จากหนึ่งวันเคลื่อนเข้าสู่หนึ่งอาทิตย์ จากที่ต้องนอนนิ่งๆอยู่ที่บนเตียงในโรงพยาบาลตอนนี้ก็ได้เวลาที่คนป่วยจะได้กลับบ้านเสียที คุณอารยะที่ดูสดชื่นและสดใสกว่าทุกวันใส่เสื้อยืดสีดำตัวโปรดกับกางเกงสีเดียวกัน และตอนนี้ก็กำลังจัดการใส่เข็มขัดของตัวเองอยู่
เสียงฮัมดนตรีได้ยินเบาๆเป็นระบะบจนผมต้องหลุดยิ้ม ท่าทางมีความสุขนั้น อาจเพราะอีกฝ่ายจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมตั้งแต่เมื่อวานด้วยการโทรบอกน้องชายตัวเองให้เอารถมาให้ เพราะตั้งใจไว้ว่าจะขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง ส่วนผมเองก็จัดกระเป๋ากลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ค่อยอยากจะกลับเท่าไหร่เหมือนกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ ครับ ” ผมเดินไปบอกเปิดประตูห้องของตัวเอง ก็พบกับคุณตำรวจสองคนคนเดิมที่เคยมาสอบสวนเรา มายืนอยู่ที่หน้าห้อง
“ สวัสดีครับ ” ใบหน้านั้นก้มลงทักผมก็ยักมือไหว้ ก่อนที่คุณตำรวจจะแนะนำตัวแล้วเดินเข้ามาหา “ วันนี้จะออกจากโรงพยาบาลกันแล้วเหรอครับ ”
“ ครับผม คุณตำรวจเดินทางมา มีอะไรหรือเปล่าครับ ”
“ ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณอารยะครับ ”
“ ครับ” คนโดนเอ่ยชื่อเดินออกมาจากเตียง ก่อนจะยกมือไหว้คุณตำรวจที่ก็ก้มหน้าลงทัก
“ ผมจะมารายงานผลการสอบสวนของคดีที่เกิดขึ้นครับ ” คุณตำรวจว่าแบบนั้น ผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปสบตาอาฟที่ก็หันมามองกันเพียงครู่ แล้วก็หันไปพยักหน้ารับให้คนพูด “ ตอนนี้ทางเราได้ดำเนินการทางคดีเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ และก็ได้ส่งเรื่องไปให้อัยการพิจารณาในการสั่งแล้วในเช้าวันนี้ "
“ งั้นเหรอครับ ”
“ ทางคุณอารยะเองก็สามารถยื่นคำร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายได้นะครับ ”
“ สำหรับเรื่องนั้นคงไม่ต้องหรอกครับ ทางผมได้รับการติดต่อจากพ่อแม่ของทางนั้นแล้ว และเค้าก็ยินดีชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลทั้งหมด ซึ่งผมก็ต้องการให้รับผิดชอบแค่นั้น ”
“ แล้ว ตอนนี้ผู้ต้องหา เป็นยังไงบ้างเหรอครับ ”
“ อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีครับ ”
“ เหรอครับ ” ผมพูดเสียงเบาออกมาในตอนที่ได้ฟัง เข้าใจอยู่เหมือนกันว่าไม่สามารถที่จะรู้เรื่องราวความเป็นไปนั้นได้ทั้งหมด
“ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ”
“ ครับ ขอบคุณมากนะครับ ” อาฟยกมือไหว้คุณตำรวจ ผมเองก็เช่นกัน ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วตอนนั้นอาฟก็พูดแค่สั้นๆ “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลอย่างงั้น ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับอีกคนก็หันไปมองแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ ได้กลับบ้านสักทีเนอะมึง โคตรเบื่อเลย ”
“ กูว่าก็โอเคออก ได้นอนห้องหรูตั้งหลายวัน ” คนป่วยยักไหล่ ผมก็ได้แต่มองไปรอบๆห้อง ก็สมกับที่เป็นคุณอารยะ ในวันที่พ่อแม่จิงหอบกระเช้ามาเยี่ยมมัน พออีกฝ่ายเอ่ยว่าจะช่วยเหลือค่ารักษาเต็มที่ มันก็จัดการบอกพยาบาลขอย้ายห้องไปอยู่ห้องที่แพงที่สุดทันที แถมยังบอกหมออีกว่า มันจะอยู่จนหายสนิทถึงจะออกไป ตอนนั้นทางพ่อแม่จิงก็แค่ยิ้มแห้งๆ ส่วนคนที่พูดออกมาแบบนั้นก็พูดสั้นๆแค่ว่า ‘ ช่วยจ่ายเต็มที่อย่างที่บอกด้วยนะครับ ’
“ แล้วนี่เราไปไหนก่อน แวะกินข้าวก่อนมั้ย หรือว่าจะกลับคอนโดเลย ” เอ่ยถามอีกคนตอนที่ก้มลงไปรูดซิปกระเป๋า ผมเงยหน้าขึ้นมองอาฟที่ก็เดินเข้ามากอดคอผมไว้
“ กูจะไปที่ที่หนึ่งก่อน วันนี้กูนัดกับคนคนนึงไว้ ”
“ ใครวะ ? ” ไม่มีคำตอบจากคำถามนั้น มีเพียงแค่รถสปอร์ตสีดำคันเดิมที่ถูกขับไปตามทางที่ไกลออกไปจากเส้นถนนสุขุมวิท ผมมองรอบข้างที่ค่อนข้างคุ้นชินเพราะมันคือทางกลับคอนโด แล้วนั่นก็ทำให้ผมขมวดคิ้วแล้วต้องเอ่ยถามคนขับอีกครั้ง “ นี่มึงจะพากูกลับคอนโดเหรอ ? มึงนัดวิวไว้เหรอ ”
“ นิ่งๆน่า ” ตอบแค่นั้นก่อนจะดึงมือผมข้างนึงไปจับไว้แล้วขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายมันก็มาจอดอยู่ด้านหลังของโรงเรียนมัธยมเก่าของผมที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนของอีกคน
“ เดี๋ยวนะ มึงนัดใครที่โรงเรียนเหรอ ”
“ ลงไปเดี๋ยวมึงก็รู้ ” อาฟบอกก่อนจะปรับเกียร์แล้วดึงเบรคมือขึ้น สายเข็มขัดนิรภัยของเราถูกปลดพร้อมกันแล้วในตอนที่ผมก้าวออกไปข้างนอก ก็พบว่าวันนี้เป็นธรรมดาที่อีกไม่นานก็ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว นั่นก็เพราะรถขายของกินที่กำลังจอดเรียงรายอยู่ข้างฟุธบาท มันมีทั้งของกินที่ผมเคยชอบ แล้วก็ของกินใหม่ๆ รวมถึงพื้นที่ว่างที่ตอนนี้กลายเป็นคาเฟ่น่ารักๆ ที่คงมาเปิดได้ไม่นาน
“ ไม่ได้มานานเปลี่ยนไปโคตรเยอะ ”
“ เหรอ ” คนที่เดินมายืนข้างกันพูดขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆบ้าง “ จำได้มาเมื่อก่อนยังไม่มีร้านคาเฟ่ตรงนั้น ”
“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับตาม “ แล้วก็ยังไม่มีร้านขายน้ำตรงนั้นด้วย ”
“ อื้ม ”
“ แล้วโรงเรียนกูก็คือ เปลี่ยนไปมาก มีตึกใหม่ด้วย ตอนกูอยู่ไม่เห็นแม่งจะพัฒนาเหี้ยอะไร แต่พอกูออกบุ๊ป มีตึกใหม่บั๊ป ”
“ ขี้บ่น ” อาฟพูดเสียงเบา “ แต่โรงเรียนกูก็มีตึกใหม่เหมือนกัน ” บอกแบบนั้นก่อนจะมองไปด้านหลัง ที่ตอนนั้นผมก็มองตามมันไปเหมือนกัน ตึกสูงสีขาวที่ดูสวยงามชวนให้เรามองอยู่นานจะผมต้องหันมาถามอีกคนด้วยคำถามที่ก็ยังคงสงสัยอยู่
“ แล้วตกลงมึงนัดเจอใครที่นี่ ”
“ นั่นร้านชานมที่มึงชอบซื้อไม่ใช่เหรอ ” คนข้างกันเชิดหน้าเปลี่ยนเรื่องไปที่ร้านชานมเจ้าประจำของผมที่เคยซื้อเกือบทุกวันสมัยอยู่ม.ปลาย “ ไม่อยากกินเหรอวะ ไม่มีคนนะ ”
“ มึงแม่งอย่าพูดดิวะ คนกำลังไดเอทไอ้สัด ” เสียงหัวเราะของคนข้างตัว ผมก็มองไปรอบๆ “ รอให้คนที่มึงนัดมาก่อนก็ได้ เสร็จธุระแล้วค่อยไปซื้อ ”
“ เค้ายังไม่ออกมาหรอก ถ้ามึงยังไม่ข้ามถนนไปอีกฝั่ง ”
“ ไม่เข้าใจ ”
“ ก็ลองข้ามถนนไปแล้วเดี๋ยวจะเข้าใจเอง ” เลิกคิ้วสงสัยอีกคน
“ เค้าเป็นคนขี้อายเหรอ ”
“ ตอนนี้ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงใช่ กูเห็นเค้าชอบก้มหน้างุดทุกทีเวลา..ได้ของ ”
“ งั้นกูไปซื้อชานมก่อนก็ได้ เสร็จแล้วเรียกนะ ”
“ อื้ม ” อาฟยักคิ้วให้ผมที่ก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนจะหยุดยืนนิ่งบนฟุธบาทแล้วเงยหน้ามองดูโรงเรียนของตัวเองในมุมใกล้ๆอยู่สักพัก
ทุกอย่างที่นี่มีความทรงจำ แม้มันจะทำให้รู้สึกทุกข์แต่ว่าตอนนั้นมันทั้งสนุกและมีความสุขอย่างที่สุดแม้หวนกลับมาคิดถึงในตอนนี้ ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองอาฟที่ยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของถนนเพื่อดูคนที่นัดเจอ แล้วในตอนนั้น รอยยิ้มของอาฟที่มอบให้กัน ก็ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่าง
บรรยากาศตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับสี่ปีเลยสักนิด ผมยืนอยู่ตรงนี้ แล้วอาฟก็ยืนอยู่ตรงนั้น ‘ อย่างงี้นี่เอง ’ ผมพูดกับตัวเองในใจ รู้แล้วว่าคนที่อีกฝ่ายนัดเจอคือใคร เข้าใจแล้วว่าทำไมถ้าผมไม่ข้ามถนนมาก็คงไม่เจอ แล้วเข้าใจด้วยว่าเค้าเป็นคนที่ขี้เขินแค่ไหนในตอนที่รับของ เพราะคนคนนั้นก็คือผม คนที่เมื่อสี่ปีก่อนมีนัดกับอาฟในทุกวันตอนเย็น
“ แม่ง เล่นกูอีกละ ” เผลอสบถออกมา แต่ทว่าดูเหมือนครั้งนี้มันจะต่างกันไปจากทุกครั้งอยู่หน่อย อาจเพราะครั้งนี้ไม่ต้องมีคนส่งนมแล้ว ไม่มีแม้แต่เด็กคนอื่นที่จะชวนให้ผมเบนสายตาไปมองและคิดว่า อาจจะเป็นเค้าคนนั้น เพราะวันนี้คนที่อยู่ตรงข้ามกันข้างหน้ามีแค่ผู้ชายที่ชื่อ อารยะ แค่เพียงคนเดียว
วินาทีนั้นความวุ่นวายของสิ่งแวดล้อมรอบตัวถูกเบาเสียงลงอย่างกระทันหัน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคืออัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มจังหวะให้ดังขึ้นทุกที เพียงแค่ผมจ้องมองคนที่อยู่ตรงข้ามกันเพียงเท่านั้น ท่าทางตกประหม่าของผู้ชายที่ปกติทั้งแสนขี้เก็กและค่อนข้างปากหมา มองจากตรงนี้ อาฟกำลังกลืนน้ำลายลงและเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นไว้แน่น สายตาที่มองมาหากันอย่างจริงจัง ก่อนที่ขานั้นจะค่อยๆก้าวเดินออกมาหลังจากที่มองซ้ายขวา อย่างมั่นใจ
“ นี่นะเหรอ คนที่มึงนัดไว้ ” แล้วนั่นก็เป็นคำถามแรกที่ผมเอ่ยถามอีกคน แล้วตอนนั้นคนที่ถอนหายใจออกมาก็พยักหน้ารับ
“ อื้ม ” มันเป็นเสียงขานรับในคอที่บางเบาจนชวนให้ผมยิ้ม “ ก็เมื่อก่อนไม่เคยกล้าเดินเข้ามาหาเลย วันนี้เลยอยากจะลองเดินเข้ามาหาดู ”
ช่างเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วชวนให้ยิ้มกว้างกว่าเก่า
“ มึงแม่ง.. ” ทำได้แค่สบถแต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นก่อน
“ ยืนรอตรงนี้ แปปนึงนะ ” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป แผ่นหลังนั้นเดินผ่านร้านข้างทางแล้วหายเข้าไปในเซเว่นที่อยู่แถวนั้นสักพัก ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับนมช็อกโกแลตแบบที่ไม่ต้องเดา ผมก้มหน้าลงยิ้มกว้างตอนที่เห็น คนเอามาให้เองก็ก้มหน้าก้มตาเดินมาเหมือนกัน หูแดงจัดที่ห้ามความรู้สึกเขินอายไว้ไม่อยู่แล้วตอนที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า อาฟก็ยื่นมันมาให้ผม
“ กูถามจริงๆนะ ทำไมมึงถึง..”
“ ก็กูย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว ” มันเป็นคำพูดสั้นๆที่อีกคนพูดกับผมในตอนนั้น คำพูดที่ทำให้รอยยิ้มของผมที่อยากจะเอ่ยล้อมันหายลับไปแล้วทำได้แค่เพียงยืนฟังมันนิ่งๆ “ แต่ก็อยากให้มึงรู้ว่า ถึงกูจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว แต่วันนี้ กูทำให้ได้นะ แม้ว่าตอนนั้นจะพลาด ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คิดไว้ แต่ต่อไปนี้ จะทำให้นะ จะทำอย่างที่เคยคิดว่าจะทำกับมึงมาตลอด แล้วนี่ก็คือทสิ่งแรกที่กูอยากทำ ” นมที่ถืออยู่ถูกยัดมาในมือผม “ กูซื้อมาให้ ”
“ แล้ว.. มึงชื่ออะไรเหรอ ” อาฟนิ่งไปตอนที่ผมถาม “ ก็ไม่เคยได้พูดเลยไม่ใช่เหรอ คำนี้น่ะ ”
“ อาฟเตอร์ ” เจ้าของชื่อพูดเสียงเบา ก่อนกลืนน้ำลายตกประหม่านั้นลงคอแล้วเน้นย้ำอย่างมั่นใจออกมาอีกครั้ง “ ชื่ออาฟเตอร์ อารยะ ”
“ อื้ม กูชื่อเมดนะ ”
“ ชอบ ” คำสั้นๆที่เหมือนหลุดออกมาชวนให้ผมเองหลุดยิ้ม ส่วนอาฟเองก็เหลือบไปมองทางอื่น ตอนที่ผมมองตามไปจ้องตามันเพื่อทำทีเป็นแกล้งไม่ได้ยิน อีกก่อนก็สูดลมหายใจเข้าไปในปอดจนลึกแล้วหันกลับมาบอกอีกครั้ง “ กูชอบมึง ”
“ เรื่องนั้นกูรู้อยู่แล้ว ” อาฟหลุดยิ้มออกมา คนตรงหน้าที่ถอนหายใจในตอนนั้นมันเกาหัวตัวเองแก้เก้อกับสิ่งที่อยู่ๆก็พูดออกมา ส่วนผมเองก็ก้มหน้าลงเจาะนมที่ตัวเองถืออยู่ก่อนจะยกขึ้นดูดแล้วตอนนั้นคนข้างกันก็เอื้อมมือมากอดคอกันไว้ “ เออ กูว่าจะถามหน่อย ”
“ ว่า ”
“ เมื่อก่อนมึงเคยส่งโจทย์เลขมาให้กูแก้สมการให้ ท้ายกระดาษที่กูส่งไป กูเขียนไอดีไลน์แล้วก็เบอร์โทรไว้ด้วยนะ ตอนนั้นมึงไม่เห็นเหรอ ”
“ เห็น ” คำตอบที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว
“ แล้วทำไมไม่แอดไลน์มา ”
“ ใครจะกล้า ”
“ อะไรวะ ไม่สมเป็นเจ้าของผับ throw up เลยนะ อารยะ ” ส่ายหน้าไปมากับความป๊อดของอีกคน แต่ในตอนนั้นอาฟก็แค่ยิ้มให้ผม
“ ช่วยไม่ได้ ก็ตอนนั้นกูเป็นแค่ไอ้อาฟเตอร์ ห้องสี่ศิลป์คำนวนที่ชอบเด็กโรงเรียนตรงข้ามที่ชื่อเมดก็เท่านั้น ”
“ นั่นก็จริงของมึง ”
ความเงียบคืบคลานเข้าปกคลุมเราที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง แต่ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจที่เหมือนกำลังโอบกอดเราสองคนอะไร โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ แล้วตอนนั้นอาฟเอื้อมมือมาจับมือผม
“ มึงน่ะ คิดยังไงกับรักครั้งแรกวะ ” ขมวดคิ้วในตอนที่อยู่ๆ ก็โดนอีกฝ่ายถามขึ้นมากะทันหัน ผมหันไปมองอาฟที่ไม่ได้หันหน้ามามองผมในตอนนั้น ก่อนจะคิดหาคำตอบอยู่สักพัก
“ คงเป็นรักที่ลืมได้ยาก แล้วก็จบลงด้วยความไม่สมหวังเป็นส่วนใหญ่ละมั้ง ”
“ เหรอ ”
“ อื้ม ”
“ แต่สำหรับกู รักครั้งแรก คือ รักครั้งเดียวของชีวิต แล้วมันก็เกิดขึ้นตรงนั้น ” ใบหน้าคมเชิดหน้าไปตรงฟุธบาทที่ถนนฝั่งตรงข้าม “ มันก็เกิดขึ้นในวันที่กูเดินมาหยุดอยู่ตรงนั้น ตอนที่ห็นมึงยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อสี่ปีที่แล้ว ”
“ อาฟ รู้มั้ยว่ามึงน่ะสมเป็นเจ้าของผับ throw up จริงนะๆ ” ผมก้มหน้าลงตอนที่พูดแบบนั้น “ ภายนอกดูน่ากลัว แต่ข้างใน กลับอบอุ่น ”
“ งั้นเหรอ ”
“ แล้วที่ที่ throw up อบอุ่นที่สุดสำหรับกูก็คือ ชั้นสาม เพราะที่ชั้นสามตรงนั้น มันมีมึงอยู่ ” ผมถอนหายใจพลางยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปหาอาฟ “ เพราะงั้นสัญญาอะไรกับกูสักข้อได้มั้ย ”
“ อะไร ”
“ อยู่ด้วยกันอย่างงี้ไปตลอดนะ ”
“ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ จนถึงตอนนี้ กูไม่เคยคิดจะไปไหน ” แล้วนั่นก็คือคำตอบ ที่ไม่ได้บอกกันเพื่อให้มั่นใจในอนาคต แต่เป็นคำตอบที่บอกกันว่า อดีตเคยเป็นมายังไง ต่อไปนี้ก็จะยังคงเป็นไปอย่างงั้น ‘ เคยรักกันยังไง ก็จะรักไม่เสื่อมคลายไปอย่างงั้น ’ เพื่อให้สมกับที่พูดว่า นี่คือรักครั้งแรก และก็จะเป็น รักครั้งสุดท้ายของชีวิต
-------------- The end --------------
ในที่สุดก็มาทันสิ้นปี
นิยายเรื่องยาวในปีนี้ จบลงทันปี 2018 จนได้
ก่อนอื่นเราขอขอบคุณคนอ่านที่แสนจะน่ารักของเรา ที่อยู่ติดตามกันมาตลอด
ขอบคุณที่เป็นบ่อพลังงานและแรงใจให้เราอย่างสม่ำเสมอ
ทุกคอมเม้นท์ที่เขียนถึงกันทุกตอน จากทุกช่องทางที่อัพ
กำลังใจในวันที่เขียนนิยายไม่ทัน เมนชั่นเข้ามาให้เสมอผ่านช่องทางทวิตเตอร์
หนมขอขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ เราอาจจะตอบกลับไม่หมด แต่เราอ่านข้อความของทุกคน จากทุกแท็ก ที่ทุกคนแท็กให้
ขอบคุณที่คอยช่วยผลักดัน ให้นิยายเรื่องเสร็จสมบูรณ์
และตอนนี้ก็อยากจะถือโอกาส ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ไปกับทุกคน
สวัสดีปีใหม่นะคะ สำหรับปี 2019 ผับชั้นสาม ยังคงเปิดทำการเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือความสนุกของตอนพิเศษ ที่เนื้อหาเข้มข้นแน่นอน
ฝากติดตามด้วยนะคะ
และสำหรับใครที่สนใจ เนื้อหาในส่วนของการรวมเล่ม หนมจะอัพรายละเอียดทั้งหมด
ในตอนที่อัพตอนพิเศษแรกให้อ่านกันนะคะ คิดว่า น่าจะเริ่มในวันศุกร์ที่ 5 มกราคม
สุดท้ายนี้ สวัสดีปีใหม่นะคะ happy new year ค่ะทุกคน
รักนะคะ
อย่าลืมแท็ก #ผับชั้นสาม ด้วยนะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า
