19
หลังจากที่พี่ข้าวตื่นมาผมก็หูชาตามระเบียบนั่นแหละครับ ยิ่งพอคนพี่รู้ว่าผมโทรไปลางานไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ก็ยิ่งโวยวายบวกทำตาขวางใส่ผมทันที แถมยังทำอวดเก่งว่าตัวเองไหวด้วยการลุกจะมาไล่เตะผมอีก
แต่ผลคือพอคนไม่เจียมตัวอย่างพี่ข้าวลุกจากเตียงปุ๊บ จากที่จะพุ่งหาผมก็กลายเป็นว่าถลาหาพื้นแทนนั่นแหละครับถึงทำให้เจ้าตัวเขายอมรับว่าสภาพตัวเองไม่ไหวจริงๆ
“หัวเราะบ้าอะไร!” ยกมือปิดปากทันทีพี่ข้าวหันมาทำตาขวางใส่ “เจ็บฉิบหาย...”
“ก็บอกแล้วว่าพี่ไม่ไหว ดื้ออยู่ได้” พอพูดไปอย่างนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบ พี่ข้าวที่พยายามลุกแต่สุดท้ายก็ลงไปนั่งแหมะกับพื้นเหมือนเดิม ดวงตาแดงรื้นน้ำของคนพี่เงยขึ้นสบกับผมทันที
“...เจ็บ”
ก็นั่นแหละครับ... ตอนที่ช่วยพยุงพี่ข้าวที่ลงไปกองกับพื้นขึ้นทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายตัวรุมๆ เหมือนคนกำลังจะไข้ขึ้น พอบอกไปพี่แกก็เลยทำตัวให้สมเป็นคนไม่สบายที่ขยับร่างกายไม่ไหวให้ผมได้ดูแลทั้งวัน ทั้งป้อนข้าวป้อนยา ทั้งทำตัวเป็นไม้ค้ำให้คนแก่(กว่า)เดิน ไหนจะทำความสะอาดห้องนู่นนี่นั่นตามคำสั่งคนพี่... บ่นไปอย่างนั้นแหละแต่ใจจริงผมก็เต็มใจทำให้ล่ะครับ ก็ไอ้เราไปทำเขาเจ็บนี่นา...เนอะ?
และอย่างตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องน้ำกันครับ สาเหตุเพราะพี่ข้าวไม่อยากเช็ดตัวแล้วงอแงจะอาบน้ำ อ้างว่าตัวไม่สะอาดจากกิจกรรมเมื่อคืนทั้งๆ ที่ผมก็จัดการไปแล้วตั้งแต่เสร็จกิจแต่คนป่วยก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็ได้แต่พาคนพี่เข้าห้องน้ำตามคำสั่ง ยืนฟังอีกฝ่ายอาบน้ำไปในหัวก็มีแต่เรื่อง... อืมม นั่นแหละครับไป ทรมานตัวเองดี
แกร่ก
ประตูห้องน้ำที่ผมยืนพิงอยู่ถูกเปิดขึ้นเล็กน้อย พอให้คนข้างในได้ยื่นหน้าออกมา “ติณณ์ๆ”
“ครับพี่ข้าว นี่ชุดครับ”
พี่ข้าวรับชุดที่ผมยื่นให้ไปแต่ยังไม่ยอมกลับไปเปลี่ยน อีกฝ่ายที่ตาปรือๆ จากฤทธิ์ยาเงยขึ้นมองผมพร้อมกับทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
“มีไรป่ะครับ?”
“โกนหนวดให้พี่หน่อย”
ก็เลยกลายเป็นว่าผมเข้ามาอยู่ในห้องน้ำกับพี่ข้าวที่เปลือยท่อนบนโชว์รอยสีแดงๆ ปะปราย พี่ข้าวหันไปหยิบมีดโกนหนวดด้ามสีเหลืองให้ผมก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งบนชักโครกแถมยังนั่งคอหักคอห้อย พอผมเดินเข้าใกล้ก็เอาหัวมาพิงหน้าท้องผมทันที
“พี่ข้าวเงยหน้าหน่อยครับ”
“อื้อออ”
“อื้อแล้วก็เงยสิครับ”
“...”
ได้แต่ถอนหายใจมองคนง่วงนอนเพราะฤทธิ์ยาที่ไม่ให้ความร่วมมือในการโกนหนวดสักเท่าไหร่ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเอ่ยขอให้ทำ หลังจากการอื้อจบลงคนพี่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอที่ดังออกมา ผมมองกลุ่มผมที่ซบท้องผมอยู่สลับกับมีดโกนในมือขวา ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปจับใบหน้าแดงระเรื่อจากไข้อ่อนๆ ที่พิงอยู่ตรงหน้าท้องให้เงยขึ้นสบตา พอได้เห็นตาเชื่อมๆ ปรือๆ จมูกแดงๆ และท่าทางอิดโรยของคนป่วยก็ได้แต่กระตุกยิ้มมุมปาก... หมดสิ้นแล้วพี่ข้าวคนโฉด
เห็นแบบนี้แล้วก็อยากแกล้งขึ้นมาซะอย่างนั้น
“น้องข้าวเงยหน้าก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ติณณ์ทำบาดแก้มนะ”“ห๊ะ!”
“น้องข้าวเจ้าเงยหน้ามองพี่ติณณ์หน่อยนะครับ จุ๊บ”
ว่าแล้วก็กดจูบลงบนปากคนตื่นเต็มตาไปครั้ง ใบหน้าเหวอๆ ของคนที่ถูกแทนสรรพนามด้วยคำว่าน้องนั้นเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ จากที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่จนสะบัดหน้าหนีมือผมแล้วมุดหน้าท้องผมคืน
“ยะ... อย่าลามปามเว้ย ใครน้องติณณ์กัน!” พี่ข้าวโวยวายเสียงอู้อี้ติดสั่น ไม่รู้เพราะโกรธหรือเขินกันแน่ แต่ขอเดาว่าเป็นอย่างหลัง
“ก็ข้าวเจ้าน่ารักอย่างนี้ผมก็ไม่อยากเรียกพี่แล้ว”
“เสียตัวครั้งเดียวความเป็นพี่หายเลยหรือไงวะแม่ง” ยิ้มขำมองอีกฝ่ายที่พูดกับตัวเองอย่างเอ็นดูจนอยากดูเอ็น ผมโยนมีดโกนหนวดสีเหลืองในมือทิ้ง แล้วทิ้งตัวนั่งคุกเข่าตรงหน้าพี่ข้าวที่ทำหน้าเหวอเพราะความตกใจ ก่อนจะรวบตัวคนพี่เข้ามากอดและจัดการหอมทั้งแก้มซ้ายขวาหน้าผากปากจมูกทันที
มันเขี้ยวแฟนตัวเองนี่ผิดไหมครับ?
“ไอ้ติณณ์ปล่อยพี่! อื้อออออ”
“พี่ข้าวน่าฟัดว่ะแม่ง”
“ไอ้ติณณ์พี่บอกให้ปล่อยไงเว้ย!”
“อั่ก!!”
และแล้วไอ้ติณณ์ก็โดนฝ่าเท้าคนป่วยประทับลงกลางอกเต็มๆ เลยครับ...
ตั้งแต่วันที่ผมถูกลุงวัชพาไปนั่งสัมภาษณ์กับนักข่าวอย่างไม่ได้ตั้งใจและเต็มใจนั่นก็ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ แล้วครับ นานซะจนผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยโดนลุงหลอกไปหานักข่าว ตอนนิตยสารฉบับที่มีบทสัมภาษณ์ออกมาผมก็ไม่รู้เรื่องจนกระทั่งวันนี้....
“ช่วงนี้แม่แกได้โทรมาบ้างไหม?”
“ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นจากเอกสารการสรุปประชุมไปมองลุงวัชที่จ้องผมเขม็ง “เมื่อกี้ลุงถามผมว่าอะไรนะ”
“แม่แกได้โทรมาหาแกบ้างไหม”
“ไม่นี่ครับ ปกติมีแต่ผมโทรไป” ผมตอบ “ลุงมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับถอนหายใจออกมาดังๆ ลุงวัชลุกจากโต๊ะของตัวเองเดินมาหาผมพร้อมกับเล่มอะไรสักอย่างในมือ
แต่แทนที่ลุงแกจะส่งให้ดีๆ ลุงวัชกลับม้วนมันแล้วฟาดลงกับหัวผมเต็มแรงแทนซะงั้น...
“โอ๊ย! ฟาดผมทำไม”
“ฟาดเตือนสติ” ของในมือที่ลุงวัชถือถูกวางลงทับเอกสารตรงหน้า “นิตยสารที่เราไปให้สัมภาษณ์ออกแล้ว จำได้สินะว่าตอบอะไรไปบ้าง”
ผมมองนิตยสารที่มีรูปลุงวัชเป็นมุมเล็กๆ บนหน้าปก เปิดหน้าบทสัมภาษณ์กวาดตาไล่มองตัวอักษรใต้รูปถ่ายของลุงวัชก่อนจะเงยมองตัวจริงที่อยู่ตรงหน้า “ไอ้ที่ลุงหลอกผมให้ไปสัมภาษณ์ด้วยน่ะนะ?”
โอ๊ะ คนแก่ส่งสายตาเขียวปั๊ดมาให้ล่ะ
“บ้านแกก็ไม่มีใครกวนประสาทสักคนนะ... หรือตอนเกิดพยาบาลสลับเด็ก?”
“ก็ผมได้ลุงไงครับ หึๆ”
“...จะให้ลุงบอกหนูเจ้าไหมว่าวันก่อนติณณ์ไปจีบสาว?”
“คุณชัยธวัชกรุณาเก็บโทรศัพท์ลงไปเถอะนะครับ” ผมกระโจนข้ามโต๊ะไปตะครุบโทรศัพท์ในมือลุงแทบไม่ทัน “จีบเจิบที่ไหนกันครับ คุณลุงก็เห็นว่าตอนนั้นเธอเข้ามาหาผมเองแถมผมก็ไม่ได้เล่นด้วยนี่”
คนสูงวัยหรี่ตามองผมที่โอดครวญออกมา ก็วันนั้นออกไปหาลูกค้ากับลุงแล้วฝ่ายนั้นพาลูกสาวตัวเองมาด้วย แต่เพราะคำว่าธุรกิจที่ติดบนหน้าผากทำให้ปฏิเสธไม่ออก
พอเห็นผมยิ้มแหยๆ ให้ลุงวัชหัวเราะในลำคออย่างคนเหนือกว่า “แกก็รู้นี่ว่าหนูเจ้าเขาเชื่อใครมากกว่ากัน”
“ขอโทษครับลุง ผมไม่กวนลุงแล้วก็ได้ครับ” รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยคนสูงวันทันที... เท่านั้นแหละครับคนแก่กว่าก็หัวเราะอย่างเต็มเสียง งานแกล้งลูกแกล้งหลานนี่ไว้ใจลุงวัชเขาเลย
“เออๆ งั้นเข้าประเด็นที่ลุงพูดไว้ จำได้ใช่ไหมว่าตอบอะไรไป”
“...ครับ”
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า...”
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอ่ะลุง ยังไงผมไม่ยอมเลิกกับพี่ข้าวแน่ๆ” ตอบขัดประโยคที่ลุงกำลังจะพูด ลุงวัชชะงักไปครู่ก่อนจะยิ้มจางๆ ออกมาให้
“ตกลงคนนี้จริงจังสินะ”
“ถ้าไม่จริงจังผมจะตามง้อเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ไหมล่ะ โอ๊ย! ลุงเขกหัวผมทำไม!” โวยวายใส่คนแก่แรงไม่ตกที่เขกกำปั้นลงมาเต็มหัว มองค้อนใส่ลุงวงโตๆ ก่อนจะตอบออกไป “คนนี้รักเลยน่าลุง”
ลุงวัชถลึงตาผมใส่ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง คนแก่ที่ทำตัวไม่สมวัยนั่งเท้าคางมองผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยกยิ้มตาม “เฮ้อ...เอาเถอะ มีอะไรเดี๋ยวลุงช่วยเอง”
แรงสั่นของสายเรียกเข้าทำให้ผมตื่นจากฝันดี ปรือตาเอี่ยวตัวข้ามคนในอ้อมแขนไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงอีกฝั่งขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรมารบกวน
จากที่หงุดหงิดงัวเงียก็ต้องตื่นเต็มตาเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา
“ครับแม่ โทรมาแต่เช้ามีอะไรหรอครับ”
กรอกเสียงที่เต็มไปด้วยความงัวเงียบลงไปตามสาย นี่ผมเคยบอกหรือยังครับว่าคุณหญิงวิภา แม่ของผมเป็นลูกครึ่งไทย - อิตาลี(ที่ผมได้เสี้ยวมาเล็กน้อย) ส่วนพ่อผมก็เป็นน้องชายลุงวัชที่มีนิสัยคนละขั้วเลย แล้วถ้ายังจำกันได้... คงไม่ลืมนะครับว่าผมกับไอ้หมอหมาเพื่อนรักมาจากจังหวัดเดียวกัน
‘ติณณ์! ลูกไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่!’
“อะไรนะแม่” ผมขมวดคิ้วกับเสียงแหลมๆ ของแม่ที่ดังลอดออกมา
‘แม่ถามว่าลูก-ไป-มี-แฟน-ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมแม่ไม่รู้เรื่อง!! แม่ไปอ่านเจอในนิตยสารที่ลูกไปสัมภาษณ์กับลุงแกเขาเขียนไว้อย่างนั้น!’
“อ้อ” ผมลากเสียงยาวเพราะสมองที่เพิ่งตื่นเริ่มทำงานเมื่อได้ยินคำว่านิตยสาร ได้แต่ยกยิ้มแหยขอโทษแม่ในใจก่อนจะทำผิดศีลข้อสี่ “ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับแม่ ตัดปัญหาน่ะ”
“อื้อ...” คนติดหมอนข้างในอ้อมแขนขยับหน้าเข้าซุกกับอกผมและครางออกมาผะแผ่วเพราะเสียงผมที่ไปรบกวนการนอน พี่ข้าวขมวดคิ้วปรือตาเงยหน้ามองผมอย่างหงุดหงิดและหลับตาลงอีกครั้ง น่ารักซะจนอดที่จะก้มไปหอมหน้าผากของอีกคนไม่ได้
‘นั่นเสียงใครน่ะ?’
...ลืมไปเลยแฮะว่ายังคุยกับแม่อยู่
“เปล่านี่ครับ”
‘ตกลงว่าแค่ตอบไปอย่างนั้นใช่ไหม แม่จะได้ไปบอกหนูแพรวว่าติณณ์ยังว่าง’
“ใครนะแม่?”
‘หนูแพรวไง ลูกสาวเพื่อนแม่ สวยน่ารักดีแม่ชอบ ตอนนี้กำลังขึ้นปีสามมหาลัยเดียวกับติณณ์ที่แหละ’
“แม่...ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องหาคู่ไหนผม ผมหาเองได้น่า... ไว้ว่างๆ จะพาไปเจอ”
‘เหอะ ฉันหาให้ไม่ดีหรือไง หัวแข็งได้พ่อจริงเชียว’ แม่บ่นอุบให้ผมได้แต่ยิ้มจาง ดูท่าแม่จะไม่ตะหงิดใจกับประโยคหลังสักเท่าไหร่ ‘เอาเถอะๆ แต่หาเองแล้วไม่ถูกใจแม่แม่ไม่ยอมนะ’
ลอบมองคนหลับที่ยังขมวดคิ้วแน่น อย่างคนนี้จะผ่านไหมล่ะเนี่ย
‘จะว่าไปเมื่อไหร่ติณณ์จะกลับบ้านล่ะลูก’
“ก็เดี๋ยวกลับครับ รอคุณฟ้ากลับมาก่อนผมว่าจะกลับไปบ้านสักอาทิตย์ครับแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”
‘กลับมาอยู่ตลอดเลยไม่ได้หรอลูก มาช่วยบ้านเราก็ได้แม่คิดถึงนะ’
“เดี๋ยวได้กลับไปแน่ๆ ล่ะครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะครับแม่”
‘เอาเถอะๆ ตามใจเราแล้วกันแต่มาให้แม่เห็นหน้าบ้างก็ดี นี่จนลืมแล้วว่าลูกชายหน้าตาเป็นอย่างไง’ พอตอบไปว่าก็หล่อเหมือนพ่อไง ก็ได้ปลายสายหัวเราะออกมาเบาๆ ‘ถ้างั้นเดี๋ยวแม่วางสายก่อนนะลูก สายป่านนี้แล้วพ่อแกยังไม่ลงมาสักทีเลยต้องให้ปลุกตลอดเลย รักลูกนะ’
“ครับ รักแม่เหมือนกันครับ”
ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่แม่พูด ไม่รู้คิดไปเองไหมว่าพี่ข้าวตื่นมาฟังแต่แกล้งหลับต่อเพราะแขนที่พาดเอวผมมันเริ่มแน่นขึ้น ยกยิ้มให้กลุ่มผมตรงหน้าแล้วกวาดแขนไปรั้งตัวอีกคนให้มาซุกอกอุ่น เกยคางลงกับหัวของคนในอ้อมแขนพลางหัวเราะหึเมื่อได้ยินเสียงครางในลำคอประท้วงเพราะผมกอดอีกคนแน่นเกินไป
“ไม่ไปหาหนูแพรวอะไรนั่นน่ะ” พี่ข้าวพูดเสียงอู้อี้ ดันตัวเอาหัวโหม่งคางผมเบาๆ
“ไปทำไม ก็แฟนผมอยู่นี่”
“ก็ไหนว่าไม่มีแฟน”
“ก็ไม่มีแฟน” คนในอ้อมแขนนิ่งไปจนรู้สึกได้ “ผมมีแต่พี่ข้าวนะครับ”
“...แล้วพี่ไม่ใช่แฟน?”
“คุณกณิศเป็นคนรักของติณณ์ไงครับ”
เหมือนว่าได้ยินเสียงฉ่าจากคนในอ้อมแขน คนที่หน้าแดงยันหูเอาแต่ซุกหน้าลงกับอกผมไม่ยอมห่างแถมยังเอากำปั้นทุบซ้ำอีก ได้แต่หัวเราะแล้วก้มไปหอมหัวคนในอ้อมแขนอย่ามันเขี้ยวและกระซิบเสียงเบา
“ไว้พี่พร้อมเดี๋ยวผมพาไปหาแม่นะ”
“...อื้อ”
เวลาผ่านไปจนกระทั่งลูกของคุณฟ้าหย่านมแม่และเธอกลับมาทำงานให้ลุงวัชได้อีกครั้งผมก็หมดหน้าที่เลขาจำเป็น จากนี้ผมมีเวลาพักที่เคยขอลุงแกไว้เกือบๆ สี่เดือนก่อนที่จะเข้าไปเป็นพนักงานที่สาขาเดียวกับพี่ข้าว ซึ่งเจ้าตัวยังไม่รู้เพราะผมกะจะทำเซอร์ไพรส์
และระหว่างที่พักนี้ผมมีแพลนจะพาพี่ข้าวเข้าบ้านด้วยครับ
ถึงจะเกริ่นๆ กับแม่แล้วก็เถอะว่ากลับไปครั้งนี้จะพาแฟนไปแนะนำด้วย... ผลที่ตามมาคือแทบจะซักประวัติแฟนของผมแต่ผมไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง แต่พ่อน่าจะรู้จากลุงวัชบ้างแล้วแหละว่าแฟนผมไม่ใช่ผู้หญิง ก่อนหน้านี้ท่านโทรมาถามว่าคุยอะไรกับแม่ แม่ถึงดูหัวเสีย แถมยังลงท้ายประโยคก่อนว่างสายว่า
อีก...
มาอีหรอบนี้พ่อรู้แล้วแน่ๆ ล่ะครับทุกคน
“นี่ไม่ไปได้ไหม...” พี่ข้าวว่าเสียงอ่อย สองมือกอดกระเป๋าเป้ไว้แน่น “เอาจริงๆ ไม่กล้าไปว่ะ”
“ไปเถอะครับพี่ข้าว คบกันมาก็พักใหญ่แล้วผมยังไม่เคยพาไปบ้านผมเลย” ยกยิ้มมองคนพี่ที่เม้มปากแน่น “อยากเห็นแฟนตัวเองถูกแม่จับใส่พานให้คนอื่นหรือไง”
“ไม่!” อีกฝ่ายโพลงขึ้นมาทันที ก่อนจะค่อยๆ เบาเสียงลงเมื่อนึกได้ “แต่...ถ้าแม่ของติณณ์รับพี่ไม่ได้ล่ะ”
“ผมไม่เลิกกับพี่แน่ๆ และต่อให้แม่บังคับพี่ก็ต้องห้ามเลิกกับผมนะ”
“...เอาแต่ใจ”
“หึ ก็ได้พี่มานั่นแหละครับ”
“ไอ้ติณณ์!” พี่ข้าวยกมือชี้หน้าผม “นี่ยังไม่เคลียร์เรื่องไม่บอกล่วงหน้า แถมจัดการลางานให้เรียบร้อยนะ”
ผมแสร้งทำไม่สนใจคนพูด ก้มมองนาฬิกาแล้วดึงเป้ในมือพี่ข้าวมาถือเอาไว้เอง “ป่ะ ไปกันได้แล้วครับพี่ข้าว จะเดินไปเองหรือให้ผมอุ้ม?”
“ฮึ่ย!”
Tbc.
―――――――――――
จริงๆ ต้องลงตั้งแต่วันพุธ... แต่ติดละครเจ้าค่ะ...
เจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ช่วงนี้วุ่นหน่อยเพราะเพื่อนบอกให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้... วิ่งหาชุดกันสนุกสนาน ; w ; )
ปล. ไม่ม่าหรอก เชื่อเราดิ