ตอนที่ 38
“ กูได้ข่าวว่าไอ้วิวห้องห้ามันเป็นเด็กเสี่ย ” คำถามที่ทำให้ผมที่นั่งอยู่ในห้องน้ำของโรงเรียนขมวดคิ้วกับตัวเอง มือที่กำลังขยับเล่นเกมส์หยุดลงก่อนจะกดปิดหน้าจอแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่คนสองคนนอกห้องน้ำกำลังพูดทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ มึงไปเอามาจากไหน ” คู่สนทนาพูดขึ้นมันเป็นคำถามเดียวกับที่ผมอยากรู้เหมือนกัน ว่ามึงไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน
“ ก็เห็นเค้าพูดๆกัน ”
“ แล้วเค้าคนนั้น แม่งคือใครวะ ” พูดขึ้นไปทั้งๆที่ด้วยยังนั่งอยู่ในห้องน้ำ ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมามองคนสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่ล้างหน้า คุ้นหน้าว่าเราคงอยู่ชั้นเดียวกันแต่ก็ไม่เคยคุยด้วยกันสักครั้ง ความจริงผมไม่ได้ปวดท้องเข้าห้องน้ำหรืออะไรหรอกแค่เบื่อๆ วิชาเลขก็เลยขออาจารย์ออกมาเข้าห้องน้ำ แต่แทนที่จะได้ใช้เวลาสิบนาทีก่อนเลิกเรียนกับเกมส์ที่กำลังผ่านด่านแสนยากกลับกลายเป็นว่าต้องมาหงุดหงิดกับเรื่องได้ยิน ผมยืนมองหน้าคนสองคนที่เหมือนใบ้กินต่างกับตอนที่เกริ่นพูดเรื่องของผมเมื่อครู่ “ ว่าไงวะ ตกลงเค้าคนนั้นแม่งคือใคร ”
“ เอ่อ.. ” คนนินทาเหลือบมองเพื่อนตัวเองที่นิ่งพอกัน “ มันคงเป็นเรื่องไม่จริงอะมึง กูคิดว่างั้น ” ยกยิ้มกับความเปลี่ยนสีเร็วของคนเล่าที่เมื่อกี้ตอนขึ้นต้นเรื่องมันยังพูดด้วยน้ำเสียงที่อยากจะเม้าส์กันอยู่เลย
“ งั้นเล่าให้กูฟังหน่อย กูอยากจะรู้ว่ามันพูดถึงกูว่าอะไร ”
“ ก็.. ก็พูดประมานว่ามึงเป็นเด็กเสี่ย แล้วทุกวันศุกร์มึงจะขึ้นบีทีเอสไปนอนที่คอนโดของเสี่ยมึง แล้ว แล้วก็มีเด็กในโรงเรียนเราเคยได้ยินด้วยว่า มึงเรียกอีกคนว่า ลุง ” ปลายเสียงที่พูดออกมาเบาๆ ผมผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่ได้ฟัง คือไม่รู้ต้นขั๋วของข่าวลือหรอก แต่ถ้ารู้ก็อยากจะบอกมันเลยว่า มึงปั้นข่าวลือได้เหี้ยมาก พี่เจแม่งเพิ่งปีสี่เองไอ้สัดพูดอะไรเกรงใจหนังหน้ามันด้วย ถ้าเป็นพี่อาฟกูจะไม่ว่าเลย เพราะรายนั้นก็หน้าแก่อยู่พอจะเป็นเสี่ยให้กันได้
“ งั้นมึงก็เอาไปเล่าต่อหน่อยว่า นั่นคือสรรพนามที่กูเรียกเพื่อนของแฟนพี่ชายกู กูกิ๊กกับมันอยู่ แล้วแม่งก็เพิ่งปีสี่ ไม่ใช่เสี่ยเหี้ยไรทั้งนั้น ”
“ อ่า..โอเค ”
“ ฝากไปกระจายข่าวด้วย เอาให้ดังเหมือนตอนลือว่ากูเป็นเด็กเสี่ยเลยนะพวกมึง ฝากด้วย ” ยิ้มให้คนสองคนที่ก็ได้แต่พยักหน้ารับแล้วยิ้มแห้งๆ ผมเดินออกมาจากห้องน้ำขึ้นไปบนห้องเรียนที่ก็พบว่าวิชาเลขที่น่าเบื่อในความคิดได้จบลงไปแล้ว
“ กูคิดว่ามึงตกถังขี้ไปแล้วไอ้วิว ” บี้เพื่อนผมที่นั่งเรียนอยู่ข้างกันถามขึ้นมา มันที่ขวดคิ้วกับท่าทางหงุดหงิดของผม “ เป็นเหี้ยอะไรวะ ยังไม่หายปวดท้องเหรอ ”
“ เปล่าไอ้สัด มึงก็รู้กูโดดไปนั่งเล่นเกมส์ในห้องส้วม ” ผมบอกมันอีกคนก็เหลือบมองเพื่อนรอบๆ
“ กูต้องเนียนไง แล้วมึงเป็นอะไรทำไมทำหน้าเซ็งอย่างงั้นวะ ”
“ กูโดนลือว่าเป็นเด็กเสี่ย ”
“ ห๊ะ ? ” เพื่อนสนิทเอียงหน้างงใส่ แววตาเรียวที่เบิกกว้าง ผมก็พยักหน้ารับใส่ “ ใครเป็นเสี่ยของมึง พี่เจ ? ”
“ อื้ม มีคนบอกว่าได้ยินกูคุยโทรศัพท์กับเชี้ยลุงบนบีทีเอสแล้วกูเรียกลุง เลยคิดว่ากูเป็นเด็กเสี่ย ”
“ คือแค่นั้นอะนะ ไม่คิดว่าคุยกับญาติเหรอวะ ”
“ สงสัยหน้าตากูจะชวนให้มองในแง่ดีไม่ได้ นี่ถ้าเผลอเรียกพ่อว่า แด็ดดี้ก็ต้องเป็น แด็ดดี้ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อแน่ๆเลยสัด ” ผมหันไปพูดด้วยหน้าเซ็งๆ แต่อีกคนก็ได้แค่หลุดยิ้มแล้วสบถออกมา
“ มึงแม่ง ”
“ กูบอกมันด้วยนะ ว่าให้กระจายข่าวไปด้วยว่า แค่กิ๊กกัน แม่งก็ยังเรียนแค่ปีสี่ แล้วกูก็ไม่ใช่เด็กเสี่ยที่ไหน”
“ พูดว่าเป็นแค่กิ๊กแต่ไปหาเค้าทุกวันศุกร์ แถมพออาทิตย์ไหนหยุดยาวก็ไปอยู่กับเค้าตลอด ” เหลือบมองคนพูดที่ก็เหลือบมองผมกลับเช่นกัน “ สิ่งที่มึงเป็นไม่มีใครเรียกว่ากิ๊กอะ มึงกับเค้าเหมือนเป็นแฟนกันมากกว่า แต่แค่ไม่ยอมรับมั้ย ”
“ ไม่รู้ ” ผมบอกปัดเพราะไม่อยากจะพูดถึงชื่อของความสัมพันธ์ระหว่างเรา ทั้งๆที่บางทีผมก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่ากำลังรออะไรอยู่ ผมรอในสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆเหรอ คำพูดที่ว่า ‘ สอบติดมหาลัยแล้วค่อยมาเคลียร์กันว่าจะเอายังไง ’ หรือจริงๆแล้ว ก็แค่เขินที่จะพูดออกไปว่า ‘เป็นแฟนกัน’ เพียงเพราะแค่เราเริ่มต้นมาจากความสัมพันธ์ที่เรียกว่า วันไนท์สแตน
“ ปากแข็ง มึงแม่งโคตรฟอร์มอะวิว ” เพื่อนผมบอกก่อนจะก้มลงนอนลงบนโต๊ะแล้วพูดเสียงเบาๆ “ มึงจะแคร์ทำไม เริ่มมาจากวันไนท์ไม่ได้จีบแบบคนทั่วไปแล้วมันยังไงวะ แค่เค้าชอบมึง มึงชอบเค้า มันก็โอเคแล้วมั้ย ”
“ กูไม่รู้ว่ะ กูก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจริงๆ กูคิดอะไรอยู่ เหมือนบางทีกูก็แค่อาจจะอ้างไปเรื่อย ” หันไปบอกเพื่อนก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างของห้องเรียน “ คนเราแม่งก็อยากจะมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับความรักไม่ใช่เหรอวะ แต่ของกูมันไม่มีอะไรเลย เหมือนแค่คนขี้เงี่ยนสองคนที่ถูกใจกันก็เท่านั้น ”
เสียงดังวุ่นวายในช่วงเวลาเลิกเรียนผมเก็บทุกอย่างใส่ลงไปในกระเป๋าเป้ของตัวเองก่อนจะดึงมันขึ้นมาสะพายหลัง วันนี้เป็นวันศุกร์แล้วมันก็เหมือนกันกับทุกอาทิตย์ที่ผมจะต้องไปนอนที่คอนโดใครอีกคนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
“ มึงวันนี้แดกเจมส์ชีสกันกูอยากกิน ” ไอ้บี้ที่ยืนอยู่ข้างผมบนรถไฟฟ้าเอ่ยบอก
“ เอาดิ กูก็อยากกินเหมือนกัน ” วันนี้ผมมีเรียนภาษาอังกฤษช่วงทุ่มนึงที่ร้านกาแฟในห้าง คนสอนเป็นนักศึกษามหาลัยเดียวกันกับพี่เมด แถมพี่เมดยังเป็นคนติดต่อแล้วก็ออกค่าเรียนพิเศษให้ด้วย ส่วนไอ้บี้วันนี้มันมีเรียนเลขในห้างเดียวกันกับผมแต่อยู่คนละร้านกันและเพราะแบบนั้นทุกวันศุกร์เราก็จะกลับบ้านด้วยกันตลอด
ช่วงนี้เด็กม.หกอย่างผมค่อนข้างขยันเป็นพิเศษ จากที่ไม่เคยเรียนพิเศษอะไรมาก่อนในชีวิตก็เริ่มคิดที่อยากจะเรียนในวิชาที่ไม่ค่อยเข้าใจ
เมื่อก่อนผมไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับตัวเอง เหมือนแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ จนหลังจากที่ได้คุยกับพี่ชายตัวเอง ได้พูดเรื่องที่อยู่ในใจมาตลอด วินาทีที่ได้รับเข้าใจขนาดนั้น ผมก็คิดแค่ว่า อยากจะลองพยายามดูสักครั้ง อย่างน้อยก็ให้พี่เมดดีใจ
แต่ทว่ายิ่งได้ลองสมัครสอบ แล้วเข้าไปสอบเยอะเท่าไหร่ มันเหมือนกับว่า ผมมาคิดได้ตอนที่มันสายไปแล้ว ถ้าให้เปรียบกับสนามรบ ผมคือคนที่ฝึกฟันดาบมาหนึ่งเดือน ส่วนคู่ต่อสู้ฝึกมาแล้วทั้งชีวิต ในขณะที่คนข้างตัวทำข้อสอบอย่างแข็งขันมั่นใจ ผมก็นั่งคิดแล้วคิดอีก กับโจทย์ข้อเดียวกันนั้น ซึ่งแน่นอนว่า ผลคะแนนที่ออกมา ก็ย่อมต้องตอบแทนคนที่พยายามมากกว่าซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ผม
“ มึงคิดว่าตัวเองจะสอบติดมั้ยวะวิว” คำถามของคนตรงหน้าที่ลดมือถือลงแล้วใส่ถุงมือเตรียมกินซี่โครงหมูพันชีสเรียบร้อยทั้งๆที่อาหารก็ยังไม่มา” กูไม่มีความคิดเลยอะ ท้อจนอยากจะไปสมัครเอกชนให้มันรู้แล้วรู้รอด เหนื่อยจะพยายาม ”
“ เหอะ ไม่มีอะ ” ส่ายหน้าบอกมันผมก็หยิบถุงมือขึ้นมาใส่บ้าง “ แต่กูตั้งใจจะเรียนอินเตอร์ในเอกชนไง เลยต้องเรียนภาษาอังกฤษให้แน่นๆ ”
“ แต่มึงก็เก่งอังกฤษอยู่แล้วนะ มันก็ได้แหละกูว่า ”
“ กูตั้งใจไว้ว่าจะพยายามเรียนให้ได้ดีๆว่ะ อยากจะเรียนเก่งๆ เลยอยากจะปูพื้นฐานวิชาสำคัญให้แน่น”
“ แล้วที่บ้านมึงโอเคเหรอวะ ”
“ ไม่ค่อย แต่พี่ชายกูเค้าพูดให้ แม่ก็เลยเข้าใจ พี่กูเค้าอยากให้กูเรียนอินเตอร์ อยากให้กูได้ภาษาแบบแน่นๆ เค้าอยากให้กูไปเรียนต่อนอกอะไรแบบนั้นด้วย ”
“ ดีว่ะ กูอยากจะไปเรียนต่อนอกบ้างเหมือนกัน แต่เพราะเรื่องคราวนั้น ตอนนี้ที่บ้านก็ยังไม่ไว้ใจกูเลย ” เสียงถอนหายใจของคนตรงหน้าทำให้ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ
เรื่องคราวนั้นของมันก็คือตอนที่โดนตำรวจจับเพราะเข้าผับทั้งๆที่อายุไม่ถึง บี้กลับมาเล่าให้ผมฟังว่ามันโดนตรวจฉี่ สารพัดแล้วยังโดนแจ้งผู้ปกครองให้มารับกลับ โรงเรียนก็สั่งพักการเรียนเป็นอาทิตย์ แต่โชคดีที่มันยังเข้าใจผมอยู่บ้าง เพราะมันก็เป็นคนพูดเองให้ผมออกไปในตอนที่เราเจอพี่อาฟกับพี่เจ แต่เหมือนคนอื่นจะไม่ได้เป็นแบบนั้น แล้วตอนนี้ก็เหมือนไอ้พวกนั้นเกลียดผมไปแล้ว เจอหน้ายังไม่หันมอง ทั้งๆที่วันนั้นพวกมันก็เป็นคนบอกกับผมเองว่าให้ผมออกไปก่อน ไอ้บี้บอกว่าพวกมันคงรู้สึกไม่แฟร์ที่มีผมคนเดียวที่รอด
“ มึงก็ใช้ช่วงเวลาสี่ปีนี้ทำให้เค้ามั่นใจสิว่ะ พอจบมหาลัยเค้าก็ปล่อยมึงเองอะ ”
“ เหรอวะ ” คนฟังพยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าลงกิน “ แต่กูก็สนใจอยากจะเรียนอินเตอร์นะ หรือกูจะเอาแบบมึงดี กูไม่ชอบเรียนเลขเลย เรียนเท่าไหร่แม่งก็ไม่เข้าหัว โคตรโง่ ”
“ ลองคุยกับพ่อแม่สิวะ ”
“ เออ แล้วคนที่มาสอนมึงสอนดีมั้ย ”
“ สอนดีมาก เข้าใจง่ายนะ แต่เค้าไม่รับสอนใคร ที่มาสอนกูเพราะพี่กูไปขอให้เค้ามาช่วยสอน เหมือนจะเป็นเพื่อนพี่กูตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย แต่ถ้ามึงอยากเรียนกูจะลองพูดให้ ”
“ พี่มึงนี่โคตรแสนดีเลย ” ยักคิ้วให้คนตรงหน้าผมยกซี่โครงขึ้นมากินแล้วแอบเผลอคิดว่าถ้าพี่เมดมาฟังคำชมของไอ้บี้เค้าก็ต้องขมวดคิ้วแน่ๆ รายนั้นไม่ชอบให้ใครมาชมว่าตัวเองแสนดี แถมยังจะบอกอีกด้วยว่า ในโลกนี้มีผู้ชายหลายแบบ
“ อื้ม กูเองยังอยากมีแฟนแสนดีแบบพี่ชายกูบ้างเลย ” แล้วบางทีก็อยากจะเป็นอะไรแบบนั้นให้ได้บ้าง เป็นคนที่ไม่ว่าใครมองมาก็จะรู้สึกว่า โชคดีที่ได้ผมเป็นแฟน
“ แต่สันดานมึงชั่ว มันก็ยากหน่อยนะวิว ”
“ ไอ้สัด ” สถบออกไปยิ้มๆ ก็อาจจะจริงอย่างที่คนตรงหน้า อะไรแบบนั้น สำหรับผมมันก็ยากหน่อย
ปิดหนังสือเรียนภาษาอังกฤษลงหลังจากที่เรียนพิเศษเสร็จ เก็บของทุกอย่างลงใส่กระเป๋าก่อนจะปิดซิปแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกับคนตรงหน้า พี่มิกซ์เป็นผู้ชายตัวเล็กที่สูงไล่เรี่ยกับผม เค้าเป็นผู้ชายที่ไม่ได้หล่อมากแต่ก็ไม่ใช่คนในแบบที่ดูไม่ดี สำหรับผม เค้าเป็นคนเฟรนลี่แถมยังสอนสนุก จนแอบเสียดายมากที่เค้าไม่รับสอนใครเลย ยกเว้นผมที่ถ้าพี่เมดไม่ขอร้องก็คงไม่รับสอนเหมือนกัน
“ เก่งขึ้นเยอะเลยวิว ที่บอกว่าไม่ค่อยได้ทวน โกหกพี่ใช่มั้ย ” ผมยิ้มกว้างให้อีกคนที่ก็ชี้หน้ากันเหมือนจะคาดโทษกัน “ แต่ดีแล้ว ทบทวนเยอะๆ อย่างที่พี่บอก เห็นอะไรก็หยิบขึ้นมาอ่าน ไม่รู้ก็เปิดดิกแล้วลองจดคำนั้นใส่สมุดดู นานๆไป ศัพท์ที่เรารู้มันก็จะเยอะขึ้น ”
“ แล้ววิวพอจะเรียนอินเตอร์ไหวมั้ยพี่มิกซ์ ”
“ พี่ว่าไหว แต่มันขึ้นอยู่ว่าเราจะเรียนคณะอะไรด้วยนะ ”
“ ยังไม่รู้เลยครับ ” ผมบอกอีกคนก่อนจะยิ้มแห้งๆ
“ แล้วพี่เมดมันว่าไงละ ”
“ ก็ไม่ว่าอะไรหรอก รายนั้นตามใจจะตาย เรียนอะไรก็ได้แหละ ”
“ งั้นก็ลองคิดดูว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ยังมีเวลาให้คิดอยู่ “ อีกคนบอก “ พี่ว่าเราเก่งภาษานะ บุคลิคภาพก็ดูเป็นคนมั่นใจแต่ก็ไม่ถึงว่ามั่นใจจนไม่เห็นหัวผู้ใหญ่ ถ้าชอบท่องเที่ยว ลองเรียนเสริมอีกสักภาษา แล้วไปสมัครเป็นสจ๊วตสิ ”
“ ก็น่าสนใจนะ ”
“ แต่เราต้องเข้าใจก่อนนะ มันไม่มีงานอะไรสบาย แม้แต่งานตัวเอง หรือฟรีแล๊นซ์ที่อยู่กับบ้านเฉยๆ ” ถอนหายใจออกมากับอีกคน ผมพยักหน้ารับ
“ วิวแค่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบที่จะทำอะไรบ้าง หรืออยากจะเป็นอะไร ตอนนี้วิวมีความรู้สึกแค่ว่า วิวชอบภาษาอังกฤษ วิวทำมันได้ดี แต่ถ้าถามว่า งั้นจะเอาภาษาอังกฤษที่ชอบไปต่อยอดอะไรได้บ้าง คำตอบคือ วิวไม่รู้ วิวไม่ชอบสอนคนอื่น ตัดครูออกไป จะไปเรียนบริหาร วิวก็ไม่เก่งเลขอีก ”
“ งั้นรองจากภาษาอังกฤษละ ชอบอะไร ”
“ ก็ชอบวาดรูปมั้ง วิววาดรูปสวยนะบอกไว้ก่อน ” หันไปอวดคนที่ยืนข้างกันผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาก่อนจะเปิดภาพวาดให้อีกคนดู “ นี่ฝีมือวิว ”
“ เก่งนี่ ”
“ ธรรมดา ” ยักไหล่แบบไม่ถ่อมตัวอีกคนก็หัวเราะ “ วิวชอบวาดรูปเล่นตอนที่ไม่มีอะไรทำน่ะ ตอนที่เบื่อๆอะไรแบบนี้ ”
“ แล้วชอบออกแบบมั้ยละ หรือแต่งตัว ”
“ ก็ชอบนะ ”
“ งั้นลองไปเรียนวาดรูปดูสิ แล้วก็เรียนพื้นฐานออกแบบ ก็เอาเป็นคอร์สสั้นๆ เราจะได้รู้ว่าเราชอบมันมั้ย ”
“ น่าสนใจ ” พี่มิกซ์ยักคิ้วให้ผม “ ต้องไปปรึกษาผู้มีอุปการะคุณก่อน ”
“ นั่นคือไอ้เมดนั่นเอง ”
“ ถูกต้องนะคร๊าบบบบ ” ชี้นิ้วใส่อีกคนที่ก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ ว่าแต่พี่มิกซ์กับพี่เมดสนิทได้ยังไงอะ ดูคนละแบบกันเลย เรียนก็คนละคณะกันด้วยใช่มั้ย พี่เมดเรียนบัญชี พี่มิกซ์เรียนอักษร ”
“ ใช่เรียนคนละคณะ แต่เคยเป็นสต๊าฟฝ่ายจัดซื้อตอนงานกีฬาด้วยกันมัยม.ปลาย เรียกได้ว่าฝ่าฟันเรื่องราวกันเลวร้ายมาด้วยกัน ”
“ ขนาดนั้นเลยเหรอ ”
“ ตอนนั้นพี่โดนด่าเรื่องซื้อของไม่จำเป็น ทั้งๆที่ฝ่ายกองเซียร์ก็เป็นคนมาสั่งให้ซื้อ แต่พอซื้อมา ไอ้พวกฝ่ายเชียร์แม่งบอก ไม่ได้สั่ง พี่เลยโดนประธานสีด่ายับ ซึ่งไอ้เหี้ยนั่นไม่ฟังอะไรเลย เกือบจะต่อยกัน ”
“ ให้เดาว่าพี่เมดต้องออกมาคลี่คลายในตอนนี้ ”
“ เออ ถูก ”
“ บทเค้าละ ออกโรงเคลียร์ตอนมีปัญหาตลอด ที่บ้านก็เป็นแบบนี้นะ ถ้าวิวเกิดเถียงกับแม่ พี่เมดจะเดินมาละ บอกใจเย็นๆก่อน ด้วยเสียงเบาๆแบบปลอบๆตามสไตส์เค้า ”
“ ฮ่าๆ “ อีกคนหัวเราะก่อนจะยิ้มเมื่อพูดถึงพี่ชายผม “ เมดมันใจดี แล้วก็เป็นคนใจเย็น จำได้ว่าวันนั้นมันบอกพี่ว่าให้พี่ใจเย็นๆก่อนมันจะช่วยเอง แล้วจากมันก็เอามือถือพี่ไปหาข้อความที่คุยกับฝ่ายเชียร์ หาข้อความที่คุยกับมัน แคปเป็นหลักฐานมายืนยันว่าฝ่ายเชียร์สั่งจริง ก็เลยรอดพ้นมาด้วยกัน ”
“ แบบนี้รึเปล่าพี่มิกซ์เลยรับสอนวิว ”
“ ก็ด้วย ” อีกคนสารภาพออกมาตามตรง “ แต่พี่คิดแค่ว่า เมดมันเป็นเพื่อนพี่ เราเป็นน้องมัน ก็เหมือนเราเป็นน้องพี่ คิดแบบนั้นเลยช่วยสอนให้ จริงๆจะไม่เอาเงินหรอก แต้ไอ้เมดก็ไม่ยอม บอกค่ากาแฟ ถ้าไม่รับจะไม่ขอให้ช่วยอะไรอีก เลยต้องรับเงินมันมา ”
“ ดีว่ะ ” ผมเผลอพูดอีกคนหันมามองหน้ายิ้มๆเหมือนจะหาความหมายในคำว่าดีของผม “ คือ วิวหมายถึง วิวดีใจที่พี่เมดมีเพื่อนดีๆกับเค้าบ้าง ”
“ อะไรที่เหี้ยๆ ก็ลืมมันไปเถอะน้อง ” อีกคนบอกผมก็หันไปมองหน้า “ เราหมายถึงไอ้สองตัวนั้นที่มันทำเมดใช่มั้ยละ ”
“ พี่รู้ด้วย ”
“ เรื่องดังในมหาลัยทำไมจะไม่รู้ ” พี่มิกซ์บอก “ พี่ก็บอกมันเหมือนกันว่าถือว่าฟาดเคราะห์ ตอนนี้มันก็ไปได้ดีกับแฟนใหม่ของมันนี่ชื่ออะไรนะ อาฟ ใช่มั้ย ”
“ ใช่ ”
“ ถ้าไม่เลิกกับไอ้เชี้ยบิน ก็คงไม่เจอใช่มั้ยละ งั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องหลุดพ้นอะไรแบบนั้นไปดีกว่า คนใจดีแบบไอ้เมด ต้องเจออะไรดีๆอยู่แล้ว มันไม่เคยคิดร้ายกับใคร ”
“ ดีจังเลยว่ะ พี่รู้มั้ยวิวชอบมากเวลาฟังใครพูดถึงพี่เมด เพราะไม่เคยมีคนพูดถึงเค้าไม่ดีเลย มีแต่คนพูดถึงเค้าแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น เรื่องที่เค้าช่วยคนอื่น เรื่องที่เค้าใจดี แต่พอคิดว่าคนแบบนั้นต้องมาเจอเหี้ยอะไรแบบนี้มันก็หงุดหงิดทุกที ” มือหนาเอื้อมมือมาขยี้หัวผมตอนที่พูดแบบนั้น ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยแซว
“ รักพี่เหมือนกันนะเราน่ะ ”
“ รักสิ ก็มีคนเดียวจะไม่รักได้ไง ”
“ งั้นก็ตั้งใจเรียน เมดมันเป็นห่วงวิวมากเลยนะ ตอนที่มาขอให้พี่สอนก็พูดตั้งนาน บอกว่าอยากจะให้น้องชายตัวเองมีพื้นฐานภาษาอังกฤษแน่นๆมันก็ไม่รู้จักใครที่ถนัดด้านนี้เท่าพี่แล้วเลยมาขอให้ช่วย แถมยังบอกอีกว่าให้ช่วยดูให้หน่อยว่า วิวพอจะชอบทางไหนบ้าง มันห่วงอนาคตเรามากเลยนะ ”
“ ตั้งใจอยู่แล้ว จะไม่ให้พี่เมดเสียเงินฟรีสักบาทเดียวเลย ” ผมบอกก่อนจะมาหยุดอยู่ทางขึ้นบีทีเอส เราไปคนละฝั่งกันพี่มิกซ์ไปทางนึง ส่วนผมไปอีกทางนึง “ ขอบคุณนะครับพี่มิกซ์ เจอกันวันศุกร์หน้า ”
“ ครับผม เจอกันนะ ไม่เข้าใจตรงไหนไลน์มาหาพี่ได้เลยนะ ”
“ โอเคเลย ” ก้มหน้าลาคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปและในระหว่างทางก็หยิบมือถือขึ้นมากดข้อความไปหาเจ้าของห้องที่ตอนนี้ก็คงกำลังทำงานอยู่ [ ลุง เรียนพิเศษเสร็จแล้วนะ กำลังกลับคอนโด ]
[ ถึงแล้วก็อาบน้ำแล้วกินนมนอนซะ ]
[ ส่วนมึงก็เลิกได้แล้วไอ้โฮการ์เด้นตรงหน้ามึงอะ จะแดกอะไรนักหนา หน้ามึงไม่คลู แดกแค่น้ำเปล่าก็หรูแล้วมั้ง ]
[ เป็นห่วง น่าจะพิมพ์สั้นกว่าประโยคข้างบนนะเด็กแรด ]
[ รู้แล้วก็เลิกสั่งสักที ถ้านั่งบาร์แล้วต้องสั่ง มึงก็ย้ายตัวเองขึ้นไปทำงานที่ชั้นสามซะ ]
[ ให้กูนั่งเป็นกขค.คนอื่นมันบาปนะวิว ] ผมยกยิ้มมองคนที่พิมพ์ข้อความนั่นตอบกลับมา อยากจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า อ้าง เพราะจริงๆอีกคนเป็นประเภทชอบฟังเพลงแล้วก็นั่งคุยกับพี่เดย์พี่อัยย์ก็แค่นั้น พี่เจไม่ใช่พวกชอบนั่งทำงานเงียบๆ [ แต่วันนี้กูไม่ได้กินนะ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ทุกวันด้วย กินแค่เฉพาะตอนอยากกิน ]
[ อะไรที่ทำให้ลุงมึงคิดที่จะทำอะไรแบบนั้น ]
[ มึงไง ] ได้แต่มองข้อความนั้นโดยที่ไม่ตอบอะไร หัวใจผมเต้นแรง ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่ข้อความที่ไร้เสียงหรือแม้แต่สายตาที่ชวนให้ต้องเขินอาย แต่ผมกลับรู้สึกว่าตอนนี้แก้มมันร้อนไปหมด อาการไม่ดีจนได้แต่สบถอยู่ในใจตัวเอง ‘ ไอ้สัดลุงแม่ง เหี้ยจริง ’ [ แล้วก็เงียบ ]
[ เสือก ]
[ เขิน กูแก้ให้ ] อีกคนว่าแบบนั้นหน้าผมก็ยิ่งแดงเพราะรู้สึกว่าจะโดนจับได้เข้าให้แล้ว [ ก็มึงเป็นคนบอก ว่าเป็นห่วง ไม่อยากจะให้กินเหล้ากินเบียร์ทุกวัน ]
[ มึงเพ้อเหรอสัดลุง กูไปพูดออะไรแบบนั้นเมื่อไหร่ ]
[ ไม่รู้สิ อาจจะเป็นสักคืนนึงในวันศุกร์ที่มึงอยู่ใต้ร่างกู แล้วตอนที่เราจูบกันมึงก็บอกว่า กลิ่นเหล้ากูแรงชิบหาย มึงที่บอกว่าให้กูดื่มน้อยลงหน่อย เพราะไม่อยากมีผัวหลายคนในชีวิต ]
[ มั่วซั่วสัดลุง กูไม่พูดอะไรแบบนั้นหรอก แฟนมึงยังไม่ได้เป็นเลยอย่าข้ามขั้นได้มั้ย ]
[ งั้นก็เป็นดิ ] มือที่กำลังพิมพ์หยุดนิ่งตอนที่อ่านข้อความนั้น นิ้วที่กำลังจะกดข้อความตอบกลับถูกขั้นด้วยรถไฟฟ้าขบวนที่รอเคลื่อนตัวเข้ามาในสถานีพอดี ผมจำใจกดล็อคหน้าจอแล้วเดินเข้าไปด้านในเพราะตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลารีบเร่งถ้าผมมัวช้าเพราะกดเล่นโทรศัพท์ คนข้างหลังคงสาปเช่งอยู่ในใจ [ ไว้รอมึงพร้อมก่อนก็ได้ ] มือถือสั่นเตือนข้อความนั้นบนหน้าจอ ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาตอนเห็นก่อนจะปลดล็อคแล้วส่งข้อความกลับไป
[ เมื่อกี้กูขึ้นรถพอดี ]
[ แล้ว ? ]
[ เผื่อมึงคิดว่าทำไมกูไม่ตอบ ] ข้อความนั้นขึ้นว่าอ่านอยู่สักพัก ก่อนที่ผมจะส่งข้อความใหม่ที่ยืนคิดอยู่นานว่าจะส่งดีหรือไม่ดี [ จะถามใหม่อีกทีก็ได้นะลุง ]
[ ไว้มึงพร้อมแล้วกัน ] ผมอ่านประโยคที่ส่งกลับมานั้นอยู่สักพักโดยที่ไม่คิดตอบกลับอะไร [ ถึงคอนโดกูแล้วบอกด้วยนะวิว ]
[ โอเค ] ตอบกลับไปแค่นั้นผมปิดหน้าจอมือถือของตัวเองลงก่อนจะมองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถไฟฟ้าตรงที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ ก่อนหน้านี้บรรยากาศมันไม่ได้เศร้าขนาดนี้ แต่ทำไมตอนนี้มันถึงดูเหมือนเศร้าขึ้นมาวะ แค่เพราะกำลังคิดว่าใครบางคนอาจจะกำลังเข้าใจผิดงั้นเหรอ “ ก็เลือกที่จะเป็นแบบนี้เองไม่ใช่เหรอวะ จะมาเสียใจอะไรวะวิว ” แล้วนั่นก็เป็นคำพูดสั้นๆ ที่ผมบอกกับตัวเอง