ตอนพิเศษที่ 7
ทั้งชีวิตนี้ผมเคยคิดมาตลอดว่า ทุกวันที่ผ่านพ้นไปก็คือวันธรรมดาที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ผมไม่ใช่พวกบุคคลที่ให้ความสำคัญกับวันพิเศษ แต่เหมือนตอนนี้จะไม่เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว ผมมีวันที่ควรให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมาสองวัน อย่างยินดีและยอมรับ วันแรกคือวันเกิดของคนที่ได้ชื่อ คนรัก ส่วนวันที่สองคือวันครบรอบที่เราคบกัน แต่ดูเหมือนว่า 365 วัน มีวันพิเศษแค่สองวันมันดูจะน้อยไป โลกก็เลยให้หนึ่งวันพิเศษเพิ่มเข้ามา แล้วนั่นก็คือ ‘ วันวาเลนไทน์ ’
ซึ่งเดิมทีคนอย่างผมก็มองว่ามันเป็นแค่วันไร้สาระวันหนึ่งก็เท่านั้น
“ ตกลงว่าจะเอาตามนั้น ”
“ หรือมึงจะให้กูกระโดดลงจากตึกใบหยกแล้วบอกรักมัน ” คำพูดของไอ้เจสวนกลับน้องชายผมที่ก็หัวเราะพลางพยักหน้ารับคำพูดประชดของอีกคน หนำซ้ำยังแถมด้วยการยกนิ้วโป้งเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างกวนตีน “ ไปให้พ่อมึงทำนะเดย์ ”
เสียงหัวเราะถูกใจของบาร์เทนเดอร์ทั้งสองคนดังลั่นขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจแขกในร้าน จนผมต้องปรายตาไปมองเพื่อให้มันลดเสียงที่กำลังสนุกสนานนั่นลงเสียหน่อย
ตอนนี้ผมกำลังนั้นอยู่ที่บาร์ตรงมุมประจำ ส่วนหัวข้อที่กำลังพูดคุยกันก็เกี่ยวกับเรื่องวันแห่งความรักที่น่ารำคาญนั่น โดยที่ไอ้เดย์น้องชายของผมเป็นคนถามขึ้นมาก่อนหน้านี้ว่า ‘ วาเลนไทน์ปีนี้พวกพี่มึงให้อะไรเป็นของขวัญแฟนกันเหรอจ้ะ ’
‘ ก็คงสั่งดอกไม้ให้มันสักช่อ เอาช่อใหญ่ๆเลยนะ แล้วก็คงกินข้าวช่วงกลางวัน ก็ตามธรรมเนียมให้เค้าหน่อย ’ คำตอบของไอ้เจที่พูดขึ้นมันทำให้ผมคิดภาพตาม
ใบหน้าของไอ้เด็กแรดคนนั้น ที่คงจะดีใจออกนอกหน้าจนทำอะไรถูกตอนที่ได้รับดอกไม้ ไม่นับว่ามันต้องยิ้มไม่หุบแน่นอนในตอนที่ไอ้เจพามันไปกินข้าว ท่าทางที่จะมองไปรอบๆอย่างมีความสุขแบบที่ชอบทำนั้น คงเชิดหน้าจนดูเหมือนชนะคนทั้งโลก เป็นท่าทางที่ชวนให้ขำจนทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า แล้วถ้ามันเป็นเมด อาการมันจะเป็นยังไงกันวะ
“ คิดอะไรอยู่ครับสัดพี่ ” ไอ้เดย์ทักผมที่กำลังใช้ความคิด แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร ไอ้อัยย์เพื่อนมันที่เหล่กันอยู่นานก็พูดขึ้นด้วยท่าทางรู้ดีราวกับอ่านใจได้
“ คงกำลังคิดอยู่แน่นอนเลย ว่าวาเลนไทน์ปีนี้จะให้อะไรพี่เมดดีน้า ”
“ ปัญญาอ่อน ” ผมบอกปัดคนที่นั่งข้างกันก็ยกยิ้ม “ มึงยิ้มเหี้ยอะไรสัดเจ ”
“ พูดถูกก็ยั๊วะอีกไรวะ แบบนี้ก็ได้อ๋อ ”
“ กูไม่ได้คิดจะให้อะไรมันทั้งนั้น ไร้สาระ ”
“ พูดแบบนี้สุดท้ายก็ให้ตลอดแหละจ้า ” น้องผมบอก “ แต่กูว่าให้ก็ดีนะสัดพี่ ความรู้สึกหน้าแห้งๆของพี่เมดที่มองไปรอบๆ ในวันที่ใครๆก็ได้ของจากแฟน แต่ตัวเองมีแฟนแต่ไม่ได้ มันไม่โอเคนะเว้ย ”
“ คนอย่างกู ไม่จำเป็นต้องให้หรอก ”
“ ก็เพราะคนอย่างมึงนั่นแหละถึงยิ่งต้องให้ ” ไอ้เจที่นั่งข้างกันหันมาบอกก่อนจะยกยิ้ม “ เพราะยิ่งเค้าไม่คาดหวังอะไรในตัวมึงเท่าไหร่ แต่พอเค้าได้รับ เค้าก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ”
“ ยกตัวอย่างเช่น เอาดอกไม้ใส่ไว้หลังรถ แล้วก็ทำเป็นบอกพี่เมดว่า ไปเอาของหลังรถให้หน่อยสิ ” ไอ้อัยย์พูดด้วยสีหน้าเพ้อฝัน “ แล้วพอพี่เมดเปิดฝากระโปรงรถออกมา พี่เมดจะอึ้งอยู่หน่อยๆใช่มั้ย ตอนนั้นเฮียก็เดินออกมาจากรถเลยเว้ย จากนั้นก็กอดพี่เมดไว้จากด้านหลัง แล้วกระซิบข้างหูพร้อมกับบอก สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับสุดที่รักของผม ” ท้ายประโยคที่มันดัดเสียงทุ้มชวนให้ผมเบือนหน้าหนีแทบจะทันที ไม่ต่างอะไรกับไอ้เจที่ทำท่าอ้วกออกมาก่อนจะยกเหล้าขึ้นกิน
“ ไปบอกให้พ่อมึงทำแล้วกันนะ ” ผมบอกปัดอีกคนก็ทำหน้าไม่พอใจ
“ อะไรเฮีย ที่มันมุกคลาสิคเลยนะเว้ย แล้วความคลาสิคจะไม่มีวันตาย จำไว้ ”
“ กูว่าจัดเซอไพร์สในห้องดีกว่า ” ไอ้เดย์ที่ตอนแรกยืนฟังนิ่งๆ ก็เริ่มจะออกความคิดเห็นบ้าง “ จัดดอกไม้กุหลาบสีแดงสวยๆ เอาสัก เก้าพัน เก้าร้อย เก้าสิบเก้าดอก ”
“ เยอะไปไอ้สัด ” ไอ้เจบอกขัดมัน
“ ไม่เยอะ เพราะปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก บ่งบอกความจริงที่ยิ่งใหญ่ บ่งบอกว่าใจฉันยังคงมั่น พันปีหมื่นวัน ไม่เคยหน่าย ฟ้าดินสลายหัวใจมั่นรักเธอ ”
“ นั่นมันเพลงสมัยแม่กูยังสาวเลยนะ ”
“ ใช่ แม่กูฟังบ่อยมาก ” ผมถอนหายใจออกกมาตอนที่ฟังความคิดของน้องชายตัวเองตอนที่หันไปตอบเพื่อนสนิท
“ กูว่าคนอย่างสัดอาฟ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นหรอก แค่มึงขับรถไปกับมัน เปิดกระจกซื้อดอกไม้ที่เด็กเค้าเคาะกระจกขาย แล้วเอาให้แฟนมึง แค่นี้ จบ ”
“ แต่พอทำจริง น้องบอกมีแต่ดอกกมะลิ สัดพี่เลยซื้อมาคล้องคอพี่เมด ก่อนจะบอกกว่า มีเมียก็เหมือนมีพระในบ้าน พร้อมยกมือไหว้แล้วท่องนะโมสามจบเป็นการขอพร ”
“ ไอ้สัด ” ผมสบถออกมาใส่คนพูดที่ยกมือขึ้นไหว้ตามที่บอก
“ เลือกวิธีกูดีที่สุดเฮีย คลาสิค ”
“ ของกูสิ ” น้องชายผมหันไปบอกเพื่อนก่อนจะยักคิ้วให้ผม “ รับรองว่าเด็ด เพราะพอให้แล้ว จะได้ตัดภาพไปบนเตียงได้เลย เอิ๊กๆ ”
“ ไม่เอาวิธีไหนทั้งนั้น ปัญญาอ่อน ” ย้ำคำสุดท้ายก่อนจะยกเหล้าขึ้นกินไปจนหมดแก้วแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปที่ทางขึ้นชั้นสาม ผมกดรหัสปลดล็อคที่จำได้ดี ก่อนจะเปิดประตูเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนช้าๆอย่างใช้ความคิดทบทวน
ไม่ได้อยากจะทำอะไรให้อีกคนในวันแห่งความรักทั้งนั้น ก็แค่คิดไว้เล่นๆ ก็แค่นั้น
“ แล้ววันที่ 14 นี้น้องเมดก็มาทำงานเหรอครับ ” เสียงของพี่ซองที่ดูเหมือนจะขึ้นมาทำธุระกับอีกคนเอ่ยพูดขึ้นในตอนที่ผมกำลังเดินถึงหน้าห้องพอดี ประตูปิดไม่สนิทเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมได้ยินเสียงสนทนานั้นชัดเจน
“ ทำสิครับ ” อีกฝ่ายตอบ แต่ผมกลับรู้สึกได้เลยว่าเมดคงยิ้มอยู่ในตอนที่ตอบคำถามนั้น “ ทำไมถึงคิดว่าเมดจะไม่มาทำงานละพี่ซอง ”
“ ก็วันวาเลนไทน์ ” คนตั้งคำถามพูด “ พี่ก็คิดว่าเราจะไปเดทกับคุณอาฟที่ไหนซะอีก ”
“ คนแบบอาฟ มันไม่รู้จักวันอะไรแบบนั้นหรอกพี่ซอง พนันได้เลยว่ามันต้องพูดว่าไร้สาระแน่ ถ้าใครพูดถึงวันวาเลนไทน์ ”
‘ สมเป็นเมียกู ’ ในใจของผมพูดแบบนั้นก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา แล้วหวนคิดถึงคำพูดของเพื่อนสนิทที่พูดกันไว้เมื่อครู่ ‘ ก็เพราะคนอย่างมึงนั่นแหละถึงยิ่งต้องให้ เพราะยิ่งเค้าไม่คาดหวังอะไรในตัวมึงเท่าไหร่ แต่พอเค้าได้รับ เค้าก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ’
หรือบางทีผมอาจจะต้องคิดใหม่
“ อ้าว ไหงลงมาอีกแล้ววะ ” ไอ้เดย์เอ่ยทักในตอนที่เห็นผมเดินกลับลงมาอีกครั้ง บนเก้าอี้ตัวที่เพื่อนสนิทผมชอบนั่ง ตอนนี้ไม่มีมันนั่งอยู่ และเพิ่งสังเกตเห็นว่าบาร์เทนเดอร์อีกคนอย่างไอ้อัยย์ก็หายไปด้วย “ พี่เจกับไอ้อัยย์ออกไปหาอะไรกิน ”
“ อื้ม ” นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวนั้นตอนที่ตอบรับอีกฝ่าย ผมเหลือบมองน้องชายตัวเองในวินาทีที่ไม่รู้จะทำอะไร เพราะไม่มีเหล้าตั้งอยู่ตรงหน้า และนั่นก็คงเป็นท่าทางที่ชวนให้อีกคนสงสัย
“ จะเอาเหล้าหน่อยมั้ย ถ้ามือว่างแล้วมันไม่โอเค ”
“ ไม่ ”
“ โอเค๊ ” บาร์เทนเดอร์รับคำก่อนจะพยักหน้ารับแล้วหันไปทำอย่างอื่นต่อ ส่วนผมก็ได้แต่มองรอบตัวไปเรื่อยเปื่อย
เอาเข้าจริงสิ่งที่อยากจะพูดมันก็มีอยู่แล้ว แต่แค่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงก็เท่านั้น กับคำถามว่า ‘ มึงว่า กูจะทำอะไรให้ไอ้เมดในวันวาเลนไทน์ดี ’ แต่เพราะผมรู้สึกว่า ประโยคนั่น ช่างเป็นอะไรที่โคตรไม่ใช่ตัวผม ก็เลยทำได้แค่เหลือบมองอีกคนอย่างหาจังหวะพูดคุย แต่คงเพราะมองมากไป คนที่กำลังยืนทำงานอยู่ก็เลยถอนหายใจออกมาหน่ายๆ ก่อนจะวางของในมือลงทุกอย่างลง แล้วหันมาถามกัน
“ สัดพี่ ”
“ อะไร ”
“ มึงมีอะไรกันแน่ กูเห็นมึงเหลือบมองกูหลายครั้งแล้วนะ ” คนเป็นน้องถามพลางถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะเบิกตาขึ้นราวกับคิดอะไรขึ้นได้ “ หรือว่ามึงจะมาพูดกับกูเรื่องพี่เมด มึงจะมาด่ากูใช่มั้ย ว่าทำไมกูชอบชวนพี่เมดออกไปกินข้าวด้วยกันสองคนต่อสองดึกๆแทบทุกวัน พี่เมดอ้วนขึ้นใช่มั้ย มึงเลยไม่โอเค หรือมึงหึงกู ” เสียงนั้นเว้นช่วงไปอย่างคิดเองเออเอง เดย์ปรบมืออย่างมั่นใจในคำตอบ “ ต้องใช่แน่ แต่คือสัดพี่เอาจริงๆนะ กูไปข้างนอกพร้อมไอ้อัยย์ไม่ได้ไง แล้วกูหิวเว้ย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กูเลยต้องชวนพี่เมดที่ว่างที่สุดไปด้วย แล้วจะให้ชวนมึงไป กูก็แดกไม่ลงเพราะมึงชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่มึงไม่ต้องหึงกูหรอกนะ กูไม่แย่งของมึงแน่นอน แม้ว่ากุจะคู่ควรกับพี่เมดมากแค่ไหนก็ตามในจุดนี้ ”
“ มึงพล่ามพอยัง ”
“ ไม่ใช่เหรอ ” ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับคำถามผมก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ ประสาท ”
“ แล้วมึงมีเรื่องอะไร ” คราวนี้คำถามนั้นกลับทำให้ผมนิ่งจนน้องชายผมเลิกคิ้วสงสัย “ มึงมีพิรุธนะสัดพี่ ”
“ ไม่มีอะไร ” ผมบอกปัด “ กูแค่คิดเรื่อยเปื่อยว่า แบบว่าเกี่ยวกับดอกไม้ อะไร แบบนั้น ”
“ มึงสงสัยเหรอ ว่าทำไมเวลาเผาศพต้องใช้ดอกไม้จัน ”
“ มึงลองใช้ความคิดบ้างมั้ย ”
“ สัด ” น้องชายผมสบถ “ กูรู้หรอกมึงกำลังหมายถึงดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์ใช่มั้ยละ ” ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในตอนนั้น แต่น้องชายผมก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะแซว “ ทำไม มึงเปลี่ยนใจจะซื้อให้พี่เมดแล้วเหรอ ”
“ กูแค่ถาม เผื่อ เอามาจัดในผับ ให้เข้ากับบรรยากาศ ”
“ โอยยยย มึงตอแหลไม่เนียนมากสัดพี่ มึงก็เพิ่งพูดกับพี่เจเมื่อกี้ว่าธีมงานปีนี้ของ throw up มัน bed valentine ต้อนรับเฉพาะคนโสด ไอ้อัยย์ยังบอกให้เปิดเพลง โปรดส่งใครมารักฉันทีเลย มึงจะมาตอแหลกูแบบนี้ไม่ได้ เข้าใจมั้ย แล้วหน้าที่คิดธีม ไม่ใช่หน้าที่มึงครับ พี่ชาย ”
“ เหรอ ” ผมพูดขึ้น “ กูลืมบ้างสิ ”
“ ยอมรับมาเถอะ แมนๆ ปกติหน้าก็ไม่ได้บางอยู่แล้ว แคร์เหี้ยไร จะซื้อดอกไม้ให้พี่เมดก็บอก ” ผมไม่ได้ตอบอะไรกับคำพูดนั้น ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาแทน “ กูรู้ว่ามึงคงอยากจะให้เพราะอยากจะให้พี่เมดมีความสุข แต่อีกใจมึงก็เขินที่ต้องทำอะไรแบบนี้ แบบที่มันไม่ใช่ตัวมึงเลย ”
“ มั้ง ” น้องชายผมเบิกตาตอนที่ผมตอบ
“ ทำเป็นมาบอกว่า มั้ง ทั้งที่ในใจตอบ อื้ม ”
“ แล้วเป็นมึง มึงจะทำอะไร ” คำถามที่ผมถาม ทำให้น้องชายผมนิ่งไป เดย์จ้องหน้าผมมันทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก
“ ถ้าเป็นกูเหรอ กูก็คงซื้อดอกไม้สักช่อมั้ง แต่ถ้ามึงไม่อยากให้กับมือเพราะเขิน ก็ทำไมไม่สั่งให้ร้านทำดอกไม้ เอาไปส่งให้พี่เมดที่คอนโดละ แบบที่พี่เจสั่งให้ไปส่งให้ไอ้วิวละ กูว่าแบบนั้น มันดีนะเว้ย เดี๋ยวพี่เมดดีใจก็หันมากอดมึงเองแหละครับ ”
“ เหรอ ”
“ น้ำเสียงแบบไม่พอใจ ทำไม หรือมึงอยากจะได้อะไรที่มันยิ่งใหญ่กว่านี้ ”
“ แล้วมึงมีความคิดอะไรอีก ”
“ ไม่มี ” ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างในตอนนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ แต่เอาจริงๆ นะสัดพี่ มึงไม่เห็นต้องคิดมากมายเลย มึงแค่อยากจะทำอะไรให้เค้า มึงก็แค่ทำ ทุกอย่างมันก็มีเท่านั้นเปล่าวะ สำหรับกูมันไม่จำเป็นต้องให้ดอกไม้ด้วยซ้ำ แค่อะไรสักอย่างที่ปกติ มึงไม่ทำให้ แต่วันนี้มึงทำ แบบนั้นสำหรับเค้ามันก็พิเศษมากแล้วเว้ย บางทีแค่มึงให้เพลงสักเพลงกับเค้า นั่นก็พิเศษแล้วไม่ใช่เหรอ มันเป็นวาเลนไทน์ในแบบของมึง ”
“ เหรอ ”
“ จ้า เชื่อน้องเถอะ พี่เมดเค้ามีความสุขทั้งนั้นแหละ ถ้าสัดพี่เป็นคนให้น่ะ เพราะว่านั่นคือสัดพี่มึงไง คนที่ไม่เห็นค่าวันสำคัญเหี้ยอะไรเลย แต่กลับมาเห็นวันแห่งความรักนี้สำคัญขึ้นมา แล้วนั่นก็เพราะพี่เมด แค่นี้พี่เมดก็ร้องไห้แล้ว เชื่อกู ”
ภาพในสมองของผมฉายชัดขึ้นตอนที่เดย์พูดจบ แต่สิ่งที่คิดเป็นลำดับต่อมาคือผมจะจัดการความรู้สึกในตอนนั้นยังไงดี ในตอนที่เมดรับดอกไม้จากคนที่มาส่งตรงหน้าห้องของเรา ตอนที่เดินตรงเข้ามาหาผม เพราะการ์ดนั้นเขียนไว้ว่า ‘ จากอารยะ ’ อีกคนที่คงหน้าแดงไปหมด รอยยิ้มน่ารักที่คงซ่อนไว้ไม่ไหว มันคงพูดว่า ‘ นี่มันไม่ใช่อาฟเตอร์ อารยะเลยนะ ’
แล้วต่อจากนั้น ผมก็คงไม่รู้จะทำอะไรดี
“ คิดออกยัง ”
“ เสือก ” พูดกับน้องชาย แล้วตอนที่ลุกขึ้นยืนอีกคนก็เบิกตากว้าง
“ เมื่อกี้อุตส่าห์ช่วยคิดไอ้สัด ”
“ ต้องขอบคุณมั้ย ”
“ ถ้าแม่มึงสอนมาดี ก็ควรทำ ”
“ งั้นก็คงไม่ต้อง ”
“ Kจริงสัดพี่ มึงเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง ทั้งๆที่เราก็ออกมาจากทางเดียวกัน แต่กูกลับทั้งนิสัยดีและน่ารักขนาดนี้ ” คำพูดนั่นชวนให้ผมยกยิ้ม แต่ในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปเดย์ก็พูดขัด “ แต่ถ้ามึงจะซื้อดอกไม้ ก็ต้องรีบสั่งแล้วนะ เพราะอีกสองวันก็วาเลนไทน์ละ เดี๋ยวเค้าไม่มีคิวให้มึงนะจ้ะ ”
“ ใครจะสนเรื่องปัญญาอ่อนแบบนั้นกัน ”
“ จ้า สัดพี่ ”
บนผับชั้นสามที่มีแต่เสียงของภาพยนตร์ลาโรงฉายอยู่ในทีวีจอแบนแบบแขวนติดกำแพง ผมเหลือบมองสายตาเรียวที่จ้องมองเนื้อหาในทีวีนั้นอย่างให้ความสนใจแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันอิดออดที่จะไม่ดูเด็ดขาดเพราะยังไงก็ต้องไปดูอีกครั้งที่บ้านผมตอนต้นอาทิตย์นี้อยู่แล้ว รอยยิ้มของเมดกว้างขึ้นและหุบเล็กลงตามตามเรื่องราวนั้นที่ดู เป็นช่วงเวลาที่ผมเพลิดเพลิน ถ้าไม่ติดที่ว่า
“ มองอะไร ” ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยในตอนที่โดนจ้องมองจากอีกคนที่คิดว่าดูหนังอยู่และคงไม่หันมา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็คือผมที่ต้องทำทีเป็นเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
“ อะไร มองอะไร ” ถามกลับไปแบบไม่รู้เรื่อง เมดก็ขมวดคิ้ว
“ ก็เห็นอยู่ชัดๆว่ามึงมองกู ”
“ แล้วมึงมองกูทำไม ”
“ กูไม่ได้มองมึง มึงนั่นแหละ มองกู ”
“ มึงไม่ได้มอง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ากูมองมึง ” เลิกคิ้วถามก่อนจะยกยิ้มแล้วถามกลับอีกคน “ ว่าไง มึงมองกูทำไม ”
“ กูไม่ได้มอง มึงนั่นแหละมองกู มองจนกูต้องหันไปมอง ” เมดหันมาเถียง “ มึงมองกูทำไม ”
“ อาจจะแค่สงสัยก็ได้ ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกคน สบสายตาเรียวอย่างจดจ้องลงไปในแววตานั้นจนมันสั่นไหว เมดที่แก้มแดงจัดหลับตาลงช้าๆในตอนนั้นเพราะคิดว่าผมคงจะมอบจูบดูดดื่มให้ แต่ทว่าผมกลับยิ้มกว้างกับท่าทางนั้นก่อนจะเอื้อมมือหยิบเศษคุ๊กกี้วาฟเฟิลที่ติดอยู่ข้างปากอีกคนให้ก็เท่านั้น
“ อะ ” เมดเผลออ้าปากออกก่อนจะเปิดตามองกันตอนที่รู้ตัว
“ กูอาจแค่สงสัยก็ได้ ว่ามึงจะให้มันติดจนไปถึงที่บ้านเลยหรือเปล่า ” ดีดขนมออกจากปลายนิ้ว อีกคนก็ได้แต่สบถออกมา
“ สัด ”
“ ตะกละจริงๆนะ ” ยักคิ้วล้อมันอีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วพิงหลังลงกับเก้าอี้ ก่อนจะหันไปดูทีวีต่อ
“ แล้วพอมานั่งคิดว่าพี่ซองถามกูวันนี้ว่าวาเลนไทน์ปีนี้มึงจะให้อะไรกูหรือเปล่า มันก็ถูกแล้วที่กูตอบ ” เมดหันมามองผม “ ว่าคนอย่างมึง มันไม่มีทางหรอก ”
“ งั้นเหรอ ” ยกยิ้มบอกมัน ผมหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อคหน้าจอก่อนจะกดเข้าโปรแกรมฟังเพลงที่โหลดเก็บไว้ หยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาจากกล่องเก็บ เชื่อมต่อมันเรียบร้อยก่อนจะผ่อนตัวลงนอนกับเก้าอี้นั่ง ไล่นิ้วไปบนหน้าจอ ผมเลือกฟังเพลงในอัมบั้ลรวมเพลงของ ‘ ส้มฉุน ’ ศิลปินคนโปรดของอีกคนทั้งหมด
ผมหลับตาลงแล้วตั้งใจฟังความหมายของเพลงทุกเพลงอย่างตั้งใจ มันมีทั้งเพลงที่เคยฟัง แล้วก็เพลงที่เพิ่งฟังครั้งแรก เพลงส่วนใหญ่ที่เป็นเพลงรักมีหลากหลายความรู้สึกซ่อนอยู่ในเนื้อหานั้น
มีครั้งหนึ่งผมเคยสงสัยว่าทำไมเมดถึงชอบฟังเพลงของผู้ชายคนนี้นัก แล้วตอนที่ถามออกไป เจ้าตัวก็ตอบแค่ว่า ชอบเพราะเสียงร้อง แล้วก็เนื้อหาเพลงที่อีกคนแต่งออกมา มันมีความหมายลึกซึ้งดี
“ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ” พูดกับตัวเองแบบนั้นในใจ ก่อนจะรู้สึกสะดุดใจเมื่อถึงเพลงนึงที่ทำนองขึ้นต้นค่อนข้างไปทางเพลงเก่าสมัยรุ่นพ่อแม่ผมยังหนุ่มสาว
คำร้องที่มีความหมายตั้งแต่วรรคแรก ผมเผลอยิ้มออกมา ในตอนที่คิดถึงเรื่องราวของเราที่ผ่านมา ผมที่เห็นเมดครั้งแรก รอยยิ้มของอีกคนในตอนนั้น หรือแม้แต่ตอนที่เราทะเลาะกัน จนในที่สุดผมกดบันทึกเพลงนั้นลงไปในโปรแกรม ก่อนที่หน้าจอนั้นจะปรากฏข้อความแจ้งให้ผมตั้งชื่ออัลบั้มนั้นไว้ และอย่างที่ไม่ต้องคิดอะไรให้นาน ผมตั้งชื่อมันสั้นๆแค่ว่า ‘ minmade ’
“ อาฟไปหาอะไรกินกันมึง ” ดึงสายตาจากหน้าจอตอนได้ยินคำชวนนั้น ผมกดล็อคมือถือก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินตามอีกคนลงไปชั้นล่างที่มีไอ้เดย์รออยู่
บนถนนที่มีผู้คนขวักไขว้แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ดึกมาก แต่เหมือนว่าบริเวนนี้จะไม่ได้เป็นแบบนั้น ตรงซอยรวมร้านอาหาร ยังมีคนที่ใช้บริการกันแน่นเกือบทุกร้าน แต่วันนี้เราสามคนเลือกกินต้มเลือดหมูแทนบะหมี่หมูตุ๋นที่จะเลือกกินเหมือนทุกทีด้วยเหตุผลของน้องชายผมที่บอกกับอีกคนแค่ว่า ‘ ขอเปลี่ยนบ้างนะพี่เมด เบื่อแล้ว ’
“ แล้วตกลงมีใครมาสมัครเซฟฝั่งร้านอาหารบ้างยัง ” เดย์เอ่ยถามเมดที่ก็นั่งกินไปด้วยส่วนมือซ้ายก็เล่นมือถือไปด้วย อย่างที่ชอบทำ “ แล้วช่างรับเหมาบอกมั้ยสัดพี่ ว่าเมื่อไหร่เสร็จ เราต้องกั้นผ้าไว้แบบนั้นอีกนานเท่าไหร่ ”
“ อีกห้าเดือนมั้ง ”
“ นานเหมือนกันนะ ” ไอ้เดย์บอกก่อนจะหันไปหาเมดที่เคี้ยวข้าวในปากก่อนจะตอบคำถามที่อีกคนถามไว้
“ ตอนนี้ก็มีคนเข้ามาสมัครแล้วบ้างเหมือนกัน แต่เราก็บอกเค้าไปแล้วว่า เราจะเปิดให้ทดสอบทำอาหารก่อน แล้วเดี๋ยวจะนัดไปอีกทีเรื่องวันและเวลา ”
“ ตื่นเต้นจังเลยว่ะ ” น้องชายผมพูดก่อนจะทำท่าคิด “ ไม่รู้จะออกมาเหมือนแบบมั้ยนะ อันนั้นคือโคตรสวย ”
“ มันต้องออกมาเหมือนแบบสิ ” เมดบอกก่อนจะหันมาถามย้ำกับผม “ ใช่มั้ย ”
“ ก็คงแบบนั้น ”
ส่วนต่อเติมของร้านอาหารที่กำลังก่อสร้าง ออกแบบมาในรูปแบบที่เหมือนกับดาดฟ้า เราทำบันไดทางขึ้นไว้ติดกับตัวตึกเก่าของผับ ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลของไม้และใช้เหล็กสีดำขึ้นโครงและติดกระจกโดยรอบ ตกแต่งด้านนอกเป็นลานกว้างสำหรับคนที่ชอบรับลมธรรมชาติ เสริมด้วยต้นไม้สีเขียวห้อยระย้าพอสวยงามเพื่อให้ตัวร้านดูผ่อนคลายเหมาะกับการสังสรรค์
“ ต่อไปนี้ก็เรียกผับ throw up ไม่ได้แล้วสิเพราะต้องเรียกว่า throw up pub and restaurant ”
“ ก็ตามนั้น ” เมดยิ้มก่อนจะยักคิ้วให้คนตรงหน้าพร้อมด้วยนิ้วที่ทำท่าเก็กหล่อของมัน ก็จะพูดว่าความคิดนี้เป็นผลงานของเมดเกือบจะทั้งหมดก็ไม่ผิดนัก เพราะมันจัดการทุกอย่างตั้งแต่เสนอแนวคิดกับผม ติดต่อกับคนออกแบบ สอบถามถึงความเป็นไปได้ และก็ไม่ลืมถามถึงจุดสำคัญต่างๆ รวมไปถึงการรับสมัครพนักงานของร้านในตำแหน่งที่สำคัญ เรียกได้ว่าทำเองทุกขั้นตอนโดยทีผมคอยตรวจเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ แต่เสียดายนะพี่เมด ที่มันไม่ทันช่วงวาเลนไทน์ นี่ถ้าทัน คนต้องเต็มแน่นอน ”
“ นั่นน่ะสินะ ” อีกฝ่ายรับคำก่อนจะตักข้าวขึ้นกินต่อ “ พี่เมดก็อยากให้เห็นมันเสร็จไวๆจังเลยว่ะ อยากรู้แล้วว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง จะประสบความสำเร็จแบบที่คิดไว้มั้ย ”
“ เนอะ ”
“ ก็คงออกมาดี ” ผมพูดก่อนจะยกน้ำขึ้นมากิน “ แล้วก็ช่วยแดกให้มันเร็วๆด้วย มึงจะแวะเซเว่นซื้อเยลลี่อีกไม่ใช่เหรอสัดเดย์ ”
“ เออ จริง ” หลังคำพูดนั้นอีกคนก็รีบจัดการข้าวในถ้วยของตัวเองเข้าไปจนหมด แก้วน้ำถูกกินอย่างรีบร้อนไอ้เดย์เคี้ยวน้ำแข็งเสียงดังชวนให้ไอ้เมดหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปจ่ายเงินให้กับแม่ค้า
เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมคิดถึงว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่ผมเคยบอกกับเมดว่า มันก็เหมือนแม่ของไอ้เดย์ หลายครั้งที่อีกคนพูดทั้งๆที่กินจนต้องบอกให้หยุด แล้วบางทีก็ต้องบังคับให้ไปกินข้าว เพราะอีกฝ่ายมัวแต่กินเยลลี่มากเกินไป ส่วนผมก็มีแต่หน้าที่บอกให้อีกคนเลิกสร้างความวุ่นวายสักที เพราะมันก็โตจนจะเป็นควายอยู่แล้ว แต่พอพูดแบบนั้นทีไร อีกคนก็ชอบสวนกลับแค่ว่า ‘ ถ้ากูเป็นแม่ งั้นมึงก็เหมือนพ่อแล้วละ สัดอาฟ ’
ในร้านสะดวกซื้อที่เราแวะก่อนกลับ กลิ่นไอของความรักและสีชมพูถูกตกแต่งบนชั้นขายของที่ประดับไปด้วยดอกไม้และช็อคโกเล็ตหลากหลายแบบที่ออกว่าขายในวันสำคัญที่กำลังจะมาถึง ไอ้เดย์กับเมดแยกตัวออกจากผมไปซื้อที่ล็อกอื่น ส่วนผมก็เดินไปยังตำแหน่งประจำที่ต้องมายืนทุกครั้งเมื่อมาถึง แล้วนั่นก็คือล็อกขายลูกอมเพราะเป็นจุดที่แอร์แรงและเย็นที่สุดในร้าน
“ ขอโทษนะคะพี่ ขอทางหน่อยค่ะ ” เสียงของเด็กที่อายุประมานประถมต้นเอ่ยบอกผมที่พอเบี่ยงตัวหลบให้ก็เจอเด็กสองคนนั้นมาด้วยกัน แล้วในตอนนั้นเองที่เห็นเด็กคนนึงคว้าเอาลูกอมห่อหนึ่งขึ้นมาจากที่แขวน มันเป็นลูกอมแบบรูปหัวใจสีแดง
“ อันนี้ไงที่ข้างในมันเขียนคำไว้ด้วยน่ะ มีคำว่า รักนะ ด้วยนะแล้วก็มีคำว่าเป็นห่วงนะด้วย นิคกี้ก็เอาไปให้เลโก้สิ เลโก้ไม่รู้หรอกว่านิคกี้ชอบ ” ผมเผลอยกยิ้มออกมาตอนที่ได้ยินเด็กสองคนนั้นพูดคุยกันแบบนั้น ในใจที่นึกหัวเราะ ‘ ว่าตัวแค่นี้ก็คิดเอาไปลูกอมไปสารภาพรักกับผู้ชายแล้วเหรอวะ ร้ายจริงๆ ’
“ จะดีเหรอ ” เด็กที่ชื่อนิคกี้เหมือนจะลังเล ใบหน้าขาวแดงจัดตรงแก้มไปหมด แถมยังดูเป็นกังวล
“ ดีสิ ถ้าให้แบบนี้ก็ไม่ต้องบอกว่ารักตรงๆนะ ”
“ แต่ว่าในนี้มีคำว่าอะไรบ้างก็ไม่รู้ ไม่รู้จะมีคำว่ารักเปล่า ”
“ งั้นเราก็ซื้อหมดเลยสิ ”
“ ไม่มีเงินอะ ” มือที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋านักเรียนตัวที่ใส่ในนั้นมีแค่เหรียญ์กลมๆอยู่เหรียญเดียวเท่านั้น
“ เหรอ งั้นซื้อห่อเดียวก็ได้ ” เพื่อนผู้เจ้ากี้เจ้าการว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบเอาถุงลูกอมห่อนึงนั้นแล้วคว้าจับเพื่อนเดินออกไปจ่ายเงินทันที ส่วนผมที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยินแบบนั้นแล้ว ก็แอบหันซ้ายดูขวาก่อนจะรีบคว้าไปมันทั้งหมดขึ้นมา ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์ทันที
แต่ทว่าพนักงานที่ยังไม่ทันจะคิดเงินไม่เสร็จ ทั้งไอ้เมดไอ้เดย์ก็เอาขนมมาวางลงบนโต๊ะคิดเงินทั้งแบบนั้นโดยที่ไม่มีการขออนุญาตใดๆ แถมตอนที่หันไปมองทั้งสองคนก็ได้รับแค่ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะพูดแค่ว่า
“ จ่ายเงินให้ด้วยนะอารยะ ขอบคุณมาก ”
“ เอ่อ คือ จะให้คิดรวมหรือแยกคะ ”
“ รวมครับ ” สิ้นสุดเสียงนั้นคนที่ไม่ต้องจ่ายเงินก็เข้ามาบีบนวดที่แขนทันทีอย่างเอาใจ ก่อนที่ไอ้เดย์จะขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นตอนที่เห็นห่อลูกอมมากมายที่พนักงานกำลังจะเอาใส่ถุง
“ สัดพี่ ทำไมซื้อลูกอมเยอะจังวะ ”
“ ไม่ใช่ของกู ” ผมบอกกปัดก่อนจะบอกพนักงานร้าน “ ช่วยแยกถุงลูกอมด้วยนะ เพื่อนผมฝากซื้อ ”
“ พี่เจน่ะเหรอ ”
“ อื้ม ”
“ แปลกสัด เชี้ยพี่เจชอบกินลูกอมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ”
“ ไม่ใช่เอาไปให้ไอ้วิวเหรอ ” เมดพูดขึ้นไอ้เดย์ก็หันไปมอง “ ก็พรุ่งมันวันวาเลนไทน์ บนลูกอมนั้นข้างหลังมาเขียนคำเอาไว้ อาจจะเอาไปให้วิวก็ได้ ”
“ เหรอ ” น้องชายผมหันไปถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่ “ คนอย่างพี่เจ ไม่น่าจะใช้แผนปัญญาอ่อนแบบนี้เปล่าวะ อีกอย่างมันให้ดอกไม้ช่อเบ่อเริ้มกับไอ้วิวแล้วนะ ”
“ น้องเดย์วันวาเลนไทน์น่ะ ไม่มีอะไรที่ปัญญาอ่อนหรอก เพราะไม่ว่าคนรับจะได้รับอะไร มันก็มีความสุขทั้งนั้น ”
“ พูดแบบนี้ บอกสัดพี่ไปเลยก็ได้ว่าอยากจะได้อะไร ” น้องชายผมเหล่มองเมดยิ้มๆก่อนจะดันไหล่ไปชนอีกคนที่ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วมองผมด้วยหางตา ก่อนจะหันไปบอกคนถามแค่สั้นๆว่า
“ ไม่มีทางที่มันจะให้หรอก ”
“ แต่จะว่าไปเมื่อก่อนสัดพี่ก็ได้ลูกอมแบบนี้เหมือนกันนะ แล้วก็ได้สติกเกอร์รูปหัวใจติดเต็มเสื้อไปหมดเลย หน้าเทศกาลทีไรพี่ติ๊กหัวเสียตลอดเพราะต้องนั่งแกะสติกเกอร์ผมเสื้อมัน ”
“ เหรอ ”
“ ช่ายยย แล้วพี่เจก็เคยเล่าด้วยนะพี่เมดว่าตอนนั้นเวลาใครมาติดสติกเกอร์ให้มัน มันจะทำหน้านิ่งสุดๆ พอสาวถามว่าขอติดบนเสื้ออาฟได้มั้ย มันก็หันไปทำหน้าเท่ห์ๆพร้อมด้วยเสียงทุ้มๆแค่ว่า ‘ ได้สิ ’ ”
“ คิดภาพออกเลย ได้สิ ” ใบหน้าหวานเลียนแบบเสียงผมในตอนท้าย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆแล้วเม้มริมฝีปากแน่นในตอนที่ผมหันไปมอง “ ล้อเล่นนิดเดียวเองอารยะละก็ ”
“ กลับกันได้แล้ว มัวแต่ไร้สาระ ปัญญาอ่อน ” ผมหยิบถุงของขึ้นมา ก่อนจะเดินนำอีกสองคนออกไป