ตอนที่ 44
ภายในห้องนอนที่ค่อนข้างเงียบ อากาศเย็นชวนให้ผมห่อตัวเข้ากับผ้าห่มผืนหนา ก่อนที่แขนของคนที่นอนอยู่ข้างกันจะเอื้อมมากอดเอวผมไว้แล้วดึงให้เข้าไปใกล้จนแผ่นหลังของผมแนบชิดลงกับอก ท่าทางที่บอกว่าคนที่นอนอยู่ด้วยกันคงตื่นนอนแล้ว และกำลังเริ่มกิจวัตรประจำวันของเค้า นั่นคือการจูบที่ต้นคอของผมเป็นอย่างแรก ก่อนจะตามมาด้วยการกดจูบลงไปที่ข้างแก้มเป็นลำดับต่อมา
“ หมวย ตื่นไปช่วยป๊าขายซาลาเปาได้แล้ว ” พ่อของผมไม่เคยเปลี่ยนอาชีพเลย ตั้งแต่คบกับอาฟมา พ่อผมขายของอยู่สองอย่างเท่านั้นในตอนเช้า นั่นคือซาลาเปากับโจ๊ก และมันก็จะมาพร้อมกับแรงหอมที่ฝังลงไปบนข้างแก้มแบบเต็มแรง แรงแบบชนิดที่ว่าแก้มของผมมันยุบลงไปจนทำให้ปากจู๋
ในความคิดอาฟ มันคงคิดแค่ว่าผมเป็นพวกนอนขี้เซาแบบไม่ยอมตื่นนอนถ้ายังไม่ถึงเวลา มันเลยคิดว่าตัวมันจะทำอะไรก็ได้ จะหอมแก้มกันแบบแรงแค่ไหน หรือนานเท่าไหร่ก็ได้ ผมก็จะไม่มีวันตื่นขึ้นมาเห็นตัวมันที่ชอบทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด ทั้งๆที่มันคงไม่ได้คิดหรอกว่า ‘ หอมแก้มแรงขนาดนั้น ไม่มีใครไม่ตื่น ยกเว้นคนตายแล้ว ’
“ อื้ม ” ทำทีเป็นสะเมอแล้วพลิกกลับตัวมากอดอีกคนไว้ เอาจริงๆเหตุผลที่ไม่ยอมบอกความจริงว่าตัวเองตื่นแล้ว ก็คงพ่วงด้วยเหตุผลนี้
ผมเองก็ชอบที่จะทำแบบนี้ในทุกเช้า ชอบการที่ตัวเองจะซุกอยู่ในอ้อมกอดของอีกคนแล้วสูดดมกลิ่นตัวอุ่นๆในยามตื่นนอนของอาฟ เป็นช่วงเวลาที่ดีๆที่ไม่อยากจะให้หายไปไหนทั้งนั้น เตียงนุ่ม อากาศเย็น และอ้อมกอดของคนที่เรารัก มีความสุขที่สุดแล้ว
“ ตื่นแล้วก็ลุก ” ก็ถ้าไม่นับว่า วิธีนี้มันไม่เคยเนียนเลย อาฟรู้ตัวตลอดว่าผมตื่นนอนแล้ว
เผลอถอนหายใจออกมาแต่ก็ทำทีเป็นหลับทั้งๆที่ไม่เนียน ผมซุกหน้าอยู่กับซอกคอของอีกคนก่อนจะกอดไว้แบบนั้น ทำตัวเหมือนลูกแมว แม้ว่าคนที่ผมกอดไว้จะไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น
“ มึงคิดว่ามึงเป็นลูกแมวตัวเล็กๆรึไง ลุกออกไปไอ้ลูกหมู กูหายใจไม่ออก ”
“ ไอ้สัด ” สบถด่าออกมาในที่สุด ผมเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่าอาฟคงอยู่ไม่ได้จริงๆถ้ามันไม่ได้ยินเสียงด่าของผม
จำใจเลื่อนหัวตัวเองมานอนที่หมอนอย่างเซ็งๆ หมดกันความรู้สึกหวานซึ้งในตอนเช้า ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะลืมตาแล้วพยายามปรับดวงตาให้เข้ากับแสงภายในห้องแต่ก็ไม่ไหวสุดท้ายก็พลิกตัวหันไปหลบเข้ากับอกคนข้างตัวอยู่ดี อาฟหลุดหัวเราะออกมาตอนที่เห็นแบบนั้น มันดึงตัวเองเข้ามาใกล้ผม พยายามยกตัวเองให้สูงขึ้นเพื่อให้อกอยู่ในมุมที่ทำให้ผมซุกตัวได้ถนัดขึ้น แล้วก็แอบยกยิ้มอยู่คนเดียว ตอนที่ผมซุกตัวเข้าไปใกล้
ผมจะไม่มีวันบอกมันหรอก ว่าผมรู้ว่ามันตั้งใจทำแบบนั้นให้กันในทุกเช้าเพราะอยากให้ผมนอนหลับเต็มอิ่ม และจะไม่มีวันบอกด้วยว่าผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดไม่ได้หลับแต่อย่างใด ผมรู้ว่ามันลูบหัว รู้แม้กระทั้งว่ามันชอบก้มลงมาจูบ ก่อนจะเปลี่ยนไปนอนนิ่งๆทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรอย่างงั้น มันคงบอกตัวเองว่า ‘ ก็แค่ขยับตัวเพื่อนอนเล่น ’ คนแบบนั้นก็คงมีแต่ข้ออ้างแบบนี้เพื่อหลบหลีกความเขินอาย
“ กี่โมงแล้ววะ ” หลับตาอยู่นานก่อนจะลืมตาขึ้นถามคนที่นอนด้วยกัน ผมพลิกตัวไปหยิบมือถือที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงขึ้นมาเปิดดู อาฟเองก็เปลี่ยนท่าทางทำเป็นหลับต่อด้วยการก้มลงมาซุกที่ซอกคอแล้วกอดเอวกันไว้แน่น มันที่หายใจเข้าออกสม่ำเสมอชวนให้ผมยิ้มเพราะรู้สึกว่ามันเหมือนอยากจะหลับต่อจริงๆ
เวลาเกือบบ่ายสองฉายขึ้นบนหน้าจอรู้สึกขี้เกียจอย่างบอกไม่ถูก อยากนอนโง่ๆบนเตียงถ้าทำได้ แต่นั่นคงเป็นแค่ฝัน เพราะความจริงที่ต้องเจอคือแจ้งเตือนของงานมากมายของวันนี้ที่ปรากฏอยู่บนแล้วหน้าจอ
ผมเปิดเข้าไปในไลน์กลุ่มของสต๊าฟผับ throw up เป็นอย่างแรก เพราะปกติพี่ซองผู้จัดการร้านจะเป็นแจ้งรายละเอียดต่างๆประจำวันไว้ให้ แม้ทุกคนจะมีตารางงานอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างที่มีลืม ยกตัวอย่างเช่นผมในตอนนี้ ที่กำลังตาโตกับสิ่งที่เห็นบนหน้าจอ
[ คืนนี้ รายละเอียดงานจะเริ่มตั้งแต่สองทุ่มนะครับ สองทุ่มดีเจเปิดแผ่น สามทุ่มถึงสี่ทุ่มวง the need ขึ้นแสดง จากนั้น ห้าทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ส้มฉุน จะขึ้นแสดงนะครับ โต๊ะ VIP เต็มหมดทุกโต๊ะ ส่วนแขกขาจรเก็บค่าเข้า 500 นะครับฟรีสเมอร์นอฟหนึ่งขวด ตรงส่วนนี้อินกับน้องนายแคชเชียร์จะเป็นคนดูแลนะ ส่วนแบบเหมาโต๊ะ ไม่รับแล้วนะครับ เต็มแล้ว ]
ทั้งประโยคยาวเยียดนั่นที่ได้อ่าน สาบานว่าผมสนใจแค่คำว่า ‘ ส้มฉุน ’ เพียงเท่านั้น ก่อนจะนิ่งไปแล้วอ่านมันซ้ำๆว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดหรือเข้าใจผิดแต่อย่างใด มือของผมชา หัวใจของผมมันสั่นรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก จนเผลอย้ำถามกับคนที่นอนกอดกันออกไป
“ อาฟ วันนี้นักร้องที่ชื่อพี่ส้มฉุนเค้าจะมาที่ผับเราเหรอวะ ”
“ อื้ม ” อีกคนบอกแบบไม่ใส่ใจแต่ในใจของผมมันกลับยิ่งเต้นรัว คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว ‘ จริงเหรอวะ นี่พี่ส้มฉุนจะมาที่ผับเราเหรอวะ พี่ส้มฉุนอะนะ พี่ส้มฉุนที่กูชอบมากๆน่ะนะ จริงเหรอ นี่เรื่องจริงเหรอวะ ’ “ เป็นอะไร ”
คำถามที่ทำให้ผมหันไปมองคนที่หันก็มามองกัน แววตาคมที่สบกันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถระงับอาการความดีใจได้ ปากมันอยากจะพูดระบายความรู้สึกดีใจทั้งหมดออกไปให้หมดเปลือก แต่ทุกอย่างก็ถูกชะงักไว้กับความคิดที่โผล่ขึ้นว่า ‘ ผมไม่คิดว่าอาฟจะโอเคถ้ามันรู้ว่าผมชอบพี่ส้มฉุน ’
“ เปล่า ” ส่ายหน้าเป็นคนคำตอบให้อีกคน ก่อนจะพยายามสงบจิตใจให้นิ่งไว้
‘ ส้มฉุน ’ คือนักร้องและนักแต่งเพลงที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี ผมไม่ได้เข้าใจแนวเพลงของเค้าว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ไว้ว่าจะเป็นเพลงอะไรที่เค้าร้องผมก็ชอบมันทั้งหมด ผมชอบเสียง ผมชอบเนื้อหาในเพลง แล้วก็ชอบความมีสไตส์ของเค้า รูปลักษณ์ภายนอกของพี่ส้มฉุน ไม่ใช่คนหล่อ แต่เค้าดูน่ารัก เป็นหนุ่มเซอร์ที่ไม่ได้ไว้หนวดเคราแต่มีกีต้าร์สะพายอยู่กับตัวเป็นอิมเมจที่เหมือนจะแยกจากเค้าไปไม่ได้
เค้าเป็นนักร้องคนแรกที่ผมชอบ ชอบถึงขนาดซื้อซีดีทุกแผ่นที่วางขาย โหลดเพลงเต็มอัลบั้มไว้ในมือถือ และก็เป็นนักร้องคนเดียวในชีวิตที่คิดว่า สักครั้งต้องไปเห็นเค้าร้องเพลงสดๆกับตาให้ได้ แต่ทว่าตั้งแต่ชอบเค้ามา ผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปดูเค้าเลยสักครั้ง แม้จะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ก็ตาม
“ มึงเป็นอะไรรึเปล่า ? ”
“ ห๊ะ ? มีอะไร ” หันไปถามอีกคนอาฟก็แค่ขมวดคิ้ว
“ มึงดูแปลกๆ ”
“ แปลกอะไร ไม่มี๊ ” ผมบอกเสียงสูงก่อนจะล็อคหน้าจอมือถือทำทีเป็นไม่สนใจอะไร “ วันนี้กูว่าเข้าผับเร็วหน่อยดีกว่า ”
“ เข้าไปเพื่อ ? ”
“ ก็มันมีนักร้องมา เผื่อกูช่วยอะไรพวกมันได้ ”
“ งานมึงเมื่อไหร่ งานไอ้เจมัน ”
“ ก็เข้าไปช่วยไง เผื่อมีอะไรให้กูช่วย แบบงานเล็กๆน้อยๆ ”
“ คนช่วยมันเยอะแยะ ” อาฟบอกก่อนจะถอนหายใจออกมา “ คนเรามันมีหน้าที่เป็นของตัวเอง เราแค่ปล่อยให้เค้าทำงานในหน้าที่ของเค้า ไม่อย่างงั้นกูจะจ้างคนเยอะแยะทำไม ถ้ามึงไปช่วยงานเค้าทำหมด เราก็ไม่ต้องแบ่งหน้าที่กันทำงานหรอก ”
“ แปลได้ว่า อย่าเสือกงานไอ้เจ แล้วอยู่เฉยๆทำงานของมึงไปรึเปล่าวะ ” ผมถาม อาฟก็แค่ยิ้มก่อนจะก้มลงมาจูบหน้าหน้าผาก
“ ฉลาดขึ้นแล้วนี่ ”
“ ไอ้สัด ” ได้แต่ถอนหายใจออกมาเซ็งๆ ทั้งๆที่อยากจะเถียงต่อออกไปเหลือเกินว่า ที่กูอยากจะเข้าผับเร็ว กูไม่ได้อยากจะเข้าไปช่วยอะไรเจมันหรอก กูก็อ้างไปแบบนั้น แต่กูแค่อยากจะทำงานของกูให้เสร็จเร็วๆมากกว่า แล้วพอห้าทุ่มกูจะได้ว่างแล้วลงมานั่งฟังพี่ส้มฉุนร้องเพลง เพราะกูชอบพี่เค้า กูชอบเพลงเค้า กูอยากฟังเพลงของไอดอลกู
ลุกตัวเองขึ้นจากเตียง ต่างจากทุกวันที่ผมมักจะงัวเงียอยู่นาน บางทีนี่อาจจะเป็นของขวัญจากพระเจ้า ท่านคงเห็นว่าผมเศร้าอยู่หลายวันแล้วกับปัญหาร้อยแปดก็เลยส่งพี่ส้มฉุนมาให้ปลอบใจ ผมเดินเข้าไปอาบน้ำในตอนนั้นก็ฮัมเพลงโปรดของตัวเองไปด้วย หยุดยิ้มกับตัวเองไม่ได้เลยสักวินาที ในตอนที่ออกจากห้องน้ำแล้วเปิดประตูเสื้อผ้าก่อนจะยืนคิดอยู่นานว่าจะใส่ชุดไหนดี
“ อาฟ ” เอ่ยเรียกอีกคนที่นอนดูทีวีไม่ยอมลุกไปไหน ผมชูเสื้อสองตัวไปให้มันดู “ มึงว่ากูใส่ตัวไหนดูดีกว่ากัน ”
“ มันต่างกันยังไง ” คนตอบถามกลับด้วยท่าทางสงสัย ผมก็ก้มลงมองเสื้อที่ตัวเองถืออยู่ ตัวนึงเป็นเสื้อยืดคอกลมแบบแขนยาวลายขวางสีขาวดำ ส่วนอีกตัวเป็นผ้าเป็นเสื้อเชิ้ต ลายขวางเหมือนกันแต่เป็นทางยาวสีน้ำเงินกับขาว
“ มันต่างกันนะเว้ย ตามึงมีปัญหาเหรออาฟ ทำไมแยกแยะไม่ได้วะ ”
“ ไปหาที่มันต่างกว่านี้มาไป ” เข้าไปในห้องแต่งตัวอีกครั้งคราวนี้ผมหยิบแบบแขนสั้นลายขวางมาแล้วก็แขวนเสื้อลายขวางสีน้ำเงินขาวที่หยิบออกไปเมื่อครู่ไว้ที่เดิม
“ ต่างพอยัง มึงว่าแขนสั้นหรือแขนยาวดี ” ผมยิ้มให้มันตอนที่ถาม อาฟเองก็หันมาทำหน้านิ่งก่อนจะถาม
“ ถามจริงๆนะ ชาติหน้ามึงอยากเกิดม้าลายเหรอ ”
“ มึงแม่ง กูก็ไม่ได้ใส่เสื้อลายขวางบ่อยขนาดนั้นเปล่าวะ ” เถียงมันออกไปแบบยิ้มๆ ทั้งที่ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกบ้าเสื้อขวางอย่างจริงจัง เห็นเป็นไม่ได้ ชอบเหลือเกิน ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็อยากจะซื้อ อีกอย่างผมรู้สึกว่ามันคือเสื้อแนวกันตายของผม ใส่ยังไงก็รอด ไม่ดูเชย
“ ไม่บ่อยหรอก ก็แค่อาทิตย์หนึ่งเจ็ดวัน มึงใส่เสื้อลายขวางไปแล้วห้า ”
“ แม่ง ฮ่าๆ ” ได้แต่หัวเราะออกมาเสียงดังกับคำพูดนั้น ผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวอีกครั้ง แล้วยืนตัดสินใจเลือกเสื้อสองตัวที่ดูไปดูมามันเก็เหมือนกันอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจแขวนเสื้อแขนสั้นแล้วก็เหลือไว้แค่เสื้อแขนยาวลายขวางตัวที่ใส่บ่อยๆ ชุดเก่งที่รู้สึกว่าใส่เมื่อไหร่ก็ดูดี ก่อนจะหยิบเอาเสื้อสีเทาแขนยาวออกมา ผมออกไปข้างนอกอีกครั้ง “ อาฟ ว่าไง คราวนี้ต่างละ ”
“ ลายขวาง ” อีกคนปรายตาจากจอทีวีมามองก่อนจะตอบแค่สั้นๆ
“ เห็นมั้ย ไม่ว่ายังไงมึงก็ยังเลือกลายขวางให้กูใส่อยู่ดี ถึงกูจะใส่บ่อยๆก็เถอะ นั้นก็เพราะว่ากูใส่แล้วเหมาะถูกมั้ย ”
“ เพราะมึงเดินออกมาให้กูเลือกสามรอบแล้วสำหรับเสื้อเหี้ยนี่ งั้นก็แสดงว่ามึงอยากใส่มันที่สุด กูก็เลยเลือกมัน ” คำพูดที่ทำให้ผมนิ่งก่อนจะหันไปมองเสื้อที่อยู่ในมือ ก็คงจริงแบบนั้น ผมตอบตัวเองในใจ และตอนนั้นเองที่เห็นอาฟยกยิ้มด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจก่อนจะหันมามองผมแล้วพูดแบบอวดอย่างรู้ใจ “ แล้วก็ต้องใส่กับกางเกงสีดำปลายบานตัวนั้น แล้วก็รองเท้าที่กูซื้อให้ตอนวันเกิดคู่เดิม ”
“ รู้ใจขนาดนี้ไม่สมเป็นมึงเลยนะอารยะ ” ผมบอกแบบนั้นอีกคนก็ยิ่งได้ใจ อาฟส่ายหน้าไปมาก่อนจะถอนหายใจออกมา เป็นท่าทางที่เหมือนจะบอกกันว่า ‘ เรื่องแค่นี้เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับมัน ’
ทั้งๆที่จริงวันนี้ตั้งใจจะใส่กางเกงขอเดฟกับรองเท้าอดิดาสคุมโทนดำขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าสักหน่อย แต่ก็เอาว่ะ กูจะยอมใส่กางเกงขาบานเหนือตาตุ๋มตัวนั้นกับรองเท้าตอนมึงให้ตอนวันเกิดก็ได้ ไม่อยากจะทำลายความมั่นใจที่แสนภาคภูมิใจของอีกคน
“ เสร็จแล้ว ” ผมเดินออกมาด้วยชุดที่มันบอก อาฟหันมามองกันด้วยหางตา รอยยิ้มที่บอกกันว่า คิดไม่ผิดเลยว่าต้องชุดนี้ ฉายออกมาจากแววตานั้น “ มึงว่าเป็นไง ”
“ อะไรเป็นไง ”
“ หมายถึงชุดกู ”
“ ก็เหมือนทุกครั้งที่ใส่ ” อาฟบอกแบบปัดๆ ผมก็ได้แต่ก้มลงมองชุดที่ใส่อยู่ ถึงมันจะเป็นชุดเก่งที่ใส่อยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่อยู่ดี คงเพราะวันนี้มันไม่ใช่วันธรรมดาทั่วไป ผมตั้งใจอยากจะแต่งตัวให้มันดูดีสักหน่อย เพราะตั้งใจไว้ว่า จะขอเข้าไปถ่ายรูปคู่กับพี่ส้มฉุนสักรูป ถ้าทำได้ละก็นะ
“ แล้วมึงว่ามันเป็นไง แบบ หล่อ ก็ดี หรือยังไง ” คำโดนถามลุกขึ้นจากเตียงตอนที่ผมพูดแบบนั้น อาฟมองหน้าผมอยู่นานก่อนจะไล่สายตามองตั้งแต่เสื้อจรดปลายเท้า ก่อนจะมองกลับขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง ความเงียบในตอนนั้นชวนให้ผมเลียปากไปมาเพราะเริ่มทำตัวไม่ถูก “ มันพูดยากเหรอวะ หรือยังไง กูเกร็งนะ มึงอย่าเสือกคิดนาน..”
“ น่ารัก ” มันขัดคำพูดที่กำลังพูดอยู่ของผม เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อีกคนแล้วตอนที่กำลังแซวว่า ‘ อะไรนะ ไม่ได้ยิน ’ เพื่อให้มันพูดซ้ำ อาฟก็บอกปัดแค่สั้นๆ ว่า “ ไม่พูดซ้ำ ” ก่อนจะเดินเข้าไปห้องน้ำไปด้วยอาการหูแดงจนมันลามมาที่หน้า
ครืน ครืน ครืน
เสียงโทรศัพท์ของผมดังอยู่ในรถที่กำลังขับตรงไปที่ผับ ปากที่กำลังฮัมเพลงโปรดไม่หยุดปากถอนหายใจออกมากับสายที่โทรเข้ามาขัดตอนที่ถึงท่อนฮุกของเพลงพอดี
“ กำลังได้ฟิวเลย แม่งโทรมาขัดทำไมวะ คนกำลังจะร้องเพลง ” ผมบ่น แต่ตอนนั้นอาฟก็แค่ยิ้มก่อนจะพูดเบาๆ
“ งั้นกูก็คงต้องขอบคุณมันแล้วละ ”
“ อารยะไม่น่ารัก ” เอื้อมมือไปจับคางมันอาฟที่สะบัดออกก่อนจะพูดแบบไม่สนใจ
“ นั่นมันหน้าที่มึงไม่ใช่หน้าที่กู ” ยักคิ้วให้ตอนที่พูดเสร็จ ก่อนจะเชิดหน้าไปที่มือถือที่ก็สั่นไม่หยุด “ แล้วก็รับสักที กูรำคาญ ”
ก้มหน้าลงมองมือถือทันทีก่อนจะได้พูดอะไรต่อ บนหน้าจอนั้นฉายภาพของน้องชายผมเป็นคนโทรเข้ามา ผมกดรับ “ ว่าไงครับน้องวิว ”
“ พี่เมดมึงอยู่ไหน ”
“ กำลังจะไปผับ ” ผมตอบอีกคนก่อนกดเบาเสียงพูดของอีกคนที่เหมือนจะก้องออกมาจากลำโพงของมือถือ
“ วันนี้พี่ส้มฉุนมาที่ร้านมึงรู้ยัง ” ปลายสายพูดด้วยความดีใจ ผมก็ทำทีเป็นนิ่งทั้งที่ในใจอยากจะตะโกนบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีออกไป อยากบอกวิวด้วยซ้ำว่าตอนนี้ถ้าผมทำได้คงย้ายเวลาไปห้าทุ่มแล้ว เพราะผมอยากจะเจอเค้าใจจะขาดอยู่แล้ว แต่ทว่าความจริงสิ่งที่ทำได้มีแค่
“ เออ รู้แล้ว ”
“ อะไรวะ มึงไม่ดีดี๊เลยอะพี่เมด ปกติมึงต้องกรีดร้องแล้วไม่ใช่เหรอวะ นี่พี่ส้มฉุนนะเว้ย ”
“ กูอยู่กับอาฟ ” ผมบอกอีกคนเป็นประโยคสั้นๆ วิวก็เงียบไปก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ พี่อาฟยังไม่รู้สินะว่ามึงติ่งพี่ส้มฉุน ”
“ เออ ” ผมบอก
“ ถ้ารู้มีหวังมึงต้องนั่งแห้งอยู่ในห้องที่ชั้นสามแน่ๆ ”
“ ไว้ถ้ามันทำแบบนั้น กูจะโทรมาร้องไห้ให้มึงฟังนะ ”
“ ฮ่าๆ ” อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง “ กลัวอะไร พี่มึงก็ดื้อบ้างสิ ”
“ ดื้อเหี้ยอะไร เรื่องเก่ากูเพิ่งเคลียร์ ”
“ อะ พอพูดเรื่องเก่า กูคิดว่ากูเองก็ควรนิ่งแล้วไม่ควรออกความคิดเห็นเหี้ยอะไรทั้งนั้น เอาที่พี่เมดคิดว่าดีเลยจ้า ” ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่อีกคนบอกกันด้วยเสียงล้อเลียน
“ แล้วนี่มึงโทรมาทำไม ”
“ เอ้อ เกือบลืม! กูมีอะไรจะบอก วันนี้กูไปฟิวที่รังสิตมากับพี่เจ แล้วมึงรู้มั้ยตอนกูกินบอนชอนอยู่ใครเดินมานั่งในร้าน ”
“ ใครวะ ”
“ เจออีเชี้ยบินกับผู้หญิงนางนึงจ้าอีพี่มึง ” ผมถอนหายใจออกมาตอนที่ได้ยิน ทำไมซื้อหวยไม่ถูกบ้างวะ ผมคิดว่าถ้าไม่ใช่บิน ก็คงเป็นยีนส์ไม่ก็จิงแน่นอนสำหรับคนที่มันเจอแล้วต้องโทรมาบอกกันแบบนี้ “ แล้วคือกูว่าชะนีนางนั้นต้องเป็นแฟนมัน คือมีความพูดตลอดว่า บินคะบินขา แล้วไม่นั่งตรงข้ามนะจ๊ะ นั่งข้างกันเลยมึงทั้งที่มากันสองคน แล้วคือแบบออเซาะตลอดเวลา ”
“ เหรอ ” บอกน้องแบบนั้นพราะไม่รู้จะมีรีเอ็กชั่นกับเรื่องนี้ยังไง ไม่อยากจะใส่ใจแล้วสำหรับเรื่องนั้น ชีวิตมันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากรู้อีก ผมเบื่อที่จะฟังชื่อคนพวกนั้นด้วยซ้ำ ฟังไปชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นจากที่เป็นเท่าไหร่ แต่วิวก็เหมือนจะพูดยิงยาวแบบไม่มีช่วงหยุดให้แทรกบอกได้เลย
“ แต่มันก็ยังไม่เลิกสันดานเหี้ยๆเนอะพี่เมด ยังคั่วยังมั่วเหมือนเดิม แต่ก็สมควรละของแบบนี้ก็เหมาะกับเชี้ยยีนส์ดีแล้ว มันต้องได้รับความเสียใจอย่างสาสมที่มาทำร้ายคนแบบมึงละพี่เมด แล้วนี่กูถ่ายภาพเชี้ยบินกับผู้หญิงคนนั้นมาด้วยนะ ถ้าเกิดว่ามึงอยากดู...”
“ ลบไปเถอะมึง ” ผมบอกวิว “ อย่าไปสนใจมันเลย ชีวิตของเค้าเราไม่เกี่ยวจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของเค้า อีกอย่างรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตกูดีขึ้นด้วย มีแต่ทำให้แย่ลง ”
“ เดี๋ยวนะ..ปกติมึงต้องอยากเห็นหน้าของผู้หญิงไม่ใช่เหรอวะ คือ โอเค มึงไม่ใช่ชอบหาเรื่องคนกูรู้ แต่แบบกูถ่ายรูปมาอะ ปกติมึงต้องขอดูว่าหน้าตาเป็นยังไงนะ แต่นี่พี่มึงเปลี่ยนไปอะ อะไรที่ทำให้พี่มึงเป็นแบบนี้ไปได้วะ ”
“ การทะเลาะกับไอ้อาฟครั้งที่แล้วไงไอ้สัดที่มันทำให้กูเปลี่ยนไป ” ปลายสายที่ได้ฟังหัวเราะออกมาจนเสียงดังจนผมเองต้องเผลอยิ้มแล้วหันไปมองคนข้างกันที่ก็หันมามองผมพอดี คงเพราะมีชื่อมันอยู่ในบทสนทนาของเราอาฟก็เลยให้ความสนใจ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ บทเรียนราคาแพงเนอะ ”
“ ไม่เอาอีกแล้วจ้า ” ผมลากเสียงยาว ปลายสายที่ฟังก็เงียบไปผมได้ยินเสียงของวิวถอนหายใจออกมา
“ แต่ก็ดีแล้วละพี่เมด ตอบโต้กันไปตอบโต้กันมามันไม่มีวันจบ พี่อาฟไม่ชอบก็อย่าไปยุ่งมันก็ดีแล้ว ต่างคนต่างอยู่เพราะยังไงคนพวกนั้นมันก็ไม่มีวันเจริญหรอก มันทำร้ายพี่เมดแบบนั้นสักวันกรรมมันก็ต้องตามสนอง ”
“ อื้ม ” ผมตอบ “ ปล่อยมันไปเถอะ กูมีความคิดว่าสนใจมันไปชีวิตกูก็ไม่ได้ดีขึ้น มีแต่แย่ลงด้วยซ้ำ อีกอย่างกูเดินออกมาแล้วกูก็ไม่ควรหันหลังกลับไปสนใจอีก สิ่งที่กูควรทำคือเดินหน้าต่อไป ”
“ เฉียบ ”
“ มึงเองก็ด้วยวิว เลิกสนใจพวกมันเถอะ อย่าเอามันเข้ามาเป็นส่วนนึงในชีวิตเลยวะกูว่า แล้วทีหลังกูขอเลยนะ ถ้ามึงเจอมันก็ไม่ต้องบอกกู กูไม่อยากรับรู้ ไม่อยากจะสนใจด้วย มันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องของพวกมัน ไม่มีเกี่ยวอะไรกับกูอีก ”
“ โอเคเข้าใจแล้ว ” อีกคนพูดตอบกลับเสียงเบา
“ แล้วภาพนั้นก็ลบเลยนะ ไม่ต้องเก็บไว้ มึงอย่าไปเอาปัญหาของคนอื่นมาทำให้เป็นปัญหาของเรา ต่างคนต่างอยู่มันดีที่สุดแล้ว เข้าใจมั้ย ”
“ เข้าใจแล้วครับ น้องเข้าใจแล้ว น้องจะลบทันทีเลยหลังจากที่พี่เมดวางสายไปโอเคมั้ย ”
“ อื้ม ดีมาก ”
“ แต่วิวถามหน่อยสิพี่เมด ”
“ ว่า ”
“ แล้วถ้าพวกมันยังแกล้งพี่เมดอยู่เหมือนเดิม ยังวอแวอ้อนตีนกันอยู่แบบนี้ไม่ยอมปล่อย พี่เมดจะทำยังไง จะทนต่อไปเหรอ ”
“ อื้ม ก็คงงั้น ” ผมตอบ “ กูคงทำเป็นเฉยๆ เหมือนมองไม่เห็นไปนั่นแหหละ เพราะว่าถ้าเราไม่สนใจมันนานๆไป มันก็เบื่อแล้วก็เลิกสนใจเราเองนั่นแหละมั้ง ”
“ ก็คงมั้งนะจริงๆสำหรับคนพวกนั้น ” วิวถอนหายใจออกมาตอนที่บอก “ แต่จำคำวิวไว้นะพี่เมด ถ้ามันทำอะไรเกินขอบเขตขึ้นมาเมื่อไหร่ วิวไม่ปล่อยมันไม่แน่ แล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าจะมีหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนมาห้าม ”
“ หน้าไอ้เจอะ ”
“ อันนั้นกูก็ไม่สนหรอก เพราะกูจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมารังแกมึงเกินขอบแขตแน่นอน พี่กู กูรังแกได้คนเดียวคนอื่นกูห้าม มันไม่มีสิทธิ์ ”
“ เท่ห์สุดน้องวิวกู ” ผมเอ่ยแซวมันก่อนจะหัวเราะ “ แต่อย่าสร้างปัญหาเลยมึง กูพูดจริงๆนะ อีกไม่นานกูก็จบปีสี่แล้ว นี่ก็เทอมสุดท้ายแล้ว ทนๆไปเถอะ จบจากตรงนี้กูก็ไม่เจอมันแล้วละ ”
“ ไม่รู้ไม่ชี้ ”
“ เดี๋ยวกูจะฝากให้ไอ้เจคอยดูแลมึง กูจะอนุญาตให้มันหยิกหัวนมมึงได้ตามสบายถ้ามึงดื้อ ”
“ อีพี่เวร ฮ่าๆ ” อีกฝ่ายสบถออกมาก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะ “ มึงต้องปกป้องกูสิ นี่น้องไง น้องวิวที่จะคอยปกป้องพี่เมด ”
“ ขอบใจมึงมากนะ แต่.. ”
“ แต่ไม่ต้องเสือกเรื่องกู มึงจะพูดแบบนี้ใช่มั้ยพี่เมด โอเค กูเก็ตเลย ” มีแต่เสียงหัวเราะที่ดังลั่นออกมาตอนที่มันพูดแบบนั้น ไม่อยากจะบอกอว่า ใช่ นั่นแหละคำที่กูจะพูดเลย แต่เพราะผมกลัวว่ามันจะโดนตอบกลับจากอีกฝ่ายแรงๆมากกว่า ถ้าเกิดยื่นมือเข้าไปเกี่ยว ไหนจะเจอีก ผมไม่อยากให้มันสองคนทะเลาะกันในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของมัน “ งั้นแค่นี้ก่อนแหละ มึงก็มีความสุขกับการดูพี่ส้มฉุนให้มากๆแล้ว แต่ระวังอย่าให้พี่อาฟรู้ละ ไม่งั้นโดนขังไว้ชั้นสามแน่นอน เชื่อกู ”
“ เออน่า แค่นี้แหละ ไว้คุยกัน ดูแลตัวเองด้วยนะ ”
“ พี่เมดด้วยนะ เข้าใจว่าพี่อาฟร้อนแรง แต่ก็อย่ามัวแต่จิ้มกับพี่อาฟละ แบบวันก่อนที่วิวกลับมายังอยู่กันในห้องไม่ออกมาแม้มันจะเที่ยงแล้ว แบบนั้นไม่เอาแล้วนะ ”
“ กูนอนมั้ย ไม่ได้เอากันไอ้บ้า ”
“ น้องได้ยินเสียงงงงง ” ผมส่ายหน้าไปมากับปลายสายที่พูดขึ้นมา “ ไม่รู้ละพี่เมดต้องตั้งใจเรียนด้วยนะ ”
“ มึงไปบอกตัวเถอะ แค่นี้แหละไอ้ตัวดี ”
“ รักพี่เมดนะ จุ๊บๆ ”
“ เออ จุ๊บๆ ” กดวางสายของไอ้น้องจอมป่วนนั่นลง ก่อนจะส่ายหน้ากับตัวเองแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่ตอนนี้เคลื่อนไปช้ากว่าทุกทีก่อนที่มันจะจอดลงเพราะสัญญาณไฟแดงด้านหน้าที่ฉายขึ้น อาฟดึงมือลงจากพวงมาลัยที่จับอยู่ แล้วในวินาทีต่อมามันก็ขยับเกียร์เข้าสู่โหมดจอด ก่อนจะดึงเบรคมือขึ้น แล้วก็นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น
เราไม่ได้พูดอะไรกันแต่น่าแปลกที่มันกลับไม่อึดอัดเลยสักนิด คงเพราะเพลงที่เปิดอยู่ หรือบางทีอาจจะเป็นเมือหนาของอีกคนที่เอื้อมมือมาจับมือของผมไว้ อาฟกุมมือของผมหลวมๆ เป็นความรู้สึกที่ชวนให้อบอุ่นอย่างที่สุด แล้วในวินาทีที่เราสบตากันอีกคนก็ชี้ชวนให้ผมหันไปมองอีกฝั่ง
“ ดูนู้นสิ ”
“ อะไร ” เผลอหันไปมองแล้ววินาทีนั้น มือข้างที่กุมอยู่ก็โดนดึงขึ้นไปจูบแบบรวดเร็วก่อนจะโดนลดลงมาที่เดิม ในตอนที่ผมหันไปหันกลับไปมอง คนที่กระทำการนั้นก็แค่ตีหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนผมได้แต่กลั้นขำ “ อารยะ มึงไม่เนียนนะ ”
“ อะไรไม่เนียน ” ยังคงตีหน้าซื่อต่อไป ปล่อยให้ผมกลั้นยิ้มจนหูแดงหูแดงอยู่แบบนั้นกับความรู้สึกปั่นป่วนในท้องราวกับมีผีเสื้อเป็นฝูงบินไปวนไปมา
“ มึงจูบมือกู กูรู้นะ ”
“ แบบนี้น่ะเหรอ ” ถามออกมาก่อนจะดึงมือผมขึ้นจูบบนหลังฝ่ามือ แววตาคมนั้นจดจ้องกันก่อนจะยกยิ้มบอก “ กูไม่ได้ทำสักหน่อย ”
“ อารยะ มึงนี่มัน.. ” หน้าผมแดงไปทั้งหน้าในตอนนั้น บอกเลยว่า แพ้น็อคอย่างราบคาบ แต่ในใจก็ยังกร่อนด่าอีกคนด้วยความแค้น ‘ ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้สัด ’