ตอนที่2
“ใต้ตาหมองคล้ำเชียวมึง เอาคอนซีลเลอร์มั้ยมีให้ยืมนะ”ผมมองอ่อนไปยังกระเป๋าเครื่องสำอางของเพื่อนรัก ไอ้นี่นับวันกระเป๋าเครื่องสำอางค์ใกล้จะใหญ่กว่ากระเป๋าเรียน
“ไม่เอา”คือมันคิดยังไงถึงชวนผมใช้เครื่องสำอางวะครับ เห็นแบบนี้แต่เกิดมาผมเคยแต่งหน้าแค่ตอนประกวดเต้นแอโรบิคสมัยอนุบาลโน่น
“จ้า แม่สวยธรรมชาติ ต่อให้ตาเป็นหมีแพนด้าแค่ไหนผู้ชายก็ไม่เลิกรุมตอม!”
แค่ไม่เอาคอนซีลเลอร์ทำไมถึงต้องจิกกัดกันด้วยเล่า! นี่เพื่อนไงจำไม่ได้เหรอ
บทสนทนาของพวกเราสิ้นสุดลงเพราะอาจารย์ประจำวิชาเริ่มสอน วันนี้ผมมีเรียนคาบเดียวตอนบ่ายสามอันที่จริงวันนี้ผมควรจะว่างทั้งวันแต่อาจารย์ดันย้ายวันเรียนหลังจากผมลงทะเบียนไปแล้ว เจ็บใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แทนที่จะเอาเวลาไปตามหาฟรานผมกลับต้องมานั่งเลคเชอร์ เอ๊ะ ถูกแล้วเหรอ? มีรักในวัยเรียนเหมือนจุดเทียนกลางสายฝนเหรอ หึ! คนคิดประโยคนี้ป่านนี้คงยังอยู่บนคานล่ะสิ!
น้อยครั้งมากนะที่ผมจะเจอคนที่ถูกใจ นอกจากนิทานที่เป็นเมียชาวบ้านก็มีน้องฟรานคนนี้ ผมคิดว่าผมควรขวนขวายสักหน่อยพอเลิกเรียนก็ชวนเต้ยไปห้องสมุด ไปนั่งอ่านหนังสือกับนิทาน ที่ชวนเต้ยมาด้วยเพราะไม่อยากให้เพื่อนรักน้อยใจแต่ผมรู้นิสัยมันดี มันเป็นโรคแพ้ห้องสมุดเข้ามานั่งแค่ครึ่งชั่วโมงก็แจ้นกลับห้อง
“มีเรื่องอะไรดีๆงั้นเหรอ”เมื่อเหลือแค่เราสองคนนิทานก็เอ่ยถามขึ้น
“เอ๋ ป่าวนะก็ปกติดีนี่”ผมตีหน้าซื่อตอบกลับ
“เห็นยิ้มไม่หุบแล้วก็เอาแต่มองเวลา คิดว่านัดกับใครไว้ซะอีก”
“เปล่าๆแค่คืนนี้ซีรี่ย์ที่เราตามจะฉายวันแรกน่ะ อ๊ะ พูดถึงก็จวนจะได้เวลาฉายแล้วนี่ เราขอตัวกลับก่อนนะ”ผมแสดงเก่งมั้ยเอ่ย เก่งไม่เก่งไม่รู้แต่นิทานเชื่อสนิทใจ คนอะไรหลอกง่ายชะมัด
แผนของผมค่ำนี้คือไปดูที่สนามบาสอีกครั้ง ถ้าน้องกำลังซ้อมบาสก็มีโอกาสสูงมากที่น้องจะกลับมาที่สนามเดิม
นั่นปะไร ทายหวยไม่แม่นงี้วะ
ผมมาถึงสนามกลางแจ้งแห่งเดิม ท้องฟ้าตอนนี้มืดสนิทอาศัยเพียงแสงสปอร์ตไลท์เก่าๆของสนามสาดส่องแต่ด้วยออร่าของคนที่เล่นอยู่ในสนามทำให้ผมมองเห็นเขาตั้งแต่ระยะร้อยลี้
“เอาไงดี”ผมเกิดความปอดแหกขึ้นมาดื้อๆ
เดินดุ่มๆเข้าไปทักว่า’น้องเรียนคณะอะไรนะ เมื่อวานพี่ลืมถาม!’งั้นรึ แปลกเกินไปนะผมว่า แสดงเจตนารุกจีบชัดเจนเลยด้วย ผมไม่โอเคกับแผนจีบแบบนี้มันโผงผางเกินไป ความรักก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่งผมควรใส่ความประณีตเข้ามาผสมผสาน
คิดไปคิดมาสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ไฟโลโก้ร้านส่องสว่างดึงดูดแมลงหวี่รวมถึงผมด้วยอีกคน
ผมเดินเข้าไปในร้านและหยิบของที่ต้องการออกมา นั่นคือน้ำดื่มกับโพสต์อิท
“รับเพิ่มอีกขวดมั้ยคะตอนนี้มีสิทธิ์แลกซื้อ...”
“ไม่ครับ”
ผมจัดแจงนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนข้างๆร้าน สายตาสอดส่องตลอดว่าร่างสูงเป้าหมายของผมยังไม่กลับบ้านใช่มั้ยขณะสมองน้อยๆกำลังผสมผสานความรักเข้ากับความปราณีตสุดกำลัง
ผมจะเริ่มจีบฟรานจากการส่งขวดน้ำแปะโพสต์อิท เป็นมุกจีบโหลๆที่ผมเจอประจำ แน่นอนว่ามุกแบบนี้มันไม่ทำให้ผมใจอ่อนเลยสักกะผีก ส่วนหนึ่งนั้นมาจากข้อความโง่ๆกับลายมือชุ่ยๆที่แปะมา ทั้งเขียนเบอร์มาเอย ลอกมุกเสี่ยวมาจากในเน็ตเอย โลว์คลาสสุดๆ
เอาละ ที่นี่และเวลานี้ ในที่สุดโอกาสแสดงความไฮท์คลาสของผมก็มาถึงแล้ว!
ข้อความที่ผมเลือกเขียนลงไปบนกระดาษแผ่นน้อยก็คือ!!
แอบมองเธออยู่นะจ๊ะแต่เธอไม่รู้บ้างเลย
แอบส่งใจให้นิดนิดแต่ดูเธอช่างเฉยเมย
“เอิ่ม...”ผมมองกระดาษในมือของตัวเองด้วยสายตาว่างเปล่า
เพลงของBNK48ไปอี๊กกกก ก็อปเนื้อเขามาทั้งดุ้นแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกที่ก็อปคำคมในเน็ตมาเลยดิ
“ยากกว่าที่คิดแฮะ...”
หลังจากตระหนักถึงความยากของศาสตร์ที่เรียกว่า’จีบ’ผมก็ครุ่นคิดสะระตะและจบลงอย่างมักง่ายว่า สู้ๆนะ อย่าหักโหมมาก พรุ่งนี้ยังมีเรียน เรียบง่ายและจืดสนิทยังกับน้ำล้างเท้าแต่ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆจึงกลั้นใจเดินไปยังสนามบาส เอาขวดน้ำวางไว้ข้างกระเป๋าของฟรานแล้วก็ค่อยๆย่องออกมาอย่างเงียบเชียบ
แต่ผมไม่ได้กลับบ้านเลย ผมกลับมานั่งที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม จุดนี้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสนามผมสามารถตีเนียนนั่งกินขนมตากยุงไปพลางแอบมองรีแอคชั่นของฟรานหลังพบขวดน้ำได้ ถ้าเขาเอาไปโยนทิ้ง(แบบที่ผมทำประจำ)ผมจะได้เปลี่ยนแผน
รอไม่นานเจ้าตัวก็หยุดเล่น ทำท่าจะเก็บของกลับบ้านแต่ร่างสูงก็ชะงักกึกเมื่อเห็นไอเท็มแปลกปลอมวางอยู่ข้างกระเป๋า ฟรานหยิบของจีบของผมขึ้นมาพลิกอ่านก่อนจะหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาว่าใครเป็นคนเอามาให้ ผมรีบก้มหน้าทำเนียนดูดเสลอปี้แต่หางตายังสังเกตเห็นว่าเขาเก็บขวดน้ำกับโพสต์อิทใส่กระเป๋าเป้
คิกคิก
ชอบอะ เกิดมาไม่เคยมีโมเมนต์แบบนี้เลย
ผมนั่งยิ้มจนฟรานเดินออกไปไกลจนลับสายตา
“เยี่ยม!”ทิ้งแก้วเสลอปี้และตรงดิ่งกลับห้อง อยากเข้านอนเร็วๆพรุ่งนี้จะได้มาถึงเร็วๆ
อยากจีบอีก สนุกกกกกกก
วันแรกผ่านไปด้วยดี วันที่สองผมก็เอาอีก คราวนี้เตรียมคิดข้อความมาจากบ้าน วันที่สามและสี่ผ่านไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งวันที่ห้า วันนี้เป็นวันจันทร์เป็นการเริ่มต้นอาทิตย์ใหม่หลังจากหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะถามฟรานว่าเจ้าตัวเรียนคณะอะไร
ผมเดินเข้าไปซื้อน้ำที่ร้านสะดวกซื้อเจ้าเก่าเวลาเดิม เดินออกมาเขียนข้อความที่ม้านั่งตัวเดิม กะเวลาเหมาะๆก่อนย่องเข้าไปในสนามและวางขวดน้ำลงข้างกระเป๋าของฟราน
มิชชั่นกำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
ทว่า...คนที่กำลังเล็งลูกบาสกับแป้นดันหันมาทางนี้ หันมาทางที่ผมยืนอยู่!! แบบนี้ไม่เรียกว่าจับได้คาหนังคาเขาแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!?
“โฮ่ๆ เราเจอกันอีกแล้ว ฟรานมาเล่นที่นี่ทุกวันเลยเหรอ”รอดมั้ย แถแบบนี้รอดมั้ยๆ ผมรีบแก้ตัวปากคอสั่น พยามตีหน้านิ่งเพื่อไม่ให้ฟรานจับพิรุธได้
“เอ่อ...”คนที่เด็กกว่าผมกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมไม่ให้โอกาสนั้นแก่เขา!
“พี่ไปก่อนนะ เราก็สู้ๆล่ะ! บ๊ายบาย”เหมือนครั้งที่แล้วที่เจอกัน ผมยิ้มกว้างและโบกมือให้อีกฝ่ายสุดแขน ฟรานเองก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยติดงุนงงขณะโบกมือตอบกลับมา
ทุกก้าวที่ห่างออกมาจากสนามในหัวของผมมีแต่คำว่ารอดแล้ว รอดแล้ว! รอดแล้วโว้ย!
ผมมั่นใจมากว่าเมื่อกี้ฟรานจับพิรุธไม่ได้แน่นอน(?) แต่วันพรุ่งนี้ผมคงต้องระวังตัวมากกว่านี้หน่อยเอาเป็นว่าค่อยกลับไปคิดที่ห้องละกัน และผมก็ต้องเบรกหัวแทบทิ่มเมื่อนึกขึ้นได้ว่า...ลืมกระเป๋า
กระเป๋าของผมยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนโน่น!!
สุดท้ายผมก็ต้องบากหน้าเพื่อเดินย้อนกลับไปทางเดิม เออ ทางที่ผ่านสนามบาสนั่นแหละ แล้วไม่ใช่แค่ผ่านสนามเฉยๆคือผมเดินผ่านฟรานที่กำลังยืนเก็บของเตรียมกลับบ้านด้วย เจ้าตัวมองมายังผมด้วยสายตาฉงน คงกำลังสงสัยว่ารุ่นพี่คนนี้บอกว่าจะไปแล้วทำไมถึงย้อนกลับมา
“แฮ่ ลืมกระเป๋าน่ะ”ผมตอบเสียงแห้ง
“ลืมกระเป๋า?”เสียงทุ้มทวนคำของผมอย่างแปลกใจ
มันดูเป็นไอเท็มที่ไม่น่าลืมใช่ปะ มันดูมีพิรุธใช่ปะ ก็ไม่นะ ใครๆก็ลืมกระเป๋ากันได้ขนาดกระเป๋าเงินเป็นสิบล้านยังเคยมีคนลืมไว้บนรถเมล์เลย ฟรานคงไม่สงสัยอะไรหรอก อืมๆ คงไม่สงสัยอะไร คราวนี้ผมไม่เดินย้อนไปทางสนามบาสแล้ว หยิบกระเป๋าได้ก็เดินอ้อมโลกไปออกประตูอื่นเลย มหาลัยมีตั้งหลายประตูไม่เห็นจำเป็นต้องออกแต่ประตูเดิมๆ
วันที่หกแห่งการตามจีบ ผมไม่มีหน้าเอาขวดน้ำเข้าไปวางไว้ในสนามบาสแล้ว มันกลัวไปหมดกลัวจนเก็บไปฝันเมื่อคืนว่าระหว่างถือขวดน้ำย่องเข้าสนามเผลอไปเตะกระป๋องโคล่าบนพื้นเสียงดังทำให้ฟรานหันมาเห็นพอดีแล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่มาซ้อมที่นี่อีกเลย!!
ฝันร้าย... นอนไม่หลับจนไอ้เต้ยแซวเป็นหมีแพนด้าอีกแล้ว
แต่ถึงจะปอดแหกยังไงผมก็พาตัวเองมานั่งที่ม้าหินอ่อนข้างร้านสะดวกซื้อตอนสองทุ่มเหมือนเดิม นั่งมองร่างสูงที่ชู้ตบาสลงห่วงแม่นขึ้นเรื่อยๆแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
ปกติฟรานจะเลิกซ้อมตอนเกือบสามทุ่มแต่วันนี้เพิ่งสองทุ่มกว่าเขาก็เก็บของแล้ว มีการมองซ้ายมองขวาอยู่หลายครั้งก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าและเอาหินทับไว้บนม้านั่งและเดินออกมา
อะไร?
อย่าหาว่าผมขี้เผือกเลยนะ แต่ผมอยากรู้จริงๆอยากรู้จนอดใจไม่ไหวต้องเดินย่องไปหยิบกระดาษแผ่นน้อยที่ฟรานวางทิ้งไว้ขึ้นมาดู เมื่ออ่านข้อความจบผมก็ยิ้มแก้มแทบปริ
พรุ่งนี้5โมงมีแข่ง จะไปดูมั้ย
ไปสิครับรออะไร เขาส่งการ์ดเชิญมาแบบนี้จะเล่นตัวให้เสียเวลาทำเพื่อ?
และผมก็ถึงบางอ้อในตอนนั้นเองว่าฟรานซ้อมเพื่อไปแข่งอะไร
กีฬาเฟรชชี่ไง กีฬาที่ให้เด็กปีหนึ่งแต่ละคณะมาแข่งกันน่ะ สมัยผมอยู่ปีหนึ่งผมไม่ได้ร่วมอะไรแบบนี้เพราะเกลียดการเล่นกีฬาพอๆกับเกลียดการกินมะระ จำได้ว่าเต้ยเคยชวนไปเชียร์เพื่อนผู้ชายเตะฟุตซอลเนื่องจากหนึ่งในนักกีฬาฟุตซอลเป็นเดือนคณะปีผมเองแต่ผมก็เบี้ยวนัดมันปล่อยให้มันไปดูคนเดียว มันงอนผมไปสามวัน
“ฮัลโหลเต้ยเพื่อนรัก พรุ่งนี้เย็นว่างมั้ยอยากชวนมาดูบาสด้วยกันหน่อย”
[ผีเข้าเหรอร้อยวันพันปีไม่เคยสน กูว่าจะชวนไปดูปิงปองอยู่พอดีน้องหมอตี๋คนนึงน่ารักมากแต่ช่างเถอะยังไงหุ่นนักบาสก็อร่อยกว่า ตกลงตามนี้และจดจำไว้ให้ขึ้นใจว่าเพื่อนเล็งคนไหนไว้ห้ามแย่ง!!]
นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่มึงเล็งคือฟรานรึป่าว...
ผมเถียงกลับในใจ ไอ้เต้ยมันไม่ได้พูดจริงจังหรอกผมแค่ไม่อยากเสียฟอร์มบอกมันว่าตอนนี้กำลังตามจีบผู้ชายคนนึงอยู่ กลัวมันหัวเราะเยาะเย้ยว่าระวังเวรกรรมที่เคยปฏิเสธหนุ่มไว้เยอะกำลังจะตามสนองผม
------------------
-ฟรานจับได้แล้วแน่ๆ กด1
-บ้าเหรอ ฟรานไม่รู้หรอก กด2
-น่าจะรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วป่ะ กด3