[END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4  (อ่าน 26724 ครั้ง)

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




——————————————————————————————————————


[ จีบนะครับ...รักผมที ]
#ติณณ์หิวข้าว





เรื่องราวของนักศึกษาฝึกงาน กับ พี่เลี้ยงของเขา

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

"อย่ามาเรียกผมว่าข้าว"

"ได้ครับพี่ข้าว...เจ้า"

"ไอ้เด็กกวนประสาท"


#ติณณ์หิวข้าว

———————————————————————

Read Me
นิยายเรื่องนี้เป็นSpin offของติณณ์ เพื่อนของพี่อาร์ตจากเรื่องกลิ่นสีและหมอค่ะ
ซึ่งเรื่องนี้จะย้อนกลับไปช่วงหนุ่มๆอยู่ปีสามกัน
และเนื้อเรื่องหลักไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลิ่นกาวน์(ตอนหลังอาจมีมาแซมบ้าง) สามารถอ่านแยกได้ค่ะ
ปล.ตั้งใจแต่งเป็นเรื่องสั้น ไหงยาวซะงั้นก็ไม่รู้...
- Miinta -






นิยายที่แต่ง
กลิ่นสีและกาวน์หมอ [จบแล้ว]
First Time #ครั้งแรกพบ

[ Short Story ]
Only you รักนี้แค่คุณ
H I D D E N
———————————————————————————————————————
ทวิตของอุ๋ง
เพจของอุ๋ง
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2018 00:33:48 โดย мıınta »

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -1- 23|01|2561
«ตอบ #1 เมื่อ23-01-2018 20:52:17 »

1

20.35

ท่ามกลางบรรยากาศเบาๆ ของร้านอาหารกึ่งบาร์ในเย็นวันศุกร์สิ้นเดือนเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายก็ต่างพากันออกมาพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง บ้างก็นัดเจอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับตามภาษา ร่วมถึงเพื่อนรักสองคนที่นั่งกันอยู่ที่มุมๆ หนึ่งของร้าน

“ไหนใครว่าเป็นหมอต้องรักสุขภาพ เหล้าบุหรี่นารีไม่แตะ” ผมยกยิ้มขำเมื่อเห็นเพื่อนรักต่างคณะรวมถึงตำแหน่งรูมเมทยกแก้วเหล้าขึ้นเหมือนน้ำเปล่า อันที่จริงสิ้นเดือนอย่างนี้ก็ไม่น่าออกมาแหละครับแต่จู่ๆ มันก็ชวนออกมาบอกว่าจะเลี้ยง ผมเทน้ำสีเหลืองใส่แก้วที่พร่องไปเกินครึ่งของเพื่อนก่อนจะยกแก้วตัวเองขึ้นบ้าง บนโต๊ะนอกจากเหล้าก็มีอาหารสองสามอย่างสำหรับฝากท้องเย็นวันนี้

“ใครที่ว่ามันไม่ใช่กูป่ะวะ? อีกอย่างหมอก็คนไหม หืม” ไอ้หมอตรงหน้าผมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนเบื้องล้าง “แล้วก็นะไอ้ติณณ์ กูหมอหมาไม่ใช่หมอคน” มันยกยิ้มหล่อให้ผม เออ ถ้ามึงยิ้มแบบนี้ตอนประกวดดาวเดือนเมื่อสองปีก่อน ป่านนี้มึงได้เป็นเดือนแทนกูไปแล้วไอ้หมา

ผมรู้จักไอ้หมอหมานี่เพราะประกวดดาวเดือนนี่แหละครับ หมออาร์ตเดือนสุดหล่อของคณะสัตวแพทย์ ตอนแรกก็ไม่ได้สนิทกับมันเท่าไหร่ ไอ้นี่มันนิ่งๆ เลยดูเข้าถึงอยาก แต่พอคุยไปคุยมาดันถูกคอกันซะงั้น คนบ้านเดียวกันแค่มองตากันก็เข้าใจดี ~

“ครับๆ ไอ้อดีตรองเดือน ลากกูมาแดกเหล้านี่มีปัญหาไรอีก”

“...ไม่มีไร แค่น้องมันไปเรียนต่อ” ไอ้หมอหมาตอบอ้อมแม

“น้องแอ๋ม? น้องมันขึ้นปีหนึ่งแล้วหรือวะ? ไม่ใช่ยังม.ปลายหรือไง?” ผมถามเพราะจำได้ว่ามันมีน้องสาวอีกคนที่หน้าตาน่ารักดี แต่มันกลับส่ายหัว

“เปล่า ไม่ใช่แอ๋ม”

“แล้วใครละว่ะครับ มึงมีน้องคนเดียวไม่ใช่หรือไง?”

“น้อง...ข้างบ้าน” มันว่าเสียงเบา ยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นราวกับเลี่ยงคำตอบ นั่นทำให้ผมเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“อ้าว น้องข้างบ้านมันไปเรียนแล้วมึงเกี่ยวไร” นั่นก็บ้านเขาแล้วมึงเสือกอะไรด้วย

“ก็...กูแค่จะไม่ได้เจอน้องมันอีกนาน” ไอ้หมอก้มหน้าลงมองแก้วในมือแล้วหมุนไปมา แววตามันดูหม่นแสงลงไปแวบหนึ่ง

“แล้ว?”

“เสือก” อือหือ สอใส่เกือกมาเต็มหน้าเต็มตาเลยครับ

“ก็เรื่องมึงกระตุกต่อมเสือกกูนี่ บอกมาซะดีๆ” ผมเทเหล้าเพียวๆ ใส่แก้วมันจนเกือบล้น แค่นี้ไม่คณาคอคุณหมออินทัชหรอกครับ นั่นไงมันยกดื่มชิลๆ “หรือมึงชอบน้องมัน?”

พรวด!!
“แค่ก” ผมแสยะยิ้มทันทีที่เห็นอาการตอบสนองของมัน

“กูเดาถูกสินะ ก็ยังว่าอยู่ว่าทำไมคุณหมอสุดหล่อ สุดใจดีที่มีทั้งสาวๆ หนุ่มๆ มาแจกขนมจีบให้ตลอดเวลาถึงไม่ยอมควงใครเป็นตัวเป็นตนซะที ที่แท้ก็มีคนในใจอยู่แล้วนี่เอง” พอผมพูดจบไอ้หมอมันจ้องเขม็งเลยครับทุกคน

“แจกขนมจีบเหี้ยไรของมึง”

“15นาฬิกาของกู คนผมสั้น เสื้อสีฟ้าโต๊ะนั้นเขาจ้องมึงตั้งแต่เข้ามาแล้ว เชื่อไหมว่าถ้ากูลุกนะ เขาเข้ามาหามึงแน่” ผมว่าพร้อมชำเลืองมองไปที่โต๊ะนั้นพร้อมกับไอ้หมอที่หันตาม

คุณเธอที่มองมาอยู่แล้วยกแก้วที่มีน้ำสีสวยในมือขึ้นทักทาย แต่หมอหมาคนหล่อของเรากลับเบือนหน้าหนีครับคุณ

“แล้วไง?”

“ลองดูไหมเดี๋ยวกูจัดให้” ไอ้หมอส่ายหัวรัวเลยครับท่าน เห็นคุณอินทัชฮ็อตอย่างนี้นะแต่มันก็ไม่เคยควงใครจริงจัง ตั้งแต่รู้จักมันมาเคยเห็นมันมีวันไนท์สแตนด์อยู่แค่สองสามครั้งเอง

ก็เคยแอบคิดนะว่าเพื่อนมันนกเขาไม่ขัน...

ผมนั่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้านที่ตอนนี้คนยังไม่เยอะเท่าที่ควร ลูกค้าส่วนมากก็คนในมหาลัยผมไม่ก็พนักงานที่ทำงานละแวกนี้จึงคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ผมแจกรอยยิ้มให้ทุกคนที่มองผมกลับมา โปรยเสน่ห์เต็มที่จนไอ้หมอหมาอาร์ตส่ายหัว ก่อนจะไปสะดุดตากับผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ข้างๆ กันเป็นผู้ชายตัวสูงผอมอีกคน ผมนั่งมองทั้งสองคนนั้นคุยกัน ไม่สิ... รู้สึกไอ้โย่งนั่นพูดอยู่คนเดียว ส่วนคนตัวเล็กนั่นก็ขยับหนีจนจะตกเก้าอี้อยู่แล้ว

ผมสรุปไปเองว่าทั้งสองคนคงไม่ได้มาด้วยกันแน่นอน

“อาร์ตเดี๋ยวกูมา ถ้าผู้หญิงโต๊ะนั้นมาของเบอร์มึงก็ให้เบอร์กูไปแทนนะ” ผมว่า ก่อนลุกพรวดออกมาโดยไม่ฟังเสียงไอ้อาร์ตที่ตะโกนอะไรสักอย่างตามหลัง

ผมเดินไปจนเกือบถึงเคาน์เตอร์บาร์  ทั้งสองคนยังไม่รู้สึกตัวว่ามีบุคคลที่สามกำลังยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา ไอ้บ้านี่ก็ขยับมาใกล้อีกคนจนจะชิดแล้วนั่น

และนั่นทำให้ผมตัดสินใจ...

พรึ่บ!
“ติณณ์ขอโทษครับที่มาช้า ที่รักไม่โกรธกันนะ”

ผมเท้ามือทั้งสองข้างลงบนเคาน์เตอร์ กักให้คนตัวเล็กอยู่ตรงกลางระหว่างแขน ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงที่คิดว่านิ่มและอ้อนที่สุด

นี่ผมบอกไปหรือยังว่าผมได้ทั้งชายหญิง?

“ที่รักอย่าเงียบสิ ไม่โกรธผมนะ” คนตัวเล็กหันหน้ามามองผมด้วยหน้าตางุนงง เหมือนยังตามสถานการณ์ไม่ได้จนผมต้องขยิบตาเป็นสัญญาณให้เล่นตามน้ำ

“เอ่อ...”

“ไหนคุณบอกว่าไม่ได้นัดใครไงครับ! เหอะ มีผัวแล้วก็ไม่บอก”

“ขอโทษแทนแฟนผมด้วยนะครับ พอดีเราทะเลาะกันมานิดหน่อย” ผมถือวิสาสะดึงคนตัวเล็กกว่าให้มาพิงชิดอกทันที และก้มหน้าจรดกับกลุ่มผมนิ่มราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ

หอมว่ะ ใช้แชมพูยี่ห้ออะไรวะ

“หายโกรธติณณ์นะครับ นะ”

“ไม่.. ไม่โกรธแล้ว ปล่อยก่อน” เสียงใสของคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดดังขึ้น ดูท่าว่าจะตามเรื่องทันแล้วสินะ

“ถ้าผมโกรธบ้างจะได้ไหมครับ ที่คุณมานั่งให้คนอื่นจีบแบบนี้” ผมเน้นคำว่าคนอื่นและตวัดสายตามองคนด้านข้างที่ทำหน้าไม่พอใจ

“อย่า...”

“เออ ไปก็ได้วะแม่งเสียเวลา” ว่าเสร็จมันก็ลุกออกไปทันที ผมมองจนมันกลับโต๊ะไปแล้วถึงยอมปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ ก่อนนั่งลงข้างๆ คนตัวเล็กแทนมัน

“....” คนตรงหน้ายังคงส่งสายตางุนงงมาให้ ผมเท้าคางมองใบหน้าของอีกคนอย่างพิจารณา เขาน่าจะสูงราวๆ174-175 เซนต์ได้ ถือว่าไม่ได้เตี้ยไปและคงดูหล่อในสายตาของผู้หญิง แต่สำหรับผมคิดว่าคนตรงหน้าน่ารักและกะทัดรัดพกพาสะดวก--- ผมซอยยาวระต้นคอ มีไฝจุดเล็กๆ ช่วงหางตาซ้าย ปากไม่ได้อวบอิ่มแบบผู้หญิงแต่น่าสัมผัสด้วยปากผมเอง

อืม..ผมคงจะมองเขานานเกินไปจนคนตรงหน้าส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

“เอ่อ ผมนั่งอยู่โต๊ะนั้น” ชี้ไปที่ไอ้หมอหมาที่มีสาวผมสั้นเสื้อฟ้านั่งแทนที่ผม “พอดีผมเห็นคุณน่าจะถูกมันตอแยมาสักพัก เห็นคุณขยับหนีคิดว่าคุณไม่ชอบก็เลย...” ผมเกาแก้มแล้วส่งยิ้มแห้งๆให้อีกคน

“ขอบคุณนะ” ยิ้มหวานของคนตรงหน้าส่งให้ผม เหี้ย น่ารักเหี้ยๆ

“ผมติณณ์ครับ ถ้าไม่รังเกียจไปร่วมโต๊ะกับผมไหมครับคุณ...เอ่อ” ผมยิ้มค้าง ไม่รู้ชื่อนี่หว่า

“ข้าว...”

“ครับ?”

 “ผมชื่อข้าวครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เหี้ย ยิ้มแอคแทค จีบได้ไหม ตอบ!!!


ในที่สุดผมก็พาคนตัวเล็กกลับโต๊ะด้วยได้สำเร็จ ตอนนั่งผมว่าคุณข้าวตัวเล็กแล้วนะ พอยืนนี่หัวคุณเขาเลยไหล่ผมมาหน่อยเอง ตัวเล็กๆ เอวบางๆ บางจนไม่กล้าจับแรง กลัวหัก เอ...รึลูกเสี้ยวอย่างผมมันสูงและหนาเกินไปเองวะ?

พอมาถึงโต๊ะ ทันทีที่ไอ้หมออาร์ตเห็นผมมันก็ไล่ผู้หญิงเสื้อฟ้าคนนั้นกลับไปทันที

“งั้นเดี๋ยวคืนนี้เราโทรหาอาร์ตนะคะ จุ๊บ” สาวเจ้าว่า ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูประทับลงแก้มเพื่อนผมเบาๆ จนขึ้นเป็นรูป ในขณะที่ไอ้อาร์ตมันทำหน้าเบื่อโลก คว้าเอาทิชชูมาปาดหน้าแรงๆ เมื่อผู้หญิงคนนั้นลับตา

“แม่ไม่สอนหรือไงว่าให้ทำตัวเป็นกุลสตรี”

“อุ๊บ ฮ่าๆๆๆ” คนตัวเล็กหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินไอ้อาร์ตสถบ นี่ก็ไม่ชอบเวลาโดนผู้หญิงถึงเนื้อถึงตัว อยากรู้จริงๆว่าคนที่มันชอบเป็นคุณหนูเรียบร้อยหรือไง

“แล้ว...นี่ใคร?”

“นี่คุณข้าวที่กูไปช่วยเมื่อกี้ไง คุณข้าวครับนี่อาร์ต เพื่อนผมครับ” ผมแนะนำ ทั้งสองก็ยิ้มให้กันน้อยๆ ก่อนคุณข้าวจะทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ว่าง

“นี่เรายังเรียนกันอยู่หรอ?” คุณข้าวเปิดประเด็นคุย ตอนนี้ร้านเริ่มมีเสียงเพลงเบาๆ จากวงดนตรีสดที่มาเล่นได้สักพักแล้ว

“ครับ ผมเรียนหมอปีสาม ส่วนไอ้นี่เรียนบริหาร ปีเดียวกัน” หมอหมาตอบแทน

“โหย อย่างนั้นพี่ก็ดูแก่ไปเลยน่ะสิ”คนตัวเล็กเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้ พี่หรอ?

“ไม่หรอกครับ คุณข้าวดูไม่เห็นแก่สักนิด ผมเห็นครั้งแรกนึกว่ารุ่นน้องผมซะอีก” ผมว่า ไม่ได้ยอนะแต่คิดงั้นจริงๆ

“แหม ปากหวานเชียว” ผมยิ้มรับ “เห็นอย่างนี้อีกปีพี่ก็จะยี่สิบสี่แล้วครับ แก่กว่าพวกเราประมาณสี่ห้าปีได้มั้ง” คนตัวเล็กยิ้มอายๆ พวกผมอึ้งกับอายุที่คุณเขาพูดออกมา (ข้าว24 สองซี้20)

เชี่ย คิดว่าจะแก่กว่ากันแค่ปีสองปี “เอ่อ...”

“ไม่ต้องทำหน้าตกใจอย่างนั้นครับ มีแต่คนทักว่าพี่หน้าเด็ก” คุณข้าวพูดออกมาอย่างขำๆ “เวลาบอกไปคนไม่ค่อยเชื่อกันหรอก”

“งั้น... ตอนนี้คุณข้าวก็ทำงานแล้วสินะครับ”

“เรียกพี่ก็ได้พี่ไม่ว่า พี่เป็นพนักงานธรรมดาๆน่ะ ที่จริงร้านนี้พี่เป็นหุ้นส่วนอยู่นะ แต่ก็ไม่มีใครรู้เยอะหรอกเพราะนานๆ พี่จะได้เข้ามาเช็คแทนเจ้าของมัน อย่างวันนี้พอมาปุ๊บก็เจอแบบที่ติณณ์เห็น... แต่มาอย่างนั้นพี่ตกใจนะ ที่รงที่รักอะไรกัน” แก้มขาวของพี่ข้าวขึ้นสีแดงระเรือไม่รู้ว่าเขินหรือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไป

“แฮะๆ ผมคิดอะไรไม่ทันนี่ครับ”

“ไม่เป็นไรๆ งั้นมื้อนี้พี่เลี้ยงขอบคุณเราแล้วกัน”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมกับอาร์ตที่พูดขึ้นพร้อมกันหันมองกันแวบหนึ่ง ก่อนหมอหมาจะเงียบให้ผมพูดต่อ “ผมเต็มใจช่วยครับ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“เอาอย่างงั้นหรอ”

“ครับ”

พวกผมนั่งคุยไร้สาระกันจนกระทั่งไอ้อาร์ตฟุบหน้ากับโต๊ะ ใบหน้ามันแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ก็แหงล่ะเจอผมเทแบบเพียวๆ ไปให้ตั้งกี่แก้วล่ะ

“เอ่อ... พี่ข้าวครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ดูท่าไอ้หมอไม่ไหวแล้ว”

“ก็ดูเรามอมเพื่อนสิ ใครมันจะไหวกัน” พี่ข้าวว่าแบบรู้ทัน

“โถ่พี่ ใครมอมกัน” ผมว่ายิ้มๆ ไอ้เรื่องมอมนี่มอมจริงครับ เผื่อรู้ว่ามันจะเพ้อถึงใครคนนั้นของมันไหม

“ให้พี่ช่วยไหม?” ผมปฏิเสธ แต่คนตัวเล็กกว่าดึงดันจะช่วยให้ได้ ผมเลยส่งกระเป๋าให้ถือให้แทน เมื่อถึงรถก็จับไอ้คนเมายัดเข้าเบาหลังทันที

“งั้นกลับกันดีๆ นะ”

“พี่ข้าวครับ...ผมจะได้เจอพี่อีกไหม” ผมตัดสินใจถาม ยอมรับว่าคนตรงหน้านี่สเปคผม ตัวเล็กหิ้วสะดวก หัวเราะง่าย กินง่าย ไม่เรื่องมากแบบนี้ผมชอบ...ก็ว่าไป

พี่ข้าวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มสวย มือเล็กเอื้อมจับมือผมไปส่งให้นามบัตรสีขาวครีมถูกวงบนลงมือผม

“ได้สิ ถ้าอยากเจอพี่อีก ติดต่อมานะครับ” คนตัวเล็กก้าวเข้ามา เขย่างตัวกระซิบข้างหูผมก่อนผละออก “งั้นพี่ไปก่อนนะครับติณณ์ ฝากลาอาร์ตแทนพี่ด้วย”

คนตัวเล็กเดินจากไปโดยให้ผมยืนค้างอยู่ตรงนั้น...

คนอะไรวะตัวโคตรหอม


ไม่กี่วันหลังจากนั้น ไม่กี่วันหลังจากนั้น

“ติณณ์คะ เลิกเรียนไปไหนต่อหรือเปล่า” เสียงใสๆ ของใครบางคนเอ่ยขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็น อ่า...อดีตคู่ควงกำลังยืนตรงหน้า

“อืม ไม่ได้ไปไหนครับ บีมีอะไรหรือเปล่า?” ผมยกยิ้มถามทั้งๆ ที่รู้สึกเบื่อหน่าย มาอย่างนี้คงไม่พ้นจะชวนไปดูหนังไม่ก็ไปเดท ไม่ก็..บนเตียง

“งั้นเราไป...”

Rrrrr
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดหญิงสาวที่กำลังพูด ผมโคลงหัวให้เธอเล็กน้อยก่อนเดินหนีออกมากดรับสายจากเพื่อนสนิท

“ว่า”

‘ของห้องหมด’ ปลายสายตอบกลับมาห้วนๆ

“แล้ว?”

‘มึงเลิกเรียนละไปซื้อของเข้ากัน มาม่าหมด’ กลอกตากับคำของเพื่อน มาแบบนี้มันขี้เกียจขับรถแน่ ผมหันมองบีที่ยืนรออยู่ไม่ไกลก่อนตอบเพื่อนสนิทด้วยคำที่ทำให้เธอทำหน้างอนและเดินหนีไป

“เอาดิกูว่าง”

พอผมเลิกเรียน เดินออกจากตึกไม่ถึงสามก้าวดี รถญี่ปุ่นคันคุ้นตาก็ขับมาจอดข้างหน้า พร้อมกับคนขับจะเปิดประตูออกมาให้คนแถวนั้นกรี๊ดกร๊าด สะบัดขนสองสามครั้งก่อนไอ้หมอหมาหน้านิ่งเดินอ้อมตัวรถมาหาผม

“มองเหี้ยไร ไปขับรถดิ”

ไอ้หมาอาร์ตทิ้งตัวที่นั่งฝั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมยืนนิ่ง ผมกลอกตาก่อนจะเดินไปฝั่งคนขับโดยดี เป้าหมายของเราวันนี้คือห้างใกล้ๆ มหาลัยครับ

หลังจากไปเหมาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อ กับของปรทังชีวิตและของใช้บางอย่างเสร็จก็ได้เวลากลับไปนอนต่อ ระหว่างที่เราเดินไปที่จอดรถเพื่อเก็บของ ไอ้หมอก็กระชากคอเสื้อผมไว้ ยกนิ้วชี้ไปอีกทาง

“มึง นั่นพี่ข้าวไหม?”

“ไหนวะ” พอมองตามนิ้วมันก็เห็นคนตัวเล็กที่เจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้กำลังเดินผ่านหน้าไปในระยะห่างๆ ข้างกายเขามีผู้ชายตัวสูงอยู่ด้วย

“มากับแฟนป่ะวะ เพื่อนกูจะกินแห้วหรอ” มันว่าติดขำ ผมหรี่ตามองเพื่อนซี้

“...เดี๋ยวกูมา” ผมเมินเสียงร้องเฮ้ยจากไอ้อาร์ตดังขึ้นไล่หลัง ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินไปหาอีกคน

“บ่นอะไรนักหนา ก็เห็นบอกว่าอยากดูหนังเลยพามาไง” ใกล้จนได้ยินเสียงทั้งสองคุยกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินตาม

“ขอบใจมากกกก เอ๊ะ..” พี่ข้าวหันมามองเมื่อรู้สึกว่ามีคนยื่นมือไปแตะไหล่เขา

“พี่ข้าวครับจำผมได้ไหม ที่เจอวันก่อน” ผมฉีกยิ้มถามคนตรงหน้า พี่ข้าวอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสามส่วน มีเสื้อแขนยาวพาดท่อนแขน เผินๆ ดูเหมือนเด็กมหาลัยมากกว่าคนวัยทำงาน

“คนรู้จักมึงหรือเจ้า?” คนข้างๆพี่ข้าวถาม ผมขมวดคิ้วกับชื่อที่ได้ยินจากปากอีกคน แต่คนตัวเล็กส่ายหัว

“ทักผิดคนหรือเปล่าครับ ผมไม่ได้ชื่อข้าว”

“ครับ?”

“ขอตัวก่อนนะครับ” คนตัวเล็กดึงมือผมที่อยู่ที่ไหล่ออก “ไปหลง หนังจะฉายแล้ว”

และคนตัวเล็กก็เดินจากไปโดยทิ้งผมไว้ตรงนี้

What the fu*k !!

——————————————————————————————————————

   สวัสดีค่ะมีนเองค่ะ แวบมาลงเรื่องใหม่ เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทของพี่หมอหมาในกลิ่นกาวน์แหละค่ะ ///ตั้งใจเขียนเป็นเรื่องสั้นนะ... แต่ยาวไป ยาวไปปป
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -1- 23|01|2561
«ตอบ #2 เมื่อ24-01-2018 00:47:44 »

 :mc4:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -2- 24|01|2561
«ตอบ #3 เมื่อ24-01-2018 20:21:14 »

2

เชื่อไหมว่าตั้งแต่วันที่เจอพี่ข้าวในวันนั้นผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย มั่นใจเลยว่าคนที่เห็นนั่นพี่ข้าวแน่ๆล่ะ ผมจำไฝตรงหางตาซ้ายได้ ต่อให้เป็นฝาแฝดยังไงตำหนิมันคงไม่เกิดที่จุดเดียวกันแน่ๆ ผมอยากรู้ว่าเขาจะเล่นอะไร หรือเขาคิดจะทำอะไรเลยตัดสินใจไปหาที่ร้านเดิมที่เจอวันนั้นอีกครั้ง พอถามพนักงานแล้วเขาก็บอกว่าไม่รู้ ลองโทรไปหาตามนามบัตรนั่นก็ไม่ใช่นามบัตรเจ้าตัวเป็นของใครก็ไม่รู้เหมือนกับเจ้าตัวสุ่มๆ หยิบมาให้ผมมา

“น่ามึง คิดซะว่าเขาไม่ใช่เนื้อคู่มึง” ไอ้หล่ออดีตเดือนมหาลัยว่า ยกมือตบบ่าผมที่นั่งสูบเอาควันบุหรี่เข้าปอดอย่างเห็นใจ ผมหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่ยกเบียร์ขึ้นดื่ม ก่อนจะพ่นควันออกมา

“ไอ้คนแอบรักเด็กข้างบ้านอย่างมึงมีสิทธิพูด?” หมอหมาสำลัก “เฮ้อ พี่ข้าวนั่นสเปคกูเลยนะ”

“สเปคมึงแค่หน้าตา นิสัยจริงๆ เราไม่รู้นี่หว่าแล้ว สมมติว่าพี่เขานิสัยแบบเดียวกับที่เจอวันนี้ไม่ใช่วันที่เราเจอที่ร้าน ถ้าคบๆ กันไปแล้วมึงเกิดรับนิสัยเขาไม่ได้ล่ะ มึงจะทำไง จะเลิกกับเขา? หรือยอมรับนิสัยนั้น” ไอ้หมอหมาว่าเสียงเข้มให้ผมนั่งเงียบ แล้วคิดตามคำพูดมัน “มึงเจอเขาแค่ครั้งสองครั้งเองนะ”

ก็จริงของมัน...

“เอาน่า เดี๋ยวมึงก็เจอคนใหม่ ตัดๆ ใจซะ” ไอ้หมอหมาว่าปลอบใจแล้วเดินแยกเข้าห้องมันไป “เออใช่ เอกสารตอบรับฝึกงานของมึงมาแล้วนะ วางอยู่บนโต๊ะ”

“เออๆ ขอบใจ” ผมตอบกลับ ขยี้บุหรี่ที่เหลือในมือกับที่เขี่ย นั่งบริจาคเลือดให้ยุงสักพักถึงเดินเข้าห้องไปหยิบจดหมายตอบรับที่ว่าขึ้นมาเปิดดูรายละเอียด

...อีกสามเดือน ปิดเทอมหน้าผมก็เริ่มฝึกงานแล้ว คงจะพอๆ ให้ลืมเจ้าของรอยยิ้มหวานคนนั้นได้ละกัน


ซะ...
เมื่อ...
ไหร่...
“นี่น้องติณณ์ เบ๊...เอ๊ย เด็กฝึกงานคนใหม่ของเรานะ พี่ฝากเจ้าดูแลน้องมันด้วยแล้วกัน ส่วนนี่ข้าวเจ้านะ เป็นพี่เลี้ยงเรา มีอะไรก็ถามๆ มันเอาแล้วกัน”

ผมชะงักมือที่กำลังยกขึ้นไหว้ค้างเมื่อเห็นหน้าค่าตาของ ’พี่เลี้ยง’ ที่พี่ทศ หัวหน้าแผนกการตลาดที่ผมต้องฝึกงานด้วยแนะนำให้รู้จัก ก่อนรอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นที่มุมปากผมอย่างช้าๆ ผิดกับอีกคนที่เริ่มทำหน้าบึ้งลงอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนแรกที่เลือกที่นี่เพราะมันเป็นบริษัทในเครือของคุณลุงผม แต่ไม่ได้ใช้เส้นนะเพราะคนละนามสกุลกัน อีกอย่างที่เลือกมาที่นี่เพราะมันไม่ค่อยมีคนรู้ว่าผมเป็นใคร

แต่ก็คาดไม่ถึงว่าคนที่ไม่ได้เจอเกือบสามเดือนจะทำงานอยู่ที่นี่ด้วย

“ทำไมไม่ให้ไอ้หลงดูแลวะพี่ งานผมเยอะพี่ก็รู้” คุณพี่เลี้ยงของผมกว่าเสียงแข็ง สะบัดสายตาไปมองคนข้างตัวอย่างไม่พอใจ ผิดกลับเมื่อสักครู่ที่เดินยิ้มมา

“แกรับปากแล้ว ไอ้หลงมันรับสาวๆ ไปแล้วนู่น เจ้ารับไอ้นี่ไปแหละดีแล้ว” พี่หัวหน้าว่า พยักพเยิดหน้าไปหาผู้ชายอีกคนที่กำลังคุยกับสาวๆ อีกกลุ่มเพลิน “พี่ฝากดูแลด้วยละกันเจ้า รักๆ กันไว้ละไอ้หนู”

“ครับ...ผมจะรักให้มากๆ เลย” พี่เลี้ยงจำเป็นผมหันมามองตาขวาง ก่อนจะโดนพี่ทศเอาแฟ้มเอกสารเล่มหนาฟาดลงที่หัวแรงๆ ไปครั้ง เจ็บแทนนะครับ...

“ทำตัวดีๆ กับน้องมันหน่อย” พี่ข้าวรับคำหน้าบึ้ง ก่อนพี่ทศจะฝากฝังผมกับพี่ข้าวโดยการให้ตามติดคนตัวเล็กเพื่อศึกษาเรียนรู้ดูงานก่อนในวันแรก ซึ่งพี่ทศก็บอกว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก ส่วนมากก็เดินเอกสารกับช่วยเรื่องอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ อันที่จริงก็เคยทำตอนพ่อบังคับน่ะนะ...

“ยิ้มบ้าอะไรหนักหนา” พี่ข้าวหันมามองผมทันทีที่พี่ทศเดินจากไป เสียงใสๆ นั่นเข้มขึ้นเหมือนกับโกรธชังผมมานมนาน ก่อนปากเล็กจะขมุบขมิบพึมพำออกมากับตัวเองอย่างหัวเสีย แต่ระยะนี้ผมได้ยินเต็มสองหูเลย “แม่งเอ๊ย คิดว่าจะไม่ได้เจออีกแล้วก็ยังอุตส่าห์วกมาเจอจนได้”

ผมที่ยืนยิ้มมองพี่ข้าวอยู่เผลอหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าหงุดหงิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อผมยื่นมือไปตรงหน้าคนตัวเล็กกว่า

“อะไร”

“ผม...ติณณ์ครับ ต่อจากนี้อีกสามเดือนกว่า ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

คนตัวเล็กขมวดคิ้ว มองด้วยความไม่ไว้ใจจนผมส่งยิ้มจริงใจให้ พี่ข้าวถึงยอมยื่นมือมาจับกับผมแบบงงๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

“อย่ามาเรียกผมว่าข้าว! เฮ้ย!” คนตรงหน้าร้องออกมาเมื่อถูกผมดึงมือเดินให้เข้ามาใกล้ และก้มลงไปจนใกล้แก้มแลดูนิ่มนั่น

“ได้ครับพี่ข้าว...เจ้า : )”

“ไอ้!”

“เอาละ หน้าที่ของเด็กฝึกงานอย่างผมต้องทำอะไรบ้างครับพี่ข้าว” ผมผละออกมา พลางทำเป็นเดินสำรวจรอบออฟฟิศอย่างสนอกสนใจ โดยไม่สนใจเสียงรอดไรฟันของพี่ข้าวที่ดังออกมา “มีงานดูแลหัวใจคนแถวนี้ไหมครับ”

“ไอ้เด็กกวนประสาท!”

ผมว่า... ผมได้คำตอบให้ไอ้หมอหมาแล้วล่ะครับ


การฝึกงานในวันแรกไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้ทำอะไรมาก หรือเพราะพี่เลี้ยงกันแน่ที่ทำให้ไม่เบื่อ พี่ข้าวถึงดูจะปากร้าย หาเรื่องด่าผมได้ตลอดไม่เหมือนวันที่เจอกันที่ร้าน แต่ก็ใจดี

“อ้าว ไอ้น้องวันนั้นนี่ รู้จักเจ้าหรอถึงมาทำที่นี่?” ผมที่กำลังจะเก็บของกลับหอเลิกคิ้วมองเจ้าของเสียง คนตรงหน้าคือบุคคลเดียวกันกับที่เคยเจอตอนนู้นแหละครับ มารู้ตอนนี้ว่าชื่อหลง เป็นเพื่อนสนิทของพี่ข้าว ทำงานในแผนกเดียวกัน... “เอ้อ น้อง..ติณณ์ใช่ไหม พี่ชื่อหลงเป็นเพื่อนไอ้ข้าวมัน”

“สวัสดีครับพี่หลง” ผมยกมือไหว้แต่ไม่ตอบคำถามที่พี่แกถามตอนแรก พี่หลงก็ไม่ได้อะไรเมื่อไม่ได้รับคำตอบ ทำเพียงยักไหล่แล้วเดินกลับโต๊ะไป อะไรของเขา...

หนึ่งสัปดาห์ของชีวิตการเป็นนักศึกษาฝึกงาน... นอกจากทำตัววุ่นวายกับพี่ข้าวทุกวี่วันแล้ว ก็ไปเป็นเบ้ให้ชาวบ้านทั้งแผนกจนรู้จักครบทุกหน่วยงาน นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่

“น้องติณณ์ พี่ฝากไอ้นี่ไปให้พี่แผนกบัญชีหน่อย” พี่จ๋าที่อยู่แผนกเดียวกันเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่มาให้ “เอาให้คุณนพนะ”

ผมรับคำ หยิบซองนั้นมาและเดินลงไปแผนกบัญชี ก้าวขาด้วยความเคยชินไปที่ห้องของคุณนพ เคาะประตูตามมารยาทกก่อนผลักเข้าไปเมื่อได้ยินคำอนุญาต วางแฟ้มไว้บนโต๊ะแต่ไม่ยอมออกไปจนคุณเขาเงยหน้ามอง พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร คุณนพก็เบิกตากว้าง

“น้องติณณ์!” อ่า บอกไปแล้วเนอะว่าที่นี่เครือบริษัทของลุงผม ถ้าใครเคยทำสาขาใหญ่ก็คงเคยเห็นผมบ้าง อย่างคนตรงหน้า... ถ้าจำไม่ผิดเคยเจอน้านพอยู่สองสามครั้งตอนไปป่วนเวลางานของพ่อผม

“สวัสดีครับน้านพ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้า “อันนี้เอกสารครับพี่จ๋าเอามาให้”

“เออๆ เอาไว้ก่อน แล้วนี่มาฝึกงาน?” พยักหน้าตอบ “แผนกไหนล่ะ”

“การตลาดครับ” น้านพเลิกคิ้วเหมือนอยากจะถามอะไรต่อ “ก็สาขานี้มันไม่มีคนรู้จักผมนี่ครับ ไม่อยากเจอว่าใช้เส้นสายหรือเกรงใจเพราะเป็นลูกหลานเจ้าของ ผมก็อยากโดนดุบ้างอะไรบ้าง”

น้านพถึงกับกุมขมับกับคำตอบของผม

“ถ้ายังไงรบกวนน้านพทำเป็นไม่รู้จักผมทีนะครับ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้าที่จำใจพยักหน้ารับคำขอผม ก่อนจะขอตัวออกมาเมื่อเห็นนาฬิกาใกล้ถึงเลขสิบสอง


ระหว่างทางกลับแผนกก็เดินสวนกับพี่ๆ หลายคน รวมถึงอิงอับอรที่มาฝึกพร้อมกัน เขาก็ชวนไปกินข้าวด้วยแหละครับแต่เป้าหมายของหลายวันนี้ของผมคือคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพิมพ์งานอยู่ ผมยกยิ้มเมื่อเห็นว่าไม่มีคนเหมือนแผนกก่อนจะนั่งยองๆ ข้างโต๊ะพี่ข้าว

“พี่ข้าวครับ เที่ยงนี้พาผมไปกินข้าวหน่อยนะครับ ผมไม่รู้ว่าแถวนี้มีอะไรอร่อย” ผมว่าเสียงอ้อน คนทำงานยังคงพิมพ์เอกสาร ไม่แม้แต่หันมาสนใจผมนี่พักเที่ยงแล้วนะ

“...”

“พี่ข้าวจะใจร้ายกับเด็กฝึกงานตาดำๆ เพิ่งเริ่มฝึกงานที่หิวจนท้องกิ่วได้ลงคอหรอครับ”

พี่ข้าวเหลือบมองผมที่นั่งยองๆ เกาะของโต๊ะของอีกคนอยู่ด้วยหางตา ตาสีเข้มนั่นกวาดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมว่าในหัวพี่ข้าวตอนนี้คงมีความคิดว่า ‘ไอ้หมอนี่มันใกล้เคียงกับคำว่าเด็กตาดำๆ ตรงไหนวะ’ ก่อนทำเป็นไม่สนใจผมแล้วหันกลับไปพิมพ์เอกสารต่อ ขยันแท้

“พี่ข้าวครับบบ”

“เงียบ! หนวกหู!”

“พี่ข้าวอ่า”

“ฮ่าๆ ไอ้ติณณ์มานี่ ไอ้เจ้ามันไม่อยากไปก็ไม่ต้องชวน มากินกับพี่ไหม” ผมหันพี่หลง รู้แล้วครับว่าพี่อกไม่ได้มีอะไรในกอไผ่กับพี่ข้าวอย่างที่ผมคิด เพราะพี่หลงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วสวยด้วย ก็พี่จ๋าที่เคยให้ผมเอาเอกสารไปให้น้านพไงครับ

“ไม่อ่ะพี่ กินกับพี่เดี๋ยวฟ้าผ่า” ผมสั่นหน้า พี่หลงอ้าปากมองผมอย่างเหวอๆ ก่อนจะขำออกมาล็อตใหญ่

“ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย ไอ้ติณณ์แม่ง ฮ่าๆ พี่หมายถึงกินข้าวกลางวันเว้ย ไม่ใช่กินบนเตียง! สมมติว่าพี่ชอบผู้ชายแต่ขนาดตัวแบบติณณ์พี่ก็กินไม่ลงว่ะบอกตรง”

“ก็พี่บอกผมไม่หมดนี่ครับโธ่ แต่ถ้าชวนไปกินบนเตียง... ผมอยากกินกับคนนี้มากกว่า” ผมยิ้มกว้าง หันไปมองพี่ข้าวที่หน้าบึ้งลงเรื่อยๆ “ผมอยากกินข้าว”

ปึ่ก! แฟ้มเอกสารถูกปิดและวางลงอย่างแรงโดยเจ้าของโต๊ะ

“โอ๊ะโอ เรียกชื่อต้องห้ามซะแล้ว... หรือพ่อหนุ่มริจะจีบไอ้เจ้าหรือไง” ผมพยักหน้ายอมรับ พี่หลงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ว่าไงเจ้า ให้จีบไหม”

“จีบห่าอะไร! ผมบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะว่าผม ไม่สนผู้ชาย!” พี่ข้าวแวดเสียงใส่คนสนิท ไม่วายที่จะส่งทายตาทิ่มแทงใส่ผมด้วยโดยมีเสียงพี่หลงหัวเราะเป็นซาวด์ประกอบ

“พี่ข้าวรู้อะไรไหม...ไอ้คนที่บอกว่าไม่สนผู้ชายเนี่ย ลองแล้วติดใจผมทุกราย” ผมยกคิ้วกวนๆ ให้คนตรงหน้า พี่ข้าวอ้าปากหน้าแดงก่ำ ส่วนพี่หลงก็หัวเราะลั่นออฟฟิศ อันที่จริงก็พูดไปอย่างนั้นละครับ ส่วนมากที่จึ่กๆ กันเขาก็เชี่ยวกันแล้ว (...)

แต่ในวินาทีต่อมานั่นเอง
ปึ่ก!

แฟ้มเอกสารเล่มหนาบนโต๊ะพี่ข้าวก็ถูกปากระแทกหน้าผมที่นั่งยองๆ บนส้นเท้าอย่างแรง จนผมเสียหลักหงายหลัง ไม่มีโอกาสได้แก้ความ

นาทีนี้ผมรู้แล้วว่า ณ บริษัทนี้ แผนกนี้ แฟ้ม... คืออุปกรณ์ทำร้ายล้างสูงสุด...

ตุ๊บ

“เฮ้ยไอ้ติณณ์!” พี่หลงร้องเสียงหลงเมื่อเห็นผมล่วงตุ๊บก้นกระแทกพื้น “เวรละ เจ้าเอาทิชชู่มา!”

ความรู้สึกเหมือนมีของเหลวอุ่นๆ กำลังไหลลงมาจากโพรงจมูกทำให้ผมยกหลังมือขึ้นปาดดู เชี่ยเลือดไหล...

“มึงเล่นแรงกับน้องไปไหมวะ ไม่ชอบก็บอกมันดีๆ ก็ได้ ติณณ์ก้มไว้อย่าเงยนะ เออๆ อย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำแข็งมาให้” พี่หลงว่า ส่งทิชชู่ให้ก่อนจะรีบเดินออกไปหาน้ำแข็งอย่างที่บอกไว้

ตอนนี้เหลือแต่ผู้ถูกกระทำ และคนร้ายที่ยังนั่งอยู่

“เอ่อ... ผมไม่ได้ตั้งใจ” พี่ข้าวว่าเสียงเบาให้ผมที่เอาทิชชู่อุดจมูกอยู่ฝืนเงยหน้าไปมอง ก่อนเจ้าของเสียงที่แววตาสำนึกผิดจะส่งมือมาลูบเบาๆ บริเวณสันจมูกที่คงขึ้นสีแดง “เจ็บมากไหม”

“เจ็บนิดหน่อยครับ” ผมตอบตามจริง และยิ้มแห้งออกมา “พี่ข้าวไม่ผิดสักหน่อย ผมผิดเองที่เล่นเยอะไป ขอโทษครับ”

“...” คนตรงหน้าคิ้วผูกเข้าเป็นโบว์ ปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่นก่อนคลายออก “พี่ขอ---”

“เอ้านี่น้ำแข็ง” พี่หลงเข้ามาขัดจังหวะการพูดของพี่ข้าว ห่อผ้าที่เย็นจัดถูกวางลงกับสันจมูกผมอย่างเบามือ “รอเลือดหยุดค่อยเอาออก มึงดูน้องไว้เดี๋ยวกูลงไปซื้อข้าวขึ้นมาให้”

“ทำ---”

“อย่าถามว่าทำไม มึงเป็นคนทำน้องเลือดออก ติณณ์กินไรเดี๋ยวพี่ซื้อให้ไม่ต้องเกรงใจ” พี่หลงยกมือชี้หน้าพี่ข้าวที่หุบปากฉับ แล้วหันมาถามผมในประโยคหลัง

“เอ่อ...งั้นกะเพราไก่ก็ได้ครับ” ผมตอบเมนูที่คิดว่าง่ายที่สุดแล้ว “กระเป๋าเงินผมอยู่ที่โต๊ะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้ครับ”

“ไม่ต้องๆ วันนี้ไอ้เจ้าเลี้ยง” คนโดนพาดพิงบ่นอุบ “งั้นเดี๋ยวพี่มา”

“ครับ ฟื้ด...”

“เลือดหยุดไหลแล้วมั้ง” เสียงพี่ข้าวพูดขึ้นเบาๆ หลังจากที่พี่หลงออกไปแล้ว เอื้อมมือมาจับคางผมที่ก้มหน้าให้เงยขึ้น “อุดอย่างนั้นหายใจออกหรือไง”

“น่าจะหมดแล้วมั้งครับ น้ำแข็งที่พี่หลงเอามาก็เริ่มละลายแล้วด้วย” ผมตอบ เอากระดาษที่ยัดจมูกออกมาดู เลือดแห้งกรังเลย... แล้วมันโยนลงถังขยะใกล้ตัว

“...”

“ครับ?” ผมที่ยกมือปาดเอาเลือดแห้งออกจากจมูกเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นอีกคนที่เม้มปากจ้องผมเขม็ง รอแล้วรออีกก็ไม่เห็นว่าพี่ข้าวจะพูดอะไรออกมา “งั้น...ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ”

ไม่รอให้พี่ข้าวตอบรับผมก็เดินออกไปทันที รำคาญไอ้เศษเลือดแห้งๆ นี่ละครับ มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหนบ้าง

แต่เสียดายที่ผมเดินออกมาก่อน... ถ้าผมยืนรออีกสักนิดก็จะได้ยินคำขอโทษจากอีกคนที่ดังแผ่วเบา

“...ขอโทษ”

Tbc.

――――――――――――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -1- 23|01|2561
«ตอบ #4 เมื่อ24-01-2018 23:05:48 »

 :mc4:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -3- 25|01|2561
«ตอบ #5 เมื่อ25-01-2018 21:50:14 »

-3-

เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ผมเลยถือโอกาสกลับมากลิ้งเล่นอยู่ที่คอนโดเดิมได้ ถ้าวันธรรมดาผมอยู่ห้องเช่าใกล้ๆ ที่ฝึกงานครับ เพราะคอนโดไอ้หมอหมามันไกลเกินไป ขี้เกียจตื่นเช้าไปเจอรถติด พอกลับมาถึงก็เจอเพื่อนรักที่เพิ่งกลับจากบ้านที่โคราชพอดีเลยลากคอมันมาเพ้อใส่อย่างคนเก็บกดมาทั้งอาทิตย์

“สรุปมึงเจอเขาที่ฝึกงาน?” ไอ้อาร์ตถามผมหลังจากที่ผมเล่าว่าไปเจออะไรที่ฝึกงานมาบ้าง

“อื้อ โครตบังเอิญ” ผมตอบ “แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้ากูว่ะ แม่งออกตัวก่อนเลยว่าไม่สนใจผู้ชาย” ไอ้หมอหมาเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อผมเล่าวีรกรรมทั้งอาทิตย์ให้มันฟังจบ

“โอ๊ย อย่างมึงเนี่ยนะพลาดท่าโดนเขาปาแฟ้มใส่ แถมไปเลือดกำเดาให้เขาเห็นอีก ฮ่าๆๆ”

เออ รู้ว่ากูน่าสมเพช... จนตอนนี้ผมพยายามที่จะไม่แหย่พี่ข้าวเวลาพี่แกมีอุปกรณ์ทำลายล้างอยูใกล้มือครับ... แต่ถ้าถามว่าโกรธไหมที่พี่ข้าวรุนแรงใส่ ก็ไม่นะครับ ผมไปกวนเขาก่อนนี่...

“พอเถอะ แค่นี้กูก็สมเพชตัวเองพอแล้ว” ผมว่าปลงๆ พลางยกสองมือขึ้นลูบใบหน้า แล้วพรูลมหายใจออกมาแรงๆ

ไอ้หมอหมาหยุดหัวเราะ ลุกขึ้นหันตัวหายไปในห้อง ก่อนจะกลับมาพร้อมกระป๋องเบียร์และจานกับแกล้มในมือ “กูว่าพอมีหวังเพราะจากที่ฟังมึงเล่าพี่แกบอกแค่ว่าไม่สนผู้ชายไม่ใช่ไม่ชอบใช่ไหม แล้วมึงจะเอาไงต่อ ลุยหรือหยุด?”

“ลุยดิ กูบอกแล้วไงคนนี้กูชอบ นิสัยกูก็ไม่ได้มีปัญหา ถ้าปราบดีๆ จากเสือก็เป็นแมวได้น่ามึง แถมพี่ข้าวเป็นคนแรกที่กูเข้าหาด้วย”

“หรอ แล้วเตยล่ะ” ผมเกือบสำลักเบียร์เมื่อไอ้หมอเอ่ยชื่อๆ หนึ่งขึ้น มุมปากมันยกขึ้นคล้ายยิ้มเยาะ “จำได้ว่าพี่ข้าวของมึงไม่ใช่คนแรกที่มึงเข้าหานี่”

ผมจ้องคนตรงหน้าเขม็งจนอีกคนยกมือยอมแพ้ “โอเคๆ ก็ไม่พูดชื่อนี้ก็ได้”

“เฮอะ มันจบหลายปีแล้วจะขุดขึ้นมาหาห่าอะไร” ผมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นบังสีหน้า เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากครับ เตยก็แค่แฟนเก่า คงใช้คำนี้ได้มั้ง แฟนเก่าที่จบไปไม่สวย... โคตรจะไม่สวย เรื่องนี้ผมพลาดเองและไอ้หมานี่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็เอาเถอะ ผมไม่อยากจะรื้อฟื้นมันนัก ลืมได้ก็ดี

แต่ถ้าอยากรู้ก็จะเล่าให้อ่านก็ได้ครับ ก็ตอนประกวดดาวเดือนเมื่อครั้นสมัยเป็นเฟรชชี่หน้าใสจนได้ตำแหน่งเดือนมาครอง ก่อนหน้าเข้ามหาลัยผมก็รู้จักคนไปทั่ว พอได้ตำแหน่งมาบวกหน้าตาดีอยู่แล้วก็ยิ่งมีคนมาเสนอตัวทั้งชายหญิงเหมือนไอ้หมอหมานั่นแหละ รูปหล่อพ่อรวยก็เงี๊ยะ บางคนเข้ามาหาผมเพื่อเงิน บางคนเอาแค่ว่าได้ควงคนหล่อก็พอใจแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเสนอมาผมสนองไป ไม่ได้มั่วนะครับ ผมควงเป็นคนๆ ไป

แล้วเตย...อ่า ผมไม่อยากพูดชื่อเธอเลย มีคนบอกว่าเตยเป็นคนสวยแต่หยิ่งครับ ด้วยความอยากลองของของผมเลยพาตัวเองไปจีบเธอ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามหาลัยที่ผมเริ่มเข้าหาคนอื่นก่อน ผมจีบเธออยู่ไม่กี่ครั้งและมันติด... มันติดง่ายเกินไปแต่ผมไม่ได้ตงิดใจอะไร ด้วยความที่เธอก็นิสัยแบบผู้หญิงทั่วๆไป ไอ้เราก็เลยเทคแคร์ไปตามปกติเวลาเธอก็อ้อนเอานู่นนี่นั่น สุดท้ายเป็นไงครับ...จับได้ว่าเธอเอาของไปให้ผู้ชายอีกคนที่มีศักดิ์เป็นสามีเธอจริงๆ แถมไอ้ตอนจับได้นะ มันเอาสามีมันมานอนห้องที่ผมเช่าไว้อยู่ ผมเลยตัดขาดกับเธอ รวมถึงไอ้เรื่องความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับคนอื่น จะมีก็แต่พวกวันไนท์ อันที่จริงมาปลงตกได้ตอนย้ายมาหารค่าไฟกับไอ้หมอหมานี่ล่ะครับ เจอมันเทศน์แล้วสำนึกได้...

ที่จริงก็ลืมไปแล้วล่ะ แต่คิดถึงแล้วแม่งหงุดหงิด

“เลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นน่า แทนที่จะเครียดเรื่องเก่ามึงหาวิธีไปจีบเขาดีกว่าไหม” หมอหมาเปลี่ยนเรื่องคุยหลังเห็นผมเงียบไปนาน “แต่กูว่าไอ้ที่เชื่องเป็นแมวน่าจะมึงมากกว่านะติณณ์”

“เสืออย่างกูเชื่องยากเว้ย” ผมตอบไอ้หมอหมาพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดัง

“พนันไหมล่ะ ถ้ามึงเป็นแมว... อ่า กูอยากได้ดูคาติ” ไอ้หมอหมายักคิ้วกวนพร้อมบอกข้อเสนอ

“หึ แต่ถ้ามึงแพ้มึงต้องซื้อให้กู ดีล?”

“จัดไป” ผมยิ้มอย่างคนมั่นใจในตัวเองก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยกับเพื่อนรักที่พูดถึงเรื่องเด็กข้างบ้านบ้าง

ก็ตอนนั้นผมไม่รู้นี่ว่าในอนาคตตัวเองจะเชื่องจริงๆ...


“พี่ข้าวววว”

และแล้วเช้าวันจันทร์ก็วนมาถึงอีกครั้ง บางคนอาจเกลียดวันจันทร์แต่ผมรักมันเพราะมันทำให้ผมเจอพี่ข้าวเจ้า ผมส่งเสียงสดใสทักเจ้าของโต๊ะทันทีที่เดินไปถึง สังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าพี่ข้าวจะเข้างานก่อนผมราวๆ 10นาที เพราะงั้นตอนนี้พี่แกอยู่โต๊ะชัวร์! อีกอย่างนะ หลังจากวันที่ผมโดนแฟ้มฟาดหน้า พี่ข้าวดูเหมือนค่อนข้างที่จะเริ่มใจดีกับผมมากขึ้น อย่างแรกคือพี่แกไม่แทนตัวเองว่าผมแล้วใช้คำว่าพี่แทน แล้วก็ไม่ท้วงเวลาผมเรียกพี่แกว่าข้าวแล้ว ดีใจ~ (ข้าวเจ้า – ท้วงไปก็ไม่ฟัง ท้วงทำไมให้เปลืองน้ำลาย...)

“โย่”

“อ้าวพี่หลงหรอกหรอ” ผมว่าเสียงเจือผิหวังเมื่อเห็นว่าคนบนโต๊ะไม่ใช่คนที่อยากเจอ

“อะไรๆ แค่นี้หงอย? โธ่ๆ ไอ้หนูเอ๊ย” พี่หลงเอื้อมมือมาขยี้ผมที่เซ็ตไว้จนพัง “วันนี้เจ้าบอกว่าลูกมันงอแงกลางทาง อาจเข้าช้า”

“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้ ลูกพี่ข้าวที่พูดถึงเป็นรถมอเตอร์ไซค์ครับ ผมเรียกว่าไอ้แก่เพราะเห็นสภาพของมันแล้วอยากให้พี่ข้าวเปลี่ยนรถแต่ก็ต้องเงียบเมื่อพี่เขามองตาขวาง เกือบจะโดนด่าเพราะไปว่าลูกรักพี่แก... พอผมนั่งลงกับโต๊ะตัวเองปุ๊บพี่หลงก็ไถลเก้าอี้พุ่งมาหาทันที

“ติณณ์ พี่ถามจริงๆ นะ เคยเจอไอ้เจ้าที่ไหนอะไรยังไง แล้วทำไมถึงชอบมันวะ” พี่หลงยิงคำถามรัว มองซ้ายมองขวาก่อนก้มมาพูดกับผมเบาๆ ด้วยเสียงหนักแน่น “พี่อยากรู้ พี่อยากเสือก”

“อือหือ เต็มหน้าผมเลย”

“เล่ามา แลกกับเบอร์ไอ้เจ้า”

“ผมไปเจอพี่ข้าวที่ร้านXXXครับ เห็นคนกำลังจีบพี่ข้าวอยู่ แล้วพี่แกดูจะไม่เล่นด้วยเลยเข้าไปช่วยแบบเนียนๆ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรมาก แต่พอเห็นหน้าชัดๆ แล้วได้คุยกันเท่านั้นแหละ สเปคเลย” ผมดีดนิ้วพร้อมตอบคำถามอย่างไม่อิดออด พี่หลงเบิกตากว้างก่อนหัวเราะออกมาดังลั่นจนพี่ทศตะโกนมาด่า จะว่าผมอ่อนก็ได้ครับ ขอเบอร์พี่เลี้ยงตัวเองไม่เคยได้เลย พี่ข้าวใจร้ายชะมัด กระซิก

“โห ไอ้เรื่องเจ้าล่ะเร็วเชียวไอ้เสือ” ผมยิ้มแป้นรับ มองพี่หลงที่นั่งเท้าคาง “โอเค คำตอบเดียวกับไอ้เจ้าเลย แล้วไงต่อ ยังไม่จบใช่ไหม หืม”

ผมพยักหน้า “ก็พอวันที่เจอพี่ข้าวที่ห้าง...วันที่เจอพี่นั่นด้วยแหละ ตอนเจอพี่ข้าวบอกว่าตัวเองชื่อเจ้า ไหนจะนิสัยที่คนละอย่างกับวันนั้นอีกก็ทำผมเหวอเหมือนกันนะ แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นแฝดพี่ข้าวเพราะตรงนี้” ผมชี้ที่หางตาซ้ายตรง ตำแหน่งเดียวกับไฝพี่ข้าว “ถ้าแฝดยังไงตำหนิก็ไม่น่ามีเหมือนกันใช่ไหมล่ะพี่ ผมก็พยายามจะตามหาพี่เขาให้ได้เพราะมันคาใจ ทั้งกลับไปมาหาที่ร้าน ทั้งโทรตามนามบัตรที่พี่ข้าวให้ แต่ดันเป็นของใครก็ไม่รู้ นี่เจอเขาด่ากลับมาซะไม่เหลือมาดเลย กะจะให้ป๊าช่วยหาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่เขา จนเพื่อนผมมันบอกให้ผมตัดใจอ่ะพี่ สามเดือนที่ผ่านมาผมก็ยังอยากเจออยากรู้จักพี่เขาอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะมาเจอง่ายๆ อย่างนี้ ฮ่าๆ”

“หรอ แล้วชอบนิสัยไหนมากกว่ากัน” พี่หลงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามต่อ ตอนนี้เขาเท้าศอกทั้งสองข้างลงกับโต๊ะ แล้วจ้องมองเขม็งด้วยแววตาจริงจัง ก่อนมันจะหายไปเมื่อเสียงของบุคคลที่พวกเรากำลังพูดถึงดังขึ้น

“โอ๊ย แม่งเสียเงินแต่เช้าเลย ใครมันเอาตะปูไปทิ้งกลางถนนวะ” คนมาใหม่บ่นอุบ “แล้วมึงมานี่ทำไม? รู้สึกว่าโต๊ะมึงอยู่นู่น”

“มาคุยกับเด็กมึงไง” พี่หลงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปยักคิ้วใส่เพื่อนสนิท “งั้นเดี๋ยวพี่มาเอาคำตอบตอนมันเผลอแล้วกัน”

“หือ คุยไรกัน?” ผมควรดีใจไหมที่พี่ข้าวไม่ปฏิเสธคำว่า เด็กมึง

“ไม่ยุ่งน่าเตี้ย”

“ด่ากูเสือกเลยป่ะ?”

“เออ อย่าเสือก”

“ไอ้หลง!”

พี่หลงยิ้มเยาะที่ก่อกวนเพื่อนสำเร็จ ทำท่าจะเดินกลับโต๊ะของตัวเองแต่โดนผมดึงแขนไว้ก่อน “มีไรอีก?”

“คำถามที่พี่ถามไว้” ผมยิ้ม หันมองคนตัวเล็กที่ยืนทำหน้างงอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ “จะนิสัยไหนผมก็ชอบครับถ้าเป็นพี่ข้าว”

“ติณณ์!!” พี่ข้าวเรียกชื่อผมเสียงหลง ใบหน้าเล็กขึ้นริ้วแดง ในขณะที่เพื่อนสนิทของพี่แกขำลั่นอีกครั้งจนพี่ทศตะโกนด่าให้หุบปากอีกรอบ

“อุ๊บ ฮ่าๆๆ เจ้าเอ๊ยมึงเตรียมลงจากคานนะมึง ผู้หญิงไม่สนแต่ผู้ชายก็ดีนะมึง มีคนดูแล” พี่หลงกลั้นขำพลางตบบ่าเพื่อนตัวเองแรงๆ พี่ข้าวตวัดตามองผมสลับกับพี่หลงดุๆ ทั้งที่ยังหน้าแดง
น่ารัก

“ไอ้หลง! งานมึงจะทำไมถ้าไม่ทำก็กลับบ้านไป!” พี่ทศที่เริ่มหมดความอดทนเดินขึ้นมาหาพวกเรา พี่หลงทำตาวาวกับคำพูดของหัวหน้าแล้วพูดต่อ

“กลับได้หรอพี่ งั้นผมลาล่ะครับ”

“แวะมาเอาซองขาวก่อนกลับด้วยล่ะ” พี่ทศยิ้มอย่างผู้ชนะให้พี่หลงที่ยิ้มแหยเดินกลับโต๊ะไป พอพี่หลงไปหัวหน้าแผนกก็หันมาถามผมเพราะได้ยินเรื่องราว “จีบไอ้เจ้าจริงดิ หมัดมันหนักนะ?”

“หนักแค่ไหนก็คงไม่สะเทือนผมหรอกครับ” พอได้ฟังคำตอบทั้งพี่ข้าวและพี่ทศก็ยิ้มชั่วร้ายออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนพี่ทศจะเป็นฝ่ายเดินมาตบบ่าผมอย่างเห็นใจ

หรือผมพลาดอะไรวะ?


“ติณณ์พี่ฝากอันนี้ไปให้เจ้าหน่อย” เสียงของพี่ทศทำให้ผมที่กลับจากห้องน้ำชะงักขาแล้วหันไปมองคนที่ยื่นแฟ้มเล่มเล็กมาให้

“ครับ?”

“อันนี้ข้อมูลแผนการตลาด พี่ฝากไปให้เจ้าหน่อยนะ” พี่ทศว่าแล้วหันไปมองนาฬิกา “อ่า...บอกมันด้วยว่าพี่เอาเย็นนี้”

“ได้ครับพี่ทศ” ผมรับแฟ้มนั่นมา ก้มหันให้คนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนเดินกลับโต๊ะ

“พี่ข้าวไปกินมื้อเที่ยงกัน” ผมวางแฟ้มนั่นไว้พลางเอ่ยชวนคนโต๊ะข้างๆ เมื่อเห็นว่าได้เวลาพักแล้ว “นะครับ ไปกันๆ”

พี่ข้าวปรายตามองผมสลับกับแฟ้มเล่มใหม่แต่ไม่มีท่าทีว่าจะลุก มือเล็กนั่นยังคงง่วนกับการพิมพ์เอกสาร ผมหันมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ ผมตัดสินใจลุกขึ้น คว้ากระเป๋าเงินและโทรศัพท์เข้ากางเกง แต่พอก้าวออกมาจากตรงนั้นไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเพราะได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ตามด้วยเสียงคนเดินตามหลัง

“จะหยุดเดินทำไม ไหนจะไปกินข้าวเที่ยง” คนด้านหลังส่งเสียงบอก พอหันไปมองพี่ข้าวก็สะดุ้งเล็กๆ และหันหน้าไปทางอื่น “มองไร? ก็งานเสร็จแล้วนี่ พี่หิวแล้ว ไปดิไป๊”

ผมยกยิ้มมองแผ่นหลังของพี่ข้าวที่ออกเดินนำผมทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ ผมบอกแล้วไงพี่ข้าวน่ะใจดี

“ยิ้มบ้าอะไรจะกินไหมห๊ะ!”

“กินครับ!”

พอมาถึงร้านอาหารที่ใต้อาหาร ผมเสนอตัวไปซื้อข้าวเที่ยงให้อีกคน แต่พี่ข้าวกลับชี้นิ้วบอกให้ผมเฝ้าโต๊ะไว้แล้วเดินไปต่อแถวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวทันที ผมที่เชื่อฟังคำสั่งของพี่ข้าวอย่างเคร่งครัดก็ได้แต่นั่งทำหน้าทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่โต๊ะรอให้อีกคนกลับมา พี่หลงที่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะไร้เสียงใส่ผม ไม่ถึง10นาทีพี่ข้าวก็กลับมา...พร้อมชามก๋วยเตี๋ยวในมือ2ชาม

คนตัวเล็กวางทั้ง2ชามลงกับโต๊ะ และดันหนึ่งในนั้นมาตรงหน้าผม

“พี่ข้าวครับ...” ผมทำตาโตมองคนตรงหน้าที่เริ่มปรุงอาหารแล้ว พี่ข้าวเหลือบมองผมก่อนจะส่งตะเกียบให้ “อันนี้ของผมหรอครับ?”

“ของหมามั้ง” พี่ข้าวว่าเสียงขุ่น ส่งตะเกียบมาจิ้มลูกชิ้นในชามตรงหน้าผมไป “อันนี้พี่เลี้ยง ก็ตั้งแต่มาพี่ยังไม่เลี้ยงเราเลยนี่หว่า”

พี่ข้าวพูดพลางสูดเส้นสีขาวไปด้วย ผมที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง เอ่ยปากขอบคุณก่อนลงมือจัดการอาหารตรงหน้า

อ่า...ตั้งแต่เข้ามาฝึกงานนี่เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของผมแล้วล่ะครับ

“อ้าว ข้าวเจ้า หวัดดี” เสียงใสของใครสักคนเอ่ยทักพี่ข้าว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ แล้วนี่มากินข้าวหรอ”

ผมก้มมองชามก๋วยเตี๋ยวสลับกับเจ้าของเสียง อยากตอบไปชะมัดว่าไม่ได้กินข้าว มากินก๋วยเตี๋ยว ก็ได้แต่คิดแล้วก้มสูดเส้นสีขาวเข้าปากต่อ

“หึ เรากินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้กินข้าว สาวล่ะ”

“อุ๊บ แค่ก” ผมสำลักเส้นก๋วยเตี๋ยวทันทีที่ได้ยินอีกคนตอบ เอื้อมมือรับน้ำที่พี่ข้าวส่งให้แล้วก้มหน้าซบแขนตัวเอง อยากหัวเราะแต่ก็เกรงใจ อะไรดลใจให้พี่แกตอบคำเดียวกับที่ผมคิดล่ะวะ

“น้องเขาไหวไหมอ่ะเจ้า” เสียงใสเจ้าของชื่อสาวนั่นพูดแกมเป็นห่วงในอาการผม

“ไม่รู้สิ ติณณ์ไหวไหม” มือของพี่ข้าวเอื้อมมาแตะแขนผมเบาๆ ผมชูมือเป็นเครื่องหมายโอเคก่อนเงยหน้าขึ้นมา

“โอเคครับพี่ข้าว แค่ผมรีบกินไปหน่อย” ผมตอบอีกคนที่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ พี่สาวร้องอุ๊ยมองผมสลับกับพี่ข้าว ที่เลิกคิ้วขึ้น หันไปคุยกับเพื่อนพี่แกอีกสองสามคำก่อนจะมาสะกิดให้ผมลุก

“เมื่อเป็นอะไร” พี่ข้าวเงยหน้าถามผมระหว่างที่เราเดินกลับแผนกกัน

“ก็บอกแล้วไงครับว่ารีบกินเกินไปเลยสำลัก ของที่พี่ข้าวซื้อให้มันอร่อยเกินไป” ผมขยิบตา คนสูงแค่ปากผมหรี่ตามองเหมือนไม่เชื่อ “อันที่จริงที่พี่ข้าวตอบเขาไปคือประโยคเดียวกับที่ผมคิดอยู่ครับเลยหลุดขำ ผลก็อย่างที่เห็น...”

ผมยกมือขึ้นเกาแก้มอย่างเขินๆ มองที่ข้าวที่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเดินนำผมลิ่ว เมื่อกี้ได้ยินพี่ข้าวพูดว่า สมน้ำหน้า หรือ ไอ้เด็กบ้า ด้วยล่ะครับ

tbc.

―――――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -4- 26|01|2561
«ตอบ #6 เมื่อ26-01-2018 20:37:50 »

-4-
ข้าวเจ้า
“เด็กนั่น... คนรู้จักมึง?” ผมตวัดตามองเพื่อนตัวสูงที่หันกลับไปมองไอ้เด็กชื่อติณณ์นั่น พลางยืนลูบคางตัวเองราวกับกำลังใช้ความคิด “แล้วยังเรียกชื่อต้องห้ามมึงอีก นี่กูพลาดอะไรหรือเปล่า หืม?”

ไอ้หลงยิ้มเจ้าเล่ห์ มันเอนตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมจนต้องใช้ฝ่ามืองัดคางมันขึ้นจนได้ยินเสียงคอสั่น น้อยคนครับที่จะเรียกผมว่าข้าว(นอกจากครอบครัวนะ) ชื่อมันน่ารักเกินไปสำหรับผม เรียกเจ้าดีกว่าแมนดี

“เคยเจอที่ร้านวันก่อน กูโดนจีบอยู่ตรงบาร์แล้วมันมาช่วย” ผมโคลงหัว “ดูก็รู้ว่ามันคงไม่ได้ทำตัวเป็นพระเอกที่มาช่วยโดยไม่หวังผล ตามันบอกว่าสนใจกู กูเลยบอกชื่อนั้นไปเพราะไม่คิดจะได้เจออีก มึงก็รู้กูไม่สนใจแนวนี้... อีกอย่างมึงก็รู้ตอนเมากูเป็นยังไง”

“อ้อ น้องข้าวเมาแล้วขี้อ่อย โอ๊ย! เจ็บนะมึง!”

“อ่อยเหี้ยไรล่ะ” ผมสะบัดหน้าไปอีกทาง ไอ้ร้านที่ว่านั่นไอ้คนตรงหน้าผมมันเป็นเจ้าของแหละครับ ผมกับหลงเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยมละ ไปเจอมันในค่ายมวยของตา ตอนนั้นไอ้หลงตัวเล็กๆ เหี่ยวๆ ดูไม่ค่อยสู้คน แต่ก็ไม่นึกว่าพอโตมานี่จะสูงฉิบหาย... ส่วนผมนี่หยุดที่ร้อยเจ็ดสิบสามตั้งแต่ม.ปลายแล้ว แย่!

พอเรียนจบมันก็บอกว่าอยากจะทำร้านในฝันของมันผมเลยร่วมหุ้นด้วยเพราะมันบอกจะดูแลเอง ที่ไหนได้... ทำได้ไม่ถึงปีมันก็กลายมาเป็นพนักงานออฟฟิศเดียวกันนี่ล่ะครับ ส่วนร้านนั่นก็จ้างคนจ้างญาติมาดูแล นานๆ ทีจะเข้าไปคุมเอง ไอ้พวกรวยเอ๊ย! ส่วนเรื่องกินเมา.. น้ำเปลี่ยนนิสัยไงครับคุณ

“นี่มึงยังไม่เข็ดกับการโดนสาวบอกเลิก เพราะมึงโดนผู้ชายมาจีบต่อหน้าต่อตาเขาอีกหรือไง” นิ้วไอ้หลงจิ้มๆ ลงกับแก้มผม เห็นอย่างนี้ผมก็มีสาวๆ มาติดนะ “เห็นความสูงมึงแล้วเสียดายความมาดแมนตอนเด็กจริงจริ๊ง แล้วยังเคยคบกะ---”

“ไอ้หลง!” ผมแผดเสียงใส่เพื่อนที่พูดอยู่  “กูสูงเกินมาตรฐานคนไทยนะเว้ยไม่ใช่เสาไฟอย่างมึง”

“ก็ไม่ได้บอกว่ามึงเตี้ย...เอ่อ จ้ะๆอย่าทำหน้างั้นดิ เดี๋ยวกูโทรหาจ๋าแปปจะได้เวลาแล้ว” มันแถก่อนผละออกไปโทรหาแฟนมัน อันที่จริงผมผมไม่ได้ตั้งใจมาดูหนังหรอก ผมมาเป็นกขค.คู่นี้มากกว่า

หึ เหม็นความรัก

ดีที่นับตั้งแต่ทำไอ้เด็กสูงเยี่ยงเปรตที่เจอในวันนั้นทำหน้าเหวอได้ผมก็ไม่เจอมันอีกเลย นับเป็นเรื่องที่ดีเพราะผมไม่ต้องมาเจอผู้ชายตามจีบต้อยๆ อีก แล้วไอ้นามบัตรที่ผมให้มันไปตอนนั้นก็หยิบส่งๆ ให้ ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าเป็นชื่อใคร ต้องขอโทษเจ้าของนามบัตรแผ่นนั้นล่วงหน้าแล้วกันครับ...

แต่คุณเคยคิดไหมว่าโชคชะตาชอบเล่นตลกกับเรา...

“เจ้า แกเป็นพี่เลี้ยงเด็กฝึกงานได้ไหม” พี่ทศ หัวหน้าแผนกการตลาดที่ผมทำงานอยู่ด้วยพูดขึ้น “มีเด็กมาสามคน หญิงสองชายหนึ่ง พี่ว่าจะให้แกกับไอ้หลงช่วย”

“ได้ดิพี่ ผมหาคนช่วยงานพอดี”

“เออดีๆ งั้นตามมา พี่จะพาไปรู้จักเบ๊ประจำตัว” ที่ทศยักคิ้วให้แล้วออกเดินนำ เด็กฝึกงานทั้งสามคนนั่นดูเหมือนไม่ได้มาจากมหาลัยเดียวกัน ผู้หญิงสองคนกำลังยืนคุยกับไอ้หลงคาดว่านั่นคงเป็นเด็กไอ้หลงเรียบร้อย ส่วนผู้ชายที่คาดว่าผมต้องเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นยืนหันหลังให้ผมอยู่ สูงชะมัดเด็กสมัยนี้

“นี่น้องติณณ์ เบ๊...เอ๊ย เด็กฝึกงานคนใหม่ของเรานะ พี่ฝากเจ้าดูแลน้องมันด้วยแล้วกัน ส่วนนี่ข้าวเจ้านะ เป็นพี่เลี้ยงเรา มีอะไรก็ถามๆ มันเอาแล้วกัน”

คิ้วผมกระตุกเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู และเกือบจะร้องออกมาเมื่อได้เห็นหน้า ‘เด็กฝึกงาน’ ชัดๆ
ไอ้เด็กนั้นนี่หว่า! ผมสบถในใจ จากที่จะยิ้มแย้มรับเด็กฝึกงาน ผมค่อยๆ หุบยิ้มลงสวนทางกับไอ้เด็กนั่นที่ยิ้มกว้างขึ้นเหมือนคนดีใจฉิบหาย

“ทำไมไม่ให้ไอ้หลงดูแลวะพี่ งานผมเยอะพี่ก็รู้” ผมเผลอว่าเสียงแข็ง ตวัดหางตาไปมองพี่ทศ

“แกรับปากแล้ว ไอ้หลงมันรับสาวๆ ไปแล้วนู่น เจ้ารับไอ้นี่ไปแหละดีแล้ว” พี่ทศว่า สายตามองไปที่ไอ้หลงที่เต๊าะสาวอยู่ “พี่ฝากดูแลด้วยละกันเจ้า รักๆ กันไว้ละไอ้หนู”

“ครับ...ผมจะรักให้มากๆ เลย” ผมขบฟันเมื่อมันเน้นคำว่ารัก ก่อนจะโดนพี่ทศเอาแฟ้มเอกสารเล่มหนาฟาดลงที่หัวแรงๆ จนร้องโอ๊ย

โปรดจำไว้ว่าบริษัทนี้แฟ้มคืออาวุธสังหาร...

“ทำตัวดีๆ กับน้องมันหน่อย” ผมรับคำเสียงเบา ก่อนพี่ทศหันไปพูดกับมัน “ส่วนติณณ์ ศึกษางานจากเจ้ามันนะ งานก็ทั่วๆ ไปมีไม่มาหรอก ส่วนมากก็เดินเอกสาร พิมพ์งานอะไรเทือกนี้ งั้นพี่ฝากเจ้าด้วยนะ”

พี่ทศตบบ่าผมสองครั้งก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ผมยื่นอยู่กับไอ้คนหน้าระรื่นสองคน

“ยิ้มบ้าอะไรหนักหนา” ผมตวัดตามองคนบ้า ก่อนสบถออกมากับตัวเองอย่างหัวเสีย “แม่งเอ๊ย คิดว่าจะไม่ได้เจออีกแล้วก็ยังอุตส่าห์วกมาเจอจนได้”

คนตรงหน้าหัวเราะออกมาอย่างไม่กั๊กจนผมอยากประเคนหมัดใส่ปากมัน ก่อนไอ้เด็กนี่จะยื่นมือออกมาข้างหน้า ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจ

“อะไร”

“ผม... ติณณ์ครับ ต่อจากนี้อีกสามเดือนกว่า ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” ผมส่งมือไปจับกับมือมันอย่างช่วยไม่ได้ นี่มือหรือไม้พาย?

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

“อย่ามาเรียกผมว่าข้าว! เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อโดนมันดึงเข้าหา ไอ้เด็กนี่ก้มมาจนแก้มจะชนหน้าผมอยู่แล้ว!

“ได้ครับพี่ข้าว...เจ้า : )”

“ไอ้!”

“เอาละ หน้าที่ของเด็กฝึกงานอย่างผมต้องทำอะไรบ้างครับพี่ข้าว” ไอ้เด็กเวรทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว กวาดตามองรอบออฟฟิศอย่างสนอกสนใจ “มีงานดูแลหัวใจคนแถวนี้ไหมครับ”

“ไอ้เด็กกวนประสาท!”


แต่ละวันของผมนอกจากอยู่ออฟฟิศแล้วก็มีค่ายมวยของตานี่แหละ ที่ตอนนี้ลูกชายคนเล็กของคุณตา หรือก็คือน้าชายของผมขึ้นเป็นคนดูแลแทนแกแล้ว เพราะผมอยู่กับค่ายนี้มาตั้งแต่เด็ก เวลาหงุดหงิดอะไร หรือเครียดกับอะไรมากๆ ก็มักจะเอาไปลงกับกระสอบทราย อย่างเช่นในวันนี้...

ตุ๊บ!

“ข้าวแค้นใครมาวะ กระสอบจะทะลุแล้วนั่น” เสียงติดขำของน้าชาย...นั่นชื่อของน้าแก ดังขึ้นทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะออกหมัดแล้วหันไปหาเจ้าของเสียง

“เปล่าครับน้า ผมแค่หงุดหงิดเฉยๆ” ผมตอบ น้าชายเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ “ก็...หงุดหงิดเรื่องงาน”

“เห คนอย่างข้าวเจ้าหงุดหงิดเป็นด้วยหรอ”

“ถ้าน้าเจอเด็กฝึกงานมาเต๊าะ มาจีบทุกวันพี่ก็จะพูดแบบผม” ผมว่าเสียงเอือม และปล่อยหมัดใส่กระสอบอีกครั้งเพื่อระบายอารมณ์เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

“ก็ดีดิมีคนมาจีบ ข้าวจะได้ไม่ขึ้นคานไง” ผมเบ้หน้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ทำหน้าอะไรนั่น ไม่ชอบหรือไง ไม่สวย?”

“ถ้าผู้หญิงผมจะไม่บ่นสักคำ”

“ผู้ชาย?”

“อื้อ...”

ปุๆ น้าชายเดินมาตบบ่าผม ทำหน้าเห็นอกเห็นใจและหันหลังเดินจากไป

“...อ๊ากกกกกกกกกกกก”

“โว้ย! ใครก็ได้ชวนไอ้ข้าวไปชกดิ๊! ของกูพังหมดเพราะมันเลย!” เจ้าของค่ายคนปัจจุบันตะโกนลั่น ทว่าไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ข้าวเจ้าในตอนนี้ เพราะต่างก็รู้ความหนักของหมัดคนตัวเล็กในเวลาโกรธดี...


อย่างที่บอก... ผมหงุดหงิดที่มันชอบทำตัวน่ารำคาญใส่ อย่างตอนนี้ที่มันมาง๊องแง๊งๆ ใส่ผม ชวนผมไปกินข้าวเที่ยงด้วยอย่างนี้ ผมจะไม่สนใจมันเลยถ้าไม่ลามปามเกินขอบเขตที่ผมขีดไว้

“ผมอยากกินข้าว” ผมโยนแฟ้มเอกสารในมือลงโต๊ะอย่างแรงเมื่อได้ยินที่เด็กนี่พูด จะเกลียดชื่อตัวเองก็วันนี้แหละครับ...

พอไอ้หลงถามมันยอมรับหน้าด้านๆ ว่าจะจีบผม “ว่าไงเจ้า ให้จีบไหม”

“จีบห่าอะไร! ผมบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะว่าผม ไม่สนผู้ชาย!” ผมเสียงดังใส่คนทั้งสอง โชคดีที่ตอนเที่ยงคนไม่อยู่ในออฟฟิศเท่าที่ควรพี่ทศเลยไม่ออกมาด่า

ไอ้ติณณ์ยกยิ้มร้าย “พี่ข้าวรู้อะไรไหม...ไอ้คนที่บอกว่าไม่สนผู้ชายเนี่ย ลองแล้วติดใจผมทุกราย”

ปึ่ก! ผมเผลอปาแฟ้มที่หนากว่าสองนิ้วใส่หน้ามัน... และผลที่ได้คือมันเลือดกำเดาไหล

แต่ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายผิด มันยังขอโทษผมออกมาจนผมรู้สึกผิด “พี่ข้าวไม่ผิดสักหน่อย ผมผิดเองที่เล่นเยอะไป ขอโทษครับ”

เป็นผู้ใหญ่ภาษาอะไรวะไอ้ข้าวเจ้า ทำผิดไม่ยอมขอโทษ

ผมเม้มปากมองตามแผ่นหลังกว้างของเด็กนั่นที่เดินหายไปทางห้องน้ำ เอื้อนเอ่ยคำขอโทษออกมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกคนไม่มีทางได้ยิน

บางที... ผมควรลดอคติกันเด็กนี่ได้แล้ว...

พอไม่มีคติกับไอ้เด็กนี่แล้ว ถ้าเลือกเมินเรื่องมันเข้าจีบผมด้วยวิธีกวนตีนๆนะ มันก็เด็กดีคนนึงเลยล่ะ รับผิดชอบงานดี ทำงานไว หัวไว ระยะเวลาไม่ถึงเดือน ที่ผมเป็นพี่เลี้ยงมันรู้สึกว่าผมไม่มีอะไรสอนไอ้เด็กนี่อีกแล้วซ้ำยังได้คนช่วงงานเพิ่มด้วย

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเลิกหาเรื่องด่าไอ้เด็กนี่แล้ว ยอมรับว่าขำมันเวลาที่เห็นมันทำหน้าหมาหงอยก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจเหมือนหมาได้ของเล่น อย่างตอนที่ผมเลี้ยงข้าวเที่ยงมันหรือตอนที่มันชวนไปกินข้าวเที่ยงแล้วผมยอมไปด้วย อันที่จริงเวลามันชวนก็ไม่ได้เล่นตัวหรอกครับ อยากเห็นปฏิกิริยาบนใบหน้ามันก่อนเหมือนหมาดี ส่วนเรื่องชื่อผม... เคยบอกมันไปแล้วนะ แต่ผมเจอมันบอกว่า เรียกพี่เจ้าไม่ถนัด เรียกที่รักได้หรือเปล่า เท่านั้นละครับ ปลงชีวิตเลย...


พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อาจมีฝน20% ผมมองท้องฟ้าสดใสไร้เมฆมืดสลับกับเสื้อกันฝน ตัดสินใจไม่เอามันไปทำงานเพราะชังใจว่ามันคงไม่ตกในตอนเลิกงานหรอก

แต่ทว่า...

ตอนนี้ผมควรโทษอะไรดี? โทษที่ฝนตกผิดฤดู หรือโทษตัวเองที่ตากฝนกลับบ้านเมื่อวานแถมไม่ยอมกินยาจนไม่สบายอย่างนี้

“แค่ก ฟื้ด” ผมสูดน้ำมูกรู้สึกว่าหนักหัวอึ้ง ควานหาโทรศัพท์ที่วางไว้แถวหัวเตียงแล้วกดโทรออกเบอร์ของไอ้เด็กที่ผมเป็นพี่เลี้ยง รอสายไม่กี่วิฯมันก็กดรับสาย

‘ครับ’

“แค่ก นี่เจ้านะ วันนี้พี่ฝากทำเอกสารหน่อย แค่กๆ มีโน๊ตอยู่บนโต๊ะ พอดีรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่” ผมกลั้นใจพูดรัว เจ็บคอชิบหาย

‘ครับพี่ข้าว’

“งั้นพี่ฝากติณณ์ด้วยแล้วกัน แค่ก””

‘ครับ ยินดีครับ’

“ขอบคุณครับ” ผมเผลอยกยิ้มเมื่อเห็นอีกคนว่านอนสอนง่าย พอจะกดตัดสายเสียงอีกคนก็ดังลอดขึ้นมา

‘เอ่อ...พี่ข้าว’

“ครับ?”

‘หายเร็วๆ นะครับ’

-ติ๊ด-

ผมกดตัดสายทันทีที่ได้ยินมันพูด เสียงทุ้มนุ่มๆ ที่บอกให้ผมหายเร็วๆ ทำให้ผมเผลอเม้มปากแน่น ยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายที่เต้นระรัว “อย่าเต้นแรงนักสิ...”

ไม่กี่นาทีต่อมาโทรศัพท์ในมือก็ขึ้นแจ้งเตือนว่ามีข้อความจากไอ้หลง ติณณ์คงไปบอกมันว่าผมไม่สบายมันเลยจะมาเยี่ยมหลังเลิกงาน ผมเลยโทรลงไปข้างล่างว่าให้เอาคีย์การ์ดสำรองให้ถ้ามีคนบอกว่ามาเยี่ยมโดยไม่ได้แจ้งชื่อคนที่จะมาไว้ ที่ทำอย่างนั้นเพราะคิดว่าผมคงไม่มีปัญญาไปเปิดประตูเองแน่ๆ ก็ขอให้ไอ้หลงมันมาคนเดียวแล้วกันเพราะเวลาผมป่วยทีไร นิสัยจริงๆ แม่งออกมาทุกที

แต่... ผมว่าฟ้าคงไม่ชอบผมสักเท่าไหร่...

“ติณณ์?”

――――――――――――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -4- 26|01|2561
«ตอบ #7 เมื่อ27-01-2018 20:05:32 »

ติณข้าวรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
«ตอบ #8 เมื่อ27-01-2018 22:35:51 »

5


“ครับพี่ข้าว”

‘งั้นพี่ฝากติณณ์ด้วยแล้วกัน แค่ก’

“ครับ ยินดีครับ”

‘ขอบคุณครับ’

“เอ่อ...พี่ข้าว”

‘ครับ?’

“หายเร็วๆ นะครับ -ติ๊ด- อ๊ะ”

ผมยกยิ้มมองโทรศัพท์เครื่องสีดำในมือที่หน้าจอขึ้นว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว จากวันแรกที่ผมเข้ามาฝึกงานจนตอนนี้ก็ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ แล้วครับ พี่ข้าวที่ตอนแรกเหมือนจะไม่พอใจที่เป็นพี่เลี้ยงผมก็อ่อนลงเยอะ แต่กว่าจะอ่อนได้ก็เจ็บตัวไปเยอะเหมือนกัน... อย่างที่คุยไปก่อนหน้านี้พี่ข้าวเขาโทรมาบอกผมว่าเจ้าตัวป่วย ฝากเคลียร์งานที่พี่เขาทำค้างเอาไว้ต่อให้ด้วย ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็มีแต่ที่พี่แกสอนหมดแล้ว บวกกับผมเคยทำตอนไปฝึกงานกับป๊าช่วงปิดเทอมปีก่อนๆ เลยเป็นงานง่ายสำหรับผมไปเลย

ผมเดินไปลางานกับพี่ทศให้พี่ข้าวเจ้า ก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะของคนป่วยแทนที่จะเป็นโต๊ะของตัวเอง

“ไงติณณ์ ได้ข่าวว่ามันป่วย” พี่หลงทักผมที่ขยับตัวไปเปิดคอมพี่ข้าว ข่าวไวชะมัด “แล้วนี่มันใช้งานเด็กทำงานหรือไง ได้สินบนเท่าไหร่?”

“ผมเต็มใจทำน่าพี่หลง”

“เต็มใจหมดถ้าเป็นไอ้เจ้าสั่งสินะ” พี่หลงยกยิ้มล้อเลียน รายนี้สนับสนุนที่ผมจีบพี่ข้าวด้วยซ้ำ พี่หลงบอกว่าผมเป็นคนตรงๆ แถมดูทนไม้ทนมือพี่ข้าวได้ดี...

ก็เพิ่งมารู้ว่าพี่ข้าวเป็นหลานชายเจ้าของค่ายมวยแถวนี้ และเคยได้แชมป์ตอนเด็กๆ จากปากของพี่หลงล่ะครับ... ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมัดถึงหนักจนทำผมนักกีฬาอย่างผมน็อกได้... ผมจะไม่เล่าความอัปยศนี้นะ ข้ามเถอะผมขอนะครับ ช่วงหลังๆ มานี้เริ่มสนิทกับพี่หลง พี่แกก็ชอบเอาพี่ข้าวมาเมาท์ให้ฟังเวลาเจ้าตัวไม่อยู่หรือพี่ข้าวเผลอ เลยได้รู้หลายเรื่องทั้งของที่ชอบที่เกลียดโดยไม่ต้องสืบเอง แล้วก็นะหมัดนั่นที่ผมโดนไปพี่หลงกระซิบว่าเบาสุดแล้วด้วย... นี่ผมควรสมัครเข้าสมาคมเกียมัวไว้ และทำประกันชีวิตไว้ก่อนดีไหมครับ?

แต่ตอนนี้คงได้บอกให้ไอ้หมอหมาเลือกรุ่นรถไว้ได้เลย...

“เออ เย็นนี้พี่ไม่อยู่นะ”

“ครับ?” ผมละสายตาจากหน้าจอเงยมองคนที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่หลงยืนเท้าศอกลงกับฉากกั้นแล้วยิ้มแบบคนมีเลศนัยมองมาที่ผม ก่อนหยิบเอากระดาษและปากกาที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นไปเขียนอะไรสักอย่าง

“พี่บอกว่าเย็นนี้พี่ไม่อยู่นะ แล้วเพื่อนสนิทสุดที่รักของพี่ดันป่วยอยู่ห้องคนเดียวไม่มีคนไปดูแล น่าสงสารเนอะว่าไหม” พี่หลงว่าเสียงสอง(เสียงตอแหล)พร้อมยกยิ้มร้าย เขาวางกระดาษลงและเดินกลับโต๊ะตัวเองไป

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากผมเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษด้วยลายมือหวัดๆ ของพี่หลง

TK Condo #1402

นี่... พี่หลงกะจะปล่อยให้ผมไปหาเพื่อนพี่ที่ห้องคนเดียวจริงดิ ไม่กลัวผมไปปล้ำเพื่อนพี่หรือไงครับ


แล้วผมมาทำอะไรที่นี่...

ตอนนี้คือเวลาทุ่มกว่าๆ เบื้องหน้าผมคือตึกสูงของคอนโดตามที่พี่หลงบอกทางมา ในมือมีถุงโจ๊กร้อนๆ และยาสำหรับคนป่วยที่โทรไปถามไอ้หมออาร์ตแล้วบอกให้ไปซื้อ ผมสูดหายใจลึกก่อนเดินก้าวเข้าคอนโดไป

“เอ่อ... ขอโทษครับ” ผมเอ่ยถามพนักงานตรงฟร้อนท์ของคอนโดพี่ข้าว

“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“คือว่ารุ่นพี่ของผม ห้อง1402 เขาไม่สบายน่ะครับ...” ผมว่าเสียงอ่อย พลางยื่นข้อความที่พี่หลงส่งมาให้ประกอบ “พอดีผมเอาข้าวเอายามาให้เขา แต่ผมไม่รู้ว่าจะขึ้นไปหาเขายังไงดี...”

“อ้อ ห้องคุณเจ้า คุณเขาแจ้งไว้แล้วว่าจะมีคนมาหา งั้นเชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานคนนั้นว่าอย่างสุภาพ ก่อนเดินนำผมไปที่ลิฟต์แล้วยื่นคีย์การ์ดมาให้ “ส่วนอันนี้คุณเจ้าฝากไว้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

และตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าห้อง1402 ผมก้มมองบานประตูสีไม้สลับกับคีย์การ์ดในมือก่อนจะถอนหายใจออกมา เอื้อมมือไปเคาะประตูบานนั้นสองสามครั้ง ยืนรอจนคิดว่าคนในห้องอาจจะไม่ได้ยิน หรืออาจกำลังหลับอยู่ แล้วจึงถือวิสาสะใช้คีย์การ์ดแผ่นนั้นเปิดเข้าไป

“พี่ข้าวครับ...” ผมส่งเสียงทัก ภายในห้องพี่ข้าวมืดสนิท ผมกดเปิดไฟก่อนเดินไปหาบานประตูบานเดียวของห้องและผลักมันเข้าไป “ขออนุญาตนะครับ”

แสงจากภายนอกห้องสาดส่องเข้ามาให้พอมองเห็นก้อนสักอย่างที่ขดอยู่กลางเตียงท่ามกลางกองนุ่มนิ่มของหมอนและตุ๊กตา ผมปัดเรื่องนี้ออกจากหัวและรีบก้าวเข้าไปหาคนบนเตียง ยกมืออังหน้าผากชื้นเหงื่อทั้งๆ ที่อยู่ในห้องแอร์เย็นจัดของพี่ข้าวทันที

ร้อน...
“พี่ข้าวครับ พี่ข้าว” คนป่วยยังนอนไม่รู้เรื่องจนต้องเขย่าตัวปลุก อย่างน้อยต้องตื่นมากินข้าวกินยาก่อน

“อืม...หลง?” เสียงแหบพร่าของพี่ข้าวเรียกชื่อเพื่อสนิท คนที่ยังงัวเงียผงกหัวขึ้นมองผู้บุกรุกอย่างผมก่อนเอ่ยอย่างแปลกใจ “แค่ก ติณณ์?”

“ครับ ผมเอง พี่ข้าวลุกไหวไหม” ผมวางของลงกับโต๊ะข้างเตียงแล้วช่วยพยุงตัวพี่ข้าวให้ลุกนั่งดีๆ ก่อนจะยื่นน้ำไปให้ เจ้าตัวไอโคลกแต่ยังส่งสายตาสงสัยมาที่ผมราวกับจะถามว่ามาได้ยังไง “พี่หลงติดธุระครับ พี่เขาเลยให้ผมมาแทน ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนครับ”

พี่ข้าวพยักหน้ารับรู้ คนป่วยชี้ที่สวิตซ์ไฟตรงหน้าห้องให้ผมไปเปิด พอทั้งห้องสว่างผมถึงได้เห็นสภาพพี่ข้าวดีๆ นั่นทำให้ผมกลืนก้อนเหนียวๆ ลงคออย่างยากเย็น

อึ่ก...

พี่ข้าวในสภาพของคนป่วยที่มีอาการอ่อนเพลียและทรงตัวไม่อยู่จนต้องพิงหัวเตียง ปากสีสดช่ำน้ำที่เพิ่งดื่มไป ใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ ไหนจะตาปรือๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นดีนั่นอีก แต่ที่สำคัญ... กระดุมเสื้อนอนตัวโคร่งที่หลุดลุ่ยจนคอเสื้อตกไปไหล่ จนเห็นยอดอกสีอ่อนแวบๆ นั่นล่ะครับ!!

ไอ้ติณณ์...มึงใจเย็นนั่นคนป่วย...

“ติณณ์?” เสียงแหบแห้งเรียกผมที่มองสภาพคนตรงหน้าค้างอยู่ให้ได้สติ

“เอ่อ... ผมซื้อโจ๊กมาให้ เดี๋ยวผมไปเอาใส่จานมาให้นะครับ” ผมพูดและรีบออกจากห้อง สภาพคนตรงหน้าแม่งน่ากินเกินไปแล้ว!

พอผมเทโจ๊กใส่จานเสร็จผมก็ยกเข้าไปหาพี่ข้าว คนป่วยเบ้หน้าออกมาก่อนจะเอ่ยคำที่ผมคิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะพูดกับผม

“ป้อน... ป้อนหน่อย” คุณเอ๊ย พี่ข้าวแม่งช้อนตามองผมอ่ะ!!

“ครับๆ” ผมรีบทรุดนั่งขอบเตียงเว้นห่างคนป่วยเล็กน้อย ตักโจ๊กพอดีคำขึ้นมาเป่าให้เย็นก่อนป้อนอีกคนที่อ้าปากรออย่างไม่อิดออก แต่พอทานไปสามสี่คำพี่ข้าวก็หันหน้าหนี “พี่ข้าวกินอีกครับ จะได้กินยา”

“ไม่อร่อย มันขม” คนป่วยว่าเสียงงอแงให้ผมหลุดขำ นี่ป่วยแล้วอ้อนหรือไง?

“งั้นอีกคำครับ จะได้กินยานอน” พี่ข้าวยู่ปากก่อนยอมอ้ากว้าง โจ๊กคำใหญ่คำสุดท้ายที่ผมป้อนให้ถูกส่งเข้าปากที่รอรับ แต่เพราะคำมันใหญ่เกิน...

“พี่ข้าวครับ” ผมเคาะมุมปากซ้ายของตัวเอง บอกให้อีกคนรู้ว่ามีอาหารติดที่มุมปาก พี่ข้าวแลบสิ้นเลียมุมปากคนละฝั่งกับที่ผมบอก มองคนที่เช็ดข้าวไม่ออกสักทีอยู่นานจนผมต้องยกมือไปปาดออกให้

แผล่บ
จังหวะเดียวกับลิ้นเล็กตวัดมาอีกทางพอดี กลายเป็นว่าลิ้นพี่ข้าวถูกนิ้วผมเต็มๆ... เชี่ย เหมือนโดนไฟช็อต

“เอ่อ... ขอโทษครับ พี่ข้าวนี่ยานะเดี๋ยวผมไปล้างจาน” ผมไม่รอให้เดดแอร์บังเกิด ส่งยากับแก้วน้ำเข้ามือพี่ข้าวและผละตัวถือโจ๊กออกไปล้าง ยืนนิ่งๆ ตั้งสติอยู่อย่างนั้นจนได้ยินเสียงพี่ข้าวเรียกชื่อ

คนป่วยอยากอาบน้ำ...

“อาบได้ที่ไหนครับพี่ข้าว ไข้ขึ้นอย่างนี้” ผมดุ แต่คนป่วยดูเหมือนจะไม่ยอม

“ก็มันเหนียวตัว”

“งั้นผมเช็ดตัวให้” พี่ข้าวไม่ตอบ ผมถือว่านั่นเป็นการอนุญาตจึงเดินออกไปนอกห้องนอน คว้ากะละมังใบเล็กตรงส่วนซักแห้งพร้อมผ้าผืนน้อย เปิดน้ำใส่และเดินกลับไปหาคนป่วยโดยไม่ลืมที่จะปิดแอร์

ผมยืนทำตาปริบๆ มองคนตรงหน้า ถ้าเช็ดตัวพี่ข้าว...พี่ข้าวต้องเปลือยนี่หว่า!

เอาวะ!

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ” ผมวางกะละมังลงกับเก้าอี้ เอื้อมมือไปปลดกระดุมชุดนอนคนป่วย มืออย่าสั่นสิเฮ้ย อย่าสั่นนนนน

“พี่...เช็ดเองได้ครับ” คนบนเตียงว่าเสียงแหบ “ติณณ์หันหลังไปก่อนเนอะ”

ผมหันหลังทันทีที่พี่ข้าวพูดจบ ถึงไม่ได้ใช้ตามองแต่หูยังทำงานได้ดี ผมได้ยินเสียงของผ้าเสียดสีกัน พี่ข้าวน่าจะถอดเสื้ออกแล้ว ตามด้วยเสียงน้ำกระเพื่อม เสียงบิดน้ำและเสียงผ้าที่เคลื่อนสัมผัสผิวอย่างช้าๆ ถึงไม่ได้เห็นเชื่อไหมว่าผมเห็นภาพในหัวอย่างชัดอ่ะ

ว่าแต่จะเอาเหล้ายี่ห้อไหนไปให้พี่หลงดีนะ...

“ติณณ์เอาชุดในตู้ให้พี่หน่อย พับไว้ซ้ายมือ” ผมยืนฟังเสียงคนป่วยเช็ดตัวเองเกือบห้านาที พี่ข้าวก็เรียกให้ผมเอาชุดให้ ผมก็ยื่นให้ทั้งที่ยังหันหลังล่ะครับ พออีกคนแต่งตัวเสร็จก็ส่งเสียงบอกให้ผมหันไปได้

“แค่ก... นี่มายังไง”

“มามอไซค์วินครับ” ผมตอบ เพราะห้องที่เช่าตอนนี้อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานแบบที่สามารถเดินไปได้ เลยเอารถทิ้งไว้ที่คอนโดไอ้หมอหมามัน

“...”

พี่ข้าวพยักหน้าไม่พูดอะไรต่อ ผมมองนาฬิกาตรงหัวเตียงพี่ข้าวก็เห็นว่าใกล้สามทุ่ม ได้เวลาพักผ่อนของคนป่วยแล้วสิ “สามทุ่มแล้ว งั้นผมกลับก่อนนะครับ หายเร็วๆ นะครับ”

“ติณณ์” พี่ข้าวเรียกผมที่กำลังจะออกจากห้องนอนไว้ คนป่วยเบือนหน้าหนีผมแล้วเอ่ย “ดึกแล้ว แค่ก นั่งรถกลางคืนมันอันตราย นอนนี่ก็ได้นะ”

“ครับ?!” ผมร้องเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหูตัวเองให้อีกคนตวัดตาดุใส่

“พี่บอกว่า นอนนี่ก็ได้ แค่กๆ โซฟาว่าง” น้ำเสียงเหมือนคำสั่งทำให้ผมยิ้มกว้าง พี่ข้าวบอกว่าให้คุ้ยหาเสื้อผ้าของพี่หลงที่มีในตู้แล้วไล่ไปอาบน้ำ พอผมอาบออกมาคนป่วยก็โดนฤทธิ์ยาครอบงำแล้ว

ผมก้าวมายื่นอยู่ข้างเตียงคนป่วย เอามือเสยเส้นผมที่ปรกหน้าพี่ข้าวขึ้น ก้มมองคนป่วยที่สีหน้าดีขึ้นกว่าตอนผมมาถึงมากที่หลับตาพริ้มนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ก่อนที่จะ...

จุ๊บ
ทำใจกล้ากดริมฝีปากกับหน้าผากชื้นนั่น

“ฝันดีครับพี่ข้าว หายเร็วๆ นะครับผมเป็นห่วง” เอ่ยกับคนป่วยที่นอนไม่รู้เรื่องก่อนเดินออกมาจัดที่นอนชั่วคราวของตัวเองในคืนนี้

ถ้ารู้ว่าพี่ข้าวป่วยแล้วอ้อนนี่จะยอมขาดงานมาดูแลแต่เข้าเลยเอ้า!!

Tbc.

――――――――――――――――――――――

แถม
หลง – เจ้า...ตกลงนิสัยมึงอันไหนกันแน่ กูอยู่กับมึงมาเป็นสิบปีนี่เจอเกือบทุกนิสัย
ข้าวเจ้า – กูก็นิสัยแบบนี้มึงเจอทุกวันไงหลง
หลง – อ้าว แล้วข้าวเจ้าเวอร์ชี้อ้อนล่ะ ไว้ใช้กับน้องติณณ์หรือไง กิ๊วๆ
ข้าวเจ้า – กิ๊วพ่อมึง! กูป่วยกูแค่ขี้เกียจกินข้าวเอง นั่นไม่เรียกว่าอ้อน!
หลง – ครับ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ แล้วมึงจะหน้าแดงหาอะไรวะ เฮ้ย เจ้าหน้าแดงงงง!
ข้าวเจ้า – เชี่ยหลง! ! !
――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
«ตอบ #9 เมื่อ27-01-2018 23:07:11 »

พี่ข้าวอ่อยน้องตินอิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
« ตอบ #9 เมื่อ: 27-01-2018 23:07:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
«ตอบ #10 เมื่อ28-01-2018 03:08:01 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -6- 28|01|2561
«ตอบ #11 เมื่อ28-01-2018 21:50:21 »

6

ผมตื่นขึ้นมาตอนราวๆ หกโมงเช้า อย่างแรกที่ทำหลังตื่นคือลุกขึ้นไปหาคนป่วยที่ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง วางมือลงกับหน้าผากของคนป่วยแผ่วเบา และยิ้มจางออกมาเมื่อเห็นว่าอีกคนไข้ลดลงแล้ว ดีที่วันนี้วันหยุดเลยไม่ต้องกลัวว่าอีกคนจะนอนเพลิน ผมเดินออกจากห้องนอนไปคุ้ยโจ๊กซองที่ลงจากไปซื้อมาจากร้านค้าใกล้ๆ คอนโดเมื่อคืนพร้อมมาม่าของผม เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนแล้วเดินเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองเรียบร้อยถึงกลับไปห้องคนป่วยอีกครั้ง

ผมพลางทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงฝั่งเดียวกับที่พี่ข้าวหันหน้ามา เอนหัวแนบกับที่นอนเพื่อสำรวจหน้าคนป่วยดีๆ อันที่จริงพี่ข้าวไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบาง ผมพิสูจน์มาแล้วว่าแข็งแรงจนทำผมน็อคได้ แต่เพราะอยู่กับคนตัวสูงอย่างพี่หลงหรือผมเลยดูตัวเล็กไปถนัดตา พี่หลงเล่าว่าคนๆ นี้ สมัยเรียนอยู่คารมดีมากจีบสาวคนไหนก็ติดทุกราย แต่ก็เลิกกันเพราะมีผู้ชายเข้ามาจีบพี่ข้าวบ่อยๆ

นี่ผมควรสงสารเขา หรือควรขำดี?

ผมเอื้อมมือไปสัมผัสไฝตรงใต้ตาซ้ายของพี่ข้าว เกลี่ยอย่างเบามือ เคยอ่านเจอจากที่ไหนสักที่ว่าคนมีไฝใต้ตามักเป็นคนเจ้าชู้ จากที่พี่หลงเล่านี่คงจริง แต่สำหรับผม... ผมว่ามันคือเสน่ห์ของพี่ข้าวนะ

“อืม...” เสียงครางในลำคอของเจ้าของไฝดังขึ้นให้ผมชะงักมือที่เปลี่ยนมาเป็นลูบแก้มนิ่มตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ก่อนคนหลับจะถูกแก้มกับมือผมแล้วหลับต่อ

ผมว่าพี่ข้าวน่ะไม่ใช่เสือหรอก นี่ลูกแมวชัดๆ!

“พี่ข้าวครับ พี่ข้าว” ผมเรียกคนที่ยังนอนทับมือผม “พี่ข้าวตื่นมากินข้าวกินยาก่อนะครับ”

“อื้อ” เปลือกตาของคนตรงหน้าค่อยๆ เปิดขึ้น ตาปรือๆ ของคนป่วยมองมาที่ผม “ติณณ์?”

“ดีขึ้นไหมครับ” ผมถาม พี่ข้าวทำตาปริบๆ ใส่ก่อนพยักหน้าเป็นคำตอบ “งั้นกินโจ๊กนะครับจะได้กินยา เดี๋ยวไปเอามาให้”

พี่ข้าวเบะปากออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเมนูที่อยากกินซึ่งมันเป็นเมนูที่มีแต่ของมันๆ ไม่เหมาะกับคนป่วยจนผมต้องดุเพราะพี่ข้าวมีอาการงอแงจนหน้าบึ้ง สุดท้ายก็ต้องต่อรองว่าถ้าอยากกินต้องหายก่อนเดี๋ยวนะเลี้ยงพี่ข้าวถึงยอม

“คำสุดท้ายแล้วครับ” ผมตักโจ๊กคำสุดท้ายจ่อปากพี่ข้าว คนป่วยที่ทำหน้าเหมือนโดนบังคับอ้าปากรับอย่างเสียไม่ได้ พอหมดช้อนปุ๊บเจ้าก็สะบัดหน้าหนีผม “นี่ยาครับ”

ผมเดินออกจากห้องเพื่อเอาจานไปเก็บ แต่นึกขึ้นว่าลืมเอาน้ำไปให้พี่ข้าวเลยเดินกลับไปที่ห้องเจ้าตัวพร้อมขวดน้ำในมือ คนป่วยนอนคลุมโปงอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ผมเดินไปที่หัวเตียงบริเวณที่วางซองยาไว้ มันเหลือแต่ซองส่วนตัวเม็ดยาหายไป...

“พี่ข้าวครับ” ผมหรี่ตามองก้อนบนเตียงที่ขยับตัวเล็กน้อยก่อนขานรับผม “พี่ข้าวกินยาหรือยังครับ”

“กินแล้วดิ เฮ้ย!” ก้อนผ้าห่มตอบกลับ ผมถอนหายใจก่อนกระชากผ้าห่มออกจากตัวคนป่วยทันที

“กินยังไงครับ น้ำไม่มีไม่ขมหรือไง” ผมว่าอย่างเป็นห่วง เอื้อมมือไปล็อกคางไม่ให้คนป่วยเบือนหน้าหนีได้ “หรือจะให้ผมไปคุ้ยถังขยะครับพี่ข้าวเจ้า”

“...ไม่กินเดี๋ยวก็หาย” พี่ข้าวปัดมือที่ผมจับคางออก ดึงผ้าห่มที่ลงไปปลายเตียงขึ้นมาคลุมทั้งตัว “วันนี้พี่ก็หายแล้ว ติณณ์ก็กลับบ้านได้แล้ว ขอบคุณที่มาดูแลพี่ครับ”

“...” ผมยืนฟังคนป่วยที่พูด(และไล่)จนจบแล้วจึงทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียง กวาดแขนกักตัวพี่ข้าวที่กลายเป็นก้อนไปอีกรอบแล้วก้มหน้าไปใกล้ๆ ก่อนกระซิบ “แสดงว่าเมื่อคืนก็ไม่ได้กินสินะ หรือพี่ข้าวจะให้ผมป้อน”

“ไอ้!!” คนป่วยที่หน้าขึ้นสีผุดลุกขึ้นนั่งพอดีกับที่ผมผละตัวออก พี่ข้าวขบฟันมองผมที่ยืนยิ้มแป้นยื่นยากับน้ำไปให้

“จะได้หายเร็วๆ ครับ นับสามถ้าพี่ไม่กินเองผมป้อนแน่ๆ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “และพี่คงรู้ว่าผมจะป้อนด้วยวิธีไหน”

“เอามา!” ไม่ทันที่จะได้เริ่มนับ พี่ข้าวก็คว้ายากับน้ำจากมือผม แกะออกจากซองแล้วโยนมันเข้าปากตามด้วยน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะเบ้หน้าออกมา “แม่ง ขม”

ผมระบายยิ้มมอง ส่งมือไปลูบผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงอย่างเผลอตัว “เก่งครับคนเก่ง”

“...” พี่ข้าวชะงักพอๆ กับผมที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ผมรีบดึงมือกลับและเอ่ยขอโทษคนแก่กว่าทันที

“เอ่อ ขอโทษครับพี่ข้าว ผมเผลอไปหน่อย” ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ ก่อนก้มหน้ายืนเตรียมใจโดยประทุษร้ายโทษฐานลามปาม...

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่ข้าว...ครับ” พอเงยหน้าขึ้น ภาพตรงหน้าคือพี่ข้าวยกมือวางบนหัวตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรือ สักพักเจ้าตัวก็สะดุ้งแล้วหันมามองผม ก่อนหมอนใบนิ่มจะถูกปาใส่หน้าผมเต็มๆ อย่างที่คนทำก็รีบมุดผ้าห่มหนีความผิด

“กลับไปได้เลยนะ พี่ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณครับ” เสียงอู้อี้ๆ ที่ดังจากออกมาจากผ้าห่ม ทำให้ผมยกยิ้มกับความน่ารักของคนตรงหน้า หยิบหมอนที่หล่นพื้นไปวางบนเตียงคืนก่อนก้มไปหอมจุดที่น่าจะเป็นส่วนหัวผ่านผ้าห่มเบาๆ

“งั้นผมไปก่อนนะพี่ข้าว หายเร็วๆ นะครับ” ผมออกมาทันทีโดยไม่รอฟังเสียงโวยวายที่จะเกิดขึ้นในห้อง

หลังจากเก็บห้องพี่ข้าวให้เจ้าตัวเรียบร้อยผมถึงได้ฤกษ์ออกจากห้อง พอล้วงกระเป๋าเจอบัตรแข็งที่ได้มาเมื่อวานก็ยิ้มร้ายและเก็บบัตรนั่นลงกระเป๋าอย่างดีโดยไม่มีความคิดที่จะคืน เอ่ยทักทายพนักงานหน้าฟร้อนท์ที่เป็นคนละคนกับเมื่อวานก่อนออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อกลับคอนโดไอ้หมอหมา


“กลับนี่ถูกด้วยหรอวะ?” นั่นคือคำแรกที่เพื่อนสนิททักหลังจากเห็นผมเดินเข้ามาในห้อง ผมไม่ตอบแต่ชูถุงข้าวที่ซื้อมาขึ้น ไอ้หมอหมาที่เห็นอย่างนั้นก็ปรี่เข้ามาดึงถุงออกจากมือผม คว้ากล่องข้าวออกจากถุง เทใส่จานและกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่มีคำขอบคุณ

ตัวอย่างเพื่อนที่ดีครับ...

“มึงจะจบสี่ปีป่ะวะ?” ไอ้อาร์ตถามขึ้นทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปาก

“มึงคิดว่ากูจะเรียนห้าปีหรือไง สี่เว้ยย” ผมตอบ ไอ้หมอหมาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อแล้วหันไปกินข้าวต่อ “มีอะไร?”

“น้องกู...แอ๋มน่ะ มันบอกจะมาสอบเข้ามหาลัยที่กรุงเทพ ก็หลังปีมึงจบพอดีเลยว่าจะให้ห้องมาอยู่นี่จะได้ไม่เปลือง” มันว่า “กูถึงถามมึงไงว่ามึงจะจบในสีปีไหม”

“แล้วอะไรที่ทำให้มึงคิดว่ากูจะไม่จบสี่ปี กูไม่มีหมา มีปลาในเกรดนะเว้ย แถมกูได้เกรียตินิยมแน่ๆ”

“เผื่อมึงไม่ผ่านฝึกงาน”

“ฮะ?”

“ก็พี่เลี้ยงมึงไง ไปกวนเขามากๆ ระวังเขาไม่ให้มึงผ่านละ กลัวมึงจะเข้าโรงบาลก่อนฝึกจบ” หมอหมายักคิ้ว มันพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวตุ้ยแบบไม่เหลือฟอร์มอะไรแบบตอนอยู่ในมหาลัย สภาพมันตอนอยู่หอกับไปมอนี่คนละฟีลเลยครับ ไปมอโคตรคุณชายที่ดูดีทุกระเบียบนิ้ว แต่พอมาถึงห้อง...มาดคุณชายถูกสะบัดทิ้งตั้งแต่เข้าห้อง กลายเป็นไอ้แว่นบ้าหัวฟู ...ก็เรื่องของมัน

“พูดถึงพี่ข้าว กูเพิ่งไปเฝ้าไข้เขามา พี่ข้าวตอนป่วยโคตรน่ารัก” ผมพูดไปยิ้มไป นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้วมีความสุข “ป่วยแล้วอ้อนฉิบหาย”

“ได้ข่าวว่ามึงยังโทรถามกูอยู่ว่าต้องซื้อยาอะไรมั่ง” หมอหมาขัดความสุข “แล้วนี่พี่มันยอมให้มึงเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวได้ไงวะ”

“กูมีคนช่วย” ผมยักคิ้ว “แต่พี่ข้าวแม่งน่ารักจริงๆ ว่ะ อ้อนซะกูลืมเวอร์ชั่นตอนอยู่ที่ทำงานเลย”

“ติณณ์... มึงเตรียมเงินไว้เลยนะ” เพื่อนที่ปล่อยให้ผมเพ้อ ยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียวมาได้สักพักเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยให้ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย

ไอ้หมอมายิ้มมุมปากแล้วเฉลย “ดูคาติกูไง”

ฉิบหายละ...


“ยังไงพี่ก็ฝากเจ้าเรื่องแผนการตลาดด้วยนะ” เสียงพี่ทศดังขึ้นก่อนจะจบการประชุม วันนี้มีประชุมเย็นครับ อันที่จริงนักศึกษาฝึกงานอย่างผมหรืออิงกับอรไม่ต้องเข้าก็ได้ แต่พี่ข้าวคนดีเขาขอให้ผมเข้าไปเรียนรู้งานด้วย

“ครับพี่ทศ”

“เออเจ้า เย็นนี้ว่างป่ะ” คนดีของผมเลิกคิ้วสูง หันไปมองเจ้าของเสียงที่เรียกเขา “ไอ้หลงชวนที่เก่าเวลาเดิม”

อะไรคือที่เก่าเวลาเดิม...

“ไปครับพี่!” พี่ข้าวรับคำอย่างไม่รีรอ ดวงตาคนพี่วาววับเป็นประกาย พี่ทศที่เห็นอย่างนั้นก็หันมาชวนผมบ้าง

“ไปไหมติณณ์?” ผมเหลือบมองคนตัวเล็กกว่าก่อนตอบตกลง อยากรู้ครับว่าที่เก่านั่นคือที่ไหน “งั้นให้เจ้าพาไปนะ นัดเวลากันเอง พี่เลี้ยงเอง”

“อะไรคือที่เก่าเวลาเดิมครับพี่ข้าว?” ผมถามคนที่ทำหน้าหงิกหน้างอหลังจากที่ทศเดินกลับห้อง “อ่ะ ยังไม่อยากรู้ก็ได้ งั้นพี่นัดเวลามาเดี๋ยวผมไปรับ”

“ไปรับ?” ผมชูกุญแจรถที่เพิ่งไปเอามาขึ้นแทนคำตอบ “เออๆ งั้นสองทุ่มไปรับที่คอนโดพี่ละกัน ใกล้ถึงก็โทรมาเดี๋ยวพี่ออกไปรอ”

ผมรับคำ และแยกกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวรอเวลา ใกล้สองทุ่มก็คว้ากุญแจรถคู่ใจขับออกไปที่คอนโดพี่ข้าว พอไปถึงก็เจอพี่แกยืนคุยกับยามที่ป้อมอยู่ ไม่ได้มองสักนิดเลยว่ารถที่จอดตรงหน้าเขาคือผม ตอนนี้พี่ข้าวอยู่ในชุดเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนต์สีซีด ปล่อยผมที่เซ็ตขึ้นเวลาทำงานลง ทำให้ผมคิดถึงวันแรกที่เจอพี่ข้าวเลย

“พี่ข้าว” ผมลดกระจกฝุ่นข้างคนขับลง ชะโงกตัวเรียกเจ้าของชื่อที่ยืนทำหน้าเอ๋อ “ขึ้นรถครับ”

“รถติณณ์? ขโมยใครมา” พี่ข้าวถามทันทีที่ขึ้นมาบนรถ อ่าก็รถญี่ปุ่นธรรมดาแหละครับแค่...ตัวท็อปของรุ่นล่าสุด ผมลอบยิ้มมองเด็กน้อยที่สนใจรอบคัน “ไปตรงXXXรู้จักไหม”

“ครับ” ผมตอบ “ส่วนนี้ก็รถผมเองครับ ป๊าซื้อให้ตั้งนานแล้ว แต่มาตอนนี้ห้องอยู่ใกล้ที่ฝึกงานเลยไม่ได้เอาใช้ เพิ่งกลับไปเอาตอนพี่ข้าวป่วยนี่ล่ะครับ อันที่จริงคันนี้ยังไม่มีใครได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถเลยนะ”

พี่ข้าวหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อคำพูดจนผมต้องพูดต่อ “ปกติเอาอีกคันไปครับ”

“เออ ไอ้รวย!” ผมหัวเราะร่า ตั้งใจขับตามที่พี่ข้าวบอกจนไปถึงแหล่งร้านเหล้าสักที่ที่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร้านอาหารที่มีชื่อว่า

‘ที่เก่า...เวลาเดิม’
...ใครแม่งคิดชื่อวะ!

พอจอดรถเรียบร้อยผมก็เดินตามพี่ข้าวเข้าร้าน มองไปรอบร้านเห็นสาวเชียร์เบียร์นมใหญ่ดีนะครับ...เอ๊ย! เห็นพี่ทศกำลังโบกไม้โบกมือเรียกเรา พี่ข้าวหันมองผมก่อนเดินนำไปหาพี่ทศ และทิ้งตัวลงกับเก้าอี้โซฟาซึ่งมันเป็นแบบสองที่นั่ง ทว่าตอนที่ผมกำลังจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ข้าวนั้น...

“ไปนั่งนู่น” พี่ข้าวชี้ฝุ่นตรงข้ามที่มีพี่หลงนั่งครองอยู่ ซึ่งเจ้าของชื่อก็ให้ความร่วมมือดีมากโดยการนั่งกางขายึดพื้นที่

“ที่เต็มครับน้องข้าวเจ้า ให้น้องนั่งกับมึงแหละ” พี่หลงว่าแล้วยักคิ้วให้ “ติณณ์มึงอย่าดื่มมาก เดี๋ยวต้องไปส่งเจ้าด้วยใช่ป่ะ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ที่โต๊ะตอนนี้มีแค่สี่คนครับ คือผม พี่ทศ พี่หลง และพี่ข้าว นั่งฟังพวกเขาคุยกันแล้วถึงรู้ว่าสามคนนี่พี่น้องร่วมมหาลัยกัน รู้จักตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ พอพี่ทศจบก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยแล้วมาบังเอิญเจอกันตอนที่ทำงานแล้ว ฟังพี่ๆ คุยกันไม่นานนักอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกวางบนโต๊ะ

“ยำอร่อยนะติณณ์” พี่ทศว่า แสยะยิ้มแล้วชี้ไปที่ยำตรงหน้าพี่แกที่ใกล้มือพี่ข้าว “เจ้าตักให้น้องมันหน่อยดิ”

“เรื่องดิพี่ มันแขนยาวจะตายตักเองก็ถึง”

“เจ้าใจร้ายกับน้องฝึกงานจัง”

“น่า เจ้าใกล้กว่าก็ตักให้น้องมันหน่อย” พี่ทศว่าแล้วยักคิ้วให้ผม

ผมว่านะ...ผมได้คนร่วมทีมเพิ่มอีกคนแล้วครับ #ทีมติณณ์กันเยอะๆ นะครับ /ขยิบตา


“ตินรู้ไหมมม ไอ้จ้าวววมันโดนสาวๆ หักอกโคตรบ่อ เอิ๊ก เพราะแม่งมีผู้ชายมาจีบต่อหน้า อึก ต่อตาเลยย” เสียงยานของคนเมากำลังเล่าเรื่องอดีตของพี่ข้าวให้ฟังอย่างออกรสชาติ ซึ่งเจ้าของเรื่องนินทาตอนนี้ฟุบกับไหล่ผมหลับไปแล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็เล่นยิ้มหวานตาเยิ้มจนผมใจกระตุก
พอเมาแล้วเหมือนกับวันนั้นเลย...

มารู้ก่อนพี่หลงจะเมาหนักว่าพี่ข้าวเมาแล้วชอบอ่อยเรี่ยราด ผมนี่แทบยกมือกุมขมับ คือพี่ข้าวเมาเหมือนคนไม่เมา พูดคุยรู้เรื่องจำได้ทุกอย่างแต่แค่นิสัยเปลี่ยน... แต่พอเมาหนักก็อย่างที่เห็นตอนนี้ หลับปุ๋ย

“ไอ้หลงแม่งไปละ” พี่ทศที่ยังครองสติได้เพราะไม่ได้ดื่มมากพูดขึ้น “ว่าแต่เราน่ะ รู้จักกับญาดากรุ๊ปอยู่แล้วใช่ไหม”

ผมถึงกับสำลักน้ำสีอำพันที่กำลังยกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ท่าทางของผมแทนคำตอบได้ดี “หลานชายคุณชัยธวัช?”

“พี่ทศรู้?” ผู้เป็นหัวหน้าพยักหน้า “ครับ ผมเป็นหลานลุงวัช ญาติห่างๆ น่ะ ว่าแต่ทำไมพี่ถึงรู้”

“ตอนไปประชุมที่บริษัทใหญ่อาทิตย์ก่อน คุณชัยเขามาถามพี่ว่าหลานเป็นไงมั่ง ตอนแรกพี่ก็นึกว่าอิงไม่ก็อร พอท่านพูดว่าหลายชายพี่เลยรู้” เขาว่า “อันที่จริงพี่ตงิดตั้งแต่นามสกุลเราแล้วล่ะก็คิดอยู่ว่าคุ้นๆ จะว่าไปเราไปทำที่นู่นเลยก็ได้นี่ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”

“เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครไงครับ ที่นี่ผมคือติณณ์ เด็กฝึกงานตาดำๆ คนนึง แต่ถ้าไปตึกใหญ่ผมจะเป็นหลานประธาน ถ้าไปฝึกนู่นคนที่เห็นผมบ่อยๆ ก็จะคิดว่าผมเป็นหลานประธานแล้วจะเกรงใจไม่กล้าดุกล้าว่า แต่กับที่นี่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักผมเยอะขนาดนั้น... ผมอยากโดนดุมากกว่าโดนโอ๋นี่ครับ” ผมตอบอย่างที่เคยตอบน้านพไป ตอนยื่นเรื่องฝึกที่นี่พอดีผมรู้จักกับฝ่ายบุคคลเขาเลยไม่ทักเรื่องนามสุกล พอเข้าแผนกก็ใช้แต่ชื่อเล่นเป็นหลักเลยไม่มีคนสงสัยอะไร บัตรพนักงานก็เป็นชื่อติณณ์อย่างเดียว กับชื่อตำแหน่งเด็กฝึกงาน
ไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะบอกใคร

“อืม พี่ก็นึกว่าตามเจ้ามา” พี่ทศยิ้มล้อ “ไอ้เจ้ามันแข็งนอกอ่อนใน เวลาอยู่กับคนไม่สนิทแล้วมันทำตัวไม่ถูกเลยเป็นอย่างที่เห็น แต่ถ้าสนิทนะ มันขี้อ้อนจะตาย”

“ครับ”

“ว่าแต่ว่า...หลงเคยเล่ายังว่าเจ้าเคยคบผู้ชาย?”

ห๊ะ!?

Tbc.

――――――――――――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -6- 28|01|2561
«ตอบ #12 เมื่อ29-01-2018 01:34:55 »

 :ling1:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -6- 28|01|2561
«ตอบ #13 เมื่อ29-01-2018 11:40:38 »

พี่เจ้าต้องใจอ่อนให้นุ้งตินซักวัน บุกไปอย่ายอมแพ้นะติน

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -7- 30|01|2561
«ตอบ #14 เมื่อ30-01-2018 20:45:17 »

7

“อะไรนะพี่ทศ...”

“ก็ตามที่ได้ยินล่ะ อยากรู้อะไรก็ถามมันเองแล้วกัน” พี่ทศส่งยิ้มน้อยๆ ให้ “แยกย้ายเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นกันไม่ไหว”

พี่ทศตัดบทอย่างไม่ให้ผมได้ถามอะไรต่อ ยกมือเรียกพนักงานมาเก็บตังค์แล้วหันไปสะกิดพี่หลงให้ตื่น คนเมาโวยวายเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าให้กลับแต่พอโดนพี่ทศขู่ก็ยอมโดยดี

“ขอคีย์การ์ดที่พนักงานหอไอ้เจ้าได้เลยนะถ้าไม่ค้นตัวมัน” ผมพยักหน้า มองที่ทศที่ยกแขนพี่หลงคล้องคอและหันมาพูดกับผม “แล้วก็เรื่องที่ติณณ์เป็นหลานประธานน่ะ อย่าลืมบอกมันด้วยนะ ถ้าไอ้เจ้ามันรู้ทีหลังคงโกรธน่าดู”

“...ครับ”

“พี่ฝากมันด้วยแล้วกัน”

หลังจากช่วยพี่ทศพยุงคนเมาร่างโตที่เมาจนเสียคนขึ้นรถได้ ผมก็หลับมาพยุงพี่ข้าวที่หมดสภาพขึ้นรถ ดีที่พี่ข้าวหลับเลยทำอะไรๆ ได้ง่ายกว่าตอนไปช่วยพี่ทศ... พี่หลงเมาแล้วโวยวาย ผมจัดการคาดเข็มขัดให้พี่ข้าวแล้วขับรถกลับไปที่คอนโดพี่เลี้ยงจำเป็นทันที พอไม่มีใครคุยด้วยในหัวก็มีแต่เรื่องที่พี่ทศพูดก่อนหน้านี้ แต่พอผมขอให้เล่าต่อพี่แกก็บอกว่าให้ไปถามเจ้าตัวเองดีกว่า

อันที่จริงไม่แปลกใจถ้าพี่ข้าวมีผู้ชายมาจีบ แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ข้าวจะเคยคบผู้ชาย... มิน่าล่ะตอนนั้นถึงบอกว่าไม่สนใจแทนที่จะเป็นไม่ชอบ

“อืมม” เสียงครางของตุ๊กตาหน้ารถที่ยังคอหักคอห้อยดังขึ้นให้ผมหยุดคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หันไปมองคนที่มือไม้ไม่อยู่สุขก่อนจับให้นั่งดีๆ ตั้งสมาธิขับรถอีกไม่นานก็จะถึงห้องพี่ข้าวแล้ว

“คุณเจ้า?” ผมยิ้มแห้งให้พนักงานตรงหน้าฟร้อนท์ที่เรียกชื่อคนที่ผมพยุงอยู่ เธออาสาจะช่วยผมอีกแรงแต่ผมปฏิเสธเพราะขนาดตัวเธอกับพี่ข้าวเท่าๆ กันน่ากลัวจะลำบากมากกว่าช่วยได้ เลยให้เธอช่วยเรียกลิฟต์ให้แทน

ตึ๊ง
ลิฟต์หยุดลงเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ พอเดินถึงหน้าห้องก็ถือวิสาสะควานหาคีย์การ์ดตามตัวพี่ข้าวก่อนจะใช้มันเปิดเข้าไป พาเจ้าของห้องที่ไม่ได้สติเดินไปยังห้องนอนและจับวางลงบนเตียงดีๆ พอพี่ข้าวหลังแตะเตียงปุ๊บก็พลิกตัวหาของนุ่มนิ่มทั้งหลายบนเตียงทันที

ผมเดินไปเปิดไฟในห้อง เห็นเจ้าของห้องเงยหน้ามาคว้าตัวอะไรสักอย่างมากอดไว้แล้วหลับต่อ พอเห็นอย่างนั้นผมก็ออกมาที่โซนซักผ้าคว้าผ้ากับกะละมังมาเตรียมเช็ดตัวคนเมา กลับมาที่ห้องอีกครั้งคนเมาที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับลุกนั่งตาแดงๆ กอดหมอนมองผมอยู่

“พี่ข้าวตื่นแล้วหรอครับ” ผมถาม เจ้าของชื่อเลิกคิ้วมองผมอย่างงงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานตาเยิ้มให้

ฉิบหายละใจกระตุก...

“เช็ดตัวหน่อยนะครับจะได้สบายตัว กลิ่นเหล้าเต็มตัวพี่เลย” ว่าพร้อมชูผ้าในมือขขึ้น พอเห็นพี่ข้าวพยักหน้าก็ขยับเข้าไปใกล้ เอ่ยขออนุญาตอีกครั้งก่อนจัดการถอดชุดให้คนตัวเล็กกว่าที่ยังยิ้มกว้าง และให้ความร่วมมืออย่างดีไม่มีการขัดขืน จัดการเช็ดตัวพี่ข้าวที่เหลือแต่บ็อกเซอร์อย่างลวกๆ พยายามไม่มองอะไรต่อมิอะไร และรีบหาเสื้อผ้าใส่ให้ทันทีเมื่อเสร็จเรียบร้อย...

ไม่ใช่อะไรกลัวตบะตัวเองแตกครับ เช็ดตัวให้อีกฝ่ายโดยกลั้นใจไม่ให้เผลอฉวยโอกาสทำอะไรนี่มันโคตรเหนื่อย  ผิวขาวๆ เนื้อนุ่มๆ ตรงน้านี่มันล่อตาชะมัด!

“เอายาแก้แฮงค์ไหมครับ?” พี่ข้าวในชุดนอนลายทางที่ผมใส่ให้ส่ายหัวก่อนทิ้งตัวลงนอน ผมคว้ารีโมตแอร์มากดเปิดให้เจ้าของห้อง จัดการห่มผ้าให้อีกฝ่ายและถือกะละมังออกมาเก็บ

“งือ จะไปไหน” ไม่ทันที่ขาพ้นประตูดีก็ได้ยินเสียงงัวเงียของเจ้าของห้องดังตามหลัง หันไปมองก็เห็นพี่ข้าวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ใช้ตาตาปรือแดงจ้องมองผมแล้วถามซ้ำเมื่อไม่ได้รับคำตอบ “จะไปไหน?”

“เอาไอ้นี่ไปเก็บครับ” ชูของในมือให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน “พี่ข้าวนอนเถอะ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว”

“มานอนกัน” เสียงอ้อนพร้อมยิ้มหวาน... ไม่เท่าฝ่ามือที่ตบลงเตียง

“พี่ข้าวนอนเลยครับ” สิ้นเสียงพี่ข้าวก็ล้มตัวลงนอนลงไปด้วยหน้าใบบึ้งๆ ผมพรูลมหายใจปรับสติตัวเองไม่ให้กระโจนใส่เหยื่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก่อนจะก้าวเดินออกมา

พี่ข้าวรู้ไหมว่าสุราเป็นเหตุให้เสียตัวง่ายๆ...

ผมที่สาละวนกับการเก็บของอยู่นั้นก็ต้องรีบเร่งเมื่อได้ยินเสียงคนในห้องเริ่มงอแง หันตัวเข้าห้องก็เห็นเจ้าของเสียงยืนอมลมเกาะประตูห้องมองผมอยู่

“ไปไหนมา” พี่ข้าวถามก่อนเดินเซๆ มาหาผม เอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงีย ก่อนมือเล็กยกดึงแขนเสื้อผมให้เดินตามเจ้าตัวเข้าห้อง “ง่วงแล้วไปนอนกัน”

“เอ่อ...พี่ข้าวนอนเลยครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว เฮ้ย!” ผมที่โดนเจ้าของห้องลากมาถูกเหวี่ยงลงเตียงด้วยแรงช้างสาร ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เจอพี่ข้าวทิ้งตัวลงมาทับจนจุกท้อง

“อุ่ก พี่ข้าว! พี่ข้าวตื่นดิเฮ้ย!” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนบนตัว มีเพียงเสียงกรนเบาๆ ออกจากปากพี่ข้าวให้ได้ยิน ผมยกมือก่ายหน้าผากเมื่อทำอะไรไม่ได้ จะขยับก็กลัวคนหลับตื่นมางอแงเลยล้วงไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เลื่อนหารายชื่อกดโทรออกเบอร์ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก

‘ไงติณณ์ มีอะ—’

“เวลาพี่ข้าวเมาแล้วเป็นยังไงครับ” ไม่ต้องมีเกริ่นนำให้ยืดยาวหรือกล่าวขอโทษที่โทรมากลางดึก เพราะทันทีที่พี่ทศรับสายผมก็ยิงคำถามทันที ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

‘บอกแล้วว่ามันเมาแล้วอ้อน หนักหน่อยก็งอแง’ อีกฝ่ายตอบ ‘จะว่าไป... อืมม เหมือนไอ้หลงมันเคยเจอเจ้าอ้อนให้นอนด้วย ว่าแต่ติณณ์มีอะไร เจออันไหนล่ะ’

“ทั้หมดเลยครับ” ผมถอนหายใจยาวโดยมีเสียงพี่ทศหัวเราะเป็นซาวด์ “ถ้า... พรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ก็รบกวนไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลด้วยนะครับพี่ทศ” ดันเผลอไปคิดถึงหมัดหนักๆ หลังจากพี่ข้าวตื่นซะนี่

‘ไอ้เจ้ามันไม่ทำอะไรหรอกน่า เชื่อพี่’ ไม่เชื่อครับ... เตรียมไว้อาลัยตัวเองได้เลย ‘เออใช่ อย่าลืมเอายาแก้แฮงค์ให้เจ้ากินด้วยนะ พวกยาแก้เคล็ดขัดยอกน่าจะอยู่หลังตู้เย็น ยังไงก็โชคดีนะครับคุณติณณ์ หึๆ’

“พี่ทศเดี๋ยว--- เฮ้อ” ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าอีกฝ่ายวายสายแล้ว พรูลมใจออกมายาวๆ ชนิดที่ว่าถ้าถอนหายใจ1ครั้งแล้วชีวิตสั้นลงหนึ่งวัน ป่านนี้ผมคงตายแล้ว... นึกแล้วก็โยนโทรศัพท์ไปสักที่บนเตียง หันมาสนใจคนที่นอนอุตุอยู่บนอก ครั้งจะขยับตัวก็เกรงใจพี่ข้าวที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ไหนจะมือที่กำเสื้อเหมือนกลัวผมจะหายนั่นอีก เลยตัดสินใจตวัดผ้าห่มคลุมทั้งคู่นี่ละ เรื่องตอนพี่ข้าวตื่นก็ไว้ก่อนละกันครับ...

ตอนนี้ขอเก็บเกี่ยวนาทีทองก่อนนะครับทุกคน ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมในตอนเช้าด้วยนะครับ...


“เฮ้ย! เชี่ย ใครวะ!!”

ปึ่ก โครม!

“อูยย”

ผมสูดปากระบายความเจ็บที่ได้รับ เคยหลับอยู่ดีๆ แล้วบินไหมได้ครับ ผมนี่ไงบินมานอนแผ่หลาข้างเตียงโดยฝีเท้าของพี่ข้าว... ตีนหนักฉิบ

“ติณณ์ ติณณ์หรอ?” เจ้าตัวชะโงกหน้ามาดูผลงานก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่โดนถูกลูกถีบรับอรุณนั่นคือใคร “เฮ้ย พี่ขอโทษเป็นไงบ้าง โอ๊ย”

ผมดันตัวเองขึ้นมามองอีกคนบนเตียงที่เอามือกุมหัว ขาข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้าเป็นหลังฐานว่าเมื่อกี้คือฝีมือของเจ้าตัวเอง “พี่ข้าวไหวไหม”

“ไหวๆ ติณณ์นั่นแหละไหวไหม” พี่ข้าวส่ายหัวไปมาไล่ความมึน “โทษทีพี่นึกว่าเป็นคนอื่น”

“บอกไม่ไหวก็คงโกหก เจ็บครับแต่ดีที่ไม่ได้ลงแรงมาก...ไอ้ที่เจ็บจริงคงเป็นไอ้นี่” ผมเลิกชายเสื้อขึ้นโชว์ รอยเท้าพี่ข้าวประทับบนหน้าท้องอย่างสวยงามเป็นวงกว้าง คาดว่าคืนนี้ไม่ก็มะรืนคงม่วง... ส่วนเจ้าของผลงานก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ขยับตัวเข้ามามองใกล้ๆ ก่อนจะลูบมันอย่างเบามือ

“ม่วงแน่เลย... พี่ขอโทษนะ”

“ช่างเถอะพี่ แล้วยังปวดหัวไหมครับ?”

“ไม่ค่อยแล้ว ติณณ์ไปทำงานไหวไหม” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ จับมือพี่ข้าวที่ลูบหน้าท้องผมออกอย่างเบามือ ไม่แสบละครับ เสียว...

“อ่า...น่าจะมีชุดไอ้หลงอยู่ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวพี่จะทายาให้”

“ผมมีชุดสำรองที่รถครับ พี่ข้าวอาบน้ำก่อนเลยเดี๋ยวผมลงไปเอา” ผมว่า เหลือบมองนาฬิกาบอกว่าหกโมงนิดๆ มีเวลาอีกเยอะ “งั้นเดี๋ยวผมมา”

ไม่ทันได้เห็นว่าเจ้าของห้องพยักหน้าหรือเปล่าผมก็หยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์เดินลงมาข้างล่าง ถามพนักงานว่าแถวนี้มีร้านโจ๊กหรือข้าวมันไก่ไหม เมื่อได้คำตอบที่ต้องการก็เดินออกมาซื้อให้พี่ข้าว ขากลับก็แวะเอาชุดสำรองที่รถก่อนขึ้นห้อง พอมาถึงห้องก็เจอพี่ข้าวยืนยิ้มกว้างรอรับผมในชุดทำงานเรียบร้อย

“เอ่อ..ผมไปซื้อข้าวเช้ามาให้ครับ” ผมบอก ชูถุงข้าวมันไก่ขึ้นเป็นหลักฐาน

“ครับ แล้วติณณ์เข้าห้องพี่ยังไงครับ” พี่ข้าวถามเสียงร่าเริงผิดวิสัย...ที่ปากยังคงมียิ้มกว้างติดอยู่ ใจผมนี่กระตุกไปแล้ว ไม่ใช่กระตุกเพราะใจสั่นกับรอยยิ้มนะครับ กระตุกเพราะมีความผิดติดตัว

“ตอนติณณ์ออกมาคีย์การ์ดพี่ยังวางอยู่ในห้องอยู่เลยครับ” ว่าแล้วพี่ข้าวก็ชูคีย์การ์ดของตัวเองขึ้นมาหมุนเล่น นั่นทำให้ผมยกมือยอมแพ้ก่อนยื่นการ์ดที่จิ๊กมายืนให้เจ้าของห้องคืน

“ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว” พี่ข้าวยิ้มเย็น “ยาอยู่ในห้องน้ำนะ”

“ไหนพี่ข้าวจะทายาให้ผมไง”

พี่ข้าวเลิกคิ้วสูง ชูคีย์การ์ดทั้งสองใบโบกไปมาแทนคำพูดว่า ‘เอ็งยังมีความผิดติดตัวนะ ยังกล้าขออะไรอีกหรอ’ เห็นอย่างนั้นผมก็ยิ้มแหยให้แล้วหนีเข้าห้องน้ำทันที ไม่น่าพลาดเลยไอ้ติณณ์เอ๊ย

พอจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ออกมาก็เห็นพี่ข้าวนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกับข้าวมันไก่ในจานสองใบที่ไม่มีการตักกิน คนตัวเล็กหันมองผมแวบหนึ่งก่อนสะบัดหน้าหนี แต่ไม่วายเรียกให้ผมมานั่งกินข้าวเช้า

ยิ้มร่าสิครับพี่ข้าวอุตส่าห์รอ

“เมื่อวานมาส่งพี่? แล้วไอ้หลงล่ะ” พี่ข้าวเปิดฉากถาม มือเล็กเขี่ยแตงกวาไปไว้ขอบจาน คงไม่ชอบกินสินะ

“พี่หลงเมาหนักครับ พี่ทศเลยให้ผมพาพี่ข้าวกลับห้อง” ผมตอบ ยื่นส้อมไปจิ้มแตงกวาในจานของพี่ข้าวมากัดโดยมีคนตัวเล็กมองตามแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะกลุดปากพูดในสิ่งที่สงสัยออกไป “ว่าแต่ครับ พี่ทศบอกว่าพี่ข้าวเคยคบผู้ชายหรอ”

กึก
อีกฝ่ายชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด

“เอ่อ.. ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกันครับ” ผมรีบตัดบท ตักไก่ในจานไปวางให้อีกคนแทนแล้วฉีกยิ้มให้ “กินข้าวๆ จะได้ไปทำงานกันครับ”

“...เคยคบ สมัยเรียนปีหนึ่งอยู่ช่วงนึง” อีกฝ่ายตอบพลางยักไหล่อย่างไม่สนอะไร “แต่มันไม่โอเค พี่เลยไม่สนใจผู้ชาย”

ผมหรี่ตามองอีกคนที่ก้มหลบตา “แล้วผมมีโอกาสที่จะทำให้พี่สนใจได้ไหม”

“...” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย ผมเผลอถอนหายใจให้กับตัวเองก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวเช่นเดียวกับคนตรงข้าม อาสาล้างจานให้และออกจากห้องไปพร้อมกัน พี่ข้าวไปกับลูกรักบุโรทั่ง ส่วนผมก็ขับรถกลับห้องก่อนเดินไปที่บริษัท

เอาไว้พี่ข้าวพร้อมจะเล่าค่อยอยากรู้ก็ได้... หรือไม่รู้ก็ยังได้เลยเพราะไอ้ที่อยากรู้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องนั้น...


“อ้าว คุณติณณ์มาไหวด้วยหรอครับ” พี่ทศเอ่ยทักอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะทันทีที่เห็นหน้าผมเดินเข้าแผนก “เจ็บตรงไหนบ้าง”

“สะโพกกับหน้าท้องครับ” พอผมตอบไป พี่ทศก็เดินมาดึงชายเสื้อนักศึกษาผมออกจากกางเกงทันที เลิกขึ้นจนถึงอก แอบได้ยินเสียงสาวน้อยสาวใหญ่ในแผนกกรี๊ดลั่น

“เออว่ะ เป็นรอยตีนเลย นี่ทายายัง”

“ทาแล้วครับ” ผมกระชากเสื้อที่โดนอีกคนจับอยู่ลง ยัดชายใส่กางเกงมันตรงนั้นล่ะ “แล้วพี่หลงล่ะครับ?”

“ลา แฮงค์” โอเครู้เรื่อง “พี่นึกว่าติณณ์จะมากับเจ้าซะอีก”

ผมยิ้มให้ก่อนขอตัวไปทำงาน พี่ทศที่เห็นผมเฉไฉไม่ตอบคำถามก็ตบบ่าสองสามครั้งคล้ายรู้เรื่องแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป

“พี่ข้าวครับ” เมื่อเดินถึงโต๊ะก็เอ่ยทักคนข้างๆ ตามความเคยชิน เจ้าของชื่อชะงักมือที่จับเมาส์ไว้เล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนเมาส์ไปมาให้อย่างไม่สนใจว่าผมอยู่ตรงนั้น จนผมได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง

ตอนนั้นไม่น่าถามออกไปเลย...

Tbc.

―――――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -8- 31|01|2561
«ตอบ #15 เมื่อ31-01-2018 20:55:00 »

8
ข้าวเจ้า


“ว่าแต่ครับ พี่ทศบอกว่าพี่ข้าวเคยคบผู้ชายหรอ” คำถามนั้นทำให้ผมชะงักมือที่กำลังตักข้าว ก่อนจะได้ยินเสียงรนๆ ของอีกคนว่าต่อ “เอ่อ.. ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกันครับ กินข้าวๆ จะได้ไปทำงานกัน”

ผมเงยมองคนตรงหน้าที่ตักไก่ในจานตัวเองมาให้ผม แล้วเอาแตงกวาที่ผมไม่ชอบกินไปแทนก่อนขะตัดสินใจตอบคำถามนั้น

“...เคยคบ สมัยเรียนปีหนึ่งอยู่ช่วงนึง” ว่าพลางยักไหล่อย่างเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญทั้งที่ในใจก็อยากรู้ว่ามันจะรู้เรื่องมากแค่ไหน...เรื่องนี้แม่งโคตรจะเป็นความลับถ้าไอ้หลงไม่ปากโป้ง! “แต่ไม่โอเคพี่เลยไม่สนใจผู้ชาย”

ติณณ์หรี่ตามองผม... มันคงไม่รู้ว่าผมโกหกหรอกมั้ง

“แล้วผมมีโอกาสที่จะทำให้พี่สนใจได้ไหม”

“...” ทว่ามันกลับพูดประโยคที่ผมเลี่ยงที่จะรับรู้มาตลอดตั้งแต่วันที่เจอมันครั้งแรก จึงเลือกที่จะเงียบไม่ยอมตอบคำถามนั้น ตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปากก่อนเอ่ยไล่ให้มันไปทำงาน ระหว่างทางไปบริษัทก็แช่งพี่ทศกับไอ้หลงในใจมาตลอดทาง ไหนว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ไงวะ!

“ไอ้พี่ทศ!” ผมตวาดใส่คนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เจ้าของชื่อสะดุ้งกับเสียงผมเล็กน้อยก่อนจะหมุนเก้าอี้หันมายิ้มกว้างให้ สองขาก้าวยาวๆ ไปกระแทกมือลงกับโต๊ะที่พี่ทศนั่งอยู่ โชคดีที่ตอนเช้าคนในแผนกยังไม่มากันเลยสามารถเสียงดังได้

“ว่าไงเจ้า”

“เมื่อคืนพี่บอกอะไรติณณ์” ผมกดเสียงต่ำแต่คนตรงหน้าขำ “ได้เล่าอะไรมันฟังไหม”

“โอ๊ะๆ เก็บมือก่อน นี่พี่มึงนะ” พี่ทศชี้นิ้วไปที่กำปั้นที่ผมยกชูขู่ พี่มันไม่กลัวหรอกครับก็นี่คู่ซ้อมมวยผมทั้งคน “พี่แค่บอกเด็กเจ้าว่าเจ้าเคยคบผู้ชาย”

ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งพี่ทศขำกับปฏิกิริยาเท่าไหร่ยิ่งทำให้ผมทวีความหงุดหงิดขึ้นเท่านั้น

“ที่จริงพี่บอกไปแค่นั้น ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องถามเจ้าเอง” หัวหน้าแผนกยกมือยอมแพ้ “เด็กมันดูชอบเจ้าดีนะ ตอนเจ้าเมาหลับก็ให้แกพิงแถมไม่บ่นสักแอะแถมพากลับห้องอีก รู้ไหมว่าเมื่อคืนมันโทรมาหาพี่ ถามพี่ว่าเวลาเจ้าเมาแล้วเป็นยังไง พอตอบไปมันก็บอกว่า ‘ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ก็รบกวนไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลด้วยนะครับ’ ทำซะพี่ขำลั่นจนเด็กพี่เกือบตื่น”

ผมถอนหายใจให้ตัวเองยาวๆ กับเสียงพี่ทศที่เก๊กเข้มแบบเสียงติณณ์ เมื่อเช้าที่ตื่นมาแล้วเผลอถีบมันเพราะคิดว่าเป็นคนอื่นก็ยังรู้สึกผิดอยู่เลยครับ ทั้งๆ ที่น้องมันก็อุตส่าห์ดูแลเราอย่างดีขนาดนั้น แถมยังหาข้าวหาน้ำให้อีก ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเมาแล้วทำอะไรกับมันไปบ้าง เฮ้อ

“ว่าแต่ติณณ์ล่ะ? มาไม่ไหวหรือไงเห็นไม่มาด้วยกัน” เสียงติดขำเรียกสติผมคืนมา พี่ทศเอามือป้องปากตาวาวระยับ รู้เลยว่าในหัวของหัวหน้ากำลังคิดอะไรอยู่

“ผมไล่มันให้เอารถมาครับ งั้นผมขอตัวก่อน” จริงๆ ผมควรออกมาตั้งแต่ได้คำตอบแล้ว มัวแต่สำนึกผิดเรื่องไอ้ติณณ์อยู่นั่นล่ะเลยไม่ได้ออกสักที

“เออเจ้า” ผมหันตามเสียงเรียก “กับติณณ์... ถ้าเกิดอะไรขึ้น หรือรู้อะไรอย่าไปโกรธน้องมันนะ”

“ครับ?”

“อีกอย่าง... พี่ว่าข้าวอย่าปิดความรู้สึกตัวเองเลย เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเถอะ” ผมเผลอขมวดคิ้วกับคำพูดของพี่ทศ ผู้เป็นเหมือนพี่ชายควบตำแหน่งหัวหน้าทำเพียงยิ้มจางๆ ให้ พอตั้งใจจะถามต่อก็โดนอีกฝ่าตัดบทด้วยการไล่ออกมาเสียก่อน


เชื่อไหมว่าตลอดวันนี้ผมเจอคนที่ชื่อว่าติณณ์ก่อกวนทั้งวัน ไม่ว่าจะเรียกชื่อผมทุกห้านาทีบ้างละ พับกระดาษที่เขียนอะไรสักอย่างไว้ข้างในแล้วปาใส่ผมบ้างละ ตอนเที่ยงก็วอแวใกล้ๆ จนน่าหงุดหงิด และที่สุดคือพอผมลุกไปห้องน้ำกลับมาก็เจอโพสอิทหลากหลายสีถูกแปะไว้เต็มหน้าจอคอมและรอบๆ โต๊ะจนต้องตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุที่นั่งยิ้มร่า ยอมที่จะเอ่ยปากพูดกับมันเพื่อที่ให้มันแกะออกจนได้

“แกะ! เดี๋ยว! นี้!” ผมเน้นคำ ชี้นิ้วไปที่หน้าจอที่เต็มไปด้วยกระดาษสีที่เขียนไว้ว่าขอโทษครับ ยกโทษให้ผมนะ ดีกันนะ...อะไรเทือกๆ นี้ สงสัยจะง้อสาวอย่างนี้บ่อยละสิ เฮอะ
อันที่จริงก็ไม่ได้โกรธอะไรมันมากมายหรอกครับ แค่ยังไม่อยากคุยด้วยตอนนี้เดี๋ยวเผลอไปอารมณ์เสียใส่มัน บวกกับงานที่เข้ามาใหม่มันล้นโต๊ะ...
แต่ตอนนี้ชักเริ่มหงุดหงิดจริงละครับ

“พี่ข้าวยอมพูดกับผมแล้ว” ติณณ์ฉีกยิ้มกว้าง ไถลเก้าอี้มาตรงหน้าผมแต่ไม่ยอมแกะกระดาษพวกนั้นออก “ถ้าผมแกะให้แล้วพี่ต้องคุยกับผมนะ ห้ามเงียบด้วยไม่งั้นผมจะกวนพี่ต่ออย่างนี้ละ”

ผมพยักหน้าส่งๆ ไปให้ไอ้หมียักษ์ที่ยิ้มเหมือนคนบ้า และเริ่มลงมือดึงโพสอิทบนหน้าจอออก หางตาผมเหลือบไปเห็นพี่ทศที่พิงกรอบประตูห้องตัวเองกำลังหัวเราะอยู่... ให้ตายเถอะปวดหัวชะมัด

“เสร็จแล้ววว” ติณณ์หันมายิ้มแฉ่งบอกผมที่ยืนพิงที่กั้นอยู่ เจ้าตัวไถลเก้าอี้มาจนชิดผม ใช่ร่างเท่าหมีควายนั่นกักตัวผมกลายๆ “เสร็จแล้วครับ มีรางวัลให้ผมไหม”

“เออๆ” ผมถอนหายใจ พลางส่งมือไปลูบกลุ่มผมของคนตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำ แต่จากที่พี่ทศเล่ามาเมื่อวานมันดูแลผมดีบวกกับความรู้สึกผิดที่ไปถีบมันเมื่อเช้า... เพราะงั้นนี่ถือเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน

ว่าแต่ผมนิ่มดีแฮะ... เมื่อผมเริ่มขยับมือยีหัวมัน ไอ้ติณณ์ก็เบิกตากว้างราวกับว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นั้นคือเรื่องมหัศจรรย์อันดับแปดของโลกจนอดที่จะเปลี่ยนจากลูบเบาๆ เป็นจิกเล็บลงกับกลุ่มผมที่เซ็ตเปิดเถิกซะดิบดีนั่นแล้วดึงขึ้นไม่ได้

หมั่นไส้โว้ย!

“โอ๊ย เจ็บๆๆ พี่ข้าววว” ติณณ์โอดครวญออกมา ไอ้เด็กนี่ทำหน้าเหยเกบวกโวยวายแต่ไม่ยอมดึงมือผมออกนะ ปล่อยให้จิกอยู่ได้ มาโซรึไงนาย

“พี่ข้าวยิ้มแล้ว” ผมชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงกึ่งดีใจของอีกคน จังหวะที่จะก้มมองมันก็เห็นหน้าตัวเองกำลังยิ้มกว้างสะท้อนในหน้าจอคอมไร้โพสอิทที่ดับไปแล้ว ติณณ์ที่เห็นผมชะงักจึงคว้าข้อมือผมที่จิกหัวอยู่ไปจับ ก่อนจะกระทำการอุกอาจชนิดที่ผมคาดไม่ถึง...

ริมฝีปากร้อนถูกกดลงมากลางฝ่ามือผมอย่างแผ่วเบา...

“ผมชอบเวลาพี่ข้าวยิ้มนะ ยิ้มให้ผมบ่อยๆ ได้หรือเปล่า”

รอยยิ้มของมันและการที่มันเอามือผมไปแนบใบหน้าให้เริ่มรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า ผมรีบสะบัดมือออกยกขาถีบเก้าอี้ติณณ์ให้กลับฝั่งของมันก่อนจะทรุดนั่ง เม้มปากก้มหน้าซบแขนตัวเองเพื่อซ่อนใบหน้าที่คล้ายจะแดงระเรื่อตามจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว แถมเสียงหัวเราะทุ้มและเสียงพูดของคนโต๊ะข้างๆ ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“มือพี่ข้าวหอมจังครับ”

ไม่ทงไม่ทำมันแล้วได้ไหมไอ้งานเนี่ย!


“ไอ้เหี้ยหลง!” ผมพุ่งไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งหลีเด็กฝึกงานสาวอย่างไม่แคร์แฟนมัน(เพราะจ๋ายังไม่มา) กระชากคอเสื้อมันขึ้นอย่างแรงจนเด็กฝึกงานสองคนนั้นสะดุ้งหนีหายจากแผนก วันนี้ผมรีบมาแต่เช้าเพื่อมาเคลียร์กับเพื่อนสนิทนี่ละครับ เมื่อวานแม่งแฮงค์จนลางาน วันนี้ต้องชำระความหน่อย

“เฮ้ยๆ ไอ้เจ้าใจเย็น... ใจเย็นนะตัวเองนะ” หลงตบหลังมือผมๆ เพื่อให้ปล่อย “มะ เมื่อวานกูแฮงค์กูเลยไม่มา ยังไม่ได้ทำไรเลยนะ”

“หรอออ งั้นเข้าเรื่องเลยนะ เรื่องกูนอกจากพี่ทศแล้วมึงเล่าให้ใครฟังอีกไหม” เค้นเสียงใส่เพื่อนสนิทที่เริ่มเหงื่อตก

“เรื่องไหนอ่ะครับคุณเจ้า”

“ก็เรื่องที่มึงเคยรู้อยู่คนเดียวไง” ผมกดเสียงต่ำ ย้ำคำจนไอ้หลงหน้าซีดเผือก

“เอ่อ... ถ้าเรื่องนั้นมีแค่พี่ทศที่กูหลุดปากพูดตอนเมา มีแค่นั้น... แค่นั้นจริงๆ” ไอ้หลงลนลานตอบ ถ้าตอนนี้เปรียบหน้าเป็นตัวอีโมชั่น... ตอนนี้หน้าไอ้หลงคงเป็นตัว ; w ;

“ที่พี่ทศรู้กูก็รู้แล้ว... แล้วมึงรู้ไหมว่าพี่ทศของมึงก็มาบอกไอ้ติณณ์ต่อ” ผมว่าเสียงเรียบพลางปล่อยคอเสื้อไอ้หลง มันที่เป็นอิสระก็ผวาจนถอยไปซะติดกำแพงห้องทันที กลัวอะไรนักหนา

“ง่า...เอ่อ แล้วน้องมันว่าไง”

“พี่ทศบอกให้มันมาถามกูเอง...” ไอ้เพื่อนสนิทไสเก้าอี้กลับมาหาผม ทำหน้าเหมือนอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ “แต่กูไม่ได้ตอบ ใครอยากจะไปตอบกันวะ”

“โถ่มึง แค่มึงคบเกย์สาวแล้วเกือบโดนฝ่ายนั้นจับทำมะ อุ๊บ ฟหกดเสวง!” ผมพุ่งตัวไปปิดปากมันทันทีที่คำพูดนั้นออกจากปากมอมๆ ของมัน หันซ้ายมองขวาอย่างกลัวว่ามีใครจะได้ยินไหม ก่อนจะตวัดตามองเพื่อนสนิทที่โวยวายทั้งที่ปากโดนปิด

“หุบปากเลยมึง” ผมกดเสียงต่ำอีกครั้ง นั่นความลับเป็นTop Secret ของผมเชียวนะ! โอเค...ผมจะเล่าก็ได้ คืองี้ครับ เขาคนนั้นเป็นคนรู้จักของเพื่อนผมอีกที เป็นผู้ชายไซส์พกพาหน้าตาหวานๆ ตัวพอๆ กับผมเลยล่ะ แล้วทีนี้จู่ๆ เขาก็มาบอกชอบผมและด้วยความที่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรืออะไรก็เลยลองคบดู ควงกันได้อยู่ช่วงหนึ่งก่อนคุณเขาจะชวนผมไปที่ห้อง...

ส่วนผลลัพธ์น่ะหรือครับ... ก็เกือบไม่รอดแต่ผมยังปลอดภัยดีครับ...

นับแต่นั้นผมเลยตัดสินใจไม่คบผู้ชายครับ เรียกว่าเข็ดก็ได้ครับ

“เงียบไว้ถ้ามึงยังไม่อยากให้จ๋าหนีไปมีแฟนใหม่...”

“อืม เพราะอย่างนี้หรอครับที่เลยพี่ไม่ยอมบอกผม” เสียงทุ้มของใครบางคนที่พูดขัดผม ทำให้ผมสะดุ้งตัวหันไปหาเจ้าของเสียงทันที ร่างสูงของคนคุ้นเคยในช่วงน้อย่างติณณ์ยืนกอดอกพิงที่กั้นอยู่ไม่ไกลจากผมมาก แต่อยู่ในระยะอับสายตาพอดีทำให้เมื่อกี้ผมมองไม่เห็น “พอดีไปเข้าห้องน้ำมา ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะครับ”

“ทำไม...” ทำไมถึงมาเร็ว

“เมื่อวานผมลืมเอามือถือไว้ที่โต๊ะครับ วันนี้เลยรีบมาเอา ผมมาหลังพี่หลงแปบเดียว” มันชี้นิ้วไปที่คนที่ผมยังปิดปากอยู่ ไอ้หลงทำหน้าเหรอหราใส่ผม “ส่วนเรื่องเมื่อกี้ผมไม่ได้...”

“อ่า... ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ผมปล่อยมือจากปากเพื่อนสนิท เช็ดมือลวกๆ กับเสื้อมันก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง หันมองอีกคนด้วยความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ “รู้แล้วก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจอีกแล้วใช่ไหม”

ว่าจบผมก็เดินออกจากตรงนั้นทันทีโดยไม่สนใจเสียงของใครสักคนที่เรียกชื่อผมตามหลังมา พาตัวเองออกจากบริเวรแผนกลงไปที่มินิมาร์ทข้างใต้บริษัท เดินวนๆ ในนั้นและหยิบอะไรสักอย่างมาจ่ายตังค์อย่างไม่ได้ดูว่าซื้ออะไรออกมา ก่อนจะทรุดตัวลงกับม้านั่งแถวๆ นั้น

พอได้อยู่เดียว... ถึงได้เข้าใจว่าหงุดหงิดเรื่องอะไร

ผมแค่ไม่ได้อยากให้มันมารู้เรื่องนี้ด้วย...

ตุ๊บ
ใครสักคนที่ทิ้งตัวนั่งข้างๆ ทำให้ผมหันไปมอง คนที่ผมเพิ่งจะเดินหนีมาเมื่อสักครู่นี้...

“เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ผมก็มีครับ” สิ่งที่ติณณ์พูดทำให้ผมที่กำลงจะลุกขึ้นชะงักตัว “ส่วนเรื่องของพี่ข้าวอันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ผมสนใจ... พอได้ยินว่าพี่ข้าวเคยคบผู้ชายเลยคิดแค่ว่าผมอาจมีโอกาสบ้างก็เท่านั้นเองครับ” มันว่าโดยมีรอยยิ้มจางๆ ติดที่มุมปาก

“...ทำไมถึงเป็นพี่” ไม่รู้อะไรทำให้ผมถามออกไปอย่างนั้น

“สนใจครับ” ติณณ์ตอบทันที “ยอมรับว่าตอนแรกที่เจอคือสนใจ มาเจอครั้งที่สองคืออยากรู้นิสัยจริงๆ แต่ก็ไม่เจอพี่อีกเลยจนผมตัดสินใจเลิกตามหา จนบังเอิญได้มาเจอที่นี่แหละครับ มันบังเอิญจนผมคิดว่าจะไม่ปล่อยให้พี่หายไปอีกแล้ว พี่ข้าวน่ะไม่เหมือนคนอื่นที่ผมเคยเจอ ตอนแรกผมอาจจะคิดว่าพี่แค่แตกต่างจากคนอื่นๆ เลยทำให้สนใจ แต่พอได้อยู่ด้วยกันแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น...ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความสนใจมันหายไปจนกลายเป็นว่าชอบไปแล้ว”

ผมหันมองหน้าเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ ใช่ว่าผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรตั้งแต่ที่เจอวันนั้น แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาหมดอย่างนี้... สารภาพง่ายๆ ว่าชอบต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบ

“...แต่พี่ไม่ชอบเด็ก”

“ผมก็ไม่ชอบคนแก่ครับ” ห๊ะ... “แต่พี่เป็นข้อยกเว้นสำหรับผมนะครับ แล้วผมล่ะเป็นข้อยกเว้นของพี่หรือเปล่า”

“....ถ้าบอกว่าไม่”

“ผมก็คงตัดใจ” เผลอกลั้นหายใจกับคำตอบนั้น “อีกเดือนกว่าๆ ที่เหลือ... พี่ข้าวให้โอกาสผมได้หรือเปล่า ถ้าผมฝึกจบแล้วแล้วพี่ไม่รู้สึกอะไรกับผมเกินกว่าพี่น้อง ผมจะไม่มาให้พี่ลำบากใจอีก”

ติณณ์ขยับมือมากุมทับมือผมไว้หลวมๆ น่าแปลกที่ผมไม่คิดจะดึงออก... และไม่คิดจะรังเกียจสัมผัสของคนตรงหน้า

“นะครับ ผมขอโอกาสได้ไหม”

“...ก็ไม่ได้ห้าม” ผมตอบไม่ตรงคำถาม ผินหน้าร้อนๆ ไปทางอื่นเพราะไอ้รอยยิ้มกว้างที่บ่งบอกว่าดีใจมากของติณณ์... ไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองไม่มีภูมิต้านทานรอยยิ้มมันเลย

“ขอบคุณครับพี่ข้าว แล้วก็ผมมีเรื่องที่อยากจะ... โอ๊ย!” เสียงร้องของติณณ์ทำผมหันกลับไปมองบางสิ่งที่ทำให้มันร้องเสียงหลงเงยหน้าขึ้นจากการกอดคออีกฝ่าย ก่อนว่าเสียงใส

“พี่ติณณ์คะ!”

Tbc.
―――――――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -8- 31|01|2561
«ตอบ #16 เมื่อ01-02-2018 00:10:22 »

ใครนะ???

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: จีบนะครับ...รักผมที -8- 31|01|2561
«ตอบ #17 เมื่อ01-02-2018 10:09:04 »

 :L2:  :pig4:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
«ตอบ #18 เมื่อ01-02-2018 21:21:04 »

9

“อ่า... ก็ไม่ได้ว่าอะไร” พี่ข้าวละมือจากการปิดปากพี่ลง หันมามองผมที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือหงุดหงิด “รู้แล้วก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจอีกแล้วใช่ไหม”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังและเดินเร็วๆ ออกไป...

“เฮ้ย! พี่ข้าวเดี๋ยว! พี่หลงปล่อย” ผมที่จะวิ่งตามคนที่ออกจากแผนกไปแล้วชะงักตัว เมื่อถูกเพื่อนสนิทพี่ข้าวรั้งแขนผมไว้

“คุยกันก่อน อย่าใจร้อนน่า” พี่หลงว่ายิ้มๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนผม “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเรากับเจ้ามีเรื่องอะไรกันอีกไหม ที่พี่รู้คือวันนั้นพี่ทศบอกติณณ์ใช่ไหมว่าข้าวมันเคยคบผู้ชาย เรื่องของเรื่องก็เป็นอย่างที่ติณณ์ได้ยินนั่นแหละ มีแค่พี่ที่รู้ส่วนพี่ทศรายนั้นพี่หลุดปากตอนเมา ตอนไอ้เจ้ารู้มันก็โกรธพี่แต่ก็ไม่ได้เป็นถึงขนาดนี้ นี่สงสัยไอ้เจ้ามันคงไม่อยากให้รู้เรื่องนี้ล่ะมั้ง”

“เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ผมก็มี” ตอบพลางหันมองคนที่หายไปจากสายตาแล้ว “แต่ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องว่าผู้ชายคนไหนที่พี่ข้าวเคยคบเคยควงหรืออะไร แต่ที่ผมอยากรู้ว่าผมมีโอกาสบ้างไหมก็แค่นั้นเอง”

“ชอบเพื่อนพี่มากแค่ไหน”

“ก็ชะ--” พอจะตอบพี่หลงก็ขัดขึ้นมา

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องบอกเพราะพี่ไม่ได้อยากรู้ ที่พี่ถามไปบอกมันเอาเองละกัน” คนตรงหน้ายิ้มกว้างให้ผม “ถ้ามันโอเคก็ดี”

“พี่หลงครับ...”

“โอ๊ย ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก พี่แค่อยากเห็นเพื่อนพี่มีความสุขบ้าง นี่ชอบมาเป็นกขค.พี่กับจ๋าตลอด รู้อะไรไหมว่ามันคบกับใครก็โดนบอกเลิกเพราะมีผู้ชายมาจีบซะส่วนใหญ่นี่สิ พอคบผู้ชายก็เจออย่างที่ติณณ์ได้ยินไป พี่ว่านะตอนนี้ไอ้เจ้ามันคงรู้สึกอะไรกับติณณ์บ้างแล้วล่ะ ส่วนถ้าจะขอบคุณล่ะก็เลี้ยงเหล้าพี่ก็พะ--”

“เปล่า พี่ปล่อยผมได้ยัง ผมจะไปตามพี่ข้าวแล้ว ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้ว” พี่หลงที่กำลังพูดอยู่ชะงัก ผมจึงใช้จังหวะนี้ดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของพี่หลงแล้วก้าวไปตามทางที่พี่ข้าวออกไปทันทีโดยมีเสียงโวยวายตามหลัง “ไปนะพี่”

“...ไอ้เวรติณณ์!”

ผมวิ่งลงมายังชั้นล่างสุดที่เป็นส่วนของมินิมาร์ทและที่จอดมอเตอร์ไซค์ คาดว่าพี่ข้าวน่าจะอยู่ชั้นนี้และเจ้าตัวก็อยู่จริงๆ พี่ข้าวที่เอาแต่นั่งก้มหน้ามองพื้น ไม่รู้เลยสักนิดว่าผมเดินมาตรงหน้าแล้ว พอเห็นอย่างนั้นก็ถือวิสาสะนั่งข้างๆ เสียเลย เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าคนข้างๆ เป็นผมก็ทำท่าจะลุกหนี แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปคงทำให้อีกฝ่ายสนใจพอควรถึงยอมนั่งอยู่ต่อ

ยอมรับว่าครั้งแรกที่เจอพี่ข้าวนั่นคือความสนใจ เคยคิดกับตัวเองอยู่ว่าอาจเพราะพี่ข้าวไม่เหมือนคนอื่นตรงที่ไม่เป็นฝ่ายเข้าหาผมก่อน แต่ระยะเวลาเดือนก่อนๆ ที่ฝึกงานนั้นทำให้ผมรู้ว่าความคิดนั่นมันไม่ใช่ ผมยอมรับเลยว่าผมชอบคนตรงหน้า ผมชอบที่พี่ข้าวคือพี่ข้าว ไม่ใช่เพราะพี่ข้าวไม่เหมือนใคร ... อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมชอบใครสักคนจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ผมเพิ่งจะรับรู้ไปนั้นผมไม่ได้อยากรู้ว่าเขาคบกับใคร ผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองมีโอกาสบ้างไหม โอกาสที่จะได้อยู่ข้างๆ...

ถ้าคำตอบคือไม่... ผมคงจะถอย

ไม่อยากทำให้คนข้างๆ ลำบากใจมากกว่านี้

“...ก็ไม่ได้ห้าม”

แต่คำตอบของพี่ข้าวทำให้ผมยิ้มออก ตัดสินใจจะพูดเรื่องของผมที่คุยกับพี่ทศเมื่อวันก่อนให้อีกคนฟัง แต่ไม่ทันได้พูดอะไรมากก็มีอะไรสักอย่างพุ่งเข้ามารัดคอผมแน่นจนจุก ก่อนจะได้ยินเสียงคุ้นเคยดังเต็มสองรูหู

“พี่ติณณ์คะ!” เจ้าของเสียงเรียกชื่อผมเสียงดัง ก่อนจะระดมหอมแก้มผมจนต้องยกมือขึ้นกัน

“แตม?” ผมมองเด็กน้อยบนตัก เด็กหญิงผมเปียแก้มใสที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ส่งยิ้มแป้นให้ผม “นี่มาได้ยังไง?”

“มากับพ่อค่ะ หนูเห็นพี่ติณณ์นั่งอยู่เลยขอพ่อมาหา ส่วนพ่อไปนู้นแล้ว” เด็กน้อยว่าเสียงแจ้ว มือชี้ไปที่ลิฟต์สำหรับประธาน “พี่ติณณ์ไม่กลับมาเล่นกับหนูเลย โป้งแล้ว!”

“ฮ่าๆ พี่ต้องทำงานนี่ครับ แล้วแตมอยู่โคราชจะให้พี่ไปหายังไง หืม บอกลุงวัชให้พี่สิว่าเพิ่มวันหยุดให้พี่ติณณ์หน่อย พี่ติณณ์จะได้มีเวลาไปหาน้องแตม” ผมตอบเด็กสาวที่มีสถานะเป็นญาติห่างๆ ลูกหลงของลุงวัชที่ไม่ได้จอกันมาพักใหญ่ๆ... เผลอนั่งฟังแตมคุยเสียงแจ้วจนลืมว่ามีใครอีกคนอยู่ข้างๆ กระทั่งได้ยินเสียงเรียก

“ติณณ์...”

“อ่า พี่ข้าวครับ นี่น้องเฌอแตมครับ ลูกสาวคนเล็กของลุงวัช...”

“ลูกสาวของคุณชัยธวัช... ประธานของบริษัทที่เราทำงานใช่ไหม” เสียงที่พี่ข้าวเอ่ยขัดผมนั้นเป็นโทนปกติ... แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว “ติณณ์รู้จักได้ยัง... ไม่สิ ติณณ์รู้จักดีเลยสินะถึงเรียกประธานบริษัทว่าลุงได้”

“เอ่อ พี่ข้าวครับ...”

“พี่ติณณ์เป็นพี่ชายหนูค่ะ ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ก็เป็นพี่ชายของหนู” เด็กสาวที่นั่งตักผมอยู่เอ่ยแทรกเสียงใสอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พี่ข้าวที่ได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก พร้อมกับรอยยิ้มยัน

“หึ หรือนี่คือเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้อย่างที่คุณว่าหรือครับคุณติณณ์” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ผมเริ่มร้อนใจ อยากจะอธิบายแต่ก็ไม่ทันที่จะได้คิดหาคำพูดดีๆ อีกฝ่ายก็ผุดลุกขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ถ้าอย่างนั้นผมขอขึ้นไปก่อนนะครับ”

“พี่ข้าว! ผมไม่ได้จะ... โธ่เว้ย!” ผมทิ้งตัวกระแทกพนักเก้าอี้เมื่อแผ่นหลังของพี่ข้าวหายไปจากสายตา จะลุกตามก็ทำไม่ได้เพราะเด็กบนตักที่ทำตาแป๋วมองผมอยู่

“พี่ติณณ์คะ หนูทำให้พี่กับพี่คนนั้นโกรธกันหรอ” แตมถามผม ดวงตาของเด็กน้อยเริ่มคลอไปด้วยน้ำ “หนู... หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้...”

“ไม่ครับ แตมไม่ผิด... พี่ผิดเองที่ไม่ได้บอกเขาแต่แรก” ลูบหัวปลอบเด็กน้อยที่พยักหน้าหงึกหงัก “ไปหาพ่อหนูกันดีกว่าเนอะ พี่พาไป”

“งื้อ พาหนูไปขอโทษพี่คนนั้นด้วยนะคะ”

“ได้สิ พี่ก็ต้องขอโทษเขาด้วยเหมือนกัน” ผมตอบ กำลังจะพูดเรื่องที่พี่ข้าวยังไม่รู้ แต่สิ่งที่พูดนั้นกลับเดินมาหาผมเองในรูปแบบเด็กน้อยวัยสิบขวบเสียได้นี่... สมควรโดนโกรธไหมละมึง

แต่ถ้าบอกไปแล้วพี่ข้าวยังไม่หายโกรธล่ะ...

“พ่อคะ!” ทันทีที่ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่เป็นห้องของประธาน เฌอแตมก็สะบัดมือของผมที่กำลังคิดเรื่องพี่ข้าวอยู่ทิ้งแล้ววิ่งไปหาพ่อของตัวเองทันที

“สวัสดีครับลุงวัช นี่ทำไมไม่บอกผมครับว่าจะมา”

“เออๆ หวัดดีไอ้หลานชาย พอดีมีปัญหาเลยแวะมา ว่าแต่หน้าดูไม่ได้เลยนะเกิดอะไรขึ้นหรือไง” ผมยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่าย สงสัยสีหน้าผมจะแย่เกินไปลุงวัชเลยถามผมอย่างนั้น

“เพราะหนูค่ะ เมื่อกี้หนูทำพี่ติณณ์กับเพื่อนทะเลาะกัน” เฌอแตมยกมือตอบขึ้นมากลางความเงียบ ลุงวัชเลยหันมองลูกสาวตัวเองสลับกับผม

“หรือว่าแตมไปทำให้ความแตก?” ลุงวัชรู้เรื่องที่ผมไม่ให้บอกว่าตัวเองเป็นใครเพราะผมขอไว้เอง และลุงแกก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น เลยถือโอกาสให้ผมช่วยสอดส่องพนักงานให้ด้วย “อ่า... งั้นลุงขอโทษด้วยแล้วกัน ถ้าลุงมาคนเดียวก็คงไม่มีใครรู้สินะ ที่ปล่อยเจ้าแตมไปเพราะนึกว่าติณณ์อยู่คนเดียวน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมตั้งใจจะบอกเขาอยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าจะมีคนบอกแทน” ผมตอบ “เขาคงโกรธผมน่ะครับ”

“ให้ลุงไปช่วยอธิบายไหม?”

“ไม่ดีกว่าครับ... งั้นผมขอตัวไปแผนกก่อนแล้วกัน” ว่าจบผมก็ขอตัวออกมาทันที ระหว่างรอก็หาคำอธิบายดีๆ สำหรับอีกคน

“พี่ข้าวครับ ผมไม่ได้จะปิดเรื่องนั้นนะ” ผมรีบเอ่ยกับอีกคนทันทีที่ลงมาถึงโต๊ะ พี่ข้าวนั่งประจำที่แต่ไม่หันมาสนใจผมสักนิด “พี่ข้าวฟังผมนะ...”

“ขอโทษครับ พอดีงานผมยังเหลืออีกเยอะคงไม่สะดวกคุยตอนนี้” อีกฝ่ายตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นั่นทำให้ผมไม่กล้าคุยอะไรกับพี่ข้าวต่อ จะได้พูดก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายจะส่งงานมาให้เช็คความเรียบร้อย กระทั่งพักเที่ยง...อีกฝ่ายก็ไม่ยอมลงไปกินข้าวด้วยกัน พี่ทศที่เหมือนจะรู้เรื่องแล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้


“พี่ข้าวครับ ช่วยฟังผมแปบนึงได้ไหมครับ ขอห้านาที... แค่ห้านาทีก็ได้” เพราะไม่อยากให้ความอึดอัดมันค้างคา พอเห็นพี่ข้าวเดินมาเข้าห้องน้ำผมจึงลุกเดิน อาศัยความตัวใหญ่ของตัวเองให้เป็นประโยชน์ในการยืนขวางประตู กักไม่ให้อีกคนออกจากห้องน้ำได้

พี่ข้าวทำหน้านิ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูด ทำเพียงขยับตัวไปพิงอ่างล้างมือและจ้องมองผมตรงๆ... ผมจะตีความท่าทางนั้นเป็นการอนุญาตให้เล่าได้

“ผมตั้งใจปิดเรื่องที่ผมรู้จักกับลุงวัชจริงๆ ครับ” ผมสารภาพ และเป็นอีกครั้งที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ “ที่จริงผมสามารถไปฝึกที่ตึกใหญ่โดยไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้แต่สาเหตุที่ผมมาฝึกที่ก็เพราะว่าที่นี่มันไม่มีคนรู้จักผม พอลุงรู้สาเหตุก็ส่งให้มานี่ ผมอยากได้คนติมากกว่ามีคนมาชมประจบประแจง ถ้าไปฝึกที่นั่นไม่พ้นว่า คุณติณณ์ไม่ต้องทำอะไรหรอก คุณติณณ์ทำแค่นี้ๆ ก็พอ ไม่ก็ถ้าทำผิดก็จะบอกไม่เป็นไรหรอกคุณติณณ์ ไปของานก็บอกเกรงใจคุณติณณ์ ไม่ทันได้ทำอะไรมากก็คุณติณณ์เก่งอย่างนี้อย่างนั้น... ที่รู้เพราะผมเจอทุกครั้งที่ไปช่วยพ่อตอนปิดเทอม แต่พอมาที่นี่ผมโดนทั้งพี่หลง พี่ทศและอีกหลายๆ คนดุเวลาทำงานผิด ติเวลาทำงานไม่เรียบร้อย และชมเวลาที่ผมทำได้ดี พี่รู้ไหมว่ามันดีกว่าเจอเสียงหวานๆ บอกประจบอีก”

ใบหน้าของอีกคนยังเรียบเฉยจนผมใจเสีย มีเพียงเสียงนับเวลาถอยหลังที่แทรกขึ้นมาเป็นระยะ

“ผมรู้ว่าพี่คงโกรธที่ผมไม่ได้บอกพี่ตั้งแต่แรก...”

“...หนึ่งนาทีสุดท้าย”

“ผมบอกเหตุผลของผมทั้งหมดไปหมดแล้ว ถ้า... ถ้าพี่ข้าวจะไม่หายโกรธผมก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากให้พี่ได้ฟังเหตุผลของผมก็เท่านั้นเอง...”

“ผมไม่ได้โกรธ” อีกฝ่ายเอ่ยปากหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ “ผมแค่...ไม่รู้สิ ผมเข้าใจเหตุผลของคุณนะ แต่มันเหมือน อืม... เสียใจมั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งที่ผมคิดว่าเราสนิทกันแล้ว หรือบางครั้งผมอาจจะคิดไปฝ่ายเดียวว่าสนิทกับคุณ... แล้วคุณรู้อะไรไหมว่าห้องผม พื้นที่ส่วนตัวของผมนอกจากคนสนิทแล้วผมไม่ให้ใครเข้าไป ยิ่งค้างคืนมีแต่หลงที่เคยมาค้าง แต่คุณที่ผมเพิ่งรู้จักได้เข้าไปถึงสองครั้ง และไหนจะความลับของผมนั้นอีก...

ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงที่จู่ๆ เด็กฝึกงานที่ผมทำร้ายเขาอย่างไม่ตั้งใจตั้งหลายครั้งหลายครากลายเป็นหนึ่งในลูกหลานของญาดากรุ๊ปที่อาจจะบีบผมออกได้ถ้ารู้เรื่องที่ผมทำให้หลานชายเขาเจ็บตัว... ผมคงผิดเองที่ไม่ได้ดูชื่อสกุลของคุณก่อนดีๆ”

“มันไม่ได้..” อยากจะขัดเรื่องหลังแต่น้ำเสียงเรียบราบและสรรพนามห่างเหินนั่นทำให้ผมได้แต่กลืนก้อนเหนียวลงคออย่างยากลำบาก

มันไม่แปลกที่หลายๆ คนจะไม่รู้จักผมเพราะนอกจากตึกใหญ่แล้วผมก็ไม่ได้ออกงานที่ไหนเลย...

“ผมขอถามคุณแค่คำถามเดียว ถ้าวันนี้ผมไม่บังเอิญรู้เรื่องจากคุณแตม คุณมีความคิดที่จะบอกผมหรือเปล่า หรือจะปล่อยเลยตามเลยกระทั่งจบฝึกงาน”

“เมื่อเช้าผมตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ แต่แตมดันเข้ามาก่อนแล้วพี่ก็ลุกไป...”

คำพูดของเราจบลงแค่ตรงนั้น ไม่มีการโต้ตอบหรือขยับกายจากคนตรงข้าม มีเพียงเสียงของลมหายใจแผ่วเบาของเราทั้งคู่ ผมผิดที่คิดบิดบังอีกฝ่าย เรื่องผมมันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าความลับของอีกฝ่ายด้วยซ้ำแต่ผมกลับไม่ยอมบอกแต่แรก... ถ้าผมเป็นพี่เขา คงจะรู้สึกเหมือนกัน

ไม่รู้ว่านาฬิกาเคลื่อนไปนานแค่ไหนกระทั่งได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยขอให้ผมหลีกทางให้ กลิ่นกายของพี่ข้าวผ่านหน้าผมไปเมื่อผมขยับตัวออกจากบานประตูผิดกับผมที่ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่เดินออกห่างผมไป

“พี่ข้าวครับ ผมชอบพี่นะ” พี่ข้าวหยุดเดินเมื่อได้ยินผมพูด “ผมขอโทษที่ไม่ได้บอก... ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าผมบอกพี่ตั้งแต่แรกพี่ยังดุยังว่าผมอย่างนี้ไหม หรือพี่จะเอาแต่เกรงใจผมอย่างที่นั่น หรือถ้าผมตัดสินใจบอกพี่เร็วกว่านี้เรื่องมันจะเป็นเหมือนเดิมไหม ผมไม่ชอบอย่างนี้เลยว่ะ”

“ไม่รู้สิ...” เสียงของพี่ข้าวตอบกลับมาแผ่วเบา

“ถ้าพี่ไม่โอเคกับการที่ผมเป็นลูกหลานที่นี้ หรือถ้าเรื่องนี้ผมทำให้พี่ลำบากใจพี่บอกผมได้นะ... ถ้าผมทำให้พี่ไม่เชื่อใจ... โอกาสที่ผมขอไปพี่ก็ไม่ต้องให้ก็ได้”

“ติณณ์... พี่ขอเวลาคิดได้ไหม ตอนนี้พี่ไม่รู้ว่ะ...ไม่รู้”

“พี่ข้าว...”

“นะ ให้เวลาพี่หน่อย พี่ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาพี่รู้สึกดีที่มีติณณ์อยู่ข้างๆ แต่พอมารู้เรื่องนี้พี่เริ่มไม่แน่ใจว่ะ พี่กลัว...”

“กลัวอะไรครับ” กลั้นใจถามเมื่ออีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากับผม นัยน์ตาของคนพี่สั่นไหว

“กลัวที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ กลัวสิ่งที่จะตามมา... ติณณ์ก็รู้นี่ว่าเพศเดียวกันรักกันคนยังไม่ยอมรับยิ่งกลับครอบครัวธุรกิจแบบบ้านติณณ์ พี่ไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ติณณ์ใช้ชีวิตยังไง พี่คิดว่าบางครั้งติณณ์อาจจะแค่อยากลองเพราะพี่ไม่ได้เป็นแบบหลายๆ คนของติณณ์ก็ได้...”

“ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้คิดกับพี่ข้าวอย่างนั้น”

ตึ่ก ตึ่ก
หมับ

เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาขัดการสนทนา และท่อนแขนเล็กโอบรอบเอวคนตรงหน้าผมทำให้พี่ข้าวเอี่ยวตัวไปมอง เฌอแตม..

“พี่ติณณ์... พี่คะ หนูขอโทษที่ทำให้พี่กับพี่ติณณ์ทะเลาะกัน” เด็กสาวว่าเสียงเบา “หนู...ไม่ได้ตั้งใจ”

“คุณเฌอแตม”

เด็กสาวส่ายหน้ารัวเมื่อได้ยินพี่ข้าวเรียกตัวเองว่าคุณ “เรียกแตมเฉยๆ ก็พอค่ะหนูเด็กกว่าพี่ตั้งเยอะ หนูขอโทษนะคะ พี่อย่าโกรธพี่ติณณ์นะ หนูผิดเองค่ะ ถ้าจะโกรธโกรธหนูแทนนะคะ นะ”

พี่ข้าวดึงมือเฌอแตมที่กอดเอวออก เฌอแตมกลั้นสะอื้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออีกฝ่ายนั่งยองๆ เสมอหน้าตัวเอง

“พี่ไม่ได้โกรธครับ... พี่แค่เสียใจ” พี่ข้าวตอบพลางจับมือเด็กสาวตรงหน้ากุมไว้หลวมๆ “คุณ... น้องแตมไม่ผิดหรอกครับ ไม่ต้องร้องนะ”

“แต่ว่าหนู...”

“ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ” พี่ข้าวว่ากับเฌอแตม ร่างเล็กของคนพี่หันมาหาผมที่ยืนอยู่ที่เดิม “ติณณ์ครับ ให้เวลาพี่หน่อยนะ”

จะให้ผมตอบอะไรได้ล่ะนอกเสียจาก “....ครับ”

Tbc.

――――――――――――――――――――

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
«ตอบ #19 เมื่อ01-02-2018 23:33:41 »

ความแตกก่อนเลย,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-02-2018 23:33:41 »





ออฟไลน์ PrinceCaribZ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
«ตอบ #20 เมื่อ02-02-2018 01:56:15 »

 :hao7:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
«ตอบ #21 เมื่อ02-02-2018 02:34:09 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -10- 02|02|2561
«ตอบ #22 เมื่อ02-02-2018 17:59:58 »

10

 

หลังจากที่ผมตอบไปพี่ข้าวก็ทำเพียงยิ้มให้ผมและเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน ผมจึงจูงมือแตมกลับไปหาลุงวัช ปฏิเสธคำชวนทานมื้อค่ำก่อนจะหนีกลับห้องบ้าง แต่เพราะที่ไม่รู้จะไปไหนในวันเสาร์แห่งชาติก็เลยเอารถออกมาขับเล่น รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่หน้าคอนโดพี่ข้าวแล้ว...

 

ห้องพี่ข้าวอยู่ทางฝั่งด้านหน้า ผมที่จอดรถไว้ริมทางเท้าจึงสามารถเห็นว่าห้องนั้นเปิดหรือปิดไฟอยู่ ซึ่งในตอนนี้ไฟห้องนั้นดับอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องกลับถึงห้องหรือยัง หรือออกไปกินข้าว นึกห่วงที่เวลาเกือบสองทุ่มแต่พี่ข้าวยังไม่ถึงห้อง อยากโทรถามแต่กลัวทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ...

 

ดูท่าไอ้ติณณ์จะเป็นเอามากเนอะ

 

แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะตีรถกลับมายังคอนโดเพื่อนสนิท อย่างน้อยมีมันคงไม่ทำให้ฟุ้งซ่านเกินไป...

 

 

“เฮ้ย นี่กะจะแดกให้ตาย?” เจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาถึงเอ่ยทักผมที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา ดวงตาใต้เลนส์กรอบหนามองไปยังกระป๋องยี่ห้อสิงห์สาราสัตว์ที่ว่างเปล่าที่วางไว้บนโต๊ะ “ที่กูซื้อมานี่หมดตู้ยังวะ”

 

“ไอ้อาร์ต... ถ้ามึงจงใจบิดบังบางเรื่องกับคนที่มึงชอบ แล้วเขาบังเอิญมารู้เรื่องทีหลัง มึงว่าเขาจะโกรธมึงแค่ไหนวะ” ไอ้หมอหมาที่ก้มเก็บกระป๋องเบียร์พร้อมกับคำบ่นชะงักมือ จากที่มันนั่งยองๆ กลายเป็นนั่งประชันหน้ากับผมที่เอาแต่มองเพดาน พอมันเห็นผมไม่พูดอะไรต่อไอ้เพื่อนสนิทก็กระชากตัวผมขึ้น

 

“หรือพี่เขารู้เรื่องที่มึงเป็นหลานลุงวัช?” พยักหน้าตอบรับไป “แล้วไปรู้ได้ยังไง ไม่สิเรื่องนั้นยังไม่สำคัญเท่าที่มึงถาม ถ้ากูเป็นพี่เขากูคงโกรธ แล้วถ้าพี่เขารู้สึกอะไรกับมึงคงอาจจะช็อก คงแบบจู่ๆ...อืม เด็กฝึกงานที่ตามจีบตัวเองกลายเป็นลูกหลานเจ้าของบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ พี่แกคงกลัวว่าคนอื่นมองไม่ดีมั้ง มึงลองคิดดูดิว่าถ้าเจอแบบนี้มึงจะโอไหม”

 

“...ก่อนหน้านี้กูดันไปรู้เรื่องที่พี่แกเคยคบผู้ชาย แต่พี่แกก็ทำท่าเหมือนไม่อยากให้กูรู้เรื่องกูก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร แต่แล้ววันนี้แตมดันมาตอนกูคุยเรื่องนี้กับพี่ข้าวพอดี...น้องมันดีใจที่เจอกูแล้วกูก็ดันลืมตัวแนะนำน้องมันไปว่าเป็นลูกลุงวัช ซึ่งพี่เขาก็เหมือนจะรู้จักแตมอยู่แล้ว เสร็จแล้วพี่เขาก็ลุกไปเลย... สุดท้ายวันนี้พี่แกเลยดูตึงๆ ใส่กู”

 

“แล้วได้อธิบายเหตุผลให้พี่เขาฟังหรือยัง”

 

ผมหลับตาลง นึกไปถึงยิ้มฝืนๆ จากอีกคนก่อนจะแยกกัน “อธิบายแล้ว... แต่พี่เขาขอเวลา”

 

ไอ้หมอหมายัดกระป๋องเบียร์ใส่มือผมเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะตบไหล่ผมอย่างเห็นใจ “ถ้าพี่เขาขอเวลามึงก็ควรรอ ถ้าวันจันทร์พี่เขาไม่โอเคเรื่องมึงก็ค่อยว่าอีกที โอเคนะ”

 

“กูชอบพี่เขาจริงๆวะ...” ผมว่า “พี่เขาบอกว่ายอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีกับกู แต่พอมาเรื่องนี้...มันเหมือนกูไปทำให้พี่เขาลำบากใจเลยว่ะ”

 

“....นี่ใครเข้าสิงเพื่อนกูวะ?” ไอ้หมอหมาที่เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนโวยวายเสียงดัง มือที่ถือกระป๋องเบียร์เปลี่ยนเป็นคว้าคอเสื้อผมเขย่าไปมา “ผีตัวไหนเข้าเพื่อนกูวะ ปกติไอ้ติณณ์ที่กูรู้จักมันถือคติด้านได้อายอดนี่หว่า”

 

รู้ว่ามันอยากให้หายเครียดแต่...

 

“ด้านไม่ไหวว่ะ...” เงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่ยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คงจะไปสะกิดใจมันเข้า “สมมติถ้าน้องที่มึงชอบมีแฟน มึงด้านไหวหรือไงล่ะ”

 

“ไม่...” ไอ้หมอหมาว่าเสียงแผ่ว ปล่อยมือจากคอเสื้อผมแล้วย้ายตัวเองไปนั่งซึมกะทื่ออยู่อีกฝั่งของโซฟา “แค่คิดกูก็ไม่ไหวแล้วว่ะ”

 

“เข้าใจกูหรือยัง” ไอ้หมอหมาพยักหน้าทั้งที่ยังคอตกอยู่ เห็นอย่างนั้นก็เลยตบหลังมันดังปึ่กๆ ด้วยความเห็นใจ ก่อนจะชนกระป๋องในมือแล้วซดแทนน้ำเปล่า

 

ถามจริง นี่ใครปลอบใครกันแน่วะ?

 

 

ก๊อก ก๊อก

“อืม...” เสียงเคาะประตูห้องปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ อาการปวดหัวเข้าแทรกทันทีที่ลุกขึ้นแต่พอเห็นจำนวนกระป๋องเบียร์ที่วางกองอยู่ก็ไม่แปลกใจที่จะปวดสักเท่าไหร่...

 

รู้สึกเหมือนจะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง... แต่นี่มันบ่ายกว่าๆแล้ว

 

“ไอ้หมอ มีคนมา” เสียงเคาะประตูหยุดไปสักพักและดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงเรียกชื่อ ไอ้เจ้าของห้องที่นอนอยู่ปลายเท้าผมไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นเลยต้องจำใจลุกขึ้น ก้มมองสภาพตัวเองก่อนจะไปเปิดประตูเอง

 

“หม่อน?” คนตรงหน้าชะงักพอผมเปิดประตูออกไป เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแหยให้ “มาหามันหรอ?” หมายถึงศพหมอหมาในห้อง อีกฝ่ายพยักหน้า “ยังนอนอยู่เลย เมื่อวานดื่มกันเยอะไป เข้ามาก่อนไหม?”

 

“ไม่อ่ะ หม่อนแค่เอาชีทมาให้อาร์ต เมื่อวานยืมมาแล้วลืมคืน” สาวตรงหน้ายิ้มแห้งๆ ให้ผม “แล้วก็หม่อนซื้อข้าวเช้ามาด้วย แต่หม่อนไม่รู้ว่าติณณ์อยู่ห้องก็เลย...แฮะๆ”

 

“มีแต่ของไอ้อาร์ตมันสินะ” ผมยิ้มแซว จำได้ว่าคนตรงหน้าชอบไอ้หมอที่นอนเกาพุงในห้อง แต่ก็โดนมันปฏิเสธไป “ขอบใจแทนมันด้วยแล้วกัน กลับดีๆ นะ”

 

รู้ว่าเสียมารยาทที่ปิดประตูทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย พอผมกลับเข้ามาในห้องก็เห็นไอ้หมอหมาหัวฟูตื่นแล้ว แถมยังทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่างอยู่

 

“หาอะไร?” ถามพลางเอาข้าวแกะใส่จาน ไอ้อาร์ตเงยมาหรี่ตามองผมก่อนตอบเสียงแหบพร่าอย่างคนยังไม่สร่างดี

 

“...แว่น” มนุษย์สี่ตานี่ลำบากจริงๆ

 

 

หลังจากที่ขำมนุษย์สี่ตาที่ทำแว่นหายทั้งๆ ที่ก็อยู่บนหัวมันนั่นแหละจนถูกมันถลามาชกท้องแก้เขิน(หรอ) เราก็ย้ายตัวมากินข้าวที่หม่อนเอามาให้ แต่มันก็ไม่พอกินสำหรับผู้ชายตัวโตๆ อย่างพวกผมสองคนหรอกครับ สุดท้ายผมก็ต้องทำของกินให้คุณชายอาร์ตเพิ่มอยู่ดี

 

“แล้วมึงจะกลับตอนไหน”

 

“ลุงวัชชวนกินข้าวเย็น ไปป่ะ?”

 

ประโยคไล่กลายๆ กับคำตอบที่ไม่ตรงคำถามทำให้ไอ้อาร์ตที่นอนดูหนังฆาตกรรมสักเรื่องหันมามองผม ก่อนจะได้รับประโยคปฏิเสธกลับมา พอใกล้ได้เวลานัดผมก็บอกไอ้หมอที่ตั้งใจดูหนังพอให้มันรับรู้ก่อนที่จะออกมา

 

เรื่องพี่ข้าวที่หยุดคิดมากไปช่วงนึงกลับมาอีกครั้งเมื่อได้อยู่คนเดียว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางกดเบอร์ที่เริ่มจะคุ้นเคยในช่วงหลังๆ ชังใจระหว่างโทรไม่โทรก่อนจะโยนมันไว้ที่เบาะข้างๆ อยากโทรหาแต่ก็ไม่อยากรบกวน

 

เอาวะ พรุ่งนี้ก็เจอ

 

 

อ่า... ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วครับ

 

“พี่ติณณ์มาแล้ว~” เฌอแตมว่าเสียงใสพลางกระโดดกอดเอวผม ยกมือไหว้ผู้มีศักดิ์เป็นลุงกับบุคคลที่คิดจะโทรหาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

 

“แตมอย่าไปกวนพี่เขามาก” ลุงวัชเอ่ยดุลูกสาวที่ทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมปล่อยผมไปนั่งข้างๆ พ่อของตัวเอง ผมมองเก้าอี้ว่างอีกที่ที่เหลืออยู่อย่างชังใจ ก่อนเอ่ยปากขออนุญาตกับคนที่เหลือบมองผมแวบหนึ่ง

 

ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังโกรธผมอยู่ไหมเลยไม่กล้าทำอะไร

 

“เจ้าอยากกินอะไรสั่งได้เลยนะ ติณณ์ก็ด้วย” ผมยิ้มรับ อยากจะเอ่ยถามว่าทำไมคนข้างๆ ถึงยอมมาแต่ลุงวัชก็พูดขึ้นมาก่อน “ยัยแตมบอกว่าอยากขอโทษเจ้าน่ะเลยให้ลุงโทรไปชวน”

 

“ที่จริงไม่ต้องก็ได้ครับท่าน ผมไม่ได้...”

 

“ท่านเทิ่นอะไรกัน เรียกลุงแบบไอ้ติณณ์มันก็ได้ แฟนมันไม่ใช่หรือไง?” คำพูดของคนอาวุโสสุดทำให้ผมที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มสำลัก พอๆ กับพี่ข้าวที่ทำเล่มเมนูหลุดมือและปฏิเสธรัวๆ

 

“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่แฟนคุณติณณ์ครับ” ท่าทางลุกลี้ลุกลน และใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงของพี่ข้าวทำให้ผมแอบขำ แต่ก็ทำให้ใจแป้วกับการปฏิเสธเป็นพัลวันนั่นเหมือนกัน

 

“หืม” ลุงวัชเลิกคิ้วสูงพลางว่าเสียงขำ “ไม่ใช่หรอกหรอ เห็นทศกัณฐ์บอกว่าชอบจีบกันเวลาทำงานนี่”

 

“ไอ้พี่ทศ...” พี่ข้าวเค้นเสียงเรียกชื่อพี่ทศออกมาเบาๆ ราวกับเจ้าของชื่อนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย นี่พี่ทศเอาผมไปนินทาให้ลุงฟังหรือไงนะ

 

“เดี๋ยวนะ” ผมยกมือค้านเมื่อนึกอะไรได้ “ทำไมลุงไม่แปลกใจ?”

 

“คิดว่าใครเป็นคนปิดข่าวแย่ๆ ของแกไม่ให้แม่แกรู้” ยิ้มแหยเมื่อได้ยินลุงพูดอย่างนั้น ตั้งแต่มานี่ก็ได้ลุงช่วยบ่อยๆ “อีกอย่างตอนนี้ยัยตาลกำลังติดอะไรโอยๆ นะแตม ชื่อเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น”

 

“ยาโอยค่ะพ่อ อาหารญี่ปุ่นนั่นยาโยอิ” แตมตอบเสียงฉะฉาน ก่อนจะเงียบไปเมื่อของโปรดเจ้าตัวถูกเสิร์ฟ

 

“เออๆ นั่นแหละ ยัยตาลมันฝากลุงซื้อตอนลุงไปญี่ปุ่น นี่ก็ไม่ได้ดูก่อนพอไปร้านยื่นโพยให้พนักงานก็ยังว่าทำไมเขาทำหน้าแปลกๆ ใส่ลุง พอได้หนังสือเลยลองเปิดแง้มๆ ดู... แถมตอนนี้ไอ้ต้นก็ได้แฟนเป็นผู้ชายลุงเลยปลงแล้วล่ะ”

 

เผลอหัวเราะเมื่อลุงวัชเล่าด้วยน้ำเสียงปลงตกจริงๆ บ้านนี้เขาเลี้ยงลูกกันแบบอิสระครับแถมมีหลานให้สืบสกุลต่อแล้ว ผมเลยค่อนข้างจะอิจฉาอยู่นิดๆ...

 

“แต่ที่เรียกมาลุงไม่ได้แค่เพราะแตมมันหรอกนะข้าวเจ้า” จู่ๆ ลุงก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจัง

 

“ครับ?”

 

“เรื่องที่ติณณ์มันปิดเราไว้น่ะ ลุงขอมันเอง” ผมกำลังจะแย้งเพราะผมเป็นคนเสนอความคิดนั้นเอง แต่ลุงกลับตวัดตามองให้เงียบ “มันมาเสนอลุงเห็นว่าน่าสนใจเลยให้มันมาลงที่นี่เอง ถ้าจะโกรธมันก็โกรธลุงด้วยเถอะ ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด”

 

“...ผมไม่ได้โกรธครับ” พี่ข้าวเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไปครู่ใหญ่ รอยยิ้มที่เห็นบ่อยๆ ประดับบนหน้าคนพี่ “ตอนนี้ไม่ได้โกรธแล้ว”

 

“พี่ข้าว”

 

“แต่ผมค่อนข้างจะ...น้อยใจมั้ง” ลุงวัชยิ้มน้อยๆ ให้พวกเรา ก่อนจะขอตัวลุกออกไปเมื่อลูกสาวงอแงจะเข้าห้องน้ำ... ทั้งโต๊ะจึงเหลือแค่เราสองคน

 

“พี่ข้าวไม่ได้โกรธผมจริงๆ ใช่ไหม”

 

“บอกไปแล้วว่าผมไม่ได้โกรธคุณติณณ์”

 

“ถ้าไม่โกรธก็เรียกแบบเดิมดิ ไม่เอาผมๆ คุณๆ เนี่ย” ว่าแกมหยอก อีกฝ่ายหันมาตวัดตาดุๆ ใส่ “ผมขอโทษนะที่ทำพี่น้อยใจ ผมไม่ได้ตั้งใจปิดจริงๆ นะ”

 

“ไหนตอนแรกบอกว่าตั้งใจปิด?” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทำให้ผมหลุดขำ คนแก่ว่าหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดมาด “อ่า...”

 

“พี่ข้าวครับ ให้ผมเป็นติณณ์ที่พี่รู้จักตั้งแต่วันนั้น... นะ” ว่าพลางถือวิสาสะยกมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้ เจ้าของมือไม่ได้สะบัดออก แต่ทำเพียงเสหลบสายตาผม “กลับเป็นเหมือนก่อนหน้านี้นะพี่ข้าว”

 

“...” พี่ข้าวไม่ตอบ แต่ใบหน้าที่สีแดงระเรื่อกดลงเล็กน้อยให้ผมยิ้มได้ จนเผลอดึงมือที่กุมไว้ขึ้นมาจรดปากด้วยความดีใจ แต่ไม่ทันได้สูดความหอมของมืออีกครั้งพี่ข้าวก็ดึงมือกลับไป พร้อมเสียงกระแฮ่มไอของใครอีกคนที่ดังขึ้น

 

“กลางร้านนะไอ้หลายชาย” ลุงวัชว่า “ดีกันแล้วสินะ งั้นลุงฝากหลานลุงด้วยนะเจ้า มันดื้อมันซนก็จัดการเลยไม่ต้องเกรงใจ พ่อแม่มันหาคนปรามมันอยู่เนี่ย”

 

“...คือผม” คนโดนฝากลากเสียงยาว ทำตาปริบๆ มองผมสลับกับลุงวัชที่ยัดเยียดผมให้กับคนพี่ ก่อนพี่ข้าวจะถอนหายใจออกมา “ก็ได้ครับท่าน”

 

“ไม่ท่าน ลุง” คนเผด็จการยังไงก็เผด็จการอย่างนั้น

 

“ครับ...คุณลุง”

 

 

มื้ออาหารของพวกเราสี่คนจบลงเมื่อใกล้สามทุ่ม เฌอแตมที่เริ่มง่วงนอนออกอาการงอแงกับพ่อตัวเองจนลุงวัชต้องพากลับก่อน พร้อมกับคำสั่งให้ผมพาพี่ข้าวไปส่งที่คอนโดด้วย

 

“พี่กลับเองได้” พี่ข้าวว่า แต่ถูกผมรั้งข้อมือจูงให้ไปที่รถที่จอดไว้

 

“น่า ผมไปส่งไม่เสียเงินด้วย” ว่าติดขำเมื่อยัดพี่ข้าวเข้ารถได้ เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปขึ้นฝั่งคนขับ เรื่องขำขันระหว่างการเดินทางคือไอ้แก่ของพี่ข้าวดับตอนที่กำลังออกจากคอนโดพอดีเลยต้องมาเอง แถมระยะทางจากคอนโดมาร้านอาหารไม่ใช่ใกล้ๆ จนทำให้คนพี่บ่นอุบเรื่องค่าโดยสาร

 

เมื่อกี้ยังดึงดันจะกลับเองอยู่เลย

 

“พรุ่งนี้ให้ผมมารับไหม” เอ่ยถามคนมอเตอร์ไซค์พัง “ฟรีนะ”

 

“ไม่ๆ เดี๋ยวให้ไอ้หลงมารับ เกรงใจเราต้องวนไปวนมา” น้ำเสียงเดิมๆ ที่กลับมาทำให้ผมยิ้มกว้าง “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

 

“ด้วยความยินดีครับ” บอกกับคนที่กำลังจะเปิดประตูรถออกไป เอื้อมมือไปดึงแขนอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะลงจากรถ “พี่ข้าวครับ แล้วเรื่องที่ผมขอ...”

 

อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม... ทั้งที่พี่ข้าวไม่โกรธก็ดีแค่ไหนแล้ว

 

รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าคนพี่ คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ผมอยากจะรวบพี่ข้าวมากอด “อื้ม เดือนครึ่งที่เหลือ... ฝันดีนะ”

 

อีกฝ่ายลงไปได้สักพักแต่ผมยังคงนั่งยิ้มอยู่ที่เดิม กระทั่งเห็นว่าไฟห้องคนพี่ถูกเปิดขึ้นมาแล้วพร้อมกับเงาดำๆ ของคนพี่ที่โบกมือไล่กลายๆ

 

ให้ตายเถอะ... ยิ้มจนปวดแก้มแล้ว

 

Tbc.

 

―――――――――――――――――――

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: จีบนะครับ...รักผมที -10- 02|02|2561
«ตอบ #23 เมื่อ02-02-2018 22:08:34 »

 :impress2:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -10- 02|02|2561
«ตอบ #24 เมื่อ02-02-2018 23:36:33 »

มีโอก่สแล้วรักษาดีๆนะครับ

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
«ตอบ #25 เมื่อ03-02-2018 00:03:57 »

11

ปฏิบัติการณ์เดินหน้าจีบพี่ข้าวดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบแต่รวดรัด ก็นะระยะเวลาที่ผมได้โอกาสมามันแค่เดือนเดียวนี่ แต่การที่พี่ข้าวพอจะมีปฏิกิริยาหน้าแดงกับการหยอดของผม หรือการได้แตะตัวนิด จับมือหน่อยก็มีกำลังใจมากโขแล้วครับ

“พี่ข้าว ผมหิวแล้ว” บรรยากาศเดิมๆ กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้ว การไปกินข้าวเที่ยงพร้อมกันแทบจะเป็นกิจวัตรของพวกเรา เจ้าของชื่อหันมองผมที่เกาะขอบโต๊ะเจ้าตัวเล็กน้อย ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา

“รอพี่แปบได้ไหม ใกล้จะเสร็จแล้วเนี่ย” คนพี่ว่าเสียงแผ่ว ผมยกยิ้มและพยักหน้าให้พี่ข้าวได้ทำงานต่อ ไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองชวนไปกินข้าว... ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงได้ไปคนเดียวอ่ะครับ

“กินอะไรดีเที่ยงนี้?” พี่ข้าวถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินไปร้านอาหาร เผลอยกยิ้มกรุ่มกริ่มแบบไม่ให้อีกฝ่ายเห็นและตอบคำถามนั้นไป

“กิน...ข้าวครับ” พูดเน้นคำว่าข้าว... คนเดินนำหยุดกึกและหันกลับมาประจันหน้าผม พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันคล้ายไม่พอใจในคำตอบ... ก็น่ารักดี

“พี่ไม่ใช่ของกินนะ” แต่ก็กินได้... แอบเติมต่อในใจเอง ผมเก็กหน้านิ่งแล้วแสร้งยกคิ้วขึ้นมองคนหน้ามีริ้วแดงๆ

“ใครบอกว่าหมายถึงพี่ครับ? ผมหมายถึงอาหารประเภทข้าว เมื่อวานก่อนกินพวกเส้นๆ บ่อยแล้วเบื่อ” ว่าพลางยื่นหน้าไปใกล้ๆ แกล้งคนหน้าแดงให้แดงยิ่งกว่าเดิม “หรือถ้าพี่อยากให้ผมกิน... ก็ได้นะ”

“โว๊ยยย หลีกเว้ย! แยกๆๆ!” บุคคลที่สามเข้าแทรกกลางระหว่างพวกผม มือทั้งสองข้างกอดล็อกคอผมกับพี่ข้าวไว้ไว้ “วู้ จีบกันอยู่นั่นแหละ คนเดิมตามแม่งถูกมดกัดหมดแล้ว ใช่ป่ะพี่ทศ”

“เออ กัดจนแดงเลยเนี่ย” ลูกรับของพี่หลงตอบกลับขำๆ ซ้ำยังทำท่าเกาคอตัวเองอีก “ทั้งแสบ...ทั้งคัน”

“...คันตายห่าไปเลย” พี่หลงสบถออกมา “ป่ะเจ้าไปหาไรกินกัน ทิ้งไอ้พวกนี้ไว้นี่ล่ะ”

ว่าจบพี่หลงก็กอดคอพี่ข้าวเดินนำลิ่วๆ ไปทันที พอหันไปมองผู้เป็นหัวหน้าก็เจอกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มมองคนที่เดินไปแล้วตาไม่วางให้ผมได้เลิกคิ้วสงสัย ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากพี่ทศที่เหมือนรู้ว่าผมจ้องอยู่ก็หันมาหา ยกมือเกี่ยวคอเสื้อเชิ้ตตัวเองลงพอให้เห็นรอยกัดจางๆ ที่ติดอยู่ พลางยกนิ้วชี้อีกข้างขึ้นจรดปากเป็นสัญญาณว่าไม่ให้พูดก่อนจะเดินตามทั้งสองคนนั่นไป
เอ่อ... จริงดิครับพี่ทศ?


“ฮ่ะๆ รกหน่อยนะครับพี่ข้าว” เอ่ยบอกพี่เลี้ยงที่อุตส่าห์แบกผมกลับห้องหลังจากที่ผมไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นเขย---- ไม่สิ หลังจากที่เสนอหน้าไปค่ายมวยที่เป็นกิจการของบ้านพี่ข้าวเขา แล้วความโลกกลมก็บังเกิดขึ้นเมื่อเจอเจ้าของค่ายคนปัจจุบัน...

ย้อนกลับไปหลังเลิกงาน
“อ้าว วันนี้ไหงมาได้วะไอ้ข้าว แล้วนั่นใครล่ะ ไม่ใช่ไอ้หลงไอ้ทศนี่”

“อ่า...” พี่ข้าวเหลือบมองผมที่กำลังให้ความสนใจเสียงชกเสียงแตะกระสอบทรายตรงหน้า ก็เคยเรียนมวยตอนวิชาเลือกปีสองครับแต่ก็แค่นั้น...ไม่ได้เล่นอีก ส่วนมากเข้าฟิตเนสของคอนโดไอ้หมอเอา “เด็กฝึกงานที่ผมดูแลอยู่ตอนนี้...ครับ”

“อ๋อ ที่ว่ามาจีบข้าวใช่ไหม” เจ้าของค่ายว่าเสียงดังจนคนในค่ายหันมามองผมเกือบหมด “เฮ้ย นายน่ะชื่ออะไร... หืม”

“เอ่อ...ติณณ์ครับ” ยกมือไหว้เจ้าของค่ายที่หน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก

“ชื่อก็คุ้น หน้าก็คุ้น... นักศึกษาม.xxx?” เขากวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “เคยเรียนมวยไหม?”

“มันจะเคยอะไรกันน้าชาย ว่าที่นักธุรกิ--”

“เคยครับ ตอนอยู่ปีสอง” พอตอบไป คนตรงหน้าก็ร้องอ๋อออกมาเสียงดัง ผิดกับพี่ข้าวที่เบ้ปากออกมา

“ก็ปีก่อนๆสินะ...เออๆ นึกออกแล้ว น้าเคยไปช่วยเพื่อนสอนอยู่เดือนกว่าๆ คงเคยเจอกันบ้าง น้าชื่อชายนะ” แกว่า “ติณณ์นี่ใช่...ไอ้หล่อที่ไอ้ชาติมันเรียกหรือเปล่า”

“ครับ จารย์ชาติชอบเรียกผมอย่างนั้นจนเพื่อนในเซ็คนี่เรียกแต่ไอ้หล่อกันแล้ว” ว่าติดขำ อาจารย์หมวดพละแกคงเหม็นขี้หน้าผมครับเวลาเจอเรียกแต่ไอ้หล่อไม่ก็ไอ้เดือน พอได้ยินอย่างนั้นน้าชาย(เรียกตามพี่ข้าว)ก็หัวเราะออกมาดังลั่นจนคนในค่ายหยุดมองก่อนแกเข้ามารวบคอผมซะแน่น

“นี่ตอนนั้นไอ้ชาติมันบอกว่าเราเป็นศิษย์เอกมันเลยนะ บอกว่าหน่วยก้านดีแต่เสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ ไม่งั้นมันคงจับไปลงทีมนักกีฬาของมหาลัยแล้ว แต่น้าก็เห็นด้วยกบมันนะตอนไปดูเราเรียน”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่ลงเรียนให้ครบหน่วย” พอตอบตามความจริงก็ถูกถลึงตาใส่ “คือ... ไม่นึกคุณจะเป็นน้าของพี่ข้าว”

“จะว่าไป...ข้าวบอกว่าเอ็งมาจีบ?” จู่ๆ สรรพนามที่เปลี่ยนไปและน้ำเสียงที่ดูจะเหี้ยมขึ้นก็ทำให้ขนบนตัวผมพร้อมใจกันลุก “ไหนลองรื้อฟื้นความจำตอนเรียนหน่อยสิ... ข้าวเจ้า! วันนี้ซ้อมกับไอ้เด็กนี้ให้ดูหน่อย”

น้าชายว่าเสียงดัง พี่ข้าวที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มเหี้ยมพิมพ์เดียวกับน้าพี่แกเป๊ะๆ... ก่อนที่ผมจะถูกดันหลังให้ไปเปลี่ยนชุดพร้อมๆ พี่ข้าว ออกมาอีกทีก็เห็นคนพี่ฟุตเวิร์คอยู่ข้างเวที...

“เออมาแล้วๆ วอร์มก่อนได้ไม่ต้องเกร็งเว้ยไอ้ติณณ์ เดี๋ยวไอ้ข้าวมันอ่อนให้เอ็งอยู่หรอก” คำพูดกับหน้าตาที่ไม่ได้เข้ากันสักนิด ผมหันมองพี่ข้าวที่อยู่อีกมุมของเวทีก็ได้แต่ยิ้มแหย

อืมมม หัวนมสีอ่อนกับกางเกงสั้นๆ นี่เร้าใจดีชะมัด

ความคิดสุดท้ายก่อนที่ผมจะน็อคในหมัดเดียว...


ก็นั่นแหละครับสาเหตุที่พี่ข้าวถึงมาที่ห้องผมได้ หมัดเดียวนับดาวจริงๆ... ผมคงไม่กล้าแหยมคนพี่ไปสักสองสามวันแน่ๆ แล้วพอรู้สึกตัวนะ น้าชายแกก็หัวเราะลั่นยิ่งกว่าเดิมที่เห็นผมน็อค

โธ่... ก็อดีตแชมป์เยาวชนกับไอ้คนเรียนเสรีตัวเดียวนี่ใครจะชนะล่ะครับ ถึงขนาดตัวผมกินขาดก็จริง แต่รายนั้นได้ฉายาเล็กพริกขี้หนูนา...

“โฮ่ นึกว่าคุณชายติณณ์จะอยู่ห้องดีกว่านี้” พี่ข้าวกวาดตามองรอบห้องผม ห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ เปิดมาเจอโต๊ะตู้เตียงเลย ไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่อยู่แต่เพราะมันใกล้เลยเอาที่นี่

“นี่พี่ข้าวเห็นผมเป็นคนยังไงครับเนี่ย เห็นอย่างนี้บุกน้ำลุยเขาก็ไปมาแล้วครับ ไม่ใช่คุณชายที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง” พูดจบพี่ข้าวก็ยู่ปากใส่เหมือนไม่เชื่อ

“เหอะ แล้วหลบได้ก็ไม่หลบ สวนก็ไม่สวน นี่คิดว่าตัวเองเก่งหรือไง หือออ” พี่ข้าวว่าเสียงเข้มตอนทิ้งผมลงกับเตียง นิ้วมือหยิกเนื้อต้นแขนผมแล้วบิดแรงๆ จนร้องโอดโอยออกมา “นี่ขนาดพี่ยั้งมือแล้วนะ”

“ก็ผมกลัวพี่ข้าวเจ็บนี่เลยไม่กล้าสวนกลับนี่ครับ ซี๊ด...” ว่าให้ดูดีไว้ก่อนแต่พี่ข้าวทำหน้าไม่เชื่อ “ผมเจ็บแหละดีแล้ว พี่ข้าวจะได้อยู่ดูแลผมไง”

ผมคว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้หลวมๆ ก่อนจะเอามือนั่นมาแนบแก้มแล้วจุ๊บหลังมือไปครั้ง พอพี่ข้าวจะสะบัดออกผมก็แกล้งร้องโอ๊ยออกไปเสียงดัง

“เฮ้ยโทษ ไหนๆ โดนตรงไหน” ฝ่ามืออีกข้างของพี่ข้าวเข้ามาประคองหน้าผม ก้มมองดูรอยช้ำที่ใต้คางด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงผมสุดๆ
แต่...ขอโทษนะครับ

หมับ!

“อ่ะ ไอ้..ติณณ์!!” พี่ข้าวแผดเสียงใส่เมื่อผมรวบคนที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหารอยช้ำเข้าไว้ในอ้อมกอด พอคนพี่เผลอก็เหวี่ยงลงเตียงแม่ง อดีตแชมป์มวยเด็กก็ยังคงไม่สิ้นฤทธิ์ ทุบตีผมซะเจ็บยิ่งกว่าเดิม “ปล่อยพี่!”

“ติณณ์เจ็บนะ” ว่าเสียงอ่อยพลางรวมข้อมือคนใต้ร่างเอาไว้ “ติณณ์เจ็บ ขอกอดหน่อย”

“เกี่ยวเหี้ยอะไรวะ ปล่อย!”

“...ก็ได้ครับ” แสร้งว่าเสียงเบาพร้อมปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ ก็แค่อยากอ้อนให้โอ๋อ่ะ อยากกอด “ขอบคุณที่พามาส่งครับ ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

พี่ข้าวทำตาปริบๆ มองผมที่ทำตัวเป็นหมาหงอย ยกยิ้มและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ย้ำว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวล

แต่เอาเถอะ... ยังไม่ถึงเวลา รุกมากไปก็ไม่ดี

“นี่งอนพี่?” พี่ข้าวเอ่ยถามผมที่นั่งหันหลังให้ เสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายทำให้ผมอยากหันไปมองแต่ต้องเก๊กเข้มไว้ ที่นอนด้านหลังยวบลงไปตามด้วยสัมผัสของฝ่ามือที่แตะลงกลางหลัง “งอนพี่หรอครับน้องติณณ์ หืม”

“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมหันไปหาพี่ข้าวที่มานั่งอยู่กลางเตียง พี่ข้าวยกยิ้มหวานให้ผมแล้วยื่นมือมาตรงหน้า สองมืออุ่นประคองหน้าผมไว้

...อะไรสักอย่างดลใจให้ผมหลับตาลง

“...”

“...”

เนิ่นจากที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนต้องหรี่ตามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือพี่ข้าวยกยิ้มเหี้ยมเหมือนตอนที่อยู่ที่ค่ายมวย

“พี่ข้าว...?”

“ไอ้”
เพียะ

“เด็ก”
เพียะ เพียะ

“บ้า”
เพียะ เพียะ เพียะ

“โอ๊ย พี่ผมเจ็บ!!” โวยวายเมื่อคนพี่ที่ยิ้มหวานและยื่นหน้ามาเมื่อสักครู่บีบคางผมไว้ มืออีกข้างยกดีดหน้าผากผมอย่างแรงจนแสบไปทั้งเหม่ง

“ก็ดีดให้เจ็บไง นี่เป็นบ้าอะไร? ห้ามตอบว่าไม่ได้เป็นนะเพราะตอนนี้ติณณ์หน้าบูดมาก” พี่ข้าวขำผมที่แยกเขี้ยวใส่พลางขยับไปด้านหลัง...ระยะที่ผมเอื้อมไม่ถึง “หรือน้อยใจที่พี่ไม่ให้กอด?”

“ครับ...” ตอบไปตามตรง พี่ข้าวชะงักก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“เหอะ จะให้กอดให้โอ๋ก็ขอดีๆ ไม่จะเล่นทีเผลอแบบนี้” เสียงแผ่วๆ ดังเข้าโซนประสาท ผมเงยหน้าเจ้าของคำพูดนั้นทันที

“ถ้าขอ... จะให้จริงหรอครับ” ผมทำตาปริบๆ ใส่คนพี่ที่ยกมือชี้หน้าผม

“ถ้าเป็นเด็กดี ไม่ฉวยโอกาส ไม่... เฮ้ย!”

“ขอกอดนะครับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบหรือเอ่ยปากอนุญาตอะไร พอผมเอ่ยขัดปุ๊บก็ดึงพี่ข้าวเข้ามากอดทันที กลิ่นหอมๆ ของสบู่ที่ค่ายมวยลอยเข้าแตะจมูกคนเผลออ้าปากงับเบาๆ ให้คนพี่ตบตีหลังโวยวาย

“รอคำอนุญาตดิเฮ้ย ฮ่าๆๆ โอ๋ๆ เจ็บหรอหมาน้อย” พี่ข้าวว่าเสียงติดขำ ฝ่ามือตบหลังลูบหัวผมไปมาเหมือนผมเป็นหมาสักตัว

“พี่ข้าวครับ”

“หืม?” อีกคนทำหน้างุนงงเมื่อเห็นว่าผมเรียกชื่อเจ้าตัวแล้วเงียบไป

“จูบ...ได้ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากพี่ข้าว ผมดันตัวอีกฝ่ายออกก็เห็นคนพี่เม้มปากแน่น “เอ่อ คิดว่าผมไม่ได้ขอแล้วกับครั---”

สัมผัสนุ่มหยุ่นแตะลงที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบาแค่ชั่ววินาทีก่อนจะผละออกไป... ได้แต่มองคนหน้าแดงที่เอาหลังมือปิดปากตัวเองอย่างอึ้งๆ

“พี่..ติณณ์ เอ่อ พี่กลับล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะ” เสียงสั่นๆ ของพี่ข้าวดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหยิบของและเปิดปิดประตู พี่ข้าวไปแล้ว... ทิ้งให้ผมค้างอยู่อย่างนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนยกมือแตะปากตัวเอง

เมื่อกี้... จูบ?

จูบกลิ่นเปเปอร์มินท์

Tbc.

―――――――――――――――――――――

ฮรื่อออ คู่นั้นมายังไงวะคะะะ
อื้อออ เขาจุ๊บกันแล้ววว

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
«ตอบ #26 เมื่อ03-02-2018 04:03:44 »

 :o8:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
«ตอบ #27 เมื่อ03-02-2018 07:06:17 »

อร๊างจูบ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
«ตอบ #28 เมื่อ04-02-2018 22:12:29 »

ห่ะ. จูบเลย??

ออฟไลน์ мıınta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
    • TW
Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
«ตอบ #29 เมื่อ06-02-2018 22:03:54 »

12
ข้าวเจ้า


‘จูบ...ได้ไหม’
เผลอเม้มปากแน่นกับคำขอนั้น รู้ว่ามันอ้อนและผมมีสิทธิที่จะปฏิเสธได้ แต่ทำไมถึง...

“...เจ้า”

ทำไมถึงยอมวะ... ทำไมถึงไปจูบมัน

“ไอ้เจ้า”

กระทั่งตอนนี้ผมยังรู้สึกถึงความอุ่นที่ริมฝีปากอยู่เลย...

“เฮ้ยไอ้เจ้า!” สะดุ้งตัวเมื่อถูกเรียกชื่อเสียงดัง “นี่มึงนั่งจับนั่งลูบปากแล้วเหม่อนานไปแล้วนะ”

ผมรีบเอามือออกจากปากทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น หันมองเพื่อนสนิทที่จู่ๆ ก็โทรตามให้มาหาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปชงเหล้าให้ตัวเองเป็นการกลบเกลื่อนอาการ แต่ก็ไม่เล็ดลอดความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนสนิท “หืมมม ไปจูบใครมาแล้วคิดถึงสัมผัสเขาหรือไง”

“จะ... จะบ้าเหรอมึง!!” ผมโวยวายและนั่นทำให้ไอ้หลงยิ้มออกมา เผลอขบฟันลงกับริมฝีปากตัวเองเมื่อนึกถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตอนนั้นคิดอะไรอยู่วะไอ้ข้าว ถึงไปจูบมันอย่างนั้น...

ไม่ๆๆๆ! นั้นไม่ใช่จูบ มันแค่ปากแตะปาก!

“ฮั่นแน่ๆ ใช่แน่นอนหน้าแดงแบบนี้” ผมปัดนิ้วไอ้หลงที่ยื่นมาเขี่ยๆ แก้มผมเล่น “หรือว่า... มึงไปโดนไอ้ติณณ์จูบมาหรือไงวะ”

เคร้ง

เสียงของที่หนีบน้ำแข็งที่หลุดล่วงจากมือตกกระทบพื้นเมื่อได้ยินชื่อของใครบางคนที่อ้อนขอจูบ ใบหน้าและน้ำเสียงทุ้มๆ นั้นก้องในหูเหมือนมีใครมาปิดวนซ้ำ

ฮื่อ... ทำไมต้องคิดถึงมันด้วยยยยยยย

“ฮื่อออ” ผมก้มหน้าก้มตาซุกฝ่ามือทันทีเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นบนใบหน้า พิรุธ... มึงมีพิรุธเต็มๆ ไอ้เจ้า!!

“เฮ้ยข้าวเจ้า! จริงดิ มึงถูกไอ้ติณณ์จูบ?!” ไอ้หลงว่าเสียงหลงขนาดว่าเรียกชื่อผมเต็มยศ มันจับตัวผมไปเขย่าไปมาเหมือนมิกซ์เครื่องดื่มและเอ่ยซ้ำๆ จนผมยอมพยักหน้าลงมันถึงยอมปล่อยผมไป

ที่จริงมันไม่ได้จูบกู๊ แต่มันอ้อนจนเพื่อนมึงอ่ะไปจูบมัน... ฮื่อ

“ชอบมันแล้ว?”

“ก็...” ผมลากเสียงยาวแล้วว่าเสียงเบา แม่งไม่ใช่ตัวของตัวเองสักนิด! “ก็...อยู่กับมันก็โอเคดี”

“โอเคดีก็ดีแล้ว” ไอ้หลงว่า “แต่กูนี่สิไม่โอเค”

“หืม? ตกลงมีอะไร” รอยยิ้มยันประดับบนใบหน้าเพื่อนสนิทเมื่อได้ยินคำถาม... มันยิ้มเหมือนกับยิ้มให้ตัวเอง

“กู...เลิกกับจ๋าแล้วนะ เกือบจะสองอาทิตย์แล้ว” ไอ้หลงว่าเสียงเบา “จ๋าขอกูเลิก”

“ห๊ะ! เกิดอะไรขึ้น กูก็เห็นมึงกับจ๋ารักกันดีนี่” มันส่ายหน้าแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม “ที่เรียกกูมานี่เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”

“เออ แล้วจำวันที่เราไปร้านนั้นได้ไหม ที่เราไปมี มึง ติณณ์ ไอ้พี่ทศ”

“แต่นั่นยังไม่ถึงสองอาทิตย์เลยนะ” ผมท้วงขัดมัน ไปร้านที่เก่าเวลาเดิมก็วันพุธที่แล้ว แล้วเรื่องผมกับไอ้ติณณ์นั่นเกิดวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่วนนี่ก็เพิ่งศุกร์ของอีกอาทิตย์เองนะ นับดูแค่อาทิตย์กว่าๆ เอง

“ฟังกูก่อนสิ” ไอ้หลงยกมือห้ามผมที่จะถามต่อ “ก่อนหน้านี้จู่ๆ จ๋ามาบอกกูว่าเธอไม่โอเคที่กูไปทำเหมือนเต๊าะจีบอิงอร ที่จริงกูก็แค่คุยเล่นๆ กับน้องมันตามเว้ยไม่ได้จะจีบอะไรเพราะน้องๆ มันมีแฟนกันแล้ว พออิงกับอรรู้เรื่องก็ช่วยกูเข้าไปคุยกับจ๋าให้แต่จ๋าไม่ยอมฟัง กูเลยนัดไปคุยดีๆ ถึงรู้ว่าจ๋าไม่โอเคตั้งแต่ตอนที่เขาคุยกับกูเรื่องแต่งงานกันก่อนหน้านั้น จ๋าเขาอยากแต่งก่อนสามสิบ แต่กูบอกเขายังไม่คิดอยากแต่งอะไรตอนนี้และกูยังมีหลายๆ อย่างที่กูอยากทำอยู่ คือมึง...แต่งงานมันเรื่องใหญ่นะไม่ใช่เล่นขายของ จริงๆ ระหองระแหงกันมาพักใหญ่แล้วล่ะ สุดท้ายก็เลย...”

ครางชื่อเพื่อนสนิทในลำคอเมื่อมันเล่าจบ ยกมือตบบ่าคนที่ยิ้มน้อยๆ ให้เบาๆ ยอมรับว่าระยะหลังนี่ตั้งแต่ที่ไอ้ติณณ์มาวอแวด้วยผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับหลงสักเท่าไหร่ แถมตอนอยู่กับผมมันก็ไม่ได้เศร้าหรือแสดงอาการอะไรให้เห็นหรือจับได้เลย

“กูก็เข้าใจนะว่าแต่งงานมันเรื่องใหญ่อย่างที่มึงบอก แต่มึงก็ต้องเข้าใจด้วยว่าผู้หญิงเขาอยากได้ความมั่นคง” ยิ่งกับจ๋า... ไม่ได้สนิทกับเธอมากมายก็เถอะแต่ก็พอรู้ว่ารายนั้นชอบความแน่นอน “แล้วมึงโอเคนะ”

“กูโอเคแล้วน่า” มันหันมายิ้มให้เหมือนไม่ใช้ไอ้คนที่กำลังทำหน้าเศร้าก่อนหน้านี้ มันยกมือยีหัวผมจนฟู “เอาเถอะ ผ่านไปแล้วและกูโอเค”

“แต่มึงกับจ๋าก็คบกันมาหลายปีแล้วนะ” ก็ตั้งแต่เข้าทำงาน...

“คนจะไปก็ต้องไปปป รักเท่าไหร่แต่ฉันคงทำได้เท่านี้~~~~” มันแหกปากร้องเพลงที่กำลังเปิดในร้านแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้ผม “ไม่เครียดแทนกูสิมึง คิ้วชนกันแล้ว”

“...แล้วไอ้วันที่ไปที่เก่าเวลาเดิมที่มึงเกริ่นมาคืออะไร?” นั่งไปสักพักผมก็ถามด้วยความสงสัยเมื่อนึกได้ ไอ้หลงสำลักเหล้าที่กำลังเทลงคอจนไอโขก ลำบากให้ผมต้องไปตบหลังมัน

“ก็... วันนั้นมึงเมาแล้วกลับกับไอติณณ์ใช่ป่ะ” ผมพยักหน้า “ส่วนกูก็กลับกับไอ้พี่ทศ...”

“พี่ทศก็ปากมากพูดเรื่องกูให้ติณณ์ฟัง แล้วมึงก็เมาจนแฮงค์ไปทำงานไม่ได้” ผมแทรก ยอมรับว่ายังเคืองๆ เรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็นะ...ช่างเถอะ

ไอ้หลงส่ายหน้าเมื่อผมพูดจบ มันทำหน้าเหมือนคันปากอยากเล่าแต่ก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น จากนั้นมันก็จ้องผมและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำสลับกันอยู่อย่างนี้จนผมหันไปชงเหล้ารอมันเปิดปาก

“คือ... กูก็ไม่ได้อยากเล่านะแต่ก็ไม่อยากปิดมึง อันที่จริงกูไม่ได้แฮงค์จนไปทำงานไม่ได้” เพื่อนสนิทผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ที่จริงวันนั้นกูโดนเอาจนขยับไม่ได้...”

“ห๊ะ!! ว่าไง อ้ะไอ้อ๋งอ่อยๆๆ” ผมแหกปากเสียงดังลั่นจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ไอ้เพื่อนสนิทก็พุ่งเข้ามาปิดปากผมทันที หลงยกนิ้วแตะปากตัวเองว่าไม่ให้ผมพูดอะไรต่อ พอเห็นผมพยักหน้าให้มันถึงยอมปล่อย

วันนี้ผมแม่งมีแต่เรื่องพีคๆ แล้วมันไปโดนตอนไหนอะไรยังไงในเมื่อมีคนส่งมันกลับห้อง

“เดี๋ยวนะ ไหนมึงบอกว่ากลับกับพี่ทศแล้ว... มึง...” เสียงแผ่วลงเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ตาเบิกกว้างพร้อมยกมือขึ้นชี้หน้าเพื่อนสนิทที่ยกแก้วเหล้าเหมือนไม่ใส่ใจอะไร “อย่าบอกนะว่ามึงกับ...ไอ้พี่ทศ!!”

“เออ” มันยอมรับง่ายๆ “วันนั้นกูอยากจะเล่ามึงเรื่องจ๋าอยู่หรอกแต่มึงดันเมาก่อน พอกูเห็นว่ามีไอ้ติณณ์อยู่ด้วยกูเลยปล่อยตัวซัดซะไม่รู้เรื่อง รู้ตัวอีกทีก็บนเตียงแล้ว”

ผมอ้าปากค้างกับเรื่องที่เพิ่งได้รู้จากปากของเพื่อนสนิท ไม่เคยเห็นพี่ทศควงสาวเป็นตัวเป็นตนก็จริง กับผู้ชายก็ไม่เคยเห็นพี่ทศยุ่งด้วยนอกจากมีแซวคนสนิทๆ แต่ที่คาดไม่ถึงคือจับไอ้หลงทำ...อืม อย่างนั้นแหละ

นึกสภาพสองคนนี้นัวเนียกันบนเตียงไม่ออกเลย...

“แล้วมึง... กูไม่เห็นว่ามึงจะโกรธหรืออะไรพี่ทศเลย มึงชอบพี่มันหรือไง” ผมถามไอ้หลงที่ทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรือเดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น มึงเสียหายนะเฮ้ย

“ชอบเหี้ยอะไรล่ะกูผู้ชายแล้วพี่มันผู้ชายไหม เซ็กส์ไม่จำเป็นต้องมีความรักเข้ามาเกี่ยวโว้ยยย ส่วนโกรธไหม... ตื่นมาตอนแรกกูก็โกรธอยู่หรอก แต่~~” ไอ้หลงลากเสียงยาว ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆ ประดับที่มุมปากของมันยื่นเข้ามาใกล้ “...ก็มันส์ดี”

จู่ๆ ภาพของติณณ์ตอนจับผมเหวี่ยงลงเตียง แล้วอีกฝ่ายคร่อมทับตัวผมไว้ลอยเข้ามาในหัว...

“ไม่!!”

“เหี้ยเจ้าหน้าแดงว่ะ! ฮ่าๆๆๆๆ” ก้มหน้าชิดเข่าทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เสียงหัวเราะจากไอ้หลงยังคงดันเข้าโซนประสาทอีกหลายนาทีก่อนจะหายไป นั่นแหละผมถึงยอมเงยหน้าขึ้น

“เหี้ยแม่ง ใครจะไปอยู่ใต้มัน!”

“มึงก็อยู่บนดิ” ส่ายหน้ารัวเมื่อคิดถึงสภาพนั้น ขนลุกไป... แต่เดี๋ยวสิ มึงต้องไม่ควรคิดถึงเรื่องนี้สิไอ้เจ้า! “ไม่ใช่ให้มึงไปรุกไอ้ติณณ์ ออนท็อปมีครับคุณ”

“ไอ้-เหี้ย-หลงงงงงง” คว้าคอเสื้อมันแล้วเขย่าไปมาอย่างรุนแรง คุยเรื่องมันมาดีๆ ทำไมถึงลากมาเรื่องกูได้วะครับมึง!

“เออๆ กูไม่หยอกละ หยุดเขย่ากูก่อนเดี๋ยวมันขย้อน...อ่อก” ไอ้หลงยกมือปิดปากทำท่าพะอืดพะอมจนผมรีบปล่อยมือ พอหลงเป็นอิสระ... มันก็ขยับห่างผมทันที เฟค! “แล้วมึงกับไอ้ติณณ์ถึงขั้นไหนละ เห็นไอ้พี่ทศบอกกูว่ามันขอโอกาสมึงจนถึงหมดฝึกงานนี่”

 “ก็...ดี” ตอบอ้อมแอ้ม ยกแก้วขึ้นจรดปากเบนหน้าหนีมัน

“แล้วมันมีโอกาสไหมวะ” เหลือบมองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าสอใส่เกือก แลดูมันอวยไอ้ติณณ์ดีนะมีสินบนกันหรือไง... ไม่รู้ว่ามันรู้หรือยังว่าไอ้ติณณ์มันเป็นหลายของเจ้าของบริษัทที่เราทำงะ--- “ได้ข่าวว่าเป็นหลานคุณชัยนี่? เห็นพี่ทศบอกมา”

“...”

ไอ้พวกปากเบาสองคนนี่ก็สมกันดีนะครับ... ว่าไหมครับทุกคน

“ไอ้เจ้า... มึงรู้ตัวไหมว่าตอนนี้มึงหน้าแดงมาก” ไอ้หลงนั่งเท้าคางมองผม กลบเกลื่อนไปว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่มันทำหน้าไม่เชื่อ “เอาเถอะๆ หมดขวดนี้ก็พอแล้ว”

น้ำสีอำพันขวดแล้วขวดเล่าถูกเทลงในแก้วของผม ยิ่งดึกเพลงในร้านยิ่งคึกคักจนต้องลากไอ้หลงไปขยับตัว ก่อนจะกลับมาจัดการไอ้น้ำที่เหลืออยู่ จากนั้นสติที่มีก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงทีละนิด...ละนิด

.
.
.

“อืม...” เสียงเอี๊ยดอ๊าดของอะไรสักอย่างปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ พอปรือตาขึ้นมาก็พบกว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคย ความทรงจำก่อนหน้านี้เริ่มไหลเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมอาการมึนหัว... เมาจนเดือดร้อนไอ้หลงพากลับห้องอีกแน่อีหรอบนี้

“อึ่ก...”

“เบาดิ เดี๋ยวไอ้เจ้าตื่นนะ”
เสียงกระซิบแหบพร่าที่ได้ยินทำให้ผมชะงักมือที่กำลังยกมือนวดขมับ ไม่กล้าที่จะขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงอื้ออึงเริ่มดังขึ้นพอๆ กับเสียงอะไรกระทบกัน... ผมไม่ได้ใสซื่อขนาดไม่รู้ว่าไอ้ที่ได้ยินนั้นคืออะไร แล้วถ้าผมเดาไม่ผิดเจ้าของเสียงอีกเสียงนั่นน่าจะเป็น... พี่ทศ

ไอ้เหี้ยหลง... มึงเอาเพื่อนมึงมานอนห้องมึงนะ!

เสียงยิ่งดังขึ้นผมเลยแสร้งยกมือที่นวดระหว่างคิ้วอยู่นั้นฟาดลงกับพนักโซฟาอย่างแรง แล้วขยับตัวหันหน้าเข้าโซฟาให้เหมือนว่านอนละเมอ... รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินนั่นชะงักไม่ชั่วครู่พร้อมเสียงโวยเบาๆ ของเพื่อนสนิท

“อึ่ก หยุด...ทำไม” ไอ้หลงว่าติดหอบ ตามด้วยเสียงครางเบาๆ ... นั่นเสียงเพื่อนกูจริงๆ หรอวะ

“เหมือนเจ้ามันตื่น” เหมือนใครสักคนจะขยับตัว คิดว่าคงมองผมที่นอนหันหลังให้เตียงอยู่ “ก็ไม่แฮะ”

“มันคงละเมอ เมาขนาดนั้นกว่าจะตื่นก็เช้า” ขอโทษที่กูตื่นแล้วก็แล้วกันนะไอ้เพื่อนยาก... “ขยับสักที อึดอัด ถ้าไม่ต่อก็ออกไป”

“ครับๆ กลั้นเสียงดีๆ ล่ะ ถ้าไอ้เจ้าตื่นมึงจะมองหน้าเพื่อนมึงไม่ติด”

“เออน่า ผมไม่เสียงดะ...อ๊า” ไม่ดังจริงๆ ครับเพื่อน แค่ลั่นห้อง...

สุดท้ายผมก็นอนฟังจนไอ้พี่ไอ้เพื่อนมันเสร็จกันนั่นแหละ... ถ้ามีคนมามีอะไรกันข้างๆ คุณเป็นคุณจะหลับต่อลงไหมล่ะครับ!


“ฮ้าวววว ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะมึง” เพื่อนสนิทที่อยู่ในชุดนอนแบบของมัน(คือเสื้อยืดของแถมจากอะไรสักอย่าง กับบ็อกเซอร์เอวยานๆ)ทักขึ้นเมื่อเห็นผมลุกมานั่งสับผงกอยู่บนโซฟาตัวเดิมกับเมื่อคืน ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยสายตาเคืองๆ “ตาบวมๆ นะ นอนไม่พอหรือไง”

“เออ ดิ” มองตามมันที่เดินไปเปิดตู้เย็น สายตาเหลือบมองบนเตียงยับๆ ที่... ไม่มีใครอยู่

“แล้วมองหาใครวะ... เอาน้ำไหม?” มันชูน้ำที่ถืออยู่แล้วยกดื่มเอง

“...พี่ทศล่ะ?”

พรวดดด

“แค่กๆๆ มะ...มึงว่าไงนะ” ไอ้หลงว่าอย่างลนลาน พลางรีบหาผ้ามาเช็ดน้ำที่พุ่งออกจากปากมันนั่นล่ะ พอผมพูดชื่อหัวหน้าแผนกซ้ำมันก็รีบแก้ตัวเสียงติดอ่าง “พี่ทศก็อยู่ห้องมันดิ พี่มันจะอยู่กับกูได้ไง”

แสยะยิ้มกับคำโกหกคำโตของเพื่อน กระดิกนิ้วเรียกไอ้หลงมาใกล้ๆ แล้วทำท่าจะเกี่ยวคอเสื้อมันลง... ผลคือมันกระโจนถอนหลังแถมยกมือกำคอเสื้อแน่น พิรุธเต็มๆ ว่ะ

“มึงจะทำอะไร”

“เมื่อคืนกูตื่นมาเพราะเสียงมึง” ตอบคนละคำถาม พอพูดจบเพื่อนสนิทผมก็ชะงัก.... เฮ้ยๆ ไอ้หลงหน้าแดงเว้ยคุณ!

“ก็... พี่ทศมันมาตอนไหนกูก็ไม่รู้” ตอบเสียงแผ่ว นี่มีกุญแจห้องกันด้วย? “ตื่นมาก็เห็นพี่มันคร่อมกูแล้ว แล้วกู...”

“ชอบพี่มันหรือไง ถึงยอม” ถามขัดมันที่กำลังพูด มันนิ่งไปครู่แล้วถึงตอบผม

“... เปล่า”

“มึงตอบช้า กำลังคิดอะไรอยู่” มันเงียบ ไม่ยอมตอบผม ซ้ำยังไม่มองหน้าผมด้วย “เอาใหม่ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงเมื่อคืน มึงมีอะไรกับพี่ทศกี่ครั้ง

“... สี่”

ขมวดคิ้วกับคำตอบนั่น “ถ้าตำแหน่งมึงอยู่บนกูจะไม่อะไรเลยแต่นี่มึงอยู่ล่าง... กูจะถามอีกครั้งนะหลง ทำไมถึงยอมพี่ทศมัน”

“กูไม่รู้...” มันว่าเสียงเบา “กูก็ไม่รู้ว่ะทำไมถึงยอมพี่มัน กู...ไม่ขยะแขยงสัมผัสพี่มันด้วยซ้ำ”

ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำตอบอย่างนั้น ผมลุกจากโซฟาไปตบบ่าเพื่อนสนิทที่ยังยืนเม้มปากอยู่หน้าตู้เย็น

“เอาเถอะ มีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน จะตัดสินใจยังไงกูก็อยู่กับมึงนะ”

“อื้อ... ขอบใจ”

ปล่อยเรื่องของพวกเขาสองคนให้เป็นเรื่องของคนสองคนดีกว่าครับ... ตอนนี้เรื่องของตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย

Tbc.

――――――――――――――――――――――――――――

ตอนนี้ติณณ์มาแต่ชื่อค่ะ เราไม่มีเงินจ้างพระเอกของเรา...  :hao7:
ส่วนเรื่องทศหลงนี่เกิดจากความเมาค่ะ... แต่สงสารพี่ข้าวเขานะคะที่ไปอยู่ตรงนั้น ฟฟฟ เรากำลังคิดอยู่ว่าตอนหน้าลงเป็นตอนต่อ หรือพาร์ทพิเศษของคู่หัวหน้ากับลูกน้องดี

ตอนต่อกด1 พาร์ทพิเศษกด2 เลยค่ะ แค่ก----

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด