[จบแล้ว] ►Have a ghost night - รักนี้ผีไม่เกี่ยว (รีไรท์)◄ [บทส่งท้าย] 25/4/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] ►Have a ghost night - รักนี้ผีไม่เกี่ยว (รีไรท์)◄ [บทส่งท้าย] 25/4/18  (อ่าน 37727 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คิทนี่สมเป็นผีแท้ๆ ของเรืีองนี้จริง แวบไปแวบมาตลอด  o13

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 14
เพราะความตาย


สามปีก่อน


 

วันนี้ผมกับเพื่อนมาอยู่ที่บ้านไอ้กอล์ฟ ที่วันนี้มีปาร์ตี้ฉลองกันหลังเรียนจบม.หก บวกกับวันเกิดย้อนหลังของผมด้วย เพราะตอนวันเกิดดันตรงกับวันสอบปลายภาควิชาสุดท้ายจึงไม่มีใครมีอารมณ์มาฉลอง รวบรัดเอามาเป็นวันเดียวกันไปเลยหมดเรื่อง แต่เอาจริงๆ ก็แค่คิดข้ออ้างหาเรื่องมากินเหล้ามากกว่า ผมเองก็ใช้โอกาสนี้ฉลองโอกาสได้ที่เรียนต่อด้วย ผม ทิม และคิทสอบติดที่เดียวกัน ไม่รู้ว่าใครตามใครแต่รู้ตัวอีกทีก็พากันไปสอบจนติดที่เดียวกันหมด

"น่าน กูมีของขวัญให้มึงด้วย"

"ของขวัญไรวะ" ผมหันถามไอ้คิทที่สะกิดบอก

"วันเกิดมึง เรียนจบม.หก สอบติดมหาลัย กูให้อันเดียวเลย"

"ไรอะ รวยจะตาย"

"เออน่า นี่ก็แพงนะโว้ย" มันว่าแล้วส่งกล่องของขวัญที่เตรียมมาส่งให้ เสียงเพื่อนคนอื่นก็เชียร์ให้ผมแกะตรงนั้นเลย ผมก็อยากแกะแต่ต้องหันไปถามคนให้ก่อน

"แกะได้ใช่ไหม"

"แกะดิ"

พอมันอนุญาตจึงลงมือแกะกล่องของขวัญนั่น เปิดเข้าไปเจอเสื้อกันหนาวสีขาวสลับดำยี่ห้ออดิดาส พอผมหยิบเอาออกมากางดูเพื่อนข้างๆ ก็โห่แซวเป็นเสียงเดียว เพราะเสื้อตัวในมือผมมันเหมือนกับตัวที่มันใส่อยู่เป๊ะ

"เสื้อคู่โว้ย!"

ผมหันมองหน้าไอ้คิทแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างสงสัย

"ทำไมอะ ไม่ชอบเหรอ"

"แต่มันเหมือนของมึงเลย"

"ก็เสื้อคู่ไงมึง!"

ผมหันมองเพื่อนที่แซวอีกที ผมกับคิทสนิทกันมากกว่าคนอื่น เพื่อนๆ ก็รู้ดี แต่ผมไม่รู้ว่าระหว่างเราสองคนมันคืออะไร ในความสัมพันธ์อันซับซ้อนและน่าสับสน เราก็เรียกกันและกันว่าเพื่อน แม้การกระทำจะสวนทางคำว่าเพื่อน แต่เราก็ไม่เคยขยับสถานะไปเป็นอื่น ผมไม่รู้ใจคิทพอๆ กับที่ผมไม่รู้ใจตัวเอง

"ไม่เอาเหรอ"

"ฮะ?" ผมหันมองคิทที่ดึงเสื้อตัวนั้นไปจากมือผม ไม่ทันได้ฟังคำถามของมัน

"ถ้ามึงไม่ใส่ก็ทิ้งไป"

"เฮ้ย ใส่ดิ!" ผมแย่งเสื้อตัวนั้นกลับมาแล้วรีบสวมมันทั้งที่ยังไม่ทันแกะป้าย หันมองคิทที่ยิ้มออกมาเบาๆ ขยับมานั่งข้างๆ ผม แล้วควักมือถือส่งให้เพื่อนอีกคน

"ถ่ายรูปให้หน่อยดิ"

ผมยังไม่ทันได้ทำหน้าดีๆ เพื่อนมันก็กดชัตเตอร์ไปก่อน แล้วภาพหน้าเหวอๆ ของผมก็ถูกโพสท์ลงเฟสบุ๊กในทันทีอย่างห้ามไม่ทัน

"ไอ้คิท มึงอะ!"

"ทำไมเล่า"

"หน้ากูเหวอ"

"เออ น่ารักแล้ว"

มันพูดขณะจิ้มๆ อยู่ที่หน้าจอมือถือ ผมไม่มีรู้จะเถียงอะไรกับมันแล้วก็เลยเลิกโวยวาย เรากินดื่มกันอยู่อีกพักใหญ่ๆ กระทั่งพ่อผมโทรมาตามในตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ก็เลยขอออกมารับโทรศัพท์ด้านนอก คุยกับพ่อเสร็จแล้วก็นั่งลงที่ขั้นบันไดหน้าบ้านไอ้กอล์ฟ เพราะแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปนิดหน่อยเป็นเหตุให้รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย กลับเข้าไปคงโดนบังคับเอาเหล้ากรอกปากอีกแน่นอน ผมทอดสายตามองยอดต้นไม้ที่ขยับโยกเพราะแรงลมจากข้างนอกที่ดูเหมือนฝนจะตกลงมา ขณะกำลังนั่งเหม่อมองอยู่ตรงนั้น มือหนึ่งก็สัมผัสเข้ามาที่หัวจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

"คิท"

"มานั่งทำอะไรตรงนี้วะ" มันว่าแล้วนั่งลงข้างๆ

"ก็นั่งเฉยๆ"

"เมาป่ะเนี่ย"

"นิดหนึ่ง"

"กลับก่อนเปล่า กูไปส่งไหม"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอกลับพร้อมทิมก็ได้ บอกพ่อแล้ว"

คิทพยักหน้ารับแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ผมไม่ได้รังเกียจกลิ่นบุหรี่ แต่เป็นห่วงพวกมันมากกว่ากลัวจะตายเร็ว แต่จะให้บ่นด่าอะไรมากก็ไม่ได้ เกิดมันรำคาญโดดเตะผมขึ้นมาก็ไม่คุ้มกัน

"เอาป่ะ" คิทยื่นบุหรี่ให้หลังจากที่เขาสูบมันเข้าไปทีหนึ่ง

"ไม่เอาอะ กูเก็บปอดไว้ฟอกอากาศดีๆ ดีกว่า"

"ลองไว้จะได้รู้"

"ไม่ต้องลองก็รู้ว่าไม่ดี"

"ถ้าไม่ดีแล้วเขาจะมีขายทำไมอะ" มันว่าแล้วอัดควันบุหรี่เข้าไปอีกที ก่อนจะใช้มือหนึ่งรวบหน้าผมเข้าไปใกล้ เอาปากมาประกบผมแล้วพ่นควันใส่เข้ามา จังหวะที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัวเผลอสูดควันนั่นเข้ามาในปากจนสำลัก

"แค่กๆ! ไอ้คิท แค่กๆ"

ผมสำลักจนน้ำตาไหล แต่คิทหัวเราะอย่างชอบใจ

"มึงทำอะไรวะ!"

"สโมกกิ้งคีสไง อีกทีไหม"

"เหี้ย ไม่ชอบ"

"ไม่ชอบสโมกกิ้ง หรือไม่ชอบคีส"

ผมเงียบ ส่วนคิทยกมุมปากขึ้นแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ ก็มันเป็นแบบนี้ไง มันชอบทำแบบนี้กับผมเสมอ แต่ไม่ชัดเจนมาซะที   

"น่าน"

"อะไร"

"กูจูบมึงได้ไหม"

"..."

คิทไม่รอให้ผมพูดอะไร ทิ้งบุหรี่ที่ยังไม่หมดมวนลงบนพื้นก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างรวบหน้าผมเข้าไปใกล้แล้วบรรจงจูบอีกครั้ง คราวนี้ผมตั้งตัวได้แล้ว และผมไม่ปฏิเสธ ยอมให้คิทบดขยี้ริมฝีปากอุ่นๆ ของมันเข้ามา กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดลิ้นยังทำให้ผมรู้สึกขมอยู่ในปาก จูบจนมันพอใจจึงขยับริมฝีปากของตัวเองออกไป ก่อนความเงียบระหว่างเราจะทำงานอยู่ครู่หนึ่งผมจึงพูดขึ้นมาก่อน

"คิท"

"อือ"

"ระหว่างกูกับมึง มันคืออะไรวะ"

"ก็เพื่อนกันไง" มันพูดยิ้มๆ

"เพื่อนกันเขาทำแบบนี้เหรอวะ"

"แล้วทำไม่ได้เหรอ"

"มึงชอบกูไหม"

"แล้วมึงอะ ชอบกูเปล่า"

"คิท! มึงอย่าทำเป็นเล่นได้ป่ะ"

"รักกูไหม พูดก่อน"

"ไม่บอกเว้ย!"

"ตามใจ"

"มึงอะชอบทำให้กูอึดอัด"

"เออ แล้วมึงอยากเป็นอะไรกับกูล่ะ"

"กูไม่รู้ แต่มึงควรชัดเจนกับกูหรือเปล่า"

"น่าน เราเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เหรอวะ ไม่ต้องไปนิยามได้ไหม เป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วไง"

"เป็นเพื่อนกันอะนะ"

"ใช่"

"แล้วถ้าเป็นเพื่อนกัน กูไปชอบคนอื่นได้ไหม"

"..."

"กูไปรักคนอื่นได้ไหม"

"ไม่ได้"

"..."

"กูไม่ยอม"

 

 

หลังเลิกดื่มกันแล้ว ผมแยกกับคิททั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว ผมบอกพ่อว่าจะให้ทิมไปส่งบ้าน แต่ตัวมันดันเมาปลิ้น เลยกลายเป็นผมที่ต้องไปส่งมันแทน

"ไอ้น่าน"

"อะไร"

"มึงกับไอ้คิทเป็นอะไรกันวะ"

ผมเหลือบตามองไอ้ทิมที่อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

"ถาม...ถามทำไมวะ"

"มึงจูบกับมันอะ กูเห็นนะโว้ย!"

"มึงเมาละ"

"เมาเหี้ยไร เห็นชัดๆ เลย ปากก็บอกว่าเพื่อนกัน ชิ!"

"มึงนอนไปเลยไป" ผมผลักหัวทิมไปอีกทาง มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วหลับตาลงไป ก่อนลืมขึ้นมาอีกทีตอนที่มือถือมันดัง

"กรี๊ง...กรี๊ง.."

"รับดิ ไอ้น่าน รำคาญ"

"ของมึงเหอะ"

"อ้าว ของกูเหรอ" มันหัวเราะหน่อยๆ แล้วหยิบมือถือขึ้นมารับ ก่อนจะนิ่งไป ผมหันไปมองอาการแปลกๆ ของมัน ทิมกระพริบตาถี่เหมือนตกใจอะไรบางอย่างแล้วลดมือถือลง

"มีอะไรวะทิม"

"น่าน"

"อะไร"

"มึงจอดรถที"

"ทำไมวะ"

"กูบอกให้จอด!" ทิมตะโกนลั่นจนผมต้องยอมจอดรถริมทาง ทิมเปิดประตูลงไปแล้วอ้วกออกมา ผมเห็นอาการของมันเลยเปิดประตูรถตามลงไปด้วย

"ไหวไหมเนี่ย" ผมเดินไปตบหลังมันเบาๆ ทิมยันตัวขึ้นมากับกระโปรงรถ

"กูขับเอง" ทิมว่าแล้วเดินไปฝั่งคนขับ

"ไอ้ห่า เมาขนาดนี้มึงจะขับได้ไง เดี๋ยวเจอด่านพ่อมึงก็จับเข้าตะรางหรอก"

"มึงขึ้นรถ"

"ไม่เอา มึงนั่นแหละออกมา"

"กูบอกให้มึงขึ้นรถ!" ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจอาการที่กำลังแสดงออกของไอ้ทิม จังหวะนั้นฝนก็ตกลงมาจนผมต้องเปิดประตูรถเข้าไป ทิมก้มหน้าลงก่อนจะเงยขึ้นมาพร้อมน้ำตาไหลพราก

"เฮ้ยทิม มึงเป็นอะไรวะ" ผมจับไหล่มันขณะที่ทิมกัดฟันแน่นแล้วยกมือเช็ดน้ำตาที่นองหน้า

"น่าน"

"อะไร มึงเป็นอะไร"

"ไอ้คิทรถคว่ำ"

"..."

"ไอ้คิทตายแล้ว"

"มึงเมาเหี้ยอะไรเนี่ย"

"ไอ้บอลโทรบอกกูเมื่อกี้ว่าไอ้คิทตายแล้ว"

ผมไม่คิดว่ามันพูดเล่นเพราะน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อาจกลั้น กลายเป็นผมที่นิ่งไปจนพูดอะไรไม่ออก ไอ้ทิมกลั้นน้ำตาแล้วตั้งสติ ก่อนขับรถออกไปจากตรงนี้เพื่อไปหาคิท ไม่เกินห้านาทีเราก็มาถึงที่เกิดเหตุ ผมเปิดประตูรถออกไปอย่างเร่งรีบ แต่ขาก็หยุดกึกกะทันหันตอนที่หันมองไปเห็นรถยนต์คันนั้น รถของคิทที่ผมจำได้ดี

ตัวผมช้าลงขณะที่ทุกอย่างรอบตัววุ่นวายไปหมด ฝนตกกระหน่ำลงมาไม่หยุด ทั้งฝนและน้ำตาไหลปะปนกันจนผมมองไม่เห็นภาพข้างหน้า ผมจ้องมองรถของคิทที่อัดเข้ากับขอบสะพานจนสภาพพังยับ และร่างที่นอนอยู่ตรงนั้น กองเลือดที่ถูกน้ำฝนซัดไหลนองอยู่ที่พื้น เข่าผมทรุดฮวบลง ความเจ็บจากแรงกระแทกตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่ฝัน ร่างไร้วิญญาณของเขาอยู่ตรงหน้า และวิญญาณของผมที่ดูเหมือนจะหลุดลอยไปด้วย

"ไอ้คิท แบบนี้ไม่เอานะเว้ย"

ผมเดินฝ่าผู้คนตรงนั้นเพื่อตรงเข้าไปหาคิท แต่ก็ถูกคนตรงนั้นกันเอาไว้

"ไอ้คิท!"

"ไอ้น่าน" ทิมเข้ามาดึงผมออกไปจากตรงนั้น แต่ผมสะบัดมือมันออกแล้วตรงเข้าไปหาคิท

"ไอ้คิท ลุกขึ้นมา"

"น่าน ออกมาเถอะ"

"คิท ลุกดิ"

"..."

"คิทตื่น!"

"..."

"ไอ้คิท มึงทำแบบนี้กับกูไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้เว้ย! กูชอบมึงนะคิท กูพูดแล้วได้ยินไหมคิท ลุกขึ้นมา! กูบอกให้ลุกขึ้นมาไอ้เหี้ยคิท!"

 

 

ผมไม่มีวันได้ยินคำว่ารักจากมัน และคำว่ารักของผมก็ไม่เคยไปถึงมัน และนั่นคือความค้างคาใจที่ตามหลอกหลอนผมอยู่ตลอด ผมจึงอยากถามมันให้แน่ใจ ว่าถ้าเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ผมจะรักคนอื่นได้ไหม

 

มันจะยอมให้ผมรักใครได้หรือยัง...

 

 

...

 

 

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่ฝนไม่หยุดตก ผมไม่รู้ว่าฤดูฝนมันมีกี่เดือน แต่ภาวนาให้มันผ่านไปไวๆ เสียที วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่เช้าจึงออกไปไหนไม่ได้เลย แต่โชคดีที่เป็นวันหยุดผมจึงหมกตัวนอนอยู่แต่ในห้องทั้งวัน กระทั่งรู้สึกเบื่อจึงเดินมาหาเพื่อนคุยข้างล่าง แต่ไม่เจอใครนอกจากหนูแฮมเตอร์สัตว์เลี้ยงแสนรักของพี่ซรที่วางอยู่บนโต๊ะกระจก และไอรอนแมนของเท็นก็นอนอยู่ใกล้ๆ กันอย่างสมานฉันท์

ผมนั่งลงที่โซฟา มองดูหนูตัวเล็กที่อยู่ในกรง ตาโตของมันกำลังมองลอดกรงออกมาจ้องผมกลับ ผมเห็นพี่ซีโพสท์รูปมันลงเฟสบุ๊กแทบทุกวันจนอยากจะให้รางวัลคนอวดหนูดีเด่นไปเลย เอาจริงหนูมันก็น่ารักดี แต่สาบานด้วยเกียรติแห่งมนุษย์ ผมไม่เคยหน้าคล้ายมัน มันไม่เคยหน้าคล้ายผม ไม่มีส่วนไหนที่เราคล้ายกันเหมือนที่พี่ซีมโนไปเอง

"อ้าว หนูใหญ่"

ผมหันมองพ่อมันที่เดินออกมาจากห้องพอดี แยกเขี้ยวใส่ไปทีหนึ่งตอนเขาเรียกผมแบบนั้น

"สมาชิกหอหายไปไหนกันหมดอะครับ"

"ฝนตกหนักป้าทิพย์เลยไม่เข้ามา ไอ้เท็นไปมหาลัยตั้งแต่เช้า ไอ้ไคกลับบ้าน"

ผมพยักหน้าตามหลังจากพี่ซีสาธยายถึงบรรดาสมาชิก

"แล้วนี่พี่จะออกไปไหนอะ?" ผมถามขณะที่เขากำลังหยิบร่มขึ้นมา

"ไปมินิมาร์ทแป๊บนึง ไปป่ะ"

"ฝนตกๆ เนี่ยนะ"

"อือ ไปไหม"

ผมลังเลนิดหน่อย ใจก็อยากไปหาอะไรกินแต่อีกใจก็เบื่อฝน

"ไม่เปียกหรอก"

ผมพยักหน้ารับพี่ซีที่บอกให้ผมมั่นใจ แล้วลุกออกไปมินิมาร์ทด้วย ดีที่ฝนซาลงไปนิดหน่อยผมจึงไม่เปียก หรือต่อให้มันตกหนัก ผมก็รู้ว่าผมจะไม่เปียก เพราะมีพี่ซีอยู่ตรงนี้ อย่างตอนนี้พี่ซียื่นร่มแทบจะทั้งหมดมากางให้ผม ส่วนเขาไม่ได้สนว่าตัวเองจะโดนฝนหรือเปล่า

"เดี๋ยวก็เปียกหรอก" ผมว่าแล้วขยับตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ เขากว่าเดิม เพื่อให้ร่มบังเราทั้งคู่จากเม็ดฝนได้พอดี 

"ทำไมน่านไม่ชอบฝนอะ"

"เปียกไง"

"เย็นดีจะตาย"

"ผมไม่ได้โลกสวยเหมือนพี่นี่"

เขายกมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนจะกุมมือผมแล้วยื่นออกไปให้โดนฝน

"เฮ้ย"

"ลองดูดิ" เขาพูดเสียงนิ่มแล้วจับมือผมแบออก เม็ดฝนตกลงมากระทบมือจนรู้สึกเย็นวาบ พี่ซียิ้มกว้างขณะที่หน้าเราอยู่ใกล้กันนิดเดียว ฝนเย็นฉ่ำอย่างที่เขาบอก และตัวเขาเองเย็นเหมือนฝน อยู่กับเขาแล้วผมรู้สึกแบบนั้น

"ที่จริงแล้วผมไม่ได้เกลียดที่ตัวเองต้องตัวเปียกหรอกครับ"

"แล้วทำไมอะ"

"ทุกครั้งที่ฝนตก ผมจะนึกถึงคิท"

พี่ซีพยักหน้ารับแล้วดึงมือผมกลับเข้ามา ก่อนเขาจะหยุดเดิน ผมก็ต้องหยุดไปด้วยแล้วหันไปมองหน้าเขา

"น่านยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยนะ ที่เคยถามว่ายังรักคิทอยู่หรือเปล่า"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่ก็ไม่ได้ลืม

"ไม่อยากตอบเหรอ"

"ตอบไม่ได้ต่างหาก"

"งั้นถามใหม่ก็ได้"

"ครับ?"

"น่านชอบพี่ไหม"

"..."

"ชอบพี่หรือเปล่า"

"พี่ซี ผมไม่รู้ว่าผมจะรักใครได้ไหม"

"..."

"ผมต้องถามให้แน่ใจก่อน"

"ถามตัวเองเหรอ"

"เปล่า ถามคิท"

หัวคิ้วของพี่ซีขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ผมรู้พี่ซีเหนื่อยกับความคิดของผม ผมเองก็ไม่ต่างเหมือนกัน ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมเองก็หนักหัวใจจนเหนื่อยล้าไปหมดแล้วเหมือนกัน

"ถ้าน่านจะรักใคร ต้องถามคิทก่อนใช่ไหม"

ผมเงียบ ก่อนจะฝืนใจพยักหน้าออกมาเบาๆ ขณะที่พี่ซีปล่อยร่มลงสู่พื้นจนฝนนั่นทำให้ผมเปียก

"พี่ซี"

"งั้นน่านถามเลย"

"ครับ?"

"คิทอยู่ที่นี่แล้ว"

 

To be continued.


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ที่ตามหาคิท เพราะคำสัญญานั้นใช่ไหม เศร้าน่าดูเนอะ  :m15:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ความสัมพันธ์ของน่านกับคิทถึงจะบอกว่าเพื่อนแต่มันก็คลุมเครือเหมือนคนรักกันนั่นแหละแต่แค่ไม่ได้เอ่ยปากบอกกันออกมา อาจจะเพราะกลัวว่าพูดไปแล้วจะเสียเพื่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ แอบสงสารน่านกับคิทเหมือนกันนะแต่ก็นะในเมื่อตอนนี้มีพี่ซีเข้ามาแล้วน่านก็ต้องตัดสินใจว่าจะยังไงต่อดี แล้วที่พี่ซีบอกคิทอยู่ด้วยนี่พี่แกพูดจริงหรือต้องการให้น่านหายข้องใจกันแน่

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 15
เท่านี้ที่อยากได้ยิน


"คิทอยู่ที่นี่แล้ว"

"พี่ว่าอะไรนะ"

"คิทอยู่ที่นี่แล้ว ยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆ น่านเลย"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดของพี่ซี หันมองไปรอบๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางมองเห็น ผมเลื่อนสายตาเงยขึ้นมองหน้าพี่ซีที่พยักหน้าเบาๆ ให้ผมเชื่อว่าคิทอยู่ตรงนี้จริงๆ

"สิ่งที่อยู่ในใจน่าน พูดมันออกมาสิ"

ผมยังคงเงียบอย่างคนไม่มีสติ ผมเกลียดฝนยิ่งกว่าอะไรแต่วันนี้ไม่แม้แต่จะก้าวเท้าเขาไปหลบ พี่ซีที่ไม่เคยยอมให้ผมเปียกแม้แต่ละอองฝน แต่วันนี้เขากลับปล่อยให้ผมเปียกปอนอยู่อย่างนั้น เม็ดฝนที่หนาเม็ดขึ้นกระทบใบหน้าและร่างกายจนรู้สึกเจ็บผมจึงได้สติกลับมาในตอนนั้น 

"พี่ซี พี่ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม" ผมถามออกไปโง่ๆ ทั้งๆ ที่ใจผมมันเชื่ออย่างสนิทใจอยู่แล้ว เพราะคนๆ นี้คือพี่ซี เขาไม่มีทางโกหกผมอยู่แล้ว

"คิทอยู่ตรงไหนครับ"

            พี่ซีเลื่อนสายตาไปทางซ้ายของผม ผมเองขยับตัวเองหันตามไปทางนั้นด้วย ผมมองไม่เห็นอะไรนอกจากสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา คิทอยู่ตรงนี้แล้ว ข้างๆ ผมเลย ผมมีเรื่องอยากพูดตั้งมากมาย แต่ความรู้สึกในใจมันก็ติดขัดซะจนพูดไม่ออกขึ้นมาซะอย่างนั้น สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่ได้

"น่าน"

ผมพยักหน้ารับพี่ซี แล้วถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง พร้อมจะพูดเรื่องที่อยากพูดออกไป

"คิท กูคิดถึงมึงนะ"

"..."

"คิดถึงมึงจริงๆ"

"..."

"มึงทิ้งกูไปแบบนี้ได้ไงวะ"

"..."

"กูไม่รู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ กูบ้าหรือเปล่าที่เชื่อว่ามึงยังอยู่ กูแค่มีความเชื่อโง่ๆ เชื่อว่ามึงจะกลับมา"

"..."

"กูรักมึง"

ผมพูดคำนั้นออกไป ขณะที่พี่ซีหันมองไปอีกทาง ก้าวหนึ่งที่พี่ซีถอยออกไปจากผม หากแต่คำพูดอีกคำของผมหยุดเขาเอาไว้

"แต่ตอนนี้รักคนอื่นไปแล้ว"

"..."

"ยกโทษให้กูนะคิท"

"..."

"แต่กูรักเขาได้ใช่ไหม"

พี่ซีไม่ได้พูดอะไรกระทั่งตอนที่ผมก้าวเท้าเขาไปหาเขา

"พี่ซี คิทมันได้ยินผมไหม"

พี่ซีไม่ตอบ ยังคงเงียบจนผมต้องถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

"พี่ซี คิทได้ยินไหม"

"ได้ยิน มันได้ยินทุกอย่าง"

"คิทตอบผมไหม"

"..."

"พี่ซี คิทตอบว่าไง"

"..."

"พี่ซี ถามคิทสิว่าผมรักพี่ได้ไหม!"

"ได้"

ผมพยักหน้ารับก่อนก้มหน้าลงช้าๆ ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่พยายามกลั้น

"แค่นี้ใช่ไหมที่อยากได้ยิน"

พี่ซีพูดเสียงเรียบก่อนขยับเข้ามาดึงตัวผมเข้าไปกอด ผมพูดเรื่องที่อยากพูด ผมถามเรื่องที่อยากถาม แม้เป็นเรื่องโง่เง่าไร้สาระแต่นั่นทำให้เรื่องค้างคาที่เกาะกุมอยู่ในใจของผมถูกคลายออก กำแพงสูงที่เคยขวางกั้นพังทลายลงตรงนั้น ผมต้องรู้ตัวและยอมรับ คิทตายจากผมไปแล้ว ผมจะเก็บคิทไว้เป็นความทรงจำที่ดีที่สุด และชีวิตผมต้องเดินต่อไป

 

...

 

            วันต่อมาผมไปเรียนไม่ทันเพราะลืมตั้งนาฬิกาปลุก แถมฝนยังตกหนักมากเลยเป็นเรื่องยากที่จะลุกขึ้นมาจากเตียง ผมทิ้งตัวนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในตอนบ่ายๆ ของวัน หิวก็หิวแต่ขี้เกียจฝ่าฝนออกไปหาอะไรกินเลยนอนหิวมันอยู่อย่างนั้น

"ก็อกๆๆ"

"พี่น่านครับ!"

ผมเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงหลังจากได้ยินเสียงเรียกของไคโร เดาว่าวันนี้ไคโรก็โดดเรียนเหมือนผม มันยังคงเรียกซ้ำเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู ผมจึงไหลลงมาจากเตียงแล้วลากเท้าออกไปเปิดประตูให้

"มีไร"

"เฮียให้มาเรียกลงไปกินข้าว"

"ขี้เกียจอะ"

"ไม่ต้องขี้เกียจเลย เฮียสั่งพิซซ่ามาให้ ไปเร็ว"

"ยังไม่ได้อาบน้ำเลย"

"ไม่ต้องอาบหรอก หอมแล้ว"

ผมตัวแข็งทื่อเมื่อโคโรยื่นหน้าเข้ามากดปลายจมูกเข้าที่ข้างลำคอของผม

"เฮ้ย ทำอะไร!"

"ก็ดมไง"

"โรคจิตป่ะเนี่ย!"

"อะไรอ่า"

ผมรีบก้าวเท้าหนีไคโรลงไปข้างล่าง ขณะที่มันก็เดินตามมาด้วยพร้อมกับพล่ามถามไม่หยุด

"พี่น่านว่าใครโรคจิต ฮะ!"

"ก็มึงไง"

"โรคจิตยังไง! โรคจิตตรงไหน!"

"อย่ามานั่งข้างกูนะเว้ย!" ผมผลักไคโรออกไปตอนที่มันกำลังจะตามมานั่งข้างๆ บนโซฟา มันจึงถอยไปนั่งกับเท็นแทน

"เป็นอะไรกันวะ"

"พี่น่านว่าผมเป็นโรคจิตอะ"

"แล้วมึงไปทำอะไรเขาล่ะ"

"ก็แค่ดมเอง"

"แต่มึงดมซอกคอกูเลยนะเว้ย!"

"มึงว่าไงนะ" เสียงของพี่ซีที่โผล่มาจากด้านหลังถามขึ้น

"ไม่มีไรเฮีย"

"มึงทำอะไรน่าน"

"ดมเฉยๆ"

ผมชี้นิ้วจิ้มเข้าที่ลำคอตัวเองเพื่อฟ้องพี่ซีว่าไคโรกดจมูกลงมาตรงนี้เลย ผ่านใบหน้าบูดๆ ของตัวเองพี่ซีเลยรู้ว่าผมไม่พอใจไคโร เขาจึงจัดการเด็กนั่นด้วยการหยิบหมอนขึ้นฟาดในทันที

"โอ๊ย! เจ็บนะเฮีย!"

"ไอ้โรคจิต!"

"เฮียพอแล้ว ขอโทษๆ!"

ไคโรกลิ้งตัวหนีลงไปนั่งกับพื้นแล้วยกสองมือขึ้นพนมเพื่อขอร้องให้พี่ซีหยุด ผมหลุดขำกับท่าทางของมันจึงโบกมือปัดๆ เป็นเชิงให้พี่ซีหยุด เขาจึงโยนหมอนใส่หน้าไคโรไปอีกที ชี้นิ้วคาดโทษแล้วก้าวเท้ามานั่งข้างๆ ผม

"ทำเป็นว่าผม จริงๆ เฮียก็อยากทำใช่ป่ะล่ะ"

"อะไรมึง"

"ตอนเมายังบอกว่าอยากได้พี่น่านอยู่เลย"

"ไอ้ไคโร"

"จริงๆ นะพี่น่าน วันนั้นเฮียบอกว่าพี่น่านโคตรน่าปล้ำเลย"

"หนูอย่าไปฟังมัน" พี่ซีว่าพลางยกมือขึ้นปิดหูผม

"เฮียอะโรคจิตกว่าผมอีก นี่อย่าให้ผมเล่านะว่าเฮียเคยพาใครมานอนที่ห้องอะ"

"ไอ้ไคโร!"

พี่ซีปล่อยมือจากหูผมแล้วกระโดดเข้าไปตีกับไคโร เท็นส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วขยับมานั่งข้างๆ ผม แล้วชวนกันกินพิซซ่าที่วางอยู่บนโต๊ะ

"น่านเอาอันไหน"

"เอาอันนี้"

ผมชี้ไปที่พิซซ่าหน้าที่ชอบ ก่อนเท็นจะหยิบมันออกมาให้ ผมกัดพิซซ่านั่นเข้าไปคำโต ความหิวผสมโรงกับความอร่อยผมจึงซัดพิซซ่าชิ้นนั้นเรียบในเวลาอันรวดเร็ว พี่ซีที่เลิกตีกับไคโรแล้วกลับมานั่งข้างๆ ผม

"อร่อยเหรอมากครับ"

"อร่อย"

"เอาอีกไหม"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนพี่ซีจะหยิบมาให้อีกชิ้น แต่คราวนี้เป็นขอบชีสที่ผมไม่ชอบจึงพลิกด้านขอบนั่นส่งให้คนข้างๆ

"ไม่กินขอบ กินให้หน่อย"

"เฮียไม่กินพิซซ่า เอามาให้ผมก็ได้"

ไคโรพูดขึ้นแล้วอ้าปากรอ ผมกำลังจะเลื่อนมือไปป้อนใส่ปากไคโรแต่ถูกพี่ซีดึงกลับแล้วก้มลงงับไปก่อน

"ใครบอกกูไม่กิน"

"เอ้า! ปกติไม่เห็นกิน"

"น่านป้อน กูเลยกิน" พี่ซียิ้มหน่อยๆ ขณะเคี้ยวพิซซ่าเต็มปาก ผมก็หลุดยิ้มตามออกมาแล้วกัดพิซซ่าในมือตัวเองบ้าง มื้อกลางวันตอนบ่ายๆ ของพวกเราดำเนินไปพร้อมเสียงพูดคุยกระทั่งจบลงด้วยความอิ่มจนตัวแน่น

พี่ซีบอกว่าป้าทิพย์ลากลับบ้านที่ต่างจังหวัดอาทิตย์หนึ่ง ช่วงนี้เราจึงต้องทำความสะอาดกันเอง ใช้คำว่าเราไม่ถูกนักเพราะเห็นมีพี่ซีคนเดียวที่กำลังเก็บกวาดเช็ดถูห้องนั่งเล่นตรงนี้ ผมอิ่มแล้วกลายเป็นก้อนๆ จึงขยับไม่ได้ ไคโรนั่งเล่นเกมในมือถือ เท็นนั่งเกาพุงไอรอนแมนพร้อมกับดูซีรีส์ในทีวีไปด้วย 

"ไอ้ไค ไปหยิบถุงขยะให้หน่อยดิ"

"ทำไมต้องมาใช้อะ"

น้องเล็กของหอบ่นอุบเพราะถูกเรียกใช้ แต่เท่าที่ผมเห็นพี่ซีก็เรียกใช้มันบ่อยที่สุดในบรรดาพวกเราแล้ว

"ใช้อยู่ได้ เฮียไม่มีมือมีตีนหรือไง"

"กูมีมือมีตีน แต่ก็มีมึงไว้ใช้งานด้วยไง ไปหยิบมา!"

"ค้าบ!" ไคโรโยนมือถือทิ้งก่อนวิ่งไปหยิบถุงขยะมาส่งให้พี่ซี เจ้าของหอที่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งแม่บ้านไปด้วย คุกเข่าลงข้างโต๊ะแล้วเก็บเศษซากที่เหลือจากการกินเมื่อครู่ลงถุงขยะ หยิบผ้าที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าหลังกางเกงขึ้นมาเช็ดโต๊ะจนเงาวับ ผมหลุดขำออกมาต่อหน้าเขา

"ขำไรหนู"

"พี่เป็นเจ้าของหอจริงใช่ป่ะ"

"เออดิ ชีวิตกูต้องมาลำบากอะไรเนี่ย"

"ช่วยไหมครับ"

"นั่งเฉยๆ เหอะเราอะ"

เขาพูดแค่นั้นก่อนจะยกขาผมขึ้นเพื่อเช็ดเศษอาหารที่ตกอยู่ที่พื้น ก่อนรวบถุงขยะไปพิงไว้ข้างโซฟาแล้วหันไปสั่งไคโรอีกที

"เอาขยะไปทิ้งด้วยมึงอะ"

"ผมอีกละ!"

"มึงจะลุกไปทิ้งดีๆ ไหม"

"โอเคๆ เดี๋ยวทิ้ง"

"ทิ้งให้คนอื่นทำอะดิ ลุกเลย!"

"พี่ซี เดี๋ยวผมเอาออกไปทิ้งเอง" ผมเสนอตัว

"ไม่ต้อง ให้ไอ้ไคมันทำ เดือนนี้มันยังไม่จ่ายค่าหอพี่ ให้มันทำงานใช้หนี้"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะออกไปซื้อของข้างนอกพอดี"

"ข้างนอกฝนตกอยู่นะ"

"ไปได้"

"งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย"

ผมไม่ได้ปฏิเสธตอนที่พี่ซีบอกจะมาด้วย ถึงห้ามเขาก็ต้องมาอยู่ดี และร่มคันใหญ่ในมือคนตัวสูงก็ช่วยให้ผมไม่เปียกอย่างทุกครั้ง กระทั่งเราเดินมาถึงมินิมาร์ท ผมตั้งใจมาซื้อครีมอาบน้ำแต่ดูท่าจะต้องเสียเงินไปกับช็อกโกแลตลดราคาอีกจำนวนหนึ่ง ผมหันมองพี่ซีที่ยืนอยู่หน้าชั้นเครื่องดื่ม ขณะที่พี่ซีกำลังยื่นมือทำท่าจะหยิบขวดเบียร์ ผมก็ยื่นมือตัวเองไปจับมือเขาเอาไว้ก่อน

"พี่ไม่กินเบียร์ได้ไหม"

"ห้ามเหรอ"

"ไม่ได้ห้าม ขอร้อง"

"ไม่ต้องกินหรอกนะ"

"..."

"นะครับ"

"..."

"ไม่ต้องกินได้ไหม ฮึ?"

"อย่ามาทำตัวน่ารักนะไอ้เด็กคนนี้"

"ก็ผมเป็นห่วงพี่ไง"

พี่ซีนิ่งไปครู่หนึ่งตอนผมพูดแบบนั้น เขาเงียบจนผมต้องสะกิดถามว่าผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

"ดีใจว่ะ เหมือนไม่มีคนเป็นห่วงมานานแล้วอะ"

ผมหลุดยิ้มออกมาในตอนนั้น แล้วหยิบน้ำผลไม้สองกล่องขึ้นมาตรงหน้าแทน

"กินอันนี้แทนนะ"

"ได้ครับ"

เขายอมรับอย่างว่าง่าย ผมก็ดีใจที่เขาเชื่อผม ไม่งั้นพี่ซีต้องเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มแน่นอน เสร็จจากซื้อของเราก็กลับมาที่หอ ไคโรกับเท็นไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว พี่ซีก็หายเงียบเข้าไปในห้อง ผมเป็นคนเดียวที่ไม่มีอะไรทำ ทิ้งตัวเองลงบนโซฟาอย่างเบื่อๆ หยิบรีโมทขึ้นจิ้มไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่เจอช่องที่ถูกใจจึงกดปิดไป หันไปเล่นกับแมวแมวยังเดินหนีเลยคิดดู ผมเลยคิดจะกลับไปนอนต่อบนห้องดีกว่า แต่แค่จะเดินขึ้นบันไดชั้นสามก็ยังขี้เกียจจึงยืนมองขั้นบันไดอยู่อย่างนั้นเพื่อทำใจก่อน

"เป็นอะไรอะ"

ผมหันมองพี่ซีที่เปิดประตูห้องออกมา

"ขี้เกียจขึ้นบันไดอะ พี่ทำลิฟต์ได้ไหม"

"ชั้นสามเอง"

"แค่คิดก็หนื่อยแล้วอะ"

"งั้นมาห้องพี่ก่อน" พี่ซีพูดพลางเปิดประตูห้องให้ ผมไม่ปฏิเสธแล้วเดินเข้าไปในห้องเขาแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ทันที พี่ซีที่เดินตามเข้ามายืนขำผมอยู่ข้างๆ เตียง

"หัวเราะไร"

"พุงออก" เขาว่าแล้วดึงเสื้อผมที่เปิดขึ้นตอนนอนลงมาปิดพุง

"ก็พี่แหละ เลี้ยงพิซซ่าทำไม"

"แล้วหนูกินเยอะทำไม"

"อร่อยไง" ผมตอบเสียงเบา ก่อนพี่ซีจะนั่งลงบนเตียงด้วยกัน ผมหันไปสนใจโมเดลการ์ตูนใกล้ๆ หัวเตียง มือซนหยิบมันมาตัวหนึ่งแต่เจ้าของก็ดูไม่ได้หวง

"พี่ชอบเหรอ"

"เปล่า ของพ่อ"

ผมพยักหน้ารับแล้ววางมันลงที่เดิม ผมรู้มาจากเท็นว่าพ่อของพี่ซีเสียไปเมื่อสามปีก่อน แต่ตัวพี่ซีเองไม่เคยพูดถึง เอาจริงๆ ก็ไม่เคยพูดเรื่องตัวเองให้ผมฟังเลย 

"พี่ซี"

"ฮึ?"

"พี่เป็นลูกครึ่งอะไร"

"แม่เป็นฝรั่งเศส"

"แล้วพี่พูดภาษาฝรั่งเศสได้ไหม"

"ฟังออกแต่พูดไม่ได้"

"อ้าว ทำไมอะ"

"พี่เกิดที่นี่ โตนี่ที่ มีแววจะตายที่นี่ด้วยจะไปพูดกับใครล่ะครับ"

"แม่ไม่สอนเหรอ"

"แม่พูดไทยใส่ตลอดอะ"

"นี่มันฝรั่งปลอมชัดๆ"

พี่ซีส่ายหน้าขำๆ ผมชวนเขาคุยเรื่องที่อยากรู้ กระทั่งรู้สึกหนักที่ตาเพราะง่วงนอนจึงมุดหน้าลงไปบนหมอน

"จะนอนเหรอ"

"นอนได้ไหม"

"ได้ดิ"

"พี่นอนไหม"

"ไม่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปทำงานส่งอาจารย์ก่อน"

ผมพยักหน้ารับ ตอนที่เขากำลังลุกออกไปก็ดึงมือเขาเอาไว้ก่อน

"พี่ซี"

"หืม?"

"คิทมันไม่ได้โกรธผมใช่ไหม"

"ไม่โกรธหรอก"

"ค่อยสบายใจหน่อย"

"..."

"เพราะผมชอบพี่มากเลยนะ"

 

...

To be continued.

 

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
คิทปล่อยจริงๆอ่ะ หวั่นใจยังไงไม่รู้ซิ :hao4: :hao4: :hao4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ไม่อยากจะดราม่านะแต่ทำไมถึงคิดว่าพี่ซีโกหกเรื่องคิทอะ เราคิดว่าคิทไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะพี่ซีน่าจะหลอกเพื่อให้น่านเปิดใจอะ แต่อีกใจก็ว่าพี่ซีแกไม่น่าจะร้ายขนาดนั้นแต่ถ้าเป็นคิทจริงคิทจะรับฟังอย่างเดียวโดยไม่โต้อะไรเลยเหรอ มันดูง่ายไป ปมมันดูจบง่ายไปอะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
น่านน่าจะบอกให้คิทไปสู่สุขคตินะ ถ้าไม่เอยออกมา กลัวคิทจะติดอยู่กับน่านตลอดไป น่าสงสารคิท  :monkeysad:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น่านน่ารักอ้ะ ไม่ไปนอนในห้องพี่เค้าอย่างนี้สิ :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
ซีนน่านถาม...คิท ผ่านพี่ซี
มันง๊ายง่าย จนเหมือนมีอะไรแอบแฝงเนอะ
แต่อ่านตอนนี้จบ ก็ปลอบใจตัวเองว่า
อ๊ะ นี่ ... ไม่ใช่เงินปากผีนะเฟร้ยเฮ้ย ผีทำอะไรไม่ได้หรอก
ดังนั้น ... คงไม่มีอะไรต้องห่วงแหละ (น่าาาาา นะ)

อนึ่ง .. ฝากบอกพี่ซีว่า ชอบเวลาพี่ซีเรียกน่านว่า "หนู"
อบอุ่นจริงจังจริง ๆ นะเฮีย



ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
คิดเหมือนกันครับว่ามันดูง่ายไป คือมันมองได้สองอย่าง หนึ่ง ไม่อยู่ แต่ซีโกหกเพื่อทำให้น่านรับรักตัวเอง กับสอง คิทคอยตามดูน่านมาตลอด แต่มาๆแล้วก็ไป เหมือนคอยดูอยู่เสมอเพราะยังห่วงแล้วก็รักอยู่ ทีนี้ซีเห็นบ่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ความเป็นไปได้นี้คือซีพูดจริง คิทอยู่จริง แต่คิทคงพูดอะไรมากกว่านั้น อาจจะไม่ได้ตอบว่า 'ได้' เหมือนกับที่ซีบอกน่านไป แต่ซีไม่ได้สนใจ

แต่ไม่ว่าจะทางไหน ผมว่ามันก็ไม่ดีต่อน่านทั้งนั้นน่ะนะครับ ผมชอบโมเมนต์ของคิทกับน่านนะ เอาจริงๆคือสงสารมากเลย เด็กคงกำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัย คงกลัวที่จะเริ่มเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะสถานะของการคบกัน ในมุมมองของเด็กเพิ่งจบมอหก
 มันอาจจะไม่เหมือนเพื่อน มันอาจจะต้องการความรับผิดชอบที่มากกว่านั้น ซึ่งคิทอาจจะยังไม่พร้อม ด้วยวัยวุฒิ แต่น่านเนื่องจากคงชอบคิทมากๆ ถึงขั้นรัก เลยอยากทำให้สถานะมันชัดเจนไวๆ ผมคิดว่าถ้าคิทไม่ตาย ยังไงพอผ่านปีหนึ่งหรือปีสอง สองคนนี้คงพร้อมเลื่อนสถานะจริงๆแหละครับ เพราะว่าการเจอคนมากขึ้น เจออาจารย์ เจอหลายๆสังคมในมหาวิทยาลัย มันจะทำให้เด็กเริ่มเข้าใจถึงความสุขของตัวเองมากกว่ากรอบมายาคติที่สังคมยัดเยียดให้

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 16
หลอกหลอน

 

วันนี้ทั้งวันผมมีเรียนแค่วิชาเดียว เพราะคาบตอนเช้าถูกยกเลิกหมดจึงออกมาเรียนในตอนบ่ายๆ กับวิชาม.ที่มีแค่ผมกับทิม เพื่อนคนอื่นเก็บตัวนี้ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนผมกับทิมลงไม่ทันเลยต้องมาลงเรียนเทอมนี้ ผมเดินเข้าไปในห้องก่อนเพราะทิมมันไลน์มาบอกว่าจะมาสาย ไม่ทันจะนั่งถึงเก้าอี้ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นคนที่โผล่มาจากข้างหลัง

 "พี่ซี"

"พี่อะดิ คิดว่าผีหรือไง" เขาพูดพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ

"ไม่รู้สิ มีพี่ตรงไหนก็เหมือนมีผีตรงนั้นแหละ"

พี่ซียกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งแล้วเลื่อนสายตามองผ่านหน้าผมไป ผมหันมองตามไปด้วยแต่ไม่เห็นอะไร

"มีผีเหรอ"

เขาพยักหน้ารับ

"จริงเหรอ!"

"อือ จำเด็กคณะวิทย์ที่ถูกรถชนตายปีที่แล้วได้ป่ะ มันนั่งอยู่แถวหน้าอะ"

"จริงปะเนี่ย!"

ผมขยับเข้าใกล้เขาแล้วเริ่มหวาดระแวงเล็กน้อย

"มันไม่ทำอะไรหรอก มันนั่งเรียนของมันเฉยๆ"

ผมพยักหน้าพลางส่งยิ้มแห้งๆ

"แล้วนี่พี่ลงเรียนวิชานี้ด้วยเหรอ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"

"เปล่า แวะมาหาน่านเฉยๆ อะ"

"หาทำไม"

"ตอนเย็นไปดูหนังกัน"

"พี่ไม่กลัวหรือไง โรงหนังมืดนะ"

"ยิ่งมืดยิ่งดี จะได้จับมือน่านตลอดเรื่องไง"

"พี่ซี!"

"ไปเปล่า อยากดูอะ นะๆ" พี่ซีทำหน้าย่นกับน้ำเสียงอ้อนๆ ยังคงไม่มีใครบอกว่าเขาไม่เหมาะกับการอ้อน แต่ก็น่าแปลกที่ผมยอมกับท่าทีแบบนั้นของเขาจึงตอบตกลงไป

"ไปก็ได้ครับ เลิกห้าโมงนะ"

"พี่รอหน้าตึกนะครับ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนพี่ซีจะลุกออกไป ผมมองตามกระทั่งเขาออกจากห้องไป แล้วเลื่อนสายตาตัวเองไปยังเก้าอี้แถวหน้าที่ว่างเปล่าเพราะไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นเลย โต๊ะเลกเชอร์ชนิดที่พับได้ตัวหนึ่งถูกเปิดค้างเอาไว้ อาจเพราะคนก่อนหน้าลุกออกไปแล้วไม่ได้พับลง ผมจ้องอยู่ที่โต๊ะตัวนั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อโต๊ะมันพับลงไปเองจนเสียงดังลั่น

"โครม!"

ดวงตาเบิกขึ้นนิดหนึ่งอย่างตกใจ ก่อนก้มหน้าลงอย่างอัตโนมัติ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็พาให้ตัวเองเหลือบตาขึ้นมองช้าๆ มีผีตรงนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย...

"ไอ้น่าน!"

"เชี่ย!"

ผมร้องลั่นจนทุกคนหันมามอง ไอ้ทิมที่เป็นเจ้าของเสียงทักยกมือค้างตกใจไปด้วย ก่อนมันจะหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ขณะที่ผมยกมือทาบอกตัวเองอย่างใจหายใจคว่ำ

"ตกใจเหรอ ขอโทษ"

"กูนึกว่าผี"

"กลัวผีตั้งแต่เมื่อไร"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ผมเคยใจกล้าปากเก่งไม่กลัวผี แต่ตอนนี้กลายเป็นคนขี้หวาดระแวง เริ่มกลัวตั้งแต่รู้ว่ามันมีอยู่จริงนี่แหละ

ผมลืมเรื่องผีนักศึกษาแถวหน้าตรงนั้นไปเพราะตั้งใจอยู่กับบทเรียน จดงานที่อาจารย์สั่งเป็นอย่างสุดท้ายก่อนหมดคาบ ไอ้ทิมเก็บของอย่างไวพร้อมที่จะออกจากห้อง เห็นว่าผมช้ามันเลยเร่งยิกๆ

"เร็วๆ ดิมึง"

"รีบมากก็ไปก่อนเลยไป"

"วันนี้กูไปส่งที่หอไหม"

"ไม่ต้อง วันนี้จะไปดูหนังกับพี่ซี"

"กับใครนะ"

"พี่ซี"

"เจ้าของหอมึงอะนะ"

ผมได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ เก็บของเสร็จก็ลุกขึ้นบ้างแต่ถูกไอ้ทิมกดลงไปนั่งที่เดิม

"มึงกับเขานี่ยังไง"

"กูขออนุญาตคิทแล้ว"

"..."

"แล้วคิทก็อนุญาตแล้วด้วย"

"ฮะ!"

"ไปนะ"

ผมทิ้งให้ทิมงงอยู่ตรงนั้นแล้วก้าวเท้าเดินออกไปนอกห้อง โบกมือทักทายอากาศที่เก้าอี้แถวหน้าครั้งหนึ่งก่อนตรงไปหน้าตึก พี่ซีก็ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว

เรามาถึงโรงหนัง แล้วพี่ซีก็จัดการซื้อตั๋วเรื่องที่เขาอยากดูให้ผมเรียบร้อย ผมรู้เขารวยแล้วก็จ่ายค่านั่นค่านี่ให้ตลอด แต่นานๆ เข้าก็เริ่มเกรงใจ ผมจึงชิงวิ่งไปซื้อชุดป็อบคอร์นแล้วจ่ายเงินเองก่อน พี่ซีหันมาเห็นก็ขมวดคิ้วถามหน้ายุ่งๆ

"เดี๋ยวพี่ซื้อให้ก็ได้"

"รวยมากเหรอ"

"โคตรป๋า พูดเลย"

ผมเบ้ปากใส่หน่อยๆ อย่างหมั่นไส้ แต่ช่วงนี้พี่ซีบอกว่าเงินเหลือใช้จริงๆ เพราะไม่ได้กินเหล้า เลิกเหล้าเลิกจนจริงด้วย ผมเข้ามาในโรงหนังพร้อมกับพี่ซี ในตอนที่ไฟถูกปิดมืด ผมหันมองพี่ซีที่หลับตาลงไปครู่หนึ่ง คนกลัวความมืดที่อยากดูหนังคงกำลังฝืนตัวเองอยู่ ผมแอบอมยิ้มหน่อยๆ แล้วยื่นมือขึ้นวางบนเก้าอี้ คนข้างๆ หันมองแล้วกระซิบถาม

"อ่อยเหรอ"

"อือ จะจับไหม"

"จับครับ"

เขาตอบรับแล้วยกมือกุมมือผมเอาไว้ ภายใต้ความมืดผมจะเป็นเครื่องรางขจัดความกลัวให้เขา และขณะเดียวกันเขาก็ช่วยขจัดความกลัวของผมให้หมดสิ้นไปเช่นกัน

 

หลังจากดูหนังจบ พี่ซีชวนผมกินข้าวต่อ ผมถูกล่อลวงด้วยชาบูบุฟเฟ่ต์เลยปฏิเสธไม่ได้ เขาเป็นผู้ใหญ่หลอกเด็กตัวจริง เลี้ยงชาบูแล้วยังเปย์ผมต่อด้วยไอติมอีกอันหนึ่ง ผมรู้สึกเสียนิสัยไปเลยที่พี่ซีเอาแต่จ่ายเงินให้ แต่ถ้าถามว่ากินไหม ตอบว่ากินเลยโดยไม่ลังเล   

"ผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ"

"พี่ไปเป็นเพื่อนเปล่า"

"โตแล้ว" ผมพูดแค่นั้นแล้วแยกตัวไปห้องน้ำ ตอนที่เปิดประตูเข้าไปก็สะดุ้งสันหลังวาบเหมือนมีคนตามมา ครู่หนึ่งในสายตาผมเห็นเหมือนคนอยู่ในเงากระจกนั่น แต่เงยหน้ามองอีกทีก็ไม่มีใคร ขนลุกขึ้นมาไม่มีสาเหตุ ผมอาจรู้สึกไปเอง แต่กลับคิดว่ามีอีกคนยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ถึงกับกลัวแต่ก็รู้สึกไม่ปลอดภัยแต่อีกใจก็คิดไปถึงอีกคน

 

ใช่มึงหรือเปล่าคิท...

 

ผมกวาดสายตามองหาพี่ซีหลังจากออกมาจากห้องน้ำ ก่อนเห็นเขายืนอยู่ที่หน้าร้านนาฬิกา สนใจนาฬิกาอยู่จนไม่ได้สนใจผม แม้แต่ตอนที่เดินเข้าไปข้างหลังแล้วยังไม่รู้ตัวเลย

"พี่ซี"

คนถูกเรียกสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วหันมาหา

"ตกใจเลย"

"ไม่ตกใจน้า" ผมแกล้งยกมือลูบหัวพี่ซีแต่ถูกมองตาขวางเลยรีบลดมือลงแล้วเปลี่ยนเรื่องไปที่นาฬิกาตรงหน้า

"จะซื้อเหรอครับ"

"แพง"

"พี่รวยจะตาย"

"แพงไปอะ ไปเหอะ"

พี่ซีว่าแล้วจับมือผมเดินออกมานอกห้าง ออกมาเจอฝนที่กำลังตกผมก็หงอยเลย โดนพี่ซีลากเข้ามาหลบฝนที่หน้าห้าง ขณะเขาเองก็บ่นออกมาเบาๆ

"ตกหนักขนาดนี้จะหยุดเมื่อไรเนี่ย ไม่มีร่มด้วยอะ"

ผมไม่ได้สนใจฟังเขาพูด ก้มมองมือที่จับกันอยู่แล้วกระตุกเบาๆ ให้เขารู้ตัว อีกคนหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง

"มืออะ"

"ทำไมอะ"

"จับนานแล้วนะ เนียนเลย"

พี่ซียักไหล่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยออก ฝนไม่มีทีท่าจะหยุดผมจึงชวนเขากลับแท็กซี่ดีกว่า ผมรู้มาจากเท็นว่าพี่ซีไม่ชอบรถยนต์ ไม่ซื้อรถ ไม่ขับรถ เลี่ยงได้ก็จะไม่นั่งรถด้วย อยู่ๆ ผมก็อยากรู้เหตุผลจึงสะกิดถาม

"พี่ซี ทำไมพี่ไม่ชอบนั่งรถยนต์เหรอ"

"เกลียด"

"ทำไมถึงเกลียดอะ"

"พ่อถูกรถชนตายอะ ก็เลยเกลียด"

ผมนิ่งไปตอนเขาตอบกลับมาแบบนั้น อยากตบปากตัวเองที่ถามออกไปเลย แต่เดาเอาจากใบหน้าเรียบเฉยเขาคงไม่ได้คิดอะไร ผมก้มมองมือที่เขายังไม่ยอมปล่อย แล้วกระชับมันให้แน่นขึ้น พี่ซีไม่ได้หันมามองแต่ผมเห็นว่ามุมปากเขาขยับเป็นรอยยิ้ม

ฝนตกกับรถติดเป็นของคู่กัน เรานั่งอยู่บนแท็กซี่มานานแต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย รถเคลื่อนที่ไปได้ช้าๆ ผมหันมองข้างทางผ่านเม็ดฝนที่เริ่มซาออกไปนอกกระจก กระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่งไกลๆ นั่น ผมขยับตัวหันมองถนนตรงนั้นแล้วก็นึกถึงคิทขึ้นมา

"มีอะไรเปล่าน่าน"

"ตรงนั้น"

"ตรงนั้นทำไม"

"คิทตายตรงนั้น"

พี่ซีเงียบไปตอนได้ยินคำตอบของผม

"รถเขาชนเข้ากับสะพานตรงนั้น ผ่านไปสามปีแล้วยังลืมไม่ได้เลย"

"ชนสะพาน สามปีที่แล้ว" พี่ซีทวนคำพูดของผม แต่คล้ายว่าเขาจะพูดคนเดียวมากกว่า ผ่านใบหน้าที่ดูตกใจนั่นผมรู้สึกว่าพี่ซีแปลกๆ ไป

"พี่ซี"

"..."

"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เปล่า ไม่เป็นไร"

พี่ซีตอบปัดๆ แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง มือที่จับกันอยู่ก็ถูกดึงออกไป และระหว่างทางกลับบ้านนั่น พี่ซีไม่พูดอะไรกับผมเลย

 

...

 

เที่ยงคืนของวันถัดมา ผมยังไม่ได้นอนเพราะพี่ซียังไม่กลับ เขาไม่ออกไปกินเหล้าหลายวันแล้วแต่วันนี้หายเงียบไปตั้งแต่ตอนเย็น โทรไปก็ตัดสายทิ้งเฉยเลย ผมนั่งคุยอยู่กับเท็นและไคโรกระทั่งสองคนนั้นขอตัวขึ้นไปนอนก่อน ก็เลยเหลือแต่หนูกับไอรอนแมนที่นั่งเป็นเพื่อนกัน เลยเวลากลับของพี่ซีไปเยอะจนผมรู้สึกว่ามันผิดเวลา ผมสะกิดไอรอนแมนที่นอนหลับอยู่บนตักให้ลุกออกไป ก่อนเดินไปเปิดประตู แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นพี่ซีนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าหอ

"พี่ซี กลับมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะครับ"

"คีย์การ์ดหาย" เขาตอบโดยไม่หันมองหน้าผม ผมถอนหายใจเบาๆ ตอนที่ก้มลงมองคีย์การ์ดที่เขากำแน่นอยู่ในมือ

"พี่เมาอีกแล้ว..." ผมหยุดคำพูดตอนที่พี่ซีซบหน้าเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา สองมือยกขึ้นกอดร่างผมเอาไว้แต่ไม่พูดอะไร ผมยกมือแตะไหล่เขาเบาๆ 

"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"

เขาไม่พูดแต่ร้องไห้ ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก จะก้มลงไปมองเขาก็กอดผมแน่นแล้วซุกหน้าหลบผม

"พี่ซี พี่ร้องไห้ทำไม"

"ขอโทษ"

"ขอโทษอะไร"

"ขอโทษ"

พี่ซีพูดแต่คำนั้นอยู่ซ้ำๆ ผมถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่รู้จะทำยังไงเลยปล่อยให้เขาร้องไห้อยู่อย่างนั้น เนิ่นนานจนสติเขากลับมาครบ พี่ซีจึงขยับหน้าออกมาให้ผมเห็น น้ำตาไหลนองหน้ากับใบหน้าแดงๆ น่าสงสารอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ผมคุกเข่าลงตรงหน้าเขาแล้วค่อยๆ ถามเบาๆ

"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรบอกผมได้นะ"

"พี่ทำคีย์การ์ดหาย เข้าหอไม่ได้"

"..."

"พี่เข้าไปไม่ได้"

"งั้นเดี๋ยวผมพาเข้าไปนะ" ผมเปิดประตูหอแล้วพาพี่ซีเข้ามา เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วหลับตาลงช้าๆ ผมหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เขาด้วย

"พี่เป็นอะไรไหม"

"โคตรเมาเลย"

"แล้วไปกินเหล้าทำไม"

"เครียด"

"เครียดเรื่องอะไร"

"..."

"เครียดเรื่องอะไรบอกผมได้ไหม ฮึ?"

"..."

"พี่ซี"

"น่านยังอยากเจอคิทอยู่ไหม"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำตอบ แล้วก็ส่ายหน้าออกมาเบาๆ

"ไม่เหรอ"

"ไม่ครับ คิทตายไปแล้ว ผมต้องยอมรับแล้ว"

"..."

"ผมได้พูดเรื่องที่อยากพูดกับคิทไปแล้ว ได้คำตอบจากคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจจากคิทแล้ว ผมไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่อยากรั้งให้คิทมีห่วงอะไร ผมต้องปล่อยแล้ว"

"น่านเชื่อพี่ใช่ไหมว่าพี่มองเห็นมันจริงๆ"

"ครับ ผมเชื่อพี่"

"..."

"เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไขเลย"

"พี่โกหกว่ะ"

ผมหันขวับมองพี่ซีที่พูดออกมาอย่างนั้น แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนเค้นหัวเราะในลำคอเบาๆ

"พี่โกหกน่าน วันนั้นคิทมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น"

"พี่พูดอะไรอะ"

"คิทมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย พี่โกหกน่าน โกหกจริงๆ"

ผมเงียบเพราะตกใจกับสิ่งที่พี่ซีพูด ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เข้าใจในตัวเขา

"ทำไมพี่โกหกผม"

"พี่แค่อยากรู้ว่าน่านคิดอะไรอยู่ อยากรู้ว่าน่านจะบอกอะไรกับมันเลยหลอกให้น่านพูดออกมา"

"พี่ซี พี่ทำแบบนี้ทำไม!"

"ก็รู้สึกผิดอยู่นี่ไง!"

"พี่ซี!"

"ขอโทษ"

"พี่ซี พี่สนุกเหรอ พี่ปล่อยให้ผมเป็นไอ้โง่ที่ยืนพูดคนเดียวเพราะเชื่อว่าคิทมันอยู่ตรงนั้น ผมเชื่อและงมงายอยู่คนเดียวว่ามันยังอยู่ และพี่เป็นคนแรกที่ทำให้ผมแน่ใจว่ามันยังอยู่เพราะพี่มองเห็นมันได้ ผมเชื่อทุกคำที่พี่พูด เชื่อทุกอย่างที่พี่บอกแล้วพี่มาทำแบบนี้กับผมเหรอ"

"ขอโทษ"

"พี่ซี ทำไมทำแบบนี้กับผม"

"ขอโทษ"

ความโกรธปนเปกับความเสียใจกลายเป็นน้ำตาแทนคำพูด ผมผิดหวังกับพี่ซีมากจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเลย

"แต่คิทมันได้ยินนะ สิ่งที่น่านพูด มันได้ยินทุกอย่างแหละ"

"แต่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น"

"..."

"และมันก็ไม่ได้อนุญาตให้ผมรักพี่ด้วย"

"น่าน ถ้าน่าจะรักใครสักคนน่านต้องถามตัวเองเว้ย มันขึ้นอยู่กับน่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับมัน ไอ้คิทมันตายไปแล้ว มันไม่เกี่ยวอะไร มันตายไปแล้ว เข้าใจไหม!"

"พี่ซี! พี่ไม่เข้าใจผม คิทมันสำคัญกับผมมากนะ"

"ถ้าคิทมันสำคัญขนาดนั้น ชีวิตนี้น่านก็คงรักใครไม่ได้แล้ว"

"..."

"น่านจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน คิดแบบนี้น่านจะรักคนอื่นได้ยังไง"

"..."

"น่านจะรักพี่ได้ยังไง"

ผมเงียบก่อนพยักหน้าให้กับพี่ซีเบาๆ

"นั่นสิครับ"

"..."

"ผมรักพี่ไปได้ยังไง"

 

To be continued.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-02-2021 03:00:31 โดย เต้าหู้ไข่ »

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นี่อย่าบอกนะว่า พี่ซีเป็นต้นเหตุในการตายของคิท  :a6:

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
เฮียสู้ ๆ อย่ายอมแพ้
อย่าให้อดีต (ที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกะเฮียยังไง) มาทำลายความมุ่งมั่นในการจีบ "หนู" นะเฮียนะ

สู้ ๆ เฮีย

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ฝีมือจริงๆ เขียนเรื่องผียังละมุนขนาดนี้

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 17
ตายแล้วแต่ยังอยู่

 

ซี  solo :

 

ผมโกหกน่าน เพราะคิดว่ามีผมเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง ผมอยากปล่อยให้น่านเชื่อแบบนั้นแล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทุกอย่างมันดีอยู่แล้วผมไม่ควรทำมันพัง แต่ความรู้สึกผิดตามติดตัวผมเป็นเงา น่านเชื่อในตัวผม และยิ่งเขาเชื่อมากเท่าไร ความผิดของผมก็กัดกินใจไปมากเท่านั้น จริงอยู่ที่ความจริงเรื่องนี้มันไม่มีคนรู้ แต่ผีรู้

มีผีตัวหนึ่งที่รู้

"พี่หลอกน่านทำไม"

ผมหันไปมองเสียงที่ดังก้องขึ้นข้างหู แต่ไม่มีใคร มือกำขวดเบียร์แน่นตอนที่เสียงหลอนนั่นดังขึ้นอีกที

"พี่หลอกน่านทำไม!"

สิ้นเสียงที่ตะโกนอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เพราะผมมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ผมจึงมองเห็นมัน...ไอ้คิท

มันมาในรูปแบบการตายที่สยดสยอง ผมกลัวแต่ต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ผมยกเบียร์ขึ้นกรอกปากหมดขวดในทีเดียว แล้วเดินขึ้นห้องโดยไม่พูดอะไร ไอ้ผีตัวนั้นยังคงตามมากรอกหูด้วยคำถามเดิม

"พี่หลอกน่านทำไม!"

"..."

"ผมรู้ว่าพี่เห็นผม"

ผมเกลียดการที่ตัวเองมองเห็นผีได้ แล้วยังต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ไม่รู้ว่าอะไรก็ตามที่บงการให้ผมเป็นแบบนี้ ผมอยากบอกว่ามันหนักเกินไปสำหรับผม ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันมองสิ่งที่น่าสยดสยองตรงหน้า

"ทำหน้าดีๆ แบบนี้กูกลัว"

วิญญาณสยองหน้าค่อยๆ แปรสภาพกลับมาเป็นวิญญาณในรูปแบบปกติ ผมจึงได้เห็นหน้าชัดๆ ของคนที่ชื่อคิท คนที่เป็นพี่ชายของแคท คนที่น่านเคยรัก

"มึงไม่หนีกูแล้วเหรอ" ผมถามเสียงเรียบ เพราะทุกครั้งที่ไอ้คิทต้องการจะปรากฏตัว เมื่อมองมาเห็นผมมันก็จะรีบหนีไปราวกับไม่กล้าสู้หน้า แต่คราวนี้มันยอมโผล่มาให้เห็นกันซึ่งๆ หน้า สาเหตุเพราะผมไปโกหกน่านว่าคิทมันอยู่ด้วย ก่อนน่านจะยอมพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาจนหมด ผีที่ถูกพาดพิงคงไม่พอใจจึงตามมาโวยวายกับผมถึงที่

"ผมถามว่าพี่โกหกน่านทำไม!"

"กูแค่อยากรู้ว่าน่านคิดอะไร"

"แค่นั้นถึงกับต้องโกหกมันเรื่องผมเลยเหรอ น่านมันอ่อนไหวกับเรื่องนี้มากพี่ก็รู้แล้วยังไปหลอกมันอีก"

"แต่มึงก็ได้ยินทุกคำที่น่านพูดนี่"

มันเงียบขณะที่ผมก็มองมันไม่ละสายตา 

เหี้ยอะไรวะชีวิตกู ต้องมายืนจ้องหน้าเป็นเดือดเป็นแค้นอยู่กับผี กูหึงน่าน โคตรหึงเลย หึงกับคนยังมีสิทธิ์เอาชนะได้ นี่หึงกับผีกูจะเอาอะไรไปสู้มันวะ แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ผมไม่มีทางยอมแพ้ ต่อให้มันมาหักคอผมตรงนี้ผมก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

"น่านควรลืมมึง แล้วให้กูแทนที่มึงได้แล้ว"

"แต่ผมไม่ยอม"

"ไม่ยอมแล้วมึงทำอะไรได้"

"..."

"บอกกูสิว่ามึงจะทำอะไรได้ มึงตายไปแล้ว ตรงนี้ไม่มีที่ของมึงแล้ว"

"แต่น่านรักผม"

"มันรักกู"

"ไม่! น่านรักผม!"

"ผีเหี้ย! ตายแล้วก็ไปเกิดดิวะ"

"ผมจะไปได้ยังไง ผมต่างหากที่ยังค้างคาใจ..."

ไอ้ผีนั่นพูดแค่นั้นก่อนหายวับไปอย่างทุกครั้ง ผมทิ้งตัวเองลงบนที่นอน ลืมตามองเพดานด้วยความว่างเปล่า นี่มันเรื่องอะไรกันวะ แบบนี้ใจร้ายกับกูไปหน่อยไหม

 

...

 

แม้ผมจะรู้แล้วว่าน่านคิดยังไงกับผม แต่ผมมันเห็นแก่ตัว และใจกว้างไม่พอที่จะยอมให้น่านคิดถึงคนเก่า คนที่ตายไปแล้วไม่ควรมีบทบาทอะไรในชีวิตน่านเลย แต่หลายครั้งน่านก็คิดถึงมันแล้วพูดออกมาให้ผมฟัง

"คิทตายตรงนั้น"

ผมเงียบไปตอนที่น่านบอกกับผม พลางชี้ไปยังถนนเส้นหนึ่งที่ผมสะดุดกึกตอนหันมอง

"รถเขาชนเข้ากับสะพานตรงนั้น ผ่านไปสามปีแล้วยังลืมไม่ได้เลย"

"ชนสะพาน สามปีที่แล้ว" ผมทวนคำพูดของน่านแล้วหันมองตำแหน่งนั้นอีกครั้ง ภาพอุบัติเหตุของผมเมื่อสามปีก่อนพุ่งเข้ามาในหัวจังหวะที่ความรู้สึกเจ็บแปลบแทรกเข้ามาจนพูดอะไรไม่ออก

"พี่ซี"

"..."

"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เปล่า ไม่เป็นไร"

ผมพูดปัดๆ แต่ความทรงจำในหัวที่เคยแตกเป็นเสี่ยงประกอบเข้ากันจนทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาในตอนนั้น ผมถูกรถชนที่นี่ พ่อตายที่นี่ และไอ้คิทตายที่นี่...

 

...

 

 

ท่ามกลางความมืดและบรรยากาศชวนขนลุก ผมฝ่าความกลัวเข้ามาในสุสานหลังวัดคนเดียว เพื่อมายืนอยู่ที่หน้าโกศเก็บกระดูกของไอ้คิท ผมโกรธจนอยากถีบรูปหน้าศพนั่นให้แตกคาตีนแต่ห้ามใจตัวเองไว้แล้วเรียกมันออกมา

"มึงออกมาเลย"

"..."

"กูบอกให้มึงออกมา!"

มันปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้นด้วยสภาพปกติที่ทำให้ผมกล้าพอที่จะยืนจ้องหน้ามันท่ามกลางบรรยากาศมืดครึ้ม

"ผมคิดอยู่แล้วว่าวันหนึ่งพี่ต้องรู้"

"มึงก็เลยหนีกูตลอด ทุกครั้งที่กูมองเห็นมึงใช่ไหม"

"วันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้ตั้งใจนะพี่..."

"กูไม่ต้องการคำอธิบายของมึง"

"แล้วพี่มาที่นี่ทำไม"

"มึงทำให้กูต้องเป็นแบบนี้"

"..."

"มึงขับรถชนกู"

"..."

"ชนพ่อกู"

"..."

"มึงทำให้พ่อกูตาย"

"เปรี้ยง!" เสียงฟ้าผ่าลงมาหลังจากผมพูดประโยคนั้นจบ เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนโผล่เข้ามาในหัวเหมือนหนังฉายซ้ำ ผมกับพ่อไม่ได้ทำอะไรผิด แต่พ่อต้องมาตายเพราะไอ้วัยรุ่นที่ไม่มีกระทั่งใบขับขี่แถมยังเมาแล้วขับ แม้มันจะตายไปด้วย แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันยุติธรรม มันไม่สมควรตาย แบบนั้นมันง่ายเกินไป

"ผมขอโทษ"

"คำขอโทษของมึงไม่มีประโยชน์เลย พ่อกูไม่มีวันได้ยิน"

"ผมขอโทษจริงๆ"

ผมคลายหมัดที่กำแน่น จริงอยู่ที่อยากจะกระโดดชกหน้ามันสักทีแต่ก็รู้ว่าไม่มีทางทำได้เพราะมันเป็นวิญญาณ จึงสงบใจตัวเองแล้วถอนหายใจเรียกสติอีกครั้ง

"ที่มึงยังไม่ไปไหน ไม่ใช่เพราะน่าน แต่เป็นเพราะกูกับพ่อใช่ไหม"

"ผมรักน่าน แล้วน่านก็รักผม"

"ตอบคำถามกูไอ้ผีเหี้ย"

"..."

"ที่มึงยังอยู่เพราะกูหรือเพราะน่าน"

มันก้มหน้าหลบตา ก่อนยอมจำนนด้วยการพยักหน้ารับเบาๆ   

"น่านก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังไปไหนไม่ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด"

"..."

"สาเหตุจริงๆ คือพี่"

"..."

"มันเป็นเพราะผมยังไม่เคยขอโทษพี่เลย ผมไม่เคยกล้าพูดว่าขอโทษ แถมยังต้องหนีทุกครั้งที่พี่มองเห็น เพราะผมไม่กล้า"

"..."

"ผมอยากไปให้พ้นจากสภาพนี้แต่ทำไม่ได้ ความรู้สึกผิดมันมีมากเกินไป มากเกินกว่าที่ผมจะปล่อยให้มันนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้นแล้วไปในที่ที่ควรไป"

"แล้วการที่มึงเร่ร่อนอยู่แบบนี้มันจะช่วยอะไร"

"ผมอยู่อย่างสำนึกผิด"

"..."

"อยู่เพื่อรอวันที่พี่จะยอมให้อภัย"

ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง ผมคิดโกรธเคืองคนที่ทำให้พ่อต้องตายมาตลอดชีวิต ถ้าพ่อยังอยู่ผมคงจะถามพ่อว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ผมอยากฆ่ามันให้ตายอีกครั้งแต่พ่อคงไม่อยากให้ผมคิดแบบนั้น พ่อไม่ได้สอนให้เป็นคนแบบนั้น และชีวิตก็สอนผมว่าเราไม่มีเวลามากพอที่จะโกรธแค้นใครได้นานไปทั้งชีวิต

"มึงไปเถอะคิท"

"..."

"กูให้อภัย"

 

หากเป็นพ่อก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน...

 

...

 

 

ผมเดินกลับมาจากสุสานก่อนมาหยุดที่ริมแม่น้ำกว้าง ทอดสายตาไปยังแผ่นน้ำที่กระทบแสงไฟระยิบระยับ

"เฮียขา!"

"ไปไกลๆ เลย อารมณ์ไม่ดี" ผมพูดเบาๆ กับผีที่ปรากฏตัวข้างๆ

"เป็นอะไรอะ"

ผมหันไปหามินท์ เอาหลังพิงราวสะพาน มองดูผีผู้หญิงที่สวมชุดนักศึกษา มันเป็นผีตัวเดียวที่ผมไม่กลัวและไม่เคยมาอย่างสยดสยอง ผมมองเห็นมินท์ครั้งแรกหลังจากมันฆ่าตัวตายได้ไม่นาน ผีที่เอาแต่ร้องไห้อย่างน่ารำคาญ เมื่อก่อนมันไม่เคยพูดอะไรได้แต่คร่ำครวญ หลังๆ มานี้พูดไม่หยุดปาก รำคาญกว่าตอนมันเอาแต่ร้องไห้อีก

"มินท์ ทำไมมึงไม่ไปเกิดวะ"

"ไปไม่ได้ เขาไม่ให้ไป"

"ใครวะ"

"เฮียไม่เข้าใจหรอก ต้องลองตายดูถึงจะรู้"

อีนี่ ถ้ากูเตะผีได้รับรองว่ามึงปลิวไปนู่น

"ได้ยินนะเฮีย"

ผมหันมองตาขวางที่มันถือวิสาสะมาล่วงรู้กระทั่งเรื่องที่คิดในใจ

"แล้วมึงจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานไหม"

"หนูก็ไม่รู้ ก็ไม่อยากติดอยู่แบบนี้หรอกแต่ไปไหนไม่ได้ หนูทำบาป ทำร้ายตัวเอง"

"แล้วไอ้ผีที่เลือกที่จะไม่ไปเกิดเองล่ะ มันทำได้ไงวะ"

"ยังห่วงอะไรล่ะมั้ง ก็เลยไม่ยอมไป"

ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนหันมองเด็กสองคนที่ปั่นจักรยานผ่านไป เด็กนั่นหันมองผมแล้วหันไปคุยกัน

"พี่เขาคุยคนเดียวเว้ย"

"เออ สงสัยจะคนบ้า รีบไปเร็ว"

ไอ้เด็กเปรต เดี๋ยวโดนเตะ

"เฮียคิดมากเรื่องคิทกับน่านเหรอ"

"มึงรู้ได้ไงเนี่ย"

"หนูรู้ทุกเรื่องแหละ"

"ผีขี้เสือก"

"เฮีย ปากงี้อยากโดนบีบคอตายป่ะ"

"เดี๋ยวนี้มึงกล้ากับกูเหรอ" 

"เหอะ! ไม่ทำให้เสียแรงหรอก เดี๋ยวเฮียก็ตับแข็งไม่ก็มะเร็งปอดตายเองแหละ"

"ถ้ากูตายจะตามไปกระทืบมึงคนแรกเลยอีผี"

"คนร้าย!"

"ไปไกลๆ เลยไป กูจะกลับละ"

มินท์ยักไหล่หน่อยๆ ก่อนหายวับไป เป็นวิญญาณแม่งคงจะดีตรงไม่ต้องเดินนี่แหละ ป่านนี้มินท์มันถึงหอไปแล้วแต่ผมยังเดินลากเท้าไปเรื่อยๆ ตอนแรกจะกลับหอแต่เปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าร้านเหล้าแทน

เมื่อผมรู้ตัวว่าความเมาช่วยไม่ให้มองเห็นผีได้ ผมก็ใช้เหล้าเป็นทางออกหลีกหลีความกลัวพวกนั้นมาตลอด วันไหนที่สติสัมปชัญญะของตัวเองเหนือการควบคุมผมก็จะกลายเป็นคนปกติ ไม่มองเห็นผี ไม่สัมผัสถึงวิญญาณ แต่ก็อย่างที่ใครๆ บอก ผมคงต้องตับแข็งตายในไม่ช้านี้แน่นอน ชีวิตนี้คงอยู่ได้ไม่นานก็รีบๆ แดกเข้าไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวตายไม่ได้แดกอีก 

ผมรินเหล้าใส่แก้วก่อนจะเทน้ำเปล่าตามลงไป จังหวะที่กำลังจะยกขึ้นดื่มก็มีมือหนึ่งดึงแก้วนั่นไปก่อน ผมมองเด็กผู้หญิงที่ยกแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวเกลี้ยง เห็นว่าเป็นแคทเลยยกมือทุบหัวมันไปทีหนึ่ง

"เดี๋ยวก็เมาตายห่าหรอก"

"ทำไมมานั่งกินเหล้าคนเดียวเนี่ย พี่ขอแก้วใบ" ประโยคหลังมันหันไปพูดกับเด็กในร้านเหล้าที่เดินผ่านมาพอดี

"ใครบอกให้มึงกิน"

"เดี๋ยวกินเป็นเพื่อน"

"เป็นอะไร ทะเลาะกับผัว?"

"ปากหมางี้ไงเลยไม่มีใครคบ" แคทยื่นมือมาหยิกแขนผมผม แรงจนต้องโยกตัวหลบ

"เออๆ ทะเลาะกับแฟนอีกแล้วหรือไง"

"อือ เรื่องเดิมๆ" แคทรับแก้วมาจากเด็กเสิร์ฟ แล้วจัดการชงเหล้าก่อนจะยกแก้วมาชนกับแก้วผม

"แล้วมาประชดรักด้วยการกินเหล้าเนี่ยนะ เท่ตายล่ะ"

"ว่าแต่หนู พี่เนี่ยเป็นอะไร เมาจนคอจะไม่อยู่บนบ่าอยู่แล้ว"

ผมยกคอตัวเองขึ้นมาวางบนขวดเหล้าเพื่อค้ำไม่ให้มันลงไปกองกับโต๊ะ

"ว่าไง เป็นอะไร"

"กูก็มีเรื่องเครียดของกูบ้าง"

"พี่ซี"

"อือ"

"พี่ชอบพี่น่านเหรอ"

"อือ"

"จริงป่ะเนี่ย แล้วพี่น่านชอบพี่ป่ะ"

"ชอบดิ"

"จริงเหรอ ดีใจว่ะ"

"ดีใจอะไร"

"พี่น่านจะได้ลืมพี่คิทสักที"

ผมเงยหน้ามองแคทที่พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม

"พี่คิทไม่ได้จริงจังอะไรกับพี่น่านเลยด้วยซ้ำ ไม่เคยชัดเจนกับพี่น่านแล้วก็มาตายไปก่อน กลายเป็นพี่น่านที่ไม่กล้ารักใครไปเลยเพราะเขา หนูสงสารพี่น่านจริงๆ นะ"

"ใช่ คนผิดคือพี่มึง"

"ก็คงงั้นอะ แต่พี่คิทตายไปแล้วนะ ป่านนี้ไปเกิดใหม่เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้"

"เกิดใหม่ห่าอะไร วนเวียนอยู่แถวนี้แหละ"

"พี่ซี พูดอะไรอะ"

"ไอ้คิทไง มันยังไม่ไปไหนเลย วันก่อนยังมาเถียงกับกูอยู่เลยว่าน่านรักมันอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ผีหวงก้าง"

"พี่เมามากเลยนะ"

"กูก็คิดงั้นแหละ"

ผมพยายามตั้งหัวให้ตรงแต่ก็พบว่าคอมันทรยศไม่เป็นอย่างที่คิด โลกก็หมุนไปหมุนมาเหมือนต้องการจะแกล้งอะไรกัน ความคิดในหัวก็วิ่งวนตีกันจนสับสน ผมรู้สึกผิดกับน่านที่โกหกเขา และกับไอ้คิทเอง ผมสับสน เหมือนกับว่าผมยังไม่คิดที่จะให้อภัยมันจริงๆ อย่างที่พูดออกไป มันเร็วเกินกว่าที่ผมจะทำใจยอมรับได้

 

To be continued.

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :hao5: กลายเป็นสงสารพี่ซีสุดตอนนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เดาผิดอีกแล้ว คิดว่าซีทำให้คิทตาย กลายเป็นคิททำให้พ่อซีตาย แต่เพราะอะไรคิทถึงขับรถทั้ง ๆ ที่เมา มันมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาหรอ  :hao3:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ tegomass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โมเม้นท์ :ling1: :ling1: ของพี่ซีทำไมถึงเป็นมาม่าชามโตเยี่ยงนี้ละ สงสารพี่ซีจัง ถ้าน่านคิดได้เร็วกว่านี้น่านจะจำได้ว่า พ่อพี่ซีตามเมื่อสามปีที้แล้ว และพี่ซีโดนรถชนเมื่อ3ปีที่แล้ว โอ้ย!! :ling1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2018 18:44:07 โดย tegomass »

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 18
ตายดีกว่า

 

"พี่ซี กลับมาตั้งแต่เมื่อไร"

ผมหันมองน่านที่เปิดประตูหอออกมา ผมกลับมาถึงหอได้สักพักแต่เมามากจนอยากนอนมันตรงนี้เลย อีกอย่างผมรู้ว่าเข้าไปก็เจอน่านรออยู่ และผมไม่พร้อมเจอหน้าเขาเลย

"แล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะครับ"

"คีย์การ์ดหาย" ผมตอบสั้นๆ แต่จริงๆ ผมก็รู้ตัวว่าคีย์การ์ดนั่นอยู่ในมือ

"พี่เมาอีกแล้ว..."

ยิ่งมองหน้าน่านผมยิ่งรู้สึกผิดจนอยากจะร้องไห้ จึงปล่อยน้ำตาตัวเองให้ไหลอยู่กับเขาอย่างนั้น ผมตกหลุมรักน่านเร็วจนตัวเองยังแปลกใจ แต่ความน่ารักของเขาเอาหัวใจผมไปได้ง่ายๆ ผมเคยคิดว่าน่านมีกำแพงในใจสูงจนผมไม่สามารถปีนป่ายข้ามไปหา แต่กำแพงนั่นพังลงเพราะคำโกหกที่เห็นแก่ตัวของผม น่านก็รักผมแต่เขาแค่อยากได้ยินคำอนุญาตจากไอ้คิท ผมโกหกคำนั้นให้น่านฟังเพื่อให้เขาสบายใจ แต่ความรู้สึกผิดกลับมาทำร้ายผม ยิ่งน่านพูดออกมาว่าเขาเชื่อผมสนิทใจ เชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข ผมจึงไม่อาจปล่อยให้น่านเชื่อแบบนั้น แล้วพูดความจริงทั้งหมดออกไป แล้วความจริงนั่นก็ทำทุกอย่างพัง คำขอโทษแม้เป็นร้อยครั้งก็ไม่มีความหมาย น่านโกรธผม และผมก็รู้สึกผิดจนอยากตายไปตรงนั้น

 

"ผมรักพี่ไปได้ยังไง"

 

น่านจะโกรธจนเลิกรักผมไปเลยหรือเปล่า น่านจะให้อภัยผมได้ไหม ผมคิดอยู่เป็นพันครั้ง แต่ทำอะไรไม่ได้

นอกจากมองเขาที่เดินออกไปโดยไม่กล้าที่จะรั้งเอาไว้ ชีวิตกู ต้องมาเจออะไรดราม่าแบบนี้เหรอวะ

"ให้ผมคุยกับน่านได้ไหม"

ผมหันขวับไปมองเสียงที่ดังข้างๆ หู ก่อนเห็นว่าเป็นไอ้คิท ยืนอยู่ข้างๆ มินท์ ผมคงเริ่มสร่างเมาแล้วจึงมองเห็นพวกมันชัดเจนดี 

"มึงยังอยู่อีกเหรอ"

ไอ้คิทพยักหน้าหงอยๆ

"ก็พี่ยังไม่ได้ให้อภัยผมจริงๆ เลย และน่านก็ยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมไปไหนไม่ได้ ผมขอคุยกับน่านได้ไหมพี่"

"มึงจะคุยยังไง"

"ให้ผมยืมร่างนะ"

"ยังไงวะ"

"ไอ้นี่มันจะสิงเฮียไง"

"เหี้ย! บาป!" ผมตะโกนด่า

"บอกแล้วไม่ได้หรอก แล้วเฮียก็มีพระด้วย ร้อนโคตร" มินท์ว่าแล้วชี้มาที่สร้อยพระที่พ่อให้เอาไว้ตั้งแต่เด็กๆ ผมคล้องคอเอาไว้ตลอด ผมยกมือจับสร้อยนั่น ผีสองตัวเขยิบหนีอย่างหวั่นๆ

"มึงรู้ได้ไงว่าร้อน เคยคิดจะสิงร่างกูใช่ไหม"

"ก็ลองๆ ดู"

"ผีชั่ว!"

"พี่ถอดออกแล้วให้ผมยืมร่างเถอะนะ เดี๋ยวผมไปอธิบายให้น่านฟังเอง"

"ไม่เอา"

"พี่แม่ง!"

"แม่งเหี้ยอะไรล่ะ ใครจะไปยอมให้ผีสิงตัวเองวะ"

"พี่ซี.."

"พวกมึงจะไปไหนก็ไปก่อนเหอะ กูขอนอนก่อนได้ไหม"

"..."

"กูเหนื่อยมากแล้ว"

 

 ...

 

 

วันนี้ผมอยู่ที่วัดเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อ ครบสามปีพอดีที่พ่อไม่อยู่ แม่โทรมาแต่เช้าเพราะกลัวว่าผมจะลืม ป้าทิพย์กับเท็นก็มาทำบุญให้พ่อด้วยอย่างทุกปี  ไคโรที่ไม่รู้จักพ่อผมเพราะมันเพิ่งย้ายเข้าอยู่ก็ตามมาด้วยเพราะมันบอกว่าไม่มีอะไรทำ ส่วนน่าน ไม่กลับหอเลยตั้งแต่วันนั้น

"เห็นพี่เท็นบอกว่าพ่อพี่ซีใจดีมากเลย"

"ป๋าโคตรใจดีเลยแหละ ทำข้าวเย็นให้กินทุกวันด้วย อยู่หอนี้โคตรสบายอะ"

"แถมยังมีปาร์ตี้ทุกเดือนด้วยนะคะ"

"ใช่ครับ ป๋าจัดงานวันเกิดให้ผมด้วย จำได้ว่าวันนั้นเมากันยันเช้า ผมเลยไปสอบไม่ทันเลย"

"ป้าก็จำได้ค่ะ เมื่อก่อนสนุกมากนะคะ"

ผมปล่อยป้าทิพย์และเท็นรำลึกความหลังของพ่อให้ไคโรฟังแล้วออกมายืนสูบบุหรี่ข้างนอก ที่จริง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อตายวันไหน ผมไม่ได้ไปงานศพของพ่อด้วย ผมออกจากโรงพยาบาลในวันที่พ่อเหลือแต่กระดูกและรูปหน้าศพ ผมไม่รู้ว่ารอยยิ้มสุดท้ายของพ่อที่ส่งมาให้จะมาจากรูปหน้าศพนั่น เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นแต่มันแทนทุกคำบอกลา ยิ้มนั่นมันบอกกับผมว่าพ่อไม่อยู่แล้ว

"ในวัดห้ามสูบบุหรี่นะโยม"

ผมหันขวับไปมองเสียงนั่น ไม่ใช่พระแต่เป็นไอ้แคท

"ล้อเลียนพระ บาปไหม"

"พี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย เข้าวัดได้ด้วยเหรอ" แคทพูดพลางดึงบุหรี่จากมือผมไปโยนลงพื้นแล้วใช้เท้าดับมัน

"แล้วมึงมาทำอะไร"

"วันนี้ครบรอบวันตายพี่คิท มากับพ่อแม่"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ พ่อผมกับไอ้คิทตายวันเดียวกัน แต่วัดมีเป็นร้อยก็ต้องมาที่เดียวกันด้วยเหรอ ตอนที่ผมหันกลับมาที่แคทก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นไอ้คิทยืนอยู่ข้างๆ แคทด้วย

"มีอะไรเหรอพี่"

"ไม่มีอะไร"

"เดี๋ยวพี่น่านกำลังตามมานะ"

"อ๋อ" ผมพูดได้แค่นั้น ก่อนแคทจะขอตัวออกไปก่อน ส่วนไอ้คิทยังอยู่ตรงนี้ ผมมองให้แน่ใจว่าแคทเดินไปพ้นแล้ว หยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมาจุดสูบแล้วหันไปหาไอ้คิท

"ในวัดมึงก็โผล่มาได้เหรอ"

"ได้ทุกที่นั่นแหละ"

"น้องมึงไปนู่นแล้ว ไปหาน้องมึงดิ"

"ผมมาหาพี่ต่างหาก มาขอร้องพี่อีกครั้ง"

คิทยังคงต้องการคุยกับน่านผ่านทางผม เลยมาตามตอแยขอสิงร่างอยู่เรื่อยๆ

"ไม่เอาเว้ย ไปเกิดได้แล้วไป กูให้อภัยจากใจเลยเนี่ย"

"ยังห่วงน่านอยู่"

"งั้นก็ไปรักกันไกลๆ ไป กูอิจฉา"

"พี่ คุยกันดีๆ ดิวะ"

"ผีก็อยู่ส่วนผีไป อย่ามายุ่งกับกูอีก รำคาญ กูเตือนมึงอีกครั้งเดียวนะไอ้คิท ไปให้ไกลๆ ตีนกูเลย"

"พี่ซี..."

"ขวับ!" ทั้งผมและผีหันไปมองเสียงนั่น แคทที่เดินกลับมาขมวดคิ้วแน่นมองผม

"พี่พูดกับใครอะ"

"พูดคนเดียว"

"หนูได้ยินพี่พูดถึงพี่คิท"

"..."

"พี่พูดว่าผีอะไร"

"กูเมาอะแคท ไปเหอะ ไม่มีอะไรหรอก" ผมพูดปัดๆ ทำท่าจะเดินหนีไปแต่แคทดึงเสื้อผมเอาไว้ 

"หนูสงสัยตั้งแต่วันที่พูดที่ร้านเหล้านั่นแล้วนะ พี่พูดเหมือนพี่คิทยังอยู่"

"แล้วถ้ากูบอกว่ามันยังอยู่ มึงจะเชื่อกูไหมล่ะ"

แคทส่ายหน้าด้วยสีหน้าสุดจะเชื่อ กะแล้วไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นหรอก มันเลยดีกว่าถ้าไม่พูดออกไป

"พี่จะเล่นตลกอะไรก็ได้นะ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้"

"กูไม่มีอะไรจะอธิบาย"   

"พี่เป็นบ้าเหรอพี่ซี"

"..."

"พี่เล่นบ้าอะไรอะ!"

"มีอะไรกันเหรอ"

ทั้งผมและแคทหันไปมองน่านที่เดินเข้ามา ผมยิ้มให้คนที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันด้วยความคิดถึง แต่อีกคนยังคงโกรธจึงมีเพียงใบหน้านิ่งๆ ตอบกลับมา

"พี่ซีบอกว่าพี่คิทยังอยู่"

"ก็เออ อยู่ตรงเนี้ย" ผมกระแทกเสียงประชด สะบัดหน้าไปทางไอ้คิทที่ยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ

"พี่ซี เลิกเล่นได้แล้ว!"

"ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง"

"หนูไม่เชื่อ ไม่มีทางเชื่อ!"

น่านเข้ามาดึงมือแคทไปตอนที่มันกำลังโวยวายใส่ผม น้ำเสียงเรียบแต่ชัดไปด้วยความโกรธพูดออกกับแคท แต่หันมองหน้าผม

"ไม่ต้องไปเชื่อหรอกแคท เขาโกหกเก่ง"

อือ เอาให้พอ ผมมองสองคนนั้นเดินออกไปแล้วเหลือบตามองไอ้ตัวปัญหาที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ

"เพราะมึงเลยไอ้เหี้ยคิท"

"ขอโทษ..."

 

...

 

 

คืนนั้น ผมออกมาปั่นจักรยานเล่นไปเรื่อยๆ ในใจก็คิดอะไรให้วุ่นไปหมด อยากให้แม่น้ำนั่นกลายเป็นมหาสมุทรเหล้า ผมจะวิ่งเข้าใส่แล้วแดกให้เมาไม่ตื่นไปสามวันเลย ขณะกำลังว้าวุ่นอยู่ในใจ เสียงดังจากที่ไกลๆ ก็ดึงความสนใจของผมไป

"ปัง! ปัง!"

ผมจอดจักรยานกะทันหันเพื่อหยุดมองพลุที่ประกายอยู่บนท้องฟ้านั่น  นอกจากเหล้าแล้ว ผมก็ชอบสิ่งนี้แหละ ชอบแสงระยิบระยับจากพลุนั่นที่ลอยอยู่บนฟ้า แต่เสียดาย มันอยู่ได้ไม่นานก็ดับไป เมื่อทั้งเสียงและแสงบนฟ้านั่นเงียบไปผมจึงปั่นจักรยานไปต่อตั้งใจจะกลับบ้าน เลื่อนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าไร้ดาวนั่น ฟ้าวันนี้มืดกว่าทุกวันหรือเปล่า

"ปิ๊นๆ!"

ผมเบิกตากว้างเมื่อมองไปเห็นรถที่สวนทางมา เพราะเป็นทางโค้งและถนนคับแคบ ผมหลบไปไหนไม่ได้หรือต่อให้ได้ก็หลบไม่ทัน ผมนิ่งอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะรู้ตัวว่ากระเด็นออกมาจากแรงกระแทกเข้าเต็มๆ

"โครม!"

ขณะที่ตัวเองกำลังลอยเคว้ง ตอนนั้นหัวผมว่างเปล่า คิดอย่างเดียวว่า ตายได้ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่อยากเป็นตับแข็ง ไม่เอามะเร็งปอดหรือป่วยระยะสุดท้าย ไม่อยากเป็นคนมองเห็นผีที่ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นบ้า ไม่รู้ว่าชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้ บางทีตายก็น่าจะดีกว่า ตายไปเลยดีกว่า

.

.

.

แต่แม่ง ไม่ตายว่ะ

 

"เฮีย"

"เฮีย ได้ยินผมไหม"

"คุณซี เห็นป้าไหมคะ!"

"เฮียขา"

"พี่ซี"

อะไรกันวะเนี่ยทั้งคนทั้งผี ผมกระพริบตาถี่เพื่อปรับสายตารับแสงจ้าจากหลอดไฟสีขาวบนเพดาน ก้มมองดูตัวเองที่อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล

"เฮียเป็นไงมั่ง เจ็บตรงไหนไหม"

"จักรยานกูพังป่ะวะ" นั่นคือคำแรกที่ผมพูดออกไป

"โว๊ะ! ห่วงตัวเองก่อนดีป่ะ"

คันนั้นเกือบแสนเลยวะโว้ย! กูรักมันมากกว่าตัวเองอีก ผมคิดแต่ไม่ได้พูดออกไปไม่งั้นโดนด่าซ้ำแน่ ผมหันมองแขนตัวเองที่ชาจนไม่รู้สึก ขาก็เจ็บด้วย หักไหมวะเนี่ย แต่ถ้าเทียบกับความเจ็บปวดเมื่อสามปีก่อนครั้งนี้ดูเล็กน้อยไปเลย ผมเจ็บแต่ไม่อยากให้สมาชิกหอเป็นห่วงเลยบอกไปว่าไม่เป็นไร ถึงจะยอมกลับไป ส่วนเท็นบอกว่าจะกลับมานอนกับผมที่นี่ ส่วนผีสองตัวยังยืนหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ 

"ไม่ต้องห่วงนะเฮีย หนูจะอารักขาเฮียเอง ไม่ให้ผีตัวไหนเข้ามาได้เลย"

ผมยกนิ้วโป้งให้มินท์ ก่อนมันจะหายแวบไปเป็นยามหน้าห้อง ผมเกลียดโรงพยาบาลเพราะที่นี่ผีเยอะเกินไป และอีกเหตุผลคือ เมื่อสามปีก่อนผมอยู่ที่นี่นานเกินไป นานจนผมไม่คิดว่าจะกลับมาที่นี่อีก

"เจ็บมากไหม" ไอ้คิทที่ยังไม่ไปไหนถามผมขึ้นมา

"ดูสภาพกูสิ ควรถามไหม"

"ผมไม่รู้นี่ว่าโดนแบบนี้มันจะเจ็บมากไหม ผมตายคาที่เลยนี่หว่า"

ดราม่ากว่ากูไปอีก

"แล้วมึงมาที่นี่ทำไม"

"น่านกับแคทกำลังมาที่นี่"

"แล้ว?"

"ก็ผมอยากคุยกับสองคนนั้น"

ผมขมวดคิ้วมองสิ่งที่มันพูดอย่างไม่เข้าใจ

"มีคนเอาสร้อยพี่ออกตอนพี่มาที่โรงพยาบาล"

ผมยกมือข้างที่ไม่เจ็บจับสร้อยตัวเองแต่ไม่เจอ

"ไม่มีพระแล้ว ผมเข้าไปได้แล้วนะ"

"ไรนะ! เดี๋ยว!"

ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อประตูห้องก็ถูกเปิดออก น่านเดินเข้ามากับแคทอย่างที่คิทบอกจริงๆ

"ยืมร่างแป๊บนะ เดี๋ยวเคลียร์ให้ทุกอย่างเลย"

"ไม่เอา ไอ้เหี้ยคิท ไอ้...!"

"..."

เหี้ยคิท!

 

 

To be continued.

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยยยดราม่าไปอี๊กกกก เดาถูกจริงด้วยเรื่องพี่ซีเห็นคิทตอนนั้นว่าโกหก แต่ก็ไม่คิดจริงๆว่าคิทคือคนที่ทำให้พี่ซีเจ็บและพ่อพี่ซีตาย สงสารพี่ซีเหมือนกันนะตอนนี้น่านก็ไม่เชื่อพี่ซีแล้วก็หวังว่าคิทจะช่วยอะไรๆให้ดีขึ้นนะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
เพิ่งมาอ่านแบบจริงจัง สนุกค่ะ  สงสารพี่ซีที่สุด
 
รอๆตอนต่อไปนะคะ  :3123:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 19
ไว้ชาติหน้ามาพบกันใหม่

 

น่าน :

 

"น่าน"

"..."

"ไอ้น่าน"

ผมหันมองไอ้ทิมที่เรียกเสียงดัง แต่ไม่ได้ฟังว่าก่อนหน้านั้นมันพูดอะไรก็เลยถามซ้ำไป

"พูดกับกูป่ะ"

"ทั้งห้องก็มีมึงกับกูเนี่ย พูดกับผีมั้ง"

"พูดว่าไงเหรอ"

"สติอะมีไหม"

ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะเมื่อครู่มัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่

"มึงพูดไรเหรอ ขออีกที"

"กูบอกให้มึงไปอาบน้ำได้แล้ว"

"อ๋อ โอเค"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ ช่วงนี้ผมมานอนที่บ้านไอ้ทิมเพราะไม่ยังอยากกลับหอ พูดตรงๆ คือผมไม่อยากเจอพี่ซี ผมถอนหายใจหลายครั้งต่อวัน ครั้งนี้ก็อีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แวบหนึ่งที่ผมต้องหันขวับมองกระจกเพราะเห็นเงาของอะไรสักอย่างวูบผ่านหน้าผมไป แต่ก็เห็นแค่ตัวเองในกระจกนั้น ผมเลื่อนสายตามองซ้ายมองขวาอย่างช้าๆ ผมรู้สึกหนาวเย็นทั้งที่เหงื่อออก ผมระแวงจนคิดไปเองหรือว่ามีบางอย่างตามผมอยู่จริงๆ ก็ไม่แน่ใจ แต่หลายครั้งที่ผมเห็นเงาของบางคนในกระจก หลายครั้งที่ต้องเหลียวมองข้างหลังเพราะรู้สึกว่ามีคนตามมา

 ผมสงสัยว่าใช่คิทหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นมันก็ช่วยออกมาให้เห็นตรงๆ เลยเถอะ

ผมออกมาจากห้องน้ำ ทิมก็นอนอยู่บนเตียงรออยู่แล้ว มันเอาผ้าห่มผืนนิ่มที่ผมชอบไปใช้อีกแล้ว รู้ว่ามันเป็นของมันแหละแต่ผมชอบผืนนั้นมันอุ่นดีเลยดึงๆ อยู่สองสามทีให้มันปล่อย

"อะไร"

"ขอผืนนี้"

"มึงนี่!"

"กูชอบอะ"

"รำคาญ เมื่อไรมึงจะกลับหอมึงไปสักที"

"มึงอย่ามาบ่นเลย กูไม่ได้อยู่เฉยๆ กูกวาดห้องให้มึงด้วยนะ"

"กูไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก แต่มึงมานอนกับกูทุกวันแบบนี้ กูกลัวอดใจไม่ไหว อยากปล้ำมึงใจจะขาด"

ไอ้เหี้ย

ผมด่ามันโดยไม่มีเสียง ทิมทำหน้าสะดีดสะดิ้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มอีกผืนขึ้นมาห่ม ผมเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วก็พร้อมจะนอน ช่วงนี้ผมเหนื่อยล้ากับความคิดตัวเองมากจนนอนไม่ค่อยหลับ ไอ้ทิมหัวถึงหมอนก็ลาหลับไปก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมให้พลิกตัวไปๆ มาๆ กลัวทิมมันจะรำคาญผมเลยพยายามนอนอยู่นิ่งๆ แล้วข่มตาให้หลับ เกือบชั่วโมงก่อนความง่วงจะทำงาน ผมจึงหลับตาลงไป ครู่เดียวก็ลืมขึ้นมาอีก ลืมขึ้นมองที่ปลายเตียง เห็นคนยืนอยู่ตรงนั้นจึงสะดุ้งเฮือกจนดีดตัวเองขึ้นมามอง ผมคิดว่าเป็นไอ้ทิมแต่หันไปมองตัวมันก็นอนอยู่ข้างๆ ใจผมเต้นรัวระทึก ลมหายใจติดขัดตอนหันมองไปรอบๆ แต่ไม่เจอกับอะไรแล้ว

 

"ติ๊ง!"

 

ผมสะดุ้งอีกครั้งพลางหันขวับไปมองหน้าจอมือถือที่สว่างวาบขึ้นมาเพราะมีไลน์เข้า พ่นลมหายใจเบาๆ แล้วหยิบมือถือนั่นมาเปิดดู พบว่าเป็นไลน์จากกรุ๊ปที่หอ ผมเกือบจะไม่สนใจแต่ข้อความแจ้งเตือนที่หน้าจอนั่นทำให้ต้องหยุดมอง

 

น้ำขิง  : เฮียถูกรถชน มาที่โรงบาลเร็ว

 

พี่ซี…

 

ผมเลื่อนอ่านข้อความของคนอื่นที่ส่งมาติดๆ กัน อีกมือก็สะกิดเรียกให้ทิมตื่น

"มีไร"

"กูไปข้างนอกนะ"

"ไปไหน"

"พี่ซีถูกรถชน กูจะไปหาเขา"

 

ผมโกรธพี่ซีอยู่ แต่ผมเป็นห่วงเขามากกว่าจึงต้องไปหาเขา ผมยืมรถทิมแล้วรีบตรงมาที่โรงพยาบาล ก่อนมายืนเคว้งอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนต่อ ขณะกำลังสับสนว่าจะโทรหาใครดีในตอนนี้ ผมก็หันไปเห็นแคทที่ยืนลนลานอยู่ตรงนั้นเหมือนกันจึงรีบวิ่งเข้าไปหา

"แคท"

"พี่น่าน มาหาพี่ซีใช่ป่ะ หนูรู้จากพวกพี่ที่คณะก็เลยรีบมา ไปกัน" แคทดึงมือผมไปอีกทาง ก่อนมาถึงห้องที่พี่ซีอยู่แคทเลื่อนประตูของโรงพยาบาล ส่วนผมสูดลมหายใจเรียกสติแล้วเดินตามเข้าไป พี่ซีนั่งอยู่บนเตียงหันมามองผมกับแคท ถ้าได้ยินไม่ผิด ผมว่าเมื่อกี้เขากำลังคุยกับใครอยู่ โรงพยาบาลเต็มไปด้วยสิ่งไม่มีชีวิตและเขาก็คงคุยกับผีบางตัวอยู่แน่นอน 

ผมโล่งอกเมื่อเห็นสภาพของเขาที่ดูไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรและเขาก็ดูมีสติดี พี่ซียิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้ง คราวนี้ผมยิ้มตอบ เพราะอยากให้เขารู้ว่าผมดีใจที่เขาไม่เป็นอะไร 

"พี่ เป็นไงมั่ง" แคทถามขณะไล่สายตาสำรวจร่างกายคนบนเตียง

"ก็ดี"

"หนูโกรธพี่อยู่ แต่อดเป็นห่วงไม่ได้ พี่ไม่เป็นไรมากใช่ไหม"

"อือ"

เขาตอบสั้นๆ แล้วก็จ้องมองมาที่ผม ผมก็มองไปที่เขาแต่เราทั้งคู่ไม่พูดอะไร แคทใช้ศอกกระแทกผมเพื่อให้ผมพูดอะไรบางอย่าง

"แล้ว...แล้วไปทำยังไงถึงถูกรถชน" ผมถามอึกอัก

"ไม่รู้ดิ"

"เฮ้ย นี่หัวกระแทกเหรอ จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ สมองเสื่อมเลยป่ะ หนูชื่อไรจำได้ป่ะ" แคทนั่งลงขนเตียงกับพี่ซีแล้วถามหน้าตาตื่น พี่ซีหัวเราะเบาๆ แล้วดึงแคทเข้าไปกอด แม้แต่แคทเองก็ตกใจที่อยู่ๆ เขาทำแบบนั้น

"น้องแคทไง"

"ไรนะ"

"ใครจะไปลืมน้อง"

"พี่ซี พี่เรียกหนูว่าไงนะ"

"น้องแคทไง"

"พี่ซี สมองกระแทกหรือเมาเนี่ย ให้เรียกหมอไหม"

"อะไร เมื่อก่อนก็เรียกงี้ตลอด"

แคทเงียบไป ผมเองก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน มีคนเดียวที่เรียกแคทแบบนั้น มีแค่คิทที่เรียกแคทแบบนั้น

"พี่ซี หนูว่าพี่ผิดปกติมาก หนูตามหมอให้นะ" แคทพูดรัวแล้วลุกออกนอกห้องไป

"ไม่เคยเปลี่ยนเลยน้องแคท" พี่ซีหัวเราะเบาๆ แล้วเลื่อนสายตามาที่ผม 

"น่าน กูรู้มึงคิดอะไรอยู่"

"ผมไม่ได้คิดอะไร"

"กูไม่ใช่พี่ซี กูคือคิท"

"พี่ซี ผมมาหาพี่เพราะเป็นห่วงทั้งๆ ที่ยังโกรธอยู่ แล้วพี่จะยังเล่นไม่เลิกเหรอ"

"น่าน กูเอง"

"ไม่ตลกโว้ย พี่เล่นอะไรของพี่วะ"

"นี่กูเอง"

"..."

"คิทไง"

มันมีเรื่องที่คนอื่นไม่เชื่อแต่ผมก็เชื่อ มีเรื่องที่คนบอกว่าไร้สาระแต่ผมคิดสวนทาง แต่ครั้งนี้มันเกินไป พี่ซีเล่นแรงเกินไป

"เป็นไปไม่ได้" ผมพูดเบาๆ แล้วก้าวเท้าถอยออกมา

"น่าน อย่าเพิ่งไป"

"..."

"เข้ามาใกล้ๆ กูหน่อยได้ไหม กูลุกไปหามึงไม่ได้"

ผมพยักหน้าเบาๆ กับตัวเอง มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเชื่ออะไรไร้สาระแบบนี้ ผมกลั้นใจหมุนตัวกลับไปหาเขาแล้วจ้องหน้าอยู่อย่างนั้น คนตรงหน้าผมคือพี่ซีแต่คำที่พูดออกมาไม่อาจชัดเจนได้ว่าเขาคือพี่ซี

"กูแค่อยากคุยกับมึงอีกครั้ง มึงกำลังเข้าใจอะไรผิดในหลายๆ เรื่อง"

ผมยกมือเบรกสิ่งที่เขากำลังจะพูด

"กูจะเชื่อได้ไงว่ามึงคือคิท"

"กูรู้มันยาก แต่กูอยู่ตรงนี้จริงๆ"

ผมเดินเข้าไปใกล้เขากว่าเดิม มองหน้าเขา ที่ยังไงก็คือพี่ซี เพราะในสายตาผมนี่มันคือพี่ซี เขาดึงมือผมให้ลงไปนั่งข้างๆ ใช้มือข้างหนึ่งแตะเข้าที่ข้างแก้มของผม

"ไม่ได้มองหน้ามึงชัดๆ นานแล้ว"

"..."

"ตั้งแต่ที่ร้านเหล้าวันนั้น"

ใจผมกระตุกวูบเมื่อเขาพูดแบบนั้น พี่ซีไม่มีทางรู้เรื่องวันนั้น

"น่าน กูได้ยินทุกคำที่มึงพูดแล้วนะ คำบอกรักของมึงก็ได้ยินตั้งแต่สามปีที่แล้วแล้วเว้ย"

พี่ซีคงไม่รู้ว่าผมพูดอะไรเมื่อสามปีก่อน

"สามปีแล้วนะ ที่ไม่ได้คุยกับมึงแบบนี้"

"คิท..."

"กูเอง กูทำให้มึงมองเห็นไม่ได้ แต่สามปีมานี้กูอยู่ข้างๆ มึงตลอดเลยนะ"

"เป็นมึงจริงๆ ด้วย"

"ขอโทษที่ทำให้กลัว แต่กูเองที่ตามมึงไปทุกที่เลย"

"ไอ้เหี้ย"

"ด่ากูทำไมเนี่ย" เขาใช้มือดึงผมเข้าไปแล้วกอดด้วยแขนข้างที่ไม่เจ็บ ผมไม่ลังเลที่จะเชื่อว่านี่คือคิทจริงๆ มันเหลือเชื่อแต่เป็นไปแล้ว ผมมองเข้าไปในตาของพี่ซี แต่กลับเป็นคิทที่อยู่ตรงนี้ ผมปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลออกมาแล้วเอยคำพูดปนความโกรธเคืองออกไปเบาๆ

"มึงทิ้งกู"

"มันเป็นอุบัติเหตุ กูก็เสียใจ"

"กูคิดถึงมึงมากจริงๆ"

"คิดถึงมึงเหมือนกัน"

ผมซบหน้าตัวเองลงไปบนไหล่ของร่างพี่ซีแล้วร้องไห้ออกมาโดยไม่อาจกลั้น

"น่าน อย่าโกรธพี่ซีที่เขาโกหกมึงเลย กูไม่ได้อยู่ตรงนั้นแต่ได้ยินที่มึงพูดนะ"

"..."

"มันมีเรื่องราวเยอะแยะเลยที่มึงยังไม่รู้ แต่พี่ซีไม่อยากให้มึงรู้ กูเลยพูดไม่ได้ แต่ขอให้มึงจำเอาไว้ ถ้ามึงจะโกรธ โกรธกูคนเดียว"

"..."

"กูรักมึงนะน่าน จะตอนอยู่หรือตายกูก็รักมึงแค่คนเดียว กูเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับมึงแล้ว"

"..."

"เสียใจมากจริงๆ"

"..."

"น่าน มึงรักคนอื่นได้นะ กูยอมแล้ว"

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า

"กูขอโทษคิท"

"มึงไม่ผิดเลยน่าน ผิดที่กูคนเดียวเลยที่ทำให้มึงต้องติดอยู่กับคำพูดของกูจนไม่กล้ารักใคร"

"มึงไม่โกรธกูใช่ไหม"

"ตอนแรกก็ไม่พอใจ แต่กูมาคิดใหม่ก็ยอมแล้ว กูตายไปแล้ว ทำอะไรเพื่อมึงไม่ได้แล้ว อยู่ข้างๆ มึงยังไม่ได้เลย กูจะไปหวงมึงไว้ทำไม"

"..."

"ไม่อยากเห็นมึงเสียใจแล้ว ต่อไปนี้มึงรักเขาเท่าที่มึงอยากรักได้เลย ละทิ้งกูออกไปจากใจมึงได้แล้ว"

"..."

"มึงมีคนดีๆ ที่อยู่ข้างๆ กูก็สบายใจแล้ว"

"..."

"กูดีใจที่ได้คุยกับมึงอีกครั้งนะ คราวที่แล้วไม่ทันได้บอกลา โชคดีที่มีโอกาสนี้อีกครั้ง"

"มึงพูดแบบนี้ แปลว่าจะไปแล้วใช่ไหม"

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

"กูอยู่นานเกินไปแล้ว ตอนนี้หมดห่วง ทั้งเรื่องมึงและเรื่องอื่น ก็คงต้องไป"

"มึงจะไปไหนเหรอ ต่อจากนี้"

"ไม่รู้ว่ะ กูคนบาปคงไม่ใช่สวรรค์แน่ๆ" เขาหัวเราะ แต่ผมไม่ น้ำตาไหลออกมาอีกระลอก

"คิท มึงควรจะบอกลาทุกคน พ่อแม่มึง แคท หรือไอ้ทิม ให้กูเรียกพวกเขามา..."

"ไม่ๆ น่าน ไม่" เขาดึงมือผมที่กำลังจะลุกออกไป 

"พวกเขาทำใจได้แล้ว อยู่ในจุดที่เสียใจกับกูมามากพอ พวกเขาไม่เป็นไร ห่วงก็แต่มึง"

"กูขอโทษที่รั้งมึงเอาไว้"

"บอกแล้วไม่ใช่ความผิดมึง หยุดขอโทษ หยุดรู้สึกผิดได้แล้ว เข้าใจไหม"

ผมพยักหน้าแต่ก็หยุดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้

"น่าน"

"..."

"กูจูบมึงได้ไหม"

ครั้งนี้ก็ไม่รอให้ผมตอบอะไร ดึงหน้าเข้าไปทำเหมือนครั้งสุดท้ายที่มันทำ น้ำตาผมหยุดไหลไม่ได้ จูบไม่ได้เกิดจากความรักหรือปรารถนา มันกลับเป็นจูบลา จูบสุดท้ายเพื่อแทนทุกคำบอกลาไปตลอดกาล

"กูไปนะ"

ผมพยักหน้าเบาๆ ในใจไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแต่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปรั้งมันไว้ ได้แต่พูดเบาๆ ด้วยคำที่สุดฝืน คำบอกลาที่เจ็บปวดหัวใจที่สุด

"โชคดีนะคิท ไว้ชาติหน้ามาเจอกันใหม่"

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่เก็บเอาไว้ ปล่อยให้มันฟูมฟายออกมาตรงนี้อย่างไม่อาย ก่อนเสียงหนึ่งของคนบนเตียงจะพูดขึ้นเบาๆ

"ร้องไห้ทำไม พี่ยังไม่ตาย"

ผมพยายามหยุดร้องไห้แล้วยันกายขึ้นไปหาพี่ซี โผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น พี่ซีกดหน้าผมลงบนไหล่ของเขา ใช้มันเป็นที่รองรับน้ำตาของผมที่ไหลออกมาไม่หยุด

"ไม่ร้องนะ"

"..."

"อย่าร้องเลยนะ"

ผมกอดพี่ซีเอาไว้แน่น ผ่านอ้อมกอดนั่นมีคำขอโทษของผม และมากกว่านั้นคือคำว่าขอบคุณที่อยากบอกกับเขาเป็นพันๆ ครั้ง

 

To be continued.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-04-2018 18:16:21 โดย รชา »

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
 :เฮ้อ: ในที่สุดเรื่องคิทก็เคลียร์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด