[End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)  (อ่าน 16427 ครั้ง)

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #30 เมื่อ13-12-2017 22:57:36 »

น่าจะเขียนหน่อยนะคะว่ามาอัพตอนที่เท่าไหร่วันไหน น่าจะเปลี่ยนหัวเรื่องให้รู้หน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2017 11:46:09 โดย JustWait »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 13
( ศึกเลือกเรือนนอน )

                 อาเธอร์ลิสก็นั่งแปลเอกสารอยู่ภายในห้องของหลวงภาคินอย่างเช่นทุกวัน  หากแต่วันนี้หลวงภาคินกลับจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างตาไม่กระพริบ  ไม่ยอมหันกลับไปแปลเอกสารบนโต๊ะทำงานของตนเองเสียที  เอาแต่หันมามองอาเธอร์ลิสตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้แล้ว  จนทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกประหม่ากับการถูกสายตาเหยี่ยวจับจ้องมาที่ตนอย่างไม่วางตาเช่นนั้น
   “ คะ...คุณหลวงมีอะไรหรือเปล่าครับ? ”  ตัดสินใจถามออกไปอย่างนั้น  เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องไม่เลิก
   “ เอ็งนี่ตาโตชะมัด! ”  พูดสิ่งที่ไม่ใช่คำตอบออกไป
   “ อะไรนะครับ? ”  ถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
   “ ตาเอ็งโต  สวยดี  เหมือนตาแมวเลย ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “...”  ทำหน้างง
   “ เออ ๆ  ช่างมันเถอะ!  ฉันหิว ”  ว่าเรื่องอื่นออกไป
   “ ครับ?  ให้ผมบอกคนตั้งโต๊ะให้ไหมครับ? ”  เอ่ยถามออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ต้อง  ฉันอยากกินในนี้ ”  ว่าออกไปเสียงเรียบ
   “ ให้ผมไปยกเข้ามาหรือครับ? ”  เอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
   “ ไปทำแกงรัญจวนให้ฉันชามหนึ่ง ”  เอ่ยสั่งออกไป
   “ ให้ผมทำหรือครับ? ”  ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
   “ ก็ฉันสนทนาอยู่กับเอ็งสองคน  ถ้าไม่ใช่เอ็งแล้วจะเป็นใครล่ะ!  ฉันอย่างนั้นรึ? ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ คะ...ครับ!  ถ้าอย่างนั้นคุณหลวงรอสักครู่นะครับ! ”  ว่าออกไปพลางเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบ
   “ อือ  ให้เร็ว!  ฉันหิว ”  เร่งออกไป
   “ ครับ! ”  ว่าพลางลุกขึ้นแล้วรีบสาวเท้าไปทางประตู
                    เมื่ออาเธอร์ลิสก้าวออกจากห้องไป  ริมฝีปากหนาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  แล้วขุนนางหนุ่มจึงหันกลับมาแปลเอกสารที่อยู่ตรงหน้าของตนเองต่อ
                    อาเธอร์ลิสที่ก้าวออกมาจากห้องนอนของหลวงภาคิน  ก็ตรงไปหาคุณหญิงเพ็ญที่นั่งกินหมากอยู่บริเวณศาลาบนลานกว้างของเรือนทันที
   “ ขออนุญาตครับคุณหญิง ” 
                    เดินเข้าไปใกล้พลางทรุดตัวนั่งลงบริเวณพื้นที่ต่ำระดับกว่าบริเวณที่คุณหญิงเพ็ญนั่งอยู่
   “ อ้าว!  ว่าอย่างไรพ่ออลิส!  งานเสร็จแล้วรึ? ”  ถามออกไปพลางขยับนั่งตัวตรง
   “ เปล่าครับ!  ยังไม่เสร็จเลยครับ! ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น
   “ แล้วพ่อออกมาข้างนอกทำไมรึ?  หรือต้องการอะไร?  บอกฉันได้นะ! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางสบตาคู่สวยอย่างไม่วางตา
   “ คือผมอยากขออนุญาตยืมใช้ห้องครัวหน่อยน่ะครับ ”  พูดสิ่งที่ต้องการออกไป
   “ พ่อหิวรึ?  เดี๋ยวฉันจะให้คนทำอาหารไปให้  ไม่ต้องทำเองให้เหนื่อยหรอก! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ใช่ผมหรอกครับ! ”  ตอบกลับไปพลางทำสีหน้าประหม่าออกมา
   “ อ้าว!  แล้วจะทำอาหารไปทำไมกันรึ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ คุณหลวงบอกผมมาทำแกงรัญจวนให้น่ะครับ! ”  พูดพลางยิ้มแห้ง ๆ  ให้กับคนตรงหน้า
   “ อ๋อ!  อย่างนั้นเองหรือจ๊ะ! ” ว่าออกไปอย่างนั้นพลางยกยิ้มมุมปาก
                     แหม!  ที่แท้ก็ไปติดรสมือคนอื่นนี่เอง  ถึงไม่อยากกินอาหารที่คนรับใช้ทำ   ร้ายนักนะ  พ่อขุนนางหนุ่ม!
   “ คะ...ครับ? ”  ขานรับกลับไปด้วยความงุนงง  เพราะเห็นอีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างชอบใจกับอะไรสักอย่าง
   “ ถ้าอย่างนั้น  ก็ตามสบายเถอะจ้ะ! ”  ว่าพลางยื่นมือไปแตะไหล่คนที่นั่งต่ำกว่า
   “ ขอบคุณครับ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
                       เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว  อาเธอร์ลิสก็ตรงดิ่งไปยังห้องครัวของเรือนหลังใหญ่  เพื่อไปทำแกงรัญจวนมาให้ขุนนางผู้เอาแต่ใจได้รับประทานระงับความหิวโหย
                        ไม่นานเกินรอ  กลิ่นหอมกลุ่นก็ลอยคลุ้งไปทั่วทั้งห้องครัว  อีกทั้งลอยออกมาบริเวณภายนอกด้วย  ทำเอาคนรับใช้ที่อยู่แถวนั้นน้ำลายสอกันเลยทีเดียว  และในที่สุดแกงรัญจวนก็สุกได้ที่  พร้อมที่จะรับประทานได้แล้ว  เด็กหนุ่มจึงตักใส่ชามใบสวยแล้วยกไปวางในถาด  มือเล็ก ๆ เปิดหยิบจานที่ถูกจัดไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบมาหนึ่งใบ  พร้อมกับช้อนสำหรับซดแกงหนึ่งคัน  จากนั้นก็ตักข้าวสวยที่หุงพร้อมกับแกงรัญจวนเมื่อครู่ใส่จานสามทัพพี่  แล้วก็ไม่ลืมที่จะตักนำใส่ขันน้ำดื่มไปด้วย  มือเรียวจัดภาชนะทุกอย่างลงบนถาดไม้อย่างเป็นระเบียบ  พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว  ก็ยกถาดนั้นขึ้นและเดินออกจากห้องครัวไปทันที
                        อาเธอร์ลิสจัดวางอาหารที่ยกมาลงบนโต๊ะที่ว่างภายในห้องของหลวงภาคิน  เนื่องจากระยะหลัง ๆ มานี้ขุนนางหนุ่มไม่ค่อยออกไปรับประทานอาหารพร้อมกับมารดา  ส่วนมากจะให้คนรับใช้ยกมาให้ภายในห้อง  หลวงภาคินเห็นว่าภายในห้องตนไม่มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเลย  จึงสั่งให้คนรับใช้ยกเข้ามาไว้ภายในนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดจะได้สะดวกเวลารับประทานอาหาร
                        พอเห็นว่าอาเธอร์ลิสจัดวางอาหารบนโต๊ะเสร็จแล้ว  หลวงภาคินก็เดินมานั่งที่โต๊ะนั้นทนที  มือหนาหยิบช้อนมาตักแกงรัญจวนเข้าปาก  ก่อนจะตักมาราดบนจานข้าวสวยที่อยู่ตรงหน้าตนเองอีกครั้ง  เมื่อเห็นขุนนางหนุ่มเริ่มลงมือรับประทานอาหารแล้ว  อาเธอร์ลิสก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานของตนเองเช่นเดิม  เพื่อแปลเอกสารที่ค้างไว้ต่อ
                        ขุนนางหนุ่มเห็นคนตัวเล็กเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานก็หันกลับไปจ้องร่างนั้นเขม็ง
   “ ข้าวเอ็งล่ะ! ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ ครับ? ”  ขานรับออกไปด้วยความงุนงง
   “ ก็จานข้าวของเอ็งอย่างไรล่ะ!  ไม่กินกับฉันรึ? ” พูดย้ำออกไป
   “ อ๋อ!  ไม่ครับ  ผมยังไม่หิว  เชิญคุณหลวงตามสบายเลยครับ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
   “ อย่างนั้นรึ?  ว่าแต่เอ็ง!  ได้ชิมอาหารที่เอ็งทำไหม? ”  ถามออกไปพลางใช้ช้อนคนแกงรัญจวนไปมา
   “ ไม่ครับ!  มีอะไรหรือครับ?!  หรือว่ารสชาติแย่! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ อยากรู้หรือ? ”  ถามออกไปพลางหันไปมองหน้าคนที่ทำหน้าตื่นตระหนก
   “ ครับ? ”  ว่าออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
                     เมื่อได้ยินอาเธอร์ลิสพูดออกมาอย่างนั้น  ขุนนางหนุ่มก็ถือชามแกงรัญจวนมาไว้ในมือ  ส่วนมืออีกข้างก็จับช้อนซดอยู่  จากนั้นก็เดินมาหาคนตัวเล็ก  แล้วนั่งขัดสมาธิลงข้าง ๆ เด็กหนุ่ม  ทำเอาอาเธอร์ลิสทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
   “ มีอะไรหรือครับคุณ...อื้อ! ”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกช้อนที่มีแกงรัญจวนอยู่ดันเข้ามาในปาก
   “ เป็นอย่างไร? ”  ถามออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   “ กะ...ก็ปกติดีนี่ครับ! ”  พูดออกไปพลางยกมือเช็ดปากตัวเอง
   “ อย่างนั้นรึ? ”  ว่าพลางตักแกงรัญจวนเข้าปากตัวเองบ้าง
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ มีอะไร!  เอ็งนี่เสียงดังจริง ๆ ”  ว่าพลางหันไปมองคนขี้โวยวาย
   “ ชะ...ช้อน มะ...เมื่อครู่...ผมเพิ่งเอาเข้าปากไปนะครับ! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น  และหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา
   “ แล้วจะทำไม? ”  ว่าออกไปด้วยสีหน้าไม่ยี่หรา
   “ โธ่!  คุณหลวง...ให้ผมไปเอามาให้ใหม่ไหมครับ? ”  พูดออกไปอย่างนั้น  แต่ใบหน้าก็ไม่หายเป็นสีแดงเสียที
   “ เอ็งอย่ามายุ่มย่ามกับฉัน ”  ว่าพลางลุกขึ้นยืน  แล้วถือแกงรัญจวนกลับไปนั่งที่โต๊ะดังเดิม
   “...”  พูดอะไรไม่ออก
                              ใบหน้าของอาเธอร์ลิสก็ยังร้อนวูบวาบอยู่เช่นเดิม  มิหนำซ้ำสีของมันก็แดงยิ่งกว่าไฟเสียอีก  ถ้ามันระเบิดได้  มันก็คงจะระเบิดจนมอดม้วยไปนานแล้ว
                                                                                          α+Ω
   “ พี่เอมี!  นั่นพี่จะเก็บของไปไหนครับ? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายหอบห่อผ้าพะรุงพะรัง
   “ พี่ต้องเข้าพระรางวัง!  ไปเฝ้าถวายการดูแลพระอาการประชวรของพระราชโอรสน่ะ! ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “ แล้วพี่จะกลับมาตอนไหนหรือครับ? ”
   “ พี่ก็ไม่แน่ใจจ้ะ! อลิส!  ไปเก็บของใช้ที่จำเป็น  เสื้อผ้าสักสองสามชุด! ”  โพล่งออกไปเช่นนั้น
   “ เก็บไปทำไมหรือครับ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ ไปทำตามที่พี่บอก!  เดี๋ยวก็รู้เอง! ”  สั่งออกไปอีกรอบ
   “ ครับ! ”
                         ได้ยินผู้เป็นพี่สาวย้ำออกมาเช่นนั้น  อาเธอร์ลิสก็รีบวิ่งเข้าห้องทันที  เก็บเอาสัมภาระที่จำเป็นใส่ห่อผ้า  แล้วก็รีบรุดออกจากห้องนอนมาโดยเร็ว  เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน
   “ ถ้าเรียบร้อยแล้ว  ก็ไปกันเถอะ! ”  ว่าออกไปพลางเดินนำ
   “ เดี๋ยวครับพี่เอมี! ”  เรียกให้หยุด
   “ มีอะไรหรือ?  รึว่าลืมของ? ”  หันกลับมาถามคนที่เรียก
   “ เปล่าครับ!  คือผมแค่สงสัยว่า...เราจะไปที่ไหนกัน ”  เอ่ยออกไปอย่างที่คิด
   “ เรือนของคุณหญิงเพ็ญ ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น
   “ ไปทำอะไรหรือครับ?  นี่ยังไม่บ่ายเลย ”  ว่าออกไปด้วยความสงสัย
   “ เอาเป็นว่า  ไปถึงที่นั่นก่อนเดี๋ยวก็เข้าใจเอง ”  พูดออกไปอย่างนั้น
                       เอมิลีให้อาเธอร์ลิสลงมารอข้างล่าง  เพราะตนต้องทำหน้าที่ลงกลอนประตู  ปิดเรือนให้สนิท  เพื่อรักษาทรัพย์สิน  ไม่ให้ใครมาขโมยได้  พอตรวจดูว่าปิดสนิทแล้วก็เดินลงจากเรือนมาหาผู้เป็นน้องชายที่รออยู่ข้างล่าง  แล้วสองพี่น้องก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่ของคุณหญิงเพ็ญ  อันเป็นจุดมุ่งหมายของเอมิลี
                      ไม่นานเท่าไรนักสองพี่น้องชาวอังกฤษก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของข้าราชการหนุ่ม  อาจจะเป็นเพราะอาเธอร์ลิสมาที่เรือนหลังนี้ทุกวัน  ประกอบกับเอมิลีเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนในสยาม  จึงทำให้คนรับใช้ที่เรือนนี้จำได้  เลยเชิญให้ทั้งสองคนขึ้นไปรอบนเรือน  ก่อนที่จะไปเรียนคุณหญิงเพ็ญให้ทราบ
                      สองพี่น้องนั่งรอคุณหญิงเพ็ญอยู่บริเวณศาลาตรงลานกว้างที่อยู่บนเรือน  โดยนั่งพับเพียบอยู่ตรงระดับพื้นต่ำ  เพื่อที่จะให้ผู้ที่มาใหม่ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งที่สูงกว่าตามความอาวุโส
                      ไม่นานเกินรอ  คุณหญิงเพ็ญก็รีบรุดออกมาจากห้องนอนของตน  เมื่อได้ยินคนรับใช้ที่ไปตามบอกว่าเอมิลีกับอาเธอร์ลิสมาขอพบ  และให้รออยู่ที่ศาลาที่คุณหญิงชอบไปนั่งประจำ
   “ แม่เอมิลีกับพ่ออาเธอร์ลิสมีอะไรรึถึงได้มาหาฉันในเวลานี้? ”  ถามไปด้วยความสงสัย
                       พอเอมิลีกับน้องชายเห็นคุณหญิงเพ็ญเดินมานั่งบนพื้นไม้ศาลาในตำแหน่งที่สูงกว่า  ก็ยกมือขึ้นไหว้ตามมารยาท
   “ คือดิฉันมีเรื่องจะรบกวนคุณหญิงน่ะค่ะ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ?  นั่นจะไปไหนกัน  หอบผ้าหอบผ่อนกันเยอะแยะ?! ”  โพล่งออกไปด้วยความสงสัยระคนตกใจ
   “ คือดิฉันต้องเข้าไปถวายการดูแลพระอาการประชวรของพระราชโอรสน่ะค่ะ  ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องอยู่ที่พระราชวังสามถึงสี่วันค่ะ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ก็เลยจะเอาพ่ออลิสไปด้วยอย่างนั้นรึ? ”  ถามสิ่งที่คิดว่าจะเป็นไปได้
   “ ไม่ใช่ค่ะ!  ที่พระราชวังคนนอกเข้าไปไม่ได้ค่ะ! ”  บอกชี้แจงไป
   “ อือ  ฉันก็ลืมไป ”  ว่าพลางยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
   “ เพราะฉะนั้น...ดิฉันจึงอยากจะรบกวนคุณหญิงให้ช่วย...เอ่อ...”  ไม่กล้าที่จะพูดต่อจนจบ
   “ แม่มีอะไรก็พูดมาเสียเถอะ! ฉันยินดีช่วย ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่กำลังทำสีหน้ากังวล
   “ ดิฉันอยากจะขออนุญาตคุณหญิง  ให้อลิสมานอนที่เรือนท่านสักสามสี่คืนน่ะค่ะ  เพราะดิฉันไม่อยู่  ถ้าจะให้น้องนอนอยู่ที่เรือนคนเดียวก็เป็นห่วง ”  พูดออกไปอย่างนั้น
                      ถึงจะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดเรื่องที่บอกว่าเป็นห่วง              อาเธอร์ลิสหากปล่อยให้อยู่คนเดียว  คุณหญิงเพ็ญก็เข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร  ถ้ามีใครที่คิดจะทำมิดีมิร้ายอาเธอร์ลิสขึ้นมาในยามที่ไม่มีใครอยู่เลย  มันยากที่จะหาคนช่วยไว้ได้ทัน  เพราะความพิเศษของร่างกายเด็กหนุ่มนี่ล่ะที่เป็นอันตราย   อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็ล่อตาล่อใจพวกเสือพวกตะเข้อยู่แล้ว  ถ้าให้อยู่คนเดียวถือว่าเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
   “ ได้สิ!  ฉันยินดีเสียอีกที่ให้พ่ออลิสมานอนที่นี่  ดีกว่าให้อยู่คนเดียว  อันตรายแย่ ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “ ขอบคุณมากค่ะคุณหญิง ”  ว่าพลางยกมือไหว้อีกครั้ง
   “ ไม่ต้องขอบคงขอบคุณหรอก!  เรื่องแค่นี้เอง ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้
   “ พี่เอมีครับ!  ผมอยู่คนเดียวได้ ”
                      หลังจากที่นั่งฟังผู้ใหญ่สนทนากันอยู่นานสองนาน  อาเธอร์ลิสก็โพล่งขึ้นบ้าง  เนื่องจากรู้สึกเกรงใจคุณหญิงเพ็ญ
   “ พ่ออลิส!  เอาอย่างที่พี่เขาว่าเสียเถอะ! ”  ว่าออกไปเป็นเชิงปรามไม่ให้คัดค้าน
   “ คะ...ครับคุณหญิง ”  ยอมจำนน
                      อันที่จริงอาเธอร์ลิสก็อยากขัดพี่สาวอยู่หรอก  แต่ถูกคุณหญิงเพ็ญปรามมาเสียอย่างนั้น  ก็ไม่กล้าที่จะพูดขัดขึ้นมาอีก
   “ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  พี่ไปแล้วนะ ”  ว่าพลางยกมือลูบศีรษะของผู้เป็นน้องชาย
   “ ดิฉันลาแล้วนะคะคุณหญิง ”  เอ่ยปากลา
   “ แล้วแม่เอมิลีจะเข้าวังอย่างไรรึ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ รถของทางพระราชวังจะมารับดิฉันที่เรือนค่ะ ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น
   “ อ๋อ  ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนรถขับไปส่งแม่ที่เรือนนะ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ  ใกล้ ๆ  แค่นี้เอง ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้
                        คุณหญิงเพ็ญถึงกับต้องถอนหายใจให้กับคำตอบของหมอสาว  ช่างเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเสียจริง ๆ  ความขี้เกรงใจนี่
   “ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ที่แม่สะดวกก็แล้วกัน ”  ว่าออกมาอย่างนั้น
   “ ขอบคุณค่ะคุณหญิง  ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ”  ว่าพลางยกมือขึ้นไหว้
   “ จ้ะ  เดินทางปลอดภัย ”  ไม่วายอวยพร
   “ ขอบคุณค่ะ ”  กล่าวกลับไปพลางส่งยิ้มให้
   “ ถ้าอย่างนั้น  พี่ไปแล้วนะอลิส  ดูแลตัวเองด้วย ”  หันมาบอกคนที่นั่งข้าง ๆ
   “ พี่ก็เหมือนกันนะครับ  ดูแลตัวเองด้วย ”  บอกออกไปอย่างนั้น  พลางเอื้อมมือไปโอบตัวพี่สาว
                        เมื่อเอมิลีคลายกอดออกจากน้องชาย  หล่อนก็เดินลงจากเรือนไป  ปล่อยให้สายตาคู่สวยมองตามหลังผู้เป็นพี่สาวอย่างไม่ละสายตา
                        เอมิลีไปได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถเคลื่อนมาจอดตรงหน้าเรือน  สักพักคนบนรถก็เดินขึ้นเรือนมา  ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  นอกเสียจากหลวงภาคิน  หากแต่ไม่ได้ขึ้นมาเพียงคนเดียว  มีหลวงเทพสหายคนสนิทเดินตามขึ้นมาด้วย
                        หลวงภาคินกับหลวงเทพเดินมานั่งลงข้าง ๆ กับคุณหญิงเพ็ญ  พลางยกมือขึ้นไหว้ผู้อาวุโสพร้อม ๆ  กัน  ก่อนจะหันมามองคนที่นั่งต่ำกว่า
   “ ทำไมวันนี้เอ็งมาเร็วนัก? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ เอ่อ!  คือผม...”  พูดไม่ออก
   “ แล้วนั่น!  เอ็งจะหอบผ้าหอบผ่อนไปไหน? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นห่อผ้าในมือของคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง
   “ คือผม...”  ทำสีหน้าเหลอหลา
   “ พอก่อนพ่อภาคิน!  ถามจี้แบบนั้นพ่ออลิสเขาก็ตกใจแย่ ”  ว่าปรามออกไป
   “ ก็กระผมสงสัยนี่ขอรับ! ”  ว่าพลางหันไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ
   “ คืออย่างนี้พ่อภาคิน!  แม่เอมิลีมีธุระต้องเข้าไปวัง  เห็นว่า     พระราชโอรสทรงประชวร  เลยต้องไปถวายการดูแล  หากจะปล่อยให้พ่อ อลิสอยู่คนเดียว  ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย  ก็เลยมาฝากไว้ที่นี่น่ะ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ หา!  ว่าอย่างไรนะขอรับ?! ”  โพล่งออกมาด้วยความตกใจ
                      อาเธอร์ลิสเห็นสีหน้าอาการของหลวงภาคินที่แสดงออกมาอย่างตกอกตกใจ  ก็ทำให้คิดว่า  คงจะไม่พอใจที่เขาจะมานอนค้างอ้างแรมอยู่ที่เรือนหลังนี้เป็นแน่
   “ คุณหญิงครับ!  ถ้าคุณหลวงท่านไม่สะดวกใจ  ผมกลับไปนอนที่เรือนก็ได้ครับ ”  ตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น
   “ พ่อภาคินก็กระไร!  ทำตกอกตกใจไปได้! ”  หันไปเอ็ดลูกชาย
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   “ ถ้าอย่างนั้นไปนอนที่เรือนพี่ไหม?  พี่ดีใจมากหากน้องไป ”  ว่าพลางยิ้มออกไป
                       หลังจากที่เงียบอยู่นาน  หลวงเทพก็พูดขึ้นมาบ้าง  และคำพูดของเขาก็ทำเอาสายตาสามคู่หันมาจับจ้องที่เขาแทน
   “ ผะ...ผมเกรงใจครับ! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ต้องเกรงใจหรอก  พี่อยากให้น้องไป...”  ว่าพลางลงมานั่งคุกเข่าต่อหน้าคนตัวเล็ก  พลางยื่นมือไปกุมสองมือบอบบางนั้นไว้
   “  เอ่อ...”
   “ เอ็งนอนที่นี่ล่ะ! ”  ว่าพลางเดินไปกระชากเอามือของคนตัวเล็กออกมาจากสหาย
   “ คุณหลวง! ”  ร้องเรียกไปด้วยความตกใจ
   “ มานี่!  เอ็งต้องไปจัดห้อง! ”
                      หลวงภาคินลากอาเธอร์ลิสออกมาจากศาลาตรงนั้น  ปล่อยให้ขุนนางที่เป็นสหายคนสนิทนั่งงุนงงกับสิ่งที่หลวงภาคินกระทำ  จะมีเพียงแค่คุณหญิงเพ็ญเท่านั้นที่ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาอย่างพอใจ
                      ขุนนางหนุ่มลากอาเธอร์ลิสมาจนถึงห้อง ๆ หนึ่งอย่างทุลักทุเล  เพราะทั้งห่อผ้าที่หอบมา  ไหนจะทั้งแรงดึงจากคนร่างใหญ่อีกล่ะ  ทำให้ อาเธอร์ลิสต้องวิ่งตามแรงลากนั้นมากกว่าจะเรียกว่าเดินได้เสียอีก
   “ คุณหลวงครับปล่อยผมก่อน! ”  ว่าพลางดึงข้อมือตนเองกลับ
   “ อะไร! ” ว่าพลางทำสายตาไม่พอใจใส่คนตัวเล็ก
   “ ออกมาแบบนี้เป็นการเสียมารยาทนะครับ! ”  ว่าพลางเตรียมจะเดินออกจากห้อง
                     เมื่อเห็นอาเธอร์ลิสเตรียมจะเดินออกจากห้อง  สองมือหนาก็ยื่นไปดึงข้อมือเล็กของคนข้างหน้าไว้  แล้วดันให้ชิดฝาห้องทันที  ตอนนี้ร่างใหญ่อยู่ในท่าค่อมร่างเล็กเอาไว้  โดยสองมือบอบบางนั้นถูกสองมือหนากดไว้กับฝาห้องในระดับศีรษะทั้งสองข้าง  อย่างกับนักโทษไม่มีผิด
   “ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง! ”  โพล่งออกไปพลางดิ้น
   “ ทำไม?  เอ็งจะออกไปหามันรึ!?  อยากไปอยู่กับมันมากหรืออย่างไร? ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางเพิ่มแรงกดลงที่มือ
   “ คุณหลวงพูดเรื่องอะไรครับ?  ผมไม่เข้าใจ!  ผมแค่จะออกไปบอกว่าผมจะกลับไปนอนที่เรือน  ท่านลากผมมาอย่างนี้เป็นการเสียมารยาทนะครับ! ”  ว่าออกไปพลางดิ้นสุดแรง
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   “ คุณหลวง!  ปล่อยผมนะ...อื้อ! ”
                      พูดไม่ทันจบ  ริมฝีปากร้อนผ่าวก็ประกบลงมายังเรียวปากของ   อาเธอร์ลิส  เด็กหนุ่มถึงกับแข็งทื่อไปทั้งตัว  ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดิ้นให้หลุดจากการถูกเกาะกุมนี้เลย  เมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดฤทธิ์  ริมฝีปากหนาก็ถอนออกมา  ปล่อยให้เรียวปากสีกุหลาบเป็นอิสระจากการถูกครอบครอง
   “ ถ้าเอ็งเถียงฉันอีก!  ก็จะถูกลงโทษแบบนี้  จำไว้! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  แล้วก็ปล่อยข้อมือของคนตัวเล็กให้เป็นอิสระ  จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
                     เมื่อหลวงภาคินเดินออกไปพ้นสายตา  อาเธอร์ลิสกับห่อผ้าในมือถึงกับทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง  ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายก็เต้นแรงขึ้นมา   รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า  อย่างกับว่าจะเป็นไข้ก็ไม่ปาน
                    หลวงภาคินเดินเข้ามาในห้องนอนของตนเอง  แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง  พลางยกมือขึ้นลูบหน้าของตนเอง  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่  คิดถึงสิ่งที่ตนเองทำลงไปแล้วก็ถึงกลับเลื่อนมือที่ลูบอยู่บนใบหน้ามากุมที่ขมับทั้งสองข้างแทน
                    ฉิบหายแล้วไหมล่ะ!  ทำอะไรลงไปวะ!
                                                                                    :-[
                      มาต่อให้แล้วนะคร้าาาาาาาาาาาาา  คุณหลวงทำอิฉันเขินนนนนนนนน  ความปากหนักนี่ท่านได้แต่ใดมา =,,=
                                            พูดคุย+ทวงนิยาย+สั่งจองหนังสือได้ที่  เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2017 02:36:11 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 16/12/60 Episode 13.
«ตอบ #32 เมื่อ16-12-2017 10:29:27 »

บางทีก็จั๊กจี้กับความล้ำแบบพีเรียดไม่เคยอ่านโอเมก้าแนวคุณหลวงมา :mew1:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 16/12/60 Episode 13.
«ตอบ #33 เมื่อ16-12-2017 11:55:15 »

คุณหลวง เอาน้องมาทิ้งไว้กลางทางอีกละ น่าตีจริงๆ

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 16/12/60 Episode 13.
«ตอบ #34 เมื่อ16-12-2017 19:35:36 »

คุณหลวงเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ  ไรท์ชอบผู้ชายแบบนี้แน่ ๆ เลย 5555 ถ่ายทอดความเอาแต่ใจออกมาเต็มเปี่ยม หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ
                                                              :-[

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

Episode 14
( ความอดกลั้นของข้าราชการหนุ่ม )


   หลังจากที่จัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย  อาเธอร์ลิสก็ออกมาจากห้องที่หลวงภาคินลากตนมาไว้ทันที  แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของขุนนางหนุ่มเพื่อไปแปลเอกสารของตนอย่างเช่นทุกวัน
   พอเข้าไปก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นหลวงภาคินอยู่ภายในห้องนั้นเลย  แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ  จึงเดินมานั่งที่โต๊ะทำงานตัวเตี้ยของตนเองอย่างเช่นทุกวัน  แล้วก็ลงมือแปลเอาสารที่วางอยู่ตรงหน้าทันที  โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบ ๆ  เลยแม้แต่น้อย
   หลวงภาคินที่ไปอาบน้ำระงับความร้อนรุ่มภายในจิตใจมา  พอเข้ามาภายในห้องนอนก็เอนตัวลงนอนบนเตียงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมเสื้อ  ปลายผมที่เปียกชุ่ม ก็ไปสัมผัสถูกที่ด้านหลังของอาเธอร์ลิสเข้าพอดี  จนทำให้เสื้อของเด็กหนุ่มเปียกบริเวณที่ห่อหุ้มหลังเนียนนั้นไว้
   “ เอ๊ะ!  ทำไมหลังมันเปียก ๆ ”  อุทานออกมาพลางยกมือลูบไปที่หลัง
   ทันใดนั้นก็ต้องตกใจเมื่อคลำไปบริเวณแผ่นหลังของตนเอง  แล้วมือก็ไปสัมผัสกับก้อนขนขนาดใหญ่
   เฮ้ย!
   “ ตัวอะไรน่ะ!? ”  ร้องออกมาด้วยความตกใจ  พลางจะหันกลับไปมอง
   “ เสียงดังอะไรของเอ็ง! ”  ว่าทั้ง ๆ  ที่หลับตาอยู่
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปพลางลุกขึ้นยืน
   “ อือ!  ก็ฉันน่ะสิ! ”  ว่าทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น  “ เมื่อครู่เอ็งว่าฉันเป็นตัวอะไรอย่างนั้นรึ? ”
   “ ผมไม่...อ๊ะ! ”
   หลวงภาคินยื่นมือขึ้นมาดึงคนที่กำลังยืนอยู่ให้ล้มลงมาที่เตียง  พลางพลิกตัวขึ้นมาค่อมร่างเล็กเอาไว้
   “ คุณหลวงออกไปเลยนะครับ!  ผมจะทำงาน! ”  ว่าออกไปพลางตีเข้าที่ต้นแขนของคนบนร่าง
   “ เมื่อครู่เอ็งบังอาจว่าฉัน!  ต้องโดนลงโทษ! ” 
   “ ก็ผมไม่รู้นี่ครับว่าเป็นคุณหลวง! ”  โพล่งออกไปอย่างไม่ยอมความ
   “ นี่เอ็งกล้าเถียงฉันรึ! ”  แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ผมไม่ได้เถียง...อื้อ! ”
   พูดไม่ทันจบริมฝีปากร้อนผ่าวก็กดจูบลงมาแนบชิดเรียวปากอ่อนนุ่มนั้นทันที  อาเธอร์ลิสเบิกตากว้างขึ้นเมื่อริมฝีปากของตนเองถูกช่วงชิงไป  พอเห็นอีกฝ่ายหยุดดิ้นขุนนางหนุ่มก็ค่อยคลายริมฝีปากบางให้เป็นอิสระ
   “ ทีนี้เอ็งจะเลิกเถียงฉันได้รึยัง? ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ก็ผมบอกแล้ว  ว่าไม่ได้...อื้อ! ”
   พูดยังไม่ทันจบก็ถูกโฉบฉวยจุมพิตไปอีกแล้ว  ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ประกบแนบชิดเหมือนที่ผ่านมา  แต่ริมฝีปากหนาดูดดึงเรียวปากสีสวยนั้นอย่างเมามัน  จนคนใต้ร่างแทบจะหายใจไม่ได้  ขุนนางหนุ่มจึงถอนริมฝีปากออก
   “ ทีนี้เอ็งจะหยุดเถียงรึยัง? ”  ถามออกไปอีก
   “ ผะ...ผมยอมแล้วครับ ”  ว่าพลางยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง
   “ ดี!  ก็แค่นี้ ”  ว่าพลางพลิกตัวออกจากคนตัวเล็ก
   “...”  เงียบ
   “ อ้าว!  มัวนอนอืดอยู่ได้!  ลุกออกไปสิ! ”  ว่าพลางหันมามองคนที่นอนอยู่
   “...”  ไม่พูดอะไร  เพียงแต่หายใจหอบหืด
   “ นี่เอ็งเป็นอะไร? ”  ถามออกไป  เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าเริ่มแดงขึ้น  มิหนำซ้ำยังหายใจกระเส่า
   “ คะ...คุณหลวง...ผมร้อน...”  ว่าพลางกระชากเสื้อตนเองจนกระดุมเม็ดบนหลุดออกมาสามเม็ด
   “ เฮ้ย ๆ  เอ็งหยุดก่อนเลย! ”  ว่าปรามออกไปด้วยความตกใจ
   วินาทีนี้อาเธอร์ลิสแทบจะไม่ได้สติแล้ว  ร่างกายเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมากว่าปกติ  เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวจนร่างกายบิดเร่าอย่างทรมาน  ผิวที่ขาวเนียนละเอียดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงไปทั่วทั้งตัว  เพราะการสูบฉีดของเลือดภายในร่างกาย  และในที่สุดก็ปล่อยกลิ่นหอมออกมาจากลำตัวตามกลไกของธรรมชาติ
   หลวงภาคินที่สังเกตอาการของคนที่นอนดิ้นพล่านอยู่ข้าง ๆ  ก็ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันทีที่ปลายจมูกของเขาถูกกลิ่นหอมลอยมาติดเข้าอย่างจัง  และก็ทำให้เขาแน่ใจขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้ามีอาการเช่นนี้เพราะอะไร
   “ นะ...นี่เอ็งเข้าฤดูประสมพันธุ์อย่างนั้นรึ!? ”  ถามออกไปด้วยความตกใจ
   ฉิบหายแล้ว!
   “ คะ...คุณหลวง...ผมเจ็บตรงนี้...อึ้ก!  ”  ว่าพลางยื่นมือไปจับอวัยวะกลางลำตัว
   อาเธอร์ลิสไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้ตนเองทำสีหน้ายั่วยวนขนาดไหน  ทั้งสายตาที่ทอดมองมายังขุนนางหนุ่ม  มันช่างเย้ายวนและเชิญชวนเสียเหลือเกิน  จนทำให้หลวงภาคินต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
   “ เอ็งใจเย็น ๆ เดี๋ยวฉันจะไปหายาแก้มาให้! ”  กัดฟันพูดอย่างนั้นออกมา
   “ คุณหลวง...”  เรียกออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พลางส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้ขุนนางหนุ่ม
   ตอนนี้เอง  หลวงภาคินก็แทบจะควบคุมตนเองเอาไว้ไม่อยู่แล้วเช่นกัน  แก่นกายขนาดใหญ่ตรงกลางลำตัวของเขา  มันเริ่มตื่นตัวขยายใหญ่ขึ้น  มิหนำซ้ำยังดุนดันผ้านุ่งขากล้วยของเขาอย่างดุดัน  อยากที่จะออกมาเผชิญโลกภายนอกเต็มทน
   อาเธอร์ลิสตอนนี้ขาดสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์  มือเรียวเล็กทั้งสองข้างยื่นไปจับอวัยวะกลางลำตัวของหลวงภาคินผ่านผ้านุ่ง  พลางบีบคลึงมันจนแข็งขันเต็มที่  พร้อมที่จะปลดปล่อยให้ได้
   เฮ้ย!
   “ อาเธอร์ลิส!  เอ็งใจเย็น ๆ ก่อน!  เดี๋ยวฉันก็ได้จับเอ็งปล้ำจริง ๆ หรอก!  มีสติสิ! ”  โหวกเหวกโวยวายออกไปอย่างนั้น
   “...”
   ไม่มีคำพูดใด ๆ  หลุดออกมาจากริมฝีปากบางแม้แต่คำเดียว  มีเพียงเสียงหอบกระเส่า  และกลิ่นหอมอันเย้ายวนเท่านั้นที่ออกมาจากตัวของเด็กหนุ่ม  เพราะในตอนนี้อาเธอร์ลิสไม่รับรู้อะไรแล้วทั้งสิ้น  มีเพียงความต้องการที่อยากจะปลดออกมาเท่านั้น
   เฮ้ย เฮ้ย!
   “ เดี๋ยว! ”
   ที่ต้องร้องห้ามออกไปอย่างนั้น  เพราะมือซุกซนดึงสายผ้านุ่งที่ขุนนางหนุ่มผูกไว้จนหลุดออก  แล้วมือนั้นก็ยังดึงรั้งผ้านุ่งของเขาให้ต่ำลงจนเห็นวัตถุที่บ่งบอกถึงความเป็นชายขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านขึ้นต่อหน้าต่อตา  มือเรียวนั้นยื่นไปจับแท่นกายนั่น  ก่อนที่จะคลานเข้ามาใกล้ ๆ  ขุนนางหนุ่ม  จากนั้นก็รูดขึ้นรูดลง  จนหลวงภาคินต้องทำหน้าเหยเกกับสัมผัสของคนตรงหน้า  ทันใดนั้นปลายจุดอ่อนไหวก็ถูกเรียวปากเปียกชื้นแตะเข้าเบา ๆ  พรมจูบไปตรงบริเวณส่วนหัว  จากนั้นริมฝีปากสีระเรื่อก็เข้าครอบครองแท่นกายนั้นไปครึ่งแท่ง  แล้วค่อย ๆ  ดูดขึ้นดูดลง  จนศีรษะขยับไปตามจังหวะการดูดกลืนนั่น  หลวงภาคินรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว  ทั้งยังรู้สึกวาบหวามเสียวซ่านกับสัมผัสที่อาเธอร์ลิสมอบให้  จนมีความต้องการที่อยากจะปลดปล่อยความสุขที่อัดอั้นเหล่านั้นออกมา
   สองมือหนาจับไหล่อาเธอร์ลิสเพื่อให้เงยหน้าขึ้นจากการเขมือบแก่นกลางลำตัวของเขา  แล้วพลิกร่างบางนั้นให้นอนลงในท่าหงาย  สองมือใหญ่ยื่นไปดึงผ้านุ่งของคนที่นอนหงายอยู่ให้หลุดออก  และจัดการเม็ดกระดุมที่เหลือบนเสื้อของคนร่างบาง  เผยให้เห็นยอดอกสีสวยตั้งชูชันตระหง่านตาอยู่  ทำเอาขุนนางหนุ่มต้องกลืนน้ำลงคอไปอึกใหญ่  ด้วยความอยากลิ้มลองเม็ดทับทิมนั่น
   “ เอ็งยั่วยวนฉันเองนะ! ”  ว่าออกไปทั้ง ๆ ที่หอบหนักอยู่
   “ คุณหลวง...ผมมะ...ไม่ไหว...ละ...แล้ว...”  พูดทั้ง ๆ  ที่หอบหนัก  ทั้งยังมองคนที่นั่งอยู่ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   ตอนนี้หลวงภาคินก็จะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วเช่นกัน  เมื่อคนที่นอนเปลือยอยู่ส่งกลิ่นหอมหลอกล่อให้เขาลงไปสูดดมใกล้ ๆ  อีกทั้งส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เขาเป็นเชิงเชิญชวนนั่นอีก  และที่สำคัญร่างกายที่เปลือยเปล่าที่มีเพียงเสื้อหลุดลุ่ยไร้ซึ่งการเกาะกุมของเม็ดกระดุม  เผยให้เห็นไหล่ขาวทั้งสองข้าง  มันช่างเป็นภาพที่แสนยั่วยวนยิ่งนัก
   “ คุณหลวง...”  เรียกออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
   “...”  ไม่ตอบกลับ
   ณ  ตอนนี้  หลวงภาคินไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว  ยิ่งได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเรียกเขาออกมาอย่างนั้น  ยิ่งทำให้สัญชาตญาณดิบในตัวของเขาลุกโชนขึ้นมาอย่างเต็มอัตรา  ร่างใหญ่จึงก้าวขึ้นไปค่อมร่างเล็กเอาไว้  นั่นมันก็หมายความว่า  คงไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งความต้องการของชายหนุ่มได้อีกแล้ว
   ริมฝีปากหนาประกบชิดเรียวปากสีระเรื่ออย่างหนักหน่วง  ดูดดื่มกับความนุ่มละมุนนั้นอย่างหิวกระหาย  ปลายลิ้นหนากดแทรกไปยังรอยแยกของริมฝีปากเล็ก  จนสามารถลุกล้ำเข้าไปในโพรงปากอ่อนนุ่มนั้นได้  ลิ้นซุกซนสำรวจอาณาเขตภายในโพรงปากอ่อนนุ่มทุกซอกทุกมุม  ตวัดไปยังไรฟันทุกซี่  และเกี่ยวพันลิ้นเล็ก ๆ  นั้นอย่างบ้าคลั่ง  ตักตวงความหวานทุกหยาดหยดของคนใต้ร่างอย่างละโมบโลภมาก  จนคนตัวเล็กเริ่มหายใจไม่ออกกับการจู่โจมอันดุดันของขุนนางหนุ่ม  คนบนร่างจึงถอนริมฝีปากออกมาให้คนใต้ร่างได้สูดเอาอากาศเข้าไป  แล้วจึงหันมาหยอกเย้ากับเม็ดทับทิมสีสวยที่ประดับอยู่บนอกของอาเธอร์ลิสแทน  เรียวปากหนาประทับจุมพิตลงบนยอดอกสีกุหลาบอย่างอ่อนโยน  มือหนาอีกข้างหนึ่งก็ยื่นไปบีบเค้นอกเล็ก ๆ  อีกข้างที่ว่างอยู่อย่างแผ่วเบา  จากการจูบเค้นเบา ๆ  ก็เปลี่ยนเป็นเม้มขบอย่างหนักหน่วง  ริมฝีปากร้อนผ่าวดูดดึงยอดอกสีระเรื่อนั้นอย่างเหือดกระหาย  พอดูดข้างหนึ่งจนขึ้นสี  ก็เปลี่ยนมาดูดอีกข้างหนึ่งอย่างเร่าร้อนเหมือนกัน  ทำเอาคนใต้ร่างเอนอกรับกับสัมผัสนั้นอย่างพอใจ
   “ อื้อ...”  ครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน
   เมื่อได้ยินอาเธอร์ลิสหลุดเสียงครางออกมาอย่างนั้นยิ่งทำให้หลวงภาคินได้ใจ  ริมฝีปากร้อนคลายออกมาจากอกพลางพรมจูบและดูดดึงต่ำลงมาเรื่อย ๆ  จนมาถึงหน้าท้องสวย  ปากร้อน ๆ นั่น  ประกบจูบลงไปที่สะดื้อแล้วสอดส่ายปลายลิ้นไปมาตรงรูสะดื้ออย่างนึกสนุก  มือข้างหนึ่งเลื่อนลงมาจับท่อนกลางลำตัวของคนใต้ร่าง  แล้วรูดขึ้นรูดลงช้า ๆ  แล้วค่อย ๆ  เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
   แฮ่ก  แฮ่ก!
   “ อื้อ...อา...”  ทั้งหอบกระเส่า  ทั้งส่งเสียงครางออกมา
   มาถึงขนาดนี้แล้วขุนนางหนุ่มไม่คิดจะหยุดเพียงแค่นี้เป็นแน่  ใช่แล้วเขาต้องการทำให้จบ  เพราะช่วงกลางลำตัวของเขาคับแน่นใหญ่โตขึ้นขนาดนี้ก็เพราะคนที่นอนส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เขานี่ล่ะ  ฉะนั้นแล้วเขาต้องปลดปล่อยสิ่งนั้นออกมา  จะได้โล่งและรู้สึกสบายเสียที
   “ เอ็งจะมาโทษฉันไม่ได้นะ!  ให้ท่าเสียขนาดนี้! ” 
   “ คุณหลวง...”
   “...”
   ไม่ไหวแล้วโว้ย!
   มือหนาจับสองขาเรียวชันขึ้น  แล้วดึงผ้านุ่งของตนเองลงจนเผยให้เห็นแท่นปืนใหญ่ขนาดมหึมาที่แข็งขืนอย่างเต็มที่   มือใหญ่ถูวนตรงช่องทางสีหวานอย่างอ่อนโยน  ชั่วพริบตาก็มีของเหลวสีใสไหลออกมาจากบริเวณผิวอ่อนนุ่มนั่น  บ่งบอกให้รู้ว่าอาเธอร์ลิสพร้อมที่จะรับวัตถุแท่นใหญ่ของขุนนางหนุ่มเข้าไปแล้ว  มือหนาหยุดถูวนผิวเนื้ออ่อนนั้น  แล้วจับแก่นกายของตนเองไปจ่อตรงช่องทางรักของอาเธอร์ลิสแทน  ยิ่งผิวเนื้อตรงส่วนนี้สัมผัสกันยิ่งทำให้คนทั้งคู่รู้สึกเสียวซ่านมากขึ้นทุกที  พอได้จังหวะที่อาเธอร์ลิสสูดหายใจเข้า  ขุนนางหนุ่มก็กดแท่งปืนใหญ่ของตนเองเข้าไปทางช่องทางสีหวานนั้นทันที   แต่เข้ามาได้เพียงส่วนหัวเล็กน้อยเท่านั้น  อาเธอร์ลิสก็ถึงแก่ความสุข  ปลดปล่อยความคับแน่นของตนเองออกมา 
   “ อา...”  ครางออกมาอย่างพอใจ
   หลวงภาคินเห็นอาเธอร์ลิสปลดปล่อยออกมาเช่นนั้น  ก็ถึงกับเบิกตาโพลง  เพราะเมื่ออีกฝ่ายถึงความสุขสมแล้ว  ก็เข้าสู่นิทราไปโดยไม่สนใจไยดีเขาเลย  ขุนนางหนุ่มทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บแก่นกายของตนเอ็งกลับเข้าผ้านุ่งไป  ทั้ง ๆ  ที่ยังไม่ได้ปลดปล่อย  มิหนำซ้ำยังแข็งขืนเสียยกใหญ่  และก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด
   ไอ้เด็กเห็นแก่ตัว!  ไฉนถึงมาหลับทิ้งกันไปเสียง่าย ๆ  อย่างนี้!
                                                                             :m25: :pighaun:
                                                         น้องอลิสทำแบบนี้  คุณหลวงของอิฉันก็แย่เอาสิ =,,=
                                                            ตอนนี้มี NC อย่ารีพอร์ทเค้าน้าาา TT อ้อนวอน555

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 21/12/60 Episode 14. (Page.2)
«ตอบ #36 เมื่อ23-12-2017 09:32:47 »

 :pig4: ว้าย คุณหลวงโดนทิ้งให้ค้างเติ่ง55555 สม ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆดีนัก

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 21/12/60 Episode 14. (Page.2)
«ตอบ #37 เมื่อ23-12-2017 22:54:30 »

ขำคุณหลวง

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 15
( ปากไปไวกว่าใจเสียทุกที )


              อาเธอร์ลิสตื่นขึ้นมาก็ต้องตกใจ  เพราะตนเองนอนอยู่บนเตียงของหลวงภาคิน  ซึ่งจำได้ว่าก่อนหน้านี้ยังเถียงกันอยู่เลย  พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายแล้ว  เด็กหนุ่มจึงเดินออกจากห้องนอนของข้าราชการหนุ่มเพื่อออกไปตามหาผู้เป็นเจ้าของห้อง ๆ นี้ว่าไปอยู่ที่ไหนกัน
             ตาคู่สวยเหลือบไปเห็นคุณหญิงเพ็ญนั่งกินหมากอยู่ตรงศาลาที่เป็นลานกว้างบนเรือน  ซึ่งบริเวณนั้นก็เป็นที่ที่คุณหญิงท่านชอบมานั่งประจำอยู่แล้ว  เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปหา  พลางนั่งลงตรงพื้นที่ต่ำกว่าผู้อาวุโสนั่งอยู่
   “ มีอะไรหรือพ่ออลิส? ”  ถามออกไป  เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งลงจนได้ที่
   “ คือผมมีเรื่องอยากจะเรียนถามคุณหญิงน่ะครับ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ อะไรรึ? ”  ถามออกไปเพียงแค่นั้น
   “ คือผม...อยากจะเรียนถามคุณหญิงว่า...คุณหญิงพอจะทราบหรือไม่ว่าคุณหลวงอยู่ที่ไหนครับ?! ”  ว่าพลางก้มหน้าอย่างเอียงอาย
   “ อ๋อ!  ก็นึกว่าเรื่องกระไร  มีอะไรจะคุยกับพ่อภาคินอย่างนั้นรึ? ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งหน้าแดงอยู่
   “ ผมคิดว่า...ผมต้องทำอะไรให้คุณหลวงโกรธเป็นแน่เลยครับ  เพราะผมตื่นมาก็ไม่เห็นท่านอยู่ภายในห้องแล้ว  มิหนำซ้ำยังนอนอยู่บนเตียงท่านอีก! ”  พูดออกไปพลางหน้าก็แดงขึ้นเรื่อย ๆ
   “ อ๋อ! อย่างนี้นี่เอง  แม่เห็นพี่เขาเดินไปทางสวนน่ะจ้ะ!  พ่ออลิส ลองไปเดินหาดู ”  ว่าออกมาพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
   “ ขอบคุณครับ ”  ว่าแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นและรีบวิ่งลงจากเรือนไป
   
                อาเธอร์ลิสเดินมาจนถึงสวนที่มีต้นไม้นานาพันธุ์ยืนต้นเรียงรายกันอยู่  ทั้งพวกไม้ดอก  ไม้ผลก็มีปะปนกันไป  มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหลวงภาคินเลย  จึงตัดสินใจเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆ  และในที่สุดก็เห็น      ขุนนางหนุ่มในชุดลำลอง  ที่นุ่งผ้าขากล้วยสีกรม  สวมเสื้อม่อฮ่อมสีขาวบาง  ยืนกอดอกอยู่ใต้ต้นลีลาวดี  อาเธอร์ลิสจึงสาวเท้าเข้าไปหา
   “ คุณหลวง!  อยู่ตรงนี้เองหรือครับ!  ผมตามหากว่าจะเจอ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่ยืนกอดอกอยู่
   “ เอ็งมีอะไร?  อย่ามาวุ่นวายกับฉัน!  ฉันอยากอยู่คนเดียว! ”  ออกปากไล่ไปอย่างนั้น
   “ ผมไม่รู้ว่าทำอะไรให้คุณหลวงไม่พอใจหรือเปล่า!?  ผมเลยอยากจะขอโทษน่ะครับ ”  บอกออกไปพลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย
   “ ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรืออย่างไร! ฉันยังไม่อยากคุยกับเอ็งตอนนี้! ”  ว่าทั้งไม่ได้มองหน้าคนตัวเล็ก
   “ คุณหลวงไม่พอใจอะไรผมอยู่จริง ๆ ใช่ไหมครับ?  ผมขอโทษกับสิ่งที่ผมได้สร้างความลำบากใจให้คุณหลวงไป  แต่จะกรุณาให้อภัยกับความผิดเหล่านั้นของผมได้ไหมครับ... ”  ร่ายยาวออกมาด้วยความรู้สึกผิดพลางแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาตลอด
              ยิ่งเห็นสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของอาเธอร์ลิสยิ่งทำให้หลวงภาคินรู้สึกโมโหกับสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป
   “ เอ็งฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึอย่างไร!  ฉันบอกให้ไสหัวไปอย่างไรเล่า! ”  แผดเสียงใส่ออกไปแล้ว
              อาเธอร์ลิสตกใจจนมือไม้เริ่มสั่น  จึงกดบีบมือตัวเองไว้จนแน่น เพื่อควบคุมไม่ให้ร่างกายสั่นไหว  และเก็บซ่อนความหวาดกลัวนี้เอาไว้
   “ แต่คุณหลวงครับ! ผม...”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกตะหวาดใส่
   “ ฉันบอกให้ไปไกล ๆ อย่างไรเล่า!  รำคาญ! ”  ตะเบ็งเสียงออกไป
           ยิ่งเห็นหน้าเอ็ง!  ก็ยิ่งละอายใจ!  เข้าใจไว้ซะ!
   “ คะ...คุณหลวง...”  เสียงเริ่มสั่น
              ยิ่งเห็นริมฝีปากบางนั่น  ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่  ทำการล่วงเกินเด็กที่ไม่ได้สติ  เป็นสิ่งที่น่าอัปยศต่อตำแหน่งขุนนางเสียจริง ๆ   หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
   “ อย่ามาสำออยใส่ฉัน!  ถ้าอยากได้คนพูดจาหวานหูก็ให้ไปหาหลวงเทพโน่น!  อย่ามายุ่มย่ามกับฉัน! ”  ว่าออกมาแค่ต้องการให้อีกฝ่ายกลับขึ้นเรือนไปเฉย ๆ
             เมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเช่นนั้น  น้ำตาที่คลออยู่ดวงตาคู่สวยตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้  ก็รินไหลลงมาอาบแก้มใสทั้งสองข้าง
   “ ฮึก!  ผมเข้าใจแล้วครับ!  ที่คุณหลวงไล่ผม  เพราะไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่!  ผมขอโทษที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ  ผมจะรีบไปจากเรือนนี้ให้เร็วที่สุด  คุณหลวงจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าผม!  ฮึก! ”  พูดพลางสะอื้นไป
   สองมือเล็กยกปาดน้ำตาที่ไหลเปื้อนอยู่บนหน้า พลิกตัวหันหลังให้ขุนนางหนุ่ม  แล้วจึงวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้น
   “ อาเธอร์ลิส!  เดี๋ยวก่อน! ”  ร้องเรียกตาม
                   โธ่เว้ย!
               สบถออกมาอย่างนั้น  แล้วจึงสาวเท้าตามคนตัวเล็กไป
   “ วิ่งไปไกลถึงไหนแล้ว!  ไอ้เด็กบ้านี่! ”  พูดออกมาอย่างนั้น  เพราะไม่เห็นคนที่วิ่งหนีมา
   “ โอ๊ย! ”
                 เสียงของใครบางคนที่คุ้นหูดังมาจากทางข้างหน้า  พอจับต้นเสียงได้แล้ว  ขุนนางหนุ่มก็รีบวิ่งตามไปทันที  ไม่ผิดแน่  นั่นคือเสียงของคนที่เขากำลังตามหาอยู่

                  เมื่อมาถึงยังจุดกำเนิดเสียง  หลวงภาคินก็ต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น  งูจงอางขนาดใหญ่ยกคอชูชันกำลังแผ่แม่เบี้ยข่มขู่สิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความดุดัน  พร้อมจะฉกกัดปลิดชีวิตศัตรูที่อยู่ตรงนี้ได้ทุกเมื่อ  อาเธอร์ลิสที่ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะขยับ  เพราะขยับเมื่อไร  สองเขี้ยวแหลมคมนั่นก็คงจะฝังลงบนตัวของเด็กหนุ่มเมื่อนั้นเป็นแน่  หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นก็ค่อย ๆ  ขยับเข้าไปทางด้านหลังของอาเธอร์ลิส  แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม  เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตราย  เนื่องจากงูอยู่ใกล้อาเธอร์ลิสเพียงแค่เอื้อมมือ
              หลวงภาคินมาหยุดอยู่ข้างหลังของอาเธอร์ลิส  แต่ก็เว้นระยะห่างไว้พอสมควร  เพื่อไม่ให้อาเธอร์ลิสและอสรพิษตัวใหญ่รู้ตัว  แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น  เพราะดูเหมือนว่า  พญาอสรพิษได้เห็นชายหนุ่มเข้าเสียแล้ว  ขุนนางหนุ่มเองก็ตกใจที่มันกลายเป็นเช่นนี้  ทั้งยังกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นอันตราย  จึงข่มใจให้สงบนิ่งลง  พลางเพ่งสายตาเหยี่ยวไปที่ตาของสัตว์ที่ได้ชื่อว่าพญาอสรพิษ  ดวงตาคมถ่ายทอดออกมาถึงความเกรี้ยวโกรธและหวงแหน  ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าพญางูใหญ่จะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในแววตาของขุนนางหนุ่มหรือไม่  เพราะจู่ ๆ  ลำตัวยาวใหญ่ก็หมอบตัวลงกับพื้นแล้วก็เลื้อยหายเข้าพงหญ้าไป  ก็อย่างว่า  ถึงจะเป็นพญาอสรพิษที่มีพิษร้ายแรงสักแค่ไหนก็ย่อมพ่ายแพ้ให้แก่พญาเหยี่ยวที่มีดวงตามจุราชอยู่วันยังค่ำ
            เมื่อรู้ว่าตนเองหลุดรอดจากการถูกช่วงชิงชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด  อาเธอร์ลิสก็ร้องไห้โฮออกมาสุดเสียงอย่างที่ไม่อาจจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้  หลวงภาคินเห็นคนตรงหน้าสะอื้นหนักจนร่างเล็ก ๆ  สั่นเทาไปหมดก็ไม่อาจที่หยุดมองอยู่เฉย ๆ ได้  ร่างใหญ่เดินมาคุกเข่าอยู่ด้านหลังร่างบาง  พลางยื่นมือทั้งสองข้างไปโอบไหล่ของคนตัวเล็กเอาไว้
   “ ไม่เป็นอะไรแล้ว  มันไปแล้ว...”  ว่าพลางลูบหัวไหล่คนตรงหน้าเบา ๆ
             เมื่อได้ยินเช่นนั้น  อาเธอร์ลิสก็หันไปมองยังปลายเสียงที่พูด
   “ ฮึก!  คุณหลวง...”  ว่าพลางยื่นมือไปกอดลำตัวหนา  พลางซุกหน้าลงตรงอกแกร่ง
   “ อือ!  ฉันเอง! ”  ว่าพลางกระชับกอดคนตัวบางอย่างอ่อนโยน
   “ ผมกลัว...ฮึก! ”  ว่าทั้งสะอื้น
   “ ไม่เป็นอะไรแล้ว  ฉันอยู่นี่! ”  ว่าพลางยื่นมือมาลูบศีรษะคนขวัญเสียเบา ๆ  เป็นเชิงปลอบ
               นานกว่าที่อาเธอร์ลิสจะหยุดร้องไห้  ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่หน้าหวาดกลัวมา  แต่การนั่งปลอบเด็กขี้แยนานขนาดนี้  ก็ทำเอาขุนนางหนุ่มเป็นตะคริวไปทั้งขา  มิหนำซ้ำยังชาไปทั้งตัว  เพราะเด็กหนุ่มกอดรัดลำตัวหลวงภาคินแน่นเสียขนาดนั้น  ซ้ำยังอยู่ในท่านี้เป็นเวลานานอีก  แต่ขุนนางหนุ่มก็มิได้ว่าอะไรออกไปเสียแต่อย่างใด
   “ ถ้าดีขึ้นแล้ว  ก็กลับขึ้นเรือนกันเสียเถอะ!  ปานนี้คุณแม่คงจะเป็นห่วงแล้วกระมัง! ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่พยักหน้ารับ
   “ ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้น! ”  ว่าพลางลุกขึ้นยืน
            ได้ยินหลวงภาคินพูดเช่นนั้น  อาเธอร์ลิสก็ยันตัวลุกขึ้น
   “ โอ๊ย! ”  ร้องออกมาพลางล้มลงไปนั่งที่เดิม
               หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นก็รีบพรวดพราดเข้ามาดู
   “ เอ็งเป็นอะไร?  หรือว่าจะถูกกัดเข้า! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ เปล่าครับ!  ผมสะดุดล้มตอนที่เห็น...งูตัวนั้นพอดีครับ ”  บอกออกไปอย่างนั้น
   “ ไหน!  ฉันดูซิ!  เอ็งนี่มันซุ่มซ่ามได้ตลอดเวลาเสียจริง! ”  ว่าพลางยื่นมือไปจับข้อเท้าเล็ก
   “...”  ไม่พูดอะไรออกไป  แต่สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด  เมื่อถูกจับเข้าที่เท้า
   “ เอ็งไปสะดุดล้มอีท่าไหน!  ถึงได้เขียวปี๋ขนาดนี้  แล้วยังจะมีเลือดไหลออกมาอีก! ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “ ขอโทษครับ ”  ว่าพลางทำหน้าหงอย
   “ นี่เอ็งพูดคำอื่นไม่เป็นแล้วหรืออย่างไร!? ”  ว่าพลางพยุงคนตัวเล็กขึ้น
   “ ก็ผมทำให้คุณหลวงลำบากนี่...อ๊ะ! ”  พูดยังไม่ทันจบ  ตัวก็ลอยขึ้นจากพื้น
   “ ให้ตายเถอะเอ็ง!  ขยันทำให้ฉันรำคาญเสียจริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรออกมาด้วย  ฉันขี้เกียจฟัง ”  ว่าพลางกระชับคนในอ้อมแขนให้ถนัดมือ  แล้วจึงเริ่มเดิน
             ให้ตายเถอะ!  ขยันทำให้เป็นห่วงจริง ๆ ต้องแบบนี้สิ! ถึงจะถูก!  ก็ปากมันไปไวกว่าที่ใจจะคิดเสียทุกทีนี่!  ทำอย่างไรได้...
                                                                                            o18
                        คุณหลวงดุแบบนี้  น้องก็กลัวแย่  เลิกปากหนักได้แล้วกระมังคะ =,,=  ยังไงก็ Happy New Year ล่วงหน้านะคะ  ตอนหน้าเจอกันหลังปีใหม่ค่าาา  มีอะไรก็แว่บมาพูดคุยกันได้ที่เพจนะคะ>>> KesornSama

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 29/12/60 Episode 15. (Page.2)
«ตอบ #39 เมื่อ30-12-2017 00:55:51 »

 :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 29/12/60 Episode 15. (Page.2)
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-12-2017 00:55:51 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 16
( จะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว )

              หลวงภาคินอุ้มอาเธอร์ลิสขึ้นมาส่งถึงห้องนอน  ก่อนจะบอกให้คนรับใช้ไปต้มลูกประคบมาให้  ส่วนเขาทำหน้าที่เช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากแผลของเด็กหนุ่มเอง  เมื่อได้ลูกประคบมาก็เป็นคนลงมือประคบให้กับคนเจ็บเอง  ทั้ง ๆ ที่อาเธอร์ลิสบอกว่าประคบเองได้  แต่ขุนนางหนุ่มก็ไม่ยอมให้ทำ  พลางเอ็ดไปต่าง ๆ นานา  ทำให้คนตัวเล็กต้องยอมแต่โดยดี  ได้แต่นอนนิ่ง ๆ ให้ข้าราชการหนุ่มทำหน้าที่หมอจำเป็นดูแลแผลให้
   “ ทีนี้เอ็งก็อย่าซ่า  เดินเหินไปไหนมาไหนจนไปชนเข้ากับอะไรขึ้นมาอีกล่ะ! ”  ว่าพลางใช้ลูกประคบกดลงตรงแผลที่เขียวช้ำอย่างเบามือ
   “ ผมขอบคุณคุณหลวงมากนะครับ...ที่อุตส่าห์ช่วยผมวันนี้...ไม่อย่างนั้นผมคง...”  ไม่พูดออกไปจนจบ  เพราะยังรู้สึกสะเทือนใจอยู่
   “ เออ ๆ  คราวหน้าคราวหลังก็ระวัง!  อย่าไปเดินเตร็ดเตร่ในทุ่งในสวนตอนกลางค่ำกลางคืน  ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา!  พี่สาวเอ็ง  พ่อกับแม่ที่รอเอ็งอยู่ที่อังกฤษจะทำอย่างไร ”  พูดเตือนออกไป
   ฮึก ฮึก ฮึก!
   “ ผมขอโทษครับ!  ที่ไม่คิดให้รอบคอบ ”  ว่าพลางสะอื้น
                 อ้าวเฮ้ย!  อย่ามาร้องไห้ให้เห็นสิเว้ย!
   “ พอเลยเอ็ง! พิรี้พิไรอยู่ได้! หนวกหู! ”  แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
               อันที่จริง  หลวงภาคินเป็นคนแพ้น้ำตา  โดยเฉพาะน้ำตาของคนตรงหน้า  มีผลต่อความมั่นคงทางอารมณ์ของขุนนางหนุ่มยิ่งนัก
   “ ขอโทษครับ ”  ว่าพลางสะกดกลั้นให้หยุดร้องไห้
               การกระทำอย่างนั้นของอาเธอร์ลิส  ทำให้หลวงภาคินรู้สึกว่ามันน่ารักน่าเอ็นดู  จนหลุดยิ้มออกมา  แต่อาเธอร์ลิสไม่ได้สังเกตเห็น
   
“ เสร็จแล้ว!  เอ็งนอนพักไปเลย  แล้วก็พรุ่งนี้ไม่ต้องออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหน  อยู่ในห้องนี้ไป  เดี๋ยวฉันจะให้คนมาคอยดูแล ”  ว่าพลางยกลูกประคบออกจากข้อเท้าช้ำ  แล้ววางลงที่ถาดใบเล็กที่ใส่ก้อนยาสมุนไพรนี้มาตั้งแต่คราแรก 
   “...”  ไม่ได้ตอบอะไร
   “ ถ้าอย่างนั้น  ฉันไปก่อนนะ  เหนื่อยกับเอ็งมาเกือบทั้งวันแล้ว ”  ว่าพลางเตรียมตัวจะลุก
   “...”  เงียบ   
   “ นี่เอ็งไม่คิดจะตอบฉันสักคำเลยรึอย่าง...ไร...”  โพล่งออกไปเสียงดัง  แล้วค่อย ๆ ผ่อนเสียงเบาลง  เมื่อเหลือบไปเห็นดวงตาคู่สวยถูกปิดลงด้วยเปลือกตา  ที่ประดับไปด้วยแพขนตายาวสวย
   “ ก็ว่าอยู่  ทำไมถึงเงียบเสียขนาดนั้น  ที่แท้ก็หลับไปแล้ว ”  ว่าพลางอมยิ้มออกมา  แล้วขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ  คนที่หลับอยู่
   “ หยุดทำให้ฉันเป็นห่วงได้แล้ว  ไอ้เด็กดื้อ ”  ว่าพลางยื่นมือไปลูบที่เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเบา ๆ  ก่อนจะประกบริมฝีปากลงเบา ๆ  บนเรียวปากสีสวย  “ ราตรีสวัสดิ์นะ ” 
                                                                                                αΩ
   “ พ่อภาคิน!  แล้วพ่ออลิสล่ะ!  ไปตามน้องมากินข้าวเสียหน่อยสิ! ”  บอกออกไปอย่างนั้น  เมื่อไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้
   “ คงออกมาไม่สะดวกหรอกขอรับ  เท้าเจ็บ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางตักอาหารเข้าปาก
   “ คุณพระ!  แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า  แล้วไปทำอย่างไรถึงได้เจ็บเท้า!  หรือว่าพ่อทำอะไรน้อง!? ”  โพล่งออกไปทั้งยังจ้องคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตาเขม็ง
   “ โธ่คุณแม่!  กระผมจะไปทำอะไรพ่อคนดีของคุณแม่ล่ะขอรับ! ”  ว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชัน  “ เด็กนั่นซุ่มซ่ามวิ่งหกล้มเอง  กระผมก็เลยเป็นคนแบกขึ้นเรือน  มิหนำซ้ำยังเป็นคนประคบยาให้อีก  คุณแม่มาคาดโทษกระผมแบบนี้  กระผมก็มีหัวใจนะขอรับ! ”  ว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
   “ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป  อย่าให้แม่รู้ว่าทำอะไรพ่ออลิส! ”  ไม่วายขู่ตบท้าย
   “ ขอรับ... ”  ขานรับพลางยิ้มบาง ๆ  ให้ผู้เป็นมารดา
   “ แล้วน้องจะไม่หิวแย่รึนั่น! ”  ว่าออกไปพลางส่งสีหน้าเป็นกังวลออกมา
   “ กระผมให้นังน้อยจัดเตรียมอาหารไปให้แล้วครับ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ถ้าอย่างนั้นก็จะได้หายกังวลหน่อย! ”  ว่าพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
   “ แล้ววันนี้พ่อภาคินไม่เข้าราชสำนักรึ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ ไม่ได้เข้าขอรับ ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น  ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า
“ วันนี้ตอนเย็นมีงานเฉลิมฉลองการเลื่อนตำแหน่งของลูกชายพระยา
สรเดช  กระผมได้รับเชิญให้ไปร่วมงานนี้ด้วย  และจะถือโอกาสเจรจาหารือกับท่านเรื่องลงนามบัญญัติระเบียบการปกครองฉบับใหม่ของสยามไปในคราเดียวกันเลยน่ะขอรับ  หากได้ท่านมาเป็นฝ่ายสนับสนุนเรื่องระบบการปกครองที่กระผมเสนอ   ประเทศสยามของเราคงจะก้าวข้ามวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอนขอรับ! ”
   “ ถ้าเป็นเช่นนั้น  แม่ก็ขอให้พ่อทำสำเร็จ ”  บอกอวยพรกลับไป
   “ ขอรับคุณแม่ ”
                  พอถึงเวลาพลบค่ำ  ก็ถึงเวลาที่ขุนนางหนุ่มในชุดราชปะแตนจะออกจากเรือน  เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่  อันเป็นที่พำนักอาศัยของพระยาสรเดช
รถคันสีเหลืองซีดแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนของพระยาสรเดชเรียบร้อย  ขุนนางหนุ่มก็ก้าวลงจากรถทันทีที่ประตูรถถูกเปิดออก  สองมือหนาขยับเครื่องแบบราชการให้เข้าที่เข้าทาง  แล้วจึงเดินเข้าอาณาเขตเรือนหลังนั้นไปอย่างสง่าผ่าเผย
                  บรรยากาศรอบ ๆ  เรือนเต็มไปด้วยความครึกครื้น  เสียงบรรเลงปี่พาทย์ก็ดังระงมไปทั่วทั้งเรือน  พอขึ้นมาถึงบนเรือน  ก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้ยืนได้  เพราะเต็มไปด้วยแขกเหรื่อข้าราชการขุนนางระดับสูงอย่างมากหน้าหลายตา  บ้างเริงรมย์กับอาหารการกิน  บ้างสนทนากันอย่างกับไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน  และขุนนางหนุ่มก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกตบเข้ากลางหลังอย่างแรง
   “ ว่าอย่างไรหลวงภาคิน!  มาด้วยรึ? ”
   “ ทำอะไรของคุณหลวงขอรับ! ”  ว่าพลางหันไปมองหน้าคนมือบอน
   “ ก็ทักทายกันตามประสามิตรสหายอย่างไรเล่า!  ทำเป็นโมโหไปได้ ”  ว่าพลางหัวเราะออกมา
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   “ ว่าแต่...หลวงภาคินก็ได้รับเชิญให้มารึ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ ขอรับ ”  ขานรับไปแค่นั้น
   “ อย่างนี้นี่เอง  ถ้าอย่างนั้นเข้าไปหาท่านกันเถอะ! ” 
   “ ว่าอะไรนะขอรับ? ”  ถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ
   “ ก็ที่หลวงภาคินมาที่นี่ก็เพื่อจะเจรจากับพระยาสรเดชเรื่องระเบียบการปกครองไม่ใช่รึ? ”  ว่าออกมาพลางยิ้มกว้าง
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
                  หลวงเทพรู้ความคิดของหลวงภาคินทุกอย่าง  ถึงอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนที่พูดจาออกมาตรง ๆ  แต่ก็มักจะแสดงออกมาจากการกระทำ  จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร  ก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนอายุจะจวบเบญจเพสขนาดนี้  มีรึจะไม่รู้นิสัยสหายรักคนนี้
                  หลวงภาคินกับหลวงเทพได้เข้าไปสนทนาเรื่องระเบียบการปกครองของสยามกับพระยาสรเดชอยู่ตั้งนานสองนาน  จนในที่สุดก็เป็นผลสำเร็จ  เมื่อพระยาสรเดชตกลงยอมที่จะลงนามในระเบียบการปกครองใหม่ที่หลวงภาคินนำเสนอต่อราชสำนัก  มิหนำซ้ำพระยาอาวุโสยังบอกว่าจะขอความร่วมมือจากขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนให้มาร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วย  เพราะพระยาสรเดชเองก็มีบุตรชายเป็นชนชั้นผลิตทายาทเช่นกัน  ย่อมไม่อยากที่จะเห็นบุตรของตนเองถูกกดขี่ข่มเหง  เอารัดเอาเปรียบเหมือนกัน
                   เมื่อการเจรจาเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างที่คาดหวังไว้  หลวงภาคินก็เตรียมตัวจะลากลับ  แต่ก็ถูกรั้งให้อยู่ดื่มยาดองต่อเสียก่อนค่อยกลับ  ซึ่งชายหนุ่มทั้งสองก็ขัดไม่ได้เมื่อผู้ใหญ่เอ่ยปากชวน
                   ยาดองกว่าแปดขวดที่ขุนนางหนุ่มทั้งสองซดเอาเข้าไปในปาก  ทีแรกก็ขัดขืน  ไม่อยากจะดื่ม  พอของมึนเมาเข้าปากเท่านั้นล่ะ  บังคับตนเองให้หยุดไม่ได้เลย  หนักสุดก็หลวงภาคินนี่ล่ะ  ดื่มไปคนเดียวหกขวด  คออ่อนเมาง่าย  แต่เก็บอาการทางสีหน้าได้ดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้   ส่วนหลวงเทพ  แค่ดื่มยาดอง  ของง่ายดายอยู่แล้วสำหรับชายเจ้าสำราญ  สามารถดื่มได้ทั้งคืนโดยไม่มีอาการมึนเมาใด ๆ ได้แน่นอน  แต่เนื่องจากความเป็นห่วงสหายรัก  จึงเอ่ยปากขอตัวลาพระยาสรเดชกลับเรือน  เพราะคิดว่าหากปล่อยให้หลวงภาคินยังดื่มต่อ  ต้องไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน
                   หลวงเทพพยุงหลวงภาคินมานั่งบนรถได้   ก็รีบเดินกลับมายังรถของตนเองที่จอดอยู่ไม่ไกลจากรถคันสีเหลืองซีดคันนั้นเสียเท่าไร
                   พอรถทั้งสองคันมาจอดสนิทอยู่ที่หน้าเรือนหลังใหญ่  ขุนนางหนุ่มทั้งสองก็ก้าวขึ้นเรือนไปอย่างทุลักทุเล  โดยมีคนที่ไม่เมาคอยพยุงคนที่เมาลึกให้ขึ้นมาถึงบนเรือนได้อย่างปลอดภัย
                    เมื่อเห็นหลวงภาคินเดินเข้าห้องนอนไปแล้ว  หลวงเทพก็ตั้งท่าว่าจะกลับ  หากแต่สายตากลับเหลือบไปเห็นอาเธอร์ลิสเดินกะเผลก ๆ  อยู่ภายในห้อง ๆ หนึ่ง   ก็ได้ยินหลวงภาคินบอกปราย ๆ  อยู่ว่าวิ่งหกลิ้ม  แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บมากเสียขนาดนี้  จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา 
   “ นี่น้องกำลังทำอะไรอยู่รึ? ”   ว่าพลางเดินไปพยุงคนเจ็บไว้
   “ ผมหิวน้ำน่ะครับ!  ว่าจะออกไปเอาน้ำมาไว้ดื่ม ”  ตอบออกไปอย่างนั้น
   “ ถ้าอย่างนั้นรออยู่ตรงนี้  เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้ ”  พูดพลางพยุงคนตัวเล็กไปนั่งลงที่เตียง  แล้วก็เดินออกไปจากห้องนั้นทันที
   “ เดี๋ยวครับ!  หลวง...เทพ...”  พูดไม่ทันจบ  คนใจร้อนก็ผลุนผันออกไปเสียก่อน
                     ไม่นานเกินรอ  หลวงเทพก็เข้ามาพร้อมขันน้ำใบใหญ่  อีกทั้งฉีกยิ้มกว้างให้คนที่นั่งอยู่บนเตียง
   “ ขอบคุณครับ  ที่จริงไม่ต้อง...”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกนิ้วมือหนากดลงที่ริมฝีปากเบา ๆ  เป็นเชิงให้หยุดพูด
   “ พี่เต็มใจ  รีบดื่มเสียเถอะ!  บอกว่าหิวน้ำไม่ใช่รึ!? ”  ว่าพลางพยุงขันให้คนตัวเล็กดื่มน้ำ 
   “ ขอบคุณครับ ”  กล่าวแล้วก็ดื่มน้ำในขันจนอิ่ม
   “ ด้วยความยินดีขอรับ ”  ว่าพลางวางขันน้ำลงบนโต๊ะข้าง ๆ  เตียงนอน  แล้วขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ  คนเท้าเจ็บ
                      การกระทำของหลวงเทพทำให้อาเธอร์ลิสตกใจจนต้องถอยรุดไปข้างหลังทันที  ไม่เพียงทำแค่นั้น  สองมือหนายังฉวยโอกาสจับมือบางทั้งสองข้างไว้ในมือพลางกดลูบเบา ๆ
   “ น้องมีคนที่ชอบพอแล้วหรือยัง? ”  ถามออกไปเสียอย่างนั้น
   “ อะไรนะครับ?! ”  โพล่งออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหม
   “ พี่ถามว่าน้องมีคนที่รักใคร่ชอบพอแล้วรึยัง? ”  ย้ำออกไปอีกครั้ง  พลางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้คนตรงหน้า
   “ เอ่อ...ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยครับ ”  ตอบออกไปอย่างนั้น
   “ ถ้าเช่นนั้นก็...แสดงว่ายังไม่มี!? ...ดีใจจัง...”  ว่าพลางยกมือบางของคนตรงหน้ามาแนบไว้ที่อก
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย
   “ พ่ออลิส...จะออกเรือนไปกับพี่ได้ไหม? ”  ถามพลางส่งสายตาอ้อนวอน
   “ ว่าอย่างไรนะครับ!? ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจอีกครั้ง
   “ พี่ถามว่า  ออกเรือนไปอยู่กับพี่ได้ไหม?  นั่นก็หมายถึงให้พ่อ
อลิสมาเป็นภรรยาของพี่ ”  ว่าออกไปให้กระจ่าง  พลางส่งยิ้มละมุนให้กับคนที่กำลังตื่นตระหนกอยู่
   “ คือผม...ยังไม่...”  พูดไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
   “ ไม่ต้องรีบให้คำตอบพี่หรอก  อีกสองวันพี่จะมาเอาคำตอบ  เราจะไปตบแต่งกันที่เรือนคุณแม่ของพี่  แล้วเราสองคนก็จะย้ายไปอยู่ที่เวียงจันทน์ด้วยกัน  เพราะพี่ต้องดูแลที่นั่น ”  ว่าแผนการออกมาเสร็จสรรพ  เพราะไม่อยากได้ยินคำพูดเชิงปฏิเสธ
   “ คุณหลวง...”  เรียกออกไปอย่างนั้น  เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
   “ ถ้าอย่างนั้น  พี่กลับดีกว่า!  น้องจะได้พักผ่อน  เท้าจะได้หายเร็ว ๆ ”  ว่าออกไปอย่างนั้นพลางยิ้มให้คนตรงหน้า
   “ หลวงเทพครับ!  คือผม...”  พูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็วางมือลงบนศีรษะ
   “ ราตรีสวัสดิ์นะ!  เด็กดีของพี่...”  ว่าพลางลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ  แล้วเดินออกจากห้องไป
   “...”  พูดอะไรไม่ออก
                    อาเธอร์ลิสแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น  เขาถูกขุนนางระดับสูงขอแต่งงาน!  เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตของเด็กหนุ่มก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น  อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องชีวิตคู่เลยก็เป็นได้  แต่เหนือสิ่งอื่นใด  การจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนมันก็ต้องเกิดจากความรักของคนทั้งสองฝ่าย  ซึ่งเขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลวงเทพไปมากกว่าแค่เป็นสหายของเจ้านายคนหนึ่ง  หรือหากจะรู้สึกพิเศษอะไรด้วยก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนพี่ชายเสียมากกว่าจะเป็นในแบบที่เขาเรียกว่าคนที่รักใคร่ชอบพอกัน 
                    เมื่อไม่มีอะไรที่ต้องทำต่อแล้ว  อาเธอร์ลิสจึงขยับตัวขึ้นนอนบนเตียงอย่างเต็มตัว  มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดไว้ระดับอก  ตาคู่สวยค่อย ๆ  ปิดลงอย่างช้า ๆ  พร้อมจะเข้าสู่นิทราเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างที่มันควรจะเป็นเสียที  ทว่าก็ต้องเปิดเปลือกตากลับขึ้นมาใหม่  เพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังออกมาจากทางประตู
                   ปัง!  แก๊ก!
                   เสียงปิดประตูและลงกลอนประตูไปในคราวเดียวกัน  ทำให้อาเธอร์ลิสต้องยันตัวเองลุกนั่ง  เพื่อมองไปยังต้นสายปลายเหตุของเสียงนั่น
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “...”  ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ  กลับมา
                    อาเธอร์ลิสตกใจไม่น้อยที่เห็นหลวงภาคินเข้ามาอยู่ในห้องของตน  มิหนำซ้ำยังปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา  ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น  เด็กหนุ่มไม่มีทางที่จะวิ่งไปเปิดประตูได้ทันท่วงทีเป็นแน่
   “ คุณหลวงมีอะไรหรือครับ? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
   “...”  ไม่พูดอะไรออกมา
                    หลวงภาคินเดินเข้ามาใกล้อาเธอร์ลิส  แล้วนั่งลงข้างๆ ร่างบางที่ได้นั่งอยู่บนเตียงก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้ามาเสียอีก
   “ ฉันจะไม่ยอมให้เอ็งเป็นของใคร! ”  พึมพำออกมา
   “ คุณหลวงว่าอะไรนะครับ? ผมฟังไม่ค่อยถนัดเลย ”  ถามออกไปเพราะได้ยินไม่ชัด
                     สองมือหนาจับเข้าที่หัวไหล่เล็กอย่างแรง
   “ คุณหลวงครับ!? ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ เอ็งจะออกเรือนไปกับหลวงเทพใช่ไหม? ”  ถามออกไปเสียงต่ำ
   “ คุณหลวงว่าอย่างไรนะครับ? ”  ถามออกไปเพราะได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ชัดอีกแล้ว
   “ เอ็งจะออกเรือนไปกับหลวงเทพใช่ไหม!? ”  ตะโกนออกมาเสียงดัง
   “ คะ...คุณหลวงได้ยินหรือครับ!? ”  ถามออกไปด้วยความตกใจ
   “ เอ็งอยากจะไปอยู่กับมันจริง ๆ สินะ? ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ใช่นะครับคุณ...อื้อ ”
                        บอกออกไปยังไม่ทันจบ  ริมฝีปากร้อนผ่าวก็ประกบจุมพิตลงมาอย่างหนักหน่วง  จนทำให้อาเธอร์ลิสต้องเบิกตากว้างทันที
   “ ฉันจะไม่ยอมให้เอ็งไปเป็นของใคร! ” 
                       พูดออกมาเพียงแค่นั้น  ริมฝีปากหนาก็กดจูบลงบนเรียวปากสีสวยอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง  ปลายลิ้นอุ่นดุนดันให้ริมฝีปากบางแยกออกจากกัน  แล้วจึงสอดใส่ลิ้นร้อนนั้นเข้าไปในโพรงปากแสนหวาน  ดื่มด่ำกับความหอมหวานทุกหยาดหยดอย่างเหือดกระหาย  ไม่เพียงเท่านั้นลิ้นแสนเจ้าเล่ห์ยังซอกไซ้ไรฟันของคนตัวเล็กไปทั่วทุกมุมปาก  ไม่ให้เหลือสิ่งไหนที่ไม่ได้ครอบครองภายในโพรงปากบอบบางนั่นเลย
                        ร่างเล็กพยายามดิ้นอย่างสุดกำลัง  เพื่อจะให้หลุดออกจากการถูกบุกรุกในครั้งนี้  จนในที่สุดคนร่างใหญ่ยอมที่จะถอนริมฝีปากอันร้อนผ่าวนั้นออกไป
   “ คะ...คุณหลวงเมามากแล้วนะครับ! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  เพราะได้กลิ่นและรสเฝื่อนของสิ่งมึนเมาจากโพรงปากของชายหนุ่ม
   “ วันนี้เอ็งต้องเป็นของฉัน! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น 
                       มือหนากระชากเสื้อของคนตัวเล็กจนขาดหลุดลุ่ย  แล้วจึงดึงมันออกไปให้พ้นทาง  ร่างใหญ่กดคนร่างบางให้นอนราบไปกับเตียง  จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาค่อมไว้  มือทั้งสองข้างยื่นขึ้นมาแกะกระดุมเสื้อราชปะแตนของตนเองออก  จนกระดุมถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระทุกเม็ด  จากนั้น
ขุนนางหนุ่มก็ถอดเสื้อสีขาวนั้นออก  แล้วจึงเหวี่ยงออกไปให้พ้นทางเขาอีกครั้ง
                      หลวงภาคินที่ไร้ซึ่งเสื้อราชการห่อหุ้ม  ก็เผยให้เห็นมัดกล้ามที่กำยำสมดังชายชาตรี
   “  ฉันจะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว  ถ้ามันทำให้ฉันได้เอ็งมาเป็นเมีย ”  ว่าออกไปแค่นั้นก็ยื่นมือไปจับยังผ้านุ่งของคนใต้ร่าง
“ คุณหลวง!  ปล่อยผม...อื้อ ”
                      อาเธอร์ลิสไม่มีโอกาสที่จะพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว  เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงมาอีกรอบ  อีกทั้งมือหนาก็ดึงรั้งผ้านุ่งของเด็กหนุ่มจนหลุดออกจากเรียวขา  และถูกคว้างให้พ้นทางในที่สุด
                      ริมฝีปากร้อนถอนออกมาจากเรียวปากบาง  แล้วเลื่อนลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอขาว  พลางสูดดมเอากลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด  จากนั้นกดจูบลงบนซอกคอเนียนจนเกิดรอยแดง
   “ อื้อ...”  หลุดเสียงครางออกมาเพราะรู้สึกเจ็บ
                      เรียวปากหนาไม่หยุดลงเพียงแค่นั้น  หลังจากฝากรอยจูบไว้ที่ซอกคอขาวผ่องแล้ว  ก็หันมาหยอกเย้าคลอเคลียกับยอดอกสีสวย  จากเม้มขบเบา ๆ  ก็กลายเป็นดูดดึงอย่างหนักหน่วง  เมื่อข้างหนึ่งเกิดสี  ก็หันมาดูดอีกข้าง  สลับไปมา  จนคนใต้ร่างรู้สึกเสียวซ่านกับสัมผัสเหล่านั้น  พลางแอ่นอกรับกับริมฝีปากร้อนนั่นอย่างไม่ละอาย  แท่งแก่นกลางลำตัวที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดไว้ก็ตั้งชูชันขึ้นมาอย่างสุดที่จะห้ามได้
   “ ดูเหมือน...เอ็งก็อยากจะเป็นเมียฉันเต็มทนแล้วนี่! ” ว่าอย่างนั้นออกไป  เมื่อเห็นความตื่นตัวของอีกฝ่าย
   “ คุณหลวงปล่อยผมไปเถอะ!  ฮึก! ”  ว่าออกมาทั้งน้ำตา
   “ ขอปฏิเสธ! ”  ว่าออกไปเพียงแค่นั้น
                    ปลายนิ้วยาวถูวนตรงช่องทางสีหวานแล้วจึงค่อย ๆ  กดแทรกเข้าไปอย่างช้า ๆ พอเข้าไปลึกได้ที่ก็เริ่มขยับเข้าออกอย่างช้า ๆ  ทำเอาคนที่นอนรับสัมผัสอยู่ถึงกับทำหน้าเหยเกออกมาด้วยความไม่คุ้นชิ้นกับสัมผัสของสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเข้าไปในร่างกายของตน  และต้องถึงกับสะดุ้งสุดตัว  เมื่อนิ้วซุกซนนั้นไปสัมผัสถูกจุดเร้าบางอย่างจนทำให้รู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัว
   “ คะ...คุณหลวงครับ!  ผะ...ผมเจ็บ...”  พูดออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ถูกรุกล้ำ
   “...”  ไม่พูดอะไรออกมา
                    อาธอร์ลิสหารู้ไม่ว่า  ตอนนี้ตนเองได้ทำสีหน้าเช่นใดออกมา  มันดูเย้ายวนเสียเหลือเกินจนขุนนางหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรังแก  จึงเพิ่มนิ้วเข้าไปในช่องทางสีกุหลาบนั้นเป็นสองนิ้ว  และสามนิ้วในที่สุด  คนเจ้าเล่ห์เพิ่มความถี่ในการขยับเข้าออกของนิ้วมือ  พลางก้มตัวลงไปกัดขบเม็ดทับทิมที่ประดับอยู่บนอกบางอย่างหมั่นเขี้ยว  ก่อนที่จะถอนนิ้วออกเมื่อเห็นว่ามีของเหลวสีใสไหลออกมาจากช่องทางบอบบางนั่น  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  คนใต้ร่างพร้อมที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเข้าไปแล้ว 
   “ อา...”  ครางออกมาเมื่อถึงแก่ความสุข  หลังจากที่อีกฝ่ายถอนนิ้วมือออกไป
   “ สุขสมได้ถึงเพียงนี้  คงไม่ต้องบอกให้ฉันหยุดแล้วกระมัง! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางขยับลำตัวเข้ามาชิดเรียวขาของคนใต้ร่าง
   “ คุณหลวง!  อย่าทำแบบ....อึ้ก! ”
                    พูดออกไปไม่ทันจบก็ต้องหลุดเสียงครางออกมา  เมื่อแท่นกายขนาดใหญ่กดแทรกเข้ามาในช่องทางอันแสนหวาน  วัตถุขนาดมหึมานั้นมันเข้ามาลึกจนอาเธอร์ลิสรู้สึกคับแน่นไปทั่วทั้งช่องท้อง  และเมื่อดันเข้ามาจนสุดแล้วเจ้าของแก่นกายใหญ่ก็ค่อย ๆ ขยับอวัยวะกลางลำตัวนั่นเบา ๆ  เพื่อสร้างความคุ้นชินให้คนใต้ล่าง
   “ อึ้ก!  คะ...คุณหลวง...เจ็บ...เอาออกไป...”  ออกปากห้ามออกไปด้วยความเจ็บปวด  อีกทั้งน้ำตาที่คลออยู่ก็ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
   “...”
                      หลวงภาคินไม่พูดอะไรออกมา  เพียงแต่พรมจูบซับน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยทั้งสองข้างนั้นเบา ๆ   แล้วก็ประทับจูบลงบนหน้าผากขาวอย่างอ่อนโยน  จากนั้นก็เลื่อนลงมาจุมพิตที่ปลายจมูกโด่งรั้นที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว  ก็เพราะคนตัวเล็กร้องไห้หนักเสียขนาดนั้น  แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มดูน่ารักน่าเอ็นดูมากในความรู้สึกของหลวงภาคิน  และในที่สุดริมฝีปากร้อนผ่าวนั่นก็มาหยุดอยู่บนเรียวปากบางของคนใต้ร่าง  ลิ้นร้อนดุนดันให้ริมฝีปากกลีบกุหลาบเปิดออกก่อนจะสอดใส่เข้าไปในโพรงปากอันอ่อนนุ่มนั้น  กวาดตวัดเอาความหอมหวานทุกหยาดหยดจากโพรงปากบอบบางอย่างบ้าคลั่ง  จนทำให้คนใต้ร่างหายใจหายคอแทบจะไม่ทันกับจุมพิตอันเร่าร้อนนี้ของขุนนางหนุ่ม  เมื่อเห็นเช่นนั้นริมฝีปากหนาจึงถอนออกมาจากเรียวปากสีสวย  เพื่อให้อีกฝ่ายได้สูดเอาอากาศเข้าไป  และช่วงล่างของลำตัวจากก่อนหน้านี้ที่ขยับเข้าออกเบา ๆ  ทว่าขุนนางหนุ่มกลับเพิ่มความเร็วแรงในการเคลื่อนไหวขึ้น  จนร่างเพรียวสั่นไหวไปตามแรงกระแทกของชายหนุ่ม  สองมือหนาจับสะโพกของอาเธอร์ลิสยกขึ้นอีก   เพื่อที่จะให้รองรับกับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้
   “ อา...คะ...คุณหลวง...มะ...ไม่...ไหว..”   ครางออกมาอย่างนั้น
                     ยิ่งได้ยินอาเธอร์ลิสครางออกมาอย่างนั้น  ยิ่งทำให้หลวงภาคินมีอารมณ์มากขึ้น  เลือดในกายของชายหนุ่มแล่นพล่านไปทั่วทั้งตัว  ร่างกายร้อนรุ่มจนแทบจะหลอมละลายได้อย่างไรอย่างนั้น  ตอนนี้เขาก็ไม่ไหวแล้วอยากที่จะปลดปล่อยความเสียวซ่านนี้เต็มทน   ร่างใหญ่ออกแรงขยับมากขึ้นจนไม่รู้ว่าจะมากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว  ความเร็วและความหนักหน่วงของแรงกระแทกทำให้คนตัวเล็กแทบที่จะขาดสะบั้นเลยก็ว่าได้  มันทั้งเจ็บและสุขสมในเวลาเดียว  ขุนนางหนุ่มลดความเร็วในการกระแทกแก่นกายขนาดใหญ่ลงแล้วค่อย ๆ  ฝังเข้ามาอย่างแน่นหนักจนในที่สุดสิ่งที่ถูกอัดอั้นไว้ก็ได้ปลดปล่อยออกมา   และเมื่อความอุ่นร้อนนั้นไหลท่วมไปทั่วทั้งช่องท้องของอาเธอร์ลิสก็ทำให้เด็กหนุ่มได้ถึงแก่ความสุขตามไปด้วยเช่นกัน
                      มันไม่ได้จบลงแค่การถึงแก่ความสุขเพียงรอบเดียวหรอก  หลวงภาคินบรรเลงรักกับอาเธอร์ลิสไปหลายต่อหลายรอบ  เมื่อถึงจุดสุขสมก็จะเริ่มบทรักใหม่ขึ้นมาอีก  และไม่มีทีท่าว่าจะจบลง  เพราะในราตรีนี้มีเพียงเขาสองคนที่ได้ผูกสัมพันธ์กันทางกายไปแล้ว  หลวงภาคินจึงไม่อาจที่จะหยุดยั้งไฟปรารถนาที่มีต่ออาเธอร์ลิสลงได้  ก็ในเมื่อคน ๆ  นี้เป็นของเขาแล้ว  เขาก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ  ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม  ขอแค่ค่ำคืนนี้ได้ดื่มด่ำไปกับรสสวาทอันแสนหวานนี้ให้ยาวนานไปทั้งราตรีก็เพียงพอแล้ว
                      เหงื่อไคลไหลทั่วร่างกายกำยำเมื่อความคับแน่นถูกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของค่ำคืนนี้  ยังไม่ทันได้ถอนท่อนกายออกมาจากช่องทางรักของคนใต้ร่าง  ก็เหลือบไปเห็นคนตัวเล็กที่นอนแน่นิ่งไปแล้ว  ใบหน้าสวยแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา  เนื้อตัวเนียนขาวเต็มไปด้วยร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของที่ขุนนางหนุ่มได้กระทำเอาไว้   มือหนายื่นไปปาดคราบน้ำตาบนหน้าคนตัวเล็กออก  พรางโน้มหน้าเข้าไปประทับจุมพิตที่ริมฝีปากสีระเรื่ออย่างแผ่วเบา  ก่อนจะค่อย ๆ  ถอดแก่นกายออกจากช่องทางอันแสนหวานของคนที่สลบอยู่อย่างช้า ๆ
                       ร่างใหญ่นอนลงข้าง ๆ ร่างเล็ก  พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งสองร่างไว้ที่ระดับอก  มือหนาดึงร่างบางนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก  กดจูบลงบนศีรษะคนในอ้อมกอดอย่างเสน่หา
   “ พี่จะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว!  หากมันจะทำให้พี่ไม่ต้องเสีย อลิสไป...”
                       จะยอมเป็นคนเห็นแก่ตัว...ถ้าหากไม่ต้องเสียคนที่รักไปใคร...
                                                                                             :m25:
ลับมาอัพต่อแล้วค่าาา  ตอนนี้ NC กระจาย  ขอทุกคนอยู่ในความสงบ =,,= งือคุณหลวงทำไมรุนแรงกับน้องแบบนี้  สงสารน้องTT  แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันดีต่อการหลังไหลของกำเดา 555555555  สำหรับใครที่อยากได้หนังสือเรื่องนี้ยังสามารถจองได้อยู่นะคะ  แล้วก็ยังได้โปสการ์ดอยู่ด้วย  เหลือโควต้าอยู่ อิอิ  แล้วก็ขอฝากผลงานอีกเรื่องที่ลงที่นี่ด้วยนะคะ >>> ลวงแค้น [Omegavers]  พูดคุย+ทวงนิยาย+สั่งซื้อหนังสือ ได้ที่เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama ปล. นิยายเรื่องนี้มีพาร์ทของคู่อื่นด้วยนะคะ^^  แต่อาจจะได้ทำตอนกลาง ๆ ปี หรือท้าย ๆ ปีเลย  เพราะคิวเรื่องอื่นที่วางไว้แน่นเอี๊ยดดด 555  ฝากติดตามด้วยนะคะ^_^ 
 **เอาภาพสเก็ตโปสการ์ดภาพประกอบเรื่องมาแปะให้ดูกันด้วยนะคะ=,,=

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-01-2018 12:32:57 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ Jipp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 07/01/61 Episode 16. (Page.2)
«ตอบ #41 เมื่อ07-01-2018 20:10:49 »

หลวงภาคินทบน้องอลิส :jul1: :jul1:

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 07/01/61 Episode 16. (Page.2)
«ตอบ #42 เมื่อ11-01-2018 16:55:13 »

งง ๆ กับความขี้หวงของคุณหลวงจริง ๆ หวงก้างชะมัด

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 07/01/61 Episode 16. (Page.2)
«ตอบ #43 เมื่อ12-01-2018 19:03:07 »

ขี้หวงแท้

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 17
( หัวใจที่บอบช้ำ )


          แสงดวงอาทิตย์ในยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางด้านหน้าต่าง  ตกกระทบเข้ากับเปลือกตาคู่หนา  ทำให้คนร่างใหญ่ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น  พลางพาดลำแขนไปยังข้าง ๆ ลำตัว  เพื่อจะดึงคนตัวเล็กเข้ามาโอบกอดเอาไว้  แต่ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เพราะ ข้างกายของหลวงภาคินไม่ได้มีเด็กหนุ่มผิวขาวนอนอยู่ข้าง ๆ แล้ว  พอกวาดสายตาไปรอบ ๆ  ห้อง  ก็ไม่พบแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ของอาเธอร์ลิสเหลืออยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว  นั่นก็แสดงว่าคนที่ขุนนางหนุ่มมอบรสพิศวาสให้ทั้งราตรีที่ผ่านมา  ไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว  มือหนาทั้งสองข้างลูบเข้าที่ใบหน้าอย่างละห้อยใจ
           เมื่อนั่งใคร่ควรอะไรบางอย่างได้สักพัก  ขุนนางหนุ่มก็รีบหยิบเสื้อผ้าของตนที่วางกองอยู่ที่พื้นขึ้นมาสวมใส่  ก่อนรีบพรวดพราดออกจากห้องไป  สองขายาว  เดินก้าวลงจากเรือนพร้อมทั้งร้องสั่งให้คนรับใช้เอารถออก  พอประตูรถเปิดออก  ร่างสูงก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถทันที  และเมื่อคนขับประจำที่เรียบร้อยแล้วก็เร่งให้รีบเคลื่อนรถออกไป
           รถคันสีเหลืองซีดแล่นมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของคู่แห่งโชคชะตา  พอรถจอดสนิท  ขุนนางหนุ่มก็รีบพรวดพราดลงจากรถมาทันที  โดยไม่รอให้คนรับใช้มาเปิดประตูรถให้  ร่างสูงก้าวขึ้นบันไดของเรือนพระราชทานไป  เพื่อหวังที่จะได้พบกับใครบางคนที่ตนกำลังตามหาอยู่
   “ อลิส!  อลิส!  อยู่ที่นี่ไหม!? ”  ตะโกนเรียกออกไปพลางขาก็ก้าวขึ้นบันไดไป
            ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ  และเมื่อขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายของบันไดก็ยิ่งทำให้ขุนนางหนุ่มกังวลใจ  เพราะประตูเรือนยังถูกปิดเอาไว้อยู่  ไม่มีวี่แววของการถูกไขเข้าไปเลย  หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจเดินลงจากเรือนไป
   “ ขาก็ยังเจ็บ!  จะไปอยู่ที่ไหนกันนะ?! ”  รำพึงรำพันออกมาคนเดียว
             ทำอะไรไม่ได้  นอกจากกลับไปที่เรือนหลังใหญ่  บางทีเด็กหนุ่มอาจจะกลับไปที่นั่นก็เป็นได้  พอคิดได้เช่นนั้นแล้ว  หลวงภาคินก็ก้าวขึ้นรถไป  พร้อมทั้งสั่งให้คนรับใช้รีบบึ่งกลับเรือนให้เร็วที่สุด...
            พอเห็นรถคันใหญ่เคลื่อนไปจากเรือนจนไกลสุดลิบตาแล้ว  คนตัวเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังโอ่งขนาดใหญ่ที่ตั้งไว้ข้างถุนเรือนก็ก้าวออกมาจากการหลบซ่อนในทันที  เท้าเล็ก ๆ  ค่อย ๆ ก้าวขึ้นบันไดไปด้วยความเจ็บปวด  ไหนจะแผลที่เท้าที่ยังไม่หายดี  แล้วยังจะต้องมาปวดร้าวไปทั่วทั้งบั้นเอวซึ่งมาจากการกระทำรักอันหนักหน่วงของขุนนางหนุ่มในเมื่อคืนที่ผ่านมาอีก  พอก้าวมาถึงขั้นสุดท้ายของบันได  มือเรียวก็หยิบกุญแจไขในห่อผ้าออกมา  แล้วใช้มันเปิดประตูตรงหน้าเรือนนั้นออก  ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ นั้นจะค่อย ๆ  เดินเข้าไปพลางปิดประตูลงกลอนจากทางด้านในโดยทันที  เมื่อตรวจดูว่าแน่นหนาพอแล้ว  อาเธอร์ลิสจึงหันหลังให้กับบานประตูเรือนและมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของตน
            พอเข้ามาถึงภายในห้องนอน  อาเธอร์ลิสก็ทรุดตัวนั่งลงบนเตียง  น้ำตาที่คลออยู่ริมขอบตามาเนิ่นนาน  ก็ค่อย ๆ  เอ่อล้นออกมา  จนมันรินอาบไปทั่วทั้งพวงแก้มทั้งสองข้าง  อาเธอร์ลิสในเวลานี้  ไม่อาจที่จะอดกลั้นอะไรไว้ได้แล้ว  เสียงสะอื้นแผ่วเบาก็ค่อย ๆ  ดังขึ้น จนทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ เจ็บร้าวขึ้นมา   ความรู้สึกที่หลากหลายถาโถมเข้ามาจนทำให้ร่างเล็กสั่นเทาไปทั้งตัว  สองมือเล็ก ๆ ยื่นขึ้นมาโอบตัวเองไว้พลางร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด  ทั้งเสียใจ  ทั้งหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น  และยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เขาเคารพนับถือ  จะทำร้ายเขาได้ถึงขนาดนี้  สาเหตุที่ทำแบบนั้นกับเขา  ก็คงจะเป็นเพราะเกลียดเขามาก  จนอยากจะทำให้เขาเหมือนกับตายทั้งเป็นแบบนี้สินะ  มันสำเร็จแล้วล่ะ  ตอนนี้การมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว  เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น 
            อาจจะด้วยความเพลียและความบอบช้ำทางร่างกาย  มิหนำซ้ำยังร่ำไห้อย่างหนักหน่วงเสียกระนี้อีก  จึงทำให้เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปในที่สุด 
            ทางด้านหลวงภาคิน  เมื่อกลับมาถึงเรือนก็รีบตรงดิ่งขึ้นเรือนหลังใหญ่ไปในทันที  ด้วยความหวังว่าอาเธอร์ลิสจะกลับมา  ขุนนางหนุ่มเดินสำรวจทั่วทุกห้องภายในบริเวณที่คิดว่าอาเธอร์ลิสจะอยู่  ทั้งห้องรับแขก  ห้องครัว  ห้องอาหาร  หรือแม้แต่ห้องนอนของหลวงภาคินเอง  แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย
           ขุนนางหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอนของตนเองด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ  จนทำให้คุณหญิงเพ็ญที่นั่งกินหมากอยู่บริเวณศาลาตรงลานกว้างบนเรือนสังเกตเห็นเข้าพอดี
   “ มีเรื่องอะไรเป็นกังวลหรือพ่อภาคิน? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
            ขุนนางหนุ่มเมื่อได้ยินผู้เป็นมารดาเอ่ยถามขึ้นมาเช่นนั้น  ก็ถอนหายใจออกมายาวเฮือก  แล้วจึงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ  คุณหญิงเพ็ญในทันที
   “ คุณแม่เห็นอลิสไหมขอรับ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ แม่ก็ว่าจะถามพ่ออยู่เหมือนกัน ไม่เห็นน้องตั้งแต่เช้าแล้ว ”  บอกกลับไปอย่างนั้น
   “ อย่างนั้นหรือขอรับ ”  ว่าพลางทำสีหน้ากังวลระคนเศร้าสร้อย
   “ พ่อมีอะไรรึเปล่า  ถึงได้มาถามหาพ่ออลิสด้วยท่าทางกังวลใจเช่นนี้? ” ถามกลับไปจากสิ่งที่เห็น
   “...”  ไม่ได้ตอบคำถามออกไป
   “ มีอะไรพ่อภาคิน!?  บอกแม่มา! ”  เปลี่ยนเป็นคำสั่งออกไปแทนคำถามแล้ว  เพราะเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ  ทั้งยังมีสีหน้าเป็นกังวลมากขึ้น  ซึ่งแสดงว่ามันต้องไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ  แล้วเป็นแน่
           เมื่อได้ยินผู้เป็นมารดาออกปากมาอย่างนั้น  ขุนนางหนุ่มก็ไม่สามารถที่จะขัดคำของคุณหญิงเพ็ญได้
   “ คือ...กระผม...เอ่อ...”  ลำบากที่จะพูดออกไป
   “ มีอะไร!  พูดมา!  อย่าอ้ำอึ้ง! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดออกมาให้รู้สักที
   “ กระผมปล้ำอลิสไปแล้วขอรับ! ”  โพล่งออกไปอย่างชัดเจน
              คุณหญิงเพ็ญได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดออกมาอย่างนั้นก็ถึงกับเบิกตาโพลง  แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป
   “ ว่าอย่างไรนะ!  พ่อภาคิน! ”  ร้องออกมาด้วยความตกใจ
   “ กระผมได้อลิสเป็นเมียแล้วขอรับ! ”  พูดสรุปความให้ชัดเจน
             เมื่อได้ยินผู้เป็นลูกชายย้ำออกมาชัดถ้อยชัดคำเสียอย่างนั้น  คุณหญิงเพ็ญถึงกับยกมือกุมขมับ  แล้วถอนหายใจออกมา
   “ ให้ตายเถอะพ่อภาคิน!  ทำไมพ่อถึงทำแบบนี้! ”  ว่าออกไปอย่างไม่เข้าใจ
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   “ หรือว่าที่พ่อทำไปเพราะฤทธิ์ยาดอง? ”  ถามออกมาพลางมองหน้าอีกฝ่าย
   “ ไม่ใช่ขอรับ!  กระผมไม่ได้ทำไปเพราะว่าเมา ”  ตอบออกมาเสียงเรียบ
   “ แล้วอะไรถึงทำให้ลูกชายของแม่ทำเรื่องร้ายแรงลงไปอย่างนั้นได้กันล่ะ!? ”  ว่าพลางถอนหายใจยาวเฮือกออกมา
              หลวงภาคินเงียบไปสักครู่กับคำถามของผู้เป็นมารดาที่เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความข้องใจ
   “ กระผมบังเอิญไปได้ยินหลวงเทพขออลิสให้ออกเรือนไปอยู่กับท่านด้วย...” 
   “ ตายจริง! ”  อุทานออกมาอย่างนั้น  “ ถึงแม่จะดูออกว่าพ่อเทพรู้สึกสนใจในตัวของพ่ออลิส  แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นอยากครองคู่ออกเรือนด้วยเช่นนี้ ”
   “ กระผมไม่อยากให้อลิสตกไปเป็นของคนอื่น  จึงได้กระทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวอย่างนั้นลงไป  หักหลังแม้กระทั่งสหายของตนเอง...”  พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
              คุณหญิงเพ็ญได้ยินผู้เป็นลูกชายเล่าความออกมาเช่นนั้นก็เปรยยิ้มบาง ๆ ออกมาที่มุมปาก  แล้วจึงมองเข้าไปในดวงตาคมกริบคู่นั้นของข้าราชการหนุ่มเพื่อหาความจริงอะไรบางอย่าง
   “ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพ่อภาคิน...รู้สึกกับพ่ออลิส...” ไม่ได้พูดออกไปให้จบในคราเดียว
   “ ขอรับ!  กระผมรักอลิส!  ทั้งรักทั้งหวง  และก็ยอมไม่ได้หากคนอื่นจะได้เขาไป  เลยทำให้กระผม...ใช้กำลังขืนใจเขาขอรับ! ”  พูดออกมาเช่นนั้น
                คุณหญิงเพ็ญได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายพูดออกมาเช่นนั้น  ก็ถอนหายใจออกมา  ก่อนจะส่งยิ้มกลับไปอีกครั้ง
   “ อย่างไรเสีย!  เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว  เราต้องรับผิดชอบฝ่ายนั้นด้วย! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
                หลวงภาคินไม่ได้คิดที่จะไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปแต่อย่างใด  เขาเต็มใจและรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ยินคุณหญิงเพ็ญพูดออกมาเช่นนั้น
   “ ขอรับ ”  ตอบกลับไปเสียงเรียบ
   “ ถ้าแม่เอมิลีกลับมาจากวัง  เราจะต้องไปคุยกับหล่อน...เรื่องสู่ขอพ่ออลิส! ” 
   “ ขอรับ!  แต่...”  ว่าพลางแสดงสีหน้ากังวลใจ
   “ มีอะไรอีกอย่างนั้นรึ? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
   “ กระผมไม่รู้ว่าอลิสไปอยู่ที่ไหน! ไปหาที่เรือนก็ไม่พบเลยขอรับ! ”  บอกสิ่งที่กลัดกลุ้มออกไป
   “ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้  น้องขาเจ็บอยู่ด้วยไม่ใช่รึ? เกิดเป็นอะไรขึ้นมา...ใครจะดูแล...”  ว่าออกมาด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ
   “ กระผมก็เป็นห่วงมากเช่นกันขอรับ!  เมียกระผมทั้งคน! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนออกตามหา!  ผู้ใดพบตัวก่อนก็ให้แก้วแหวนเงินทองไป  จะมากมายเท่าไร คุณหญิงเพ็ญก็ยอมจ่าย ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ขอรับคุณแม่! ” 
                                                                                       αΩ
              เอมิลีกลับมาถึงเรือนก็ต้องแปลกใจที่เห็นผู้เป็นน้องชายกำลังถูเรือนอยู่  อีกทั้งพอสังเกตดูเด็กหนุ่มดี ๆ จะเห็นว่าร่างกายดูซูบผอมลงไปกว่าตอนที่หล่อนจะเข้าไปที่พระราชวังเสียอีก
   “ ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? ” ถามออกไปอย่างนั้น
              เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูทักขึ้นอย่างนั้น  อาเธอร์ลิสก็เงยหน้าขึ้นจากพื้นที่กำลังเช็ด ๆ ถู ๆ อยู่
   “ พี่เอมี!  กลับมาแล้วหรือครับ? ”  ว่าพลางลุกขึ้นแล้ววิ่งไปสวมกอดผู้เป็นพี่สาว
   “ จ้า  พี่กลับมาแล้ว ”  ตอบพลางยกมือลูบศีรษะผู้เป็นน้องชาย
   “ ผมคิดถึงพี่มากเลยครับ ”  ว่าทั้งไม่ยอมคลายกอด
   “ แปลก!  ดูขี้อ้อนขึ้นนะเรา! ”  ว่าพลางขยี้เส้นผมนุ่มของคนในอ้อมกอด
   “ ก็ผมคิดถึงพี่จริง ๆ นี่ครับ ” ว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพี่สาว
   “ หืม? แล้วเป็นอย่างไรบ้าง? ไปอยู่ที่เรือนคุณหญิงสบายดีไหม? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ ครับ ”   ตอบกลับมาเพียงแค่นั้น
   “ แล้วนั่นขาเป็นอะไรรึ? ”  ถามออกไปเพราะเห็นมีผ้าพันแผลอยู่ที่ขาของอีกฝ่าย
   “ ผมวิ่งหกล้มน่ะครับ ”  ตอบพลางยิ้มบาง ๆ
   “ ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปในเรือนกันเถอะ  ยืนคุยตรงนี้พี่เริ่มเมื่อยแล้ว ”  ว่าพลางหัวเราะคิกคักออกมา
   “ ครับ  มาผมถือช่วย! ”  ว่าพลางยื่นมือไปรับเอาสัมภาระจากอีกฝ่ายมา
   “ ขอบใจจ้ะ ” 
               สองพี่น้องเดินเข้ามานั่งอยู่ภายในห้องรับแขก  ก่อนที่ผู้เป็นน้องชายจะไปตักน้ำมาให้ผู้เป็นพี่สาวดื่มแก้กระหายจากการเพิ่งเดินทางกลับมาจากทำงาน
   “ นี่ครับน้ำ! ”  ว่าพลางวางขันน้ำลงบนโต๊ะตรงหน้าของอีกฝ่าย
   “ ขอบใจจ้ะ ”  ถือขันน้ำยกขึ้นดื่ม  “  ว่าแต่...เรายังไม่ได้ตอบพี่เลยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?  พี่บอกว่าจะไปรับกลับไม่ใช่หรือ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ คือผมเกร็งใจท่านน่ะครับ!  เลยกลับมารอพี่อยู่ที่นี่ดีกว่า ”  พูดพลางไม่ได้สบตาคู่สนทนา
   “ อย่างนั้นหรอกหรือ? ” 
   “ ครับ ”
   “ ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเราใช่ไหม? ”  ถามออกไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
   “...ไม่...มีครับ ”
   “ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ!  พี่สบายใจแล้ว ”  พูดพลางส่งยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า
   “ ครับ ”  ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
   “ พรุ่งนี้พี่ว่าจะฝากเราเอายาหอมไปให้คุณหญิงหน่อยน่ะ  พอดีพี่ได้มาจากพระราชวัง  เลยอยากมอบให้ท่าน  เพื่อเป็นการตอบแทนความกรุณาที่ช่วยดูแลเราตอนที่พี่ไม่อยู่ ”  ว่าพลางค้นห่อผ้าที่นำกลับมาด้วย  เพื่อหายาหอมตามที่ว่า
   “ คือ...พี่เอมีครับ ”  เอ่ยขึ้นมาพลางจ้องมองคนตรงหน้า
                หมอสาวเมื่อได้ยินผู้เป็นน้องชายเอ่ยเรียกออกมาอย่างนั้น  ก็เงยหน้าจากห่อผ้าแล้วหันมาสบตากับผู้พูดทันที
   “ มีอะไรหรือ? ”  ถามกลับไปด้วยความสงสัย
   “ คือผมว่า...จะกลับอังกฤษแล้วล่ะครับ ”  ว่าออกมาพลางยิ้มบาง ๆ ให้คนตรงหน้า
   เมื่อได้ยินคนที่อยู่ตรงหน้าพูดออกมาเช่นนั้น  เอมิลีก็ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที
   “ ทำไมถึงรีบกลับล่ะ!  เหลืออีกตั้งเกือบเดือนไม่ใช่รึถึงจะเปิดเทอม? ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ ครับ!  แต่ผมอยากกลับไปเตรียมตัวน่ะครับ  อยากทบทวนหนังสือด้วย  อย่างไรเสียเทอมนี้ผมก็จะจบไฮสคูลแล้ว  ก็อยากจะทำให้ดีที่สุดครับ ”  ว่าเหตุผลออกมาอย่างนั้น
                ได้ยินที่อาเธอร์ลิสพูดออกมาเช่นนั้น  ผู้เป็นพี่สาวก็ไม่อาจขัดกับความต้องการของน้องชายได้  อย่างไรเสียมันก็คือหน้าที่ของเด็กหนุ่ม  และเพื่อเส้นทางในอนาคตของน้องชาย  เอมิลีจึงไม่อาจจะขัดขึ้นมาได้  ถึงแม้ใจยังอยากจะให้อยู่ด้วยกันก็ตามแต่  ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างยอมความ
   “ แล้วเราจะกลับวันไหนล่ะ? ”  ถามออกไปเช่นนั้น
   “ พรุ่งนี้เช้าครับ ”  ตอบกลับไปพลางยิ้มบาง ๆ
   “ ทำไมต้องเร็วขนาดนี้...” ว่าพลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย
   “ กว่าจะถึงที่โน่นก็ใช้เวลากว่าสามวัน  ผมเลยอยากออกเดินทางให้เร็วที่สุดครับ ”
   “ แต่พรุ่งนี้พี่มีตรวจรักษา...ไปวันอื่นไม่ได้หรือ? ”  ถามออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
   “ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ  ผมไปเองได้ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ แต่พี่อยากไปส่งเราที่ท่าเรือนี่!  อย่างน้อยเห็นขึ้นเรือโดยปลอดภัยพี่ก็สบายใจแล้ว ”
   “ ผมโอเคจริง ๆ ครับ  ผมดูแลตัวเองได้  พี่ไม่ต้องเป็นห่วง  อีกอย่างถ้าลากันที่เรือนจะทำให้ผมเศร้าน้อยกว่านะครับ ”  ว่าพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ
   “ โธ่!  ก็พี่ยังไม่หายคิดถึงเราเลย  มาแค่แป๊บเดียวก็จะทิ้งให้พี่เหงาอีกแล้ว ”  ว่าเชิงตัดพ้อ
   “ เอาไว้ผมถึงที่โน่นแล้ว  จะเขียนจดหมายมาหาพี่ทุก ๆ สัปดาห์เลยครับ ”  ว่าพลางยิ้มหวานให้คนตรงหน้า  แต่ทว่าแววตากลับเศร้า
   “ สัญญาแล้วนะ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ครับ  ผมสัญญา ”
               ไม่ได้อยากจากไปทั้ง ๆ อย่างนี้หรอก!  แต่จะให้ทนอยู่ในดินแดนที่เขาเกลียดเรามากถึงขนาดนี้ไปได้อย่างนั้นหรือ...หัวใจมันบอบช้ำจนเกินกว่าที่จะทนไหวแล้ว...การไปจากที่นี่อาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น... จะได้ลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปได้เสียที...
                                                                                               :mew4:
      สวัสดีค่าาา  กลับมาอัพต่อแล้วเน้ออ  ขอโทษที่หายไปนานนะคะ  ช่วงนี้ยุ่งมาก ๆ เลยค่ะ  มรสุมการบ้านก็ถาโถมเข้ามา  ทั้งต้องรีบตรวจต้นฉบับเรื่องนี้ให้ทันส่งพิมพ์ในวันที่  1  กุมภาพันธ์  ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้  ตอนนี้เรื่องดำเนินมาใกล้จะถึงตอนจบแล้วนะคะ  ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นต์ที่เม้นต์กันมานะคะ  อ่านแล้วมีกำลังใจมาก ๆ เลยล่ะค่ะ  *มีโปสการ์ดภาพประกอบเรื่องมาให้ดูกันด้วยล่ะค่ะ  ชอบมาก^^  แล้วเจอกันตอนหน้าค่าา  รักทุกคนน้าาา  จุ๊บ ๆ
       
KesornSama

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 29/01/61 Episode 17. (Page.2)
«ตอบ #45 เมื่อ30-01-2018 10:55:48 »

อลิสจะหนีซะล้าววววคุณหลวงต้องตามให้ทันนะ

จะจบแล้วเหรอขอบคุณที่เขียนนิยายดีดีมาให้อ่านนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 29/01/61 Episode 17. (Page.2)
«ตอบ #46 เมื่อ30-01-2018 12:31:02 »

คุณหลวง จะตามมาทันอลิสมั้ยนะ  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต Episode 18. (09/02/61)
«ตอบ #47 เมื่อ09-02-2018 21:06:51 »

Episode 18
( พี่รู้แล้ว...ไม่สามารถฝืนในสิ่งที่ชะตาลิขิตเอาไว้ได้เลย )


“ ถึงที่โน่นแล้วก็เขียนจดหมายมาหาพี่ด้วยล่ะ ” 
ว่าออกไปอย่างนั้น  พร้อมยื่นกระเป๋าสัมภาระให้คนตรงหน้า
   “ ครับ  ไว้ถึงบ้านเมื่อไร  ผมจะรีบเขียนทันทีเลย ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
   “ ดีมาก ”  ว่าพลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของคนตรงหน้า  แล้วก็ดึงร่างบางตรงหน้าเข้ามากอด  “ เดินทางปลอดภัยนะ  ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย ”
   “ ครับ  พี่ก็เหมือนกันนะ  ผมไม่อยู่ช่วยงานแล้ว  ก็ดูแลตัวเองดี ๆ  อย่านอนดึกด้วย  เข้าใจไหมครับ ”  ว่าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
   “ จ้า ๆ  เข้าใจแล้วคุณน้องชาย ” 
   “ ถ้าอย่างนั้น  ผมไปก่อนนะครับ ” 
ว่าพลางคลายออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า
   “ จ้ะ  โชคดีนะ ”  ว่าพลางจับมืออีกฝ่ายแน่น
   “ ครับ ”  พูดทั้งส่งยิ้มให้  พลางดึงมือกลับ
                 อาเธอร์ลิสสะพายกระเป๋าสัมภาระไว้ที่หลัง  แล้วเดินออกไปจากเรือนของผู้เป็นพี่สาว  เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ  ที่ที่จะพาเด็กหนุ่มกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอน  เอมิลียืนมองน้องชายที่กำลังเดินห่างออกไปจนไกลสุดสายตา  แล้วหมอสาวจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน  จัดเตรียมเอกสารและยารักษา  สำหรับตรวจอาการป่วยของคนไข้ที่จะมารับการรักษาตามเวลาที่ได้นัดเอาไว้ในอีกไม่ช้านี้
                 หมอสาวนั่งจัดการกับเอกสารได้สักพัก  หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าเรือน  และไม่นานนักผู้ที่มาเยือนก็เดินขึ้นบันไดมาให้หล่อนได้เห็นว่าพวกเขาเป็นใคร
   “ คุณหญิง!  คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้  แม่เอมิลี ” 
ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่กำลังตื่นตระหนกอยู่
   “ ก็ดิฉันนึกไม่ถึงนี่คะ  ว่าท่านทั้งสองจะมาที่เรือนในเวลานี้ ” 
   “ คือ...ฉันมีธุระต้องมาคุยกับแม่เอมิลีน่ะจ้ะ ”
   “ ธุระหรือคะ?  เอ่อ...เชิญคุณหญิงกับคุณหลวงนั่งก่อนค่ะ  เดี๋ยวดิฉันจะไปเอาน้ำมาให้นะคะ ”
                   เมื่อได้ยินเจ้าของเรือนบอกเช่นนั้นหญิงสูงวัยกับลูกชายก็นั่งลงที่เก้าอี้ภายในห้องรับแขก
   “ อลิสอยู่ไหนหรือ? ”
                   ถามออกไป  เพราะตั้งแต่มาถึงที่เรือนนี่ก็ไม่ปรากฏเห็นแม้แต่เงาของคนตัวเล็กเลย  ทำให้ขุนนางหนุ่มกระวนกระวายใจ  เกรงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่กลับมาที่เรือนตั้งแต่วันที่อาเธอร์ลิสได้หนีออกจากเรือนเขาไป
   “ ใจเย็นก่อนสิพ่อภาคิน ”  ว่าพลางหันมาปรามลูกชาย
   “ แต่กระผม...”   
                  เมื่อเห็นอาการกระวนกระวายใจของผู้เป็นลูกชายแล้ว  คุณหญิงเพ็ญถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างยากที่จะห้ามได้ให้กับความใจร้อนของขุนนางหนุ่มที่แสดงออกมาโดยไม่ปิดบัง
   “ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน  แม่เอมิลีนั่งลงก่อนเสียเถอะฉันยังไม่กระหายน้ำกระไรหรอก ”  บอกออกไปอย่างนั้น
   “ ค่ะคุณหญิง ”
                  กระทำตามที่คุณหญิงเพ็ญบอกทันที  ร่างเพรียวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของสองแม่ลูกผู้มาเยือนอย่างสงบเสงี่ยม  เพื่อจะตั้งใจฟังธุระสำคัญของอีกฝ่าย  ที่เป็นสาเหตุให้ต้องมาหาหล่อนในเวลานี้
   “ คือ...ฉัน...อยากจะมาสู่ขอพ่ออลิสให้พ่อภาคินเขาน่ะจ้ะ ”  ว่าธุระออกไป
   “ คุณหญิงว่าอะไรนะคะ!? ” 
                  โพล่งออกไปด้วยความตกใจประกอบกับไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน
   “ ฉันมาสู่ขอพ่ออลิสให้พ่อภาคินน่ะจ้ะ แม่เอมิลีจะว่าอย่างไร? ” 
               เอมิลีอึ้งงึงงันไปกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน  แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตนเองเลยที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากปากของคุณหญิงเพ็ญ
   “ เอ่อ...คุณหญิงคะ  ดิฉันว่า...มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือคะ  อลิสเองก็ยังเด็กอยู่  ส่วนคุณหลวง...”  ชะงักหยุดคำพูดเอาไว้  ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกมา  แล้วจึงพูดต่อ “ คุณหลวงก็ไม่ได้รักน้องของดิฉันเลย  ถ้าแต่งกันไปมันก็คงจะไม่มีความสุขหรอกค่ะ  มีแต่จะทำให้ทรมานใจกันเสียเปล่า  ถึงแม้จะเป็นคู่แห่งโชคชะตากันก็ตามแต่ ” 
               หลวงภาคินได้ยินคำพูดเชิงปฏิเสธของเอมิลีก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  จึงหันสายตาไปจับจ้องใบหน้าของหญิงที่นั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้ามทันที
   “ ฉันอยากแต่งงานกับอลิส  อลิสเป็นเมียฉันแล้ว ” ตัดสินใจโพล่งออกไปอย่างนั้น  หลังจากที่เงียบมาเสียนาน
              เอมิลีอ้าปากค้างอย่างตกตลึงให้กับคำพูดของหลวงภาคิน  แทบไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง  ว่าสิ่งที่ได้ยินมันเป็นเรื่องจริง
   “ คะ...คุณหลวงว่าอย่างไรนะคะ!? ” ถามออกไปอย่างนั้น  เพราะไม่อยากจะเชื่อ
   “ ฉันกับอลิส  เราเป็นผัวเมียกันแล้ว ”  ย้ำออกไปอย่างหนักแน่น
   “ มันจะเป็นไปได้อย่างไร...”  พึมพำออกมาเบา ๆ
                หมอสาวพึมพำออกมาแค่แผ่วเบา  แต่หลวงภาคินกลับได้ยินชัดเต็มทั้งสองหู
   “ ฉันขืนใจเขาเอง  ฉันจึงอยากจะรับผิดชอบ ” 
               เอมิลีเมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาอย่างนั้น  ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาจนใบหน้าขึ้นสี  น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสองข้าง  ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดแทนน้องชายที่ถูกกดขี่ข่มเหงเสียขนาดนั้น  หล่อนอุตส่าห์รู้สึกไว้วางใจเอาน้องชายไปฝากเรือนโน้นให้เขาช่วยดูแลในตอนที่ตนเองไม่อยู่  ด้วยกลัวว่าถ้าอยู่คนเดียวอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น  แต่กลับกลายเป็นว่า  เป็นการผลักไสน้องชายให้ไปถูกกระทำย่ำยีจนถึงที่แทนเสียได้
   “ คุณหลวงว่าอะไรนะคะ!  ทำไมท่านถึงทำเรื่องโหดร้ายกับเด็กคนนั้นถึงเพียงนี้!? ” 
   โพล่งออกไปด้วยความโกรธ
   “ ฉันขอโทษ  ที่ฉันทำไปแบบนั้น  เพราะฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ที่จะเห็นอลิสไปเป็นของคนอื่น ” 
   “ ที่แท้ท่านก็เห็นอลิสเป็นแค่สิ่งของ ”
   “...”
              ไม่ได้ว่าอะไรออกไป  เพราะคำพูดของเอมิลีก็ไม่ได้ผิดไปเสียหมด  ก็อาเธอร์ลิสเป็นของเขา  เป็นคนของเขา  จะให้ใครมายุ่มย่ามได้อย่างไร  ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น
   “ เอาเถอะ ๆ แม่เอมิลี  จะอย่างไรเสียเรื่องมันก็เลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ไอ้คนเป็นแม่อย่างฉันก็อยากจะทำสิ่งที่ลูกชายได้ก่อเอาไว้ให้มันถูกต้องตามครรลอง  อย่างไรเสียก็ชิงสุกก่อนห่ามเป็นผัวเมียกันไปแล้ว  ก็ตบแต่งกันให้มันถูกต้องตามประเพณีเสียเถิด  ฉันเองก็รักใคร่เอ็นดูพ่อ
อลิสเขา  หมายตาอยากจะได้เป็นสะใภ้ตั้งแต่คราแรกที่เห็นแล้ว  ถือว่าฉันขอเถอะนะแม่เอมิลี  ยกพ่ออลิสให้ลูกชายฉันเถอะ ” 
               ได้ยินคุณหญิงเพ็ญพูดเชิงอ้อนวอนขนาดนั้น  เอมิลีก็ลดอารมณ์โกรธลง  เพราะอย่างไรเสียเรื่องทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว  มันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  คงจะต้องเป็นไปอย่างที่คุณหญิงว่า
   “ ก็ได้ค่ะ  ดิฉันอนุญาตให้อลิสแต่งงานกับคุณหลวง  แต่...”
   “ แต่อะไร? ”
                หลวงภาคินหลังจากที่เงียบฟังมาสักพัก  ก็โพล่งออกไปอย่างนั้น  เพราะอีกฝ่ายยังมีข้อแม้อยู่  ถึงแม้จะยอมยกน้องชายให้แล้วก็ตามเถอะ
   “ แต่เรื่องนี้ต้องถามอลิสด้วย  เพราะมันเป็นชีวิตของน้อง  ดิฉันจะให้น้องตัดสินใจเอง  ดิฉันจะไม่บังคับน้องอย่างเด็ดขาดค่ะ ” 
   “ แล้วตอนนี้อลิสอยู่ไหน?  ฉันอยากคุยกับเขา ”
   “ เห็นทีจะไม่ได้หรอกค่ะคุณหลวง ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น
                   หลวงภาคินเมื่อได้ยินคำพูดปฏิเสธเช่นนั้นของเอมิลีก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา  อีกทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงจะพบหน้าอาเธอร์ลิสไม่ได้ก็ในเมื่ออนุญาตให้แต่งงานกันแล้วไม่ใช่หรือ
   “ ทำไมล่ะแม่เอมิลี?  ทำไมฉันถึงพบเมียฉันไม่ได้!? ” 
                  ถามออกไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
   “ เพราะอลิสไม่ได้อยู่ที่แล้วล่ะค่ะ ” 
   “ ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว?  แม่เอมิลีหมายความว่าอย่างไร!? ”
                  โพล่งออกไปด้วยความกระวนกระวายใจ
   “ ก็หมายความว่า...อลิสกลับอังกฤษไปแล้วอย่างไรล่ะคะ ” พูดออกไปเสียงเรียบ
   “ ว่าอย่างไรนะ!  เมื่อไร!? ”  โพล่งออกไปพลางยันตัวลุกขึ้นยืน
   “ วันนี้ค่ะ  ก่อนที่คุณหลวงจะมา  ป่านนี้คงใกล้จะถึงท่าเรือแล้วกระมังคะ ”
                   หลวงภาคินได้ยินอย่างนั้นก็ผลุนผันรีบออกจากประตูห้องรับแขกไปทันที  พลางหันกลับมามองผู้เป็นมารดา
   “ คุณแม่โปรดรอกระผมอยู่ที่นี่นะขอรับ  กระผมจะไปพาอลิสกลับมาให้ได้ ” พูดออกไปอย่างหนักแน่น
   “ จ้ะ เอาน้องกลับมาให้ได้นะ  พ่อภาคิน ” 
                  ว่าพลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นลูกชาย
   “ ขอรับ ”
                  พูดเสร็จก็เดินลงจากเรือนไปทันที  ร่างสูงเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งอย่างฉับไว  พลางสั่งให้คนรับใช้รีบเคลื่อนรถออกจากที่นี่โดยเร็ว  เพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าเรือ...
                  รอก่อนนะ  อย่าเพิ่งหนีไปแบบนี้  ยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญออกไปเลย...
                                                                           αΩ
                  หลังจากที่เดินออกจากเรือนมาได้สักพักแล้ว   อาเธอร์ลิสก็มาถึงพระนครหลวงของสยาม  ซึ่งมีตลาดค้าขายสินค้าขนาดใหญ่ของชาวเมืองอยู่   เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะแวะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปด้วย  เพื่อจะได้เป็นของฝากให้คนที่รออยู่ที่บ้านเกิด  และด้วยเอมิลีก็ได้ให้เงินตราของสยามไว้ให้เขาได้ใช้สอยบ้างจำนวนหนึ่ง  เด็กหนุ่มจึงจะนำเงินส่วนนี้มาใช้ซื้อของฝากและเป็นค่าเดินทางกลับในครั้งนี้ให้หมด ๆ ไปเสีย  เพราะถึงอย่างไรก็คงจะไม่ได้กลับมาที่ประเทศแห่งนี้อีกแล้ว
                  เด็กหนุ่มเลือกอยู่นานกว่าจะได้สิ่งของที่ต้องการ  ในที่สุดก็ได้ผ้าไหมของชาวสยามไปเป็นของฝากให้สองชายหญิงวัยกลางคนที่รออยู่ที่อังกฤษ 
                  อาเธอร์ลิสยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นมารดาตอนเห็นตนปรากฏอยู่ที่หน้าบ้าน  เธอคงจะตกใจและดีใจน่าดูที่เห็นลูกชายคนเล็กที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่อยู่ในท้องจนเติบโตขนาดนี้กลับมาบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าว  หลังจากที่ห่างอกไปไกลตั้งสองเดือนกว่า  คิดแล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา 
                  สองมือเรียวยกปาดน้ำใส ๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย  ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ  เก็บของฝากใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ถือมาด้วย  แล้วจึงสาวเท้าต่อเพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าเรือ  อันเป็นที่หมายที่จะพาเขากลับไปยังประเทศบ้านเกิดได้
                   เดินมาได้ไม่นานนัก  อาเธอร์ลิสก็มองเห็นท่าเรือที่คึกครื้นอยู่ไกล ๆ สองเท้าเล็ก ๆ จึงเร่งความเร็วเพื่อจะให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
                   เท้าทั้งสองข้างหยุดขยับเมื่อมาถึงท่าเรือดังที่หมายเอาไว้  ผู้คนที่นี่ก็ยังคงคึกครื้นอยู่เหมือนเดิม  เสียงดังอึกทึกครึกโครมไม่ต่างจากตลาดในพระนครสักเท่าไร  จะต่างก็เพียงแค่ที่พระนครหลวงมีสินค้าหลากหลายและมีร้านตั้งแบบถาวรกว่าที่นี่ก็แค่นั้น  เด็กหนุ่มยืนมองอยู่พักหนึ่งพลางอมยิ้มออกมา  ก่อนจะก้าวไปยังจุดข้ามฝั่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่เขายืนอยู่
   “ อลิส! ”
                   สองเท้าเล็ก ๆ หยุดขยับทันทีเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียกชื่อของตนเองออกมา  ร่างเล็กจึงเอี้ยวตัวหันกลับไปมองยังต้นเสียง  ทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงนั่นป็นใคร  ร่างของเด็กหนุ่มก็แข็งทื่อไปทั้งตัว  รู้สึกชาไปทุกส่วนของร่างกาย  ไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้  แต่พอเห็นคน ๆ นั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้  อาเธอร์ลิสก็รวบรวมกำลังของตนทั้งหมดที่มี  รีบสาวเท้าหนีจากตรงนั้นไป  แต่ทว่าไม่ทันจะหนีได้พ้น  มือหนาก็คว้าเข้าที่ข้อมือเล็กไว้ได้พอดี
   “ ปล่อยผมนะครับ  อย่ามายุ่งกับผม! ”  ว่าออกไปพลางสะบัดมือให้หลุดจากการถูกเกาะกุม
   “ เดี๋ยวอลิส  หยุดฟังก่อน ” 
                     ว่าพลางดึงร่างเล็กให้เข้ามาใกล้
   “ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง  ผมจะขึ้นเรือ ” 
                     ว่าพลางใช้มือผลักแผงอกแกร่งออกไปให้ห่าง
   “ ไม่  พี่ไม่ปล่อย  แล้วก็ไม่ให้ไปไหนด้วย ” 
   ว่าพลางช้อนคนตัวเล็กที่ออกแรงดิ้นอยู่มาไว้ในอ้อมแขน
   “ อ๊ะ!  คุณหลวงปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะครับ  คนมองใหญ่แล้ว ” 
                       ขุนนางหนุ่มเหลือบสายตาไปมองรอบ ๆ ข้าง  ก็เห็นเป็นอย่างที่อาเธอร์ลิสบอก  ผู้คนที่ท่าเรือต่างจับจ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว  พลางกระซิบกระซาบกันเสียยกใหญ่
   “ ขออภัยด้วยนะขอรับ  พอดีเมียกระผมเขาท้อง  อารมณ์เลยแปรปรวนงอนแล้วก็หนีออกจากเรือนมา  กระผมเลยมาตามกลับ  ต้องขออภัยที่ทำให้วุ่นวายกันด้วยขอรับ ”  ว่าออกไปเสียอย่างนั้น
   “ คุณหลวงพูดบ้าอะไรน่ะครับ! ”  โพล่งออกไปพลางออกแรงดิ้น  เพราะไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่าย
                           ชู่!
                        ส่งเสียงเป็นสัญลักษณ์เชิงปรามให้เงียบ
   “ ถ้าไม่หยุดโวยวาย  เดี๋ยวจะประกบด้วยปากให้เงียบเอง ”  แสร้งขู่ออกไปอย่างนั้น  พลางแสยะยิ้มออกมา
                        สองมือเล็กยกปิดปากตนเองทันที  เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนั้นของขุนนางหนุ่ม  พอเห็นคนในอ้อมแขนหมดลายสิ้นฤทธิ์แล้ว  หลวงภาคินก็อุ้มร่างอาเธอร์ลิสฝ่าดงคนบนท่าเรือออกมาหาที่เงียบ ๆ คุยกัน 
                        ร่างสูงกับคนตัวเล็กในอ้อมแขนออกมาจากท่าเรือได้ไม่ไกลนัก  ก็มาหยุดอยู่ที่สวนตาล  ที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน  สงบร่มรื่นดี  ซึ่งอาเธอร์ลิสไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแถว ๆ ท่าเรือมีที่แบบนี้อยู่ด้วย  อาจเพราะเด็กหนุ่มไม่เคยมายังเส้นทางนี้เลยก็เป็นได้
                       หลวงภาคินพาร่างเล็กเดินเข้าไปในสวนตาล  จนคนในอ้อมแขนเริ่มมองไม่เห็นบ้านเรือนรอบ ๆ แล้ว
   “ คุณหลวงจะพาผมไปไหน?  ปล่อยผมลงนะครับ! ” 
                       ว่าพลางออกแรงดิ้นอีกครั้ง
   “ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว  อยู่นิ่ง ๆ ก่อน ”  พูดออกมาเสียงเรียบ
                      เมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดเช่นนั้น  เด็กหนุ่มจึงหยุดโวยวาย  และก็ไม่นานอย่างที่หลวงภาคินว่า  ขุนนางหนุ่มพาอาเธอร์ลิสมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมหลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางสวนตาลแห่งนี้
   “ ที่นี่ที่ไหนครับ? ”  ถามออกไปด้วยไม่เคยมาที่แบบนี้
   “ เป็นสวนตาลที่คุณพ่อซื้อไว้น่ะ  ตอนนี้ให้คนดูแลแทนอยู่  เพราะไม่มีเวลามาจัดการเอง ”  พูดออกไปเสียงเรียบพลางเดินขึ้นกระท่อมไป
   “ ปล่อยผมลงก่อนครับ  ผมเดินเองได้ ” 
                        ว่าออกไปเช่นนั้น  เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเสียที
   “ ไม่  เดี๋ยวก็หนีไปอีก ” 
                        ว่าพลางเอื้อมมือไปเปิดประตู  แล้วเดินเข้าไป
   “ จะหนีได้อย่างไรล่ะครับ  ผมอยู่ส่วนไหนของสยามยังไม่รู้เลย ” 
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร   
                         หลวงภาคินวางอาเธอร์ลิสลงบนเตียงนอนอย่างเบามือ  แล้วจึงเดินไปลงกลอนประตูให้แน่นหนา
   “ คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ!? ”
                         โพล่งถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายปิดประตูลงกลอนเสียแน่นหนา
   “ ก็ทำให้หนีไม่ได้อย่างไรล่ะ ”  ว่าออกมาเสียงเรียบแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ คนตัวเล็ก
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป  เพียงแต่ขยับออกให้ห่างจากคนจอมเผด็จการ
   “ อย่าหนีพี่ได้ไหม? ”  พูดพลางส่งสายตาวิงวอนให้คนข้างกาย 
                         อาเธอร์ลิสหันไปมองใบหน้าคมของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาที่หัวใจจนไม่สามารถที่จะควบคุมไม่ให้น้ำใส ๆ มาคลออยู่ที่ดวงตาได้
   “ ผมไม่ได้หนี...”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ ก็ที่ทำอยู่ตอนนี้...เขาเรียกว่าหนี ”  ว่าพลางจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวย
   “ ก็คุณหลวงเกลียดผม  จะให้ผมอยู่ที่นี่ได้อย่างไรล่ะครับ ”  ลั่นออกมาอย่างนั้น  อีกทั้งน้ำใส ๆ ที่คลออยู่ก็เอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
   “ ไปบอกตอนไหน...ว่าพี่เกลียดอลิส? หืม...” 
                      พูดพลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาของคนตรงหน้า
   “ ก็ที่คุณหลวงทำแบบนั้นกับผม...ก็เพราะว่าเกลียดผมไม่ใช่หรือครับ... ” พูดไปสะอื้นไป
                      หลวงภาคินยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของคนตรงหน้า  ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้คนร่างบาง  แล้วมือหน้าทั้งสองข้างก็ยื่นไปจับมือเล็กของคนตรงหน้ามาถือไว้
   “ ที่ทำไปแบบนั้น  ไม่ได้ทำไปเพราะเกลียด ” 
                      พูดพลางสบตากับคนตรงหน้า
   “ คุณหลวงโกหก ”  พูดออกมาทั้งน้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล
   “ ไม่ได้โกหก  ที่ทำไปเพราะ...หวง...”
                     พูดออกไปพลางกระชับมือคนตรงหน้าไว้แน่น
   “...”  ไม่พูดอะไรออกไป
   “ พี่ยอมให้อลิสไปเป็นของคนอื่นไม่ได้  พอรู้เหตุผลที่ทำให้พี่คิดอย่างนั้น  พี่ถึงได้ทำแบบนั้นกับอลิสลงไป ” 
   “ แล้วเหตุผลของคุณหลวง  มันอะไรกันล่ะครับ? ”  ว่าถามออกไปพลางปาดน้ำตาบนใบหน้าออก  แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาเหยี่ยว
   “ เหตุผลก็คือ...พี่รักอลิส...อลิสต้องเป็นของพี่เท่านั้น!  ถึงใครจะมองว่าพี่เป็นคนเห็นแก่ตัว  พี่ก็ไม่สน  ขอแค่ให้ได้อลิสมา...มาอยู่กับพี่  อยู่ข้าง ๆ พี่  แค่นี้ก็พอแล้ว...ไม่เห็นต้องสนใจอะไรเลย ”  ส่งสายตาวิงวอนให้คนตรงหน้า
   “...”  ไม่พูดอะไรออกไป  มีเพียงน้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วรอบหนึ่งที่เอ่อล้นออกมาใหม่  แต่ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน  มันเป็นน้ำตาแห่งความสุข  น้ำตาสุดอิ่มเอมใจที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
                      ร่างใหญ่เห็นคนตรงหน้าพรั่งพรูน้ำตาออกมามากมายขนาดนั้น  จึงใช้โอกาสนี้ดึงคนตรงหน้าเข้ามาไว้ในอ้อมแขน  ร่างใหญ่กอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น  พลางกดศีรษะของคนในอ้อมกอดให้แนบลงมาที่อกของตน
   “ ได้ยินเสียงหัวใจของพี่ไหม?  มันเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะอลิสตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้  แต่ต่อไปนี้...มันจะเต้นแบบนี้เพื่ออลิสคนเดียวนะ ” 
                 ว่าพลางกดปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่มของคนตัวเล็ก  “ แล้วหัวใจของอลิสล่ะ?  เคยเต้นแบบนี้เพราะพี่บ้างไหม? ”
                 ศีรษะเล็ก ๆ ผงกลงเบา ๆ บนอกแกร่ง  พลางยกหลังมือเช็ดน้ำมูกน้ำตาของตนเอง
   “ เคยสิครับ...หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะคุณหลวงนานแล้ว...นานจนผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้  มันตั้งแต่เมื่อไรกัน...”
                   สองมือหนาจับคนตัวเล็กออกจากอกแกร่งเบา ๆ แล้วสองมือนั้นก็เลื่อนมากุมสองมือนุ่มเอาไว้
   “ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...หัวใจเราเต้นตรงกันใช่ไหม?  อลิสก็รู้สึกเหมือนกันกับพี่ใช่ไหม? ”  ว่าพลางกระชับมือเล็กไว้แน่น
   “ ครับ  ถ้ามันเรียกว่าความรัก  ผมก็คงรู้สึกรักคุณหลวงไปตั้งนานแล้ว...”  ว่าพลางมองเข้าไปในดวงตาเหยี่ยว
   “ พี่ก็รักอลิส  รักมาก  รักจนไม่อยากให้ใครมายุ่มย่าม ” 
   “...”  ไม่พูดอะไรออกมา  เพราะรู้สึกเขินอายกับคำพูดของอีกฝ่าย  จนแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ๆ
   “ แต่งงานกับพี่นะ  อลิส...” 
                    ว่าพลางยกมือประคองซีกแก้มบางให้เงยขึ้น
   “ ครับ ”  ตอบออกไปเพียงแค่นั้น  พร้อมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
                    ใบหน้าคมโน้มลงไปประกบจุมพิตให้กับริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา  ก่อนจะผละออกมากระซิบตรงเรียวปากสวยอย่างอ้อยอิ่งว่า “ พี่รัก อลิสนะ ”
                    พูดเพียงเท่านั้น  แล้วก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดลอดออกมาจากปากของคนตัวเล็กเลย  ร่างใหญ่ประกบจูบลงบนเรียวปากสีกุหลาบอีกครั้งอย่างอ่อนโยน  แล้วร่างเล็กก็ค่อย ๆ เอนตัวนอนลงตามแรงโน้มของคนตรงหน้า  จนในที่สุดอาเธอร์ลิสก็ได้นอนราบไปกับเตียง  ริมฝีปากหนาผละออกมาจากเรียวปากสีกุหลาบ  แล้วประทับจุมพิตลงบนหน้าผากขาว
   “ พี่รักอลิสนะ ”  พูดออกไปพลางมองเข้าไปในดวงตาหวานของคนใต้ร่าง
   “ ผมก็รักคุณหลวงครับ ” พูดพลางส่งยิ้มให้คนบนร่าง
                    ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบลงบนเรียวปากบางอีกครั้ง  ดูดดึงจนมันเกิดสี  พลางแกล้งขบเบา ๆ เพราะความน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวของคนใต้ร่าง  ก่อนจะค่อย ๆ ผละออกแล้วเปลี่ยนมาสูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนวลทั้งสองข้างแทน  ใบหน้าคร้ามก้มลงมาจุมพิตที่ซอกคอขาวผ่อง  พลางปลดกระดุมเสื้อของคนใต้ร่างออกไปด้วย  ใช้เวลาไม่นานกระดุมทุกเม็ดก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เผยให้เห็นยอดอกสีชมพู  ริมฝีปากร้อนผ่าวย้ายจากซอกคอขาวมาเม้มขบยอดอกสีกุหลาบเบา ๆ ก่อนจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น  จนคนใต้ร่างต้องแอ่นอกรับกับสัมผัสที่วาบหวามนี้อย่างห้ามมิได้   มือหนาเลื่อนลงมาปลดกางเกงของคนใต้ร่างออกจนหมด  เผยให้เห็นเรียวขาขาวทั้งสองข้าง  แล้วมือหนาก็ลูบไล้ไปที่ต้นขาเรียวของคนใต้ร่าง  จนไปหยุดลงที่แท่นกลางลำตัวอันน่ารักของคนตัวเล็ก  มือใหญ่บีบเค้นเบา ๆ  จนแท่งกายนั้นค่อย ๆ  แข็งขืนขึ้นมาอย่างน่าเอียงอาย  ริมฝีปากหนาผละออกมาจากยอดอกสีกุหลาบแล้วประทับจูบลงต่ำเรื่อย ๆ จนมาถึงหน้าท้องสวย  เรียวปากร้อนก็ดูดดึงหน้าท้องขาวนั้นจนเกิดเป็นสีแดงก่อนจะผละออกมามองผลงานทั้งหมดของตนเอง
   “ น่ารักเหลือเกิน ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นอนเปลือยอยู่
   “...”  ไม่ได้ตอบอะไร  เพียงแต่พวงแก้มใสก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีลูกตำลึงตอนสุกงอม
   “ เป็นของพี่นะขอรับ ” 
                   ก้มเข้าไปกระซิบอย่างอ้อยอิ่งใกล้ริมฝีปากสวย  ก่อนจะกดจุมพิตลงเบา ๆ
   “...”  ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก  มีเพียงการพยักหน้า  ที่แสดงถึงการยินยอม
                   ร่างสูงก้มลงไปประทับจูบบนเรียวปากเล็กอีกครั้ง  พลางมือหนาก็ค่อย ๆ ปลดเปลื้องผ้านุ่งของตนเองออก  จนในที่สุดส่วนล่างของขุนนางหนุ่มก็เป็นอิสระ  เผยให้เห็นแก่นท่อนกลางลำตัวขนาดใหญ่ที่แข็งขืนชูชันตระหง่านตาอยู่  มือหนาขยับขาเรียวให้อ้าออกพอที่ลำตัวแกร่งจะแทรกเข้าไปได้   มือใหญ่จับแก่นกายของตนเองมาจ่อตรงช่องทางสีหวานแล้วค่อย ๆ ดันเข้าไปจนสุดลำปืนใหญ่
   “ อื้อ! ”  หลุดเสียงในลำคอออกมาเพราะแท่นกายของคนบนตัวไปสัมผัสเข้ากับจุดเร้าภายในช่องทางรัก
                   เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลุดเสียงในลำคอออกมา  ริมฝีปากร้อนก็ถอนออกมาจากเรียวปากบาง  แล้วกระซิบกระชันชิดริมฝีปากสีสวยด้วยเสียงพร่าว่า  “ เจ็บรึเปล่า? ”
   “ ปะ...เปล่าครับ มันรู้สึกแปลก ๆ  อ๊ะ! ” ว่าด้วยน้ำเสียงกระเส่า
   “ รู้สึกดีไหม? ”  ว่าพลางขยับเข้าออกอย่างช้า ๆ
   “ อ๊ะ! คะ...ครับ  ระ...รู้สึกดี  อา...” 
                   เพียงแค่คนบนตัวขยับแก่นกายช้า ๆ เพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่ความสุขไปแล้ว
   “ เมียพี่น่ารักขนาดนี้เลยหรือ...”  ว่าพลางกดจุมพิตลงที่แก้มแดงฟอดใหญ่

                  พอเห็นคนใต้ร่างถึงจุดหมายปลายทางไปแล้ว  มิหนำซ้ำยังหลุดเสียงครางอย่างพอใจออกมา  ขุนนางหนุ่มเองก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นสัญชาตญาณดิบของตนเองเอาไว้ได้อีกแล้ว  ร่างใหญ่ยกสะโพกบางขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัด  เมื่อได้ที่แล้วก็เริ่มบรรเลงรัก  ขยับแท่นกลางลำตัวที่อยู่ในช่องทางสีหวานถี่ขึ้น  สะโพกแกร่งกระแทกหนักหน่วงขึ้น  แรงขึ้น  จนในที่สุดก็ปลดปล่อยความสุขออกมา  ความอุ่นวาบที่ไหลออกมาจากแก่นกายภายในช่องท้องเล็ก  ก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงแก่ความสุขตามไปด้วย  แล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในห้วงของความรัก  อย่างไม่สามารถที่จะหยุดยั้งห้ามใจได้  บำเรอรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่อาจเพียงพอแก่ใจของขุนนางหนุ่มเลย 
                     นี่สินะคนที่ฟ้าส่งมา  คนที่ชะตาลิขิตเอาไว้ให้  คนที่ใจโหยหามาแสนนาน  คนที่เบื้องบนดลบันดาลให้ได้เกิดมารักกัน...

                                                                                          :mew1:
           มาอัพต่อให้แล้วนะค่าาาา  อีกตอนเดียวก็จบแล้วเน้อออ  แล้วจะแถมตอนพิเศษให้ตอนนึงค่าาาา  จะเป็นยังไงค่อยอ่านต่อในเล่มเอาเนอะ^^  ในเล่มมีตอนพิเศษ 9 ตอน เน้อเรื่องก็ 22 ตอน  ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ  แล้วเจอกันตอนหน้าค่าา  จุ๊บๆๆ
 
KesornSama.

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 09/02/61 Episode 18. (Page.2)
«ตอบ #48 เมื่อ10-02-2018 18:02:02 »

จะจบแล้ววว ตอนหน้าขอหวานๆๆน้า

โอ้ยอยากอ่านตอนเด็กๆออกมาวิ่งไปมา

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Epilogue. (Page.2)
«ตอบ #49 เมื่อ24-03-2018 19:54:08 »

Epilogue


   โห่...หิ้ว  โห่...หิ้ว  โห่...หิ้ว  โห่  หิ้ว...
โห่...หิ้ว  โห่...หิ้ว  โห่...หิ้ว  โห่  หิ้ว...
โห่...หิ้ว  โห่...หิ้ว  โห่...หิ้ว  โห่  หิ้ว...
                    เสียงโห่ร้องกลองยาวดังมาแต่ไกล  อาเธอร์ลิสวิ่งออกมาจากห้องแต่งตัวที่คุณหญิงเพ็ญให้คนจัดเอาไว้ให้  ร่างบางชะเง้อคอมองลงไปตรงบันได  ก็เห็นขบวนขันหมากอยู่ไม่ไกล  ภายในขบวนขันหมาก  ประกอบไปด้วยขันหมากเอกที่พานของฝ่ายเจ้าบ่าวเชิญมาที่เรือนของฝ่ายเจ้าสาว  แต่เนื่องจากคุณหญิงเพ็ญอยากให้จัดพิธีอยู่ที่เรือนของตนเอง  ขบวนขันหมากก็เลยต้องแห่มาที่เรือนหลังนี้แทน  ซึ่งขันหมากเอกจะประกอบไปด้วยพานขันหมาก  พานสินสอดวางเงิน  พานสินสอดวางทอง  จัดเตรียมพานแหวนหมั้น  จัดเตรียมพานไหว้ผู้ใหญ่  และพานขันหมากโทจัดเป็นบริวารของขันหมากเอก  ซึ่งประกอบด้วยอาหารจำพวกขนมและผลไม้  9  อย่าง  อย่างละ 1  คู่  เพราะถือเคล็ดคำว่า  “ ก้าวหน้า ”  และคำว่า  “ คู่ ”  นอกจากเจ้าบ่าวแล้ว  ก็ยังมีผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวและเด็กนำขันหมากที่เดินเรียงต่อหลังกันมา  ภายในมือของเจ้าบ่าวถือพานธูปเทียนแพร  และเมื่อขบวนขันหมากมาถึงหน้าเรือนที่เจ้าสาวอยู่แล้ว คู่ถือต้นกล้วยและต้นอ้อยก็จะเดินไปอยู่หลังสุดก่อนขบวนนางรำ  เมื่อเอมิลีเห็นเช่นนั้นแล้วก็รีบลากตัวน้องชายแสนอยากรู้อยากเห็นกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว  จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะไปเข้าพิธี
                คุณหญิงเพ็ญเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวให้อาเธอร์ลิส  เพราะเห็นว่าเอมิลีเองก็ไม่น่าจะรู้ขั้นตอนประเพณีของสยามดีสักเท่าไร อาจจะทำให้พิธีออกมาไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้  เอมิลีเองก็คิดเช่นนั้น  หลวงภาคินจึงไปเชิญพระยาสรเดชมาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้  เมื่อขบวนขันหมากมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนแล้ว  ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวจึงลงไปต้อนรับพร้อมกับให้เด็กหญิงถือพานหมากที่จัดเป็นจำนวนคู่เอาไว้สำหรับต้อนรับลงไปด้วย  จากนั้นขบวนขันหมากก็จะเตรียมตัวขึ้นไปบนเรือน   ซึ่งจะต้องผ่านด่านให้ได้ทั้ง  3  ประตู  คือ  ประตูนาก  ประตูเงิน  และประตูทอง  มือหนาหยิบถุงสีแดงวางลงบนพานของประตูแรก  ประตูที่สอง  และประตูที่สาม  เมื่อหมดสิ่งขวางกั้นแล้ว  เจ้าบ่าวและขบวนขันหมากก็ก้าวขึ้นเรือนตามผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวไป  พอผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั่งจนได้ที่  เจ้าบ่าวก็นั่งลงที่พื้นใกล้ ๆ  ผู้ใหญ่ฝ่ายตน  ขุนนางหนุ่มในชุดแต่งงาน  ที่ประกอบไปด้วยเสื้อราชปะแตนสีขาว  โจงกระเบนสีเหลืองทอง  สวมถุงเท้ายาว  ซึ่งก็ไม่ต่างจากเครื่องแบบราชการของเขาสักเท่าไร  หากแต่ในวันนี้  เขาไม่ได้สวมชุดนี้เพื่อทำงาน  แต่สวมเพื่อเข้าพิธีแต่งงานต่างหาก 
                  ไม่นานเกินรอเจ้าสาวก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัว  สวมชุดที่ไม่เคยนุ่งมาก่อน  อาเธอร์ลิสในเสื้อราชปะแตนสีแสดอ่อน  นุ่งโจงกระเบนสีแสดทอง  ห่มสไบเขียวน้ำเงิน  และสวมถุงเท้ายาวจนปิดเรียวขาคู่สวยไว้ทั้งหมด  ที่ต้องห่มสไบก็เพราะเป็นเจ้าสาว  ถึงจะเป็นผู้ชายก็ตามแต่  คนเป็นเจ้าสาวก็เดินมานั่งลงข้าง ๆ เจ้าบ่าวในพิธี
                        หลวงภาคินไม่อาจที่จะละสายตาออกจากอาเธอร์ลิสได้แม้แต่ชั่วอึดใจเดียว  จับจ้องมองที่เด็กหนุ่มตั้งแต่เดินออกมา  จนมานั่งลงข้าง ๆ  ก็ยังจ้องมองเจ้าสาวของตนอย่างไม่วายตา  จนอาเธอร์ลิสเองรู้สึกเขินอายขึ้นมากับการถูกสายตาเหยี่ยวจ้องจับ
                       “ ไม่ตื่นรึ? ”  กระซิบถามร่างบางที่นั่งข้าง ๆ
                      “ ไม่ครับ ”  ตอบกลับพลางส่งยิ้มให้เจ้าบ่าว
                  “ เก่งนี่ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้เจ้าสาว
                   “...”  ไม่ได้ตอบอะไร  เพียงยิ้มหวานให้
                ปกติอาเธอร์ลิสก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่แล้ว  แต่วันนี้อาเธอร์ลิสในชุดแต่งงานดูสวยมาก  จะว่าสวยก็ไม่เชิงเสียเพราะเด็กหนุ่มก็เป็นผู้ชาย  ต้องบอกว่าดูสง่างามอาจจะเหมาะสมกว่า  ส่วนหลวงภาคินก็ไม่ต้องพูดถึง 
ขุนนางหนุ่มไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบชุดไหนก็ดูดีไปหมด  ยิ่งวันนี้ใบหน้าคมในชุดเจ้าบ่าว  จะมองมุมไหนก็ดูเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเลยก็ว่าได้  พอคนสองคนสวมชุดแต่งงานมานั่งข้าง ๆ กันแบบนี้  ทำให้แขกเหรื่อต่างเห็นพ้องต้องกันว่า  สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก  เป็นคู่ที่ควรคู่กันจริง ๆ
                อาเธอร์ลิสทำเอาหนุ่มใหญ่หนุ่มเล็กชาวสยามผิดหวังไปตาม ๆ กัน  เพราะชายหนุ่มหลายคนต่างหมายตาเด็กหนุ่มไว้ว่าอยากให้มาเป็นเจ้าสาว  ตกหลุมรักหนุ่มน้อยชาวอังกฤษตั้งแต่แรกเห็นเลยก็ว่าได้  ไม่เว้นแม้กระทั่งหลวงเทพสหายคนสนิทของหลวงภาคิน  ที่วันนี้ก็มาร่วมพิธีในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว  แต่สายตากลับจับจ้องแต่เจ้าสาวของหลวงภาคินอย่างไม่วายตา  แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลง ๆ  จนหลวงภาคินต้องหันมามอง
                “ นี่คุณหลวงยังแอบมองเมียฉันอยู่อีกรึ? ”  ถามกึ่งแซว
                 “ ก็คนมันรักไปแล้วนี่  แล้วจู่ ๆ ก็มาถูกเหยี่ยวอย่างหลวงภาคินโฉบไปเสียดื้อ ๆ ”  ว่าพลางมองไปยังเจ้าสาวอย่างไม่วางตา
                 หลวงภาคินหลุดขำออกมาในลำคอเบา ๆ  กับคำเปรียบเปรยของสหายคนสนิท
                “ อลิสต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น  ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ให้คุณหลวงหรอก ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
                “ รู้แล้วขอรับ...ถึงได้มานั่งหน้าหงอยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่ตรงนี้อย่างไรล่ะ ”
                 หลวงภาคินมองคนที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนั่งหน้าหงอยก็หลุดยิ้มออกมาจนคนที่นั่งข้าง ๆ สังเกตเห็นพอดี
                  “ คุณหลวงยิ้มอะไรน่ะครับ? ”  ถามออกไปด้วยความอยากรู้
                 “ ไม่มีอะไรหรอก  พี่ก็แค่ดีใจที่ได้แต่งเมียน่ะ ”  พูดพลางยิ้มจนเห็นเขี้ยวคม
                “ คุณหลวงบ้า! ”  พูดพลางแก้มก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
                “ อ้าว  ก็พี่พูดความจริงนี่ ”  พูดพลางยื่นหน้าไปใกล้ ๆ เจ้าสาว
                “ ถอยออกไปเลยครับ!  คนเยอะแยะ ”     ว่าพลางใช้มือดันหน้าเจ้าบ่าวออกไป
   “ แหม  ใกล้นิดใกล้หน่อยก็ไม่ได้   เดี๋ยวคืนเข้าหอ  พี่จะกอดจนไปไหนไม่ได้เลย ”
   “...”  ไม่พูดอะไร  รู้สึกใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ
                     อะแฮ่ม!
                 คุณหญิงเพ็ญกระแอมขึ้นปรามความคึกคักของลูกชายให้หยุดก่อกวนเจ้าสาวเสียที
   “ พ่อภาคิน  หยุดแกล้งน้องได้แล้ว  ตั้งใจฟังที่พระยาสรเดชท่านอวยพรสิ ”
                เมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นมารดาเอ็ดขึ้นขุนนางหนุ่มที่กำลังเย้าแหย่เจ้าสาวของตนอยู่ก็ต้องเป็นอันหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นลง
   “ ขอรับ ” 
                พอพระยาสรเดชพูดอวยพรจบ  ขุนนางหนุ่มกับเจ้าสาวก็ก้มลงกราบเท้าท่านพระยาอาวุโสพร้อม ๆ กัน  แล้วคุณหญิงเพ็ญก็ก้มลงกราบตามลำดับถัดมา
               เมื่อเสร็จพิธีนับสินสอดทองหมั้น  เจ้าสาวก็ถูกแยกตัวออกมา  จนทำให้หลวงภาคินต้องมองตามตาละห้อย
   “ อ้าว ๆ ไม่ต้องมองขนาดนั้นหรอก  ไม่หนีไปไหนหรอกน่า ” 
                พระยาสรเดชพูดขึ้นอย่างแซว ๆ เจ้าบ่าวที่เอาแต่ชะเง้อมองตามเจ้าสาวที่เดินกลับห้องไป  แล้วทุกคนในงานก็โห่ร้องแซวขุนนางหนุ่มตามพระยาสรเดช  จนหลวงภาคินรู้สึกเก้อเขิน  ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเบา ๆ  คุณหญิงเพ็ญที่มองดูอาการของลูกชายอยู่ก็อมยิ้มออกมา
   “ ก็กระผมไม่อยากห่างนี่ขอรับ ”  ตอบพลางทำหน้าหงอย
   “ เป็นถึงขุนนางทหารของกษัตริย์  แค่ห่างเมียคืนเดียว  มันไม่ตายหรอกคุณหลวง ”
พระยาสรเดชพูดพลางส่งยิ้มให้กับคนหนุ่มที่นั่งอยู่พื้นต่ำกว่าตน  พลางตบเข้าที่หัวไหล่เบา ๆ
   “ กระผมอาจจะขาดใจตายก็ได้นะขอรับ ”  พูดพลางชะเง้อมองไปทางประตูห้องเจ้าสาว
   “ เอาน่า  อดทนหน่อย  ก็วันนี้วันสุขดิบ  มันก็ได้เท่านี้ล่ะ  พรุ่งนี้วันแต่งแล้ว  เดี๋ยวก็ได้เข้าหอ ”  พูดออกไปอย่างนั้นให้คนหนุ่มหายหงอย
   “ กระผมก็คงต้องรอสินะขอรับ...”
                พิธีมงคลในตอนเช้า  ได้มีการบรรเลงพิณพาทย์รับพระ  เจ้าบ่าวในเสื้อราชปะแตนสีขาว  นุ่งโจงกระเบนสีเงิน  สวมถุงเท้ายาว  นั่งเคียงข้างกับเจ้าสาวในเสื้อราชปะแตนสีชมพูอ่อน   นุ่งโจงกระเบนและห่มสไบสีเขียวใบไม้  สวมถุงเท้ายาวเช่นกัน   เจ้าบ่าวเจ้าสาวและทุกคนที่อยู่ในพิธีมงคลยกมือขึ้นพนม  เมื่อเห็นพระสงฆ์ขึ้นมาบนเรือน  และพอพระสงฆ์เก้ารูปขึ้นไปนั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว  ทุกคนก็ก้มลงกราบอย่างพร้อมเพรียงกัน
                หลังจากเสร็จพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์แล้วก็จะเป็นการตักบาตรร่วมกันของคู่บ่าวสาว  หลวงภาคินยืนซ้อนข้างหลังอาเธอร์ลิส  มือหนายื่นไปจับทัพพีตักข้าวขึ้นมาเตรียมจะใส่ลงไปในบาตร  สายตาคมก็เหลือบไปเห็นสายตาคู่หวานทอดมองมา  จึงขยับให้มือเล็กจับด้ามทัพพีด้วย  โดยตนขยับมาจับตรงปลายด้ามทัพพีแทน  เจ้าบ่าวเจ้าสาวมองตากันด้วยความเขินอาย
   “ อ้าว  ยังไม่ทันไรกลัวเมียแล้วรึ ”
                พระยาสรเดชที่นั่งดูขุนนางหนุ่มตักบาตรร่วมกันกับเจ้าสาวอยู่  ก็เอ่ยแซวขึ้นเมื่อเห็นอาการเก้อเขินของข้าราชการหนุ่ม  อีกทั้งเพื่อนเจ้าบ่าวคนอื่น ๆ และแขกเหรื่อในงานก็พากันโห่ร้องอย่างชอบใจกับคำที่พระยาสรเดชพูด  ถึงจะเป็นอย่างนั้นหลวงภาคินก็ไม่ได้พูดอะไรกลับไป  เพียงแต่ยิ้มรับกับคำเซอแซวเหล่านั้น 
                เมื่อตักบาตรถวายของแก่พระสงฆ์เสร็จเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ร่วมกันกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเทพยดา  ทั้งเจ้ากรรมนายเวร  และ
บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ  จากนั้นก็มาถึงขั้นสุดท้ายของพิธีคือ  พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พร้อมกับสาดพรมน้ำมนต์เพื่อให้เป็นสิริมงคล  เจ้าบ่าวเจ้าสาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำมนต์  และใบหน้าก็เปื้อนไปด้วยความสุข
                พิธีในตอนเย็นเจ้าสาวเปลี่ยนไปห่มสไบสีฟ้าเข้ม  โจงกระเบนสีน้ำเงิน  ส่วนเสื้อราชปะแตนก็ยังสวมสีชมพูอ่อนเช่นเดิม  ผู้เป็นเจ้าบ่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนองค์ทรงเครื่องอะไรมากมาย  สวมชุดเดียวตั้งแต่พิธีตอนเช้าจนถึงเย็น  เจ้าบ่าวและเจ้าสาวนั่งลงตรงพื้นข้าง ๆ  กัน  ภายในห้องนอนที่ถูกโรยไปด้วยกลีบดอกไม้หอม  ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว  นั่นก็คือพระยาสรเดชได้กล่าวอวยพรให้คู่แต่งงานใหม่  อีกทั้งชื่นชมหลวงภาคินให้อาเธอร์ลิสได้ฟัง  จนผู้เป็นเจ้าสาวหลุดยิ้มออกมากับวีรกรรมของสามี  พอได้ฤกษ์ยามแล้ว  ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวก็เดินออกจากห้องหอไป  เหลือแต่เพียงคุณหญิงเพ็ญกับเอมิลีที่ยังนั่งอยู่กับคู่บ่าวสาว
                  คุณหญิงเพ็ญและเอมิลีขยับเข้ามาใกล้ ๆ คู่บ่าวสาว 
   “ พ่อภาคิน  ดูแลน้องให้ดี ๆ นะ  มีหลานให้แม่อุ้มเร็ว ๆ ล่ะ ” 
ว่าพลางหันไปมองหน้าผู้เป็นลูกชาย
   “ ขอรับ  เดี๋ยวกระผมจะเอาแฝดสี่ให้คุณแม่เลี้ยงเลยล่ะขอรับ ” 
ว่าพลางยิ้มให้ผู้เป็นมารดา
   “ คะ...คุณหลวง...”  เรียกปรามด้วยความเขินอาย
                   คุณหญิงเพ็ญเลิกสนใจผู้เป็นลูกชาย  พลางหันมาทางลูกสะใภ้  สองมือยื่นไปจับมือเล็กมากุมเอาไว้
   “ พ่ออลิส  แม่ฝากพี่เขาด้วยนะ  หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก  แต่ถ้านอกลู่นอกทางทำให้สะใภ้ของแม่ต้องเสียใจ  ต้องรีบบอกแม่เลยนะรู้ไหม?  เดี๋ยวแม่จะจัดการเอง ”  พูดพลางลูบมือบางเบา ๆ
   “ คะ...ครับ คุณหญิง ”  ขานรับกลับไปอย่างประหม่า
   “ ต้องเรียกแม่สิ  ถึงจะถูก  ไหนลองเรียกซิ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งก้มหน้าอยู่
   “ คะ...ครับ  คุณแม่ ”  พูดออกไปด้วยความเขินอาย
   “ ต้องอย่างนี้สิ  อย่าลืมที่แม่บอกล่ะ  มีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบบอกแม่ ”  พูดย้ำอีกครั้ง
   “ ครับ ”  ขานรับกลับไป
   “ โธ่!  คุณแม่ขอรับ  กระผมไม่นอกลู่นอกทางหรอกขอรับ ” พูดออกไปเมื่อเห็นคนเป็นมารดาย้ำเรื่องของตนให้ผู้เป็นภรรยาฟัง
   “ ก็ไม่รู้ล่ะ ”  ว่าออกไปแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป
                  พอเห็นคุณหญิงเพ็ญออกจากห้องไปแล้ว  เอมิลีก็ขยับมานั่งใกล้ กับน้องชายในตำแหน่งเดิมของคนที่เพิ่งออกไป
   “ อลิส  พี่ขอให้เรามีความสุขมาก ๆ นะ  พี่ดีใจกับเราด้วยจริง ๆ ที่เห็นอลิสของพี่มีความสุขมากมายเสียขนาดนี้ ” 
ว่าพลางน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาแสดงออกถึงความอิ่มเอมใจ
   “ ขอบคุณครับพี่เอมี  ผมดีใจนะครับ  ที่เกิดมาเป็นน้องของพี่ ” 
ว่าพลางคว้าตัวผู้เป็นพี่สาวมากอด
                  เอมิลีกอดน้องชายเอาไว้แน่น  ก่อนที่จะคลายอ้อมกอดนั้นออก  เพราะเกรงว่าการพิรี้พิไรของตนจะทำให้เสียฤกษ์เสียยามกันหมด  มือเรียวยกปาดน้ำตาแห่งความสุขออก  พลางพรายยิ้มให้น้องชาย  ก่อนจะหันไปทางน้องเขยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อาเธอร์ลิส
   “ ดิฉันขอฝากน้องชายด้วยนะคะคุณหลวง ”  เอ่ยออกไปพลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นสามีของน้องชาย
   “ ฉันรับปากว่าฉันจะดูแลอลิสให้ดีที่สุด ”  พูดพลางส่งยิ้มกลับ
   “ ขอบคุณมากนะคะ ”  ว่าออกไปเพียงแค่นั้น  ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
                   พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ภายในห้องแล้วนอกจากตนเองและภรรยา  ขุนนางหนุ่มก็ลุกไปปิดประตูลงกลอนให้สนิทก่อนจะมาช้อนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
   “ อ๊ะ!  คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ!? ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ  เพราะจู่ ๆ ร่างของตนก็ลอยขึ้นจากพื้นด้วยฝีมือของคนฉวยโอกาส
   “ ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว...ทีนี้ก็เป็นเวลาของเราอย่างไรล่ะจ๊ะ ” 
ว่าพลางส่งยิ้มให้คนในอ้อมแขน
   “ ปล่อยผมลงนะครับคุณ...อื้อ! ” 
พูดไม่ทันจบก็ถูกฉกฉวยริมฝีปากไป
   “ หวานจัง ”  ว่าพลางจ้องมองใบหน้าของคนในอ้อมแขน
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร  เพราะพูดอะไรไม่ออกและทั้งรู้สึกเขินอายกับสิ่งที่คนตัวใหญ่ทำ
                    เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กหยุดโวยวาย  ร่างสูงก็อุ้มเจ้าสาวมาที่เตียงที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้หอม  แล้วค่อย ๆ  วางคนในอ้อมแขนลงบนเตียงเบา ๆ อย่างทะนุถนอม
   “ วันนี้เหนื่อยไหม? ”  ว่าพลางนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นเจ้าสาว
   “ ไม่เท่าไรครับ ”  ตอบพลางสบสายตาคนตัวใหญ่
   “ พี่มีความสุขมากเลยนะ ”  ว่าพลางยื่นมือไปกุมมือคนตัวเล็กเอาไว้
   “ ผมก็เหมือนกันครับ ” 
   “ อยู่กับพี่ที่นี่...ตลอดไปนะ...”  ว่าพลางจุมพิตลงที่หลังมือเนียนเบา ๆ
   “ แต่ว่า...ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ ”
 พูดพลางทำสีหน้าเป็นกังวล
   “ พูดอย่างนี้แสดงว่าอลิสไม่อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม? ”
 พูดด้วยสายตาอ้อนวอน
   “ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ  ผมแค่อยากไปสะสางทุกอย่างให้เสร็จ 
อีกอย่างเรื่องที่ผมแต่งงานนี้ก็ยังไม่ได้บอกคุณพ่อกับคุณแม่เลยครับ 
เลยอยากกลับไปบอกท่านด้วยตัวเองน่าจะดีกว่าการบอกผ่านตัวหนังสือน่ะครับ ”  พูดพลางสบดวงตาเรียว
   “ ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปด้วย ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ แต่คุณหลวงงานยุ่งนี่ครับ  ผมว่า... ”  ว่ายังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
   “ พี่อยากไปสู่ขอลูกชายท่านอย่างเป็นทางการ  งานแต่งก็ไม่ได้บอกกล่าวท่าน  มันเป็นความสะเพล่าของพี่เอง ” 
   “ ไม่ใช่ความผิดของคุณหลวงหรอกครับ ”  ว่าพลางกระชับปลายนิ้วกดมือใหญ่เอาไว้แน่น
   “ ถ้าอย่างนั้นก็ให้พี่ไปด้วยนะ ” 
ว่าพลางส่งสายตาวิงวอนมองภรรยา
   “ กะ...ก็ได้ครับ ”
                    อาเธอร์ลิสก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหลวงภาคินออดอ้อนเก่งเสียขนาดนี้  ไม่เหลือคราบของขุนนางหนุ่มมาดขรึมเลยแม้แต่นิดเดียว  ยิ่งถูกอ้อนหัวใจก็ยิ่งสั่นระรัว  หากจะบอกได้ว่า  เด็กหนุ่มชอบหลวงภาคินที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดอะไร
   “ พี่รักอลิสนะ ”  ว่าพลางประทับจูบลงบนหน้าผากขาว
   “ ผมก็รักคุณหลวงครับ ”  พูดทั้งส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
                    สิ้นสุดคำพูดจากริมฝีปากบาง  เรียวปากหนาก็ประกบจุมพิตลงบนริมฝีปากสีกุหลาบทันที  ทั้งสองจูบรับกันอย่างดูดดื่มภายในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากกลีบดอกไม้  ร่างใหญ่ค่อย ๆ ดันให้ร่างเล็กเอนลงไปนอนราบบนเตียง  มือหนาเลื่อนลงไปปลดเปลื้องผ้าอาภรณ์ของเจ้าสาว  จะว่าด้วยความชำนาญหรืออะไรก็ไม่ทราบ  หลวงภาคินใช้เวลาไม่นานพันธนาการเหล่านั้นก็ถูกกำจัดออกไปให้พ้นทาง 
ริมฝีปากหนาถอนออกมาจากเรียวปากสีสวย  สอดส่ายสายตาสำรวจเรือนร่างเปลือยที่อยู่ตรงหน้าพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
   “ อย่ายั่วพี่นักสิ  แค่นี้พี่ก็คลั่งจะบ้าตายอยู่แล้ว ” 
กระซิบเสียงพร่าให้คนใต้ร่างได้ยิน
   “ ผะ...ผม...ไม่ได้ทำนะครับ ”  ว่าออกไปด้วยเสียงกระเส่า
   “ ก็ที่ทำอยู่นี่ล่ะ  เขาเรียกว่ายั่ว ”    ว่าพลางจูบลงที่ริมฝีปากบางเบา ๆ อีกครั้ง
                    ขุนนางหนุ่มหันมาจัดการกับอาภรณ์ของตนเอง  จนในที่สุดแพรภัณฑ์เหล่านั้นก็ถูกมือหนาเปลื้องออกไปจนหมด  เผยให้เห็นร่างกายแข็งแกร่งในทุก ๆ ส่วน  มือหนาไม่รอช้าจับสองขาเรียวให้ตั้งขึ้น  พลางแทรกตัวลงไป  แล้วโน้มหน้าลงไปกระซิบคนใต้ร่าง
   “ พี่จะเข้าไปแล้วนะ ”
   “...”  ไม่พูดอะไร  เพียงแต่พยักหน้าเป็นคำตอบ
                  มือหนาจับแท่นกายขนาดใหญ่ที่แข็งขืนเต็มที่   ไปจ่อตรงช่องทางสีหวานแล้วค่อย ๆ ดันสิ่งนั้นเข้าไป  พอดันสุดลำปืนใหญ่สะโพกแกร่งก็
ค่อย ๆ ขยับเข้าออกช้า ๆ เพื่อให้คนข้างล่างคุ้นชินเสียก่อน
   “ อา...คุณหลวง...”  ครางออกมา
   
                       การเคลื่อนไหวที่เนิบช้าของขุนนางหนุ่มทำให้อาเธอร์ลิสสุขสมไปเสียแล้ว  อาเธอร์ลิสในเวลาแบบนี้ดูเร้าอารมณ์มากขึ้นไปอีก  หลวงภาคินไม่อาจอดกลั้นต่อความต้องการที่อัดแน่นภายในลำปืนใหญ่ได้ไหว  มือหนาจับสองขาเรียวขึ้นพาดบ่า  ขยับสะโพกบางให้ได้ตำแหน่งที่ถนัด  แล้วจึงกระแทกสะโพกแกร่งเข้าไปในช่องทางรักของคนใต้ร่างอย่างหนักหน่วง  จนคนตัวเล็กร่างกายสั่นไหวไปตามแรงกระแทกของคนบนร่าง  เมื่อใกล้ถึงปลายทาง  หลวงภาคินก็กระหน่ำรัวปืนใหญ่ด้วยความเร็วและถี่  จนในที่สุดกระสุนแห่งความสุขก็พรั่งพรูออกมาจนทั่วช่องท้องของอาเธอร์ลิส  หลวงภาคินประทับจูบลงบนหน้าผากขาวไปหนึ่งครั้ง  แล้วเลื่อนลงมาประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากบางเบา ๆ  ก่อนจะถอดถอนวัตถุของตนเองออกมาจากช่องทางอันแสนหวาน  พลางโน้มตัวลงนอนข้าง ๆ คนตัวเล็ก โอบกอดร่างบางจากทางด้านหลังเอาไว้อย่างนั้น  ไออุ่นจากร่างกายทำให้คนทั้งคู่ผล็อยหลับไป
                     อาเธอร์ลิสลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนกร้อง  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเช้าวันใหม่  ร่างเล็กมองไปข้างกายก็เห็นหลวงภาคินนอนหลับตาพริ้มอยู่  มิหนำซ้ำยังกอดตนเองเสียแน่น  นิ้วมือเล็กยกไปจิ้มที่แก้มของคนที่หลับอยู่สามที  แล้วก็อมยิ้มออกมา  ริมฝีปากบางกดประทับจุมพิตลงบนหน้าผากเข้มของคนที่นอนหลับอยู่  แล้วก็ค่อย ๆ เลื่อนปลายจมูกโด่งมา กดลงที่แก้มของคนหลับลึก  มือเรียวค่อย ๆ แกะมือของผู้เป็นสามีออกจากลำตัว  จากนั้นจึงลุกขึ้นไปสวมชุดสบาย ๆ แล้วเดินออกมาเปิดประตูรับอากาศสดใสในยามเช้า  ดวงตาคู่สวยหลับลงรับลมเย็นที่พัดมาปะทะที่ใบหน้าอย่างสบายอารมณ์  แล้วจู่ ๆ ก็ต้องหลุดออกจากความผ่อนคลายนั้นเพราะถูกใครบางคนสวมกอดมาจากทางด้านหลัง  พอเอี้ยวตัวกลับไปมองก็ถูกประทับจูบลงที่แก้มทั้งสองข้าง
   “ ทำอย่างนี้ไม่งามเลยนะครับคุณหลวง ”   ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ”    ว่าพลางกดจมูกลงบนแก้มเนียนอีกครั้ง
   “ คนอื่นตื่นหมดแล้วนะครับ  เดี๋ยวก็มีคนมาเห็น...” 
   “ ก็ช่างเขาประไร ”  ว่าพลางกดจมูกลงบนแก้มใสอีกข้างหนึ่ง
   “ คุณหลวงเอาแต่ใจ...”
   “ ก็เอาแต่ใจแต่กับเมียนี่ล่ะ ”    ว่าพลางประทับจุมพิตลงบนต้นคอขาว
   “...”  ไม่พูดอะไร  เพราะกำลังอายกับคำพูดของหลวงภาคินอยู่
   “ พี่จะรีบจัดการเอกสารราชการให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดนะ  เราจะได้เดินทางไปอังกฤษกันเร็ว ๆ ”  พูดพลางเกยคางลงบนไหล่ของคนตัวเล็ก
   “ ทำไมต้องรีบขนาดนั้นล่ะครับ?  หรือว่าเรือไม่ค่อยมี? ” 
ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ”
   “ แล้วเพราะอะไรหรือครับ? ”  ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
   “ เดี๋ยวมีลูก...จะเดินทางลำบาก ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ คุณหลวง...บ้า...”  ว่าพลางตีลงที่มือของผู้เป็นสามีเบา ๆ
   “ ถึงจะบ้า...ก็บ้ารักนะขอรับ ”  พูดพลางยิ้มออกมาจนเห็นเขี้ยว
   “ ไม่พูดกับคุณหลวงแล้ว ”  ว่าออกไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกเขิน
   “ พี่จะมีอลิสคนเดียวนะ ”  บอกออกมาเช่นนั้นพลางกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น
   “ ผมก็จะมีคุณหลวงคนเดียวครับ  ผมจะรักเพียงคุณหลวงภาคินเพียงคนเดียวและตลอดไปครับ ”  พูดพลางหันหน้าไปมองคนข้างหลัง
   “ พี่ก็จะรักเพียงอลิสคนเดียวและตลอดไป ” 
                  พูดจบก็ประทับจุมพิตลงบนหน้าผากขาว  แล้วกระชับกอดคนตัวเล็กไว้แน่นอยู่อย่างนั้น
                                                                       :mew3:
    จบแล้ววว  เย้ๆๆๆๆๆ  หลังจากหายไปเป็นชาติไม่ได้เข้ามา  ระบบเด้งออกเลยต้องล็อกอินเข้ามาใหม่  ระลึกชาติหารหัสผ่านกว่าจะเจอ 555555555555  จบแบบนี้หวานพอมั้ย?  บอกเลยอิจมาก!!!  อยากได้สามีแบบนี้  ใครที่ยังอยากได้เล่มสามารถสั่งได้ที่เพจเลยนะคะ  มีพร้อมส่ง^^  แล้วมีข่าวดีมาบอก  สำหรับใครที่ชอบอ่านในมือถือ  ก็มี  Ebook  วางขายที่  Meb  แล้วนะคะ^^  พิมพ์ชื่อเรื่องค้นหาเลยยยยย  เดี๋ยวจะแว่บเอาตอนพิเศษมาแถมให้อีกตอนน้าา  ส่วนใครอยากอ่านต่อเยอะกว่านี้  สามารถเอาเล่มไปอ่านได้ตามความสะดวกค่าาา  สามารถสั่งได้ทางเพจ: KesornSama. หรืออ่านในเว็บธัญวลัย(ไม่ครบเหมือนในเล่ม  แต่ก็เยอะกว่าที่ลงในเล้าเป็ด  แต่ติดเหรียญติดกุญแจ )  จะยังไงแล้วแต่คนอ่านสะดวกเลยค่าาา  เจอกันตอนพิเศษตอนหน้าน้าาา  แล้วไปต่อเรื่องใหม่หัน >>>ลวงแค้น [Omegaverse]  เรื่องนี้กำลังเปิดจอง  แล้วเจอกันค่าา
KesornSama.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Epilogue. (Page.2)
« ตอบ #49 เมื่อ: 24-03-2018 19:54:08 »





ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Epilogue. (Page.2)
«ตอบ #50 เมื่อ28-04-2018 14:11:03 »



ขอบคุณ​ที่​แบ่งปัน​ขอรับ​


ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต 29/04/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #51 เมื่อ29-04-2018 01:39:54 »

Extra

   เกือบจะครบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่อาเธอร์ลิสย้ายมาอยู่ที่เรือนของหลวงภาคินในฐานะภรรยา  ตั้งแต่เด็กหนุ่มมาอยู่ที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูมีชีวิตชีวาไปเสียหมด  โดยเฉพาะหลวงภาคินจากที่เป็นขุนนางหน้าขรึมมิหนำซ้ำยังปากคอเราะร้าย  แต่ตอนนี้กลับยกยิ้มบ่อยขึ้นจนทำให้ใคร
หลาย ๆ คนลืมเลือนสีหน้าเก่า ๆ ของขุนนางหนุ่มไปเสียแล้วก็ว่าได้
   “ คุณหลวงปล่อยได้แล้วครับ  เช้าแล้ว ”  ว่าพลางพยายามดึงมือหนาออกจากเอว
   “ อือ...”  ส่งเสียงตอบกลับไปทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาพริ้มอยู่  และไม่ยอมเอามือออกจากเอวบาง
   “ อือ  ก็ปล่อยสิครับ  เดี๋ยวเข้าราชสำนักสายนะครับ ” 
ว่าพลางดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนคนตัวใหญ่
   “ วันนี้ไม่ได้เข้าราชสำนัก...ขออยู่แบบนี้อีกสักประเดี๋ยว...”  พูดจบก็ซุกปลายจมูกลงบนซอกคอขาว
   “ แค่ประเดี๋ยวเท่านั้นนะครับ ”  ว่าพลางถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้
   “ อือ...”  ส่งเสียงในลำคอออกมาแค่นั้น
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป  เพียงแต่อยู่นิ่ง ๆ ให้คนตัวใหญ่นอนกอดอยู่เช่นนั้น
   เมื่อผ่านไปได้ครู่หนึ่งตามที่ตกลงกันไว้  คนตัวเล็กก็ริออกอาการดิ้นอีกครั้งพลางตีที่หลังมือของผู้เป็นสามีเบา ๆ
   “ ปล่อยได้แล้วครับ ”
   “ อือ...ขออีก...”  ว่ายังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
   “ คุณหลวงครับ  อย่าเอาแต่ใจสิครับ  ผมต้องไปจัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะนะครับ ”  ว่าออกไปเสียงดุ
   ดวงตาคมเปิดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงภรรยาพูดว่าเสียงดุออกมาอย่างนั้น
   “ ก็อยากนอนกอดเมียอยู่อย่างนี้มันผิดนักหรือ...”  ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
   “ คุณหลวงครับ! ”  ออกเสียงดุออกไปอีกครั้ง
   “ ขอรับ...ยอมปล่อยแล้ว...ดุจัง...”  ว่าพลางปล่อยมือออกจากเอวบาง
   “...”  ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไป
   เมื่อร่างกายเป็นอิสระจากการถูกเกาะกุม  อาเธอร์ลิสก็ยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะออกไปจากห้องนอน  แต่ทว่าก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้  เมื่อจู่ ๆ คนตัวใหญ่ที่นอนอยู่ข้าง ๆ  ลุกพรวดขึ้นมาแล้วกดเด็กหนุ่มให้นอนหงายราบไปกับเตียง  แล้วร่างสูงนั้นก็ขึ้นมาคร่อมร่างบางเอาไว้
   “ คุณหลวง!  เล่นอะไรนี่ครับ  ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยครับ ”  ว่าออกไปเสียงดุ  พลางจ้องคนบนร่างเขม็ง
   “ ขออะไรแลกเปลี่ยนก่อนสิ... ”  ว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
   “ อะไรล่ะครับ!? ”  ถามออกไปอย่างโมโหกับความเอาแต่ใจของสามี
   จุ๊บ!
   “ คุณหลวง! ”  ตะโกนออกไปทันที  เพราะถูกอีกฝ่ายช่วงชิงริมฝีปากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
   “ อา...ชื่นใจแล้ว  ไปอาบน้ำรอกินข้าวดีกว่า ” 
ว่าพลางลุกขึ้นจากลำตัวบาง  แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างสบายอารมณ์  ปล่อยให้คนตัวเล็กนอนทำหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของคนตัวใหญ่อยู่อย่างนั้น
αΩ
   อาเธอร์ลิสกำลังตักแกงรัญจวนใส่ชามเพื่อนำไปขึ้นโต๊ะอาหาร  เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว  ร่างเล็กก็เตรียมจะยกเอาอาหารเหล่านั้นออกไป  แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวจนเกือบทำอาหารที่ถูกนำใส่ถาดแล้วหลุดมือ  เพราะถูกมือหนาของใครบางคนรวบเข้าที่เอว  พอหันกลับไปดูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน  สามีจอมดื้อด้านของเขานั่นล่ะ  ที่กำลังยืนยิ้มแฉ่งพลางซุกหน้าลงมาตรงลำคอขาวของเด็กหนุ่มอยู่เนือง ๆ  จนอาเธอร์ลิสต้องตัดสินใจวางถาดในมือลงเสียก่อน  หากยังถืออยู่มีหวังต้องหกเละเทะเป็นแน่
   “ เล่นอะไรนี่ครับคุณหลวง? ไปนั่งที่โต๊ะก่อน  เดี๋ยวผมยกอาหารออกไป ”  ว่าสั่งออกไป
   “ ไม่ได้เล่นเสียหน่อย  คิดถึง...”   พูดออกมาอย่างนั้น
   “ พูดอะไรน่ะครับ  ปล่อยผม ” 
ว่าพลางผลักอกคนตัวใหญ่ออกด้วยความเขินอาย
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
   ใบหน้าคร้ามก้มลงไปประทับจุมพิตให้ริมฝีปากของคนในอ้อมกอด  จนคนตัวเล็กต้องเบิกตากว้างกับการถูกจู่โจมของสามี  ริมฝีปากหนาเอาแต่ใจบดเบียดริมฝีปากสีกุหลาบอย่างหนักหน่วง  ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากบอบบางนั่น  ดูดกลืนความหวานด้วยความกระหายอย่างกับภมรดูดดื่มน้ำหวานจากดอกไม้ก็ไม่ปาน  ไม่เพียงแค่นั้นลิ้นซุกซนยังเลี้ยวเลาะไปทั่วโพรงปากอันแสนหวาน  สำรวจความเรียบร้อยของฟันขาวทุกซี่ของคนในอ้อมกอดอย่างเพลินเพลิน  แล้วลิ้นร้อนนั้นยังเกี่ยวกระหวัดลิ้นแสนนุ่มอย่างเห็นแก่ตัว  กระชากเอาลิ้นเล็กเข้ามาในโพรงปากหนา  จากนั้นดูดดึงอย่างบ้าคลั่ง  เหมือนกับอยากครอบครองลิ้นนุ่มนั้นไว้ในโพรงปากของตนให้ได้  ไม่เพียงเท่านั้น  มือหนายังล้วงเข้ามาในเสื้อของคนในอ้อมกอดแล้วเลื่อนมือไปจับตุ่มไตเล็ก ๆ ที่ประดับอยู่บนเนินหน้าอก  จากแค่บีบเค้นเบา ๆ  ก็กลายเป็นขยำแรงขึ้นจนคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งในสัมผัสนั้น  ซึ่งการถูกเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วงจากขุนนางหนุ่มทำให้
อาเธอร์ลิสเริ่มหายใจไม่ออก  มิหนำซ้ำยังหัวใจเต้นแรงแทบจะระเบิดอยู่แล้ว  จนในที่สุดก็อดกั้นไม่ไหวกับความเอาแต่ใจของคนตัวใหญ่  ร่างบางกระทืบเท้าลงสุดแรงบนปลายเท้าแกร่ง 
   “ โอ๊ย! ”  ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด  พลางปล่อยมือจากคนตัวเล็ก
   “ สมน้ำหน้า! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ทำไมทำกับพี่แบบนี้...”  ว่าพลางเดินกะเผลก ๆ เข้าไปหาภรรยา
   “ ก็เพราะคุณหลวงทำอะไรไปล่ะครับ!? ” 
ว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก
   “ โธ่!  ก็อยู่ใกล้เมียทีไรมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ  เข้าใจพี่บ้างสิ ” 
ว่าพลางเดินเข้าไปใกล้  พลางจะยื่นมือไปโอบภรรยา
   “ เข้าใจหรือครับ?  ได้...”  ว่าออกไปพลางยิ้ม
   พลั่ก!
   ไม่ทันได้แตะถึงแขนเนียนของภรรยา  ช่วงกลางลำตัวของขุนนางหนุ่มก็ถูกแข้งของอาเธอร์ลิสฟาดเข้าเต็มแรง  จนร่างใหญ่ถึงกับทรุดลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
   “ อึก! พะ...พี่เจ็บนะ ”  ว่าพลางยกมือมาจับท่อนกลางลำตัวของตนเองเอาไว้
   “ เจ็บสิ! จะได้จำ! ”  พูดทั้งจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
   “ ถ้าใช้งานไม่ได้จะทำอย่างไร...”  ว่าด้วยใบหน้าเหยเก
   “ แบบนั้นล่ะดี! ” 
ว่าออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็ยกถาดใส่อาหารออกไป
   “ อลิสเดี๋ยว! อึก! ”  เรียกตามหลังออกไป  จุกจนไม่สามารถลุกได้
   “ ทำไมเมียฉันถึงได้ดุขนาดนี้วะ!  โอยเจ็บ...” 
                                                             :mew1: :mew1: :mew1:
         มาลงตอนพิเศษให้ตามสัญญาแล้วงับ  ส่วนใครที่อยากอ่านตอนอื่น ๆ ต่อ  สามารถติดตามต่อได้ในเล่ม  หรือ  อีบุ๊ค  ได้ตามสะดวกเลยค่าา  และช่วงปลาย ๆ ปี จะมีภาคพิเศษของเรื่องนี้ออกมานะคะ  แต่คงไม่ได้อัพในนี้  ส่วนจะอัพที่ในบ้างนั้นจะแจ้งในเพจค่ะ  สามารถพูดคุยเรื่องนิยาย  หรืออื่น ๆ ได้ที่เพจ KesornSama  ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนจบเรื่องนะคะ^^  ดีใจมากๆเลยค่ะที่มีคนอ่าน  ถ้ามีโอกาสหวังว่าทุกคนจะติดตามเรื่องต่อๆไปของเกสรนะคะ^^  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #52 เมื่อ01-05-2018 01:07:47 »

 :-[ :pig4:

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #53 เมื่อ01-05-2018 19:05:39 »

โอเมก้าแบบพีเรียดมากๆ
กลิ่นอายย้อนยุคมาเต็ม
สนุกมากค่ะ มีขัดๆบ้าง
แต่โดยรวมก็โอเคค่ะ
ขอบคุณที่แต่งมาลงนะคะ

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #54 เมื่อ06-05-2018 22:48:54 »

อยากเห็นเบบี้  :impress2:

ออฟไลน์ nuch-p

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 345
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #55 เมื่อ14-12-2019 17:34:09 »

 :a5:น่ารักๆ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #56 เมื่อ15-12-2019 14:23:33 »

 :hao3: น้องน่ารักจนคุณหลวงหลงเลย
ขอขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆนะคะ

ออฟไลน์ FaX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #57 เมื่อ23-12-2019 11:51:59 »

 :mew1: ขอบคุณนิยายน่ารักๆ แบบนี้มากเลยค่ะ แปลกใหม่ดี เป็นพีเรียด+omegaverse น่ารัก กุ๊กกิ๊ก อบอุ่นหัวใจมากกก เลิฟฟฟ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
«ตอบ #58 เมื่อ16-04-2020 21:10:04 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด