✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 182086 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Thunderyong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ไม่ชอบอ่านนิยายแนวพีเรียดเลยยิ่งนิยายจีนยิ่งแล้วใหญ่ แต่เรื่องนี้ทำให้ชอบนิยายแนวนี้ขึ้นมาเลย ภาษาอ่านง่ายเข้าใจ เนื้อเรื่องน่าติดตามทุกตอน สนุกมากค่าาาาฮือออ  o13

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เนิ้อเรื่องกำลังเข้มข้น แต่งสนุกมาก รอมาต่อนะคนเขียน

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

บทสิบสอง: ฮ่องเต้เจี่ยผิง



ระหว่างทางกลับจวนสกุลเสิ่น ไป๋ผูอวี้บอกว่ามีเรื่องที่ต้องจัดการจึงขอตัวกลับไปก่อน จื่อฟางไม่แน่ใจว่าฝ่ายนั้นมีเรื่องต้องจัดการจริง หรือเป็นเพราะไม่กล้าสู้หน้าตนกันแน่ จื่อฟางถอนหายใจ ทิ้งตัวพิงผนังรถ หลับตาดื่มด่ำกับความเงียบ แม้ว่าจะยังกังวลเรื่องหลิวอ๋อง แต่ภาพของไป๋ผูอวี้ที่ทำตัวไม่ถูกกลับทำให้จื่อฟางยกยิ้มกับตัวเอง รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปตามปกติ แต่เขากลับรู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก รู้สึกแปลกๆจึงลืมตาขึ้น

“ข้าไม่ได้เห็นเจ้ายิ้มนานแล้ว มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ”เสียงคุ้นหูดังอยู่ภายในรถม้าที่เงียบสงัด ทำเอาจื่อฟางสะดุ้งสุดตัว ใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นว่าผู้ใดเป็นคนบุกรุกเข้ามาเขาก็อ้าปากค้าง คนผู้นี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมยังในเวลานี้อีก?

“ฮ่องเต้เจี่ยผิง”จื่อฟางพึมพำเบาๆกับตัวเอง เจ้าตัวคลี่ยิ้มจางเหมือนกำลังสนุกกับอาการตกตะลึงของเขา ไม่ผิดแน่ บุรุษตรงหน้าคือเจ้าแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าชื่อฝู่จวิ้น จื่อฟางโดนต้มเสียเปื่อย แม้ภายในรถม้าจะมีเพียงแสงสลัว แต่เขาก็ยังมองเห็นว่าฮ่องเต้สวมชุดคลุมสีดำยาวเรียบง่ายแต่ก็ปกปิดความสูงศักดิ์ไม่มิด น่ากลัวเกินไปแล้ว คนผู้นี้คิดจะโผล่ก็โผล่มา เขาแทบไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ

ต้องมีอะไรขึ้นกับคนขับรถม้าแน่ บ่าวรับใช้ไม่มีทางปล่อยให้มีคนแปลกหน้าเข้ามา (ไม่นับกรณีของไป๋ผูอวี้)หรือองครักษ์หน้าดุมากฝีมือผู้นั้นเป็นคนจัดการ จื่อฟางเลิกม่านมองออกไปด้านนอกแต่กลับพบว่านี่ไม่ใช่เส้นทางสายเดิมของตรอกซีหมานแต่เป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นตา ฮ่องเต้มักมากจะพาเขาไปที่ใดกัน?

จื่อฟางเหลียวมองฮ่องเต้เจี่ยผิงด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “ฝ่าบาทมาที่นี่ได้อย่างไร”เขาเอ่ยถาม

“ข้ากระโดดขึ้นมาน่ะสิ”เจี่ยผิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร คืนนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะทุกอย่างล้วนเป็นใจ เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ บุรุษหนุ่มขยับตัวเพื่อปรับท่านั่งให้สบาย ยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของเสิ่นจิ้งเฟยเมื่อได้ยินคำตอบของเขา

“ฝ่าบาท...”

“เจ้าไม่แสร้งทำเป็นจำข้าไม่ได้แล้วรึ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงมองมาด้วยแววตาขบขัน จื่อฟางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่พบกันคราวก่อน รอยยิ้มและแววตาของพระองค์คล้ายกับล่วงรู้ว่าเขามีเรื่องปกปิด เด็กหนุ่มรู้สึกว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นจิ้งเฟย ไม่แปลกใจหากฮ่องเต้จะไม่เชื่อเรื่องอาการป่วยที่โกหกไว้ ในเมื่อเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงและฮ่องเต้เคยมีความหลังต่อกัน ย่อมต้องรู้จักนิสัยใจคอกันพอสมควร

“ฝ่าบาทต้องการสิ่งใดหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ หรือพระองค์แค่อยากแวะมาทักทายกระหม่อม”จื่อฟางสวมบทบาทของเสิ่นจิ้งเฟย คำพูดรัวเร็วออกมาอย่างลื่นไหล ความทรงจำของร่างนี้ทำให้เขารู้ว่าต้องวางตัวต่อฮ่องเต้อย่างไร เขาจำโทนเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยยามที่พูดกับฮ่องเต้ได้ดี ห่างเหินและแฝงแววเย็นชาโดยไม่กริ่งเกรงต่ออำนาจของเจ้าแผ่นดิน ยิ่งทำให้จื่อฟางสงสัยนักว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่

เจี่ยผิงหัวเราะให้กับคำถามของเสิ่นจิ้งเฟย “เจ้าก็ยังคงพูดจาห่างเหินกับข้าเช่นเดิม”ชายหนุ่มพึมพำก่อนพูดต่อ

“ข้าออกมาตรวจตราบ้านเมือง ไม่คิดว่าจะได้พบกับเจ้าที่ตรอกซีหมาน จึงคิดว่าควรแวะทักทายเจ้าเสียหน่อย”เจี่ยผิงกล่าวช้าๆ ในขณะที่มองการเคลื่อนไหวของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาคมปราบราวกับนกอินทรีย์ที่จับจ้องเหยื่อ จื่อฟางขนลุกเกรียว เก็บซ่อนสีหน้าที่แท้จริงไว้ แม้ว่าหัวใจจะเต้นผิดจังหวะเมื่อได้ยินคำว่า‘ตรวจตราบ้านเมือง’หรือจะเกี่ยวข้องกับการที่หลิวอ๋องออกมาพบปะกับเสิ่นจิ้งเฟยในคืนนี้ เรื่องของหลิวอ๋องฮ่องเต้เจี่ยผิงระแคะระคายมากแค่ไหน แถมยังบอกว่าเห็นเขาที่ตรอกซีหมานอีก หรือฮ่องเต้ต้องการหยั่งเชิงตน

 “ช่างบังเอิญยิ่งนัก”จื่อฟางพึมพำ บรรยากาศระหว่างเขาและฮ่องเต้ไม่ได้กดดันตึงเครียด เพราะอีกฝ่ายไม่ได้วางอำนาจบาตรใหญ่   

“ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย ว่าอย่างไร มีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือเจ้าถึงได้ยิ้มไม่หยุด หาได้ยากนัก”เมื่อได้ยินคำถามของฮ่องเต้เจี่ยผิง จื่อฟางก็อดสงสัยไม่ได้ ฮ่องเต้คิดจะใช้โอกาสนี้ตีสนิทเสิ่นจิ้งเฟยหรือ พูดจาราวกับสนิทสนม ทั้งที่ความจริงแล้วเสิ่นจิ้งเฟยไม่ชอบหน้าชายผู้นี้ 

“ข้าเพียงมีความสุขที่ได้พบเจอสหาย”

“อ้า เช่นนี้เอง ข้าก็เช่นกัน ข้ามีความสุขที่ได้พบหน้าเจ้า”ฮ่องเต้กล่าวหยอกล้อ จื่อฟางปั้นหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่มีทางหลงกลแน่ ฮ่องเต้มีสนมมากมาย ไหนยังชายงามที่คัดเลือกมาอย่างดีจากในและนอกแคว้น ยังจะมาสนใจเสิ่นจิ้งเฟยอีกหรือ อารมณ์ขุ่นเคืองเบาบางที่ก่อตัวขึ้นทำให้จื่อฟางเบนสายตาไปทางอื่น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของเสิ่นจิ้งเฟยได้ทั้งๆที่เขาเป็นเจ้าของร่างนี้ ความผิดหวังและเจ็บปวดของเสิ่นจิ้งเฟยดูเหมือนจะมีผลกระทบต่อจื่อฟาง บางทีเศษเสี้ยวของเสิ่นจิ้งเฟยอาจจะหลงเหลืออยู่ในร่างนี้กระมัง เขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย มันทำให้เขาไม่สบายตัว

ภายในรถม้าตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงเคลื่อนตัวของล้อรถเท่านั้น ทั้งฮ่องเต้และจื่อฟางต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง เจี่ยผิงกอดอกนึกไปถึงคำทำนายของนักพรตชรา นักพรตหลินเป็นสหายของฮ่องเต้องค์ก่อน เขาเองก็คุ้นเคยและได้ยินชื่อเสียงของท่านนักพรตดี เจี่ยผิงจึงเคารพนับถือท่านนักพรตเสมือนญาติผู้ใหญ่ เขาจำได้ว่าเรียกตัวเสิ่นจิ้งเฟยเข้าวังหลวงเพื่อมาบรรเลงกู่ฉิน และก็เป็นวันที่นักพรตหลินได้พบกับเสิ่นจิ้งเฟยเป็นครั้งแรก

‘ฝ่าบาท เด็กหนุ่มรูปงามผู้นั้นมีดวงชะตาข้องเกี่ยวกับท่าน’

‘มิใช่ว่าเห็นได้ชัดอยู่แล้วรึ’

นักพรตหลินมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายปริศนา ‘สิ่งที่กระหม่อมจะกล่าวต่อจากนี้ ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องเชื่อกระหม่อม แต่ในวันข้างหน้าชะตาของเด็กผู้นั้นจะแปรผัน เขาเป็นได้ทั้งศัตรูหรือกัลยานิมิตรของท่าน’นักพรตชราหยุดครู่หนึ่ง แววตาที่ผ่านโลกมานักต่อนักมองตรงมาที่เจี่ยผิง

‘ทั้งท่านและเด็กคนนั้นไม่สามารถหลีกหนีโชคชะตาได้พ้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดหรือเป็นผู้ใดก็ตาม อีกไม่นานจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น วิญญาณของเขาจะมิใช่ของเขา กายเนื้อเป็นเพียงกายเนื้อ’เจี่ยผิงไม่เข้าใจในสิ่งที่นักพรตหลินกล่าวนัก

‘ฝ่าบาท หากวันเวลานั้นมาถึงขอจงจำไว้ว่ากายเนื้อนั้นมิสำคัญ แต่เป็นจิตวิญญาณต่างหากเล่า…’


เจี่ยผิงเก็บคำทำนายของท่านนักพรตมาไตร่ตรอง เขาเป็นถึงโอรสสวรรค์จะเชื่อคำผู้อื่นโดยไม่ไตร่ตรองได้อย่างไร แต่คนผู้นี้เป็นนักพรตศักดิ์สิทธิ์ เขาเคยทำนายว่าเจี่ยผิงจะได้ครองบัลลังก์มังกรแม้ว่าในขณะนั้นองค์ชายใหญ่จะเป็นองค์รัชทายาท แต่ช่างเถิด เขาเป็นฮ่องเต้ที่ถูกกล่าวขานว่ามีความคิดที่แปลกประหลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แปลกหากครานี้เจี่ยผิงจะปักใจเชื่อ แต่ยังมีเหตุผลอีกประการที่ทำให้เขาเชื่อคำทำนายของนักพรตหลิน ฮ่องเต้คลี่ยิ้มปริศนาก่อนปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ

กายเนื้อมิสำคัญงั้นหรือ เจี่ยผิงหัวเราะอยู่ในใจ เขาไม่สนว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะเปลี่ยนไปเพียงไหน จะเป็นคนเดิมหรือไม่ เขาเพียงต้องการคุณชายรูปงามผู้นี้เท่านั้น ขอแค่ได้มาครอบครองก็พอแล้วมิใช่หรือ

จื่อฟางทอดสายตาออกไปนอกรถ ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ฮ่องเต้อมาที่นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคงไม่ใช่แค่อยากมาทักทายอย่างที่กล่าวแน่ โชคชะตาเล่นตลกกับเขามากเกินไปแล้ว ทั้งหลี่ฮุ่ยจือ ไป๋ผูอวี้ หลิวอ๋อง ฮ่องเต้ ยังมีตัวละครไหนอีกที่ยังไม่ได้ออกมา การตายของท่านปู่ของเสิ่นจิ้งเฟยก็ยังไม่แน่ชัด หลิวอ๋องบอกว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้ แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ท่านอ๋องก็ไม่ใช่คนดี พูดถึงเรื่องหลิวอ๋อง จื่อฟางก็ไม่แน่ใจ ฮ่องเต้อยู่ข้างเขาตรงนี้แล้ว สมควรบอกดีหรือไม่

‘บ้าไปแล้ว’จื่อฟางขบริมฝีปาก ถึงฮ่องเต้เจี่ยผิงจะชอบเสิ่นจิ้งเฟย แต่เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไม่มีอะไรมารับประกันว่าฮ่องเต้จะเชื่อหรือไว้ใจ หากพระองค์ทรงกริ้วเล่า สกุลเสิ่นมีอันได้ล่มจมเพราะความเขลาของจื่อฟางแน่

ระหว่างที่เขากำลังคิดหนัก ฮ่องเต้ก็เอ่ยทำลายความเงียบ “ข้ามีเรื่องอยากสนทนากับเจ้า”

“สนทนากับกระหม่อม?”ฝามือของจื่อฟางเริ่มชื้นเหงื่อ

เจี่ยผิงเพียงพยักหน้า ปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟย “ข้าบอกเจ้าไปหลายคราแล้ว วางตัวตามสบายเถอะ ข้ายังเป็นพี่ฝู่จวิ้นของเจ้าเสมอ”ฮ่องเต้ไม่ได้ล้อเล่น จื่อฟางสัมผัสได้ว่าบรรยากาศที่เคยผ่อนคลายมลายหายไป สีหน้าอ่านไม่ออกของบุรุษมากอำนาจทำให้คิดว่าเรื่องที่ต้องการสนทนาเป็นเรื่องสำคัญ เขาแปลกใจที่ตัวเองใจเย็นกว่าที่คิด จื่อฟางนั่งนับเลขไปเรื่อยๆจนกระทั่งรถม้าหยุดลงช้าๆ

เจี่ยผิงเผยรอยยิ้มปริศนาก่อนก้าวลงจากรถม้าอย่างเงียบเชียบ ทิ้งกลิ่นหอมจางไว้เบื้องหลัง จื่อฟางก้าวตามมาช้า ๆ ทิ้งระยะห่างไว้เล็กน้อย เมื่อลงมาได้ก็กวาดตามองไปรอบๆ จำได้ว่าเคยนั่งรถม้าสำรวจผ่านบริเวณนี้มาก่อน ระยะทางห่างจากตรอกซีหมานมาพอสมควร ทั้งยังเป็นเขตห่างไกลจากบ้านคน มีศาลาหลังเล็กอยู่ใกล้กับแนวป่าไผ่ที่เห็นเป็นแนวดำตะคุ่ม จื่อฟางมองปราดไปที่รถม้า องครักษ์หน้าดุคนเดิมกำลังยืนลูบหัวม้าสีดำด้วยสีหน้าสงบ ร่างไม่ได้สติของคนขับรถม้าสกุลเสิ่นนอนฟุบอยู่ที่แท่นนั่ง

เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ จื่อฟางเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวเต็มผืนฟ้า เขาออกมาจากหอผูเยว่เป็นเวลาเท่าใดแล้ว หยางชวีจะสังเกตว่าเขาหายไปนานกว่าปกติหรือไม่ จื่อฟางได้แต่เดินตามฮ่องเต้อย่างเงียบๆ ร่างตรงหน้าหยุดยืนเอามือไพล่หลัง สายตาจับจ้องอยู่ที่เนินดินเล็กๆมีหินศิลาก้อนหนึ่งฝังอยู่คล้ายสุสาน จื่อฟางขนลุกซู่ ฮ่องเต้พาเขามาที่นี่ทำไม   

“เจ้าจำที่แห่งนี้ได้หรือไม่”เจี่ยผิงไม่ได้คาดหวังคำตอบ เขาเพียงนึกถึงความหลังเท่านั้น บุรุษหนุ่มหันมองเสิ่นจิ้งเฟยที่ทำสีหน้าประหลาด คิ้วเรียวขมวดมุ่น แววตาคล้ายเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง

ตึกตัก ตึกตัก

ที่แห่งนี้หรือ จื่อฟางใจเต้นระรัว ความรู้สึกเดียวกับเมื่อครั้งที่ได้เห็นความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟย

‘จิ้งเฟย เจ้าอย่าเสียใจไปเลย หากเจ้าอยากได้กระต่ายตัวใหม่ ข้าจะไปหามาให้’เจี่ยผิงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบเสิ่นจิ้งเฟยวัยสิบขวบ ร่างผอมบางกว่าเด็กวัยเดียวกันสั่นน้อยๆ เขาคุกเข่าอยู่ข้างหลุมที่ถูกขุดมาฝังศพกระต่ายสีขาว เด็กน้อยใช้แขนเสื้อคลุมเช็ดน้ำตาด้วยสีหน้าหมองหม่น

‘ไม่เหมือนกัน ข้าไม่อยากได้กระต่ายตัวใหม่ ข้าต้องการแค่ฮ่าวฮ่าวเท่านั้น’เสิ่นจิ้งเฟยพึมพำด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ตวัดสายตาบึ้งตึงมองเจี่ยผิง

‘ข้าเข้าใจ แต่ฮ่าวฮ่าวกลับมาไม่ได้แล้ว เจ้าหยุดร้องไห้เถอะ’เจี่ยผิงถอนหายใจก่อนยกมือลูบหัวเสิ่นจิ้งเฟยเบาๆ

‘เหมือนท่านแม่ใช่หรือไม่’เสิ่นจิ้งเฟยรำพึง สายตาหลุบต่ำมองร่างแน่นิ่งของกระต่ายสีขาวในหลุม เจี่ยผิงนั่งลงข้างๆร่างเล็ก

‘ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว ท่านแม่ของเจ้าไม่ได้อยากทิ้งเจ้าไป มนุษย์ทุกคนล้วนพบจุดจบเช่นนี้’เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

‘พี่ฝู่จวิ้นก็ด้วยหรือ’เสิ่นจิ้งเฟยเงยหน้ามอง แววตาเป็นระลอกคลื่นหวาดหวั่น

‘อืม ไม่มีผู้ใดหนีพ้น’เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ สีหน้าคล้ายกับเจ็บปวด

‘แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ายังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้า สักวันข้าจะพาเจ้าไปอยู่ด้วย ดีหรือไม่’นัยน์ตาของเจี่ยผิงทอประกายเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง เสิ่นจิ้งเฟยชะงักไปเล็กน้อย

‘เจ้าไม่ชอบจวนสกุลเสิ่นไม่ใช่หรือ หากไม่ชอบข้าก็จะพาเจ้าออกมา บ้านข้าสะดวกสบายมีให้เจ้ากินได้ทั้งชีวิต หากเจ้าโตกว่านี้ ข้าจะพาเจ้าไปแน่นอน ข้ากล่าวแล้วไม่คืนคำ’เจี่ยผิงกล่าวเสียงหนักแน่น เสิ่นจิ้งเฟยเลิกคิ้วสีหน้าคล้ายไม่เชื่อนัก

‘ท่านแน่ใจหรือ ถ้าหากท่านพ่อ…’

‘ข้ากลัวเขาที่ไหน’เจี่ยผิงหัวเราะเสียงใส ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนจะปรากฏแววดูถูก เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้ว ประกายไม่พอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าเล็กๆ

‘มีแต่ผู้คนเกรงกลัวพ่อข้า ไม่มีผู้ใดไม่กลัวสกุลเสิ่น’เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวอย่างไม่พอใจ ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น เจี่ยผิงยกมือกอดอก ผงกศรีษะช้าๆ แววตาฉายแววขบขัน เสิ่นจิ้งเฟยก้มมองกระต่ายในหลุม อารมณ์เสียใจมลายหายไปสิ้น เขาหยิบดินมาหนึ่งกำมือก่อนปาใส่เจี่ยผิง

‘ข้าไม่ไปกับท่านหรอก’

“เสิ่นจิ้งเฟย”เจี่ยผิงเรียกเมื่อเห็นเสิ่นจิ้งเฟยยืนนิ่งงันไปนานคล้ายกับไม่ได้ยินที่เขาเอ่ยถาม จื่อฟางกระพริบตา เสียงหัวเราะของฮ่องเต้ในวัยหนุ่มยังคงติดหู ช่างต่างกับบุรุษตรงหน้าเหลือเกิน ถึงจะมีรอยยิ้มเป็นมิตรแต่ก็เหมือนสวมหน้ากาก ความทรงจำเมื่อครู่ทำให้จื่อฟางรู้สึกแปลกพิกล ฮ่องเต้คิดงาบเสิ่นจิ้งเฟยตั้งแต่เด็กแล้ว เด็กที่โดดเดี่ยวอย่างเสิ่นจิ้งเฟยคงมองฮ่องเต้เจี่ยผิงเป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น แถมอายุก็ห่างกันเกือบสิบปี…น่ากลัวชะมัด

“ท่านว่าอะไรนะ”เขาแสร้งทำสีหน้าปลอดโปร่ง

“ข้าถามว่าเจ้าจำที่แห่งนี้ได้หรือไม่”

“จำไม่ได้”จื่อฟางเลือกโกหก หากเป็นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงตอบเช่นนี้เหมือนกันกระมัง ฮ่องเต้เจี่ยผิงไหวไหล่ก่อนเปลี่ยนมาใช้สีหน้าจริงจัง สายลมพัดเอื่อยๆ พัดพากลิ่นหอมจางจากร่างตรงหน้ามาอีกระลอก

“ข้าอยากคุยเรื่องหลิวอ๋อง”เจี่ยผิงเข้าเรื่องอย่างไม่เสียเวลา เสิ่นจิ้งเฟยยังคงท่าทีเช่นเดิมได้อย่างน่าชื่นชม

“หลิวอ๋อง?ฝ่าบาทอยากคุยเรื่องใดหรือ”จื่อฟางย้อนถามเสียงใสซื่อ เขาแปลกใจอยู่บ้างที่ฮ่องเต้กล่าวออกมาตรงๆเช่นนี้

“ข้าจะไม่อ้อมค้อม ข้าทราบเรื่องเจ้ากับหลิวอ๋องมาสักพักแล้ว คืนนี้เป็นคืนที่เจ้ากับเขาลอบพบกันที่หอผูเยว่ หึ คงคิดว่าหลุดรอดสายตาของข้ากระมัง”เจี่ยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ อากาศรอบตัวคล้ายกับหยุดนิ่ง ความกดดันอันน่ากลัวทำให้จื่อฟางเหงื่อไหลซึม แววตาที่อ่านไม่ออกของฮ่องเต้พานให้สั่นสะท้านอยู่ลึกๆ

“สมกับเป็นฝ่าบาท ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าท่านต้องระแคะระคาย”จื่อฟางคิดว่าตัวเองแสดงละครได้แนบเนียนทีเดียว เขาแสร้งทำเป็นเยือกเย็นจนกระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงหยิบมีดสั้นออกมา

“ข้ารู้ว่าเจี่ยซินไม่ไว้ใจข้า และข้าก็ไม่ไว้ใจเขา”เจี่ยผิงเอ่ยช้าๆ สาวเท้าเข้ามากาจื่อฟางที่บัดนี้ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม เรียบร้อยแล้วแต่เขาไม่ได้ขยับหนี

“และข้าไม่ไว้ใจเจ้า”มีดสั้นชี้ตรงมาที่ร่างของเขา 

“ฝ่าบาทจะฆ่าข้าหรือ”จื่อฟางทำใจแข็งกล่าวเสียงเรียบ ฮ่องเต้บอกว่าต้องการสนทนา คงไม่คิดฆ่าเขาทิ้งหรอกกระมัง จากหางตาเขามองเห็นองครักษ์ประจำตัวฮ่องเต้ยืนมองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ 

“ฆ่าเจ้า?จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”ฮ่องเต้เอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับลดมีดลง “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ไว้ใจ แต่ข้ายังเห็นว่าเจ้ายังมีประโยชน์ ร่วมมือกับข้า หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า”ปฏิกิริยาของเสิ่นจิ้งเฟยน่าชมกว่าที่เจี่ยผิงคิดไว้ ร่างตรงหน้ามองมาที่เขาด้วยสีหน้าสับสนงุนงงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

“ว่าอย่างไร”เจี่ยผิงหลุดหัวเราะกับท่าทางโง่งมของอีกฝ่ายซึ่งเขาไม่ได้เห็นนานแล้ว เจี่ยผิงไม่ใช่คนโง่ แต่เขามีเหตุผลที่เลือกใช้วิธีนี้ และเขารู้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยในยามนี้ต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน

จื่อฟางต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะประมวลผลได้ เขาได้ยินถูกต้องหรือไม่ เหตุใดฮ่องเต้ถึงเอ่ยเช่นนี้ เขาคือเสิ่นจิ้งเฟยที่ร่วมมือก่อกบฏกับหลิวอ๋อง ฮ่องเต้กล้าไว้ใจเสิ่นจิ้งเฟยง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย หรือหลงรูปงามๆจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว

“ข้าไม่เข้าใจ”จื่อฟางเอ่ยออกมาในที่สุด

“เจ้าเพียงตอบว่าจะร่วมมือหรือไม่เท่านั้นก็พอ ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก เจ้าอาจหลงผิดไปเพราะคำโป้ปดมดเท็จของหลิวอ๋อง หากเจ้าร่วมมือเป็นสายสืบให้ข้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าเจ้าเคยคิดก่อกบฏ ดีหรือไม่”ข้อเสนอของฮ่องเต้ยิ่งฟังก็ยิงเหลือเชื่อเข้าไปทุกที

จื่อฟางสบตาอีกฝ่าย เขาต้องการความจริง มีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ด้วยหรือ เขาไม่รู้จักฮ่องเต้เจี่ยผิงแต่คนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา เสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงคงไม่มีทางยอมรับข้อเสนอนี้เพราะเจ้านั่นมีเรื่องแค้นใจกับฮ่องเต้ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องท่านปู่ที่ตายไปอย่างปริศนา เขาไม่ใช่เสิ่นจิ้งเฟย เขาคือจื่อฟางที่ต้องการมีชีวิตอยู่ เรื่องซับซ้อนที่เกี่ยวโยงถึงสกุลเสิ่นนับว่าเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเขา     

“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้ารู้ว่ายามนี้เจ้า…ไม่เป็นตัวของตัวเอง”เจี่ยผิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจช้าถึงเพียงนี้จึงกล่าวเสริม “เสิ่นจิ้งเฟย ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร นั่นไม่สำคัญ ข้าเพียงต้องการตัวเจ้าเท่านั้น”

จื่อฟางพินิจมองฮ่องเต้ ข้าเพียงต้องการตัวเจ้าเท่านั้น พูดราวกับเห็นเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเพียงของสวยงามที่ต้องมีในครอบครอง คงเป็นเรื่องจริงที่ฮ่องเต้ชอบชายงาม ไม่แปลกที่อีกฝ่ายต้องการเสิ่นจิ้งเฟยถึงเพียงนี้  ความรู้สึกโกรธเบาบางที่ก่อตัวขึ้นเป็นของตนหรือเจ้าของร่างคนเก่ากันแน่ตอนนี้เขาแยกไม่ออกนัก จื่อฟางพอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้านั่นเสียแล้ว 

“หากท่านสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายสกุลเสิ่น ข้าก็ตกลง”จื่อฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฮ่องเต้มองเขาด้วยสายตาคมปราบอยู่นาน 

“ข้าไม่เคยทำร้ายสกุลเสิ่น”เจี่ยผิงพลันรู้สึกถึงอารมณ์โกรธของตัวเอง บุรุษหนุ่มสะบัดชายเสื้อด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เรื่องนี้เอ่ยถึงทีไรเป็นต้องหงุดหงิดทุกครา จื่อฟางเพียงยืนรอคอยคำตอบเงียบๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังต้องหาทางพิสูจน์

“เจ้าคิดว่าต่อรองกับข้าได้หรือ จิ้งเฟย”

“ข้าเพียงเสี่ยงดวงดูเท่านั้น”จื่อฟางยังคงรอคอยอย่างสงบนิ่ง

ฮ่องเต้หนุ่มชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ว่าสิ่งที่ตนได้มาจะคุ้มหรือไม่ สุดท้ายเขาก็เอ่ยขึ้น “ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสกุลเสิ่น งานของเจ้าไม่มีอะไรมาก เพียงแค่รายงานความเคลื่อนไหวของหลิวอ๋องให้องครักษ์ของข้าทุกครั้ง ข้าจะส่งมือดีมาเฝ้าระวังให้เจ้าอีกแรง”

 “ข้าจะทำสุดความสามารถ”แรงหนักอึ้งบนบ่าคล้ายกับถูกยกออกไป หากร่วมมือกับฮ่องเต้ จื่อฟางก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง

“ยื่นมือออกมา”เจี่ยผิงเอ่ย แต่เขาไม่รอคำตอบ คว้าข้อมือของเสิ่นจิ้งเฟยพาเดินไปใกล้หลุมฝังศพกระต่าย

“ฝ่าบาท…ท่านทำสิ่งใด”จื่อฟางมองฮ่องเต้ถกแขนเสื้อของตนขึ้น ข้างเดียวกับที่หลิวอ๋องทิ้งรอยกรีดไว้ เจี่ยผิงใช้มือลูบเบาๆ แววตาล้ำลึกอ่านไม่ออก

“คืนนี้ข้ากับเจ้า กรีดเลือดสาบานไม่คิดทรยศต่อกัน”ฮ่องเต้เคลื่อนไหวว่องไวใช้มีดสั้นกรีดข้อมือเขาทันที อาการเจ็บแปลบทำให้เขาขบฟันแน่น เลือดสีสดไหลซึมออกมาจากรอยกรีดหยดลงเป็นดวงเล็กๆบนแผ่นศิลา

ฮ่องเต้ยื่นมีดสั้นมาตรงหน้าพร้อมกับยื่นข้อมือข้างขวาออกมา “เจ้ากรีดให้ข้า”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงบ้าไปแล้วหรือ!จื่อฟางรับมีดมาด้วยมือที่อ่อนแรง เขามองเห็นองครักษ์ขยับตัว แม้จะยืนอยู่ที่เดิม แต่เขามั่นใจว่าร่างนั้นเตรียมพร้อมพุ่งมาหักคอได้ทุกเมื่อหากคิดตุกติกทำร้ายเจ้าแผ่นดิน

“ข้าทำไม่ได้”จื่อฟางไม่กล้า จะให้กรีดแขนคนน่ะเหรอ ทั้งยังเป็นฮ่องเต้อีก เขาทำไม่ได้จริงๆ

เจี่ยผิงมองเห็นใบหน้าหมดจดมีแววหนักใจฉายชัดจึงรวบจับมือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนใช้แรงบังคับจนปลายมีดกรีดผ่านผิวหนังราวหยกเนื้อดีของตนช้า ๆ ข่มกลั้นความเจ็บแปลบที่ชำแรกผ่านผิวกาย มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเมื่อมองเห็ยคุณชายรูปงามมีสีหน้าตื่นตกใจ

“ข้ากับเจ้ายึดมั่นสัญญามิคิดหักหลัง”บุรุษหนุ่มกล่าวช้า ๆ จื่อฟางจึงกล่าวตามอย่างคนเลื่อนลอย ฮ่องเต้ผู้นี้เป็นคนประหลาดนัก เขามองหยดเลือดของเจ้าแผ่นดินไหลลงบนแผ่นศิลาปะปนไปกับหยดเลือดของตนก็รู้สึกวูบไหว หยดเลือดส่องเป็นประกายล้อแสงจันทร์  จื่อฟางรู้สึกเจ็บแปลบในอกจึงเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟากฟ้า

‘เสิ่นจิ้งเฟย ข้าขอโทษจริงๆที่ต้องละทิ้งเรื่องเคืองแค้นระหว่างเจ้ากับฮ่องเต้’

เด็กหนุ่มถอนหายใจละสายตามองใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุของบุรุษข้างกาย

‘ไร้ที่ติ’จื่อฟางคิดสงสัยอยู่ในใจว่าสีหน้าที่แท้จริงของฮ่องเต้จะเป็นเช่นเดียวกับในความทรงจำนั่นหรือไม่ เขาอาจจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป เพราะฮ่องเต้หันมามองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย

“ข้าพาเจ้าออกมาเสียดึก ควรส่งเจ้ากลับจวนเสียที”เจี่ยผิงกล่าวเสียงชื่นมื่นราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับจื่อฟาง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าการพบเจอกับฮ่องเต้จะลงเอยเช่นนี้ เขาลูบรอยแผลที่เกิดจากปลายมีดแหลมคมอย่างครุ่นคิด พี่น้องแซ่เจี่ยร้ายกาจพอกันทั้งคู่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงส่งองครักษ์ติดตามเขามาสองคน จื่อฟางแน่ใจว่านอกจากทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อกับฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองคนยังทำหน้าที่จับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาด้วย เท่ากับว่าตอนนี้จื่อฟางอยู่ใต้การควบคุมของฮ่องเต้ เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าเป็นกบฏ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 05:19:04 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

กว่าจะกลับถึงจวนสกุลเสิ่นก็เงียบสงัดแล้ว รถม้าเคลื่อนมาหยุดอยู่หน้าจวน องครักษ์ทั้งสองคนก็หายตัวไปโดยไม่กล่าววาจาใด

คนขับรถม้าสะดุ้งตื่นด้วยท่าทางงุนงง “คุณชาย มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ”

“เปล่านี่ ถ้าหากมีก็คงเป็นเจ้าที่เผลอหลับไปครู่หนึ่ง”จื่อฟางตอบระหว่างลงมาจากรถม้า ซ่อนรอยยิ้มขบขันเพราะสีหน้าโง่งมของบ่าวรับใช้

“อ้อ อีกอย่างข้ากับไป๋ผูอวี้มิใช่คนรักกัน”เขาเอ่ยเสริมเมื่อนึกขึ้นได้

“แต่ข้าน้อยเห็น…”คนขับรถม้าเอ่ยแย้งเสียงอ่อน

เด็กหนุ่มปรายตามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดเด็ดขาด โดยเฉพาะท่านพ่อ เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยจะปิดปากเงียบ….”เจ้าตัวรับคำด้วยสีหน้าตื่นๆ

“ดี ว่าแต่เจ้าชื่อแซ่อะไร”เผื่อวันหลังเขาจะได้เรียกใช้อีก เด็กหนุ่มลูบคลำเสื้อคลุมเพื่อหาถุงใส่เงิน

“ข้าน้อยนามว่าหนานอิงขอรับ”

“หากมีเรื่อง ข้าจะเรียกใช้เจ้า”จื่อฟางหยิบพวงเหรียญเงินมานับ รู้สึกว่าวุ่นวายจึงส่งไปให้ทั้งพวง 

“ข้าน้อยยินดีรับใช้คุณชายขอรับ”หนานอิงกระซิบด้วยท่าทางตื้นตัน จื่อฟางยิ้มก่อนหมุนตัวเข้าไปในจวนอย่างเงียบเชียบ เขาเดินอย่างเชื่องช้า อาการเหนื่อยล้าจากความกดดันเริ่มแผลงฤทธิ์ ภายในจวนจุดโคมสว่างแต่บรรยากาศเงียบสงัดบ่งบอกว่าผู้คนในจวนต่างหลับไหล จื่อฟางรีบตรงดิ่งไปที่เรือนของตนเองทันที

จางต้าและหยางชวียืนรออยู่ด้วยท่าทางเบื่อหน่าย พอเห็นร่างของผู้เป็นนายโผล่มา จางต้าก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที หยางชวียืนมองเงียบๆ คุณชายเสิ่นมีสีหน้าอ่อนล้า ไปเที่ยวสำราญที่หอผูเยว่ก็ควรจะมีความสุขมิใช่หรือ เหตุใดถึงทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายเช่นนั้น หรือคุณชายใช้กำลังมากไป 

“คุณชายเสิ่น ไฉนท่านกลับช้านัก เห็นหยางชวีกลับมาก่อนท่าน ข้าเป็นห่วงแทบแย่ สาวงามที่หอผูเยว่ ทำให้คุณชายไม่อยากกลับเรือนเชียวหรือ”จางต้าถูกทิ้งอยู่ที่จวนเอ่ยหยอกล้อ รู้สึกอิจฉาหยางชวีอยู่บ้างที่ได้ออกไปเที่ยวสำราญ เพราะเขาได้กลิ่นแป้งหอมของหญิงคณิกาจากร่างอีกฝ่าย

“ข้าหาความสุขเพลินไปหน่อย”จื่อฟางโกหก แสร้งทำดวงตาเป็นประกายปลิ้นปล้อน ทั้งจางต้าและหยางชวีไม่รู้ว่าการที่เขาไปหอผูเยว่คือการลอบพบกับหลิวอ๋อง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาบอกความจริง

จื่อฟางก้าวเข้าไปในห้องก็นึกอยากทิ้งตัวนอนเสียเดี๋ยวนี้

“คุณชายยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะขอรับ”จางต้าส่งเสียงแย้งเมื่อเห็นคุณชายเดินตัวปลิวไปที่เตียงนอน ไม่สนแม้กระทั่งถอดชุดออก

“ข้าเหนื่อย”จื่อฟางล้มตัวนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงแข็งๆ

“คุณชาย…”

“ครอกกก”

“คุณชายเสิ่น ท่านยังไม่ได้เดินลมปราณ”หยางชวีเอ่ยเตือนเสียงนิ่ง  จื่อฟางลืมตาอีกครั้งเห็นว่าร่างสูงใหญ่ของผู้ติดตามมองมาที่ตนด้วยสายตาตำหนิ เขาถอนหายใจ จัดแจงหันหลังให้เจ้าคนหน้าตาย

“ข้าออกมาไม่เจอเจ้า”เขาพึมพำในขณะที่หยางชวีช่วยเดินลมปราณให้

“ข้าน้อยกลับมาไม่เจอคุณชายเช่นกัน”หยางชวีเพียงตอบกลับ

“ข้าออกไปกับไป๋ผูอวี้”จื่อฟางบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เจ้าตัวส่งเสียงอืมในลำคอ

“เขาได้บอกอะไรท่านหรือไม่”

“บอกว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับซูเหลียนฮวา”

“ข้ากับนางเพียงแค่ประลองฝีมือกันเท่านั้น”

“อ้อ…”

“ท่านไม่เชื่อ?”หยางชวีลดฝามือออกจากแผ่นหลังของคุณชาย  จื่อฟางไหวไหล่ เรื่องนี้ไม่ใช่ธุระอะไรของเขาเสียหน่อย เขามีเรื่องให้ปวดหัวมากมายพออยู่แล้ว เขาขยับเสื้อคลุม บิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าออกจากร่างกาย

“ตอนข้าออกไปด้านนอก ท่านพ่อได้ซักถามเจ้าบ้างหรือเปล่า”เขาหันไปถามจางต้าที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ

“เอ่อ ขอรับ นายท่านใหญ่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่คุณชายกลับไปเที่ยวที่หอนางโลมอีกแล้ว”จางต้าพึมพำตอบ จื่อฟางถอนหายใจ นั่นสิ เขาบอกไปแล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ยังกลับไปทำตัวเช่นเดิม เขาต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เก่งด้านดนตรีเหมือนเสิ่นจิ้งเฟย จื่อฟางก็จำเป็นต้องนำข้อเด่นของตัวเองออกมา วาดรูป? จื่อฟางรู้สึกท้อใจเล็กน้อย 

เด็กหนุ่มยกมือตบหน้าผาก เดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด บ่าวรับใช้ทั้งสองคนมองการเคลื่อนไหวของคุณชายด้วยสายตามึนงง คุณชายของพวกเขาคิดจะทำสิ่งใดอีกหรือ

“พวกเจ้าว่าชีวิตของข้าน่าเบื่อหน่ายหรือไม่”

“ไม่เลยขอรับ”จางต้ารีบตอบ ต่างจากหยางชวีที่ตอบไปตามตรง “ขอรับ”

จื่อฟางมองทั้งสองคนก่อนส่งเสียงหัวเราะ ตารางประจำวันของเขามีเพียงแค่ เรียน อ่านหนังสือ เที่ยวเล่น อ้อ มีหน้าที่สายสืบเพิ่มมาอีกประการ

“ข้าอยากทำการค้า”จื่อฟางพึมพำ 

“การค้า?คุณชายเสิ่น…ท่านคิดว่านายท่านจะยอมหรือ”จางต้าหรี่ตามองเสิ่นจิ้งเฟยอย่างประหลาดใจ

“ท่านเป็นบุตรขุนนาง นายท่านคงอยากเห็นคุณชายรับราชการมากกว่า”หยางชวีเอ่ยตอบ การสอบระดับอำเภอใกล้เข้ามาแล้ว เขาก้มมองฝามือเรียวของเสิ่นจิ้งเฟย เขาเล่นกู่เจิงไม่ได้ นึกถึงคำพูดของไป๋ผูอวี้แล้วหนักใจเหลือเกิน ฝีมือด้านดนตรีของเสิ่นจิ้งเฟยคงยอดเยี่ยม ไป๋ผูอวี้ถึงเอาแต่กล่าวถึง จื่อฟางเม้มปากเมื่อความรู้สึกบางอย่างก่อตัว เขาอยากฝึกเล่นกู่เจิง แต่ผู้ใดจะมาสอนเล่า 

ซูเหลียนฮวา

ชื่อของนางผุดเข้ามาในหัว ยามที่พบกันครั้งแรก นางบรรเลงกู่เจิงได้ไร้ที่ติ แต่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นความคิดที่ดีหรือไม่

สุดท้ายจื่อฟางก็ถอนหายใจ“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ข้าเหนื่อยแล้ว”เขาเดินกลับไปที่เตียงนอน

“คุณชายยังไม่ได้อาบน้ำ….”แต่เด็กหนุ่มอ่อนล้าเกินกว่าจะลุกไปที่ใดแล้ว หยางชวีได้แต่มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นด้วยแววตาครุ่นคิด ส่งสายตาบอกจางต้าให้ล่าถอยไป เขาไม่รู้ว่าคุณชายคิดทำสิ่งใด เรื่องบางเรื่องบ่าวรับใช้เช่นเขาก็ไม่มีสิทธิเอ่ยถาม

หลับไปได้ไม่นาน จื่อฟางฝันประหลาด เป็นความฝันที่ยาวนานคล้ายกับเรื่องจริง ไม่สิ มันคือเรื่องจริง เพราะความฝันที่ว่าเป็นความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟย

เสิ่นจิ้งเฟยนอนอ่านตำราอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย จางต้าบ่าวรับใช้คนสนิทยืนอยู่ตรงหน้าประตู

“ดูท่าว่าเราต้องพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมอีกสักคืนขอรับ ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย”จางต้ากล่าว ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายยังคงมีสีหน้าไม่ใส่ใจอยู่เช่นเดิม

“แล้วอย่างไร”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยออกมาในที่สุด

“เราจะไปถึงสกุลโหยวช้ากว่าที่คาดไว้น่ะสิขอรับ”เสียงร้อนใจของบ่าวรับใช้ทำให้เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปาก

“ดีเสียอีก ข้าไม่ได้อยากมาเยี่ยมท่านตาเสียหน่อย หากไม่ใช่คำสั่งของท่านพ่อ คิดหรือว่าข้าจะทนลำบากนั่งรถม้าถ่อมาถึงอำเภอถงฉวนเช่นนี้”เสิ่นจิ้งเฟยขมวดคิ้ว ปิดตำราที่ตนอ่านอยู่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ จางต้าจึงได้แต่หุบปากเงียบ ระหว่างที่เสิ่นจิ้งเฟยเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบจดหมายสองม้วนส่งให้บ่าวรับใช้

“นำจดหมายไปส่งให้ท่านพ่อและท่านตา”เด็กหนุ่มส่งม้วนกระดาษให้กับจางต้า “ข้าอยากแวะเที่ยวเล่นสักสองสามวัน”เจ้าตัวเอ่ยตอบเมื่อมองเห็นสีหน้างุนงงของบ่าวคนสนิท

“แต่ว่าคุณชาย…”จางต้าแย้ง แต่เสิ่นจิ้งเฟยโบกมือไล่อย่างรำคาญใจ “ออกไปได้แล้ว”   

จางต้าได้แต่จำใจออกไปจากห้อง เสิ่นจิ้งเฟยยืนเหม่อลอยจมอยู่กับความคิด ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่นอกประตูจึงส่งเสียงออกไป

“มีอะไรอีก จางต้า!”

แต่เสียงเคลื่อนไหวไม่ใช่เสียงของบ่าวรับใช้ การจู่โจมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเด็กหนุ่มตั้งตัวไม่ทัน เขาหมุนตัวเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกชุดสีดำ ใบหน้าถูกปกปิด ร่างนั้นก้าวประชิดตัวอย่างว่องไว ฝามือพุ่งมาที่หน้าอกของเขา เสิ่นจิ้งเฟยพลิกกายหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่กลับโดนฝามือเข้าที่แขนด้านขวา

“ชะ…”ไม่ทันได้เอ่ยร้อง ร่างของเสิ่นจิ้งเฟยก็ทรุดกองกับพื้นทันที ผู้บุกรุกยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มตัวมากระซิบใกล้ใบหูของเสิ่นจิ้งเฟย

“นี่เป็นพิษหายาก เจ้าไม่มีทางรอดแน่ พ่อเจ้าก็เช่นกัน เท่านี้สกุลเสิ่นก็จบสิ้นแล้ว”เสียงกระซิบเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย

“จะ เจ้าเป็นผู้ใด…”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยถามเชื่องช้า เหงื่อผุดบริเวณหน้าผาก คิ้วขมวดมุ่นราวกับกำลังทรมาน ผู้บุกรุกแค่นเสียง ร่างนั้นเพียงยืดตัวขึ้น ก่อนหนีหายไปทางหน้าต่างท่ามกลางสายฝนที่ยังกระหน่ำลงมา เสิ่นจิ้งเฟยอยู่ในสภาพที่ดูไม่ดีนัก ร่างอ่อนแรงพยายามขยับตัว ส่งเสียงขลุกขลักในลำคอราวกับร้องขอความช่วยเหลือ

เงาร่างสายหนึ่งพุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็นชายแก่ที่ดูเคร่งขรึมทะมัดทะแมง ไว้เคราแพะ สวมชุดตัวยาวสีขาวดูซอมซ่อ ใบหน้าเคร่งขรึมระหว่างที่กวาดตามองร่างที่นอนฟุบอยู่ตรงหน้า ชายแก่ไม่รอช้ารีบนำยาสมุนไพรเม็ดเล็กๆใส่ปากของเสิ่นจิ้งเฟยไปหลายเม็ด

“เวรกรรมๆ หวังว่าจะทันเวลา...”เสียงแหบแห้งไม่คุ้นหูของคนแปลกหน้าสะท้อนอยู่ในห้อง ชายแก่กวาดสายตาสอดส่องไปตามร่างกายของเด็กหนุ่ม

“…ขะ แขน…”เสิ่นจิ้งเฟยพูดอย่างยากลำบาก

“อ้า ดูท่าเป็นพิษทำลายเส้นประสาท”ชายแก่พึมพำ คว้าแขนทั้งสองข้างของเสิ่นจิ้งเฟยมาดู ร่างนั้นถลกชายเสื้อของเด็กหนุ่มดูพบว่าที่ข้อพับแขนข้างขวามีจุดสีแดงบวมเป่งปรากฏอยู่

“จุ๊ ๆ เจ้าไปทำอะไรมาหนอถึงโดนเล่นงานเช่นนี้”ชายแก่พึมพำก่อนจะพลิกร่างของเสิ่นจิ้งเฟยนอนคว่ำ ก่อนวางมือลงบนแผ่นหลังของร่างผอมบางด้วยสีหน้านิ่งสงบ ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านรุนแรงจนน่ากลัว แต่ชายแก่กลับไม่ละมือ เมื่อจังหวะการหายใจของเสิ่นจิ้งเฟยดีขึ้น เขาก็ออกแรงอุ้มร่างอ่อนเปลี้ยของเสิ่นจิ้งเฟยไปวางบนเตียงอย่างเงียบเชียบดุจสายลม 

“เฮ้อ ถึงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวแต่ก็อดไม่ได้ ไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อคราวปู่ของเจ้าอีก ครานั้นข้ามาช้าเกินไป…”เจ้าของเสียงรำพึงกับตนเอง ในขณะที่จับชีพจรของเสิ่นจิ้งเฟยไปด้วย

“ทนอีกสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้น...”เสียงของชายแก่คล้ายอยู่ห่างไกลออกไป ภาพตรงหน้าเริ่มกลายเป็นสีดำพร้อมกับภาพเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป….

คราวนี้จื่อฟางมองเห็นเสิ่นจิ้งเฟยแช่อยู่ในถังน้ำร้อนที่กลิ่นฉุนไปด้วยยาสมุนไพร ใบหน้าซีดเซียวราวกับซากศพ ภายในห้องนั้นยังมีชายแก่คนเดิม และจางต้าบ่าวรับใช้ที่นั่งอยู่หลังฉากกั้นด้วยสีหน้าซีดเผือด 

“ท่านหมอ ท่านแน่ใจนะขอรับว่าคุณชายของข้าป่วยเพราะเป็นไข้หวัดจริงๆ”จางต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน มองตรงไปที่เสิ่นจิ้งเฟยก่อนเลื่อนสายตาไปยังชายแก่ที่กำลังลูบหนวดเคราตรวจหม้อสมุนไพรอยู่ด้านนอก

“แน่ใจสิ เจ้าไม่เห็นหรือว่าฝนตกติดต่อกันมาสองวันแล้ว คุณชายของเจ้าร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมถึงได้มีสภาพเช่นนี้”ชายแก่ตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

“ท่านแน่ใจได้อย่างไร หากคุณชายของข้าเป็นอะไรขึ้นมา…”

“แน่ใจสิ หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปซะ อย่ามายืนขวางหูขวางตาข้า”ชายแก่ตอบอย่างรำคาญใจพร้อมกับโบกมือไล่

“แต่คุณชายของข้ายังดูซีดเซียวอยู่เลย….”

“หุบปาก”เสิ่นจิ้งเฟยโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยอำนาจ จางต้าชะงักไปครู่หนึ่งสีหน้าคล้ายกับมีเรื่องที่อยากพูด

“ข้าไม่เป็นอะไร ออกไปได้แล้ว ข้าจะพักอีกสองสามวัน และก็อย่านำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดล่ะ…”เสิ่นจิ้งเฟยเอ่ยเสียงเรียบ รอจนได้ยินเสียงจางต้ารับคำออกไปจากห้อง เสิ่นจิ้งเฟยก็เอนพิงถังน้ำด้วยอาการเหนื่อยหอบ ชายแก่เดินเข้ามาในฉากกั้นพร้อมกับถ้วยยา 

“อาการของเจ้ายังไม่นิ่ง ข้าช่วยฟื้นฟูลมปราณและเส้นชีพจรให้เจ้าได้ แต่ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะใช้กำลังภายในช่วย เดินลมปราณไปตามที่ข้าสอนก็พอ”ชายแก่ประคองถ้วยยาให้เสิ่นจิ้งเฟยดื่มเงียบๆ   

“เหตุใดท่านถึงช่วยข้า… ท่านเป็นอาจารย์ของไป๋ผูอวี้ไม่ใช่หรือ”เสิ่นจิ้งเฟยยังคงกัดฟันพูดต่อแม้ว่าเสียงจะสั่นเครือ

“แล้วอย่างไร”

“ท่านคงได้ยินเรื่องของข้ามาไม่น้อย ท่านผู้เฒ่าหย่งสือ”เสิ่นจิ้งเฟยคลี่รอยยิ้มอ่อนเพลีย มือขาวซีดจับขอบถังน้ำเพื่อพยุงร่างกายอ่อนแอ

“ข้าทำในสิ่งที่สมควรทำ เรื่องของเจ้ากับไป๋ผูอวี้ ไม่เกี่ยวกับข้า”

ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง เสิ่นจิ้งเฟยนั่งหันหน้าเข้าหาหย่งสือ สองมือของคนทั้งคู่ประสานกัน ใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟยมีเหงื่อไหลท่วม คิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับเจ็บปวด ร่างกายสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ต่างจากหย่งสือที่ยังคงปกติดีเช่นเดิม

“เท่านี้ก็พอ มากไปกว่านี้ร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว”

“แต่ว่า…”

“ทำได้เพียงเท่านี้ พิษที่เจ้าโดนเป็นพิษหายาก…เจ้าคงไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรมากระมัง”หย่งสือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พินิจมองเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา

“…”เสิ่นจิ้งเฟยไม่ตอบ ชายแก่จึงถอนหายใจ เอ่ยกล่าวต่อ

“ถึงจะขจัดพิษไปได้ แต่ร่างกายของเจ้าไม่มีทางเป็นดั่งเดิมได้อีก หากเจ้าไม่อยากพิการ ก็จงฝึกลมปราณไปเรื่อยๆ เมื่อวันที่ลมปราณแข็งแกร่งมากพอ ย่อมมีคนช่วยเจ้าได้”หย่งสือกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย

เสิ่นจิ้งเฟยมุ่นคิ้ว“ท่านหมายถึงผู้ใด...”

“ไป๋ผูอวี้”หย่งสือตอบสั้นๆ มองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายก็คลี่ยิ้ม “หากเจ้าไม่ต้องการก็ไปเสาะหาผู้อื่นแทนก็แล้วกัน”เสิ่นจิ้งเฟยยังคงนั่นนิ่งคล้ายกับไม่ยอมรับ   

“เสิ่นจิ้งเฟย ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เหมือนที่คนเล่าลือกัน...เจ้าคิดสิ่งใดข้าไม่ล่วงรู้ แต่ปู่เจ้าคงไม่อยากเห็นเจ้าเดินไปในทางที่ผิด”หย่งสือสบตากับเสิ่นจิ้งเฟย ราวกับสามารถมองเด็กหนุ่มได้อย่างทะลุปรุโปร่ง 

“ผิดหรือถูก ท่านมิใช่คนตัดสิน”เด็กหนุ่มพึมพำ หย่งสือเพียงยิ้มจาง

“ข้าทำได้แค่ตักเตือนเจ้า เรื่องอาการป่วยข้าช่วยได้เพียงเท่านี้ ที่ข้าช่วยเจ้า มิได้คิดอยากนำมาทวงบุญคุณในภายหลัง เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบแทนข้า”

“ถึงอย่างไรท่านก็ช่วยชีวิตข้าไว้…”เสิ่นจิ้งเฟยหยุดพูดสีหน้าคล้ายมีเรื่องอยากถาม

“เจ้ามีสิ่งใดในใจก็กล่าวมา”

“ท่านรู้จักท่านปู่ของข้าหรือ ตอนที่ท่านมาช่วย ข้ายังพอมีสติอยู่บ้าง ข้าได้ยินท่านเอ่ยถึงท่านปู่”

หย่งสือถอนหายใจ“ข้าเคยรู้จัก แต่ไม่ได้สนิทสนม สิ่งที่เจ้าต้องการถามข้าตอบไม่ได้”ชายแก่กล่าวดักทาง เกิดความเงียบอยู่ภายในห้อง

“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากเตือน…”หย่งสือมองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาจริงจัง “อย่านำภัยมาสู่สกุลไป๋”

เสิ่นจิ้งเฟยคลี่ยิ้ม“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่สนใจสกุลไป๋ ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้า แม้ท่านมิคิดทวงบุญคุณแต่ข้าไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน”

จื่อฟางสะดุ้งตื่นด้วยเหงื่อแตกพลั่ก เขากระพริบตา ปรับลมหายใจได้เป็นปกติก็ขยับตัวลุกนั่ง ความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยอีกแล้วหรือ เหตุใดวันนี้ถึงเกิดบ่อยนัก หรือร่างกายของเขาอ่อนล้าเกินไป จื่อฟางถอนหายใจ หลับตาลงเพื่อนึกถึงความทรงจำอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกลอบฆ่าด้วยยาพิษแต่รอดตายมาได้เพราะอาจารย์ของไป๋ผูอวี้ เขาสงสัยมาตลอดว่าไป๋ผูอวี้ไปร่ำเรียนวิชามาจากผู้ใด ร่างบางมุ่นคิ้วพยายามนึกภาพคนที่บุกเข้ามาทำร้ายเสิ่นจิ้งเฟย แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใด ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นฝีมือของผู้ใด

จื่อฟางข่มตาหลับอีกครั้ง คืนนั้นเขาวนเวียนอยู่ในความทรงจำเรื่องเดิมของเสิ่นจิ้งเฟยไปถึงรุ่งเช้า





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 05:19:19 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
เย่ มาอัพแล้ววววววว เนื้อเรื่องยังสนุกเหมือนเดิมค่ะ แต่ตลค.นี่เริ่มมีปมมาให้คิดเพิ่มตลอด ก็ขออย่างเดียวนะคะ ขอให้ลูกปลอดภัย5555 // ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ ตอนหน้ามาเมื่อไหร่ก็จะรอค่ะ สู้ๆน้า :กอด1:

ออฟไลน์ Aeflizm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กรี๊ดดดดด ดีใจจริงๆที่รอเรื่องนี้ อัพแล้วว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ สู้ๆๆไฟๆๆ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ปลาบปลื้ม ขอให้สุขภาพแข็งแรงไวๆนะคะ

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
เผยปมทีละนิดทีละนิดแล้ว
ถ้าฮ่องเต้ไม่แอบดูจิตๆ
ใจจริงก็อยากเชียร์ให้เป็นพระเอกอ่ะนะ

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ขอให้ไรท์สุขภาพแข็งแรง กลับมาสดใส สดชื่นเร็วไวนะ   :L1: :L1: :L1:

เข้มข้นมากกกกก   :mew1:

จื่อฟางรับรู้เรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยด้วยตัวเองมากขี้น
เป็นสายลับซ้อนเลย ทั้งของหลิวอ๋อง ทั้งของฮ่องเต้   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
พี่น้องตัวร้าย ตัวแสบทั้งคู่  ชิงไหวชิงพริบน่าดู
ดูเหมือนฮ่องเต้จะรู้อะไรลึกๆของเสิ่นจิ้งเฟยมากเลย
และเหมือนหลงเสน่ห์คนงามจิ้งเฟย ไม่ใช่แค่อยากครอบครองอย่างเดียว
ตามต่อ รอตอนใหม่  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
กลับมาแล้ว
จะเป็นยังไงต่อไปนะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เย้​ มาแล้ว​ มารอตลอดเลยค่าา​ สนุกเช่นเดิมค่ะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โอ๊ยยยยย เพิ่งได้มาอ่านอ่านรวดเดียวจนถึงล่าสุด บอกได้คำเดียวว่าสนุก สนุกมากกกกกกก เนื้อเรื่องมีให้ลุ้นได้ตลอดเวลาเลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Pinkping

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เพิงเข้ามาอ่านชอบมากเลยยย งือออ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ฮือ มาแล้ว มาช้าแต่ขอให้มาาา เรารอได้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องคนเก่าดูแล้วเป็นคนฉลาดมาก แต่ก็ทำให้เรื่องมีปมเยอะมากเลย

ออฟไลน์ ดาวโจร500

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ดีใจจจจจจจจจจ  รอเสมอนะคะ สู้ๆ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 บทสิบสาม: คลื่นลมสงบ

ผ่านไปสามวันหลังจากการพบปะหลิวอ๋องและฮ่องเต้เจี่ยผิง จื่อฟางก็เอาแต่หมกตัวอ่านหนังสือ ฝึกเขียนบทวิพากษ์อย่างตั้งใจราวกับบัณฑิตผู้ใฝ่รู้ สภาพของเขาจึงดูอิดโรยกว่าปกติ ใต้ตาเริ่มคล้ำ เหตุผลสำคัญอีกประการคือความทรงจำของเสิ่นจิ้งเฟยที่ย้อนมาทำร้ายเขา จื่อฟางฝันซ้ำๆมาสามวันติดแล้ว เขาเฝ้าฝันวนเวียนอยู่กับวินาทีที่เสิ่นจิ้งเฟยถูกโจมตีด้วยยาพิษ ยามนอนหลับจึงนอนอย่างกระสับกระส่าย ดิ้นไปมา ปากพึมพำเป็นถ้อยคำที่ไม่ชัดเจน จนจางต้าและหยางชวีต้องเข้ามาปลุกอยู่บ่อยครั้ง

คืนนี้ก็เป็นเช่นเดิม เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นกลางดึก เนื้อตัวเย็นเฉียบ เหงื่อผุดตามหน้าผาก มือยื่นไปข้างหน้าราวกับกำลังไขว่คว้าบางอย่าง อันที่จริงเขาคว้าข้อมือของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเตียง จื่อฟางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่

“ข้าน้อยเองขอรับ”หยางชวีกล่าวเสียงเรียบ ฝามือเย็นชื้นของคุณชายเสิ่นกำรอบข้อมือของเขาแน่นจนบุรุษหนุ่มแปลกใจ ไม่คิดว่าร่างผอมบางของคุณชายจะมีเรี่ยวแรง เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงเสิ่นจิ้งเฟยพึมพำและส่งเสียงร้องคล้ายกับทรมานจึงเข้ามาดู เสิ่นจิ้งเฟยมีอาการเช่นนี้มาสามวันแล้ว เขาได้ยินคุณชายพึมพำว่าช่วยด้วย เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายกันแน่

“หยางชวีหรือ”จื่อฟางกระพริบตาก่อนถอนหายใจเบาๆ เขาปล่อยข้อมือของหยางชวี ขยับลุกนั่งช้า ๆ เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ความทรงจำเรื่องเดิมทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไรก็ไม่รู้ คล้ายกับว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง เขาจึงนั่งเงียบๆทำใจให้สงบครู่หนึ่ง

“คุณชายฝันร้ายอีกแล้ว”หยางชวีเอ่ยเสียงเบาท่ามกลางแสงสลัว แสงจากโคมไฟส่องให้เห็นใบหน้าซีดเผือดกว่าปกติของคุณชายเสิ่น แต่ก็ลบความงดงามอย่างสตรีออกไปไม่ได้ หยางชวีหลุบสายตามองปลายเท้าของตน นึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่สองคนกับคุณชายนานแล้ว เขาไม่ได้รังเกียจ แต่การล้อเล่นคราวนั้นของคุณชายทำให้เขากลัวนัก หยางชวีก็ตอบไม่ได้ว่ากลัวอะไรกันแน่

“ไม่มีอะไรหรอก เจ้ากลับไปนอนเถอะ”จื่อฟางมองหน้าในเงาสลัวของอีกฝ่าย แต่หยางชวีไม่ขยับตัวไปที่ใด เขาจึงลอบถอนใจ เจ้านี่ต้องการคำตอบให้ได้สินะ

“มีสิ่งใดจะถามหรือไม่”เขาเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง

“ความฝันของท่าน…”

จื่อฟางมองร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายอย่างพินิจ หยางชวีเอ่ยเสริม “ข้าได้ยินท่านพึมพำว่าช่วยด้วย ได้ยินคุณชายส่งเสียงทรมาน”หยางชวียังคงมองหน้าเขา ยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนเสาไฟฟ้าต้นหนึ่ง จื่อฟางไม่รู้มาก่อนว่าส่งเสียงร้องออกไปด้วย 

“ข้าฝันถึงเรื่องเก่าๆน่ะ วันที่ถูกพิษ”เป็นครั้งแรกที่หยางชวีขยับตัว ร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงขยับเข้ามาใกล้ ใกล้จนเส้นผมที่ปล่อยยาวของหยางชวีปัดโดนใบหน้าเขา เจ้าคนนี้ไม่กลัวยามที่อยู่กับเขาสองคนแล้วหรือ เด็กหนุ่มคิดอย่างขบขัน

“คุณชายเห็นหน้าคนร้ายหรือไม่”

“ไม่เห็น คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ท่าทางทะมัดทะแมงว่องไว ตัวใหญ่ สำเนียงไม่เหมือนคนแทบนี้”จื่อฟางพึมพำบอก 

หยางชวีขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด “ท่านนึกไม่ออกหรือว่าไปทำเรื่องใดมาบ้าง”

จื่อฟางส่ายศีรษะ กล่าวต่อไป “ข้าจำคำพูดของคนผู้นั้นได้…”เจ้าไม่มีทางรอดแน่ พ่อเจ้าก็เช่นกัน เท่านี้สกุลเสิ่นก็จบสิ้นแล้ว

“ดูเหมือนข้าจะไม่ใช่เป้าหมายเดียว  คนชั่วนั่นมีความแค้นต่อสกุลเสิ่น”เป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการตายของเสิ่นฉินอี้ที่โดนพิษเช่นเดียวกัน ความอยากรู้กัดกินจิตใจของจื่อฟาง

หยางชวีพยักหน้าเงียบ ๆ เห็นทีเขาต้องไปสอบถามศิษย์พี่หานตงเสียแล้วว่าเมื่อปีกลายเคยเกิดเหตุร้ายกับนายท่านหรือไม่  “คุณชายเสิ่น…”

เขาเหลือบมองไปด้านบนด้วยสายตาคมปราบ ก่อนเบนสายตามองเสิ่นจิ้งเฟย บุรุษหนุ่มขยับถอยห่างเมื่อรู้สึกตัวว่าอยู่ใกล้กับคุณชายรูปงามมากเกินไป อยู่ในความมืดเช่นนี้ความงามของเสิ่นจิ้งเฟยยิ่งเป็นอันตราย

“ว่าอย่างไร”จื่อฟางมีรอยยิ้มที่มุมปาก ท่าทางน่าขันของหยางชวีทำให้เขาเกิดอารมณ์อยากแกล้งอีกแล้วสิ

“ข้ามีความรู้สึกแปลกๆ ข้ากลัวว่าคนผู้นั้นจะต้องมาเล่นงานคุณชายอีกแน่ เขาไม่น่าปล่อยให้คุณชายมีชีวิตรอด”หยางชวีจริงจังเกินกว่าจะเห็นประกายซุกซนในแววตาของจื่อฟาง

“นั่นสิ แต่เขาก็ปล่อยให้ข้าอยู่มาได้ตั้งหนึ่งปี…”เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด น่าแปลกจริงๆเหตุใดถึงไม่ตามมาฆ่าอีก หรือไม่กล้าลงมือติดกัน

“ข้ากลัวว่าเขากำลังรอเวลาลงมือ”หยางชวีพูดเสียงเบากว่าเดิม

“เหตุใดเจ้าต้องทำท่าลับลมคมในด้วย”จื่อฟางขมวดคิ้ว เห็นว่าร่างตรงหน้าเหลือบมองไปด้านบนอีกรอบราวกับมีสิ่งใดน่าสนใจ เขามองตามอย่างไม่เข้าใจ

“มีอะไรหรือ”คุณชายกระซิบเสียงแผ่ว

“ข้ามีความรู้สึกว่าบริเวณเรือนของคุณชายมีผู้มีวรยุทธิ์กล้าแกร่งวนเวียนอยู่สองคน”หยางชวีมีสีหน้าแข็งกระด้าง แววตาแสดงออกถึงอาการเจ็บแค้น จื่อฟางพลันนึกถึงองครักษ์ของฮ่องเต้สองคนนั่น

“เจ้าไม่ต้องห่วง สองคนที่ว่าเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ ฝ่าบาทส่งมาดูแลความปลอดภัยของข้า”เขาบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เขามีความลับต่อหยางชวีเยอะเหลือเกิน

“คนของฮ่องเต้”หยางชวีพึมพำอย่างตื่นตระหนก

“ข้าไม่ได้เอ่ยขอ ฝ่าบาทส่งมาเอง ช่วยไม่ได้ที่เขามาลุ่มหลงเสิ่น…ข้าเอง”จื่อฟางยิ้มกลบเกลื่อน เกือบหลุดพูดชื่อเสิ่นจิ้งเฟยไปแล้ว

หยางชวียังคงไม่สบายใจ “คุณชายจะวางใจไม่ได้ หากพระองค์ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนเล่า”เขาอธิบายไม่ถูก คนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นจะยอมเสียเปรียบหรือไร

“อย่าห่วงเลย ฝ่าบาทไม่มีทางทำอะไรข้าหรอก หากข้าไม่เต็มใจ”เขาคิดว่าคนผู้นั้นมีศักดิ์ศรีเกินกว่าจะเรื่องไม่ควร  “ฝ่าบาทรอข้ามาตั้งนาน…หากจะลงมือ ก็คงทำไปนานแล้ว”

จื่อฟางตอบไปตามตรง เป็นเรื่องเดียวที่เขานับถือฮ่องเต้เจี่ยผิง ลำพังแค่เอ่ยปาก เสิ่นจิ้งเฟยก็ไม่มีทางหนีรอด

หยางชวีมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ท่านพูดราวกับรู้จักพระองค์มานาน”   

“เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”จื่อฟางออกปากไล่อย่างไม่เกรงใจ เท่านี้ก็บอกหยางชวีไปเยอะแล้ว เขาเหลือบมองอีกฝ่ายที่ยังคงไม่ขยับไปไหน นัยน์ตาจึงกลับมามีประกายซุกซนอีกครั้ง

“หากเจ้าอยากรู้ ก็มานอนบนเตียงกับข้า ข้าจะเล่าให้ฟัง”เขาได้ทีเอ่ยแกล้ง ตบที่ว่างข้างๆตัว คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้า

หยางชวีลากเท้าไปมาด้วยความลังเล เขาอยากรู้เรื่องระหว่างคุณชายและฮ่องเต้ แต่ก็ทราบดีว่าในฐานะผู้ติดตามไม่ควรก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายมากเกินไป แต่…

“ถ้าคุณชายพูดจริง ข้าก็ยอม”โชคดีที่อยู่ในความมืดเพราะหยางชวีมั่นใจว่าใบหน้าร้อนๆของเขาต้องเปลี่ยนเป็นสีแดง จื่อฟางอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าหยางชวีจะบ้าจี้ตาม เขาหัวเราะอย่างขบขัน 

“มา นอนกับข้าสักคืน”เขาแกล้งเอ่ยหยอก หยางชวีชะงัก ท่าทางเหมือนกำลังฝืนสุดกำลัง แต่ก็ยอมทำตัวแข็งมานอนข้างๆ เหมือนเป็นท่อนไม้ จื่อฟางจึงทิ้งตัวนอนบ้าง เว้นระยะห่างไว้พอสมควร หากใกล้กว่านี้เกรงว่าจะเป็นการแกล้งเกินไป

“ข้าเคยรู้จักฮ่องเต้เมื่อตอนสิบขวบ…”จื่อฟางเล่าเรื่องในความทรงจำให้ฟังคร่าวๆเท่านั้น คนข้างกายนอนเงียบไปนานราวกับเผลอหลับ จนเด็กหนุ่มต้องชะโงกไปดูว่าหลับไปแล้วหรือยัง แววตาลุ่มลึกของหยางชวีกระพริบมองกลับ เขาจึงศีรษะลงที่เดิม 

“เรื่องก็มีเท่านี้”เขาถอนหายใจ หวังว่าเจ้านี่จะไม่ซักถามอีก “ข้ากับเจ้าถือว่าเป็นมิตรสหายกันแล้ว”

“มิตรสหายต้องนอนร่วมเตียงด้วยหรือ”ได้ยินอีกฝ่ายพึมพำเบา ๆ

“ข้าก็นอนเตียงเดียวกับไป๋ผูอวี้มาแล้ว…จะกล่าวอย่างนั้นก็ถูก”จื่อฟางเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก

“คุณชาย กับไป๋ผูอวี้ท่านต้องระวังตัวด้วย ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำร้ายท่าน แต่สกุลไป๋มีทีมาไม่ชัดเจน ท่านก็เห็นว่าพวกเขามีวรยุทธ์ หลายชั่วรุ่นไม่ฝักใฝ่การเมืองในราชสำนัก ท่านคงไม่รู้ สาเหตุที่ท่านผู้เฒ่าหย่งสือหายตัวไปเป็นเพราะผิดหวังในตัวลูกศิษย์ ไป๋ผูอวี้เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง”หยางชวีเล่าด้วยโทนเสียงนิ่งเรียบ เรื่องของสกุลไป๋ทำให้ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง อาจารย์หย่งสือ…ชายแก่ที่ช่วยชีวิตเสิ่นจิ้งเฟยเอาไว้…เขาพลิกตัวนอนตะแคง มองอีกร่างด้วยสายตาสนใจ

“เจ้ารู้เรื่องสกุลไป๋ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

หยางชวีมองสบตากับเขา “เป็นเพราะข้าเคยประมือกับเว่ยหลงและนางหมื่นพิษมาก่อน อาจฟังเหมือนข้อแก้ตัว แต่ซูเหลียนฮวาเล่นตุกติกกับข้า ข้าถึงได้แพ้ จากนั้นข้าก็ผูกใจเจ็บแค้น สืบเรื่องราวของสกุลไป๋อย่างเงียบๆ”

“เช่นนี้เอง แล้วที่เจ้าบอกว่าไป๋ผูอวี้ไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขุนนางเก่าผู้หนึ่ง ขุนนางผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ…”หยางชวีกระซิบราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดได้ยิน “ฮ่องเต้คนก่อนและฮ่องเต้เจี่ยผิง”

จื่อฟางใจเต้นรัว นึกไปถึงคำพูดของไป๋ผูอวี้ ฝ่ายนั้นบอกว่าทำงานให้กับคนผู้หนึ่ง คำว่า‘ไม่เชิง’ของไป๋ผูอวี้ หมายถึงว่าไม่ได้ทำงานให้ฮ่องเต้โดยตรงหรือเปล่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าขุนนางเก่าที่ว่าเป็นใคร”เขาถามอย่างกระตือรือร้น

“ผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลาง เขาเคยดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีมาก่อน เคยสนิทกับท่านปู่ของคุณชาย”

ข้อมูลใหม่ทำให้เลือดในกายสูบฉีด ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง หากได้พบเจอกับผู้อาวุโสอวิ๋นการตายของเสิ่นฉินอี้อาจคลี่คลายก็เป็นได้

หยางชวีเห็นสีหน้ามีความหวังของคุณชายจึงกล่าวเตือน “ท่านอย่าตั้งความหวังมาก คนผู้นั้นหาตัวจับยาก หลังจากที่เขาเกษียณ เขาก็เก็บตัวเงียบ ที่อยู่ไม่แน่ชัด ท่านคงต้องหาคำตอบจากไป๋ผูอวี้ แต่เขาคงไม่บอกท่านโดยง่าย”

จื่อฟางพยักหน้าช้าๆ “แล้วอาจารย์หย่งสือ ยามนี้อยู่ที่ใดแล้ว”เขาเอ่ยถามอย่างสนใจ

“เขาเปรียบดั่งสายลม ข้าก็อยากเจอท่านผู้เฒ่าสักครั้ง”ใบหน้าของหยางชวีมีประกายมุ่งมั่น

“เขาช่วยชีวิตข้าจากยาพิษ ข้ารอดมาได้เพราะเขา”ทั้งยังสอนเสิ่นจิ้งเฟยเดินลมปราณอีก หากไป๋ผูอวี้รู้จะทำสีหน้าแบบใดกันนะ เขาปรายตามองหยางชวีที่มีสีหน้าคาดไม่ถึง 

“ประหลาดนัก ไป๋ผูอวี้รู้หรือไม่”

“ข้าไม่ได้บอกเขา แต่อย่างไรก็ขอบใจเจ้ามาก หยางชวี เจ้าช่วยไขข้อข้องใจได้เยอะเลย ถือว่าแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน”รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเขากับหยางชวีลดลง เขาจะรอวันที่คนผู้นี้มอบความภักดีให้เขาเต็มร้อย 

“คุณชายพักผ่อนได้แล้ว ข้าน้อยจะออกไปนอกห้อง หากมีเรื่องใดก็ส่งเสียงเรียก”หยางชวีลงจากเตียง มองเขาครู่หนึ่งก่อนเดินออกไปจากฉากกั้น จื่อฟางยิ้มจาง หยางชวีใส่ใจเขามากไปแล้ว ถึงกับยอมนอนเตียงเดียวกับเขา

เด็กหนุ่มนอนต่อไม่หลับจึงถือโคมไฟย่องแผ่วเบาไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่น คิดไตร่ตรองอยู่เงียบ วันรุ่งขึ้นเขาจะทำหน้าที่สายสืบของหลิวอ๋องแล้ว จะเล่นละครให้แนบเนียนก็ต้องทำอย่างเต็มที่ เรื่องของไป๋ผูอวี้ เขาจะรายงานไปตามที่ทราบ แม้ข้อมูลใหม่ที่ได้มาทำให้ลังเลเล็กน้อย หากบอกไปกลัวว่าจะมีคนเดือดร้อน อีกทั้งอาจารย์หย่งสือเคยกล่าวเตือนว่าอย่านำภัยมาสู่สกุลไป๋…จื่อฟางถอนหายใจ หลิวอ๋องเคยอยู่ในวังหลวง คุ้นเคยกับแวดวงราชสำนัก ย่อมต้องรู้ว่าขุนนางเก่าคนใดที่สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ จื่อฟางตัดสินใจบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เขาฝนหมึกอยู่ในความมืด ก่อนตวัดปลายพู่กันบนกระดาษด้วยลายมือบรรจง

‘ข้าสืบรู้มาว่าไป๋ผูอวี้ไม่ธรรมดา เขาทำงานให้กับคนผู้หนึ่ง ข้าคิดว่าเขาไม่ได้ทำงานให้ฮ่องเต้โดยตรง หากข้าได้ข้อมูลมากกว่านี้จะรายงานให้ทราบ’

จื่อฟางมองจดหมายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพับเก็บให้เรียบร้อย วันรุ่งขึ้นเขาจะไปร้านเถ้าแก่จาง เขาต้องเสี่ยงดวงดูอีกสักครั้งแล้วสิ

~•~

“บอกคนเตรียมรถม้า ข้าจะไปร้านเถ้าแก่จาง”จื่อฟางสั่งจางต้าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย อี้เหมยช่วยเขาแต่งตัวเงียบๆ ระยะหลังมานี้ดูเหมือนนางจะมองเขาด้วยสายตาแปลกพิกล ไม่ใช่สายตาเชิงชู้สาว แต่เป็นสายตาสอดส่องหาความจริง หรือไปได้ยินข่าวลือใดมาอีก เด็กหนุ่มใจแกว่งเมื่อเห็นจางต้าชะงักไป

“แต่วันนี้คุณชายมีเรียนกับไป๋ผูอวี้ไม่ใช่หรือ”

“ไปสายนิดหน่อยเจ้านั่นไม่ว่าหรอก”เขาตอบ จางต้าไม่เอ่ยถามอีก บ่าวรับใช้รับคำก่อนหันไปสั่งเด็กคนหนึ่งที่กำลังยกถังน้ำออกไปนอกห้องให้เตรียมรถม้า จื่อฟางไม่รู้รายอะเอียดใดเกี่ยวกับคนแซ่จางผู้นี้ รู้แต่ว่าทำงานให้กับหลิวอ๋องเจี่ยซิน

“ช่วงที่คุณชายไม่ได้แวะไปที่ร้านเถ้าแก่จาง ข้าได้ยินมาว่ามีหนังสือนิยายใหม่เข้ามาเยอะเลยล่ะขอรับ”จางต้าชวนคุย นึกว่าคุณชายจะไม่แวะไปร้านหนังสือเสียแล้วเพราะปกติคุณชายจะเข้าไปซื้อหนังสือใหม่ทุกเดือน เขามองใบหน้าซีดเซียวคล้ายคนนอนไม่พอของคุณชายอย่างสงสัย เมื่อคืนเขาได้ยินคุณชายฝันร้ายและได้ยินว่าหยางชวีเข้าไปดูคุณชายเสิ่นนานสองนาน เจ้านั่นก็เหมือนคนนอนน้อยเหมือนกัน หรือมีเรื่องใดเกิดขึ้น จางต้าปัดความคิดไร้สาระออกไป

“อ้อ ข้าไม่ได้ไปเสียหลายเดือน คงต้องซื้อเยอะหน่อยแล้ว”จื่อฟางกล่าวอย่างลื่นไหล ที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือ   เขาโบกมือไล่อี้เหมยกับจางต้าออกไป เดินไปหยิบเอาจดหมายที่เขียนไว้เมื่อคืนซ่อนในแขนเสื้อ หยิบอุปกรณ์เขียนหนังสือ และพัดออกไปจากห้อง หยางชวีและจางต้ายืนเรียงแถวรออยู่ด้านนอกตามปกติ เขาส่งของให้จางต้า แสร้งขยิบตาให้หยางชวี เจ้านั่นกระแอมกระไอเสียงดังหลบสายตาของจื่อฟางเป็นที่วุ่นวาย เด็กหนุ่มเดินถือพัดไปนอกจวนอย่างอารมณ์ดี รถม้าจอดรออยู่แล้ว คนขับรถม้าเป็นหนานอิงคนเดิมพอเห็นเขาก็รีบส่งยิ้มประจบมาให้

ร้านเถ้าแก่จางอยู่ที่ตรอกเหวิน อยู่คนละทิศกับตรอกซีหมาน รถม้าจึงเคลื่อนตัวไปอีกทาง จื่อฟางมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง คลับคล้ายว่าเคยผ่านมาตรอกนี้เช่นกัน ระยะทางค่อนข้างไกลพอตัว ตรอกเหวินค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ที่กล่าวเช่นนี้เป็นเพราะทั้งตรอกไม่มีร้านค้าจำพวกให้ความรื่นเริง มีแต่ร้านชาหรูหรา ร้านผ้า ร้านเครื่องประดับ ร้านเครื่องดนตรี และร้านหนังสือ เป็นตรอกสำหรับผู้มีความรู้โดยแท้ รถม้าจอดที่มุมหนึ่งของถนน

จื่อฟางอดจุ๊ปากมิได้เมื่อพบว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้วนแต่เป็นผู้มีการศึกษา ตั้งแต่คุณชายท่าทางแก่เรียน บัณฑิต นักปราชญ์ นักกวี หรือแม้กระทั่งนักศิลป์ เขาเริ่มตื่นเต้น แสดงว่าตรอกนี้ย่อมมีหอศิลปะ เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสื้อคลุมยาวปักดิ้นสีทองของเขาส่องประกายในแดดยามเช้า ทำให้หลายคนเหลียวมอง บางคนขมวดคิ้วแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

“ทำท่าเสียสูงส่ง”เด็กหนุ่มพึมพำ เมื่อเห็นว่าพวกบัณฑิตเหล่านั้นต่างก็ทำเหมือนว่าเขาเป็นเชื้อโรค จื่อฟางก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ชื่นชมสองข้างอย่างสบายอารมณ์ จางต้าไม่เคยเห็นคุณชายเสิ่นสนใจร้านค้าพวกนี้มาก่อน หรือคุณชายเป็นพวกแก่เรียนไปแล้ว

“แถวนี้มีหอศิลปะหรือไม่”เขาถามจางต้า

“มีขอรับ ตรอกข้างๆมีโรงเตี๊ยมราคาแพง ส่วนมากพวกนักศิลป์ นักกวีที่มีเงินจะไปเช่าอยู่”เขาเอ่ยเสริมเมื่อเห็นว่าคุณชายสนใจ

“อืม”เขาพยักหน้า แม้ว่าอยากไปสำรวจจนตัวสั่น แต่วันนี้ไม่ใช่เวลา ไม่อย่างนั้นจะไปถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อสาย เขาเดินมาจนถึงร้านหนังสือขนาดใหญ่ ป้ายอักษรตวัดสวยงามว่า‘จาง’ เขาคลี่ยิ้มมุมปาก ตั้งใจจะก้าวเข้าไปแต่มีสายตาหนึ่งคู่พุ่งตรงมา จื่อฟางหันมอง พบว่าเป็นเด็กหนุ่มในวัยใกล้เคียง สวมชุดสีเทาเรียบง่าย มองครั้งเดียวก็รู้ว่าถูกใส่จนสีจาง ร่างนั้นถือหนังสือเล่มเก่าๆ ใบหน้ารูปไข่ไม่มีอะไรโดดเด่น ยกเว้นท่าทางที่ดูฉลาดเฉลียวและสายตาที่เหมือนว่ารู้จักเสิ่นจิ้งเฟย ใครอีกหนอ เขามองผ่านอย่างไม่ใส่ใจ จางต้าขยับมากระซิบเบาๆกับเขา

“นั่นเจิ้งเซี่ยสวี เมื่อก่อนครอบครัวเขาเคยทำงานให้สกุลเสิ่น แต่ยามนั้นคุณชายไม่ชอบหน้าเขาจึงหาเรื่องทำให้ครอบครัวเขาโดนไล่ออก...”บ่าวรับใช้กระซิบ ไม่แปลกใจที่คุณชายจะจำไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเกือบแปดปีแล้ว ในยามนั้นคุณชายกำลังอยู่ในช่วงวัยเกเร เขายังแทบรับมือไม่ไหว จื่อฟางขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้หยุดเดิน เขามีธุระกับเถ้าแก่จาง ไม่มีเวลาไปสนใจกับคู่อริเก่าของเสิ่นจิ้งเฟย เจ้านี่ขยันสร้างเรื่องจริงๆ เขาบ่นอยู่ในใจ

ภายในร้านของเถ้าแก่จางตกแต่งอย่างมีระเบียบ เครื่องเรือนโบราณ ตู้หนังสือเป็นแนวยาวละลานตา กลิ่นอับชื้นของหนังสือลอยเข้าจมูก จางต้าทำหน้าเหนื่อยหน่ายทันที

“คุณชาย ข้าน้อยรออยู่ตรงนี้นะขอรับ”แค่เขาเห็นหนังสือมากมายก็คันคะเยอแล้ว จื่อฟางพยักหน้ารับรู้ ใช้พัดโบกให้หยางชวีตามมา ร่างนั้นยืนห่างจากเขาตั้งหลายคืบ ยังไม่ทันได้เอ่ยแกล้ง ร่างหนึ่งก็พุ่งมาทางเขา เป็นชายกลางคนไว้เคราแพะ มีไฝใต้ตา   

“คุณชายเสิ่นนี่เอง! ท่านหายหน้าหายตาไปตั้งหลายเดือน ข้าคิดว่าท่านจะไม่แวะมาเสียแล้ว หนังสือนิยายที่ท่านสั่งไว้มาถึงแล้วแหน่ะ ตั้งสองเล่ม ข้า--”

“เอาไว้ก่อนเถอะ เถ้าแก่ วันนี้ข้ารีบ ข้าขอเดินเลือกหนังสือเสียหน่อย”จื่อฟางไม่รอช้ารีบปลีกตัวไปหาหนังสือที่อยากได้ทันที เถ้าแก่จางเหมือนอยากเข้ามาพูดคุยด้วย แต่เพราะมีหยางชวีจึงไม่กล้ามาวุ่นวาย เขาเลือกหยิบหนังสือกลอน โคลงกวีต่างๆมาสองเล่ม หนังสือเขียนบทวิพากษ์มาอีกสองเล่ม นิยายไร้สาระอีกหนึ่งเล่ม เด็กหนุ่มหอบหิ้วหนังสือไปที่โต๊ะจ่ายเงิน เถ้าแก่จางยืนลูบเคราอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาทอประกายเมื่อเห็นจื่อฟาง

“ท่านเลือกมาเยอะเลยนะ”อีกฝ่ายชวนคุย

“ข้าไม่ได้มาหลายเดือน มีหนังสือที่อยากได้เยอะแยะไปหมด”จื่อฟางตอบกลับอย่างเป็นกันเอง “เอ่อ ข้าอยากได้หนังสือ…”โป๊ เขาแสร้งทำท่าทีอึกอักอย่างคุณชายผู้เหนียมอาย

เถ้าแก่จางเข้าใจในทันที “อ้า ได้เลยขอรับ ข้าจะเลือกเล่มที่กำลังได้รับความนิยมมาให้คุณชาย ท่านต้องชอบอย่างแน่นอน”เขามองร่างกระฉับกระเฉงของเถ้าแก่จางหยิบหนังสือจากตู้ด้านหลังมาสี่เล่ม ไม่มีปกอยู่สองเล่ม แบบเดียวกับที่ซ่อนอยู่ในหีบของเสิ่นจิ้งเฟย เขาเหลือบมองหยางชวี เจ้านั่นมีท่าทางเบื่อหน่าย เขาใช้จังหวะที่อีกฝ่ายละสายตารีบส่งจดหมายในแขนเสื้อให้เถ้าแก่จางทันที

“ทั้งหมดห้าตำลึงเงิน ข้าลดให้ เห็นว่าท่านซื้อเยอะ”

“ขอบคุณเถ้าแก่จาง”เขาล้วงเอาก้อนเงินในถุงส่งให้เถ้าแก่ รีบหมุนตัวกลับทันที หยางชวีหอบหนังสือตั้งสูงตามออกมา เดาว่ากำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจเป็นแน่

“รีบไปโรงน้ำชาหลิวซื่อเถิดขอรับ”จางต้านั่งรออยู่ด้านนอก ยืดตัวเดินมาเขาทันที จื่อฟางมองเห็นเจิ้งเซี่ยสวียังคงอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม เมื่อเห็นเขาออกมาจากร้าน ร่างในชุดเก่าจางก็ตรงปรี่มาหาทันที

“โอ้ บัณฑิตท่านนี้มีเรื่องใดกับข้าหรือ ข้ากำลังรีบ”เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน อีกฝ่ายมองเขาปราดเดียว

“ข้าได้ยินว่าท่านลงสอบระดับอำเภอ ข้าก็สอบเช่นเดียวกัน”

“แล้ว…”จื่อฟางเลิกคิ้ว เจ้าคนน่ารำคาญนี่ต้องการอะไรกันแน่ จางต้าขยับขาไปมาอยู่ด้านหลัง

“หึ หวังว่าท่านจะสอบผ่าน คุณชายเช่นท่านคงไม่แพ้คนลูกคนจนอย่างข้าหรอกกระมัง”เจิ้งเซี่ยสวีเผยรอยยิ้มหยัน สายตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“ข้าต้องสอบผ่านแน่อยู่แล้ว เจ้าก็ด้วย ผู้มีความรู้ไม่ว่าจนหรือรวยก็ไม่ถือว่าแตกต่าง”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับนักบวชผู้บรรลุธรรม เจิ้งเซี่ยสวีนิ่งงันไปอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้จากเขา

“ข้าไปก่อนล่ะ”เขายิ้มใจดีก่อนเดินตัวปลิวกลับไปยังรถม้า จางต้าและหยางชวีเดินตามด้วยอารมณ์งุนงงพอกัน  ผีสางตนใดเข้าสิงคุณชายเสิ่นกัน ระหว่างทางไปโรงน้ำชาหลิวซื่อจึงเงียบงัน จื่อฟางเล่นพัดในมือ อมยิ้มกับท่าทางของบ่าวทั้งสองคน เขาทำอะไรแปลกๆก็บ่อยครั้ง คนพวกนี้ไม่ชินอีกหรือไร

~•~

“ท่านมาสาย”ไป๋ผูอวี้กล่าวเป็นสิ่งแรกเมื่อจื่อฟางสืบเท้าเข้ามาในห้องดื่มชาห้องเดิม เขาชี้ไปยั้งตั้งหนังสือเรียนที่จางต้ายกตามเข้ามา

“ข้าแวะไปซื้อหนังสือ”เขาตอบพลางนั่งลงที่เก้าอี้ ไป๋ผูอวี้กลับมาเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมนิ่งเป็นท่อนไม้ตามเดิมแล้ว จนสงสัยว่าเจ้าคนที่จุมพิตหน้าผากเขาใช่คนเดียวกันหรือไม่ แต่คืนนั้นบรรยากาศช่างงดงาม ท่อนไม้ไป๋อาจเผลอตัวเผลอใจไปกับความงามของร่างนี้

“วันนี้ข้าจะให้ท่านเขียนวิพากษ์ตามหัวข้อที่กำหนด ในการสอบท่านต้องได้เจออยู่แล้ว”

“รับทราบ”เขาพยักหน้าอย่างตั้งใจ สีหน้าหยอกล้อแปรเปลี่ยนในชั่ววินาที ไป่ผูอวี้มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเขียนหัวข้อกำหนดให้เสิ่นจิ้งเฟย อยากรู้ความคิดของคุณชายท่านนี้ เขาจรดพู่กันก่อนเขียนคำว่า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ลงไปเสร็จแล้วจึงส่งให้ร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

จื่อฟางกวาดตาอ่านอย่างพอใจ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนความเหลื่อมล้ำก็ยังมีอยู่ เขาเกิดมาในครอบครัวยากจนจึงเข้าใจดีพอสมควร ตอนนี้อยู่ในร่างบุตรขุนนางของเสิ่นจิ้งเฟยจึงได้เห็นทั้งสองด้าน เขาจรดพู่กันเขียนอย่างคล่องแคล่ว เขียนจนเต็มหน้ากระดาษ ภายในห้องจึงมีแต่ความเงียบ จางต้าไม่เคยเห็นคุณชายตั้งหน้าตั้งตาเขียนด้วยท่าทางจริงจังมาก่อนจึงอดอ้าปากค้างไม่ได้ ไป๋ผูอวี้ลอบมองสีหน้าจริงจังของเสิ่นจิ้งเฟยอย่างเงียบๆ จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามเสิ่นจิ้งเฟยจึงเขียนเสร็จ เขายื่นกระดาษมาให้ด้วยสองมือท่าทางเหมือนลูกศิษย์ผู้เลื่อมใสในตัวอาจารย์

ชายหนุ่มรับมาด้วยสีหน้าคงเดิม กวาดตาอ่านอย่างประหลาดใจเป็นล้นพ้น ท่วงทำนองการเขียนของเสิ่นจิ้งเฟยบ่งบอกถึงความอัดอั้นตั้นใจ กล่าวถึงความไม่เท่าเทียม การใช้อำนาจในทางที่ผิดที่เป็นผลจากความเหลื่อมล้ำได้อย่างตรงประเด็น เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวถึงการสอบเคอจวี่ มีบัณฑิตที่ยากจนแต่ฉลาดหัวดีไม่ผ่านการสอบมากมายเพราะพวกลูกขุนนางที่ใช้อำนาจบิดาทำให้ผ่านการเข้าสอบ ไป๋ผูอวี้สูดลมหายใจลึกๆ นี่เป็นเรื่องที่เขาและสหายถกกันบ่อยครั้งในการชุมนุมบัณฑิต ล้วนเป็นเหล่าบัณฑิตที่ไม่ผ่านการสอบเพราะความเหลื่อมล้ำทางฐานะ อำนาจ พวกเขาจัดตั้งกลุ่มนัดเจอกันอย่างลับๆ ถกปัญหาทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องของฮ่องเต้

ผู้อาวุโสอวิ๋นเซียนหลางรู้เข้าและเห็นว่ากลุ่มบัณฑิตมีประโยชน์ต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา สหายคนอื่นต้องการทำงานบวกกับเลือดวัยหนุ่มกำลังพลุ่งพล่านจึงตอบตกลง ทีแรกเขาไม่เห็นด้วย เขาไม่ต้องการทำงานให้ผู้อื่น  แต่หากต้องการเปลี่ยนแปลงก็ต้องลงมือทำมัวแต่ถกปัญหา คงไม่เกิดผลใด

ไป๋ผูอวี้มองไม่ออกว่าท่านอาวุโสผู้นี้คิดเห็นเช่นไร ท่านผู้อาวุโสผูกพันกับฮ่องเต้เจี่ยผิงก็จริง แต่ในบางครั้งก็วิจารณ์พระองค์อย่างไม่เห็นด้วย อวิ๋นเซียนหลางบอกกับไป๋ผูอวี้ว่าแค่รอให้กลุ่มก่อกบฏเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักจะเกิดขึ้นเอง

‘ข้าพูดกับเจ้าอย่างเปิดอก อีกไม่นานเจ้าของเดิมจะกลับมาทวงคืน สิ่งใดที่แย่งมาย่อมอยู่ได้ไม่นาน’

เพียงเท่านี้ไป๋ผูอวี้ก็เดาได้ เดิมทีองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้เป็นรัชทายาท แต่เขาถูกปลดจากตำแหน่งด้วยเรื่องบางอย่าง ฮ่องเต้ในสมัยนั้นลงโทษคุมขังอยู่วังองค์ชาย จนกระทั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ครองราชย์  ยามที่สนทนาเรื่องนี้เขาคิดว่าเห็นประกายบางอย่างในดวงตาของผู้อาวุโสอวิ๋นจึงไม่คิดไว้ใจมากนัก

ไป๋ผูอวี้รู้ดีว่าการกระทำของตนขัดต่อกฎของสกุลไป๋ที่ยึดถือมาช้านาน บุรุษหนุ่มทำตามความยึดมั่นส่วนตัว ยึดมั่นมากเสียจนทะเลาะกับท่านอาจารย์หย่งสือ

‘สิ่งที่เจ้าทำเป็นการสูญเปล่า ความซื่อตรงของเจ้าจะนำภัยมาสู่สกุลไป๋’

ท่านอาจารย์โกรธมากที่เขาไปยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักจึงออกเดินทางหายตัวไปนานหลายปี หาอย่างไรก็ไม่พบ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 06:35:51 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

ไป๋ผูอวี้กระพริบตา รู้ตัวว่าเหม่อลอยไปนาน เขาไล่สายตาอ่านจนจบ ไม่คิดว่าบุตรชายขุนนางที่ใช้ชีวิตไม่เอาไหนอย่างเสิ่นจิ้งเฟยจะคิดได้เช่นนี้ ที่ผ่านมา ข้ามองท่านผิดไปหรือ บุรุษหนุ่มพลันรู้สึกว่าน่าขันที่ตนตัดสินเสิ่นจิ้งเฟยจากสิ่งที่เห็นและได้สัมผัสเพียงบางส่วน

“ไป๋ผูอวี้?”จื่อฟางเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน เขาไม่เคยเห็นไป๋ผูอวี้แสดงสีหน้าสลับซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน บทความวิพากษ์ที่เขาเขียนไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง ได้พบกับเจิ้งเซี่ยสวีทำให้เขารู้ว่ายังมีผู้ที่พยายามในการสอบครั้งนี้ และการโกงของจื่อฟางย่อมไม่ยุติธรรมต่อคนพวกนั้น เขาไม่อยากใช้วิธีสกปรก ตัดสินใจแล้วว่าจะไปบอกเสิ่นมู่หยางให้เปลี่ยนหัวข้อการสอบซะ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรเขาก็พยายามด้วยตัวเอง

“ท่านเขียนได้ดี ข้าพอใจมาก”ไป๋ผูอวี้เอ่ยออกมาในที่สุด “ข้าเข้าใจท่านผิดมาตลอด”

“นี่…”ท่อนไม้ไป๋เป็นอะไรไปแล้ว “เข้าใจผิดเรื่องใด”

“ข้าคิดว่าท่านเป็นอย่างบุตรชายขุนนางพวกนั้น พวกคดโกง”น้ำเสียงราบเรียบของไป๋ผูอวี้ทำเอาหัวใจเขาหล่นวูบ หากคนผู้นี้รู้ว่าเสิ่นมู่หยางเอาแนวข้อสอบมาให้จะมองเขาเช่นไร จื่อฟางยิ้มฝืดเฝือน

“วันนี้ข้าจะไม่สอนท่านก็แล้วกัน”ไป๋ผูอวี้เผยรอยยิ้ม มองเขาด้วยแววตาเป็นประกายท่าทางอารมณ์ดี จื่อฟางแอบมองจางต้า บ่าวรับใช้ดูงุนงงเช่นเดียวกัน

“ถ้าอย่างนั้น…ข้าขออะไรสักอย่าง”จื่อฟางมีท่าทีกระตือรือร้นเมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก

“ถ้าไม่ใช่เรื่องแปลก ก็ย่อมได้”

“มีสิ่งใดแปลกกว่าเจ้าจูบหน้าผากข้าอีกหรือ”จื่อฟางพึมพำ แต่บุรุษอีกคนได้ยินจึงแสร้งยกถ้วยชาดื่มเงียบ ๆเหตุการณ์คราวนั้นทำให้เขาว้าวุ่นไปทั้งคืน เป็นเพราะแสงจันทร์ต่างหากที่ทำให้เขาไขว่เขว เขาไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่เสิ่นจิ้งเฟยใต้แสงจันทร์ยามดึกงดงามราวกับปีศาจ นี่คนอย่างเขาก็ถูกความงามล่อลวงหรือ?

“ข้าอยากวาดภาพเจ้า”เสิ่นจิ้งเฟยยิ้มกว้าง

“วาดภาพข้า เพราะอะไรเล่า”เขาวางถ้วยชา เห็นจางต้ากำลังฝนหมึกด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อ แต่มีรอยยิ้มเผยน้อยๆ

“ข้าก็ต้องวาดไว้ดูต่างหน้าสิ ท่อนไม้ไป๋เอ๋ย”เสิ่นจิ้งเฟยหัวเราะเสียงใส เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้เขาอุ่นวาบอยู่ในอก แววตามีชีวิตชีวาของอีกฝ่ายเหมือน….ไป๋ผูอวี้วางถ้วยชาดังกึก ไม่คิดว่าตนเองจะพร่ำพรรณนาถึงคุณชายไม่เอาไหนได้

‘เจ้าบ้าไปแล้วรึ ทำอย่างกับพวกแรกรัก’

“คุณชายเสิ่น ข้าไม่อนุญาตให้ท่านเรียกข้าด้วยคำเช่นนั้น”ไป๋ผูอวี้รักษาท่าทางให้คงเดิม “แต่อยากทำอะไรก็ทำเถิด”เขาพึมพำ

“หมายความว่า…ข้าจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ”จื่อฟางแกล้งหยอกล้อ

“หากท่านพูดมากความ ข้าเปลี่ยนใจขึ้นมา อย่าหาว่าข้าใจดำล่ะ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเตือน เด็กหนุ่มจึงยกมือทั้งสองข้างบอกว่าพอแล้ว จางต้าพยายามทำตัวเหมือนล่องหนให้แนบเนียนที่สุด   

“เจ้ายังไม่ได้ทานข้าวเช้าไม่ใช่หรือ เจ้าออกไปเถอะ ข้าจัดการเองได้”จื่อฟางหันไปหาจางต้าที่ทำหน้าเก้อกระดาก บ่าวรับใช้งุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบค้อมกายออกไป ภายในห้องจึงเหลือเขากับไป๋ผูอวี้เท่านั้น

“เจ้านั่งตามสบาย จะได้ไม่ปวดเมื่อย”จื่อฟางหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาใช้ ลูบแผ่นกระดาษอย่างเบามือ ใช้พู่กันจุ่มหมึก จดจ้องมองชายหนุ่มที่มองตรงมาที่เขาด้วยนัยน์ตาใคร่รู้ เขาตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว จนร่างภาพเป็นสัดส่วน ท่อนไม้ไป๋ใช้สายตามองจนจื่อฟางเป็นฝ่ายตกประหม่าเสียเอง มือไม้ติดขัดจนทำหมึกกระเซ็นไปโดนไป๋ผูอวี้ หมึกสีดำเปื้อนเสื้อคลุมบริเวณหน้าอกเป็นด่างดวงราวกับศิลปะ ไป๋ผูอวี้ก้มมองรอยหมึก ก่อนปรายตามองเสิ่นจิ้งเฟยด้วยสายตาขบขัน

“ดูท่าท่านจะไม่ชำนาญเท่าไหร่”

“ข้าจับพู่กันไม่ถนัด”ใครใช้ให้เจ้ามองข้ามากขนาดนั้นกันเล่า

“อ้อ…”ไป๋ผูอวี้เงียบไปพักใหญ่ รู้หรอกว่าเสิ่นจิ้งเฟยจงใจไล่บ่าวรับใช้ออกไป แต่คุณชายท่านนี้ฝีมือยังอ่อนด้อย คิดจะแกล้งเขาไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เขามองสำรวจร่างบางที่ขะมักเขม้นตวัดพู่กันอย่างตั้งใจ รอยยิ้มแผ่ไปถึงแววตา ดูว่าจะมีความสุขในการวาดภาพจริงๆ เขามองอยู่จึงเผลอยิ้มไปด้วย   

“ข้าไม่ได้นำหมึกสีติดมาด้วย คราวหน้าข้าจะวาดให้เจ้าใหม่”จื่อฟางกล่าวโดยไม่ละสายตาไปจากแผ่นกระดาษ เขาเพียงวาดลงเส้นคร่าวๆเท่านั้น มนุษย์ผู้หล่อเหลาอย่างไป๋ผูอวี้ ใช้แค่หมึกดำไม่พอหรอก 

“เสร็จแล้วรึ”เสียงของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ข้างหู จนจื่อฟางสะดุ้ง น้ำหมึกหยดลงบนภาพวาด กลายเป็นว่าไป๋ผูอวี้มีไฝอยู่บนหน้าผาก เขาหลุดขำพรืด หันมองร่างสูงยืนเอามือไพล่หลังก้มมองภาพวาดด้วยสายตาเรียบนิ่ง คนร่างสูงเลื่อนสายตามองใบหน้าของเขาแทน

“โทษข้าไม่ได้นะ เจ้าทำให้ข้าตกใจเอง แต่ข้าว่าเจ้ามีไฝก็ดูหล่อเหลาไปอีกแบบ”จื่อฟางพึมพำ สูดกลิ่นชาอ่อนๆจากตัวของอีกฝ่าย ลอบมองไป๋ผูอวี้ คงตั้งใจมายืนซุ่มอยู่ตรงนี้เพื่อแกล้งให้เขาตกใจ

“ไว้คราวหลังท่านก็มาวาดใหม่ ใช้หมึกที่ท่านว่า ข้าจะรอดูฝีมือที่แท้จริงของท่าน”บุรุษตรงหน้าพูดเสียงนุ่ม จื่อฟางหรี่ตา ตกลงว่าผู้ใดอ่อยใครกันแน่ เหตุใดต้องมาทำเสียงล่อลวงใส่เขาด้วย เด็กหนุ่มไล่สายตาไปหยุดที่ริมฝีปากของไป๋ผูอวี้ คิดว่าหากใช้กลยุทธ์ไม่ได้ผลเสียที ก็เข้าหาตรงๆไปเลยก็แล้วกัน จื่อฟางจึงลุกจากที่นั่งเขย่งตัวไปใกล้กับบุรุษร่างสูง จรดริมฝีปากลงบนกลีบปากของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้นิ่งงันด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้ถอยหนี เขาจึงขบเม้มเรียวปากของคนตรงหน้าเบาๆเป็นการลองเชิง ไป๋ผูอวี้ค่อยมีปฏิกิริยาตอบรับจูบของจื่อฟาง คิดว่าเท่านี้คงเพียงพอ ตั้งใจจะผละออกมา

แต่ไป๋ผูอวี้กลับคว้าต้อคอของจื่อฟางไว้พร้อมทั้งขบกัดริมฝีปากล่างของเขาเบาๆคล้ายเป็นการเอาคืน เขาได้แต่กำพู่กันในมือ สมองมึนงง ไม่คิดว่าไป่ผูอวี้จะทำเช่นนี้ ทั้งยังเป็นจูบลึกซึ้งที่ทำให้เขาอ่อนยวบไปทั้งร่าง ปลายลิ้นอุ่นมีรสชาติของชาอ่อนๆ ไปผูอวี้ย้ำจูบลงบนเรียวปากราวกับกำลังประกาศผู้ชนะ จื่อฟางทำได้เพียงโอนอ่อนตามจนกระทั่งฝ่ายนั้นถอนริมฝีปาก ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววผู้ชนะ จื่อฟางสูดลมหายใจวางมือลงบนโต๊ะเพื่อประคองร่าง เขายกปลายเสื้อเช็ดปากที่เป็นมันวาวจากจูบเมื่อครู่

“เจ้าจูบข้า…”เขายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ท่อนไม้ไป๋กลายเป็นไม้เลื้อยได้อย่างไร 

“ท่านเอาชนะข้าไม่ได้หรอก”ไป๋ผูอวี้ตอบเบา ๆ ริมฝีปากนุ่มนิ่มของเสิ่นจิ้งเฟยคล้ายกับทิ้งร่องรอยไว้ ยกยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าคุณชายเสิ่นเป็นฝ่ายเขินอายเสียเอง ไม่ใช่ว่าเป็นคนเริ่มก่อนหรอกหรือ จื่อฟางรู้สึกว่าร้อนไปทั้งร่าง คิดว่าปล่อยคนผู้นี้ให้ฉินเซียงอินไม่ได้เด็ดขาด จูบเมื่อครู่ไม่ใช่การจูบจากความรู้สึกเป็นการจูบเพื่อเอาชนะ เขายกมือลูบริมฝีปากที่ยังร้อนอยู่ กระแอมกระไอเบาๆ บรรยากาศแปลกประหลาดปกคลุมไปทั้งห้อง

ไป๋ผูอวี้คล้ายกับรู้สึกตัว กลับมาอยู่ในสภาพท่อนไม้เช่นเดิมพึมพำว่า “ข้าออกไปดูใบชาสักครู่”จากนั้นก็เดินตัวปลิวจากไป ปล่อยให้จื่อฟางตบหน้าตัวเองเบาๆ ครั้งหน้าข้าไม่ยอมแพ้แน่ 

จื่อฟางออกมาจากโรงน้ำชาหลิวซื่อด้วยท่าทางปกติ ไป๋ผูอวี้ก็เช่นกัน บุรุษหนุ่มเพียงยกยิ้มสุภาพส่งลา ท่าทางสุขุมนุ่มลึกยิ่งนักราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เว่ยหลงยืนอยู่เบื้องหลังมองผู้เป็นนายด้วยสายตาใคร่รู้

จื่อฟางเคาะพัดลงบนฝามือ เอ่ยเปรยกับจางต้าและหยางชวี “ข้าอยากเปิดร้านค้า”เขาหยุดมองร้านที่อยู่เยื้องจากโรงน้ำชาด้วยสายตาครุ่นคิด เป็นร้านขายผ้าขนาดพอเหมาะ เขาอยากเปิดหอศิลปะ มีมุมดื่มชา อ่านหนังสือ เหมือนคาเฟ่ในโลกปัจจุบัน

“คุณชายคิดจริงจังหรือขอรับ”หยางชวีมองแผ่นหลังผอมบางของเสิ่นจิ้งเฟย ตอนแรกเขาคิดว่าคุณชายแค่เอ่ยเอาสนุก อีกเดี๋ยวก็ลืม ไม่คิดว่าจะอยากทำจริงจัง

“อืม ข้าอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง”เขาใช้พัดชี้ไปที่ร้านผ้า “ทำเลดี”ตรอกซีหมานคึกครื้น ผู้คนเดินไปมาตลอดวัน อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับโรงน้ำชาหลิวซื่อ ยังไปมา…ไปแกล้งไป๋ผูอวี้ได้

“แต่ร้านนั้นเป็นของเถ้าแก่ชวีนะคุณชาย”จางต้าแย้งเสียงอ่อย รู้ดีว่าหากคุณชายอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้อยู่แล้ว

“ข้าจะขอเช่า ได้กำไรก็จ่ายให้เจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่ง แบบนี้ก็ไม่ถือว่ารังแกใช่หรือไม่”จื่อฟางทำเสียงครุ่นคิดมองร้านผ้าตาเป็นมัน เถ้าแก่ชวีอยู่ๆก็ร้อนหนาวไม่ทราบสาเหตุ

“คุณชายเก็บไปคิดให้ดีก่อนดีกว่า หากทำเล่นๆ…”

“ข้าไม่ได้เล่น ข้ากล่าวจริง และจะทำจริง”เขาหมุนตัวไปหาบ่าวทั้งสอง กางมือสองข้างออก

“ข้าจะเป็นเจ้าของกิจการ ผู้คนในฉางอันจะต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวข้าใหม่”จื่อฟางพูดอย่างมุ่งมั่น แววตาเป็นประกาย นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงแรงฮึดเช่นนี้ จางต้าและหยางชวีคล้ายเห็นไฟลุกท่วมร่างของคุณชายเสิ่น

เว่ยหลงยืนอยู่ที่ชั้นสอง คำพูดของคุณชายเสิ่นลอยเข้าหูพอดี ‘หืม…เจ้าเต่าคิดทำสิ่งใดอีก กิจการหรือ’

“ฮ่าๆๆๆ”เสียงหัวเราะของเว่ยหลงดังลั่นไปทั่วร้าน

จื่อฟางเดินออกมาได้ไม่นาน ได้ยินเสียงหัวเราะก็รู้สึกว่าถูกดูถูก เขาสะบัดชายเสื้อผลุบหายไปในรถม้า หยางชวียิ้มจางคิดว่าคุณชายยามจริงจังดูเข้าท่ากว่าทำตัวไม่เอาไหนมากนัก แต่…เขาถอนหายใจ หากนายท่านอนุญาตก็ดีไป

จื่อฟางกลับมาถึงจวนก็ไปหมกตัวที่ห้องหนังสือรอให้เสิ่นมู่หยางกลับจากราชสำนัก เขานำหนังสือไร้หน้าปกมาอ่าน แน่นอนว่าย่อมเป็นนิทานของคหบดีแซ่เจี่ย อ่านไปได้ครึ่งทางก็พบว่ามีจดหมายสอดมา เป็นจดหมายตกค้างจากสองเดือนก่อนที่เขาไม่ได้แวะไปที่ร้านหนังสือ ใจความมีอยู่ว่า

‘เสิ่นจิ้งเฟย เจ้าตรวจสอบการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสอวิ๋นได้ใจความอย่างไรบ้าง สืบให้รู้ว่าเขาใช้พวกใดทำงาน อย่าให้การตายของปู่เจ้าเสียเปล่า’

ส่วนอีกฉบับ

‘ไยเจ้าไม่ตอบจดหมาย? เดือนหน้าข้าจะส่งอาสือไป ระมัดระวังด้วย’

เขาเหยียดยิ้ม ที่แท้หลิวอ๋องก็ตามสืบเรื่องผู้อาวุโสอวิ๋นอยู่เหมือนกัน วันนี้องครักษ์ของฮ่องเต้คงได้เรื่องไปรายงานแล้ว รออยู่ค่อนวัน หยางชวีก็มาบอกว่าเสิ่นมู่หยางกลับมาแล้ว เขานำจดหมายซ่อนไว้ในแขนเสื้อก่อนเดินไปที่เรือนใหญ่ เสิ่นมู่หยางเพิ่งจะดื่มชาไปสองจอก ก็เห็นบุตรชายเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“ท่านพ่อ เรื่องการสอบระดับอำเภอ ข้าคิดดีแล้วว่าควรพยายามด้วยตนเอง ข้าอยากให้ท่านเปลี่ยนหัวข้อสอบ”เขาเข้าเรื่องอย่างไม่รอช้า เสิ่นมู่หยางถูกคำพูดของบุตรชายเล่นงานจนมึนงง

“เจ้า…แน่ใจหรือ”

“แน่ใจ ข้าไม่อยากเอาเปรียบผู้อื่น”เสิ่นมู่หยางมองหน้าเสิ่นจิ้งเฟยอยู่สักพักก่อนหัวเราะเสียงดัง ลุกเดินมาหาบุตรชายตบไหล่เบาๆ

“เจ้าคิดได้ก็ดี แต่หากเจ้าสอบไม่ผ่านเล่า”

“ข้าจะพยายามสุดความสามารถ ข้าจะสอบให้ได้”จื่อฟางเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “ท่านพ่อ หากข้าสอบได้ ท่านรับปากได้หรือไม่ว่าหากข้าเอ่ยปากขอสิ่งใด ท่านจะตกลง”

เสนาบดีเสิ่นเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าบุตรชายไม่เอาไหนจะต่อรองเขาด้วยเรื่องนี้ ทั้งยังดูมั่นใจว่าจะต้องสอบได้อีก มันไปกินสิ่งใดผิดแปลกมาหรือไง “เจ้าจะขอสิ่งใดเล่า”

“ไม่ใช่ของหายากอะไรหรอก ท่านพ่อรับปากมาก็พอ”

“ถ้าหากว่าเจ้าสอบได้ ข้าก็ตกลง”เสิ่นมู่หยาง ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะสอบได้อยู่แล้วจึงเอ่ยไปอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มพลันมีท่าทางแปลกไป รอยยิ้มมุ่งมั่นในตอนแรก ยามนี้คล้ายดูแสร้งทำ   

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวก่อน ท่านพักผ่อนเถอะ”จื่อฟางรีบหมุนตัวเดินออกมา สองมือกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อ หานตงยืนอยู่มุมห้องอย่างสงบเสงี่ยม ลอบถอนหายใจเบาๆ เงยหน้ามองนายท่านที่ดูไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตรชาย

“เจ้าเฟยเอ๋อร์เป็นอะไรไปอีก”เสิ่นมู่หยางพึมพำ คิดว่าเด็กหนุ่มช่างเอาใจยาก

“คุณชายเสิ่นคงน้อยใจที่นายท่านไม่คิดว่าเขาจะสอบได้”หานตงเอ่ยเสียงเรียบ เสิ่นมู่หยางปรายตามองอย่างแปลกใจ นานครั้งที่ผู้ติดตามของเขาจะออกปากเรื่องในบ้าน เขาถอนหายใจ ก็บุตรชายของเขาทำเรื่องน่าผิดหวังมากี่ครั้งกี่หนกันเล่า?

“ข้าลืมไป เจ้านำความไปบอกคุณชายเสิ่นด้วยว่าวันหยุดนี้ต้องเดินทางไปอำเภอถงฉวน สกุลโหยวอยากพบเขา”เสิ่นมู่หยางจ้องมองจดหมายที่ส่งมาจากสกุลโหยว เขาเองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนานแล้วเช่นกัน แต่สกุลฝั่งนั้นชังน้ำหน้าเสนาบดีเสิ่นนักจนไม่กล้าไปเหยียบ

“ขอรับ”หานตงรับคำ ออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ที่สกุลโหยวอยากพบเสิ่นจิ้งเฟยก็คงเป็นเพราะเขาเขียนจดหมายไปบอกเล่าว่าเสิ่นจิ้งเฟยวาดภาพโหยวหลันได้งดงามเหมือนจริงมาก ทางนั้นจึงอยากเชยชมว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าตาแก่นั่นเห็นคงร้องไห้ไปอีกหลายวัน เขายกยิ้มมุมปาก แต่เขาก็ถอนหายใจอีกรอบเมื่อคิดถึงภรรยาที่จากโลกนี้ไปนานแล้ว     

เจ้าคงเข้าใจข้า ไม่โกรธข้าใช่หรือไม่ ข้าจะบอกเฟยเอ๋อร์อย่างไรดี เขานึกไปถึงคำพูดเย็นชาไร้หัวใจของบุตรชาย

‘ท่านเคยสัญญากับท่านแม่ไว้ว่าจะไม่นำหญิงใดเข้ามาอยู่ในจวน ข้าขอเตือนท่าน หากท่านผิดสัญญา ข้าสาบานว่าจะตามไปฆ่าผู้ใดก็ตามที่คิดเหยียบเข้ามาในจวนแห่งนี้’

“เฟยเอ๋อร์เป็นเช่นนี้…หากเขารู้เรื่องราวเบื้องหลังการตายของท่านปู่…เขาจะรับได้หรือ แท้จริงแล้วท่านปู่ที่แสนใจดีของเขา เป็นคนร่วมมือกับฮ่องเต้ใส่ความองค์ชายใหญ่…”หากคนผู้นั้นจะชิงชังสกุลเสิ่นก็ไม่ผิด เสิ่นมู่หยางรู้มาว่าองค์ชายใหญ่ใช้คนเคลื่อนไหวในทางลับมาหลายปีแล้ว เสิ่นมู่หยางหลับตานวดขมับเบาๆ แต่การเมืองก็เป็นเช่นนี้ เดินพลาดเพียงนิด สถานการณ์ก็เปลี่ยน คมดาบอาจหันมาได้ทุกเมื่อ ตอนแรกเขาลังเลใจ ต้องการให้บุตรชายรับราชการอย่างที่ทายาทสกุลเสิ่นควรทำ แต่คิดดูอีกทีเสิ่นจิ้งเฟยอยู่ห่างจากคมดาบเหล่านั้นก็ดีแล้ว…. เสิ่นมู่หยางลูบหน้าอก รับรู้ว่ารอยแผลที่เกิดขึ้นเมื่อปีกลายยังคงอยู่เป็นเครื่องยืนยันความเกลียดชังของคนผู้นั้น

เอาเถิด…หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น เขาจะเป็นคนรับคมดาบเอง




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2019 06:36:08 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
อ่านตอนนี้แล้ว ทำให้รู้รายละเอียดมากขึ้น ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะค๊ะ

ออฟไลน์ fida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ไม่ได้อ่านเรื่องนี้มานานมาก
หลายๆ ปมเริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังไม่กระจ่าง
รอติดตามตอนต่อไป

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
เขินฉากจูบ ครั้งหน้าเอาแบบไม่ใช่ความอยากเอาชนะนะหุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด