ตอนพิเศษที่ 4
“ แต่จะว่าไป แม่ก็ดูรักน้องเดย์มากเลยนะ ” ผมชวนอีกคนพูดขึ้นเพื่อขัดความเงียบของอาฟที่ตอนนี้กำลังยืนเล่นมือถืออยู่กลางห้อง มันที่เหมือนคุยไลน์กับใครสักคนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ทำเอาผมเหลือบมองด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใครแต่ไม่ว่าจะยืดตัวมองเท่าไหร่ ก็มองไม่เห็น
“ มันเป็นสุดที่รักของแม่กูไง ” พูดออกมาแบบนั้นก่อนจะล็อคหน้าจอมือถือแล้วใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม อาฟเดินมานั่งข้างกันตรงข้างเตียง
“ ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ”
“ สมัยเด็กมันอ้อนแม่มากกว่านี้อีก ไอ้เชี้ยนั่น ทำเหี้ยอะไรก็ถูกไปหมด คำพูดติดปากของแม่กูเมื่อก่อนก็คือ อาฟฟฟฟ ” หลุดยิ้มกว้างออกตอนที่อีกคนเอ่ยชื่อตัวเองเสียงยานเลียนแบบคนเป็นแม่ “ แล้วก้ตามด้วยคำพูด ตามใจไอ้เดย์แบบ แบ่งให้น้องเล่นด้วยสิ อย่าแกล้งน้องเดี๋ยวน้องร้องไห้ ”
“ ความพี่น้องอะเนอะ ”
“ จำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อเคยไปเมืองนอกแล้วซื้อเลโก้มาฝากกู เป็นเลโก้รถที่หายากมากในไทย ตอนนั้นกูดีใจมากที่ได้มาลงทุนนั่งต่ออยู่เป็นวัน พอเสร็จแล้วจะเล่น ไอ้เชี้ยนั่นไม่รู้มาจากไหน บอกจะเล่น พอกูไม่ให้เล่นก็ไปฟ้องแม่ ”
“ แล้วแม่ก็มาบังคับมึง บอกให้แบ่งน้องเล่นด้วย ” ผมพูดขึ้นยิ้มๆ อาฟก็พยักหน้ารับลง
“ สุดท้ายรถกูที่ต่อมาเป็นวันก็พังภายในวินาทีนั่นละ เพราะแม่งเอาไปชนเสาปูน ”
“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง อาฟก็เอาแต่ยิ้ม ผมรู้ว่าในความทรงจำของมันถึงจะเป็นเรื่องน่าหัวเสียยังไงแต่เหมือนว่าอาฟก็ยังมีความสุขกับช่วงเวลานั้นอยู่ดี แม้ว่าจะปากหมา ไม่ค่อยพูด แต่อาฟก็เป็นคนใจดี โดยเฉพาะกับคนที่ตัวเองรัก “ ถามจริงๆนะ เคยคิดว่าแม่ไม่รักบ้างมั้ย แบบ แม่รักน้องมากกว่ากูว่ะ ”
“ เป็นคนขี้เสี้ยมเหรอมึงน่ะ ” หันมามองกันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งผมก็ได้แต่ยิ้มก่อนจะกระซิบข้างหูอีกคน
“ นิดนึง ”
“ ก็เคย ” อาฟตอบตามตรงก่อนจะนอนราบลงกับเตียง “ แต่กูไม่สนใจอยู่แล้ว อีกอย่างไอ้เดย์มันขี้อ้อนก็จริง แต่มันก็อ้อนทุกคน อ้อนกู อ้อนพ่อ อ้อนแม่บ้าน ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจตามสไตส์ลูกคนเล็กนั่นแหละ ”
“ ท่าทางตอนเด็กๆจะน่ารักมาก ” ผมเอนตัวลงไปนอนข้างอีกคนด้วยความสนใจในเรื่องราวของพี่น้อง ก่อนขยับเข้าไปใกล้อีกคน “ เล่าหน่อยอยากฟัง ”
“ เล่าอะไร ”
“ ก็เรื่องน้องเดย์กับมึงไง ตอนเด็กๆมันอ้อนมึงยังไง ”
“ เวลาทำขอพังก็ชอบมากอด แล้วพูดว่า พี่อาฟ น้องเดย์ขอโทษนะ พี่อาฟซ่อมได้ใช่มั้ย พี่อาฟเก่ง ”
“ น่ารัก แล้วตกลงซ่อมได้มั้ย ”
“ ซ่อมเหี้ยอะไรละ ตัวกับล้อไปคนละทางกันหมดแล้ว ”
“ ฮ่าๆ ” ผมหัวเราะ “ แล้วเรื่องอะไรประสาทเสียที่สุด ”
“ เรื่องน้องฟ้าใส ”
“ น้องฟ้าใส ? ” ผมทวนคำ อีกคนก็ยักคิ้วรับ
“ ตอนนั้นกูอยู่ป.สอง ไอ้เดย์อยู่อนุบาลสาม มันไปชอบเด็กในห้องที่ชื่อฟ้าใส พอถามฟ้าใส ฟ้าใสก็บอกว่า ฟ้าใสชอบมัน มันก็ดีใจมาก รู้สึกว่าตัวเองเท่ห์มีแฟนคนแรกในห้อง ”
“ นี่เอาตั้งแต่อนุบาลสามเลยเหรอวะ ” อาฟหัวเราะตอนที่ผมแซว “ แล้วยังไงต่อ ”
“ วันนั้นตอนเย็นกูไปรับมันที่ห้องตามปกติ เพราะแม่ให้ไปรับแล้วพามารอกันที่เก้าอี้หน้าโรงเรียน ”
“ แล้วไง ? ”
“ ไอ้เชี้ยนั่นตอนนั้นก็ดีใจมากที่มีแฟน ก็เลยพาน้องฟ้าใสมาแนะนำกับกูรู้จักว่านี่คือแฟนมัน เดย์ขอตังค์กูไปซื้อหนมมาเลี้ยงแฟน ”
“ โอยยย น้อง ”
“ แต่พอน้องฟ้าใสเห็นกูยื่นตังค์ให้ น้องก็บอกว่า พี่ชายเดย์เท่ห์กว่าเดย์อีกมีเงินด้วย ตอนนั้นน้องเลยบอกเลิกไอ้เดย์แล้วก็มาขอกูเป็นแฟนต่อเลย ”
“ โอ้โห เปรี้ยวสุดจ้าฟ้าใส ” ผมแซวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “ แล้วไงๆ น้องเดย์ไม่ช็อคไปเลยเหรอ ”
“ ช็อค มันตกใจมาก มันบอกทำไมผู้หญิงสวยใจร้าย แต่ประเด็นมันเสือกมาโกรธกูด้วยไง บอกว่าเพราะพี่อาฟหล่อเกินไปไม่ต้องมารับเลยทีหลัง น้องเดย์ไม่อยากกลับบ้านด้วยแล้ว มันว่าอย่างงั้นแล้วก็เดินหน้างอนไม่สนใจกูเลย ”
“ น่าหมั่นไส้มึงว่ะไอ้สัด จังหวะยกยิ้มไปเล่าไปกูอยากจะถีบให้ตกเตียง ”
“ มึงไม่คิดว่าปัญญาอ่อนเหรอ ไอ้เชี้ยเดย์โกรธกูตั้งหลายวัน ฟ้องคนทั้งโคตรว่ากูแย่งแฟนมัน ส้นตีนเถอะ ฟ้าใสไม่ใช่สเป็คกูสักนิด ”
“ ให้มันน้อยๆหน่อยสัด ป.สองมึงมีสเป็คแล้วเหรอ ”
“ มี ” อาฟหันมาเถียง
“ แล้วมันเป็นยังไง ” ผมเองก็หันไปจ้องมัน
“ ต้องแก้มกลม ” แล้วคำพูดที่หลุดออกมานั้นก็ทำให้ผมได้แต่ยิ้มพลางมองอีกคนที่ก็นิ่งอยู่แบบนั้นทั้งๆที่ก็เอื้อมมือมาจับกันไว้แน่น เราไม่พูดอะไรออกมาอีก ทั้งที่ในใจผมอยากจะแซวมันออกไปว่า ‘ จีบกูอีกแล้วนะสัดอาฟ ’ แต่ก็เหมือนจะเงียบได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้น
กริ้ง กริ้ง กริ้ง
เจ้าของห้องดึงตัวเองลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเดินไปรับโทรศัพท์ไร้สายที่ตั้งอยู่บนโต๊ทันที เสียงถอนหายใจหงุดหงิดที่เหมือนเสียงนั้นจะดังขัดอารมณ์ในความรู้สึกของมันทำให้ผมหลุดยิ้ม ก่อนอาฟจะยกโทรศัพท์ขึ้นรับแล้วพูดเสียงเรียบ
“ ครับ ” ไม่ได้ยินเสียงของปลายสายว่าเป็นใคร หรือพูดอะไรตอบกลับมา ผมได้ยินแค่เสียงของอาฟที่ตอบกลับไปก็เท่านั้น “ อื้ม อื้ม โอเค ”
“ ใครโทรมาวะ ” เอ่ยถามตอนที่สายโทรศัพท์นั้นถูกวางลง แต่อีกคนก็แค่เชิดหน้าไปทางประตูห้องน้ำ
“ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวเราต้องลงไปดูหนังกัน ”
“ ดูหนัง ? ดูหนังอะไร ”
“ ที่บ้านกูชอบดูหนังด้วยกันตอนกลางคืน ”
“ แล้วทำไมต้องดูหนัง ”
“ สมัยเรียนพ่อแม่รู้จักกันเพราะอยู่ชมรมดูหนังด้วยกัน เค้าชอบดูหนังมาก ก็เลยเอามันมาเป็นกิจกรรมครอบครัว ”
“ น่ารักดีว่ะ ” ผมพูดขึ้น “ แบบนี้ใช่มั้ยที่มึงบอกน้องเดย์ก่อนขึ้นมาว่า ดูหนังเรื่องอะไรให้บอกด้วย ”
“ อื้ม ตอนแรกกูว่าจะไม่ไป แต่พ่อให้ชวนมึง ไปอาบน้ำได้แล้ว อย่าให้ผู้ใหญ่คอยนาน ”
“ โอเค จะรีบๆเลย ”
เราเดินลงมาด้านล่างตามคำชวนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ผมไม่ลืมปิดเสียงมือถือของตัวเองในตอนที่หยิบมันติดมือมาด้วย ห้องดูหนังที่เราเดินลงมาคือห้องนั่งเล่นใหญ่ที่น้องเดย์บอกว่าเป็นห้องโปรดของคุณพ่อ ประตูเลื่อนที่ถูกเลื่อนออกความเย็นภายในปะทะเข้ากับหน้าผมจนชวนให้สะดุ้ง แล้วคิดขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆนั้นว่า ‘ รู้แบบนี้ก็น่าจะเอาผ้าห่มติดตัวมาด้วย ’
“ หนังกำลังจะเริ่มพอดี ” พ่อหันมายิ้มให้ผม “ น้องเมดชอบดูหนังมั้ย แล้วชอบดูแนวไหนเป็นพิเศษบ้าง ”
“ ชอบครับ เมดดูได้ทุกแนวเลย ” ผมตอบก่อนจะเลือกนั่งลงบนโซฟาสีแดงข้างๆกับอาฟที่ก็ยืดขาไปกับโซฟาอีกฝั่ง เป็นการเตรียมท่าทางการดูที่เหมือนจะนอนมากกว่าอย่างอื่น
“ มาแล้วจ้า ” เสียงของคนมาใหม่ที่เปิดประตูเข้ามา น้องเดย์มาพร้อมชุดนอนลายหมีสีฟ้าที่โคตรน่ารัก ผ้าห่มที่คลุมตัวลายการณ์ตูนที่ห่มอยู่บนไหล่ ชวนให้ผมต้องเม้มปากกลั้นยิ้มจนไอ้อาฟยังหันมามองผมแล้วกระซิบข้างหูกันเบาๆ
“ ถ้าดูหนังผีกูว่าไอ้สัดนี่ น่ากลัวกว่าผีอีก ”
“ ว่าน้อง ไอ้สัด ” แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ก็อดเห็นด้วยไม่ได้เลย
เมื่อคนพร้อมห้องที่เคยสว่างก็ถูกหรี่ไฟลงด้วยรีโมตปรับแสงไฟ หลังที่ถูกพักไว้ถูกกดเล่นขึ้นและหนังเรื่องที่พ่อแม่เลือกกมาดูในคืนนี้ คือหนังที่ชื่อว่า Wonder มันเป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ และต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง ผมเคยอ่านรีวิวมาหลายครั้ง ตัวหนังไม่ได้เสนอเรื่องเกี่ยวกับเด็กแค่เพียงคนเดียว แต่เสนอเรื่องของครอบครัว และสิ่งแวดล้อม บวกถึงความคิดของผู้คนและเด็ก จำได้ตอนที่หนังเรื่องนี้เข้าโรง ผมเคยอยากจะไปดูอยู่หลายครั้ง แต่กลับหาเวลาว่างไปดูไม่ได้เลย บวกกับอะไรหลายๆอย่าง สุดท้ายกลายเป็นว่ามันก็ลาโรงไปก่อน
ในช่วงเวลาที่ไร้การพูดคุยใด เสียงที่ได้ยินมีเพียงแค่เรื่องราวน่าประทับใจของตัวหนังที่ฉายอยู่บนทีวีจอยักษ์และกำลังชวนให้ทุกคนดื่มด่ำไปกับมัน โดยไม่สนเวลาที่เดินผ่านไปเรื่อย ความซาบซึ่งกินใจ ที่ชวนให้ใครๆต่างรู้สึกดี แต่มันก็คงจะดีมากไป หรือไม่ก็ซาบซึ้งเกินไป เลยทำให้คุณอารยะที่นั่งอยู่ข้างกันหลับคอพับคออ่อนลงมาบนไหล่ผมตั้งแต่กลางเรื่อง
“ อาฟ ” ผมเอ่ยเรียกเสียงเบาในตอนที่หนังจบลง อาฟที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนนั้นถอนหายใจออกมาก่อนจะหาวออกมาแบบไม่ปิดปากแล้วลุกขึ้นเต็มความสูงบิดขี้เกียจไปมา
“ ฝันดีนะครับ ” ผมเอ่ยบอกผู้ใหญ่พลางก้มหน้าลงลา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องที่ตอนนี้คนเดินนำออกไปก่อนอย่างอาฟกำลังหลับตาเดินไปก็ว่าได้ ท่าทางที่ดูง่วงมากและวินาทีที่ขาก้าวเข้าไปถึงห้อง ร่างเพรียวนั้นก็ล้มตัวลงนอนต่อบนเตียงทันที “ อะไรมันจะง่วงขนาดนั้นว่ะ ”
“ ไม่ไหวแล้ว ” เสียงงัวเงียที่พูดขึ้นชวนให้ผมหลุดหัวเราะก่อนจะเดินไปเปิดไฟหัวเตียงไว้ แต่ตอนที่กำลังนั่งลงตรงที่ว่างอีกฝั่งของเตียงมือที่ล้วงเข้าไปกางเกงนอนเพื่อหามือถือที่ตั้งใจจะหยิบขึ้นมาเล่น ผมกลับพบว่าทุกอย่างมันว่างเปล่าและไม่มีแม้แต่ในกระเป๋าเสื้อแต่อย่างใด
“ ส้นตีนต้องเสือกลืมไว้ข้างล่างอีกแน่เลย โอยยยยยยยย ” ถอนหายใจออกมากับความขี้ลืมของตัวเองก่อนจะขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด ‘ โคตรไม่อยากจะลงไปเลยสัดเอ้ย เสือกลืมอีกเชี้ยเมด ’ ได้แต่บ่นกับตัวเองแบบนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่จะขึ้นมาชั้นบนหรือยัง แล้วถ้าลงไปแล้วเจอเข้าก็คงแย่แน่เพราะไม่รู้เลยว่าจะเข้าหน้าเค้ายังไง “ แค่คิดก็ปวดกระเพาะขึ้นมาเลยกู ”
แต่ไม่ว่าจะไม่อยากลงไปยังไงก็ต้องลง เพราะยังไงมันก็จำเป็น เผื่อคืนนี้ที่ผับมีอะไรฉุกเฉินแล้วผมไม่ได้รับก็คงจะยุ่ง
ก้าวขาอย่างจำใจเดินออกไปจากห้องนอนอีกครั้ง ผมคิดว่าคงวางไว้ที่โซฟาตัวที่นั่งดูหนังแน่นอน ผมพยายามสอดส่องตั้งแต่ทางขึ้นบันไดลงไปชั้นล่าง เป็นความรู้สึกที่กลัวแม้แต่จะต้องเดินสวนทางกัน ก้าวลงบันไดที่ละขั้นช้าๆด้วยความเบาอย่างที่สุดแต่ตอนที่เดินลงมาจนถึงขั้นสุดท้ายและเตรียมจะก้าวเข้าไปใกล้ประตูห้อง ผมก็ต้องชะงักหยุดอยู่กับที่เพราะได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ไม่น้อยออกมาจากในห้องดูหนังที่ตอนนี้เปิดประตูแง้มเอาไว้เพราะคนสุดท้ายที่ออกไป ปิดไม่สนิท ซึ่งก็น่าจะเป็นผมเอง
“ เดย์ไม่ได้เถียงแม่ แต่เดย์แค่พูดด้วยอารมณ์มันก็เลยเสียงดังเฉยๆ ” เสียงของน้องเดย์ดังขึ้นมาในตอนที่ผมเดินเข้ามาหยุดนิ่งอยู่ใกล้ๆห้อง จากที่คิดว่าทุกคนคงจะขึ้น้ไปชั้นบนหมดแล้ว แต่เหมือนจะไม่แบบนั้นความรู้สึกที่ไม่รู้จะทำยังไงดีชวนให้ผมได้แต่เกาหัวแล้วยืนโง่ๆอยู่แล้ว มือถืออยู่ในห้องจะเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปก็คงได้ แต่ครั้นจะเข้าไปตอนนี้ทั้งๆที่คนในครอบครัวกำลังทะเลาะกันก็เหมือนจะน่าเกลียดเกินไป ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนเสียมารยาททั้งนั้น
“ นั่นแหละที่กำลังเถียงแม่นะ ”
“ ก็เดย์คิดไม่เหมือนแม่ เดย์ก็เลยพูดในสิ่งที่เดย์คิดไง แบบนั้นก็เรียกเถียงเหรอครับ ” เสียงของน้องเดย์ที่ดูหัวเสียบอกแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา “ แม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไม่ชอบพี่เมด สิ่งที่แม่ทำมันเกินไปนะ ไม่คิดแบบนั้นเหรอ ” ชื่อของผมที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้ความคิดที่จะเข้าไปเอามือถือยังไงหลุดชะงักไปทันที ราวกับวัตถุประสงค์นั่นถูกฉกชิงไปจากความคิดชั่วขณะแล้วสมองก็สั่งการให้ทำได้แค่ยืนฟังบนสนทนานั่นเงียบๆ
“ ไม่คิด เพราะแม่แค่พูดตามที่คิด ”
“ แต่สิ่งที่คุณทำ มันดูไม่เป็นผู้ใหญ่เลยนะคุณ มันขาดวุฒิภาวะ ” เสียงของพ่ออาฟที่เสริมขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าภายในห้องนี้คงไม่ได้มีแค่แม่กับน้องเดย์อยู่กันแค่สองคน
“ ทำไมทุกคนต้องมารุมแม่คนเดียว ทำเหมือนแม่ผิดมากมายอย่างงั้น ทั้งๆที่แม่ก็แค่พูดในสิ่งที่รู้สึกกับคนคนนั้น ”
“ แต่บางความคิดคุณก็ไม่ควรพูด ถ้ามันกระทบจิตใจคนอื่น ”
“ แม่แค่อคติ ” น้องเดย์พูดเสริม “ แม่ยังไม่รู้จักพี่เมดเลยด้วยซ้ำ คุยกันยังไม่ถึงร้อยคำ แต่แม่ก็อคติไปแล้วว่าเค้าไม่ดีแน่ๆ เพราะอะไรวะ เพราะว่าพี่เมดเป็นผู้ชายเหรอ ”
“ อย่ามาขึ้นว่ะกับแม่นะพี่เดย์ ” เธอพูดขัดลูกชายก่อนจะถอนหายใจออกมา “ แล้วจะผิดอะไร ถ้าแม่จะไม่ชอบ มันเป็นสิทธิ์ของแม่ ”
“ แม่ ”
ทุกอย่างเหมือนจะเงียลงไปสักพัก ผมที่ได้แต่ยืนถอนหายใจออกมาคนเดียวนอกห้องนี้ มีความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในใจแบบชนิดที่พูดอะไรไม่ออก หัวใจเหมือนหล่นหายไปเป็นความรู้สึกชาที่มีเหตุผลเข้าใจมันอยู่แต่กลับใช้ปลอบใจไม่ได้ เป็นความรู้สึกเห็นแก่ตัวที่รู้ ‘ กูรู้ว่าไม่ชอบ แต่ก็ยังอยากให้ชอบอยู่ดี ’
“ เอาจริงๆ แม่ก็ไม่ได้โลกแคบขนาดไม่รู้ว่าสมัยนี้เรื่องแบบนี้มันก็มี ” เสียงของแม่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในตอนนั้น “ เพื่อนของแม่เค้าก็มีลูกที่ชอบผู้ชายด้วยเหมือนกัน แล้วก็มีลูกสาวที่ชอบผู้หญิงด้วย แม่เองก็ยังเคยพูดกับเพื่อนบ่อยๆเลยว่า ก็เค้าสร้างมาให้แล้ว อีกอย่างเราไม่ควรกำหนดเพศให้กับความรักไม่หรอก ”
“ แม่..”
“ แต่วันที่พ่อมาบอกแม่ บอกว่าพี่อาฟลูกชายของแม่ก็ชอบผู้ชายเหมือนกันนะ วินาทีนั้นมันเหมือนคำปลอบโยนของแม่ที่ปลอบเพื่อนมันหายไป มันเหมือนพอมันเป็นเรื่องของแม่ เรื่องของลูกชายแม่ แม่กลับรู้สึกรับไม่ได้ แม่ตกใจ แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นเลยคิดขึ้นได้ จริงๆแม่ไม่ได้ยอมรับได้หรอก มันไม่ได้ไม่เป็นอะไร อย่างที่แม่บอกเพื่อน มันเป็น พอมันเป็นเรื่องของลูกชายแม่ มันเป็น มากๆเลยด้วย ” เสียงนั่นค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาไม่ต่างอะไรกับผมเองที่ก็รู้สึกเช่นนั้น “ จะโดนมองหน้าด้วยสายตารังเกียจมั้ยนะ สังคมจะมองเค้ายังไง จะตัดสินเค้ายังไง จะเหมือนพวกในโซเซี่ยลที่พูดถึงเค้าหรือเปล่า แม่แค่ไม่อยากให้ลูกแม่เป็นแบบนั้น ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้ว ในตอนที่เค้าจะพามาเจอ แต่สุดท้ายมันก็ทำใจให้กว้างเหมือนอย่างที่ตั้งใจไม่ได้ ทั้งๆที่แม่ก็รู้ดีว่าเค้าคนนั้นก็ต้องพิเศษมากที่สุดในชีวิตของพี่อาฟแล้ว เด็กคนนั้นไม่เคยยอมรับใครเข้ามาในชีวิต เพราะงั้นก็คงเป็นคนที่เลือกมาอย่างดีแล้วละ แต่ถึงจะดูดีอย่างงั้น ตอนที่เห็นหน้าจริงๆของเค้า สิ่งที่พยายามจะเป็น กลับเป็นไม่ได้ มันหงุดหงิด ทั้งๆที่เค้าก็น่ารักมาก มันนึกตั้งคำถาม ทำไมพี่อาฟต้องเป็นแบบนี้ ทำไมพี่อาฟถึงชอบเค้า ทำไมลูกชายแม่ถึงต้องเป็นแบบนี้ แล้วพอคิดแบบนั้นแม่ก็รู้สึกไม่ชอบหน้าเค้า มันหงุดหงิด มันไม่ชอบใจ ”
“ ผมเข้าใจคุณนะ ” พ่อพูดขึ้นเสียงเบา “ ผมรู้ว่ามันยาก ผมรู้ว่าคุณเองก็สับสน และรู้ว่าคุณเองก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกัน ผมรู้ว่าก็คุณอยากจะทำเข้าใจลูกให้ได้เหมือนกับที่คุณปลอบเพื่อน แต่มันก็ยังรู้สึกที่ว่า ก็ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ไม่น่าเกิดขึ้นกับลูกชายเราเลย แต่ก็เหมือนกับที่คุณปลอบเพื่อนนั่นแหละ ความรักมันไม่มีเพศ แล้วลูกชายคุณเค้าก็สร้างน้องเมดมาให้มันเหมือนกัน ”
“ แม่ไม่ชอบพี่เมดตอนนี้ก็ได้ แค่เปิดใจให้เค้า แล้วก็อย่าพูดแบบนั้นกับเค้าก็พอ ” น้องเดย์บอก “ พี่อาฟรักพี่เมดมากเลยนะ มันรักของมันมาตั้งแต่ม.ปลาย ผ่านอุปสรรคกันมาตั้งเท่าไหร่ มันรักกันมากๆ มากแบบชนิดที่เดย์ไม่คิดว่า คนที่วันๆไม่สนใจอะไรยกเว้นตัวเอง จะรักใครสักคนได้ แล้วตั้งแต่ที่มันเจอพี่เมด ทุกอย่างในชีวิตมันก็เหมือนจะเปลี่ยนไป มันมีจุดหมายมากขึ้น จริงจังกับงานมากขึ้น มันคิดถึงคนอื่นแล้วก็คิดถึงอนาคตของตัวเอง อนาคตที่มีพี่เมดอยู่ในนั้น แล้วแบบนี้แม่ยังจะใจร้ายกับคนที่ทำให้ลูกชายแม่มีความสุขได้อีกเหรอ ”
“ ทุกคนเค้าให้เวลาคุณ เราไม่ได้รีบร้อนให้คุณชอบน้องเมด แต่เราอยากจะให้คุณเปิดใจ แล้วลองดูว่า เหตุผลอะไร ที่ทำให้ลูกชายคุณชอบเค้ามากขนาดนี้ มากถึงขนาดเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน ”
“ แต่ว่าฉัน ”
“ แม่ลองคิดว่าเดย์เป็นพี่เมดสิ เดย์ไม่ได้ทำอะไรผิด ก็รักกับแฟนมาปกติแต่กลับโดนแม่ยายพูดไม่ให้เกียรติทำทีท่าแบบไม่อยากจะร่วมโต๊ะด้วย เป็นแม่ แม่ก็คงรู้สึกไม่ชอบใจอยู่แล้ว แล้วแบบนั้นแม่คิดว่าพ่อแม่พี่เมดเค้าจะชอบเหรอ ถ้าเค้ามาเห็นลูกเค้าโดนทำแบบนั้นน่ะ ”
“ พี่เดย์ ”
“ จะรักลูกตัวเองก็ได้นะแม่ จะเป็นห่วงก็ได้ แต่อย่าไปทำร้ายจิตใจลูกคนอื่นสิ เค้าก็มีพ่อมีแม่เหมือนกันนะ ”
ทุกอย่างเงียบลงไปหลังจากประโยคนั้น ไม่มีตอบโต้ของใครที่ดังขึ้นมา ทุกคนเหมือนจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งความเงียบนั้นถูกทำลายโดยพ่อที่พูดขึ้นมา
“ คุณอยากรู้มั้ยว่าทำไม ผมถึงไม่ว่าอะไรในตอนที่รู้ว่าลูกชอบผู้ชายด้วยกัน ” พ่อเอ่ยถาม “ ที่คุณถามผมว่าทำไมไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลย ทำไมไม่ลองเรียกเค้ามาถามดูก่อน เพราะบางทีอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบก็ได้ แล้วคำตอบของผมที่อยากจะบอกคุณก็คือ เพราะว่านั่นคืออาฟไง ผมถึงรู้ดีว่าเราไม่จำเป็นต้องถามอะไรเพิ่มอีกแล้ว เหมือนอย่างกับคุณที่ก็รู้ดีเหมือนกัน ว่าถ้าคนอย่างอาฟถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว มันต้องต้องมั่นใจมากพอ เพราะเราเลี้ยงเค้ามาให้เป็นอย่างงั้น ”
“ อื้ม ”
“ ตั้งแต่มันเด็กจนมันโต ไอ้บ้านั่นไม่เคยทำอะไรในสิ่งมันไม่อยากทำสักอย่าง มันเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่วันหนึ่งไอ้เด็กที่ไม่สนใจเหี้ยอะไรเลยมาบอกกับผมว่า มันคิดถึงอนาคตมากขึ้น คิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง คิดเอาดีกับงานที่ตัวเองมีด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากจะให้คนที่รักลำบาก มันคิดพาคนที่มันรักมาหาเรา ทั้งๆที่คุณก็รู้ว่า ไอ้บ้านั่นไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเราจะคิดยังไง แต่เพราะมันอยากให้ความสำคัญกับเค้า กับครอบครัวของเค้า ว่ามันจริงจัง และรักคนคนนี้จริงๆ มันก็เลยพามาหาเรา แล้วพอแบบนั้น คุณจะให้ผมใจดำ ไม่รักคนที่ลูกรักได้ยังไง ”
พาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้นในตอนที่ฟังคำพูดนั้น ผมก้าวขาเดินตรงขึ้นมาตรงชั้นบนของบ้านอย่างไม่คิดที่จะใส่ใจในสิ่งของที่ตัวเองต้องการอีก ผมไม่ได้อยากได้มือถือแล้ว ทุกอย่างตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรสำคัญอีก มือผมเอื้อมเปิดประตูห้องรู้สึกหมดแรงไปอย่างที่ไม่ได้ทำอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องที่ฉ่ำไปด้วยอนุหภูมิของแอร์ บนเตียงกว้างกลางห้องที่มีผู้ชายคนนึงหลับสนิทอยู่
ผู้ชายคนที่ยังคงปากไม่ตรงกับใจอย่างสม่ำเสมอ คนที่ไม่เคยหวาน ไม่เคยสักครั้งที่เราจะจบประโยคด้วยการไม่กวนตีนกัน คนที่ขี้หงุดหงิด อารมณ์ร้าย แต่ก็เป็นคนเดียวกันกับคนที่คอยปกป้องผมจากทุกความรู้สึกเสียใจที่จะเข้ามา คนที่ไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง แต่กลับสนใจเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น
“ หรือมึงจะแค้นกูมากเรื่องนมช็อกโกแลต ” ผมพูดติดตลกในตอนที่หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงแล้วดึงตัวเองลงไปนอนมองใบหน้าคมของอีกคนอยู่แบบนั้น “ แค้นกูมากเลยใช่มั้ย มึงก็เลยแก้แค้นกู ด้วยการรักกูมาก รักกูแบบสุดๆ เพื่อให้กูรู้สึกผิด รู้สึกเสียดายที่เอาเวลาไปเสียให้กับไอ้คนเหี้ยๆแบบนั้นตั้งหลายปี รู้สึกโทษตัวเองว่าวันนั้นไม่ถามให้แน่ชัดว่าใครเป็นเจ้าของนมนั่น ” ผมยิ้ม “ กูว่าต้องใช่แน่ เพราะมึงมันร้ายอารยะ มึงกำลังทำให้กูรักมึงจนโงหัวไม่ขึ้น ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่หลับสนิท มีเพียงผมที่ยิ้มให้กับใบหน้านั้นอยู่อย่างงั้น ก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปจูบที่ริมฝีปากของอีกคนแล้วกอดมันไว้อย่างงั้น ด้วยความรู้สึกรักจนไม่รู้จะอธิบายมันออกมายังไง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ ครับ ” ผมขานเสียงเบาพลางลุกขึ้นจากที่นอน แล้วในตอนที่เปิดประตูออกน้องเดย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ส่งมือถือของผมมาให้
“ ทำตกไว้ข้างล่างอะพี่เมด ”
“ เหรอ ” ทำทีเป็นยิ้มให้น้องทำเหมือนไม่รู้ตัวมาก่อนว่าทำมือถือหล่นหายไป “ ไม่ทันได้สังเกตเลย ขึ้นมาก็หลับสนิทเลย ”
“ สงสัยเหนื่อยไง ”
“ คงงั้น ” ผมบอกแบบนั้นก่อนจะรับมือถือตัวเองกลับมา “ ขอบคุณนะครับ ”
“ เมื่อกี้เหมือนมีคนโทรมาด้วยนะ มันสั่นตรงที่นั่งน่ะ น้องเดย์นั่งคุยกับแม่อยู่เลยรู้ ”
“ งั้นเหรอ ” ปลดล็อคหน้าจอมือถือขึ้นมาดู มีสายที่ไม่ได้รับอยู่ในนั้นปรากฏอยู่ 1 สาย “ จริงด้วย ”
“ โทรกลับซะนะ ”
“ โอเค ฝันดีนะน้องเดย์ ”
“ ฝันถึงน้องเดย์ด้วยนะพี่เมด ”
“ ก็ถ้าคนในฝันพี่เมดอย่างพี่อาฟอนุญาตละก็นะ ” ยักคิ้วให้น้องที่ยกมือจับอกก่อนจะเบิกตาด้วยความตกใจ ผมหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะปิดประตูนั้นลงแล้วผมก็กดโทรออกไปยังสายที่โทรเข้ามาแล้วไม่ได้รับ
“ ฮัลโหล ” ปลายสายที่เอ่ยตอบรับหลังจากที่รอสายอยู่สักพักชวนให้ผมยิ้มออกมาตอนที่ได้ยิน
“ แม่เล็ก โทรมาหาเมดมีอะไรครับ ”
“ แม่เล็กจะโทรมาถามครับ ว่าเสื้อสีขาวของแฟนน้องเมด จะให้แม่เล็กส่งไปให้มั้ย เป็นตัวสำคัญหรือเปล่า ” คำถามที่ทำให้ผมนึกคิดถึงเสื้อของอาฟที่คงใส่ไว้ในตะกร้าซักของที่บ้านตามความเคยชิน และตอนนี้มันคงถูกซักและรีดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่เล็กเลยโทรมาถาม
“ ไม่ต้องหรอกครับ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่วันเมดคงกลับบ้านแล้ว ”
“ จะพาแฟนมาแนะนำตัวแล้วเหรอ ” เสียงแซวของปลายสายทำให้ผมยิ้ม “ จะมาเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกก่อนนะ แม่จะเตรียมต้อนรับอย่างดีเลย หมูตุ๋นน้ำแดงของโปรดน้องเมด แม่เล็กจะทำไว้ให้เป็นหม้อเลยดีมั้ย ”
“ แม่เล็ก ” ไม่ต้องตอบอะไรออกไป แต่กลับเรียกเธอออกไปทั้งอย่างงั้น
“ ว่าไงครับ ”
“ ทำยังไงถึงจะทำให้ผู้ใหญ่ชอบเราเหรอครับ ” คำถามของผมทำให้ปลายสายเงียบไป ผมรู้ว่าอีกคนคงสงสัยว่าทำไมจู่ๆผมถึงตั้งคำถามนั้นออกมา
“ กำลังจะถามว่าทำยังไงให้พ่อแม่ของแฟนชอบน้องเมดน่ะเหรอ ” ผมไม่ได้ตอบอะไร เราเงียบกันไปสักพักก่อนที่แม่เล็กจะตอบ “ แม่เล็กว่าถ้าเป็นน้องเมดแล้วละก็ แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้วละ ”
“ จริงเหรอ มันแค่นั้นเองเหรอครับ ”
“ อื้ม ” แม่เล็กตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ได้ยินผ่านปลายสายเพราะเสียงของลมหายใจ “ ยังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้มั้ยลูก วันนั้นเพราะคำพูดของน้องเมดนะ ที่ทำให้แม่เล็กตัดสินใจแต่งงานใหม่กับพ่อของเรา คำที่น้องเมดตอนอายุหกขวบพูดว่า ‘ มาอยู่ด้วยกันก็ดีนะ เมดจะได้ไม่เหงา อยู่ด้วยกันหลายๆคนสนุกดีออกนะ ’ ”
“ จำไม่ได้แล้วละครับ ”
“ ตอนนั้นเรากอดวิวไว้แน่นเลย แล้วก็บอกว่า ดีใจจังเลย น้องเมดจะมีน้องแล้วด้วยละ ส่วนเจ้าวิวก็กอดน้องเมดแล้วก็พูด น้องวิวก็จะมีพี่ชายแล้วนะ พี่ชาย พี่ชาย แล้วก็เรียกน้องเมดแบบนั้นอยู่ตั้งหลายวันเลย ”
“ เหรอครับ ” ผมหลุดหัวเราะออกมาตอนที่คิดถึงเรื่องราวที่แม้แต่ตัวเองก็ยังจำไม่ได้ แต่พอลองจินตนาการไปมันกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ น้องเมดน่ะ เป็นคนจิตใจดี แม่เล็กก็เลยบอกเราไง ว่าถ้าสำหรับเราน่ะ แค่เป็นตัวเองก็พอแล้ว เพราะเราน่ารักอยู่แล้ว ”
“ ขอบคุณนะครับ ” ผมตอบรับคำพูดของเธอ “ ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องเลย ”
“ ก็นะ อยู่ด้วยคนหลายๆคนมันก็สนุกดีแบบนี้ละ ” หลุดยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยบอกฝันดีแล้วกดวางสายลง ผมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดในตอนนั้นก่อนจะจัดการชาร์จแบตมือถือของตัวเอง ก่อนจะพาร่างของตัวเองไปชาร์จแบตร่างกายบนเตียงข้างๆกับร่างสูงอีกคนที่ไม่ต่างอะไรกับสายชาร์จของผมเพียงแค่เราได้นอนกอดไว้
ในคืนนี้ผมปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไป
ปล่อยความเครียด หรือแม้ความคาดหวังว่าใครบางคนจะคิดทบทวนเรื่องของผม
อย่างที่ใครๆต่างบอกให้ลองเปิดใจ
ผมปล่อยมันไป ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้
........................................................................
ประกาศเล็กน้อย
เพราะเนื้อหามันเชื่อมต่อกัน ศุกร์หน้าที่ 1 มีนาคม หนมจะลงให้อ่านอีกตอนนะคะ
อย่าลืมเข้ามาอ่านกัน
ก่อนหน้านี้เรามีความคิดว่าจะให้พี่อาฟจัดการ แต่สุดท้ายตัดสินใจที่จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวมากกว่า เพราะพี่อาฟ ถ้าให้พูด คงไม่น่าจะได้พูดดีๆกันแบบนี้ แน่นอนว่า ความจิกกัดสไตส์พี่แกคงมาเต็ม เพราะอย่างงั้น น้องเดย์ที่สุด
รักความพี่น้องของ อาฟเดย์
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ด้วยนะคะ
ท้ายนี้ นิยายเรื่องนี้ยังคงเปิดจอง ปิดจองวันที่ 5 เมษายน นะคะ
ขอบคุณมากจ้า