บุรุษหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มจาง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋เป็นพิเศษ น่าแปลกนัก ข้าคิดว่าเจ้าไม่ชอบเขาเสียอีก ไหนจะคุณหนูฉิน นางไม่อยู่ในสายตาของเจ้าแล้วหรือเสิ่นจิ้งเฟย”
เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงใจกระตุกวูบ เขารู้จักฮ่องเต้เจี่ยผิงดีพอจนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยถามธรรมดา ทั้งยังเน้นคำว่าสนิทสนมเป็นพิเศษ ว่าแต่เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่ สนิทสนมกับบุตรชายสกุลไป๋?ไป๋ผูอวี้ผู้นั้นน่ะรึ จื่อฟางไปตีสนิทกับเจ้านั่นได้อย่างไร ชายงามเผลอดีดกู่ฉินผิดสายจนเสียงเพี้ยนแต่รีบกลบเกลื่อนอย่างแนบเนียน เขาเงยมองฉากเบื้องหน้า พบว่าฮ่องเต้นั่งดื่มชาด้วยท่วงท่าสบายใจ ส่วนจื่อฟางยังคงอยู่ในท่าทีปกติไม่ได้แตกตื่นแต่อย่างใด เสิ่นจิ้งเฟยเบาใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่คลายใจเรื่องของไป๋ผูอวี้ เหตุใดต้องไปสนิทสนมกับคนแซ่ไป๋ด้วย แค่คิดเขาก็คันคะเยอไปทั้งร่าง
“ข้ายอมรับว่าเคยไม่ชอบเขา แต่มาคิดดูแล้ว ไป๋ผูอวี้ก็ไม่ได้มีพิษสงใด ข้าเพียงใช้ความเป็นมิตรให้เป็นประโยชน์เท่านั้น”จื่อฟางตอบพยายามให้เหตุผลทั้งกับตัวเองและฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มเหลือบมองร่างบุรุษงามที่ยังคงสนใจเครื่องดนตรี แต่เขามั่นใจว่าไม่ได้หูฟาดไปกับโน้ตเพี้ยนๆเมื่อครู่แน่
“อะแฮ่ม ส่วนเรื่องคุณหนูฉิน…ข้าบังคับใจนางไม่ได้ หากสวรรค์อยากให้ข้าคู่กับนาง ก็คงทำไปนานแล้ว”จื่อฟางแสร้งเอ่ยด้วยเสียงท้อใจประหนึ่งคนที่ปล่อยวางเรื่องความรัก
เจี่ยผิงพยักหน้าช้า ๆ “ข้าได้ยินว่าคุณหนูฉินชอบพอกับไป๋ผูอวี้ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่”
จื่อฟางขบฟัน รู้ดีว่าฮ่องเต้จงใจพูดถึง เขาสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองเจือจางของร่างนี้ก่อตัวอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ เสิ่นจิ้งเฟยคงมีความรู้สึกดี ๆให้คุณหนูฉินจริง ๆ เด็กหนุ่มกุมถ้วยชาในมือเมื่อได้ยินเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเล่นโน้ตเพี้ยนอีกรอบ
เจ้านั่นเป็นอะไรไปแล้ว “ผู้คนเล่าลือกันเช่นนั้น”จื่อฟางตอบ ฮ่องเต้หนุ่มขยับตัวดื่มชาอีกอึกหนึ่งก่อนลุกเดินเอามือไพล่หลัง สายตาทอดมองไปยังสระบัวด้วยใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์
“ตอนที่เจ้าไปเยี่ยมสกุลโหยว ข้าได้ยินว่าเจ้าได้พบสหายเก่าแก่ผู้หนึ่ง”เจี่ยผิงเอ่ยถามถึงบุคคลหนึ่งที่เขาได้รับรายงานจากองครักษ์
ฟู่เทียนสือ ใช่ว่าเจี่ยผิงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
จื่อฟางหวังว่าฮ่องเต้จะไม่ได้คิดร้ายใดกับฟู่เทียนสือ จะให้ฮ่องเต้รู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเสิ่นจิ้งเฟยชื่นชอบคนผู้นั้น
“เขาเป็นสหายวัยเด็กของข้า”
“เจ้าของกระต่ายฮ่าวฮ่าวตัวนั้นสินะ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังจำกระต่ายตัวนั้นได้ แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่มีทางลืมในเมื่อเขาเป็นคนทำให้เจ้ากระต่ายนั่นตายเอง ในตอนนั้นเขาไม่ต้องการให้เสิ่นจิ้งเฟยยึดติดกับผู้ใดนอกจากตัวเขา จื่อฟางลอบแปลกใจไม่คิดว่าฮ่องเต้จะยังจำได้ สายกู่ฉินถูกดีดเพี้ยนอีกรอบ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงเผลอขมวดคิ้วมุ่นแต่เมื่อรู้ตัวก็รีบคลาย
กระต่ายฮ่าวฮ่าว คุ้นนัก สหายเก่าแก่ที่สองคนนั่นพูดถึงเป็นเรื่องใดกัน
นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวข้ามิใช่หรือ ไยถึงจำไม่ได้!เสิ่นจิ้งเฟยรู้สึกอึดอัดกับความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ เจ้าจื่อฟางนั่นได้รับความทรงจำของเขาไปมากเท่าใดกัน เรื่องของเขาถูกคนแปลกหน้ารับรู้หมดเลยหรือ
“ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องนี้หรือ”จื่อฟางเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีตอีกเพราะเขารับรู้ได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยในร่างเจาเฟิงกำลังตัวสั่นน้อย ๆ สีหน้าที่เคยเย็นชาเริ่มเคร่งเครียด หากพูดต่อมีหวังได้มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นแน่
“ข้าย่อมมีธุระสำคัญกับเจ้า”เจี่ยผิงกล่าว ก่อนเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเจาเฟิง
“เจ้ากลับไปก่อน คืนนี้ข้าจะแวะไปคุยเล่นกับเจ้า”เจี่ยผิงมองร่างบางที่เกร็งขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้สึกพอใจที่คำพูดของตนมีผลต่ออีกฝ่าย เจาเฟิงลุกยืนอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมเย้ายวนลอยอวลอยู่ใกล้ ๆ บุรุษหนุ่มยื่นมือออกไปแตะใบหน้างามอย่างลืมตัว
เพี๊ยะ!
ฝามือเรียวฟาดลงบนมือของฮ่องเต้ ทำเอาจื่อฟางสะดุ้งสุดตัว องครักษ์ชุดดำโผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ เงาสายหนึ่งพุ่งรวบคอบอบบางของเจาเฟิงด้วยมือหนาเพียงแค่มือเดียวแต่ชายงามเอาแต่ใช้สายตาเย็นชามองฮ่องเต้ ใบหน้าเป็นสีแดงก่ำจากความโกรธ ฮ่องเต้เจี่ยผิงตวัดสายตาใส่องครักษ์ปราดเดียว ชายชุดดำก็ล่าถอยยอมปล่อยมือจากลำคอของชายงามโดยไม่พูดสิ่งใด
“เจ้าไปได้แล้ว”เจี่ยผิงยกยิ้ม ร่างนั้นหมุนตัวจากไปโดยไม่หันมอง จื่อฟางผ่อนลมหายใจออกมาช้า ๆ รับรู้ว่ากุมจอกชาไว้แน่น เขาคลายมือออก สบตากับบุรุษเบื้องหน้า ร่างของชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เขาเดาไม่ออก นัยน์ตาแฝงแววบางอย่างที่ทำให้จื่อฟางหวาดหวั่น เกิดความเงียบอีกระลอก เขากับเจ้าแผ่นดินแลกเปลี่ยนสายตากันอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มขบฟันสู้สายตาลึกลับคู่นั้นอย่างไม่ยอมแพ้
“เจ้าทำให้ข้าแปลกใจ”ฮ่องเต้หนุ่มหัวเราะเบา ๆระหว่างที่ก้าวเข้ามาย่นระยะห่าง “เจ้าไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็แสดงได้ดีเยี่ยมทีเดียว”
ว่าอะไรนะจื่อฟางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของฮ่องเต้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า ความคิดตีกันวุ่นอยู่ในหัว
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ข้าพอใจมาก”เจี่ยผิงพินิจมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เปลือกนอกคือเสิ่นจิ้งเฟย แต่แววตากระจ่างใสกลับมีผู้อื่นอยู่ คำพูดของนักพรตหลินดังก้องอยู่ในหัว
‘ทั้งท่านและเด็กคนนั้นไม่สามารถหลีกหนีโชคชะตาได้พ้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดหรือเป็นผู้ใดก็ตาม อีกไม่นานจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น วิญญาณของเขาจะมิใช่ของเขา กายเนื้อเป็นเพียงกายเนื้อ’ “ท่านพูดเรื่องใด ข้าไม่เข้าใจ”จื่อฟางเอ่ยขึ้นเมื่อควานหาเสียงเจอ คนผู้นี้พูดเหมือนรู้ว่าเขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย ความคิดนี้ทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อย
ฮ่องเต้เจี่ยผิงหัวเราะในลำคอ “ไม่เอาน่า อย่าตีหน้าซื่อ เจ้ามิใช่เสิ่นจิ้งเฟย แต่เป็นผู้อื่นต่างหากที่อยู่ในร่างนี้”กล่าวจบก็ยื่นมือไปแตะบริเวณหน้าอกซ้ายของเสิ่นจิ้งเฟย
“บอกชื่อของเจ้ามา...”
“ท่านกล่าวเหลวไหล”จื่อฟางยังไม่ยอมแพ้ เขาไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้ เหมือนกับว่ารอบตัวกดดันเสียจนหายใจไม่ออก
“ข้าเปล่า”เจี่ยผิงพอใจที่ได้เห็นปฏิกิริยาจากร่างตรงหน้า ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใครก็ตามแต่ก็ทำให้เขาสนุกมากทีเดียว แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยังไม่ลดละ เหมือนกระต่ายฮ่าวฮ่าวตัวนั้น
“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย ข้าถึงยอมไว้ใจให้เจ้าทำงานสืบเรื่องหลิวอ๋อง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องตอบตกลงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น”
จื่อฟางนิ่งงันไปเพราะอับจนคำพูด เรื่องที่เขาสงสัยมาตลอดได้รับคำตอบแล้ว ที่ผ่านมาเขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้ถึงยอมไว้ใจให้เขาทำงานสืบเรื่องหลิวอ๋องทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าร่างนี้เคยร่วมมือก่อกบฏ ถ้าหากเป็นจื่อฟาง เขาไม่มีทางทรยศหักหลังอยู่แล้ว
“ฝ่าบาท...”อยู่ๆจื่อฟางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“บอกชื่อของเจ้ามา ข้าจะไม่เอ่ยถามเป็นครั้งที่สามหรอกนะ” ถึงแม้อีกฝ่ายมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา แต่จื่อฟางรู้ดีว่าเป็นเพียงเปลือกนอก
“ข้าชื่อจื่อฟาง”เด็กหนุ่มพึมพำตอบ
“จื่อฟาง…”ฮ่องเต้พึมพำ ดวงตาเป็นประกายวูบหนึ่ง “เจ้าคงสงสัยว่าเพราะเหตุใดข้าถึงรู้ว่าเจ้าไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย”เด็กหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ
“เจ้าเชื่อในโชคชะตาหรือไม่”ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ข้าไม่เชื่อ”จื่อฟางตอบไปตามตรง เจี่ยผิงก้มมองด้วยดวงตาดำลึกแน่วแน่ “แต่ข้าเชื่อ สวรรค์เข้าข้างข้า เจ้าไม่เห็นหรือ ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ที่นี่”ชายหนุ่มละมือจากบริเวณอกซ้าย เลื่อนมาสัมผัสใบหน้าของจื่อฟางเบาๆ ขนอ่อนที่ต้นคอลุกวูบวาบกับสัมผัสนั้น
“กระทั่งวิญญาณของเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังอยู่ใกล้ตัวข้า เจาเฟิงตัวจริงไม่มีทางเล่นกู่ฉินได้ลื่นหูเพียงนี้”
คลื่นความตระหนกพุ่งชนจื่อฟางอีกรอบ ฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้หรือ ชายคนนี้รู้ได้อย่างไร เจี่ยผิงหัวเราะเบา ๆราวกับล่วงรู้ความคิดของเขา
“คำทำนายของท่านนักพรต ข้าที่เป็นโอรสสวรรค์ไม่มีทางเชื่อคำพูดล่องลอยโดยไม่ไตร่ตรอง แม้กระทั่งกับผู้อาวุโสก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นสอดคล้องกับคำทำนาย เมื่อหลายเดือนก่อน เจาเฟิงโขกศีรษะฆ่าตัวตาย เขาสิ้นลมไปหลายนาทีแต่อยู่ๆก็ฟื้นขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ ข้ามาเยี่ยมตอนที่เจาเฟิงไม่ได้สติ เขาเพ้อถึงเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่มีเพียงข้าและเสิ่นจิ้งเฟยเท่านั้นที่ล่วงรู้ ทีแรกข้ายังไม่แน่ใจนัก จึงตัดสินใจไปตรวจดูเสิ่นจิ้งเฟยที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ...ถึงได้รู้ว่าร่างนั้นทำตัวประหลาดผิดแปลกไปจากทุกที ยิ่งได้พูดคุยก็ยิ่งแน่ชัด”สายตาของฮ่องเต้กวาดมองร่างของจื่อฟาง เด็กหนุ่มฟังด้วยใจที่เต้นระส่ำ จดจำเรื่องราวในวันนั้นได้เป็นอย่างดี
“เจ้าเป็นบุตรชายสกุลไหน”
“ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา มาจากสถานที่ไกลมากแห่งหนึ่ง”
“เท่านี้?”เจี่ยผิงเลิกคิ้ว สถานที่ไกลมากแห่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“ใช่ เท่านี้ ข้าไม่ใช่คนนอกด่าน หรือชนเผ่าไหน สถานที่ที่ข้าจากมา...จะว่าอย่างไรดีต่างจากที่นี่ลิบลับ”จื่อฟางเหม่อมองออกไปมองสระบัว คิดถึงโลกที่เคยอยู่ แม้จะไม่สะดวกสบายเท่าจวนสกุลเสิ่น แต่เขาก็หลับได้อย่างสบายใจ นึกถึงร่างที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนแล้วก็ปวดใจ จื่อฟางคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อกับแม่ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เจี่ยผิงเฝ้ามองอีกฝ่ายจมอยู่ในห้วงความคิด สีหน้าเศร้าหมองปรากฏอย่างไม่ปิดบัง เขามองเห็นความโดดเดี่ยวจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ฮ่องเต้นั่งลงข้างกาย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“จื่อฟาง หากเจ้าอยู่กับข้า เจ้าจะไม่โดดเดี่ยว”ถ้าหากได้จื่อฟางมาอยู่ใกล้ตัว เท่านี้เสิ่นจิ้งเฟยก็ตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
“ฝ่าบาท”เด็กหนุ่มชะงักเมื่อมืออุ่นของฮ่องเต้เกลี่ยริมฝีปากบางอย่างเบามือ เขาขมวดคิ้ว ผลักมือของอีกฝ่ายออกแต่ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือทั้งสองข้างของร่างผอมบางไว้ได้ อีกมือคว้าหลังคอของเด็กหนุ่ม ตามด้วยริมฝีปากของร่างใหญ่ที่กดจูบลงมา จื่อฟางดิ้นสุดแรง แต่ก็หนีไม่พ้น ถูกริมฝีปากของฮ่องเต้ขบกัดรุนแรงราวกับสัตว์ป่า ข้อมือถูกบีบจนเจ็บ เขาส่งเสียงร้องได้แต่เม้มริมฝีปากไม่ให้ปลายลิ้นของอีกฝ่ายสอดเข้ามา แต่ฮ่องเต้ดูเหมือนจะพอใจแค่การขบจูบ เจี่ยผิงรีบปล่อยร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเมื่อได้สติ
จื่อฟางลุกพรวดจากที่นั่ง ลูบข้อมือที่เป็นรอยแดง อกสะท้อนขึ้นลง อารมณ์โกรธพลุ่งพล่านอยู่ในอก เขาเข้าใจความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยแล้ว เขาตวัดสายตามองฮ่องเต้ที่อยู่ในอาการสงบ แววตาคล้ายกับกล่าวขอโทษแต่จื่อฟางคงตาฝาดไปเอง
“ท่านแค่อยากครอบครองเสิ่นจิ้งเฟย เขาไม่ใช่สิ่งของสวยงามที่ท่านอยากได้ ฝ่าบาท หากท่านทำเช่นนี้ ท่านจะไม่มีวันได้ความรักจากเขา ท่านมีความสุขหรือ”จื่อฟางขึ้นเสียงอย่างลืมตัว ความรู้สึกขุ่นเคืองปะทุขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆพยายามหักห้ามอารมณ์ของตัวเอง
เจี่ยผิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขัดกับแววตาแข็งกร้าว “ข้าอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้ ข้าต้องการเสิ่นจิ้งเฟย ต่อให้เจ้าเป็นคนแปลกหน้าอยู่ในร่างของเขา ข้าหาได้สนไม่ ข้าต้องการร่างกายของเขา ต้องการจิตวิญญาณของเขา เท่านี้ก็พอแล้ว เรื่องความรักเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าไม่ต้องการ”
จื่อฟางไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับฮ่องเต้ เขาใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปาก ค้อมตัวให้ฮ่องเต้เล็กน้อย
“ข้าขอตัว”เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับ เดินไม่ทันพ้นศาลา เสียงของฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ดังไล่หลังมา
“จื่อฟาง จำเอาไว้ว่าเจ้าสาบานกับเราไว้อย่างไร เราคงไม่ต้องเอ่ยเตือนเจ้ากระมังว่าร่างกายของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่ของเจ้า”ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ
“ร่างกายของเขา ไม่ใช่ของท่านเช่นกัน”จื่อฟางตอบกลับโดยไม่หันมอง รีบก้าวออกมาจากศาลาลมทันที เจ้าแผ่นดินถอนหายใจ ไม่คิดว่าการพบเจอกับชายงามทั้งสองจะลงเอยเช่นนี้ ทั้งเสิ่นจิ้งเฟยและจื่อฟางรับมือยากด้วยกันทั้งคู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรชะตาของทั้งสองก็อยู่ในกำมือของเขา ไม่มีผู้ใดหนีพ้นกงล้อของโชคชะตา เจี่ยผิงลุกจากตั่งไม้ ทอดสายตามองสระบัว นึกไปถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเสิ่นจิ้งเฟย
“เสิ่นจิ้งเฟย ข้าผิดคำพูดต่อเจ้า”เจี่ยผิงนึกไปถึงคำพูดที่เคยบอกฝ่ายนั้นว่าจะไม่ใช้กำลังบังคับ แต่เมื่อครู่เขากลับปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ชายหนุ่มก้มมองฝามือทั้งสองข้างของตัวเอง ในใจครุ่นคิดไปถึงคำพูดของจื่อฟาง
ความรักหรือ แม้แต่ฮองเฮาก็ให้เขาไม่ได้ เขาไม่ได้รักนาง นางไม่ได้รักเขา เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีความรัก เขาไม่ต้องการ
~~
จื่อฟางก้าวเร็ว ๆตามทางเดิน กำมืออยู่ในแขนเสื้อ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืด เป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน เริ่มจากการสอบ ความจริงของท่านปู่ เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริง ฮ่องเต้เจี่ยผิง คิดแล้วเขาก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมา ร่างบางเดินลากขาออกมาจากสวน พบกับกงกงคนเดิมยืนรออยู่ กงกงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่นำทางจื่อฟางออกมาที่ประตูวังหลวง รถม้าของสกุลเสิ่นจอดรออยู่ห่างออกไปไม่ไกล ร่างสูงใหญ่ของหยางชวีปรากฏทันที ถึงสีหน้าของหยางชวีจะไม่ปรากฏอารมณ์ใด แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง ผู้ติดตามสบตาคุณชายเสิ่น สายตาสะดุดเข้ากับริมฝีปากแดงเรื่อทันที เกิดอะไรขึ้น?ฮ่องเต้เจี่ยผิงแตะต้องคุณชายอย่างนั้นหรือ ความโกรธไม่มีทีมาปะทุขึ้นทันที หยางชวีก้าวเข้าไปหาเสิ่นจิ้งเฟย
“คุณชาย...”
“ไม่มีอะไรหรอก รีบกลับจวนดีกว่า”จื่อฟางไม่อยากพูดถึง รู้สึกว่าริมฝีปากยังแสบ ๆร้อนๆจากรอยขบกัด เขาตีหน้าเรียบนิ่งเมื่อเห็นสายตาของหยางชวีจ้องมองริมฝีปากของเขาไม่วางตา เด็กหนุ่มรีบผลุบหายเข้าไปในรถม้าหยางชวีเข้ามานั่งโดยไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด จื่อฟางเอนพิงผนังรถม้า หลับตาไม่รับรู้สิ่งใด ในระหว่างที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ
“เจ้าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อเด็ดขาด”จื่อฟางสั่งเสียงเบา
“...”เกิดความเงียบอยู่นาน จนเขาลืมตามอง พบว่าหยางชวียังคงมองอยู่ สีหน้าและแววตาไม่ปรากฏอารมณ์ใด ทำให้นึกไปถึงวันแรกที่เจออีกฝ่าย
“คุณชายเสิ่น...ข้าน้อยขออภัย”ผู้ติดตามพึมพำ ชั่วพริบตาร่างกำยำนั้นก็ขยับเข้าประชิดพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดริมฝีปากของเขาเบา ๆ สายตาของหยางชวีหลุบต่ำ จื่อฟางกลั้นหายใจ กระพริบตาปริบ ๆ เจ้านี่...เขายกยิ้ม ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างที่ต้องการ จนกระทั่งเริ่มเจ็บปากจึงแตะข้อมือของอีกคนเบาๆ
“ข้าว่าคงสะอาดแล้วกระมัง”
“คุณชาย ข้าน้อยขออภัยจริง ๆที่ปกป้องคุณชายไม่ได้”หยางชวีมองผ้าเช็ดหน้าในมือ
“ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสา”จะปกป้องอะไรกันเล่า
“ถ้าหากว่าคนผู้นั้นต้องการมากกว่านี้ ท่านจะยังไม่ถือสาอีกหรือ!”หยางชวีเผลอตัวขึ้นเสียงใส่คุณชายเป็นครั้งแรก
“เจ้าจะเสียงดังทำไม”จื่อฟางดุ ขมวดคิ้วใส่ผู้ติดตามที่ทำตัวผิดแปลกไปจากทุกที
“คุณชายใจเย็นอยู่ได้อย่างไร ถ้าหากฮ่องเต้...”หยางชวีหยุดพูด พ่นลมหายใจออกมา เขาไม่เข้าใจเช่นกัน แค่เห็นคุณชายเสิ่นออกมาจากประตูวังด้วยริมฝีปากแดงเรื่อแบบนั้น เขาก็โมโหขึ้นมาดื้อ ๆ
“ใจเย็นน่าหยางชวี เขาไม่บังคับข้าหรอก”ถึงแม้เรื่องวันนี้จะสวนทางกับคำพูดของเขาก็เถอะ ฮ่องเต้เจี่ยผิงดูจะเสียความควบคุมไปชั่วขณะ ฝ่าบาทไม่ได้มีความรู้สึกใดให้เขา ก็แค่ความต้องการอยากครอบครองเสิ่นจิ้งเฟย เขาถอนหายใจ
“เขาไม่ลงมือเร็ว ๆนี้หรอก”จื่อฟางรู้สึกเช่นนั้น ผู้ติดตามยังคงมองหน้าเขาอยู่
“หรือคุณชายชอบฝ่าบาท”
เด็กหนุ่มตวัดสายตามอง “เจ้าพูดเหลวไหล ข้าไม่ได้ชอบเขา”เพียงเข้าใจส่วนหนึ่ง เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยไม่รู้ว่าชาตินี้ฮ่องเต้จะเข้าใจหรือไม่ เขาหลุดอยู่ในห้วงความคิดอยู่นานสองนาน เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง รถม้าผ่านถนนซอกซอยคุ้นตา เขาคิดถึงไป๋ผูอวี้
“แวะที่คฤหาสน์สกุลไป๋”จื่อฟางร้องบอกข้ารับใช้นอกรถ เคาะผนังรถม้าบอกเบา ๆ
“คุณชาย นายท่านรออยู่ที่จวนขอรับ”หยางชวีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ
“ข้าแวะไปครู่เดียวเท่านั้น”ผู้ติดตามไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก ผ่านไปไม่นานนัก รถม้าก็แล่นมาจอดที่หน้าคฤหาสน์สกุลไป๋ จื่อฟางลงจากรถม้าได้ไม่นาน เงาร่างของเว่ยหลงก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู อีกฝ่ายดูไม่แปลกใจนักที่เห็นเขา มีเพียงสีหน้าเบื่อหน่ายปรากฏอยู่
“ข้ามาหาไป๋ผูอวี้ เขาอยู่ไหม”เขาถามพอเป็นพิธี
“ตามข้ามา”ผู้ติดตามร่างกำยำถอนหายใจ ปรายตามองหยางชวีที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ก่อนหมุนตัวเดินนำไปยังทางเดินที่มุ่งหน้าสู่เขตเรือนของไป๋ผูอวี้ สายลมอ่อน ๆพัดต้องร่าง เสียงขลุ่ยดังมาจากบริเวณศาลานั่งเล่นที่ล้อมไปด้วยต้นไผ่เงินเรียงรายเป็นแถว ร่างสูงของไป๋ผูอวี้สวมชุดสีเทาอ่อนเรียบง่าย เส้นผมปล่อยยาวสยาย ร่างนั้นหลับตาเป่าขลุ่ยด้วยท่วงท่าธรรมชาติ บทเพลงธรรมดาแต่ฟังแล้วชวนให้ผ่อนคลาย จื่อฟางยืนฟังเงียบ ๆ เว่ยหลงและหยางชวีปลีกตัวออกไปได้สักพักแล้ว ต้องบอกว่าเว่ยหลงลากหยางชวีออกไปจึงจะถูก
เสียงขลุ่ยหยุดลง ไป๋ผูอวี้ลืมตามองคุณชายเสิ่น ใช้สายตากวาดมองทั่วทั้งร่างเพื่อเก็บรายละเอียด ไม่ได้เจอคุณชายท่านนี้สักพักเพราะเรื่องพลอดรักยามวิกาลคราวก่อน เสิ่นจิ้งเฟยมีสีหน้าเหนื่อยอ่อน
“ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเจ้าเข้าพบ”ไป๋ผูอวี้เอ่ย วางขลุ่ยลงบนโต๊ะ ก่อนก้าวเดินไปหาชายรูปงามที่ยืนมองเขาทุกอย่างก้าว เขามองเห็นริมฝีปากที่บวมแดงกว่าปกติ เมื่อเข้าไปใกล้พอจึงเห็นรอยขบกัด เขาเพ่งมองจนเสิ่นจิ้งเฟยเลียริมฝีปาก แววตากระจ่างใสสบกับเขา
“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้า”
“อืม ข้าบังเอิญเจอชายงามของเขาเลยได้คุยกันนิดหน่อย”จื่อฟางเล่า มองหน้าไป๋ผูอวี้ที่อยู่ใกล้จนได้กลิ่นชาอ่อนๆ
“เขาจูบเจ้า”ไป๋ผูอวี้เอ่ย สายตาจับจ้องริมฝีปากของเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจ ยกมือลูบโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว คว้าข้อมือของเขาไปดู รอยแดงปรากฏชัดเจนบนข้อมือขาวผ่องของเสิ่นจิ้งเฟย ไป๋ผูอวี้ลูบรอยแดงบนข้อมือของร่างบางอย่างไม่ชอบใจ
“วันนี้ข้าเจอแต่เรื่องยุ่ง”คุณชายเสิ่นเอนตัวพิงแผ่นอกของเขา ไป๋ผูอวี้จึงโอบกอดอีกฝ่ายหลวม ๆ คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อได้กลิ่นอ่อน ๆของคนไร้ยางอายผู้นั้นติดเสื้อผ้าของเสิ่นจิ้งเฟยมาด้วยก็เผลอออกแรงกอดร่างผอมแห้งโดยไม่รู้ตัว เสิ่นจิ้งเฟยส่งเสียงร้องเบา ๆ
“เจ้าจะฆ่าข้ารึ”คุณชายเสิ่นผละออกมาเมื่อชายหนุ่มคลายอ้อมกอด ไป๋ผูอวี้จับใบหน้าของอีกฝ่ายพลิกไปมาเพื่อหาความผิดปกติ เมื่อไม่พบก็วกกลับมาจับจ้องริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ข้าจะทายาให้คุณชายก็แล้วกัน”ไม่ทันได้บอกกล่าว ไป๋ผูอวี้ก็ออกแรงอุ้มจื่อฟางพาดบ่าอย่างง่ายดายทันที
“ไป๋ผูอวี้เจ้าทำอะไร ข้าเดินเองได้”เขาส่งเสียงอย่างตื่นตระหนก โลกแกว่งไปครู่หนึ่ง เขามองเห็นบ่าวรับใช้พากันหลบหน้าหลบตาอย่างรวดเร็ว คนพวกนี้ก็รู้หน้าที่ดีเหมือนกัน
“ทายาให้เจ้าอย่างไรล่ะ”จื่อฟางไม่ได้เอ่ยแย้ง ปล่อยให้ไป๋ผูอวี้พาเขาไปในเรือนนอน ชายหนุ่มปล่อยเขาลง ก่อนที่จะไปหยิบกระปุกยามาอย่างรวดเร็ว จื่อฟางนั่งลงอย่างหมิ่นเหม่บนเตียง
“ยื่นมือออกมา”ไป๋ผูอวี้สั่ง คุณชายเสิ่นทำคามอย่างว่าง่าย เขาเปิดกระปุก กลิ่นหอมอ่อนๆแตะจมูก เขาป้ายยาลงบริเวณรอยแดงตรงข้อมือ ใช้มือเกลี่ยอย่างเบามือจนแล้วเสร็จ เสิ่นจิ้งเฟยชะงักเหมือนเพิ่งนึกได้ ร่างบางเอี้ยวตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ใช้มือจับเส้นผมไปอีกข้างจนลำคอขาว ๆปรากฏให้เห็น แต่รอยแดงช้ำดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างดี ไป๋ผูอวี้พ่นลมหายใจออกมา ก่อนทายาให้
“คิดว่าเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วจะแตะต้องผู้อื่นได้ตามใจชอบหรือ...”ไป๋ผูอวี้ทายาให้เสร็จก็โน้มตัวมาประกบจูบที่ริมฝีปาก จื่อฟางหลับตาปล่อยให้อีกฝ่ายขบเม้มช้า ๆ เผยอริมฝีปากรับปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา จูบเม้มอยู่นานจนจื่อฟางรู้สึกเจ็บแปลบๆ เพราะฟันของอีกฝ่ายขบกัดเบา ๆ จื่อฟางกุมใบหน้าของไป๋ผูอวี้ก่อนบดจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอก่อนค่อย ๆถอนริมฝีปากออกมา
“สอบเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็พอทำได้”จื่อฟางตอบ อีกหลายวันกว่าผลสอบจะออก
“อืม”ไป๋ผูอวี้ก้มหน้ามองใบหน้าหมดจดของร่างตรงหน้าแล้วรู้สึกอยากขบกัดอีกรอบ แต่ริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยบวมแดงจนเขารังแกไม่ลง
“เจ้าควรกลับจวนได้แล้ว เสนาบดีเสิ่นคงรอเจ้าอยู่”ชายหนุ่มเอ่ย ถอนหายใจเบา ๆ
“ข้าคิดถึงเจ้า”จื่อฟางพึมพำ เขาตั้งใจแวะมาเติมพลังเท่านั้น ไป๋ผูอวี้ยื่นมือมาแตะแก้มของเขาเบา ๆ
“หากเจ้าสอบได้ ข้ามีของจะให้”จื่อฟางเลิกคิ้ว แย้มรอยยิ้มซุกซน
“ถ้าหากว่าข้าสอบไม่ได้เล่า”
“ข้ามีบทลงโทษ”ไป๋ผูอวี้ยัดกระปุกยาใส่มือของเสิ่นจิ้งเฟย ก่อนเดินนำอีกฝ่ายออกมาจากเรือนนอน เมื่อออกมาด้านนอกก็พบว่าหยางชวีอยู่ที่ลานบานกำลังประมือกับเว่ยหลงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย ต่างจากเว่ยหลงที่สบถพึมพำ หน้านิ่วคิ้วขมวด การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ก่อให้เกิดลมวูบใหญ่ เงาร่างของหยางชวีหยุดตรงหน้าจื่อฟาง
“คุณชายเสิ่น กลับกันเถอะขอรับ”จื่อฟางพยักหน้าหันมองไป๋ผูอวี้อีกครั้ง
“ระวังตัวด้วย”เขาพึมพำบอก
“เจ้าก็เช่นกัน”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสุภาพ รู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องในใจถึงได้แวะมาหาเขา ฮ่องเต้เจี่ยผิง…
-------------------------------------------------------
มาอัพแล้วว >_< จุดพลุฉลอง สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ
ตอนนี้ก็เฉลยไปอีกตอน เจอกันตอนหน้าค่ะ