× ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4  (อ่าน 30953 ครั้ง)

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
กรี๊ดดดดดดด  :katai1: ฮือออออออ  :ling1:
เค้าจูบกันแล้ว !!!   o18 เราอ่านไปเขิลไป  :o8: :-[ :o8: :-[

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ความสัมพันธ์ดูเป็นไปได้ด้วยดี
อย่าได้มีอะไรเลย กี๊ดดด TT

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ชอบปรัญ
ขอเป็นแฟนได้มั้ย คงเป็นพื้นที่ปลอดภัยและใช้ง่ายอยู่ได้ด้วยความสบายใจ เอื้อมคงคิดเหมือนกัน อ้ะ! ยินดีด้วยที่เคลียร์เรื่องไนน์ได้
เรื่องอดีตก็เอาไว้ข้างหลังเนอะ
แอบเขินที่ปรัญอ่อยเอื้อม
Kiss...
See you soon.

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบแปด


   ปรัญคิดว่าความผิดปกติบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น

   (วันนี้ปันไปดูหนังใช่ไหม)

   “อือ หนังยาวด้วย ต้องรอหน่อยนะ”

   (งั้นเดี๋ยวเราหากินเองก็ได้ ปันจะได้ไม่ต้องรีบ)

   “เห...”

   นี่เป็นตัวอย่างแรก เพราะถ้าจำกันได้แม้แต่ตอนซ้อมใหญ่ก่อนแสดงจริงเรายังกินมื้อเที่ยงคืนกันได้สบายมาก เอื้อมไม่ชอบการกินข้าวคนเดียวจะตายไป

   (อย่างนั้นดีกว่าเนอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน)

   ไม่คิดขัดใจแม้ว่ามีข้อสงสัยมากมายก็ตาม “ได้ครับ เอื้อมอยากกินอะไรก็คิดไว้เลยนะ”

   (ปันไม่มีอะไรอยากกินบ้างเหรอ ให้เราตัดสินใจตลอดเลย)

   ตัวอย่างที่สอง คือจู่ๆ ก็บอกให้เขาเป็นฝ่ายออกความเห็นบ้าง ทั้งที่ผ่านมาหน้าที่การเลือกตกอยู่ที่เอื้อมอารัญเกือบทั้งหมด
“เรากินอะไรก็ได้อะ เอาที่เอื้อมชอบแหละ”

   (เหรอ...)

   “มีอะไรหรือเปล่าเอื้อม มาหาเราไหม” เสียงที่แผ่วลงไปเป็นสัญญาณที่น่ากังวลไม่น้อย ทำไมทำเสียงเป็นแมวป่วยได้ขนาดนั้น “ตอนนี้ว่าง ไม่มีคน”

   (...ไม่เป็นไร)

   และตัวอย่างที่สาม เอื้อมอารัญเลือกวิธีการคุยผ่านคลื่นเสียงหรือไม่ก็ตัวอักษรมากกว่าการมาเจอกันตัวต่อตัว นี่ก็เกือบสัปดาห์แล้วที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาหาเขาที่นี่พร้อมกับกระเป๋าแฟ้มหนังและแก้วชาเขียวปั่น จะเจอกันช่วงเย็นไปเลย

   “เอื้อม อย่าโก...” กลืนคำต้องห้ามลงไปพลัน เขาไม่อยากจะใช้คำนี้เพื่อสร้างชุดความคิดอ่อนไหวที่กระทบต่อจิตใจของอีกคน “ถ้าอยากมาก็มานะ เราอยู่ถึงห้าโมงเลย”

   (อือ ...นี่ปัน)

   “ครับ?”

   (ไม่มีอะไร ไปทำงานเถอะ)

   “อ่า โอเค”

   กดปุ่มพักหน้าจอเมื่อปลายสายไม่มีการเชื่อมต่อแล้ว เหม่อมองออกไปข้างนอกห้องที่ดูแล้วไม่มีวี่แววของคนเข้าใช้บริการเลยสักคนระหว่างที่ในสมองกำลังคิดวิเคราะห์อะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

   ด้วยความที่ไม่ใช่คนเซ้นส์ดีตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เลยยังไม่อยากฟันธงไปก่อนว่ามันเป็นเช่นนั้นแน่นอนหรือไม่ แต่ถ้าสัญชาตญาณทำงานไม่ผิดพลาดมันมีจุดเริ่มต้นมาจากรูปถ่ายล่าสุดที่เอื้อมโพสต์ ภาพเราสองคนที่เห็นเพียงแค่ช่วงลำตัวลงไปถึงกางเกงลายช้างพร้อมกับแคปชันว่า ‘RUNaway’ อันเป็นที่เข้าใจได้เฉพาะตัวว่ามันมีอะไรแฝงเอาไว้

   ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรที่ดูแปลกประหลาด เอื้อมเองก็ลงรูปบ่อยอยู่แล้ว เขาเองก็ยังเข้าไปกดไลก์ให้สมกับความลำบากในการตั้งกล้องก่อนจะใช้รีโมตบลูทูธในการกดชัตเตอร์ จนมีคนกลางที่เรารู้จักกันดีเข้ามาคอมเมนต์ในเชิงที่ว่าเลิกหลอกคนอื่นสักทีนั่นแหละ

   ฮิวไม่พอใจตั้งแต่เรื่องของไนน์ และเขาก็ออกตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน เจ้าของภาพไม่ได้เข้าไปตอบกลับแต่ใช้วิธีการลบรูปทิ้งไปเสียให้หมดเรื่องหมดราว

   ปันทันเห็นข้อความ เอื้อมเองก็บอกแค่ว่าถ้ามันลำบากคนอื่นมากเดี๋ยวจะลบทั้งอัลบัมก็ได้ ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่ดูเหมือนว่าจะเก็บเอามาคิดอยู่ไม่น้อย ก็ไอ้การที่เรียกชื่อปันขึ้นมาลอยๆ พอมีปฏิกิริยาตอบรับกลับบอกว่าไม่มีอะไรนั่นมันมีพิรุธสุดๆ

   "เข้าไปข้างในได้เลยครับ"

   ว่างได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องทำงานแล้ว เขาคว้าเอาแฟ้มเซ็นต์ชื่อมาไว้ฝั่งตัวเองหลังจากที่คนเข้าใช้บริการกรอกข้อมูลเสร็จ เปิดโปรแกรมบันทึกข้อมูลพลางไล่อ่านรายละเอียดตรงบรรทัดสุดท้ายว่าต้องเริ่มจากตรงไหนบ้าง พอเป็นนักศึกษาจากคณะแพทย์ก็สร้างความระแวงไปก่อนแล้วหลายช่วงตัว ได้แต่ปลอบใจว่าประวัติศาสตร์ไม่น่าจะซ้ำรอยเร็วมากนัก

   พรมนิ้วไปบนแป้นคล่องแคล่ว ตรวจสอบความถูกต้องครั้งสุดท้ายก่อนกดส่งข้อมูล ก้มลงมองรายชื่อและเลขลำดับการใช้บริการในแต่ละวันแล้วก็คิดว่าช่วงเวลาแห่งความสงบสุขใกล้จะหมดแล้วแน่นอน

   ว่าแต่ว่าทำไมเมื่อสองวันก่อนถึงมีชื่อของเอื้อมอารัญล่ะ?

   ชื่อ นามสกุล รวมถึงลายมือเป็นเอกลักษณ์ไม่มีทางหลงเข้าใจผิด เอื้อมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังแม้ว่าเมื่อวานจะทานข้าวเย็นด้วยกัน สิ่งที่อยู่ในบทสนทนาของเรามีแต่เรื่องทั่วไปเท่านั้น

   ปรัญเก็บความไม่เข้าใจนี้เอาไว้พลางคิดว่าเขาจะเจอเอื้อมเร็วที่สุดเมื่อไหร่ เย็นนี้ต้องไปดูหนังเสียด้วยสิ

   อยากจะถามต่อหน้ามากกว่าส่งข้อความ การสื่อสารผ่านตัวอักษรสร้างความผิดพลาดในการส่งข้อมูลเสมอ ถ้าเขากลับมาจากดูหนังแล้วไปหาเอื้อมจะดูเป็นการบุกรุกในยามวิกาลมากเกินไปหรือเปล่า แน่ล่ะว่าการขึ้นหอเอื้อมไม่ใช่เรื่องแปลก พนักงานรักษาความปลอดภัยจำหน้าเขาได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ก็นะ...

   ทางที่ดูเมกเซ้นส์และควรจะเป็นคือเขาทักไปก่อน แล้วก็จัดการให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่นัดหมาย บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้เอื้อมได้เตรียมตัวก่อน

   หรือส่วนลึกของปรัญก็ยังมองเอื้อมอารัญเป็นครายวูลฟ์เหมือนคนอื่น

   การได้ยินเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมายังไม่มากพอสำหรับเขาที่จะเข้าใจ 'นิสัยเสีย' เกี่ยวกับการโกหก มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่มันคืออะไรนี่สิ

   แม้จะถือไพ่เหนือกว่าเรื่องข้อตกลงว่าจะไม่มีคำโกหกจากเอื้อม มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่สามารถเดินดุ่มเข้าไปแล้วบอกว่า 'เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมถึงชอบโกหก' ปรัญเคยพลาดมาแล้ว คราวนี้มันควรจะเป็นแบบแผนและตั้งอยู่บนความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย

   คิดอะไรไม่ออกจนต้องระบายด้วยการทิ้งตัวลงกับพนักพิงอย่างแรง ยกมือขึ้นปิดช่วงหน้าเอาไว้ด้วยความคิดไร้สาระว่าถ้าปิดไม่ให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามามากจนเกินไปมันจะพาเขาไปยังปลายอุโมงค์ที่มีทางออกได้ หรือว่าเป็นเขาเองที่ควรจะเข้าไปปรึกษาบ้าง

   ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่วันนี้ เราไม่ควรเอาเวลาทำงานมาปนกับเรื่องส่วนตัว

   "...เอาเป็นว่าไปหาหลังจากกลับมาแล้วกัน"

   ความว่างเปล่าของส่วนการจดบันทึกว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนคือตัวพิสูจน์ว่าเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่เกิดมากแค่ไหน ระหว่างช่วงเวลาที่แสนยาวนานของการชมภาพยนตร์สิ่งที่ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในห้วงความคิดคือเรื่องของเอื้อมอารัญไม่ใช่การแสดงที่ผู้เข้าชมต่างออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าประทับใจ

   เขาจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมจากที่มีประปัญหาช่วงกลางนางเอกถึงกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบจากฝ่ายร้ายก็ยังปะติดปะต่อไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฉากและเสียงประกอบ ทุกอย่างเป็นภาพเลือนรางจนไม่แน่ใจแล้ววว่ามันเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมงดี

   บนรถประจำทางเกือบจะเป็นเที่ยววีไอพีของเขากับสาววัยทำงานอีกสองคน ทั้งที่รอบข้างเป็นใจให้จดจ่อสมาธิอยู่กับการเขียนได้เต็มที่สิ่งที่ปรากฎกลับไม่มีอะไรทั้งนั้น ตลกที่สุดคือสิ่งที่ควรจะเป็นคือเครียดกับความไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ใช่สบายใจที่จะได้กลับไปสะสางสิ่งที่ค้างคา

   ตัดสินใจกดปิดหน้าจอลง อยากจะดับทุกความรู้สึกให้ตามไปด้วยเหมือนกัน เรื่องเศร้าของความจริงคือยังมีอีกเรื่องหนึ่งตกค้างและล่อลวงให้เขาติดกับ

   สิ่งที่อาจทำให้เขาเข้าใจเอื้อมอารัญมากขึ้น

   หรือกลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

   จุดหมายของการปั่นจักรยานเสือภูเขาคันเดิมในค่ำคืนนี้ไม่ใช่หอพักของตนเช่นเคย มันกำลังพิงกำแพงตึกไม่ต่างจากร่างกายเขาเอง ทั้งที่สามารถขึ้นไปเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องได้ในทันทีมันกลับกลายเป็นความสับสนระคนไปกับกังวลใจว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลอย่างไร

   รถยนต์ยุโรปห้าประตูคันเล็กจอดอยู่ตรงที่ประจำบอกว่าเจ้าของมันน่าจะอยู่ในห้อง ปันที่ตัดสินใจได้แล้วว่าการอยู่ตรงนี้ต่อไปมันจะไม่ช่วยอะไรจึงดึงตัวกลับมายืนตรง กระโดดเบาๆ วอร์มร่างกายให้พร้อมกับอะไรก็ไม่รู้

   เป่าลมออกจากปากเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่เขาต้องการคือคำบอกเล่าความเป็นมาของการเข้ารับคำปรึกษาครั้งล่าสุด ทั้งที่มันไม่มีชื่อโผล่ตั้งนานแล้วทำไมหลังจากการไปเที่ยวของเรามันถึงจบลงแบบนี้ เป็นเพราะเขาหรือเปล่าที่ทำให้เอื้อมอารัญกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง

   มันเป็นการคิดที่เข้าข้างตัวเองเสมอ

   ว่าตนเองคือที่พักพิงแห่งเดียวของผู้ชายคนนั้น

   ไม่ใช่คนใจดี และค่อนไปทางเห็นแก่ตัว อย่างที่บอกกับเอื้อมไปตามตรงแล้วว่าเขาอยากจะเป็น 'คนเดียว' ที่ทำให้มีความสุข

   "..."

   ทุกความตั้งใจเดิมถูกปัดตกไปยามสังเกตเห็นบางคนที่คุ้นเคยเดินออกมาจากล็อบบี้ตึก เขาเดินตรงไปยังรถห้าประตูคันที่มองก่อนหน้าด้วยจังหวะปกติไม่ได้รีบร้อน แสงไฟประดับข้างทางให้แสงอ่อนแรงจนมองได้ไม่ถนัดว่ามีสิ่งแปลกปลอมฉายอยู่บนนั้นหรือไม่

   ทำได้แค่มองมันเคลื่อนตัวออกจากซองจอดออกไปลิบตา แผนในหัวถูกเปลี่ยนกะทันหันจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ด้านบนสุด เสียงสัญญาณกำลังเชื่อมต่อกันดังขึ้นเพียงสามครั้งก็กลายเป็นการทักทายของเอื้อม

   (หนังสนุกหรือเปล่า)

   "อยู่ห้องไหม" ถามทั้งที่รู้คำตอบนั่นแหละ

   (อ่า...ไม่อะ เราเพิ่งออกมาข้างนอก)

   โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง ไม่ได้เท่ากับทั้งหมด "ไปไหน ดึกแล้ว"

   (ไปขับรถเล่นเหมือนที่ปันเคยปั่นจักรยานไง)

   ชักสีหน้ายามได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจ อีกฝ่ายเก่งเรื่องการเลี่ยงคำที่ให้ความหมายคลุมเครือชวนให้ตีความไปเองอยู่แล้ว ที่เคยได้ยินว่าขับรถเล่นนั่นก็นานมาแล้ว ถ้าเป็นตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องควรบอกเขาก่อนสิ

   "ทำไมไม่ชวนเราล่ะ"

   กินเวลานานพอสมควรกว่าจะได้ยินเสียงปลายสายอีกครั้ง (...เดี๋ยวเราโทรกลับไปนะ)

   ณ เวลานั้นเขาตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างมันควรจะชัดเจนสียที
 


   เมื่อพูดถึงเพจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแล้วแน่นอนว่าสิ่งแรกที่คิดไม่ใช่สมาคมศิษย์เก่า สโมสรนักศึกษา หรือว่าของกินรอบม. แต่เป็นเพจที่รวมคนหน้าตาดีจากคณะต่างๆ เอาไว้ต่างหาก

   ปรัญเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาหลายครั้ง จะเห็นผ่านตาเวลามีคนแชร์เป็นบางคราว โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ชอบหาความสุนทรีย์กับหน้าตาก็เลยไม่สนใจ จะรู้ก็ต่อเมื่อเป็นคนในคณะหรือไม่ก็ใกล้ตัว ในพวกเด็กทุนก็มีรุ่นพี่ที่ได้ลงบ่อยๆ เหมือนกัน

   ที่ต้องเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็มาจากโพสต์ล่าสุดเมื่อสิบสี่ชั่วโมงที่แล้ว รูปของเอื้อมอารัญสามรูปอันประกอบด้วยภาพโปรไฟล์ที่เขาถ่ายให้ตอนอยู่เชียงใหม่ ภาพเดี่ยวที่ยังมีแก้วชาเขียวปั่นในมือ และภาพจากชมรมออร์เคสตราในวันงานถูกอัปโหลดขึ้นอีกครั้งโดยฝีมือของผู้ดูแลแฟนเพจ พร้อมด้วยข้อมูลเบื้องต้นอย่างชื่อ คณะ และชั้นปี รวมถึงอินสตราแกรมด้วย

   เห็นแวบแรกก็คิ้วขมวดแล้ว เป็นที่รู้กันว่าถึงเอื้อมจะเหมือนเป็นคนเพื่อนเยอะแต่คนที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนบนโลกออนไลน์ต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้ว ประเภทที่ว่าเพื่อนของเพื่อนที่เจอกันแค่ครั้งสองครั้งอย่าหวังว่าจะกดรับ เอาเข้าจริงแล้วจำนวนเพื่อนของปันยังเยอะกว่าอีก

   ตรงคอมเมนต์ยิ่งแล้วใหญ่ ข้อความแรกที่ได้รับจำนวนไลก์มากที่สุดคือทางลัดไปหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กของเอื้อม ส่วนถัดมาคือคำกึ่งเปรยกึ่งจิกกัดเรื่องนิสัยเสียประจำตัว

   หน้าตาดีแต่ขี้โกหกนะคะ เตือนเอาไว้

   แย่ที่สุดคือในรีพลายที่มีการตอบโต้กันของเจ้าของคอมเมนต์กับคนที่น่าจะเป็นเพื่อน

   ขาดซ้อมไปเป็นสัปดาห์บอกว่ามือเจ็บ แต่ไปยกกล่องลังในค่ายได้สบายๆ นาจา
   แนบรูป


   ภาพนั้นเคยเห็นมาก่อนแล้ว เป็นตอนที่เหล่าสวัสดิการถูกเรียกให้ไปช่วยยกของแจกก่อนกลับสำหรับเด็ก ข้างในมันเป็นกระเป๋าดินสอตรามหาวิทยาลัยที่ขอสปอนเซอร์มาจากร้านสวัสดิการ มันเบาจนผู้หญิงที่ไปด้วยกันก็ยังถือได้เองสบายๆ ไม่ต้องใช้แรงสองคน

   จะแก้ความเข้าใจผิดก็เหมือนว่าสายไป ในกระดานที่เราบอกกันว่าสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยเสรีตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวร้อยแปดอันเกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของคนในภาพ บอกไม่ได้ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริงหรือเท็จเพราะตัวตนที่แท้จริงของเอื้อมอารัญเป็นอย่างไรเขาก็ยังไม่กล้าฟันธง

   เห็นว่าเคยโกหกเพื่อนเรื่องข้อสอบด้วย โดนให้ตกทั้งห้อง
   เคยเจอแบบ ต่อหน้าดีมาก แต่ลับหลังคือเมาท์แหลก
   เพื่อนเล่าว่ามีปมทางบ้าน แต่นี่ว่าเรียกร้องความสนใจอะ


   ไล่อ่านทุกข้อความไปช้าๆ ราวกับคนรักความเจ็บปวดที่ต้องการซึมซับถ้อยคำที่คมยิ่งกว่าใบมีดพวกนั้น มีหลายส่วนที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว แต่ก็ต้องยอมรับด้วยดุษฎีว่าอีกไม่น้อยเป็นเรื่องที่เขาทำได้แค่ปล่อยให้มันผ่านตา

   ยังเหลืออีกหลายข้อความและการตอบรับที่ยังไม่กล้าเข้าไปดู จากการขุดคุ้ยเรื่องอดีตมันเริ่มกลายเป็นการอ้างอิงชีวิตโดยนำความคิดส่วนตัวมาใช้ ประโยคที่ดูป่วยพวกนั้นพาลพาให้เขาประสาทเสียขึ้นไปอีก

   นามสกุลเดียวกับคนนี้ เกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า

   กดเข้าไปตามลิงก์โดยไม่ลังเล มันพาเขาเข้าไปยังหน้าเว็บเพจข่าวชื่อดังเจ้าหนึ่งของเมืองไทย พาดหัวข่าวเน้นการใช้คำที่รุนแรงเพื่อดึงความสนใจของผู้เสพสื่อ

   เรื่องปริศนาการเสียชีวิตของชายหญิงคู่หนึ่งในรถยนต์ส่วนตัว โดยที่ชื่อของฝ่ายชายเขาเคยเห็นมาแล้วบนป้ายชื่อตรงหน้ารูปถ่ายในบ้านของเอื้อม สิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของเขาและเธอไว้ด้วยกันคือคำให้การของญาติฝ่ายหญิงว่ามีการติดต่อกันในเชิงสนิทชิดเชื้อมากกว่าปกติ บวกกับข้อมูลที่บอกว่าพวกเขาเรียนปริญญาโทภาคค่ำในชั้นเรียนเดียวกันยิ่งเพิ่มความน่าจะเป็นได้มากขึ้น

   สมกับคำว่ารายละเอียด มีทั้งชื่อ นามสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงาน เอาเป็นว่าเปิดอ่านแค่นี้ยังรู้จักพ่อของเอื้อมมากกว่าที่เคยไปบ้านมาหนึ่งครั้งอีก

   อยู่ดีๆ ก็ขยะแขยงกับตัวอักษรพวกนั้นทั้งหมดพอคิดว่าเบื้องหลังของมันแลกมาด้วยความเจ็บปวดของใคร เสียงที่แสดงออกชัดว่ารังเกียจเสียเต็มประดาย้อนกลับมาเล่นโดยไม่ได้ร้องขอ ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกถึงขั้นยัดโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าเสีย

   แต่สุดท้ายความอยากรู้มันก็ยังไม่เข้าใครออกใคร เขาหยิบมันออกมาเปิดโปรแกรมค้นหาข้อมูลบนพื้นที่ออนไลน์เพิ่มเติม พิมพ์ชื่อและนามสกุลของพ่อเอื้อมอารัญตามลงไป ความเร็วของอินเทอร์เน็ตมากพอที่จะเสนอสิ่งที่เขาต้องการในเสี้ยววินาที หน้าแรกเกือบทั้งหมดคือเว็บไซต์ข่าวที่มีการพาดหัวคล้ายคลึงกัน

   พนันวางเงินเลยว่าเอื้อมอารัญต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแน่นอน มันอาจเป็นความกลัดกลุ้มที่ฟุ้งซ่านไปเองก่อนล่วงหน้า เขาหยุดคิดไม่ได้เลยว่าตอนนี้เจ้าของรูปพวกนั้นกำลังกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ต้องให้ผู้ชายคนนั้นเจ็บปวดแค่ไหนถึงจะพอใจกันนะ

   วันนี้เรามีนัดกินข้าวเย็นด้วยกัน นาฬิกาที่บอกเวลาว่ามันเพิ่งสิบเอ็ดโมงยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านกับทุกสิ่งอย่างมากกว่าเดิม วันนี้ปรัญมีเรียนตอนบ่ายโมงครึ่งถึงสี่โมงครึ่งด้วย ตัวบังคับของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการรู้ทันโลกไร้สาระที่เป็นการทิ้งเวลาให้เปล่าประโยชน์มากที่สุดที่เคยเจอ

   ส่วนเอื้อมเหมือนจะมีเรียนเช่นกันแต่รายวิชาเฉพาะคณะ เรียนในตึกแยกสร้างใหม่เป็นสัดส่วนต่างหากนั่นแหละ

   ไม่ลังเลที่จะกระซิบบอกเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันข้างตัวว่าถ้ามีงานอะไรก็ฝากเก็บไว้ให้ด้วย ต่อจากนั้นก็เป็นการทักเจ้าของบัญชี  U Arun ตามไปว่าวันนี้เขาอยากจะไปทานข้าวกลางวันด้วย

   ก็เผื่อว่าถ้าโดนปฎิเสธก็จะหน้าด้านเข้าไปนั่งเรียนด้วยเลย

   ไม่ชัวร์ว่าใจร้อนไปเองหรือเปล่า การตอบกลับข้อความที่มักจะรวดเร็วทันใจวันนี้มันนานกว่าปกติจนต้องยั้งมือไม่ทักซ้ำหรือว่าโทรไปรบกวนเวลาเรียน

   U Arun : ได้นะ
   U Arun : โรงเล็กแล้วกัน
   U Arun : ที่จริงปันไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราโอเค


   สาบานเลยว่าถ้าอยู่ต่อหน้าเขาจะต้องพ่นไฟใส่คนที่ยังสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองเอาไว้ ก็บอกแล้วว่าไม่มีทางที่คนติดโซเชียลอย่างเอื้อมจะไม่รู้เรื่อง ชื่อเฟซบุ๊กหราอย่างนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามีการแอดเข้าไปมากแค่ไหน เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาเกือบครึ่งค่อนวันไม่ใช่แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ยังพอตัดไฟเสียแต่ต้นลมได้

   Parun P : เรียนที่ตึกใหม่ใช่ไหม
   Parun P : เดี๋ยวเราไปรอที่นั่นเลย


   ช่างหัววิชาที่หลายคนบอกว่าสุ่มเกรดนี่ไปเถอะ ปรัญก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางไว้ใต้ที่นั่งขึ้นมา เดินดุ่มออกนอกห้องเรียนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

   มองนาฬิกาในมือถือเพื่อพบว่าใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการเดินทางจากตึกเรียนรวมมายังอาคารสำหรับคณะของเอื้อม บริเวณโถงร้างผู้คนสมกับเป็นเวลาเรียน ปันเลือกนั่งตรงบริเวณเดิมเหมือนที่ผ่านมาเสมอยามรอ เปิดเช็กห้องแชตอีกครั้งว่ามีการตอบรับอะไรบ้างไหม

   U Arun :  จริงจัง?
   U Arun : ไม่ตอบนี่คือ?
   Parun P : คือมาถึงตึกแล้ว


   เผื่อไม่เชื่อเลยส่งรูปเซลฟี่ตัวเองแบบติดพื้นที่รอบข้างพอให้รู้ว่าไม่ได้โกหกแนบไปด้วย

   Parun P : ว่างอะ ขึ้นไปเรียนด้วยได้ไหม

   คำร้องขอที่ตั้งใจให้มันเป็นการแซวเสียมากกว่า ก็เอื้อมเคยถามอย่างนี้เมื่อวันที่เอาโกโก้ร้อนมาให้ จะว่าไปแล้วสถานการณ์มันก็ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่นี่นา อย่างน้อยก็ไม่ได้โดดเรียนอย่างที่เขาทำ

   U Arun : ไม่ได้ คลาสเล็ก
   U Arun : นั่งเหม่อไปเลย


   ประกาศิตลงมาแล้วก็เลยต้องทำตาม ปันหยิบเอาชีตสรุปของตัวบังคับที่เพิ่งหนีขึ้นมาวางเตรียมไว้ คงไม่ได้เหม่อจนหมดเวลาอย่างที่ได้รับคำแนะนำมา เขารู้ข้อจำกัดในการเรียนและทบทวนดีเลยชอบเริ่มอ่านล่วงหน้าก่อน แล้วก็กลายเป็นพวกรักเรียนในสายตาของบางคนไปเฉย

   หนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริงด้วยการใส่หูฟังเปิดเพลงในอัลบัมที่ตั้งค่าเอาไว้ เนื้อหาในส่วนที่อ่านทวนตั้งแต่ครั้งก่อนแต่ยังไม่เช้าใจถูกหยิบขึ้นมาท่องซ้ำจนพอเข้าใจความเชื่อมโยงทั้งหมดของมัน

   ความสงบถูกทำลายลงยามนักศึกษาในคลาสเรียนที่เพิ่งเลิกทยอยออกมาลงหลักปักฐานตรงส่วนกลาง มองเวลาเพื่อพบว่าอีกไม่เกินห้านาทีคนที่รอก็คงจะมาถึง

   "ทำไมเกเร โดดเรียน" ที่จริงคือไม่เกินหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำไป

   "ตัวนี้เอื้อมก็เคยโดด เราจำได้"

   ความกังวลทั้งหมดคลายตัวลงไปยามเห็นว่าเอื้อมอารัญน่าจะยังโอเคตามพูดจริง ปันเป็นมนุษย์ที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างอยู่แล้วเลยไม่สามารถบอกได้ว่ารอบข้างมีใครกำลังจับจ้องมาที่เราสองคนหรือไม่ อย่างที่ฮิวบอกว่าเอื้อมเป็นคนดังในคณะ ความเล็กของมันคงทำให้ยากแก่การหนีออกจากการเป็นจุดสนใจ

   "ของเราเจ้าหน้าที่ประกาศผิดวันต่างหาก"

   "เดี๋ยวเราจะไปถามฮิว"

   "ได้เลย เรื่องนี้รับประกันว่าข้อมูลตรงกันหมด"

   ตั้งใจว่าจะเดินไปหารถห้าประตูเพื่อนยากคันเดิม ตึกใหม่มีการสร้างทางเชื่อมจากโถงกลางตึกเรียนไปยังจุดจอดรถโดยไม่ต้องผ่านออกไปเจอความร้อนด้านนอก

   "แล้วอยากไปซื้อชาเขียวก่อนไหม" ไม่ลืมถามในเรื่องที่เป็นความเคยชิน "อ้อมไปอีกนิดก็ถึงแล้ว"

   "ตั้งใจว่าเดี๋ยวกินเสร็จ ส่งปันไปเรียนแล้วค่อยซื้ออะ"

   ไม่เข้าใจการจัดลำดับความสำคัญ ทำไมต้องรอให้เขาไปเรียนต่อก่อน "ทำไมไม่ไปเลย"

   "เวลามีแค่ชั่วโมงเดียวเอง แค่ต่อคิวซื้อข้าวก็ปาไปเท่าไหร่แล้ว เดี๋ยวไม่ทันเรียนบ่ายนะ"

   ในระหว่างที่ปรัญกลุ้มใจกับเรื่องของคนตรงหน้า อีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยี่หระกับสิ่งใด เพราะอะไรเอื้อมถึงยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้

   จะว่าชินก็ไม่ใช่ มันไม่ควรจะชินเลยเสียด้วยซ้ำ

   "งั้นก่อนกินข้าว เรามีเรื่องจะคุยด้วย" ไม่อยากจะเสียเวลาไปคุยบนรถก็เลยเลือกตรงมุมหนึ่งในตึกนี่แหละ "เพิ่งเห็นที่เพจลง นี่ได้ติดต่อขอลบรูปอะไรไปแล้วหรือยัง"

   "ไม่ได้ทำ คิดว่าไม่มีประโยชน์อะ"

   "แล้วจะปล่อยให้คอมเมนต์พวกนั้นมันอยู่ต่อไปเหรอ"

   "มันเป็นเรื่องจริงที่เราต้องยอมรับ"

   ปรัญเม้มปากเอาไว้ก่อนเผลอหลุดโพล่งบางคำที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรองออกไป ยังคงต้องย้ำเตือนเอาไว้เสมอว่าในสายตาของคนอื่นมันไม่เหมือนกับที่ตนมอง เหรียญที่มีสองด้านแม้จะบอกราคาเท่ากับแต่ภาพนูนต่ำบนนั้นก็แตกต่างกันอยู่ดี

   "แล้วอันไหนที่ไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ"

   "ใครเขาสนใจกัน"

   “...”

   "เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก สักพักเดี๋ยวก็หายไปแล้ว ข่าวใหม่มันมีทุกวัน" ถ้าเป็นก่อนหน้าการรับรู้เรื่องราวทางบ้านเขาก็คงไม่สะกิดใจ เมื่อทุกอย่างมันพลิกไปแล้วเขาควรทำอย่างไรต่อ "ทนเบื่อตรงกล่องข้อความแล้วก็คนที่แอดมานิดหน่อย ส่วนอื่นไม่น่าจะมีปัญหา"

   "เราไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจเอื้อมผิด"

   พูดอีกนัยคือไม่ต้องการให้กลายเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่มีการตอบโต้ อย่างน้อยที่สุดเรื่องที่ใส่ความเกี่ยวกับการเรียนก็ควรหมดไป

   "แล้วปันเข้าใจเราจริงเหรอ?"

   เพียงคำถามเดียวเปลี่ยนให้ความเย็นสบายกลายเป็นยะเยือก ทั้งที่ไร้ความกระด้างในน้ำเสียงและไม่มีการใส่อารมณ์เข้าไปเติม ความเรื่อยเฉื่อยของมันช่างน่าหวาดหวั่นสะพรั่นพรึง

   "เรา..."

   "บอกมาสิว่ารู้เรื่องพ่อเราแล้วเป็นไงบ้าง" ในบางครั้งมันก็เหมือนกับว่าเอื้อมมีพลังพิเศษในการอ่านใจเขา "ที่จริงอาจจะรู้ตั้งแต่วันที่ไปบ้านเราแล้วล่ะมั้ง"

   "เอื้อม..."

   "ถ้าอยากรู้เราก็จะบอกเลยว่าใช่ เรื่องจริง พ่อเราเป็นชู้กับผู้หญิงคนนั้นจริง"

   มันเป็นสิ่งที่เขาจำได้ว่ามันไม่มีการยืนยันจากทางใดทั้งนั้น ต่างจากสิ่งที่คนใกล้ตัวยอมรับออกมาได้โดยง่ายและไม่มีการแก้ข่าวแต่อย่างใด

   "เคยเจอพวกเขาควงกันในห้าง แต่เราไม่เคยบอกแม่เพราะไม่อยากทำให้เขาเสียใจ" และสิ่งที่แย่ที่สุดก็กลับมาหาปรัญจนได้ยามสบเข้ากับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยรอยร้าวคู่นั้น "ต้องเป็นฝ่ายเก็บความลับเอาไว้นี่มันไม่ง่ายเลยนะ ทุกวันนี้แม่เราก็ยังไม่รู้เลยว่าสามีตัวเองนอกใจจริง เพราะไม่มีใครยืนยันเรื่องของพวกเขาได้"

   พื้นฐานครอบครัวของปรัญอยู่ในระดับธรรมดา คือพ่อแม่ก็รักกันดีแหละ มีบ้างที่ทะเลาะกันตามประสามนุษย์ ส่วนรอบข้างก็ไม่เคยมีคนใกล้ตัวที่เผชิญกับเหตุการณ์ประมาณนี้กับตัว มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวที่เขาไม่เข้าใจความรู้สึกเอาเสียเลย

   "ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพ่อถึงทำอย่างนั้น" ระยะของกำแพงสองฝั่งห่างเพียงสามก้าว หากในยามนี้มันดูไกลเสียเหลือเกิน "ตลกไหม ความจริงที่แม่กับเรารู้มันยังเป็นคนละเรื่องกันเลย"

   เพราะในความจริงมันอาจไม่มีความจริงอยู่เลย

   เอื้อมอารัญเคยย้ำเกี่ยวกับประโยคสุดท้ายมาก่อนแล้ว

   บอกไม่ได้เลยว่าทำไมการเปล่งเสียงออกไปถึงเป็นเรื่องยากได้เท่านี้ ตั้งแต่ช่วงต้นของเรื่องเล่าเขามีอะไรหลายอย่างที่อยากจะเสริม หากสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือการเม้มปากปิดเอาไว้สนิทราวกับว่ามันถูกผนึกเอาไว้แน่น

   “ตั้งแต่ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าการโกหกมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ...ดีกว่าการพูดความจริงด้วยซ้ำ”

   “...”

   “อันนี้ไม่ได้ร้องขอความเห็นใจอะไรนะ จริงๆ คืออยากรู้ด้วยแหละว่าคนอื่นจะรับได้เหรอ เพราะเหตุผลหลักที่เราชอบโกหกมันมีแค่นี้ ถ้ายังตายไม่ได้ เราก็อยากให้ตัวเองมีจุดสบายใจในโลกเฮงซวยบ้าๆ นี่”

   ปรัญได้แต่ยอมรับว่าเขาไม่รู้จักคนตรงหน้าเลย

   ผู้ชายที่กำลังประสานสายตากับเขาตอนนี้คือใครกันนะ

   ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ผ่านมาคล้ายว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง กระทั่งว่าจุมพิตที่เรามอบให้กันมันอาจเกิดขึ้นเพียงในความฝัน สิ่งที่ควรจะชัดเจนกลับกลายเป็นเลือนรางจนไม่อาจยืนยันได้ว่ามันมีความหมายเหมือนอย่างที่คิดหรือไม่

   "สุดท้ายแล้วก็ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ"

   "…"

   "เพราะปันก็ยังรับไม่ได้เหมือนกัน"

   "ไม่ใช่นะเอื้อม..." ขอแค่เรื่องนี้ก็ยังดี เขาเชื่อเสมอว่าเอื้อมอารัญจะไม่วิ่งหน้าตาตื่นมาเพื่อตะโกนป่าวร้องว่าตนเจอหมาป่าอยู่นอกหมู่บ้านเพื่อแกล้งปั่นหัว

   "นี่ เราสองคนกลับไปเป็นแบบเดิมดีไหม"

   "…"

   "ไม่รู้สิ ปันไม่ควรมาอยู่กับคนอย่างเราเหมือนอย่างที่คนอื่นบอกจริงนั่นแหละ" รวบรัดตัดตอนจนเขาทำได้เพียงเป็นฝ่ายรับคำสั่งไม่มีการโต้เถียง "จอมโกหกอย่างเราควรอยู่คนเดียว นั่นแหละถูกต้องแล้ว"

   นัยน์ตาว่างเปล่าเป็นสิ่งชัดเจนที่สุด

   เอื้อมอารัญแตกสลายไปอีกครั้งด้วยมือของเขาเอง


***
   ที่บอกว่าแก้ช่วงท้ายบ่อยๆ ก็ตอนนี้แหละค่ะ จะสื่อยังไงให้เห็นถึงตัวตนของเอื้อมที่อาจจะดูแตกต่างในมาตรวัดกลางได้นะ
   ตอนหน้าก็จบแล้ว เร็วจังเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาเสมอนะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
ตัวตนของเอื้อมเปราะบางมากอ่ะ
แล้วไม่รู้เลยว่าตัวตนตอนแรกที่เห็นเป็นตัวตนจริงๆของเอื้อมหรือเปล่า
พอเอื้อมถามมาแบบนั้นเลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เห็น ที่สัมผัสได้มันใช่หรือเปล่า
เอื้อมอาจจะเจ็บปวด แต่ตอนนี้ปรัญเจ็บกว่า
ตรงที่ความรู้สึกที่ไม่สามารถประคองเอื้อมที่แตกสลายไว้ได้
รอตอนจบไม่ไหวแล้วววว

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เอื้อมดูพร้อมพังได้ทุกเมื่อ
เจออะไรแบบนี้มาเยอะและนานเกินไปอ่ะ TT

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เรารู้สึกสงสารปันนะ
ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเอื้อมเลย(เอื้อมไม่เล่าอะไรให้ฟัง เหมือนให้รู้เรื่องเอง)
และเอื้อมเดินเข้ามาหาปันก่อนด้วยซ้ำพอมาถึงจุดนี้ เอื้อมกลับพูดออกมาให้ไปอยู่จุดเดิม  :sad11: :sad11: :sad11:
ปันก็เจ็บเป็นนะเอื้อม :ling3: :ling3: :ling3:
..
...
....
งืออออ (((((กอดปัน))))) :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
สิบเก้า


   สี่วัน

   เก้าสิบหกชั่วโมง

   จะกี่นาทีก็ช่างมันเถอะ

   นั่นคือเวลาทั้งหมดที่เอื้อมอารัญหายไปจากวงโคจรชีวิตโดยสมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อความส่งมาชวนทานข้าวเย็น ไม่มีการแชร์รีวิวเต็มไทม์ไลน์ ไม่มีสักรูปที่อัปโหลดเพื่อให้เขาสบายใจว่ายังโอเคดี

   จะว่ากลุ้มใจก็ใช่ ปรัญไม่รู้ว่าวิธีจัดการอารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร คือตัวเขาเองน่ะอยากจะไปบุกถึงบ้านเสียด้วยซ้ำ แต่บางทีเอื้อมอาจอยากอยู่คนเดียวไปอีกสักพักจนว่าเรื่องงี่เง่าทั้งหมดนี้จะซาลง เขาไม่อยากเป็น 'คนใจดีที่ทำเพราะสงสาร' เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายเคยนิยาม

   ให้มองจากมุมตัวเองเรื่องมันไม่ได้ลุกลามเหมือนอย่างที่กลัวไปก่อน ตรงกับที่หลายคนบอกว่าข่าวมันมีใหม่ทุกวัน พอไม่มีรีแอกอะไรจากฝั่งของครายวูลฟ์มันก็เลยไม่มีวัตถุดิบให้ปรุงแต่งต่อ มีแค่การขุดเอาเรื่องเดิมขึ้นมาพูดซ้ำ ยังดีที่พอมีเพื่อนในค่ายช่วยกันแก้บางเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นจริง

   ไม่มีความคิดตามว่าใครเป็นคนเริ่ม ในโลกเสมือนจริงที่ชื่อว่าอินเทอร์เน็ตสามารถแอบซ่อนตัวตนเอาไว้ได้มิดชิด และเพราะเราคิดว่ากำลังสวมผ้าคลุมล่องหนนั่นแหละมันเลยกลายเป็นความกล้าผิดๆ ที่คอยสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น

   การทำงานในห้องที่ปรึกษาในวันนี้ยังคงเงียบเหงา แก้วเซรามิกใบเดิมกับแฟ้มบันทึกข้อมูลยังวางเอาไว้ไม่ห่างกัน เหมือนคนจิตตกที่ต้องเปิดดูเสมอว่ามีชื่อของคนที่คิดถึงอยู่หรือไม่ ซึ่งพอไม่มีแล้วก็บอกไม่ได้ว่ารู้สึกดีหรือแย่ยิ่งกว่าเดิม

   หมดเวลาทำงานแล้วก็ว่าจะหาซื้อข้าวกล่องกลับขึ้นไปกินบนห้องเลย ตั้งใจทิ้งตอนดึกในวันนี้ไปกับการเปิดหาหนังในเน็ตฟลิกซ์ดู เขาควรหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ถ้าหนังยังฮิลลิ่งไม่ไหวคงต้องเลือกวิธีสุดท้ายอย่างเปิดหนังสือเรียนอ่านแล้วล่ะ

   "เอาข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ดาวด้วยครับ"

   ไม่อยากจะออกไปไหนไกลก็เลยจบลงตรงโรงอาหารที่ใกล้กับหอพักมากที่สุด เมนูก็เอาจากที่เขียนแนะนำ ทำตัวเหมือนกับคนไม่ชอบเลือกเองบางคนเลยแฮะ

   ยังมีคิวรอก่อนหน้าพอควร เพิ่งรู้ว่ามีมนุษย์จำพวกห่อกลับไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นมากี้เหมือนกัน ปันขยับออกมายืนรอตรงริมสุดของร้านไม่ให้ขวางทางเดินใคร มองตรงออกไปยังพื้นที่รับประทานอาหารที่กำลังรับรองประชากรจำนวนมากอยู่เป็นการรอเวลา

   ...

   พลันภาพสีที่ปรากฎต่อสายตาก็กลายเป็นขาวดำยามความคิดบางอย่างสะกิดใจ

   จะมีสักที่คนในนี้ที่เคยเห็นภาพของเอื้อมในเพจนั้น แล้วมีใครบ้างที่เข้าไปอ่านแล้วผสมโรงไปด้วย บางคนอาจจะเอาออกมาเล่าให้เพื่อนฟังปากต่อปากจนมันกลายเป็นเรื่องแต่งขึ้นใหม่ เอื้อมอารัญจะกลายเป็น 'คนขี้โกหก' ของคนกี่คนไปแล้วกัน

   ข้างนอกมันใจร้ายจนบอกตัวเองว่าอย่าก้าวออกไปอีกเลยต่างหาก

   ขยะแขยงทุกสิ่งรอบตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ปรัญแทบจะกระชากถุงสินค้าจากคนขายเพื่อรุดกลับห้อง ความคิดเดียวในตอนนี้คืออยากจะกลับไปหลบอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เขามั่นใจได้ว่าเป็นส่วนตัว ไม่มีใครสามารถแทรกแซงเข้ามายุ่งวุ่นวายได้

   "อ้าว วันนี้ไม่ไปกินกับคุณเอื้อมเหรอมึง"

   บังเอิญเจอฮิวตรงข้างล่างตึกเสียอย่างนั้น เขาฝืนใจส่งยิ้มเล็กๆ ที่คงดูแล้วน่าห่วงมากกว่าเดิมไปให้ก่อนตอบ "เปล่า วันนี้อยู่คนเดียว"

   "ห่างกันบ้างเป็นแล้วสินะ"

   เอาจริงแล้วก็ไม่ได้อยากห่างไหมล่ะ "เอื้อมเป็นไงบ้าง"

   "ก็ดูปกตินะ แค่โพสต์นั้นไม่ทำให้เป็นอะไรหรอก" ไม่มีความกังวลเจืออยู่แม้แต่น้อย ไม่ต่างจากตอนเล่าเรื่องที่บอกว่าเอื้อมเคยบอกอะไรเอาไว้ "สบายใจได้"

   "เหรอ..."

   "ห่วงอะไรมากมาย เอื้อมไม่เป็นไรหรอกน่า"

   เหมือนเป็นคนคิดมากคนเดียวท่ามกลางความ 'ปกติ' ทั้งหลาย ไม่มีใครกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ไม่มีสัญญาณเตือนบ้างเหรอ ทุกคนกลายเป็นคนในหมู่บ้านที่ไม่หวาดหวั่นยามเด็กชายตะโกนร้องขึ้นมาว่าพบเจอหมาป่าอย่างนั้นใช่หรือไม่

   ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเลยเหรอว่าเพราะอะไรเด็กชายจึงเลือกการโกหก

   "กูไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกมึงถึงไม่ห่วงมากกว่า"

   "ทีมคุณเอื้อมแนะนำให้ไปอยู่กับไนน์นะ กูทีมแอนตี้จ้า" เป็นความสัมพันธ์ที่รักไปพร้อมกับเกลียดอย่างแท้จริง เขาชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอื้อมถึงไม่พูดให้เหนื่อยเปล่า ก็มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักอย่างนี่นา “บอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับเอื้อม เป็นอย่างที่กูบอกใช่ไหมล่ะ”

   "ฮิว กูถามได้ไหมว่าเรื่องพวกนั้นจริงหรือเปล่า"

   อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นก่อนถาม "หมายถึงเรื่องไหน เจาะจงหน่อย"

   "เรื่องพ่อ"

   เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปิดปากสนิท พอเห็นว่าเขายังคงรอคอยคำตอบอยู่จึงถอนหายใจออกมาก่อนเริ่มเล่า "ตัวเนื้อข่าวจริงไม่จริงไม่รู้ แต่มีนักข่าวพยายามหาข้อมูลด้วยจริง กูเคยได้ยินแค่เพื่อนเล่าว่ามีหลายคนกล้าเข้าไปถามว่าพ่อเป็นชู้จริงไหมด้วย ส่วนเอื้อมมาเรียนตามปกติแต่ไม่เข้าซ้อม"

   “...เหรอ”

   "ดูไม่ค่อยตกใจนะ"

   ลำคอแห้งผากจากการเอ่ยเพียงคำเดียว ปรัญแหงนหน้ารับแสงจากหลอดไฟที่จ้าจนแสบตา "เริ่มชิน...แล้วมั้ง"

   ยิ่งได้รู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากการกระทบเพียงแค่ครั้งเดียว หากเป็นการสะสมจนแรงยึดทั้งหมดนั้นมันพังทลายลง ปรัญจึงหมดความสงสัยแล้วว่าเพราะอะไรเด็กชายคนนั้นถึงไม่หยุดร้องไห้เสียที

   "ล่ะนี่ทำไมถึงห่างกันได้ เกิดอะไรขึ้น"

   "ก็ใครล่ะบอกว่าใจดีเกินไป" มันเจือความหัวเสียเอาไว้จนเต็มประโยค ภาพสายตาว่างเปล่าในวันนั้นยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำ "นี่ก็เลยเป็นคนใจร้ายแล้วไง"
 


   พอผ่านมาอีกสัปดาห์หนึ่งก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งเหมือนอยากที่ปากเคยบอก

   เจ็ดวันคือหนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมง บวกกับของเดิมไปอีกนี่เกินสองร้อยชั่วโมงเข้าไปแล้วนะ เอื้อมจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้จริงๆ เหรอ

   การสอบก็ใกล้ถึง งานในห้องที่ปรึกษาก็ยังต้องทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูหนังเลย นี่เขามองตารางการเดินทางแล้วก็อยากให้มีเครื่องวาร์ปจากโรงหนังกลับมาหอ มันจะช่วยเพิ่มชั่วโมงการอ่านหนังสือของเขาได้เยอะ

   นี่วันนี้ไม่ใช่เวรปกติก็ต้องมาทำเพราะว่าพี่ปีสองที่ดูแลประจำขอแลก ส่วนพรุ่งนี้ที่เป็นเวรตัวเองก็ยังต้องมาตามเดิม ปรัญเข้าใจว่าช่วงสอบมันก็ทำให้สติแตกอย่างนี้ล่ะนะ นี่ดูในแฟ้มมีคนเข้ารับบริการสี่คนแล้วตั้งแต่เช้า คิดว่าครึ่งบ่ายนี่ต้องมีหนึ่งไม่ก็สองคนแน่

   มีชื่อของเอื้อมอารัญปรากฎเมื่อสามวันที่แล้ว ระดับความถี่เริ่มกลับมาคล้ายช่วงแรกที่เราได้คุยกัน แม้จะยังกลุ้มใจเรื่องที่ได้ยินมาในวันนั้นแต่เขาก็ยอมรับเลยว่าการที่ยังเห็นลายมือนี้มันก็ยังช่วยคลายห่วงได้หน่อย

   เขาไม่กล้าถามว่าเอื้อมเข้ามาคุยด้วยสาเหตุใด ตอนแรกก็คิดไปเองว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนิสัยชอบโกหก พอได้รู้จักมากขึ้นก็มีเรื่องพ่อเข้ามาอีก เอาเป็นว่าเขาไม่แปลกใจแล้วที่เข้ามาใช้บริการที่นี่บ่อยจนเหมือนว่าจะสนิทกับอาจารย์

   ไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าไปดูว่าในเฟซบุ๊กมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง แอปเมจเซนเจอร์ก็ลบทิ้งชั่วคราว ทำได้แค่หมกตัวอยู่ในทวิตเตอร์ทั้งวันเพื่อไม่ให้บังเอิญไปเจออะไรที่ทรมานจิตใจ เขาไม่อยากจะต้องรับรู้ว่าการห่างของเรามันเป็นผลดีกับเอื้อมมากกว่าหรือเปล่านี่นา

   ก็บอกไม่ได้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ยอมทำอย่างที่อีกฝ่ายขอ เขาก็ยังเป็นคนใจดีที่ยอมถอยเพื่อให้ความสบายใจกับคนอื่น แม้ว่ามันจะกลับกลายมาเป็นการทำร้ายตัวเองก็ตาม

   เหยียดตัวบนเก้าอี้ตามท่าที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะนั่งไม่นานก็ไม่ควรปล่อยให้มันสะสมเรื้อรังจนกลายเป็นโรคติดตัว เขาไม่อยากจะมีอาการปวดติดตัวทั้งที่อายุเพิ่งขึ้นเลขสองหรอกนะ

   สายตาเหลือบไปเห็นว่ามีแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างติดอยู่ตรงซอกข้างซีพียูของคอมพิวเตอร์ประจำห้อง ก็เลยก้มตัวยื่นแขนออกไปหยิบแบบที่คนขี้เกียจเขามักจะทำกัน เสียงประตูกระจกเปิดออกที่แว่วเข้ามาแทนการบอกว่างานในวันนี้ก็ยังไม่มีทางเสร็จได้ง่ายๆ ถ้าเป็นพวกที่เคยเข้ามาแล้วก็น่าจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อล่ะ

   "ลงชื่อ..."

   ดึงตัวกลับมานั่งหลังตรงได้ภายหลังจากที่จัดการกับกระดาษเจ้าปัญหาเรียบร้อย ไม่อาจเอ่ยออกมาได้เต็มทั้งประโยคเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ชัด

   เอื้อมอารัญ

   คล้ายว่าเป็นการเล่าซ้ำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ต่างคนต่างนิ่งไปไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มต้นฉากการเล่นองก์ถัดไป ปรัญรู้ตัวว่ามันดูไม่ดีที่เขามองช่วงนัยน์ตาเป็นอย่างแรกว่าวันไหนมันดูแย่ยิ่งกว่า แล้วก็สรุปได้ว่ามันแย่พอกัน

   "วันนี้อาจารย์อยู่นะ" มันคือการหลุดประชดที่ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ ปรัญไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายเอาแต่คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นสิ่งผิด เอื้อมไม่เคยหลอกหรือโกหกให้เขาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะครั้งไหนก็เป็นเขาที่เต็มใจทำให้เสมอโดยไม่มีข้อแม้

   "ส่วนเราก็อยู่ตรงนี้เหมือนกัน"

   เป็นการเดิมพันที่สูงจนน่ากลัว คงลืมไปว่านี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ไม่ว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นไรมันก็ไม่มีผลกระทบต่อความเป็นจริง

   ริมฝีปากของเอื้อมเม้มเข้าหากันจนเห็นชัด คนที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตูนิ่งไม่ไหวติงจนเขาเป็นฝ่ายขยับลุกขึ้นเอง การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นการคุกคามสร้างความระแวงให้หนึ่งระดับเห็นได้จากการถอยหลังออกไปยืนนอกห้อง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงจนเขาไม่กล้าทำอะไรอีก

   วิธีการสร้างความคุ้นเคยให้กับแมวที่กำลังสับสนคือไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปจับตัว ระยะห่างที่ดูเป็นการเข้ามาอย่างเป็นมิตรคือสิ่งจำเป็นที่สุด

   ภาวนาให้อย่าเพิ่งมีนักศึกษาเดินเข้ามาทำให้เสียเรื่อง รวมถึงขอให้เอื้อมอย่าเพิ่งตัดสินใจหนีหายไปอีกครั้ง

   ปรัญไม่ชอบความน่าอึดอัดนี้เอาเลยเสีย เขาชอบให้มันเป็นพื้นที่ที่ได้เห็นเอื้อมเดินเข้ามาพร้อมกับชาเขียวปั่นในมือ เล่าบ่นเรื่องที่เจอมาให้ฟังเจื้อยแจ้ว จากนั้นก็รอให้หมดเวลาทำงานเพื่อที่ว่าจะได้ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน

   ไม่ใช่ความห่างเหินอย่างนี้

   จับความรู้สึกได้เลยว่าผิดหวังเพียงใดตอนที่เอื้อมปิดประตูลง เขากลายเป็นผู้ชมที่มองการแสดงจากหน้าจอการฉาย จับจ้องทุกอากัปกิริยาตั้งแต่บานประตูเคลื่อนตัวปิดสนิท กระจกใสบอกได้ว่าคนตรงนั้นมองไปที่อื่นไม่เหลียวกลับมาสักนิด

   "เมื่อกี้เอื้อมมาเหรอปัน?"

   สะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงแทรกระหว่างที่ความคิดยังตีกันไม่จบ ปรัญหมุนตัวกลับมาแสร้งยิ้มกลบรอยเศร้าเอาไว้พลางตอบ "รู้ได้ยังไงครับว่าเป็นเอื้อม"

   "ก็มีคนเดียวที่มาหาปันนี่" นั่นหมายความว่าระดับความถี่อยู่ในขั้นจับสังเกตได้เลยสินะ "แค่แวะมาทักเหรอ"

   มองซ้ายขวาแล้วก็เห็นแค่เขาคนเดียวยืนอยู่นี่นา "อ่า...ครับ"

   "ทะเลาะกันหรือเปล่า"

   "...คิดว่าไม่นะครับ"

   "มีอะไรก็คุยให้เคลียร์ รีบหน่อยก็ดี"

   "ผมก็ไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรอกครับ" จะว่าไปแล้วคนที่รู้เรื่องเกือบทั้งหมดคงไม่พ้นอาจารย์นี่แหละ ถึงจะถามออกไปตรงๆ ไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ระบายหน่อยเถอะ "อีกคนต่างหาก"

   “เอื้อมน่ะต่อกลับมาติดให้สนิทเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ รู้ใช่ไหม”

   “...รู้ครับ”

   “อืม ดีแล้ว”

   อาจารย์พยักหน้าขึ้นลงสองสามครั้ง ท่าขยับตัวหมุนกลับไปเตรียมเข้าห้องส่วนตัวเรียกให้ปรัญต้องรีบเอ่ยปากเรียกออกไปก่อน

   “แล้วมันไม่แปลกใช่ไหมครับถ้าผมไม่คิดจะต่อกลับ แค่ขอเก็บชิ้นส่วนพวกนั้นเอาไว้ก็พอ”

   อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองทำหน้าประหลาดเหรออาจารย์ถึงอมยิ้มคืนมาให้อย่างนี้ “ไม่นะ”

   “ขอบคุณครับ”

   รอจนบริเวณนั้นเหลือเพียงเขาคนเดียวถึงถอนหายใจออกมาได้สะดวก ปากก็รับคำไปเหมือนว่าจะจริงจัง เอาเข้าจริงแล้วให้เริ่มต้นตรงไหนเขายังไม่รู้เลย

   ให้ไปขอข้อมูลจากฮิวก็ไม่น่าจะช่วยอะไร ดีไม่ดีอาจโดนด่ากลับมาเจ็ดชั่วโคตรก็เป็นได้ 

   ปรัญตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องเป็นครั้งสุดท้าย ปลงแล้วว่าวันนี้อาหารเย็นก็คงเป็นร้านข้าวใกล้หอเช่นเดิม ช่วงนี้เหมือนว่าไม่เจริญอาหารเท่าที่ควรด้วย

   เดินไปยังมุมเก็บจักรยานเสือภูเขาคันเดิมที่รู้สึกขอบคุณทุกครั้งยามเห็นมันจอดอยู่ที่เดิมไม่โดนใครขโมยไป นี่เพื่อนก็เพิ่งเล่าว่าโดนขโมยจักรยานที่เพิ่งซื้อมาได้แค่สองวัน น่าสงสารไม่น้อยเลยล่ะ แล้วมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่น่าพึงพอใจสำหรับเรื่องนี้เลย

   สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณกระเป๋าหน้า เขารีบควานหาเครื่องมือสื่อสารสารพัดประโยชน์พลางนึกไปว่ามีใครที่อยากจะติดต่อเขาในเวลานี้บ้าง

   ชื่อที่ปรากฎคำว่าเอื้อมอารัญทำให้ลืมทุกอย่างที่คิดค้างเอาไว้ก่อหน้า รีบกดรับสายแล้วเอาแนบหูทันที

   (ปันบอกว่าจะอยู่กับเราใช่ไหม...?)

   "…"

   (งั้นช่วยมาหาเราตอนนี้เลยได้หรือเปล่า)
 


   ไม่เคยเกลียดคอนโดของเอื้อมเท่าวันนี้มาก่อน

   เพราะกว่าจะหาทางขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าได้นี่ต้องงัดสารพัดเรื่องขึ้นมาอ้าง ยังดีที่เจอเจ้าหน้าที่ใจดีที่เคยเอาขนมมาฝากตอนกลับจากเชียงใหม่ก็เลยคุยกันง่ายหน่อย ถึงอีกใจหนึ่งจะคิดว่าเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพเลยก็เถอะ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องหลักที่ต้องสนใจ

   ตัวเลขดิจิทัลบอกเลขชั้นขยับขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่รัวเร็ว เขาแทบจะปั่นจักรยานแบบสี่คูณร้อยออกมานอกรั้ว บ้าดีเดือดพอที่จะปั่นสวนเลนออกไปยังเส้นทางที่นำไปสู่ห้องพักขอเอื้อมอารัญ จอดมันเอาไว้ส่งๆ ไม่กลัวหายเหมือนอย่างทุกทีเพื่อให้สามารถกระโจนพุ่งเข้ามาได้เร็วที่สุด

   เอื้อมบอกว่าตัวเองกำลังอยู่บนดาดฟ้าของตึกคนเดียว

   เช่นเดิมเหมือนที่เป็นมาเสมอ

   ขนาดไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้ายยังรู้เลยว่ามันมีข้อความใดแฝงอยู่ อันตรายที่หลายคนเคยบอกว่ามันเป็นแค่คำโกหกไม่มีความน่าเชื่อตอนนี้พาเอาความตึงเครียดทั้งหมดมากองเอาไว้อยู่ภายในความคิดเขาที่เดียว

   กลัว

   กลัวว่าตนเองจะมาไม่ทันการณ์

   ประตูดาดฟ้าเปิดเอาไว้อยู่แล้ว เขาพุ่งออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว หันซ้ายขวามองหาร่างของใครอีกคนด้วยความกระวนกระวายเต็มหัวใจ ราวผ้าที่มีตั้งแต่แบบเอาเชือกมาแขวนไว้ลวกๆ และราวเหล็กวางระเกะระกะบอกว่ามันเป็นสถานที่สำหรับตากผ้าของนักศึกษาอย่างที่เคยได้ยินมา

   ลัดเลาะไปตามบริเวณต่างๆ เพื่อตามหาคนที่โทรมาก่อนหน้า จากมุมแรกไปสู่มุมที่สองของตึก จนกระทั่งพบใครบางคนนั่งห้อยขาออกไปด้านนอกอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว ท้องฟ้ายามตะวันคล้อยตัวลงเป็นพื้นหลังเสริมให้บรรยากาศหม่นหมองจนไม่กล้าขยับ

   ปรัญตั้งคำถามที่ไม่มีใครตอบได้

   หากว่าเขาไปอยู่เคียงข้างตรงนั้นมันจะเป็นอย่างไรนะ

   ไม่มีทางรู้คำตอบนอกจากลงมือทำ ปันก้าวขยับเข้าไปจนเกือบชิด สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเรียกชื่ออีกฝ่าย

   "เอื้อม..."

   เจ้าของชื่อหันกลับมาเชื่องช้า นัยน์ตาเปี่ยมหวังกับริมฝีปากที่กำลังขยับข้างจนปรากฎรอยยิ้มจางสวยงามกว่าครั้งไหน

   เขาคงไม่มีทางลืมใบหน้าของเอื้อมอารัญตอนนั้นได้ตลอดกาล

   "ปันมาจริงด้วย..."

   "ทำไมถึงพูดอย่างนั้น"

   "ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มานี่นา"

   นอกจากจะเอ่ยออกมาสบายๆ แล้วยังตบขอบปูนข้างตัวชวนให้นั่งด้วยกันอีกต่างหาก ปันทิ้งกระเป๋าเป้ของตัวเองไว้ด้านในระหว่างชะโงกมองออกไปสำรวจความปลอดภัยด้านนอก ยังดีที่ตึกออกแบบมาให้มีขอบปูนยื่นออกไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะต้องเครียดมากกว่านี้หลายเท่าแน่

   “พูดเหมือนเลือกได้เลยเนอะ ทั้งที่จริงคือนอกจากปันเราก็ไม่มีใครแล้ว”

   “...”

   มันเป็นการตอกย้ำลงไปซ้ำๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่าสังคมมนุษย์น่ากลัวแค่ไหนสำหรับเอื้อมอารัญ

   "ถามจริงนะ ไม่เคยสงสัยเหรอว่าทำไมเราถึงติดแจอย่างนี้"

   จากคนที่รู้จักกันแค่ชื่อจริงนามสกุล และไม่มีการทักทายที่มาไปกว่าการส่งยิ้มให้ กลับกลายเป็นความคุ้นชินที่จะต้องมีอีกฝ่ายอยู่ด้วยเสมอ

   “ไม่นะ”

   "วันนั้นเราตั้งใจจะฆ่าตัวตายแหละ"

   ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ออกมาได้ทั้งที่มุมปากยังขยับองศาขึ้นอยู่ ในขณะที่มั่นใจเลยว่าตัวเองต้องทำหน้าตึงใส่เรื่องเล่านี้ไปแล้วอย่างแน่นอน

   "…"

   "เราไม่ใช่โรคซึมเศร้า ตั้งแต่มัธยมแล้วที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่ทำให้อยากหายใจอยู่แล้วก็เท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าทำสักทีเพราะว่ากลัวมันจะไปเดือดร้อนคนอื่น ก็ถ้าตายในหอคนทั้งตึกคงสยองขวัญ จะให้กลายเป็นศพไร้ญาติก็เหนื่อยแม่ต้องตามไปพิสูจน์อีก จนเราว่าทางที่ดีที่สุดก็คือขับรถชนเสาไฟนี่แหละ ก็เลยว่าจะไปหากับอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายหน่อย ยังไงอาจารย์ก็ช่วยคุยกับเราตั้งเยอะ"

   "...แต่ไปเจอเราแทนใช่ไหม" วันที่เดินเข้ามาพร้อมกับ 'รอยร้าว' ที่บอกตัวเองเสมอว่าไม่อยากเห็นอีกแล้ว

   "อือ รู้ไหมว่าตอนนั้นปันเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เราตัดสินใจอยู่ต่อ"

   "…"

   "ปันทำให้เราคิดว่าคนที่ใจดีกับคนอย่างเรานี่ต้องประหลาดแค่ไหนนะ" ความเย็นจากสายลมชั้นดาดฟ้าเทียบไม่ได้กับเรื่องเล่า ปรัญขยับตัวเข้าไปใกล้ในระยะที่มั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที "เราเห็นแก่ตัวเนอะ"

   "ไม่เลยนะเอื้อม"

   "เนี่ย จนถึงตอนนี้ปันก็ยังใจดีเหมือนเดิมเลย"

   ไม่มีความสั่นผสมอยู่ในการเล่า เอื้อมอารัญยังยืนหยัดอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที

   "เราอยากให้ปันใจร้ายกับเราสักเรื่องได้ไหม"

   "ไม่"

   "นี่ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเรื่องอะไร"

   "ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็จะเป็นคนใจดีของเอื้อมต่อไป" ยืนกรานว่าจะไม่มีทางทำสิ่งที่เป็นคำร้องขอต่อจากนั้นเด็ดขาด เคลื่อนไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้จนแน่นจนมั่นใจว่ามันจะส่งผ่านความจริงใจไปถึง "เราไม่ปล่อยเอื้อมไปหรอกนะ"

   เอื้อมอาจจำไม่ได้หรอกว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ มันคงจะเป็นอีกหนึ่งคำยืนยันว่าปรัญไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดเป็นเรื่องความสงสาร

   “แต่...”

   ไม่อยากจะได้ยินคำท้วงอะไรอีกแล้วเลยโน้มตัวเข้าไปปิดด้วยริมฝีปากของตัวเองเสีย ปรัญเป็นฝ่ายเริ่มที่ดูแล้วจะเต็มไปด้วยความเคอะเขินมากกว่าสองครั้งที่ฝ่ายมา เขาไม่เร่งร้อนในการเชื้อเชิญ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามจังหวะและขั้นตอนตามที่ควรจะเป็น

   ตอนแรกก็ยังเม้มปากเอาไว้อยู่แหละ ถือเอาเองว่าการที่อีกฝ่ายยอมขยับองศาของศีรษะให้พอดีเป็นการยอมรับ มือข้างหนึ่งยกขึ้นประคองส่วนท้ายทอยของเอื้อมอารัญเอาไว้ เราแลกสัมผัสที่มีความหมายแฝงเอาไว้พักใหญ่ และในช่วงเวลาที่เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเราตรงกันจึงผละออกช้าๆ

   “คราวนี้ยังจะถามอีกไหมว่าทำไมเราถึงจูบเอื้อม”

   “...ถาม” เสียงแผ่วเบาดูไม่มั่นใจนั่นมันน่ารักยิ่งกว่าอะไรดี

   “เราชอบเอื้อม”

   “...”

   "เพราะงั้นจะให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้างก็เถอะ มันเป็นเรื่องในอดีตที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีใครเข้าใจก็ช่างเขา มีแค่เราที่เชื่อเอื้อมคนเดียวก็ได้ เพราะอย่างนั้นอยากจะดึงเราเอาไว้เท่าไหร่ก็ทำเลย"

   ต่อให้ใครจะไม่เชื่อคำที่ตะโกนร้องบอกว่าหมาป่ากำลังขย้ำฝูงแกะ เขาก็ยังยืนยันที่จะเป็นคนเดียวที่คอยซับน้ำตาของเด็กชายจนกว่าเขาจะหยุดร่ำไห้

   “เอื้อมยังไม่ต้องบอกก็ได้ว่าคิดกับเราแบบไหน เอาจริงเราก็ไม่ค่อยถนัดบทโรแมนติกอะ” เกาแก้มแก้เขิน รู้สึกว่าการกระทำเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าคำพูด และเชื่อว่าที่ผ่านมาตนเองก็แสดงออกชัดเจนพอ “หน้าเราแดงปะ”

   “แดงมาก หัวก็ยุ่ง”

   ผงกหัวขึ้นลงเป็นสิ่งประกอบ เอื้อมยื่นมือออกมาฃ่วยจัดแต่งให้มันเข้าทางอยู่ครู่ใหญ่โดยมีสายตาของเขาคอยจับจ้องทุกอากัปกิริยา ไม่รู้ว่าผอมลงไปหน่อยหรือเปล่าถึงดูแก้มหายไป ถ้ากินแต่ชาเขียวปั่นล่ะเขาจะตีให้

   “...”

   และยามที่นัยน์ตาของอีกคนเปลี่ยนมาจ้องมองที่เขา ช่วงเวลาแห่งความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

   ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความลังเลใจบางอย่าง เอื้อมอารัญเคลื่อนฝ่ามือมาแตะตรงไหล่ หลุบตาลงไม่ยอมสบสายตากับเขาจนใจหายวูบว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หากทั้งร่างที่โถมเข้ามามันกลบทุกอย่างให้หายไปทันตา

   ได้แต่รีบสวมกอดเอาไว้ให้แน่นไม่แพ้กัน สูดเอากลิ่นหอมบางอย่างจากเสื้อผ้าเข้าไปลึกสร้างความมั่นใจว่าในเวลานี้เขามีเอื้อมอารัญอยู่ในความครอบครองจริง

   “ขอบคุณที่มานะ” คำนั้นอู้อี้อยู่ข้างหู “ชอบปันเหมือนกันด้วย”

   ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ คลี่ยิ้มเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกแล้วพอผละออกจากกันก็เห็นได้ชัดว่าคุณเอื้อมตาแดงแค่ไหน

   “จะร้องไห้ทำไม ต้องยิ้มสิ”

   “ไม่ได้ร้อง!”

   “ไม่ร้องก็ได้ ...งั้นไปกินข้าวเย็นกันเนอะ" ตบเข่าเตรียมตัวลุกขึ้น แม้จะรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ก็ยังเป็นฝ่ายยืนด้านนอกเพื่อป้องกันอันตรายเอาไว้ “ให้เอื้อมเลือกร้านเลย”

   รอจนกว่ามั่นใจว่าเอื้อมอารัญจะข้ามไปอยู่ในโซนปลอดภัยแน่นอนจึงก้าวตามไป หยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาระหว่างได้ยินเสียงเรียกชื่อตนอีกครั้ง

   "นี่ปัน"

   "ครับ?"

   "...ไว้ไปดูหนังด้วยกันนะ"

   “หือ...”

   “คราวนี้เราจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”

   "ได้เลย"
 


   "มึงทำตัวเหมือนเรียนคณะนี้เข้าไปทุกวัน"

   "เหรอ ก็ไม่นะ"

   ปรัญลอยหน้าลอยตาใส่คำประชดของอดีตเพื่อนในกลุ่มทำงาน ชะโงกหน้าไปทางมุมตึกที่ไม่มีใครเดินตามมาสักที

   "คุณเอื้อมยังไม่ออก มันไม่ใช่คนค้นพบสัจธรรมอย่างกู" เลิกคิ้วให้รู้ว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ไหนเอื้อมบอกว่าสอบวิชาวิทยาการการแปรรูปอะไรสักอย่าง ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาสักหน่อย "หมายถึงกูตรัสรู้ว่าถ้าทำไม่ได้ก็ออกมาเถอะ อย่าฝืนต่อไปเลย"

   "อ๋อ..."

   "ล่ะนี่เลิกไวเหรอ ปกติไม่ได้มาเวลานี้"

   "พอดีมีพรีเซนต์เลยเสร็จเร็ว"

   "เออดี เลยรีบมาเฝ้าเจ้าของ"

   ชินไปแล้วล่ะเวลาได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกจากฮิว นี่ยังถือว่าเบานะเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เอื้อมเปิดตัวทางเฟซ เขาโดนทั้งตัวอักษรแล้วก็เสียง เหมือนว่าวันไหนที่อารมณ์ไม่ดีก็เดินดุ่มมาเคาะห้องเพื่อสบถคำผรุสวาทใส่ให้สบายใจ พอระบายหมดแล้วก็ไป

   ทิ้งให้เขาเป็นฝ่ายต้องสรุปจับใจความเอาเองว่ามันมีเนื้อหาอะไรบ้าง

   "ภาคบ่ายก็มีเรียนตัวบังคับใช่ไหม จะได้ไปกินแค่โรงใกล้ๆ"

   "ถ้าไม่ได้ชวนกูไปกินด้วยจะไม่ตอบ"

   ก็เลยแกล้งทำเป็นเศร้าเสียเต็มประดา ปันชอบการยืนหยัดว่าเป็นทีมแอนตี้ของเพื่อนคนนี้เหมือนกัน คือเข้าใจเลยที่เคยบอกว่าเป็นเพื่อนกันมานานจนไม่รู้ว่าจะเกลียดกันไปเพื่ออะไร ฮิวน่ะทำเป็นบ่นนั่นนี่แต่เอาเข้าจริงแล้วก็โทรมาว่าทำรายงานส่วนของตัวเองเสร็จแล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก

   ด้วยรักและเกลียดตลอดไป

   "ไว้วันหลังถ้าเจอรีวิวอันไหนน่าสนจะชวน"

   ส่วนนิสัยที่ชอบตะลอนหาของตามรีวิวนี่ยังเลิกไม่ได้ ที่ดูมีพัฒนาการขึ้นหน่อยก็เรื่องกล้าลองอะไรแปลกใหม่อย่างที่ไม่มีเขียนในรายการแนะนำ ถ้าชอบอะไรก็จะสั่งเลยแล้วเอามาลุ้นกันเอง

   นี่เดือนหน้าว่าจะไปเขาแหลมหญ้า เอื้อมส่งลิงก์มาให้รอบที่สามแล้วเท่ากับว่าอยากไปจริง

   "เป็นพระคุณมาก"

   "ไม่ต้องเกรงใจ เพื่อนกัน"

   สงสัยทำตัวกวนบาทาเกินไปหน่อยก็เลยเกือบได้วางมวยกันตรงนี้ ฮิวยืนพิงกับเสาที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายฝั่งตรงข้ามไม่ได้ลงมานั่ง ก็จับเจ่าอยู่บนเก้าอี้ในห้องตั้งนานสองนานคงอยากจะยืดเส้นยืดสายเสียบ้าง

   เพื่อนคนกลางเงียบไปสักพักใหญ่จึงเปิดปากอีกครั้ง "นี่...ไม่คิดเหรอว่าความจริงแล้วเอื้อมมันโกหกเพื่อให้มึงติดกับอะ"

   สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้นคือการลุกขึ้นพร้อมสะพายกระเป๋าให้เรียบร้อยเมื่อเหลือบเห็นร่างที่ถูกดูดวิญญาณของอีกคน ที่เห็นแต่ไกลคือเอื้อมทำหน้าบูดจนมั่นใจว่าต้องฟังเรื่องข้อสอบไปอีกสักพักแน่

   ปรัญขยับยิ้มมุมปากไม่มีความหมาย

   "บางทีความจริงอาจเป็นกูที่สร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเพื่อเก็บเอื้อมเอาไว้คนเดียวก็ได้นะ"
 


แด่คุณผู้แหลกสลาย
...
..
.
ไม่มีความจริงในความจริง



***
Talk ด้านล่างนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2018 22:00:26 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
***
   ใจก็อยากทอร์กให้จบในรีพลายก่อนหน้านะคะ แต่ทำไม่ได้ (หัวเราะ) ในที่สุดก็มาถึงบทสุดท้ายแล้ว เร็วมากจริงๆ ค่ะสำหรับคนพิมพ์เรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเจ้า ซึ่งก็มีเรื่องที่อยากเล่าเยอะแยะเลยล่ะ

   ไม่มีความจริงในความจริง เป็นเรื่องที่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าลัดคิวแต่งค่ะ คือไม่เคยมีพล็อตเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเจ้าเจอเรื่องที่ทำให้ตัวเองมีเรื่องติดค้างในใจเอาไว้เยอะพอสมควร เรื่องของเรื่องคือเคยเขียนไปแล้วว่าเจ้าโดนเอารูปไปปล่อยในแอคทวิตเตอร์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลงรูปพร้อมข้อความหมิ่นประมาทค่ะ เจ้าจะไม่แคปมาให้ดูเพราะมันเป็นคำที่เจ้าไม่อยากจะจำ เนื้อความก็ประมาณว่าเจ้าบ้าผู้ชาย มั่ว ทำนองนี้ค่ะ

   ซึ่ง...ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าโดนคุกคามบนโลกออนไลน์ค่ะ ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เคยโดนไปแล้วรอบหนึ่ง โดนเอาเบอร์ รูป และเฟซบุ๊กไปปล่อยในเกม ช่วงนั้นคือมีคนแปลกหน้าแอดมาทุกวัน ข้อความน่าเกลียดก็เยอะ โทรมาหืดหาดใส่ก็มี มันทำให้เจ้ากลายเป็นคนระแวงไม่น้อยเลย คือ จะไม่รับเบอร์แปลกที่ไม่ได้เมม เฟซบุ๊กไม่อัปเดตอะไร แล้วก็ปิดช่องทางติดต่อเกือบทั้งหมดค่ะ

   รอบนั้นคือประสาทเสียพอสมควร ไม่เข้าใจว่าทำไปเพราะอะไร เจ้าก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่รับสาย ทำไมแอดไลน์ผ่านไอดีไม่ได้ บางคนก็มองว่าเจ้าเรื่องมากแหละค่ะ แต่ก็นะ มันทำให้เราสบายใจ

   จนมารอบนี้ คือเจ้าก็ว่าตัวเองเป็นคนที่เซฟในระดับหนึ่งแล้วนะคะ แต่รูปที่เขาเอาไปลงทวิตเตอร์นี่คือบางรูปเจ้าไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ บางรูปคือการแคปภาพตัวแทนในไลน์มา และที่พีกสำหรับเจ้าคือบางรูปเจ้าอัปแค่สี่ชั่วโมงก่อนลบเขาก็ยังมีค่ะ

   คราวนี้คือจับมือใครดมไม่ได้เลย แล้วข้อความที่เขาใช้เจ้าก็เถียงกลับได้หมด ว่ามันไม่มีความจริงอยู่เลย แต่ที่รีพลายกันก็มีบางคนมาคอนเฟิร์มว่าเจ้าเป็นอย่างนั้น คือ... เจ้าคิดคำด่าไม่ออกเลยค่ะ บวกกับหลังจากนั้นเจ้ากลับไปรื้ออ่านหนังสือที่ดองเอาไว้ แล้วได้คอนเซปต์ของเรื่องนี้เป็นการสื่อถึงความจริงที่เหมือนจะหายากเหลือเกินในสังคมปัจจุบัน อะไรคือความจริง? ในความจริงมีอะไร?

   ในความจริงไม่มีความจริงอยู่เลยได้หรือเปล่า

   ถ้าถามว่าแสดงว่าตั้งใจเขียนสะท้อนสังคมเหรอ ขอใช้คำว่าสะท้อนความในใจมากกว่าค่ะ มันคือมุมที่เจ้ามองต่อการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ ว่ามันล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวกันมากเกินไปแล้ว คือเจ้าจะไม่ชอบคำที่เขาบอกกันว่า ถ้าไม่อยากให้เอาไปใช้ทำอะไรก็อย่าอัปสิ เหมือนเวลาที่โทษคนโดนข่มขืนว่าแต่งตัวโป๊แหละค่ะ

   มันกลายเป็นความผิดของเจ้าที่อัปรูปเหรอคะ? กลายเป็นเจ้าต้องป้องกันตัวเองเหรอคะ? แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำล่ะ ทั้งหมดคือที่อยู่ในใจเจ้าเสมอค่ะ

   เพราะอย่างนั้นเจ้าเลยสร้างตัวละครที่ถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นคนโกหกขึ้นมาค่ะ  แต่ในอีกมุมหนึ่งเอื้อมก็ไม่ใช่สัญลักษณ์ในความบริสุทธิ์สำหรับเจ้าอยู่แล้ว คือการเริ่มต้นของเขามันเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้แหละ แต่เจ้าว่าหลังจากนั้นเขาสามารถเลือกได้ว่าอยากให้มันดำเนินต่อไปในทางไหนค่ะ เราเลือกได้ที่จะเป็นครายวูลฟ์หรือยอมรับตัวตน

   เจ้าเถียงกับเพื่อนเยอะมากเกี่ยวกับการโกหก ว่าการโกหกมันไม่ดีในตัวเอง หรือว่ามันไม่มีเพราะผลลัพท์ที่เกิดขึ้นค่ะ ซึ่งก็ได้คำตอบมาไม่ค่อยหลากหลายและไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ คือเจ้าตั้งตัวละครที่ชื่อเอื้อมอารัญให้เป็นคนที่มองการโกหกเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ไม่ได้ไม่ดีอะไร ตราบใดที่ทำให้ตัวเองสบายใจและมีความสุขค่ะ

   และนั่นทำให้เรื่องนี้ยาก ว่าจะสื่อความเป็นเอื้อมออกมายังไง เพราะอะไรเขาถึงแสดงออกอย่างนั้น ซึ่งก็คิดว่าได้ทำอย่างที่ต้องการเกือบหมดค่ะ ส่วนปันนี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเลยค่ะ (หัวเราะ) ปันคือตัวแทนของความไม่เชื่อในตัวของเจ้า เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องมาเจ้าจะต้องมีจุดเล็กๆ ที่สะกิดใจทุกครั้งว่าถ้าฉันอัปลงไป จะมีใครเอาไปปล่อยอีกไหมนะ ทั้งที่เป็นคนที่เราเชื่อในระดับหนึ่งแล้วแท้ๆ แต่ว่าก็ยังมีเรื่องแบบนี้อีกจนได้

   ไม่มีใครที่ไว้ใจได้ทั้งนั้น อะไรทำนองนี้ค่ะ

   แต่ถามว่าที่ใจดีใจดีจริงไหม เขาใจดีจริงๆ นะคะ และเขาก็รู้สึกกับเอื้อมจริงๆ เพียงแต่ว่านั่นแหละค่ะ เราเป็นมนุษย์ที่ต้องมีทั้งดีและร้ายผสมกันไป (ยิ้ม)

   ตั้งใจว่าไม่อยากให้ยาว แต่นี่ก็ยาวกว่าที่วางเอาไว้หลายตอนอยู่ค่ะ คือทุกเรื่องที่ผ่านมาก็อย่างนี้แหละ วางเอาไว้เท่านี้ แต่มันก็เกินทุกทีเลย มีตอนพิเศษแน่ๆ แต่ยังเขียนไม่จบค่ะ เอาจริงๆ คือเรื่องนี้แก้ไขเยอะที่สุดเท่าที่แต่งมาเลยนะ เอะอะแก้ เอะอะแก้ จนจะโพสต์อยู่แล้วก็ยังขอกลับไปแก้อีกหน่อยก็ยังดี

   ...และคิดว่านี่ก็ไม่หนักอย่างที่บอกนะคะ (หัวเราะ)


   ขอบคุณทุกความรักที่ให้กันมาเสมอนะคะ
   ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
   23August

   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เข้าใจเป็นอย่างดีเลยค่ะคุณเจ้าไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนยุคนี้เป็นอะไรกันไม่เคยมีความเกรงใจหรือเคารพสิทธิของผู้อื่นเลยเรื่องเหยียบย่าซ้ำเติมเป็นเรื่องสนุกสนานของผู้คนไปแล้วใช่มนุษย์จริงหรือบางครั้งก็เลือกที่จะโหกเพื่อให้ตัวเองสบายใจเหมือนเอื้อมอารัญเช่นกันยางครั้งก็เป็นปันด้วยคนเรามีหลายมิติที่ยากเข้าถึงจริงๆขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่น่าติดตามเรื่องนี้นะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
งือออออ จบแล้ว ในที่สุดก็ลงเอยด้วยรัก :mew1:

(((((กอดเอื้อม กอดปัน))))) ((((กอดเจ้า :กอด1: ))))

รอตอนพิเศษนะคะ  :call:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ร้องไห้อย่างหนักหน่วง คิดว่าคุณเจ้าจะใจร้ายเรื่องดาดฟ้าซะแล้ว สนุกและประทับใจมากค่ะ ขอบคุณคุณเจ้าที่สร้างตัวละครคุณเอื้อมและปันมาให้เราได้รู้จักอีกมุมมอง เบื้องหลังของเด็กเลี้ยงแกะอาจไม่ใช่แบบที่เราเคยรู้มาก็ได้ ส่วนเรื่องคุณเจ้านี่ยังคงโมโหแทนค่ะ มีหลายคนเลยที่โดนเอารูปไปทำอะไรแบบนี้ สังคมสมัยนี้มันน่ากลัวจริงๆค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆและดีมากๆอีกเรื่องนะคะ คุณเอื้อมจะเป็นตัวละครอีกตัวที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป กอดคุณเอื้อมแรงๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ เขียนดีมากๆ ทั้งสนุก แล้วก็ได้ตกตะกอนอะไรบางอย่างด้วย

ปล.อยากได้ตอนพิเศษมุมของเอื้อมจังเลยค่ะ รอคอยอย่างมีความหวังนะคะ

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
คุณเอื้อมมมมม จบลงด้วยความละมุนมากเลยค่ะ ตอนอ่านนี่ระแวงมากก เป็นความเรื่อยๆที่กลัวจะจบเศร้า ฮืออ ดีใจที่วันนั้นคุณเอื้อมตัดสินใจอยู่ต่อนะ ชอบนิสัยปันมากเลยด้วยย ที่เรียกคุณเอื้อมเพราะเรารู้สึกว่ามันน่ารักมากเลยย เหมือนเรียกคุณเหมียวว ชอบตอนพี่เอื้อมปัน พี่ปันเอื้อมด้วยอ่ะ น้องง วิธีแก้คือเรียรวมไปเลย 555555

ออฟไลน์ yunghanna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านแล้วอยากกอดคุณเอื้อมมมมมมมม      :katai2-1:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
สนุกค่ะ
ความจริงในความจริง บางครั้งอาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากจะยอมรับ เลยเลือกเชื่อ เห็น ในสิ่งที่เรารับได้ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน มันจริงหรือไม่จริง
แต่มันเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ
ยอมรับ หรือไม่ยอมรับ

ขอบคุณกับมุมมองชีวิตใหม่ๆ
การโกหก อาจเป็นแค่เกราะของคนคนนั้นก็ได้ ว่าป่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ฉากดาดฟ้าคือแบบ บีบหัวใจ TT
ไม่ควรมีใครต้องมาเจออะไรแบบนี้ ฮือออ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
พิเศษ
 
[Big Trouble]


   เอาเข้าจริงแล้วเอื้อมไม่มีปัญหาให้รบกวนใจเท่าไหร่

   ถึงจะดูเป็นคนเรื่องมาก เอาแต่ใจ และไม่น่าคบหาในสายตาของเพื่อนหลายคน แต่เอาแค่ที่เจอมากับตัวบอกได้เลยว่ามันราบรื่นไม่ต้องเจอเรื่องปวดหัว

   จนกระทั่งตอนนี้ปรัญก็รู้แล้วว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคืออะไร

   “ปัน...มันบวมมากเลยใช่ไหม”

   เอื้อมอารัญกับการผ่าตัดฟันคุดนี่แหละ

   มองหน้าผู้ชายข้างกายพร้อมพินิจพิเคราะห์ว่ามันบวมอย่างที่บอกหรือไม่ และเอาจากที่เห็นเลยคือ...

   “บวม”

   “…”

   ปากเบะเกือบร้องไห้อยู่ร่อมรอน่ารักดี “แต่มันก็ต้องบวมเป็นปกติอยู่แล้ว เราก็เป็น”

   อาจเรียกได้ว่าเป็นโชคดีของเขาที่มีฟันคุดอยู่แค่ซี่เดียว เพราะงั้นสมัยที่ดัดฟันหมอก็เลยเอาออกไปแล้วเรียบร้อย ตอนนั้นก็บวมอยู่หน่อยแต่ก็ไม่ได้แย่จนน่ากลัว แล้วผ่าออกมาก็ชัดข้าวกลางวันได้อย่างปกติสุขมากเลยล่ะ

   “น่าเกลียดมากไหม”

   “ไม่นะ เหมือนเห็นเอื้อมเวอร์ชันแก้มยุ้ย” ซึ่งเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ไม่ใช่คนผอมเพราะว่าเอาแต่ตะลอนกินแล้วก็ไม่ยอมออกกำลังกายจริงจัง มันก็เลยมีแก้มเล็กๆ พอให้หยิกได้เวลามันเขี้ยว “เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องเครียดหรอก”

   “ปวดร้าวๆ ไปหมดเลยอะ ตอนปันเจ็บอย่างนี้ไหม...”

   “เราก็จำไม่ได้แฮะ”

   ย้อนความให้ก่อนว่าเพราะอะไรถึงมาจบที่นี่ได้ อยู่ดีๆ เอื้อมก็เปิดประเด็นขึ้นมาว่าเหมือนมีฟันซี่ใหม่โผล่ขึ้นมา ลองอธิบายลักษณะแล้วเข้าข่ายเป็นฟันคุด ก็เลยตกลงว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อมาใช้สิทธิทันตกรรมของนักศึกษา แล้วพอเอ็กซ์เรย์วินิจฉัยอะไรเสร็จ พยาบาลบอกว่าจะผ่าเลยไหมเพราะว่าหมอมีคิวว่างก็เลยจัดการไปซะ

   รวดเร็วทันใจ

   “นี่เรายังรู้สึกตึงๆ อยู่เลยอะ”

   เอื้อมงอแงมาตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจโดยพละการให้ผ่าเลยแล้ว ก็มาทั้งทีถ้าได้ทำก็ทำไปเลย จะมาหลายๆ รอบทำไม ตื่นเช้านี่มันไม่ใช่เรื่องสนุกสักหน่อย

   “งั้นเย็นนี้คงต้องกินโจ๊กแล้วล่ะ”

   หยิบเอาซองน้ำแข็งที่กลายเป็นของเหลวหมดแล้วกองเอาไว้รวมกับขยะชิ้นอื่นภายในห้อง ส่องดูในถุงยาว่ามันมีอันไหนที่ต้องทานก่อนและหลังอาหารบ้าง นี่ต้องห้ามไม่ให้เอื้อมกินยาแก้ปวดเกินอัตราด้วย ตั้งแต่ออกจากห้องผ่ามานี่ร้องหามาหลายรอบแล้ว

   “ไม่อยากกินโจ๊ก”

   “แล้วกินอย่างอื่นได้เหรอ”

   “...”

   “ไว้หายแล้วค่อยไปกินย้อนหลังกัน”

   บทเกลี้ยกล่อมนี่ถนัดมากที่สุดเลยล่ะ ถ้าอยากจะล่อเอื้อมให้ทำตามแค่หารีวิวภาพสวยๆ สักโพสต์มาก็เพียงพอแล้ว

   “แต่ว่าตอนนี้ก็หิวแล้ว”

   “งั้นทำข้าวต้มให้ก่อน เอาไข่เจียวด้วยเนอะ”

   “...อยากกินเนื้อ เราเป็นสัตว์กินเนื้อ”

   มองใบหน้าของคนที่พยายามเก็กขรึมแต่ยังยกมือกุมหน้าแล้วก็ต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ ถ้าเป็นตอนปกติก็คงกังวลอยู่หรอก แต่พอเห็นแก้มบวมๆ นั่นแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ดูน่ากลัวสักอย่าง

   “จะทำหมูสับให้ด้วย แต่ไม่เค็มนะ” กลัวว่ามันจะทำให้อักเสบ “ห้ามกินอาหารรสจัด เดี๋ยวต้องไปผ่าหนองแบบเพื่อนเราไม่รู้ด้วย”

   อันนี้ก็เอามาขู่ให้เลิกซ่าได้อีกอย่าง เพื่อนของปรัญเคยผ่าตัดแล้วไม่เชื่อคำเตือนของทันตแพทย์ที่บอกว่าห้ามทานของรสจัดแล้วยังรักษาความสะอาดไม่ดี สุดท้ายก็เป็นหนองต้องไปหมอเจาะอีกครั้งแถมยังเลื่อนวันตัดไหมอีกต่างหาก

   จะว่าไปกว่าเอื้อมจะตัดไหมอีกตั้งสัปดาห์หนึ่ง

   สงสัยกว่าจะถึงวันนั้นคนที่ต้องอัดยาแก้ปวดน่าจะเป็นปันมากกว่า

   “แต่ถ้าข้าวต้มจืดแล้วหมูยังจืดอีกมันจะไปอร่อยอะไรล่ะ”

   “ตอนนี้ต้องกินเพื่ออยู่ เก็บเรื่องความอร่อยไว้ก่อน”

   ถ้ายังเถียงต่อไปวันนี้สงสัยไม่ได้ทานแน่ เขาลุกจากเตียงเดินออกไปส่วนกั้นห้องครัว นึกว่ายังพอมีเนื้อหมูเหลือจากปาร์ตี้ปิ้งย่างเมื่อวันก่อนหรือไม่ ถ้าไม่มีนี่งานเข้ารัวๆ เลยล่ะ

   ไม่มีร่างของคนแก้มบวมตามมากวนจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย วางทุกอย่างเอาไว้บนโต๊ะสารพัดประโยชน์แล้วตะโกนเรียกให้เจ้าของห้องออกมาทานได้

   แต่จนแล้วจนรอด ไปหยิบน้ำเปล่าออกมาวางเอาไว้สองแก้วแล้วก็ยังไม่มีวี่แววจะออกมา ช่วงคิ้วขมวดเข้าหากันพลางเดินไปตามด้วยตัวเอง คิดเอาไว้แล้วว่าถ้าไม่ยอมออกมาดีๆ จะต้องมีการดุเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กับบางเรื่องเอื้อมก็เอาแต่ใจเหมือนเด็กสมกับที่เพื่อนเรียกกันว่าคุณเอื้อมจริงๆ แหละ

   เรียกว่าไม่ค่อยต่างจากที่คิดเท่าไหร่ตอนที่เห็นคนเหมือนจะป่วยนอนตะแคงอยู่บนเตียง สายตามองตรงบนหน้าจอที่ยังสว่างจ้าตัดกับความมืดของห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟ เขาคลำหาสวิทช์ไฟในความมืดเป็นการเตือนขั้นแรก พอคนตรงนั้นยังไม่ยอมขยับก็ต้องใช้ไม้แข็งขั้นต่อมา

   “กินข้าวครับ”

   “...”

   “เอื้อม เดี๋ยวก็หิวหรอก”

   “มีแต่หมูสับกับไข่จริงเหรอ”

   พยักหน้าจริงจัง บอกว่าไม่ได้ล้อเล่น

   “ลงไปซื้ออกไก่ในเซเว่นมากินเพิ่มได้ไหมอะ”

   “โซเดียมเยอะ”

   “...”

   “ฝืนหน่อยเนอะ” เดินไปจับข้อมือของคนบนเตียง ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ ”ตอนนั้นเรากินไม่ได้แค่วันสองวันเอง แป๊บเดียว”

   ตะล่อมเข้าไปเดี๋ยวก็ยอมเอง เอื้อมทำหน้ายุ่งอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไรเพิ่ม เขาเลยเพิ่มระดับการบริการโดยกลับหลังหัน ย่อตัวให้ขี่หลังได้โดยสะดวก ด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ก็เลยแอบทุลักทุเลเล็กน้อย เสียงบ่นงึมงำว่ามันยังได้รสเลือดค้างในปากอยู่เลย

   ส่งผู้โดยสารลงตรงเก้าอี้สำหรับทานอาหาร มีการมองมื้อเย็นบนโต๊ะแล้วถอนหายใจออกมาอีกน่ะ

   “ถ้าไม่ใช่ปันเราไม่ยอมขนาดนี้หรอกนะ”
 


   อีกสิบนาทีจะได้เวลาเข้าเรียนในภาคเช้า

   แต่ตอนนี้เอื้อมอารัญยังไม่หยุดส่องกระจกเลย

   “...เราไม่ไปเรียนได้ไหม”

   “ไม่ได้ครับ” ไม่มีเวลาแล้วเลยต้องจับไหล่เจ้าของห้องเอาไว้ ออกแรงบังคับให้เดินออกไปทางประตูห้องสักที “มันเป็นเรื่องปกติที่คนผ่าฝันคุดเจอทั้งนั้นแหละ”

   เอื้อมอารัญไม่พอใจกับความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าตัวเองเลยสักนิด เขาส่องกระจกบ่อยครั้งเพื่อเทียบว่าอาการบอบช้ำของกล้ามเนื้อมันทุเลาลงบ้างหรือไม่ พอไม่ดีขึ้นก็หันมาโทษเขาว่าทำไมถึงไม่บวมเป็นเพื่อนบ้าง

   คงเป็นผลมาจากหลายปัจจัยทำให้ผลลัพท์แตกต่าง ทั้งลักษณะของฟันแล้วก็หมอที่เจอ จำได้ว่าตอนนั้นแก้มเขาบวมได้ไม่ถึงครึ่งของที่เอื้อมกำลังเจอเลยด้วยซ้ำไป จากวันแรกจนถึงวันที่สามมันคงถึงช่วงพีกพอดีด้วย

   “ฮิวจะต้องล้อแน่เลย”

   “มันก็ปากหมาไปเรื่อย”

   “หิว วันนี้เอาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ข้าวต้มได้ไหม”

   “แต่เอื้อมก็กินอย่างอื่นไม่ได้นี่นา ให้เราไปซื้อพวกเจลลีไหมล่ะ” วันนี้ปันไม่มีเรียนภาคเช้า แค่ขับรถไปส่งแล้วรอเรียนตอนสิบเอ็ดโมง มีหน้าที่เพิ่มหน่อยก็ตรงต้องเป็นไลน์แมนส่งข้าวเช้าดิลิเวอรี่ให้คนเข้าเรียนเกือบไม่ทัน “ไว้ค่อยไปกินมื้อกลางวันเป็นเรื่องเป็นราว”

   “อยากกินเนื้อ...”

   โคลงหัวให้กับประโยคที่ได้ยินบ่อยสุดในช่วงนี้ “ก็บอกแล้วว่าให้หายเจ็บก่อน”

   “แต่มันไม่อิ่มอะ ไม่อร่อยด้วย”

   คนผ่าฝันคุดนี่งอแงยิ่งกว่าคนไข้ในโรงพยาบาลอีกนะ

   ทำเวลาได้ดีในการขับจากคอนโดมาถึงหน้าคณะ หันมาตรวจสอบความเรียบร้อยของคนกำลังจะเข้าเรียนสายว่าลืมอะไรหรือไม่ เอื้อมกำลังสวมหน้ากากอนามัยสีขาวเพื่อปกปิดแก้ม ช่วงนัยน์ตาเขม่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เห็นบ่นว่าใส่แล้วอึดอัดแต่ก็ถอดไม่ได้ น่าสงสาร

   “เข้าเรียนไป ข้าวเช้าเดี๋ยวตามมา”

   “อือ หน้าเราแปลกปะ”

   ขนาดจะลงรถแล้วยังไม่วายห่วง “ไม่นะ”

   “กลางวันกินข้าวมันไก่ได้ไหม”

   อย่างน้อยก็ต้องมีเนื้อผสมให้ได้สินะ ที่บอกว่าเป็นสัตว์กินเนื้อนี้ไม่ได้ล้อเล่นเลย

   “ได้ครับ”

   “ขอกำลังใจก่อนไปเรียนหน่อย”

   “แค่สามชั่วโมงเอง” ทำเป็นพูดงั้นแต่ก็ยกมือขึ้นไปยีหัวให้มันไม่เป็นทรงอยู่ดี ”เดี๋ยวซื้อชาเขียวปั่นมาฝาก วันนี้เพิ่มวิปให้ด้วยเลย”
 


   การแจ้งเตือนจำนวนมากในเฟซบุ๊กเป็นสิ่งที่ปรัญเห็นไม่บ่อยมากนัก

   ก็เขาไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กตัวนี้นี่นา วันหนึ่งจะเข้ามาสักครั้งเพื่อตรวจดูว่าเอื้อมอารัญโพสต์อะไรลงไปบ้าง แวะตอบให้รู้ว่าตามอ่านอยู่ แค่นั้นก็จบแล้ว

   ด้วยความสงสัยจึงกดเข้าไปดูรายละเอียด เพื่อพบว่าเป็นการแจ้งว่ามีการแท็กชื่อในคอมเมนต์จากยูสเซอร์เนม U Arun ทั้งสิ้น ปันสุ่มเช็กจากข้อความทั้งหมด มันพาเขาเข้าไปยังหน้าเพจรีวิวอาหารชื่อดังที่มีคอนเทนต์เกี่ยวกับร้านชาบูลดราคาสำหรับมื้อกลางวัน

   ส่วนแท็กอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เป็นร้านอาหารจำพวกเน้นเนื้อสัตว์เป็นหลักทั้งหมด นี่กำลังประท้วงเงียบหรือยังไงกันนะ

   Parun P : ส่งมานี่กินได้แล้วเหรอ

   ไม่มีเพื่อนที่เรียนทันตแพทย์เลยบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแก้มของเอื้อมถึงยังบวมไม่มีทีท่าว่าจะลดลงทั้งที่ผ่านมาเข้าวันที่ห้าแล้ว นอกจากนั้นก็ยังบ่นเสมอว่าสัมผัสได้ถึงรสเลือดในปาก

   U Arun : ได้!

   ตอนนี้เขากำลังรอเอกสารเกี่ยวกับใบเสร็จค่าจัดกิจกรรมของเด็กทุนจากเจ้าหน้าที่อยู่ ส่วนเอื้อมมีเรียนตัวบ่าย แต่ตอบเร็วอย่างนี้ไม่ตั้งใจเรียนอยู่แหง

   Parun P : แน่ใจ?
   Parun P : นี่เด็กแก้มบวมที่ไหนกันนะ


   เข้าไปตรงอัลบัมรูปแล้วกดส่งภาพสุดท้ายให้ เขาเพิ่งถ่ายเมื่อเช้าตอนรอชาเขียวปั่นอยู่ข้างร้านขายเครื่องดื่ม เป็นรูปเอื้อมกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ มีผ้าสีขาวปิดไปครึ่งหน้า สถานะตอนนี้คือลืมอะไรก็ได้แม้แต่แฟ้มหนังใส่หนังสือแต่ห้ามลืมที่ปิดปาก

   U Arun : ...
   U Arun : บวมแต่ก็กินได้


   เนี่ย ไม่เถียงว่าไม่บวมแต่ก็ยังยืนกรานว่าทานได้ ดื้อได้อีก

   Parun P : งั้นเย็นนี้ไปกินกัน เลือกร้านไว้เลยนะ
   U Arun : เย้ะ


   ยิ้มให้กับหน้าจอที่มีข้อความสุดท้ายเป็นสติกเกอร์กระต่ายไฮเปอร์กำลังถูหน้ากับกระต่ายอีกตัว ช่วงนี้เอื้อมชอบมันมาก บอกว่าดูน่ารักและกวนบาทาไปในคราวเดียวกัน จะว่าไปแล้วส่งไปเตือนว่าห้ามลืมหยิบเอายาฆ่าเชื้อไปด้วยดีกว่า เดี๋ยวทานไม่ครบแล้วจะยุ่ง

   “เอื้อมเอาไอติมไหม จะได้สั่งเลย”

   “…”

   ฝั่งตรงข้ามทำหน้ามุ่ย พยายามตัดเนื้อหมูสามชั้นในจานให้เป็นชิ้นเล็กเพื่อให้สะดวกต่อการรับประทาน ปรัญแสร้งทำเป็นตักไอศกรีมรสช็อกโกแลตเข้าปากเพื่อกลบรอยยิ้มเอ็นดูไว้ ขืนแสดงออกชัดเดี๋ยวเอื้อมก็คิดว่าเขากำลังแกล้งเยาะเย้ยอยู่อีก

   น่าจะเป็นมื้อที่ไม่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยกินมาแล้วมั้ง คนแก้มบวมยิ้มได้แค่ตอนที่เข้ามาในร้าน แต่พอเนื้อสุกชิ้นแรกเข้าปากไปก็เหมือนอย่างที่เขาเตือนเอาไว้ตั้งแต่แรก กว่าจะหมดทีละชิ้นได้นี่ยากลำบากเหลือเกิน

   “...”

   “เคี้ยวไม่ไหวก็พอแล้ว ไว้มากินใหม่ตอนหายก็ได้”

   ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีก่อนหมดเวลาที่กำหนด เขาน่ะสั่งเนื้อจนไม่รู้จะเพิ่มอะไรแล้วก็เลยเปลี่ยนมาทานของหวานดีกว่า ทั้งขำทั้งสงสารเวลามองเอื้อมทานแต่ละคำ บอกว่าให้สั่งแบบติดมันไม่เยอะก็ไม่เชื่อ

   แต่คนเอาแต่ใจก็ยังถือทิฐิเหมือนเดิม เขาเอาแต่ก้มหน้าทานไม่ยอมหยุด จากมุมนี้เห็นชัดเลยว่าแก้มข้างหนึ่งมันพองกว่ามากพอสมควร จะว่าไปถ้ามีแก้มเยอะๆ ก็น่ารักดี

   ยังดีที่เหลืออีกแค่ไม่กี่ชิ้นเลยไม่น่าจะโดนค่าปรับ เขาก็ถือวิสาสะสั่งน้ำแข็งไสราดน้ำแดงมาให้เลย อย่างน้อยก็น่าจะเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้มากขึ้นจะได้อารมณ์ดี พอเป็นอาหารที่ไม่ต้องเคี้ยวมากก็หายหน้าบูดไปหน่อย แต่ก็ยังไม่วายบ่นนั่นนี่ไปด้วย

   “เมื่อตอนกลางวันดีขึ้นแล้วนะ แต่นี่ทำไมอยู่ดีๆ ถึงขยับแล้วตึงอีกก็ไม่รู้”

   “อ่าฮะ”

   “ไม่เชื่อล่ะสิ”

   “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่มานั่งในร้านนี้หรอก”

   เอื้อมทำปากคว่ำใส่ “ปันใจดีอย่างนี้อีกแล้วอะ”

   “อ้าว ไม่ดีเหรอ”

   พอเอื้อมวางช้อนของหวานก็ได้เวลาเดินลุกออกจากที่นั่งไปเคาน์์เตอร์จ่ายเงิน เดี๋ยวโดนค่าปรับแล้วจะยุ่ง

   “ก็ทั้งที่รู้ว่าเราดื้อไม่เข้าเรื่อง ปันก็ยังไม่ห้ามเลย”

   “มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย” หยิบแบงก์เทาขึ้นมาส่งให้พนักงาน คว้าเอาลูกอมรสมินต์ที่เป็นของแจกกลับมาดับกลิ่นปากด้วย ”เอื้อมก็กินได้หลายชิ้นอยู่”

   เดินออกจากร้านในเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว เสียงเพลงดังลอยแว่วตามลมมาสมกับเป็นแหล่งรวมร้านค้ายามค่ำคืนของมหาวิทยาลัย เราต้องเดินกลับไปเอารถที่จอดห่างออกไปอีกสองช่วงถนนเพราะแถวนี้มันไม่ได้มีพื้นที่รับรองเพียงพอ ซึ่งก็เป็นการย่อยที่ดีเหมือนกัน

   “กลายเป็นเรารู้สึกผิดเลยเนี่ย”

   “ไม่เอาไม่คิดอย่างนั้นสิ” โอบคนข้างตัวให้เข้ามาชิด หรี่ตาลงเมื่อเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไป “นี่บวมน้อยลงแล้วนะ”

   “จริงเหรอ”

   “อืม แต่เหมือนจะช้ำแทน”

   “...”
 


   ปรัญยืนเป็นผู้เข้าร่วมพิธีกรรมบางอย่างที่จะเรียกว่าสาปส่งก็ไม่ใช่ สั่งลาก็ไม่เชิง

   “ลาขาด!”

   เป็นการโยนถุงยาที่มีไว้ติดตัวตลอดเวลาของคนไข้ผ่าฟันคุด และซองเปล่าที่อดีตเคยมีแมสก์หน้าบรรจุเอาไว้ลงถังขยะให้หมด
ตอนแรกนี่แค้นขนาดว่าจะค่อยๆ แกะยาที่เหลือในแผงทีละเม็ดจนกว่าจะหมด หรือถ้าเผาทิ้งแล้วมันไม่ทำลายโลกก็คงทำไปแล้ว ดีที่เขาปรามเอาไว้ทัน

   ตั้งแต่ผ่าตัดจนตอนนี้เกือบเข้าปลายสัปดาห์ที่สองทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางทั้งหมด ไม่มียาฆ่าเชื้อที่ต้องกินประจำทุกมื้ออาหารอีกแล้ว รวมถึงไม่มีการเรียกร้องขอยาแก้ปวดอีกเช่นกัน ส่วนใบหน้าของเอื้อมอารัญนั้นกลับมาเป็นปกติดีไม่มีทั้งรอยช้ำหรือว่าบวมอีก

   เมื่อวานก็เลยฉลองด้วยการทำตัวเป็นสัตว์กินเนื้ออีกครั้ง คราวนี้จัดหนักจัดเต็มจนคิดว่าสามารถเอาไปทดแทนกับคราวที่แล้วได้
แล้วมีการแกล้งบอกตอนกลับถึงห้องว่าเหมือนได้รสเลือดในปากด้วยนะ

   พอสบายใจแล้วก็กลับไปนั่งจุ้มปุ้กบนโซฟาต่อ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์อะไรไม่รู้ยิกๆ ปล่อยให้เขายืนไว้อาลัยให้ผู้เคราะห์ร้ายไปคนเดียว พอกล่าวทำสดุดีและไว้อาลัยในใจเสร็จจึงเดินมานั่งด้านข้าง หยิบรีโมตขึ้นมาเปิดดูซีรีส์ที่ยังค้างเอาไว้ตั้งแต่สี่วันที่แล้วในเน็ตฟลิกซ์ต่อ

   “สัปดาห์หน้าไปดูหนังกี่วันอะ”

   “สอง จันทร์กับพฤหัส”

   “งั้นพฤหัสเราไปด้วยนะ”

   “โอเค แต่ไม่ดูใช่ไหม”

   กระเถิบร่นขึ้นชิดกับพนักอีกหน่อยให้อีกฝ่ายสามารถนอนหนุนตักได้สะดวก เอื้อมช้อนตาขึ้นมามองเขาไม่ปริปาก นั่นหมายความว่ากำลังตัดสินใจอยู่แหละ

   “ไม่ดีกว่า ว่าจะหาที่อ่านหนังสือเตรียมควิซ”

   สงสัยกลายเป็นคนหวาดระแวงไปแล้ว หลังจากที่เอื้อมเป็นคนเอ่ยปากชวนไปดูหนังเราประเดิมกันด้วยประเภทสยองขวัญแบบที่ออกมาแล้วสามวันแรกต้องย้ายข้าวของมาอยู่ด้วยชั่วคราว ถ้าถามว่าแล้วทำไมไม่เลือกแบบอื่นก็จะตอบว่าเพราะปันไม่ใช่คนเลือกเองยังไงล่ะ

   ไม่ได้รู้สึกแย่กับการแบ่งโลกส่วนตัวออกจากกันชัดเจน เรายังมีกิจกรรมอื่นอีกหลายอย่างที่สามารถทำร่วมกันได้ ไม่จำเป็นว่าถ้าเราชอบอะไรแล้วจะต้องบังคับให้เป็นส่วนหนึ่งหมดทุกอย่างเสียหน่อย

   “ขยันจังเลย” หมั่นไส้คนตั้งใจเรียนเลยแกล้งเกาคางไปที แล้วก็โดนคุณแมวตัวใหญ่ตะปบกลับดังเพี๊ยะ “ตีเราทำไมเนี่ย ...โอ๊ย!”

   คราวนี้ไม่ใช่แค่ตีแล้วแต่เล่นจับท่อนแขนเอาไว้แล้วงับเสียเต็มที่ ที่เห็นรอยฟันจางๆ นี่แสดงว่าไม่ได้ออมแรงเลย

   “นี่เป็นวิธีการฉลองหรือไง”

   “ใช่ ตามวิถีสัตว์กินเนื้อ” ตอบหน้าตาเฉยไม่พอยังกัดลงไปอีกรอยข้างๆ อีกนะ

   ส่ายหัวเบาๆ ปล่อยให้คนเพิ่งได้ลับเขี้ยวตามใจ เอื้อมอารัญขยับริมฝีปากไล่ขึ้นมาเรื่อยจนถึงช่วงลาดไหล่ พอไม่ถนัดก็มีการพยายามขึ้นคร่อมให้สะดวกมากกว่าเดิม เขานั่งนิ่งเป็นตุ๊กตายัดนุ่นรับสัมผัสที่ยังต่อเนื่องไม่หยุด และคงเลยตามเลยหากไม่นึกบางอย่างออก

   “เอื้อม เรามีอะไรจะบอก”

   เสียงตอบรับแผ่วอยู่ข้างหู “ว่า”

   “ศุกร์หน้าหมอนัดผ่าที่เหลืออีกซี่นะ”

   “...”


***
   แทบจะไม่เคยเขียนเรื่องประมาณนี้เลยเนอะคะ เป็นตอนพิเศษอ่านเอาเรื่อยๆ ไม่ต้องเครียดอะไร สงสารก็แต่คุณเอื้อมที่ต้องเสียสละเจ็บตัวหน่อย (ฮา)
   ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอบคุณค่ะคุณเจ้าาา ได้เห็นมุมน่ารักคุณเอื้อมเพิ่ม ดีใจ และคาดว่ามุมนี้จะมีแค่ปันที่ได้เห็นคนเดียววว  :hao5:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ขำมากตอนท้าย ยังจะมีนัดผ่าอีกซี่เหรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
แฮ่ม !!! สัตว์กินเนื้อที่น่ารัก  :mew1:
อยากจับคุณเอื้อมฟัดจริงๆ เล้ยยยยยย o18 o18

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
เอื้อมก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ
ปรัญต้องกลั้นขำจนปวดแก้มแน่เลยตอนอยู่ในร้าน เอื้อมเจ็บทีก็อ้อนปรัญได้แบบจัดเต็มเลยเนอะ

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
คุณหนูเอื้อมงอแงน่ารักจัง

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
บอกตัวเองตั้งแต่เริ่มอ่านเลยค่ะ ว่าอย่าอินเกินนะแก (ฮา)

ไม่ใช่อะไรค่ะ กลัวกลับมานอยด์มาคิดมาก จิตตกไปคนเดียวงี้

กลัวคิดจนปวดหัวหรืออินจัดร้องไห้จนปวดหัวงี้ 555

พออ่านๆมาน้ำตาคลอนิดหน่อย จนมาเจอคำที่คุณเอื้อมบอกว่า

วันนั้นเป็นวันที่จะฆ่าตัวตายงี้ น้ำตามาเป็นเขื่อนเลยค่ะ

มันอัดอั้น แบบเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของคุณเอื้อม

ที่พูดอะไรไม่ได้ พอพูดไปก็จะหาว่าโกหกอีกแล้ว แก้ตัวอะไรงี้

พอเราไม่ตอบโต้หรือพูดอะไรไปก็บอกว่าที่ไม่เถียงไม่ว่า

คือเรื่องจริงสินะงี้ สงสารคุณเอื้อมมาก แตกร้าวไปมากมายเลย

แต่คุณเอื้อมก็คือดีมากๆเลยนะคะ ถ้าคนอื่นงี้ หรือโลกความจริง

คนๆนั้นอาจทำตามความคิดไปตั้งนานแล้ว คงหนีจากโลกนี้ไป

นานแล้วอ่ะ โลกนี้มันโหดร้ายมากๆ แต่ก็ไม่สิจะบอกว่าโลก

คงไม่ได้ ต้องบอกว่าคนเราหลายๆ คนก็โหดร้ายเกินไป

เราอาจพิมพ์งงๆ ไปมากๆ แบบมันอัดอั้นอ่ะ พิมพ์ไปไม่ถูก

แต่สงสารคุณเอื้อมมาก กอดๆ น้า ดีใจมากที่คุณเอื้อมได้มาเจอ

กับคนแบบปัน มันดีมากๆ ที่มีคนเข้าใจเราหรือคิดกับเราได้แบบนี้

เวิ่นเว้อมาเยอะ สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้นะคะ

อ่านแล้วได้มุมมองความคิดอะไรมากมายเลยค่ะ ได้แนวทาง

ปล่อยวางในการคิด การเก็บมาคิด มาเครียด ขอบคุณนะคะ

อ้อ แล้วก็เป็นกำลังใจให้คุณเจ้าด้วยนะคะ  :กอด1:


ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :laugh: ถถถถ คุณเอื้อมมมม 5555 เอ็นดู ยังเหลืออีกซี่ 5555

คุณเอื้อมเวอร์อ่านแล้วก็อยากบีบแก้มละเกิน น่ารัก

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
พิเศษ สอง

[Violin Class]
 

   “พอสีแบบสายเปล่าเสร็จก็กดนิ้วชี้ลงไปที่สายเส้นที่สาม”

   “อย่างนี้เหรอ”

   “นั่นมันเส้นที่สอง”

   “อ้าว”

   “เรามาเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่การอ่านโน้ตดีไหมปัน?”

   นั่นเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับปรัญ เขาถอนหายใจออกมายาวยามลดเครื่องสีสี่สายในมือของตัวเองลง หมุนข้อมือที่เริ่มล้าจากการจับคอร์ดเป็นเวลานานพอสมควร

   “ก็ดี ไวโอลินนี่เล่นยากจัง”

   “ไม่ยาก อ่านโน้ตเป็นก็สีได้แล้ว”

   “แค่อ่านโน้ตก็ยากแล้วเถอะ”

   ได้ทีก็ขอบ่นหน่อย นี่เอื้อมเกิดอารมณ์ดีอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ถึงย้อนความหลังเรื่องที่เคยคุยกันเล่นๆ ว่าจะสอนไวโอลินให้ ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่มีใครกลับบ้านทั้งคู่ก็เลยว่างงาน สุดท้ายก็เลยได้เปิดคอร์สสอนไวโอลินหนึ่งศูนย์หนึ่งซะงั้น

   เห็นเป็นเครื่องดนตรีที่มีแค่สี่สายก็ใช่ว่าจะชิล ตอนเห็นเอื้อมเล่นก็แค่ว่ากดๆ ปล่อยๆ แล้วก็ขยับโบวขึ้นลงเท่านั้น พอได้มาจับเองถึงรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย

   คุณเอื้อมที่กลายเป็นครูเอื้อมก็ไม่คิดจะปราณีลูกศิษย์เลยสักนิด เขาเข้มตั้งแต่ขัดยางสน จับโบวให้ถูกต้อง แล้วยังต้องถือไวโอลินให้เป็นมุมเก้าสิบองศาถูกต้องอีกต่างหาก อ้อ ที่ตีมือแล้วบอกว่าไม่ให้ค้ำมือรองแผงกดนิ้วอีกด้วย

   ไม่รวมกับที่สอนอ่านโน้ตอีก

   แค่ต้องจำว่าตำแหน่งไหนเรียกว่าตัวโดถึงทีก็ลำบากแล้ว พอเอาดินสอมาเขียนกำกับกลายเป็นตัวอักษรเอถึงเอฟให้ปวดหัวอีก เขาที่ยังจำได้แค่ตัวโดคืออันกลมด้านล่างที่มีเส้นขีดคร่อมกลางก็เลยสมองเออเร่อไปชั่วคราว ก็เลยได้ข้อเสนอว่าลองเล่นเลยก็ได้เผื่อจะดีกว่า

   “หรือว่าจะจำแค่ว่าตัวนี้ต้องกดตรงไหนล่ะ อย่างนั้นน่าจะง่ายกว่าไหม”

   “ถึงจะจำแบบนั้นได้ถ้าเอื้อมบอกเป็นโน้ตมาเราก็งงอยู่ดี”

   “งั้นก็ต้องพยายามหน่อยนะครับนักเรียน อันนี้ตัวเร เส้นที่สาม”

   ปรัญล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงไม่เริ่มต้นที่โดให้จำง่ายๆ มาเริ่มที่เรทำไมให้ปวดหัว “อ่าฮะ”

   “แล้วก็ไล่ขึ้นไปตามปกติ ส่วนมากก็จนตรงทีคือนิ้วก้อยสายที่หนึ่ง”

   เจ้าของเครื่องดนตรีหยิบมันกลับไปพักที่ไหล่เตรียมพร้อม ไล่เสียงตั้งแต่สายเปล่าเส้นหนาสุดไปยังตัวสุดท้ายของอีกฝั่ง เนี่ย สายเปล่าเส้นแรกเริ่มที่ตัวซอล แค่นี้ก็เริ่มสับสนแล้ว

   “ที่จริงตัวโน้ตที่เราใช้นิ้วก้อยปกติจะมีค่าเท่ากับสายเปล่าของเส้นถัดไปด้วยนะ แต่ช่วงแรกเอาเบสิคก่อนแล้วกัน”

   โชว์ความแตกต่างให้ดูอีกครั้งประกอบคำอธิบาย บอกตามมตรงเลยว่าปันฟังแค่เสียงแล้วยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมถึงแยกออกว่าเป็นเสียใดบ้าง

   “เอื้อมไม่ปวดคอหรือว่าเมื่อยแขนบ้างเหรอ”

   ตอนถือเองก็เกร็งไปหมด มีสารพัดความกังวลตั้งแต่ว่าจะเผลอทำหลุดออกจากมือไหมไปจนถึงถ้าสายขาดกลางคันจะเป็นอย่างไร

   “ไม่นะ แต่อาจารย์เคยบอกว่าถ้าถือถูกท่าจะไม่ปวด”

   “แสดงว่าเราถือผิดท่างั้นสิ”

   ก็ว่าก็อปปี้ท่ามาถูกต้องแล้วนะ ไม่เหมือนตรงรายละเอียดไหนเนี่ย

   “ก็ยังผิดนิดหน่อย คนเพิ่งเริ่มเล่นก็งี้แหละ”

   มีการหันข้างให้เห็นด้วยว่ามือทางซ้ายควรตั้งฉากประมาณไหน เอื้อมบรรเลงเพลงคลาสสิกจังหวะคุ้นสองสามท่อนในท่ายืน เรื่องที่ตลกดีคือต่อให้เขากำลังใส่ชุดอยู่บ้านเต็มยศก็ยัง ‘ดูดี’ ไม่มีตรงไหนขัดตา หรือว่านี่เป็นอานุภาพของเครื่องดนตรีคลาสสิกกันนะ

   พอเป็นวันหยุดที่นักศึกษากลับบ้านกันก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเสียง ตัวเก็บเสียงที่ทำจากยางก็เลยไม่ถูกนำออกมาใช้งาน ตามความรู้สึกแรกเลยคือไม่คิดว่าเครื่องไม้ที่เบาอย่างนี้จะเป็นแหล่งกำเนิดเสียงได้กังวาลได้ขนาดนี้

   “นี่ จำตามนี้นะ สายเปล่าเส้นสี่คือซอล แล้วก็เริ่มกดนิ้วชี้เป็นลา” นิ้วแรกกดลงไปตรงตำแหน่งบนแต่ไม่สุดของแผงกดนิ้ว “เว้นระยะหน่อยวางนิ้วกลางตามลงไปเป็นที นิ้วนางเป็นโด”

   และสายเปล่าเส้นต่อจากนั้นถึงจะเป็นเร เริ่มเข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงบอกว่ามันน่าปวดหัว

   ยกมือขึ้นเท้าคางระหว่างมองคุณครูสอนเบสิกซ้ำอีกครั้ง สายตามองตรงไปยังนิ้วมือเรียวสวยที่มีการยกและกดตามจังหวะ จะว่าไปแล้วมือของเอื้อมที่สวยจังเลยนะ

   “หมดเวลาพักแล้ว เอาไปลองซ้อมใหม่เร็ว”

   รับอุปกรณ์ดนตรีกลับมาไม่มีอิดออด หนีบมันเอาไว้ระหว่างไหล่กับคาง ลากโบวลงเป็นครั้งแรกที่ตัวซอล แล้วหลังจากนั้นก็เป็นลาสินะ

   “นั่นไม่ใช่ลา กระเถิบนิ้วลงมาอีกหน่อย”

   “...”

   เก็บความคิดว่าอยากร้องไห้เอาไว้คนเดียว สภาพตอนนี้เหมือนปันกลับไปเรียนวิชาประวัติศาสตร์สมัยมัธยมปลายกับคุณครูผู้หญิงเฮี้ยบๆ ที่ต้องเป๊ะทุกอย่างตั้งแต่ชุดนักเรียนยันสมุดส่งการบ้าน แค่หายใจเข้าตามปกตินี่ยังรู้สึกว่ามันยากลำบากเลย

   “นี่ กดตรงนี้” ปลายนิ้วอีกฝ่ายจัดตำแหน่งให้ถูกต้อง “ที่เราเคยเห็นบางคนสมัยเริ่มเรียนจะเอาเทปสีมาติดเอาไว้จะได้รู้ว่าต้องกดตรงไหน แต่เราไม่ทำเพราะคิดว่ามันไม่เท่”

   ความคิดนี่สมกับเป็นเอื้อมอารัญ

   “อะ ตรงนี้ใช่ไหม” คราวนี้เขาลองขยับตำแหน่งนิ้วชี้ลงมานิดหน่อยตามคำแนะนำ และพอทดลองเล่นอีกครั้งเขาก็พอฟังแล้วเห็นความแตกต่าง

   “ใช่แล้ว จับความรู้สึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็คุ้นเองแหละ”

   “ล่ะก็เว้นระยะหน่อยก่อนกดนิ้วกลาง”

   “ถูกต้อง ก็เรียนรู้ไวนี่นา”

   ที่อยู่ในใจคือถ้าขืนทำไม่ได้ก็จะโดนลงโทษไงล่ะ “เราเรียนรู้ช้าจะตายไป โดยเฉพาะกับดนตรี”

   “ไม่หรอก ไหนลองเล่นบรรทัดแรกเร็ว สี่ห้องเอง”

   อย่าคิดว่าเขาจะเข้าใจศัพท์ทางดนตรีทั้งหมดนั่นเลยนะ บางคำเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำไป

   สูดหายใจเข้าไปลึกเรียกสติให้พร้อม เขาเริ่มอ่านตัวโน้ตตัวแรกไปพร้อมกับขยับโบวลง พยายามเล่นตามจังหวะที่มีคนกำกับอยู่ข้างตัวเพื่อพบว่านอกจากจะรู้ว่าโน้ตตัวนี้แทนตำแหน่งไหนแล้วเขายังต้องรู้ด้วยว่าโน้ตตัวขาวกับตัวดำมันให้จังหวะที่แตกต่างกัน

   “ถ้าเป็นตัวขาวจะสองจังหวะ ส่วนตัวดำจังหวะเดียว”

   “...เราขอเวลานอก”

   เสียงหัวเราะของเอื้อมอารัญดูสะใจเสียเหลือเกิน “งั้นพักสิบห้านาทีเดี๋ยวมาต่อ วันนี้ต้องให้จบเพลง”

   “เอื้อมมม” เรียกชื่อเสียงอ่อนแรง นี่ยังไม่พ้นห้องที่สองเลยด้วยซ้ำ “แค่ครึ่งเพลงไม่ได้เหรอ”

   “ไม่ต้องมางอแง นี่อย่าลืมค่าสอนเรานะ”

   “เปลี่ยนจากค่าสอนเป็นเงินสินบนขอผ่อนผันหรือไม่ก็ยกเลิกได้ไหม”

   “ไม่ได้”

   ทีอย่างนี้ล่ะเด็ดขาดเชียว เขาแกล้งทำปากคว่ำใส่คนที่ยืนค้ำอยู่ตรงหน้า เอื้อมอารัญก็คงหมั่นไส้เลยบี้แก้มเขาเสียเยินไปหมด

   “ทำไมถึงเล่นไวโอลินอะ”

   ไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาเรื่องคุยออกนอกทะเล นี่เริ่มรู้สึกว่าปลายนิ้วชี้เริ่มเจ็บหน่อยๆ แล้วล่ะ

   “ที่จริงตอนแรกเราเล่นเปียโนอะ แต่พอประถมสามมั้ง เห็นคนเล่นไวโอลินในทีวีแล้วคิดว่ามันดูสนุกกว่าเปียโนก็เลยบอกแม่ว่าขอเปลี่ยน”

   “แสดงว่านี่ก็เล่นเปียโนได้ด้วย?”

   “ตอนนี้เหมือนจะเหลือแต่เพลงชาตินะที่เล่นได้” หัวเราะคิกคักท้ายประโยคบอกเล่าจนตาปิด “แล้วก็เล่นช่วงท่อนฮิตของฟัวร์ เอลิสได้”

   ทำหน้าเข้าไม่ถึงชื่อเพลงที่บอก แต่พอลองร้องท่องนั้นออกมาก็ร้องอ๋อ กลายเป็นว่าตัวจริงของเอื้อมไม่ได้คุณหนูแค่รูปลักษณ์แต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ด้วยสินะ ส่วนตัวเขาเองนี่เคยแตะเปียโนแค่ครั้งเดียวตอนไปเดินแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้ากับบ้านแล้วมันมีเครื่องดนตรีชนิดนี้ตั้งอยู่

   “แต่ก็ดีนะ ดูมีความสามารถติดตัว”

   “นี่ก็แปลกใจที่ตัวเองยังเล่นไวโอลินมาได้นานขนาดนี้เหมือนกัน ...เจ็บนิ้วเหรอ?”

   คุณครูเปลี่ยนไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเกยคางลงตรงไหล่ด้านซ้าย ลอดมือมาแตะบริเวณที่ได้น่าจะอักเสบเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมดา

   ปรัญส่ายหัววืดแทนการบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร “เปล่า แค่ไม่ชินแหละ มือใหม่ก็งี้”

   “แน่ใจนะ?”

   “อือ”

   “ชัวร์?”

   ประสานมือตัวเองกับเอื้อมอารัญไว้ด้วยกัน “ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลยครับ”

   “ดีมาก”

   สัมผัสหยุ่นจากริมฝีปากของเอื้อมที่ประทับตรงหลังคอทำเอาสะดุ้งโหยง คนไม่ทันได้ตั้งตัวเอี้ยวหน้าไปมองเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยเพื่อพบยิ้มเล็กๆ ไม่น่าไว้วางใจเป็นสิ่งทักทาย

   “ตกใจเหรอ”

   “ใครจะไม่ตกใจล่ะ”

   “งั้นเดี๋ยวลองอีกทีจะได้คุ้น”

   “...”

   ปลงตกแล้วเรียบร้อยว่าคงห้ามอะไรไม่ได้แน่นอน ในมุมหนึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเคยแลกเปลี่ยนสัมผัสกันหรอกนะ ส่วนอีกใจหนึ่งก็ยังคงมีความหัวโบราณที่ย้อนแย้งกันเองอยู่

   คราวนี้พอมีเวลาให้เตรียมตัวมันก็เลยไม่เผลอแสดงอะไรประหลาดออกไป ริมฝีปากของเอื้อมอารัญแช่ค้างอยู่ตรงผิวเนื้อหลังคอของเขานานกว่าคราวที่แล้ว ส่วนตัวแล้วปรัญค่อนข้างชอบสัมผัสที่ได้รับนะ มันก็อุ่นๆ หวิวๆ แบบที่เป็นเหตุเป็นผลกับระบบการทำงานของร่างกาย

   พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็อารมณ์ดี คราวนี้นอกจากจะเกยคางไว้ตำแหน่งเดิมก็ยังสวมกอดเขาเอาไว้อีกด้วย

   “สบายใจแล้วล่ะสิ” พิงหัวชนกันเอาไว้ “เนี่ย แลกกับขอลดท่อนเล่นเหลือแค่บรรทัดครึ่งพอ”

   “มันไม่ควรจะต่อรองอย่างนี้ไหม”

   “เผื่อฟลุ๊กไง”

   “อืม...งั้นวันนี้พอก่อนก็ได้” ยังไม่ทันได้ร้องไชโยเลยก็โดนสกัดดาวรุ่งแล้ว “แต่ทำอย่างอื่นแทนได้ไหม”

   “อะไรล่ะ”

   คราวนี้เพื่อความสะดวกในการคุยเลยหมุนทั้งตัวไปประจันหน้า เอื้อมอารัญสบตากับเขาแป๊บเดียวก็เปลี่ยนไปก้มหน้าหลุบตามองต่ำ และพอเงยขึ้นมาอีกครั้งมันก็มาพร้อมกับคำเสนอที่ไร้ทางปฏิเสธ

   “ปัน เราอยากลองทำคิสมาร์กอะ”
 


   โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ยังเข้าใจว่าจากการเรียนไวโอลินเบื้องต้นมันมาจบที่นี่ได้ยังไง

   “เราเคยอ่านเจอว่าแค่ดูดแรงๆ มันก็เป็นรอยแล้ว”

   “อ่าฮะ”

   “แต่มันจะเจ็บหรือเปล่านี่ไม่รู้แฮะ”

   “งั้นลองกับตัวเองไปก่อนนะ เดี๋ยวเรารอ”

   “ปัน!”

   ช่วงตาดุจนเขาต้องยิ้มแห้งแก้เก้อ ปรัญนั่งขัดสมาธิหลวมๆ เอาไว้โดยมีเจ้าของห้องนั่งเอาหลังพิงพนักเตียงเหยียดขาอยู่ถัดไปทางด้านขวา แท่นวางโน้ตที่มีหนังสือสำหรับผู้เริ่มต้นวางเอาไว้เด่นอยู่สุดของขอบเตียงตั้งเอาไว้เด่นหราไม่มีใครสนใจอีกแล้ว

   “งั้นจะให้เราทำยังไงล่ะ”

   “นั่งเฉยๆ ให้เราทดลองก็พอ”

   กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ช่างสงสัยไปเสียได้ เขาพยักหน้าให้ความยินยอมพลางยื่นส่วนแขนไปให้จัดการตามสะดวก เอาคนไม่เคยมีประสบการณ์สองคนมาเจอกันนี่มันพิลึกสิ้นดี

   “ให้ทดสอบกับแขนปันก่อนเหรอ”

   “อ้าว ไม่งั้นจะเป็นตรงไหนอะ”

   “คอเลยได้ไหม”

   “...ลองกับแขนก่อนแล้วกัน”

   บทจะตรงก็เล่นเอาไปต่อไม่ถูกเลยล่ะ เพื่อความสะดวกเราเลยขยับท่านั่งให้ชิดกันมากกว่าเดิม จั๊กจี้เล็กน้อยยามริมฝีปากแตะลงมาครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากเรื่องของระบบประสาทสัมผัสหรือเปล่าเขาถึงไม่รู้สึกแปลกๆ เหมือนตอนที่จูบหลังคอ

   เพราะอีกฝ่ายก้มอยู่ก็เลยเห็นเพียงบางส่วน จำความรู้สึกที่ได้รับไม่ได้เลยด้วยซ้ำเพราะเอาแต่มองหน้าไม่สนใจช่วงแขนเลย ก็เอื้อมโหมดตั้งใจมันดึงดูดจะตายไป

   เส้นแบ่งระหว่างความเป็นธรรมชาติกับเรื่องน่าอายของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางเพศเป็นเรื่องที่ยากต่อการอธิบาย สำหรับปันเองเขาค่อนไปทางมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรให้มันมากความ ถ้าอยากจะลองก็ลอง ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย

   เหมือนอย่างตอนจูบเขายังเริ่มก่อนเลย

   “นี่เรียกว่าขึ้นแล้วไหมอะ”

   มองรอยแดงจางๆ แทบมองไม่เห็นตรงแขนตัวเองแล้วตอบไปตามตรง “ไม่น่านะ”

   “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”

   อาการผิดหวังแสดงออกชัดผ่านสีหน้าและน้ำเสียง ปากยู่ไม่พอใจในผลลัพท์ที่เกิดขึ้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพาร์ตของเอื้อมที่เขาจะไม่ยอมให้คนอื่นได้เห็นเป็นอันขาด

   “ผิวตรงนี้อาจจะหนากว่ามั้ง ลองที่อื่นไหม” ลองนึกๆ ดูว่าบริเวณไหนที่เหมาะกับการทำรอยอีก “คิดว่าแถวไหล่ไม่ก็อกน่าจะได้อยู่นะ”

   “งั้นปันถอดเสื้อเร็ว”

   “...”

   แค่วันนี้วันเดียวนี่โดนไปกี่ดอกแล้วนะ ความที่เป็นวันหยุดธรรมดาไม่ต้องออกไปไหนก็เลยใส่ชุดแบบอยู่บ้านเต็มที่ นั่นก็คือเสื้อยืดพอดีตัวจากค่ายเด็กทุน เขาว่าจะเล่นตัวอิดออดแต่พองามในทีแรก หากความจริงจังที่ส่งมามันแน่วแน่เสียจนทำได้แค่ยอมทำตามเหมือนอย่างทุกที

   เป็นคนใจดีของเอื้อมก็อย่างนี้แหละ

   ขอบคุณที่ห้องนี้อยู่บนชั้นสูงสุดและหันออกไปยังพื้นที่รกร้างด้านนอก ไม่อย่างนั้นอีกฟากของตึกคงสงสัยว่าเราสองคนกำลังทำอะไรตอนกลางวันแสกๆ

   ปกติแล้วไม่ได้โชว์เนื้อหนังให้ใครเห็นเท่าไหร่ ประหม่าก็ไม่น้อยเพราะรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ฟิตหุ่นเหมือนใครเขา เพิ่งมามีช่วงหลังที่เริ่มดูแลสุขภาพเหมือนอย่างที่หลายคนทำเพราะการกินแบบที่เกินลิมิตไปมาก

   คราวนี้ก็เลยต้องเคลื่อนตัวขึ้นคร่อมอีกคนเอาไว้ให้ถนัดต่อการทดลอง เขยิบซ้ายขวาวางตำแหน่งที่นั่งได้สบายทั้งสองคน ปลายนิ้วด้านของคนเล่นดนตรีมานานแตะไล่ขึ้นลงระหว่างลำคอถึงช่วงอก ดูซีเรียสมากกว่าช่วงการสอนทั้งหมดรวมกันเสียอีก

   อากาศครึ้มฝนช่วยให้บรรยากาศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี มันช่วยให้ร่างกายของเราไม่ชื้นเหงื่อจากความใกล้จนแนบชิดกัน คิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่แฟร์เลยที่ต้องเป็นฝ่ายถอดอยู่คนเดียว

   แต่ไม่เป็นไร รอให้ถึงตาเขาบ้างแล้วกัน

   “เราทำตรงนี้นะ”

   ได้คำตอบสุดท้ายเป็นช่วงไหปลาร้าเยื้องทางซ้ายหน่อย มีการแตะลงย้ำลงไปสองสามครั้งเพื่อยืนยันอีกด้วย ปรัญพยักหน้ารับทราบ คราวนี้ทำได้แค่มองตรงไปยังกำแพงห้องสีครีมไม่สามารถเห็นขั้นตอนทั้งหมดได้เพราะระดับความสูงที่ไม่สะดวกต่อการขยับองศาการมอง

   หลับตาลงไล่ความฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งไปแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกยามแรกรับสัมผัส น่าประหลาดใจที่มันร้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงดูดดึงผิวเนื้อค่อนไปข้างน่าอายกว่าที่เคยได้ยินในหนัง ทั้งที่ร่างกายไม่ได้ขยับอะไรเขากลับรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องเริ่มอบอ้าวจนหายใจไม่สะดวก

   ในความมืดที่สร้างขึ้นมาเองเขารับรู้ได้ทั้งหมดว่ามันมีสิ่งใดดำเนินอยู่ มันสลับจังหวะดึงและปล่อยไปมาสองสามครั้งก่อนผละออก ตอนแรกก็นึกว่าเสร็จแล้วแต่ไหงมีการเลียซ้ำอีกครั้งจนเขาเผลอหลุดร้อง

   “แดงกว่าที่คิดอีกแฮะ”

   “ไหนดูผลงานหน่อย”

   ยันตัวออกมาพอให้มีพื้นที่ตรงกลาง ก้มลงมองไม่เห็นเลยหันไปคว้าโทรศัพท์ตรงข้างหัวเตียงมาเปิดกล้องหน้าแทน

   “...”

   จะว่ายังไงดีล่ะ ก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ว่ามันต้องเป็นรอยแดงกินพื้นที่เล็กน้อยไม่ได้สวยงาม ตอนนี้ยังคงเป็นสีสดแบบแผลใหม่ พอลองขยับดูก็ไม่เจ็บหรือว่าแสบอะไร

   “ต้องทำแถวคอจริงด้วย”

   ก่อนที่จะติดลมบนต้องรีบปรามเอาไว้ก่อน “มีคนที่เสียชีวิตเพราะทำคิสมาร์กที่คอแล้วเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ได้ด้วยนะ”

   “จริงจัง”

   “เปิดดูในกูเกิลได้เลย”

   ลองทำท่าจริงจังหน่อยเอื้อมก็ยอมอ่อนตามแล้ว แต่เรื่องนี้เขาไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมานะ เคยเห็นคนในทวิตเตอร์สักคนรีเข้ามาผ่านตา จริงไม่จริงยังไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มแต่ขอโมเมเอาไว้ก่อน

   “งั้นตรงอื่นก็ได้”

   “ไม่ คราวนี้ตาเราบ้างแล้ว”

   จะไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรอกนะ
 


   คำสั่งในหน้าลบประวัติการเข้าชมโชว์ว่าได้ทำการลบตามที่ตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว ปันวางโทรศัพท์ลงข้างตัวพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หอพักที่เงียบสงบไม่มีเสียงรบกวนทำให้เสียงที่ออกมาดูดังกว่าทุกครั้ง

   เขาลองหาข้อมูลเกี่ยวกับช่วงระยะเวลาการคงอยู่ของรอยช้ำที่คอ ส่วนมากจะตอบเหมือนกันว่าขึ้นอยู่กับระดับความแรงในการดูด นี่ว่าจะรอดูอยู่ว่าผลงานในวันนี้จะกลายเป็นเช่นไรในวันรุ่งขึ้นตามระบบการทำงานของร่างกาย พนันว่ามันต้องกลายเป็นสีม่วงแหง

   ใครบอกว่าเป็นสีกุหลาบกัน

   ขอเถียงขาดใจเลย

   เอื้อมอารัญเวอร์ชันจริงจังกับอะไรบางอย่างเป็นเรื่องดี แต่กับการพยายามสร้างร่องรอยศิลปะบนร่างกายเขานี่มันก็ทุ่มเทเกินไปหน่อย นี่กลายเป็นว่าเราสลับกันสร้างรอยให้กันตั้งหลายจุดเพราะเขาไม่ยอมเสียเปรียบแน่ จะว่าก็ไม่ได้เพราะวัยรุ่นก็งี้ล่ะนะ

   เปิดกล้องหน้าขึ้นมาตรวจดูรอยที่ไล่ตั้งแต่ใต้สันกรามจนถึงส่วนล่างของกระดูกไหปลาร้าเพื่อเช็กความเป็นไปอีกครั้ง คิดไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้สามารถไปเรียนได้โดยไม่มีใครทักเรื่องรอย ว่าจะเอาพวกพลาสเตอร์แผ่นใหญ่หรือไม่ก็แผ่นแปะแก้ปวดมาใช้ขัดตาทัพ

   บอกแล้วก็ไม่ฟังว่าอย่าทำตรงที่มันเห็นชัด จอมซนน่ะยังหัวเราะอารมณ์ดีตอนที่ทำรอยสุดท้ายตรงใต้สันกรามของเขาอยู่เลย คิดแล้วก็เสียดายที่ไม่ยอมทำคืนในตำแหน่งอื่นที่ปกปิดยากบ้าง

   หน้าต่างพอปอัปแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่จาก U Arun ส่งมาถึง เขากดเข้าไปดูว่านอกจากการทักมาว่าภาพสวยไหมแล้วมันมีอะไรอีกบ้าง

   “...”

   พูดอะไรไม่ออกก็คราวนี้แหละ ปรัญยกมือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้เกือบครึ่งตอนกดเข้าไปดูภาพเต็ม รู้เลยว่าหัวใจเต้นแรงแค่ไหนระหว่างรอโหลด

   ภาพถ่ายเห็นแค่ช่วงไหล่ข้างหนึ่งเสยขึ้นไปจนเกือบถึงใบหน้า ปรับแต่งให้สีหม่นลงไปนิดหน่อยพอยังให้เห็นเค้าเดิม สีของเสื้อและลักษณะของร่องรอยทั้งหมดนั้นมันคุ้นตาไปหมดเพราะเพิ่งส่องไปเมื่อสักครู่

   นี่เอื้อมแอบถ่ายตอนไหนกัน

   ค่อยๆ เลื่อนสไลด์ไปทางซ้ายเพราะจำได้ว่าไม่ได้ส่งมาแค่รูปเดียว แม้จะเขินอายกับความเป็นธรรมชาติของมันแต่ก็ยังอยากจะเข้าไปเสพงานศิลปะอยู่ดี

   ...

   ถ้ารูปก่อนเป็นเผาหลอกรูปนี้ก็คือเผาจริง

   เพราะคราวนี้มันไม่ใช่เสื้อที่เขากำลังใส่อยู่ และร่องรอยบนนั้นก็ลดระดับลงมาหลายช่วง นิ้วมือที่เกี่ยวคอเสื้อให้ต่ำลงไปเผยผลงานของตนเองทั้งหมด โทนสีของรูปถูกปรับให้คล้ายคลึงกับภาพก่อนหน้าสมกับเป็นเซ็ตเดียวกัน

   เข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงอยากเก็บเอื้อมอารัญเอาไว้คนเดียว


***
   ไม่อยากให้คาดหวังกับเจ้านะคะ (หัวเราะ) อ่านข้อความของตอนพิเศษที่แล้วก็ยิ้มคนเดียวค่ะ รู้สึกดีใจที่นานๆ ทีจะทำให้คนอ่านไม่หวาดระแวงและแฮปปี้เต็มที่ได้บ้าง (ฮา)
   #ไม่มีความจริง

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
2คนเล่นอะไรกันค้าว่าแต่ทำไมเราอ่านแล้วเราขำอ่ะ555

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้
ลุ้นใจจะขาด 5555555  :jul1:

น่ารักจริงๆ เล้ยยยยยย  :mew3:

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
เอื้อมอารัญเป็นคนร้ายกาจ
แต่ที่ร้ายกว่าปันปันนี่แหละ
หูย คิดถึงตอนที่ผลัดกันทำแล้วโอ้ยยยยย
 :pighaun:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด