทุกสิ่งอย่างได้แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบ  เมื่อเซ็ธเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มปลอบโยนให้เขา  “ทำใจให้ชินแล้วเมินพวกนั้นไปซะ  ต่อจากนี้นายจะได้พิสูจน์ตัวเอง”


“คะ...ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับก่อนที่วิลเลี่ยมจะจูงอีกฝ่ายฝ่าฝูงคนไปยังหน้าเคาท์เตอร์รับสมัคร  จากนั้นก็เลือกพนักงานเบต้าคนหนึ่งให้ช่วยเซ็ธกรอกแบบฟอร์ม  ทีแรกอีกฝ่ายทำท่าไม่เชื่อสายตา  แต่ดูเหมือนจะพูดชื่อของเขาออกมา  “ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม”


เพราะว่าออกทีวีบ่อย  และงานวิจัยของตัวเองในตอนนี้อาจกระทบความรู้สึกของอัลฟ่ารอบข้างได้  ทุกครั้งที่ออกมาในสังคมใหญ่แบบนี้วิลเลี่ยมจะปลอมตัวง่ายๆ  ด้วยการใส่แว่นสีชากับสวมหมวกแทน


อีกฝ่ายเป็นสาวเจ้าเนื้อที่หน้าแดงทันทีที่รู้ว่าเขาเป็นใคร  วิลเลี่ยมเองก็รู้หน้าที่ดีจึงขยับมือขึ้นยกป้องปากตัวเองแล้วขยิบตาให้  ก่อนจะบอกว่า  “ขอซื้อใบสมัครชุดหนึ่งครับ  กรอกตรงนี้ได้เลยใช่ไหมครับ”


“คะ...ค่ะ  ใช่ค่ะ”  อีกฝ่ายรีบเชิญให้เซ็ธนั่งแล้วจัดหาเอกสารมาให้กรอก  วิลเลี่ยมเลยเบาใจไปเปลาะหนึ่ง  คนที่เป็นแฟนคลับเขาย่อมมีความคิดเห็นตรงกัน  เธอคนนี้เองก็ไม่ได้เกลียดโอเมก้า  แค่แปลกใจก็เท่านั้น  ความสงสัยนั้นมากพอที่จะกล้าถามมาว่า  “เธอไหวใช่ไหม  พ่อหนุ่ม”


“ครับ?”  เซ็ธที่ก้มหน้าก้มตาเขียนใบสมัครอยู่เงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความงุนงง  ก่อนที่จะมีเสียงเสริมมาจากโต๊ะรับสมัครข้างๆ


“ข้อสอบมันยากมหาหินเลยน้า  เจ้าโอเมก้า  แกคิดว่าจะไหวเหรอ  เดี๋ยวก็ได้ร้องไห้กลางห้องสอบพอดี”  เด็กหนุ่มที่มาสมัครสอบด้วยเอ่ยขึ้นก่อนที่จะมีอีกคนซึ่งต่อคิวอยู่ด้านหลังบอกมาว่า  “แต่มีโอเมก้ามาสอบด้วยก็ดีสิ  มีนปีนี้จะต้องต่ำกว่าปกติเพราะเจ้านี่แน่ๆ”


“นี่  คุณพาเขามาสอบเพื่อดึงมีนเหรอ  ฮ่าๆ”  อีกฝ่ายยิงมุกตลกที่ไม่ขำด้วยออกมา  วิลเลี่ยมเลยยิ้มกว้างใส่ก่อนจะตอบว่า  “แน่นอนครับ  เขาจะดึงมีนแน่ๆ”


วัยรุ่นสองคนนั้นหัวเราะยกใหญ่


“แต่ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำให้มีนต่ำลงอย่างแน่นอน”  เมื่อจบคำพูดแล้ววิลเลี่ยมก็หันไปช่วยเซ็ธเช็กใบสมัครสอบต่อ  หลังจากตรวจดูความถูกต้องเรียบร้อยแล้วก็ชำระเงินแล้วกลับบ้าน  ขากลับยังมิวายถูกนินทาจนเซ็ธเริ่มไม่สบายใจ


“ไหวไหม”  ชายหนุ่มถามขึ้นขณะนั่งอยู่ในรถ  เซ็ธสีหน้าไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว  อาการกลัวอัลฟ่าก็ใช่ว่าจะหายไปแน่นอน  พอมาเจอแบบนี้แล้วเด็กหนุ่มเลยรู้สึกเครียดขึ้นมา


“ไม่ต้องไปใส่ใจพวกนั้นหรอก  เขายังไม่เคยเห็นความสามารถของนายเลยพูดแบบนั้นออกมา”  วิลเลี่ยมพูดปลอบขณะเอื้อมมือมาลูบหัวอีกฝ่าย  “คนที่ตัดสินคนอื่นจากภายนอกเพียงอย่างเดียวน่ะ  คบด้วยไม่ได้หรอก”


“ผมทราบดีครับ”  เซ็ธตอบสั้นๆ  แต่สายตาเศร้าสร้อยนั้นไม่ได้มองมาที่วิลเลี่ยมเลย  ชายหนุ่มหยุดมือที่ยีศีรษะอีกฝ่ายแล้วบอกว่า  “งั้นช่วยตอบฉันได้ไหมเซ็ธ  ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้นายควรทำยังไง”


“พิสูจน์ให้เขาเห็นความสามารถของผม”  เด็กหนุ่มตอบขึ้นก่อนจะหันหน้ามาทางเขา  วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจก่อนจะชมว่า  “เก่งมาก”


เมื่อหันไปชมเด็กหนุ่มเสร็จแล้ว  เขาก็อดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้  “‘หึๆ  คอยดูเถอะ  ตอนประกาศผลสอบ  พวกที่ดูถูกฉันไว้วันนี้จะต้องน้ำตาร่วงใส่ใบประกาศ!’  เอ้า  คิดแบบนี้ไว้สิเซ็ธ  เจ้าพวกนั้นต้องได้รับบทเรียนที่มาดูถูกคนอื่น”


เซ็ธหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของอีกฝ่ายกับเรื่องไร้สาระแบบนี้  “ผมไม่คิดจะแก้แค้นอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ  มันเป็นธรรมชาติของพวกอัลฟ่านี่  ช่วยไม่ได้  ขอแค่อย่าให้มีการดูถูกกันอีกเลย”


“เด็กดีจริงๆ  เลยนะ  ไม่เป็นไร  นายไม่ทำฉันทำเอง  จะแปะประกาศไปทั่ว  อัดเงินโปรโมทกันเลยทีเดียว  โปรยโปสเตอร์ลงมาจากเครื่องบินเลยดีไหมน้า”  วิลเลี่ยมทำท่าครุ่นคิดเสียยกใหญ่ทำให้เซ็ธหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  “อายเขานะครับ”


“มันเป็นความภาคภูมิใจของนายนะ  ต้องเล่นใหญ่สิ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันไปตั้งสมาธิกับการขับรถ  เมื่อการสนทนาจบลง  เซ็ธก็อยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง


การสอบที่เขาไม่เคยสัมผัส  ความกดดันจากสังคมที่รายล้อมไปด้วยอัลฟ่า  จิตใจที่สั่นไหว


เขา...จะทำให้สำเร็จได้จริงๆ  ตามที่วิลเลี่ยมคาดหวังไว้หรือเปล่านะ


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 11
ความกังวล

เซ็ธอ่านหนังสือหนักกว่าทุกที  ปกติเด็กหนุ่มมักจะอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรกสลับกับวาดภาพบ้าง  ทว่าตั้งแต่ที่วิลเลี่ยมพาไปสมัครสอบวันนั้นก็ไม่เห็นเซ็ธแตะอุปกรณ์วาดภาพเลย


ใช่ว่าวิลเลี่ยมจะสังเกตความผิดปกตินั้นไม่ได้  แต่น่าหนักใจที่ว่าเซ็ธไม่ยอมบอก  และพอไปถามก็จะได้คำตอบว่าไม่มีอะไรครับกลับมา


ไม่รู้เขาถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรของวันพอเห็นเซ็ธคร่ำเคร่งอยู่กับตำรา  มันถือว่าเป็นเรื่องดี  แต่นี่เหมือนเป็นการปล่อยให้อีกฝ่ายกดดันอยู่กับความเครียด


เซ็ธไม่เคยเห็นสนามสอบ  ไม่เคยสอบแข่งขันกับใคร  ไม่เคยอยู่ในกลุ่มอัลฟ่าใหญ่ๆ  แบบนั้นมาก่อนย่อมตื่นตระหนกเป็นธรรมดา  ไอ้เขาเองก็ผิดที่ไม่คิดเรื่องนี้ให้ดี  ช่วงที่ผ่านมาวิลเลี่ยมเองก็ยุ่งกับงานวิจัยที่ใกล้สำเร็จลุล่วงแล้ว  เลยไม่ได้แก้ไขปัญหานี้


“เซ็ธ”  ในที่สุดวิลเลี่ยมก็ตัดสินใจเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วนั่งลงข้างๆ  เด็กหนุ่มเงยหน้าจากหนังสือได้สักที  “พักดื่มชายามบ่ายกัน”


“ครับ?”  อีกฝ่ายขมวดคิ้ว  ทำให้เขาถามกลับไปว่า  “นายเคยจิบน้ำชายามบ่ายไหม”


“ไม่ครับ”  เซ็ธส่ายหน้าเป็นคำตอบ  เขาเลยยกยิ้ม  “งั้นมาฝึกกัน  มันเป็นธรรมเนียมพื้นฐานของประเทศนี้น่ะ”


เซ็ธไม่ได้ปฏิเสธอะไร  วิลเลี่ยมถึงลุกไปเตรียมอุปกรณ์สำหรับน้ำชายามบ่าย  ของกินเล่นก็มีพร้อม  ชายหนุ่มเลือกชาคาร์โมมายด์มาให้เด็กหนุ่มก่อนที่จะนั่งดื่มในห้องนั่งเล่น


เขาสอนมารยาทพื้นฐานในเรื่องนี้กับอีกฝ่าย  เซ็ธตั้งใจฟังอย่างมากและออกเกร็งๆ  จนวิลเลี่ยมต้องบอกให้ผ่อนคลาย  ขณะนั้นโทรทัศน์นำเสนอข่าวหนึ่งขึ้นมาทันที


วิลเลี่ยมเบิกตากว้างก่อนจะหันกลับไปมองที่เซ็ธ  ซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องมองภาพข่าวในโทรทัศน์ไม่วางตา


[กลุ่มผู้ชุมนุมชั้นโอเมก้าใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่]


ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้วิลเลี่ยมมีสีหน้าตึงเครียด  ภาพกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นโอเมก้าราวสิบกว่าคนพุ่งเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ยืนขวางอยู่  นักข่าวสาวที่เขาจำได้ว่าเคยเป็นคนที่มาสัมภาษณ์เขาเล่าเหตุการณ์ตามในสคริปต์  เจ้าหน้าที่เหล่านั้นถูกก้อนหินขว้างปาและถูกไม้ฟาดจนได้รับบาดเจ็บ 


เนื้อหาของข่าวนำเสนอความโหดร้ายของโอเมก้าอย่างต่อเนื่อง  นอกจากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองแล้วยังมีข่าวที่โอเมก้าไปทำร้ายคนชั้นอัลฟ่าและเบต้า  หรือกระทั่งการจี้ปล้นด้วย  ข่าวอาชญากรรมทั้งหมดเป็นฝีมือของโอเมก้าทั้งหมด


วิลเลี่ยมยกรีโมทขึ้นมาเปลี่ยนช่องก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดกว่านี้  เขาตัดสินใจย้ายไปช่องสถานีที่ไมเคิลทำงานอยู่  เป็นช่วงรายงานข่าวเหมือนกัน  ทว่าไม่ได้เน้นหนักไปที่โอเมก้าอย่างเดียว  ข่าวอาชญากรรมนั้นมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดจากอัลฟ่าชั้นกลาง  และเบต้า  เมื่อเห็นว่าช่องนี้เป็นกลางดีจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขาหยุดการดื่มชายามบ่ายไว้เพียงแค่นั้นเพราะเซ็ธเองก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งจิบชาแล้ว  พอเห็นเด็กหนุ่มนั่งนิ่งวิลเลี่ยมก็เข้าไปนั่งใกล้ๆ  ก่อนที่จะลูบหัว  “เป็นอะไรหรือเปล่า  เซ็ธ”


เด็กหนุ่มชะงักไปชั่วขณะ  ก่อนที่จะส่ายหัว  “ไม่เป็นอะไรครับ...”


“บอกมาสิ  เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมว่านายกำลังคิดอะไรอยู่”  ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น  แม้เซ็ธจะบอกว่าไม่เป็นอะไร  แต่เขาก็สังเกตได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายมีเรื่องกังวลอยู่


เซ็ธนิ่งเงียบไปอยู่ครู่ใหญ่  เขาก็ไม่คิดจะเร่งเร้าเอาคำตอบเลยลุกไปหยิบกล่องคุกกี้มานั่งกินรอ  เพราะความหวานของมันช่วยบรรเทาความเครียดได้ดีเลยหันไปป้อนใส่ปากของเด็กหนุ่มด้วย


พอเซ็ธเคี้ยวคุกกี้ในปากหมดแล้วก็นั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ผม...จะทำได้หรือเปล่านะ”


“หืม?”


“ผมกลัวว่าจะทำไม่ได้”  เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่า  ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล  ความเครียดที่อัดแน่นอยู่ในอกหล่อหลอมตัวมันเองออกมาเป็นน้ำตาที่รื้นจนจะล้นปริ่มออกมา  “ผม...กลัวว่าจะเป็นแบบที่คุณคาดหวังไม่ได้”


เซ็ธเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือแล้วก้มลงซุกกับเข่าของตัวเอง


“ผมเป็นแค่โอเมก้า  โอเมก้าที่ไม่มีอะไรดี  แถมยังผิดปกติจากคนอื่น  ต่อให้ป่าวประกาศออกไปในสายตาของคนอื่นยังไงผมก็เป็นแค่คนไร้ค่าเหมือนกับโอเมก้าคนอื่นๆ  เป็นคนที่พวกอัลฟ่ากำหนดให้เป็นคนที่ไม่มีอะไรดี”


วิลเลี่ยมเบิกตากว้าง  ทางที่เขาปูให้เซ็ธเดินมาบัดนี้พบปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเสียแล้ว  ความตั้งใจ...ความหวังดีที่ไม่ได้เหลียวแลอีกฝ่ายผลักดันให้เด็กคนนี้ไม่กล้าที่จะพัฒนาตัวเอง  กลายเป็นคมดาบที่มีชื่อว่าความเครียดวิตกทำร้าย


ที่ผ่านมาเขาแสดงความคาดหวังของตัวเองที่มีต่อเด็กคนนี้มากเกินไป  มากพอจะทำให้เด็กหนุ่มเครียดง่ายได้  เป็นความผิดของเขาเองที่ประเมินจิตใจของเซ็ธผิดไป


แต่หากจะให้บอกว่า  ‘ไม่ต้องเครียด  เขาไม่ได้คาดหวังอะไรสูงขนาดนั้น’  วิลเลี่ยมก็จะไม่พูดออกไป  ความจริงที่ว่าจะทำให้เซ็ธไปอยู่ในจุดสูงสุดให้ได้เป็นสิ่งที่แน่นอน  ดังนั้นแล้วจึงไม่จำเป็นจะต้องโกหกให้สบายใจ  อีกทั้งเมื่อเด็กหนุ่มพิสูจน์ตัวเองให้คนทั้งโลกเห็นแล้ว  ความกดดันจะยิ่งมากกว่านี้  หากเลี้ยงเป็นไข่ในหินที่ไร้เดียงสาต่อสังคมต่อไปจะกลายเป็นปัญหาในภายหลัง


วิลเลี่ยมไม่ได้คิดนิ่งนอนใจในปัญหานี้ของเซ็ธ  เขายกมือไปโน้มศีรษะของอีกฝ่ายมาใกล้ๆ  พอจะให้รู้สึกอบอุ่นบ้างแล้วบอกว่า  “ไม่เป็นอะไรนะ  ถ้าเป็นนาย...นายยามปกติจะต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ”


เขาแค่จะต้องทำให้เซ็ธคิดว่าทั้งตัวเองและโอเมก้าไม่ได้ไร้ค่าเสียก่อน


วิลเลี่ยมกอดอีกฝ่ายไว้แบบนั้นจนกระทั่งเซ็ธเป็นฝ่ายดันตัวเองออกเขาถึงรู้ตัวว่าทำเรื่องเกินเลยไป  เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นแล้วลุกไปนั่งที่อื่น  ปกติแล้วอีกฝ่ายก็เป็นประเภทที่ใช้ความเงียบสงบมาบรรเทาความกังวลของตัวเอง 


พอตกมื้อเย็นพวกเขาสองคนคุยกันเป็นปกติ  พอถึงเวลานอนเซ็ธได้แยกไปนอนก่อน  ส่วนวิลเลี่ยมก็นั่งคร่ำเคร่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คของตัวเอง  จริงๆ  วันนี้ไม่มีงานอะไรที่จะต้องทำ  แต่ถ้าจะแถ...นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของงาน


เช้าของอีกวันหนึ่งวิลเลี่ยมผุดลุกขึ้นจากที่นอนแทบจะทันทีแล้วอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย  เก็บเสื้อผ้าสองชุดเข้ากระเป๋าสะพายพร้อมเก็บโน้ตบุ๊คและเอกสารจำนวนหนึ่งเข้ากระเป๋าอีกใบ  จากนั้นก็ตรงไปปลุกเซ็ธที่อยู่อีกห้องหนึ่ง  เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย  ไปอาบน้ำอย่างงงๆ  แล้วออกมาก็ยังไม่หายสงสัย


วิลเลี่ยมอาสาเก็บเสื้อผ้าสองชุดให้เด็กหนุ่มจากนั้นก็บอกด้วยรอยยิ้มว่า


“เราจะออกไปข้างนอกกัน” 


เซ็ธเบิกตากว้าง  แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรก็ถูกวิลเลี่ยมที่เต็มไปด้วยกระเป๋าจูงมือไปขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว  สุดท้ายคำถามแรกที่หลุดออกจากปากของเขาก็คือ  “เราจะไปไหนกันครับ”


“เดี๋ยวก็รู้”  วิลเลี่ยมตอบพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม  เซ็ธมึนงงไปชั่วขณะก่อนที่จะถามต่อว่า  “แล้วอาหารเช้า...”


“เดี๋ยวแวะร้านอาหารเช้าข้างทางก็ได้  ตามถนนเส้นนี้ไปมีร้านอาหารเช้าชื่อดังอยู่  ฉันอยากลองพานายไปกินดู”  วิลเลี่ยมตอบก่อนที่จะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย  ถนนยามเช้าค่อนข้างโล่งเพราะเป็นวันหยุดพักผ่อน


ไม่นานวิลเลี่ยมก็หยุดจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  แล้วพาเขาเข้าไป  เจ้าของร้านและลูกค้าที่นี่ตอนนี้เป็นเบต้าทั้งหมดทำให้เซ็ธถอนหายใจอย่างโล่งอก


เพราะเด็กหนุ่มไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับอาหารมากเท่าไร  วิลเลี่ยมจึงอาสาสั่งให้แทน  ไม่นานอาหารเช้าสองชุดหน้าตาน่ากินก็ถูกยกมาเสิร์ฟ 


“อื้ม  เอ้กเบเนดิกซ์ของที่นี่อร่อยจริงๆ  ด้วย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะตักขนมปังมัฟฟินที่มีไข่ดาวน้ำและเบคอนสีสวยเข้าปาก  แล้วสบตากับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม  "เอ้า  นายเองก็ลองชิมดูสิ”


เซ็ธชะงักไปเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ  ก็ถูกยื่นช้อนที่ตักเอ้กเบเนดิกซ์มาใกล้ๆ  แต่เขาก็อ้าปากรับการป้อนจากอีกฝ่ายแต่โดยดี  จากนั้นก็เบิกตากว้างเป็นประกาย  “อร่อย”


“ใช่ไหม”  วิลเลี่ยมยกยิ้มอย่างพึงพอใจ  เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาก็พาเซ็ธนั่งรถไปต่อ  ด้วยการเดินทางที่กินเวลาเกือบสองชั่วโมง  คนที่ถูกงัดออกมาจากเตียงนอนก็เลยผล็อยหลับไป  จนกระทั่งรถจอด  เด็กหนุ่มถึงลืมตาขึ้น


สิ่งที่เซ็ธเห็นเป็นสิ่งแรกก็คือผืนน้ำสีฟ้าครามที่แผ่ขยายไปสุดลูกหูลูกตาและหาดทรายขาว  วิลเลี่ยมจอดรถไว้ริมถนนของชายหาดก่อนที่จะลงมาหยิบอุปกรณ์ปิกนิกที่หลังกระโปรงรถ


เซ็ธเปิดประตูลงมา  เขายังไม่หายตะลึงกับภาพที่เห็นจึงหันไปถามวิลเลี่ยมเพื่อความแน่ใจ  “วิล  ที่นี่...”


“ทะเลน่ะ  วันนี้ถือว่าเป็นวันพักผ่อนของพวกเรานะ  เอ้า  ช่วยถือหน่อย  ไปหาที่นั่งดีๆ  กันเถอะ”  ชายหนุ่มแบกเสื่อและอุปกรณ์เล่นน้ำออกมาจากหลังรถ  เซ็ธเข้าไปช่วยทันทีแล้วเดินตามวิลเลี่ยมไปที่หาด


เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองซ้ายมองขวาอย่างสนอกสนใจ  แม้ว่าช่วงนี้คนที่หาดจะน้อยจนเสียความคึกคักไปแต่ก็เป็นเรื่องดีที่จะทำให้เซ็ธสบายใจขึ้นบ้าง


“เคยมาทะเลไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเซ็ธ  แน่นอนว่าเด็กหนุ่มส่ายหน้า  “นี่เป็นครั้งแรกครับ”


“งั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”  วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นขณะหยิบเอาหมวกฟางกับแว่นกันแดดมาสวมใส่  จากนั้นก็นั่งลงบนเสื่อเหมือนเด็กหนุ่ม  มองภาพบรรยากาศของน้ำทะเลแล้วพูดคุยเรื่อยเปื่อย


ที่ทะเลมีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำมากมาย  แต่เพราะเซ็ธไม่ใช่เด็กที่อยากลองทำกิจกรรมที่มันท้าทายตัวเองสักเท่าไรส่วนใหญ่เลยนั่งอยู่กับที่  วิลเลี่ยมกลัวอีกฝ่ายจะเหงาเพราะเขาก็ไม่ใช่วัยที่จะมาเล่นสนุกอะไรแบบเด็กๆ  ได้เลยไปซื้ออุปกรณ์เล่นทรายมาให้  สุดท้ายก็โดนมองด้วยสายตาแปลกๆ


แต่เซ็ธนั้นเป็นเด็กดีอยู่วันยังค่ำ  พอมีคนซื้อมาให้แล้วจะปฏิเสธก็ไม่ได้  จะไม่ใช้ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่  สุดท้ายก็เอามาตักทรายเล่นจริงๆ  เหมือนว่าจะสนใจก่อปราสาทเลียนแบบเด็กๆ  ที่นั่งอยู่ไม่ไกล


ด้วยฝีมือด้านศิลปะทำให้ไม่นานก็ได้ปราสาทหลังเล็กมาอันหนึ่ง  วิลเลี่ยมไม่พลาดที่จะถ่ายรูปไว้ไปอวดเลนเนอร์กับเอดิสัน  ตอนที่กำลังถ่ายรูปอยู่เขาก็สังเกตเห็นว่าเซ็ธยังมีสีหน้าหมองๆ  อยู่


“ยังกังวลเรื่องเมื่อวานอยู่อีกเหรอ”  เขาถามขึ้นอย่างตรงประเด็น  อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบว่า  “ครับ  แล้วพอไม่ได้อ่านหนังสือแล้วก็อดกังวลไม่ได้ว่าจะทำข้อสอบได้ไหม”


“อืม...”  วิลเลี่ยมทำท่าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะบอกว่า  “งั้นมาเรียนกันไหม”


เซ็ธเลิกคิ้วด้วยความสงสัย  แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรอีกฝ่ายก็ถือถังใส่ทรายไปมองหาพื้นที่เหมาะสมแล้วตักทรายมาเต็มถังมาเทกองตรงหน้าเซ็ธซึ่งวิลเลี่ยมไปหาอะไรมาปูรองไว้เพื่อไม่ให้ปนกับทรายอื่นแล้วบอกว่า  “มาพูดเรื่องชนชั้นดีกว่า  ฉันอยากรู้กระบวนการคิดของนาย”


“ครับ?”  แม้จะงงๆ  แต่เด็กหนุ่มก็ตอบรับในที่สุด  วิลเลี่ยมเลยออกคำสั่งว่า  “ในทรายกองที่ฉันตักมานี้  ลองจำแนกออกเป็นสองชนิดดูสิ”


เซ็ธมองกองทรายตรงหน้าอย่างพิจารณาเขี่ยกองทรายไปมาเบาๆ  เห็นทั้งก้อนหิน  เปลือกหอย  และขยะ  “สิ่งที่เกิดจากธรรมชาติและไม่ธรรมชาติ”


“ดี  งั้นตัดสิ่งที่ไม่เกิดในธรรมชาติออกไป  แล้วทีนี้ลองจำแนกต่อสิว่าในกองนี้สามารถแยกแบบไหนได้อีก”  วิลเลี่ยมถามขึ้นต่อ  เซ็ธจึงก้มดูอีกครั้ง  มีชีวิตกับไม่มีชีวิตนั้นไม่สามารถเป็นไปได้ 


“ทรายกับสิ่งที่ไม่ใช่ทราย”  เด็กหนุ่มตอบทำให้วิลเลี่ยมพยักหน้าขึ้นอย่างพอใจ  “ถ้าเอาทรายออกแล้วเหลือแต่สิ่งที่ไม่ใช่ทราย  ในนี้จะเหลืออะไร”


“ก้อนหินกับเปลือกหอย”  เด็กหนุ่มตอบไปตามตรง  ขณะที่อีกฝ่ายพยายามหยิบเอาก้อนหินกับเปลือกหอยออกมา  “แล้วแยกย่อยอีกได้ไหม”


“เปลือกหอยแยกได้ว่าสวยหรือไม่สวย  ก้อนหิน...ผมไม่แน่ใจ”  เซ็ธตอบตามความคิด  วิลเลี่ยมพยักหน้าขึ้นก่อนจะถามต่อว่า  “แล้วจัดมารวมกับระบบชนชั้นของเราได้ไหม”


เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะส่ายหน้า  แต่วิลเลี่ยมก็ไม่ได้ว่าอะไร  “ไม่เป็นไร”


เขาชี้ไปทางกองทรายที่สูงเนิน  “อย่างแรกทราย  บนหาดนี้มีทรายมากมายเป็นธรรมดา  สำหรับชนชั้นก็เหมือนกับเบต้า  ธรรมดาสำหรับโลกในปัจจุบันแต่ขาดไม่ได้  อย่างที่สองเปลือกหอยพวกนี้ที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันนี้สำหรับนายคิดว่าเป็นอะไร”


“อัลฟ่า”  เซ็ธตอบแทบจะทันที  อีกฝ่ายจึงเสริมว่า  “งั้นก้อนหินพวกนี้เป็นโอเมก้า  ในหนึ่งถังที่ตักมามีปริมาณของสองสิ่งนี้น้อยกว่าทราย  แต่พอแยกมาดูแล้วจำนวนของเปลือกหอยกับก้อนหินเท่าๆ  กัน  แล้วนายเห็นความแตกต่างอะไรไหม”


“คุณค่า”  เด็กหนุ่มตอบขึ้น  “ถ้าคุณบอกนี่คือชนชั้น  สิ่งที่จะแยกความแตกต่างของเปลือกหอยกับหินได้คือคุณค่า  เปลือกหอยยังเอาไปเพิ่มมูลค่าได้  แต่ก้อนหินไม่มีค่าอะไร...เหมือนกับโอเมก้า”


“นายผิด”  วิลเลี่ยมตอบเสียงเรียบก่อนที่จะหยิบก้อนหินขึ้นมาอันหนึ่ง  ก้อนนั้นมีสีแดงอ่อนค่อนข้างโปร่งแสง  ยามส่องกับพระอาทิตย์แล้วดูเปล่งประกายขึ้นมา  “นายคิดถูกที่ว่าเปลือกหอยแบ่งได้เป็นสวยกับไม่สวย  แต่ก้อนหินเองก็สามารถแบ่งได้แบบนั้นเหมือนกัน  ดูให้ดีสิ  ในบรรดาหินที่ขรุขระก็ยังมีหินที่มีรูปร่างหรือสีที่สวยอยู่”


วิลเลี่ยมชี้ให้เห็นทีละอย่างก่อนจะบอกว่า  “ในถังที่ตักมานี้มีหินสองแบบ  สวยกับไม่สวย  หากได้รับการขัดเกลาที่ดีหินที่สวยอยู่แล้วก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น  ส่วนหินที่ไม่สวย...หากไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วก็ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร ในส่วนของเปลือกหอยก็เหมือนกัน  ถ้าเปลือกหอยมันไม่สวยผู้คนก็มองข้าม  ไม่มีค่าเหมือนกัน  ในบรรดาชนชั้นของพวกเรา  อัลฟ่ากับโอเมก้าเองก็เหมือนๆ  กัน  มีสิ่งพิเศษที่แตกต่างกัน  มีทั้งคนที่ดีและคนที่ไม่ดี”


เซ็ธสบตาอีกฝ่ายอย่างตั้งใจฟัง  ก่อนที่วิลเลี่ยมจะพูดต่อว่า  “คนทุกคนล้วนมีคุณค่าซ่อนอยู่  ทั้งอัลฟ่า  เบต้า  หรือแม้กระทั่งโอเมก้า  อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะดึงเอาคุณค่านั้นออกมาได้มากแค่ไหน  หรือลดคุณค่าของตัวเองลงไปเรื่อยๆ  เป็นสิ่งที่โชคชะตาของแต่ละคนจะกำหนด”


วิลเลี่ยมหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “เซ็ธนายน่ะมีคุณค่าของตัวเองอยู่  เป็นคุณค่าที่มีแต่นายเท่านั้นที่จะแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นได้  ค่อยๆ  ทำ  ค่อยๆ  เป็นไป  ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น  นายจะสามารถพิสูจน์ให้คนอื่นยอมรับได้แน่นอน”


เซ็ธชะงักไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น  “วิล...”


วิลเลี่ยมยกยิ้มให้กำลังใจขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิดว่า  “ขอโทษนะที่ผ่านมาเหมือนสร้างความกดดันให้นายมาตลอด  สัญญาว่าต่อจากนี้จะไม่ทำให้นายเครียดอีกแล้ว”


วิลเลี่ยมยกนิ้วก้อยขึ้นมาแล้วสบตากับเซ็ธ  อีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกกับเหตุการณ์ตอนนี้แต่ก็ยกมือขึ้นมาเกี่ยวนิ้วตอบทำให้ชายหนุ่มยิ้มร่า


“สบายใจขึ้นหรือยัง”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  เซ็ธพยักหน้าเบาๆ  เป็นคำตอบทำให้เขาจับมืออีกฝ่ายไว้แล้วพาลุกไป  “ดีล่ะ  งั้นไปเล่นน้ำทะเลกัน  นายยังไม่เคยเล่นน้ำทะเลสินะ”


“คะ...ครับ”  เด็กหนุ่มถูกลากไปลงน้ำทะเล  ไม่มีการให้เตรียมใจอะไรทั้งสิ้น  พอขาลงน้ำแล้ววิลเลี่ยมก็เหวี่ยงเซ็ธลงไปทันที  โอเมก้าหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนแทบจะทันทีเมื่อได้รสเค็มของน้ำทะเล  สีหน้าบิดเบี้ยวนั้นชวนให้ชายหนุ่มขำขึ้นมา


ถึงจะบอกว่าเล่นน้ำแต่จริงๆ  แล้วด้วยวัยของวิลเลี่ยมเลยทำได้แค่เดินรับคลื่นไปมา  เขาเองก็ไม่ค่อยได้มาทะเลเลยไม่ค่อยรู้ว่ากิจกรรมแบบไหนจะปลอดภัย  เซ็ธเองก็ยังกลัวๆ  อยู่เลยไม่ค่อยได้เล่นอะไรมากนัก  จนกระทั่งตกเย็นก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขับรถไปที่โรงแรมซึ่งเขาจองไว้


แต่เพราะความผิดพลาดของวิลเลี่ยมที่ไม่ได้ดูให้ดีก่อน  ห้องที่เขาได้ก็เลยกลายเป็นห้องสวีทที่มีเตียงคู่แค่เตียงเดียว  หนำซ้ำสถานการณ์ยังสุ่มเสี่ยงเพราะห้องอาบน้ำเป็นผนังกระจกรอบด้านไม่มีวี่แววกำแพงปิดบังสักนิด  โชคยังดีที่มีผ้าม่านรูดปิดได้


ชายหนุ่มมองห้องอย่างลังเล  หากคิดในส่วนของเซ็ธแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ทันได้คิดอะไรแล้วคงไม่มีปัญหา  ปัญหาจริงๆ  แล้วอยู่ที่ตัวเขามากกว่า


ถึงจะเคยเคลมตัวเองว่าเป็นคนที่อดทนต่อฟีโรโมนได้  แต่พักหลังๆ  นี่วิลเลี่ยมเริ่มอยู่ในความอดทนอดกลั้นไม่ค่อยจะได้


“สั่งรูมเซอร์วิสมากินก็แล้วกันนะ”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเปิดดูเมนูแล้วถามเซ็ธว่าอยากกินอะไรจากนั้นก็โทรสั่ง  ต่อจากนั้นก็นั่งรอจนอาหารมาส่ง  ทั้งสองคนนั่งกินอาหารไปพูดคุยกันไปเหมือนปกติ  วิลเลี่ยมโทรจองไว้คืนหนึ่ง  พรุ่งนี้เที่ยงเช็กเอาท์ออก


แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นมา  เป็นสิ่งที่ท้าทายความอดทนของวิลเลี่ยมอย่างถึงที่สุด


ห้องอาบน้ำเจ้าปัญหา...


เขาให้เซ็ธที่เนื้อตัวกับผมยังเหนียวอยู่ไปอาบน้ำก่อน  เพราะว่าอีกฝ่ายอายเลยบอกให้รูดม่านปิดไว้  เจ้ากรรมที่ว่าแสงไฟในห้องน้ำก็ยังสว่างพอจะเห็นเรือนร่างได้อยู่เล่นเอาวิลเลี่ยมไม่รู้จะเอาตาไว้ไหน


เขาพยายามไม่มอง...หลังจากที่เซ็ธถอดกางเกงในออก  แล้วทำท่าจะเปิดฝักบัว  ตอนนั้นเองที่วิลเลี่ยมคิดว่าถ้าได้เห็นอะไรๆ  มากกว่านี้แล้วจะทำให้เขาเป็นตัวอันตรายก็เลยแปรสภาพตัวเองเป็นดักแด้อยู่ใต้ผ้านวมเสียเลย  ได้ยินแค่เสียงน้ำไหลกับแว่วเสียงฮัมเพลงเบาๆ  ดังคลอมา  ดูแล้วเซ็ธน่าจะอารมณ์ดีพอสมควร


เด็กหนุ่มใช้เวลาสักพักกว่าจะอาบน้ำเสร็จพอไม่ได้ยินน้ำหยุดไหลแล้ววิลเลี่ยมก็เด้งตัวลุกขึ้น  เห็นอีกฝ่ายกำลังออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดคลุมอาบน้ำของโรงแรมที่มีเตรียมไว้ให้


“ผมใส่ถูกไหม?”  เซ็ธถามขึ้นขณะสำรวจตัวเอง  วิลเลี่ยมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกไปให้ดูให้  อนิจจาเขาก็ลืมว่าชุดคลุมแบบนี้คอกว้างแสนกว้าง  จับออกนิดเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนด้วยความสูงที่ต่างกัน


วิลเลี่ยมกลอกตาไปมาถึงที่สุดแล้วจัดการสอนอีกฝ่ายให้เรียบร้อยจากนั้นก็เตรียมตัวเข้าไปอาบบ้าง  ส่วนเซ็ธก็เดินไปเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดนอน


ตอนที่วิลเลี่ยมออกมานั้นก็เห็นว่าห้องเงียบผิดปกติ  จึงเดินไปดูที่เตียงและพบว่าเซ็ธผล็อยหลับไปแล้ว  ชายหนุ่มอมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูก่อนที่จะหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับมาที่เตียง


เซ็ธเผลอหลับไปจึงนอนทับผ้านวมอยู่  วิลเลี่ยมพยายามอย่างเบามือที่จะดึงเอามันออกจากใต้ร่างนั้นแล้วห่มให้อีกฝ่ายขณะที่ตัวเองก็ขึ้นไปนอนบนเตียงด้วย


ยิ่งได้ความอบอุ่นจากผ้าห่มที่ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นรอบๆ  ได้เซ็ธก็ครางอือออกมาอย่างรู้สึกดี  เด็กหนุ่มขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อหาความอบอุ่นอีกทำให้ตอนนี้พวกเขาห่างกันไม่ถึงหนึ่งนิ้ว


วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ลงมาปรกหน้าเด็กหนุ่มออกไปแล้วกระซิบขึ้นว่า  “ราตรีสวัสดิ์นะ  เซ็ธ”


ชายหนุ่มขยับตัวนอนลงข้างๆ  อีกฝ่าย  เมื่อระยะห่างมีไม่มากก็ทำให้เขาได้กลิ่นของอีกฝ่ายชัดเจนยิ่งขึ้น  เหมือนจะรุนแรงแต่กลับอ่อนโยนถึงที่สุด  ไม่เหมือนกับโอเมก้าคนไหนที่เขาเคยได้กลิ่นมา


เป็นกลิ่นที่วิลเลี่ยมเชื่อว่าจะทำให้เขาหลับฝันดี
-----------------------------------------
ร่วมหวีดได้ที่ #Climaxchange และ #พี่วิลน้องเซ็ธ ได้นะคะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม ตอนต่อไปเร็วๆ นี้ค่ะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 12
สู่การสอบ

หลังจากกลับมาจากการเที่ยวทะเลแล้ว  ความกังวลของเซ็ธก็เบาบางลง  แต่เด็กหนุ่มยังคงขยันอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่เช่นนั้น  วิลเลี่ยมเองก็ช่วยติวให้อย่างจริงจังจนกระทั่งเวลาผ่านไปก็ถึงเดือนกรกฎาคม  ช่วงก่อนสอบนั้นเขาพยายามให้เด็กหนุ่มผ่อนคลายแล้วหยุดอ่านหนังสือหนัก  เพียงแค่ทบทวนบางจุดที่ยังไม่ดีพอ


ก่อนวันสอบจริงนั้นทั้งเลนเนอร์และเอดิสันต่างให้กำลังใจเซ็ธเต็มที่  คนแรกนั้นทำเหมือนแม่ที่ดีที่จัดอาหารบำรุงสุขภาพและความจำมาให้ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนสอบ  ส่วนเอดิสันก็แค่ทำให้อีกฝ่ายไม่เครียด  จากนั้นก็กลายเป็นวงเล่าระลึกความหลังช่วงที่วิลเลี่ยมกับตัวเองสอบใหญ่ครั้งนี้


ตอนนั้นวิลเลี่ยมได้เต็มเกือบทุกวิชาแลกกับการเป็นคนตาโหลเกือบเดือน  ส่วนเอดิสันวิชาที่ลงสอบเล่นๆ  ดันได้คะแนนสูง  แต่ที่โดนบังคับสอบนั้นคะแนนผ่านมาได้แบบฉิวเฉียด


พอถึงวันสอบจริงวันแรก  วิลเลี่ยมก็พาเซ็ธไปถึงสนามสอบแต่เช้า  หลังจากรายงานตัวและตรวจเช็กว่าอุปกรณ์เข้าห้องสอบพร้อมก็ออกมานั่งรอ  ยังเหลือเวลาอีกราวชั่วโมงหนึ่งก่อนที่จะขึ้นห้องสอบได้


“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ”  วิลเลี่ยมพยายามปลอบเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่จะบอกว่า  “ทำเท่าที่จะทำได้  ไม่ต้องกังวลอะไร  ใครพูดอะไรก็ช่างเขา  อย่าเก็บมาคิดให้เสียสมาธิ”


เซ็ธพยักหน้าตอบรับ  อีกฝ่ายเคยบอกเขาไว้แล้วเรื่องที่ว่าเวลามาสอบจะต้องเจอความกดดันจากอัลฟ่าและเบต้าคนอื่นๆ  อย่างแน่นอน  ในบรรดาผู้เข้าสอบในสนามสอบนี้ราวสองพันกว่าคน  มีเขาเป็นโอเมก้าอยู่คนเดียว


เซ็ธรู้สึกโหวงอย่างหนักเมื่อต้องแยกจากวิลเลี่ยมไปขึ้นห้องสอบเพียงตัวคนเดียว  จู่ๆ  ก็เกิดความกังวลขึ้นมา  พอไม่มีวิลเลี่ยมแล้วก็ไม่รู้จะพึ่งพาใครได้


ไม่...เขาต้องพึ่งตัวเองให้ได้


“หืม  ทำไมมีโอเมก้ามาสอบด้วยเนี่ย”  เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้เขาหันไปมอง  อัลฟ่าที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาเกือบห้าคนเดินมาหยุดที่เซ็ธทำให้เขานิ่งชะงัก  “เฮ้ย  มาผิดที่หรือเปล่า  ที่นี่ไม่ได้มีไว้ให้พวกสมองกลวงอย่างพวกแกมาเขียนกระดาษเล่นหรอกนะเว้ย  ฮ่าๆ”


เซ็ธจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ  ไม่พูดอะไร  การไม่ตอบโต้คำพูดไร้สาระก็เป็นสิ่งหนึ่งที่วิลเลี่ยมสอนไว้


พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้  อัลฟ่าหนุ่มคนนั้นก็เริ่มมีน้ำโห  “เฮ้ย  ทำเมินเหรอวะ”


“เขาเมินน่ะถูกแล้ว  มีใครอยากสนทนาด้วยกับคนที่จะมาหาเรื่องไม่ทราบ”  เสียงหวานใสดังขึ้นจากอีกข้างหนึ่งของเซ็ธ  เด็กสาวผมสีทองสวยคนหนึ่งมาขวางระหว่างเขากับกลุ่มอัลฟ่านั้นไว้  ดวงตาสีฟ้ามองอีกฝ่ายอย่างตำหนิ  “เป็นอัลฟ่าแท้ๆ  มาพูดจาไร้มารยาทแบบนี้  ไม่ดีเอาเสียเลย”


“หา  แล้วเธอเกี่ยวอะไรด้วย  ยัยเบต้า  เป็นเมียมันหรือไง”


“ฉันเกี่ยวด้วยเพราะทนเห็นการถูกพูดหยาบคายใส่แบบนี้ไม่ได้ยังไงล่ะ  นายเองก็หัดตอบโต้อะไรบ้างสิ”  สุดท้ายแล้วเด็กสาวก็หันมาตำหนิใส่เขาด้วย  เซ็ธเลยสะดุ้งเฮือกไปก่อนจะตัดสินใจตอบว่า  “ฉันคิดว่า...เอาเวลาไปทำสมาธิสอบเสียยังดีกว่ามาเถียงเรื่องไร้สาระน่ะ”


พวกอัลฟ่านั้นนิ่งอึ้ง  แม้แต่เบต้าสาวและคนอื่นๆ  ยังอึ้งด้วย  ก่อนที่เธอคนนั้นจะหันไปแสยะยิ้มเยาะเย้ยใส่พวกนั้นจนต้องกัดฟันกรอดหนีไป


“ฮ่าๆ  นายเป็นพวกพูดทีกัดเจ็บหรือยังไงเนี่ย  ดีแล้วๆ”  เด็กสาวคนนั้นหันมาหัวเราะกับเขาแล้วตบบ่าสองสามที  เซ็ธมองอีกฝ่ายอย่างงุนงงและคลับคล้ายคลับคลาว่าจะจะเคยเห็นโครงหน้าแบบนี้ที่ไหน  อีกฝ่ายไม่รอช้ารีบแนะนำตัวทันที  “ฉันมิเกล  โรเบน  เป็นน้องสาวของไมเคิล  โรเบน  นายเคยช่วยชีวิตพี่ชายของฉันไว้นี่”


พอได้ยินชื่อไมเคิล  เซ็ธก็ร้องอ๋อออกมาเบาๆ  ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะเป็นน้องของอีกฝ่าย  แต่แล้วก็ต้องแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องนั้น  “ทำไมเธอรู้ว่าฉันเคยช่วยพี่ชายเธอไว้”


“พี่ชายเคยบอกไว้น่ะว่าเกือบตายแล้วได้โอเมก้าคนหนึ่งช่วยไว้  ฉันเคยเข้าไปในห้องทำงานพี่ชาย  เขากำลังทำงานให้กับศาสตราจารย์วิลเลี่ยมใช่มะ  แล้วฉันก็เจอรูปของนายด้วย  ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอในสนามสอบเดียวกัน”


เด็กสาวอธิบายด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะเชียร์ว่า  “พยายามเข้านะ  พวกเราก็มาสอบครั้งแรกเหมือนกัน  นี่จะยื่นคะแนนกับที่ไหนน่ะ”


“วิลเลี่ยมบอกว่าให้ยื่นกับโรงเรียน  A”  เซ็ธตอบไปตามความจริง  มิเกลเบิกตากว้างด้วยความตะลึงก่อนจะบอกว่า  “โกหกน่า  นั่นเป็นโรงเรียนทอปคลาสเชียวนะ  มีแต่คนคะแนนสูงๆ  เท่านั้นถึงจะเข้าได้  นายไหวเหรอ”


“ไม่รู้สิ”  เซ็ธยิ้มขืน  คนที่ได้ยินบทสนทนานั้นต่างพากันซุบซิบบางอย่าง  บ้างก็มองเขาอย่างดูถูกดูแคลน  แต่ก่อนที่จะได้คุยอะไรกันมากกว่านี้  สัญญาณเข้าห้องสอบก็ดังขึ้นแล้วการทดสอบก็เริ่มขึ้น


เซ็ธสูดลมหายใจเข้ารวบรวมสมาธิแล้วทำข้อสอบอย่างตั้งใจ  จนกระทั่งหมดเวลากรรมการเก็บข้อสอบเรียบร้อยแล้วและอนุญาตให้ทุกคนลงไปพักได้  เซ็ธจึงเดินออกจากห้อง  คิดจะลงไปหาวิลเลี่ยม  แต่ก็โดนกลุ่มอัลฟ่าแกล้งผลักจนเซล้มบ้าง  ขัดขาบ้างแต่เขาก็ไม่คิดจะตอบโต้


ฝ่ายวิลเลี่ยมเองตอนทีรอเซ็ธอยู่ด้านล่างก็เห็นไมเคิลอยู่ไม่ไกลเลยเข้าไปทัก  จากนั้นทั้งคู่ก็รอจนกว่าเด็กๆ  จะสอบเสร็จ  ในช่วงสัปดาห์การสอบนี้  มิเกลกับเซ็ธก็ได้เป็นเพื่อนกัน  วิลเลี่ยมเองก็ยินดีไม่น้อย  เพราะเขาเข้าไปในสนามสอบไม่ได้  ดังนั้นแล้วช่วงที่อยู่พ้นสายตาเขาก็มีไม้กันหมาดีๆ  หนึ่งคน


หลังจากการสอบผ่านพ้นไปจนหมด  เซ็ธก็รู้สึกเหมือนถูกสูบพลังไปจนหมด  พอมาถึงบ้านก็ทิ้งตัวลงแปะกับโซฟาแล้วพักอยู่แบบนั้นจนกระทั่งตกเย็น  วิลเลี่ยมเข้าใจความรู้สึกดีเลยไม่กวนอะไรมาก  เพียงแต่พอตกเย็นแล้วก็เรียกให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อที่เขามอบให้


วิลเลี่ยมและเซ็ธอยู่ในชุดสูทอย่างดี  ท่ามกลางความงุนงงของเด็กหนุ่ม  เขาก็พาขับรถไปยังภัตตาคารหรูในโรงแรมแห่งหนึ่ง


วิลเลี่ยมพาเซ็ธไปยังชั้นที่  63  ซึ่งเป็นที่ตั้งของภัตตาคารอาหารอิตาเลี่ยนแล้วติดต่อกับพนักงานต้อนรับ  มีพนักงานอีกคนพาพวกเขาสองคนไปยังห้องส่วนตัวที่มีโต๊ะหรูและเก้าอี้อีกสี่ตัว


คนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วคือเอดิสันและเลนเนอร์


“ไงเซ็ธ  ยินดีด้วยที่สอบเสร็จแล้ว”  เลนเนอร์ทักทายอย่างสดใส  เด็กหนุ่มเลยโค้งตอบรับอีกฝ่ายก่อนที่จะถูกเชิญไปให้นั่งที่เก้าอี้เหมือนวิลเลี่ยม 


“มื้อนี้ฉันกับเอดิสันเลี้ยงเอง”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส  ก่อนที่จะสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเซ็ธ  “เป็นอะไรไปเหรอ  เซ็ธ”


“ปะ...เปล่าครับ”  เด็กหนุ่มตอบอย่างกระอึกกระอัก  ดูแล้วมองออกได้ชัด  “เกร็งเหรอ  ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า  ถือซะว่าเป็นมื้อฉลองที่สอบเสร็จ”


วิลเลี่ยมโปรยยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะหันไปเลือกเครื่องดื่มและรออาหารที่สั่งไป  วันนี้เขาอยากจะให้เซ็ธได้ลองกินอาหารที่ดีๆ  ดู  และก่อนหน้านี้เคยมากินอาหารอิตาลีแบบฟูลคอร์สที่นี่ก็นับว่าไม่เลว


บริกรชายนำเครื่องดื่มที่พวกเขาสั่งไปมาเสิร์ฟ  ของวิลเลี่ยมและเอดิสันเป็นเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ตามที่มีในคอร์ส  แต่เซ็ธนั้นยังไม่ถึงวัยจะดื่มและเลนเนอร์ก็ดื่มไม่ได้  เครื่องดื่มของทั้งคู่เลยกลายเป็นน้ำผลไม้สีสันสวยงามแทน  ก่อนที่อาหารเรียกน้ำย่อยจะถูกนำมาเสิร์ฟเป็นลำดับถัดไปซึ่งมีทั้งขนมปังหรือไส้กรอก  แฮมตามแต่ที่ละคนสั่ง


ด้วยความที่เป็นภัตตาคารหรู  ทุกจานล้วนถูกจัดมาให้สวยงามน่ารับประทาน  เด็กที่ไม่เคยเห็นของแบบนี้ก็เลยตาเป็นประกาย  และไม่ยอมกินสักที


“ไม่น่ากินเหรอ?”  เอดิสันเป็นคนที่เริ่มถามขึ้นทำให้เซ็ธสะดุ้งเฮือกแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน  “ไม่ใช่ว่าไม่น่ากินนะครับ  แต่...มันสวยเกินไปจนไม่กล้ากินน่ะครับ”


เด็กหนุ่มก้มหน้างุดหลังจากพูดออกไป  วิลเลี่ยมถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะก่อนจะเผลอยิ้มออกมา  เซ็ธก็ยังน่าเอ็นดูอยู่วันยังค่ำ  เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยนจนเพื่อนตัวเองหันมาทำตายักษ์ใส่


“ฮะๆ  ไม่ต้องกังวลไปหรอก  ถ้าอยากเก็บภาพไว้เดี๋ยวฉันถ่ายให้ก็ได้”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นเจือเสียงหัวเราะก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา  พอเซ็ธพยักหน้าเป็นคำตอบเลยจัดมุมถ่ายภาพจานอาหารแต่ละจานของเขากับเด็กหนุ่มไว้


“เลนเนอร์มีงานอดิเรกชอบรีวิวอาหารลงบล็อกล่ะ”  เอดิสันที่เห็นวิลเลี่ยมสนใจทั้งสองคนเอ่ยขึ้น  อีกฝ่ายเลยร้องอ้อออกมา  ดูเซ็ธก็สนุกกับการมองอีกฝ่ายถ่ายรูปกับกินอาหารอย่างมีความสุขแล้วก็นับว่าน่ายินดี


จากนั้นการเสิร์ฟลำดับถัดไปก็มา  ของเซ็ธเป็นสปาเกตตีคาโบนาราของโปรด  ส่วนวิลเลี่ยมและเอดิสันเป็นรีชอตโต  แล้วเลนเนอร์เป็นซุปข้น  ก่อนที่อาหารจานเนื้อและจานปลาจะตามมาพร้อมสลัด 


อาหารถูกเว้นช่วงไว้ให้พวกเขากินอาหารจานหลักไปครึ่งหนึ่ง  ของหวานซึ่งเป็นจานผลไม้และขนมหวานก็ตามมา  เซ็ธตาเป็นประกายขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นของหวานสีสวย  วิลเลี่ยมเลยจับได้ว่าอีกฝ่ายสนใจอาหารหรือขนมที่มีความสวยงามเป็นศิลปะ


และปิดท้ายด้วยคอร์สที่วิลเลี่ยมและเอดิสันรอคอย  เมื่อไวน์แดงและไวน์ขาวถูกยกมาเสิร์ฟทั้งคู่ก็ออกอาการดีใจขึ้นมา  เอดิสันนั้นดื่มไปเท่าไรก็ได้  แต่เพราะต้องขับรถกลับวิลเลี่ยมเลยดื่มไปแค่พอหายอยาก  หลังจากที่จัดการอาหารจนหมดและนั่งคุยกันสักพักก่อนที่จะตัดสินใจกลับ


“วันนี้สนุกไหม”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นขณะขับรถกลับบ้าน  เซ็ธจึงพยักหน้าแล้วบอกว่า  “สนุกมากครับ  อาหารอร่อยมาก”


“ไว้คราวหน้ามากินกันอีกนะ”  ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม  ระหว่างทางพวกเขาคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงบ้าน  เพราะวันนี้เซ็ธเหนื่อยมากแล้วก็เลยขอตัวไปนอนก่อน  ส่วนเขาก็ต้องทำงานวิจัยต่อ


ผู้สนับสนุนของเขาติดต่อมาในตอนสามทุ่มเหมือนเช่นทุกที  หลังจากถามถึงความคืบหน้าแล้วจู่ๆ  ก็ถูกยิงคำถามมา


Q:  คุณคิดว่าความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าจะเป็นไปได้ไหม

วิลเลี่ยมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นคำถาม  หลังจากอ่านวนซ้ำไปซ้ำมาแล้วก็ยอมแพ้พิมพ์ตอบกลับไปว่า

W:  คุณหมายถึงอะไร

Q:  ความรักที่ไม่ได้มาจากการมีเพศสัมพันธ์อย่างวู่วาม  เกิดจากความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ  พัฒนาตัวขึ้น  หัวใจที่เรียกร้องหาอีกฝ่าย  เป็นความรักที่ไม่มีเรื่องฐานะมาเกี่ยวข้อง


วิลเลี่ยมอ่านคำอธิบายของอีกฝ่ายและเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ  ความรักที่เป็นปกติ  ไม่มีเรื่องกามารมณ์เป็นใหญ่  ไม่เกิดจากความหุนหันพลันแล่นหรือบังคับขืนใจ  เป็นความสัมพันธ์ที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและยั่งยืน


เขาเทียบดูเคสที่ใกล้เคียงที่สุดอย่างเอดิสันกับเลนเนอร์  แม้จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์จะเป็นศัตรูกัน  แต่ลึกๆ  ในหัวใจของทั้งสองเมื่อยอมรับกันแล้วก็เรียกร้องหากัน


W:  ผมคิดว่าเป็นไปได้  เคสที่เป็นแบบนั้นผมเคยบอกให้คุณฟังไปแล้ว  เพื่อนของผม

Q:  ฉันก็คิดว่ามันเป็นไปได้ 


อีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นนั้น  วิลเลี่ยมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงพูดถึงเรื่องนี้  ก่อนที่จะได้ถามอะไรข้อความของอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมา


Q:  ใจคุณ  คุณรู้ดีที่สุด  พยายามต่อไป  ฉันมีธุระต่อ  ขอจบการสนทนาของวันนี้แค่นี้

แล้วสัญลักษณ์ที่แสดงว่าอีกฝ่ายออนไลน์หายไป  วิลเลี่ยมนิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะหันไปทำงานวิจัยต่อ


ใจเขา  เขารู้ดีที่สุด...


แต่จะสื่อออกไปในช่วงนี้ได้หรือไม่  นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด




หลังจากการสอบของเซ็ธเสร็จสิ้นไป  ช่วงที่รอผลคะแนนสอบคือหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน  วิลเลี่ยมใช้ช่วงเวลานั้นทำการบันทึกข้อมูลของโอเมก้าคนอื่นๆ  ซึ่งสมัครใจมาเป็นกลุ่มตัวอย่างให้  โดยส่วนใหญ่แล้วสามารถพัฒนาได้เรื่อยๆ  ไม่ได้สมองช้าหรือเข้าขั้นเรียนรู้ไม่ได้สักนิด


มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาลองให้เซ็ธกับเลนเนอร์สอนกลุ่มโอเมก้าวัยรุ่น  ซึ่งมีทั้งยอมฟังและไม่ยอมฟัง  เพราะเซ็ธยังรับมือกับพวกหัวแข็งไม่ได้เลยต้องให้เลนเนอร์มาปราบพยศก่อนถึงจะส่งไปให้เด็กหนุ่มสอนได้


แต่ช่วงนี้เลนเนอร์แพ้ท้อง  วิลเลี่ยมไม่อยากรบกวนมากนักเลยให้พักผ่อนอยู่บ้าน  อีกฝ่ายยังคงใจแข็งที่จะไม่บอกเอดิสัน  อัลฟ่าหนุ่มคนนั้นก็ยังสู้เรื่องบริษัทอยู่  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเทียวมาเทียวไปสอบถามเรื่องเลนเนอร์กับวิลเลี่ยมตลอด 


“เซ็ธ  เรื่องพลังของนาย  ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  เมื่อกลางวันเขาเห็นเซ็ธมีปฏิกิริยาแปลกไปเมื่อสบตากับโอเมก้าบางคน  แต่เขาเคยบอกไปว่าอย่าเตือนอะไรโผงผางถ้าไม่จำเป็น  ดังนั้นเด็กหนุ่มเลยเลือกที่จะเงียบไว้


“เวลาเห็นไม่ปวดหัวเท่าไรแล้วครับ  แต่มันอึดอัดใจยังไงไม่รู้”  เซ็ธตอบขึ้นก่อนจะเผยสาเหตุที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ  “ผมทำถูกแล้วใช่ไหมนะ?”


“การบอกทุกสิ่งที่เห็นมันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสียหน่อย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  “กลับกัน  มันอาจจะเป็นภัยร้ายให้นายก็ได้”


“ครับ?”  เซ็ธขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น


“ก่อนอื่นฉันไม่ได้ห้ามให้นายบอกเรื่องอนาคตเด็ดขาด  แต่นายต้องเรียนรู้วิธีการบอกอ้อมๆ  ไม่ให้คนอื่นเขาสงสัยในตัวนายหรือวิตกกังวลมากเกินไป  ใครจะใส่ใจหรือไม่ใส่ใจก็เรื่องของเขา”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  “ทุกคนใช่ว่าจะเก็บความลับเสมอนี่  และถ้ามีคนที่ไม่หวังดีรู้เรื่องเข้า  นายจะเป็นอันตราย  เข้าใจใช่ไหม”


เซ็ธพยักหน้าเบาๆ  เป็นคำตอบ  วิลเลี่ยมไม่อยากให้เด็กหนุ่มเครียดเกินไปเลยเปลี่ยนบรรยากาศ  “เอาเถอะ  ถ้านายอยากช่วยใครก็ลองปรึกษาฉันก่อนก็ได้  ฉันยินดีจะช่วยนายเสมอ”


“ขอบคุณนะครับ”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นทั้งรอยยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่เขาเห็นไม่ค่อยบ่อย  เป็นความสบายใจของอีกฝ่ายนั่นทำให้วิลเลี่ยมชะงักไปชั่วคราว  เขายื่นมือไปสัมผัสแก้มอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจก่อนที่จะชะงักแล้วบอกว่า  “อ๊ะ  ขอโทษที”


เซ็ธไม่ได้ว่าอะไรก่อนที่วิลเลี่ยมจะนึกได้ว่ายังไม่ได้ทำอาหารเย็นจึงลุกไป  ในใจยังคงว้าวุ่นอยู่บ้าง  ตั้งแต่เมื่อไรกัน...ที่เขาเริ่มรู้ตัวว่ากลิ่นของเซ็ธมันกำลังเชิญชวนอยู่


คืนนั้นวิลเลี่ยมรู้สึกเหมือนว่ากลิ่นเซ็ธมันติดจมูกไปหมดจนนอนไม่หลับ  ตอนเที่ยงคืนคนเดียวที่เขาเห็นว่าออนไลน์ในแชทคือเอดิสันเลยตัดสินใจทักไปถามว่าพรุ่งนี้ว่างไหม  คำตอบคือว่างเขาเลยนัดอีกฝ่ายออกไปเจอที่ร้านกาแฟร้านโปรด


หลังจากจัดการธุระในบ้านเรียบร้อยแล้ว  เขาก็ปล่อยให้เซ็ธอ่านหนังสืออยู่ในบ้านเพียงคนเดียว  ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเพราะบริเวณรอบๆ  นี้ถูกจับตามองโดยบอดี้การ์ดชั้นเยี่ยมแล้ว  ไม่มีหนูเล็ดลอดมาได้


เอดิสันนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของร้านกาแฟ  อีกฝ่ายอยู่ในชุดไปรเวทกำลังจิบมอคค่าแก้วโปรดอยู่  พอเห็นวิลเลี่ยมลงนั่งก็ถามทันทีว่า  “มีอะไร”


“ทำไงดี”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสับสน  “เหมือนฉันจะหลงรักเซ็ธขึ้นมาจริงๆ  แล้ว”


เอดิสันค้างมือที่กำลังยกแก้วกาแฟจ่อปากอยู่กลางอากาศแล้วค่อยๆ  วางลงก่อนจะถามว่า  “ไม่ใช่ว่าชอบเด็กนั่นมาตั้งแต่แรกๆ  แล้วเหรอ”


“เออ  จริงๆ  ก็ชอบมานานแล้ว  แต่ไม่ใช่แค่รักแค่นั้นนี่”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนที่จะเข้าโหมดตะกุกตะกัก  จะพูดหรือไม่พูด  เจ้าตัวก็ทะเลาะกับตัวเองอยู่นาน  “ที่ฉันหมายถึงมัน...เอ่อ  อยากน่ะ  เข้าใจไหม”


“ไม่”  เอดิสันตอบกลับเสียงเรียบทำให้คนที่พยายามอธิบายแบบเลี่ยงบาลียกมือขึ้นตบหน้าตัวเองดังแปะแล้วถอนหายใจยาว  พอปรับอารมณ์ตัวเองได้แล้วก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า


“เออ  อยากมีเซ็กส์ด้วยน่ะ  อยากทำกับเขา  เข้าใจไหม”


เอดิสันไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้  ไม่ใช่...อาการนิ่งไปนี่คือคำตอบ  เขายืดหลังตรงก่อนที่จะตัดสินใจตอบว่า  “ฉันไม่สนับสนุนเรื่องการล่วงละเมิดเด็ก”


“ฉันไม่คิดล่วงละเมิดเด็กเว้ย!”  วิลเลี่ยมสวนกลับทันควันแต่อีกฝ่ายยกมือปราม 


“สำหรับฉัน  ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจก็ถือว่าล่วงละเมิดแล้ว”


“หา?”


“วิล  ที่นายพูดมามันเป็นความปรารถนาของนายคนเดียว  เซ็ธไม่ได้ต้องการด้วยนี่  ถ้านายหน้ามืดทำอะไรเขาทุกอย่างที่นายทำมา  ทั้งความสัมพันธ์  ทั้งงานวิจัยคือจบ”


“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว  แต่...แต่พออยู่ด้วยกันนานๆ  แทนที่ฉันจะชินกลิ่นเขา  กลายเป็นว่ากลิ่นเขามันทำให้อารมณ์ฉันอยู่ไม่สุข  อย่างกับถูกเชิญชวนอยู่ตลอดเวลานี่”  วิลเลี่ยมอธิบายสถานการณ์ที่เผชิญอยู่  แต่เอดิสันก็ตอบกลับด้วยคำพูดเดิม  “แต่เซ็ธไม่ได้ตั้งใจเชิญชวนแกนี่  เพราะฉะนั้นคำแนะนำที่ฉันจะให้ก็คืออดทน  มียาต้านฟีโรโมนของโอเมก้าสำหรับอัลฟ่าอยู่แล้วนี่  กินไปซะ”


วิลเลี่ยมคอตก  เขารู้ดีว่าตัวเองต้องอดทน  แต่จะอดทนได้ถึงตอนไหนกัน  “นี่  นายคิดว่าเซ็ธรักฉันบ้างไหม”


“ไม่รู้สิ  เด็กไม่ประสีประสาความรักหรอกนะ  ถึงเขาจะอายุ  15  แล้วแต่ก็ยังไม่ทันโลกนี่”  เอดิสันตอบเสียงเรียบ  ก่อนที่จะถูกถามขึ้นอีกว่า  “นี่  ถ้าเกิด...เซ็ธเต็มใจขึ้นมาก็ไม่ผิดใช่ไหม”


“คิดอะไรของนายอยู่กันเนี่ย  เอ้า  ฉันก็ไม่อยากขัดขวางความรักของเพื่อนหรอกนะ  แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าเต็มใจทั้งสองฝ่ายแล้วไม่มีใครทะลึ่งไปฟ้องศาลนายก็ไม่ผิด  แต่นายก็ยังมีสิทธิ์เข้าคุกได้ถ้ามีคนคิดจ้องเล่นงานนายด้วยวิธีนี้”  เอดิสันตอบตามความจริง  ตอนนี้วิลเลี่ยมเหมือนกับเดินอยู่บนเส้นด้าย  เส้นด้ายที่ด้านล่างเป็นคมดาบของผู้คนที่ไม่เห็นด้วยและจ้องเล่นงานยามพลาด  ที่อันตรายยิ่งกว่าคือตอนนี้อีกฝ่ายพาเซ็ธมาเดินบนทางอันตรายนี้ด้วย  เขาทำให้เด็กหนุ่มถูกจ้องเล่นงานไปด้วย


“วิล  ทั้งฉันทั้งนายต่างอยู่ในสถานการณ์ที่พาคนรักมาอยู่ในจุดอันตรายแล้ว  อาจจะฟังดูเหมือนเร่งแต่ว่า  ชะตากรรมต่อจากนี้...ทั้งฉันกับเลนเนอร์  และนายกับเซ็ธต่างขึ้นอยู่กับงานวิจัยที่จะปลดปล่อยพวกโอเมก้าให้เป็นอิสระนะ”  เอดิสันเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  วิลเลี่ยมพยักหน้าอย่างเข้าใจ  พวกเขาเงียบกันไปสักพักก่อนที่ศาสตราจารย์หนุ่มจะดับอารมณ์สับสนตัวเองด้วยการสั่งกาแฟมาดื่มและซื้อของหวานไปฝากเซ็ธ  จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับบ้าน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ติดตามค่ะ น่าสนใจมากเลย
ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่าน

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 13
การเปลี่ยนแปลง

เวลาของการรอคอยนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ในที่สุดก็ถึงเดือนสิงหาคม  เหล่านักเรียนที่เฝ้ารอผลการสอบอยู่ต่างตื่นเต้นกับการเข้าไปตรวจผลคะแนนในอินเทอร์เน็ต


วิลเลี่ยมกับเซ็ธเองก็เช่นกัน   พวกเขาเฝ้ารออยู่หน้าเว็บไซต์ประกาศคะแนน  พอถึงเวลาประกาศแล้วก็รีเฟรชหน้า  จากนั้นก็กรอกข้อมูลเลขที่นั่งสอบ  ชายหนุ่มตัดสินใจให้เด็กหนุ่มรู้ก่อนเพราะเขาเองยังไม่กล้าเห็นก่อนเจ้าตัว 


เซ็ธเกร็งๆ  อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดดูคะแนนแล้วหลับตาปี๋  ผ่านไปชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ  ลืมตาขึ้น  สิ่งที่เห็นทำให้เขาเบิกตากว้าง


“วิลเลี่ยม!”  เด็กหนุ่มร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  วิลเลี่ยมที่ยกมือขึ้นปิดหน้าเลยค่อยๆ  ลดมือลงแล้วมองหน้าประกาศในหน้าจอซึ่งเซ็ธลุกออกจากเก้าอี้เพื่อให้เขาเห็นชัดๆ  เมื่ออ่านทวนอยู่หลายรอบใบหน้าก็เปี่ยมล้มไปด้วยความดีใจ  สองมือกำแน่นก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลื้มปีติ 


“ทำได้แล้ว  นายทำได้  เย้!!”


เด็กหนุ่มยกยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ  แต่คนที่ดีใจจนลิงโลดคงเป็นวิลเลี่ยม  อีกฝ่ายหันมากอดเขาแล้วช้อนตัวขึ้นหมุนไปสองรอบแล้ววางลง  ลูบหัวด้วยความยินดีปนสะอื้น  “นายทำได้  เก่งมาก  เซ็ธ”


“ผมทำได้”  เด็กหนุ่มเอ่ยทวนเสียงสั่น  รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ความกังวลต่างๆ  พลันทลายหายไป


จำนวนวิชาที่เซ็ธสอบแปดวิชา  หกวิชาได้  A+  ซึ่งเป็นระดับคะแนนสูงสุด  ส่วนอีกสองวิชาคือ  A


เลนเนอร์กับเอดิสันที่เฝ้ารอผลอยู่ก็มาหาที่บ้านเพื่อถาม  วิลเลี่ยมร้องบอกด้วยความดีใจทั้งน้ำตาเดือดร้อนเอดิสันต้องปลอบ  (ด่า)  ให้หยุด  เลนเนอร์เองก็แสดงความยินดีกับเซ็ธก่อนที่จะหันไปถามเจ้าบ้านจะมีเลี้ยงฉลองอะไรไหม 


วิลเลี่ยมย่อมไม่พลาดแน่นอน  บอกว่าเย็นนี้จะสั่งอาหารมากินชุดใหญ่  จัดปาร์ตี้เล็กๆ  ที่มีแค่พวกเขาที่บ้าน 


ทว่าช่วงสายวันนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้น  ไมเคิลโทรมาบอกแจ้งวิลเลี่ยมว่า  ‘แย่แล้ว’  แต่ก่อนที่จะได้ฟังคำอธิบายอะไร  เสียงเอะอะหน้าบ้านก็ทำให้เขาเดินไปดู  ฝูงนักข่าวหลายคนที่อยู่หน้าบ้านเมื่อเห็นเขาก็กรูกันเข้ามาทันที


“คุณคือศาสตราจารย์วิลเลี่ยมใช่ไหม  เด็กโอเมก้าที่ได้คะแนนท็อปของการสอบใหญ่อยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”  นักข่าวสาวที่อยู่หน้าสุดยื่นไมค์มาถามเขาทำให้เขาตกใจไปชั่วขณะ  “เซ็ธ  ซี.  มาร์เดนอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”


“มีธุระอะไรหรือครับ?”  วิลเลี่ยมแกล้งถามหน้าตาย  คนพวกนี้ย่อมตื่นตกใจกับการที่จู่ๆ  ก็มีโอเมก้าเข้าไปสอบในการสอบใหญ่ซึ่งมีอัตราการแข่งขันสูงที่สุดในประเทศแล้วยังเอาแรงค์หนึ่งมาได้อีก


“ให้เราพบเขาหน่อยได้ไหมครับ”  นักข่าวหนุ่มอีกคนถาม  ก่อนที่คนที่เหลือจะแย่งกันถาม


“เขาเป็นโอเมก้าจริงๆ  หรือคะ?  ขอสัมภาษณ์เขาหน่อยสิคะ”


“คุณทำการดัดแปลงพันธุกรรมอะไรหรือเปล่าครับ?”


“เขามีเคล็ดลับอย่างไรหรือครับ”


“พวกคุณมีความสัมพันธ์กันอย่างไรคะ”


ฯลฯ


หลากหลายคำถามที่ถาโถมเข้ามาทำให้วิลเลี่ยมชักหูชา  ก่อนที่จะมีคนหนึ่งสังเกตเห็นเซ็ธที่ยืนมุงอยู่ในบ้านพร้อมกับเลนเนอร์และเอดิสัน  “นั่นไง  เขาอยู่นั่น!”


ฝูงนักข่าวเริ่มดันตัววิลเลี่ยมคิดจะเข้าไปในบ้านทำให้เลนเนอร์รีบพาเซ็ธหลบไปห้องอื่น  ส่วนวิลเลี่ยมที่เกือบจะล้มลงไป  ยังดีที่ได้กำแพงอากาศของเอดิสันมากั้นนักข่าวออกไป


“ใจเย็นๆ  กันก่อนนะครับ  ตอนนี้เขาไม่พร้อมที่จะพบใคร  ดังนั้นหากต้องการสัมภาษณ์อะไรผมจะเป็นตัวแทนของเขาเอง”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นทำให้พวกนักข่าวเริ่มสงบลง  พวกเขาเหล่านี้ล้วนกระหายข่าว  คงไม่ยอมกลับไปหรือเลิกระรานง่ายๆ  แน่ๆ


ดังนั้นแล้วก็มีแต่ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของเซ็ธ


“เราอยากได้รูปเขา  ขออนุญาตถ่ายรูปเขาได้หรือไม่คะ”  นักข่าวหญิงคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น  วิลเลี่ยมไม่สามารถตอบได้ในทันทีเลยหันไปบอกเอดิสัน  “เอ็ด  ลองถามเขาให้หน่อยว่ายินดีจะถ่ายรูปหรือเปล่า”


“ได้”  เอดิสันตอบรับสั้นๆ  ก่อนที่จะเดินไปหาเซ็ธ  เด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาวิลเลี่ยมเป็นคำตอบ  ทันทีที่เขาปรากฏต่อหน้านักข่าวเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงรัวชัตเตอร์ที่ดังอย่างต่อเนื่อง


“ไม่ต้องกังวลนะ”  วิลเลี่ยมก้มหน้าลงไปกระซิบปลอบเซ็ธเบาๆ  ก่อนที่จะหันไปมองนักข่าวที่เหลือ  ต่างคนต่างเริ่มทยอยกันถามคำถาม


“รู้สึกยังไงกับผลสอบที่เพิ่งออกมาครับ”  คนหนึ่งถามขึ้น  เป็นคำถามที่จงใจถามเซ็ธตรงๆ  แต่วิลเลี่ยมก็ยกมือห้ามเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะตอบเองว่า  “เขาดีใจมากครับ”


“อยากทราบว่ามีเคล็ดลับอะไรบ้างหรือคะ?”  นักข่าวอีกคนถามขึ้น  วิลเลี่ยมก็ตอบไปตามความจริง  หลากหลายคำถามค่อยๆ  ไล่เรียงออกมา  บางคนยังไม่เชื่อถึงขนาดคิดว่าเขาดัดแปลงพันธุกรรมเซ็ธจนเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้วบอกว่าถึงเขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ทำแบบนั้นไม่ได้


“ทำไมเขาถึงมาอยู่กับคุณคะ”  นักข่าวหญิงคนหนึ่งถามขึ้นด้วยคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัย


“ก่อนหน้านี้เขาประสบปัญหาเรื่องการถูกทอดทิ้ง  ผมจึงได้รับเขามาดูแล”  วิลเลี่ยมตอบไปตามความจริง  ก่อนที่จะมีคนถามขึ้นอีกว่า  “แล้วคุณกับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือคะ  บุตรบุญธรรม?  หรือคนรัก?”


“เขามีคนอื่นรับเป็นบุตรบุญธรรมอยู่แล้วผมจึงไม่สามารถทำได้  ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ใช่แบบคนรัก  แค่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน  และผมดูแลเขาเท่านั้นเอง”  วิลเลี่ยมตอบไปแม้จะบางส่วนที่ดัดแปลงอย่างเช่นความสัมพันธ์จริงๆ  ของเขากับเซ็ธ 


“แล้วใครเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเขาหรือคะ”  มีคนถามขึ้น  แต่แน่นอนว่าวิลเลี่ยมไม่สามารถบอกได้  “อีกฝ่ายไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน  ผมก็ไม่สามารถบอกได้ครับ”


คำถามเริ่มนอกเรื่องไปเป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวของเขากับเซ็ธทำให้วิลเลี่ยมรีบห้ามแล้วบอกให้นักข่าวแยกย้ายกลับ  ส่วนเขาก็พาเซ็ธเข้าไปในบ้าน  เลนเนอร์กับเอดิสันแสดงความเป็นห่วงผ่านสายตา  แต่วิลเลี่ยมกลับถอนหายใจโล่งอก  “เฮ้อ  คิดว่าจะโดนรุมทึ้งมากกว่านี้เสียอีก”


“ก็นะ  นอกจากโอเมก้าสอบได้ที่หนึ่งแล้วยังมีเรื่องที่อัลฟ่าอยู่กับโอเมก้าอีก”  เอดิสันพึมพำขึ้นก่อนที่จะบอกว่า  “ช่างหัวพวกนักข่าวก่อนเถอะ  ไหนๆ  ก็สอบผ่านแล้วก็เตรียมเลี้ยงฉลองกัน”


“โอเค”  วิลเลี่ยมร้องตอบอย่างอารมณ์ดีแล้วหันไปหยิบแผนที่ร้านอาหารอร่อยออกมาดู  โดยให้เซ็ธเป็นคนเลือกร้านที่อยากกินด้วย  หลังจากตัดสินใจกันแล้ววิลเลี่ยมกับเอดิสันก็ขับรถออกไปซื้อของ


เมื่อกลับมาแล้วเซ็ธกับเลนเนอร์ก็ช่วยกันเตรียมจานและอาหาร  พวกเขาคิดจะจัดปาร์ตี้ที่ห้องนั่งเล่นเหมือนทุกที  โดยวิลเลี่ยมกับเอดิสันไม่ลืมที่ซื้อเบียร์มากินแกล้มด้วย


แม้จะมีแค่สี่คนแต่กว่างานเลี้ยงจะจบนั้นก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน  เซ็ธกับเลนเนอร์ช่วยกันเก็บจานแล้วไปนอนในห้อง  ปล่อยให้คนที่เมาไม่ได้สตินอนด้านล่างไป  จนกระทั่งเช้าทั้งคู่ถึงสร่างเมาแล้วลุกขึ้นมาอาบน้ำ  ช่วยอีกสองคนเก็บข้าวของ


และเพราะเมื่อวานดีใจมากเกินไป  วิลเลี่ยมจึงลืมว่าวันนี้มีนัดสำคัญ  เขารีบลนลานออกไปตอนช่วงสิบโมง  ส่วนเอดิสันและเลนเนอร์ก็กลับไปหลังจากนั้นไม่นาน


เซ็ธอยู่บ้านคนเดียวอีกครั้ง  พอไม่มีอะไรทำเด็กหนุ่มก็นั่งวาดรูปอยู่ในห้องนั่งเล่น  ช่วงบ่ายวิลเลี่ยมโทรมาบอกว่าจะกลับแล้วเขาจึงรู้สึกสบายใจ


แต่เสียงกริ่งหน้าบ้านกลับดังขึ้น  เซ็ธเดินออกไปดูและส่องดูที่ตาแมว  เห็นบอดี้การ์ดในชุดสูทสองคนยืนระหว่างชายชราคนหนึ่ง  อีกฝ่ายกดออดอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “เซ็ธ  เซ็ธ  ฉันขอคุยกับเธอหน่อยได้ไหม”


เซ็ธชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง  แต่ชายชราคนนี้คุ้นตาเขาอย่างมาก  ราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน  เด็กหนุ่มตัดสินใจเปิดประตูออกอีกฝ่ายจึงได้ยกยิ้ม


“เซ็ธ  หลานของฉัน”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแล้วเข้ามากอดเขาไว้  เด็กหนุ่มเกร็งตัวแน่น  คำพูดนั้นคล้ายกับสะกิดแผลใจบางอย่าง  ใช่แล้ว  ชายที่อยู่ตรงหน้านี้คือปู่แท้ๆ  ของเขา  ปู่ที่ครั้งหนึ่งเคยยืนกรานให้ไล่เขาออกจากบ้านเหมือนกับพ่อแม่


เซ็ธเคยต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ  ตัวคนเดียว  ผู้ชายคนนี้เคยจูงมือเขาไปที่บ้านหลังนั้น  หลอกให้อยู่ในบ้านที่ห่างไกลผู้คนเพื่อที่จะไม่ให้มีใครรู้ว่ามีโอเมก้าเกิดมาในตระกูลตระกูลตัวเอง  เพิกเฉยทุกครั้งเวลาเขาถูกทำร้ายตอนอยู่โรงเรียน


ผู้ชายคนนี้เคยพยายาม  ‘ขาย’  เขาให้อัลฟ่าคนอื่น  พอพยายามขัดขืนมากเท่าไรก็ยิ่งถูกทำร้ายร่างกายมากขึ้นเท่านั้น  จนกระทั่งความกลัวในจิตใจส่งผลให้อาละวาด  สุดท้ายชายชราที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปู่แท้ๆ  นี่ก็ออกปากขับไล่ไสส่งเขาให้ไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช  และถูกขังไว้ที่นั่นไม่ได้ออกมานับปี


“ต้องขอโทษจริงๆ  ที่เมื่อก่อนพวกเราทำรุนแรงกับเธอไว้  แต่ไม่ต้องกังวล  ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว”  ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ทำให้เซ็ธรู้สึกโหวงในใจจนทำให้เสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือ  “คุณหมายความว่ายังไง”


“กลับมาอยู่ในตระกูลเรานะ  รับรองว่าจะดูแลอย่างดี  ทุกคนพร้อมตอบรับเธอ  พ่อกับแม่ของเธอ  อยากเจอหรือเปล่า  เมื่อก่อนเธอรักพวกเขามากนี่”  ชายชราพยายามพูดหว่านล้อมเขา  แต่เซ็ธกลับรู้สึกคลื่นไส้  แผลเป็นที่เคยได้รับมาจากการถูกทารุณตอนเด็กราวกับกำลังปริแตกออกมาจนรู้สึกแสบคันไปหมด  คนที่เคยขับไล่ไสส่งลูกหลานแท้ๆ  อย่างไม่ไยดี  ตอนนี้กลับอยากได้ตัวเขาคืน  ทำไมกัน?  เหตุผลของเรื่องนี้เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ


ชื่อเสียง...ชื่อเสียงที่เขาได้รับมาเมื่อวานตอนนี้ส่งผลแล้ว  แต่ผลของมันทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน  ทั้งๆ  ที่เมื่อก่อนเขาอยากกลับบ้านใจจะขาด  กลับไปหาพ่อกับแม่  ไปเป็นครอบครัวเหมือนเช่นคนอื่นเขา


คนพวกนี้แค่หวังผลประโยชน์  ไม่เหมือนกับวิลเลี่ยม  วิลเลี่ยมที่ต้องการเขา


“กลับไปนะ!”  เซ็ธตะโกนสุดเสียง  สองมือโอบกอดตัวเองไว้  นิ้วทุกนิ้วเกร็งจิกท่อนแขนตัวเองไว้แน่นจนมีเลือดออกมา  เขากำลังกลัว  หวาดกลัวต่อสิ่งที่กำลังเผชิญ  แต่ถ้าถอยก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 


ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องเรียกสติตัวเองไว้และปฏิเสธออกไป 


“กลับไป  กลับไป”  เซ็ธแผดเสียงย้ำไปย้ำมาเหมือนคนไม่มีสติ  เขาในตอนนี้ก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้  เป็นอาการที่มักจะเป็นตอนอยู่ในโรงพยาบาลใหม่ๆ


อึดอัด  ทรมาน  ยิ่งหวนนึกถึงอดีตที่เคยอยู่ร่วมกับพ่อแม่  กับคนในตระกูลแล้วเขายิ่งรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก


“กลับไปเถอะครับ  ได้โปรด”  เซ็ธวิงวอนเสียงสั่น  เด็กหนุ่มงอตัวลงจนเหมือนก้มหัวขอร้องแล้วทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน


ชายชราคนนั้นมีท่าทีเลิ่กลั่กเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้น  และเห็นท่าไม่ดีจึงกัดฟันกรอดก่อนจะเอ่ยว่า  “ได้  แล้วถ้าแกลำบากอะไรมาอย่าคิดมาอ้อนวอนพวกฉันอีก”


ชายชราพร้อมบอดี้การ์ดหมุนตัวหันหลังกลับไปไปที่รถแล้วขับแล่นออกไป 


เซ็ธนั่งอยู่แบบนั้น  นานเท่าไรเขาก็ไม่ทราบ  จนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงได้เงยหน้าขึ้น


“เซ็ธ  นายเป็นอะไรไป”  วิลเลี่ยมวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีตกใจพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มให้เขา  “คนพวกนั้นทำอะไรนาย” 


แววตาของวิลเลี่ยมเป็นประกายของความโกรธ  ชายหนุ่มหันไปมองรอบๆ  พลางคิดว่าบอดี้การ์ดมัวทำอะไรกันอยู่


“เปล่าครับ  พวกเขาไม่ได้ทำอะไร”  เด็กหนุ่มสะอื้นไห้  “เขาแค่มาชวนผมให้กลับไปอยู่ในครอบครัวเก่า”


วิลเลี่ยมชะงักไปทันที  หัวใจของเขาหล่นวูบขณะนั่งรอคำตอบที่อีกฝ่ายให้คนพวกนั้นไป


“ผมปฏิเสธพวกเขาไป”  เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงสั่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าแล้วบอกอย่างชัดเจนว่า  “ผมอยากอยู่กับคุณ”


คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมนิ่งค้าง  เซ็ธพยายามปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้ม  แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังคงไหลต่อเนื่องจนทำให้เด็กหนุ่มสะอื้นไห้  “แต่ว่าผมกลัว  วิล  กลัวว่าจะถูกทิ้งอีก  กลัวว่าจะต้องเหลืออยู่แค่ตัวคนเดียว  ผม...กลัวเหลือเกิน”


วิลเลี่ยมพาอีกฝ่ายเข้าไปในบ้านให้ทำใจเย็นๆ  ก่อน  เขาโอบกอดอีกฝ่ายไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า  “ไม่เป็นอะไรนะ  ไม่ต้องร้อง”


เซ็ธพยักหน้าแล้วพยายามทำใจให้สงบ  เด็กคนนี้ยังยึดติดกับคำว่าครอบครัวอยู่  ยังต้องการสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว  วิลเลี่ยมเลยอดกังวลใจไม่ได้  ฐานะของเขาในตอนนี้จะเป็นอย่างไรในความคิดของอีกฝ่ายกัน 


“เซ็ธ...ไม่ต้องกลัว  นายยังมีฉันอยู่  มีฉันอยู่ข้างๆ  นายจะมองเป็นครอบครัวของนายก็ได้  จะให้เป็นพ่อหรือพี่  หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น”


เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วขณะ  ทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เขาจ้องมองเซ็ธที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยความสงสัยปนกลัวขึ้นมา


กลัวว่าฐานะของเขาในตอนนี้จะไม่ได้เป็นครอบครัวตามที่เซ็ธต้องการ


“ไม่...คุณไม่ใช่ทั้งพ่อหรือพี่ชาย  ผมคิดว่าคุณไม่ได้อยู่ในฐานะของคนครอบครัวที่ผมรู้จัก  ไม่ใช่ปู่  ตา  ลุง  น้า  อาอะไรทั้งนั้นเลย”  เซ็ธเอ่ยขึ้นตรงกับสิ่งที่วิลเลี่ยมกังวลไว้  วูบหนึ่งคล้ายกับหัวใจเขาหล่นไปอยู่ใต้ตาตุ่ม  แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทำให้ความกังวลของเขาคลายลง


“ผม...ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูก  แต่คุณ...คุณเป็นคนเดียวที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปจนตาย”  เซ็ธตอบออกมาเสียงสั่นขณะเงยหน้าสบตาเขา  วิลเลี่ยมนิ่งค้างไปชั่วขณะ  คล้ายกับน้ำในอกมันเอ่อล้นขึ้นจนทำให้หายใจไม่ออก


อีกฝ่ายสับสนในสิ่งที่พูดออกไป  วิลเลี่ยมเลยกอบกุมมือนั้นไว้ก่อนจะถามเบาๆ  ขึ้นอย่างชัดเจน 


“เซ็ธ  นายรักฉันใช่ไหม”


เป็นคำถามที่ดูเอาแต่ใจ  แต่เขาต้องการคำตอบ  เซ็ธตะลึงไปชั่วขณะ  เมื่อได้ยินคำว่า  ‘รัก’  เด็กหนุ่มจึงเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกมาโดยตลอด  โอเมก้าหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมพยักหน้ายอมรับเป็นคำตอบ  ทำให้มือของวิลเลี่ยมที่กุมอยู่บีบแน่นขึ้นด้วยความดีใจ 


“ตะ...แต่ผมกลัวว่า...คุณจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น”  เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงตะกุกตะกัก  วิลเลี่ยมปั้นยิ้มเอ็นดูขึ้นแล้วดึงเด็กหนุ่มมาสวมกอดไว้อีกครั้งก่อนจะพูดขึ้น 


“ใครบอก  ฉันหลงรักนายจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว”


“วิล...”


“เซ็ธ”  วิลเลี่ยมละกอดจากอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “นายเคยจูบกับใครมาก่อนไหม”


คนถูกถามนิ่งอึ้งไป  ก่อนจะก้มหน้างุดตอบเสียงตะกุกตะกักว่า  “ผม...ผมไม่เคยมาก่อน  เมื่อก่อนก็กลัวด้วย  แต่ว่า...ตอนนี้...ถ้าเป็นคุณ...ผมก็...ยินดี”


น้ำเสียงนั้นคล้ายจะแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ  แต่วิลเลี่ยมที่ตั้งสมาธิอยู่กับการฟังอีกฝ่ายได้ยินทุกคำพร้อมกับโอบกอดอีกฝ่ายไว้อีกครั้ง


 “ไม่ต้องกลัวนะ”  วิลเลี่ยมกระซิบบอกเมื่อเห็นเซ็ธเกร็งตัว  เขาเชยคางอีกฝ่ายให้เงยขึ้น  ใบหน้าที่ช้อนตามองตอบทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรง


ในตอนนั้นวิลเลี่ยมไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้  เขาที่ต้องการรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายมาโดยตลอด  ตั้งแต่ได้ยินคำสารภาพเหล่านั้นก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองให้อดทนได้  ใบหน้าที่อ่อนโยนนั้นก้มต่ำลงไปใกล้อีกฝ่าย  มอบจูบอันลึกล้ำให้แก่เด็กหนุ่มทันที


เซ็ธกำลังสั่น  เขารับรู้ได้ผ่านการสัมผัส  เด็กหนุ่มหลับตาแน่นแต่ไม่ได้ขัดขืนและเอนตัวไปด้านหลังตามน้ำหนักของชายหนุ่มที่โถมมาจนนอนลงไปกับโซฟา  แม้จะไม่ประสีประสาเรื่องจูบแต่กลับให้เขาล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากแสนหวานนั่น  กลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่ายยังคงเชื้อเชิญให้เขาทำมากกว่านี้ 


เพราะสวมกอดกันอยู่วิลเลี่ยมจึงรับรู้ถึงส่วนที่ตื่นตัวอยู่ใต้กางเกงของเด็กหนุ่ม  มันยิ่งทำให้เขาแทบคลั่ง


ช่วงเวลาที่เขามอบจูบให้อีกฝ่ายนั้นเนิ่นนาน  จนกระทั่งเซ็ธส่งเสียงผ่านลำคอประท้วงเพราะเริ่มไม่ไหว  ชายหนุ่มจึงถอนจูบที่มอบให้อีกฝ่ายออก  เซ็ธจึงได้มีเวลาหายใจเอาอากาศเฮือกใหญ่เข้าปอด  ใบหน้านั้นแดงเรื่อ  ชวนให้อารมณ์ของวิลเลี่ยมพุ่งขึ้นสูง


ทั้งๆ  ที่อยากทำมากกว่าจูบ  แต่ตอนนี้วิลเลี่ยมต้องบังคับตัวเองอย่างหนักหนาสาหัสให้อดทน


ตอนนี้ไม่ได้...


เขาได้แต่ท่องในใจเช่นนั้น  แม้ว่าเจตนาของงานวิจัยจะแค่ต้องการให้โอเมก้ามีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมในฐานะมนุษย์เหมือนกัน  แต่นั่นก็หมายความว่าเขาต้องถือเกียรติของเซ็ธด้วย  เด็กคนนี้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ  มิหนำซ้ำยังเพิ่งมีชื่อเสียงในเรื่องที่โอเมก้าไม่เคยทำได้มาก่อน  ถือเป็นก้าวแรกของชนชั้นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้พัวพันแค่กับเรื่องเซ็กส์ 


ในหมู่คนที่ไม่ชอบใจโอเมก้านั้น  ยิ่งรู้ข่าวว่าเซ็ธอยู่ร่วมกับอัลฟ่าแบบนี้ก็ยิ่งพยายามหาลู่ทางมาโจมตีเด็กคนนี้  เพราะแบบนั้นเขาเลยไม่อยากสร้างตำหนิให้เซ็ธในตอนนี้


วิลเลี่ยมกัดริมฝีปากเพื่อสงบสติอารมณ์  ก่อนที่จะเห็นเซ็ธเลื่อนมือไปกุมบริเวณเป้ากางเกงไว้ด้วยสีหน้าแดงก่ำและเลี่ยงสายตาไปทางอื่น  เขาเลยเข้าใจว่าเด็กหนุ่มยังคงมีอารมณ์อยู่  ชายหนุ่มจับข้อมือที่กุมส่วนนั้นของเซ็ธไว้แล้วถามขึ้นว่า  “ให้ฉันช่วยไหม”


“เอ๊ะ?”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย  แต่วิลเลี่ยมไม่ได้ต้องการคำตอบ  เขายกมือของเซ็ธออกแล้วปลดซิปกางเกงของเด็กหนุ่มจากนั้นก็ดึงมันลง


“วิล  อย่า...”


“ไม่เป็นไร  ไม่ต้องอาย”  ชายหนุ่มกระซิบบอกก่อนที่จะใช้มือของตนกอบกุมส่วนที่ยังชูชันขึ้นเพราะอารมณ์ทางเพศของเซ็ธ  แม้จะบอกไปว่าไม่ต้องอายแต่เซ็ธนั้นก็ยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้จึงยกมือมาดันเขาไว้  วิลเลี่ยมไม่สนใจและไม่คิดที่จะหยุดจึงเริ่มเค้นคลึงส่วนนั้นของเด็กหนุ่ม


เซ็ธบิดเร่าด้วยความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นไปทั่วจากการที่วิลเลี่ยมใช้มือช่วยเขา  จังหวะที่เคยเชื่องช้าเริ่มเร็วขึ้นจนทำให้เขาหลุดเสียงครางออกมา  อีกฝ่ายเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะบอกจุดประสงค์ว่า  “ฉันเป็นคนทำให้มันตื่นตัวขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบใช่ไหม”


“อึก...ฮ้า  วิล  ไม่ไหว...”  เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ  เขาพยายามกลั้นเสียงน่าอายไว้แต่วิลเลี่ยมกลับไม่ยอมผ่อนแรงมือจนเขาเกือบทนไม่ไหว  สองเท้าจิกเกร็งแน่นพอๆ  กับมือที่บีบไหล่กว้างของอีกฝ่ายไว้  ชายหนุ่มกระซิบข้างหูของเขาชวนให้รู้สึกวาบหวามขึ้นมา  “ไม่ไหวก็ไม่ต้องทนสิ  เซ็ธ  ปล่อยมันออกมาเลยก็ได้”


วิลเลี่ยมขบเบาๆ  ที่ใบหูของเด็กหนุ่มทำให้เซ็ธสะท้านไปทั้งตัว  พร้อมๆ  กันนั้นตรงส่วนที่ถูกชายหนุ่มกอบกุมไว้ก็ฉีดพ่นน้ำขาวขุ่นออกมา  ปลดปล่อยความทรมานได้ในที่สุด


เซ็ธรู้สึกหมดแรงในทันที  ขณะเดียวกันก็รู้สึกเขินอายไปด้วยเพราะตนเพิ่งปลดปล่อยจนเลอะมือของวิลเลี่ยมไปหมด  แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วก้มลงมาจูบหน้าผากของเขาอีกครั้ง  เอ่ยด้วยคำสั้นๆ  ที่ชวนสะกดให้หลงใหลว่า  “เด็กดี  เก่งมาก”


วิลเลี่ยมใช้มืออีกข้างที่ไม่เปื้อนลูบศีรษะเด็กหนุ่มก่อนที่จะลุกออกมา  เซ็ธยังไม่ประสีประสาเรื่องนี้  ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็จะรู้สึกเขินอายไปเสียหมด  เพราะฉะนั้นเขาเลยเลี่ยงออกมาจัดการส่วนที่เหลือ  ชายหนุ่มยกมือที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำขาวขุ่นของเซ็ธขึ้นมาแล้วเลียออกบ้าง  เด็กคนนั้นยังไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ


วิลเลี่ยมเดินเข้าไปในห้องน้ำ  เพราะร่างกายตอบสนองกับเซ็ธอย่างดี  ไม่ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะมีท่าทีอย่างไรหรือทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ท่อนเนื้อส่วนนั้นของเขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาจนต้องมาช่วยตัวเองแบบนี้  ทั้งที่ใจจริงก็อยากจะทำกับเซ็ธมากกว่า


แต่ถึงอยากจะทำมากเท่าไร  เขาก็ต้องอดทน  ยังไงก็ต้องอดทนไปจนกว่าทุกอย่างจะพร้อมหรือเซ็ธเป็นฝ่ายเรียกร้องเอง  วิลเลี่ยมต้องการให้ชีวิตรักของเขากับเซ็ธดำเนินไปอย่างราบรื่น  รวมทั้งความรักของเอดิสันกับเลนเนอร์  หรือคู่รักคนอื่นๆ  ที่ถูกกีดกันด้วยปัญหาชนชั้น


เพื่อช่วยพวกเขาเหล่านั้น  เขาจึงต้องหาวิธีนำวิจัยที่สมบูรณ์แล้วนั้นผ่านการพิจารณาจากผู้อยู่เบื้องหลังแล้วออกเผยแพร่อย่างเร็ววัน



ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 14
หญิงสาวผมแดง

ตอนที่ตื่นมา  วิลเลี่ยมก็แทบจะหัวใจหยุดเต้น  เมื่อลืมตาขึ้นมาเจอเซ็ธนอนอยู่ข้างๆ  ใบหน้าตอนหลับนั้นดูไร้เดียงสาจนอดเอ็นดูไม่ได้ 


เมื่อคืนเขาชวนอีกฝ่ายมานอนด้วยกัน  เซ็ธตอบตกลงโดยไม่มีทีท่าระแวง  พวกเขาจึงได้นอนร่วมเตียงเดียวกัน


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยหรืออะไร  พอหัวถึงหมอนเซ็ธก็หลับไปทันที  ไม่มีโอกาสให้วิลเลี่ยมที่ตั้งใจจะถามว่าคบกันไหม  หรืออยากลองหยอดคำหวานใส่ได้ทำอะไรทั้งนั้น  คนที่นั่งอึ้งอยู่เลยอึนไปพักใหญ่ก่อนที่ตัดสินใจนอนบ้างเพราะไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอมาหลายวันแล้ว


เขาเห็นอีกฝ่ายยังหลับอยู่จึงไม่กวนอะไรแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเรียบร้อย  ก่อนที่จะลงไปข้างล่างเพื่อทำอาหารเช้า  วิลเลี่ยมเพิ่งได้จับโทรศัพท์  ดังนั้นจึงเพิ่งเห็นข้อความนับร้อยที่ส่งมาผ่านแชทและอีเมลที่ใช้ทำงานของเขา  เพื่อนในวงการและนักข่าวต่างส่งจดหมายเทียบเชิญและสอบถามเรื่องเซ็ธกันยกใหญ่


หน้าหนังสือพิมพ์ในวันนี้ยังคงมีข่าวของเซ็ธที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้คน  เป็นเรื่องบังเอิญที่ว่าพอวิลเลี่ยมเปิดโทรทัศน์ดูข่าวยามเช้าก็เห็นนักข่าวในรายการโปรดเชิญศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงด้านการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์มาสัมภาษณ์  เขาจึงชงกาแฟมาจิบระหว่างนั่งดู


“คุณผู้ชมทุกท่านคะ  จากเหตุการณ์น่าตกใจเมื่อสองวันที่ผ่านมาทำให้ทุกท่านคงสงสัยเช่นเดียวกับดิฉัน  ดังนั้นวันนี้ดิฉันจึงขอเชิญท่านศาสตราจารย์ไอน์เบิร์กมาชี้แจงเรื่องนี้กัน  สวัสดีค่ะ  ศาสตราจารย์ไอน์เบิร์ก”


ภาพหน้าจอตัดไปที่ชายชราวัยกลางคนที่ยิ้มให้กล้อง  วิลเลี่ยมรู้จักเขาดี  ไอน์เบิร์กเป็นชายที่มีความสนใจเรื่องความแตกต่างในชนชั้นและศึกษาเรื่องนี้มาก่อนเขา  แต่ไม่ได้ให้ความสนใจโอเมก้าเท่าไรนัก  ทว่าก็ไม่ถึงกับเกลียด  ช่วงหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์  นักวิจัยที่ถนัดทางด้านมนุษยศาสตร์ถกเถียงกันเรื่องโอเมก้าจนแบ่งเป็นสองฝ่ายคือที่เกลียด  กับที่ต้องการปกป้อง  ไอน์เบิร์กเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง  ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษ


“ศาสตราจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้คะ  โอเมก้าจะมีความฉลาดถึงขนาดสอบได้ที่หนึ่งในการสอบระดับประเทศหรือคะ”


“ตอบตามตรงผมค่อนข้างทึ่งมากตอนที่ได้ยินข่าวนี้  แทบจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเขาเป็นโอเมก้า  แต่ถ้าถามว่าเป็นไปได้ไหม  ผมว่าเป็นไปได้  ระดับความฉลาดของโอเมก้าไม่ใช่ข้อบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิดของพวกเขา  เด็กคนนี้ได้รับการพัฒนาศักยภาพเท่าที่ควรจากคนที่อยู่กับเขา...ศาสตราจารย์วิลเลี่ยมเป็นคนที่ผมเองก็รู้จักดี  เขากำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่  คิดว่าเขาคงมีส่วนไม่น้อยที่ทำให้เด็กคนนั้นสามารถสอบได้”


ชายชราให้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้ม  ดูจากประกายตาแล้วคงตื่นเต้นมากเกี่ยวกับเรื่องนี้  แน่นอนอยู่แล้ว  นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้กระหายความรู้ย่อมสนใจเป็นธรรมดา


วิลเลี่ยมมองข้อความในโทรศัพท์มือถือแล้วตัดสินใจส่งข้อความไปในทีเดียวว่าไม่สามารถให้พบหรือพูดคุยเซ็ธได้เพราะอีกฝ่ายไม่ชิน  กลัวจะเกิดปัญหาตามมา  และยืนยันว่าจะไม่มีการทดลองหรืออนุญาตให้ใครทดลองเด็กคนนี้ทั้งนั้น


วิลเลี่ยมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโซฟา  ก่อนจะถอนหายใจ  ขนาดแค่สอบได้ที่หนึ่งยังวุ่นวายขนาดนี้  แล้วถ้าพวกนั้นรู้ว่าเซ็ธเองก็สามารถใช้พลังจิตได้  จะโกลาหลขนาดไหน


ยังดีที่ว่าหลังจากข่าวเรื่องเซ็ธแพร่ออกไป  ผู้ให้การสนับสนุนของวิลเลี่ยมก็เพิ่มจำนวนบอดี้การ์ดมากขึ้น  บ้านรอบๆ  เขาตอนนี้มีแต่พวกผู้คุ้มครองอยู่  และไม่อนุญาตให้รถที่ไม่ได้รับอนุญาตมาจอดหน้าบ้านของวิลเลี่ยมโดยเด็ดขาด  ชีวิตช่วงนี้ของพวกเขาจึงได้สงบ


วิลเลี่ยมละความสนใจจากเรื่องราวในโทรทัศน์เมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มเดินลงมา  เขาลุกขึ้นไปทานอาหารเช้ากับอีกฝ่าย  ก่อนที่ช่วงสายจะต้องต้อนรับแขกสองคน


เลนเนอร์มาหาพวกเขาตามปกติ  ก่อนที่เอดิสันจะตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน  ถามไปถามว่าถึงพบว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว  วิลเลี่ยมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศคุกรุ่นระหว่างทั้งสองคนแล้วใจไม่ดี


ศาสตราจารย์ถือโอกาสตอนที่อยู่ในห้องครัวแค่สองคนกับเลนเนอร์ถามเรื่องท้อง  อาจเพราะเป็นท้องแรก  ห้าเดือนแล้วก็ยังไม่ค่อยนูนออกมาเท่าไร  แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมบอกคนรักสักที  ฝ่ายนู้นเลยแกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  ไม่ถามอะไร


“นายไม่แพ้ท้องบ้างหรือ?”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความสงสัย  ก่อนที่เลนเนอร์จะตอบว่า  “ตอนที่รู้ว่าท้องก็มีบ้าง  แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”


“ไปหาหมอบ้างหรือยัง”  เขาถามต่อ  อีกฝ่ายพยักหน้า  “ไปหาแล้ว  ทุกอย่างปกติดี”


“ปกติที่ไหน  นายไม่ยอมบอกเอ็ด”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปนตำหนิก่อนที่จะถอนหายใจ  “นี่  อย่าหาว่าฉันก้าวก่ายเลยนะ  แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่นายจะมาแบกรับคนเดียวได้  บอกเขาไปเถอะ  อย่ามาทำงี่เง่าเลย”


“ฉันรู้ตัวดีว่างี่เง่าอยู่”  เลนเนอร์พึมพำ  “แต่นายจะฉันบอกยังไง  เฮ้!  เอ็ด  ฉันท้องนะ  ไม่แปลกหรือ”


“ถ้าเป็นนายต่อให้ใส่กางเกงในไว้บนหัวเดินเข้าไปทัก  เอ็ดก็ไม่เห็นว่าแปลกหรอก”  ชายหนุ่มว่า  อีกฝ่ายคล้ายจะขำในมุกตลกของเขาก่อนที่จะบอกว่า  “แต่ไม่จำเป็นจะต้องบอกก็ได้นี่  เอ็ดรู้อยู่แล้ว  นายบอกเขา”


วิลเลี่ยมสะดุ้งเฮือกใหญ่อย่างปิดไม่มิด  เขายิ้มเขินยอมรับความผิดของตัวเองแต่เลนเนอร์ไม่ได้ว่าอะไร


“แต่เขารอนายบอกด้วยตัวเองอยู่นะ  แค่บอกเขา  เอ็ดก็ยินดีช่วยนายทุกอย่าง”  วิลเลี่ยมพยายามเกลี้ยกล่อมสุดฤทธิ์  ก่อนที่จะปิดท้ายว่า  “อย่าให้หมอนั่นทรมานเพราะเห็นนายลำบากเลย”


เลนเนอร์เงียบไปพักใหญ่  ขณะหยุดมือที่หั่นผักอยู่  วิลเลี่ยมมองด้วยใจระทึกก่อนที่อีกฝ่ายจะบอกว่า  “ไว้จะบอกละกัน”


ชายหนุ่มจึงยกยิ้มขึ้นด้วยความโล่งอก  “ค่อยยังชั่ว”


“วิล”  เสียงของเซ็ธดังขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหันไปสนใจแทบจะทันที  อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะบอกว่า  “ผมอ่านหนังสือที่คุณซื้อให้เดือนก่อนจบหมดแล้ว”


“งั้นเหรอ  งั้นเดี๋ยวไปซื้อหนังสือของเดือนนี้ด้วยกันนะ”  ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้มขณะยกมือขึ้นลูบแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ  โดยที่เซ็ธเองก็ยิ้มตอบบางๆ


“โห  รู้สึกว่าจะสนิทกันมากขึ้นนี่”  เอดิสันตาไวสังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆ  รอบตัวทั้งคู่จนต้องเอ่ยทักออกมา  แน่นอนว่าเลนเนอร์เองก็คงเห็นแต่ไม่ทักอะไรได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ 


หลังจากช่วงเที่ยง  เอดิสันก็ตัดสินใจกลับ  เขาไม่ต้องการให้เลนเนอร์ไปอยู่บ้านพักอีกหลังคนเดียวแล้วจึงขอร้องอีกฝ่าย  “เลนเนอร์...”


เจ้าของชื่อเงยหน้ามองตามเสียงที่เรียกค้างไว้  เอดิสันนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกว่า  “กลับบ้านด้วยกันเถอะนะ”


เลนเนอร์เป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปแทน  แต่เพราะต่อจากนี้ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไรแล้วจึงได้ลุกขึ้น  “เอาสิ  รบกวนวิลเลี่ยมมามากพอแล้ว  กลับกันเถอะ  อยากพักผ่อนแล้วด้วย”


“ได้”  เอดิสันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ  หลังจากล่ำลาวิลเลี่ยมกับเซ็ธแล้วทั้งคู่ก็กลับไป  คนที่เหลือนั่งเอกเขนกอยู่ในบ้านของตัวเองจนกระทั่งถึงเวลาบ่ายครึ่ง


“เซ็ธ  ออกไปซื้อของข้างนอกกันเถอะ”  วิลเลี่ยมผุดขึ้นมาจากโซฟาเพื่อเอ่ยชวนเด็กหนุ่มที่วาดรูปอยู่  อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับเป็นคำตอบ  ชายหนุ่มจึงได้หิ้วเขาขึ้นรถไปยังศูนย์การค้า


ย่านการค้ายังคงมีคนพลุกพล่านอยู่เหมือนเช่นทุกที  วิลเลี่ยมพาเซ็ธไปยังร้านหนังสือเจ้าประจำ  คุณลุงที่เป็นพนักงานกล่าวต้อนรับอย่างยินดี  แถมยังชื่นชมเซ็ธอีกด้วย  เด็กหนุ่มที่คุยกับคนอื่นไม่เก่งเพียงแค่ปั้นยิ้มแล้วตอบแบบถ่อมตนไป  นับเป็นก้าวหนึ่งของการอยู่ร่วมกันระหว่างชนชั้นที่แตกต่าง


“แล้วนี่จะเข้าโรงเรียนไหนกันล่ะ”  คุณลุงพนักงานถามขึ้นทำให้เซ็ธชะงัก  ก่อนจะบอกไปว่า  “ผมยื่นคะแนนสมัครไปที่โรงเรียน  A  น่ะครับ”


“สุดยอด  นั่นโรงเรียนอันดับหนึ่งเลยไม่ใช่หรือ  แต่ว่านะ...มีแต่พวกอัลฟ่าอยู่แบบนั้นจะไม่เป็นอะไรจริงๆ  เหรอ?”  คุณลุงเอ่ยขึ้นด้วยความทึ่งก่อนจะถามกลับ  ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดกับเซ็ธแต่หันไปถามวิลเลี่ยมที่ยืนอยู่ข้างๆ


“ที่โรงเรียนนั้น  มีการแบ่งคลาสเรียนแบบชัดเจนครับ  เพราะเคยมีเรื่องที่อัลฟ่ากับเบต้าทะเลาะกันมาก่อน  ตอนนี้เลยมีการแบ่งคลาส  ผมคิดว่าเซ็ธน่าจะได้อยู่รวมกับพวกเบต้าที่อันตรายน้อยกว่า”  วิลเลี่ยมตอบไปตามข้อมูลที่ตนเคยได้รับมา  ก่อนหน้านี้เขาอยากให้เซ็ธได้เรียนโรงเรียนระดับแนวหน้าเพื่อที่จะเป็นการพิสูจน์อีกขั้นว่าโอเมก้าก็สามารถเรียนได้  และเพื่ออนาคตของเซ็ธเองด้วย


“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ”  คุณลุงเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้ม  เขาให้กำลังใจเซ็ธก่อนที่จะเดินไปจัดการร้านต่อ  และทั้งสองคนก็เลือกหนังสืออยู่พักหนึ่งก่อนที่จะออกมา


วิลเลี่ยมพาเซ็ธเดินเล่นแถวย่านการค้าเผื่อเด็กหนุ่มจะอยากได้อะไรเพิ่ม  เซ็ธมองไปแต่ละร้านอย่างสนใจจนไม่ได้มองทางเกือบจะชนคนอื่นอยู่หลายรอบ  ชายหนุ่มเลยถือโอกาสนั้นคว้ามืออีกฝ่ายมาจูงไว้ 


พวกเขาเดินเล่นกันสักพักก่อนที่จะตัดสินใจกลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในลานจอดใกล้ๆ


แต่ทันทีที่มาถึงลานจอดรถ  วิลเลี่ยมก็ชะงักฝีเท้าทันทีทำให้เซ็ธแปลกใจ  ใบหน้าของวิลเลี่ยมตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความแปลกใจระคนระแวงบางอย่าง


วิลเลี่ยมเผลอบีบมือที่กุมไว้แน่น  สัญชาตญาณในตัวบอกว่าให้ระวังไว้เสมอเมื่อเจอคนที่อยู่ด้านหน้า  หญิงสาวที่มีเส้นผมสีแดงยาวสลวยถึงกลางหลังผละตัวจากรั้วใกล้กับรถของเขามายืนขึ้นเต็มความสูง  เธอยกมือขึ้นถอดหมวกสีขาวปีกกว้างและแว่นตากันแดดออก  เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวสว่างที่แฝงเลศนัยบางอย่าง


ใบหน้าสะสวยเผยรอยยิ้มบางๆ  ออกมาขณะเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสง่างาม


“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ  วิลเลี่ยม”


“อลิซาเบ็ธ”  วิลเลี่ยมเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา  เขาพยายามซ่อนความหวาดระแวงไว้ในใจขณะที่ดึงเซ็ธให้เข้ามาใกล้  “เธอมีธุระอะไร”


หญิงสาวตรงหน้าไม่ตอบคำถามของเขา  ดวงตาคู่สวยเบนไปหาเด็กหนุ่มที่เกือบจะหลบอยู่ด้านหลังวิลเลี่ยมด้วยความสนใจ  “เป็นแฟนกันเหรอ?”


“เปล่า  ฉันเป็นผู้ปกครองเขา”  วิลเลี่ยมตอบเสียงห้วนเมื่อถูกถามเช่นนั้น  อีกฝ่ายแค่นยิ้มขึ้นก่อนจะถามย้ำว่า 


“แน่ใจนะ?”


“เธอมีธุระอะไร”  เขาถามย้ำกลับไป  อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ไม่เอาน่า  เธอนี่ช่างเป็นผู้ชายที่เย็นชาเสียจริง  อย่างน้อยฉันคนนี้ก็เคยเป็นแฟนของเธอนะ  หัดพูดจาอ่อนโยนกว่านี้หน่อยสิ  ให้เหมือนตอนที่เราคบกันน่ะ”


“เธอยังจะหวังอะไรอีก  ในเมื่อทำกับฉันไว้ขนาดนั้น”  วิลเลี่ยมถามกลับไปพลางเลิกคิ้ว  อีกฝ่ายหัวเราะขึ้นเสียงหวานแต่กลับไม่รู้สึกถึงความรู้สึกเชิงบวกได้เลยสักนิดหนึ่ง


“ช่างเถอะ  ฉันก็ไม่เคยหวังให้นายกลับมาทำดีด้วยหรอก”  อลิซาเซ็ธเอ่ยขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองเซ็ธอีกครั้ง  “ฉันมาที่นี่ก็เพราะเห็นว่านายมีของน่าสนใจอยู่”


“เขาไม่ใช่สิ่งของ”  วิลเลี่ยมสวนขึ้นทันควันเมื่อรู้เจตนาของอีกฝ่าย


อลิซาเบ็ธเงยหน้าขึ้นมาหาเขาก่อนจะตีหน้าซื่อตอบกลับมา  “อ้าว  งั้นเหรอ?”


เซ็ธกำมือของวิลเลี่ยมแน่น  ตั้งแต่อยู่กับผู้หญิงคนนี้เขาก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก  คนตรงหน้าไม่ได้มาด้วยเจตนาดีอย่างแน่นอน


“ฉันจะกลับแล้ว”  วิลเลี่ยมต้องการพาเซ็ธออกไปเมื่อรับรู้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดนี่  แต่อีกฝ่ายกลับห้ามไว้  “ไม่เอาน่า  นานๆ  ทีเราถึงจะได้เจอกัน  อยู่คุยกันก่อนสิ”


“เธอมีธุระอะไรก็รีบๆ  พูดมาสิ”  วิลเลี่ยมสวนกลับไปน้ำเสียงไม่พอใจ  อีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นก่อนจะกล่าวตามตรง


“งานวิจัยของเธอน่ะไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”  อลิซาเบ็ธเอ่ยขึ้น  “โอเมก้าน่ะไม่มีค่าพอให้กฎหมายคุ้มครอง  หรือมามีสิทธิ์มีเสียงในสังคมหรอก  วิลเลี่ยม  อย่ามองโลกในแง่ดีไปหน่อยเลย  คนบนโลกนี้น่ะย่อมต้องมีประโยชน์  แล้วพวกเขาทำประโยชน์อะไรให้เราบ้าง  ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง  อีกอย่าง  การที่โอเมก้าออกมาอยู่ในสังคมน่ะวุ่นวายจะตาย  เผลอๆ  จะทำให้เกิดเรื่องโกลาหลอีกด้วย”


เซ็ธนิ่งค้างไปทันทีเมื่อได้ยินคำสบประมาทเหล่านั้น  เขาหลีกเลี่ยงสายตาที่มองมาทันที  วิลเลี่ยมเองก็นิ่งเงียบไป  แต่ไม่ใช่การนิ่งเพราะกลัวเหมือนเขา


“พวกเขาย่อมมีประโยชน์”  วิลเลี่ยมแย้งขึ้น  อีกฝ่ายฉีกยิ้มก่อนจะบอก 


“ก็แค่บางคน  เช่นเขา...”


อลิซาเบ็ธเบนสายตามาที่เซ็ธอีกครั้ง  เด็กหนุ่มไม่คิดจะสบตา  หญิงสาวฉีกยิ้มก่อนที่จะบอกกับวิลเลี่ยมตรงๆ  ว่า  “นายกักเขาไว้อยู่ก็เสียดายของ  ตัวเด็กคนนี้มีประโยชน์ต่อการศึกษาพัฒนาการมนุษย์มาก  เป็นตัวทดลองที่วิเศษมากๆ  ไม่คิดแบบนั้นเหรอ”


“ฉันไม่คิด  และจะไม่มีวันคิดว่าเขาเป็นตัวทดลองเด็ดขาด”  วิลเลี่ยมยืนกราน  ทำให้อลิซาเบ็ธถอนหายใจ  “ถึงได้บอกว่าอยู่กับนายแล้วเสียของ”


วิลเลี่ยมขมวดคิ้ว  รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล  “เธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่”


“ยกเขาให้ฉันซะ”  หญิงสาวเอ่ยขึ้น  “ฉันคิดว่าการทดลองของฉันจะทำให้เขาเป็นประโยชน์มากกว่านี้  การพัฒนาของโครงสร้างพันธุกรรมในตัวเด็กคนนี้คงตอบปัญหาของมนุษยชาติบางอย่างได้”


“ผมไม่เอา”  เซ็ธปฏิเสธขึ้นเมื่อได้ฟังเช่นนั้น  แต่อลิซาเบ็ธเพียงหันมามองแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นว่า 


“ฉันไม่ได้ถามเธอ  นี่ไม่รู้หรือว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรทั้งนั้น”


“เข้าใจผิดแล้ว  เขามีสิทธิ์มีเสียงเต็มที่  ในเมื่อเขาไม่เอา  ฉันก็ไม่คิดจะยกเขาให้เธอหรือใครทั้งนั้น  ไม่มีวัน”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นปกป้องเซ็ธ  ระหว่างเขาและเธอมีบรรยากาศแปลกๆ  ที่ชวนให้รู้สึกกดดันออกมา  ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้นจนกระทั่งวิลเลี่ยมเป็นฝ่ายบอกลา  “ถ้าเธอไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว”


“ไปกันเถอะ  เซ็ธ”  เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่ของเด็กหนุ่มไว้ก่อนที่จะพาไปที่รถ  หลังจากให้เซ็ธเข้าไปนั่งในแล้วตัววิลเลี่ยมก็เดินไปที่ประตูฝั่งคนขับ  แต่ขณะเดินผ่านกระโปรงหน้ารถ  หญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ก็เอื้อมมือมาขวางไว้  ใบหน้าสะสวยปั้นยิ้มที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงหลงใหล  แต่ในตอนนี้มันให้ความรู้สึกน่ากลัวมากกว่า


“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน  วิลเลี่ยม”  หญิงสาวเอ่ยเช่นนั้นก่อนที่จะเดินผละออกไป


วิลเลี่ยมเดินไปนั่งที่คนขับก่อนจะสตาร์ทเครื่องขับออกไป  ใบหน้าของเขาขึงตรึงจากอารมณ์ที่คุยกับหญิงสาว  เธอคนนั้นสำหรับเขาแล้วเป็นศัตรูที่รับมือยาก  และไม่ชวนให้รู้สึกเป็นมิตรด้วยสักนิด  ทั้งยังหวาดกลัว...กลัวว่าต่อจากนี้อีกฝ่ายจะมีแผนการร้ายอะไรซ่อนอยู่


“วิลเลี่ยม”  เสียงเรียกเบาๆ  ของเซ็ธทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้น  “มีอะไรเหรอ”


“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครหรือครับ?”  เด็กหนุ่มถามขึ้น  ทำให้วิลเลี่ยมชั่งใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะลองบอกว่า  “ถ้าบอกว่าเคยเป็นแฟนฉัน  นายจะหึงไหม”


เซ็ธออกอาการทึ่ง  ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ  “นี่พูดจริงนะ”


“แต่ดูเหมือนพวกคุณเป็นศัตรูกันเลย”


“นั่นก็ถูก”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเสริมว่า  “ตอนที่เลิกกันมีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อยน่ะ  เธอแสดงความร้ายกาจออกมาฉันเลยทนไม่ไหว  มาคิดๆ  ดูแล้วคบกันไปได้ยังไงฉันก็ไม่รู้  แต่ตอนนี้เพราะทัศนคติของเราไม่ตรงกันก็เลยกลายเป็นศัตรูถาวรไป”


“ทัศนคติเรื่องโอเมก้าหรือครับ?”  เซ็ธเอ่ยถามขึ้นทำให้วิลเลี่ยมพยักหน้า  “ถูก  เธออคติกับพวกโอเมก้ามาก  และพยายามชี้ให้เห็นว่าพวกโอเมก้าไม่มีอะไรดี  เป็นพวกเกลียดโอเมก้าแบบสุดโต่งน่ะนะ”


ขณะที่พูดไปชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตท่าทีของเซ็ธ  เด็กหนุ่มเงียบลงไปเมื่อได้ยินเช่นนั้นคล้ายกับกำลังใช้ความคิด


“แต่คนประเภทเกลียดโอเมก้าจัดๆ  น่ะมีน้อยมากนะ  เทียบกันแล้วในปัจจุบันพวกที่ไม่มีอคติต่อโอเมก้ามีเยอะกว่าด้วย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเชิงให้กำลังใจอีกฝ่าย  เซ็ธได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้นบางๆ  แล้วถามว่า  “และจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้เมื่องานวิจัยของคุณได้รับการเผยแพร่ใช่ไหมครับ”


“ใช่แล้ว  อ๊ะ”  วิลเลี่ยมชะงักไปเมื่อนึกอะไรได้ทำให้เซ็ธสงสัย  “อะไรหรือครับ”


“ถ้าคนไม่มีอคติต่อโอเมก้าเพิ่มขึ้นแล้วก็ต้องมีคนมาชอบนายอีกน่ะสิ  และฉันก็จะมีคู่แข่งมากขึ้น...แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก”  วิลเลี่ยมพึมพำขึ้นก่อนจะโวยวายเหมือนเด็กทำให้เซ็ธหัวเราะออกมา  ขณะที่ตัวเขาเองก็หลุดยิ้มออกมาอย่างโล่งใจด้วย


ไม่ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร  แต่ขอแค่มีเซ็ธอยู่ข้างๆ  ก็เพียงพอแล้ว  และเขาก็จะปกป้องอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์ได้อีก


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 15
เสียงตอบรับที่ดี

“วิลเลี่ยม”  เสียงของเซ็ธดังขึ้นทำให้วิลเลี่ยมต้องเงยหน้าขึ้นจากการอ่านหนังสือพิมพ์  เด็กหนุ่มเดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขาก่อนจะถามคล้ายตัดพ้อว่า  “มีทางไหนที่จะทำให้หายฮีทได้บ้างครับ  นอกจากยา”


เขายิ้มแห้งให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ  จริงๆ  มีคำตอบอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าบอกออกไป


เซ็ธอยู่ในช่วงฮีท  ตอนที่อาการเริ่มออกเขาก็ให้กินยาดักไว้  แต่ตัวยาที่รักษาอาการได้อย่างแน่นอนก็มีผลข้างเคียง  มันทำให้คลื่นไส้  และอ่อนเพลีย  จริงๆ  เขาเองก็ลองปรึกษาแพทย์ดูแล้วว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม  แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้  ยาที่เซ็ธกินอยู่ถือว่าเหมาะสมที่สุด


“ไหวไหม  หรือจะไปพักกับเลนเนอร์ก่อน”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง  ตัวเลือกข้อหลังนั้นเป็นสิ่งที่เลนเนอร์เสมอมา  ถ้าอยู่ด้วยกันกับโอเมก้าก็ไม่จำเป็นต้องกินยาแรงขนาดนี้ 


“ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่อยากรบกวนเขาในตอนนี้”  เด็กหนุ่มตอบ  ช่วงนี้เลนเนอร์ค่อนข้างเพลียเหมือนกัน  เพราะเห็นว่าท้องอยู่เซ็ธเลยไม่อยากไปรบกวนให้เดือดร้อน


 “เดี๋ยวก็คงชิน”  เด็กหนุ่มพึมพำขึ้นคล้ายปลอบตัวเอง


“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ  ไม่ต้องฝืน”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น  เซ็ธพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปนอนที่โซฟา  หลังจากทานอาหารเช้าไปและกินยาเข้าไปนั้น  เด็กหนุ่มอาเจียนออกมาก็เลยต้องกินยาอีกรอบ  ท่าทีดูทรมานมาก  ตอนนี้จึงดูเพลียๆ  ไป


วิลเลี่ยมเก็บข้าวของในครัวก่อนจะหันไปมองหน้าประตูบ้านเมื่อได้ยินเสียงกริ่ง  ซองเอกสารบางอย่างจะถูกสอดเข้ามา  เขาลุกขึ้นไปดูแล้วพบว่าเป็นจดหมายจากทางโรงเรียนที่เคยให้เซ็ธยื่นคะแนนไป


“เซ็ธ  จดหมายของโรงเรียนมาแล้วนะ”  เขาร้องบอกขึ้นก่อนจะนำเข้ามาในส่วนห้องนั่งเล่น  เขานั่งบนเก้าอี้ข้างโซฟาก่อนจะเปิดอ่านดู 


“เขาว่ายังไงบ้างหรือครับ?”  เด็กหนุ่มถามขึ้นเมื่อเห็นเขาเปิดอ่าน  วิลเลี่ยมดูคร่าวๆ  ก็บอกว่า  “เป็นจดหมายยืนยันว่านายได้เข้าเรียนที่นี่แล้วน่ะ  มีพวกกำหนดการต่างๆ  ที่ต้องทำ  รายละเอียดค่าใช้จ่าย  เดี๋ยวถ้านายหายดีแล้วค่อยดูก็ได้  ตอนนี้เดี๋ยวฉันดูให้ก่อน”


เซ็ธพยักหน้าแทนคำตอบ  เขาเลยเปิดดูเอกสารที่ทางโรงเรียนแนบมาให้  กำหนดการแรกคือการไปยืนยันตัวพร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา  ซึ่งจะมีขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อจากนี้  แล้วจากนั้นจะเป็นการปฐมนิเทศและเปิดภาคเรียนในเดือนกันยายน


“วิล”  เซ็ธเอ่ยเรียกเขาทำให้วิลเลี่ยมละสายตาจากกระดาษขึ้นมามอง  อีกฝ่ายนอนอยู่บนโซฟาท่าทางอ่อนเพลีย  ใบหน้ามีสีแดงจางๆ  และเสื้อผ้าที่สวมไว้หลวมๆ  จนเห็นไหล่กว้างและหน้าท้องชวนให้มองได้ไม่รู้สึกเบื่อ  แต่แววตาโศกเศร้านั้นทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัย 


“มีอะไรเหรอ  เซ็ธ”


“ที่โรงเรียน...จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”  เซ็ธถามขึ้น  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วิลเลี่ยมถูกถามเช่นนี้  เด็กคนนี้มีความกังวลเกี่ยวกับที่โรงเรียน  และทุกครั้งมือคู่นั้นมักจะเผลอจับไปที่รอยแผลเป็นซึ่งอยู่ใต้เสื้อ


เซ็ธมีความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับโรงเรียน  วันแรกของการเปิดเทอมนั้นถูกเพื่อนที่เป็นอัลฟ่าหัวโจกร้องอี๊ใส่  ออกอาการขยะแขยงอย่างออกนอกหน้า  และยังถูกต่อยเข้าที่แก้มอีก  นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการกลั่นแกล้งที่โรงเรียน


เขาเป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น  เพราะมีอัลฟ่าที่เกลียดเขาอยู่เลยมักจะถูกกลั่นแกล้งสารพัด 


ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกเพื่อนร่วมชั้นซึ่งพกคัตเตอร์มาโรงเรียนฟันเข้าที่แขนเป็นแผลยาวที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่  แต่ถึงแผลจะลึกอย่างไร  ครูก็ไม่ได้ลงโทษอะไรเด็กคนนั้นแล้วยังมาต่อว่าเขาว่าไม่รู้จักป้องกันตัว


เซ็ธเรียนถึงแค่เกรดหกก็ไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย  แผลเป็นที่เขามีพวกนี้บางส่วนได้รับมาจากเพื่อนนักเลงที่แกล้งเขา  แม้จะไม่หนักหนาเท่าที่พ่อแท้ๆ  ทำร้าย  แต่ก็เป็นแผลใจที่ทำให้เขาไม่กล้าไปโรงเรียน


“ไม่เป็นอะไร  นายจะต้องไม่เป็นอะไร”  วิลเลี่ยมปลอบด้วยรอยยิ้มขณะเอื้อมมือไปจับข้อเท้าของเซ็ธเป็นการให้กำลังใจ  “ฉันเคยเรียนที่นี่  สังคมมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นายเคยเจอหรอก”


“ยังไงหรือครับ?”


“อย่างที่ฉันเคยบอก  ที่นี่แบ่งกลุ่มเป็นสองพวกใหญ่อัลฟ่ากับเบต้า  ถ้าเทียบกันแล้วอัลฟ่าในโรงเรียนนี้เยอะกว่าเบต้าที่สอบเข้ามาได้  พวกเขาเลยมักถือตัวและดูถูกอีกฝ่ายเสมอ  แต่พวกเบต้าก็ใช่ว่าจะยอมแพ้  ขอแค่มีสักเรื่องที่สามารถชนะอัลฟ่าได้ก็ทำ”


“แล้วโอเมก้าอย่างผมล่ะ”


“นายสอบเข้าได้คะแนนอันดับหนึ่งนะ  ถึงจะได้อยู่รวมกับพวกเบต้าแต่พวกเขาจะต้องต้อนรับนายอย่างดีนี่แน่นอน”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ  “นายจำมิเกลน้องสาวไมเคิลได้ไหม  เธอก็สอบติดที่นี่เหมือนกัน”


“จริงเหรอ?”  เซ็ธเบิกตากว้าง  ในแววตานั้นมีความยินดีออกมา  ตั้งแต่สอบเสร็จเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับมิเกลอีกเลย  อีกฝ่ายพยายามจะขอช่องทางติดต่อเขาไว้  แต่เขาไม่มีโทรศัพท์เลยไม่รู้จะทำอย่างไร  วิลเลี่ยมบอกว่าให้ติดต่อผ่านทางไมเคิลก็พอแล้ว


“พูดจริงสิ  ถ้าเป็นเธอคนนั้นล่ะก็  นายก็คงวางใจใช่ไหม”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  และเซ็ธพยักหน้าเป็นคำตอบ  ไม่รู้ทำไมในอกถึงรู้สึกเจ็บนิดๆ  ขึ้นมา  เขาบีบมือที่จับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะถามว่า  “เซ็ธ  นายจะไม่ไปหลงรักมิเกลใช่ไหม?”


“คุณพูดอะไรของคุณ”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยทำให้เขาเลิกถามไปในทันที  เซ็ธก็ไม่ได้ติดใจอะไรต่อและนอนพักอยู่แบบนั้น


ผ่านไปสองสามวันอาการฮีทก็หายสนิท  เซ็ธเลยยิ้มได้  เพราะไม่ต้องกินยาอะไรอีกแล้ว  และในวันเดียวกันนั้นเลนเนอร์ก็แจ้งข่าวดีว่าผลตรวจออกมาว่าได้ลูกสาว  วิลเลี่ยมอดคิดไม่ได้เลยว่าเพื่อนของตัวเองจะยินดีขนาดไหน


“นายเชื่อไหม  ต่อจากนี้เอ็ดต้องไว้หนวดแน่ๆ”  วิลเลี่ยมเดาขึ้นเมื่อรู้ว่าเลนเนอร์ได้ลูกสาว  แม้ไม่เห็นสีหน้าเพื่อนแต่เขาก็เดาได้ว่าต่อไปเอดิสันจะเป็นอย่างไร  อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งคล้ายนึกภาพตามก่อนจะขำออกมา 


“อย่าเลย  เวลาเขาไว้หนวดแล้วมันเหมือนนักเลงน่ากลัวน่ะ”


“นั่นแหละสาเหตุ  คนมีลูกสาวก็ต้องทำหน้าเข้มๆ  กันพวกแมลงหวี่แมลงวันมาตอมสิ”


“ฉันไม่ให้เอ็ดไว้หรอก  มันจั๊กจี้”  เลนเนอร์บอกคล้ายตั้งมั่นกับตัวเองไว้  ดูท่าทีแล้วถ้าเพื่อนของเขามีความตั้งใจเช่นนั้นจริงๆ  คงถูกจับโกนหนวดอย่างแน่นอน


“แล้วคุณตั้งชื่อเด็กหรือยัง”  เซ็ธถามขึ้นด้วยความสนใจ  อีกฝ่ายเลยตอบว่า  “ตอนนี้ยังตกลงกันไม่ได้น่ะ”


“งั้นหรือครับ”


“แต่ตอนนี้น่ะเอ็ดเตรียมวางแผนไว้ใหญ่เลย  เสื้อผ้าเอย  ของเล่นเอย  หรือของใช้เด็กก็คิดจะเตรียมให้พร้อมจนฉันต้องร้องห้ามไว้ก่อน”  เลนเนอร์เล่าให้ฟัง  วิลเลี่ยมเองก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ 


“กลายเป็นพ่อเห่อลูกไปเสียแล้ว”


“ก็จริง  ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะทำอะไรเหนือความคาดหมายอีกไหม”


“อาจซื้อบ้านตุ๊กตาที่ทำจากเพชรมาให้ก็ได้”  วิลเลี่ยมคาดเดา  แม้จะดูเว่อร์เกินแต่ถ้าเป็นเอดิสันย่อมเป็นไปได้


พวกเขาคุยกันอยู่ถึงช่วงเย็น  เอดิสันก็มารับเลนเนอร์กลับ 


ตอนที่อยู่ด้วยกันสองคนในบ้านเหมือนเดิม  เซ็ธก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้


“ช่วงท้องนี่ก็จะไม่มีอาการฮีทใช่ไหม”


“ใช่”  วิลเลี่ยมตอบไปสั้นๆ  อีกฝ่ายพยักหน้างึกงักก่อนจะพึมพำว่า  “ถ้าท้องก็จะไม่ฮีท...”


ศาสตราจารย์หนุ่มเลยหันขวับไปทันที  เขาเพิ่งนึกได้ว่าเซ็ธกำลังหาวิธีทำให้ช่วงฮีทหมดไปไวๆ  เลยรีบร้องเตือนก่อนว่า  “แต่นายตอนนี้ท้องไม่ได้นะ!”


เซ็ธนิ่งอึ้งไปสักพักก่อนจะยิ้มบางๆ  ขึ้น  “ผมรู้แล้วครับ  ไม่ได้คิดทำแบบนั้นสักหน่อย”


วิลเลี่ยมเลยได้แต่ยิ้มแก้เขิน  จริงๆ  ก็เป็นเพราะเขากังวลมากเกินไป  ปกติเซ็ธมีนิสัยจริงจังอยู่แล้ว  คำพูดที่ออกมาเลยอาจจะเป็นความตั้งใจจริงก็ได้ไม่มีใครรู้


“จริงๆ  มีอีกวิธีนะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นทำให้เซ็ธหันมาสนใจ  “อะไรหรือครับ?”


“เซ็กซ์ไง”  เขาตอบไปเสียงเรียบแต่อีกฝ่ายเบิกตากว้าง  พอเห็นท่าทีชะงักไปแบบนั้นวิลเลี่ยมก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา  เขาขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย  ยกมือจับปลอกคอที่ป้องกันเซ็ธไว้แล้วกระซิบข้างหูว่า  “ถ้ามีเซ็กซ์แล้วถูกกัดที่คอก็จะไม่ฮีทในช่วงนั้นอีกแล้วนะ  หายเป็นปลิดทิ้งเลย  อยากจะลองไหมล่ะ”


เซ็ธผละออกไปด้านหลังทันทีพร้อมกับตะครุบคอตัวเองไว้อัตโนมัติ  วิลเลี่ยมยิ้มกว้างก่อนจะบอกว่า  “ล้อเล่นน่ะ  ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกนะ  จนกว่านายจะยินยอมเอง”


คำพูดนั้นทำให้เซ็ธหน้าแดงขึ้นมาแล้วพึมพำเบาๆ  ว่า  ‘พูดอะไร’ขึ้นมา  ก่อนจะเดินหนีไปที่อื่น  วิลเลี่ยมยิ้มค้างอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะเดินไปจัดการเรื่องอย่างอื่น


หลังจากวิลเลี่ยมพาเซ็ธไปที่โรงเรียนแล้วยืนยันตัวแล้ว  กิจกรรมต่างๆ  ก็มีมาเรื่อยๆ  เขารีบพาอีกฝ่ายไปซื้อเครื่องแบบก่อนที่จะเทียวไปรับไปส่งอีกฝ่าย 


พอเปิดเทอมเข้าจริงๆ  วิลเลี่ยมก็อดกังวลไม่ได้ว่าเซ็ธจะปรับตัวได้ไหม  ตอนที่มีการปรับพื้นฐานเขาก็แอบมาส่องดูบ้าง  แม้จะเห็นว่ามีเด็กหลายคนให้ความสนใจเซ็ธแต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมาดีหรือเปล่า


คนที่หวังพึ่งได้ก็มีแต่มิเกล  เด็กสาวค่อนข้างแก่นแก้ว  ไมเคิลยังบอกเองว่าเหมือนม้าดีดกะโหลก  แล้วเป็นคนที่หัวไว  ไม่ต้องพูดอะไรมากก็รู้ว่าเขากับเซ็ธแอบชอบพอกัน  วันหนึ่งยังต่อว่าด้วยว่าทำไมไม่คบหากันไปเลย


วิลเลี่ยมตอนนั้นยิ้มแห้งก่อนจะบอกไปว่า  “เด็กน้อย  มันมีอะไรหลายๆ  อย่างน่ะ”


แล้วดูเหมือนบทสนทนานั้นจะเชื่อมโยงมาถึงวันนี้  “คุณรู้บ้างไหมว่าเซ็ธไร้เดียงสามากกว่าที่คิด”


มิเกลบอกกับเขาตอนที่มารอรับเซ็ธ  เด็กหนุ่มนั่งรออยู่ในรถส่วนเขาก็เดินมาถามเด็กสาว  วิลเลี่ยมยิ้มเป็นคำตอบก่อนจะบอกว่า  “ก็พอรู้บ้างว่าเขาอ่อนต่อโลก”


“วันนี้มีคนมาจีบเซ็ธห้าคนเลยนะคะ  ห้าคน”  เด็กสาวเอ่ยขึ้นพลางทำมือ  “เป็นอัลฟ่าฐานะดีเสียด้วย”


“แล้ว?”  วิลเลี่ยมถามเร่งอีกฝ่าย  แม้สีหน้าจะดูเหมือนปกติแต่ในใจก็อดลุ้นระทึกไม่ได้


“เซ็ธไม่รู้ตัวว่าถูกจีบ  ถึงวันนี้จะไม่มีใครมีความคืบหน้าอะไรก็เถอะ  แต่พวกนั้นก็คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ  หรอกนะคะ  จะปล่อยไว้แบบนี้หรือคะ?”  เด็กสาวทิ้งคำถามให้เขาไปคิดต่อก่อนที่จะเดินจากไป


วิลเลี่ยมจึงกลับไปที่รถเห็นเซ็ธกำลังหยิบกล่องเค้กหน้าตาน่ากินออกมาดู 


“มีคนให้มาเหรอ”  เป็นคำถามที่เผลอหลุดออกมาจากปากของวิลเลี่ยม  อีกฝ่ายชะงักไปทันทีก่อนจะพยักหน้าตอบรับ  “ใช่ครับ  มีคนให้มา  คุณจะกินไหม”


“เขาให้นาย  นายกินเถอะ”  วิลเลี่ยมตอบ  อีกฝ่ายเก็บกล่องเค้กลงไปในถุงเหมือนเดิม  ระหว่างทางที่เขาขับรถกลับ  เซ็ธก็ถามขึ้นว่า  “เมื่อกี้คุณคุยอะไรกับมิเกลหรือครับ”


“เธอเล่าอะไรให้ฟังนิดหน่อยน่ะ”  ชายหนุ่มตอบก่อนที่จะเงียบไปครู่หนึ่ง  ปัญหาที่ค้างคาอยู่ในใจทำให้วิลเลี่ยมตัดสินใจถามออกมา  “เซ็ธ  ถ้าเกิดว่า...มีคนมาจีบนาย  นายจะทำยังไง”


“จีบ?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว  ก่อนจะถามกลับว่า  “ใครหรือครับ”


“ก็...เช่นเพื่อนร่วมชั้นของนาย  หรือเด็กในโรงเรียนน่ะ”  วิลเลี่ยมยกตัวอย่างขึ้น  จะว่าไปตั้งแต่ตอนปฐมนิเทศหรือช่วงปรับพื้นฐานก็เห็นมีคนให้ความสนใจเซ็ธเยอะอยู่แล้ว  นี่อาจเป็นความกังวลแต่แรกของเขาก็ได้  “ถ้ามีคนในโรงเรียนมาจีบ  นายจะทำยังไง”


“ไม่รู้สิครับ”  เด็กหนุ่มตอบตามตรง  พอลองจินตนาการดูแล้วก็คงได้แต่ยืนอึ้งมากกว่า


“แล้วนายคิดว่าเพื่อนที่โรงเรียนน่าสนใจไหม  แบบอัลฟ่าอะไรแบบนั้น”  วิลเลี่ยมลองถามต่อ  โอเมก้าย่อมมีความสนใจต่ออัลฟ่าเป็นพิเศษ  นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ


เซ็ธเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ก็น่าสนใจนะครับ  มีแต่คนเก่งๆ  ทั้งนั้นเลย”


มือที่จับพวงมาลัยของวิลเลี่ยมเผลอบีบแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น 


เซ็ธยังถือเป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง  เรื่องรักๆ  ใคร่ๆ  แม้จะยังไม่ประสีประสาเท่าไรแต่ย่อมเกิดขึ้นได้  ยิ่งในหมู่วัยเดียวกันซึ่งจัดได้ว่าเป็นวัยที่ตอบสนองต่อเรื่องรักเป็นพิเศษแบบนี้


“แต่ว่าถ้าพูดในแง่ความรักก็สบายใจได้ครับ”  เซ็ธเอ่ยขึ้นต่อขณะหันมาทางเขา  ก่อนจะยิ้มบางๆ  อย่างไร้เดียงสาแล้วบอกว่า  “ผมสนแค่คุณคนเดียว”


วิลเลี่ยมสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วยืดตัวขึ้น  ท่าทีนั้นทำให้เซ็ธงุนงงไปชั่วขณะ  “เซ็ธ  นายกำลังทำให้ฉันไม่มีสมาธิขับรถนะ”


เด็กหนุ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ  แล้วบอกว่า  “คุณหน้าแดงแล้ว”


“แน่สิ”  เขาตอบพลางยิ้มให้  ก่อนที่จะหันไปตั้งสมาธิกับการขับรถต่อ 


เมื่อกลับไปถึงบ้านพวกเขาพบจดหมายซองหนึ่งซึ่งจ่าหน้าถึงวิลเลี่ยม

----------ต่อครึ่งหลังด้านล่างค่ะ----------------

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 15
เสียงตอบรับที่ดี (ครึ่งหลัง)
“บัตรเชิญร่วมงานสัมมนาวิชาการแห่งชาติ”  วิลเลี่ยมอ่านหัวข้อหลักที่อยู่ด้านในซองจดหมาย  มีบัตรสองใบที่กำกับให้นำไปด้วยในวันงานกับกำหนดการคร่าวๆ  เขาเลยนึกออกว่าก่อนหน้านี้ได้รับเชิญไปพูดในงานนี้


มันเป็นงานที่พูดได้ว่าใหญ่พอตัว  นักวิชาการผู้มีชื่อเสียงจากทั่วโลกจะมารวมตัวกัน  และในงานนี้เขาได้รับเชิญให้พูดเกี่ยวกับทัศนคติแบบใหม่ที่มีต่อพวกโอเมก้า  การที่มีการ์ดเชิญสองใบแสดงว่าเจ้าของงานต้องการให้เขาพาเซ็ธไปด้วย


“เซ็ธ”  วิลเลี่ยมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “ต้นเดือนหน้าฉันต้องไปเข้าร่วมงานใหญ่  เขาเชิญนายด้วย  จะไปด้วยกันไหม”


เด็กหนุ่มเงียบไปคล้ายจะตัดสินใจก่อนที่จะพยักหน้าตกลง  “ครับ  ถ้าไปกับคุณ  ผมไป”


“นายนี่ทำให้ฉันหลงได้ตลอดเวลาจริงๆ”  วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นขณะลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู  ตอนนั้นที่นึกถึงคำพูดของมิเกลขึ้นมา


“เซ็ธ”  เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนที่จับไหล่ทั้งสองข้างไว้  แวบหนึ่งเกิดความสับสนขึ้นในใจว่าจะบอกไปดีไหมแต่ในที่สุดวิลเลี่ยมก็ได้เอ่ยออกไป  “ฉันรักนาย”


“อันนี้ผมรู้...”  เซ็ธเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง  วิลเลี่ยมสะบัดหน้าไปมาคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่  ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าทำสมาธิก่อนจะบอกอย่างชัดเจนว่า


“ถ้านายไม่ว่าอะไร...เรามาคบกันไหม?”


สิ้นเสียงนั้นทั้งห้องเกิดความเงียบ  เซ็ธนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ  วิลเลี่ยมเลยคิดว่าตัวเองทำพลาดไป  “เอ่อ...มัน...กะทันหันไปสินะ  ฉันขอโทษ  เผลอคิดไปเองว่านายก็รักฉันเหมือนกัน  ขอโทษทีนะ”


ชายหนุ่มยกมือที่วางอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายออก  แต่ทว่ากลับถูกเซ็ธรั้งไว้  “เดี๋ยว”


คำพูดสั้นๆ  ทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เขาหยุดตามที่อีกฝ่ายบอก  เซ็ธกระอึกกระอักที่จะพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “คุณไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ  ผมรักคุณนะ  ”


หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที  เด็กหนุ่มหลบตาก่อนจะเอ่ยขึ้นติดๆ  ขัดๆ  ว่า  “ตะ...แต่ผม...ผมไม่รู้ว่าถ้าคบกันแล้วต้องทำยังไง  กะ...ก็เลยตอบในทันทีไม่ได้”


วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นอย่างดีใจ  เขาสวมกอดอีกฝ่ายไว้ทันทีก่อนจะบอกว่า  “เด็กดี  นายไม่ต้องทำอะไรเลย  ทำเหมือนปกติ  แค่มอบความรักให้ฉัน...แค่ฉันคนเดียวก็พอ”


เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเบาๆ  เป็นอันเข้าใจ  วิลเลี่ยมเลยละกอดก่อนที่จะสบตากับเซ็ธอีกครั้ง  “เซ็ธ  ฉันจะถามอีกครั้งนะ  เรามาคบกันไหม”


“คะ...ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับในที่สุดทำให้วิลเลี่ยมดึงเขาไปสวมกอดอีกครั้งด้วยความดีใจ 


คืนนั้นพวกเขานอนด้วยกันอีกครั้ง  และเป็นเช่นนี้อีกหลายคืน  แต่ไม่มีเรื่องเซ็กซ์มาเกี่ยวข้อง  สำหรับเซ็ธมันอาจจะเร็วไปในตอนนี้  และวิลเลี่ยมเองก็ไม่คิดล่วงล้ำถ้าอีกฝ่ายไม่อนุญาต  ในตอนนี้เขาเองก็พอใจกับการได้นอนข้างคนที่รักมากกว่าสิ่งอื่นใด


พอความรู้สึกของพวกเขาตรงกัน  วิลเลี่ยมก็รับรู้ได้ว่าจากกลิ่นที่เคยยั่วยวนเขาจนนอนไม่หลับตอนนี้เป็นกลิ่นอันอ่อนโยนที่ทำให้เขาฝันดีได้


หลังจากผ่านพ้นไปเกือบเดือนหนึ่ง  เซ็ธก็ชินกับที่โรงเรียนมากขึ้น  แม้จะมีอัลฟ่าบางคนยังไม่ให้การยอมรับ  แต่เพราะอยู่รวมกับเบต้า  เด็กหนุ่มเลยไม่ค่อยถูกแกล้งอะไร  จะมีบ้างที่ถูกด่าทอแต่วิลเลี่ยมก็บอกว่าไม่ต้องเก็บมาคิด


วันสัมมนาวิชาการระดับชาติมาถึงในที่สุด  วิลเลี่ยมใช้เวลาช่วงสองอาทิตย์สุดท้ายเตรียมสุนทรพจน์ที่จะต้องพูดในวันงาน  เขาคิดว่าในงานนี้ก็เป็นเหมือนอีกก้าวหนึ่งที่จะทำให้โอเมก้ามีสิทธิ์ในสังคมมากขึ้น


“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม  เป็นเกียรติจริงๆ  ที่ได้เจอคุณ”  นักวิชาการผู้อาวุโสหลายคนเดินเข้ามาทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  วิลเลี่ยมก็ยิ้มทักทายอย่างเต็มที่แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นแค่หน้าด่านให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าถึงตัวเซ็ธได้  เด็กหนุ่มเกร็งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องเจอกับอัลฟ่ามากมายขนาดนี้


“เธอ”  เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นตอนที่เซ็ธยืนแยกมาจากวิลเลี่ยม  อีกฝ่ายกำลังพูดคุยเรื่องงานอยู่เขาจึงไม่อยากกวน  เมื่อเซ็ธหันไปมองก็เห็นผู้ชายร่างท้วมคนหนึ่งในชุดสูทอย่างดี  อีกฝ่ายยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินมาคว้าแขนของเขาไว้ทันที  “คืนนี้พักอยู่ห้องไหน”


“หา?”  เซ็ธขมวดคิ้วอย่างงุนงง  อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ  “หรือจะมาที่ห้องฉันก็ได้นะ  ตอนนี้เลยก็ได้”


“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ  ปล่อยนะ”  เซ็ธรีบขัดขืนทันทีก่อนที่จะสะบัดแขนให้หลุดจากอีกฝ่าย 


“อะไรกัน  อย่ามาทำซื่อไปหน่อยเลย  โตขนาดนี้น่าจะเคยมีเซ็กซ์มาก่อนนี่  หรือยัง...ดูจากท่าทางนายแล้วคงยังสินะ  วิเศษไปเลย  งั้นฉันสอนให้เอาไหม”  ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดที่น่าขยะแขยงแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยทำให้เซ็ธถอยหนี  อีกฝ่ายพยายามคว้าแขนของเขาไว้ให้ได้


“ไม่ดีมั้งครับ  มาทำเรื่องแบบนี้ในงานนี้”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะดึงตัวเซ็ธไปอยู่ด้านหลังของตน  อีกฝ่ายชะงักไปทันทีก่อนจะสวนกลับ


“หา  นายเป็นใคร”


“ผมเป็นคนดูแลเขา  และคงยอมไม่ได้ถ้าคุณคิดจะทำอะไรทรามๆ  กับเขา”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโมโห  แม้จะพยายามใจเย็นอยู่แต่ก็รู้สึกร้อนในอกขึ้นมา


“หา  ผู้ดูแล?  เหอะ  บอกว่าเป็นเจ้าของดีกว่ามั้ง  เอ๊ะ  ไม่มีรอยตีตรานี่  ประหลาดจริง”  อีกฝ่ายยังคงพูดต่อขณะที่มองเซ็ธด้วยสายตากระหายทำให้เด็กหนุ่มเกิดกลัวขึ้นมา


“กรุณาถอยออกไปด้วยครับ  ไม่ยังงั้นผมจะเรียกรปภ.  มาลากคุณไป”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่อีกฝ่ายกลับขึ้นเสียงใส่  “หา?  ฉันทำอะไรผิด?  แกคิดว่าฉันผิดเหรอ  มันต่างหาก...โอเมก้าที่มาอยู่ในดงอัลฟ่าแบบนี้น่ะ  คิดอะไรอยู่  อยากโดนข่มขืนมากใช่ไหม  เป็นโอเมก้านี่  น่าจะชอบที่โดนข่มขืนใช่ไหม  เจ้าคนชั้นต่ำ!...อั้ก!”


“วิล!”  เซ็ธร้องห้ามอีกฝ่ายขึ้นแต่ย่อมช้ากว่าวิลเลี่ยมที่ตรงเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ด้วยความโมโห  “คนที่คิดว่าการข่มขืนโอเมก้าเป็นเรื่องปกติแล้วคิดว่าพวกเขาชอบอย่างคุณนั่นแหละต่ำ”


“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม  พอแล้ว”  เสียงทุ้มกว้างของใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนชะงัก  ชายสูงวัยในชุดสูทสีน้ำเงินเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะบอกว่า  “ปล่อยเขาซะ”


วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายไปตามคำขอของศาสตราจารย์ไอน์เบิร์ก  หนึ่งในคนที่เขาเคารพ  ชายร่างท้วมคนนั้นจ้องมองเขาอย่างหาเรื่อง  แต่เพราะตอนนี้เขาโกรธจริงๆ  ทำให้รังสีพลังจิตแผ่ออกมา  อีกฝ่ายซึ่งน่าจะมีพลังน้อยกว่าย่อมรับรู้ได้และหนีไป


เมื่อกลับสู่ความสงบ  เซ็ธก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันมองวิลเลี่ยมด้วยความเป็นห่วง  “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


“นายต่างหาก  ไม่ได้ถูกทำอะไรไม่ดีใช่ไหม”  วิลเลี่ยมถามเขากลับ  เซ็ธส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปหาชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ  “ขอบคุณที่คุณเข้ามาช่วยอีกแรงครับ  ศาสตราจารย์ไอน์เบิร์ก”


“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”  อีกฝ่ายยิ้มกว้างก่อนที่จะหันมาทางเซ็ธ  “โอ้  สวัสดี  ฉันชื่อไอน์เบิร์ก  เคยเป็นอาจารย์ของวิลเลี่ยม  น่ายินดีจริงๆ  ที่วันนี้ได้มาเจอกับเธอ”


“คะ...ครับ  ผม...เซ็ธครับ”  เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับตอบอย่างกล้าๆ  กลัวๆ  อีกฝ่ายบีบมือของเขาแน่นเป็นการให้กำลังใจก่อนจะชื่นชมว่า  “น่าทึ่งมากที่เธอสามารถสอบได้อันดับหนึ่งของประเทศ  ยินดีด้วย”


“ขอบคุณครับ”  เด็กหนุ่มโค้งให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม  เขาได้คุยกับคนอื่นอีกสองสามคนผ่านการแนะนำของวิลเลี่ยม  ก่อนที่อีกฝ่ายจะพาเขามาฝากไว้กับไอน์เบิร์กแล้วขึ้นไปเตรียมตัวพูดสุนทรพจน์ในลำดับถัดไป


“บอกตามตรงฉันสนใจงานวิจัยของวิลเลี่ยมมากทีเดียว”  ไอน์เบิร์กพยายามชวนเขาคุย  “เด็กคนนั้นเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น  น่าทึ่งมากที่ทำได้สำเร็จ”


“เขาเป็นคนที่วิเศษมากครับ”  เซ็ธกล่าวยกย่องวิลเลี่ยมด้วยรอยยิ้ม  ขณะนั้นพิธีกรเชิญคนที่กำลังถูกเขากล่าวถึงขึ้นมาบนเวที  เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น  จนกระทั่งมันซาลง  ชายหนุ่มจึงได้เริ่มพูด


“ตลอดเวลาที่ผ่านมา  นับจากที่โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จนทำให้เกิดวิกฤติการณ์จำนวนมนุษย์ลดต่ำลง  อัตราการเกิดที่ลดลงจนน่าใจหายทำให้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้น  สังคมมนุษย์อย่างพวกเราได้แบ่งออกเป็นสามชนชั้น  สามชนชั้นที่ต่างมีความพิเศษแตกต่างกันออกไป...”  วิลเลี่ยมเกริ่นนำขึ้นด้วยเสียงนุ่มทุ้ม  ทุกคนต่างตั้งใจฟังเขาพูด


“ก่อนหน้านี้เมื่อยี่สิบปีก่อน  เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกขั้น  เมื่อมนุษย์พ้นวิกฤติการณ์เกิดที่ลดน้อยลงแล้ว  ชนชั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหานั้นอย่างโอเมก้าก็หมดความสำคัญลงอย่างสิ้นเชิง  และในตอนนั้นมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น  ภาพลักษณ์ของพวกเขาในสังคมก็แย่ลงอย่างที่ทุกท่านเห็นในปัจจุบัน”


เซ็ธตั้งใจฟังอีกฝ่ายเหมือนกับถูกต้องมนตร์สะกด  วิลเลี่ยมที่ยืนพูดอยู่นั้นดูมีเสน่ห์มากกว่าปกติ


“ไม่ใช่แค่เป็นชนชั้นต่ำสุด  แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นเรียกได้ว่าโหดร้าย  ปัจจุบันนี้พวกเขาไม่มีสิทธิ์ใดๆ  เลย  ไม่มีการคุ้มครองจากภาครัฐ  ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในสังคมนี้  เป็นชนชั้นที่ไม่มีอะไรดี  ทุกคนมองว่าพวกเขาโง่  เป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ทางเพศของคนอื่น”  วิลเลี่ยมหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ  “ตัวผมเกิดความสงสัยขึ้นมา  จริงๆ  แล้วโอเมก้าเป็นแบบไหนกันแน่...นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของงานวิจัยของผม  ด้วยความอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วโอเมก้ามีความพิเศษอะไร  ผมเลยได้ริเริ่มทำงานนี้  ได้รู้จักกับโอเมก้ามากมาย  ได้รู้ถึงความลำบากของพวกเขาในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่พวกเขาจะตายเมื่อไรก็ได้  มันทำให้ผมคิดว่าที่จริงโลกใบนี้ก็โหดร้ายเหมือนกัน”


วิลเลี่ยมหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อถึงสิ่งที่เขาค้นพบ  การทดลองสอนโอเมก้าหลายๆ  คนจนค้นพบว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่ว่าทักษะการเรียนรู้ไม่พัฒนา  ตัวอย่างที่เด่นชัดสุดคือเลนเนอร์และเซ็ธ  ซึ่งโดดเด่นด้านการเรียนรู้ที่สุด


“และสุดท้าย...จุดประสงค์ของการทำวิจัยนี้ของผม  ไม่ได้ต้องการบังคับให้พวกคุณรักโอเมก้า  แต่แค่อยากให้ลองลบอคติที่เคยมี  ที่พวกเราสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ  แล้วมองพวกเขาใหม่  พวกเขาที่เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรา”


ชายหนุ่มกล่าวจบก่อนที่โค้งลาทุกคน  เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งขณะที่วิลเลี่ยมเดินลงจากเวที  เขารีบตรงไปหาเซ็ธทันที  เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินมาหาเขาก่อนจะบอกว่า  “คุณยอดเยี่ยมมาก  เท่มากๆ  เลย”


“ขอบใจนะ”  วิลเลี่ยมใจชื้นขึ้นมาทันที  อารมณ์กดดันตอนที่อยู่บนเวทีหายไปหมดสิ้น  ไอน์เบิร์กกล่าวชมเขาเช่นเดียวกัน


“โอ๊ะ  ดูเหมือนการกล่าวสุนทรพจน์ต่อไปจะเริ่มแล้วนะ”  ไอน์เบิร์กเอ่ยขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหันไปมองที่เวที  เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งขณะที่พิธีกรกล่าวเชิญนักพูดขึ้นมาบนเวที  และเธอที่คุ้นตาเขาก็เดินขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม  เส้นผมสีแดงนั้นแม้จะใกล้เคียงกับผ้าม่านที่เป็นฉากด้านหลังแต่กลับดูเด่นอย่างประหลาด


อลิซาเบ็ธยืนอยู่หน้าแท่นกล่าวสุนทรพจน์  ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปที่กล้องซึ่งบันทึกภาพงานไว้อยู่  ริมฝีปากที่แต่งแต้มลิปสติกสีแดงกรีดยิ้มงดงามขึ้นก่อนจะกล่าวว่า


“ก่อนอื่นขอกล่าวขอบคุณที่ให้ดิฉันได้มายืนอยู่ตรงนี้ในงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ค่ะ”  เธอโค้งหัวเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มกล่าวต่อว่า  “ในตอนนี้ดิฉันกำลังทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติอยู่  เพราะยังไม่ได้บอกกล่าวที่ไหนเลยขอประกาศ  ณ  ที่นี้เลยค่ะ”


“วิล...”  ขณะที่กำลังยืนฟังอลิซาเบ็ธพูดอยู่นั้น  เซ็ธก็ยกมือขึ้นมาจับแขนเสื้อของวิลเลี่ยมไว้  ใบหน้าดูกังวลขึ้นมา  “ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”


“มีอะไรหรือเปล่าเซ็ธ”  เขาหันไปถามเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง  ตอนนั้นไม่สนใจสิ่งที่หญิงสาวบนเวทีจะพูดแล้ว  ทว่าประโยคที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบนั้นทำให้เขาหันไปมอง


“ดิฉันคิดว่า  โอเมก้าไม่จำเป็นสำหรับโลกใบนี้แล้วค่ะ”


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 16
แนวคิดของอลิซาเบ็ธ

“ดิฉันคิดว่าโอเมก้าไม่จำเป็นสำหรับโลกใบนี้อีกแล้ว”


คำพูดของหญิงสาวเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ร่วมงานคนอื่นได้เป็นอย่างดี  บ้างมีสีหน้าเครียดจัด  บ้างยกยิ้มยินดีอย่างไม่ปิดบัง  วิลเลี่ยมเองก็เป็นคนที่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้มากที่สุด


“โลกของเราเคยได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่  เปรียบเสมือนพรของพระเจ้าที่ประทานมาให้  เบต้าล้วนมีทักษะพิเศษ  อัลฟ่ามีพลังจิตที่ยอดเยี่ยม  พวกเราเป็นผู้พัฒนาโลกใบนี้ให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง  เป็นโลกใบใหม่ที่ต่างจากโลกเก่าโดยลิบลับ  มนุษย์ยุคเก่านั้นไม่ได้พัฒนาโลกนี้และทำลายมันจนเผ่าพันธุ์ของเราเกือบสูญพันธุ์ไป  พวกเขาจึงค่อยๆ  หายไปตามกาลเวลาและแทนที่ด้วยพวกเราผู้มีปัญญามากกว่า”  หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น


“แม้ว่าโอเมก้าจะมีลักษณะพิเศษที่สามารถท้องได้แต่นั่นก็เพื่อให้เราพ้นวิกฤติการณ์สูญพันธุ์มา  ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกแล้ว  และพวกเขาที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ยุคเก่าที่สุดก็ไม่สมควรมีตัวตนอีกต่อไป”  อลิซาเบ็ธยังคงพูดต่อ  ทุกคนให้ความสนใจกับการพูดของเธอ  เว้นเพียงแต่วิลเลี่ยม  ตัวเขาจับจ้องมองไปที่เวที  แต่กลับไม่สามารถจับเสียงของอีกฝ่ายได้เลยต่อจากนั้น


ตัวเขาย่อมรับรู้ได้  นี่คืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของการทำให้โอเมก้าเป็นอิสระ


อัลฟ่าหลายคนยังไม่ให้การยอมรับโอเมก้า  และพวกเขาส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำของสังคมย่อมเกิดการชักจูงให้คนอื่นคล้อยตามความคิดได้  ปกติแล้วเรื่องแบบนี้จะไม่มีใครป่าวประกาศออกมาอย่างชัดเจน  ยกเว้นแต่ว่ามีคนที่จะกล้าออกมาเป็นแนวหน้า  เช่นอลิซาเบ็ธในตอนนี้


เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นทำให้วิลเลี่ยมตื่นจากภวังค์  อลิซาเบ็ธกำลังเดินลงจากเวทีออกไปด้านนอกผ่านประตูหลัง  ทำให้ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหา


“เดี๋ยว!”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะวิ่งตามอีกฝ่ายออกมาที่ระเบียงทางเดินด้านนอก  อลิซาเบ็ธหยุดตามเสียงเรียกแล้วหันมาด้วยรอยยิ้ม  ข้างๆ  เธอนั้นมีชายหนุ่มรูปร่างภูมิฐานเดินเข้ามาสมทบทำให้เขาเบิกตากว้าง


“นี่มันหมายความว่ายังไง”  วิลเลี่ยมถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา  เขามองหญิงสาวแล้วหันไปมองกิลเบิร์ตด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายแสยะยิ้มให้ราวกับเป็นผู้อยู่เหนือกว่าเหมือนทุกครั้ง


“นายหมายถึงเรื่องไหนกันล่ะ”  อลิซาเบ็ธถามด้วยรอยยิ้ม  เห็นได้ชัดว่าจงใจจะยียวนเขา  วิลเลี่ยมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า  “เธอทำแบบนี้ไปทำไม?”


“เหตุผลเหรอ?  ตัวนายน่าจะรู้ดีนี่”  หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้  ก่อนจะกระชากคอเสื้อเขาเข้าไปใกล้  “ทำลายนายให้ย่อยยับไปน่ะสิ”


วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดแล้วปัดมือของอีกฝ่ายออก  “ถ้าคิดจะทำลายฉันก็ไม่ควรไปยุ่งกับพวกโอเมก้านี่”


“ไม่ล่ะ  นี่เป็นความผิดของนายเลยนะ  งานวิจัยที่นายมอบให้ทั้งชีวิตให้  อุทิศทุกอย่างให้แก่โอเมก้าน่ะ  ไม่คิดเหรอว่ามันเหมาะสมที่จะใช้เป็นเครื่องมือทำลายนายให้สิ้นซาก”  อลิซาเบ็ธยิ้มเยือกเย็นขึ้น  “นายที่อยากให้พวกเขาเป็นอิสระจะเป็นยังไงนะหากสังคมไม่เข้าข้างและสนับสนุนให้ทำลายพวกเขา”


“มันไม่มีวันเกิดขึ้น  อลิซ”


“ไม่ล่ะ  อย่าลืมสิ  ว่ามันสามารถเป็นไปได้  สิ่งที่ฉันทำก็เหมือนการโยนไม้ขีดไฟลงไปบนน้ำมันเท่านั้นแหละ”  หญิงสาวทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปยืนคู่กับกิลเบิร์ต


“เพราะนายอยากช่วยพวกเขานั่นแหละ  อลิซถึงได้ทำแบบนี้  เหมือนยิงนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ  ที่พวกโอเมก้าต้องมาพลอยโดนไปด้วยก็เป็นเพราะนายนะ  วิล”  กิลเบิร์ตเอ่ยย้ำขึ้นก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับอลิซาเบ็ธทิ้งให้วิลเลี่ยมยืนนิ่งอยู่ที่ทางเดิน


ศาสตราจารย์หนุ่มมีสีหน้าเครียดจัด  เขารู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนร่วมมือกัน  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดแต่นี่ไม่ใช่เรื่องดี  ทั้งคู่ต่างมีความคิดมุ่งร้ายต่อโอเมก้าแล้วยังมีความสามารถ  เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นอุปสรรคที่รับมือยากที่สุด


“วิลเลี่ยม”  เสียงเรียกดังขึ้นทำให้วิลเลี่ยม  เมื่อหันไปมองก็พบเซ็ธเดินออกมาจากประตูด้วยสีหน้ากังวล  “คุณโอเคหรือเปล่า?”


“ฉันไม่เป็นไร”  เขาตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม  อีกฝ่ายหันไปมองทางที่พวกกิลเบิร์ตเดินไปด้วยสีหน้าระแวงก่อนจะบอกว่า  “คนพวกนั้น...น่ากลัว”


“นั่นสินะ”  วิลเลี่ยมเห็นด้วยโดยไม่ต้องคิด  เขาเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มก่อนจะถูกถามว่า  “พวกเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรคุณใช่ไหมครับ?”


“ไม่  ฉันสบายดี”  เขาขืนยิ้มให้อีกฝ่าย  ความกังวลใจที่ค่อยๆ  เกาะกุมจนอยากจะฝังมันไว้ข้างใน  แต่วิลเลี่ยมไม่ต้องการให้เซ็ธเห็นถึงความหวาดกลัวนั้น  “เรากลับกันเถอะ  เซ็ธ”


วิลเลี่ยมล่ำลาคนอื่นๆ  ที่พบเห็นตอนเดินออกจากงาน  เขาพาเด็กหนุ่มไปที่รถก่อนจะขับตรงไปยังบ้านที่เงียบสงบ  ความเหนื่อยล้าทั้งวันนี้ทำให้ไม่มีใครพูดอะไร


คืนนั้นวิลเลี่ยมขอให้เซ็ธกลับไปนอนอีกห้องหนึ่งก่อน  เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถหลับลงได้  ชายหนุ่มเปิดเครื่องโน้ตบุ๊กของตนเองแล้วเช็กข่าวในอินเทอร์เน็ต  มีคนเริ่มเล่นประเด็นที่อลิซาเบ็ธเป็นผู้เปิดแล้วและกระแสกำลังไหลไปเรื่อยๆ  ในโซเชียลมีเดียต่างๆ


ที่น่ากลัวอย่างร้ายแรงคือการเข้าข้างและสนับสนุนความคิดของอลิซาเบ็ธของสำนักข่าวบางแห่งที่มีอิทธิพล


แต่กระแสไม่ได้เอนหนักไปด้านการกำจัดโอเมก้าเพียงอย่างเดียว  วิลเลี่ยมได้รับอีเมลจากเพื่อนที่มีความคิดคล้ายๆ  กันถึงแนวทางแก้ไขปัญหา  แม้แต่ศาสตราจารย์ไอน์เบิร์กก็ส่งมาปรึกษากับเขา 


สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวายและจะเปลี่ยนเป็นความโกลาหลเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น  นี่คือคำคาดการณ์จากเหล่านักวิชาการที่เฝ้าติดตามเรื่องนี้


สรุปคืนนั้นวิลเลี่ยมก็ไม่ได้นอน  เขาวุ่นวายอยู่กับการตอบอีเมลนักวิจัยคนอื่นๆ  และตรวจดูสถานการณ์เกือบทุกนาทีจนเช้า  เขาลงมาชงกาแฟดื่มที่ห้องครัวพลางเปิดโทรทัศน์เพื่อดูข่าว


“ข่าวต่อไป  มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่าเราควรกำจัดโอเมก้าไปเพื่อสังคมที่น่าอยู่ขึ้นค่ะ...” 


สถานการณ์ข่าวตอนนี้ไม่ผิดจากที่เขาคาดการณ์เสียเท่าไร  ทุกช่องนำเสนอเรื่องที่อลิซาเบ็ธเสนอขึ้นในงานเมื่อคืน  มีทั้งรายงานข่าวธรรมดาและที่เอนเอียงไปทางเข้าข้าง  วิลเลี่ยมดูไปแล้วได้แต่นิ่งเงียบจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนไม่รู้ว่าเซ็ธตื่นมายืนอยู่ข้างๆ  ตั้งแต่เมื่อไร


“วิล”  กว่าที่เขาจะรู้ตัวก็เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเรียกขึ้น  เซ็ธมีสีหน้ากังวล  เด็กหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างๆ  ก่อนจะถามว่า  “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”


“ฉันกังวลนิดหน่อยน่ะ”  เขาตอบตามความจริง  เรื่องนี้เขากังวลจริงๆ  เพราะไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นแต่มันสามารถเกิดขึ้นได้จริง


“วิล”  เด็กหนุ่มเลื่อนมือมาจับเขาก่อนจะถามว่า  “มันจะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม”


วิลเลี่ยมหันไปมองอีกฝ่าย  เซ็ธมีสีหน้ากังวลและหวาดกลัว  เขากัดฟันแน่นข่มความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะคิดสิ่งที่ตัวเองจะทำได้แล้วบอกว่า  “ไม่ต้องห่วงนะ  ฉันจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้น”


“วิลเลี่ยม...”


“เฮ้!”  เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับที่กริ่งหน้าบ้านดังทำให้วิลเลี่ยมชะงักและรีบออกไปดู  เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบเอดิสันกับเลนเนอร์ยืนอยู่  อัลฟ่าหนุ่มมีสีหน้าเครียดจัดแล้วถามทันทีว่า  “นี่มันเรื่องอะไร”


“เข้ามาก่อนแล้วจะอธิบายให้ฟัง”  วิลเลี่ยมตอบอีกฝ่ายก่อนที่จะให้ทั้งสองคนเข้ามา  เลนเนอร์มีสีหน้าไม่ค่อยดีเห็นชัดว่าเป็นเพราะเรื่องข่าวในตอนนี้  ยิ่งอีกฝ่ายกำลังท้องก็ยิ่งกังวลง่ายขึ้นไปอีก


วิลเลี่ยมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน  เอดิสันรู้จักอลิซาเบ็ธอยู่แล้วจึงเข้าใจทันที  “เธอต้องการแก้แค้นนาย  และกิลเบิร์ตคงอาศัยจังหวะนี้เล่นงานนายด้วย”


“ถูกต้อง”  วิลเลี่ยมยอบรับเสียงเรียบ  เลนเนอร์ได้ฟังแบบนั้นจึงถามขึ้น  “นายไปทำอะไรไว้ให้พวกนั้นกัน”


“สำหรับกิลเบิร์ต  เราทะเลาะกันมานานแล้วอย่างที่นายเคยรู้นั่นแหละ  พ่อกับแม่รักฉันมากกว่าเขา  และเขาก็เกลียดโอเมก้ามากๆ  เราเคยทะเลาะกันเรื่องนี้และเขาก็เกลียดฉันเข้าไส้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”  วิลเลี่ยมอธิบายขึ้นสีหน้าเรียบเฉย  เรื่องระหว่างเขากับกิลเบิร์ต  แม้จะเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแต่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้เขาประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย


“ส่วนอลิซาเบ็ธเธอเป็นแฟนเก่าของฉันเอง  ก่อนหน้านี้พวกเราเคยทำวิจัยร่วมกันแต่ฉันพบว่าเธอทำผิดหลักมนุษยธรรมน่ะ  เอาโอเมก้าหรือเบต้ามาทดลองจนถึงแก่ชีวิตบ้าง  ฉันเลยขอเลิก  จริงๆ  อยากจะเล่นงานด้านกฎหมายกับอลิซแต่ตอนนั้นเธอหลบหนีไปจากสังคม  ไม่พบเจอใครเลย”


“แล้วตอนนี้เธอคนนั้นก็กลับมาพร้อมหายนะครั้งใหญ่...”  เอดิสันพึมพำขึ้นก่อนจะสบตากับวิลเลี่ยม  “กำจัดโอเมก้าเพื่อดูความพินาศของนาย”


“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ”  เลนเนอร์เอ่ยขึ้นเมื่อรับรู้เรื่องราว  “โอเมก้าไม่ใช่สิ่งของที่จะเอามาไว้ทำร้ายกันนะ”


“ขอโทษด้วยนะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิด  เขารู้ดีว่าที่อลิซาเบ็ธจ้องจะกำจัดพวกโอเมก้าให้หายไปขนาดนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขา  “แต่ฉันจะไม่มีวันยอมให้อลิซทำแบบนั้นเด็ดขาด”


“ฉันก็ด้วย”  เอดิสันเสริมขึ้น  ก่อนที่จะถามวิลเลี่ยมว่า  “แล้วผู้สนับสนุนนายว่ายังไงบ้างล่ะเกี่ยวกับเรื่องนี้”


“ฉันยังไม่ได้ติดต่อไปเลย...แต่คิดว่าเขาคงรู้ข่าวแล้ว”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้น  ก่อนที่เอดิสันจะถอนหายใจแล้วถามว่า  “ฉันถามจริงๆ  เถอะ  อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่”


วิลเลี่ยมเงียบไปอีกครั้ง  เขาลังเลที่จะบอก  แต่ในขณะนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มชะงัก  เมื่อเปิดไปก็พบชายในชุดบอดี้การ์ดยืนรออยู่


“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม”  อีกฝ่ายเอ่ยเรียกเขาก่อนจะหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งมาให้เขาแล้วบอกว่า  “ท่านผู้นั้นต้องการพบท่านขอรับ”


“เอ๊ะ?”  ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ  สัญลักษณ์บนบัตรเชิญนั้นเมื่อตรวจสอบให้แน่ใจแล้วก็เป็นของคนผู้นั้นอย่างแน่นอน  เขามองหน้าบอดี้การ์ดตรงหน้าแล้วถามย้ำว่า  “ให้ผมไปพบหรือครับ”


“ใช่ครับ  ทางเราเตรียมรถไว้แล้ว  ขอเชิญคุณเซ็ธ  คุณเอดิสัน  และคุณเลนเนอร์ด้วยครับ”  ชายคนนั้นบอกเขาแล้วผายมือเชิญออกไปข้างนอก  วิลเลี่ยมหันไปหาอีกสามคนที่เหลือซึ่งยังงุนงงกับเหตุการณ์ก่อนจะเอ่ยขึ้น 


“ไปกันเถอะ”


“ไปไหน?”  เอดิสันขมวดคิ้วถามขณะเดินเข้ามาใกล้  เขาจูงมือเลนเนอร์ไว้ไม่ให้ห่างไปไหน  ส่วนเซ็ธก็เดินไปหาวิลเลี่ยมด้วยท่าทีหวาดระแวงผู้ชายที่ยืนรออยู่ด้านนอก


“เดี๋ยวก็รู้น่า”  วิลเลี่ยมตอบพลางยกยิ้มขณะกุมมือของเซ็ธไว้  พาไปยังรถลีมูซีนที่จอดรอไว้อยู่  รอบๆ  เป็นชายในชุดสูทสีดำบ้าง  ชุดธรรมดาบ้าง  แต่เขาจำได้ดีว่าทั้งหมดเป็นบอดี้การ์ดที่คนคนนั้นจ้างมาดูแลเขา


ทั้งสี่นั่งอยู่ในรถพร้อมบอดี้การ์ดอีกสองคน  ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทำให้บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด  จนกระทั่งถึงที่หมาย  ประตูรถก็ถูกเปิดออก  วิลเลี่ยมก้าวลงมาคนแรกก่อนจะตามด้วยเอดิสัน


“โกหกน่า”  เอดิสันอุทานขึ้นด้วยความตะลึง  เบื้องหน้าของพวกเขาคือปราสาทหลังใหญ่ที่เป็นที่พำนักของราชวงศ์ของประเทศนี้  ผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตอนนี้คือพระราชินี  คนที่สามารถสั่งการให้พวกบอดี้การ์ดพาพวกเขามาที่นี่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำได้


“ขอเชิญทางนี้ครับ”  บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหน้าเชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน  นำไปยังห้องรับรองที่มีใครบางคนนั่งรออยู่


หญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้  แม้จะอายุมากแล้วแต่ท่วงท่ายังสง่างาม  รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้านั้น  ดวงตาสีเขียวเข้มมองพวกเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ  ใบหน้านั้นเอดิสันและเลนเนอร์จำได้เป็นอย่างดีจึงออกอาการตะลึงอย่างเด่นชัด


“เชิญทุกท่านนั่งลงก่อน”  เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส  วิลเลี่ยมเป็นคนแรกที่ทำความเคารพด้วยน้ำเสียงสุภาพ  “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท”


ทำให้พวกเขาต้องรีบสลัดอาการตกใจแล้วทำตาม


“ฮึๆ  ทำตัวตามปกติเถอะ  ฉันไม่ถือ”  องค์ราชินียกยิ้มกว้างขึ้น  เธอรอจนกระทั่งพวกเขานั่งลงบนโซฟาก่อนจะเริ่มเอ่ยขึ้นกับวิลเลี่ยม  “ไม่ได้พบกันนานเลยนะ  ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม”


“ครับ  เป็นเกียรติอีกครั้งที่ได้พูดคุยกับท่านเช่นนี้”  วิลเลี่ยมยกยิ้มตอบรับอีกฝ่าย  ไม่ต้องรอช้าก็รีบเข้าเรื่องทันที  “ท่านทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วใช่ไหมครับ”


“ใช่  น่าตกใจจริงๆ”  องค์ราชินีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เศร้าสลด  “ฉันไม่ต้องการเห็นการนองเลือดเกิดขึ้น”


“ผมจะไม่มีวันให้มันเกิดได้ครับ”  วิลเลี่ยมตั้งมั่นขึ้น  อีกฝ่ายยกยิ้มอย่างพอใจ  “ฉันเชื่อใจในตัวคุณ  วิลเลี่ยม”


องค์ราชินีกวาดสายตามองชายหนุ่มทั้งสี่คนก่อนจะบอกว่า  “และพวกคุณทุกคนด้วย  ต้องขออภัยที่เรียกมากะทันหัน  แต่ฉันอยากพบพวกคุณ  พวกคุณที่สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าได้”


เซ็ธมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเกร็งๆ  เขาไม่เคยอยู่ใกล้ราชวงศ์คนไหนมาก่อน  คิดมาตลอดว่าไม่มีวันได้พบด้วย  แต่กลับได้มาใกล้ชิดราชินีแบบนี้ย่อมกังวลเป็นพิเศษ


“เธอ”  และองค์ราชินีก็หันมาเรียกเซ็ธทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง  เขาหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่น  “คะ...ครับ?”


“มานี่สิ”  เธอเรียกเขาให้เข้าไปใกล้ทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองวิลเลี่ยมอย่างขอความช่วยเหลือ  อีกฝ่ายส่งสายตามาบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวลทำให้เซ็ธเดินเข้าไปนั่งบนพื้นข้างๆ  อีกฝ่าย  องค์ราชินียกมือขึ้นลูบหัวอย่างเอ็นดูก่อนจะบอกว่า  “ฉันได้ฟังเรื่องของเธอมาจากวิลเลี่ยมแล้ว  เธอสมกับเป็นก้าวสำคัญของโอเมก้าจริงๆ”


“ครับ?”


“และ...เธอกับฉันเหมือนกัน”  องค์ราชินีเอ่ยขึ้นขณะลูบใบหน้าของเด็กหนุ่ม  มองทอดเข้าไปในดวงตานั้นเช่นเดียวกับเซ็ธก่อนจะถามว่า  “เธอเห็นอะไรไหม”


“ไม่ครับ”  เซ็ธตอบพลางส่ายหน้า  อีกฝ่ายเลยหัวเราะเบาๆ  “แสดงว่าฉันจะอายุยืนมากสินะ  ฮะๆ  ดีจริงๆ”


เขาไม่เห็นอะไร  จากการวิเคราะห์ของวิลเลี่ยมและนักวิทยาศาสตร์บางคนคาดการณ์ไว้ว่าพลังของเขาจะสามารถมองเห็นเฉพาะเรื่องร้ายแรงอย่างอุบัติเหตุหรือการถูกฆ่าเท่านั้น


“แต่ฉันเห็น...”  องค์ราชินีเอ่ยขึ้นขณะจ้องมองมาที่ดวงตาของเขา  “เห็นรอยยิ้มของเธอ  เห็นเธอร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี  หลังจากผ่านความทุกข์ยากไปแล้วเธอจะพบเรื่องที่มีความสุข”


“เอ๊ะ?”  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความตะลึง  วิลเลี่ยมเลยบอกไว้ก่อนว่า  “องค์ราชินีสามารถมองเห็นอนาคตได้น่ะ”


“เพราะอย่างนั้นคุณถึงบอกว่าพวกเราเหมือนกันหรือครับ”  เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นทำให้หญิงสาวพยักหน้า  ก่อนที่เธอจะหันไปทางเลนเนอร์แล้วอวยพรว่า  “ต่อจากนี้คุณเองก็จะมีความสุขเช่นกัน  ที่ผ่านมาลำบากหน่อย  ขอให้ลูกของเธอออกมาแข็งแรงนะ”


“ขอบพระคุณมากครับ”  เลนเนอร์ยืดหลังตรงแล้วโค้งเคารพอีกฝ่ายทันที


“ฝ่าบาท  อาจจะดูเป็นการเสียมารยาทที่ถาม  แต่กระหม่อมอยากทราบว่าท่านเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ของวิลเลี่ยมใช่ไหมขอรับ”  เอดิสันเอ่ยถามขึ้นทำให้องค์ราชินีพยักหน้าก่อนจะตอบว่า  “ถูกต้องแล้ว  คุณเอดิสัน  ดิฉันก็ต้องขอขอบคุณคุณเช่นกันที่ให้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยมากมายขนาดนี้”


“หามิได้  กระหม่อมทำไปเพื่อให้ต่อจากอัลฟ่าและโอเมก้าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ”  เอดิสันตอบไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ


“ฉันเองก็ต้องการเช่นนั้น  อยากให้เหล่าโอเมก้าได้รับประโยชน์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน”  ราชินีเอ่ยขึ้นก่อนจะบอกว่า  “ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเรื่องราวในอนาคต  เห็นอัลฟ่ากับโอเมก้าที่อยู่ร่วมกันด้วยความรักแล้วจึงลองค้นหาอัลฟ่าคนนั้นดู  แล้วน่ายินดีเหลือเกินที่เขาก็คิดแบบเดียวกัน  ตั้งแต่นั้นมาฉันก็สนับสนุนเขา...ศาสตราจารย์วิลเลี่ยมมาโดยตลอด”


“คุณเห็นอนาคตของผมหรือครับ?”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้พบกับองค์ราชินีมาก่อนจึงแปลกใจที่อีกฝ่ายสามารถเห็นอนาคตเขาได้ทั้งที่ไม่รู้จักกัน


“ฉันสามารถเห็นอนาคตขอประเทศได้  เพียงแต่ในอนาคตตอนนั้นมีคุณเป็นตัวหลักจึงจำได้”  องค์ราชินีเฉลย  ก่อนที่จะบอกว่า  “อีกสองวันจะมีการนำวิจัยของคุณไปใช้ประชุมร่วมกับสภาและองค์กรอื่นๆ  เพื่อหารือในเรื่องของโอเมก้า”


“เอ๊ะ  อีกสองวันหรือครับ?”


“ใช่  อีกสองวันทางเราจะเริ่มร่างกฎหมายคุ้มครองโอเมก้าแล้ว”  องค์ราชินีเอ่ยขึ้นทำให้วิลเลี่ยมไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้ 


“น่ายินดีอะไรขนาดนี้”


“ต้องขอขอบคุณคุณ  ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม  ความพยายามของคุณสามารถโน้มน้าวคนในสภาได้หลายคนแล้ว”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม


หลังจากเสร็จสิ้นธุระกันแล้ว  องค์ราชินีก็มีรับสั่งให้บอดี้การ์ดพาทั้งสี่คนกลับไปส่งให้ถึงที่หมาย  ก่อนที่จะกลับก็อวยพรให้พวกเขาโชคดี 


“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม”  เธอเรียกวิลเลี่ยมไว้ก่อนที่จะกลับไป  “งานหลังจากนี้ของคุณไม่สามารถพึ่งพาแค่แรงคุณเพียงคนเดียวได้แล้ว”


“หมายความว่ายังไงหรือครับ”


“พึ่งพาคนอื่นซะ  ฉันคิดว่ามีอีกหลายคนที่พร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับคุณ”  องค์ราชินีเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะกลับเข้าไปในปราสาท  บอดี้การ์ดพาพวกเขาไปที่รถลีมูซีนแล้วไปส่งที่บ้าน


“น่าตกใจจริงๆ  ที่องค์ราชินีเป็นผู้ให้การสนับสนุนนาย”  เอดิสันเอ่ยขึ้นขณะอยู่บนหลัง  วิลเลี่ยมยกยิ้มก่อนที่จะบอกว่า  “ตอนแรกฉันก็ตกใจเหมือนกันที่เห็นเธอติดต่อมา  องค์ราชินีน่ะต้องการให้พวกโอเมก้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  แต่ด้วยความที่พระองค์ตัวคนเดียวไม่สามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้จึงมอบหมายให้ฉันหาหลักฐาน  หาแหล่งอ้างอิงมาให้รัฐสภาหรือคนอื่นๆ  สามารถยอมรับได้”


วิลเลี่ยมอธิบายให้ฟังถึงจุดประสงค์ครั้งแรกที่องค์ราชินีมอบหมายภารกิจนี้ให้เขา  “ตอนนี้สำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง  แต่ดูเหมือนว่าต้องแก้ไขปัญหาเรื่องอลิซาเบ็ธด้วย”


“นั่นสินะ”  เอดิสันเห็นด้วย  เพราะมีเรื่องอลิซาเบ็ธเสนอมาทำให้เสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย  ทั้งวิลเลี่ยมและอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะต้องทำให้เสียงทั้งหมดรวมกันมาที่ข้างของตัวเอง


“ผมเองก็จะช่วยด้วยนะครับ”  เซ็ธเอ่ยขึ้นด้วยความมุ่งมั่น  วิลเลี่ยมได้ยินดังนั้นจึงยกยิ้มทันที  “ได้แน่นอน  เพราะนายเป็นคนสำคัญนี่นา”


“ต่อจากนี้จะทำยังไงต่อ”  เลนเนอร์เอ่ยถามขึ้น  วิลเลี่ยมนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะบอกว่า  “ก็อย่างที่องค์ราชินีบอก   ต่อจากนี้ต้องยืมมือคนอื่น  ในเมื่อฝ่ายนู้นใช้นักข่าวโหมกระแส  เราก็ต้องทำด้วย”


“เอ๊ะ?”


“ต่อจากนี้จะให้เซ็ธได้เปิดตัวแล้วล่ะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ขณะที่หันมองเด็กหนุ่มด้วยความเชื่อใจ  “ฝากด้วยนะ  ฉันเองก็จะช่วยเหลือนายเต็มที่”

-TBC-
#ทีมปกป้องน้องเซ็ธค่ะ

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เกลียดพวกอคติ คนเราเลือกเกิดไม่ได้สักหน่อย

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 17
เปิดเผยตัวตน

เซ็ธนั่งตัวเกร็งตั้งแต่เช้า  แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุด  แต่เขาก็ไม่สามารถพักผ่อนตามอัธยาศัยได้  วิลเลี่ยมเชิญไมเคิลมาสัมภาษณ์เขา  และอีกฝ่ายก็กำลังเดินทางมา


“เซ็ธ  ใจเย็นๆ  ไม่ต้องเครียดขนาดนี้ก็ได้”  วิลเลี่ยมบอกพร้อมกับนั่งลงข้างๆ  เพื่อคลายความกังวลของเขา


บางครั้งเขาก็รู้สึกอิจฉาวิลเลี่ยมที่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนก็สามารถทำตัวสบายๆ  ได้  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครียดขนาดไหนก็สามารถฝ่าฟันมาได้


“วิล”  เซ็ธเอ่ยเรียกอีกฝ่ายทำให้วิลเลี่ยมหันมา  ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ถามอะไรเขาก็เอนตัวเข้าไปหาแล้วสวมกอดไว้


วิลเลี่ยมสะดุ้งเฮือกทันทีก่อนที่จะถามว่า “มะ...มีอะไรเหรอ  เซ็ธ”


“ผมกังวลนิดหน่อยเลยอยากทำอะไรให้สงบใจน่ะ”  เซ็ธตอบตามความจริง  บางครั้งแค่กอดก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วสำหรับเด็กหนุ่ม  แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้หรอกว่าอีกฝ่ายดันไม่สงบใจตามไปด้วย


“เซ็ธ...”  วิลเลี่ยมเรียกชื่อของเขาเสียงเบาอย่างตะลึงปนตื้นตัน  ก่อนจะยกมือขึ้นช้อนใบหน้าของเซ็ธขึ้นมา  แต่ก่อนที่จะได้โน้มหน้าเข้าไปใกล้  เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของไมเคิล


“ให้ตายสิ”  วิลเลี่ยมพึมพำขึ้นอย่างหมดอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย  ไมเคิลกล่าวทักทายตามปกติแล้วเข้ามาด้านในตามคำเชิญของวิลเลี่ยม  ก่อนที่จะหันมาทักทายเซ็ธ


“สวัสดีเซ็ธ  ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ  เป็นยังไงบ้าง”


“ก็เรื่อยๆ  ครับ  มิเกลไม่ได้มาด้วยหรือครับ?”  เด็กหนุ่มตอบไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะถามกลับ  อีกฝ่ายเลยบอกว่า


“เธอไม่มายุ่งเรื่องงานของฉันหรอก” 


“ถ้างั้นก็เริ่มกันเลยไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  ไมเคิลจึงพยักหน้าแล้วหยิบอุปกรณ์สำหรับทำข่าวออกมาขณะที่พูดไปด้วย


“ผู้บริหารของผมสนใจการทำสกู๊ปพิเศษครั้งนี้มาก  ท่านย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้พลาด  ผมเลยต้องเตรียมตัวอยู่หลายวันทีเดียว  แต่ไม่ต้องกังวลนะเซ็ธ  ตอบตามความเป็นจริงก็พอ”


“ครับ”  เด็กหนุ่มพยักหน้าให้เขาก่อนที่การสัมภาษณ์จะเริ่มขึ้น  ไมเคิลเริ่มถามเรื่องการเรียนก่อนเพราะเป็นประเด็นที่คนภายนอกสนใจในขณะนี้  ก่อนที่จะถามเรื่องการใช้ชีวิตอยู่  และลงในเรื่องอดีตเล็กน้อย  ส่วนหลังนั้นได้ขออนุญาตวิลเลี่ยมก่อนแล้วและก่อนที่จะถามก็ได้ถามความเห็นของเซ็ธว่าจะพูดได้ไหม


การสัมภาษณ์ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงทุกอย่างก็เรียบร้อย  ไมเคิลเป็นนักข่าวและนักเขียนของสำนักพิมพ์เท่านั้นจึงไม่ได้มีกล้องคุณภาพดีส่วนตัวแต่ก็ได้ถามวิลเลี่ยมกับเซ็ธว่า  “ครั้งหน้าผมขอพาทีมงานมาบันทึกวิดีโอพวกคุณได้ไหม”


“สัมภาษณ์น่ะเหรอ?”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  ไมเคิลพยักหน้าตอบว่าใช่ทำให้ศาสตราจารย์หนุ่มนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะบอกว่า  “ได้สิ  ช่วงนี้ฉันต้องการให้สื่อนำเสนอภาพลักษณ์ดีๆ  ของโอเมก้าบ้าง”


“ถ้างั้นคุณกับเซ็ธจะว่างวันไหนบ้างหรือครับ?”


“เซ็ธไปเรียนจันทร์ถึงศุกร์  ส่วนผมช่วงอาทิตย์ต่อจากนี้จะไม่ว่างเลยเพราะมีคนติดต่อให้ไปช่วยทำสารคดีเกี่ยวกับพวกโอเมก้าด้วย  ฉะนั้นคงเป็นอีกสองอาทิตย์หน้า”  วิลเลี่ยมบอกกับอีกฝ่าย  ไมเคิลจึงหยิบสมุดขึ้นมาจดไว้


“งั้นผมจะติดต่อมาถามอีกทีนะ  จริงสิ...”  นักข่าวหนุ่มหันไปมองทางเซ็ธก่อนจะหันกลับมาทางวิลเลี่ยม  “เรื่องพลังจิตของเขา  คุณจะบอกสื่อไหม”


“ฉันกลัวว่ามันจะวุ่นวายจัง”  ศาสตราจารย์หนุ่มพึมพำพลางขืนยิ้ม  ก่อนที่จะหันไปบอกทางเซ็ธ  “ก็แล้วแต่ว่าเซ็ธจะพร้อมเมื่อไร”


“ผมหรือครับ?”  เซ็ธเลิกคิ้วชี้มาที่ตัวเองด้วยความสงสัย  ก่อนที่จะบอกว่า  “ถ้ามันจำเป็น  คุณก็บอกไปเลยก็ได้”


“บอกปากเปล่าไปก็ไม่ค่อยช่วยอะไรหรอก  มันต้องพิสูจน์”  ไมเคิลเอ่ยขึ้น


“แต่ถ้าให้พิสูจน์มันจะนานหรือเปล่าครับ”  เซ็ธพึมพำขึ้น  พลังของเขาสามารถมองเห็นอนาคตที่เป็นเรื่องร้ายๆ  เกี่ยวกับอุบัติเหตุซึ่งไม่ได้มีบ่อยๆ


“มีอีกวิธีที่จะพิสูจน์ได้อยู่นะ  ไหนๆ  ก็ไหนๆ  ไมเคิลก็มาด้วยกันเลย  จะได้ทำข่าวไปด้วย”  วิลเลี่ยมบอกกับพวกเขาเมื่อนึกขึ้นได้  เขาพาเซ็ธและไมเคิลขับรถออกไปยังอาคารแห่งหนึ่งซึ่งนักข่าวหนุ่มคุ้นดี


สำนักงานตรวจตราพลเมือง  เป็นอาคารสำเร็จรูปที่อยู่ใจกลางเมือง  หน้าที่ของสำนักงานนี้คือการตรวจหาคลื่นพลังจิตในตัวคนและออกบัตรเพื่อใช้ในการตรวจสอบ  ทุกคนที่มีพลังจิตหรือก็คืออัลฟ่าต้องมาที่นี่ทุกคน  รวมทั้งเบต้าที่ต้องการค้นหาว่ามีทักษะใดพิเศษออกมา


“ที่นี่น่ะมีเครื่องตรวจวัดพลังจิตอยู่  ถ้านายมีพลังจิตก็จะสามารถรู้ได้เลยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์”  วิลเลี่ยมอธิบายกับเซ็ธก่อนที่จะพาเข้าไปข้างใน  ผู้คนที่ทำงานอยู่ในนั้นต่างแปลกใจที่เห็นโอเมก้าเข้ามา


“คุณสุภาพบุรุษมีอะไรให้กระผมช่วยไหมครับ?”  ชายวัยกลางคนในชุดสูทเดินเข้ามาถามวิลเลี่ยมอย่างสุภาพ  เจ้าตัวจึงยกยิ้มแล้วหันไปทางเซ็ธ  “ผมอยากให้คุณช่วยออกบัตรผู้มีพลังจิตให้เขาหน่อย”


“ขอประทานอภัยครับ  แต่บัตรนั้นออกให้ได้เฉพาะกับผู้มีพลังจิตเท่านั้น”  ชายต้อนรับคนนั้นบอกทำให้วิลเลี่ยมยิ้มขำ 


“ตามปกติต้องตรวจก่อนไม่ใช่หรือครับ  ลองตรวจเขาดูก่อนสิ”


“ถ้าคุณต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้ครับ”  พนักงานต้อนรับโค้งให้เขาก่อนจะผายมือเดินนำไปยังส่วนลงทะเบียนและกรอกประวัติ  พนักงานสาวที่ประจำอยู่มองเซ็ธด้วยแววตาประหลาดใจ


“ที่นี่ไม่ใช่ที่ทำบัตรของพวกโอเมก้านะคะ”


“ทราบครับ  แต่ถ้าจะมาลงทะเบียนประวัติผู้มีพลังจิตก็ต้องที่นี่ไม่ใช่หรือครับ”  วิลเลี่ยมแย้งกลับไปด้วยรอยยิ้ม  “ผมจะให้เขาลงทะเบียนที่นี่ครับ”


พนักงานสาวขมวดคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจก่อนที่จะบอกว่า  “โอเมก้าไม่มีพลังจิตนะคะ”


“ให้เขาลองดูเดี๋ยวก็รู้ครับ”  วิลเลี่ยมยังคงยืนยันด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ  ในที่สุดพนักงานสาวก็เป็นฝ่ายยอมแพ้และยอมให้เซ็ธกรอกเอกสารแม้จะหงุดหงิดเล็กน้อย  หลังจากทำเอกสารด้านหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้วศาสตราจารย์หนุ่มก็พาเซ็ธเข้าไปข้างในซึ่งเป็นส่วนของการทดลองและค้นหาพลังจิต


ผู้ดูแลข้างในตื่นตะลึงเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้เซ็ธใช้เครื่องทดสอบแต่โดยดี  การตรวจสอบใช้เวลารวมแล้วสามสิบนาทีก็ทราบผลอย่างละเอียดทำให้พวกผู้ดูแลตาค้าง


“เหลือเชื่อ  เป็นไปได้ยังไง”  หัวหน้าผู้ดูแลที่ถูกเรียกมาเพราะทีแรกนึกว่าเครื่องมีปัญหาพึมพำขึ้นก่อนจะหันมาทางเซ็ธ  “นายเป็นโอเมก้าจริงๆ  เหรอ?”


“คะ...ครับ”  เซ็ธตอบไปด้วยความตกใจ  อีกฝ่ายยิ่งตะลึงหนักก่อนจะหันมาทางวิลเลี่ยมแล้วถามด้วยความสับสน


“นี่มันหมายความว่ายังไงกันครับ”


“ก็อยากที่เห็นครับ  เขาเป็นโอเมก้าที่พิเศษกว่าคนอื่น”  วิลเลี่ยมตอบไปตามความจริง  ก่อนที่จะหันไปทางไมเคิล  “ได้หลักฐานทำข่าวพอเหลือยัง”


“ถ้าได้บัตรแล้วก็ถือว่าสมบูรณ์แล้วครับ”  อีกฝ่ายตอบขณะที่มือก็ยังจดข้อมูลในสมุดอยู่


“ถ้ายังงั้นก็รบกวนขอบัตรด้วยครับ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นทำให้หัวหน้าผู้ดูแลได้สติและสั่งให้ออกบัตรทันทีแล้วนำมาสั่งให้ถึงมือศาสตราจารย์หนุ่ม  “คุณได้ดัดแปลงพันธุกรรมเขาหรือเปล่า”


“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะครับ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้ม  อีกฝ่ายยังคงเต็มไปด้วยความสับสนแต่ก็ได้หลุดคำพูดบางอย่างออกมาที่แสดงถึงความโล่งใจ


“แบบนี้ความเหลื่อมล้ำของสังคมก็จะลดลงใช่ไหมครับ”


“เป็นไปได้ครับ”  เขาตอบก่อนที่จะขอตัวพาเซ็ธกลับไปพร้อมกับไมเคิล  นักข่าวหนุ่มเร่งตัวเองกลับไปที่สำนักพิมพ์เพื่อนำข่าวต่างๆ  ไปลง  ขณะที่เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาขณะที่อยู่ในรถ


“เหนื่อยเหรอ?”  วิลเลี่ยมถามขึ้นขณะเห็นอีกฝ่ายเอนตัวลงพิงเบาะเพื่อพักผ่อน  เซ็ธลืมตาขึ้นมาก่อนจะตอบรับว่า  “ครับ  อยากพักนิดหน่อย”


“วันนี้นายทำได้ดีมากนะ”  ชายหนุ่มกล่าวชมอีกฝ่ายแต่เซ็ธผล็อยหลับไปแล้ว  เขาขับตามถนนไปเงียบๆ  จนกระทั่งถึงบ้าน  เด็กหนุ่มก็ตื่นขึ้นและลงจากรถทันที


พวกเขาทั้งสองคนช่วยกันทำอาหารเย็นเพราะเซ็ธอยากเรียนรู้การทำอาหาร  ก่อนที่จะกินข้าวด้วยกันและเป็นเวลาดูข่าวช่วงค่ำ


ข่าวแรกที่เปิดมาคือกลุ่มอัลฟ่าที่ทำร้ายโอเมก้า  และเมื่อตำรวจสืบทราบดูก็พบว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนความคิดของอลิซาเบ็ธ  จากนั้นนักข่าวก็ประกาศเตือนให้ระวังสถานการณ์ความวุ่นวายในช่วงนี้


ก่อนที่หัวข้อจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่อง  ทางฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพระราชินีเผยแผนความร่วมมือเพื่อร่างกฎหมายคุ้มครองโอเมก้าแล้ว  ทั้งนี้รายละเอียดจะมีการเผยแพร่ในช่วงสิ้นเดือนนี้สร้างความโล่งใจให้เซ็ธกับวิลเลี่ยมไม่น้อย


หนำซ้ำยังมีข่าวดีสำหรับฝั่งวิลเลี่ยมที่สนับสนุนโอเมก้า  องค์กรสิทธิมนุษยชนเริ่มเคลื่อนไหวและติเตียนความคิดการกำจัดโอเมก้าที่เปรียบเสมือนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์


ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าสังคมแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน  แต่เป็นที่แน่นอนว่ารัฐบาลและประเทศไม่สนับสนุนการกำจัดโอเมก้าในตอนนี้  วิลเลี่ยมได้แต่ภาวนาว่าให้พวกเขาไม่เปลี่ยนใจและไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น


คืนนั้นหลังจากที่เข้ามาในห้องนอนแล้วเขารายงานต่อองค์ราชินีว่าได้พาเซ็ธไปลงทะเบียนผู้มีพลังจิตมาแล้ว  และพรุ่งนี้จะมีข่าวลง


การเปิดเผยเรื่องนี้ของเซ็ธจะทำให้กำแพงความคิดแบ่งแยกของอัลฟ่าบางลง  เพราะที่ผ่านมาอัลฟ่าส่วนใหญ่ยึดถือทัศนคติที่ว่าโอเมก้าเป็นพวกอ่อนแอไม่มีพลังจิต  แต่ตอนนี้ก็ถือได้ว่าความคิดนั้นใช้ไม่ได้เสมอไปแล้ว


“เซ็ธ”  วิลเลี่ยมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายไว้หลังจากที่เซ็ธออกมาจากห้องน้ำและมานั่งอยู่บนเตียง  เขาตัดสินใจบอกไปว่า  “ต่อจากนี้นายก็ต้องระวังตัวมากขึ้นนะ”


“ครับ?”


“พลังของนายใช่ว่าจะเจอกันบ่อยๆ  ที่ฉันรู้ก็มีแค่นาย  องค์ราชินี  และอลิซาเบ็ธเท่านั้นที่มีพลังแบบนี้  แล้วการที่มองเห็นภาพอุบัติเหตุได้มันทำให้รอดพ้นความตาย  อาจจะมีคนที่ต้องการประโยชน์ส่วนนี้จากนายก็ได้  ระวังตัวไว้ด้วย”


“ครับ  ผมจะระวัง”  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนที่จะนั่งเงียบ  ช่วงนี้วิลเลี่ยมแทบไม่ได้พักผ่อนเพราะต้องพยายามดันข่าวการสนับสนุนและเสนอข้อมูลให้แก่นักข่าวเรื่อยๆ  จนเซ็ธเป็นห่วงสุขภาพแทน  อีกอย่างหนึ่งเขาเห็นอีกฝ่ายเหนื่อยขนาดนั้นก็อยากจะตอบแทนอะไรบ้าง


ทั้งๆ  ที่ตกลงคบกันแล้วแต่เซ็ธก็คิดว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของคนรักสักที


เขาเคยถามเพื่อนที่โรงเรียนถึงเรื่องนี้ว่าต้องทำยังไงถึงจะเป็นคนรักที่ดีได้  และอีกฝ่ายก็ตอบมาเพราะเห็นเขาเป็นโอเมก้า


ตอนที่ปรึกษาเลนเนอร์ก็ถูกบอกว่าให้พร้อมก่อนแล้วค่อยถาม


ตอนนี้เด็กหนุ่มคิดว่าพร้อม  แต่ก็ไม่ได้กล้าพูดออกมาทันที


“เซ็ธ”  อีกฝ่ายเอ่ยเรียกเข้าขึ้นทำให้เซ็ธตื่นจากภวังค์  “หน้าฉันมีอะไรติดเหรอ?  จ้องกันแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”


คำถามของวิลเลี่ยมทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง  เขาสูดลมหายใจเข้าก่อนที่จะถามด้วยใบหน้าที่เริ่มขึ้นสี  “วิล...อยาก...มีเซ็กส์หรือเปล่า”


ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  คนถูกถามนั่งอึ้งอยู่แบบนั้น  ขณะที่สมองยังประมวลผลไม่ทันวิลเลี่ยมก็เก็บของทำงานลงไปจากเตียงแล้วหันมาถามย้ำ 

“เมื่อกี้นาย...ว่ายังไงนะ  เซ็ธ”


“คุณ...อยากมีเซ็กส์หรือเปล่า”  เซ็ธถามขึ้นอีกครั้งทั้งๆ  ที่หน้ายังไม่หายแดง  เมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วก็อธิบายว่า  “กะ...ก็ผมได้ยินมา...ว่าเซ็กส์บรรเทาความเครียดได้  ช่วงนี้เห็นคุณดูวุ่นวายกับอะไรหลายๆ  อย่างด้วย  ก็เลย...อยากจะตอบแทน”


จริงๆ  ก็ไม่ได้เครียดอะไรเท่าไรหรอก... 


“อืม  ช่วงนี้เครียดมากๆ  เลย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขัดกับความจริง  ตัวเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะทิ้งโอกาสไปง่ายๆ  การที่เซ็ธกล้าพูดอะไรแบบนี้ก็แสดงว่าเตรียมใจมาแล้วส่วนหนึ่ง


“ถ้าฉันพูดว่าอยากล่ะ”  เขาลองถามอีกฝ่ายขึ้น  เซ็ธรวบรวมความกล้าก่อนที่จะยื่นมือออกมาทั้งที่ก้มหน้านิ่ง  แล้วเอ่ยเสียงสั่นออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ


“งะ...งั้นก็ทำเลยครับ”


“หึๆ”  วิลเลี่ยมมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูก่อนจะช้อนมือนั้นเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตลงที่หลังมือ  เขาใช้แขนอีกข้างคว้าเด็กหนุ่มเข้ามากอดก่อนจะถามย้ำ  “แน่ใจนะ  ถ้าเกิดทำขึ้นมาฉันจะไม่ถอยแล้วนะ”


“ครับ  ผมแน่ใจ”  เซ็ธตอบขึ้นเสียงเบาโหวง  เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากรับรู้ความรู้สึกของกันและกันก็ได้แต่คิดถึงอีกฝ่าย  ร่างกายต้องการเพียงแค่อัลฟ่าคนนี้เท่านั้น


“เด็กดี...”  วิลเลี่ยมกระซิบบอกเขาก่อนจะมอบจูบอันหวานล้ำให้อีกครั้ง  เซ็ธตอบรับมันเป็นอย่างดี  พวกเขาจูบกันนานกว่าครั้งก่อนๆ  ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนริมฝีปากออกเมื่อคิดว่าเซ็ธไม่ไหว


วิลเลี่ยมโน้มตัวอีกฝ่ายลงนอนกับเตียงกว้าง  มอบจูบให้อีกครั้งขณะปลดกระดุมเสื้อนอนของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็ว  รวมไปถึงกางเกงที่เขาคิดว่าเกะกะก็ถอดออกไปหมด


ร่างกายที่ไร้สิ่งปกปิดแล้วยิ่งชวนให้เขาลุ่มหลงมากขึ้น  แต่แผลเป็นที่อยู่บนร่างกายของอีกฝ่ายทำให้เซ็ธไม่มั่นใจขึ้นมา  วิลเลี่ยมจึงก้มลงจูบบนรอยแผลเป็นพวกนั้น  ทั้งที่เกิดจากครอบครัวหรือจากที่โรงเรียนเก่า  เขาไม่ต้องการให้มีอะไรมาทำให้เด็กน้อยของเขากลัวได้อีกต่อไป


วิลเลี่ยมจูบแผลพวกนั้นอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเลื่อนลงมาต่ำถึงส่วนที่ตื่นตัวอยู่ด้วยแรงขับดันทางเพศของเด็กหนุ่ม


“วิลอย่า  มัน...ฮึก...สกปรก”  เซ็ธพยายามร้องห้ามเมื่อเห็นว่าวิลเลี่ยมจะทำอะไรและสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ได้ถึงความชื้นแฉะของโพรงปากที่ครอบส่วนนั้นของเขาไว้  ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงร้องห้ามเพราะความเขินอายของอีกฝ่ายและใช้ลิ้นช่วยทำให้รู้สึกดี  ร่างกายของเด็กหนุ่มบิดเร้าด้วยความเสียวซ่าน  มือทั้งสองจิกผ้าปูเตียงแน่นก่อนที่จะเสร็จอย่างง่ายดาย


วิลเลี่ยมถอนริมฝีปากออก  กลืนน้ำรักของอีกฝ่ายลงไปก่อนที่เซ็ธจะได้ร้องห้ามอะไร  แล้วเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักหัวเตียงออกมา  ถุงยางกับเจลหล่อลื่นที่เคยหน้ามืดซื้อมา  ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว


ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะดำเนินการขั้นต่อไป  เขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกก่อนจะใส่ถุงยางแล้วยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้น  ชโลมเจลตรงช่องทางด้านหลังขณะบอกว่า  “เพราะนายไม่ได้อยู่ในช่วงฮีทก็เลยต้องใช้เจลช่วยหน่อยนะ”


“ไม่ต้องกลัวนะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเพื่อปลอบใจอีกฝ่ายเมื่อเห็นเซ็ธหลับตาแน่น  เขาใช้นิ้วสอดเข้าไปด้านในตัวอีกฝ่ายเพื่อเตรียมพร้อม  เด็กหนุ่มหลุดครางออกมาทันทีก่อนที่เจ้าตัวจะรีบใช้มือปิดปาก  ชายหนุ่มเริ่มขยับนิ้วทำให้อีกฝ่ายบิดเร้าตามการเข้าออกของเขา


ร่างกายของเซ็ธส่งกลิ่นหอมมากขึ้นเรื่อยๆ  ยั่วยวนให้เขาไม่มีสติ  ทั้งๆ  ที่วิลเลี่ยมตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายพร้อมเสียก่อนแล้วค่อยเข้าไปเพราะไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มมีประสบการณ์ครั้งแรกที่ไม่ดี


หลังจากเพิ่มนิ้วเป็นสองจนคิดว่าพร้อมแล้ว  วิลเลี่ยมก็ถอนมือออกแล้วยกสะโพกอีกฝ่ายขึ้นให้พอดีแล้วสอดของตนเข้าไปแทนในช่องทางด้านหลังนั้น  เซ็ธเกร็งตัวทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่ว  สองมือที่กอดชายหนุ่มไว้จิกเกร็งแผ่นหลังกว้างทันที


“อย่าเกร็ง  มันจะไม่เป็นไร”  วิลเลี่ยมกระซิบบอกกับเขา  “เจ็บมากไหม”


“อื้ม...”  เด็กหนุ่มตอบในลำคอก่อนจะบอกกับเขาว่า  “แต่ถ้าเป็นคุณ...ไม่เป็นไร”


คำตอบนั้นทำให้วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้น  เขาจูบลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนที่จะเริ่มขยับ  ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งตัวแต่ยังกลั้นเสียงร้องไว้


“ไม่ต้องเกร็งสิ”  เสียงนุ่มทุ้มราวกับเป็นมนตร์สะกดให้เด็กหนุ่มทำตาม  ขณะที่ขยับกายให้ส่วนนั้นเข้าออกช่องทางด้านหลัง  สองมือเรียวยาวของวิลเลี่ยมก็เอื้อมมาจับใบหน้าของเซ็ธไว้  เขาอยากให้เซ็ธมองใบหน้าของตัวเขาเองไว้  ให้นึกถึงได้เพียงแค่เขาเท่านั้น  ก่อนที่จะเลื่อนไปแตะที่ริมฝีปาก  “ไม่ต้องเก็บไว้หรอก  อยากร้องออกมาก็ร้องเลย”


พร้อมกันนั้นวิลเลี่ยมก็เริ่มเร็วขึ้น  เซ็ธไม่อาจสะกดกลั้นเสียงของตัวเองได้จึงหลุดเสียงครางหวานออกมาเจือปนกับเสียงหอบหายใจของอีกฝ่าย


วิลเลี่ยมนั้นแม้ในใจอยากจะอ่อนโยนมากกว่านี้  แต่เมื่อได้กลิ่นของเซ็ธแล้วกลับไม่สามารถควบคุมร่างกายได้  อยากจะครอบครองร่างกายนี้ไว้เพียงคนเดียว  อยากให้เซ็ธคิดถึงเพียงเขา  และไม่ลืมเซ็กส์ในครั้งนี้


“รู้สึกยังไงบ้าง”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้น  เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างใต้ครางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกเสียงสั่น  “ผม...อึก  รู้สึกดี  อ๊า  วิล...”


เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว  เมื่อได้ยินเช่นนั้นวิลเลี่ยมก็เริ่มขยับเข้าออกเร็วขึ้นอีก


“เซ็ธ...ฉันรักนาย  รักมาตลอด”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปนหอบ  เซ็ธที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบรับความรู้สึกนั้นทันที  “ผมก็...รักคุณ  วิล  รักคุณ”


คำพูดนั้นราวกับก้อนหินที่ผูกมัดตัวเขาให้จมดิ่งลงไปในทะเลแห่งตัณหา  วิลเลี่ยมยกสะโพกอีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าลึกกว่าจุดเดิมอีก  ร่างกายของเซ็ธกระตุกเฮือกเมื่อถูกสัมผัสจุดอ่อนไหว  พอรู้ตำแหน่งแล้วเขาจึงขยับเข้าออกย้ำที่จุดนั้นทำให้เด็กหนุ่มหลุดเสียงครางออกมาอีกครั้ง  เอวแอ่นเร้าด้วยความเสียวซ่าน


วิลเลี่ยมมองลำคอที่มีปลอกคอขวางอยู่  แม้ว่ามันจะมีชื่อของเขาสลักไว้  แต่ชายหนุ่มต้องการมากกว่าตีตราจองแค่ที่ปลอกคอ  อยากจะกัดลงไปเพื่อประกาศให้รู้ว่าเซ็ธเป็นของเขา  แค่ของเขาคนเดียวเท่านั้น  แต่ตอนนี้ย่อมทำไม่ได้


เขากัดฟันกรอดก่อนที่จะเปลี่ยนตำแหน่ง  วิลเลี่ยมโน้มหน้าลงไปใกล้อีกฝ่ายขณะที่เน้นจังหวะช่วงล่างให้รุนแรงตามอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุและขบหูของอีกฝ่าย


ร่างของเซ็ธสะท้านทันทีเมื่อถูกสัมผัสที่หูซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวของเขาพร้อมครางลั่น  ขณะที่ด้านล่างทั้งเขาและวิลเลี่ยมก็ปลดปล่อยน้ำรักออกมาพร้อมๆ  กัน  หลังจากที่อัลฟ่าหนุ่มถอนเอาท่อนเนื้อร้อนออก  เด็กหนุ่มหอบหายใจหนัก  ใบหน้าแดงก่ำและดวงตาหวานเยิ้มนั้นทำให้ไฟราคะในตัวของอัลฟ่าหนุ่มไม่ยอมจบลง


แต่เขาต้องถนอมเซ็ธไว้


“เก่งมาก  เด็กดี”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้มก่อนที่จะก้มลงไปมอบจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย  ก่อนจะบอกย้ำอีกว่า  “ฉันรักนายนะเซ็ธ”


“ผมก็รักคุณ”  เด็กหนุ่มตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มชวนให้หลงใหลมากกว่าเดิม  วิลเลี่ยมมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความสุขที่ยากจะลืมเลือน


เซ็ธผล็อยหลับไปหลังจากกิจกรรมรักเสร็จสิ้นลงด้วยความเหนื่อยล้า  วิลเลี่ยมนอนกอดอีกฝ่ายไว้ขณะที่ในใจก็คิดถึงความสัมพันธ์ต่อจากนี้


หากมีความสุขเช่นนี้ไปตลอด  ไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้นก็คงจะดี...

...

ไกลออกไป  โทรทัศน์ในร้านคาเฟ่กำลังรายงานการวิจัยของวิลเลี่ยมซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างดี  กิลเบิร์ตเปิดโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นดูข้อความที่ส่งเข้ามา  คำสั่งออกมาแล้ว...ชายหนุ่มยกยิ้มเย็นขึ้นก่อนที่จะเดินออกไปที่รถ  ขับออกไปบนถนนที่ยังพลุกพล่านอยู่
“วิลเลี่ยม  นายจะไปได้สักกี่น้ำกันนะ”

-----
#พี่วิลน้องเซ็ธ
จริงๆ วิลก็หมาป่าห่มหนังแกะจริงๆ แต่เป็นแบบรอเหยื่อพร้อมแล้วค่อยตะครุบกิน (ฮา) ติดตามตอนต่อไปกันได้นะคะ

ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่ 18 การปะทะกันอีกครั้ง

วิลเลี่ยมรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝัน  เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบร่างเปลือยเปล่าเหลือแต่ปลอกคอของเด็กหนุ่มนอนอิงแอบแนบชิดอยู่ข้างๆ  เป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนเขาได้ทำไปแล้วจริงๆ  ทำให้เผลอหลุดยิ้มออกมา


ชายหนุ่มไม่ได้ลุกจากเตียงไปทันทีแบบที่ทำอยู่ทุกวัน  เขานอนมองหน้าอีกฝ่ายอยู่แบบนั้นด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี  เซ็ธเข้ามานอนซุกใกล้ๆ  ตัวเขาเพื่อหาความอบอุ่นทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น  เหมือนว่าตรงส่วนนั้นของเขาจะเริ่มตื่นตัวขึ้นอีกจนเขาต้องหาวิธีมาสงบอาการ


“วิล...”  เซ็ธลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย  หลังจากเห็นวิลเลี่ยมนอนอยู่ข้างๆ  ก็ทักขึ้นแล้วหลับต่อ  อีกฝ่ายเห็นแบบนั้นเลยหัวเราะขึ้นแล้วบอกว่า


“อรุณสวัสดิ์เซ็ธ  เช้าแล้วนะ  ตื่นได้แล้ว”  ปฏิกิริยาตอบรับของเซ็ธคือการพลิกตัวไปอีกข้างทำให้เขาอดถอนหายใจออกมาไม่ได้


“ตื่นได้แล้ว  วันนี้นายมีเรียนไม่ใช่เหรอ”  คราวนี้ได้ผล  เซ็ธลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินงัวเงียเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเริ่มกิจวัตรประจำวัน  ก่อนจะลงไปรอวิลเลี่ยมที่ใช้ห้องน้ำต่อ


ระหว่างที่รอวิลเลี่ยม  เซ็ธก็เริ่มทำอาหารเช้าง่ายๆ  ที่เขาฝึกมา  ตอนที่ศาสตราจารย์หนุ่มเดินลงมานั้นก็แทบจะร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มแล้วสวมกอดเขาอย่างแนบแน่น


วิลเลี่ยมไปส่งเซ็ธถึงหน้าประตูโรงเรียน  นักข่าวที่ดักรออยู่รีบเข้ามาสัมภาษณ์ทันทีทำให้เด็กหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวระแวงขึ้นมา


วิลเลี่ยมเองก็รู้ดีว่าเซ็ธยังไม่พร้อมเลยให้เด็กหนุ่มเข้าไปโรงเรียนก่อน  ส่วนตัวเองก็รับหน้าพวกนักข่าวไว้  ทีแรกเขาคิดว่าจะถูกถามเรื่องประเด็นการคุ้มครองโอเมก้าแต่กลับกลายเป็นว่านักข่าวถามความสัมพันธ์ของเขาเสียอย่างนั้น


“คุณกับโอเมก้าคนนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือคะ?”  นักข่าวสาวถามขึ้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เรื่องการเปิดเผยความสัมพันธ์นี้เขาก็คิดหนักอยู่  แม้องค์ราชินีจะบอกว่าไม่มีปัญหาแต่ก็ไม่อยากให้เซ็ธต้องตกเป็นเป้านินทา  ฉะนั้นเขาก็ต้องคิดหาคำตอบมารองรับอีก


เขายกยิ้มให้พวกนักข่าวก่อนจะยอมบอกว่า  “เราคบกันอยู่ครับ”


พวกนักข่าวส่งเสียงฮือฮาขึ้นก่อนที่คำถามอื่นๆ  จะตามมา  “พวกคุณคบกันมานานเท่าไรแล้วหรือคะ”


“เราเพิ่งคบกันจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ครับ”


“แต่มีรายงานว่าคุณกับเขาอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้วนี่ครับ”


“ใช่ครับ  แต่ก่อนหน้านี้ผมอยู่ในฐานะผู้ดูแลเขาและเขาเองก่อนหน้านี้ก็ไม่พร้อมเรื่องความรักด้วยครับ”  วิลเลี่ยมตอบไปตามความจริง  ก่อนที่นักข่าวจะถามขึ้นอีก


“นี่เป็นเหตุผลให้คุณทำวิจัยเกี่ยวกับโอเมก้าหรือเปล่าคะ”


“ไม่ใช่ครับ  แต่งานวิจัยทำให้เราได้เจอกัน  ผมชื่นชมในตัวเขามากก็เลยขอเขาคบหาด้วย”


“แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกคุณไปถึงขั้นไหนแล้วหรือคะ”  คำถามของนักข่าวทำให้วิลเลี่ยมชะงักไป  ก่อนที่จะเลี่ยงคำพูดไปว่า  “ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไรครับ”


“แล้วคุณได้ตีตราจองไปแล้วหรือยังคะ”


“ผมไม่มีความคิดแบบนั้นในตอนนี้และขอโทษนะครับ  คำถามเริ่มลงลึกไปมากพอแล้ว  ผมไม่ขอสัมภาษณ์ต่อ”  วิลเลี่ยมตัดบทของพวกนักข่าวทันทีก่อนที่จะเดินเลี่ยงไปขึ้นรถแล้วขับออกไป


วิลเลี่ยมรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของกองถ่ายสารคดีซึ่งกำลังถ่ายทำเกี่ยวกับเรื่องโอเมก้า  และเขาก็รู้ว่าผู้ให้ทุนสนับสนุนลับในการทำเรื่องนี้คือองค์ราชินี


ทั้งเธอและรัฐบาลมีความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ความต่างของชนชั้นลดลง


วิลเลี่ยมอยู่ที่กองถ่ายทำจนกระทั่งถึงตอนบ่ายแก่ๆ  ก็กลับไปรับเซ็ธ  อีกฝ่ายยืนรออยู่หน้าโรงเรียนคนเดียวดูเหมือนคนอื่นๆ  จะกลับไปกันเกือบหมดแล้ว  เมื่อเห็นเขาก็รีบเดินมาหาทันที


“วิลเลี่ยม!”


“ไง  ขอโทษที่มารับช้านะ”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนจะสวมกอดเซ็ธไว้จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง


“เดี๋ยวสิครับ  นี่มันที่สาธารณะนะครับ”  เด็กหนุ่มเตือนขึ้นก่อนจะดันอีกฝ่ายออกห่าง  วิลเลี่ยมหัวเราะเบาๆ  ก่อนที่จะกล่าวขอโทษขอโพย


“ขอโทษๆ  งั้นกลับกันเลยไหม” 


“ครับ”  เซ็ธพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปที่รถพร้อมกับวิลเลี่ยม  พวกเขาเดินทางตรงกลับไปที่บ้านไม่ได้แวะไปไหนต่อ  จนกระทั่งเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้นซึ่งไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเสียเท่าไร  เซ็ธพลันมีสีหน้าเครียดจัดทันทีเมื่อสบตาวิลเลี่ยมผ่านกระจกหน้ารถ


“วิลเลี่ยมช้าหน่อย!”  คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะลอรถและหันมาหาเซ็ธ  ตั้งใจที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับร้องขึ้นด้วยความตกใจ  สายตาเบิกตากว้างมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  ชายหนุ่มจึงรีบหันกลับไปดู

 
รถคันหนึ่งวิ่งตรงมาทางพวกเขาด้วยความรวดเร็ว  น่าแปลกยิ่งกว่าที่มันไม่มีคนขับ  วิลเลี่ยมรีบหักรถหลบจนตกถนนไปจอดนิ่งอยู่ที่ข้างทาง


เขาถอนหายใจอย่างหวั่นวิตก  ดีที่รถจอดนิ่งก่อนที่จะชนต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า  วิลเลี่ยมรีบหันไปถามเซ็ธทันทีด้วยความเป็นห่วง  “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า!?”


“ไม่ครับ...”  เด็กหนุ่มตอบกลับมาทั้งที่ยังมีสีหน้าซีดเซียวอยู่  โชคยังดีที่พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัยจึงไม่มีใครเป็นอะไร  แต่ทว่าวิลเลี่ยมพลันเห็นว่ารถที่พุ่งชนพวกเขาเริ่มขยับอีกครั้ง  เป้าหมายมันคงพุ่งมาซ้ำอีกทำให้เขารีบปลดเข็มขัดออกแล้วบอกอีกฝ่ายให้ทำเช่นเดียวกัน


“ออกจากรถ  เร็ว!”  เซ็ธรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกเช่นกันที่จะรีบลงจากรถเช่นเดียวกับวิลเลี่ยม  ตอนนั้นเองที่รถคันนั้นพุ่งมาใส่รถของเขาจนกระโปรงหน้ากระแทกกับต้นไม้จนเสียหายยับเยิน


วิลเลี่ยมเดินอ้อมต้นไม้นั้นไปหาเซ็ธก่อนที่จะรีบพาอีกฝ่ายหนีไปให้พ้นอันตราย  ทว่าตรงหน้ากับปรากฏร่างของใครบางคนขึ้น


ใครบางคนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


“กิล...เบิร์ต...เป็นฝีมือของนายงั้นเหรอ”


“ไง  ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”  อีกฝ่ายทักทายเขาด้วยรอยยิ้มขบขัน  “ประหลาดใจชะมัด  คิดว่าน่าจะชนเต็มๆ  ตั้งแต่แรกแล้วแท้ๆ  เป็นเพราะนายสินะ...”


สายตาของกิลเบิร์ตหันมามองที่เซ็ธทันทีทำให้เด็กหนุ่มชะงัก 


“แต่ช่างเถอะ  ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้ผล  ครั้งนี้ก็แค่ลงมือเองก็จบเรื่อง”  กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นแล้วขยับมือหนึ่งครั้ง  ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก็พุ่งมากระแทกขมับของวิลเลี่ยมเต็มๆ  จนอีกฝ่ายเซล้มไป


“วิลเลี่ยม!”  เซ็ธร้องขึ้นด้วยความตกใจ  เด็กหนุ่มรีบเข้าไปหาอีกฝ่ายทว่ากลับถูกกิลเบิร์ตกระชากเส้นผมรั้งตัวไว้ไม่ให้ไปไหน


เซ็ธกัดฟันข่มความเจ็บปวดแล้วพยายามสะบัดร่างกายให้พ้นจากเงื้อมมือของอีกฝ่าย  “ปล่อย!”


“ไม่เอาน่า  ขืนทำตัวดื้อดึงเดี๋ยวจะถูกลงโทษนะ”  กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้มก่อนที่จะเหวี่ยงร่างของเซ็ธไปกระแทกกับรถ  เด็กหนุ่มจุกจนตัวงอทรุดลงกองกับพื้นไม่สามารถขยับไปไหนได้  และยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว  อีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาหิ้วเขาพาดกับกระโปรงรถ  ตรึงมือทั้งสองข้างไว้


“ยะ...อย่า”  เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเมื่อรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย  กิลเบิร์ตแสยะยิ้มขึ้นก่อนที่จะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้คอของเขา 


“กลัวทำไมเล่าในเมื่อนายเองก็เคยทำกับเจ้าหมอนั่นมาแล้วนี่”  อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนจะกระชากเสื้อของเขาออกเผยให้เห็นรอยที่ถูกวิลเลี่ยมทำไว้เมื่อคืน


“หืม?  เจ้าหมอนั่นก็ใช่ย่อยนี่”  กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย  นิ้วมือลากผ่านยอดอกไปหยุดที่ต้นคอ  “แต่ฉันทำได้ดีกว่าเจ้านั่นตั้งเยอะ  นายอาจจะอยากได้ฉันเป็นเจ้าของแทนมันก็ได้”


“ไม่เอา!  ปล่อยนะ!”  เซ็ธพยายามดิ้นขัดขืน  แต่อีกฝ่ายกลับเพิ่งแรงบีบแขนเขามากขึ้น  กิลเบิร์ตใช้มือเดียวจับแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะของเด็กหนุ่ม  ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างชกหน้าเซ็ธเต็มๆ


“เป็นแค่สัตว์เลี้ยงไม่มีสิทธิ์ขัดขืน”  น้ำเสียงเย็นเยือกของกิลเบิร์ตทำให้เด็กหนุ่มชะงักค้าง  ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัว  ยิ่งพยายามขัดขืนมากเท่าไรก็ยิ่งเจ็บตัวมากขึ้นเท่านั้น


ในขณะที่เซ็ธกำลังสิ้นหวัง  เสียงของวิลเลี่ยมก็ดังขึ้น


“ออกห่างจากเขาเดี๋ยวนี้!”


กิลเบิร์ตปล่อยเซ็ธในทันทีและหันไปสนใจอีกฝ่ายที่กำลังยันตัวลุกขึ้นมา  ขมับขวาแตกจนเลือดไหลอาบแก้ม  แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ


“หืม  ฟื้นตัวได้ไวดีนี่”  กิลเบิร์ตเอ่ยปากชมฝาแฝดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน  อีกฝ่ายกัดฟันกรอดก่อนจะบอกว่า


“อยู่ให้ห่างจากเขา”


“ก็ได้  เหตุผลที่ฉันมาแต่แรกก็เพราะอยากฆ่าแกอยู่แล้วด้วย”  กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นขณะเดินมาหาวิลเลี่ยม  “ถ้าแกยอมให้ฆ่าแต่โดยดี  ฉันก็คงไม่ทำอะไรเจ้าโอเมก้านั่น”


“แกไม่มีวันได้ทำอะไรเขา  ตราบเท่าที่ฉันยังอยู่”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะยกแขนขึ้นตั้งฉากกับพื้น  มีดพกที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมจึงออกมาโดยพลังจิตของเขา  แต่คราวนี้อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะไม่เตรียมตัว  กิลเบิร์ตเองก็นำมีดที่ตนสามารถบังคับได้ออกมาเช่นกัน


พวกเขาต่างไม่คิดว่าจะมีใครยอมใคร  แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน  แต่สายใยในตอนนี้บางเบาเสียจนจับต้องไม่ได้


“อวดดีนักนะ”  กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะวาดมือมาข้างหน้าส่งผลให้มีดเล่มเล็กที่ลอยอยู่ด้วยพลังของเขาพุ่งไปหาวิลเลี่ยมทันที  “งั้นฉันจะฆ่าแกตรงนี้แหละ”


วิลเลี่ยมบังคับมีดพกไปปัดป้องมีดของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  “เดี๋ยวแกก็รู้เอง”


พวกเขาเริ่มปะทะกันด้วยคมมีดจากการควบคุมพลังจิต  วิลเลี่ยมสามารถป้องกันมีดที่พุ่งเข้ามาหาตนได้เกือบทุกอัน  ทว่าแผลจากการที่ศีรษะแตกทำให้เขาเริ่มปวดหัวมากขึ้นกว่าตอนปกติ  มันรบกวนการควบคุมของเขา


ฉึก!


“อึก...!”


“วิลเลี่ยม”  มีดเล่มหนึ่งที่หลุดรอดจากการป้องกันของวิลเลี่ยมพุ่งปักเข้าที่ไหล่ขวาของชายหนุ่มอย่างจังจนทำให้เขาเสียหลักทรุดลงกับพื้น  เซ็ธที่เห็นเหตุการณ์อยู่จึงคิดจะเข้ามาช่วย 


“อย่าเข้ามา”  วิลเลี่ยมร้องเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงทำให้เด็กหนุ่มชะงัก


“ดีๆ  เจ้าโอเมก้านั่นน่ะไม่ควรให้เข้ามาใกล้น่ะถูกแล้ว  เกิดฉันคุมไม่อยู่แล้วเผลอฆ่าไปเดี๋ยวยัยนั่นจะโกรธเอาเปล่าๆ”  กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่


“แก...”  วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้น  “พวกแกคิดจะทำอะไรกับเซ็ธ”


“โอเมก้าที่มีพลังจิต...ไม่คิดว่าเป็นตัวทดลองที่มีค่าหรือไง”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น  “คงมีข้อมูลให้ศึกษาอยู่เพียบเลยทีเดียว”


“พวกแกนี่มัน...”  วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ  “หยุดทำเรื่องโหดร้ายกันสักที”


“โหดร้ายเหรอ  เหอะ  วิลเลี่ยมนี่ไม่ใช่เรื่องโหดร้ายเสียหน่อย  ฉันอุตส่าห์เพิ่มมูลค่าให้แก่พวกเศษสวะได้ตั้งมากมายเลยนะ”  กิลเบิร์ตว่าด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก


“ไม่ใช่  สิ่งที่แกเคยทำลงไปมันคือการค้ามนุษย์  แกทารุณพวกเขา!”  วิลเลี่ยมตวาดขึ้นด้วยความโมโห  แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านหรือสำนึกผิดต่อเบื้องหลังแต่อย่างใด


กิลเบิร์ตเคยหายตัวออกจากบ้านไปนานหลายปี  กว่าที่วิลเลี่ยมจะทราบข่าวอีกครั้งก็เป็นตอนที่คบกับอลิซาเบ็ธ  ทั้งสองคนนั้นรู้จักกันก่อนแล้วในฐานะคู่ค้า


อลิซาเบ็ธรับซื้อทาสโอเมก้าจากกิลเบิร์ตที่เป็นนายหน้าเพื่อนำมาใช้ในการทดลองของเธอ  พวกเขาทั้งสองสนุกการได้เห็นชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นผักปลา  ซึ่งนั่นทำให้วิลเลี่ยมรับไม่ได้และแยกทางจากนักวิทยาศาสตร์สาวนั่น


“หนวกหู  อย่างแกจะไปเข้าใจอะไร!”  กิลเบิร์ตตะคอกขึ้นพร้อมกับสาดมีดจำนวนมากโจมตีใส่วิลเลี่ยมอีกครั้ง  อีกฝ่ายทำหน้าที่ได้แค่ตั้งรับเท่านั้น  “คนที่ทำตัวเป็นคนดีอย่างแกน่ะ  ไม่มีวันเข้าใจได้หรอก”


อีกฝ่ายเริ่มโจมตีเขาหนักแน่นขึ้นทุกทีทำให้วิลเลี่ยมต้องตั้งสมาธิไว้ให้มั่นคง


“ทั้งๆ  ที่ฉันมีพลังมากกว่าแก  แต่พ่อกับแม่ก็ยังเอาแต่สนใจแต่แก  คนอื่นๆ  ก็เหมือนกัน  ทำไมฉันต้องถูกเปรียบเทียบกับคนอย่างแกด้วย”  กิลเบิร์ตแผดเสียงออกมาด้วยความเคียดแค้น  หากไม่มีฝาแฝดคนนี้สิ่งที่เขาทำอยู่ก็คงราบรื่นมากกว่านี้


 วิลเลี่ยมกัดฟันกรอด  ตัวเขาเริ่มไม่ไหวเพราะแผลที่ศีรษะยังคงมีเลือดไหลอยู่  ยิ่งต้องพยายามใช้พลังจิตอย่างมากแบบนี้แล้วยิ่งทำให้เขาแย่


“อึก!”  ศาสตราจารย์หนุ่มกัดฟันกรอดเมื่อเขาพลาดมองไม่เห็นมีดเล่มหนึ่งที่พุ่งมาส่งผลให้มันปักเข้าที่ขาของเขา


“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”  เซ็ธตวาดขึ้นขณะหยิบท่อเหล็กที่ติดมาจากรถของวิลเลี่ยมมาฟาดที่ศีรษะของกิลเบิร์ตเต็มแรง  ทำให้การบังคับมีดของอีกฝ่ายรวนไปหมด  ทำให้วิลเลี่ยมถอนหายใจออกมาแล้วทรุดตัวลงกองกับพื้น  เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาประคองไว้ทันที


“วิล  ไหวหรือเปล่า?”  เซ็ธถามขึ้นขณะช่วยอีกฝ่ายประคองไว้ไม่ให้ล้มลงไปนอนกับพื้น  อีกด้านกิลเบิร์ตก็ส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความโมโห


“พวกแก...แกทำให้ฉันโมโหจริงๆ  แล้วนะ”  อีกฝ่ายส่งเสียงเล็ดลอดไรฟันออกมาด้วยความโมโห  ก่อนที่จะเริ่มใช้พลังควบคุมมีดอีกครั้ง  เซ็ธกอดวิลเลี่ยมที่ยังไม่สามารถกลับมาควบคุมมีดจำนวนมากๆ  ได้


“ไปตายกันซะให้หมด!”  กิลเบิร์ตแผดเสียงดังลั่นขึ้นพร้อมกับปามีดมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว


“หยุดแค่นั้นแหละ!”  เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับมีดที่ค้างอยู่กางอากาศ  พวกมันปะทะเข้ากับสิ่งที่เห็นเป็นผ้าม่านสีอ่อนโปร่งใสแต่มีความแข็งแกร่งก่อนที่จะร่วงลงไปกองกับพื้น  ไกลออกไปเอดิสันกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งที่เล็งปืนมาที่กิลเบิร์ต


“แกหมดทางหนีแล้ว  กิลเบิร์ต”


“หยุด  อย่าขยับ  วางอาวุธลงแล้วยกมือขึ้น”  ตำรวจนายหนึ่งสั่งการขึ้นน้ำเสียงเคร่งขรึม  กิลเบิร์ตทำตามอย่างเชื่องช้า  ทำให้นายตำรวจอีกสองนายเข้าไปล็อกตัวอีกฝ่ายไว้ทันที


“แกถูกจับกุมแล้ว  ข้อหาค้ามนุษย์และพยายามฆ่า”  นายตำรวจชี้แจ้งขึ้นก่อนจะคุมตัวอีกฝ่ายไป  ตั้งแต่ที่เอดิสันพาพวกตำรวจมากิลเบิร์ตก็นิ่งเงียบมาโดยตลอด  แต่ก่อนที่จะออกเดินนั้นกลับหัวเราะขึ้น


“หึ...ฮ่าฮ่าฮ่า”  เสียงหัวเราะที่ดังลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ทุกคนชะงัก  ดวงตาคมปราดมามองที่ฝาแฝดของตนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า  “แล้วแกจะได้พบกับฝันร้าย”


“ไปได้แล้ว”  นายตำรวจเร่งให้กิลเบิร์ตเข้าไปในรถ  เมื่อสถานการณ์กลับมาสงบแล้วเอดิสันก็รีบปรี่มาหาเซ็ธกับวิลเลี่ยมทันที


เด็กหนุ่มประคองกอดวิลเลี่ยมไว้ด้วยความกังวล  อีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเผือดไปมาก


“คุณเอดิสัน  ได้โปรดพาเขาไปโรงพยาบาลที”  เซ็ธขอร้องขึ้นน้ำเสียงสั่นคล้ายคนจะร้องไห้  เอดิสันไม่รอช้ารีบประคองวิลเลี่ยมขึ้นมาใส่รถของตนให้เด็กหนุ่มช่วยดูไว้แล้วขับรถพาทั้งคู่ไปที่โรงพยาบาล


ก่อนที่สติเขาจะดับวูบไปช่วงหนึ่งนั้นรู้ว่าเอดิสันมาช่วยไว้ได้ทันและเขาก็วางใจพอจะเลิกฝืนร่างกายของตัวเองทันทีที่ถูกจับนอนบนเตียงเข็นของโรงพยาบาล  วิลเลี่ยมก็ตื่นขึ้น 


สิ่งแรกที่เขามองหาคือเด็กหนุ่มที่เป็นห่วงมากที่สุด  หากไม่ได้เซ็ธช่วยขัดขวางการใช้พลังของกิลเบิร์ต  ปานนี้ตัวเขาอาจกลายเป็นต้นกระบองเพชรไปแล้วก็ได้


เซ็ธเดินตามอยู่ข้างๆ  เตียงมองเขาด้วยสีหน้าที่คล้ายจะร้องไห้ทำให้วิลเลี่ยมอยากที่จะปลอบ ก่อนที่จะถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน  เขายกมืออันไร้เรี่ยวแรงลูบแก้มอีกฝ่ายก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนให้เป็นความหมายว่าอย่ากังวลก่อนที่จะหมดสติไปอีกครั้ง


ตื่นมาอีกทีก็พบเด็กหนุ่มฟุบหลับอยู่ข้างเตียง  พอเขาขยับตัวนิดหน่อยอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาและแสดงสีหน้ายินดีอย่างปิดไม่มิดเมื่อเห็นเขาฟื้นแล้ว


“วิลเลี่ยม  คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม  เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”  เซ็ธถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะนึกขึ้นได้  “จริงสิ  น้ำ...คุณหิวน้ำหรือเปล่า”


เขาพยักหน้าให้เมื่อรู้สึกคอแห้งทำให้อีกฝ่ายรีบผุดลุกไปเตรียมน้ำดื่มให้เขาทันที  วิลเลี่ยมพยายามลุกแต่ความเจ็บปวดจากแผลที่หัวไหล่ทำให้เขาชะงัก


“อย่าขยับตัวมากสิครับ  แผลของคุณยังไม่หายดีนะ”  เซ็ธละจากการรินน้ำใส่แก้วมาช่วยเขาด้วยการประคองลงนอนกับเตียงอีกครั้งแล้วปรับระดับให้อีกฝ่ายพอนั่งได้  จากนั้นก็นำน้ำมาป้อนให้อีกฝ่าย


เมื่อดื่มน้ำจนหายคอแห้งแล้ววิลเลี่ยมจึงได้ยิ้มขึ้น  “ขอบคุณนะ  เซ็ธ”


“คุณเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”  เซ็ธถามย้ำขึ้นด้วยความกังวล  วิลเลี่ยมสำรวจร่างกายตนเองก่อนจะบอกว่า


“เจ็บแผลที่ถูกแทงอยู่กับปวดหัวหน่อยๆ  แต่ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก”  วิลเลี่ยมตอบด้วยรอยยิ้ม  เขาเหลือบดูนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ข้างเตียงแล้วคำนวณดู  ดูท่าเขาจะสลบไปคืนหนึ่งเต็มๆ


“นายเถอะ  เป็นอะไรหรือเปล่า”  ศาสตราจารย์หนุ่มถามต่อกับเด็กหนุ่มที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง  มุมปากของอีกฝ่ายยังปรากฏรอยช้ำจากการถูกต่อยอยู่  แถมเมื่อครู่ตอนตื่นเขาก็เห็นข้อมือของเซ็ธเป็นสีเขียวคล้ำจากการช้ำเช่นเดียวกัน


“ผมไม่เป็นอะไรหรอก  แค่นี้ไม่เจ็บเท่าไร”  เด็กหนุ่มตอบพลางยิ้มบางๆ  ขึ้น


“แล้วกิลเบิร์ตล่ะ”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความกังวล


“ตอนนี้ส่งไปนอนคุกเรียบร้อยแล้ว”  เสียงของเอดิสันดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากห้องน้ำ  “แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรเลย  พวกนายก็สบายใจได้  หมอนั่นไม่ได้ออกจากคุกง่ายๆ  หรอก”


“นายก็อยู่ด้วยเหรอ?”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ  อีกฝ่ายเลิกคิ้วส่งสายตาเป็นการบอกว่าแน่นอนก่อนจะพูดขึ้นถึงเหตุผลที่แท้จริง


“เลนเนอร์ไม่เห็นด้วยที่จะให้เซ็ธเฝ้านายคนเดียวเลยส่งฉันมาอยู่เป็นเพื่อน”


“อ้อ”  วิลเลี่ยมร้องอ้อขึ้นทันทีอย่างเข้าใจ  อีกฝ่ายเดินเข้ามาบ่นกับเขาเป็นการส่วนตัวด้วยอารมณ์เคืองแค้นว่า  “เพราะนายแท้ๆ  วันหยุดที่ฉันควรจะได้สวีทกับเลนเนอร์เลยหายไป”


“พอนายใช้คำว่าสวีทแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาแฮะ  โอ๊ยๆ  เจ็บๆๆ”  คนที่พยายามแซวเพื่อนถูกบิดเนื้อเพิ่มความเจ็บไปอีกหนึ่งที่  แต่ก็ไม่ได้ทำให้วิลเลี่ยมสำนึกผิดแต่อย่างใด


“เอ็ดครับ  วิลเพิ่งฟื้นขึ้นมาอย่าเพิ่งแกล้งเขารุนแรงสิ”  หนำซ้ำยังมีคนช่วยเป็นลูกแมวซื่อๆ  ที่ทำให้เอดิสันไปไม่ถูก  เขานิ่งอึ้งไปขณะที่วิลเลี่ยมแอบส่งรอยยิ้มปีศาจมาทางเขาจนอยากจะกระทุ้งศอกใส่ติดที่ว่าเซ็ธมองอยู่


“หายแล้ว  แกกับฉันต้องคิดบัญชีกัน”  ชายหนุ่มตั้งมั่นไว้เช่นนั้นก่อนที่จะลุกเดินออกไป  “ฉันขอตัวไปทำธุระก่อนนะ”


“ครับ”  เซ็ธพยักหน้า  เอดิสันจึงเดินออกนอกห้อง  เมื่อทั้งห้องเหลือกันอยู่สองคน  วิลเลี่ยมจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น


“เซ็ธ”  เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายก่อนจะกวักมือเรียก  “มาใกล้ๆ  หน่อยสิ”


“ครับ?”  เด็กหนุ่มโน้มตัวไปตามคำขอ  เมื่อสบโอกาสแล้วชายหนุ่มก็คว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนทำให้เซ็ธสะดุ้งโหยง  “เดี๋ยวสิวิล  เดี๋ยวแผลคุณก็เปิดพอดี”


“ไม่เป็นไรหรอก”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วพึมพำบ่นว่า  “เมื่อวานฉันเหนื่อยมากเลยนะ  ขอรางวัลหน่อยสิ”


“คุณนี่มัน...”  เซ็ธถอนหายใจอย่างเอือมระอาแต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้น  เขาเห็นอีกฝ่ายเรียกร้องเช่นนั้นก็อดตอบแทนให้ไม่ได้  เด็กหนุ่มเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะปิดปากตาลงอย่างกล้าๆ  กลัวๆ  วิลเลี่ยมประกบริมฝีปากของตนเองเข้าหาเซ็ธทันทีก่อนที่จะมอบจูบลึกล้ำให้อีกฝ่ายอย่างถวิลหา


ช่วงเวลาเล็กๆ  ที่แสนสงบสุข  เขาอยากให้ดำเนินเช่นนั้นตลอดไป...


ออฟไลน์ sakana04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
บทที่  19
ลางร้าย

วิลเลี่ยมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสามวัน  ตลอดสามวันอยู่ภายใต้การดูแลของบอดี้การ์ดจากองค์ราชินี  และมักจะโดนเพื่อนบ่นหูชาเสมอๆ

เอดิสันเข้ามาเห็นตอนเขาจูบกับเซ็ธ  แน่นอนว่าถูกบ่นตามระเบียบ  หนำซ้ำเพื่อนของตนยังหัวไวจนคั้นเอาข้อมูลจากเขาไปได้หมดว่าได้ทำอะไรไปบ้าง  วินาทีนั้นเอ็ดทำหน้าเหมือนจะบีบคอเขาให้ตายคาเตียง

“แกพรากผู้เยาว์!”

“เป็นความยินยอมทั้งสองฝ่ายว้อย  แกเป็นพ่อเซ็ธหรือยังไงมาโวยวายขนาดนี้”  วิลเลี่ยมเถียงกลับก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันจนพยาบาลเข้ามาห้ามปรามปานจะกินเลือดกินเนื้อพวกเขาเลยหยุด

“เซ็ธไปไหนล่ะ?”  วิลเลี่ยมถามขึ้น  เขาเห็นเซ็ธรอเอดิสันมาแล้วออกไปโดยไม่ได้บอกได้กล่าว 

“ไปเยี่ยมเลนเนอร์  เขาใกล้คลอดแล้ว”  เอดิสันตอบเสียงเรียบ  อีกฝ่ายเลยร้องอ้อเป็นอันเข้าใจ

เลนเนอร์ถูกพามาพักที่โรงพยาบาลเดียวกับเขาตอนที่ใกล้กำหนดคลอด  เอดิสันเตรียมการหลายอย่างดูวุ่นวาย  และเพราะท้องแก่ใกล้คลอดโอเมก้าหนุ่มคนนั้นก็เลยไม่ได้มาเยี่ยมเขาแต่ก็แสดงความเป็นห่วงด้วยการใช้ให้คนรักมาช่วยเซ็ธเฝ้าวิลเลี่ยม

ด้วยความที่กำลังจะได้ลูกสาวคนแรก  จากนักธุรกิจงานล้นตัวไม่มีเวลาได้พักหายใจก็กลายเป็นคนนั่งฆ่าเวลาทิ้งจากการหยุดยาวหนึ่งสัปดาห์โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ  แล้วฝากงานลูกน้องคนสนิททำแทนชวนให้วิลเลี่ยมทึ่งไม่ได้  คนบ้างานยอมทำถึงขนาดนี้เพื่อเฝ้าดูคนที่รักและลูกที่กำลังจะคลอด

“นายไม่ไปเฝ้าเลนเนอร์จะดีเหรอ”  วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายหันมาสบตาเขาก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“โดนเลนเนอร์ไล่มาที่นี่แหละ”

“ฮ่าๆ”  ในฐานะเพื่อนสนิท  การหัวเราะเยาะนับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของวิลเลี่ยม  เจ้าตัวรีบเอี้ยวหลบฝ่ามือที่ลอยมาก่อนจะร้องโอดโอยเพราะเจ็บแผล

“สมน้ำหน้า”  เอดิสันซ้ำเติมทันทีพลางแสยะยิ้มสะใจ 

“นี่  ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว  วันนี้ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว  ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าหรอก”  วิลเลี่ยมบอก  ตอนนี้ไม่มีแผลไหนน่าเป็นห่วงแล้ว  หมอยังอนุญาตให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว

“งั้นฉันไปก่อนนะ”  เอดิสันพอได้ยินแบบนั้นก็ลุกขึ้นไปทันที  ใจของอีกฝ่ายคงเป็นห่วงเลนเนอร์มาก  วิลเลี่ยมฝากคำพูดไปถึงอีกฝ่ายว่าแล้วจะไปเยี่ยมก่อนจะรออยู่ในห้อง

ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาซึ่งขึ้นตัวเลข  10:00 AM  พอดีกับที่หมอและพยาบาลเดินเข้ามาพอดี  เขาได้รับการตรวจเช็กให้แน่ใจว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไรแล้ว  หมอก็อนุญาตให้เขากลับได้ทันที

เมื่อพวกหมอเดินออกไปแล้ว  วิลเลี่ยมก็ลุกขึ้นเดินจากเตียงไปที่ตู้เสื้อผ้า  หยิบเอาเสื้อที่เคยสวมก่อนจะมาเข้าโรงพยาบาลซึ่งซักไว้เรียบร้อยแล้วออกมาสวม   จังหวะที่กำลังถอดเสื้อนั้นได้ยินเสียงเปิดประตูพอดีเขาเลยหันกลับไปมอง

“วิลเลี่ยม...”  คนที่เข้ามาเห็นสภาพแผ่นหลังอันเปลือยเปล่าของเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยชื่อของเขาออกมาอย่างแปลกใจ  เซ็ธรีบล็อกประตูก่อนจะตำหนิว่า  “ถ้าคุณจะเปลี่ยนเสื้อก็ล็อกประตูก่อนสิครับ  เกิดพยาบาลเข้ามาเห็นจะทำยังไง”

“ไม่เป็นไรหรอก  พวกเขาเพิ่งออกไปก่อนหน้านี้เอง”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ  ถ้าเกิดมีใครมาเห็นจริงๆ  เขาก็ไม่คิดจะอายอะไร

“หมอบอกว่าคุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”  คำพูดของเซ็ธทำให้วิลเลี่ยมคาดเดาได้ว่าคงสวนกับหมอเจ้าของไข้ของเขามา

“ใช่  ฉันก็คิดว่าจะออกเลย  อยู่แต่โรงพยาบาลน่าเบื่อจะตาย”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะจัดเนกไทให้เข้าที่  เขาพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ตลอดแล้ว 

พอเห็นท่าทางรีบร้อนของวิลเลี่ยมเซ็ธก็อดยิ้มขำไม่ได้  แล้วมาช่วยอีกฝ่ายเก็บข้าวของเตรียมย้ายออก

“เลนเนอร์เป็นยังไงบ้าง”  วิลเลี่ยมถามขึ้นขณะตรวจดูว่าลืมอะไรไว้ในห้องหรือเปล่า

“เขาสบายดี  แต่ก็กังวลนิดหน่อย  เด็กดิ้นบ่อยด้วยครับ”  เซ็ธเล่าให้ฟัง  เมื่อปิดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เตรียมออกจากห้อง

“งั้นเดี๋ยวไปเยี่ยมเขาก่อนดีกว่า”  วิลเลี่ยมเอ่ยความตั้งใจขึ้น  เขาเดินไปติดต่อพยาบาลเรื่องออกจากโรงพยาบาล  เมื่อเสร็จสิ้นธุระแล้วก็เดินไปยังห้องของเลนเนอร์

วิลเลี่ยมคุยกับเลนเนอร์พักหนึ่ง  พร้อมอวยพรให้ลูกเกิดมาแข็งแรง  เอดิสันเฝ้าไม่ห่างอย่างนี้อีกฝ่ายก็ไม่ต้องมีอะไรให้กังวล  ดูได้จากสภาพห้องที่หรูหราและพยาบาลที่เฝ้าตลอดแล้วเขาคิดว่าการคลอดครั้งนี้คงราบรื่นไม่มีปัญหา

จากนั้นวิลเลี่ยมก็รบกวนให้บอดี้การ์ดพาเขากับเซ็ธกลับไปที่บ้านเพราะรถคันโปรดพังไปแล้วและไม่มีวี่แววว่าจะซ่อมได้  หลังจากได้นั่งพักอยู่ในตัวบ้านแล้วเขาก็เปิดแค็ตตาล็อกรถยนต์หาคันใหม่ดู

“ชาครับ”  เซ็ธทำหน้าที่ชงชามาให้เขา  วิลเลี่ยมจึงละสายตาจากบรรดารุ่นรถยนต์มายิ้มให้อีกฝ่าย  เขาช่วยรับถ้วยชาจากอีกฝ่ายมาวางไว้  ก่อนจะค่อยๆ  ลิ้มชิมรสพร้อมขนมเครื่องเคียงที่เซ็ธนำมา

“อื้ม  ฝีมือชงชาของนายนี่ดีขึ้นมากจริงๆ”  วิลเลี่ยมเอ่ยปากชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทำให้หัวใจเด็กหนุ่มพองโต  “อยากจะดื่มไปทุกๆ  วันเลย”

“ผมชงให้คุณทุกวันไม่ได้หรอกนะครับ”  เซ็ธขัดขึ้น  “ก็ต้องไปเรียนนี่นา”

“นั่นสินะ”  วิลเลี่ยมลากเสียงอย่างอารมณ์ดี  “แต่ฉันจะมีความสุขทุกครั้งที่นายชงชาให้นะ”

“ขอบคุณนะครับ”  เด็กหนุ่มรับคำชมนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ  ก่อนที่จะทักขึ้นว่า  “กำลังมองหารถอยู่หรือครับ”

“ใช่  กำลังคิดว่าจะเอาแบบไหนดี”  ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหยิบแค็ตตาล็อกมาดูอีกครั้ง  “พอไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วก็มีปัจจัยหลายอย่างให้คิดเลย”

“เอ๊ะ?”

“นายมีแบบที่ชอบหรือเปล่า?  เซ็ธ”  วิลเลี่ยมหันมาถามเขาพร้อมยื่นแค็ตตาล็อกให้ดู  เซ็ธปราดตามองครู่หนึ่งก็รับรู้ได้ว่าตนเองไม่สามารถแยกความแตกต่างของแต่ละรุ่นออกเลยดันกลับไปให้อีกฝ่าย

“ตามที่คุณชอบเถอะครับ  ผมน่ะยังไงก็ได้  ถ้าคุณว่าดีผมก็ว่าดี”  เด็กหนุ่มบอกเช่นนั้นด้วยสีหน้าลำบากใจ  วิลเลี่ยมจึงไม่เซ้าซี้ต่อ  เขาเปิดดูแค็ตตาล็อกในมือพลางจิบชาไปด้วย

“โอ๊ะ  รุ่นนี้มีโปรโมชั่นแถมคาร์ชีทด้วย”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นแล้วพึมพำว่า  “รุ่นนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วย  เลือกดีไหมนะ”

“คาร์ชีทคืออะไรหรือครับ?”  เด็กหนุ่มถามขึ้นด้วยความสงสัย  วิลเลี่ยมก็ยินดีตอบด้วยรอยยิ้มทันทีว่า

“ที่นั่งสำหรับเด็กเล็กน่ะ”

“แต่เราไม่มีเด็กเล็กนี่ครับ  หรือจะหมายถึงลูกสาวของเลนเนอร์...”  เซ็ธพึมพำขึ้นด้วยความสงสัย  ความสัมพันธ์ของวิลเลี่ยมกับพวกเอดิสันก็เหมือนพี่น้องครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว  ถ้าจะติดตั้งไว้ก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกอะไร

“อืม...ตอนนี้ก็ให้หนูน้อยที่กำลังจะเกิดนั่งไปก่อนก็ได้  แต่เหตุผลจริงๆ  น่ะมีอีกเรื่อง...”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมามองทางเซ็ธแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย  มือที่ว่างอยู่ฉวยโอกาสไปดึงอีกฝ่ายมาโอบกอดไว้แล้วกระซิบข้างหู  “เดี๋ยวต่อไปเราก็ต้องมีลูกด้วยกันอยู่แล้ว”

“วิลเลี่ยม”  เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นทันทีทำให้คนจงใจแหย่หัวเราะออกมา  พร่ำบอกขอโทษพลางป้องกันหมอนอิงที่ถูกเซ็ธตีมาแล้วกลับไปดูรถต่อ

ถึงจะดูเหมือนล้อเล่น...แต่ความตั้งใจของเขานั้นก็มาจากใจจริง  วิลเลี่ยมต้องการที่จะสร้างครอบครัวแสนสุขกับเซ็ธในภายภาคหน้า

เซ็ธคิดว่าเขาพูดเล่นเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ  แต่ทั้งรูปทรงและคุณสมบัติโดยรวมของรถรุ่นนี้ก็ถือว่าเข้าเกณฑ์ของวิลเลี่ยม  ชายหนุ่มเลยตั้งเป้าว่าจะเอาคันนี้

ช่วงสองสามวันหลังจากนั้น  เขาก็ยุ่งกับการเตรียมเอกสารและซื้อรถยนต์มาได้ในที่สุด 

เลนเนอร์เองก็คลอดแล้ว  พวกเขาเองก็อยู่ในวันคลอด  ลูกสาวออกมาน่ารักน่าเอ็นดูสมการรอคอยแถมยังเป็นอัลฟ่าด้วย  คนเป็นพ่อถึงกับน้ำตาไหลรินออกมา  เป็นภาพบรรยากาศที่ดูสงบแม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากอัลฟ่าบางคนที่มองว่าเอดิสันสิ้นคิดที่มีลูกกับโอเมก้า  บ้างก็ว่าเด็กโชคดีขนาดไหนแล้วที่ไม่ได้เกิดมาเป็นโอเมก้า  แค่คลอดมาจากโอเมก้าก็น่าหดหู่เต็มทนแล้ว 

แน่นอนว่าเอดิสันไม่สะทกสะท้านกับข่าวลือนั่น  ทีแรกจะทำเมินแต่คุณหมอบอกช่วงนี้ฮอร์โมนคนเพิ่งคลอดลูกยังไม่ปกติ  ให้ระวังเรื่องสภาพจิตใจ  เท่านั้นแหละข้อความว่าร้ายรวมทั้งข่าวด้านลบก็มลายหายไปสิ้นทันที

เลนเนอร์เองก็ยินดีกับลูกคนนี้มาก  ประคบประหงมอย่างดีแม้ร่างกายจะยังไม่แข็งแรงแต่ก็ไม่อยากให้ใครพาทารกไปไหนไกลตา  เขาตั้งชื่อเด็กว่าแมรี่ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับความรักเหมือนตน  กลายเป็นครอบครัวสุขสันต์ที่ทำให้เซ็ธอดยิ้มออกมาไม่ได้

หลายวันหลังจากนั้น  เซ็ธก็เข้ามาขออนุญาตบางเรื่องกับวิลเลี่ยม

“เอ่อคือ...วิลเลี่ยมคือว่าผมมีเรื่องจะขอร้อง”  คำพูดของเซ็ธนั้นทำให้วิลเลี่ยมละจากทุกงานที่ทำอยู่มาฟังแต่โดยดี  เด็กหนุ่มอึกอักอยู่สักพักก็เอ่ยออกมา  “คือว่า...อาทิตย์หน้าผมมีสอบไฟนอล  ทีนี้เพื่อนๆ  เขาก็เลยขอร้องให้ช่วยติวให้หน่อย  คุณพอจะอนุญาตให้หน่อยได้ไหม”

“ติวที่ไหน?”  วิลเลี่ยมถามขึ้นน้ำเสียงจริงจัง  อีกฝ่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบมา 

“บ้านของเพื่อนครับ”

“มีแต่เบต้า?”

“ครับ”  เซ็ธพยักหน้าตอบไปตามความจริง  ไม่รู้ทำไมบรรยากาศถึงรู้สึกกดดันขึ้นมา

“ได้”  วิลเลี่ยมตอบสั้นๆ  ด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่จะกระชับว่า  “แต่มีข้อแม้...”

ข้อแม้ที่ว่านั้นเซ็ธไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  สุดท้ายเด็กหนุ่มต้องจำใจบอกเงื่อนไขนี้กับเพื่อนซึ่งพอได้ฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไรและอนุญาต  วันที่ต้องติวนั้น  วิลเลี่ยมถึงได้ติดสอยห้อยตามไปเฝ้าอยู่เกือบทุกวัน

“เพิ่งเคยเห็นอัลฟ่ามาตามติดโอเมก้าแบบนี้ครั้งแรกเลย”  เพื่อนเบต้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“ข้าวใหม่ปลามันก็อย่างนี้แหละ  อย่าไปสนใจเขาเลย  มาอ่านหนังสือต่อ”  มิเกลกระซิบขึ้นทำให้กลุ่มเบต้าที่เบนสายตาไปมองวิลเลี่ยมที่นั่งพิมพ์งานใส่โน้ตบุ๊กหันกลับไปสนใจหนังสือจนได้

ด้วยประสบการณ์ที่เซ็ธเคยช่วยสอนโอเมก้ามาแล้วจึงทำให้การสอนในรอบนี้เด็กหนุ่มไม่ประหม่า  เพราะอยู่ในกลุ่มเพื่อนด้วยก็เลยไม่ต้องมานั่งเกร็งอะไร  พวกเด็กๆ  ที่เหลือก็ตั้งใจฟังอย่างดีไม่มีท่าทีรังเกียจ

เป้าหมายของพวกเขาในตอนนี้คือการชิงท็อปสิบมาจากอัลฟ่าให้ได้

ก่อนวันสอบไฟนอลนั้นเรียกได้ว่าดุเดือด  แต่พอวันสอบกลับยิ่งเผ็ดร้อนกว่า  แต่ละคนพอออกมาจากห้องสอบแล้วเหมือนถูกสูบพลังงานชีวิตไป  ขนาดเซ็ธยังแสดงท่าทีเหนื่อยออกมาจนวิลเลี่ยมต้องให้รางวัลเป็นการปลอบใจ

แต่ผลที่ได้จากการเพียรพยายามอ่านหนังสือกันมาก็คุ้มค่า  โอเมก้าได้ที่หนึ่ง  และเบต้ากวาดตำแหน่งที่สองไปจนถึงสิบได้เป็นผลสำเร็จ  เรียกเสียงกรีดร้องระงมของพวกอัลฟ่าร่วมรุ่นได้เป็นอย่างดี

และคราวนี้พอมีการสอบก็จะเริ่มเปิดติวกัน  พออัลฟ่าบางคนรู้ข่าวก็ขอมาร่วมติวด้วยโดยสัญญาว่าจะไม่เหยียดหยามชนชั้นอีกแล้ว  แต่นั่นก็ทำให้วิลเลี่ยมไม่พอใจอยู่กลายๆ  เขาเริ่มใกล้ชิดกับวงติวมากขึ้นโดยเฉพาะยามที่มีอัลฟ่ามานั่งใกล้ตัวเซ็ธ  ชายหนุ่มถึงกับนั่งหันหลังพิงโอเมก้าหนุ่มอยู่ตลอดเวลาเรียกสายตาอิจฉาจากคนอื่นๆ

หลังผ่านเดือนตุลาคมเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน  กระแสการต่อต้านก็เริ่มซาลงไปเพราะกฎหมายคุ้มครองเริ่มชัดเจนขึ้นมาก  มีการประกาศใช้บางมาตรามาก่อนเพื่อเกื้อหนุนโอเมก้า

ทว่าก็ยังมีข่าวโอเมก้าถูกทำร้ายอยู่เกือบทุกวัน และยังมีบางคนที่นับถืออลิซาเบ็ธเป็นแบบอย่าง  อีกฝ่ายนั้นก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ไป  เธอยังเดินหน้าชักจูงความคิดนั้นเรื่อยมา

คำพูดของอลิซาเบ็ธเหมือนเป็นยาพิษให้ลุ่มหลง  หลายคนเชื่อฟังเธออย่างว่าง่าย  จนเมื่อเร็วๆ  นี้มีข่าวน่าเศร้าเกิดขึ้น  มีอัลฟ่าลอบฆ่าโอเมก้า  แม้ภายหลังคนร้ายจะถูกวิสามัญแต่ก็เป็นภาพชี้ชัดถึงความเกลียดอันรุนแรงเหล่านั้น

เซ็ธเองก็มีความกังวลเหมือนกัน  แต่ที่โรงเรียนนั้นเขาเองก็มีผลงานที่โดดเด่น  ซ้ำยังเป็นเด็กดี  ไม่ใช่ความคิดเข้าข้างของวิลเลี่ยม  แต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ถือว่าไม่มีอะไรเลวร้ายจึงเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ  รวมทั้งอัลฟ่าในโรงเรียนเข้าหาโอเมก้ามากขึ้น  ลดการเหยียดหยามลงจนแทบไม่เกิด

เซ็ธคิดว่าทุกอย่างกำลังสงบสุข  ทว่าวันหนึ่งในช่วงเย็นที่เลิกเรียน  เขากลับพบใครยืนรออยู่หน้าโรงเรียนแทนที่จะเป็นวิลเลี่ยม

เธอคนนั้นยกยิ้มเมื่อเห็นเขาและเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าแต่กลับเต็มไปด้วยความกดดัน  เส้นผมสีแดงปลิวสยายตามจังหวะการก้าวเดินที่สม่ำเสมอ

“ไง”  เธอกล่าวทักทายสั้นๆ  ขณะหยุดอยู่ตรงหน้าเซ็ธ  เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่กล้าจะขยับไปไหน

ผู้หญิงคนนี้อันตราย  สัญชาตญาณเขาบอกเช่นนั้น  แม้จะเจอกันไม่กี่ครั้งแต่เซ็ธก็รับรู้ได้ว่าอลิซาเบ็ธน่ากลัวเพียงใด

เมื่อเห็นเขาไม่ตอบหญิงสาวก็หัวเราะขึ้น  “คิดว่าวิลเลี่ยมจะสอนมารยาทมาให้นายมากกว่านี้เสียอีก”

เซ็ธยังไม่คิดจะพูดด้วย  และไม่คิดจะสบตา  เขาอยากจะเลี่ยงไปให้ไกล  ทว่าอีกฝ่ายกลับพยายามให้เขาอยู่กับที่

มือที่ถูกแต่งแต้มสีแดงลงบนเล็บยกขึ้นมาจับคางของเขาไว้  บังคับให้เซ็ธมองตาสีเขียวที่ดูเยือกเย็นนั่น

“นายเห็นอะไรไหม”

“ไม่...เห็น”  เขาตอบเสียงเบา  อีกฝ่ายยกยิ้มอย่างพึงพอใจ  ก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าวิ่งมาพร้อมกับกระชากแขนอลิซาเบ็ธให้พ้นออกไป

“อย่าแตะต้องเขามากกว่านี้”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครียดจัด  เขามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่โกรธเคือง  แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะขบขันขึ้น

“หวงงั้นเหรอ?”  คำถามสั้นๆ  ทำให้วิลเลี่ยมชะงัก  เขาไม่ตอบอีกฝ่ายแต่การกระทำก็พอจะให้อลิซาเบ็ธเดาได้

“ไม่ต้องกังวลหรอกวิลเลี่ยม”  เธอเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้ม  “เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะจบแล้ว...”

อลิซาเบ็ธว่าเช่นนั้นทิ้งท้ายก่อนที่จะหันหลังกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่  เมื่อรถคันนั้นแล่นออกไปก็เกิดความเงียบชั่วขณะก่อนที่วิลเลี่ยมจะหันมาหาเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง

“เซ็ธ  เป็นอะไรหรือเปล่า”  เขาถามด้วยความเป็นห่วง  เด็กหนุ่มหน้าซีดตั้งแต่เมื่อครู่แต่ก็ได้ตอบว่า  “ไม่เป็นอะไรครับ”

“เธอพูดอะไรไม่ดีกับนายหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”  วิลเลี่ยมถอนหายใจอย่างโล่งใจก่อนที่จะรีบพาเซ็ธกลับบ้านทันที  เมื่อถึงบ้านก็รีบปรึกษากับเอดิสันเรื่องที่อลิซาเบ็ธเคลื่อนไหวเช่นนี้  อีกฝ่ายเตือนให้เขาระวังทันที

และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติ  เพราะใกล้ช่วงฮีทแล้วเซ็ธเลยขอแยกห้องนอนกับเขา  ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  พวกเขายิ้ม  ยังหัวเราะด้วยกัน

จนวิลเลี่ยมไม่ทันสังเกตอะไร

เช้าวันต่อมาเขาตื่นมาตอนหกโมงตามปกติ  และลงมาเตรียมอาหารข้างล่าง  บรรยากาศของบ้านเงียบสงบเพราะเป็นวันหยุด  แต่เขากลับไม่เห็นเซ็ธลงมาทั้งที่เด็กหนุ่มควรจะตื่นได้แล้ว

ไม่น่าจะใช่เพราะฮีทด้วย  ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาต้องได้กลิ่นบ้างแล้ว

วิลเลี่ยมเดินขึ้นไปที่ห้อง  เคาะเรียกอยู่สามสี่ครั้งไม่มีสัญญาณตอบก็เลยเปิดประตูไป

เขาเบิกตากว้างด้วยความตะลึงเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นไร้คนอยู่  หัวใจของเขาคล้ายกับหล่นวูบไปสู่พื้น  วิลเลี่ยมรีบออกจากห้องแล้วติดต่อกับบอดี้การ์ดที่อยู่รอบๆ  ทันที

“นี่มันหมายความว่ายังไง”  เขากรอกเสียงตะคอกใส่อีกฝ่ายที่รับ  เหมือนบอดี้การ์ดเองก็งุนงงแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“เซ็ธหายไปได้ยังไง”  วิลเลี่ยมหาดูทั่วทุกมุมของบ้าน  ไม่พบแม้แต่เงาของเด็กหนุ่ม  รองเท้าที่อีกฝ่ายมักจะสวมประจำหายไป  พร้อมๆ  กับเสื้อคลุมกันหนาว

บอดี้การ์ดมารวมตัวกันที่หน้าบ้านของวิลเลี่ยมทันที  ต่างคนต่างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ไม่มีใครรู้ว่าเซ็ธหายไปได้ยังไง  ตั้งแต่ตอนไหน

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”  วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิด  รับรู้ว่าตัวเองกำลังสับสนและจะพาลใส่ทุกสิ่ง

รถคันหนึ่งแล่นมาจอด  ก่อนที่เอดิสันจะรีบลงมาสีหน้าเครียดจัดเพราะวิลเลี่ยมเพิ่งโทรไปบอกว่าเซ็ธหายไป

“เมื่อคืนพวกผมไม่เห็นเขาออกมาจากบ้านจริงๆ  นะครับ”  บอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนยันขึ้น

“เมื่อคืนมีอะไรแปลกๆ  เกิดขึ้นไหม”  วิลเลี่ยมถามขึ้นหลังจากสงบจิตใจลงได้บ้าง  เหล่าบอดี้การ์ดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะมีคนอุทานขึ้น

“อ๊ะ  จริงด้วย”  คำพูดนั้นทำให้สายตาทุกคู่ที่เหลือหันไปมอง  อีกฝ่ายชี้ไปที่กล้องส่องตอนกลางคืนที่ตัวเองคล้องคออยู่ก่อนจะบอกว่า  “เมื่อคืนผมเห็น...เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านคุณ  ทีแรกก็กำลังจะเรียกคนอื่นแต่จู่ๆ...จู่ๆ  เกิดอะไรขึ้นต่อผมก็จำไม่ได้”

“ผู้หญิงคนนั้นลักษณะเป็นยังไง”

“เป็นผู้หญิงสูงประมาณนี้  ผมสีแดง...”  คำพูดนั้นคล้ายกับแช่แข็งวิลเลี่ยมไปชั่วขณะ  ชื่อหนึ่งหลุดจากปากของเขาทันที  “อลิซ...”

“ใช่ๆ  มีช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าจู่ๆ  สติก็หลุดไปเฉยๆ”  บอดี้การ์ดอีกคนเอ่ยขึ้น  อีกหลายคนก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน

“พวกคุณประมาณเวลาได้ไหมว่าเกิดขึ้นช่วงใด  และคุณ...คุณพบผู้หญิงคนนั้นตอนเวลาเท่าไร”  วิลเลี่ยมถามต่ออย่างไม่ลดละความพยายาม

“พอได้สติผมก็นึกว่าผล็อยหลับไปผมเลยยกมือขึ้นดูนาฬิกา  ตอนนั้นประมาณ  03:45  ครับ  และก่อนหน้าที่จะหมดสติไปผมจำได้ว่าเป็นช่วง  03:30  ครับ”  บอดี้การ์ดคนหนึ่งเอ่ยขึ้น  ก่อนที่คนที่พบเจออลิซาเบ็ธจะแจ้งต่อ

“เวลาที่เจอผู้หญิงคนนั้นก็ประมาณ  03:30  ครับ”

“เป็นฝีมือของอลิซงั้นเหรอ”  เอดิสันคาดการณ์ขึ้นก่อนที่จะหันมามองวิลเลี่ยม

“เธอจะทำยังงั้นได้ยังไง  ในเมื่อพลังของเธอคือการมองเห็นอนาคต...”  วิลเลี่ยมทีแรกคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้แต่กลับชะงักค้าง  “เอดิสัน  ตรวจสอบข้อมูลของอลิซาเบ็ธให้ใหม่ที  ตรวจจากฐานข้อมูลทุกอย่างเท่าที่ทำได้  นายได้รับอำนาจทำหน้าที่นี้จากองค์ราชินี”

“เดี๋ยว  ทำไมถึงจะต้องตรวจ”

“เธออาจมีคนรู้จักที่มีพลังเกี่ยวข้องกับการควบคุมจิตใจคนก็ได้  ตามหาคนที่ใกล้ชิดเธอในช่วงนี้ให้ที”  วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเช่นนั้นก่อนที่จะเริ่มตรงไปที่รถ  “ชั้นจะไปหาเซ็ธ”

ชายหนุ่มขับรถออกมาจากถนน  ไปตามสถานที่ต่างๆ  ที่เคยพาเซ็ธไป  ทุกที่ทุกแห่งไม่มีวี่แววของเซ็ธเลยแม้แต่น้อย  เขาพยายามตามหาราวกับคนบ้าจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเป็นตอนบ่าย  วิลเลี่ยมจึงได้หยุดพักรถ

ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาดังนั้นขึ้น  หน้าจอปรากฏเบอร์ไม่คุ้นตา  เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับ  “ครับ”

“วิลเลี่ยม”  น้ำเสียงอันคุ้นหูทำให้ชายหนุ่มเบิกตาโตกว้าง

“เซ็ธ!  นายอยู่ที่ไหน  หายไปไหนมา  เกิดอะไรขึ้น?”  เขารัวคำถามที่อยากถามออกไปด้วยความกังวล  อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมา

“ผมอยู่หน้าตึกข้างโรงเรียน  กำลังจะขึ้นไปชั้นดาดฟ้า”

“ตึก?  นายไปทำอะไรที่ตึกนั่น”  วิลเลี่ยมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ  แต่เขาก็ขับรถไปในทันที

“อย่า...อึก...อย่า...ตามมา”  น้ำเสียงของเซ็ธสั่นเครือขึ้นก่อนที่สายจะถูกตัดไป  วิลเลี่ยมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบบอกเอดิสันเรื่องความคืบหน้า  อีกฝ่ายกำลังวุ่นกับการหาประวัติของอลิซาเบ็ธ  แต่ก่อนที่จะตัดการติดต่อไปก็ไม่ลืมเตือนเขาเรื่องหนึ่ง

วิลเลี่ยมหยิบของจำเป็นใส่กระเป๋าก่อนที่จะลงจากรถเมื่อถึงที่หมาย  เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เห็นว่าตึกนั้นเป็นตึกที่กำลังถูกปล่อยร้าง  ไม่มีใครพักอาศัย  แต่ชายหนุ่มก็เข้าไปแต่โดยดี

เซ็ธบอกจะขึ้นไปที่ดาดฟ้า  เพราะฉะนั้นเขาก็จะตามไป

ราวกับมีคนปูทางไว้ให้  ทั้งๆ  ที่เป็นตึกร้างแต่กลับไม่มีการป้องกันการบุกรุกเลยแม้แต่น้อย  เขารีบขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า  ไม่มีวี่แววของการซุ่มโจมตีทำให้เขาวางใจไปเปลาะหนึ่ง

วิลเลี่ยมรีบเปิดประตูของชั้นดาดฟ้าออก  แสงสว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ทำให้เขาหลับตาแน่นก่อนที่จะค่อยๆ  ลืมขึ้น  แสงจ้าเริ่มหายไปเหลือไว้เพียงภาพเบื้องหน้าที่ชวนให้ตกตะลึง

เซ็ธยืนอยู่ตรงหน้า  แต่หันหลังให้เขา  มองไปยังตึกที่อยู่อีกฟาก

“เซ็ธ”  เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มหันมามอง  ดวงตานั้นทอประกายความผิดหวังออกมาอย่างเด่นชัด

“คุณตามมาทำไม?”

“เซ็ธ  นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”  วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ  ทว่าต่อมาเขาก็พลันคาดเดาบางอย่างได้  อลิซาเบ็ธออกมาจากที่ซ่อน  ยืนดูพวกเขาสองคน

วิลเลี่ยมหันไปมองหญิงสาวก่อนที่จะถามว่า  “อลิซนี่มันเรื่องอะไรกัน”

“หึๆ”  อลิซาเบ็ธหัวเราะขึ้นอย่างคนอารมณ์ดี  “ฉันเคยบอกนายแล้วนี่ว่าเรื่องนี้กำลังจะจบ”

ยังไม่ทันที่วิลเลี่ยมจะได้ถามอะไร  เซ็ธก็หันมาประจันหน้า  ในมือที่ค่อยๆ  ยกขึ้นมีวัตถุสีดำที่ปลายกระบอกยื่นมาหาเขา

ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  ดวงตาคมปราดไปมองหญิงสาวอย่างคาดคั้น

“เอ้า  วิลเลี่ยม  เลือกสิ  ว่าจะยอมตายเสียตรงนี้หรือจะปล่อยให้เขาตายแทน”  สิ้นเสียงของอลิซาเบ็ธ  เซ็ธถอยหลังไปจนชิดกับราวกันที่สูงแค่ข้อเข่าของอีกฝ่าย

“เธอ...พลังของเธอไม่ใช่การมองเห็นอนาคตใช่ไหม”  วิลเลี่ยมที่เริ่มเข้าใจทุกอย่างเอ่ยถามขึ้น  อีกฝ่ายหัวเราะก่อนจะเฉลย 

“ถูกต้อง”

“แล้วทำไมถึงได้...”

“โกหกน่ะเหรอ  นี่  คนที่มีพลังควบคุมจิตใจคนน่ะจะถูกรัฐเพ่งเล็งเป็นพิเศษ  แล้วฉันจะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะ  สู้โกหกว่ามองเห็นอนาคตซึ่งเป็นเรื่องพิสูจน์ยากยังดีกว่า  เพราะแบบนั้นงานของฉันเลยราบรื่นมาตลอดยังไงล่ะ”

“ที่ไม่มีใครฟ้องเธอ  รวมทั้งที่มีคนหลงเชื่อในตัวเธอก็เพราะพลังของเธอด้วยสินะ”  วิลเลี่ยมเอ่ยในสิ่งที่คาดเดาไว้

“ใช่  น่าเสียดายที่พลังของนายสูงไปฉันเลยควบคุมไม่ได้  ไม่ยังนั้นคงสั่งให้ฆ่าตัวตายไปนานแล้ว”  อลิซาเบ็ธเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขัดกับสิ่งที่พูด

“แต่โชคดีเหลือเกินที่เขาจิตใจอ่อนแอจนสามารถบังคับได้ตามใจชอบ”  หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะเบนสายตาไปที่เซ็ธ  ซึ่งถูกบังคับให้ยกปืนขึ้นเล็งมาที่วิลเลี่ยม  เธอหันกลับมามองอัลฟ่าหนุ่มที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเครียดจัด

“เอ้า  วิลเลี่ยม  เลือกสิ  จะตายด้วยน้ำมือคนรักหรือจะเห็นคนรักตายไปต่อหน้าต่อตา”


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด