ตอนที่20
FRAN SIDE
“เล่นดี ฝีมือระดับสูงเหมือนเดิม แต่ครูไม่รู้สึกถึงหัวใจของเราเลย”
“...”ผมหยุดมือที่กำลังเล่นเครื่องดนตรีชิ้นโปรดของตัวเองเพื่อรับฟังคอมเมนต์จากอาจารย์ที่อุตส่าห์อยู่ฟังผมซ้อมจนมืดค่ำ
“อย่างที่แล้วๆมานั่นแหละ เพลงของเราที่เล่นเมื่อกี้โน้ตไม่มีผิด จังหวะ ทำนอง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมโดยสมบูรณ์แบบ แต่มันไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ สิ่งที่มนุษย์แตกต่างจากโปรแกรมเพลงสำเร็จรูปคือหัวใจ เธอต้องใส่หัวใจลงไปตอนเล่นด้วย”
“ผมใส่แล้ว”
“ถ้างั้นก็ใส่อีก เพราะแค่นี้มันยังไม่พอค่ะ ถ้าสิ่งที่เธอขาดคือฝีมือครูสามารถพัฒนาให้เธอได้ แต่นี่ไม่ใช่ครูจึงช่วยเธอได้เท่านี้จริงๆ บอกตรงๆครูเสียดายพรรสรรค์ทางดนตรีของเธอมาก ครูไม่อยากให้เธอเรียนจบดนตรีแต่ไปเปิดร้านอาหารเหมือนพวกรุ่นพี่ สู้ๆนะคะ ครูเป็นกำลังใจให้”จากนั้นหล่อนก็กล่าวลาและออกจากห้องซ้อมไป
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใครๆก็พูดเหมือนกันหมด
เล่นเก่งแต่ไม่สั่นคลอนหัวใจ
ผมไม่เข้าใจจริงๆนะว่าการใส่อารมณ์เข้าไปในเพลงมันเป็นยังไง ในเมื่อเพลงที่ผมบรรเลงมันไม่มีเนื้อร้องเหมือนพวกเพลงป็อปเสียหน่อย อารมณ์ตอนเล่นเพลงave mariaต้องเป็นยังไงหรือ สุข ทุกข์ รัก?
ต่อให้เข้าใจผมก็ถ่ายทอดออกมาไม่ได้หรอก เพราะไอ้นิสัยโลกส่วนตัวสูง ไม่แคร์ใครและชอบเก็บความความรู้สึกพวกนี้ไง ถ้าเทียบฝีมือกันแม้แต่รุ่นพี่ป.ตรีก็ไม่มีใครเทียบผมได้ พวกมือสมัครเล่นกับผู้ชมต่างก็ยกให้ผมเป็นมือหนึ่งทั้งนั้น แต่ช่องโหว่นี้กลับไม่รอดพ้นสายตาของอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ...
“หรือจะมาผิดทางแต่แรก”ทุกคนก็บอกผมมาตั้งแต่เด็กแต่ผมไม่ทันคิดว่าการไม่มีฟีลลิ่งมันจะเป็นปัญหาใหญ่ขนาดนี้
ตอนนี้ผมเรียนม.6ในโรงเรียนด้านการดนตรีโดยเฉพาะ แต่เดิมตั้งใจว่าจะเรียนต่อคณะดุริยางค์แต่วิ่งชนกำแพงจนหัวร้างข้างแตกยังไงก็ก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปไม่ได้เสียที
ถ้าอยากยึดดนตรีเป็นอาชีพก็ต้องก้าวข้ามจุดนี้ไปให้ได้
“เห้อ...”ผมตัดใจและปิดห้อง เดินกลับหอคอตก ระหว่างทางผมสวมหูฟังปิดกั้นตัวเองออกจากโลกภายนอกด้วยความที่เป็นคนนิสัยไม่ค่อยพูดทำให้ผมไม่คิดจะสนใจพี่สาวมหาลัยที่คอยส่งยิ้มส่งสายตามาให้ตลอดทาง
ผมมักจะดึงดูดความสนใจจากผู้หญิงแบบนี้เสมอ ชินจนแทบจะกลายเป็นตายด้านไปแล้ว
“เสตจหน้าเล่นเพลงอะไรดี...”นักดนตรีที่สูญเสียจิตใจไปจะไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกให้ผู้ชม ดูเหมือนผมจะไม่ได้สูญเสียมันไปแต่ไม่เคยมีมันแต่แรกด้วยซ้ำ”เห้อ...หรือว่าจะลองจีบผู้หญิงสักคนดูดีนะ”
ถ้ามีคนรักผมจะเล่นเพลงรักได้ไพเราะขึ้นรึป่าว?
“ช่างเถอะ...”ผมกำลังจะเดินผ่านร้านกาแฟตกแต่งสไตล์หวานแหววร้านหนึ่ง พอมองเข้าไปเห็นคนในร้านเยอะเชียวแต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่เป็นผู้ชายใส่ช็อป เดี๋ยวนี้เด็กวิศวะชอบเข้าร้านฟรุ้งฟิ้งกระดิ่งแมวแบบนี้เนี่ยนะ?
หรือจะมีสาวสวยสุดๆเข้ามากินในร้านพวกวิศวะเลยแห่ตามมาเป็นพรวน?
โห แบบนี้ต้องสวยเบอร์ไหนล่ะเนี่ย
ผมเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างช่วยไม่ได้ มันแปลกจริงๆนี่! สุดท้ายเลยชะลอฝีเท้าลงและแอบสอดส่ายสายตาเข้าไปด้านใน ทว่าขณะที่ผมกำลังด้อมๆมองๆอยู่ข้างร้านประตูด้านหลังของร้านก็เปิดออกตามมาด้วยเสียงหวานหัวเราะคิกคักชอบใจ
“ฮ่ะๆๆๆๆๆ คิกกกๆๆ”
“อีครามมม แกนี่น้า! ไปหลอกพวกเขาว่าจะเข้าห้องน้ำแต่ดันแอบหนีออกมาทางหลังร้านแบบนี้เนี่ยนะ”มันคือเสียงของผู้ชายสองคนคุยกันซึ่งสำหรับผมแล้วไม่น่าสนใจสักนิด”ไม่เสียดายเหรอ มีคนหล่อด้วยล่ะ มาดแมนแฮนซั่มกล้ามปู”
“มีกล้ามเพราะเข้าฟิตเนสน่ะสิ! แบบนั้นเทียบกับหนุ่มนักกีฬาไม่ติดหรอก!”
“ก็จริง”
ครับ ทั้งๆที่ไม่น่าสนใจเลย ทว่าตอนที่ทั้งสองคนเดินผ่านหน้าผมไปผมกลับชะงักค้างและคำตอบที่อยากรู้เมื่อครู่ก็แล่นเข้ามาในหัวทันที
รู้แล้วว่าพวกวิศวะตามใครมา
คนคนนี้ คนคนนี้แน่ๆ
มันเป็นแค่ชั่วขณะที่เขาผ่านหน้าผมไป แต่ผมกลับจดจำรายละเอียดแทบทุกส่วนของเขาได้ขึ้นใจ ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มซุกซนสะดุดตา ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายน่าค้นหา กลิ่นน้ำหอมที่ลอยมาเตะจมูกและเส้นผมสีดำสั้นกว่าบ่าไม่เท่าไหร่ที่สะบัดไปมาตามจังหวะวิ่งของเจ้าตัว ผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นจนลับสายตา
ชักเข้าใจพวกวิศวะข้างในขึ้นมาหน่อยๆแฮะ
ใส่ชุดนักศึกษาแถมยังห้อบป้ายชื่อแบบนี้แปลว่ายังอยู่ปี1สินะ แก่กว่าผมแค่ปีเดียวสินะ
หนุ่มนักกีฬางั้นเหรอ?...ผมมองเงาลางๆของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หนุ่มนักดนตรีอย่างผมจะให้มีกล้ามปูก็คงไม่ใช่ ผมแค่เข้าฟิตเนสพอให้ซิกแพ็คขึ้นก็เลิกเท่านั้น
เดี๋ยว แล้วทำไมผมต้องคิดเรื่องพรรณนี้ด้วยวะครับ
แม่งเอ๊ย! ไอ้โมเมนต์ที่เพลงเรื่องจริงของพี่ป๊อด โมเดิร์นด็อกผุดขึ้นมาในหัวแบบนี้มันคืออะไรวะครับ
ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ปกติผมเคยเป็นแบบนี้ซะที่ไหนเล่า ผมเป็นคนสมาธิดีมากเพราะฝึกเล่นดนตรีตั้งแต่จำความได้ เผลอๆผมจะท่องตัวโน้ตได้ก่อนท่องก.ไก่-ฮ.นกฮูกอีกมั้ง
สมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญมากกับนักดนตรี ยิ่งกับเปียโนที่มีคีย์เสียงเยอะมากๆยิ่งต้องทุ่มเทจิตวิญญาณลงไปให้มาก
เราควรเอาตัวออกห่างจากอะไรก็ตามที่ทำให้เราวอกแวก ผมทบทวนคติของตัวเองในใจก่อนเดินไปโบกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน ผมเปลี่ยนใจไม่กลับหอเพราะกลัวว่ากลับไปอยู่คนเดียวแล้วเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมาคงแย่
“อ้าว สวัสดีลูก น้องฟรานไม่บอกก่อนว่าจะกลับ ป้าไม่ได้เตรียมข้าวเย็นไว้ให้เลย ทานอะไรมารึยังคะ”ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าบ้านป้าแม่บ้านก็รีบเดินเข้ามาถาม บ้านผมไม่ใช่ตระกูลมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจพันล้านเป็นแค่ครอบครัวที่พอมีฐานะทั้งบ้านจึงมีแค่ป้าแกคอยดูแลแค่คนเดียว เหมาหมดตั้งแต่อาชีพคนสวนยันแม่ครัว
“ผมขอพาสต้าซอสเนื้อตอน3ทุ่มละกันครับ ผมอยากซ้อมต่ออีกสักหน่อย”ผมตอบป้าแกก่อนจะรีบขึ้นชั้นสองตรงไปยังห้องเปียโนที่อยู่ติดระเบียงหันหน้าไปทางสวนหน้าบ้าน
“เป็นเด็กดีล่ะ“ผมบอกลูกรักของตัวเองเสียงเบา
จรดปลายนิ้วลงบนคีย์อย่างตั้งใจเมื่อกำหนดเพลงที่จะเล่นเรียบร้อยผมก็เริ่มบรรเลง เพลงเพลงนี้มีจังหวะค่อนข้างเร็ว ตามทฤษฎีมันคือเพลงที่ให้ความรู้สึกสดใสร่าเริง อืม...ถ้าจะพูดถึงความสดใสล่ะก็มันคือนิยามตรงข้ามกับตัวผมโดยสิ้นเชิงเพราะฉะนั้นผมต้องเอาสิ่งรอบตัวมาใช้แทน
เอาไรดีล่ะ
ไอ้เซ็ตตอนดีใจที่ขอเบอร์เด็กสายวิทย์ได้?
ไอ้เต้อตอนเดินตกเวทีจนเพื่อนหัวเราะกันทั้งห้อง
ป้าแม่บ้านเวลาเมาท์เรื่องเจ้านายบ้านข้างๆให้ผมฟัง
มันไม่น่าเอามาใส่ในมโนภาพเลยสักนิด แทนที่จะมีฟีลลิ่งเพิ่มขึ้นจิตใจผมยิ่งห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ อา...ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ทำให้ผมหัวใจพองโตล่ะก็ เมื่อเย็นนี้ที่ร้านกาแฟ
รอยยิ้มของสีคราม
“ยังไม่มีแฟนสินะ...”คนถึงได้ตามจีบเยอะขนาดนั้น แต่ไม่มีแฟนก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนที่ชอบหรือคนที่คุยๆอยู่นี่นา ถ้าสีครามชอบใครขึ้นมารอยยิ้มของสีครามจะกลายเป็นอภิสิทธิ์ของคนคนนั้นสินะ ยิ่งคิดทำไมมันยิ่งรู้สึกแปลกๆในอก นี่ผมฟุ้งซ่านอะไรอยู่ สีครามจะมีแฟนก็เรื่องของสีครามไปสิไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลย! ที่สำคัญถ้าผมไปจีบสีครามตอนนี้ยังไงก็จีบไม่ติดหรอก ผมไม่ใช่หนุ่มนักกีฬานี่นา แถมการเล่นกีฬายังเป็นข้อห้ามของนักเปียโนที่มือสำคัญยิ่งกว่าชีวิต แค่นิ้วหักนิ้วเดียวก็แย่แล้ว
แต่ถ้าเล่นกีฬาที่ใช้แทนเท้าล่ะ? อย่างฟุตบอลหรืออะไรประมาณนี้
เอาไว้ซ้อมเปียโนเสร็จลองเตะบอลดูดีมั้ยนะ
หือ? ซ้อมเปียโน
ใช่ ผมกำลังซ้อมอยู่แต่พอนึกถึงเรื่องสีครามขึ้นมามันก็ออกอ่าวไปไกลโพ้น สมาธิกระเจิง สติแตกซ่านไปหมด ผลสรุปที่ได้คือหยุดมือที่กำลังดีดๆเพลงอยู่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“พัง!”ผมถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ
งานนี้โทษใครไม่ได้เลย ความผิดสีครามเต็มๆ
เพราะสีครามคนคนเดียวเลย
“ทะด้า! พาสต้ามาแล้วจ้า!”เสียงนี้คือเสียงของแม่ผมเอง ป้าแม่บ้านแกไม่มาท้าด่งท้าด่าอะไรแบบนี้หรอก ผมเงยหน้าตาอันเคร่งเครียดขึ้นไปสบตากับคุณแม่ที่เคารพ หล่อนรีบวางจานทันทีที่เห็นสีหน้าของผม”เป็นอะไรไปฟราน! มีปัญหาอะไรรึป่าวลูก!”
“เวลาสร้างอินเนอร์เนี่ยมันต้องทำยังไงเหรอ”แม่ผมเป็นอดีตดาราดัง เรื่องแบบนี้ผมสามารถปรึกษาเธอได้
“อืม...อินเนอร์งั้นเหรอ ก็แบบบ เวลาเล่นบทต้องร้องไห้เราต้องรีดเค้นความเศร้าออกมาจากตาตุ่ม จี๊ดดดถึงขั้วหัวใจแบบว่า ฮือๆ เจ็บปวดจังน้ำตาไหลเลย อะไรทำนองนี้น่ะลูกเข้าใจมั้ย”
“ไม่เลยสักนิด =_=”อย่าหาว่าผมหัวช้าเลยนะ ไอ้สิ่งที่แม่พูดตะกี้น่ะมันเรียกว่าคำอธิบายได้ด้วยรึ
“อะ เอ่อ งั้นไหนลองยิ้มให้แม่ดูซิ”
ผมไม่เข้าใจว่าแม่จะให้ยิ้มทำไมแต่ผมก็ทำตามด้วยการยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้น
“ทำหน้าโกรธ”
“-_-“อะ หน้าโกรธ
“หน้าเสียใจ”
“-_-“อะ หน้าเสียใจ
“หน้าตอนตกหลุมรัก”
“-_-“อะ ตกหลุมรัก
“ฟราน...”
“ครับ?”
“เมื่อกี้ลูกเปลี่ยนสีหน้าแล้วเหรอคะ? เมื่อกี้นี้เมื่อเรียกมันว่าสีหน้าเรียบเฉยลูก!!!”แม่ตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ก่อนแสดงสีหน้าหนักอกหนักใจสุดขีดออกมา”โดนคนว่าเรื่องถ่ายทอดอินเนอร์ไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย สมควรล่ะ แค่ถ่ายทอดความรู้สึกทางสีหน้าลูกแม่ยังทำไม่ได้เลยนับประสาอะไรให้ถ่ายทอดออกมาผ่านเพลง”
“...”ผมก้มหน้าเจื่อน ผมคิดว่าผมกำลังทำหน้าเจื่อนอยู่แต่แม่อาจจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าผมก็ได้
“ไม่ใช่ฟรานของแม่ไม่มีความรู้สึกหรือตายด้านอะไรหรอก ลูกแม่แค่สื่อมันออกมาไม่ได้ซึ่ง...แม่คิดว่าเรื่องดนตรีอาจจะไปไม่รอดแล้วจริงๆ”ท้ายประโยคแม่พูดเสียงแผ่ว
นี่ก็เป็นอีกประเด็นนึงที่ครอบครัวของผมกำลังโต้เถียงกันอย่างหนัก ตัวผมตอนนี้อยู่ม.6พอดี แม้จะเรียนด้านดนตรีมาโดยตรงแต่เรื่องภาษา ทั้งภาษาที่2และภาษาที่3ผมถูกจับเรียนจนถึงขั้นใช้สนทนาในชีวิตประจำวันได้ พวกท่านจึงเสนอให้ผมเบนเข็มไปเรียนสายอื่นที่มันใช้ประกอบอาชีพได้
“แม่สนับสนุนฟรานมาถึงขนาดนี้เพราะแม่คิดว่าลูกแม่จะได้เข้าวงของยุโรป แม่ไม่คิดว่าเราจะมาตายน้ำตื้น เอิ่ม แม่หมายถึงเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ฟรานทำได้ดีมาก แต่เรื่องง่ายๆสไหรับคนอื่นกลับเป็นเรื่องยากของฟราน...แม่คิดว่าถ้าฝืนเรียนต่อคณะดุริยางค์อนาคตของฟรานจะ...”
ผมไม่มีอะไรโต้แย้ง ช่วงนี้ที่กดดันเรื่องเปียโนมากขนาดนี้ก็เพราะสาเหตุนี้ด้วยแหละ
“ผมชอบดนตรี”ผมชอบมันจริงๆ ไม่ใช่เปียโน กีตาร์ ไวโอลิน หรือกระทั่งร้องเพลง อะไรก็ได้ผมชอบหมด
“แม่รู้แต่ว่ามันพูดยากนะคะ เล่นเป็นงานอดิเรกแทนได้มั้ยแล้วไปเรียนนิเทศ เรียนกำกับภาพยนตร์จบออกมาก็เข้าทำงานกับคุณพ่อ”
“ขอเวลาผมคิดอีกสักพักแล้วกันนะ”
“ได้สิ ยังไงแม่ก็บังคับให้เราเลือกหรือเลิกอะไรไม่ได้ แม่ทำได้แค่แนะนำให้เราใจเย็นๆและคิดดูให้ดี”
แม่ลูบหัวผมเบาๆก่อนเดินออกจากห้องไป ผมมองจานพาสต้าที่เย็นชืดหมดแล้วด้วยสายตาว่างเปล่า ค่อยๆตักเส้นกินจนหมดแม้มันจะไม่อร่อยเลย แต่การที่มันไม่อร่อยเลยแสดงว่าคนที่ทำมาให้คือแม่
“เห้อ...”ผมนั่งเอานิ้มชี้จิ้มๆๆๆคีย์เปียโนอย่างไร้จุดหมาย
“เพราะสีครามแท้ๆ”ปัญหาเรื่องถ่ายทอดอินเนอร์ก็ยากพอแล้วตอนนี้ผมกลับกลายเป็นคนไม่มีสมาธิไปซะอีก
เอาอีกแล้ว คิดถึงสีครามอีกแล้ว จากที่ทำหน้าเบื่อโลกรอยยิ้มเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้า ผมนี่นิสัยเสียจริงๆ ชอบโทษคนอื่นไปทั่ว ถ้าเจ้าตัวรู้เข้าจะทำหน้าแบบไหนนะ สีครามจะโกรธผมรึป่าว หรือจะหัวเราะแล้วหาว่าผมบ้า? นิ้วของผมเริ่มขยับอย่างมีจุดมุ่งหมายมากขึ้นจากที่เมื่อครู่จิ้มคีย์สะเปะสะปะ
มันเริ่มออกมาเป็นเมโลดี้สั้นๆ
ผมคิดแค่ว่าเสียงหัวเราะของสีครามที่ได้ยินเมื่อเย็นน่าจะแปลงออกมาเป็นทำนองได้ประมาณนี้
“ไม่เลวแฮะ”ผมเคยแต่งเพลงมาบ้างแต่ไม่เคยเอาไปอวดใครเลยเพราะคิดว่ามันไม่ดีพอ ผิดกับครั้งนี้ผมค่อนข้างมั่นใจในผลงานมากทีเดียว ถึงจะเป็นเมโลดีไม่ถึงหนึ่งนาทีแต่ผมก็รีบหยิบสมุดขึ้นมาจดด้วยใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
สนุก
คิดซะว่าหาอะไรทำระหว่างที่เปียโนเจอทางตันละกัน!
หลังจากคืนนั้นผมก็แบ่งเวลาว่างก่อนนอนให้กับการแต่งเพลง โดยไม่รู้ตัวเวลาก็ผ่านไปร่วมหนึ่งเดือน ในคืนวันหนึ่งพ่อกับแม่ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ทั้งสองคนมีสีหน้าจริงจัง ผมมองดูและรู้ทันทีว่าเวลาที่ผมเคยขอไว้ได้หมดลงแล้ว และที่น่าตกใจคือผมใช้เวลาเหล่าในไปกับการแต่งเพลงมากกว่าการพยามถ่ายทอดอินเนอร์ของมา...
“ฟราน ตกลงเรื่องเปียโนเป็นยังไงบ้าง”พ่อมานั่งตรงข้ามและถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผมได้หน้าตายด้านมาจากพ่อนี่แหละ
“เหมือนเดิมครับ”ผมบอกไปตามตรง
“แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่ล่ะหือ”พ่อเพยิดหน้าไปทางกองกระดาษที่ปลิวระเกะระกะเต็มพื้น
“แต่งเพลง แม่อย่าเผลอเหยียบนะ”ผมตอบโดยไม่คิดจะเก็บ
“แต่งเพลง?”ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันอย่างุนงงก่อนแม่จะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า”ไม่เคยเห็นเราแต่งเลย! ลองเล่นให้แม่ฟังหน่อยสิคะแม่อยากรู้ว่าเพลงที่ฟรานแต่งจจะเป็นยังไง คงไม่ใช่เพลงโมโนโทนหรอกนะ คิกๆๆ”
โห แบบนี้มันหยามกันชัดๆ
ผมขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เพราะโดนดูถูก เลือกเพลงแรกที่แต่งวันที่เจอสีครามออกมาเล่น ทันทีที่เมโลดี้เริ่มดังคลอออกมาจากเปียโนหลังใหญ่พ่อกับแม่ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยน
ผมไม่ได้หันไปมองหรอกเพราะกำลังใช้สมาธิอยู่ ยิ่งเป็นเพลงที่เกี่ยวกับสีครามผมยิ่งต้องตั้งสมาธิให้ดีเพราะถ้าเผลอแม้แต่นิดเดียวจอมอันตรายคนนี้จะยึดครองพื้นที่ในหัวของผมไปหมด
“เป็นไง”พอเล่นจนจบเพลงผมก็หันไปถามหาคอมเมนต์
แม่กำลังจะปรบมือแต่พอดันยกมือห้ามพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า”ทำหน้ายังกับปลาตาย”
รู้แล้วว่าเรื่องอินเนอร์น่ะไม่รอด แต่นี่ถามถึงเพลงที่แต่งว่ามันเพราะมั้ย
“แต่จังหวะดนตรีกลับสดใสซะจนไม่อยากจะเชื่อว่าแกเป็นคนแต่ง ได้ไงวะ เอ็งมีอารมณ์แบบนี้กะเขาด้วยเรอะ!”
“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าลูกเราเป็นพวกตายด้าน เจ้าตัวแค่แสดงความรู้สึกไม่เก่งเฉยๆ แต่ถ้ารีดเค้นอินเนอร์ออกมาแล้วจดใส่กระดาษ ส่งต่อให้คนอื่นเล่นอีกทีคุณคิดว่าเวิร์คมั้ยคะ”แม่ถาม
คำพูดของแม่ทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างแปลงใจ
“เวิร์คไม่เวิร์คผลงานมันก็มีให้เห็นแล้วนี่ไง ว่าแต่เราเหอะ ชอบมั้ยไอ้การแต่งเพลงอะไรเนี่ย”
“ชอบ”ไม่ชอบได้ไง มันคือดนครีรูปแบบหนึ่ง ที่สำคัญต้องอาศัยการเล่นเปียโนไปด้วยเวลาแต่งเพราะเปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่มีช่วงเสียงที่ละเอียดอ่อนมากที่สุดเครื่องหนึ่ง
นักแต่งเพลงเขาเล่นเปียโนเป็นก่อนเริ่มแต่งเพลงกันทั้งนั้น
“ชอบก็ทำต่อไป! ทำออกมาให้ดีด้วยล่ะ พ่อไม่กวนแล้ว”
“แล้วตกลง...เรื่องเรียนต่อล่ะ”ผมรีบรั้งทั้งสองคนเอาไว้ก่อนจะทิ้งคำพูดเป็นปริศนาจบและพากันออกไป
“ตามวิจารณญาณของแก แกคิดว่าไงล่ะ”พ่อเลิกคิ้วเชิงถาม
“ผมคิดว่าผมเหมาะกับการเขียนเพลงอยู่เบื้องหลังมากกว่าขึ้นโชว์บนเวที ที่สำคัญแต่งเพลงมันต้องใช้เปียโนเท่ากับว่าผมไม่ต้องทิ้งเครื่องดนตรีชิ้นนี้ไป เพียงแค่ใช้งานมันในรูปแบบอื่น”
“เห็นมั้ย ฉันบอกแล้วว่าลูกเราฉลาด ไม่รอให้เราช่วยหรือแนะนำอะไรก็หาทางให้ตัวเองได้แล้ว!”ผมหัวเราะชอบใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดโม้ไม่หยุดจนพ่อส่ายหน้าเอือมๆและเดินหนีออกจากห้องไป
เมื่อภายในห้องซ้อมเหลือผมเพียงแค่คนเดียวรอยยิ้มเล็กๆก็ผุดขึ้นบริเวณมุมปากอย่างช่วยไม่ได้
ดนตรีที่รักยังไม่ถูกพรากไปจากชีวิตของผม เปียโนที่ถนัดเองก็ยังคงถูกใช้งาน อนาคตผมก็ไม่ต้องอยู่อย่างไส้แห้ง
ชีวิตดีๆแบบนี้เริ่มต้นขึ้นได้เพราะสีครามแท้ๆ
ใช่...เพราะสีครามคนเดียวเลย
------------------------------------
ถ้าไม่มี part ของฟราน โลกจะไม่มีทางรู้เลยว่าฮีทั้งรักทั้งหลงสีครามขนาดไหน ด้วยความที่ฮีเป็นผู้ชายหน้าเดียวทุกอารมณ์ 55555
ปล. ฝากนิยายใหม่ด้วยนะคะ /ย่อไหว้/https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67054.msg3823685#msg3823685