Climax Change เมื่อเราได้พบกัน
[/size]
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
เรื่องย่อ
โลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง หล่อหลอมให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น
ผู้อ่อนแอไม่ได้รับการปกป้องและถูกทำร้าย
วิลเลี่ยม ซี. มาร์เดน อัลฟ่าหนุ่มนักวิจัยเห็นถึงปัญหานี้จึงคิดจะหาทางแก้ไข
หนทางการเรียกร้องให้แก่โอเมก้าดำเนินไปท่ามกลางความคิดสบประมาท
เขาได้พบกับโอเมก้าหนุ่มน้อยที่แตกต่างจากคนอื่น เป็นความหวังแห่งการเปลี่ยนแปลง
เขาเลือกที่จะปกป้องอีกฝ่ายและพาเด็กคนนั้นไปสู่ความสำเร็จที่ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนเคยทำได้
เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็น
ความสัมพันธ์อันยากจะลืมหลอนค่อยๆ เติบโตขึ้นเมื่อทั้งคู่ใกล้ชิดกัน
[/size]
----------------------------------
สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3796037#msg3796037)
บทที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3796047#msg3796047)
บทที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3798824#msg3798824)
บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3799343#msg3799343)
บทที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3800421#msg3800421)
บทที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3800427#msg3800427)
บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3803707#msg3803707)
บทที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3805803#msg3805803)
บทที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3805805#msg3805805)
บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3805808#msg3805808)
บทที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3805809#msg3805809)
บทที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3805868#msg3805868)
บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3805881#msg3805881)
บทที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3806856#msg3806856)
บทที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3806858#msg3806858)
บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3806860#msg3806860)
บทที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3806870#msg3806870)
บทที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3809193#msg3809193)
บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3812180#msg3812180)
บทที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3813426#msg3813426)
บทที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3816280#msg3816280)
บทที่ 21 [END] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66318.msg3816283#msg3816283)
สวัสดีค่ะ ขอฝากผลงานแนวโอเมก้าเวิร์สเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
บทที่ 1 การพบกันของทั้งสองคน (ครึ่งแรก)
กริ๊ง!
เสียงกดกริ่งดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวหลังจากนั่งก้มหน้ารัวนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดมาสักพัก เขาเหม่อไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกเมื่อหันไปมองนาฬิกาซึ่งเข็มสั้นกำลังชี้เลขสิบเอ็ดอยู่ ตอนนี้นักข่าวที่นัดไว้คงมากันแล้วดังนั้นเจ้าตัวจึงรีบลุกขึ้นจัดเส้นผมสีน้ำตาลที่ชี้ฟูออกมาให้เข้าที่แล้วถอดแว่นออก จากนั้นก็รีบเดินไปเปิดประตูให้
“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววเป็นมิตรทำให้บรรยากาศดูสดใส อีกฝ่ายทักทายกลับมาตามมารยาทพร้อมยื่นนามบัตรมาให้ เธอเป็นนักข่าวสาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เขาเองก็เคยเห็นในทีวีบ่อยๆ ข้างๆ นั้นเป็นผู้ชายที่คงมาเป็นผู้ช่วย
“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิครับ” เขาผายมือเชิญทั้งสองเข้ามาก่อนที่จะพาไปยังห้องรับแขก แล้วนั่งลงบนโซฟารอตอบคำถามอย่างใจเย็น
“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม ทำไมคุณถึงคิดจะเรียกร้องสิทธิ์ให้พวกโอเมก้าคะ” นักข่าวสาวถามทันทีที่เห็นเขาเปิดโอกาส เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนเธอตามตื๊อเขาอยู่นานกว่าจะได้มาสัมภาษณ์เช่นนี้
วิลเลี่ยม ซี. คาร์เดนยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง เป็นนิสัยประจำของเขาที่ทำเมื่อคุยกับคนอื่น ก่อนที่จะบอก “มันเป็นความตั้งใจของผมเองครับ อีกทั้งความสนใจอยากจะศึกษาในตัวพวกเขา ร่างกายของพวกเขาเองก็น่าอัศจรรย์ไม่แพ้อัลฟ่าหรือเบต้า และที่สำคัญพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นแล้วผมจึงคิดว่าโอเมก้าก็ควรจะได้รับสิทธิ์เช่นเดียวกับเบต้าหรืออัลฟ่า”
“คุณอยากให้โอเมก้าได้รับสิทธิ์เทียบเท่ากับอัลฟ่า?” หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่ง สีหน้าเหยเกขึ้นมาทันทีโดยไม่ปกปิด วิลเลี่ยมรู้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นอัลฟ่า ซึ่งก็คงมีความคิดดูถูกพวกโอเมก้าอยู่ “อัลฟ่าเป็นชนชั้นสูง คุณก็รู้ ฉันคิดว่าไม่เหมาะสมเลยที่จะให้สิทธิ์พวกมันเท่ากับเรา แค่เบต้ายังพอว่า”
ชายคนที่อยู่ข้างๆ นั้นเหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่งแล้วกลับมาทำสีหน้าเรียบเฉย แต่เพียงครู่เดียวนั้นวิลเลี่ยมก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ เหตุเพราะการดูถูกชนชั้นซึ่งๆ หน้า
“ผมไม่ได้พูดว่าต้องการให้โอเมก้าได้รับสิทธิ์เท่าเทียมกับอัลฟ่า เพราะผมรู้ดีว่านั่นจะทำให้เกิดปัญหาความไม่พอใจขึ้น เหมือนกับที่คุณเป็นอยู่ยังไงล่ะ” สิ้นเสียงของศาสตราจารย์หนุ่ม นักข่าวสาวก็ชะงักไปทันที เธอกัดฟันแน่นแล้วกลบเกลื่อนอารมณ์ วิลเลี่ยมพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วพูดต่อ
“อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ในปัจจุบันหากคุณลองมองดูดีๆ มีคนที่ทำร้ายพวกโอเมก้าเยอะมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ควรที่เราไปรังแกคนอ่อนแอ”
“นั่นสินะคะ พวกโอเมก้าทั้งอ่อนแอและไร้สมอง” นักข่าวสาวเสริมก่อนจะบอกว่า “แต่ศาสตราจารย์อย่าลืมสิคะว่าพวกโอเมก้าเองก็ก่อคดีอาชญากรรมเยอะเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามันจะดีเสียทั้งหมด”
“เรื่องนั้นผมทราบดี แต่ผมก็ไม่ได้บอกนี่ครับว่าโอเมก้านั้นดีทุกคน สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อกับคุณก็แค่การถูกรังแกจากสังคม หากให้เทียบเปอร์เซ็นต์ที่โอเมก้าถูกทำร้ายจากคนชนชั้นอื่นกับจำนวนครั้งของอาชญากรรมที่โอเมก้าเป็นคนก่อนั้นต่างกันชัดเจน พวกเขาถูกกระทำมากกว่ากระทำ” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจังพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะตบท้ายว่า
“คุณผู้หญิง เรามาจบการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ดีกว่า ผมอยากให้คุณวางอคติที่รุนแรงไปเสียก่อน หากต้องการสัมภาษณ์ผมอีก ผมก็ยินดีทุกเมื่อ”
“ว่ายังไงนะคะ!?” หญิงสาวคนนั้นเบิกตากว้างแล้วลุกขึ้นด้วยความตกตะลึง วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นปลอบก่อนจะพูดซ้ำน้ำเสียงชัดเจน
“ผมคิดว่าคุณไม่เหมาะจะสัมภาษณ์ผมตอนนี้ เชิญออกไปก่อนเถอะครับ”
นักข่าวสาวลอบกำหมัดแน่นก่อนที่จะเดินกระแทกเท้าออกไปอย่างอารมณ์เสีย นั่นทำให้วิลเลี่ยมเลิกคิ้วแล้วพึมพำทิ้งท้ายว่า
“ให้ตาย เธอเป็นนักข่าวดังได้ยังไงเนี่ย”
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาขืนยิ้ม ดูเหมือนเจ้าตัวก็ทนการกระทำมาหนักเหมือนกัน แต่การที่อีกฝ่ายยังนั่งอยู่ไม่ได้ตามออกไปทำให้วิลเลี่ยมแปลกใจ
“ผมไม่ได้มากับเธอ” คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมเหม่อไปสักพักแล้วนึกออกว่านักข่าวที่นัดเขาไว้ในวันนี้มีสองคน
“แต่พวกคุณอยู่ด้วยกันตอนผมเปิดประตูก็เลยเผลอนึกว่าคุณเป็นผู้ช่วยเสียอีก”
“เปล่าครับ ผมเลือกวันนี้ไว้ก่อนเธอคนนั้นอีก อีกอย่างเธอคนนั้นน่ะทึกทักเอาเองว่าผมอยากขอความช่วยเหลือจากเธอ” อีกฝ่ายพึมพำคล้ายบ่นกับเขาก่อนที่จะถอนหายใจ วิลเลี่ยมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่องให้
“แล้วคุณมีอะไรจะถามผมบ้างไหม”
“มีสิครับ” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น แล้วหยิบเครื่องบันทึกเสียงมากดเพื่อบันทึกต่อแล้วหยิบกระดาษมาจด “ผมขออนุญาตถามต่อจากเมื่อครู่นี้เลยนะครับ”
“ได้ครับ”
“คุณคิดว่างานวิจัยของคุณจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจโอเมก้าได้มากน้อยเท่าไรครับ?” เบต้าหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นทำให้วิลเลี่ยมยกยิ้มอย่างพอใจ
“เป็นคำถามที่ดี แต่ผมคงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการเปิดใจรับและการลดอคติของทุกคน ทางผมเองก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดและจะทำให้มันเป็นแรงขับดันที่ทำให้พวกโอเมก้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
งานวิจัยที่เขากำลังทำอยู่นี้เป็นงานเกี่ยวกับโอเมก้า ทั้งลักษณะทางกายภาพและสภาพสังคม รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ที่เขาค้นพบ เป็นเสมือนสารานุกรมที่รวบรวมข้อมูลไว้โดยเฉพาะ
“แล้วตอนนี้ความคืบหน้าของงานวิจัยประสบความสำเร็จไปได้เท่าไรแล้วหรือครับ?” นักข่าวหนุ่มถามต่อ
“ประมาณ 60% ได้ครับ” วิลเลี่ยมตอบโดยคาดคะเนงานที่เสร็จไป “แต่ยังมีหลายอย่างที่ผมต้องศึกษาเพิ่มเติม อาจจะเรียกได้ว่าคงยังไม่เสร็จในเร็วๆ นี้”
“งั้นหรือครับ ผมเองก็รออ่านงานของศาสตราจารย์อยู่นะครับ” นักข่าวหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจจริงหรือเพียงแค่กะจะเอาใจแต่ก็ทำให้วิลเลี่ยมใจชื้นขึ้นได้
“ขอบคุณครับ”
“แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรหรือครับ พอจะตอบได้ไหมครับ?”
“ต่อจากนี้จะไปที่โรงพยาบาลจิตเวชเคมานน่ะครับ ผมอยากจะศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบจากการถูกทำร้ายของพวกโอเมก้า” ศาสตราจารย์หนุ่มตอบก่อนจะหันไปมองนาฬิกา “นี่ก็ใกล้จะได้เวลาที่นัดแล้ว ขอโทษนะครับ ผมคงต้องขอให้จบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้”
“ได้ครับ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้ครับ” นักข่าวหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะลุกขึ้น เก็บของที่นำมาด้วยแล้วยื่นนามบัตรให้ศาสตราจารย์ “ถ้าหากต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มก็ติดต่อมาได้นะครับ”
“ไมเคิล โรเบน” วิลเลี่ยมทวนชื่อที่อยู่ในนามบัตรเบาๆ ก่อนจะบอกว่า “ทราบแล้วครับ ต้องขอบคุณจริงๆ ที่คุณอยากจะช่วยเหลือในงานวิจัยของผม”
“ไม่เป็นอะไรครับ ที่จริงผมเองก็มีคนรู้จักที่เป็นโอเมก้าน่ะครับ ดูเธอทรมานมากกับสังคมเลยอยากจะหาทางช่วยเธอบ้างน่ะครับ” ไมเคิลพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะจากไป วิลเลี่ยมออกไปส่งแขกที่หน้าประตูก่อนที่จะกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก
ศาสตราจารย์หนุ่มคว้าเสื้อโค้ตตัวยาวมาสวมแล้วเดินไปที่โรงจอดรถเพื่อขับรถสีดำคู่ใจออกไป เวลาที่นัดกับจิตแพทย์โรงพยาบาลเคมานคือบ่ายโมงตรง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี เขาพอจะมีเวลาแวะไปซื้อมื้อเที่ยงที่ร้านโปรดได้
วิลเลี่ยมขับรถออกมาตามท้องถนน หมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างเงียบสงบเพราะส่วนใหญ่เป็นคนแก่ที่เกษียณแล้วมาพักอาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือไม่ก็พวกที่ไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน เขาขับมาเรื่อยๆ จนถึงย่านการค้าใจกลางเมือง ผู้คนจึงเริ่มหนาแน่นขึ้น แต่เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนรถจึงไม่ติด
ชายหนุ่มจอดรถไว้หน้าร้านแฮมเบอร์เกอร์วิลสัน แล้วเดินลงไปสั่งซื้อเซ็ตอาหารกลางวันมาหนึ่งชุด เขารออยู่สักพักพนักงานก็นำมาเสิร์ฟ วิลเลี่ยมแกะห่อออกหยิบแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมากินตามด้วยดื่มน้ำอัดลมแล้วหยิบเฟรนฟรายใส่กระเป๋าพร้อมเดินไปจ่ายเงิน
“นี่ของแถมสำหรับเดือนนี้ค่ะ” พนักงานยื่นห่อลูกกวาดสีสันสดใสมาให้เขาหลังจากคิดเงินเรียบร้อยแล้ว เป็นจุดเด่นอีกอย่างของร้านวิลสันที่มักจะสรรหาของแถมมาให้ลูกค้าทุกเดือน วิลเลี่ยมรับมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินออกไปที่รถแล้วสตาร์ทเครื่องเพื่อขับต่อ
ระหว่างทางคนของโรงพยาบาลเคมานโทรมาถามอีกรอบเพื่อความแน่ใจ เขาจึงได้ยืนยันว่ากำลังจะเดินทางไป เมื่อพ้นจากย่านการค้าและขับต่อไปอีกห้าร้อยเมตรก็ถึงที่หมาย หลังจากขับรถไปจอดที่ลานจอดรถตามที่ยามบอกแล้วจึงลงมา
วิลเลี่ยมเดินไปที่ห้องประชาสัมพันธ์ทันที “ขอโทษนะครับ ผมมาขอพบแพทย์หญิงรีเบคก้า วาร์นครับ”
“รอสักครู่นะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยเสียงใสแล้วยกโทรศัพท์ขึ้น พูดอะไรสักพักหนึ่งก็วาง วิลเลี่ยมเดินไปรอที่เก้าอี้อย่างว่าง่าย ขณะรอก็มองไปรอบๆ ส่วนนี้ของโรงพยาบาลไม่มีอะไรมาก มีญาติคนไข้ที่มารอเยี่ยมบ้าง กับพยาบาลที่กำลังพาคนไข้เดินเล่นอยู่แถวๆ สวนด้านหน้า
ทุกสายตามองมาที่เขาด้วยความรู้สึกประหลาด บ้างมองอย่างหวาดกลัว บ้างมองอย่างรังเกียจ
เขาเข้าใจดี ที่นี่คือโรงพยาบาลจิตเวชสำหรับโอเมก้าโดยเฉพาะ เพราะพวกโอเมก้านั้นมีความสามารถพิเศษ ในทุกๆ สามเดือนจะมีช่วงที่เรียกว่า ‘ฮีท’ ซึ่งจะตกอยู่ในห้วงอารมณ์ตัณหา ดึงดูดพวกอัลฟ่าให้ไร้สติแล้วเข้าจู่โจม
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่ดีและพวกอัลฟ่าเรียกร้องที่จะไม่อยู่ร่วมกับพวกโอเมก้าจึงได้มีการสร้างอาคารพิเศษแยกมาโดยเฉพาะ ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือโบสถ์
โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลจิตเวชนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ป่วยทางจิตเพราะถูกกระทำจากอัลฟ่า ชนชั้นเดียวกับเขา แล้วโอเมก้าเองก็มองอัลฟ่าไม่ดีอยู่แล้ว วิลเลี่ยมจึงทำได้แค่ประดับรอยยิ้มบางๆ ไว้บนใบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นรอบตัวเขาราวสิบเมตรไม่มีใครเฉียดเข้าใกล้เลย
“สวัสดีค่ะคุณวิลเลี่ยม ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน ฉันเพิ่งตรวจคนไข้รอบเช้าเสร็จ” หญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้ม แล้วยกมือขึ้น “ดิฉันรีเบคก้า วาร์น ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ผมวิลเลี่ยม ซี. มาร์เดนครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูลครั้งนี้นะครับ ลำบากคุณแย่เลย” วิลเลี่ยมแนะนำตัวกลับ อีกฝ่ายกลับนอบน้อมตอบมาว่า
“ไม่เลยค่ะ ตอนที่รู้ข่าวเรื่องคุณ ดิฉันยินดีด้วยซ้ำ หวังว่าสิ่งที่คุณพยายามทำอยู่จะสำเร็จก่อนที่ฉันจะลงโลงนะคะ”
คำพูดนั้นกึ่งจริงกึ่งเล่น แต่ทำให้วิลเลี่ยมหัวเราะออกมาเบาๆ ได้ ก่อนจะตอบด้วยความมุ่งมั่นว่า “แน่นอนครับ มันต้องเสร็จในเร็ววันนี้แน่ครับ”
“ถ้ายังงั้นดิฉันจะพาไปแนะนำนะคะ โอเมก้าที่อยู่ที่นี่ สาเหตุการป่วยส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของสังคมได้ บางคนก็ถูกกระทำจากพวกอัลฟ่าอย่างไม่เต็มใจจนเกิดภาวะเครียดจัด” รีเบคก้าอธิบายให้เขาฟังก่อนจะเดินไปเรื่อยๆ สุ่มตัวอย่างผู้ป่วยที่เจอบางคนมาเล่าให้เขาฟังว่าเป็นอะไรและเกิดจากอะไร
เป้าหมายของวิลเลี่ยมวันนี้คือการพูดคุยกับโอเมก้าโดยตรง แต่เพราะเขาเป็นอัลฟ่า ถ้าไม่โดนขว้างของใส่ผู้ป่วยก็จะคลั่งจนพูดไม่รู้เรื่อง จึงทำให้เขาท้อใจ
“เฮ้อ ลำบากแย่เลยนะครับ แบบนี้...” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางบ่นพึมพำ รีเบคก้านิ่งคิดอยู่นานก่อนจะบอกบางอย่างออกมา
“ดิฉันมีอีกคนหนึ่งที่คิดว่าคุณน่าจะคุยด้วยได้”
“เอ๊ะ?”
“เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างแปลก ตัวเขาเองเกิดในตระกูลที่มีแต่อัลฟ่า พออายุห้าขวบก็ถูกทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เลี้ยงรวมกับเบต้า ถูกรังแกสารพัด แถมยังถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนรวมจึงถูกรังแก เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาทนไม่ไหวเลยพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง สุดท้ายก็เลยถูกส่งตัวมาที่นี่”
แพทย์หญิงอธิบายสีหน้าหดหู่ แม้แต่วิลเลี่ยมที่เพิ่งได้ฟังยังรู้สึกปวดในอกด้วยซ้ำ
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ค่ะ พอเด็กคนนั้นถูกส่งตัวมาที่นี่ก็ไม่พูดกับใครเลย เอาแต่วาดรูปอยู่อย่างเดียว” รีเบคก้าถอดสายตาไปยังหอผู้ป่วยพิเศษชายก่อนจะหันมาถามว่า “คุณอยากจะลองไปพบเขาดูไหมคะ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่วิลเลี่ยมก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ครับ ผมอยากไปพบกับเขา”
“ถ้ายังงั้น ทางนี้ค่ะ” รีเบคก้าเดินนำชายหนุ่มไปยังหอพิเศษนั้น ทั้งสองคนขึ้นลิฟต์ของเจ้าหน้าที่ขึ้นไปยังชั้นสาม ผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าสุดแล้วจึงจะสามารถเข้าประตูไฟฟ้ามาได้
รีเบคก้าแนะนำเขากับเจ้าหน้าที่ในห้องพร้อมกับให้ตรวจค้นวิลเลี่ยมว่าไม่ได้พกของอันตรายมา และบอกให้ปลดล็อกประตูไฟฟ้าห้องที่กำลังจะเข้าไป
พวกเขาเดินผ่านโถงกลางที่ไม่มีใครอยู่ไปจนถึงหอนอนที่อยู่ด้านในสุด รีเบคก้าหยุดยืนอยู่หน้าห้องแล้วหันมาบอกกับเขาว่า “ถ้าจะเข้าไป คุณต้องเข้าไปคนเดียวนะคะ เด็กคนนั้นไม่ชอบให้เข้าไปหลายคน”
“ได้ครับ” วิลเลี่ยมพยักหน้าก่อนจะสูดลมหายใจ บรรยากาศที่แผ่ออกมานอกห้องนั้นชวนให้อึดอัด ชายหนุ่มทำใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเคาะประตูเปิดเข้าไป
ความเย็นเยียบของแอร์ทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกว่าแก้มตัวเองถูกแช่แข็งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะชะงักเมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบจากใต้ฝ่าเท้าจึงก้มลงดู ทั่วห้องนี้เต็มไปด้วยกระดาษที่ถูกละเลงสีแล้ว
มีทั้งที่มองเห็นเป็นรูปวาดอย่างชัดเจน ที่ถูกละเลงสีเฉยๆ และที่ร่างแค่ดินสอไว้ วิลเลี่ยมมองไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่กลางห้อง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุดคู้อยู่ที่พื้น มีกระดาษกับสีอยู่ข้างตัว ตรงหน้าเด็กคนนั้นมีกระดาษที่กำลังถูกละเลงสีเทียนอยู่ ดวงตาสีดำคู่สวยนั้นจดจ่ออยู่ที่แต่กับภาพ
ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดที่วิลเลี่ยมไม่สามารถอ่านได้
เหมือนกับทะเลทรายแห้งแล้งที่เติมน้ำไปก็ไม่มีวันได้เป็นบ่อบึง
วิลเลี่ยมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งหน้าเด็กหนุ่ม เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “สวัสดี”
เด็กคนนั้นหยุดชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตานั้นทำให้เขาอดรู้สึกประหลาดไม่ได้ แต่โดยรวมองค์ประกอบรูปร่างของเด็กคนนั้นไม่ได้แย่ สามารถเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าดีด้วยซ้ำ ทั้งเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ผมสีดำเงางามดูนุ่มมือ รูปร่างที่หากมีเนื้อหนังมากกว่านี้ก็คงจะสมส่วน น่าเสียที่ตัวเล็กไปหน่อยอาจเป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลดีเท่าที่ควร
เด็กคนนี้มีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกโอเมก้าค่อนข้างเข้มข้น ดูจากรูปร่างแล้วคงอยู่ในวัยที่เริ่มฮีทได้ไม่นาน โอเมก้าส่วนใหญ่จะเริ่มฮีทเมื่ออายุ 13 เป็นต้นไป
“ฉันวิลเลี่ยม ซี. มาร์เดน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
วิลเลี่ยมนึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อของเด็กคนนี้ทำให้ต่อบทสนทนาไม่ค่อยออก แถมพอเห็นเขา เด็กตรงหน้าก็เกิดอาการตกใจจนถอยหลังหนีไปก้าวหนึ่ง หยุดมือที่วาดรูปทันที
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันแค่มาคุยกับเธอ ไม่มีอะไรหรอก” วิลเลี่ยมพยายามเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เด็กหนุ่มเองก็คล้ายจะเข้าใจเลยกลับมาหยิบสีเทียนแล้วระบายต่อ แต่คงไม่มีความคิดจะคุยกับเขา ชายหนุ่มยิ้มขืนก่อนจะหาเรื่องคุยต่อ “ชอบวาดรูปเหรอ รูปที่เธอวาดสวยมากเลยนะ ขอฉันดูได้ไหม?”
เด็กคนนั้นพยักหน้าแต่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาแม้แต่น้อย ทำให้วิลเลี่ยมลำบากใจไม่น้อย แต่การได้รับอนุญาตให้ดูของของเจ้าตัวก็ถือว่าได้รับความไว้ใจในระดับหนึ่ง
วิลเลี่ยมหันไปสนใจรูปที่ถูกวาดที่วางอยู่เต็มห้อง ก่อนจะสะดุดตาที่ภาพหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว มันเป็นรูปตึกที่เขาเคยเห็นในเมือง ทว่ามีร่องรอยเพลิงไหม้ใหญ่ในตึก ห่างออกจากรูปนั้นเองก็เป็นรูปเครื่องบินที่ลอยอยู่กลางน้ำ มีผู้คนออกมาชูมือขอความช่วยเหลือเต็มไปหมด
ไกลออกไปเขาเห็นภาพรถที่กำลังชนคนด้วย ภาพเหล่านั้นทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด เขารีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายไว้ แล้วเดินดูรอบๆ ภาพที่ถูกวาดนั้นแตกต่างกันออกไป ภาพน่ากลัวนั้นเป็นส่วนน้อย เด็กคนนี้วาดได้หลายแบบ เป็นภาพทิวทัศน์และพวกสัตว์
แต่ไม่มีรูปคนอยู่เลยนอกจากรูปเหตุการณ์พวกนั้น
วิลเลี่ยมหันกลับมามองเด็กตรงหน้า และเขาก็พบข้อสังเกตหนึ่งอย่าง เด็กคนนี้กำลังสั่นหงกๆ เหมือนกับคนกำลังหนาว พอเขาหันไปมองเลขดิจิตอลที่แสดงอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศก็พบว่ามันขึ้นที่ 21 องศาซึ่งเรียกได้ว่าค่อนข้างเย็นจัดสำหรับช่วงนี้
ด้วยความหวังดีเขาเลยลุกขึ้นไปหยิบรีโมทแอร์มาปรับก่อนจะหยิบผ้าห่มที่วางอยู่บนเตียงมาห่มให้เด็กหนุ่ม อีกฝ่ายนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยอมห่มผ้าแต่โดยดี “ไม่ได้นะ ถ้าทนตากอากาศหนาวแบบนี้เรื่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
เด็กคนนั้นก้มหน้านิ่ง หยุดมือที่วาดอยู่อีกครั้ง พอเห็นว่าไม่ได้สนใจสิ่งใดแล้ววิลเลี่ยมเลยพยายามชวนคุยอีก
“จริงสิ กินลูกอมไหม ฉันมีติดมา” เขาว่าพร้อมล้วงเอาห่อลูกกวาดสีสันสดใสมาให้เด็กหนุ่ม “หวานนะ อร่อยด้วย”
อีกฝ่ายจ้องห่อลูกกวาดด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจะยื่นมือมารับช้าๆ ทำให้วิลเลี่ยมดีใจไม่น้อย พอเห็นแบบนั้นแล้วเลยหยิบเอาห่อเฟรนฟรายที่หยิบมาด้วยมาวางไว้ตรงหน้า
“นี่ก็อร่อยนะ ลองกินไหม มีซอสให้ด้วยนะ” เขาจัดแจงเปิดถ้วยซอสมะเขือเทศที่หยิบติดมา แล้วหยิบเฟรนฟรายหนึ่งชิ้นมากินโชว์ให้อีกฝ่ายเห็น เขารบเร้าอยู่สักพักในที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยอมหยิบไปกินชิ้นหนึ่ง
เมื่อกัดไปแล้ว เด็กคนนั้นนิ่งสนิท วิลเลี่ยมไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรเพราะใบหน้านั้นเรียบเฉยมาก แต่การเห็นอีกฝ่ายลองจิ้มกินกับซอสจนหมดแท่งแล้วหยิบแท่งใหม่ขึ้นมากินอีกก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของเขา
วิลเลี่ยมยิ้มแก้มปริขึ้นทันที ก่อนจะชวนอีกฝ่ายคุยหลายเรื่อง เหมือนกับว่าได้เล่าเรื่องหลายๆ อย่างให้เด็กคนนี้ฟัง ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้แต่คนตรงหน้ากำลังตั้งใจฟังเขาอยู่
จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกทำให้เขาหันไปมอง เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลกำลังลากรถเข็นเข้ามา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณเซ็ธได้เวลาทานอาหารแล้วค่ะ”
วิลเลี่ยมเหลือบมองเวลา พบว่าตอนนี้หกโมงแล้วจึงรีบลุกขึ้นบ่นพึมพำว่า “ตายล่ะ ผมเผลอคุยยาวไปหน่อย ถ้างั้นจะไม่รบกวนแล้วนะครับ บายนะ แล้วเจอกันใหม่”
ประโยคหลังเขาหันไปคุยกับเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายมองตาเขาก่อนที่ดวงตาสีดำนั้นจะเบิกกว้างแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาวาดรูปอย่างลวกๆ จากนั้นก็ส่งให้วิลเลี่ยม
“เอ๊ะ นี่คือ?”
“คุณ...ระวัง” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเป็นคำๆ ที่ไม่ค่อยเข้าใจ วิลเลี่ยมรับกระดาษแผ่นนั้นมาก่อนที่พนักงานจะทักขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ตายแล้ว ฉันไม่ได้ยินเขาพูดมานานมากแล้วนะ ดูท่าเขาจะถูกใจคุณ”
วิลเลี่ยมยิ้มรับก่อนที่จะขอตัวออกจากห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูออกไปนั้นเขาได้กางกระดาษดู
เป็นรูปคนที่ไม่เคยมีในห้อง ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในตอนกลางคืนบนถนนเปลี่ยว ที่น่าตกใจกว่าคือด้านหลังนั้นมีคนอีกคนกำลังง้างท่อนเหล็กเตรียมฟาดมา
วิลเลี่ยมพับรูปนั้นเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะเดินออกมาพบกับรีเบคก้าข้างนอก เธอรีบลุกขึ้นมาถามเขาทันที “เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ก็ดีครับ ถึงเขาจะไม่คุยกับผม แต่การที่เขาไม่กลัวนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นเด็กที่เป็นมิตรจริงๆ”
“งั้นหรือคะ แต่ว่า...จะพูดยังไงดี ดิฉันคิดว่าเด็กคนนั้นค่อนข้างมีอะไรแปลกๆ นิดหน่อย เมื่อก่อนก็มีแพทย์เจ้าของไข้อยู่หรอกค่ะ แต่ว่าตอนนี้ย้ายไปแล้ว”
“เอ๋ ทำไมหรือครับ?” วิลเลี่ยมเลิกคิ้วขึ้นถามขึ้นด้วยความสงสัย อีกฝ่ายลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “หมอคนนั้นเขากลัวเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้น่ะค่ะ เพราะว่าครั้งหนึ่งเธอเคยได้รับภาพจากเด็กคนนั้น เหมือนว่าจะเป็นภาพรถชนคนยังไงนี่แหละค่ะ แล้วเย็นวันนั้นเธอก็โดนรถชน เจ็บเอาการเลยทีเดียว”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น วิลเลี่ยมก็รู้สึกขนลุกวาบขึ้นมาทันที แต่เขาไม่ได้เล่าว่าตนเองก็ได้รับกระดาษมาเหมือนกัน
“แล้วตอนนี้ใครเป็นคนดูแลเด็กคนนี้หรือครับ” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องทันที
“ไม่มีค่ะ ผลตรวจชี้แล้วว่าเขาเป็นปกติ แต่ว่าเราติดต่อไปยังไงก็ไม่มีใครมารับเลย เด็กคนนี้เหมือนว่าตอนนี้จะถูกตัดญาติไปหมดแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมยืนค้าง แล้วหันไปมองห้องที่เขาเพิ่งออกมา เด็กคนนั้นถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวในโรงพยาบาล ในห้องที่อ้างว้าง พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา
-------------------------
บทที่ 1 การพบกันของทั้งสองคน (ครึ่งหลัง)
“จวนจะได้เวลาดิฉันไปทำธุระอย่างอื่นแล้ว คุณมีอะไรที่อยากจะถามอีกไหมคะ” รีเบคก้าเอ่ยถามขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหันมา ก่อนจะยิ้ม
“ไม่มีแล้วครับ ผมเองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน วันนี้ขอบคุณมากๆ นะครับ”
ชายหนุ่มโค้งหัวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุดซึ้งก่อนที่จะเดินไปที่รถแล้วขับกลับบ้าน เมื่อมาถึงก็นำข้อมูลทั้งหมดมาบันทึกใส่ในคอมพิวเตอร์ แล้วนึกขึ้นได้เรื่องรูปจึงเปิดโทรศัพท์ แล้วค้นข้อมูลจากชื่อที่จำได้ในหัว
ทันทีที่หน้าจอประมวลผลเสร็จในเสี้ยววิวิลเลี่ยมก็อดอุทานด้วยความทึ่งไม่ได้
“พระเจ้า...”
นั่นคือตึกวิลสันแอนด์ซอนที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับการส่งออก แต่หกเดือนก่อนมีเหตุเพลิงไหม้ขึ้น ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการลอบวางเพลิง ตอนนี้สามารถจับคนร้ายได้แล้ว สืบสาวไปจนทราบว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว ผู้ที่มีความแค้นกับประธานบริษัทเป็นคนจ้างวานมา
ตึกโดนไฟไหม้ชั้นเดียว ส่วนเดียวกันกับรูปที่ถูกวาดขึ้น
เขาลองหาข้อมูลจากอีกสองสามภาพ เครื่องบินที่ลอยอยู่บนน้ำนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลดิร์เรเนียน แถวกรุงโรมของประเทศอิตาลีเมื่อสองเดือนที่แล้ว
และเมื่อเขาค้นหาเลขทะเบียนรถที่ถูกวาดขึ้นก็พบว่ามันเป็นรถที่เกิดอุบัติเหตุกับจิตแพทย์หญิงคนหนึ่งของโรงพยาบาลจิตเวชเคมาน วิลเลี่ยมคาดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับที่เคยดูแลเซ็ธมาก่อน
เขาอดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเหตุใดเหตุการณ์พวกนี้จึงสอดคล้องกับรูปที่เด็กคนนั้นวาดอย่างพอดิบพอดี ราวกับเห็นภาพมาก่อน จะมีทางใดที่คนไข้ในโรงพยาบาลได้รับข่าวบ้างเพราะเขาเห็นว่าห้องนั้นไม่มีโทรทัศน์หรืออุปกรณ์ที่จะช่วยให้ติดตามข่าวสารได้สักนิด
วิลเลี่ยมตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหารีเบคก้าเพื่อคุยกับเธออีกครั้ง และได้คำตอบที่ชวนให้น่าทึ่งไม่น้อย
ตั้งแต่มาอยู่เมื่อหนึ่งปีก่อนเซ็ธก็หลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนมาโดยตลอด เรื่องการดูโทรทัศน์ในห้องรวมนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ และเด็กคนนั้นก็ไม่อ่านหนังสืออื่นนอกจากนิทานภาพ นั่นทำให้วิลเลี่ยมคิดหนักไม่น้อย เขาตัดสินใจนัดวันเวลากับรีเบคก้าอีกครั้งเพื่อตรวจสอบข้อมูลในวันพรุ่งนี้เวลาบ่ายสอง
ศาสตราจารย์อดตื่นเต้นไม่ได้ที่ได้พบโอเมก้าที่พิเศษแบบนั้น เขาคิดหาทฤษฎีความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้วเขียนร่างไว้ และคิดหาหนทางที่จะทำให้เซ็ธยอมพูดกับเขา
ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกทำลายลงเพราะเสียงท้องร้อง วิลเลี่ยมย่นคิ้วขณะเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วและเขายังไม่ได้กินข้าวเย็น ทว่าพอเดินไปเปิดตู้เย็นดูก็พบความว่างเปล่า ดูเหมือนสต๊อกอาหารของเขาจะหมดแล้ว แต่จะไปซื้อกินข้างนอก ร้านแถวนี้ก็คงปิดหมดแล้ว
ทางเลือกเดียวของเขาก็คือร้านสะดวกซื้อที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร วิลเลี่ยมคว้าโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลมาสวมไว้แล้วหยิบกระเป๋าเงินเดินออกไป
ถนนยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างเปลี่ยวเพราะคนแถวนี้ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว อุณหภูมิเย็นจัดที่เขารับรู้ได้ผ่านสายลมที่พัดมาทำให้นึกถึงเซ็ธขึ้นมา เพราะเด็กคนนั้นไม่กล้าที่จะพูดกับใครจึงร้องขอสิ่งที่ต้องการไม่ได้ เขาหวังแค่ว่าตอนนี้คงจะมีคนปิดแอร์ให้แล้ว
บรรยากาศรอบข้างนั้นค่อนข้างน่ากลัว ชายหนุ่มจึงหยุดคิดเรื่องอื่นแล้วจ้ำฝีเท้าไปให้ถึงร้านสะดวกซื้อโดยเร็วที่สุด เขาซื้ออาหารกับเครื่องดื่มสองสามอย่างแล้วตรงไปชำระเงิน รอของอุ่นร้อนสักพักก็เดินออกมา
ขากลับนั้นเรียกได้ว่าเปลี่ยวยิ่งกว่าเพราะไม่มีรถผ่านมาเลย ไฟตามถนนเองก็ไม่ได้ส่องทั่วถึง
แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงรูปที่เซ็ธให้ขึ้นมา
ในรูปนั้นผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าใส่โค้ตตัวยาวสีน้ำตาล เหมือนกับเขา...
วิลเลี่ยมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบามาก มันจะไม่ได้ยินหากเขาไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่เพราะนึกถึงรูปวาดนั้นทำให้เขามีสติขึ้นมา ชายหนุ่มหันกลับไปด้านหลังทันที และเป็นดังที่คาด
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่กำลังง้างท่อนเหล็กในมือชะงักไปวูบหนึ่ง แต่ก็เตรียมฟาดใส่เขาอีกครั้ง วิลเลี่ยมรีบกระโดดหลบก่อนจะคว้าก้อนหินแถวนั้นปาใส่มืออีกฝ่ายจนท่อนเหล็กร่วงลงมา โจรนั่นร้องโอดโอยก่อนจะรีบเผ่นไปทันที
ดูจากความเร็วแล้วเขาคงตามไม่ทัน วิลเลี่ยมจึงได้สบถในใจแล้วรีบกลับบ้าน การไปสถานีตำรวจคนเดียวตอนนี้ไม่ปลอดภัยเลยกะจะไปหาคนช่วย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็คว้าโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนสนิททันที
“เอ็ด เมื่อกี้มีคนจะทำร้ายฉัน ช่วยมาพาไปสถานีตำรวจหน่อยสิ” เขากรอกเสียงพูดที่ดูเชื่องช้าแต่ใจเย็น อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด
“หา! ว่ายังไงนะ นายนี่มัน...เคยบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนว่าให้ระวัง” ไม่ทันไร เอดิสันหรือเอ็ด เพื่อนของเขาก็โวยวายผ่านโทรศัพท์กลับมาทำให้วิลเลี่ยมยิ้มขืน เพราะไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้ เจ้าคนใจร้อนนั่นตัดสายทิ้งไป แล้วเดี๋ยวก็คงโผล่มา
เขาหันกลับไปหยิบรูปภาพที่ได้รับมาจากเซ็ธอีกครั้ง หากไม่ได้นึกถึงภาพนี้แล้วเพิ่มการระวังตัวขนาดนี้ล่ะก็ เขาก็คงไม่รอดแล้ว
วิลเลี่ยมอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังพบเจอกับบุคคลที่มีคุณค่ามากที่สุด
เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าเด็กคนนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงทัศนคติและภาพลักษณ์ของชนชั้นต่างๆ ในสังคมได้
-----------------------------------
สวัสดีค่ะ นี่เป็นผลงานโอเมก้าเวิร์สที่เขียนเรื่องแรก ค่อนข้างสนุกค่ะ เรื่องนี้ (ความตั้งใจตั้งต้น) เป็นแนวเรื่อยๆ สบายๆ สดใส ดราม่ากรุบกริบ ยังไงก็มาเป็นกำลังใจให้วิลเลี่ยมคนดีของเรากันนะคะ แต่ว่าทางเราขอทุ่มหัวใจเอ็นดูน้องเซ็ธค่ะ (ฮา)
บทที่ 3
เหตุการณ์ยามค่ำคืน
บรรยากาศหลังเอดิสันกลับมานั้นคลายความกังวลลงไปเยอะ แต่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงมีท่าทีเกร็งๆ คิดว่าสิ่งเดียวที่เรียกว่ายังคงหน้าระรื่นได้ไม่ลำบากก็คงเป็นวิลเลี่ยมเพียงคนเดียว
“ดูสิๆ โดนัทหลายชิ้นเลยล่ะ นายชอบแบบไหนเหรอ?” ศาสตราจารย์หนุ่มวัยยี่สิบห้าเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงร่าเริง ดูแล้วเหมือนครูอนุบาลที่กำลังหลอกล่อเด็กมากกว่า ไม่สิ ในกรณีของคนคนนี้ภาพลักษณ์ที่ถูกต้องอาจเป็นคนแปลกหน้าอันตรายก็ว่าได้
เซ็ธกวาดสายตามองโดนัทที่มีแต่ยังไม่จำเพราะเจาะจงสักทีเพราะเขาเพิ่งเคยเห็นของที่น่ากินและมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทั้งรูปลักษณ์และสีสันนั้นล้วนสวยงาม
วิลเลี่ยมเห็นอีกฝ่ายกำลังลังเลอย่างหนักเลยลองหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมา เป็นโดนัทรูปสุนัขสีขาวแต่งเติมด้วยช็อกโกแลตสีน้ำตาลเป็นหูด่าง “ลองอันนี้ไหม”
“...ขอบคุณครับ” ในที่สุดเด็กหนุ่มก็รับไปก่อนจะกัดโดนัทเล็กน้อย เมื่อเคี้ยวจนกลืนลงคอไปแล้ววิลเลี่ยมจึงได้ถาม “เป็นไง?”
“หวาน...อร่อย” เซ็ธเงยหน้าขึ้นมาตอบเขา แม้สายตาจะไม่เปลี่ยนไปเท่าไรแต่คำพูดนั้นก็ทำให้วิลเลี่ยมดีใจจนยิ้มแก้มปริ
“งั้นกินอีกนะ กินเยอะๆ เลย”
“หยุดล่อลวงเด็กแบบนั้นได้แล้วน่า” สุดท้ายแล้วเอดิสันก็เป็นฝ่ายทนดูไม่ได้เลยรีบหิ้วคอเพื่อนตัวเองให้ห่างออกมา วิลเลี่ยมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะกระแอมไอแล้วกลับมาทำสีหน้าปกติ
“งั้นฉันขอเข้าเรื่องจริงจังสักครู่นะ เซ็ธ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ เมื่อเขากินโดนัทไปจนหมด วิลเลี่ยมจึงได้เริ่มถาม
“เซ็ธ นายมองเห็นอนาคตได้ใช่ไหม” เขาเริ่มจากการทำให้ตัวเองและเอดิสันแน่ใจเสียก่อน เซ็ธนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะตอบว่า “ผมไม่แน่ใจ...”
“งั้นนายจะอธิบายได้ไหม สิ่งที่นายเห็นคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใช่ไหม” ศาสตราจารย์หนุ่มไม่ยอมแพ้ที่จะจำกัดวงคำถามให้เด็กหนุ่มพอจะตอบออกมาได้ จากการศึกษาพฤติกรรมของพวกโอเมก้ามานั้นทำให้เขารู้ข้อจำกัดทางความคิด เพราะไม่ได้รับสิทธิ์การศึกษาจากรัฐบาลทำให้พวกเขาค่อนข้างหัวช้า
“ไม่ใช่ทั้งหมด...หมายถึง ผมไม่ได้เห็นทั้งหมดว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นบ้าง” เซ็ธค่อยๆ พูดออกมา เขาสูดลมหายใจเข้าก่อนจะบอกว่า “ผม...เห็นแค่เรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น”
วิลเลี่ยมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปมองเอดิสันก็พบว่ายังคงมีสีหน้าปกติอยู่ เขาหันกลับมามองที่ตัวโอเมก้าหนุ่มต่อ
อีกฝ่ายอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกต่อว่า “ถ้าได้สบตากัน ผมจะมองเห็นเคราะห์ร้ายของเขา”
“งี้นี่เอง แล้วนายมีอาการอะไรไหม แบบ...ปวดหัว อะไรแบบนี้” วิลเลี่ยมถามนำขึ้นทำให้เซ็ธพยักหน้า
“เมื่อก่อนถ้าเห็นผมจะปวดหัวมากๆ คลื่นไส้ด้วย บางที...ก็อาเจียนออกมาจริงๆ”
“มันเป็นอาการข้างเคียงของการใช้พลังจิตน่ะ” เอดิสันเป็นคนบอกขึ้น “พลังจิตจะสำแดงออกมาผ่านการกระตุ้นโดยตรงและสั่งการจากสมอง เพราะเป็นพลังที่ร่างกายไม่ชินจึงจะแสดงอาการแพ้ออกมาบ้าง แต่ไม่นานก็จะเริ่มชินไปเอง”
“ตอนนี้ถ้านายเห็นจะรู้สึกยังไง” ศาสตราจารย์หนุ่มถาม “ตอนที่นายเจอฉัน นายเห็นใช่ไหมแล้วรู้สึกยังไง”
“มึนหัวแล้วก็ปวดท้องหน่อยๆ” เซ็ธอธิบายตามความเป็นจริง ก่อนจะเงียบไป ทำให้วิลเลี่ยมต้องคิดคำถามใหม่
“เซ็ธ นายรู้ใช่ไหมว่าโอเมก้าทั่วไปเป็นยังไง” เขาลองถามขึ้น แน่นอนว่าเด็กหนุ่มพยักหน้า วิลเลี่ยมจึงได้พูดต่อ “และนายรู้ใช่ไหมว่าตัวเองไม่เหมือนโอเมก้าคนอื่น”
อีกฝ่ายนิ่งเงียบไป เขาจึงเปลี่ยนคำถาม “นายรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไรว่าสามารถทำแบบนั้นได้”
เซ็ธเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตั้งแต่...จำความได้”
“น่าทึ่งมาก” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยตาเป็นประกาย แม้เอดิสันเองก็ยังตกใจด้วย ในบรรดาอัลฟ่าทั้งหมด มีจำนวนน้อยนักที่จะสามารถใช้พลังจิตได้ตั้งแต่เล็ก ส่วนใหญ่จะต้องผ่านการกระตุ้นด้วยเทคโนโลยีคัดกรองชนชั้นเสียก่อน
“แล้วนายได้บอกคนอื่นไหม?” วิลเลี่ยมถามต่อ แม้จะไม่มีใครคาดคิดเรื่องโอเมก้าเองก็สามารถใช้พลังจิตได้ แต่ด้วยนิสัยของเด็กหนุ่มที่เขาคาดเดาแล้ว คิดว่าคงต้องได้เตือนคนอื่นบ้าง
“ผม...เคยบอกเพื่อนๆ กับคุณครู แต่ไม่มีใครเชื่อผม...” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง เขากำผ้าห่มแน่นก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “เขาคิดว่าผมเป็นตัวประหลาด...ตัวประหลาดที่สาปแช่งพวกเขา...ก็เลยทำร้ายผม”
น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่นเครือจนวิลเลี่ยมพูดอะไรไม่ออก เขายกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า “ไม่ต้องร้อง ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว เด็กดี...”
“ไม่” แต่เซ็ธกลับตัดบทสนทนาพลางส่ายหน้า “ผมกลัว...กลัวพวกเขา”
คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมขมวดคิ้ว “พวกเขา...ใคร?”
เด็กหนุ่มตัวสั่นขึ้นมาจนสังเกตได้ชัด สีหน้านั้นแสดงความหวาดกลัวต่อบางอย่างออกมา “พวกเขา...พวกเขาอยู่ในโรงพยาบาล คอยขายพวกโอเมก้าให้คนอื่น แล้วพวกเขา...พวกเขาจับตามองอยู่”
วิลเลี่ยมชะงักไปทันที เขากอดเด็กหนุ่มไว้เพื่อปลอบอาการตัวสั่นแล้วหันไปมองเอดิสัน อีกฝ่ายเองก็ทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะทำท่าเหมือนต้องการพูดอะไร แต่ทว่าประตูห้องกลับถูกเปิดขึ้นก่อน
“ขอโทษนะครับ ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยม” เสียงนุ่มทุ้มของนายแพทย์คนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาพร้อมพยาบาล “ต่อจากนี้ผมขอเวลาตรวจคนไข้ด้วยครับ เซ็ธต้องทานยาให้ตรงตามเวลาด้วย ขอเชิญพวกคุณกลับไปก่อนเลย”
แม้น้ำเสียงจะปกติ แต่วิลเลี่ยมกลับรู้สึกได้ถึงเจตนาขับไล่แฝงมา
“เดี๋ยวพวกผมจะออกไปแล้วครับ ขอคุยกับเขาอีกนิดหนึ่งจะได้ไหม” วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“อะไรกัน? คุยอะไรอีก นี่ผมให้พวกคุณทำธุระกันมานานมากพอแล้วนะ ตรงนี้เป็นพื้นที่คนไข้พิเศษ เวลาเข้าเยี่ยมคือสามสิบนาที แต่คุณเกินมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ถึงคุณรีเบคก้าจะขอไว้ แต่นี่มันค่อนข้างจะเกินไปนะครับ” หมอคนนั้นสวนกลับมาทำให้วิลเลี่ยมชะงัก
“แล้วอีกอย่าง...ที่นี่มีแต่พวกโอเมก้า อัลฟ่าอย่างพวกคุณคงจะขยะแขยงไม่น้อยสินะ ขนาดผมเป็นเบต้ายังรู้สึกไม่ดีเลย อ้อ...ลืมไปว่าคุณคือศาสตราจารย์ผู้หลงใหลในโอเมก้านี่นะ มาที่นี่คงจะอยากได้โอเมก้ากลับไปนอนด้วยสักคนสินะ”
เพราะวิลเลี่ยมยังคงกอดเซ็ธไว้อยู่อาจทำให้อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นออกมา และพอได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มที่ยังกลัวกับเรื่องในอดีตอยู่จึงกำเสื้อเขาแน่น
“เฮ้ พูดอะไรระวังปากหน่อย” เป็นเอดิสันที่เอ่ยขึ้นเสียงขุ่น จากที่คล้ายยักษ์อยู่แล้วก็จะเป็นยักษ์ไปจริงๆ จนวิลเลี่ยมต้องยกมือห้ามไว้ เขาละแขนจากเซ็ธก่อนจะยิ้มให้เด็กหนุ่มแล้วบอกว่า “โดนัทนี่ฉันจะเหลืออันสวยๆ ไว้ให้นะ แล้วพรุ่งนี้จะมาหาใหม่”
“จริงเหรอ?” ดวงตาของเด็กหนุ่มดูดีใจขึ้นมาบ้าง ทว่ากลับถูกขัดขึ้นจากหมอคนนั้น
“คุณยังคิดมาหาอีกหรือ?” หมอหนุ่มถามย้ำด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
แต่วิลเลี่ยมกลับยกยิ้มให้ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“หา!?” อีกฝ่ายนั้นขึ้นเสียงสูง เห็นชัดว่ากำลังโมโห แต่วิลเลี่ยมนั้นไม่ยี่หระแต่อย่างใดแล้วโต้กลับจากที่ทนฟังอยู่เมื่อครู่ไปจนหมด
“ที่ผมเกินเวลานั้นเป็นความผิดจริงๆ ต้องขอโทษด้วยที่ขัดขวางการทำงานของคุณ จะตำหนิอะไรผมก็ไม่ว่า แต่การดูถูกคนไข้แบบนี้ ในความคิดเห็นของผมคิดว่าคุณไร้จรรยาบรรณการเป็นแพทย์จริงๆ แถมยังเป็นถึงจิตแพทย์?...โรงพยาบาลนี้น่าผิดหวังกว่าที่ผมคิดซะอีกนะครับ”
อีกฝ่ายชะงักไปทันทีจนเห็นได้ชัด วิลเลี่ยมกับเอดิสันเดินออกไปโดยไม่ฟังเสียงด่าทอจากด้านหลัง แต่ก็ยังไม่หายคลางแคลงใจ วิลเลี่ยมตรงเข้าไปพบกับรีเบคก้า รอให้เธอเสร็จธุระจากการตรวจเยี่ยมคนไข้แล้วขอคุยบางอย่าง
“ระยะนี้มีผู้ป่วยที่อาการย่ำแย่ลงโดยไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะ” รีเบคก้าเล่าขึ้นพลางถอนหายใจหลังจากที่เขาไปถามว่าเดี๋ยวนี้ที่โรงพยาบาลมีอะไรแปลกไปไหม
“โรงพยาบาลนี้รับผู้ป่วยที่เป็นโอเมก้าเป็นหลัก ได้งบจากรัฐบาลก็จริงแต่ให้พูดแล้วก็น้อยมาก จัดสรรงบกันแต่ละทีก็ต้องเน้นการรักษา ด้านการรักษาความปลอดภัยนั้นเลยได้งบน้อย” เธอถอนหายใจขึ้นอีก “แต่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรไม่ดีมากไปกว่านี้หรอกนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ” วิลเลี่ยมกล่าวทิ้งท้ายด้วยความสุภาพก่อนจะเดินออกไป เอดิสันที่รออยู่หน้าห้องเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะเดินไปที่รถ ซึ่งคนขับยืนรออยู่แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง” วิลเลี่ยมถามคนที่นั่งข้างๆ เอดิสันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอกว่า “โดนด่ายับเลย แถมยังโดนขูดเลือดขูดเนื้อไปตั้งเยอะ ไว้ฉันจะหักจากทุนงานวิจัยนายละกัน”
ศาสตราจารย์หนุ่มหัวเราะแห้งๆ แล้วยิ้มขืนกลับไป ก่อนจะเหลือบมองไปทางโรงพยาบาลที่ออกมาแล้วพึมพำขึ้นมา “ถ้าไม่เป็นอะไรก็คงจะดีสินะ”
“เป็นห่วงเหรอ?” เอดิสันถามขึ้นพลางเลิกคิ้ว วิลเลี่ยมหันมาพยักหน้ารับก่อนจะบอกว่า
“แน่นอนสิ เด็กคนนั้นน่ะมีเสน่ห์อย่าบอกใครเชียว”
“ก็เป็นโอเมก้านี่นะ สำหรับอัลฟ่า พวกเขาก็น่าดึงดูดให้คิดถึงเรื่องอย่างว่า ถึงสถานะพวกเขาจะยังน่ารังเกียจในสังคมก็เถอะ” เอดิสันพึมพำ ทัศนคติของอัลฟ่าทั่วไป โอเมก้าเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ชั้นดีกับเครื่องผลิตทายาท เรื่องเสน่ห์เย้ายวนนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้อัลฟ่าเห็นค่า
“ใช่แล้ว ใครบางคนก็ตกหลุมรักโอเมก้าเพราะเสน่ห์นั้นเหมือนกัน...” วิลเลี่ยมพูดสีหน้ายิ้มแย้มแต่ก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อเจอฝ่ามือตบหน้าผากไปเต็มๆ
“จริงสิๆ ไปบ้านนายก่อนไหม โดนัทที่เหลือมานี่ฉันคิดว่าน้องหนูของนายจะต้องชอบแน่ๆ หวา อย่าทำหน้าเหมือนจะฆ่ากันอย่างนี้สิ” ใบหน้าของเอดิสันตอนนี้เป็นยักษ์ไปแล้วจริงๆ เจ้าตัวฮึดฮัดก่อนจะก่นด่าว่า
“ไม่ให้ทำได้ไง แกไปบ้านฉันทีไร ขาเตียงมีแต่จะหักมิหักอยู่รอมร่อ ยังจะเสนอหน้ามาอีก!”
วิลเลี่ยมทิ้งท้ายด้วยการหัวเราะแหะๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะเสหน้าไปทางอื่น อย่างไรก็ตามวันนี้ทั้งเขาและเอดิสันก็คงต้องเหนื่อยหน่อย แต่นั่นก็เผื่อคลี่คลายเรื่องของเซ็ธ
“อดทนไปสักพักก่อนนะ...”
...
เซ็ธหยุดมือที่ระบายสีลง เขาเหลือบไปมองโดนัทลายแมวสุดน่ารักที่วางเด่นอยู่บนจาน นี่เป็นชิ้นที่เขาชอบที่สุด แต่ไม่ได้หยิบมากิน คงเพราะเสียดายลวดลายแบบนี้ จริงๆ เขาชอบเกือบทุกลาย กว่าจะกินแต่ละชิ้นล้วนฝืนใจทั้งนั้น
เขาไม่เคยได้รับของดีๆ จากคนแปลกหน้า และรู้ด้วยสามัญสำนึกว่าไม่ควรรับ แต่ผู้ชายคนนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างประหลาด เป็นถึงอัลฟ่าแต่กลับสนใจในตัวโอเมก้า ไม่ใช่ในแง่เรื่องกามารมณ์ด้วย
แล้วอีกฝ่ายก็มีบรรยากาศที่ดี ดังนั้นเขาจึงสามารถวางใจได้ อยากจะขอบคุณทั้งเรื่องโดนัทและการเข้ามาคุยด้วย เซ็ธจึงตั้งใจวาดรูปชิ้นที่ชอบเก็บไว้ให้อีกฝ่ายดูพรุ่งนี้
พอวิลเลี่ยมออกไป หมอคนนั้นก็คุยกับเขาอีกสักพักแล้วยื่นยามาให้ เด็กหนุ่มนั้นหวาดกลัวแต่ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกไป เพราะถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาไหวตัวทน ตัวเองก็จะไม่ปลอดภัย
เซ็ธอึดอัดกับการอยู่ที่นี่...คุณหมอผู้หญิงยืนยันผลแล้วว่าเขาปกติดีตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน แต่ก็ยังถูกขังในห้องแคบๆ นี่ ไม่มีโทรทัศน์หรือสื่อใดดู ซ้ำยังมีคนคอยจับตามองตลอด หมอคนนั้นเข้ามาหลังจากที่หมอประจำตัวเขาประสบอุบัติเหตุและย้ายไปที่อื่น ดูก็รู้ว่าไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
แต่เขาไม่สามารถบอกใครได้ ไม่มีใครเชื่อเขา และมองเขาเป็นตัวประหลาดเพราะพลังที่ดูเหมือนคำสาปนั่น
ทว่ามีคนหนึ่งที่เขาสามารถบอกได้ หากว่าได้เจอกันอีกเซ็ธก็อยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือไป
เด็กหนุ่มหยิบยาที่วางไว้อยู่ในถาดขว้างทิ้งไปในถังขยะ เขาไม่ต้องกินยามาสักพักแล้ว การที่จู่ๆ ก็ถูกหว่านล้อมให้กินนั้นค่อนข้างแปลก
เซ็ธกลับไปวาดรูปต่อให้เสร็จ จนกระทั่งตกกลางคืนที่เงียบสงัด จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกทำให้ต้องรีบล้มตัวลงแกล้งนอนหลับ
เด็กหนุ่มไม่ได้หันหน้าไปทางประตูจึงไม่เห็นว่าใครเข้ามา แต่เสียงพูดคุยกันนั้นคาดเดาได้ว่าไม่ได้มาแค่คนเดียว
“มันหลับแล้ว รีบๆ เอาตัวไป” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา เด็กหนุ่มเบิกตากว้างทันทีเพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของหมอคนนั้น ทันทีที่มือลึกลับเอื้อมมาจะถึงตัวเขา เซ็ธก็รีบผุดลุกขึ้นเหวี่ยงสมุดสเกตเล่มหนาใส่แล้วรีบกระโดดลงจากเตียง
“เฮ้ย จับไว้” คนพวกนั้นโวยวายขึ้นแล้วกรูกันเข้ามาล็อกตัวเขาไว้ เด็กหนุ่มที่หนีไม่พ้นจึงถูกกดลงกับพื้น “อยู่เฉยๆ สิวะ ไอ้บ้านี่”
พวกมันจับมือของเขาไพล่หลัง แล้วมัดไว้ก่อนจะกระชากตัวเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นแล้วพาออกไปข้างนอก
“อยู่นิ่งๆ อย่าส่งเสียง ไม่งั้นแกโดนฆ่าแน่” ชายร่างกำยำที่จับตัวเขาไว้ขู่ขึ้นก่อนจะเดินตามคนอื่นออกไปข้างนอก หมอหนุ่มคนนั้นเป็นคนนำทาง
“เร็วๆ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” หมอคนนั้นเร่งก่อนที่อีกคนจะพึมพำว่า “ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้านายให้จับตาดูไอ้เด็กนี่ไปทำไม”
“จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ รีบพามันไปก่อนที่ไอ้บ้านั่นจะกลับมาพรุ่งนี้” หมอคนนั้นหันมาเตือน เซ็ธถูกฉุดกระชากให้เดินไป เพราะถูกล้อมด้วยคนแปลกหน้าน่ากลัวสามคน เขาจึงไม่กล้าส่งเสียง
ที่ตรงนี้มีแต่ผู้ป่วย คุณหมออยู่ห่างออกไปในห้องพัก พยาบาลก็อยู่ที่เคาท์เตอร์ซึ่งคนพวกนี้คงจะหลีกเลี่ยงไป หากตะโกนออกไป กว่าความช่วยเหลือจะมาเขาอาจจะตายก่อน เป็นความกังวลที่ทำให้เซ็ธไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา
เขาพยายามคิดหาหนทางเรื่อยๆ จนกระทั่งออกมานอกตัวอาคาร พวกมันพาเขาลัดเลาะไปตามสวนที่ไม่มีไฟส่อง ข้างหน้าเป็นรถสีดำคันหนึ่ง
ทว่าขณะนั้นเองคนที่เดินอยู่ข้างๆ เขากลับล้มหงายตึงไปหลังจากมีเสียงถูกอะไรบางอย่างฟาดดังพลั่ก!
สิ่งที่ล้มกลิ้งอยู่ข้างๆ คนที่สลบเหมือนไปคือสับปะรดลูกหนึ่งซึ่งค่อนข้างเละไปบางส่วน ท่ามกลางความสับสนของทุกคนว่ามันมาได้อย่างไร เงาร่างสูงโปร่งสองร่างก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้
วิลเลี่ยมสะบัดผมเพื่อปัดใบไม้ที่ติดอยู่ออกก่อนจะยกยิ้ม เอ่ยเสียงยานคางว่า “จะ – ไป – ไหน – กัน – เอ่ย”
“พวกแก!?” หมอหนุ่มคนนั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “รู้ได้ยังไง”
“ฉันไม่โง่พอจะจับพิรุธไม่ได้หรอกนะ” วิลเลี่ยมสบตากับคนคนนั้นตรงๆ อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าตัวเขานั้นไม่พอใจเอามากๆ แต่จากสายตาตอนนี้ก็คงพอจะรู้สึกเองได้อยู่ “เซ็ธอุตส่าห์ขอความช่วยเหลือขนาดนั้น จะไม่ให้เอะใจก็คงไม่ได้”
เด็กหนุ่มที่ฟังอยู่เบิกตากว้าง แต่ตั้งแต่ที่คนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาเขากลับโล่งใจอย่างน่าประหลาด
“เพราะเซ็ธหวาดกลัวนายอย่างเห็นได้ชัด และการที่นายเข้ามาขัดตอนเราคุยเรื่องที่เขากังวลอยู่ก็เป็นการเผยออกมาแล้วว่านายอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง” วิลเลี่ยมอธิบายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ประกอบกับที่คุยกับคุณรีเบคก้า ฉันเลยสงสัยอะไรขึ้นมา ก็เลยไหว้วานเอ็ดเพื่อนยากให้จ้างนักสืบฝีมือดีมาค้นข้อมูลให้ไง”
“เรื่องนั้น...ไม่มีทางเป็นไปได้!” อีกฝ่ายยังคงค้านออกมา จริงๆ วิลเลี่ยมก็คาดไว้แล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณเอดิสันที่รู้จักนักสืบอัลฟ่าฝีมือดีที่มีพลังจิตยอดเยี่ยม เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถหาข้อมูลมาได้มากมายแล้ว แต่ต้องแลกกับเงินจำนวนมากทีเดียว
“พวกนายใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยนี้ ลักพาตัวโอเมก้าไปค้ามนุษย์ให้นายหน้า แถมยังเฝ้าจับตาดูโอเมก้าคนนี้อีก” วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดขณะยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย “ทั้งพาตัวผู้ป่วยไปซ้ำเติมจนสุขภาพจิตย่ำแย่ การดูถูกผู้ป่วยและไม่เห็นค่าอย่างนี้ นายนี่มันไร้จรรยาบรรณจนไม่น่าอภัยให้จริงๆ”
“หนวกหู! มัวทำอะไรอยู่ จัดการพวกมันสิ” หมอคนนั้นตวาดลั่นแล้วหันไปสั่งสองคนที่เหลือแล้วคว้าตัวเซ็ธมา เบต้าสองคนนั้นเลิ่กลั่กมองหน้ากันสักพักก่อนจะพุ่งหมัดมาทางพวกเขา
วิลเลี่ยมกับเอดิสันกระโดดหลบแยกกันไปคนละทาง ก่อนที่ศาสตราจารย์หนุ่มจะวาดแขนออกไป พุ่มไม้เกิดการสั่นไหวก่อนที่กระสุนปืนใหญ่จะพุ่งออกมาโจมตีเบต้าที่ไล่ตามเขามา
จะเรียกว่ากระสุนปืนใหญ่ก็เป็นแค่ชื่อชั่วคราวเท่านั้น จริงๆ แล้วก็แค่สับปะรดลดราคาที่ไปเหมามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะแค่นั้นเอง
พลังจิตของวิลเลี่ยมหลักๆ คือการควบคุมสิ่งของ รวมกับความแม่นยำที่ฝึกฝนมานั้นทำให้โดนเข้าที่กระหม่อมอย่างจังจนเบต้านั่นล้มหมอบไป
ส่วนทางด้านเอดิสัน วิลเลี่ยมไม่ต้องไปกังวลให้มากความ ด้วยความเป็นยักษ์ของอีกฝ่ายแค่ศัตรูเจอหน้าก็คงจะถวายคอให้เตะกันดีๆ แล้ว ยิ่งตอนนี้เพื่อนของเขากำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะรู้พฤติกรรมของคนพวกนี้ ภาวนาให้แค่ไม่คอหักตายก็คงจะลำบากเกินไป
วิลเลี่ยมหันไปหาหมอคนนั้นที่ยืนทึ่งอยู่ เมื่อเห็นเขามองมาก็สะดุ้งโหยงแล้วจะกระชากเซ็ธให้ไปที่รถ แต่เพราะกำลังตกใจ การจับกุมเลยหละหลวม เด็กหนุ่มสะบัดตัวเต็มแรงครู่เดียวก็หลุดจากนั้นก็หันกลับไปแล้วถีบเข้าที่หว่างขาเต็มแรงจนเกิดเสียงโหยหวนขึ้นทั่วโรงพยาบาล
“อ๊ะ” เพราะตอนหันกลับไปไม่ทันได้ตั้งหลักดี เซ็ธจนเอนไปข้างหลังจวนเจียนจะล้มทว่ากลับถูกดันไว้ด้วยสองมือของใครบางคน วิลเลี่ยมรีบถามทันทีขณะจับแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มให้หันมาหา
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ”
“คะ...ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าทึ่งๆ เขาได้รับการช่วยเหลือจากอีกฝ่าย เป็นเรื่องที่ทั้งประหลาดใจและตื้นตันจนแสดงอารมณ์ไม่ถูก เขาไม่เคยได้รับการใส่ใจแบบนี้มาก่อนเมื่อเห็นรอยยิ้มสว่างสดใสแบบนี้ก็ชักรู้สึกตาพร่ามัวไปชั่วขณะ
เซ็ธทำอะไรไม่ถูกเลยก้มหน้าหนี จนอีกฝ่ายเลิกคิ้วถามขึ้น “หืม เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปะ...เปล่า” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาครู่หนึ่งเพื่อพูดคำบางคำ “ขะ...ขอบคุณครับ” แล้วรีบหลบหน้าหนีไป
วิลเลี่ยมตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะยกยิ้มขึ้น “ไม่เป็นไร ถ้าเพื่อนายแล้วฉันยินดีเสมอ”
“วิล รถตำรวจมาแล้ว เอาเจ้าพวกนี้ขึ้นรถแล้วแกก็ขึ้นตามไปด้วยเลยนะ” เอดิสันขัดขึ้นขณะที่ลากตัวผู้ร้ายอีกสองคนมากองรวมกัน และทนเห็นพฤติกรรมที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรรมไม่ได้ เลยรีบขัดขึ้น จะด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวก็ดีหรือความห่วงอนาคตของเด็กนี่ก็ดี
“ไม่เอาน่าเอ็ด อย่าพูดเล่นสิ” วิลเลี่ยมหัวเราะขึ้นทำเป็นไม่ใส่ใจ จนเอดิสันถอนหายใจยาวๆ แล้วพึมพำว่า “สิบปีเชียวนะ สิบปี เข้าคุกตอนนี้ทุนวิจัยฉันก็เสียเปล่าหมดน่ะสิ”
ท่ามกลางการโต้เถียงกันของสองเพื่อนสนิท เซ็ธก็ได้แต่มึนงงว่าหมายถึงอะไร
พวกตำรวจเข้ามาในที่เกิดเหตุ ลากตัวคนร้ายทั้งสามขึ้นไปแล้วเชิญพวกเขาไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ เซ็ธลำบากใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยไป แต่พอวิลเลี่ยมบอกว่าทั้งตัวเองและเอดิสันก็จะไปด้วยจึงยอมขึ้นรถมา
เมื่อไปถึง แรงกดดันจากพวกอัลฟ่าและเบต้าที่อยู่ที่นั่นทำให้เซ็ธอึดอัด เขาขยับไปหารีเบคก้าที่มาด้วยในฐานะหมอของโรงพยาบาลทันที วิลเลี่ยมเป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง รวมทั้งเรียกตัวนักสืบที่เอดิสันจ้างไว้นำข้อมูลมาประกอบคดี ว่าคนพวกนี้เป็นพวกค้ามนุษย์
อาศัยจุดบอดของโรงพยาบาล นำคนไข้ที่เป็นโอเมก้าออกไปขายให้กับพวกอัลฟ่าที่มาซื้อบริการ และส่งคนมาแทรกซึมเพื่อสังเกตการณ์ในโรงพยาบาล
“แล้วเขาจะจับตาดูเด็กคนนี้ไปทำไม” ตำรวจคนหนึ่งตั้งข้อสงสัยขึ้น โดยทั่วไปแล้วโอเมก้านั้นนอกจากจะธรรมดาแล้วยังไม่ควรชายตามองอีก เซ็ธรู้ดีว่าเรื่องที่เขาแตกต่างออกไปไม่สามารถพูดไปได้
“คงเพราะมีคนใหญ่คนโตสนใจล่ะมั้งครับ” วิลเลี่ยมเลือกที่จะโกหกออกไปและตำรวจก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะนี่เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกัน การกระทำอุกอาจอย่างนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง
พวกเขาให้การอยู่พักใหญ่ในที่สุดตำรวจก็อนุญาตให้กลับได้โดยการพามาส่งที่โรงพยาบาล แม้จะผ่านไปราวสองชั่วโมงแต่ยังมีตำรวจเดินตรวจตราตามรอบนอกโรงพยาบาลอยู่
“นี่ก็จะตีหนึ่งอยู่แล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” วิลเลี่ยมหันไปพูดกับเซ็ธ สีหน้าของเด็กหนุ่มดูเพลียจริงๆ จนเขาอดห่วงไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่อยากกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะให้เธอไปที่ห้องใหม่ รับรองปลอดภัยกว่าห้องก่อน” รีเบคก้ารีบเข้ามากุมมือของเซ็ธไว้เพื่อปลอบโยน เธอเป็นแพทย์ใหญ่ของที่นี่ย่อมไม่ถูกสงสัยว่าจะมีส่วนร่วมมือกับพวกค้ามนุษย์ และเป็นคนที่ไว้วางใจได้
“ขอบคุณมากครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยสั้นๆ รีเบคก้าจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วหันมาหาอัลฟ่าหนุ่มทั้งสอง
“ต้องขอบคุณพวกคุณมากๆ นะคะ ฉันเป็นหมอของที่นี่แท้ๆ แต่กลับไม่คาดคิดเรื่องพวกนี้ไว้เลย ขอบคุณจริงๆ ที่ช่วยเหลือเด็กคนนี้แล้วก็พวกโอเมก้าไว้”
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก” วิลเลี่ยมบอกปัดสีหน้าขวยเขินที่ถูกชม แต่รีเบคก้าก็ยังให้ท้ายเขาด้วยความจริงใจว่า “วิลเลี่ยม คุณเหมาะจะช่วยพวกโอเมก้าให้พ้นทุกข์จากการถูกกดดันจริงๆ”
หมอหญิงทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะพาเซ็ธกลับเข้าไปในตึกผู้ป่วย วิลเลี่ยมยืนมองสักพักก่อนที่เอดิสันจะชวนกลับไปเช่นกัน เขาถูกพาไปส่งบ้าน บรรยากาศเงียบสงบทำให้เขาได้ครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง
การวิจัยของเขา...แต่เดิมนั้นก็ต้องการศึกษาโอเมก้าอยู่แล้ว เขาเคยมีความคิดว่าต้องการโอเมก้าสักคนมาเป็นตัวอย่างเพื่อดูแนวโน้มที่น่าจะเป็น แต่พับเก็บเรื่องนั้นไว้นานแล้วเพราะคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้
ส่วนเรื่องของเซ็ธ...อาจมีคนที่รู้ถึงพลังมองเห็นอนาคตของเด็กหนุ่มอยู่ ในบรรดาพลังจิตทั้งหมด การมองเห็นอดีต อนาคตนั้นล้วนเป็นของหายาก และเป็นประโยชน์โดนเฉพาะต่อพวกนักธุรกิจหรือนักการเมือง ถ้าความลับเรื่องนี้รั่วไหลไปในตอนนี้ย่อมเป็นผลไม่ดีต่อเซ็ธ
วิลเลี่ยมหมุนปากกาในมือไปมา คิดไม่ตกจนไม่สามารถเขียนตัวอักษรอะไรออกมาได้สักตัว เขากำลังชั่งใจเกี่ยวกับการตัดสินใจต่อไป ขณะนั้นเองที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาสว่างวาบขึ้นชื่อผู้ติดต่อแสนสำคัญของเขา
ฝ่ายนั้นย่อมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโอเมก้าพิเศษคนนั้น เมื่อเขาเล่ารายละเอียดไปก็พบกับคำถามที่ทำให้ชะงัก
คุณจะนำเขามาดูแลไหม?...
เป็นคำถามเดียวกันกับที่เขากำลังตัดสินใจอยู่พอดี
----------------------------
ปฏิบัติการเลี้ยงต้อยกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ 555555
บทที่ 5
เริ่มต้นอยู่ด้วยกัน
เขานอนไปกี่ชั่วโมง...
วิลเลี่ยมลุกขึ้นจากเก้าอี้มองนาฬิกาแล้วถอนหายใจออกมา
หนึ่งชั่วโมง...ไม่สิ สามสิบนาที เป็นเวลาที่เขาเผลอฟุบหลับลงบนโต๊ะ บนหน้าคอมพิวเตอร์ตัวโปรดแสดงหน้าเวิร์ดซึ่งมีบรรทัดเพิ่มขึ้นมาเพียงบรรทัดเดียวจากเมื่อวานก่อน
วิลเลี่ยมทอดถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดอื่นๆ ออกไปแล้วเดินออกจากห้อง เข้าห้องน้ำล้างหน้าแล้วเดินเช็ดหน้าออกมา สายตาที่ก้มมองอยู่พลันเห็นขาของใครบางคนอยู่ด้านหน้าจึงรีบตวัดสายตาขึ้น
“...อรุณสวัสดิ์ครับ” ฝ่ายนั้นตกใจที่เห็นวิลเลี่ยมรีบเงยหน้าขึ้นมา แต่ก็ตัดสินใจทักทายในที่สุดแม้จะยังกล้าๆ กลัวๆ เพราะยังเบลอกับอาการนอนไม่เต็มที่ของตัวเอง วิลเลี่ยมจึงอึ้งกินไปพักหนึ่ง
เซ็ธเห็นดังนั้นก็ยิ่งลนลาน คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด จนกระทั่งวิลเลี่ยมนึกได้ว่าเมื่อวานตัวเขาเพิ่งรับเด็กหนุ่มคนนี้มาดูแลก็เลยรีบยิ้มออกมา ทักทายอย่างสดใสว่า “อรุณสวัสดิ์ ตื่นนานหรือยัง?”
“สักพักหนึ่งแล้วครับ” เซ็ธตอบเสียงเรียบก่อนจะเงียบไป เสื้อผ้าที่เด็กหนุ่มสวมอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ชุดเดิมที่เขาให้ใส่นอน คาดว่าคงอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดที่ซื้อมาเมื่อวานแล้ว
“หิวไหม ไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันทำอะไรให้กิน” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นก่อนจะนำอีกฝ่ายไปที่ส่วนครัว เซ็ธเดินไปนั่งเก้าอี้ตามคำสั่ง ส่วนชายหนุ่มก็เดินไปทำอาหาร เพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่เมนูที่ทำจึงเป็นแบบง่ายๆ ขนมปัง ไข่ดาว และไส้กรอกแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก วิลเลี่ยมแค่เพิ่มรูปแบบให้ไข่ดาวด้วยการใช้แม่พิมพ์รูปดาวตอนทอด
แม้จะเป็นเมนูธรรมดา แต่เซ็ธคงไม่เคยเห็นไข่ดาวเป็นรูปดาวเลยตาเป็นประกายขึ้นมา ในส่วนนี้วิลเลี่ยมใช้ความพยายามอย่างมากที่จะดูสีหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มออก
“เมื่อคืนหลับสบายไหม” ชายหนุ่มถามขึ้นระหว่างมื้ออาหาร เด็กหนุ่มเพียงตอบสั้นๆ ว่า “ครับ”
แต่แค่นั้นก็ทำให้วิลเลี่ยมใจชื้นขึ้นมาบ้าง “ดีแล้ว ฉันกังวลว่าเธอจะนอนหลับได้หรือเปล่า เตียงนุ่มไหม ไม่หนาวไปใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้ากับพูดครับเป็นคำตอบทุกอย่างที่เขาถาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเกรงใจหรือเปล่า แต่การได้คุยกันแบบนี้ทำให้วิลเลี่ยมสบายใจขึ้นบ้าง
“ถ้ามีปัญหาก็บอกฉันได้เลยนะ”
“ครับ...” เซ็ธพยักหน้าแทนคำตอบให้กับสิ่งที่วิลเลี่ยมเสนอขึ้นก่อนที่จะบอกอะไรบางอย่าง “เมื่อคืนคุณลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะห้องรับแขกใช่ไหมครับ”
“อ้อ ใช่ จะว่าไปก็เพิ่งนึกได้นี่เอง”
“เมื่อกี้ผมเห็นชื่อคุณเอดิสันขึ้นมา แต่ผมไม่กล้าแตะมัน...” เซ็ธเอ่ยขึ้นทำให้วิลเลี่ยมที่กำลังเคี้ยวอาหารคำสุดท้ายรีบกลืนลงไปแล้วลุกพรวดไปหยิบโทรศัพท์มา เป็นจังหวะเดียวกันที่มีสายโทรเข้าพอดี
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เซ็ธก่อนจะกลั้นใจกดรับสายในที่สุด
“ไอ้เจ้าบ้า!!!” เป็นคำแรกที่อีกฝ่ายตะโกนมา แม้แต่เซ็ธที่นั่งห่างออกไปยังได้ยินนับประสาอะไรกับเขาที่กำลังยกขึ้นแนบหูจะไม่รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมา
“มีอะไรถึงโทรมาแต่เช้ากัน” วิลเลี่ยมเอ่ยถามไปด้วยความสงสัย ธุระอะไรที่ทำให้เอดิสันต้องโทรมาเช้าขนาดนี้
“ฉันโทรหาแกเป็นสิบๆ สายทำไมไม่รับ รู้ไหมว่าเวลาของฉันเป็นเงินเป็นทองมากแค่ไหน” อีกฝ่ายกรอกน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดผ่านสัญญาณมา ทีแรกวิลเลี่ยมคิดว่าจะโทรมาด่าเรื่องที่แอบพาเลนเนอร์มาไม่บอกไม่กล่าว
แต่ครั้งนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องนั้น
วิลเลี่ยมได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดของเอดิสันตามมาด้วยเสียงเลขาสาวที่แทรกขึ้นเสียงสั่น ประมาณว่าจะไม่ทันการประชุม เพื่อนของเขาจึงตัดบทว่า
“เย็นนี้ว่างไหม” อีกฝ่ายถามขึ้น วิลเลี่ยมเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบไปตามความจริง “ว่างสิ”
“ไปตีเทนนิสกัน” คำชวนนั้นเรียบง่าย เขาหันไปมองเซ็ธที่เริ่มเก็บจานให้เรียบร้อยก่อนจะตอบตกลง “ได้สิ ห้าโมงเย็นเจอกัน”
“ได้” เอดิสันตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะวางสายไป วิลเลี่ยมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินมาหาเด็กหนุ่มที่กำลังยืนงงอยู่หน้าอ่างล้างจาน
“ให้ช่วยไหม” วิลเลี่ยมเสนอตัว แต่เด็กหนุ่มกลับเงียบแล้วหยิบขวดน้ำยาล้างจานมาถาม “นี่เอาไว้ล้างพวกจานชามใช่ไหมครับ”
“ใช่ จะลองล้างจานดูเหรอ? ลองดูก็ได้นะ” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนอยากล้างจาน เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหยิบขวดน้ำยานั้นบีบใส่ฟองน้ำที่ถืออยู่อีกข้างแล้วลองหยิบจานใบหนึ่งมาล้างดู
การล้างจานเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่คนที่อยู่โรงพยาบาลมาตลอดปีคงเป็นเรื่องแปลกใหม่ทีเดียว วิลเลี่ยมเองเห็นแบบนั้นก็อดลุ้นไม่ได้แต่เซ็ธเองก็ทำได้ดีกว่าที่คิด ดูจากท่าทางแล้วคงจำจากตัวเขามา
“เซ็ธ เย็นนี้ฉันจะไปออกกำลังกาย ไปด้วยกันไหม?” เขาลองเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเก็บจานเรียบร้อยแล้ว เซ็ธเลยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ไปได้เหรอครับ?”
อีกฝ่ายเป็นโอเมก้า ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ถูกจำกัดสิทธิ์หลายอย่างทางสังคม กล่าวคือมักจะถูกเหยียดหยามจากบรรดาอัลฟ่าและเบต้า หลายสถานที่ก็มีการตั้งกฎชัดเจนว่าไม่ให้โอเมก้าเข้า
“เข้าได้สิ ฉันว่าเอดิสันคงพาไปในที่ที่ไม่มีกฎอะไรผูกมัดมากหรอก เขาไม่ชอบอะไรยุ่งยากน่ะ” วิลเลี่ยมตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะชวนอีกฝ่ายเดินไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นเซ็ธมีความสนใจหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะก็เลยถามขึ้นว่า “อ่านหนังสือได้ใช่ไหม”
เท่าที่วิลเลี่ยมรู้จักมา โอเมก้าส่วนใหญ่ยังอ่านหนังสือไม่ออก มีเพียงส่วนน้อยที่จะโชคดีได้เรียนหนังสือบ้าง แต่หลายคนมักจะเรียนไม่จบด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง
“ผมเคยเรียนมาบ้าง ถึงเกรดห้า” เด็กหนุ่มไม่พูดต่อจากนั้น แต่จากสีหน้าและการเหลือบมองบาดแผลที่ข้อมือของตัวเองนั้นก็ทำให้วิลเลี่ยมพอเดาอะไรได้บ้าง เขายังไม่ถามเรื่องราวความหลังของเด็กคนนี้เพราะมันเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เซ็ธมีปัญหาสุขภาพจิตจนต้องเข้าโรงพยาบาล ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากรื้อฟื้นมัน
“งั้นก็แสดงว่านายอ่านหนังสือออกใช่ไหม” เขาตั้งคำถาม เด็กหนุ่มก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ วิลเลี่ยมจึงได้ถามอีกว่า “แล้วชอบอ่านหนังสือไหม”
“ครับ” คำตอบนั้นทำให้วิลเลี่ยมยิ้ม และลุกขึ้นพาอีกฝ่ายเดินไปยังห้องสมุดของตัวเองทันที “เลือกอ่านเอาจากในนี้ได้เลยนะ มีเก้าอี้ให้นั่งอ่านอยู่”
เด็กหนุ่มยืนจ้องอยู่สักพัก ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจว่า “ผมอ่านได้หรือครับ?”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” วิลเลี่ยมรีบตอบในทันทีด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะพาเข้าไปข้างใน กางโต๊ะตัวเล็กออก แล้วหยิบเบาะรองมาให้เซ็ธนั่งพร้อมบอกเสริมว่า “จะวาดรูปในนี้ก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยังมีอาการเกร็งอยู่ แม้วิลเลี่ยมจะทำตัวเป็นมิตรมากแค่ไหน ดูเหมือนว่าจะยังไม่ค่อยเข้ากันดีเสียเท่าไร แต่เซ็ธก็ไม่ได้เกลียดเขาและไม่ได้กลัวในฐานะอัลฟ่าด้วย
วิลเลี่ยมปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ในห้องนั้น ส่วนตัวเองก็เดินไปเอาอุปกรณ์วาดภาพของเด็กหนุ่มและโน้ตบุ๊คของตนมานั่งทำงานด้วยในห้อง
ช่วงแรกนั้นเซ็ธออกอาการเกร็งอยู่บ้าง แต่พอได้จับหนังสืออ่านก็เข้าโลกส่วนตัวไป วิลเลี่ยมเห็นอีกฝ่ายตั้งใจอ่านขนาดนั้นก็ไม่อยากกวนอะไร จริงๆ แล้วตัวเขาก็กังวลมากกว่าว่าหนังสือที่อยู่ที่นี่เซ็ธจะอ่านรู้เรื่องไหมเพราะส่วนใหญ่เต็มไปด้วยหนังสือวิทยาศาสตร์ ทฤษฎี ปรัชญา และประวัติศาสตร์ ทั้งแบบเข้าใจง่ายและแบบเจาะลึก
แต่พอเห็นอีกฝ่ายตั้งใจอ่านแบบนั้นก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหา ขณะที่พิมพ์งานวิจัยไปส่วนหนึ่งวิลเลี่ยมก็ตัดสินใจโน้ตให้ตัวเองด้วยว่าจะซื้อหนังสือเรียนสำหรับเด็กวัยมัธยมมาไว้ด้วย
นอกจากนั้นถ้าอ่านหนังสือจบเล่มหนึ่งแล้วเซ็ธก็หันไปวาดภาพ วิลเลี่ยมเห็นว่าอีกฝ่ายชอบวาดรูปด้วยก็เลยโน้ตเพิ่มว่าพวกหนังสือศาสตร์ศิลป์ก็สำคัญ
เขาหันกลับไปทำงานต่อ จนถึงกระทั่งตอนเที่ยงจึงรองถามขึ้นว่า “เซ็ธ กินพิซซ่าไหม”
“ครับ?” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากสมุดวาดภาพ ลังเลอยู่พักหนึ่งจึงตอบว่า “ตามใจคุณเถอะครับ”
“ถ้างั้นลองกินพิซซ่านะ” วิลเลี่ยมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหยิบโบรชัวร์พิซซ่าที่เคยได้รับมาเมื่อสองวันก่อนดูเมนูแล้วโทรสั่ง รอสักพักพิซซ่าก็มาส่งในเวลารวดเร็ว
เขานำของที่สั่งมาวางไว้ในห้องสมุด เห็นแก้วน้ำอัดลมที่แถมมาด้วยก็เลยนึกขึ้นได้จึงชักถามอาการเซ็ธว่าเคยมีอาการปวดท้องเพราะน้ำอัดลมไหม แต่เซ็ธนั้นถึงแม้จะอยู่โรงพยาบาลมาปีหนึ่งก็เคยดื่มมาแล้วจึงไม่มีปัญหา
พิซซ่าที่เขาสั่งมาเป็นหน้าฮาวายเอี้ยนขนาดกลาง ในชุดมีไก่ทอดสี่ชิ้นและน้ำอัดลมให้ด้วย ขณะที่วิลเลี่ยมกินไปได้สองชิ้น เซ็ธก็เพิ่งกินหมดไปหหนึ่งชิ้นแล้วมีท่าทีว่าจะอิ่มแล้ว
“ลองไก่ทอดไหม” เขาเสนอเพราะคิดว่าเซ็ธคงเกรงใจจนทานอะไรไม่ค่อยได้ เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วหยิบไก่ไปกินสองชิ้นแล้วบอกว่าอิ่มจริงๆ ส่วนที่เหลือนั้นวิลเลี่ยมก็จัดการหมด
“สงสัยเย็นนี้ต้องเผาผลาญไขมันจริงจังเสียหน่อย” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นแกมติดตลกพลางตบท้องตัวเองเบาๆ เซ็ธอาสาเก็บกล่องไปทิ้งโดยได้รับคำแนะนำจากเจ้าของบ้านว่าควรไปทิ้งตรงไหน เมื่อเด็กหนุ่มเดินออกไปนอกห้องแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจัดที่จัดทางแล้วไปทำงานต่อ
เซ็ธเดินกลับมาในห้องก็ได้แต่นั่งอ่านหนังสือกับวาดรูปสลับกัน เพราะวันนี้ไม่ได้เจอใครเลย พลังของเขาจึงไม่ได้แสดงออกมา
ช่วงบ่ายพวกเขาก็ขลุกอยู่แต่ในห้องสมุด จนกระทั่งถึงเวลาสี่โมงเย็นวิลเลี่ยมจึงได้ลุกขึ้นอีกครั้งบอกให้เซ็ธไปอาบน้ำก่อน “เซ็ธ ใกล้ได้เวลาแล้วนะ ไปอาบน้ำเตรียมตัวก่อนเลย”
“คุณล่ะ?” อีกฝ่ายถามด้วยความสงสัย แต่วิลเลี่ยมก็ยกยิ้มแล้วบอกว่า
“ฉันจะจัดการอะไรอีกนิดหน่อย กว่าจะเสร็จนายก็คงอาบน้ำเรียบร้อยพอดี”
“ครับ” เซ็ธพยักหน้าแล้วเดินออกไป ส่วนวิลเลี่ยมก็เก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อยแล้วขึ้นไปเตรียมชุดกับอุปกรณ์กีฬาบนห้อง กระทั่งเรียบร้อยแล้วจึงเดินมารอหน้าห้องน้ำ เมื่อเซ็ธออกมาจากห้องน้ำย่อมเห็นเขาและมีอาการตกใจเล็กน้อยเป็นธรรมดา
วิลเลี่ยมยิ้มให้เด็กหนุ่ม เซ็ธอยู่ในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ นุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียว กลิ่นสบู่ยังคลุ้งเจือผสมกับกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกโอเมก้าทำให้ชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เพื่อบอกบางอย่าง
“เอ่อ...งั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”
“อะ...อ้า แล้วลงไปรอข้างล่างนะ เดี๋ยวฉันอาบน้ำเสร็จจะรีบลงไป” วิลเลี่ยมบอกหลังจากตั้งสติได้ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ มีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่พอช่วยให้จิตใจเขาสงบลงได้บ้าง
วิลเลี่ยมเดินลงมาข้างล่างหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมกับถืออุปกรณ์กีฬามา คว้ากุญแจรถพาเซ็ธขับออกไป มีข้อความที่เอดิสันส่งมาบอกว่าถึงแล้วก่อนที่รถจะออกพอดี
“ไว้เล่นเสร็จแล้วเราไปหาอะไรกินกันไหม” วิลเลี่ยมถามขึ้นขณะขับรถไปสนามกีฬาเป็นการหาเรื่องคุยกับอีกฝ่าย เซ็ธพยักหน้าเป็นคำตอบแต่ไม่ได้บอกว่าอยากทานอะไรเป็นพิเศษ เขาเลยตั้งเป้าว่าจะพาไปหาร้านนั่งกินข้างนอก
วิลเลี่ยมขับรถมาจอดบริเวณลานจอดรถของสนามกีฬาก่อนจะพาเซ็ธเดินไปยังสนามเทนนิสโดยโทรถามเอดิสันก่อน เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาอย่างรู้สึกกดดันจากสายตาที่มองมาทั้งหลาย
“โอ๊ะ มากันสองคนเหรอ?” วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นเมื่อถึงสนามเทนนิส ตรงหน้าเขามีเอดิสันและเลนเนอร์ยืนรออยู่ คนแรกอยู่ในชุดกีฬาส่วนโอเมก้าหนุ่มนั้นแต่งชุดลำลองส่งยิ้มอ่อนโยนให้พวกเขาแล้วทักทายอย่างเป็นมิตร
“สวัสดี”
“สวัสดีครับ” เซ็ธทักทายขึ้นอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะชะงักเพราะเอดิสันจ้องเขม็งมาที่เขา เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายก้าวขายาวๆ เข้ามาใกล้แล้วมองเขาสลับกับคนข้างๆ
“ไม่เอาน่า เอดิสัน” เลนเนอร์เอ่ยขึ้นเสียงเบาก่อนที่จะยื่นมือมาโอบไหล่เซ็ธไว้และพาเดินออกไปนอกสนาม “พวกคุณจะเล่นกีฬากันไม่ใช่หรือไง ไม่รีบเริ่มเดี๋ยวก็มีคนมาแย่งใช้สนามหรอก”
“นั่นสินะ” วิลเลี่ยมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะนำอุปกรณ์ออกมาจากกระเป๋า เลนเนอร์พาเซ็ธไปที่ม้านั่งข้างสนามพร้อมกระเป๋าที่ได้รับฝากมา
ในสนามเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน ไม่ต้องพูดให้มากความวิลเลี่ยมก็ถามขึ้นทันทีขณะที่อีกฝ่ายเตรียมหยิบลูกเทนนิสขึ้นมาว่า “มีอะไรจะพูดเหรอ”
“มีน่ะสิ ถึงเรียกมาแบบนี้” เอดิสันโยนลูกขึ้นสูงก่อนที่จะกระชับไม้ออกแรงตบลูกสุดแรงแล้วเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห
“ใครใช้ให้แกรับเขามาเลี้ยงโดยไม่บอกกล่าวฉัน!”
“หา!?” วิลเลี่ยมออกวิ่งไปรับลูก แรงส่งของอีกฝ่ายนั้นทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะงัดแรงตีโต้กลับไป “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย เป็นแม่ฉันหรือไง?”
“ฉันเป็นคนให้ทุนแกว้อย!” เอดิสันตะคอกขึ้นขณะที่ไม้สัมผัสกับลูกและโต้กลับไป “คิดจะทำอะไรปรึกษาฉันด้วยสิวะ แกรู้ไหมว่าการรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงมันมีภาระมากมายขนาดไหน”
“ก็ต้องรู้สิ แล้วคิดว่าฉันไม่เตรียมพร้อมอะไรหรือไง นี่ฉันก็พยายามดูแลเขาให้ดีที่สุดไง” วิลเลี่ยมเถียงกลับขณะวิ่งไปหวดลูกกลับไป คนสองคนตีโต้กันไปมาขณะที่เถียงกันไม่หยุดหย่อนคล้ายกับว่าจะปาไม้ใส่กันได้ทุกเมื่อ
“ถ้าเตรียมพร้อมจริงแล้วทำไมเมื่อวานถึงยังมาพาเลนเนอร์ไปล่ะฮะ! อย่ามาโกหกหน่อยเลย แกตัดสินใจปุบปับไปแล้ว!” เอดิสันโวยวายกลับมาด้วยความโกรธ คำพูดที่เป็นความจริงนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก
“ก็มันฉุกเฉินนี่นา นายก็เห็นว่าที่นั่นไม่ปลอดภัยสำหรับเขา” ชายหนุ่มแก้ต่างแต่เอดิสันก็ยังไม่ยอมเชื่อใจและดูออกว่าการมาอยู่ของเซ็ธนั้นไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวแต่แรก
“แต่แกจะบังคับเขามาแบบนี้ไม่ได้!”
“แต่ตอนนี้ฉันกับเซ็ธเข้ากันดีม๊ากมาก ไม่เชื่อถามเขาดูสิ! เนอะเซ็ธ...อ้าว” วิลเลี่ยมกล้าเอ่ยออกไปอย่างมั่นใจก่อนจะหันไปยังม้านั่งเพื่อขอคำยืนยันแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เลย
ลูกเทนนิสกลิ้งตกลงบนพื้นเพราะไม่มีใครคิดจะตีมันต่อ ทั้งวิลเลี่ยมและเอดิสันต่างมองหน้ากันพร้อมคำถามที่ว่าคนที่เขาพามาด้วยทั้งสองคนหายไปไหน ในที่ที่เต็มไปด้วยอัลฟ่าและเบต้าแบบนี้
โดยไม่รอช้า พวกเขารีบออกวิ่งไปค้นหาทันที
...
จบครึ่งแรก
บทที่ 6
งานเลี้ยงวันเกิดอันน่ายินดี
วิลเลี่ยมตื่นมาในตอนเช้าตรู่เหมือนเช่นปกติ แต่วันนี้ไม่ได้สดใสเหมือนทุกที เรื่องเมื่อวานยังคงกวนใจเขาซ้ำไปซ้ำมา แม้ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามาก แต่ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าเซ็ธไม่สบายใจเอามากๆ
เด็กที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเพราะถูกทำร้ายจากอัลฟ่านั้น ย่อมไม่ต้องการพบเจอเรื่องแบบเมื่อวานนี้
ตอนที่เห็นแววตาหวาดกลัวคู่นั้น วิลเลี่ยมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ทำผิดบาปไปแล้ว เขาเป็นคนดึงเซ็ธออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอก...โลกที่แสนโหดร้ายสำหรับโอเมก้านี้ แม้จะเพื่อทวงคืนสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ แต่ในตอนนี้หากจิตใจเด็กคนนั้นไม่เข้มแข็งพอก็อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้
เขาทั้งกลัวและเป็นกังวลอย่างมาก ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบเมื่อวานเกิดขึ้นซ้ำสอง
กลัวว่าเซ็ธจะเกลียดตัวเองเหมือนที่เกลียดอัลฟ่าคนอื่นๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ...” วิลเลี่ยมที่ยืนใช้ความคิดอยู่มุมห้องสะดุ้งโหยง เล่นเอาคนที่เดินเข้ามาทักแปลกใจไปเล็กน้อย เซ็ธเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เขาเลยต้องรีบกระแอมไอก่อนจะทักทายตอบไปด้วยรอยยิ้ม “อะ...อรุณสวัสดิ์ ตื่นนานแล้วเหรอ”
“เมื่อกี้ครับ” เด็กหนุ่มตอบ วิลเลี่ยมเห็นเส้นผมด้านหน้าของเซ็ธเปียกอยู่เขาเลยคิดว่าคงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วลงมาเลย ชุดยังเป็นชุดนอนอยู่ด้วยซ้ำ อีกฝ่ายจ้องมองเขาก่อนจะถามว่า “คุณมีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”
“หืม เปล่า” วิลเลี่ยมปั้นยิ้มโกหก เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะมองออกทะลุปรุโปร่งเหมือนเลนเนอร์ อาจจะแค่เดาจากท่าทีของเขา หากปฏิเสธไปเด็กคนนี้ก็จะเชื่ออย่างสนิทใจ “หิวหรือยัง ฉันจะทำอาหารเช้าให้กินนะ”
ว่าแล้ววิลเลี่ยมก็เดินไปที่ครัว ลงมือทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ ให้อีกฝ่าย เซ็ธเริ่มคุ้นชินกับการอยู่บ้านนี้แล้ว เด็กหนุ่มพยายามช่วยงานเขาเท่าที่ทำได้ อย่างรินนมใส่แก้ว ล้างจาน หรือกวาดบ้าน แล้วยังชอบจดจำเรียนรู้วิธีจากการเห็นเขาทำเรื่องต่างๆ
อาหารเช้าอย่างง่ายใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่วิลเลี่ยมก็ยังอุตส่าห์ไปเสียเวลากับการจัดตกแต่งจานให้ดูกินมากยิ่งขึ้นก่อนจะยกมาเสิร์ฟ มื้อเช้าของพวกเขาจึงได้เริ่มขึ้น
“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?” ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตามความจริงว่า “ครับ หลังกินยาไปแล้วก็หลับสนิทเลย”
วิลเลี่ยมหาคำพูดต่อไม่ได้ ตอนกลับมาบ้านเซ็ธยังมีท่าทีหวาดๆ อยู่ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าเป็นเพราะอะไร ดังนั้นจึงบอกเขาว่าแค่กินยาที่ต้องกินทุกวันก็จะไม่เป็นอะไร
“เรื่องเมื่อวาน...” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็เกริ่นขึ้นมาทำให้วิลเลี่ยมชะงัก และมองอีกฝ่ายเพื่อรอฟัง เซ็ธลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “ผมกลัวมากๆ ตอนที่อัลฟ่าพวกนั้นจับไว้ มันทำให้ผมนึกถึงอดีต ผมกลัวว่าตัวเองจะโดนทำร้าย...”
เซ็ธก้มหน้านิ่ง สองมือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น วิลเลี่ยมเห็นดังนั้นจึงยื่นมือไปกุมไว้เพื่อคลายความกังวล ขณะนั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้พูดขึ้นต่อ
“ทั้งๆ ที่ผมกลัวอัลฟ่า แต่ตอนนั้นผมกลับภาวนาให้คุณมาช่วย คุณ...เป็นคนเดียวที่ผมคิดถึง” วิลเลี่ยมชะงักทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายพยายามขืนยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่า “แล้วคุณก็มาจริงๆ ขอบคุณนะครับ”
รอยยิ้มนั้นไม่ได้สดใสสักเท่าไร มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งดีใจ เศร้า และเจ็บปวดต่อสิ่งที่เด็กคนนี้กำลังคิด แต่มันกลับสะกดสายตาของวิลเลี่ยมไว้ได้อยู่หมัด เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมองใบหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้านานเท่าไร เหมือนกับเวลามันหยุดลงชั่วขณะ แม้ว่าเซ็ธจะไม่ได้ยิ้มแล้วแต่เขาก็ยังคงมองต่อไป
จนกระทั่งได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดัง วิลเลี่ยมจึงได้สติและวิ่งออกไป ปรากฏว่าเป็นไปรษณีย์ที่นำซองเอกสารมาส่ง
ในซองสีน้ำตาลนั้นบรรจุเอกสารไว้หลายอย่าง วิลเลี่ยมถือเข้ามาในส่วนห้องนั่งเล่น จานชามเมื่อครู่เซ็ธก็กำลังเก็บล้างอยู่ ดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ตราประทับหน้าซองทำให้เขาเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนที่จะแกะดู พบว่าเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเซ็ธทั้งนั้น ทางเบื้องบนคงได้รับมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เซ็ธเคยอยู่กับโรงพยาบาลจากนั้นก็ทำการเพิ่มเติมเอกสารบางอย่างแล้วส่งมาให้
ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่วิลเลี่ยมเคยขอรบกวนไป เพราะหากจะดำเนินตามแผนการที่เขาคิดไว้ สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญ แต่ดูแล้วคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง
ขณะที่กำลังอ่านข้อมูลที่ได้รับมานั้นวิลเลี่ยมก็ตั้งใจหาข้อมูลหนึ่งอยู่
วันเกิด...ใช่แล้ว ถ้าเขาสามารถจัดงานวันเกิดให้เซ็ธมีความสุขได้ ความสนิทสนมของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น
เขาแค่ต้องรู้ก่อนว่าเซ็ธเกิดวันไหน...
“วันที่ 18 มีนาคม...” วิลเลี่ยมที่พึมพำอยู่ถึงกับตะลึงค้างก่อนจะสบถออกมา “พระเจ้า พรุ่งนี้แล้ว”
เขาเหลือบไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บจานอยู่ก่อนจะหันกลับมามองข้อมูลที่อยู่ในมือ ถ้าจะทำแผนเซอร์ไพรส์ตอนนี้จะทันหรือเปล่านะ?
ไม่รอช้าเขารีบเก็บข้อมูลที่ได้รับมาในตู้ใส่เอกสารก่อนจะเดินไปหาเซ็ธ ตั้งใจจะถามว่ามีอะไรอยากได้เป็นพิเศษไหม
แต่แล้วก็ต้องชะงัก ถ้าถามไปตอนนี้มันก็จะไม่เป็นการเซอร์ไพรส์ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเซ็ธสนใจอะไรกันแน่ หรือว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม
สุดท้ายเขาก็ยืนขบคิดอยู่หน้าครัวจนกลายเป็นที่สงสัยของเซ็ธ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เซ็ธถามขึ้นทำให้เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
“หรือครับ...” เด็กหนุ่มพึมพำก่อนจะเดินไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น หยิบหนังสือนิยายมาอ่านต่อ เซ็ธชอบอ่านหนังสือ วันๆ หนึ่งถ้าไม่ได้ช่วยงานบ้านก็จะเอาแต่อ่านหนังสือ ทั้งนิยาย การ์ตูน หรือหนังสือความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เด็กคนนี้ก็ชอบอ่านหมด
หรือเขาควรจะซื้อหนังสือให้ดี?...ไม่ล่ะ ก่อนหน้านี้ก็ซื้อหนังสือเพิ่มมาจนจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว และเซ็ธเองก็ไม่ใช่คนอ่านหนังสือไว ถ้าไม่สนุกจริงอย่างไวก็ใช้เวลาอ่านสามวันต่อเล่ม ไม่รวมพวกหนังสือวิชาการที่ต้องคิดตามอีก
เขาอยากซื้ออะไรที่มันตอบสนองความต้องการอย่างอื่นมากกว่าส่งเสริมให้เรียนอย่างเดียว แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าเด็กวัยแบบนี้ต้องการอะไร
สุดท้ายแล้วเขาเลยส่งข้อความไปบอกเอดิสันว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเซ็ธ อยากขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าโดนบ่นมาก่อนว่ากะทันหันไปไหม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วบอกว่าจะช่วยเท่าที่ทำได้
ดังนั้นแล้ววิลเลี่ยมเลยขอคุยกับเลนเนอร์ต่อ เดินปลีกตัวไปให้ไกลพอแล้วเล่าแผนการที่เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้ และวันนี้ก็อยากให้อีกฝ่ายมาช่วยดูแลเซ็ธช่วงที่เขาจะออกไปข้างนอกก่อน
เลนเนอร์ตกปากรับคำไม่อิดออด ดูก็รู้ว่าเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนั้นมากแค่ไหน วิลเลี่ยมกลับมานั่งรออยู่ข้างๆ เซ็ธ ไม่นานเอดิสันกับเลนเนอร์ก็มา
เซ็ธทำหน้าที่ต้อนรับแขกอย่างดีด้วยการเตรียมน้ำมาให้ทั้งสองคนพร้อมของว่างที่มีอยู่ พวกเขาคุยเล่นกันไปสักพักก่อนที่วิลเลี่ยมจะชวนเอดิสันออกไปข้างนอก และฝากเลนเนอร์ให้ช่วยดูแลเซ็ธ
ชายหนุ่มทั้งสองเดินออกมาข้างนอก ทันทีที่เข้าไปนั่งในรถของเอดิสันเรียบร้อยแล้ว วิลเลี่ยมก็จัดการเปิดอุปกรณ์รับสัญญาณจากเครื่องดักฟังที่แอบติดไว้ในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่
“นับวันยิ่งทำตัวโรคจิตขึ้นเรื่อยๆ” เอดิสันพึมพำขึ้นมาพลางถอนหายใจอย่างระอา ส่วนวิลเลี่ยมแม้จะรู้ตัวว่าโดนว่าแต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ เขารอฟังเสียงของเลนเนอร์กับเซ็ธอย่างใจจดใจจ่อ
แผนการของเขาคือการให้เลนเนอร์ถามเซ็ธว่าอยากได้อะไรไหม ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังชวนเด็กหนุ่มคุยไปเรื่อย หลักๆ ก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่บ้านเดียวกับเขา แล้วตบท้ายไปว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า
ทีแรกเซ็ธเงียบไป นานมากจนเขาคิดว่าเครื่องมีปัญหาจนกระทั่งได้ยินเสียงเลนเนอร์เอ่ยเรียกชื่อเซ็ธขึ้น “เซ็ธ เป็นอะไรหรือเปล่า? ฉันถามอะไรผิดงั้นเหรอ”
“เปล่าครับ” เสียงของอีกฝ่ายปฏิเสธเป็นพัลวันก่อนจะเงียบไปอีกพัก คงกำลังใช้ความคิด
“มันค่อนข้างน่าอาย...” เซ็ธเอ่ยขึ้นคล้ายจะพึมพำ ก่อนจะบอกว่า “จริงๆ แล้วตอนกลางคืน เวลาที่นอน...ผมรู้สึกเหงา...”
วิลเลี่ยมชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตั้งใจฟังต่อ
“เตียงมันกว้างเกินไปสำหรับผม...” เซ็ธเล่าออกมาช้าๆ ทีละประโยค น้ำเสียงไม่มีความมั่นใจเลยจนต้องตั้งใจฟังมากขึ้น
จะว่าไปห้องนั้นก็แคบกว่าห้องเขาเล็กน้อย แต่เพราะมันไม่มีอะไรอยู่เลยทำให้ดูกว้างกว่าห้องเขาที่รกและเต็มไปด้วยเอกสาร แล้วก็แทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรด้วย
“นายอยากเปลี่ยนเตียงเหรอ?” เลนเนอร์ลองถามขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบว่า “ไม่ใช่ครับ เตียงนั่นวิลเลี่ยมอุตส่าห์ยกให้ จะขอเปลี่ยนเพราะไม่ชอบก็กระไรอยู่น่ะครับ”
วิลเลี่ยมชะงัก รู้สึกว่ามุมปากตัวเองกำลังยกขึ้นมาด้วยความสุข แต่สุดท้ายก็โดนเอดิสันตอกหน้าว่า เขาแค่เกรงใจแก เลยเปลี่ยนไปตั้งใจฟังต่อ
“แล้วอยากได้อะไรเหรอ ถ้าเป็นอะไรที่ไม่ลำบากฉันมาก จะลองหามาให้ก็ได้นะ” เลนเนอร์ถามขึ้นต่อ เซ็ธเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบอ้อมแอ้มว่า
“ตุ๊กตา”
“หืม?” วิลเลี่ยมอุทานขึ้นในลำคอ พร้อมๆ กับเลนเนอร์ที่คงแปลกใจเหมือนกัน เสียงของเซ็ธดังขึ้นมาต่อว่า “ก็เตียงมันกว้างไป ผมคิดว่าถ้ามีตุ๊กตาด้วยอาจจะไม่รู้สึกเหงาเท่าไร...”
วิลเลี่ยมพยักหน้าหงึกหงักคนเดียว บางทีเซ็ธก็ยังมีแง่มุมของความเป็นเด็กอยู่บ้าง...ก็น่ารักดี เขาเห็นว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่อยากได้ต่อแล้วจึงปิดอุปกรณ์ลงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี “ได้ของขวัญแล้วสิ”
“จะซื้อตุ๊กตาให้เหรอ?” เอดิสันตั้งคำถามก่อนจะแซวขึ้นว่า “สู้ให้แกเอาตัวเองไปนอนด้วยกันกับเด็กนั่นจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ความคิดดีนี่”
“เมื่อกี้ฉันล้อเล่น แกคงไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งใช่ไหม นักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่งติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์ แถมเป็นผู้เยาว์ที่พาตัวมาจากโรงพยาบาลโดยพลการอีก” เอดิสันรีบแก้ต่างทันควันแถมยังตอกกลับไปเสียงเรียบ วิลเลี่ยมเพียงแค่ยกยิ้มแล้วยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“เห็นอย่างนี้ฉันมีความอดทนสูงนะ”
อีกฝ่ายเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเชื่อก่อนจะขับรถไปตามปกติ พวกเขาไปจอดในย่านการค้าของเมือง หน้าร้านขายของตกแต่ง ซื้ออุปกรณ์สำหรับจัดงานวันเกิดมาและเดินต่อไปสั่งเค้กที่อยู่อีกสามร้านถัดไป จากนั้นก็ตรงดิ่งเข้าร้านขายตุ๊กตาทันที เอดิสันเห็นบรรยากาศร้านแล้วก็รีบบอกว่าจะรออยู่ด้านนอก ปล่อยให้วิลเลี่ยมเดินไปคนเดียว
พนักงานสาวที่ยืนอยู่เดินมาต้อนรับเขาทันที วิลเลี่ยมจึงได้บอกว่า “อยากได้ตุ๊กตาเป็นของขวัญวันเกิดน่ะครับ”
“ทางเรามีบริการห่อของขวัญให้ด้วยนะคะ ถ้ายังไงเชิญคุณลูกค้าเลือกชมดูก่อนได้” พนักงานสาวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะผายมือไปยังโซนในร้านที่เต็มไปด้วยตุ๊กตานานาชนิด
“คุณลูกค้าจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกสาวใช่ไหมคะ?” เธอลองยิงคำถามมา ทำให้วิลเลี่ยมชะงัก เขารีบส่ายหน้าทันทีก่อนจะปฏิเสธ “ไม่ใช่ครับ”
“อ้อ งั้นแฟนหรือคะ ตุ๊กตาทางนั้นเป็นคอลเลคชั่นใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมจากหมู่สาวๆ เลยนะคะ ด้วยความนุ่มมือของมัน แล้วยังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายด้วย”
เธอผายมือไปทางโซนทางขวาสุดซึ่งรายล้อมไปด้วยหญิงสาววัยรุ่นที่ยืนเลือกตุ๊กตากันอยู่ ทีแรกวิลเลี่ยมก็สนใจเพราะได้ยินคำว่าได้รับความนิยมแต่ก็พลันนึกได้ว่าเซ็ธเองก็เป็นผู้ชาย คงไม่ชอบสีชมพูหวานแหววแบบนั้นสักเท่าไร
“คุณลูกค้ามีแบบที่อยากได้ไหมคะ” เธอถามขึ้นเมื่อเห็นวิลเลี่ยมเงียบไป ชายหนุ่มยืนคิดสักพักก่อนจะบอกว่า “เอาที่...ที่มันนอนด้วยแล้วไม่เหงาน่ะครับ”
พนักงานยืนยิ้มอยู่แต่ตาเธอโตเป็นไข่ห่าน วิลเลี่ยมดูแล้วเห็นว่าคำพูดตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรจึงขอโทษแล้วเดินไปหาเอาเอง เขาเดินดูตามชั้นวางตุ๊กตาต่างๆ มีแบบมากมายให้เลือกดู
วิลเลี่ยมค่อนข้างสนใจตุ๊กตารูปสัตว์ เพราะมันไม่ได้หวานแหววเกินไป แถมยังนุ่มมือน่ากอด ไปๆ มาๆ ก็เลือกมาได้สี่ตัว เขาขอให้พนักงานห่อกล่องของขวัญให้แล้วชำระเงินเดินออกมาหาเอดิสันที่รออยู่ข้างนอก
เมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าซื้อของครบ พวกเขาก็ตัดสินใจขับรถกลับไปที่บ้านของวิลเลี่ยม ระหว่างทางวิลเลี่ยมก็นึกอะไรขึ้นได้
“วันเกิดเลนเนอร์คือวันไหนนะ”
“มกราปีหน้า” เอดิสันตอบเสียงเรียบ แต่วิลเลี่ยมนั้นรับรู้ได้ถึงความใส่ใจอย่างประหลาด เพราะปกติแล้วเพื่อนของเขาไม่ชอบจำวันสำคัญของใครสักเท่าไร ขนาดวันเกิดของเขา ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้
วิลเลี่ยมคิดว่าเลนเนอร์น่าจะเป็นคนแรกที่เอดิสันจำวันเกิดได้
“คิดว่าจะซื้อของขวัญอะไรให้ไหม” เขาถามขึ้นด้วยความอยากรู้ แต่ดูเหมือนว่าบางอย่างจะไปแทงใจอีกฝ่ายเข้าจนชักสีหน้าขมขื่นขึ้นว่า วิลเลี่ยมเลยนึกออก
มกราที่ผ่านมาเอดิสันต้องไปทำงานต่างประเทศทั้งเดือน นานๆ ทีจะติดต่อกลับมาหาเลนเนอร์ กลับมาก็ตอนสิ้นเดือนแล้ว เขาได้ยินว่าตอนนั้นอีกฝ่ายเห็นพวกกระปุกออมสินฝีมือเด็กระบายสี ตุ๊กตากระป๋อง หรือดอกไม้แห้งๆ ก็สงสัยว่าเป็นงานฝีมือเด็กหรือ เลนเนอร์ถึงได้ตอบว่าเป็นของขวัญที่ได้รับมาจากพวกเด็กๆ
ตอนนั้นเอดิสันสารภาพว่าทำตัวไม่ถูกไปไม่เป็น แล้วไม่รู้จะทำอะไร รู้ตัวอีกทีก็นัดวิลเลี่ยมมาหาแล้วนั่งหน้าเครียดอยู่ในบาร์เป็นชั่วโมงๆ วันเกิดครั้งแรกหลังจากที่ตกลงคบหากัน เขาดันไม่รู้แถมยังไม่มีโอกาสได้บอกอวยพรอะไรเลย
จะโกรธที่เลนเนอร์ไม่ยอมบอกก็ไม่ได้ ด้วยนิสัยเจ้าตัวแล้วไม่มีทางบอกแน่ๆ ถ้าไม่ถาม แถมช่วงนั้นเอดิสันก็ยุ่งมากๆ อีกฝ่ายถึงไม่อยากกวน
ดังนั้นเอดิสันเลยตั้งใจว่า วันเกิดปีหน้าของเลนเนอร์จะทำให้ประทับใจจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว ถึงกับประกาศการที่ประชุมว่าช่วงอาทิตย์นั้นอย่าได้มีใครนัดหมายงานให้เขาเชียว
“แหวนแต่งงานก็คงดี” เอดิสันตอบคล้ายจะพึมพำหลังจากนิ่งคิดมานานเล่นเอาวิลเลี่ยมตะลึงตาค้าง
“เอาจริงดิ มันคงวิเศษมากแน่ๆ เตรียมแผนไว้หรือยัง ให้ฉันช่วยไหม แต่ว่านะ...ต่อให้นายโรยตัวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์มาขอแต่งงาน เลนเนอร์ก็คงไม่แปลกใจเท่าไรหรอก”
“ก็กำลังคิดอยู่ แต่ว่า...จะได้มีโอกาสทำแบบนั้นหรือเปล่าเถอะ” สิ้นเสียงของเอดิสัน วิลเลี่ยมก็อดคิดไม่ได้ การแต่งงานของอัลฟ่ากับโอเมก้า...ในสังคมปัจจุบันนี้ยังไม่ยอมรับเลยแม้แต่น้อย
“จะพยายามให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยก่อนปีหน้านะ” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มให้กำลังใจ จริงๆ แล้วเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสามารถทำให้ทุกคนโอนอ่อนไปในความคิดนั้นได้ไหม
ทั้งคู่เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องเพื่อคลายบรรยากาศอึมครึม เอดิสันใช้เวลาขับรถไม่นานในที่สุดก็ถึงบ้านของวิลเลี่ยม ทั้งคู่นำของที่ซื้อมาซ่อนไว้ในโรงรถ ระหว่างนั้นวิลเลี่ยมก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นเอดิสันซื้ออะไร
“ไว้ไปซื้อกับเลนเนอร์เย็นนี้” เป็นคำตอบของเอดิสันก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าบ้านไป ตอนนั้นเลนเนอร์กำลังดูโทรทัศน์อยู่ ส่วนเซ็ธผล็อยหลับไปข้างๆ เห็นแบบนั้นพวกเขาเลยไม่กล้าส่งเสียงดังอะไรมาก
เอดิสันชวนเลนเนอร์กลับไปก่อน วิลเลี่ยมจึงไปส่งสองคนนั้นที่หน้าบ้านแล้วกลับมานั่งที่โซฟา ข้างๆ เซ็ธที่นอนหลับอยู่ ใบหน้าตอนหลับนั้นดูไร้เดียงสาและอ่อนโยนกว่าตอนที่ทำหน้าเรียบเฉยยามปกติอีก
แต่ตอนที่วิลเลี่ยมเผลอจ้องมองอยู่ เซ็ธก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นเขาก็ดูงุนงงไปมาก “วิลเลี่ยม?”
“ตื่นแล้วเหรอ จะนอนต่อก็ได้นะ” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นมานั่ง ดูแล้วคงไม่นอนอีก วิลเลี่ยมเลยชวนคุย “นายอยู่บ้านนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ” เซ็ธตอบเสียงเรียบ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบแบบขอไปทีเมื่อเด็กหนุ่มพูดเสริมขึ้นมา “เหมือนกับว่าได้มีครอบครัวใหม่อีกครั้ง”
วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ เขาไม่ได้ถามต่อว่าสำหรับอีกฝ่าย ตัวเขานั้นมีฐานะเหมือนอะไร บางอย่างในใจทำให้เขาไม่กล้าถามออกไป สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ต้องเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น เซ็ธอ่านหนังสือเล่มเก่าจบแล้วและตอนนี้ก็จมอยู่กับนิยายเรื่องใหม่ เขาเห็นปกแล้วก็กล้ารับรองได้ว่าสนุก เด็กคนนี้คงวางไม่ลงไปอีกสักพักจึงได้เดินไปทำอาหารเย็น
จนกระทั่งถึงเวลาหกโมง เขาก็เรียกเซ็ธไปกินข้าว ทั้งสองคนคุยกันมากขึ้น ยิ่งเซ็ธอ่านหนังสือที่เขาเคยอ่านไปแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เปิดอกคุยกันได้มากขึ้น
คืนนั้นเซ็ธขอตัวไปนอนก่อนเพราะง่วงแล้ว วิลเลี่ยมเองก็อยู่เตรียมแผนการสำหรับพรุ่งนี้จนถึงเที่ยงคืนแล้วก็เข้านอน...
-----ต่อครึ่งหลังด้านล่างค่ะ--------------------------
บทที่ 15
เสียงตอบรับที่ดี (ครึ่งหลัง)
“บัตรเชิญร่วมงานสัมมนาวิชาการแห่งชาติ” วิลเลี่ยมอ่านหัวข้อหลักที่อยู่ด้านในซองจดหมาย มีบัตรสองใบที่กำกับให้นำไปด้วยในวันงานกับกำหนดการคร่าวๆ เขาเลยนึกออกว่าก่อนหน้านี้ได้รับเชิญไปพูดในงานนี้
มันเป็นงานที่พูดได้ว่าใหญ่พอตัว นักวิชาการผู้มีชื่อเสียงจากทั่วโลกจะมารวมตัวกัน และในงานนี้เขาได้รับเชิญให้พูดเกี่ยวกับทัศนคติแบบใหม่ที่มีต่อพวกโอเมก้า การที่มีการ์ดเชิญสองใบแสดงว่าเจ้าของงานต้องการให้เขาพาเซ็ธไปด้วย
“เซ็ธ” วิลเลี่ยมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า “ต้นเดือนหน้าฉันต้องไปเข้าร่วมงานใหญ่ เขาเชิญนายด้วย จะไปด้วยกันไหม”
เด็กหนุ่มเงียบไปคล้ายจะตัดสินใจก่อนที่จะพยักหน้าตกลง “ครับ ถ้าไปกับคุณ ผมไป”
“นายนี่ทำให้ฉันหลงได้ตลอดเวลาจริงๆ” วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นขณะลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ตอนนั้นที่นึกถึงคำพูดของมิเกลขึ้นมา
“เซ็ธ” เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนที่จับไหล่ทั้งสองข้างไว้ แวบหนึ่งเกิดความสับสนขึ้นในใจว่าจะบอกไปดีไหมแต่ในที่สุดวิลเลี่ยมก็ได้เอ่ยออกไป “ฉันรักนาย”
“อันนี้ผมรู้...” เซ็ธเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง วิลเลี่ยมสะบัดหน้าไปมาคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าทำสมาธิก่อนจะบอกอย่างชัดเจนว่า
“ถ้านายไม่ว่าอะไร...เรามาคบกันไหม?”
สิ้นเสียงนั้นทั้งห้องเกิดความเงียบ เซ็ธนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ วิลเลี่ยมเลยคิดว่าตัวเองทำพลาดไป “เอ่อ...มัน...กะทันหันไปสินะ ฉันขอโทษ เผลอคิดไปเองว่านายก็รักฉันเหมือนกัน ขอโทษทีนะ”
ชายหนุ่มยกมือที่วางอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายออก แต่ทว่ากลับถูกเซ็ธรั้งไว้ “เดี๋ยว”
คำพูดสั้นๆ ทำให้วิลเลี่ยมชะงัก เขาหยุดตามที่อีกฝ่ายบอก เซ็ธกระอึกกระอักที่จะพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “คุณไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ ผมรักคุณนะ ”
หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มหลบตาก่อนจะเอ่ยขึ้นติดๆ ขัดๆ ว่า “ตะ...แต่ผม...ผมไม่รู้ว่าถ้าคบกันแล้วต้องทำยังไง กะ...ก็เลยตอบในทันทีไม่ได้”
วิลเลี่ยมยกยิ้มขึ้นอย่างดีใจ เขาสวมกอดอีกฝ่ายไว้ทันทีก่อนจะบอกว่า “เด็กดี นายไม่ต้องทำอะไรเลย ทำเหมือนปกติ แค่มอบความรักให้ฉัน...แค่ฉันคนเดียวก็พอ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบเบาๆ เป็นอันเข้าใจ วิลเลี่ยมเลยละกอดก่อนที่จะสบตากับเซ็ธอีกครั้ง “เซ็ธ ฉันจะถามอีกครั้งนะ เรามาคบกันไหม”
“คะ...ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับในที่สุดทำให้วิลเลี่ยมดึงเขาไปสวมกอดอีกครั้งด้วยความดีใจ
คืนนั้นพวกเขานอนด้วยกันอีกครั้ง และเป็นเช่นนี้อีกหลายคืน แต่ไม่มีเรื่องเซ็กซ์มาเกี่ยวข้อง สำหรับเซ็ธมันอาจจะเร็วไปในตอนนี้ และวิลเลี่ยมเองก็ไม่คิดล่วงล้ำถ้าอีกฝ่ายไม่อนุญาต ในตอนนี้เขาเองก็พอใจกับการได้นอนข้างคนที่รักมากกว่าสิ่งอื่นใด
พอความรู้สึกของพวกเขาตรงกัน วิลเลี่ยมก็รับรู้ได้ว่าจากกลิ่นที่เคยยั่วยวนเขาจนนอนไม่หลับตอนนี้เป็นกลิ่นอันอ่อนโยนที่ทำให้เขาฝันดีได้
หลังจากผ่านพ้นไปเกือบเดือนหนึ่ง เซ็ธก็ชินกับที่โรงเรียนมากขึ้น แม้จะมีอัลฟ่าบางคนยังไม่ให้การยอมรับ แต่เพราะอยู่รวมกับเบต้า เด็กหนุ่มเลยไม่ค่อยถูกแกล้งอะไร จะมีบ้างที่ถูกด่าทอแต่วิลเลี่ยมก็บอกว่าไม่ต้องเก็บมาคิด
วันสัมมนาวิชาการระดับชาติมาถึงในที่สุด วิลเลี่ยมใช้เวลาช่วงสองอาทิตย์สุดท้ายเตรียมสุนทรพจน์ที่จะต้องพูดในวันงาน เขาคิดว่าในงานนี้ก็เป็นเหมือนอีกก้าวหนึ่งที่จะทำให้โอเมก้ามีสิทธิ์ในสังคมมากขึ้น
“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้เจอคุณ” นักวิชาการผู้อาวุโสหลายคนเดินเข้ามาทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม วิลเลี่ยมก็ยิ้มทักทายอย่างเต็มที่แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นแค่หน้าด่านให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าถึงตัวเซ็ธได้ เด็กหนุ่มเกร็งอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องเจอกับอัลฟ่ามากมายขนาดนี้
“เธอ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นตอนที่เซ็ธยืนแยกมาจากวิลเลี่ยม อีกฝ่ายกำลังพูดคุยเรื่องงานอยู่เขาจึงไม่อยากกวน เมื่อเซ็ธหันไปมองก็เห็นผู้ชายร่างท้วมคนหนึ่งในชุดสูทอย่างดี อีกฝ่ายยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินมาคว้าแขนของเขาไว้ทันที “คืนนี้พักอยู่ห้องไหน”
“หา?” เซ็ธขมวดคิ้วอย่างงุนงง อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “หรือจะมาที่ห้องฉันก็ได้นะ ตอนนี้เลยก็ได้”
“คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ ปล่อยนะ” เซ็ธรีบขัดขืนทันทีก่อนที่จะสะบัดแขนให้หลุดจากอีกฝ่าย
“อะไรกัน อย่ามาทำซื่อไปหน่อยเลย โตขนาดนี้น่าจะเคยมีเซ็กซ์มาก่อนนี่ หรือยัง...ดูจากท่าทางนายแล้วคงยังสินะ วิเศษไปเลย งั้นฉันสอนให้เอาไหม” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดที่น่าขยะแขยงแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยทำให้เซ็ธถอยหนี อีกฝ่ายพยายามคว้าแขนของเขาไว้ให้ได้
“ไม่ดีมั้งครับ มาทำเรื่องแบบนี้ในงานนี้” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะดึงตัวเซ็ธไปอยู่ด้านหลังของตน อีกฝ่ายชะงักไปทันทีก่อนจะสวนกลับ
“หา นายเป็นใคร”
“ผมเป็นคนดูแลเขา และคงยอมไม่ได้ถ้าคุณคิดจะทำอะไรทรามๆ กับเขา” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโมโห แม้จะพยายามใจเย็นอยู่แต่ก็รู้สึกร้อนในอกขึ้นมา
“หา ผู้ดูแล? เหอะ บอกว่าเป็นเจ้าของดีกว่ามั้ง เอ๊ะ ไม่มีรอยตีตรานี่ ประหลาดจริง” อีกฝ่ายยังคงพูดต่อขณะที่มองเซ็ธด้วยสายตากระหายทำให้เด็กหนุ่มเกิดกลัวขึ้นมา
“กรุณาถอยออกไปด้วยครับ ไม่ยังงั้นผมจะเรียกรปภ. มาลากคุณไป” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่อีกฝ่ายกลับขึ้นเสียงใส่ “หา? ฉันทำอะไรผิด? แกคิดว่าฉันผิดเหรอ มันต่างหาก...โอเมก้าที่มาอยู่ในดงอัลฟ่าแบบนี้น่ะ คิดอะไรอยู่ อยากโดนข่มขืนมากใช่ไหม เป็นโอเมก้านี่ น่าจะชอบที่โดนข่มขืนใช่ไหม เจ้าคนชั้นต่ำ!...อั้ก!”
“วิล!” เซ็ธร้องห้ามอีกฝ่ายขึ้นแต่ย่อมช้ากว่าวิลเลี่ยมที่ตรงเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ด้วยความโมโห “คนที่คิดว่าการข่มขืนโอเมก้าเป็นเรื่องปกติแล้วคิดว่าพวกเขาชอบอย่างคุณนั่นแหละต่ำ”
“ศาสตราจารย์วิลเลี่ยม พอแล้ว” เสียงทุ้มกว้างของใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนชะงัก ชายสูงวัยในชุดสูทสีน้ำเงินเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่จะบอกว่า “ปล่อยเขาซะ”
วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายไปตามคำขอของศาสตราจารย์ไอน์เบิร์ก หนึ่งในคนที่เขาเคารพ ชายร่างท้วมคนนั้นจ้องมองเขาอย่างหาเรื่อง แต่เพราะตอนนี้เขาโกรธจริงๆ ทำให้รังสีพลังจิตแผ่ออกมา อีกฝ่ายซึ่งน่าจะมีพลังน้อยกว่าย่อมรับรู้ได้และหนีไป
เมื่อกลับสู่ความสงบ เซ็ธก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันมองวิลเลี่ยมด้วยความเป็นห่วง “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“นายต่างหาก ไม่ได้ถูกทำอะไรไม่ดีใช่ไหม” วิลเลี่ยมถามเขากลับ เซ็ธส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะหันไปหาชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ “ขอบคุณที่คุณเข้ามาช่วยอีกแรงครับ ศาสตราจารย์ไอน์เบิร์ก”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” อีกฝ่ายยิ้มกว้างก่อนที่จะหันมาทางเซ็ธ “โอ้ สวัสดี ฉันชื่อไอน์เบิร์ก เคยเป็นอาจารย์ของวิลเลี่ยม น่ายินดีจริงๆ ที่วันนี้ได้มาเจอกับเธอ”
“คะ...ครับ ผม...เซ็ธครับ” เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีกฝ่ายบีบมือของเขาแน่นเป็นการให้กำลังใจก่อนจะชื่นชมว่า “น่าทึ่งมากที่เธอสามารถสอบได้อันดับหนึ่งของประเทศ ยินดีด้วย”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มโค้งให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม เขาได้คุยกับคนอื่นอีกสองสามคนผ่านการแนะนำของวิลเลี่ยม ก่อนที่อีกฝ่ายจะพาเขามาฝากไว้กับไอน์เบิร์กแล้วขึ้นไปเตรียมตัวพูดสุนทรพจน์ในลำดับถัดไป
“บอกตามตรงฉันสนใจงานวิจัยของวิลเลี่ยมมากทีเดียว” ไอน์เบิร์กพยายามชวนเขาคุย “เด็กคนนั้นเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น น่าทึ่งมากที่ทำได้สำเร็จ”
“เขาเป็นคนที่วิเศษมากครับ” เซ็ธกล่าวยกย่องวิลเลี่ยมด้วยรอยยิ้ม ขณะนั้นพิธีกรเชิญคนที่กำลังถูกเขากล่าวถึงขึ้นมาบนเวที เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น จนกระทั่งมันซาลง ชายหนุ่มจึงได้เริ่มพูด
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับจากที่โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จนทำให้เกิดวิกฤติการณ์จำนวนมนุษย์ลดต่ำลง อัตราการเกิดที่ลดลงจนน่าใจหายทำให้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้น สังคมมนุษย์อย่างพวกเราได้แบ่งออกเป็นสามชนชั้น สามชนชั้นที่ต่างมีความพิเศษแตกต่างกันออกไป...” วิลเลี่ยมเกริ่นนำขึ้นด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ทุกคนต่างตั้งใจฟังเขาพูด
“ก่อนหน้านี้เมื่อยี่สิบปีก่อน เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกขั้น เมื่อมนุษย์พ้นวิกฤติการณ์เกิดที่ลดน้อยลงแล้ว ชนชั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหานั้นอย่างโอเมก้าก็หมดความสำคัญลงอย่างสิ้นเชิง และในตอนนั้นมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ภาพลักษณ์ของพวกเขาในสังคมก็แย่ลงอย่างที่ทุกท่านเห็นในปัจจุบัน”
เซ็ธตั้งใจฟังอีกฝ่ายเหมือนกับถูกต้องมนตร์สะกด วิลเลี่ยมที่ยืนพูดอยู่นั้นดูมีเสน่ห์มากกว่าปกติ
“ไม่ใช่แค่เป็นชนชั้นต่ำสุด แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นเรียกได้ว่าโหดร้าย ปัจจุบันนี้พวกเขาไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลย ไม่มีการคุ้มครองจากภาครัฐ ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในสังคมนี้ เป็นชนชั้นที่ไม่มีอะไรดี ทุกคนมองว่าพวกเขาโง่ เป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ทางเพศของคนอื่น” วิลเลี่ยมหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ “ตัวผมเกิดความสงสัยขึ้นมา จริงๆ แล้วโอเมก้าเป็นแบบไหนกันแน่...นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของงานวิจัยของผม ด้วยความอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วโอเมก้ามีความพิเศษอะไร ผมเลยได้ริเริ่มทำงานนี้ ได้รู้จักกับโอเมก้ามากมาย ได้รู้ถึงความลำบากของพวกเขาในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่พวกเขาจะตายเมื่อไรก็ได้ มันทำให้ผมคิดว่าที่จริงโลกใบนี้ก็โหดร้ายเหมือนกัน”
วิลเลี่ยมหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อถึงสิ่งที่เขาค้นพบ การทดลองสอนโอเมก้าหลายๆ คนจนค้นพบว่าแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่ว่าทักษะการเรียนรู้ไม่พัฒนา ตัวอย่างที่เด่นชัดสุดคือเลนเนอร์และเซ็ธ ซึ่งโดดเด่นด้านการเรียนรู้ที่สุด
“และสุดท้าย...จุดประสงค์ของการทำวิจัยนี้ของผม ไม่ได้ต้องการบังคับให้พวกคุณรักโอเมก้า แต่แค่อยากให้ลองลบอคติที่เคยมี ที่พวกเราสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แล้วมองพวกเขาใหม่ พวกเขาที่เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรา”
ชายหนุ่มกล่าวจบก่อนที่โค้งลาทุกคน เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งขณะที่วิลเลี่ยมเดินลงจากเวที เขารีบตรงไปหาเซ็ธทันที เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินมาหาเขาก่อนจะบอกว่า “คุณยอดเยี่ยมมาก เท่มากๆ เลย”
“ขอบใจนะ” วิลเลี่ยมใจชื้นขึ้นมาทันที อารมณ์กดดันตอนที่อยู่บนเวทีหายไปหมดสิ้น ไอน์เบิร์กกล่าวชมเขาเช่นเดียวกัน
“โอ๊ะ ดูเหมือนการกล่าวสุนทรพจน์ต่อไปจะเริ่มแล้วนะ” ไอน์เบิร์กเอ่ยขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหันไปมองที่เวที เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งขณะที่พิธีกรกล่าวเชิญนักพูดขึ้นมาบนเวที และเธอที่คุ้นตาเขาก็เดินขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เส้นผมสีแดงนั้นแม้จะใกล้เคียงกับผ้าม่านที่เป็นฉากด้านหลังแต่กลับดูเด่นอย่างประหลาด
อลิซาเบ็ธยืนอยู่หน้าแท่นกล่าวสุนทรพจน์ ดวงตาสีเขียวจับจ้องไปที่กล้องซึ่งบันทึกภาพงานไว้อยู่ ริมฝีปากที่แต่งแต้มลิปสติกสีแดงกรีดยิ้มงดงามขึ้นก่อนจะกล่าวว่า
“ก่อนอื่นขอกล่าวขอบคุณที่ให้ดิฉันได้มายืนอยู่ตรงนี้ในงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ค่ะ” เธอโค้งหัวเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มกล่าวต่อว่า “ในตอนนี้ดิฉันกำลังทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติอยู่ เพราะยังไม่ได้บอกกล่าวที่ไหนเลยขอประกาศ ณ ที่นี้เลยค่ะ”
“วิล...” ขณะที่กำลังยืนฟังอลิซาเบ็ธพูดอยู่นั้น เซ็ธก็ยกมือขึ้นมาจับแขนเสื้อของวิลเลี่ยมไว้ ใบหน้าดูกังวลขึ้นมา “ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
“มีอะไรหรือเปล่าเซ็ธ” เขาหันไปถามเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ตอนนั้นไม่สนใจสิ่งที่หญิงสาวบนเวทีจะพูดแล้ว ทว่าประโยคที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบนั้นทำให้เขาหันไปมอง
“ดิฉันคิดว่า โอเมก้าไม่จำเป็นสำหรับโลกใบนี้แล้วค่ะ”
บทที่ 18 การปะทะกันอีกครั้ง
วิลเลี่ยมรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบร่างเปลือยเปล่าเหลือแต่ปลอกคอของเด็กหนุ่มนอนอิงแอบแนบชิดอยู่ข้างๆ เป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนเขาได้ทำไปแล้วจริงๆ ทำให้เผลอหลุดยิ้มออกมา
ชายหนุ่มไม่ได้ลุกจากเตียงไปทันทีแบบที่ทำอยู่ทุกวัน เขานอนมองหน้าอีกฝ่ายอยู่แบบนั้นด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี เซ็ธเข้ามานอนซุกใกล้ๆ ตัวเขาเพื่อหาความอบอุ่นทำให้วิลเลี่ยมรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น เหมือนว่าตรงส่วนนั้นของเขาจะเริ่มตื่นตัวขึ้นอีกจนเขาต้องหาวิธีมาสงบอาการ
“วิล...” เซ็ธลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย หลังจากเห็นวิลเลี่ยมนอนอยู่ข้างๆ ก็ทักขึ้นแล้วหลับต่อ อีกฝ่ายเห็นแบบนั้นเลยหัวเราะขึ้นแล้วบอกว่า
“อรุณสวัสดิ์เซ็ธ เช้าแล้วนะ ตื่นได้แล้ว” ปฏิกิริยาตอบรับของเซ็ธคือการพลิกตัวไปอีกข้างทำให้เขาอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“ตื่นได้แล้ว วันนี้นายมีเรียนไม่ใช่เหรอ” คราวนี้ได้ผล เซ็ธลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินงัวเงียเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเริ่มกิจวัตรประจำวัน ก่อนจะลงไปรอวิลเลี่ยมที่ใช้ห้องน้ำต่อ
ระหว่างที่รอวิลเลี่ยม เซ็ธก็เริ่มทำอาหารเช้าง่ายๆ ที่เขาฝึกมา ตอนที่ศาสตราจารย์หนุ่มเดินลงมานั้นก็แทบจะร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มแล้วสวมกอดเขาอย่างแนบแน่น
วิลเลี่ยมไปส่งเซ็ธถึงหน้าประตูโรงเรียน นักข่าวที่ดักรออยู่รีบเข้ามาสัมภาษณ์ทันทีทำให้เด็กหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวระแวงขึ้นมา
วิลเลี่ยมเองก็รู้ดีว่าเซ็ธยังไม่พร้อมเลยให้เด็กหนุ่มเข้าไปโรงเรียนก่อน ส่วนตัวเองก็รับหน้าพวกนักข่าวไว้ ทีแรกเขาคิดว่าจะถูกถามเรื่องประเด็นการคุ้มครองโอเมก้าแต่กลับกลายเป็นว่านักข่าวถามความสัมพันธ์ของเขาเสียอย่างนั้น
“คุณกับโอเมก้าคนนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือคะ?” นักข่าวสาวถามขึ้นทำให้วิลเลี่ยมชะงัก เรื่องการเปิดเผยความสัมพันธ์นี้เขาก็คิดหนักอยู่ แม้องค์ราชินีจะบอกว่าไม่มีปัญหาแต่ก็ไม่อยากให้เซ็ธต้องตกเป็นเป้านินทา ฉะนั้นเขาก็ต้องคิดหาคำตอบมารองรับอีก
เขายกยิ้มให้พวกนักข่าวก่อนจะยอมบอกว่า “เราคบกันอยู่ครับ”
พวกนักข่าวส่งเสียงฮือฮาขึ้นก่อนที่คำถามอื่นๆ จะตามมา “พวกคุณคบกันมานานเท่าไรแล้วหรือคะ”
“เราเพิ่งคบกันจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ครับ”
“แต่มีรายงานว่าคุณกับเขาอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้วนี่ครับ”
“ใช่ครับ แต่ก่อนหน้านี้ผมอยู่ในฐานะผู้ดูแลเขาและเขาเองก่อนหน้านี้ก็ไม่พร้อมเรื่องความรักด้วยครับ” วิลเลี่ยมตอบไปตามความจริง ก่อนที่นักข่าวจะถามขึ้นอีก
“นี่เป็นเหตุผลให้คุณทำวิจัยเกี่ยวกับโอเมก้าหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ครับ แต่งานวิจัยทำให้เราได้เจอกัน ผมชื่นชมในตัวเขามากก็เลยขอเขาคบหาด้วย”
“แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกคุณไปถึงขั้นไหนแล้วหรือคะ” คำถามของนักข่าวทำให้วิลเลี่ยมชะงักไป ก่อนที่จะเลี่ยงคำพูดไปว่า “ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไรครับ”
“แล้วคุณได้ตีตราจองไปแล้วหรือยังคะ”
“ผมไม่มีความคิดแบบนั้นในตอนนี้และขอโทษนะครับ คำถามเริ่มลงลึกไปมากพอแล้ว ผมไม่ขอสัมภาษณ์ต่อ” วิลเลี่ยมตัดบทของพวกนักข่าวทันทีก่อนที่จะเดินเลี่ยงไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
วิลเลี่ยมรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของกองถ่ายสารคดีซึ่งกำลังถ่ายทำเกี่ยวกับเรื่องโอเมก้า และเขาก็รู้ว่าผู้ให้ทุนสนับสนุนลับในการทำเรื่องนี้คือองค์ราชินี
ทั้งเธอและรัฐบาลมีความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้ความต่างของชนชั้นลดลง
วิลเลี่ยมอยู่ที่กองถ่ายทำจนกระทั่งถึงตอนบ่ายแก่ๆ ก็กลับไปรับเซ็ธ อีกฝ่ายยืนรออยู่หน้าโรงเรียนคนเดียวดูเหมือนคนอื่นๆ จะกลับไปกันเกือบหมดแล้ว เมื่อเห็นเขาก็รีบเดินมาหาทันที
“วิลเลี่ยม!”
“ไง ขอโทษที่มารับช้านะ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนจะสวมกอดเซ็ธไว้จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง
“เดี๋ยวสิครับ นี่มันที่สาธารณะนะครับ” เด็กหนุ่มเตือนขึ้นก่อนจะดันอีกฝ่ายออกห่าง วิลเลี่ยมหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวขอโทษขอโพย
“ขอโทษๆ งั้นกลับกันเลยไหม”
“ครับ” เซ็ธพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปที่รถพร้อมกับวิลเลี่ยม พวกเขาเดินทางตรงกลับไปที่บ้านไม่ได้แวะไปไหนต่อ จนกระทั่งเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้นซึ่งไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเสียเท่าไร เซ็ธพลันมีสีหน้าเครียดจัดทันทีเมื่อสบตาวิลเลี่ยมผ่านกระจกหน้ารถ
“วิลเลี่ยมช้าหน่อย!” คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะลอรถและหันมาหาเซ็ธ ตั้งใจที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับร้องขึ้นด้วยความตกใจ สายตาเบิกตากว้างมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มจึงรีบหันกลับไปดู
รถคันหนึ่งวิ่งตรงมาทางพวกเขาด้วยความรวดเร็ว น่าแปลกยิ่งกว่าที่มันไม่มีคนขับ วิลเลี่ยมรีบหักรถหลบจนตกถนนไปจอดนิ่งอยู่ที่ข้างทาง
เขาถอนหายใจอย่างหวั่นวิตก ดีที่รถจอดนิ่งก่อนที่จะชนต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า วิลเลี่ยมรีบหันไปถามเซ็ธทันทีด้วยความเป็นห่วง “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า!?”
“ไม่ครับ...” เด็กหนุ่มตอบกลับมาทั้งที่ยังมีสีหน้าซีดเซียวอยู่ โชคยังดีที่พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัยจึงไม่มีใครเป็นอะไร แต่ทว่าวิลเลี่ยมพลันเห็นว่ารถที่พุ่งชนพวกเขาเริ่มขยับอีกครั้ง เป้าหมายมันคงพุ่งมาซ้ำอีกทำให้เขารีบปลดเข็มขัดออกแล้วบอกอีกฝ่ายให้ทำเช่นเดียวกัน
“ออกจากรถ เร็ว!” เซ็ธรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกเช่นกันที่จะรีบลงจากรถเช่นเดียวกับวิลเลี่ยม ตอนนั้นเองที่รถคันนั้นพุ่งมาใส่รถของเขาจนกระโปรงหน้ากระแทกกับต้นไม้จนเสียหายยับเยิน
วิลเลี่ยมเดินอ้อมต้นไม้นั้นไปหาเซ็ธก่อนที่จะรีบพาอีกฝ่ายหนีไปให้พ้นอันตราย ทว่าตรงหน้ากับปรากฏร่างของใครบางคนขึ้น
ใครบางคนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“กิล...เบิร์ต...เป็นฝีมือของนายงั้นเหรอ”
“ไง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” อีกฝ่ายทักทายเขาด้วยรอยยิ้มขบขัน “ประหลาดใจชะมัด คิดว่าน่าจะชนเต็มๆ ตั้งแต่แรกแล้วแท้ๆ เป็นเพราะนายสินะ...”
สายตาของกิลเบิร์ตหันมามองที่เซ็ธทันทีทำให้เด็กหนุ่มชะงัก
“แต่ช่างเถอะ ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้ผล ครั้งนี้ก็แค่ลงมือเองก็จบเรื่อง” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นแล้วขยับมือหนึ่งครั้ง ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก็พุ่งมากระแทกขมับของวิลเลี่ยมเต็มๆ จนอีกฝ่ายเซล้มไป
“วิลเลี่ยม!” เซ็ธร้องขึ้นด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มรีบเข้าไปหาอีกฝ่ายทว่ากลับถูกกิลเบิร์ตกระชากเส้นผมรั้งตัวไว้ไม่ให้ไปไหน
เซ็ธกัดฟันข่มความเจ็บปวดแล้วพยายามสะบัดร่างกายให้พ้นจากเงื้อมมือของอีกฝ่าย “ปล่อย!”
“ไม่เอาน่า ขืนทำตัวดื้อดึงเดี๋ยวจะถูกลงโทษนะ” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้มก่อนที่จะเหวี่ยงร่างของเซ็ธไปกระแทกกับรถ เด็กหนุ่มจุกจนตัวงอทรุดลงกองกับพื้นไม่สามารถขยับไปไหนได้ และยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว อีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาหิ้วเขาพาดกับกระโปรงรถ ตรึงมือทั้งสองข้างไว้
“ยะ...อย่า” เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเมื่อรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย กิลเบิร์ตแสยะยิ้มขึ้นก่อนที่จะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้คอของเขา
“กลัวทำไมเล่าในเมื่อนายเองก็เคยทำกับเจ้าหมอนั่นมาแล้วนี่” อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนจะกระชากเสื้อของเขาออกเผยให้เห็นรอยที่ถูกวิลเลี่ยมทำไว้เมื่อคืน
“หืม? เจ้าหมอนั่นก็ใช่ย่อยนี่” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย นิ้วมือลากผ่านยอดอกไปหยุดที่ต้นคอ “แต่ฉันทำได้ดีกว่าเจ้านั่นตั้งเยอะ นายอาจจะอยากได้ฉันเป็นเจ้าของแทนมันก็ได้”
“ไม่เอา! ปล่อยนะ!” เซ็ธพยายามดิ้นขัดขืน แต่อีกฝ่ายกลับเพิ่งแรงบีบแขนเขามากขึ้น กิลเบิร์ตใช้มือเดียวจับแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะของเด็กหนุ่ม ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างชกหน้าเซ็ธเต็มๆ
“เป็นแค่สัตว์เลี้ยงไม่มีสิทธิ์ขัดขืน” น้ำเสียงเย็นเยือกของกิลเบิร์ตทำให้เด็กหนุ่มชะงักค้าง ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัว ยิ่งพยายามขัดขืนมากเท่าไรก็ยิ่งเจ็บตัวมากขึ้นเท่านั้น
ในขณะที่เซ็ธกำลังสิ้นหวัง เสียงของวิลเลี่ยมก็ดังขึ้น
“ออกห่างจากเขาเดี๋ยวนี้!”
กิลเบิร์ตปล่อยเซ็ธในทันทีและหันไปสนใจอีกฝ่ายที่กำลังยันตัวลุกขึ้นมา ขมับขวาแตกจนเลือดไหลอาบแก้ม แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ
“หืม ฟื้นตัวได้ไวดีนี่” กิลเบิร์ตเอ่ยปากชมฝาแฝดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน อีกฝ่ายกัดฟันกรอดก่อนจะบอกว่า
“อยู่ให้ห่างจากเขา”
“ก็ได้ เหตุผลที่ฉันมาแต่แรกก็เพราะอยากฆ่าแกอยู่แล้วด้วย” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นขณะเดินมาหาวิลเลี่ยม “ถ้าแกยอมให้ฆ่าแต่โดยดี ฉันก็คงไม่ทำอะไรเจ้าโอเมก้านั่น”
“แกไม่มีวันได้ทำอะไรเขา ตราบเท่าที่ฉันยังอยู่” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะยกแขนขึ้นตั้งฉากกับพื้น มีดพกที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมจึงออกมาโดยพลังจิตของเขา แต่คราวนี้อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะไม่เตรียมตัว กิลเบิร์ตเองก็นำมีดที่ตนสามารถบังคับได้ออกมาเช่นกัน
พวกเขาต่างไม่คิดว่าจะมีใครยอมใคร แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่สายใยในตอนนี้บางเบาเสียจนจับต้องไม่ได้
“อวดดีนักนะ” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะวาดมือมาข้างหน้าส่งผลให้มีดเล่มเล็กที่ลอยอยู่ด้วยพลังของเขาพุ่งไปหาวิลเลี่ยมทันที “งั้นฉันจะฆ่าแกตรงนี้แหละ”
วิลเลี่ยมบังคับมีดพกไปปัดป้องมีดของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวแกก็รู้เอง”
พวกเขาเริ่มปะทะกันด้วยคมมีดจากการควบคุมพลังจิต วิลเลี่ยมสามารถป้องกันมีดที่พุ่งเข้ามาหาตนได้เกือบทุกอัน ทว่าแผลจากการที่ศีรษะแตกทำให้เขาเริ่มปวดหัวมากขึ้นกว่าตอนปกติ มันรบกวนการควบคุมของเขา
ฉึก!
“อึก...!”
“วิลเลี่ยม” มีดเล่มหนึ่งที่หลุดรอดจากการป้องกันของวิลเลี่ยมพุ่งปักเข้าที่ไหล่ขวาของชายหนุ่มอย่างจังจนทำให้เขาเสียหลักทรุดลงกับพื้น เซ็ธที่เห็นเหตุการณ์อยู่จึงคิดจะเข้ามาช่วย
“อย่าเข้ามา” วิลเลี่ยมร้องเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงทำให้เด็กหนุ่มชะงัก
“ดีๆ เจ้าโอเมก้านั่นน่ะไม่ควรให้เข้ามาใกล้น่ะถูกแล้ว เกิดฉันคุมไม่อยู่แล้วเผลอฆ่าไปเดี๋ยวยัยนั่นจะโกรธเอาเปล่าๆ” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่
“แก...” วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พวกแกคิดจะทำอะไรกับเซ็ธ”
“โอเมก้าที่มีพลังจิต...ไม่คิดว่าเป็นตัวทดลองที่มีค่าหรือไง” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “คงมีข้อมูลให้ศึกษาอยู่เพียบเลยทีเดียว”
“พวกแกนี่มัน...” วิลเลี่ยมกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ “หยุดทำเรื่องโหดร้ายกันสักที”
“โหดร้ายเหรอ เหอะ วิลเลี่ยมนี่ไม่ใช่เรื่องโหดร้ายเสียหน่อย ฉันอุตส่าห์เพิ่มมูลค่าให้แก่พวกเศษสวะได้ตั้งมากมายเลยนะ” กิลเบิร์ตว่าด้วยรอยยิ้มน่าขนลุก
“ไม่ใช่ สิ่งที่แกเคยทำลงไปมันคือการค้ามนุษย์ แกทารุณพวกเขา!” วิลเลี่ยมตวาดขึ้นด้วยความโมโห แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านหรือสำนึกผิดต่อเบื้องหลังแต่อย่างใด
กิลเบิร์ตเคยหายตัวออกจากบ้านไปนานหลายปี กว่าที่วิลเลี่ยมจะทราบข่าวอีกครั้งก็เป็นตอนที่คบกับอลิซาเบ็ธ ทั้งสองคนนั้นรู้จักกันก่อนแล้วในฐานะคู่ค้า
อลิซาเบ็ธรับซื้อทาสโอเมก้าจากกิลเบิร์ตที่เป็นนายหน้าเพื่อนำมาใช้ในการทดลองของเธอ พวกเขาทั้งสองสนุกการได้เห็นชีวิตของคนคนหนึ่งเป็นผักปลา ซึ่งนั่นทำให้วิลเลี่ยมรับไม่ได้และแยกทางจากนักวิทยาศาสตร์สาวนั่น
“หนวกหู อย่างแกจะไปเข้าใจอะไร!” กิลเบิร์ตตะคอกขึ้นพร้อมกับสาดมีดจำนวนมากโจมตีใส่วิลเลี่ยมอีกครั้ง อีกฝ่ายทำหน้าที่ได้แค่ตั้งรับเท่านั้น “คนที่ทำตัวเป็นคนดีอย่างแกน่ะ ไม่มีวันเข้าใจได้หรอก”
อีกฝ่ายเริ่มโจมตีเขาหนักแน่นขึ้นทุกทีทำให้วิลเลี่ยมต้องตั้งสมาธิไว้ให้มั่นคง
“ทั้งๆ ที่ฉันมีพลังมากกว่าแก แต่พ่อกับแม่ก็ยังเอาแต่สนใจแต่แก คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ทำไมฉันต้องถูกเปรียบเทียบกับคนอย่างแกด้วย” กิลเบิร์ตแผดเสียงออกมาด้วยความเคียดแค้น หากไม่มีฝาแฝดคนนี้สิ่งที่เขาทำอยู่ก็คงราบรื่นมากกว่านี้
วิลเลี่ยมกัดฟันกรอด ตัวเขาเริ่มไม่ไหวเพราะแผลที่ศีรษะยังคงมีเลือดไหลอยู่ ยิ่งต้องพยายามใช้พลังจิตอย่างมากแบบนี้แล้วยิ่งทำให้เขาแย่
“อึก!” ศาสตราจารย์หนุ่มกัดฟันกรอดเมื่อเขาพลาดมองไม่เห็นมีดเล่มหนึ่งที่พุ่งมาส่งผลให้มันปักเข้าที่ขาของเขา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เซ็ธตวาดขึ้นขณะหยิบท่อเหล็กที่ติดมาจากรถของวิลเลี่ยมมาฟาดที่ศีรษะของกิลเบิร์ตเต็มแรง ทำให้การบังคับมีดของอีกฝ่ายรวนไปหมด ทำให้วิลเลี่ยมถอนหายใจออกมาแล้วทรุดตัวลงกองกับพื้น เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาประคองไว้ทันที
“วิล ไหวหรือเปล่า?” เซ็ธถามขึ้นขณะช่วยอีกฝ่ายประคองไว้ไม่ให้ล้มลงไปนอนกับพื้น อีกด้านกิลเบิร์ตก็ส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความโมโห
“พวกแก...แกทำให้ฉันโมโหจริงๆ แล้วนะ” อีกฝ่ายส่งเสียงเล็ดลอดไรฟันออกมาด้วยความโมโห ก่อนที่จะเริ่มใช้พลังควบคุมมีดอีกครั้ง เซ็ธกอดวิลเลี่ยมที่ยังไม่สามารถกลับมาควบคุมมีดจำนวนมากๆ ได้
“ไปตายกันซะให้หมด!” กิลเบิร์ตแผดเสียงดังลั่นขึ้นพร้อมกับปามีดมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“หยุดแค่นั้นแหละ!” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับมีดที่ค้างอยู่กางอากาศ พวกมันปะทะเข้ากับสิ่งที่เห็นเป็นผ้าม่านสีอ่อนโปร่งใสแต่มีความแข็งแกร่งก่อนที่จะร่วงลงไปกองกับพื้น ไกลออกไปเอดิสันกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งที่เล็งปืนมาที่กิลเบิร์ต
“แกหมดทางหนีแล้ว กิลเบิร์ต”
“หยุด อย่าขยับ วางอาวุธลงแล้วยกมือขึ้น” ตำรวจนายหนึ่งสั่งการขึ้นน้ำเสียงเคร่งขรึม กิลเบิร์ตทำตามอย่างเชื่องช้า ทำให้นายตำรวจอีกสองนายเข้าไปล็อกตัวอีกฝ่ายไว้ทันที
“แกถูกจับกุมแล้ว ข้อหาค้ามนุษย์และพยายามฆ่า” นายตำรวจชี้แจ้งขึ้นก่อนจะคุมตัวอีกฝ่ายไป ตั้งแต่ที่เอดิสันพาพวกตำรวจมากิลเบิร์ตก็นิ่งเงียบมาโดยตลอด แต่ก่อนที่จะออกเดินนั้นกลับหัวเราะขึ้น
“หึ...ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะที่ดังลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ทุกคนชะงัก ดวงตาคมปราดมามองที่ฝาแฝดของตนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วแกจะได้พบกับฝันร้าย”
“ไปได้แล้ว” นายตำรวจเร่งให้กิลเบิร์ตเข้าไปในรถ เมื่อสถานการณ์กลับมาสงบแล้วเอดิสันก็รีบปรี่มาหาเซ็ธกับวิลเลี่ยมทันที
เด็กหนุ่มประคองกอดวิลเลี่ยมไว้ด้วยความกังวล อีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเผือดไปมาก
“คุณเอดิสัน ได้โปรดพาเขาไปโรงพยาบาลที” เซ็ธขอร้องขึ้นน้ำเสียงสั่นคล้ายคนจะร้องไห้ เอดิสันไม่รอช้ารีบประคองวิลเลี่ยมขึ้นมาใส่รถของตนให้เด็กหนุ่มช่วยดูไว้แล้วขับรถพาทั้งคู่ไปที่โรงพยาบาล
ก่อนที่สติเขาจะดับวูบไปช่วงหนึ่งนั้นรู้ว่าเอดิสันมาช่วยไว้ได้ทันและเขาก็วางใจพอจะเลิกฝืนร่างกายของตัวเองทันทีที่ถูกจับนอนบนเตียงเข็นของโรงพยาบาล วิลเลี่ยมก็ตื่นขึ้น
สิ่งแรกที่เขามองหาคือเด็กหนุ่มที่เป็นห่วงมากที่สุด หากไม่ได้เซ็ธช่วยขัดขวางการใช้พลังของกิลเบิร์ต ปานนี้ตัวเขาอาจกลายเป็นต้นกระบองเพชรไปแล้วก็ได้
เซ็ธเดินตามอยู่ข้างๆ เตียงมองเขาด้วยสีหน้าที่คล้ายจะร้องไห้ทำให้วิลเลี่ยมอยากที่จะปลอบ ก่อนที่จะถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน เขายกมืออันไร้เรี่ยวแรงลูบแก้มอีกฝ่ายก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนให้เป็นความหมายว่าอย่ากังวลก่อนที่จะหมดสติไปอีกครั้ง
ตื่นมาอีกทีก็พบเด็กหนุ่มฟุบหลับอยู่ข้างเตียง พอเขาขยับตัวนิดหน่อยอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาและแสดงสีหน้ายินดีอย่างปิดไม่มิดเมื่อเห็นเขาฟื้นแล้ว
“วิลเลี่ยม คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” เซ็ธถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะนึกขึ้นได้ “จริงสิ น้ำ...คุณหิวน้ำหรือเปล่า”
เขาพยักหน้าให้เมื่อรู้สึกคอแห้งทำให้อีกฝ่ายรีบผุดลุกไปเตรียมน้ำดื่มให้เขาทันที วิลเลี่ยมพยายามลุกแต่ความเจ็บปวดจากแผลที่หัวไหล่ทำให้เขาชะงัก
“อย่าขยับตัวมากสิครับ แผลของคุณยังไม่หายดีนะ” เซ็ธละจากการรินน้ำใส่แก้วมาช่วยเขาด้วยการประคองลงนอนกับเตียงอีกครั้งแล้วปรับระดับให้อีกฝ่ายพอนั่งได้ จากนั้นก็นำน้ำมาป้อนให้อีกฝ่าย
เมื่อดื่มน้ำจนหายคอแห้งแล้ววิลเลี่ยมจึงได้ยิ้มขึ้น “ขอบคุณนะ เซ็ธ”
“คุณเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” เซ็ธถามย้ำขึ้นด้วยความกังวล วิลเลี่ยมสำรวจร่างกายตนเองก่อนจะบอกว่า
“เจ็บแผลที่ถูกแทงอยู่กับปวดหัวหน่อยๆ แต่ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก” วิลเลี่ยมตอบด้วยรอยยิ้ม เขาเหลือบดูนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ข้างเตียงแล้วคำนวณดู ดูท่าเขาจะสลบไปคืนหนึ่งเต็มๆ
“นายเถอะ เป็นอะไรหรือเปล่า” ศาสตราจารย์หนุ่มถามต่อกับเด็กหนุ่มที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มุมปากของอีกฝ่ายยังปรากฏรอยช้ำจากการถูกต่อยอยู่ แถมเมื่อครู่ตอนตื่นเขาก็เห็นข้อมือของเซ็ธเป็นสีเขียวคล้ำจากการช้ำเช่นเดียวกัน
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก แค่นี้ไม่เจ็บเท่าไร” เด็กหนุ่มตอบพลางยิ้มบางๆ ขึ้น
“แล้วกิลเบิร์ตล่ะ” วิลเลี่ยมถามขึ้นด้วยความกังวล
“ตอนนี้ส่งไปนอนคุกเรียบร้อยแล้ว” เสียงของเอดิสันดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากห้องน้ำ “แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรเลย พวกนายก็สบายใจได้ หมอนั่นไม่ได้ออกจากคุกง่ายๆ หรอก”
“นายก็อยู่ด้วยเหรอ?” วิลเลี่ยมเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ อีกฝ่ายเลิกคิ้วส่งสายตาเป็นการบอกว่าแน่นอนก่อนจะพูดขึ้นถึงเหตุผลที่แท้จริง
“เลนเนอร์ไม่เห็นด้วยที่จะให้เซ็ธเฝ้านายคนเดียวเลยส่งฉันมาอยู่เป็นเพื่อน”
“อ้อ” วิลเลี่ยมร้องอ้อขึ้นทันทีอย่างเข้าใจ อีกฝ่ายเดินเข้ามาบ่นกับเขาเป็นการส่วนตัวด้วยอารมณ์เคืองแค้นว่า “เพราะนายแท้ๆ วันหยุดที่ฉันควรจะได้สวีทกับเลนเนอร์เลยหายไป”
“พอนายใช้คำว่าสวีทแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาแฮะ โอ๊ยๆ เจ็บๆๆ” คนที่พยายามแซวเพื่อนถูกบิดเนื้อเพิ่มความเจ็บไปอีกหนึ่งที่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้วิลเลี่ยมสำนึกผิดแต่อย่างใด
“เอ็ดครับ วิลเพิ่งฟื้นขึ้นมาอย่าเพิ่งแกล้งเขารุนแรงสิ” หนำซ้ำยังมีคนช่วยเป็นลูกแมวซื่อๆ ที่ทำให้เอดิสันไปไม่ถูก เขานิ่งอึ้งไปขณะที่วิลเลี่ยมแอบส่งรอยยิ้มปีศาจมาทางเขาจนอยากจะกระทุ้งศอกใส่ติดที่ว่าเซ็ธมองอยู่
“หายแล้ว แกกับฉันต้องคิดบัญชีกัน” ชายหนุ่มตั้งมั่นไว้เช่นนั้นก่อนที่จะลุกเดินออกไป “ฉันขอตัวไปทำธุระก่อนนะ”
“ครับ” เซ็ธพยักหน้า เอดิสันจึงเดินออกนอกห้อง เมื่อทั้งห้องเหลือกันอยู่สองคน วิลเลี่ยมจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น
“เซ็ธ” เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายก่อนจะกวักมือเรียก “มาใกล้ๆ หน่อยสิ”
“ครับ?” เด็กหนุ่มโน้มตัวไปตามคำขอ เมื่อสบโอกาสแล้วชายหนุ่มก็คว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนทำให้เซ็ธสะดุ้งโหยง “เดี๋ยวสิวิล เดี๋ยวแผลคุณก็เปิดพอดี”
“ไม่เป็นไรหรอก” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วพึมพำบ่นว่า “เมื่อวานฉันเหนื่อยมากเลยนะ ขอรางวัลหน่อยสิ”
“คุณนี่มัน...” เซ็ธถอนหายใจอย่างเอือมระอาแต่มุมปากกลับยกยิ้มขึ้น เขาเห็นอีกฝ่ายเรียกร้องเช่นนั้นก็อดตอบแทนให้ไม่ได้ เด็กหนุ่มเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะปิดปากตาลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ วิลเลี่ยมประกบริมฝีปากของตนเองเข้าหาเซ็ธทันทีก่อนที่จะมอบจูบลึกล้ำให้อีกฝ่ายอย่างถวิลหา
ช่วงเวลาเล็กๆ ที่แสนสงบสุข เขาอยากให้ดำเนินเช่นนั้นตลอดไป...
บทที่ 20
ความตายที่ต้องเลือก
“เอ้า วิลเลี่ยม เลือกสิ จะตายด้วยน้ำมือคนรักหรือจะเห็นคนรักตายไปต่อหน้าต่อตา”
คำพูดของอลิซาเบ็ธราวกับสายฟ้าที่ฝ่าลงมากลางใจของวิลเลี่ยม ชายหนุ่มยืนนิ่งค้าง สถานการณ์ตอนนี้เขากำลังตกที่นั่งลำบาก
“ถ้านายคิดเล่นตุกติก ฉันจะให้เขาโดดลงไปเสียเลย” อลิซาเบ็ธขู่ขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อย่าทำอะไรแบบนี้ อลิซ พอได้แล้ว” วิลเลี่ยมหันไปขึ้นเสียงใส่หญิงสาว “เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้!”
“ไม่ล่ะ นายพาเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เอง” หญิงสาวเอ่ยขึ้น “ฉันล่ะอดใจไม่ไหวจริงๆ ที่จะได้เห็นนายต้องตายเพราะคนที่นายรัก”
“ไม่เอา...” เสียงที่สั่นเครือของเซ็ธดังขึ้น เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ตามใจ แค่ยั้งไม่ให้มือลั่นไกปืนก็ลำบากเต็มทน
“ได้โปรด...หยุดเถอะ” หยาดน้ำตาของเด็กหนุ่มไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ตัวของเขากำลังสั่นเทา หัวใจราวกับถูกบีบให้แหลกสลาย พร่ำบอกขอร้องหญิงสาวให้หยุดการกระทำนี้อย่างเวทนา
แต่หญิงสาวที่เขาขอร้องนั้นไม่ได้มีหัวใจมารับฟังชนชั้นต้อยต่ำอย่างเซ็ธ
เมื่อเห็นวิลเลี่ยมไม่ยอมก็บังคับให้เซ็ธก้าวถอยหลังไปจนติดราวกั้นเหล็กเก่านั่นอีก เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความกลัว อีกนิดเดียวก็จะถูกผลักตกลงไป วิลเลี่ยมเองก็มีปฏิกิริยากับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย เขากัดฟันกรอดมองภาพของเซ็ธที่กำลังหวาดกลัวด้วยความเจ็บใจ
“พอที...ได้โปรดเถอะ” เด็กหนุ่มยังพร่ำพรรณนาทั้งน้ำตาด้วยความหวาดกลัว เสียงสะอื้นไห้ดังไปทั่วชั้นดาดฟ้าแต่ไม่ได้เข้าหูของอลิซาเบ็ธเลยแม้แต่น้อย เธอยังพยายามให้วิลเลี่ยมยอมจำนน
“เอ้า วิลเลี่ยม ยอมตายเสียสิ ถ้านายสัญญาว่าจะยืนเป็นเป้านิ่งให้ยิงล่ะก็ เขาก็จะปลอดภัย”
“อย่านะ! วิลเลี่ยม หนีไปสิ” เซ็ธพยายามเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา ไม่ใช่ต้องการว่าจะสั่งอีกฝ่ายแต่เป็นการขอร้อง จากคนหนึ่งๆ ที่รักวิลเลี่ยมหมดใจ “หนีไปเถอะ ฮึก...ได้โปรด”
“เซ็ธ...” วิลเลี่ยมเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมาเบาๆ ความรู้สึกของเขากำลังพังทลายเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังทรมาน ที่นี่พลังจิตของเขาใช้ไม่ได้ผลเพราะไม่มีสิ่งใดที่เขาเคยสัมผัส เป็นความเจ็บใจอย่างยิ่งยวดที่ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมตัวนั้นมา อลิซาเบ็ธจึงได้เป็นผู้มีชัยในขณะนี้
เขารู้ดีว่าถ้าหากปล่อยให้เซ็ธยิง อลิซาเบ็ธก็จะเป็นผู้ชนะอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่การกำจัดเขา แต่จะทำให้เซ็ธแตกสลายไปด้วย เด็กหนุ่มเห็นวิลเลี่ยมเป็นคนสำคัญ และการฆ่าคนสำคัญเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี
มันจะกลายเป็นตราบาปที่หลอกหลอนเซ็ธไปชั่วนิรันดร
แต่เขาก็ไม่อยากเห็นเซ็ธต้องทรมานเช่นนี้อีกแล้ว ยิ่งเขายึกยักที่จะไม่แสดงท่าทียอมจำนน อลิซาเบ็ธก็จะเร่งเขาด้วยการบังคับเซ็ธอยู่เช่นนั้น
ประวิงเวลานานกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจ...
“เซ็ธ...” วิลเลี่ยมเอ่ยเรียกอีกฝ่าย คลายสีหน้าเครียดจัดด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกที “นายไม่ผิดหรอกนะ นายไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น”
“วิล...”
“คิดซะว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมันไม่ได้มาจากฝีมือนาย อย่าได้โทษตัวเองเลย” วิลเลี่ยมพูดต่อด้วยรอยยิ้มเหมือนการสนทนากับเซ็ธทุกครั้ง
“ต่อจากนี้ทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนมาก่อนซะนะ”
น่าแปลก ทั้งที่เตรียมใจแล้วแต่ตัวเขากำลังสั่น รอยยิ้มที่อยากให้อีกฝ่ายจดจำไว้แข็งค้างและยากที่จะฝืนไว้
ทั้งที่อยากบอกลากันมากกว่านี้ อยากที่จะพูดอะไรกับอีกฝ่ายมากกว่านี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เอื้อเอาเสียเลย
วิลเลี่ยมสูดลมหายใจเข้า ปล่อยตัวเองให้รู้สึกสบายก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนออกมา
“ยิงฉันซะ” คำพูดสั้นๆ ดังออกมาจากปากของวิลเลี่ยมทำให้อลิซาเบ็ธยกยิ้มพอใจอย่างพอใจและระเบิดหัวเราะออกมา แต่เซ็ธกลับเบิกตากว้างแล้วร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม เด็กหนุ่มตัวสั่นเทาเพราะกำลังฝืนตัวเอง
“ไม่...”
มันไม่ควรเป็นอย่างนี้...เซ็ธคาดหวังให้วิลเลี่ยมแก้สถานการณ์นี้ได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับยอมจำนนแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
บอกให้เขาลืมแต่กลับฝังตัวเองไว้ในจิตใจของเขาทุกส่วน
สำหรับเซ็ธ ตัวตนของวิลเลี่ยมคือแสงสว่างที่มอบความหวังให้แก่มนุษย์ ทำลายกำแพงที่เรียกว่าชนชั้น ความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายนั้นทำให้โอเมก้ามีที่ยืนมากขึ้น
ทั้งๆ ที่ความพยายามของวิลเลี่ยมกำลังจะประสบความสำเร็จ แล้วทำไมอีกฝ่ายต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
เขาต้องการให้วิลเลี่ยมเห็นความสำเร็จของตัวเอง เห็นโลกที่กำลังจะสงบสุขต่อจากนี้
อัลฟ่าไม่สมควรได้คู่กับโอเมก้า... จู่ๆ เซ็ธก็เห็นด้วยกับคำกล่าวที่อัลฟ่าดูถูกชนชั้นของตนมาโดยตลอด
หากคู่กันแล้วทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน ก็ไม่สมควรครองคู่กันต่อไป
วิลเลี่ยมยังมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้
แต่เขา...เขาหมดหน้าที่แล้ว ได้รับการผลักดันจนมาอยู่ในจุดที่เทียบเคียงอัลฟ่าได้ ได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้างจนทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นลดลง แค่นี้ก็พอแล้ว
ความคาดหวังต่อจากนี้ที่เขามีให้ต่อวิลเลี่ยม...มากพอที่จะทำให้ไม่มีห่วงอะไรเหลืออยู่
เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงได้ตัดสินใจ
“ถ้างั้นก็ไปตายได้แล้ว วิลเลี่ยม” เสียงของอลิซาเบ็ธดังขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้วิลเลี่ยมเตรียมใจ และหันมาบังคับเขาให้ลั่นไกปืน
เซ็ธที่ยังคงมีน้ำตานองหน้ายิ้มขึ้น ทำให้วิลเลี่ยมที่ยืนนิ่งอยู่ชะงัก
“ลาก่อน วิลเลี่ยม”
เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด ขืนตัวเองให้ล้มไปด้านหลัง แรงโน้มถ่วงนั้นมากพอที่จะทำให้เขาร่วงไปอย่างรวดเร็วก่อนที่อลิซาเบ็ธจะบังคับให้เขาลั่นไกปืนได้ ลูกกระสุนนั้นจึงไม่โดนวิลเลี่ยม
“เซ็ธ!!” ชายหนุ่มตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ เขารีบวิ่งไปที่ขอบตึกทันทีอย่างรวดเร็วพร้อมกับใจที่คล้ายกับถูกบีบจนแหลกสลาย
ร่างของเด็กหนุ่มร่วงลงจากดาดฟ้า กำลังตกอยู่เบื้องล่าง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ยืนอยู่
“เตรียมพร้อม!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างหนักแน่นเร่งให้คนที่อยู่แถวนั้นตื่นตัว เบาะลมช่วยชีวิตได้ถูกกางออกรอไว้เมื่อครู่ ทันเวลาก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะตกลงบนนั้นท่ามกลางอาการใจหายใจคว่ำของผู้คนที่ยืนมุงอยู่
หน่วยกู้ภัยต่างรีบเข้าไปดูอาการของเซ็ธทันที เด็กหนุ่มสลบไปทำให้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
เอดิสันยืนคุมการทำงานทุกอย่างอยู่ไม่ไกล ก่อนที่จะตะโกนผ่านโทรโข่งให้แก่คนที่อยู่บนชั้นดาดฟ้า
“วิลเลี่ยม เขาปลอดภัย ฉันกำลังจะขึ้นไปบนนั้น”
“ขอบคุณสวรรค์” วิลเลี่ยมถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะแตะเครื่องมือที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋า อุปกรณ์สื่อสารนี้เอดิสันกำชับให้เขาพกมาด้วยตลอดในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน และนั่นทำให้อีกฝ่ายได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงระดมคนมาช่วยไว้ได้ทัน
มันเป็นเครื่องสื่อสารทิศทางเดียว เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้อลิซาเบ็ธรู้ตัวจึงทำเหมือนไม่ได้ติดต่อกัน นั่นทำให้วิลเลี่ยมไม่ได้ยินเสียงจากทางฝั่งของเอดิสันจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เตรียมการกันไปถึงขั้นไหนแล้ว ต้องถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ทัน
เซ็ธจึงปลอดภัย
“บ้าน่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้” อลิซาเบ็ธกรีดร้องขึ้นอย่างเจ็บใจ วิลเลี่ยมจึงยกยิ้มขึ้นก่อนที่จะหันมาหาเธอ
“เธอประเมินพวกฉันต่ำไปนะ” เขาเริ่มเอ่ยขึ้น ขณะที่เดินเข้ามาใกล้อีกฝ่าย “จริงอย่างที่เธอว่าอลิซ เรื่องของเรามันกำลังจะจบ”
เสียงใบพัดของเฮลิคอปเตอร์เครื่องหนึ่งดังขึ้นก่อนที่มันจะบินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ตึกที่พวกเขายืนกันอยู่ ตากล้องคนหนึ่งกำลังบันทึกวิดีโอสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อลิซาเบ็ธหน้าเสีย
แผนการทั้งหมดที่เธอทำขึ้น บัดนี้ถูกเผยแพร่ผ่านช่องข่าวเป็นรายการสดที่ผู้คนจับตาดูกันมากที่สุด
หญิงสาวกัดฟันกรอด ก่อนที่จะออกวิ่งเข้าตึกไป วิลเลี่ยมรีบวิ่งตามทันที อีกฝ่ายค่อนข้างรวดเร็วมาก ทว่าก็ต้องชะงัก เมื่อเอดิสันนำทีมตำรวจวิ่งขึ้นมาเช่นกัน
หญิงสาวยืนนิ่ง แต่เธอก็ใช่ว่าจะยอมจำนน วิลเลี่ยมเองเห็นอีกฝ่ายหยุดก็นึกขึ้นได้ ตำรวจพวกนี้ใช่ว่าจะมีพลังจิตสูง เธออาจจะควบคุมจิตใจของใครอีกก็ได้
“เฮ้” วิลเลี่ยมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายขณะจับไหล่ของอลิซาเบ็ธให้หันมาแล้วต่อยเข้าที่หน้าเต็มๆ จนสลบไป ท่ามกลางเสียงฮือฮาของตำรวจ
“ขืนปล่อยไว้เดี๋ยวเธอใช้พลังอีกจะทำยังไง” วิลเลี่ยมรีบแก้ตัวทันที เขาเพิ่งเห็นว่าในทีมที่เอดิสันพาขึ้นมามีนักข่าววิ่งตาม เลยรีบบอกว่า “ฉันก็ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงหรอกนะ”
“ทราบครับ นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน” ตำรวจคนหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนที่จะสั่งการให้ตำรวจหญิงสองนายมาคุมตัวอลิซาเบ็ธไป สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เจ้าหน้าที่เริ่มเข้ามาตรวจสอบ วิลเลี่ยมถูกเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแต่ก็อดห่วงเซ็ธไม่ได้
วิลเลี่ยมไหว้วานเอดิสันให้โทรสอบถามโรงพยาบาลที่เซ็ธถูกส่งไปรักษาตัว อีกฝ่ายบอกว่าตอนนี้ตัวเด็กหนุ่มปลอดภัยแล้ว กำลังเดินทางมาที่สถานีตำรวจพร้อมกับบอดี้การ์ด เขาจึงรออยู่ที่นั่น
ทันทีที่รถสีดำคันหนึ่งแล่นมาจอดก่อนที่บอดี้การ์ดที่วิลเลี่ยมคุ้นหน้าดีจะลงมาจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ใครอีกคน ก่อนที่เขาจะเห็นเซ็ธถูกพามาหน้าสถานีตำรวจ
“เซ็ธ” วิลเลี่ยมที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นพรวดตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่มทันที เหมือนเซ็ธเองก็กำลังหาเขาอยู่จึงยกยิ้มขึ้นเมื่อเจอ
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังขึ้นหนึ่งฉาดท่ามกลางความอึ้งของทุกคน เซ็ธที่ถูกตบเบิกตากว้างด้วยความตะลึง เขาหันกลับมามองวิลเลี่ยมที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ดวงตาวูบไหวเหมือนคนกำลังเจ็บปวด
“ทำแบบนั้นทำไม!” วิลเลี่ยมตวาดขึ้นจากอารมณ์ที่เก็บไว้ในใจ น้ำเสียงของเขาสั่นเครือพอๆ กับร่างกายที่สั่นเทาด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งเสียใจ เศร้า และโกรธ “เกิดเอ็ดช่วยไม่ทันแล้วปานนี้นายจะเป็นยังไง! เคยคิดบ้างไหม!”
“วิล...” เซ็ธเอ่ยขึ้นเสียงสั่น เขาไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้วิลเลี่ยมโกรธ
อาจจะถูกเกลียดแล้วก็ได้... พอคิดแบบนั้นน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วก็ผุดออกมาอีก
“ผม...ผมขอโทษ” เด็กหนุ่มพูดเสียงสั่น พยายามยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้ม “ผมกลัว...ผมไม่อยากเห็นคุณตาย ผม...ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว แค่คิดว่าคุณยังมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ ฮึก ก็เลย...”
เซ็ธสะอื้นไห้ออกมาโดยไม่อายสายตานับสิบที่จ้องมองมา “ถ้าต้องให้เลือก ฮึก ผมขอตายแล้วให้คุณอยู่ดีกว่า”
“เซ็ธ!” วิลเลี่ยมตวาดขึ้นเสียงดังลั่นก่อนที่จะคว้าตัวเด็กหนุ่มมากอดไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ไม่มีใครต้องตายทั้งนั้น”
“เอ๊ะ?...”
“สัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉันอยู่ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่มีนาย เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ก็ห้ามคิดแบบนั้นอีก ห้ามเด็ดขาดด้วย ถ้านายทำอะไรที่เสี่ยงกับชีวิตตัวเองอีกล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันให้อภัยไปชั่วชีวิต” วิลเลี่ยมเอ่ยออกมาพร้อมๆ กับสะอื้นไห้ หยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากหัวตาไม่ขาดสายขณะที่กอดเด็กหนุ่มไว้แน่น
วินาทีนั้นเซ็ธถึงเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขากำลังถูกเกลียด แต่เพราะรัก...รักมากเสียจนยอมลงมือทำร้ายเพื่อให้เขารู้
เซ็ธจึงได้รับการสั่งสอนบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดแล้ว
“วิลเลี่ยม...ผมสัญญา มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” เด็กหนุ่มสาบานเช่นนั้นท่ามกลางเสียงร้องไห้โฮไม่อายฟ้าอายดินของคนที่โตกว่า
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คนที่เพิ่งตวาดเสียงดังลั่นสถานีตำรวจ ยกเว้นก็แต่เอดิสันที่อดรำคาญไม่ได้เลยรีบมาลากคอเพื่อนสนิทไปสั่งสอนแล้วให้เซ็ธเข้าพบตำรวจสักที จะได้แยกย้ายกันไป คุณพ่อมือใหม่ต้องการกลับไปนอนกับที่รักและลูกสาวที่ยังอายุไม่ถึงเดือน
การให้การของเซ็ธนั้นค่อนข้างช้ากว่าวิลเลี่ยม เพราะตำรวจต้องการทราบข้อมูลช่วงที่ถูกควบคุมด้วยเพื่อที่จะนำไปหาวิธีรับมือนักโทษหญิงคนนั้น
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน ทุกคนก็แยกย้าย เอดิสันตรงกลับบ้านทันที ส่วนเซ็ธและวิลเลี่ยมกลับไปที่เกิดเหตุอีกครั้งพร้อมบอดี้การ์ดเพื่อไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ เมื่อพวกเขาตรวจจนแน่ใจว่าปลอดภัยก็ให้วิลเลี่ยมขับกลับพร้อมเซ็ธ วันนี้พวกบอดี้การ์ดก็เฝ้าอยู่เช่นเคย
ทันทีที่ถึงบ้าน หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยราวกับถูกความเหนื่อยล้าของวันนี้เข้าเล่นงาน ไม่มีใครคิดจะดูหรือคุยอะไรต่อ พวกเขาหลับด้วยกันภายในห้องของวิลเลี่ยม
คืนนั้นวิลเลี่ยมสามารถหลับได้ลึกเพราะความกังวลที่สั่งสมมาคลายตัวและสลายไปแล้ว
จุดแข็งที่เขาเคยคิดว่าทลายยากหายไปแล้ว ความหวังของพวกโอเมก้าจึงสว่างขึ้นมา
การแข่งขันระหว่างเขากับอลิซาเบ็ธตลอดจนกิลเบิร์ต บัดนี้ผู้ชนะคือเขา ต่อจากนี้จึงไม่มีอะไรให้กังวล
ว่าด้วยเรื่องของอัลฟ่า (คำบรรยายโดย วิลเลี่ยม ซี. มาร์เดน)
[/size]
(ในส่วนนี้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลฟ่านะคะ จะว่ารู้ก็ดีไม่รู้ก็ได้ค่ะ แค่รู้สึกไหนๆ ก็คิดแล้วก็ขอจดไว้ก่อน จะลืมแล้วค่า)
อัลฟ่าคือผู้ที่อยู่สูงสุดในสังคม ตั้งแต่เกิดการวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงชนชั้น พวกเขาผู้ซึ่งมีพลังพิเศษได้กำหนดให้พวกตนยิ่งใหญ่ที่สุด และความหลงระเริงในอำนาจและพลังทำให้เกิดการดูถูกเหยียดหยามชนชั้นอื่น เกิดเป็นช่องโหว่ที่ยากจะแก้ไข
นับว่ายังดีที่ในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผมไม่อยากยกว่านี่คือความสำเร็จของตนเอง มีคนมากมายที่ทำให้ช่องโหว่นั้นถูกปิดลง หากให้พูด ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาที่ร่วมฝ่าฟันกันมามากกว่าชื่นชมตัวเอง
เอาล่ะ ผมคงไม่นอกเรื่องไปมากกว่านี้ เพราะเนื้อหาต่อไปจะเป็นการสรุปเรื่องชนชั้นและพลังจิตกันอีกครั้งครับ
นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ที่มนุษย์เกือบสูญพันธุ์และผู้เหลือรอดได้มีการวิวัฒนาการตนจนเกิดความพิเศษขึ้น เกิดเป็นระบบชนชั้นแบบใหม่ที่แบ่งออกเป็นสามชนชั้น
อันดับแรกซึ่งมีจำนวนมากที่สุดถูกเรียกว่าชนชั้นเบต้า พวกเขาเป็นประชากรที่พบเห็นได้ทั่วไป ถึงจะไม่ยิ่งใหญ่แต่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขามีพลังเหนือมนุษย์ที่หากให้พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือไม่อลังการเท่าอัลฟ่า การแสดงพลังของชนชั้นเบต้านั้นจะต้องใช้ร่างกายเป็นสื่อกลาง หรือมีความสามารถบางอย่างที่เหนือกว่าคนอื่น
ยกตัวอย่างเช่น
- ไมเคิล นักข่าวที่ผมคุ้นเคย หากให้ผมพูด เขามีพลังปากเป็นเอก...อันนี้พูดยาก แต่เขามีทักษะการชักจูงคนให้คล้อยตามได้ น่าแปลกหรือเกินที่มาทำอาชีพนักข่าว ผมว่าไปหลอกขายตรงน่าจะรุ่งกว่า
- มิเกล เพื่อนสนิทของเซ็ธ แม้เธอจะเป็นพี่น้องกับไมเคิล แต่กลับมีพลังการจดจำที่น่าทึ่ง เธอสามารถจำตำราเรียนทุกอย่างได้ภายในหนึ่งสัปดาห์แรกของการเปิดเทอม ปกติแล้วคนที่มีสายเลือดเดียวกันมักจะมีพลังคล้ายๆ กันครับ แต่หากพ่อกับแม่มีพลังคนละอย่าง ก็มีสิทธิ์ที่ลูกจะมีพลังต่างกันได้เช่นกรณีนี้
พลังพิเศษที่จะยกตัวอย่างต่อไปคือแบบที่เกี่ยวข้องกับร่างกายโดยตรงครับ อย่างคนที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกขณะนี้ก็เป็นเบต้า น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาโดนแบนจากทุกการแข่งขันแล้วเพราะเร็วเกินไป แต่เห็นว่าหันไปเป็นโค้ชให้นักกีฬาหน้าใหม่แทน แต่ถ้าเขาไวขนาดนี้ผมว่าไปวิ่งราวก็คงไม่มีใครจับทัน
ส่วนอัลฟ่านั้นมีพลังจิตที่ในบางครั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อกลาง และมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรยิ่งใหญ่อย่างการทะลุมิติ หรือควบคุมดินฟ้าอากาศได้หรอกนะครับ และก็มีหลายคนที่ไม่สามารถรับพลังของตนเองได้หรือฝืนใช้มากเกินไปจนถึงแก่ความตายก็มีเยอะ พวกอัลฟ่าเลยมีน้อยกว่าเบต้าครับ
อัลฟ่านั้นหลังจากมีการวิจัยมากมายก็ได้ข้อสรุปว่าสายพลังของอัลฟ่านั้นแบ่งออกเป็นสามประเภท
อย่างแรกคือ Imagination เป็นการสร้างสิ่งเสมือนจริงจากความคิด ทำให้ภาพในหัวปรากฏออกมา คนที่มีพลังประเภทนี้ (ที่ปรากฏในเรื่อง) ก็เช่นเอดิสันที่สามารถสร้างกำแพงอากาศได้ สายนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับสายควบคุม แต่รายละเอียดลึกๆ ค่อนข้างต่างกันครับ กรณีเอดิสันนั้นสามารถสร้างกำแพงไว้ตรงไหนก็ได้ตามที่คิดหรือจะวางกี่อันก็ได้ หลักการนั้นเป็นการรวมสสารที่ลอยอยู่ในอากาศให้มันแข็งเฉพาะจุด เห็นว่ากว่าจะทำให้ได้อย่างใจก็ต้องใช้เวลานานเลย และเพราะเป็นสายที่ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยากจึงมีอยู่น้อยครับ
ประเภทที่สองก็คือ Visibility เกี่ยวกับการมองเห็นอดีต อนาคต การอ่านใจ พบไม่บ่อยและไม่ได้มีมาก รายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างไปตามตัวบุคคล คนที่มีพลังประเภทนี้เช่น เซ็ธที่รัก เขาจะมองเห็นอนาคตเฉพาะเรื่องร้ายและอุบัติเหตุ แต่การแสดงพลังออกมานั้นต้องมองตากับเหยื่อก่อนนะครับ และเพราะเขายังเด็กเลยมีผลกระทบเมื่อใช้พลังอยู่บ้าง และองค์ราชินี ท่านสามารถมองเห็นอนาคตแบบกว้าง แต่ไม่สามารถเจาะจงรายบุคคลได้ เหมาะสมสำหรับการบริหารบ้านเมืองมากครับ
ส่วนประเภทที่สามคือ Control พลังจิตสายควบคุม พบบ่อยแต่ส่วนใหญ่จะควบคุมได้ระดับต่ำ อัตราการตายสูงที่สุดเพราะใช้สมองอย่างต่อเนื่องจนเกินไป คนที่มีพลังประเภทนี้ก็อย่างเช่นตัวผมและแฝด กิลเบิร์ต เราสามารถควบคุมสิ่งของได้เกือบทุกประเภทผ่านการสัมผัส แม้จะแค่ปลายนิ้วหรือแค่บางส่วนของร่างกายโดน แต่ก็มีบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้นะครับเช่นสิ่งที่มีหลักยึด ฝังราก จริงๆ ของหนักก็ยกได้แต่ค่อนข้างเปลืองแรงและเชื่องช้าครับ (เคยพยายามยกแล้วแต่เอ็นแขนฉีก เลยไม่คิดสู้ครับ) ส่วนคนและสัตว์ก็ยกไม่ได้ครับ ของที่ผมถนัดก็คือการปามีดเพราะเบาและควบคุมง่าย อีกคนที่อยู่ในสายนี้ก็คืออลิซาเบ็ธ น่าเจ็บใจที่เคยโดนหลอก แต่หากมาวิเคราะห์ดู การควบคุมจิตใจก็อยู่ในสายนี้ครับ
ในแต่สายก็จะมีแยกย่อยไปอีก บางครั้งพลังพิเศษที่ปรากฏก็อาจจะเกิดการผสมกันระหว่างสายเกิดเป็นพลังใหม่ก็ได้ และในแต่ละประเภทนั้นก็จะมีลำดับความแข็งแกร่งอีกครับ หลักการถ้าให้สรุปง่ายๆ ก็คือคนที่มีพลังน้อยกว่าจะไม่สามารถทำอะไรคนที่มีพลังมากกว่าได้ เพราะแบบนั้นอลิซถึงควบคุมผมไม่ได้เนื่องจากพลังน้อยกว่า
ถ้าให้เห็นภาพแผนภูมิพลังพิเศษของอัลฟ่าก็คือเค้กก้อนหนึ่งที่ถูกแบ่งเป็นสามส่วน และในแต่ละส่วนก็จะมีชั้นเค้กแยกอีกครับ
วันนี้ก็คงมีเรื่องพูดแค่นี้ เป็นเหมือนบันทึกเล็กๆ ที่ทำให้เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น แต่ว่านะครับ มนุษย์ที่มีการวิวัฒนาการไม่หยุดยั้งก็มักจะมีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ อย่างเซ็ธที่เป็นโอเมก้า แต่ได้รับโอกาสให้กลายเป็นหนึ่งในล้านล้านที่สามารถใช้พลังจิตได้ จริงๆ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของเขาผมก็สงสัยเหมือนกัน จากที่สันนิษฐานเพราะเขาเป็นโอเมก้าที่เกิดจากอัลฟ่า DNA คงเกิดการเปลี่ยนแปลงก็เลยมีพลังขึ้นมา ต่อจากนี้จะมีโอเมก้าที่มีพลังเกิดขึ้นมาอีกไหม ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
แต่ก็มีทฤษฎีหนึ่งที่ผมสงสัยนะครับ หากอัลฟ่าและโอเมก้าที่มีพลังพิเศษมีลูกกัน ลูกจะได้รับพลังพิเศษแม้จะเป็นโอเมก้าด้วยไหม สงสัย...สงสัยจริงๆ นะครับ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์มันก็ต้องพิสูจน์ใช่ไหมครับ
เพราะฉะนั้น...เซ็ธ มาลองพิสูจน์กันเถอะ!
“กะแล้วเชียวว่าโทรเรียกตำรวจจะดีกว่า” – เอดิสัน
ตอนพิเศษ
ว่าด้วยเรื่องรัง
หลายวันมานี้วิลเลี่ยมเพิ่งสังเกตห้องนอนของเซ็ธ ปกติแล้วเด็กหนุ่มไม่ค่อยให้เขาเข้าไปสักเท่าไร ตัวเขาเองก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มคงอยากมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างก็เลยไม่คิดเซ้าซี้
ที่นอนของเซ็ธนั้นเต็มไปด้วยของมากมาย แต่ดูเป็นระเบียบ หากให้พูดวิลเลี่ยมคิดว่ามันเหมือนรัง บนเตียงนั้นนอกจากหมอนหลักที่ใช้หนุนนอนก็ยังมีอีกสองใบรายล้อมรอบๆ กับหมอนข้างและตุ๊กตาที่เขาเคยให้ ผ้าห่มนวมหนาก็คงถูกใช้ห่อตัวคืน
เขาเคยเข้ามาตอนเช้าเห็นเด็กหนุ่มนอนขดตัวอยู่ใน ‘รัง’ นั้นด้วยสีหน้าเป็นสุขก็คิดได้ว่าคงเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับอีกฝ่าย
“วิลเลี่ยม ช่วยอะไรผมหน่อยสิ” วันหนึ่งเซ็ธเดินมาหาเขาพร้อมหอบก๊วนตุ๊กตาสี่ตัวมาด้วยทำให้วิลเลี่ยมนึกอยากพุ่งหยิบกล้องมาถ่ายรูปไว้
“อะไรเหรอ” แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าช่วยอีกฝ่ายก่อนจะดีกว่า
“ช่วยกอดตุ๊กตาพวกนี้ให้หน่อยได้ไหมครับ”
“หา?” วิลเลี่ยมหลุดปากอุทานออกมาทันทีด้วยความงุนงง ก่อนจะเกิดอาการนิ่งค้าง แต่พอเห็นเซ็ธทำตาเศร้าก็รีบฉีกยิ้มทันที “อา...ได้สิ ได้สิ กอดสินะ กอด”
ชายหนุ่มอ้าแขนออกแล้วรวบอีกฝ่ายมากอดไว้ทันที กลิ่นหอมของคนที่เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
“วิลเลี่ยม...แค่ตุ๊กตาก็พอครับ”
บางทีเขาก็คิดว่าเซ็ธก็พูดจาได้เจ็บดีเหมือนกัน
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่วิลเลี่ยมก็ยอมกอดตุ๊กตาทั้งสี่นั่นแต่โดยดี สัมผัสของมันนุ่มมือมากคงได้รับการดูแลอย่างดี คิดไปแล้วเขาก็เกิดอิจฉาตุ๊กตาขึ้นมา
“ว่าแต่ว่าทำไมนายถึงอยากให้ฉันกอดตุ๊กตาเหรอ” เขาถามขึ้นขณะที่เปลี่ยนจากกอดตัวแรกจนพอใจแล้ว เซ็ธชะงักมือที่หยิบอุปกรณ์วาดภาพแล้วหันมามอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ก็...ผมรู้สึกว่าเวลาได้กลิ่นคุณแล้วจะสบายใจมากกว่า แต่ว่าตอนนี้ในห้องก็ไม่ค่อยมีกลิ่นของคุณแล้ว ก็เลยอยากจะให้เพิ่มกลิ่นของคุณบนตุ๊กตาน่ะครับ”
วิลเลี่ยมนิ่งค้าง เผลอทำหน้าตื่นตะลึงใส่จนเซ็ธกังวลและหน้าแดงขึ้น
“ไม่ได้เหรอครับ?”
“ได้สิ ยินดีเลยล่ะ” วิลเลี่ยมรีบตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ส่วนในใจนั้นหัวเราะชั่วร้ายขึ้น เจ้าตุ๊กตานี่เขาเคยอิจฉาทั้งหลาย จงรับกลิ่นไปซะดีๆ!
เย็นวันนั้นเซ็ธหอบตุ๊กตาพวกนั้นเข้าห้องไป แต่พอตกกลางคืนวิลเลี่ยมก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยไปนอนในห้องของเซ็ธเลย เขาเลยถือโอกาสนี้พุ่งไปเคาะประตูห้องอีกฝ่าย
“เซ็ธ ถ้านายอยากได้กลิ่นของฉันละก็ทำไมไม่ให้ฉันนอนด้วยล่ะ” วิลตาเป็นประกายขณะอยู่หน้าประตูห้อง เซ็ธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบ
“ไม่เอาครับ”
“เอ๊ะ?”
“ไม่อยากให้คุณนอนในห้องของผมครับ”
ปัง...
เสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเศษหน้าที่ของเขาที่ร่วงลงมา คิดว่าเป็นคนรักกันแล้วจะได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย แต่วิลเลี่ยมกลับพบว่าไม่ใช่ ใจของเซ็ธยากแท้หยั่งถึงจริงๆ
แต่ยังเสียใจได้ไม่เท่าไร อีกฝ่ายก็เปิดออกมาพร้อมชุดนอนที่ถูกเปลี่ยนแล้ว ทำให้วิลเลี่ยมเกิดความแปลกใจขึ้น
“เซ็ธ ไม่นอนหรือ”
“ก็คุณบอกจะนอนด้วยกันนี่ครับ” เซ็ธเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วบอกว่า “ไปนอนในห้องคุณกันเถอะครับ”
“เอ๊ะ แต่เมื่อกี้...”
“ผมแค่บอกว่าไม่อยากให้คุณนอนในห้องผม มันค่อนข้างแคบแล้วก็รกด้วย คงไม่ดีกับคุณ” เด็กหนุ่มเอ่ยความจริงขึ้นทำให้วิลเลี่ยมหายโง่ เซ็ธเห็นเขาเงียบไปก็เกิดความสับสนเลยถามอีกเพื่อความแน่ใจ “ผม...นอนในห้องคุณได้สินะครับ”
ชายหนุ่มได้ฟังแล้วก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ เขาก้มลงจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้สิ มานอนด้วยกันเถอะ”
คืนนั้นพวกเขาได้นอนด้วยกัน แต่สำหรับเซ็ธเด็กดีแล้ว คำว่านอนด้วยกันก็คือนอน นอนเฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น! วิลเลี่ยมผู้หวังมากกว่านั้นเลยได้แต่น้ำตานองรอโอกาสต่อไป
(จบ)
ว่าด้วยเรื่องของรัง (ภาคเอดิสัน&เลนเนอร์)
“วิลเลี่ยมบอกว่าโอเมก้ามักจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเอง นายมีหรือเปล่า” เอดิสันผู้หาเวลาว่างให้ชีวิตได้แล้วเอ่ยถามขึ้นกับคนรักที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ อีกฝ่ายหันมาทำสีหน้าแปลกใจแล้วถามกลับ
“หมายถึงรังน่ะเหรอ”
“ใช่” ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่ค่อยได้เข้าห้องของเลนเนอร์สักเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าไม่เคย เอดิสันจำได้ว่าบนเตียงของโอเมก้านี่เต็มไปด้วยเครื่องนอนระเกะระกะผิดวิสัย ถ้าเขาจำไม่ผิดเหมือนจะมีเสื้อของเขาอยู่ด้วย
“แล้วก็ชอบให้มีกลิ่นของอัลฟ่าในพื้นที่ที่ปลอดภัยด้วย” เขาพูดต่อขณะเดินไปนั่งข้างเลนเนอร์ อีกฝ่ายเลิกคิ้วคล้ายถามว่าจะสื่อถึงอะไร เอดิสันเลยหยิบขวดจิ๋วออกมาจากอกเสื้อยื่นให้อีกฝ่าย
“นี่อะไรน่ะ” เลนเนอร์ที่รับไปแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“น้ำหอมสกัดพิเศษกลิ่นของฉัน” ทันทีที่บอกไปแบบนั้นโอเมก้าหนุ่มก็หลุดหัวเราะออกมาทันทีแล้วเอนศีรษะมาซบกับไหล่ของเขา
“จริงจังไปไหม”
“ก็ฉันไม่มีเวลามาให้กลิ่นนายทุกวันนี่ เกิดต้องไปทำงานเป็นอาทิตย์แล้วนายไม่สบายใจจะทำยังไง” เอดิสันเอ่ยขึ้น เขาลงทุนไปหาวิธีสร้างน้ำหอมแล้วจ้างคนมาทำโดยเฉพาะเผื่อในกรณีที่ไม่อยู่หลายวัน
เลนเนอร์หัวเราะเบาๆ ออกมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรเรื่องนั้นอีกจนกระทั่งดึกแล้ว
ตอนที่เอดิสันออกมาจากห้องอาบน้ำก็เห็นเลนเนอร์นั่งอยู่ที่เตียงของตนทำให้อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อโน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายก็ใช้สองมือเกี่ยวคอของเขาไว้แล้วเอนตัวลงบนที่นอนก่อนที่อัลฟ่าหนุ่มจะถูกจูบอย่างดูดดื่ม
“นี่ รู้ไหมว่าตัวจริงน่ะดีกว่าเป็นไหนๆ” เลนเนอร์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มทำให้เอดิสันนึกชอบใจ เขาก้มลงไปจูบกับอีกฝ่ายก่อนจะเริ่มปลดเสื้อของอีกฝ่าย
“งั้นเชิญลิ้มรสให้เต็มที่เลยสิ”
--------------------------------------------
"ทำไมนายได้กินล่ะ!!!" - วิลเลี่ยม (อิจฉา)
"หึ" - เอดิสัน (แสยะยิ้ม)
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้จะขอมาแจ้งเรื่องการเปลี่ยนชื่อเรื่องภาษาไทยของ Climax Changeค่ะ จาก “เมื่อเราได้พบกัน” เป็น “เมื่อรักทักทายกัน” ต่อจากนี้ก็จะเป็น
Climax change เมื่อรักทักทายกัน
[/i][/size]
และสำหรับรูปเล่ม ได้ตีพิมพ์กับสนพ. รักคุณ (Rakkun Publishing )ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะออกช่วงกันยายนค่ะ ในงาน Gen Y Trade Area นั่นเอง ได้ไปแจกลายเซ็นต์ด้วยล่ะค่ะ มาเจอกันได้นะคะ
สำคัญยิ่ง ได้เห็นภาพร่างปกแล้วค่ะ ได้แต่อุทานว่า น้องงงงงง น้องเซ็ธ น้องเซ็ธคือ ฮือออออ เราใจบางไปหมดล้าว :hao7://หัวใจวายตาย
พี่วิลก็หล่อมากค่ะ เดี๋ยวเร็วๆ นี้คงมีสปอยล์เพิ่ม ติดตามได้ทางทวิตเตอร์หรือแฟนเพจของสนพ. รักคุณได้เลยนะคะ
ท่านผู้อ่านทุกท่าน อย่าลืมอุดหนุนกันนะคะ!
ด้วยรัก
Sakana04
ปล. ใครคิดถึงน้องเซ็ธ เดี๋ยวเร็วๆ นี้จะนำตอนพิเศษมาหย่อนให้นะคะ อิ_อิ