ตอนที่12ผมนั่งอยู่ท่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย สิ่งที่แสดงออกมากับสิ่งที่อยู่ในใจแตกต่างกับลิบลับ หัวใจตอนนี้เหมือนกำลังจะระเบิดกระทั่งผมอดกลั้นตีหน้าเฉยเมยต่อไปไม่ไหวต้องยกมือขึ้นมากุมอกซ้าย พยามสูมลมหายใจลึกๆโดยไม่ให้เจ้าของไหล่ได้ยิน
ยุบหนอ พองหนอ...
ถามผู้รู้ครับ จะสกินชิพคนที่แอบชอบยังไงโดยใจไม่เต้นแรงดีครับ
คืนนี้สงสัยต้องกลับไปตั้งพันติ๊ปถามแล้วล่ะ
ผมคิดกับตัวเองเล่นๆในใจ กระทั่งวงของน้องแนนปากแดงแสดงจบเวียนให้วงต่อไปขึ้นมาเล่นแทน นักร้องนำวงนี้คือน้องผู้ชายผมยาวคนนั้น ทุกคนในวงมาด้วยธีมชุดดำ ระหว่างรอนักดนตรีเซ็ตเสียงน้องผมยาวก็เดินมาคว้าไมค์และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนซึ้งว่า
[ทุกคนเคยมีใครสักคนที่อยู่ใกล้แล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจมั้ยครับ]น้องมันเว้นจังหวะว่างให้ผู้ชมตะโกนตอบแข่งขันหนึ่งอึดใจ[แล้วมีใคร...เคยสูญเสียคนพิเศษแบบนั้นไปมั้ย คนที่ทิ้งเราไว้ตัวคนเดียว ทิ้งกับเราไว้กับความทรงจำและ...
กาลครั้งหนึ่ง]
เกริ่นเสร็จดนตรีก็เริ่มบรรเลงตามจังหวะ เสียงทำนองเอื่อยที่คุ้นหู
แค่อินโทรขึ้นผมก็รู้ทันทีว่าเพลงอะไร เพราะว่าผม...
เกลียดเพลงนี้ทุกๆประโยคของเพลงเพลงนี้กล่าวถึงคนรักที่ไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว วัยรุ่นหลายคนที่อินกับเพลงนี้อาจจะจินตนาการถึงแฟนเก่าที่เลิกรากันไป อาจมีบางคนที่คิดถึงพ่อแม่ที่เสียไป ส่วนผมนั้น...ทุกๆครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ผมจะคิดถึงพี่
ตอนที่พี่ฟ้าเสียใหม่ๆ เจอใครที่ไหนเปิดเพลงนี้ผมจะเดินหนีทันที หรือดีเจวิทยุเป็นคนเปิดผมจะรีบกดเปลี่ยนช่อง แต่วันนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าผมลุกหนีออกไปผมจะไม่ได้นั่งพิงไหล่ฟรานแบบนี้ ความสุขเล็กๆของผมจะต้องหายไป...
กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ๆ
เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน
ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไปไหน
ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ
หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน
หัวใจมัน....สงบลงแล้ว
เมื่อกี้มันยังเต้นแรงๆเพราะความเขินอยู่ดีๆตอนนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีกระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดราวกับมันด้านชาไปหมด มือที่กุมหน้าอกเพื่อลดความตื่นเต้นในทีแรกแปรเปลี่ยนเป็นคลำหาตำแหน่งของหัวใจ
พักหลังๆความว่างเปล่าแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก บ่อยจนผมเริ่มกลัวว่าในอกจะไม่มีอะไรอยู่จริง
“สีครามไหวมั้ย”รู้ตัวอีกทีคนที่ผมยืมไหล่อยู่ก็ผละตัวออก เขาเอื้อมมือมาแตะหลังผมและถามไถ่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ผมส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ ประจวบเหมาะกับน้องผมยาวร้องจบเพลงพอดี
[เป็นไงบ้างครับเพลงแรกของพวกเรา อาจจะซึ้งเกินไปเพราะงั้นมาเริ่มเพลงต่อไปกันเลยเถอะ! สำหรับคนที่ยังลังเลอยู่ ลองฟังเพลงนี้แล้วตอบตัวเองดูว่าแท้จริงแล้ว...หัวใจของเราเป็นของใคร!]
“หัวใจ...อยู่ตรงไหนเหรอ”ผมไม่ฟังที่น้องผมยาวพล่ามต่อจนจบ แต่เกิดคำถามขึ้นมาแทน ทีแรกผมคิดว่าฟรานจะงงในความแปรปรวนของผมแต่เขากลับถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“อยากได้คำตอบแบบหมอหรือแบบนักดนตรีล่ะครับ”
“เอาคำตอบแบบฟราน...”
“อ่า...สำหรับผม...”
“...”
“
หัวใจอยู่ข้างๆความรักครับ”ฟรานไม่ได้ขยายความต่อแต่ผมก็เข้าใจสิ่งที่เจ้าตัวกำลังสื่อ
ถ้าเรารักใครสักคนเราจะมอบหัวใจให้เขาไปด้วย
“แล้วถ้าคนที่เรารักไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้วล่ะ หัวใจของเราจะไปอยู่ที่ไหน”ผมถามต่อ คำถามเชิงปรัชญาด้านความรักแบบนี้ผมเฝ้าถามตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งและรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากที่ฟรานไม่แซวผมว่าบ้าแถมยังตอบคามกลับมาอย่างจริงจัง
“หัวใจก็กลับมาอยู่ที่ตัวเราไง”
“โกหก รอตั้งนานไม่เห็นกลับมาเลย”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากมีแฟน ไม่ใช่ว่ารังเกียจพี่ตฤณหรือพี่พอร์ช แต่ที่ผมไม่เคยสนใจใครเลยเพราะพวกเขาไม่เคยทำให้ผมใจเต้นแรง มันด้านชาเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีพี่ฟ้าอาจจะเอาหัวใจของผมไปด้วย
“หัวใจมันสงบจนคิดว่าอกซ้ายไม่มีอะไรอยู่แล้วซะอีก... ไม่ชอบแบบนี้เลย มันน่ากลัว”
“สีคราม...”
“อ๊ะ มันอาจจะกลับมาเต้นแรงอีกครั้งก็ได้นะถ้าให้พี่พิงไหล่”ผมไม่อยากดึงเข้าดราม่า ในเมื่อเพลงที่ผมเกลียดก็เล่นจบไปแล้วผมก็ไม่ควรจมอยู่กับความทุกข์นานเดี๋ยวฟรานจะรำคาญเอา
ผมส่งยิ้มหวานให้คนข้างๆแทนการอ้อนขอพิงไหล่
ร่างสูงเงียบไปจนผมเผลอคิดไปว่าเจ้าตัวไม่อยากให้ผมสกินชิพอีก ที่ไหนได้...
มือแกร่งค่อยๆเลื่อนมาโอบไหล่ของผม ผมค่อนข้างตกใจเลยหันขวับไปมองหน้าฟรานตามสัญชาติญาณแต่เจ้าตัวดันเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทำให้ผมไม่รู้ว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน เต็มใจมั้ยที่ต้องโอบไหล่ผมแบบนี้หรือแค่ปลอบกันตามมารยาท
“ฟราน...”ผมเม้มริมฝีปากแน่น แม้ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีนี้มันได้ผล
เผลอๆจะได้ผลดีกว่าตอนซบไหล่เมื่อกี้นี้อีก ก็นะ หัวใจเล่นเต้นซะแรงเบอร์นี้ รู้สึกหน้าร้อนไปหมดละเนี่ย
“เมื่อยเมื่อไหร่ก็บอกนะ”ผมพูดเสียอ้อมแอ้มพลางเอนหัวไปพิงบ่ากว้าง เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นคนได้คืบจะเอาศอก เขาโอบไหล่ยังไม่อิ่มใจขอของแถมเป็นการอิงแอบแนบชิดอีกสักหน่อย
เมื่อเห็นฟรานไม่ได้ทักท้วงอะไรผมก็นั่งยิ้มแก้มแทบแตกอยู่แบบนั้นจนจบงาน เป็นการนั่งซบไหล่ที่มาราทอนจนสงสารคนถูกพิง ผมกะจะดึงตัวเองออกมาหลายรอบแต่ด้านมืดในใจมันร้องแต่ขออีกหน่อย ขออีกหน่อย ขออีกหน่อยจนงานเลิก
ทันทีที่วงสุดท้ายบรรเลงจบก็เกิดเสียงอื้ออึงดังมาจากรอบๆ พอจับใจความได้ว่า”แล้วฟรานล่ะ!!”
“พวกเขาไม่รู้ว่าฟรานไม่ได้เรียนสาขานี้มั้ง...”ผมส่งยิ้มแห้งไปให้ร่างสูงที่ทำหน้างงอยู่ด้านข้าง
“อ้อ งั้นรอผมตรงนี้เดี๋ยวนะ”สถานการณ์มันเริ่มวุ่นวายเมื่อสาวๆหลายคนตะโกนเรียกฟรานไม่หยุด เจ้าตัวโดนเพื่อนตามขึ้นไปบนเวที มีการเตรียมบทกันสองถึงสามนาทีแต่พอฟรานขึ้นไปยืนบนนั้นทุกคนก็สงบลงแล้ว
[ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด วันนั้นผมโปรโมทงานให้เพื่อนแต่ผมไม่ได้เรียนสาขานี้...]
“รู้แล้ว!!”
“พวกเรารู้แล้วว่าฟรานอยู่สาขาประพันธ์เพลง!!”
“ใช่ๆ พวกเราเข้าใจ พวกเราไม่โกรธหรอก”
คราวนี้กลายเป็นเด็กดุริยางค์ทั้งหลายทำหน้างง หันไปมองกันเลิ่กลั่กเพราะสงสัยว่าเมื่อกี้พวกพี่จะตะโกนชื่อไอ้ฟรานไปทำไมถ้ารู้แต่แรกว่าวันนี้มันไม่ได้เล่น
“ฟราเล่นแถมให้พวกเราสักเพลงไม่ได้เหรอ”
“อยากดูฟรานร้องสักเพลงนึงน้า!!”
[อ้อ คงไม่ได้ครับ]
นี่ก็ตอบตรงเกิ๊น ผมแทบจะเดินหนีออกจากทำเป็นไม่รู้จักอิเด็กบนเวทีนี่ หักหาญน้ำใจสาวน้อยแบบนี้ระวังโดนปาขวดใส่เอานะ
“ฟรานนนนอ่า ร้องเถอะน้า! ท่อนเดียวก็ยังดี!”
[เอาไว้วันหน้าดีกว่าครับ นี่มันไม่ใช่งานของผม แค่นี้ก็รบกวนเวทีมากพอแล้ว]โนสนโนแคร์โนแยแสเป็นอย่างไรให้มาดูหน้าฟรานตอนนี้ครับ เจ้าตัวยังคงใบหน้านิ่งสงบแม้จะคืนไมค์ให้เพื่อนท่ามกลางเสียงกระเง้ากระงอดของผู้ชมก่อนจะเดินกลับมาหาผมที่ที่นั่ง เจ้าตัวพูดสั้นๆว่า”ตามมาสิ”ก่อนเดินนำออกไป
ผมคิดว่าเจ้าตัวก็คงกลัวโดนปาขวดใส่อยู่เหมือนกันถึงได้รีบเดินจ้ำออกจากงานแบบนี้
ผมรีบเก็บของและวิ่งตามฟรานไป ผมเห็นเขาเข็นมอ’ไซค์ออกมาก็เลยเข้าใจว่าถึงเวลาจากกันซะแล้ว
“สีครามกลับคอนโดเลยรึป่าว”
“อืม...”
“ผมไปส่งนะ”
“หะ เอ้อ รบกวนรึป่าว”
“ไม่เลย ขึ้นมาเถอะ”ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยื่นหมวกกันน็อคมาให้ผมพร้อมสตาร์ทเครื่อง”วันนี้ผมกินข้าวเย็นด้วยไม่ได้เพราะต้องกลับมาช่วยเพื่อนเก็บของน่ะ เสร็จแล้วพวกมันชวนไปกินร้านพี่เชนต่อ”
“งั้นฟรานอยู่ช่วยเพื่อนไปเถอะ พี่กลับเองได้เกรงใจเราด้วย”
“เกรงใจทำไม ผมอยากไปส่ง”
“จริงเหรอ!”ความจริงพี่ก็อยากให้น้องไปส่งเหมือนกันจ้า! ผมควรเลิกเล่นตัวและโดดไปซ้อนท้ายได้แล้วใช่ปะ
“วันหลังจะพาไปนะ”
“หือ ไปไหนเหรอ”ผมขยับตัวนั่งซ้อนท้ายและเกาะเอวพ่อสารถีกิติมาศักดิ์เหมือนครั้งก่อน ตั้งใจว่าจะเกาะเอวแบบนี้ทุกวันให้เกิดความเคยชิน ไว้สนิทกันกว่านี้เมื่อไหร่จะเปลี่ยนมากอดเอวแทน
“ร้านพี่เชนไง อยู่หลังมอนี่เอง เห็นเขาว่าสวยมาก”
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“เร็วๆนี้...”
“ฮะๆ แล้วไอ้เร็วๆนี้น่ะมันวันไหนล่ะ พี่คิวยาวนะถ้าอยากนัดไปทานข้าวต้องจองตัวล่วงหน้า!”
“หลังสอบกลางภาคเรียกว่าเร็วๆนี้รึป่าว...”
“ช้าไป!”อีกตั้งสองอาทิตย์กว่าจะสอบกลางภาค
“ไหนบอกว่าต้องจองตัวล่วงหน้านาน...”ได้ยินเสียงคนขับพึมพำแว่วๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึป่าวแต่วันนี้ฟรานขี่ช้ากว่าคราวที่แล้ว แบบนี้ก็ดีเสียงลมจะได้ไม่กลบเสียงคุยแถมยังอยู่ด้วยกันได้นานขึ้นอีก
“วันพุธหน้าพี่เลิกเที่ยง”
“ผมก็...น่าจะว่าง”
“งั้นนัดไว้ที่มื้อกลางวันวันพุธนะ!”ผมต้องเลือกวันที่เรียนคนละตัวกับไอ้เต้ยครับเพราะผมไม่อยากทอดทิ้งมันกลัวสังคมครหาว่าติดผู้ชายจนลืมเพื่อน
“ผมไปรับที่คณะนะ เลิกแล้วพี่โทรหาผม”
“ได้ เอ๊ะ แต่พี่ไม่มีเบอร์ฟราน”
“เดี๋ยวคืนนี้ผมยิ่งไป”
“พี่เผลอกดรับได้ปะ”
“ฮะๆๆ ก็ดีสิ”
ก็ว่าเสียงลมมันไม่ดังละนะ ผมยังได้ยินผิดจากคำว่าก็ได้สิเป็นคำว่าก็ดีสิอีกเหรอ
----------------------------
หายไปนานเลย #ย่อไหว้
สีครามกับการอ่อยแบบเด๋อๆกลับมาแล้วจ้าาาา กลับมาพร้อมกับปรัชญาเสี่ยวๆของเด็กดุริยางค์ 5555