ตอนที่ 15 : จีบ
-ผ้าใบ-
“แบบนี้มันดูปกติใช่ไหมวะ” ผมมองหน้าเพื่อนร่วมวงเพื่อขอความมั่นใจ
“กูจะรู้ไหมวะ ไม่เคยร้องเพลงในโรงแรมใหญ่ๆ แบบนี้กับเขาสักที” พี่ม่อนมองหน้าผมเหมือนอยากบอกว่ามึงไม่น่าถาม
“อย่าถามพี่ๆ ก็ไม่เคย” พี่อาจรีบออกตัว ผมมองอาหารมากมายที่วางอยู่ตรงหน้า ห้องพักนักดนตรีเป็นห้องขนาดกลาง อยู่ก่อนถึงครัว เปิดแอร์เย็นฉ่ำ มีโซฟายาวเอาไว้ให้พักผ่อน โต๊ะกินข้าวขนาดแปดที่นั่ง ตู้สำหรับเก็บเสื้อผ้า ล็อกเกอร์แบบล็อกกุญแจได้ และเคาน์เตอร์พร้อมกระจกสำหรับแต่งหน้าแต่งตัว เรียกว่าวงดนตรีที่เข้ามาเล่น คงไม่ขออะไรมากกว่านี้แล้ว
“ไอ้ห้องเนี่ยคงมีอยู่แล้ว แต่อาหารเอยเครื่องดื่มเอยกูก็ไม่แน่ใจวะ สงสัยต้องถามเด็กในร้านดู” พี่ม่อนออกความคิดเห็น
“ผมก็อยากถามนะ ถ้าเด็กในร้านที่พี่เรียกเหมือนเด็กที่ร้านเก่าเรา ไม่ใช่ใส่เสื้อผ้าบริกรครบชุด พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน แถมพูดจาครับๆ ผมๆ แค่เข้าใกล้ผมยังไม่กล้า”
“จริงของมึง” พี่ม่อนเห็นด้วยกับผม “วันก่อนที่ซอลมามันเป็นยังไง” พี่ม่อนหันไปถามคนที่น่าจะรู้ดีที่สุด
“ผมไมได้เข้ามาในนี้ครับ มานั่งกินข้าวเหมือนแขกทั่วไป”
“อย่าไปสงสัยเลย เขาทำมาให้กินก็กินๆ ไปเถอะ” พี่อาจหาข้อสรุปให้ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
ผมเคี้ยวผลไม้ที่มีมาให้ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย “พี่ม่อน ผมถามอะไรหน่อยสิ”
“ถามว่า”
“สองคนนั้นมีเพื่อนคนอื่นไหม ผมเห็นไปไหนมาไหนกันแค่สองคน”
“คีรีกับจอมทัพเหรอ”
“อืม”
“ยิ่งกว่ามี ทั้งคณะมั้งอยากเป็นเพื่อนด้วย กูยังอยากเป็น นี่ไมได้พูดถึงเรื่องนิสัยเลยนะ แค่ความรวยความเท่คนก็อยากเข้าใกล้แล้ว ผู้หญิงอยากเป็นแฟน ผู้ชายอยากเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน สองคนนั่นก็คงพอรู้ สุดท้ายก็เลยไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษ แค่คุยได้เล่นได้”
“เป็นคนรวยนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ”
“กูยอมลำบากว่ะขอให้รวย”
“เออจริง ผมก็ยอม” ผมรีบพยักหน้าเห็นด้วย
“สองคนนี้รวยเท่ากันหรือเปล่าพี่ หรือพี่จอมทัพรวยน้อยกว่า” ผมเดาเอาจากกิจการของครอบครัว คนหนึ่งทำโรงแรมหรูหราใจกลางเมือง แต่อีกคนทำร้านประดับยนต์และอู่ซ่อมรถ ถึงจะเป็นร้านหรูหราแต่ก็น่าจะเทียบกันไม่ได้
“หึๆ มึงมันไม่รู้อะไร ที่เห็นนะเป็นส่วนประกอบเว้ย พ่อเขาแตกแขนงมาให้ลูกสาวทำ ตัวบริษัทจริงๆ นำเข้าอะไหล่รถยนต์ บริษัทยักษ์ใหญ่เลยล่ะ
“โห” ผมตาโต รวยกับรวยมาเป็นเพื่อนกัน มิน่ามีแต่คนอยากเข้าใกล้
“ซอลเป็นอะไร” ผมเห็นซอลทำหน้าโล่งใจเหมือนคนคิดตก จากที่ดูกังวลและเหม่อลอยมาทั้งวันจึงทักขึ้น
“เปล่าๆ” ซอลส่งยิ้มให้ผม “แค่ฟังแล้วคิดว่าเขากับเราต่างกันดีนะ มันต่างกันจนชัดเจน ไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว”
“ใช้คำว่าแตกต่างยังน้อยไป พี่ว่าใช้คำว่าหน้ามือกับหลังตีนดีกว่า ดูแบ่งสกุลรุนชาติดี”
“ฮ่าๆ ไอ้พี่ม่อน พูดเอาซะกลายเป็นสถุลเลย” ผมขำการเลือกใช้คำของพี่ม่อน
“ว่าแต่วันนี้คีรีกับจอมทัพมาหรือเปล่าวะ”
“ผมจะไปรู้เหรอ” ผมตอบเพราะพี่ม่อนหันมามองหน้าผมโดยเฉพาะ
“ซอลล่ะมึงรู้ไหม”
“ไม่รู้ครับ”
“เป็นไปได้ไง กูเห็นเดี๋ยวนี้พวกมึงติดกันเป็นตังเม”
“เกินไปพี่ม่อน แค่สนิทกันมากขึ้น”
“ให้มันแน่เถอะ นี่ถ้าพวกมึงไม่ใช่ผู้ชายกูคงนึกว่ามึงโดนตามจีบอยู่ โดยเฉพาะซอล รับส่งเช้าเย็น เอาใจยิ่งกว่าแฟน”
“หูตาฝ้าฟางหรือไงพี่ คิดเข้าไปได้ พี่จอมทัพก็แค่เอ็นดูซอล ใครเห็นมันก็เอ็นดูทั้งนั้น หรือพี่ไม่เป็น”
“มึงจะจริงจังไปทำไมวะ กูก็พูดอย่างนั้นเอง รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ สองคนนั้นมันมีแต่สาวสวยล้อมหน้าล้อมหลัง”
“ก็แล้วไป” ผมเลิกเถียงกับพี่ม่อน พอสองเสียงเงียบได้ห้องก็สงบขึ้นทันที
หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไปด้วยความรวดเร็ว ความตื่นเต้นกังวลหายไปสิ้น ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม นอกจากสถานที่และผู้คน
ผู้จัดการเดินเข้ามาหาพวกผมในห้องพักนักดนตรี ยิ้มแย้ม เอ่ยชม ก่อนบอกว่ามีชาวต่างชาติคนหนึ่งฝากเงินมาให้พวกผม ขอบคุณที่ร้องเพลงได้ถูกใจมาก พี่อาจเป็นคนยื่นมือไปรับไว้ พวกผมยืนกันนิ่งๆ แต่พอประตูปิดลงบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป
“เท่าไหร่วะ” พี่ม่อนอยากรู้อยากเห็นซึ่งผมก็ไม่ต่าง พี่อาจคลี่เงินที่รับมาออก หนึ่งร้อยดอลล่าร์สหรัฐ พวกผมแทบจะร้องกันไม่เป็นภาษา
“มึงกูเจอหม้อข้าวหม้อแกงกูแล้ว” พี่ม่อนหยิบธนบัตรไปจูบ ผมกับซอลก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย
“ไหนมึงบ่นว่าเล่นที่นี่เงียบ ไม่คึกคัก” พี่อาจแซ็วพี่ม่อน
“ไม่เงียบแล้ว เนี่ยโคตรคึกคักเลย” ผมกับซอลหัวเราะกันเสียงดัง ผมเชื่อว่าหลังลงจากเวทีทุกคนคงรู้สึกเหมือนกัน คือมันเงียบไป ไม่คุ้น แต่ถึงนาทีนี้ไม่มีใครอยากย้ายร้านแน่นอน
“เป็นไง” เสียงเปิดประตู ทำให้พวกผมรีบเก็บอาการ พี่ม่อนยัดเงินลงในกระเป๋า
“กูนึกว่ามึงไม่มา” พี่ม่อนทักทายคนที่เดินเข้ามาทั้งสองคน
“ดูอยู่” พี่จอมทัพดึงเก้าอี้ลงนั่งข้างซอล ส่วนอีกคนเดินไปนั่งที่โซฟา
“โอเคไหมวะ” พี่ม่อนถามพี่จอมทัพ อยากรู้ว่าชอบที่พวกผมเล่นไหม
“ไม่เห็นต้องถาม”
ผมเดินไปหาพี่คีรี นั่งลงข้างๆ เมื่อคนที่นั่งอยู่ก่อนไม่หันมามอง ผมจึงสะกิดที่แขนแรงๆ
“หือ”
“ถามอะไรหน่อย”
“ก็ถามสิ”
“อาหารที่เอามาเลี้ยงดูปูเสื่อ มันปกติอยู่แล้วหรือทำให้เป็นพิเศษ”
“นี่โรงแรมห้าดาวนะ” ตอบแบบนี้จะไม่ให้ผมกวนตีนกลับได้ยังไง คนอุตส่าห์จะญาติดีด้วย
“ใครจะไปรู้เคยเข้าแต่ม่านรูด”
“งั้นก็ตอบยากเพราะพี่ยังไม่เคยเข้าม่านรูด พาไปลองหน่อยสิ”
“เฮ้ย!” ผมรีบเอนตัวหนี เมื่อใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้แบบไม่ให้สุ่มให้เสียง เล่นอะไรบ้าๆ วะ สายตาผมอดมองตกไปที่ริมฝีปากไม่ได้ อึ๋ย คิดอะไรของมึง อย่าไปนึกๆ คิดแล้วยังสยองไม่หาย
“เข้าท่าดีนะ มึงควรพาคีรีไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“เปลี่ยนบรรยากาศเหี้ยอะไรของพี่” ผมโวยวายพี่ม่อน
“เดี๋ยวๆ มึงโมโหอะไร กูหมายถึงให้มึงแนะนำม่านรูดดีๆ ให้คีรีมันบ้าง เผื่อมันใช้บริการโรงแรมหรูๆ จนเบื่อ จะได้ลองเปลี่ยนบรรยากาศ”
“หึๆ” ผมตวัดสายตาไปมอง หัวเราะอะไรวะ เป็นเพราะใครกันที่ทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นลงไป ผมถึงคิดเลยเถิด ตีความหมายของพี่ม่อนผิด เดี๋ยวนะ ผมนี่หว่าเป็นคนเริ่มเรื่องนั้น แล้วไป
“จะกลับเลยหรือเปล่าเดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมเปลี่ยนไปให้ความสนใจซอลแทน รอว่าจะเอายังไงจะกลับกับผมหรือจะให้พี่จอมทัพไปส่ง
“ผม..” ซอลอึกอัก เหมือนยังคิดไม่ตก
“ผ้าใบกลับเลยเดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” ใครบางคนเลยตัดสินใจให้เสร็จสรรพ ผมพยักหน้ารับ ถ้าเป็นพี่จอมทัพผมไว้ใจ
“ผมยังไมได้พูดอะไรเลย”
“พี่ตัดสินใจเอง”
“ดีแล้ว กูจะได้ไม่ต้องนั่งแท็กซี่วนไปส่งมึง”
“ไม่ได้เอารถมาเหรอ” คนนั่งข้างๆ ถามผมทันทีฃ
“เปล่า”
“ทำไมไม่เอามา”
“กลัวมีคนขอซ้อน” ผมตอบหน้าตาย
“ขออาศัยนิดหน่อยแค่นี้โคตรบ่น ได้เดี๋ยววันนี้พี่ไปส่งเราเอง จะได้หายกันไป” เดี๋ยววว ผมบ่นเมื่อไหร่วะ แล้วนี่มันยิ่งกว่าพี่จอมทัพอีก รายนั้นยังถามให้ตัดสินใจก่อนแป๊บหนึ่ง ไม่ได้รวบรัดตัดความมันหน้าตาเฉยแบบนี้
“โอเค ลงตัวแล้วนะ จบ แยกย้าย” พี่ม่อนลุกขึ้นยืน เจอกันวันพรุ่งนี้ เอ๊ย กูไม่ชิน เจอกันวันมะรืน”
“ไม่ได้ทำงานเป็นวัวเป็นควายไม่กี่วันลืมเหรอพี่”
“เออ กูลืมกำพืดเร็ว”
“ฮ่าๆ “ ผมชอบต่อปากต่อคำกับพี่ม่อน ในขณะที่ซอลกับพี่อาจมักทำตัวเป็นคนฟังที่ดีและคอยหัวเราะตาม
“รอพี่อยู่ที่นี่เดี๋ยวมา ขอไปเอาของก่อน” ผมลุกแล้วแต่เห็นซอลต้องรอ ผมเลยนั่งลง
“เชื่องดีนะ รู้ด้วยว่าต้องรอพี่”
“อ้าวว” ผมร้องเสียงหลง แบบนี้มันน่ามีเรื่องด้วยไหม
“หึๆ ไอ้เด็กหัวร้อนเอ๊ย” มือใหญ่ยื่นมาลูบหัวผม แต่ไม่ได้แบบน่ารักน่าเอ็นดู ผมว่าเหมือนลูบหัวหมามากกว่า
“จะไปไหนก็รีบไป เดี๋ยวผมลืมตัวขึ้นมาว่าเป็นลูกเจ้าของโรงแรม”
“มึงต้องทำใจคีรี กูว่าส่งไปฝึกสั่งอาทิตย์สองอาทิตย์ก็เชื่อเอง”
“ไอ้พี่ม่อนกลับไปเลย”
“เชื่อกู” พี่ม่อนยังขอพูดส่งท้าย ก่อนจะหิ้วหมวกกันน็อคเดินออกไปพร้อมพี่อาจ ตามหลังด้วยพี่คีรีและพี่จอมทัพ ผมทำท่าฮึดฮัดก่อนสงบลง เมื่อไม่มีใครอยู่ให้โวยวายแล้ว
“จะโวยวายทำไม” ซอลถามผมยิ้มๆ
“ก็ดูดิวะ เห็นกูเป็นหมากันหมด”
“แล้วได้ปฏิเสธเขาไหม”
“ปฏิเสธสิวะ ใครจะอยากเป็นหมา”
“เปล่า แล้วได้ปฏิเสธไหมว่าไม่ต้องไปส่ง เห็นผ้าใบโวยวายแต่ไม่เห็นพูดเลยว่าไม่ไป” ผมเงียบกริบ มองหน้าซอลตาโต ก่อนรีบย้ายตัวเองจากโซฟาไปนั่งข้างซอลที่โต๊ะกินข้าว
“ซอล”
“หือ”
“กูนี่” ผมชี้มือเข้าหาตัวเอง “อะไร ยังไงวะ”
“อะไรของผ้าใบเราไม่เข้าใจ”
“กูก็ไม่เข้าใจ ทำไมกูไม่ปฏิเสธวะ คิดไปคิดมาหลังๆ กูโวยวายหัวร้อนไปงั้นเอง แต่ไม่เห็นโกรธจริงๆ สักที อยู่ด้วยก็โอเคไม่ได้นึกเกลียดขี้หน้าเหมือนเก่า หรือว่า...” ผมตาโต “อย่าบอกว่ากูชอบไอ้พี่คีรีนะ ม่ายยย” ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเอง
“ไม่ใช่หรอก”
“ทำไมคิดงั้นล่ะ” ผมมองซอลด้วยความสนใจ
“ไม่เคยเห็นผ้าใบแอบมองพี่คีรีสักที”
“เหรอวะ?”
“ใช่สิ ถ้าชอบจริงก็คงต้องมีลอบมองบ่อยๆ แล้วก็คงลดอาการหัวร้อนลงด้วยมั้ง”
“เออ ก็จริง”
“งั้นทำไมกูเปลี่ยนไปวะ” ผมยังข้องใจ
“เพราะผ้าใบรู้แล้วว่าพี่คีรีเป็นคนดี เป็นพี่ที่พึ่งพาได้ อีกอย่างเราว่าจริงๆ แล้วผ้าใบชอบต่อปากต่อคำกับพี่เขาเหมือนที่ชอบเล่นกับพี่ม่อนนั่นแหละ ทะเลาะกันบ่อยๆ ถึงสนิทกันเร็ว”
“ซอลเก่งที่สุด รู้ด้วย” ผมพุ่งเข้ากอดเอวซอล เอาหน้าถูไปมากับไหล่ของเพื่อน
“รู้สิ ทำไมเราจะไม่รู้”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะเราฉลาดกว่าผ้าใบไง” ซอลเอามือจิ้มหัวผม รอยยิ้มดูเศร้านิดๆ แต่ผมไม่ได้คิดอะไร
“เฮ้อ โล่งอก นึกว่ารสนิยมกูจะเพี้ยนเพราะจูบนั่นแล้ว” ผมพูดทั้งที่หน้ายังซบอยู่กับแขนของซอล
“ผ้าใบพูดว่าอะไรนะ”
“เปล่าๆ” ผมตาเหลือก เกือบไปแล้วกู
-คีรี- “เสียใจด้วยว่ะเพื่อน” จอมทัพถอยออกห่างจากประตู ตบบ่าผมแรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ให้รู้ว่าตั้งใจแซ็วเล่น“กูนึกว่ามึงจะได้แฟนใหม่เป็นผู้ชายซะแล้ว”
“มึงยังเสียใจกับกูเร็วไป”
“หมายความว่าไงวะ”
“ก็หมายความว่า..” ผมหันไปยกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเพื่อน ลดเสียงให้เบาลง ผมกับจอมทัพเดินไปหยิบของที่โต๊ะ กลับมาทันได้ยินบทสนทนาของผ้าใบกับซอลพอดี เพราะตอนออกไปผมไม่ได้ปิดประตู มันจึงแง้มไว้กว้างพอจะได้ยินเสียงจากข้างใน “ว่าผ้าใบไม่ได้ชอบกู แต่กูชอบผ้าใบน่ะสิวะ”
“เหี้ย! จริงเหรอวะ” จอมทัพมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจระคนตกใจ
“ไม่จริงกูจะพูดเหรอ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ กูยังเห็นมึงฮึ่มๆ กันอยู่เลย”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กูไม่รู้ แต่กูรู้ตัววันนี้
“ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอวะ นี่มันผู้ชายนะโว้ย”
“กูไม่เคยชอบผู้ชาย แต่กูไม่เคยถือเรื่องนี้”
“แต่มึงก็ได้ยินว่าผ้าใบไม่ได้ชอบมึง อาจไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยซ้ำ ตอนนั้นกูเข้าใจผิดไปเอง”
“ไม่ชอบก็ช่าง กูมีวิธีของกู”
“ยังไงวะ”
“ง่ายๆ” ผมมองตรงไปยังประตูห้อง กดรอยยิ้มลึก ดวงตาวาววับ
“จีบ”✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin