ตอนที่6
หลังจากเมื่อวานและเมื่อวานก่อนเจอมรสุมยัยเบลล์ผีร้ายที่โรงอาหาร วันนี้ผมก็เกิดอาการหวาดระแวงขึ้นมา พยามเลือกที่นั่งที่ไกลจากเบลล์มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพจิต ไอ้เต้ยเดินหน้าเป็นตูดกลับมาหลังจากไปซื้อข้าวกลางวันและสาเหตุที่ทำให้มันหน้าเป็นตูดก็มีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ
“พี่พอร์ชฝากเด็กปี1เอาเค้กมาให้มึง”กล่องเค้กที่ซื้อมาจากร้านเบเกอรี่ดังถูกวางลงตรงหน้าผม ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนผลักมันคืนให้เพื่อนรักมันก็รับไปแกะแดกอย่างรู้งาน
“แล้วก็ขนมนมเนยจากผู้คนอื่นๆ”เต้ยกินเค้กก่อนกินข้าว มันยัดเข้าไปเต็มปากเลยพูดเสียงไม่ได้ศัพท์ มือหนึ่งชูถุงขนมที่ภายในบรรจุขนมเอาไว้หลากหลาย”มึงน่าจะทำกล่องใส่ของ อารมณ์คล้ายๆกล่องรับปริจาคอะไรเทือกๆนี้ไปเลยให้จบๆเรื่องจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกู”
“มึงบ่นทุกทีแต่ก็เอากลับไปกินทุกที”ผมพูดพลางคุ้ยถุงขนมเพื่อดูของข้างในตามมารยาท
“แรกๆมันไม่เยอะแบบนี้ปะมึง ถ้ากูต้องกินหมดนี่ทุกวันตัวไม่แตกตายเอาเหรอ”มึงยังไม่หยุดปากเคี้ยวเค้กกู มึงไม่มีสิทธิ์มาบ่น!!
“หื้อ...”ผมที่เขี่ยถุงขนมดูของข้างในเล่นๆสะดุดตาเข้ากับของบางสิ่ง มันคือชาเขียวขวดหนึ่งกับกระดาษแผ่นน้อยที่มีคำว่า’ตกลงหายโกรธผมรึยัง’พิมพ์อยู่
“อะไรน่ะ ไทยแลนด์4.0เหรอทำไมถึงไม่ใช้ลายมือเขียนหรืออยากเด่นเอ๊ะ แต่ข้อความมันแปลกๆปะแกรู้จักเจ้าของอิขวดนี่เหรอ”เพื่อนรักรัวคำถามมาเป็นชุดพร้อมดึงกระดาษดังกล่าวไปดู
มันเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจอีกเลยยื่นคืนมา ผมเก็บขวดชาเขียวใส่ถุงไว้เหมือนเดิม ส่วนกระดาษแผ่นน้อยผมก็อาศัยจังหวะที่ไอ้เต้ยเผลอแอบพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกง จะเก็บไว้ทำไมไม่รู้แต่ขอเก็บไว้ก่อนละกัน
รุ่งเช้าวันถัดมามีเด็กผู้หญิงปี1คณะผมคนหนึ่งรีบตรงปรี่เข้ามาหาผมทันทีที่ผมเหยียบก้าวแรกเข้าสู่ตึกคณะ”พี่ครามสวัสดีค่ะ”เจ้าตัวกล่าวพลางยื่นชาเขียวขวดหนึ่งมาให้
“เอ่อ...”ผมเกิดอาการอ้ำอึง เกิดมาไม่เคยมีเด็กผู้หญิงทำอะไรแบบนี้ให้เลยรู้สึกเขินหน่อย
“ขอบคุณครับแต่พี่...”ชอบผู้ชายครับผมละคำหลังไว้เพียงในใจ ไม่อยากทำร้ายจิตใจสาวน้อยแต่ก้ไม่อยากให้ความหวังด้วย ผมจะทำยังไงดีล่ะ!!
“ไม่ต้องขอบคุณหนูหรอกค่ะ หนูไม่ได้เป็นคนซื้อเนี่ยมีคนฝากหนูมาอีกที”
แอบหน้าแตกเล็กๆแฮะ ผมสำลักน้ำลายตัวเองนิดหน่อยก่อนดึงสติกลับมาได้ทัน”ถ้าไม่ใช่ของน้องพี่ไม่รับดีกว่า พี่มีนโยบายไม่รับของจากคนไม่รู้จัก”ด้วยเหตุนี้ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกฝากของมาให้ผมผ่านไอ้เต้ยมันไง รายนี้ใครให้อะไรมาก็รับหมดขอแช่งให้แม่งโดนยาถ่ายเข้าสักวัน
“พี่ครามรับไปเถอะนะคะ ไม่รับคนให้จะเสียใจนะ”
“...”ผมเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงสาวน้อยตรงหน้าเห็นผมเริ่มลังเลจึงกล่าวเสริมเสียงใสว่า
“คนให้หล่อมากเลยนะคะ พี่รับไว้เถอะนะคะเขาหล่อมากกกกก หล่อมากจริงๆ ตัวสูงๆ หน้าคมๆคิ้วเข้มๆ หล่อสมฐานะคู่ควรกับพี่สีครามยิ่งกว่าพี่ตฤณคณะบริหารอีกค่ะ!”น้องได้ค่าโปรโมทมาเท่าไหร่ ตอบ!!
ในที่สุดผมก็รับเครื่องดื่มขวดดังกล่าวมา
น้องคงเข้าใจว่าผมยอมรับเพราะเจ้าของขวดน้ำหล่อ แต่เปล่าเลยผมรับเพราะผมรู้แล้วว่าเจ้าของขวดน้ำเป็นใคร
หล่อกว่าพี่ตฤณในมหาลัยนี้มีไม่กี่คนหรอก...
นั่นปะไร ข้างขวดมีกระดาษแผ่นน้อยแนบมาพร้อมตัวอักษรหมึกพิมพ์สั้นๆว่า’ชอบชาเขียวมากกว่าน้ำมะเขือเทศรึป่าว’
หนึ่งวันผ่านไป สองวัน สองวัน กลายเป็นหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ชาเขียวกับกระดาษแผ่นน้อยที่มีข้อความง้องอนสั้นๆพิมพ์ไว้ก็ถูกส่งมาเรื่อยๆ ส่งมาจนกระทั่งไอ้เต้ยสงสัยจนแทบลงแดงว่าผมไปทำโกรธอะไรใครไว้”มึง! กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไปทำอะไรให้คุณกรีนทีเขารู้สึกผิด แต่มึงดีกับเขาเหอะ กูแดกชาเขียวทุกวันจนท้องเริ่มผูกแล้วเนี่ย!”
“กูไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องคืนดี”
“มึงรู้เหรอว่าเจ้าของชาเขียวนี่คือใคร”
“รู้”
“กูขอทายได้ปะ”
“ชาติหน้าตอนบ่ายๆมึงคงทายถูก”
“เอ๊า ดูถูกกู คิดว่ากูคือใครคะ?”
“มึงคือเต้ย โอ๊ยย กูตอบผิดตรงไหนทำไมต้องมาทำร้ายกันด้วยเล่า!”ผมยกมือกุมหน้าผากที่ถูกเพื่อนเขกมะเหงกใส่ป้อยๆ
“กูคือเต้ยกูรู ในสามลี้สี่ทิศรอบตัวกูไม่มีเรื่องไหนที่กูไม่รู้!”เพื่อนรักของผมกอดอกแน่น รอยยิ้มมั่นใจฉายชัดบนใบหน้าผมจึงยอมนั่งเฉยๆปล่อยให้มันอ่านใจตามสะดวก มันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบว่า”คุณกรีนทีของมึง ตัวจริงคือ!!...พี่ตฤณถูกปะ”
มึงใช้สมองคิดก่อนเดารึยัง หรือโยนยางลบเอาเหมือนตอนมั่วข้อสอบสมัยเด็กๆ
“อะๆ อึ้ง เป็นไง กูทายถูกชิ๊มะ”
ไม่ได้ใกล้เลยเว้ยยยย
“เอาที่มึงสบายใจ”ผมตอบเสียงหน่ายในขณะที่เพื่อนรักยังคงภูมิอกภูมิใจกับความแม่นของตัวเอง
“ที่จริงพี่ตฤณก็ดีนะ ถ้าไม่ติดว่าพี่เขาเป็นแฟนเก่าอิเบลล์คุณสมบัติอื่นๆก็ผ่านเกณฑ์หมด มึงน่าจะให้โอกาสพี่เขาบ้างอะไรบ้าง”ผมไม่สนใจมันบ่น กินข้าวกินปลาของตัวเองไปรอจังหวะที่มันเผลอแอบจิ๊กกระดาษแผ่นน้อยมาเก็บไว้กับตัวเหมือนเคย
ไม่รู้ว่าทำไมต้องเก็บแต่ขอเก็บไว้ก่อนละกัน
ผมถือคอนเซ็ปต์นี้มาตลอดจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น
ช่วงพักกลางวันเต้ยเป็นคนรวบรวมของจีบมาให้ผมเหมือนเคย คราวนี้มันมีเป้าหมายแรกเป็นขวดชาเขียวเพราะมันเชียร์ให้ผมได้กับพี่ตฤณจะได้หักหน้ายัยเบลล์แรงๆ
“อ้าว!? เอ๋ ยังไงล่ะเนี่ยกูชักงงละนะ”เต้ยยื่นกระดาษมาให้ผมด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
“ก็ พรุ่งนี้มีแข่งบอล มาดูได้มั้ย ไงมึง”ผมอ่านข้อความในกระดาษด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่เห็นมีอะไรน่าตกใจเลย
อ้อมีจุดที่สะกิดใจนิดนึงคือข้อความดังกล่าวรูปประโยคมันคล้ายกับตอนที่ฟรานชวนผมไปดูแข่งบาสไม่มีผิด
“ตกลงไม่ใช่พี่ตฤณเหรอวะ”
“เออ ไม่ใช่”
“เอ้าอิห่าหลอกให้กูเข้าใจผิดเป็นวัน แล้วตกลงเอาไงเนี่ยจะไปดูปะ เอ๊ะ ช้าก่อน แข่งบอลเหรอ? แข่งบอล...แข่งบอล...พรุ่งนี้กูจำได้ว่าเป็นวันสุดท้ายของเฟรชชี่เกมและการแข่งที่เหลือก็มีแค่ฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศ!!”เต้ยตาโตในทันทีที่ลำดับความคิดได้”แปลว่าคุณกรีนทีของแกอยู่ปี1เหรอ กรี๊ดดด แดกเด็กเหรอมึ๊งงง”
“นัดชิงเหรอ คณะอะไรกับคณะอะไรล่ะ”ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปลี่ยนเรื่อง
ไอ้เต้ยก็แสนหลอกง่าย”แป๊ปนะ กูเช็คเฟสแป๊ป เออ...อ้อ เห็นว่าเป็นวิทย์กีฬากับดุริยางค์ กีสสส มึงงง ไปๆกูไปดูด้วย งานนี้สนุกแน่ หนุ่มนักกีฬาปะทะหนุ่มนักดนตรีงั้นเหรอ แต่ที่สำคัญดุริยางค์เข้ามาถึงรอบนี้ก็แปลว่าผ่านด่านวิศวะกับสถาปัตถ์มาได้น่ะสิ เชี่ยยย พลิกตำนานสัส! กรี๊ดดดดดดดด”
อย่างที่เต้ยมันเคยบอกล่ะครับ ปกติคณะดุริยางคศิลป์ไม่เคยส่งตัวแทนมาร่วมเฟรชชี่เกมเลย ปีนี้เป็นปีแรกและปีแรกนี้กลับได้เข้าชิงถ้วยที่สำคัญที่สุดอย่างฟุตบอล
“งานนี้กูว่าสนามแตกชัวร์”ผมกล่าว
“แล้วมึงจะไปดูปะ”
“ไม่อะ”
“อ๊าววว ทำไมล่ะคะอิฟลาวเวอร์ เขาอุตส่าห์ส่งมาชวน ไปดูพร้อมกูพอเขาลงสนามมึงก็ชี้ให้กูดูว่าคนไหนกูจะได้ช่วยดูให้ว่าเขาคู่ควรสมฐานะมึงมั้ย”เต้ยตบโต๊ะฉาดใหญ่
“กูไม่ได้คิดจะลงเอยกับเขา การไปเชียร์เขาแบบนี้มันไม่เท่ากับหลอกให้ความหวังเปล่าๆเหรอวะ...”ผมเถียงเสียงอ่อน รู้สึกกระดากใจมากเพราะผมพูดเหมือนฟรานกำลังจีบผมอยู่ทั้งๆที่ไม่ใช่เลย
น้องก็แค่อยากขอโทษผมเฉยๆ ผมต่างหากที่ไปชอบฟรานก่อน จนถึงตอนนี้...ก็ไม่รู้ว่ายังชอบอยู่มั้ย
ผมครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่ค่อนวันสุดท้ายหลังเลิกคลาสผมก็ไปหานิทานที่คณะบัญชี เจ้าตัวพร้อมอ้าแขนต้อนรับผมเสมอแค่ผมโทรหาก็เดินลงมาที่ชั้นล่างทั้งๆที่ตัวเองติดประชุมค่ายกับเพื่อนอยู่
“นิทานจ๋า...”
“ว่าไงเรา มีเรื่องอะไรล่ะดูทำหน้าเข้าสิ”
“ถามไรหน่อยดิ แป๊ปเดียวรบกวนเวลานิทานไม่นานหรอก”
“งั้นก็รีบๆว่ามาสิ”ขอโทษที่อ้ำอึ้ง! ฮึ่ยยย
“คืออออ เราไปชอบคนคนนึงเข้า แต่เขาทำให้เราโกรธเราเลยเลิกชอบเขาแต่ว่า...เขาง้อเราทุกวันจนเราเริ่มใจอ่อน เราก็ยังไม่หายเสียใจกับสิ่งที่เขาทำแต่พรุ่งนี้เขาชวนเราไปดูเขาเตะบอล...”ผมยืนบิดไปบิดมาในขณะพูด ก็ยิ่งพูดนิทานยิ่งยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆเหมือนกำลังจะล้อผมยังไงยังงั้น!
“คิดไรมาก ไปดูน้องมันแข่งสิ”
“ยังไม่ทันบอกเลยว่าใครรู้ได้ไงว่าเด็กกว่าเรา!”
“อ้าว ไม่ใช่คุณคนโปรดที่เจอในห้องสมุดวันนั้นเหรอ”
“อดีตคนโปรด!”
“ยังโปรดปรานเขาอยู่เห็นๆ เล่นตัวมากระวังชวดของดีไม่รู้นะ”
จี๊ดเลย นิทานพูดจบก็ขอตัวขึ้นไปประชุมค่ายกับเพื่อนต่อทิ้งผมไว้กับความเฟ้งฟว้าง
สิ่งที่ผมทำคือการเล่นตัวงั้นหรือ...และถ้าผมทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆผมจะชวดงั้นหรือ
ไม่ได้การ ไม่ได้การแล้ว!
-------------------------------
จากตอนแรกแอบย่องเอาน้ำแปะโพสต์อิทไปอ่อยเขา สู่วันนี้เขาเอาน้ำแนบกระดาษง้อมาให้ทุกวันๆ