[จบแล้ว] ►Have a ghost night - รักนี้ผีไม่เกี่ยว (รีไรท์)◄ [บทส่งท้าย] 25/4/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] ►Have a ghost night - รักนี้ผีไม่เกี่ยว (รีไรท์)◄ [บทส่งท้าย] 25/4/18  (อ่าน 37750 ครั้ง)

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

__________________________________________________________________________________________



#รักนี้ผีไม่เกี่ยว


สารบัญ
บทส่งท้าย



________________________________________

**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติที่แต่งขึ้น เรื่องราว สถานที่ บุคคลใดๆ ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฏในเรื่องไม่มีอยู่จริง หากบังเอิญซ้ำกับชื่อหรือนามสกุลจริงของท่านใดขออภัยมา ณ ที่นี้**

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2018 23:39:13 โดย รชา »

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
บทนำ

เปิดหอพักผีสิง



หอพัก Just Live Here

ผมเดินลากกระเป๋าเข้ามาที่ตึกขนาดสามห้องของอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นหอพัก ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวตึกเพื่อมองการตกแต่งด้วยสไตล์ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะบัญญัติว่าอะไรดี ฝั่งหนึ่งเป็นผนังปูนเปลือยและของตกแต่งสไตล์ลอร์ฟ อีกฝั่งเป็นผนังสีขาวมีภาพวาดงานศิลป์ประดับอยู่ ส่วนโถงตรงกลางดูเรียบง่ายสไตล์โมเดิร์นแต่เฟอร์นิเจอร์อีกส่วนเป็นสไตล์วินเทจ ความไม่ธรรมดาของเจ้าของหอบ่งบอกผ่านรสนิยมการตกแต่งตึกจนผมแอบประหลาดใจ

"มึงอยู่ได้แน่นะเว้ย แถวนี้แม่งอย่างกับป่าช้า"  ทิม เพื่อนที่มาช่วยขนของเข้าหอพูดขึ้นขณะกำลังลากกระเป๋าอีกใบของผมตามมา ห้องเบอร์ 888 คือห้องของผม ป้าทิพย์ เจ้าของหอบอกกับผมว่าหอที่นี่มีจำนวนแปดห้อง และผมคือผู้พักรายที่สี่ของหอ

"เอออยู่ได้น่า ดีกว่าที่เก่าก็แล้วกัน" ผมหันตอบทิมขณะไขกุญแจเข้าห้อง เงื่อนไขการหาหอพักที่ผมต้องการ คือข้างห้องต้องไม่ใช่คู่รักที่ชอบทะเลาะกัน หรือคู่รักข้าวใหม่ปลามัน หรือแก๊งนักศึกษาสายแข็งที่ตั้งวงเหล้าได้ทุกวัน ซึ่งหอเก่าของผมร่ายล้อมไปด้วยคนพวกนั้น บางวันก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันด้วย บางวันก็เสียงทำกิจกรรมของคู่รักที่ดังจนผมอยากลุกไปทุบผนังเพื่อขัดจังหวะ และทุกวันต้องมาฟังเพลง ฟังเสียงเคาะขวดจากไอ้พวกขี้เมาหลังเลิกเรียนสภาพแวดล้อมน่ากระโดดตึกตายมาก ดังนั้นการย้ายออกควรจะเป็นอะไรที่เหมาะสมและควรทำมากที่สุด

ผมเลื่อนสายตามองรอบๆ ห้องที่ขนาดกำลังดี ราคาแพงกว่าที่เก่านิดหน่อยแต่สมเหตุสมผลด้วยเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ครบครันจนไม่ต้องเอาอะไรมาเพิ่มเลย ไอ้ทิมสำรวจอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตรงนั้นทีตรงนี้ที แล้วเดินไปเปิดม่านที่ระเบียงหลัง

"ไอ้ตึกผีนั่นเหรอวะที่เป็นข่าว" มันว่าแล้วชี้ไปยังตึกแปดชั้นที่อดีตเคยเป็นหอพักที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ผมพยักหน้าเบาๆ และมองไปยังที่นั่น ใครๆ ก็เรียกที่นั่นว่าตึกผีสิงเพราะที่นั่นเคยมีนักศึกษาสาวฆ่าตัวตายที่นั่น เคยเป็นข่าวดังอยู่พักใหญ่ คงเป็นเพราะเรื่องนั้นทำให้ไม่มีใครเลือกที่จะอยู่หอแถวๆ นี้เลย บรรยากาศจึงเงียบสงบราวกับรอรายการคนอวดผีมาถ่ายทำ แต่ก็ผมกลับชอบและถูกใจที่นี่ขึ้นมาทันทีที่เห็น

"แค่มองยังขนลุก มึงอยู่แถวนี้เจอดีแน่ไอ้น่าน โฮะๆๆ" ทิมหันมาทำท่าหลอกผี ไม่ได้น่ากลัวแต่น่าถีบมากกว่า ผมหันไปหยิบไม้แขวนเสื้อที่เอาออกจากกระเป๋าทำท่าจะตีมัน มันหัวเราะพลางกระโดดหนีแล้วทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน

"มึงไม่กลัวผีนี่เนอะ"

"กลัวทำไม มึงเคยเห็นเหรอ?"

ผมรู้สิ่งที่มองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่ แต่ผมไม่กลัว หันมองตึกร้างนั่นอีกครั้งแล้วก็ท้าทายอยู่ในใจ

 

ผีเหรอ...มีจริงก็มาสิ อยากเจอ   

 

 

...

 

 

 

"กรี๊ง...กรี๊ง..."

ผมที่กำลังอาบน้ำยื่นมือไปหมุนฝักบัวเพื่อปิดเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์จากด้านนอก ชีวิตผมจะมีสายโทรเข้าตอนดึกๆ แบบนี้ไม่มากนักหรอก ไม่ไอ้ทิมก็เพื่อนในคณะ และร้อยเปอร์เซ็นต์ในใจเดาว่าต้องเป็นไอ้ทิมแน่ๆ ผมเลยปล่อยให้มือถือร้องจนหยุดไปเอง

"กรี๊ง...กรี๊ง..."

            หลังจากเสียงเงียบไปก็ดังขึ้นอีกที ปกติไอ้ทิมมันไม่มีความอดทนที่จะโทรหาใครเกินสายเดียว ผมไม่รู้ว่าธุระด่วนอะไรที่ทำให้มันโทรถี่ขนาดนั้น จึงหยุดการอาบน้ำแล้วตั้งใจจะออกไปรับโทรศัพท์

"พรึบ!"

"เชี่ย!"

ผมเผลอสบถคำหยาบเมื่อจู่ๆ ไฟห้องน้ำก็ดับพรึบก่อนที่ผมจะเดินออกมา ผมเงยหน้ามองไฟที่กระพริบติดๆ ดับๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดับสนิทไป ผมเดินออกมากดสวิทซ์ไฟในห้องน้ำซ้ำๆ แต่มันก็ไม่ติด เมื่อความมืดผสมโรงกับความเงียบ บรรยากาศชวนขนลุกก็เกิดขึ้นในตอนนั้น สถานการณ์แบบนี้ผีโผล่ชัวร์

 ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหามีสิ่งไม่มีชีวิตที่เขาล่ำลือ ปกติมาทางไหนกัน ระเบียง กระจก ท่อน้ำ เออทางไหนก็ช่าง มาเลยมา!

"กรี๊ง....กรี๊ง..."

ผมเดินไปหาโทรศัพท์ที่ยังร้องไม่หยุดก่อนจะต้องหยุดกึก เพราะโทรศัพท์ของผมที่วางเอาไว้เงียบสนิท ไม่มีการโทรเข้าหรือแสงไฟอะไรทั้งนั้น

อ่ะ...เอางี้ใช่ไหม? รับน้องเหรอ?

ขณะที่ผมกำลังถูกเขย่าขวัญด้วยเสียงโทรศัพท์ก็ยังดังไม่หยุด หากแต่ความกลัวของผมมันยังไม่ทำงาน จึงหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอของเสียง ที่ใกล้หูขึ้นทุกที ผมหยิบผ้าห่มบนที่นอนขึ้นมาสะบัดแต่ก็ไม่พบว่าเสียงนั่นมาจากไหน

"กรี๊ง...กรี๊ง..."

เอ๊ะ...หรือกูควรกลัว 

ผมสูดลมหายใจเรียกสติแล้วค่อยๆ ก้มลงไปมองใต้เตียงอย่างช้าๆ เห็นแสงสว่างวาบอยู่ใต้นั้น  กลั้นหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์นั่นออกมาจากตรงนั้น เกือบจะตกใจแล้วที่อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ใครไม่รู้มาโผล่ตรงนี้ แต่ตั้งใจมองอีกทีก็พบว่ามันคุ้นตาด้วยเคสสีเหลืองลายมินเนี่ยน ผมจึงจำได้ทันทีว่าเป็นโทรศัพท์ไอ้ทิม

 

"MOMMY"


 

ให้กูตกใจฟรีทำไมเนี่ย! ผมส่ายหัวหน่อยๆ แล้วกดรับโทรศัพท์ในมือ

"สวัสดีครับ"

(ไม่ต้องมาครับ กูเอง)

"เชี่ยทิม กูตกใจหมด"

(ตกใจอะไร)

"ไม่มีไร แล้วนี่ยังไง ทำมือถือหล่น?"

(เออดิ! นึกว่าหายไปไหนแล้ว สงสัยตกตอนกูนอน)

"มึงกลับไปตั้งแต่หกโมงเย็น เพิ่งมานึกได้ตอนนี้ ช้าไปไหม?"

(เออกูนึกได้แล้วนี่ไง เดี๋ยวกูไปเอานะ เอาลงมาให้หน้าหอหน่อย)

"ตอนนี้เลยเหรอวะ...ตู้ด...ตู้ด..."

"ไอ้...!" ผมด่าไอ้ทิมไม่จบประโยคเพรามันวางไปก่อน ผมยุติการอาบน้ำไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ ไฟห้องน้ำยังคงดับสนิท สะดุ้งเงาตัวเองในกระจกนิดหนึ่ง แต่สาบานเหอะว่าไม่กลัว

ผีมันมีจริงที่ไหน และที่ผมไม่กลัวเพราะผมเคยคาดหวังว่าจะเจอสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณอะไรทำนองนั้นสักครั้ง ผมเคยเชื่อว่าผีมีจริง อยากเจอคนรู้จักที่ตายไป แต่นั่นก็เหมือนการพยายามทำสิ่งไร้สาระ ผีมันไม่มีอยู่จริง และไม่มีใครพิสูจน์ให้ผมเห็นได้ว่ามันมีอยู่จริง   

ผมไล่ความคิดไร้สาระออกจากหัวแล้วเดินลงไปรอทิมข้างล่าง บรรยากาศตอนกลางวันว่าเงียบแล้ว เจอเที่ยงคืนแบบนี้เข้าไปนี่เงียบเหมือนอยู่คนเดียวในตึกเลย สายตาผมเหลือบมองซ้ายขวาตลอดเวลาที่เดินลงจากบันได  กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูแล้วผลักมันออกไป

"กึก!"

คิ้วผมขมวดเข้าหากันนิดหน่อยตอนประตูนั่นเปิดไม่ออก มันติดเหมือนมีอะไรขวางอยู่ข้างนอก หรือมันต้องดึงวะ? ผมทั้งลองดึงดูแต่มันก็ไม่ขยับ แต่หน้าประตูมันก็เขียนอยู่ว่า ผลัก  เลยผลักไปอีกทีให้เต็มแรง

"กึง!"

"โอ๊ย! เจ็บนะโว้ย!"

หือ?

ประตูที่ถูกเปิดออกได้เพียงเล็กน้อยทำให้เห็นผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งนอนขวางอยู่ แน่นอนเขาเป็นเจ้าของเสียงโวยลั่นเพราะถูกผลักประตูใส่อย่างแรง เขาขยับตัวห่างจากหน้าประตูไป ผมเลยเปิดประตูได้สุดความกว้าง มองดูคนที่พื้นที่ใบหน้ายุ่งเหยิงยกมือจับหลังตัวเองที่ถูกผมผลักประตูใส่เมื่อครู่

ก็อยากจะขอโทษ แต่ความสงสัยมันมีมากกว่าความรู้สึกผิด ก็มันมานอนอะไรตรงนี้วะ?

ผมก้มมองดูเขาที่ยังนอนคิ้วขมวดอยู่ที่พื้น กลิ่นแอลกอฮอล์พุ่งขึ้นมาเตะจมูกอย่างแรงจนผมต้องขยับหน้าหนี คืออะไรเนี่ย คนจรจัดเหรอ? ผมส่ายหัวเบาๆ แล้วก้าวข้ามเขาที่นอนขวางประตูอยู่ ตอนนั้นรถยนต์คันหนึ่งก็จอดที่ริมถนนหน้าหอพอดี เห็นว่าเป็นไอ้ทิมเลยทิ้งคนที่พื้นเดินไปหามันก่อน

"อยู่นี่เอง คิดว่าหายไปไหนซะแล้วลูกพ่อ" ทิมรับโทรศัพท์ในมือผมไปแล้วจูบวัตถุในมืออย่างกับพลัดพรากกันมาทั้งชีวิต

"ไว้ค่อยมาเอาพรุ่งนี้ก็ได้ป่ะวะ"

"กูขาดโทรศัพท์ไม่ได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกูเลยนะเว้ย มันเหมือนกับครึ่งที่เหลือของชี..."

"พอเหอะ ถ้ามึงรักมันมากขนาดนั้นก็เอาไปนอนกอดที่บ้านไป กูจะกลับไปนอนแล้ว" ผมตัดบทความเพ้อเจ้อของมันด้วยความรำคาญ เจ้าตัวได้แต่หัวเราะหน่อยๆ แล้วยัดมือถือใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ 

"งั้นกูไปนะ ขอบใจมาก"

ทิมโบกมือให้ทีหนึ่งก่อนจะขับรถออกไป ผมเดินกลับเข้ามาหน้าหอ ชายเร่ร่อนยังนอนอยู่ตรงนั้น ผมค่อยๆ ก้าวขาผ่านเขาไปแล้วพยายามจะยื่นมือไปดึงประตูอย่างช้าๆ กลัวจะไปกระแทกเขาอีก

แต่ว่า เราไม่ควรให้เขานอนตรงนี้ป่ะวะ

ผมปล่อยมือจากประตูและกำลังจะยื่นมือไปปลุกเขา แต่อีกฝั่งของความคิดก็เถียงขึ้นมา

เขาอาจจะเป็นคนจรจัดก็ได้ ช่างเหอะ

ผมเปลี่ยนใจเดินข้ามเขาเพื่อไปเปิดประตู

"เดี๋ยว!"

"เฮ้ย!" ผมร้องลั่นเมื่ออยู่ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ลุกพรวดขึ้นมาดึงชายเสื้อของผมเอาไว้ เขาที่เมาไม่ได้สติหรี่ตามองผมก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง

"เปิดประตูให้หน่อยสิคร้าบ"

"ฮะ?"

"เนี่ย เปิดให้หน่อยสิ" เขาชี้ไปที่ประตู ผมชั่งใจว่าจะเปิดให้เขาดีไหม เพราะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่หรือเป็นคนเร่ร่อนไม่มีที่นอน และถ้าผมเปิดให้เขาเข้าไปนอนในนั้น ตอนเช้าจะไม่โดนป้าเจ้าของหอด่าเอาเหรอ อะไรก็ตามแต่จิตสำนึกผมมันสั่งว่าอย่าไปยุ่งเลย จึงทำได้แค่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วแกะมือเขาที่เกาะชายเสื้อผมอยู่ในปล่อยออกไป

"เฮ้ย! บอกให้เปิดก็เปิดสิวะ!"

ผมสะดุ้งเฮือกที่อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมากระชากคอเสื้อผมและตะคอกใส่ให้เปิดประตู

"ไม่เปิดเว้ย!" ผมแกะมือเขาออกไป ด้วยสภาพที่เมาสุดระดับทำให้ผมสะบัดเขาออกได้ไม่ยาก

"จะเปิดหรือไม่เปิด!"

"ไม่เปิด!"

"บอกให้เปิดก็เปิดดิ!" เขาว่าแล้วใช้สองมือจับหน้าผมดึงเข้าไปใกล้ กลิ่นแอลกอฮอล์ขั้นรุนแรงทำให้ผมต้องหันหน้าหนี

"ผมอยู่ที่นี่ แค่ทำคีย์การ์ดหาย เปิดให้หน่อยมันจะตายหรือไงครับ น้ำใจน่ะมีไหม?"

"ใครจะไปรู้วะ มึงอาจจะเป็นโจรก็ได้นี่ ไม่เปิดเว้ย!"

"โจรอะไรของมึงวะ ก็บอกว่าอยู่ที่นี่ไง" เขาว่าแล้วดึงหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมอีก มือหนาที่ล็อกหน้าผมเอาไว้ให้มองเขา ทำให้เห็นหน้าชัดๆ ใบหน้าที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนไทยแท้ๆ แน่นอน ดวงตาสีเข้มกับจมูกโด่งนั่นเด่นที่สุดในใบหน้า เอาจริงๆ แม่งอย่างหล่อ แต่เมาแล้วไร้สติแบบนี้น่าขยะแขยงชิบ

"เปิดประตู!"

"ไม่เปิด เมาแล้วก็ไปเกะกะที่อื่นไป!"

"เฮ้ย! อะไรนักหนาวะ เดี๋ยวก็จับข่มขืนซะหรอกไอ้เด็กนี่!"

ไอ้เวร!

"พลั่ก!" ผมยกหมัดขึ้นซัดใส่คางเขาสุดแรง เปรี้ยงเดียวมันลงไปนอนกับพื้นที่เดิม ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วสะบัดมือที่เจ็บแปลบนั่นสองสามที เดินข้ามร่างไร้สตินั่นเข้าหอไม่ลืมที่จะเปิดประตูกระแทกมันทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

 

ไอ้ขี้เมาเอ๊ย! คืนนี้ขอให้โดนยุงข่มขืน! 

 

 

To be continued.





___________________________________________________________________________________________

กลับมาพบกันใหม่ ในเรื่องเดิม รีไรท์ใหม่ก็เลยถือโอกาสเอามาลงที่นี่ด้วยเลยค่ะ


จริงๆ เรื่องนี้เขียนเอาไว้หลายปีแล้ว แต่จับมารีไรท์ใหม่ ก็ทำไม่เป็น ไม่รู้ว่าตอนรีไรท์มันต้องแก้ตรงไหน 55555 งงๆ ในดงไฟล์เวิร์ดอยู่พักใหญ่เลย ถามว่าอยากเปลี่ยนอะไร อยากเปลี่ยนชื่อเรื่องอะ ลิเกมากเว่อ แต่กลัวไม่กากเลยเอางั้นแหละ กากๆ ดีค่ะ 



ทั้งนี้ทั้งนั้น หลักๆ แล้วเราก็แก้บทสนทนาให้มันลื่นไหลขึ้น เพิ่มเนื้อหาบางช่วงบางตอน ตัดตรงนั้นออก เพิ่มตรงนี้เข้าไป สรุปเขียนใหม่หมด 55555 หลอกๆๆ  แต่จริงๆ เนื้อหาหลักๆ ไม่ได้เปลี่ยนนะคะ ปมในเรื่องก็เหมือนเดิม เพียงแค่เปลี่ยนวิธีผูกใหม่ หยิบเอาคำแนะนำในคอมเมนท์มาแก้ไขในจุดที่มันไม่โอเค ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์มากจริงๆ ค่ะ ถ้าใครที่อ่านแล้วก็อยากให้กลับมาอ่านใหม่อีกสักครั้งจัง อยากรู้ว่ามันดีขึ้นไหม หรือไม่มีประโยชน์อะไรเลย 55555



ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ จะทยอยอัพอาทิตย์ละครั้ง หรือ สองครั้ง โดยประมาณนะคะ



ด้วยรักและขอบคุณ



 

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ต่อ ๆ ตาม ๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ bimiliya.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 1
เจ้าที่แรง

 

วันต่อมาผมใช้เวลาในวันหยุดไปกับการจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามโมงเย็น ถึงได้เดินลงมาหาอะไรกินข้างล่าง ระหว่างเดินลงบันไดก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหอบหนังสือกับชีทกองโต ด้วยความตัวเล็กและส่วนสูงไม่น่าจะเกินคางผม หนังสือในมือจึงน่าจะหนักเกินไปจึงทำให้เธอหยุดเดินระหว่างทางแล้วกองหนังสือนั่นไว้กับขั้นบันไดก่อนเพื่อหยุดหอบหายใจ

"ให้ช่วยไหมครับ?"  ผมถามก่อนผู้หญิงคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นมอง ผ่านแว่นหนาเตอะกับใบหน้าหมองๆ ใต้ตาคล้ำเหมือนกำลังทำลายสถิติว่ามนุษย์เราอดนอนได้กี่ชั่วโมง ผมกระพริบตาถี่มองเธอที่เอาแต่จ้องแต่ไม่พูดอะไร จึงยกมือโบกเบาๆ อีกคนจึงยิ้มกว้างแล้วตอบกลับมา

"ไม่เป็นไรค่ะ ห้องเราอยู่ตรงนี้เอง"

ผมพยักหน้ารับ แล้วก้าวลงบันไดอีกก้าวเพื่อไปอยู่ขั้นเดียวกับเธอ 

"เพิ่งย้ายมาเหรอ"

"ครับ" ผมตอบก่อนผู้หญิงคนนี้จะก้าวเข้ามาหาผมก้าวหนึ่ง จ้องหน้าแบบที่จ้องเมื่อครู่ จ้องจนผมต้องถอยหลังหนีจนชนราวบันได

"มีอะไรเปล่า?"

"เออ เปล่าๆ แค่ไม่ได้เห็นคนหน้าตาดีในหอนี้มานานมากแล้ว หล่อจนประหลาดใจ"

ผมยิ้มเจื่อนแก้เขิน มันก็ควรเป็นคำชมอะ แต่ทำไมไม่รู้สึกอย่างนั้นวะ

"เราชื่อน้ำขิง เรียนแพทย์อยู่ปีสาม อยู่ห้อง444นะ"

"เรา น่าน อยู่ห้อง888"

"โห นั่นห้องอาถรรพ์เลยป่ะ"

"ฮะ? อาถรรพ์ยังไงอะ"

น้ำขิงมองซ้ายมองขวาแล้วขยับเข้ามากระซิบข้างหู

"ก็ห้องนั้นตรงกับตึกร้างแปดชั้นพอดีเป๊ะ ห้องอื่นก็ว่างแล้วทำไมไปเลือกห้องนั้นเล่า!"

ผมหัวเราะแห้งๆ จะบอกว่าไม่กลัวอะไรที่คนอื่นกลัวก็ดูจะออกตัวแรงไป เลยได้แต่บอกปัดๆ 

"เราชอบห้องนั้นอะ"

"เออๆ ไว้วันหลังมาเล่าเรื่องหลอนให้ฟัง แต่พรุ่งนี้เรามีควิซอ่านหนังสือไม่ทันแล้ว เจอกันนะ" น้ำขิงว่าแล้วก้มลงหอบหนังสือกองนั่นขึ้นก่อนเดินเข้าห้องแรกของชั้นนั้นไป ส่วนผมเดินลงมาถึงชั้นล่าง ซึ่งเป็นห้องโถงกว้าง ใกล้ๆ กันมีห้องครัวที่อนุญาตให้ทำอาหารได้ บริเวณห้องนั่งเล่นตรงนี้มีทีวีจอยักษ์ โซฟาตัวยาวขนาดใหญ่ที่บรรจุคนได้นับสิบ แต่ตอนนี้มีเพียงป้าทิพย์ เจ้าของหอที่กำลังดูหนังแอคชั่นเสียงกระหึ่มพร้อมกับกินป๊อบคอร์นไปด้วยอย่างสบายใจ ทันทีที่ผมเดินเข้าไปป้าก็หันมาทักทายทันที   

"อ้าว! น้องน่าน เป็นไงบ้างลูก ห้องโอเคไหม"

"โอเคครับป้า แต่ไฟในห้องน้ำมันเปิดไม่ติดอะครับ"

"อ้าวเหรอ? เดี๋ยวป้าให้คนไปดูให้แล้วกัน น้องน่านจะออกไปไหนหรือเปล่าป้าจะได้ขึ้นไปตอนนี้เลย"

"ป้าขึ้นไปเลยก็ได้ครับ ผมออกไปซื้อของก่อนเดี๋ยวกลับมา"

"ได้จ้ะ เดี๋ยวป้าไปดูให้นะ"

ผมพยักหน้ารับป้าทิพย์ก่อนขอตัวออกมาข้างนอก หาข้าวกินและแวะซื้อของใช้นิดหน่อย ใช้เวลาข้างนอกไม่นานก็เลือกกลับหอ ปกติผมค่อนข้างติดหอและการได้อยู่หอพักที่สบายๆ ก็ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเรียบง่ายของผม

ในตอนที่กลับมาที่หอ เดินผ่านห้องโถงชั้นล่าง ป้าทิพย์ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วแต่เป็นผู้ชายที่มีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้นที่ปกปิดร่างกายอยู่ เปลือยท่อนบนโชว์เนื้อหนังและกล้ามแน่นๆ ที่ดูดีแบบผู้ชายนักกีฬา เขานั่งกระดกโค้กกระป๋องอยู่ ผมตั้งใจจะเดินผ่านไปเฉยๆ แต่ถูกมือของคนบนโซฟาดึงไว้ก่อนแล้วฉุดลงไปนั่งข้างๆ กำลังจะโวยแต่เสียงของมันก็โพล่งขึ้นมาก่อน

"ผมชื่อเท็น อยู่ห้อง333นะ"

"เอ่อ...อืม"

"ว่างก็แวะไปได้นะ ในห้องมีปลาทองหลายตัวเลย โคตรอยากอวด"

คิ้วผมขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ กลับไป พูดกันตรงๆ  ยังไม่เจอคนปกติในหอนี้เลย ผมไม่มีความต้องการจะนั่งคุยกับเท็นต่อเลยขอตัวขึ้นห้องก่อน  เดินมาหยุดที่ห้องกำลังจะล้วงหากุญแจแต่หันไปเห็นว่าห้องมันถูกเปิดเอาไว้อยู่แล้ว เดาว่าช่างยังซ่อมไฟยังไม่เสร็จ เพราะได้ยินเสียงกุกกักๆ อยู่ในนั้น จึงเดินเข้าไปแล้วตรงไปยังห้องน้ำ 

"ยังไม่เสร็จเหรอครับ"

"เฮ้ย! ตกใจหมด!"

คนที่อยู่ในห้องน้ำหันมาส่งเสียงดัง ทำให้ผมเผลอสะดุ้งไปด้วย แต่ทันทีที่เขาหันขวับมามองกลายเป็นผมที่ต้องตกใจเอง

"เฮ้ย!"

"อะไร?"  เขาถามหน้าตาเฉย แต่ไม่สนใจคำตอบ ก่อนจะกางบันไดออกแล้วปีนขึ้นไป ผมกระพริบตาถี่ ที่ตกใจเพราะมันคือมนุษย์ขี้เมาที่ผมซัดคางมันร่วงไปเมื่อคืนไง ผมว่าเขาจำผมไม่ได้ ผมก็เลยเนียนไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนไปด้วย

"นี่เป็นช่างซ่อมไฟเหรอครับ"

"เป็นแม่บ้านมั้ง"

กวนตีน...

"แล้วทำไมยังไม่เสร็จอีกล่ะครับ"

"เสร็จบ้าอะไรล่ะคุณ เพิ่งมาถึง" เขาว่าแล้วล้วงลงในกล่องอุปกรณ์ ผมคิดว่าเขาจะหยิบเครื่องมือสำหรับเปลี่ยนหลอดไฟแต่มันกลายเป็นโค้กขวดหนึ่งที่ติดมือเขาขึ้นมา

"นี่พี่ มันใช่เวลามาดื่มน้ำตอนนี้ไหม รีบๆ ซ่อมแล้วก็รีบๆ ออกไปสิครับ"

"ใจเย็นดิ คอแห้ง" เขากระดกโค้กขึ้นดื่ม แล้วยื่นขวดให้ผม

"เอาวางไว้ตรงนั้นดิ"

บ้าเอ๊ย ผมรับขวดโค้กแล้ววางลงที่พื้น ก่อนเขาจะขยับตัวขึ้นไปบนบันไดแต่จังหวะนั้นทำให้บันไดที่กางอยู่ขยับคล้ายจะล้ม

"เฮ้ยๆ!" ผมที่ตกใจไปด้วยตรงเข้าไปจับบันไดนั่นเอาไว้ก่อนที่เขาจะร่วงลงมา

"เออๆ จับไว้ดิ"

"ทำเร็วๆ สิครับ"

"จะรีบอะไรนักหนา เอ้าถือ!" เขาถอดหลอดไฟข้างบนส่งให้ผมถือ

ผมกลายเป็นลูกมือช่างอย่างไม่เต็มใจ แต่ทำได้แค่บ่นในใจขณะจับบันไดนั่นเอาไว้ แล้วคอยหยิบจับอุปกรณ์รับส่งให้เขาจนกระทั่งเขาซ่อมมันเสร็จ ผมเดินไปเปิดไฟดูแล้วพบว่ามันกลับมาใช้ได้ปกติ เสร็จจากตรงนั้น เขาจึงก้าวลงมาจากบันได หน้าตาอย่างกับคนยังไม่สร่างเมาเอามือข้างหนึ่งเท้าบันไดแล้วหันมามองผม

"เสร็จแล้วก็ไปสิครับ"

"หอเป็นไง โอเคไหม"

"ก็...โอเคครับ"

"เจอผีไหม"

"ไม่ครับ"

"มาอยู่ที่นี่ไม่กลัวเหรอ" เขาว่าแล้วก้มลงหยิบขวดโค้กที่ดื่มเหลือขึ้นมา

"ไม่ครับ"

"จริง?"

"โหพี่ มันไม่มีจริงหรอก ผีเผออะไร" ผมพูดพลางโบกมือปัดๆ เขาหัวเราะนิดๆ ยกโค้กขึ้นกระดกแล้วชี้ไปที่ข้างหลังผม

"อยู่ข้างหลังนั่นตัวหนึ่งอะ"

"ไม่ตลกนะพี่"

ผมหัวเราะเบาๆ แต่ตัวเขาไม่ขำ ซ้ำยังมองไปข้างหลังผมแล้วพยักหน้าทีหนึ่งราวกับกำลังทักทายใครสักคน ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาหาผม

"พี่ไปอำอย่างนี้กับทุกคนหรือเปล่าถึงไม่มีใครมาเช่าหอนี้เนี่ย"

เขายิ้มนิดๆ แล้วโยนขวดโค้กลงในถังขยะหลังห้องผม

"ไปละ อะไรเสียก็เรียกได้นะ"

ผมไม่คาดหวังว่าอะไรจะเสียอีก จะต้องไม่มีเหตุที่ให้เขาเข้ามาในห้องผมอีกแน่นอน

"ครับ" ผมตอบรับส่งๆ เขายกบันไดขึ้นแล้วกำลังจะเดินออกไป ก่อนจะหยุดกึกแล้วหันขวับกลับมา เขาหันมองตะกร้าผ้าที่มุมห้องแล้วหยิบเสื้อยืดของผมที่ยังไม่ได้ซักขึ้นมา

"นี่เสื้อคุณเหรอ"

"ก็อยู่ในห้องผมนี่ ก็ต้องเป็นของผมสิ"

เขาวางบันไดและกล่องอุปกรณ์ลงกับพื้น แล้วโยนเสื้อผมลงตะกร้าอย่างแรงก่อนจะหันขวับมาหาผมด้วยหน้าตาเอาเรื่อง

อะไรวะ...

"คุณใช่ไหมที่สอยคางผมเมื่อคืน"

"ฮะ?"

"หน้าหอเมื่อคืนอะ"

"อ่ะ...เอ่อ...พี่จำผิดคนแล้วมั้งครับ"

"กูจำเสื้อได้เว้ย!"

เวรชิบ!

"นี่ไปทำอะไรให้ถึงต้องมาทำร้ายร่างกายกัน ยังเจ็บคางอยู่เลยรู้ไหม!"

"ก็พี่พูดจาหยาบคายอะ ผมตกใจก็เลยสะกิดไปทีหนึ่ง เบาๆ"

"สะกิดเหรอ ซัดเปรี้ยงเข้านี่เลย! ไม่ตายก็บุญแล้วเนี่ย! แค่มีน้ำใจลากคนเมาเข้าหอหน่อยไม่ได้เลยหรือไง!"

"ใครมันจะไปรู้วะพี่! เมาเหมือนหมาแล้วมานอนหน้าหอ เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละ"

"เหมือนหมาเหรอ! นี่ปากดีเกินไปแล้วนะ" เขาว่าแล้วตรงเข้ามาหา เขาสูงกว่าผมยิ่งในระยะใกล้จึงเห็นชัดในสัดส่วนที่แตกต่าง ผมจึงต้องแหงนหน้ามองคนตรงหน้า

"พี่! อย่าเข้ามานะ อยากโดนอีกหรือไง!" ผมยกกำปั้นขึ้นตั้งการ์ด เอาดิ! แค่ตัวสูงกว่านิดเดียวอย่าคิดว่าจะกลัวนะโว้ย

"ตอนนี้ไม่เมานะ อย่าคิดว่าจะง่ายเหมือนเมื่อคืน"

"เฮ้ย! จะทำอะไรอะ ผมจะบอกให้เจ้าของหอไล่พี่ออกเลยนะ!"

"ไอ้เด็กขี้ฟ้อง!"

"เอาดิ! ฟ้องจริงๆ นะเว้ย! พฤติกรรมก็หยาบ คำพูดก็หยาบ แถมยังขี้เมาอีก ไม่รู้ว่าป้าทิพย์จะจ้างคนแบบนี้ไว้ทำไม พี่น่าจะโดนไล่ออกวันนี้เลย"

"เออ! ก็ฟ้องเลย!"

"ผมบอกจริงๆ นะ!"

เขารวบคอเสื้อผมด้วยมือข้างเดียวแล้วดึงเข้าไปหาอย่างช้าๆ

"บอกเลย...บอกตอนนี้เลย"

"ก็ปล่อยผมสิ ผมจะได้ไปบอกเขาตอนนี้เลย"

"บอกตรงนี้ได้เลย..."

"..."

"ผมนี่แหละเจ้าของหอ"

"..."

ฮึ? อีกทีสิ?

"ว่าไง มีอะไรจะบอกไหม?"

ผมได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นยอมให้เขาขยำคอเสื้ออยู่ตรงนี้ ตอนโดนลูกบอลอัดหน้าก็ยังไม่เจ็บเท่าตอนนี้เลยมั้ง หน้ามันแหกจนเหมือนตอนนี้ยืนหัวขาดอยู่อะ หน้าแหลกไม่มีชิ้นดีเลย เอาสิ กูควรทำยังไงต่อล่ะ?

"มีอะไรกันหรือเปล่าคะ" เสียงป้าทิพย์ดังขึ้น ทั้งผมและเขาหันไปมองก่อนคนตรงหน้าจะปล่อยมือออกจากผม แล้วหันไปตอบป้าทิพย์ 

"ไม่มีอะไรหรอกป้า แค่ทักทายกันอะครับ"

"แหม ดูสนิทกันไวจังเลยนะคะ กอดคอกันด้วย"

ป้าเอาอะไรมาพูดว่าการที่ไอ้ตัวโย่งนี่ยืนกระชากคอเสื้อและผมก็ตัวนิ่งเป็นเหมือนลูกหมาโดนราชสีห์ขยำนี่เป็นการกอดคอกันอย่างสนิทสนม คือไรป้า?

คนข้างๆ เหยียดยิ้มมุมปากแล้วหันไปเก็บอุปกรณ์และบันไดตรงนั้น ก่อนเดินออกไปก็ไม่ลืมทิ้งคำพูดไว้กับป้าทิพย์

"ฝากดูแลด้วยนะป้า ดูแลให้ดีๆ เลยคนนี้อะ" ประโยคมันก็ดูใจดีหรอก แต่มันไม่มีความจริงใจอะไรตั้งแต่ตอนที่กัดฟันพูดแล้วโว้ย!

"ไงน้องน่าน เรียบร้อยดีนะคะ"

"ครับ ดีครับ"

"งั้นป้าไปนะคะ มีอะไรก็เรียกได้"

"ป้าครับ คนเมื่อกี้เขาเป็นใครเหรอฮะ?"

"นั่นคุณซี เป็นเจ้าของหอนี่แหละค่ะ"

"อ้าว ผมนึกว่าป้าซะอีกที่เป็นเจ้าของหอนี้"

"อ๋อ ป้าเป็นแม่บ้านค่ะ"

"..."

ผมรู้สึกแสบผิวหน้านิดหน่อยเพราะหน้าแหกแล้วแหกอีก แล้วไอ้เจ้าของหอนั่นมันต้องมีเวรกรรมติดตัวขนาดไหนวะถึงเกิดมาราศีไม่จับไม่ป้าแม่บ้าน เงิบไปดิไอ้น่าน

 

...

 

To be continued.

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มาตามค่ะ สนุกดีๆ :katai5:

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เคยอ่านไปแล้วรอบนึงแต่เห็นว่ารีไรท์เลยกลับมาอ่านใหม่ค่า  คิดถึงพี่ซีมาก :impress2:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 2
คนเห็นผี

 

เสาร์อาทิตย์ผ่านไปเหมือนไม่มีอยู่จริง แต่โชคดีที่วันจันทร์มีเรียนบ่ายจึงไม่ได้รู้สึกว่าวันจันทร์มันโหดร้ายอะไรขนาดนั้น ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนก่อนที่จะถึงเวลาเรียน ไฟในห้องเรียนปิดทุกดวงจนมืดทึบ บางคนก็ฟุบหลับบนโต๊ะรอเวลาเรียน ผมมองไปยังกลุ่มเพื่อนๆ ที่นั่งสุมหัวกันอยู่หน้าคอมฯ ดูรายการอะไรสักอย่าง ผมเห็นหัวสีทองของไอ้ทิมเด่นที่สุดในวงนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ

คนอวดผี?

ไอ้พวกนี้กำลังนั่งดูรายการผีอย่างใจจดใจจ่อ จึงไม่ทันได้สนใจผมที่เดินเข้ามาข้างหลัง ดูรายการผีไม่พอพวกมึงยังบิลท์บรรยากาศด้วยการปิดไฟในห้องอีก เพื่อนผู้หญิงก็นั่งจับมือกันอย่างกลัวจัด

"เฮ้ย!"

"ว้าย! กรี๊ด! เชี่ย!"

ผมหัวเราะลั่นเมื่อแกล้งเพื่อนได้สำเร็จจนวงแตก

"ไอ้น่าน! ไอ้เลว!" สองสาวสามัคคีกันตะโกนด่าผม 

"ไอ้ห่า ตกใจหมด!" ทิมว่าพลางยกมือทำท่าจะทุบหัวผม

"พวกมึงกลัวแล้วจะดูทำห่าอะไรเนี่ย" ผมว่าแล้วเดินไปเปิดไฟ 

"เพราะกลัวเลยต้องดูไงมึง ถ้าไม่กลัวแล้วจะดูไปทำไม รายการเขาทำมาให้กลัวเว้ย"

"ไร้สาระ จะได้เวลาเรียนแล้วไปนั่งที่ไป" ผมว่าก่อนพวกมันจะแยกกันไปนั่งที่ กำลังจะเอื้อมมือไปปิดหน้ายูทูป ประตูก็ถูกเปิดออกโดยอาจารย์ประจำวิชา เสียงแหลมโพล่งขึ้นบ่นทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา

"นี่ทำอะไรกัน ทำไมยังไม่นั่งที่ ไปนั่งที่ให้เรียบร้อย!"

พวกที่เหลือตอบรับแล้วขยับตัวเองไปนั่งที่ ผมกำลังจะตามไปด้วยแต่โดนอาจารย์เรียกเอาไว้ก่อน

"เธอ ประธานเอกใช่ไหม"

"ครับ" ผมตอบ เหอะ! ยิ่งใหญ่ไหมล่ะประธานเอก ไอ้ตำแหน่งบ้านั่นตกมาที่ผมเพราะพวกเพื่อนมันบอกว่าผมตัวขาวที่สุดในเอกก็ต้องเป็นประธานเอก สมเหตุสมผลที่สุดเท่าที่เคยมีตามหลักประชาธิปไตย และพวกมันสามัคคีลงมติเป็นเอกฉันท์ดังนั้นผมจึงไม่มีสิทธิ์ทักท้วงอะไรทั้งนั้น

"แล้วมาทำอะไรที่โต๊ะฉัน อยากจะสอนแทนหรือว่ายังไง!"

"เปล่าฮะ มาปิดคอมฯ ครับ"

"มาแอบเปิดคอมฯ ดูอะไรไร้สาระอีกล่ะสิ! เวลาพักทำไมไม่ไปทบทวนตำรา มาทำอะไรไร้สาระไม่เข้าเรื่อง กี่ครั้งแล้วฮะที่ต้องให้บ่น นาฬิกาก็มีเนี่ยไม่เห็นหรือไงอีกห้านาทีจะได้เวลาเรียนแล้ว ควรจะพร้อมก่อนที่ฉันจะเข้ามาแล้วรู้ไหม"


กว่าอาจารย์จะบ่นเสร็จก็ครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว พอเรื่องหนึ่งมันผุดขึ้นมาให้บ่น อีกสามสิบเรื่องก็ถูกขุดตามมาด้วยไม่หยุด ใครๆ ก็เบื่อวิชานี้ทั้งนั้นแต่มันดันเป็นวิชาเอกที่เลี่ยงไม่ได้เลยต้องลงตัวนี้ ผมฟังเสียงนี้บ่นมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสาม หน้าที่เดียวที่นักศึกษาอย่างเราควรทำคือทำตัวหดหู่ ทำหน้าสลด ฟังแกบ่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวหมดชั่วโมงเอง

 

หลังเลิกเรียนผมรับหน้าที่รวบรวมรายงานเอาไปส่งที่ห้อง อย่าถามว่าเต็มใจหรือเปล่า เพราะผมไม่ได้เป็นมนุษย์ผู้มีจิตอาสามีศรัทธาในการสละตนเพื่อมนุษยชาติขนาดนั้น พูดอย่างไม่เสแสร้งเลย ถ้าไม่ติดว่าอะไรๆ ก็ประธานเอกผมก็ไม่ทำหรอก

"ไอ้น่าน กูไปสูบบุหรี่รอนะ เจอกันที่จอดรถ"

ผมพยักหน้าให้ทิมก่อนมันจะเดินออกไป ส่วนผมเดินทะลุไปที่ตึกคณะมนุษย์ฯ โดยผ่านไปทางตึกสถาปัตย์ฯ ตอนเย็นๆ แบบนี้ตึกเงียบไม่มีนักศึกษาแม้แต่คนเดียว เพราะมีตำนานห้องหุ่นของตึกสถาปัตย์ฯ อยู่ทางนั้นจึงทำให้ตรงที่แทบไม่มีใครเดินผ่านตอนเย็นๆ แต่เพราะมันเป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่ผมจะไปถึงตึกมนุษย์ฯ ได้ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะมาทางนี้

"พี่! ผมขอโทษ!"

"มึงไม่ต้องมาขอโทษ"

ผมก้าวช้าลงจนแทบจะหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงสนทนานั่น ผมก็ไม่ได้อยากสนใจแต่เสียงมันชัดขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปยังห้องหุ่นนั่น

เอาจริงๆ เสียงคนไหม

"แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่"

"มึงไม่ได้ตั้งใจเหรอ? กูชกปากมึงแล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจบ้างได้ไหมล่ะ!"

"อย่าพี่อย่า! ผมขอโทษ! ขอโทษจริงๆ!" 

ผมชะงักเท้าอยู่กับที่เมื่อได้ยินตะโกน ตึกเงียบๆ จึงมีเพียงนั่นที่ดังก้อง และเพราะมันคล้ายจะเป็นการทะเลาะกันมากกว่าการพูดคุยธรรมดา ผมจึงค่อยๆ เดินเข้าไปที่มุมตึกนั่นหาต้นตอของเสียง ก่อนเห็นผู้ชายคนหนึ่งถอยหลังติดกำแพง ยกมือขึ้นไหว้ด้วยใบหน้าอ้อนวอน ส่วนอีกคนผมมองเห็นเพียงด้านหลัง เขาอยู่ในท่าที่พร้อมจะชกอีกคนนั่นแล้ว

งั้นเรื่องนี้น่านจะไม่ขอยุ่ง ผมหันเท้ากลับอย่างไม่อยากเข้าไปเกี่ยว รีบเอาการบ้านไปส่งแล้วรีบกลับไปหาไอ้ทิมดีกว่า

"ผมขอโทษจริงๆ นะพี่ ผมจะไม่ทำอีก!"

"มึงหุบปาก!"

"พี่อย่า!"

"เฮ้ยหยุดนะ!"

เสียงของผมดังแทรกการกระทำของผู้ชายคนนั้นจนเขาชะงักกึก แม่ง! อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมโยนกองรายงานทิ้งแล้ววิ่งเข้าไปขวางเขาคนนั้นให้ค้างอยู่ในท่าง้างหมัดเตรียมชก

"คุณ"

และผมก็ค้นพบว่าการเข้ามาเสือกครั้งนี้เป็นการกระทำที่คิดผิดอย่างมหันต์ เพราะเจ้าของหมัดที่พร้อมชกนั่นคือ คุณซี คุณซีเจ้าของหอ คุณซีที่ผมบาดหมางเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ทำไมเจ้าของหอของผมมายืนอยู่ตรงนี้ แถมยังอยู่ในชุดนักศึกษาด้วย

"คุณมาทำอะไรที่นี่"

ผมกระพริบตาถี่ เออนั่นสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามาทำอะไรตรงนี้ ไม่ยุ่งแต่แรกก็จบไปแล้ว!

"ก็...พี่กำลังจะทำอะไรล่ะครับ"

"แล้วคิดว่าไงล่ะ?"

"ผมแค่ผ่านมา เห็นพี่กำลังจะชกเขา" ผมหันไปมองคนข้างหลังที่ก้มหน้างุดเหมือนกำลังกลัวสุดขีด เจ้าของหอได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"คุณรู้จักมันเหรอ"

"ไม่รู้"

"มึงรู้จักเขาเหรอ!" เขาตะโกนถามคนข้างหลังผม

"มะ...ไม่รู้ครับ"

เขาก้าวขาเข้ามาหาผมก้าวหนึ่งแล้วพูดเสียงเบา

"งั้นก็ไม่ต้องเสือก"

โห...ปากมัน! นั่นปากคนเหรอสาบานเหอะ ไม่ว่ากี่ครั้งที่เจอหน้าผมก็อดไม่ได้ที่จะยอมให้คนปากเสียคนนี้เลย อะไรมันจะหยาบคายขนาดนี้ ไม่มีมารยาทหลงเหลือสักเล็กน้อยในกลมสันดานของมันเลยใช่ไหม! 

"โอเคผมเสือกเอง แต่มาชกกันในมหาลัยแบบนี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอครับ"

"ผมไม่ได้ชกคุณนี่ เดือดร้อนอะไร"

จุกเหมือนโดนขวดเบียร์ฟาดหน้า แต่เอาจริงความเสือกของตัวเองนี่มันก็ค่อนข้างอันตราย ผมไม่เกี่ยวและไม่ควรเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยว โว้ย! หันหลังหนีแบบเนียนๆ เลยได้ไหม เขามองผมเคืองๆ แล้วเดินเข้าไปหาคนข้างหลังผม

"มึงจะไปไหนก็ไป อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก"

คนข้างหลังผมไม่ได้พูดอะไรสักคำนอกจากรีบวิ่งออกไป ส่วนเจ้าของหอมองผมไม่ละสายตา

"ยุ่งไม่เข้าเรื่อง"

เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป ผมถอนหายใจยาวแล้วก้มลงเก็บรายงานของเพื่อนที่เผลอโยนทิ้งจนมันกระจัดกระจายไปทั่ว จริงๆ มนุษย์ควรเชื่อสัญชาตญาณแรกของตัวเองสิ บอกว่าไม่อยากยุ่ง ก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งสิ โดนด่าว่าเสือกเลยเห็นไหม ด่าแม่ยังเจ็บน้อยกว่านี้เลยมั้ง ผมได้แต่โมโหฟึดฟัดกับตัวเองแล้วรีบๆ หยิบรายงานพวกนั้น แต่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อเขาเดินย้อนกลับมาช่วยผมเก็บรายงานแต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ จนตอนที่เขายื่นรายงานมาให้จึงพูดออกมาคำหนึ่ง

"ทีหลังอย่าเสือก"

"เชี่ย!"

ผมหลุดคำด่าอย่างโมโหจัดแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วพูดสวนกลับมา

"ก็ยุ่งจริงๆ อะ"

"ก็พี่จะทำอะไรอะ จะไปต่อยเขาทำไม อันธพาล"

"อันธพาล?"

"ใช่ดิ ต่อยเด็กในมหาลัยไม่เรียกว่าอันธพาลหรือไง"

"นี่คิดว่าผมเป็นคนแบบไหนเนี่ย พวกไถเงินเด็กซื้อเบียร์เหรอ"

จริงนะ...แวบแรกก็มีความคิดนั้นแหละที่โผล่เข้ามาในหัว

"นั่น คิดงั้นจริงๆ ใช่ป่ะ"

ผมไม่ได้ตอบอะไร เขาหัวเราะเบาๆ แล้วช่วยผมเก็บรายงานต่อ ผมเลื่อนสายตามองเขาในชุดนักศึกษาแล้วแปลกใจ แม้มันจะเป็นชุดนักศึกษาก็เหอะ แต่มันสลัดคราบขี้เมาที่นอนเรื้อนอยู่หน้าหอไม่ได้ไง

"พี่ยังเรียนอยู่เหรอ"

"ก็เห็นอยู่ว่าใส่ชุดนักศึกษา"

"ปริญญาเอก?"

"ตรีเว้ย!"

จริงดิ! หน้าแม่งเลยวัยไปสามปีแล้วอะ มหาลัยให้โควตาปริญญาตรีแปดปี พี่คนนี้ใช้ครบอะกูว่า

"พี่เป็นเจ้าของหอที่ผมอยู่ แล้วทำไมถึงยังเรียนหนังสืออยู่ล่ะ"

"ทำไมอะ เป็นนักศึกษาไปด้วย เป็นเจ้าของหอไม่ได้เหรอ"

บอกตรงๆ ว่าขี้เกียจคุยกับคนแบบนี้จริงๆ ผมถามไปก็ควรจะตอบดิ ไม่ใช่มาถามกลับแบบนี้ นี่กวนตีนมากนะ ผมจึงไม่ได้พูดอะไรกระทั่งเก็บรายงานครบทุกเล่มแล้วเดินมาด้วยกันจนมาถึงทางแยกไปตึกมนุษย์ฯ

"ผมจะไปทางนี้"

"ก็แล้วแต่คุณดิ ผมดึงขาคุณไว้เหรอ"

"กวนตีน"

"กวนตีนแต่ไม่ขี้เสือก"

 

ไอ้สัตว์ปีก!

 

...

 

เที่ยงคืนกว่าๆ ของวันนั้น ผมเพิ่งได้กลับหอหลังจากถูกไอ้ทิมลากไปนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อน แต่กล้าพูดเลยว่าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์พวกนั้นตกถึงท้องผมเพียงแค่แก้วเดียว ก่อนถูกห้ามจากทุกคนที่ไปด้วย ไม่ใช่ว่าผมดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ แต่ที่มันลากผมไปด้วยเพราะเอาผมไปเป็นคนขับรถต่างหาก ต้องมารับผิดชอบชีวิตพวกมันอีกเกือบห้าชีวิต กว่าจะฉุดกระชากลากถูพาส่งถึงหอครบก็ใช้เวลาไปครึ่งคืน ขณะที่ผมกำลังเดินไปที่ประตูหอก็พบมนุษย์คนหนึ่งนั่งพิงประตูอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพที่มองแวบแรกก็เข้าใจเลยว่าสติสัมปชัญญะของเขาคนนั้นไม่มีอยู่เลย

พี่ซีมันเป็นโรคแอลกอฮอล์ลิซึ่มหรือไงวะ

แล้วคราวนี้ผมต้องพาเขาเข้าไปด้วยไหมเนี่ย? ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งกำลังจะเดินเข้าไปหาเขาแต่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนก็วิ่งเข้ามาก่อน

"เฮีย! มานอนตรงนี้อีกแล้ว"

"คีย์การ์ดกูหายอะ"

"ไม่หายหรอก อยู่ในกระเป๋านั่นแหละ"

"กูบอกว่าหายก็หายสิวะ!" เขาตะโกนเสียงดังใส่เด็กนักเรียนคนนั้น จนอีกฝ่ายต้องยอมเออออไปด้วย 

"เออๆ หายก็หาย แล้วเฮียมานอนอะไรตรงนี้เล่า จรจัดชิบเป๋ง"

"มึงเปิดสิ กูจะได้เข้าไป"

เด็กคนนั้นส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเขาจะหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋าตัวเองเปิดประตู แล้วพาคนเมาเข้าไปข้างใน ผมเองก็เปิดประตูตามเข้าไปด้วย เด็กนักเรียนคนนั้นทิ้งเจ้าของหอลงบนโซฟา ที่มีเท็นซึ่งถอดเสื้อนั่งอยู่ตรงนั้น ผมเจอเขาที่หอหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยเห็นเข้าใส่เสื้อเลย ไม่มีเสื้อใส่เหรอวะ 

"เฮีย เมาอีกแล้วเหรอ"

เด็กนักเรียนที่ลากเขาเข้ามาพยักหน้าเบาๆ ผมไม่เคยเจอเขามาก่อนแต่เขาน่าจะเช่าหออยู่ที่นี่แหละ

"โอเคไหมเนี่ย น้ำอุ่นสักแก้วไหม"

"ไม่ต้อง กูจะสร่างอยู่แล้วเนี่ย"

"ไม่ต้องดื่มเพิ่มเลยนะ"
"เมาแล้วอย่าเรื้อนไปนอนหน้าหอดิเฮีย รถเก็บขยะมาเห็นเข้ามันกวาดเฮียไปทำไงอะ"

"พวกมึงไม่ต้องบ่นเลย จะไปไหนก็ไปกูจะนอน"

"จะนอนตรงนี้เหรอ"

เขาไม่ตอบแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างไม่สนใจ สองคนนั้นหันมองหน้ากันแล้วเดินออกมา ผมเดาว่านี่คงเป็นเรื่องปกติ แต่ผมแค่ยังไม่ชิน ถึงพี่จะเป็นเจ้าของหอแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนอนตรงไหนของหอก็ได้ป่ะวะ

ผมเดินผ่านพี่ซีไปขึ้นบันได สองคนที่เดินไปก่อนจึงหันมามองผมแล้วหนึ่งในนั้นก็ทักผมขึ้นมาเสียงดัง

"อ้าวน่าน!"

รู้จักชื่อกูอีก!

ผมยิ้มหน่อยๆ ให้เท็น มนุษย์ผู้ไม่มีเสื้อผ้าใส่ เขาตรงเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วยกมือขึ้นคล้องคอราวกับเราสนิทกันมาสิบปี ก่อนเป็นตัวกลางแนะนำผมกับเด็กนักเรียนคนนั้น 

"นี่รู้จักกันไว้สิ นี่น่านอยู่ห้อง888 เรียนคณะมนุษย์ฯ เอกอังกฤษ"

เท็นจัดการแนะนำตัวให้ผมเสร็จสรรพขาดแต่ชื่อพ่อชื่อแม่ก็จะครบแล้วนะ จำได้ว่าคุยกันไม่กี่คำแล้วมึงไปเอาข้อมูลกูมาจากไหนวะเนี่ย!

"ผมชื่อไคโรครับ อยู่ห้อง555 ยินดีที่ได้รู้จักครับ"

เด็กคนนี้ยิ้มกว้างพลางยื่นมือมาจับมือผมที่ยังไม่ทันยื่นไป

"พี่อยู่ปีอะไรครับ"

"ปีสาม"

"อ๋อ ผมเรียนอยู่โรงเรียนใกล้ๆ นี่ครับ"

ผมพยักหน้ารับ ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อเสียงของคนบนโซฟาก็ตะโกนแทรกเข้ามา   

"เฮ้ย ไปคุยกันไกลๆ ดิ! คนจะนอน!" เมื่อเสียงตะโกนของคนปากหมาดังขึ้น พวกเราจึงหันมองหน้ากันก่อนจะเดินขึ้นบันไดแยกย้ายเข้าห้อง ผมเดินขึ้นบันไดและไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง วันนี้พระจันทร์ดวงใหญ่มากแต่ผมไม่ได้ทันสังเกตเห็นจึงหยุดมองอยู่ครู่หนึ่ง

"เห็นไหมว่านอนอยู่ อย่ามาเกะกะแถวนี้ได้เปล่าวะ?"

ผมหันขวับไปมองหลังจากได้ยินเสียงพี่ซีที่ชั้นล่าง

"ไม่มีอารมณ์คุยกับแกได้ทุกวันนะเว้ย คนเขาก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้างเข้าใจหน่อยดิ"

ผมก้าวเท้าลงบันไดลงมาทีละขั้นเพื่อมองเขาที่นั่งพูดอยู่คนเดียว ไม่ใช่คุยโทรศัพท์ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น   

"ไปให้พ้นเลย!"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งที่อยู่ๆ เขาก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

ไล่ใครวะ?

"ผีก็อยู่ส่วนผีดิวะ! อย่ามายุ่งกับกูได้ไหม!"

ผมเบิกตากว้างแล้วเดินเข้าไปใกล้กว่านั้น สาบานว่าผมไม่ได้เมา แต่เขากำลังสนทนาอยู่กับบางสิ่งและเรียกสิ่งนั้นว่า ผี

 

"เจอผีไหม"

"มาอยู่ที่นี่ไม่กลัวเหรอ"

"อยู่ข้างหลังนั่นตัวหนึ่งอ่ะ"

 

บทสนทนาคราวก่อนของผมกับเขาโผล่ขึ้นมาในหัว เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นพวก คนเห็นผี มีญาณทิพย์ จิตสัมผัสอะไรทำนองนั้น ขณะผมกำลังสับสนกับความคิดตัวเองพี่ซีก็ยังพูดคนเดียวไม่หยุด 

"มันดึกแล้ว นี่มันเวลานอน แล้วก็เมามากด้วย เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันได้ป่ะวะ ขอร้องล่ะ"

ผมแอบดูเขาอยู่ตรงริมบันได คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างงงจัด 

"โอเค พรุ่งนี้จะคุยด้วย สัญญา"

หลังจากเขาพูดประโยคนั้นจบ ผ้าม่านที่หน้าต่างก็ปลิวสะบัดเพราะแรงลม จนผมเผลอขนลุกวูบตามไปด้วย ก่อนหันขวับมองพี่ซีที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงโซฟา ลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้น ผมกระพริบตาถี่อย่างงงๆ กลืนน้ำลายลงคอเบาๆ แล้วก้าวขาเข้าไปหาเขา

"พี่ครับ?"

เขาหันมามองผมผงะออกไปนิดหนึ่ง

"ผมเอง"

"ตกใจหมด"

"พี่ เมื่อกี้คุยอยู่กับใครเหรอครับ"

"เมา"

เขาพูดปัดๆ แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

"พี่ พี่มองเห็นผีได้เหรอ"

"ใครบอก"

"ผมได้ยินอะ พี่พูดกับผี"

"แล้วคุณเห็นผีตัวนั้นป่ะ"

"ไม่เห็น"

"เออ เพ้อเจ้อไง ผีเผออะไร ไปนอนไป"

"ผมเชื่อนะพี่"

"รุงรัง! ไปเกะกะที่อื่นไป คนจะนอน"

"พี่! ผมจริงจังนะ!"

"คุณ...ชื่ออะไรนะ"

"น่าน"

"เออคุณน่าน ฟังผมนะ ใครจะมองเห็นผีได้บ้าเปล่า หลอนอะไร ไปนอน!" เขาโวยวายพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ผมไม่อยากจบแค่นั้น เชื่อไหมว่าผมตามหาคนประเภทนี้มาทั้งชีวิต  แม้จะเข้าใจดีว่า มันอาจจะเป็นแค่การงมงายกับเรื่องที่หลายคนอาจจะคิดว่ามันไร้สาระก็ได้

"พี่ซี"

"อ้าว รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ"

"พี่ไม่ต้องพูดเพราะกับผมหรอก"

"มึงรู้จักชื่อกูด้วยเหรอ"

สัตว์ปีก! ร็อกไปป่ะ! คือบอกว่าไม่ต้องพูดเพราะ ก็ไม่ได้หมายความว่าให้พูดหยาบไง

"เออจะพูดยังไงก็พูดไปเถอะ แต่พี่ ผมมีเรื่องจะขอ พี่มองเห็นผีได้ใช่ป่ะ?"

"..."

"พี่ช่วยตามหาผีให้ผมหน่อยสิ"

 

...

To be continued.

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
  ตอนที่ 3
 ใครบอกว่าผีไม่มีจริง



ผมมายืนรอพี่ซีอยู่ที่หน้าหอในตอนเที่ยงคืน เวลากลับหอของเขาไม่แน่นอน แต่จากที่เห็นมาก็ราวๆ นี้ ยืนอยู่ไม่นาน คนที่รอก็มาถึง ผมคิดว่าเขาคงจะเมาแล้วคลานกลับมาอย่างทุกวัน แต่ผิดถนัด ผมมองไปยังเจ้าของหอที่ปั่นจักรยานที่เท็นแอบบอกมาว่าราคาแพงขนาดดาวน์บ้านได้เข้ามา เขาหันมามองผมครู่หนึ่งแล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจ

"พี่ซี"

"ถ้าจะมาพูดเรื่องเมื่อวานเงียบปากแล้วขึ้นห้องไปเลย"

ผมเงียบปากอย่างที่เขาบอกแต่ไม่ยอมเดินออกไปจากตรงนี้

"หลบ" เขาพูดขณะที่ผมยืนขวางประตูอยู่

"วันนี้พี่ไม่เมานี่ เราน่าจะคุยกันได้ง่ายหน่อย"

"ไม่เอา ไม่คุยแล้ว" เขาพูดหน้ายุ่ง แล้วจับไหล่ผมแล้วขยับออกจากตรงนั้น เขี่ยผมทิ้งเหมือนกองขยะหน้าบ้าน ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูเข้าไป ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเดินตามเขาไปด้วย

"พี่...ผมขอร้องล่ะ" เขาไม่พูดอะไร จอดจักรยานไว้อย่างทะนุถนอมแล้วหันมามองผม เสียงลมหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากใบหน้าเอือมๆ

"พี่ซี"

"กูถามจริง คนเราจะตามหาคนที่ตายไปแล้วเพื่ออะไร"

ผมเงียบ ไม่มีคำตอบ ผมไม่ได้อยากเห็นผีทุกตัวบนโลก ก็แค่คนเดียวที่จากกันไป อาจเป็นเพราะเราจากกันโดยไม่มีคำล่ำลา ยังมีเรื่องค้างคาในใจที่ผมอยากรู้ ผมก็เลยอยากเจอเขาอีกสักครั้ง หรือว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ได้บอกลา อีกสักครั้งก็ยังดี

"ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา"

"..."

"มีเรื่องอยากถาม"

"..."

"มีคำบอกลาที่อยากให้เขาได้ยิน"

พี่ซีก้าวขาเข้ามาใกล้ เขายกสองมือจับไหล่ผมแล้วบีบเบาๆ ผมเงยหน้ามองเขาและหวังว่าเขาจะเข้าใจในความปรารถนาของผม

"ไปรายการคนอวดผีสิ"

 

ไอ้...

 

"ช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผีอะ เคยดูไหม"

 

...สัตว์ปีก!

 

เขาปล่อยให้ผมดีดดิ้นอยู่คนเดียวแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป จริงจังก็แล้ว ทำตัวน่าสงสารก็แล้วแต่ไม่ได้ผลกับคนๆ นั้นเลย ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจพี่ซีว่าทำไมแค่นี้ถึงช่วยไม่ได้ และไม่เข้าใจตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่? คำพูดของเขาก็วนอยู่ในหัว เก็บเอามาคิดแล้วมันก็น่าจะจริงอย่างที่เขาบอก

 

ผมจะตามหาคนที่ตายแล้วไปเพื่ออะไร

 

"พี่น่าน"

ผมสะดุ้งเฮือกหลังจากถูกเรียก  ผมหันขวับไปมองก่อนจะพบเด็กชายในชุดนักเรียน คนที่เข้ามาทักฉีกยิ้มกว้างแล้วนั่งลงข้างๆ ผม

"อ้าว ไคโร"

"พี่เพิ่งกลับมาเหรอครับ" เขาว่าพลางมองผมที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ผมพยักหน้าส่งๆ อันที่จริงผมกลับมาตั้งนานแล้วแต่มาดักรอเจอพี่ซีต่างหาก

"แล้วมึงอะ เป็นนักเรียนไม่ควรกลับดึกขนาดนี้สิ"

"ผมไปทำรายงานบ้านเพื่อนมา ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนะ จริงจรี๊ง"

เสียงสูงติดเพดานหอดูมีพิรุธผมจึงหรี่ตามองนิดๆ ตัวมันก็ได้แต่หัวเราะกลับมา ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงดังจากในครัวก็โพล่งขึ้นเป็นเหตุให้เราทั้งคู่สะดุ้งเฮือกแล้วขยับเข้าหากันอัตโนมัติ

"เพล้ง!"

"เฮ้ย!"

ไคโรเบิกตาขึ้นอย่างตกใจตื่น พอกับผมที่หันขวับไปมองในครัวเพราะได้ยินเสียงคล้ายอะไรตกแตกจากตรงนั้น

"เสียงอะไรวะ"

"ไม่รู้ดิพี่ ผีเปล่า?" ไคโรพูดเสียงสั่นแล้วยกมือเกาะแขนผมแน่น

"ผีอะไรเล่า เดี๋ยวกูไปดู..."

"เฮ้ยๆ พี่จะไปไหน"

"ไปดูไงว่าเสียงอะไร"

"เดี๋ยวๆ" เขาฉุดผมให้นั่งลง

"อะไร?"

"ตรงนั้นน่ากลัวนะพี่" ผมมองไปยังในครัว ประตูกระจกหลังห้องครัวที่ไม่มีมีม่านกั้นทำให้มองเห็นหอแปดชั้นผีสิงนั่นได้อย่างถนัดตา เอาจริงๆ มันก็น่ากลัวนั่นแหละ แต่ความสงสัยมันมีมากกว่า ผมจึงลุกแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องครัวนั่น ไคโรที่ดูกลัวๆ แต่ก็เดินเกาะแขนผมตามมาด้วย ผมมองเห็นเศษจานที่หล่นแตกกระจายอยู่ที่พื้น ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ก่อนแอบตกใจผ้าม่านหน้าต่างที่ปลิวสะบัดเบาๆ เพราะบานหน้าต่างถูกเปิดอยู่

"พี่น่าน เราไปจากตรงนี้กันเถอะ ไปบอกเฮียซีให้เขาจัดการดีกว่า เขาไม่กลัวผีแถมเป็นเพื่อนกับผีด้วย"

"เป็นเพื่อนกับผีเหรอ"

"ก็ผมเห็นเขาพูดคนเดียวบ่อยๆ อะ ใครๆ ก็บอกว่าเขาคุยกับผีได้"

"จริงดิ"

"เอาจริงเขาเมามั้ง" ไคโรหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ความคิดผมเริ่มเขว หรือพี่ซีจะเป็นแค่คนเมา คนเมาพูดได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขณะความคิดกำลังสับสนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนทั้งผมและไคโรรีบหันขวับไปมอง

"ไอรอนแมน ไอรอนแมน"

ผมหันไปเห็นว่าเท็นที่เป็นเจ้าของเสียงนั่น เขาเดินเข้ามาพลางก้มๆ เงยๆ มองหาอะไรสักอย่าง

"พี่เท็นหาอะไรอะ"

"ไอรอนแมน"

คิ้วผมขมวดเข้าหากันพอๆ กับไคโรที่ทำหน้างงๆ ไอรอนแมนจะมาอยู่อะไรที่หอนี้ล่ะวะ แม้จะงงแต่ก็ไม่ทันได้ถาม เท็นก้มมองไปยังหลังตู้เย็นแล้วก็ยิ้มกว้างเหมือนพบสิ่งที่กำลังตามหา

"มาอยู่นี่เองลูกพ่อ" เท็นใช้มือล้วงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมาจากตรงนั้น ก่อนจะพบว่าไอรอนแมนที่ว่านั่นคือแมว

"พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ"

"เจอมาข้างถนน น่ารักป่ะ" เขาว่าแล้วจับแมวขึ้นมาใกล้ๆ หน้าก่อนจะเอาหน้าตัวเองถูๆ ไถๆ แมวตัวนั้น แมวอะน่ารักนะ แต่คนอุ้มนี่ทำเอาเครียด

"น่ารักเนอะ"

"น่ารัก แต่ไอรอนแมนของพี่ทำจานแตกอะ ผมแนะนำให้รีบเก็บเลยก่อนที่จะโดนเฮียด่า"

"อุ้ย...ทำไมซนแบบนี้ล่ะลูก ไม่น่ารักเลยนะ เดี๋ยวป๋าตีเลยนะ" เท็นจับแมวขึ้นแล้วตีมันเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวจัด เอาจริงสภาพมันน่าเลี้ยงวัวมากกว่าแมวนะ ผมปล่อยให้เท็นจัดการเก็บกวาดตรงนั้นแล้วเดินออกมาข้างนอก ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไคโรยังคงเกาะแขนผมติดหนึบ 

"เลิกกลัวได้แล้วมั้ง"

"อุ้ย ไม่รู้ตัวเลย" มันหัวเราะเบาๆ แก้เขิน แล้วขอตัวขึ้นห้องไปก่อน ผมเองก็ด้วย ในตอนที่เดินผ่านหน้าห้องพี่ซี ใจอยากเข้าไปคุยกับเขาดีๆ แต่ความหมั่นไส้ที่มีทำให้ทำได้แค่หยุดด่าอยู่ในใจ ยกมือทำท่าจะชกเข้าหน้าประตูแต่ต้องหงายเงิบเพราะคนในนั้นเปิดออกมาพอดี

"ทำไร"

"เปล่า" ผมสวนกลับอย่างเร็วแล้วลดมือลงไปไว้ด้านหลัง

"จะทำอะไรกู"

"เปล่า ไปแล้ว"

"เดี๋ยว!" ผมถูกพี่ซีดึงคอเสื้อจากด้านหลังแล้วกระชากให้กลับไปที่เดิม

"อะไรเล่า!"

"เมื่อกี้จะต่อยกูเหรอ"

"เปล่า!"

"อันธพาลนะเราเนี่ย"

"อันธพาลอะไรเล่า ปล่อย!"

ทันทีที่พี่ซีปล่อยผมออก ผมก็ยกมือทุบแขนเขาเข้าไปทีหนึ่งแล้วรีบเผ่นออกมาก่อนโดนสวน เขายืนกรานว่าจะไม่ช่วยเรื่องที่ผมขอ ผมไม่ได้อยากง้อแต่เขาดันเป็นคนเดียวที่พิเศษแบบหาใครเหมือนไม่ได้ เขาน่าจะเห็นใจผมสักหน่อย คนอะไรหน้าตาก็ดี แต่ใจดำชิบ!

 

...

 

 

            เช้าวันถัดมา ผมตื่นเร็วกว่าปกติเพราะเสียงฝนปลุกผมขึ้นมา ไม่แน่ใจนักว่านี่มันฤดูอะไร แต่เช้านี้ฝนโปรยปรายไม่มีทีท่าจะหยุด ผมเดินลงมาข้างล่างหอได้กลิ่นอาหารหอมอบอวลมาจากครัว ก่อนเสียงของป้าทิพย์จะเรียกผมจากตรงนั้น

            "น้องน่าน อาหารเช้าค่ะ"

            ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งตอนที่เห็นอาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปัง ไส้กรอกและไข่ดาว วางเรียงอยู่บนโต๊ะ ป้าทิพย์บอกกับผมว่าหยิบกินได้เท่าที่ต้องการเป็นสวัสดิการหนึ่งของหอ ความเกรงใจหายไปตอนป้าทิพย์บอกว่าเป็นเงินพี่ซีซื้อมาเลี้ยงนี่แหละ ควรกินให้หมดตัวไปเลย แล้วผมก็ชอบไส้กรอกรมควันแบบนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยเลยไม่ได้ปฏิเสธตอนป้าทิพย์ตักมันใส่จานให้

"กาแฟไหมคะ"

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ดื่มกาแฟ"

"งั้นนมสักแก้วนะคะ"

ผมกำลังจะปฏิเสธแต่ป้าทิพย์เทนมจืดใส่แก้วให้แล้ว ผมจึงต้องรับแล้วในใจก็คิดอย่างเดียวว่า เงินพี่ซี กินๆ เข้าไปเหอะ

เสร็จจากมื้อเช้า ป้าทิพย์ขอตัวไปทำความสะอาดแล้ว ส่วนผมก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก ฝนยังตกลงมาแม้จะเบาลง ผมไม่มีร่ม ไม่รู้ว่าหายไปไหนตอนที่ย้ายหอ แล้วผมก็เกลียดฝน โคตรเกลียดเลย

ผมยกนาฬิกาขึ้นดู ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะได้เวลาเรียน ถ้ารออีกสักหน่อยฝนอาจจะหยุดตกก็ได้  จึงนั่งลงที่เก้าอี้หน้าหอเพื่อรอ ก่อนจะสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อตัวอะไรไม่รู้โผล่มาที่ขา

ไอรอนแมน?

แมวตัวสีส้มลายคล้ายลูกเสือตัวเล็กๆ เข้ามาคลอเคลียที่ขาผม

"หนาวเหรอไอ้แมว"

ผมว่าแล้วหยิบมันขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะยกมือเกาหลังมันเบาๆ มันทำหน้าสบายๆ แล้วซุกตัวเล็กๆ ของมันอยู่บนตักผม

"ตึ้ด"

เสียงคีย์การ์ดที่ถูกเปิดจากคนข้างในทำผมตกใจนิดหน่อย จึงหันไปมอง คนที่เปิดออกมาคือพี่ซี เขาก้มมองผมแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยทัก

"ไม่ไปเรียนเหรอ"

"ว่าจะรอให้ฝนหยุดตกก่อนอะครับ"

"ไม่มีร่มเหรอ"

"ไม่มี"

"แล้วจะไปเรียนไง"

"คงรอให้มันหยุดแหละ ถ้าไม่หยุดจริงๆ ค่อยให้เพื่อนมารับก็ได้ครับ"

"ตามใจ"

เขาพูดแค่นั้นแล้วหยิบร่มขึ้นมากางแล้วเดินออกไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดแล้วหันมา

"ไปด้วยกันป่ะ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ

"เดี๋ยวก็เข้าเรียนไม่ทันหรอก" 

"ผมไม่อยากเปียก"

"ไม่เปียกหรอก" เขาฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วดึงเข้าไปชิดตัวเขาในพื้นที่ร่มสามารถบังเราจากฝนไว้ได้

"แล้วแมวนี่ละฮะ เอาไว้ไหนดี" ผมว่าพลางชูแมวตัวเล็กในมือให้เขาดู

"เอาไว้ในนี้แหละ" พี่ซีหยิบแมวไปจากผมแล้วเปิดประตูหอก่อนจะเอามันไปไว้ในนั้น แล้วกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ผมเดินคู่ไปกับพี่ซีภายใต้ร่มคันนั้น มันก็จริงที่ผมจะไม่เปียกแน่ๆ แต่มันไม่ใกล้ไปหน่อยเหรอ

ผมได้แต่ก้มหน้ามอง จนมองเห็นเท้าเราสองคนที่เดินเป็นจังหวะเดียวกันเพื่อให้ก้าวไปพร้อมกัน พี่ซีใส่รองเท้าอีแตะซึ่งไม่มีความเหมาะสมใดกับชุดนักศึกษา แต่เพราะว่ามันเป็นพี่ซีแหละมั้งมันเลยไม่ได้ดูขัดหูขัดตา 

"ไม่พูดอะไรกันหน่อยเหรอ"

"ครับ?" ผมสะดุ้งนิดหนึ่งที่จู่ๆ เขาพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ 

"ก็เห็นมันเงียบๆ อะ ชวนคุยหน่อยดิ"

"พี่มองเห็นผีได้ยังไงเหรอ"

"งั้นเงียบปากแล้วเดินไปเหอะ"

"พี่จะไม่ช่วยผมจริงๆ เหรอ"

"ไม่ช่วย"

"ครั้งเดียวนะ"

ผมพยักหน้าหงึกๆ ยกหัวคิ้วขึ้นพร้อมริมฝีปากเพื่อให้หน้าตาน่าสงสารที่สุด คนใต้ร่มคันเดียวกันยกมุมปากขึ้นยิ้ม

"แล้วทำต้องทำหน้าตาน่ารัก"

"ไรนะ"

"หน้ามึงไง หน้ารักชิบเลยแม่ง"

"แล้วจะช่วยคนน่ารักไหม"

"ไม่เว้ย"

"พี่อะ!"

"ไม่ต้องพูดแล้ว เงียบไปเลย"

"พี่...แค่ครั้ง..."

"หุบปากแล้วเดิน!"

ผมได้แต่เบ้ปากใส่ แต่ต้องแน่ใจก่อนว่าเขาไม่เห็น ด้วยส่วนสูงของเขาที่มากกว่าถ้าไม่ก้มลงมาก็คงไม่เห็น เลยแอบขยับปากด่าแบบไม่มีเสียงไปด้วย ส่วนเขาเดินให้เร็วขึ้นจนผมต้องเร่งเท้าเดินให้ทันเขา จนมาหยุดที่ตึกมนุษย์ศาสตร์ซึ่งเป็นคณะของผม

"เรียนตึกนี้ใช่ป่ะ"

"ครับ"

"ไปดิ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันหรอก"

ผมพยักหน้านิดหนึ่งก่อนจะออกจากร่มของเขาแล้วก้าวเข้าไปในตึก จังหวะนั้นทำให้ผมเห็นเสื้อของเขาที่เปียกไปแถบหนึ่ง

"พี่เปียกทำไมไม่บอกอะ"

"บอกมึงแล้วเสื้อมันจะแห้งป่ะล่ะ"

"พี่!"

"ก็กูบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้มึงเปียกอะ"

"แต่ว่า..."

"เออ ช่างเหอะ ถือว่าเป็นบริการลูกค้าที่หอละกัน" เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป ผมยืนมองเขาก้าวขายาวๆ เดินเข้าตึกสถาปัตย์ไป  ตอนนี้ผมก็อยากรู้จริงๆ ว่าคนแบบพี่ซี เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ

 

...

 

วันนี้ที่คณะมีนิทรรศการมนุษย์ศาสตร์ กว่าจะเลิกกิจกรรมก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม วันนี้ไอ้ทิมเองก็ไม่ได้เอารถมาเพราะฝนตกรถติด คืนนี้ผมเลยต้องเดินกลับหอ ส่วนทิมก็ต้องเดินไปรอรถเมล์กลับบ้าน อากาศเย็นๆ และอากาศครึ้มฝนคล้ายจะตกลงมาอีกรอบทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปนิดหน่อย เกลียดฤดูฝนจริงๆ ให้ตายเหอะ

"มึงไม่ต้องไปส่งกูหรอก กูไปได้"

"เออ เดี๋ยวไปส่งก่อน มันดึกแล้ว"

"หอกูอยู่แค่นี้เอง"

"เดี๋ยวมึงโดนฉุดไปทำไง"

"ไอ้ห่านี่! เดี๋ยวกูตบ" ปากบอกว่าเดี๋ยวแต่มือไม่ได้รอ เลยเผลอฟาดมือใส่หัวมันไปหนึ่งทีอย่างสุดแรง

"ไอ้นี่ รุนแรงกับกูตลอด เดี๋ยวกูก็..."

เสียงทิมชะงักไปเพราะเสียงอื่นแทรกเข้ามาแทน เสียงโครมครามดังอยู่ใกล้จนทั้งผมสะดุ้งเฮือก   

"เอี๊ยด! ปัง! โครม!"

ใจผมหล่นหายไปวูบหนึ่ง ก่อนกระพริบตาถี่แล้วหันมองหน้าทิม

"อะไรวะ" ทิมถามหน้าตาตื่น ผมได้แต่ส่ายหัวเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปยังต้นทางของเสียงเมื่อกี้ ทิมที่เดินตามมาด้วยดึงมือผมให้หยุดก่อน   

"กูว่ารถชนกันแน่ๆ เลย อย่าไปดูเลย"

"ขอดูหน่อย"

ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินต่อไป แล้วก็จริงอย่างที่ทิมว่า รถยนต์สองคันชนกันอยู่ที่มุมถนน เสียงแตกตื่นของผู้คนที่พากันวิ่งเข้ามาดูดังจอแจ ผมเลื่อนสายตามองรถที่สภาพพังยับ เศษกระจกแหลกกระจายเต็มพื้น ร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่กลางถนน สภาพของร่างนั้นเป็นเหตุให้ผมเผลอหลับตาหนี 

"เฮ้ยน่าน ไปเหอะ น่ากลัวว่ะ" ทิมดึงมือผมให้ออกมาจากตรงนั้น แต่เท้าผมไม่ขยับตาม อยู่ๆ ฝนก็ลงเม็ดลงมา ผมเงยหน้ามองเม็ดฝนนั่น แล้วเลื่อนสายตามองคนบนถนน 

"น่าน ไปเหอะ"

วันที่คนรู้จักของผมตาย ฝนก็ตกลงมาแบบนั้น

สภาพรถก็ไม่ต่างอะไรจากตรงนั้น

ร่างกายของเขาก็คล้ายกับคนที่นอนอยู่ตรงนั้น

และเรื่องของวันนั้นวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหมือนหนังฉายซ้ำ ผมไม่เคยลืมว่าเขาคนนั้นตายยังไง การจากไปของเขาหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ 

"ไอ้น่าน!"

เสียงของทิมดึงผมออกมาจากความคิดนั่น

"ไปเหอะ มึงเปียกหมดแล้ว มึงไม่ชอบฝนไม่ใช่เหรอ"

"อืม ไปสิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ได้ไม่กี่ก้าวก็กลับหยุดเดินซะเฉยๆ ความคิดบ้าบอโผล่ขึ้นมาในหัวในตอนที่หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น

 

ถ้าตรงนั้นมีคนตาย ตรงนั้นก็จะต้องมีผีใช่ไหม

 

"ทิมมึงว่าตรงนั้นจะมีผีป่ะวะ"

"ไรนะ"

"กูว่าตรงนั้นต้องมีผีว่ะ"

"ไอ้น่าน! มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย"

ผมไม่ทันได้ฟังที่ทิมพูดก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่จุดเกิดเหตุ กวาดสายตามองรอบๆ เพื่อมองหาผีหรือวิญญาณที่ผมเชื่อว่ามีจริง ผมอยากรู้ว่ามันมีวิธีไหนที่จะได้เห็นพวกเขาเหล่านั้น ผมต้องทำยังไง

"ไอ้น่าน! ออกมาเหอะ น่ากลัวจะตาย"

"เดี๋ยวดิ!"

"มึงเลิกไร้สาระแล้วออกมา!" ทิมดึงผมออกมาจากตรงนั้น แล้วลากผมจนมาหยุดอยู่ที่หน้าหอ ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด ทั้งผมและทิมเปียกไปทั้งตัว

"มึงเป็นอะไรไอ้น่าน!"

"กูก็แค่อยากรู้ว่าผีมันมีอยู่จริงไหม"

"ไม่มีหรอก มึงเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว"

"มึงรู้ได้ยังไงว่าไม่มี มึงก็ไม่เคยเห็นนี่"

"เพราะกูไม่เคยเห็นไง กูเลยมั่นใจว่ามันไม่มี"

"กูแค่อยากเจอ..."

"มึงไม่มีวันได้เจอมัน!"

ทิมตะโกนเสียงดังจนผมสะดุ้ง

"มึงไม่มีวันตามหามันเจอ มึงไม่มีทางเจอคนที่ตายไปแล้วได้หรอก มึงมองเห็นผีไม่ได้!"

"แต่มีคนที่มองเห็นผีได้จริงๆ นะเว้ย!"

"ไม่มี! มันไม่อยู่จริง! ไร้สาระ ปัญญาอ่อน งมงาย!"

"ไอ้ทิม!"

"ตั้งสติหน่อยไอ้น่าน!"

ผมเงียบ และก้มหน้าลงเพราะเสียงดังของไอ้ทิม ผมเป็นคนบ้า ก็แค่คนบ้า

"เข้าหอไปได้แล้ว มึงเกลียดฝน มึงไม่ชอบให้ตัวเองเปียก"

ผมพยักหน้าเบาๆ

"กูกลับก่อนนะ"

ผมมองทิมที่เดินออกไป แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หน้าหอ ปล่อยความคิดเคลื่อนผ่านความรู้สึกไปช้าๆ มีความจริงหลายอย่างที่ผมต้องยอมรับ ผมไม่มีทางเจอคนที่ตายไปแล้ว ผีไม่มีจริง และคนที่มองเห็นผีก็ไม่มีจริง

ขณะที่ผมยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมเงยหน้ามองจึงเห็นว่าเป็นพี่ซี แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยให้ผมหลบฝนได้พ้น แต่เขาก็ขยับตัวเองมายืนบังฝนนั่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นบังใบหน้าของผมจากฝนที่สาดเข้ามาแล้วเอ่ยบางคำท่ามกลางความเงียบ

"เดี๋ยวหาให้"

"ครับ?"

"ไอ้สิ่งที่ตามหาอยู่อะ"

"..."

"เดี๋ยวช่วยหาให้"

 

 

To be continued.

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พี่ซีคนเห็นผี จะช่วยน่านได้จริงปะเนี่ย  :hao3:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 4
พูดถึงผี ผีก็มา

 

ผมคำนวณเวลากลับหอของพี่ซีแล้วลงมารอเขาตอนเที่ยงคืนนิดๆ เรื่องที่เขาบอกกับผมวันก่อนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว สามวันหลังจากเขารับปากว่าจะช่วยในสิ่งที่ผมขอ หลังจากสามวันนั้นผมยังไม่ได้คุยกับเขาจริงๆ จังๆ เลยเลย เพราะเจอทีไรก็เมาจนพูดกันไม่รู้เรื่องสักวัน กินเหล้าเหมือนสูบน้ำประปาขนาดนั้น ในร่างกายเขานี่ยังมีเศษตับเหลือๆ อยู่ใช่ไหมอะ

"ตื้ด..."

เสียงคีย์การ์ด?

วันนี้ไม่เมาแน่ๆ ถึงได้หาคีย์การ์ดเจอ ผมลุกพรวดขึ้นแล้วรีบตรงเข้าไปหาเขาที่เข้ามาพร้อมจักรยานที่เขาหวงนักหวงหนา เมื่อเขาจอดจักรยานของตัวเองเสร็จ ผมจึงเดินเข้าไปหาเขาแล้วจ้องหน้าด้วยรอยยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะทำได้

"ทำหน้าแบบนั้นต้องการอะไร"

"เรื่องที่คุยกันวันนั้นไงพี่"

"โอ๊ยเมา!" เขาแกล้งยกมือกุมหน้าผากแล้วทิ้งตัวลงโซฟา

"อย่ามาตอแหลนะพี่ ลุก!" ผมฉุดเขาให้ลุกขึ้นมา พี่ซีทำหน้าเอือมแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ผมได้ยินชัดเจนดี

"กูไม่น่าพูดแบบนั้นเลย ตอนนั้นไม่มีสติจริงๆ"

"อย่าคิดจะถอนคำพูดนะพี่ ลูกผู้ชายเขาไม่ทำกัน"

พี่ซีถอนหายใจทีหนึ่งแล้วมองหน้าผม ใบหน้าเรียบเฉยแสดงออกถึงความจริงจังอย่างที่ผมไม่ค่อยเห็น ผมจึงยืดตัวตรงทำหน้าจริงจังไปด้วย

"น่าน"

"ครับ?"

"มึงเชื่อจริงๆ เหรอว่ากูมองเห็นผีได้"

"เชื่อ"

"ทำไมเชื่อวะ กูอาจจะเมาแล้วเพ้อเจ้อก็ได้นะ"

"ไม่รู้ดิ ก็มันเชื่อไปแล้วอะ แล้วพี่ก็บอกจะช่วยด้วย"

"ปากมันลั่นอะ"

"แล้วทำไมพี่ถึงเปลี่ยนใจอะ ทำไมพี่ถึงบอกว่าจะช่วยผม"

"ก็มึงเป็นคนแรกที่เชื่อกูอะ กูรู้ว่าเรื่องนี้มันบ้า แต่กูก็ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่ามันไร้สาระ ปัญญาอ่อน แล้วก็งมงาย"

"พี่ได้ยินที่ผมคุยกับทิมเหรอ"

"เออ กูไม่พอใจเพื่อนมึงนิดหน่อยนะ อยากให้มันโดนผีหลอกจริงๆ"

"ตกลงพี่มองเห็นผีได้จริงๆ ใช่ไหม"

"เออ! ถามซ้ำถามซาก"

"แล้วพี่ก็จะช่วยผมหาผีใช่ป่ะ"

"เดี๋ยวดิ มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุป"

"ก็พี่บอกแล้วว่าจะช่วยอะ พี่ซี" ผมขยับเข้าไปเกาะแขนเขา ด้วยใบหน้าอ้อนวอน กระพริบตาปริบๆ เรียกร้องความสงสาร

"นะพี่"

เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ 

"ไหนพูดเพราะๆ สิ"

"นะครับพี่ซี"

"เรียกเฮียดิ"

เอาจริงผมขัดใจเวลาคนในหอเรียกพี่ซีแบบนั้น ก็เฮียห่าอะไรหน้าฝรั่งจ๋า แต่วันนี้ก็ยอมเรียกแบบนั้นไปด้วยตามคำสั่ง

"เฮียซี"

"น่าร้าก!"

"ช่วยผมหน่อยน้า"

"ยิ้มหน่อย"

ผมขยับปากกว้างถึงกกหู ฉีกยิ้มส่งให้เขา ลืมไปเลยว่าเขาคือคนปากเสีย ขี้เมาและน่าโมโหที่สุดในศักราช ตอนนี้ตาลุงนี่กลายร่างเป็นเทพบุตร คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งสูง ลูกครึ่ง จมูกโด่ง สีตาสวย แถมยังมองเห็นผีได้ด้วย ไอดอลเลย!

"ทำไมมึงหน้าเหมือนหนูเลยวะ"

"ฮะ?"

"แฮมทาโร่อะ เคยดูป่ะ?"

ผมหุบยิ้มแล้วมองหน้าเขาเคืองๆ

"เอ้าออกมาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่ไง เฮ้ย! ไม่เคยดูเหรอ นี่กูแก่ขนาดนั้น?"

"เคยดู! แต่ไม่เข้าใจว่าหน้าผมมันไปคล้ายไอ้หนูนั่นยังไง คนกับหนูจะเหมือนกันได้ไงวะพี่"

"เหมือนจริงๆ อะ ไม่เรียกน่านละ เรียกหนูดีกว่า ไอ้หนู!" เขาว่าแล้วหัวเราะเบาๆ ไม่ได้มองหน้าผมที่กำลังจิกตาแตกอยู่ตรงนี้

"จะหนูหรือหมาก็เอาเหอะ ตกลงพี่จะช่วยผมใช่ไหม"

"เออๆ ไหนมึงจะให้กูหาใครอะ"

ผมปรับโหมดจริงจัง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเปิดรูปคนที่อยากเจอให้เขาดู

"คิท เพื่อนผม"

"..."

"คนที่จากไปโดยไม่ได้ลา"

เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง ด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังใช้ความคิดผมไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกยังไงอยู่ ผมได้แต่นิ่งอย่างรอคำตอบ คำพูดบางคำกำลังออกจากปากเขาทำให้ใจผมลุ้นระทึก

"หิวอะ เลี้ยงข้าวหน่อยดิ"

"ไอ้เฮีย!"

ไฟในร่างผมนี่ปะทุอย่างกับลาวาเดือด แต่ทำได้แต่ยิ้มกว้างอย่างสงบสติ โอเค เขาคือพี่ซี ผู้มองเห็นผีได้ เขาคือคนนั้นที่ผมต้องการ ผมจึงยอมเขาทุกอย่างแม้กระทั่งพาออกมาเลี้ยงข้าว พี่ซีชวนผมมานั่งอยู่ที่ร้านบะหมี่ใกล้ๆ หอ อีกคนกำลังเอร็ดอร่อยกับบะหมี่หมูแดงพิเศษ ส่วนผมนั่งมองเขาอย่างกดดัน

"มองอะไรนักหนาวะ กินดิ"

ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วคีบเส้นในชามวนไปวนมาอย่างไม่ตั้งใจจะกิน

"อร่อยหรือหิวเนี่ยถามจริง"

"หนูแฮมทาโร่เลี้ยงทั้งที ต้องกินเยอะๆ"

"เอาเงินไปลงขวดเหล้าหมดหรือไง ถึงไม่มีเงินกินข้าวจนต้องมาให้คนอื่นเขาเลี้ยงเนี่ย"

"อือ...เดือนนี้ช็อต"

"ว่าแต่ทำไมวันนี้พี่ไม่เมาเนี่ย"

"ไม่มีตังค์กินเหล้าอะ" เขาตอบส่งๆ แล้วคีบหมูแดงเข้าปากไปอีกคำโต 

"เป็นถึงเจ้าของหอเนี่ยนะ จะไม่มีเงิน โกหกละ"

"แหม หอที่มีคนเช่าแค่สี่คน แถมค่าเช่าก็ถูกอย่างกับค่าเช่าเต้นท์ในอุทยานแห่งชาติ ค่าเช่าห้องมึงกินเหล้าวันเดียวก็หมดแล้วเว้ย"

"แต่พี่ ผมสงสัยจริงๆ นะ พี่เป็นนักศึกษาอยู่เลยทำไมเป็นเจ้าของหอได้อะ"

"จริงๆ มันเป็นหอพ่อกู แต่พอพ่อตายก็เป็นของกูไง มรดกอะ เก็ทป่ะ?"

ผมพยักหน้าตามอย่างกระจ่าง

"พี่อยู่ปีอะไรอะ"

"ปีเดียวกับมึงแหละ"

"ฮะ?" ดูยังไงเขาก็ไม่มีทางเป็นมนุษย์ที่อายุเท่ากับผมแน่นอนอะ 

"นี่พี่อายุเท่าไรอะ"

"ถามอายุ เดี๋ยวกูตบ!" เขาทำท่าจะตบผมจริงๆ ผมได้แต่เอาหัวหลบมือนั่น แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เดาเอาเองว่าที่ยังเรียนไม่จบอาจเพราะดรอปไว้หลายตัวก็ได้ 

"เออพี่ ถามอีกเรื่องสิ"

"เฮ้ยหนู นี่เราสนิทกันขนาดมาถามอย่างกับสอบปากคำแบบนี้แล้วเหรอ"

"ก็แค่ตอบๆ มาเหอะน่า"

"จะถามอะไร"

"เรื่องเมื่อวันก่อนที่ตึกสถาปัตย์อะพี่ พี่จะชกนักศึกษาคนนั้นทำไม"

เขาหยุดกินแล้วเงยหน้ามองผม

"มันเป็นแฟนของน้องรหัสกู ทะเลาะกันแล้วตบน้องกู กูเลยเข้าไปเสือกเพื่อสั่งสอนซะหน่อย"

ผมพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง แล้วมองคนๆ นี้อย่างตั้งใจ เขาเป็นคนปากหมา ขี้เมาสายเถื่อนทำตัวถ่อย แต่ยิ่งได้รู้จักเขามากขึ้น ผมยิ่งรู้สึกว่าเขามีนิสัยที่สวนทางบุคลิก ผมขอถอนคำพูดที่เคยคิดไปเอง เขาไม่ใช่คนใจดำอะ ไม่ใช่เลย 

"มองอะไรขนาดนั้นวะ ไม่เชื่อหรือไง ถึงจะไม่มีตังค์ก็ไม่ขู่รีดไถใครหรอกเว้ย!"

"ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นซักหน่อย"

"จริงๆ กูก็เสือกแหละ กูยอมรับ แต่ตบผู้หญิงมันก็ไม่ใช่เรื่องป่ะวะ นี่ถ้าวันนั้นถ้ามึงไม่เข้าไปห้าม กูก็กระทืบมันไปแล้ว"

"โธ่เฮีย ไม่ชอบให้คนอื่นใช้ความรุนแรง แต่ตัวเองจะกระทืบเขาเนี่ยนะ"

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วก้มลงไปกินบะหมี่ต่อ

"เวลาพี่ไม่เมาก็คุยกันรู้เรื่องนะ"

"ไม่บ่อยหรอกที่กูจะไม่เมาอะ"

"พี่เป็นพวกชอบทำร้ายตัวเองเหรอ กินเหล้าหนักขนาดนี้ไม่สงสารตับบ้างเหรอ"

"ไม่ต้องห่วงหรอก ตับแข็งแล้ว" เขาพูดพลางหัวเราะ แต่ผมเงียบกริบ ยิ้มมุมปากนิดๆ เพื่อให้เขารู้ตัวว่าผมไม่ได้มีอารมณ์ขำด้วย เขาจึงหยุดหัวเราะแล้วก้มหน้ากินบะหมี่ต่ออย่างเงียบๆ 

"ทำไมพี่ต้องเมาทุกวันด้วย"

"กลัวผีอะ"

"ฮะ?"

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วปรับเสียงให้เบาลงคล้ายเสียงกระซิบ

"เวลาเมาหนักๆ จะมองไม่เห็นผี"

"ยังไงอะครับ?"

"เหมือนมันไม่มีสติไง เลยสัมผัสกับสิ่งพวกนั้นไม่ได้"

"พี่บอกว่าพี่กลัวเหรอ"

"เออ โคตรกลัวเลย"

"แล้ววันที่พี่ขึ้นไปซ่อมไฟให้ผมอะ มีจริงไหม"

"จริงดิ แต่มึงไม่ต้องกลัวหรอกนะ มันมาแล้วก็ไป"

ผมรู้สึกสะดุดคำพูดนั่นนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับกลัว เพียงแค่เรื่องที่ไม่เคยพิสูจน์ได้ อยู่ดีๆ มันก็ชัดเจนขึ้นมาแบบนี้ผมก็รู้สึกวูบวาบขึ้นมาซะเฉยๆ

"แต่วันนั้นพี่ก็ไม่ได้กลัวนี่ เห็นทักทายกันด้วย"

"อ๋อ ตัวนั้นสนิทกันแล้ว"

"ใช่ตัวที่มากวนคืนนั้นป่ะ"

เขาพยักหน้ารับแล้วพูดต่อ

"มันขี้เหงา อยากหาคนคุยด้วยเฉยๆ แต่กูอย่างรำคาญมันเลย"

"ผู้ชายหรือผู้หญิงอะพี่"

"ผู้หญิงที่ผูกคอตายที่หอแปดชั้นนั่นไง"

โหย! ขนลุกจริงว่ะ ผมกระพริบตาถี่อย่างตื่นเต้น แล้วซักไซ้พี่ซีต่อในเรื่องที่อยากรู้

"พี่ทำไงถึงมองเห็นผีได้อะ เป็นมานานหรือยัง"

"สามปีที่แล้วหลังอุบัติเหตุ ตื่นมาก็ประสาทแดกแบบนี้เลย"

"แล้วตอนนี้พี่ไม่เมาก็มองเห็นใช่ป่ะ ไหนอ่ะ แถวนี้มีป่ะ?"

"ไม่มี"

"เรียกมาได้ป่ะ?"

"อย่าไปพูดถึงมันสิ เดี๋ยวมันก็มาจริงหรอก"

"ผมอยากรู้อะ ผมอยากเห็นบ้างอะ ผีที่อยู่แถวๆ นี้ช่วยโผล่มาหน่อยครับ"

"น่านอย่าพูดแบบ เชี่ย!" พี่ซีไม่ทันจะพูดจบก็สะดุ้งเฮือกพร้อมสบถคำหยาบออกมา เขาหลับตาปี๋เหมือนกำลังกลั้นหายใจ ผมหันมองไปข้างๆ พี่ซีแล้วกระซิบถามเบาๆ

"อยู่ตรงนี้เหรอพี่"

"มันอยากเจออะ นู่น ไปหามันนู่น" เขากัดฟันพูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมมองตามสายตาของพี่ซีที่มองมายังเก้าอี้ฝั่งขวาของผม

"พี่ อย่าบอกนะว่าอยู่ข้างๆ ผม"

"เออ มึงเรียกมันมาเองนะ รับผิดชอบด้วย กูไปละ" เขาพูดแค่นั้นก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วลุกออกไป ผมหันมองด้านขวาของตัวเอง มองไม่เห็นอะไร สัมผัสไม่ได้ว่ามีจริงหรือไม่แต่ผมก็เชื่อเขาไปแล้ว ผมยกมือขึ้นโบกทักทายแล้วยิ้มแห้งๆ

 "หวัดดีครับ"

"..."

"รู้จักคิท เพื่อนผมไหมครับ"

"..."

"ถ้ารู้จักหรือว่าเคยเห็น ฝากบอกคิทให้มาหาผมหน่อยนะครับ ฝากบอกว่าผมรออยู่"

 

ฝากบอกว่า...คิดถึงมากจริงๆ

 

...

 

ผมเดินตามพี่ซีกลับมาที่หอ ทันทีที่เปิดประตูหอไอรอนแมนของเท็นเดินเข้ามาหาเรา มันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของคนทั้งหอไปแล้ว ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหยิบจับหรือแกล้งแมวตัวนุ่มนั่น คราวนี้พี่ซีก้มจับมันด้วยมือเดียวแล้วหิ้วมันเข้าไปในครัวด้วย สักพักก็เดินออกมาพร้อมด้วยเบียร์ขวดหนึ่งในมือ

"พี่อย่าดื่มดิ"

"ทำไมวะ" เขาถามเสียงเรียบก่อนจะยกเบียร์ขึ้นกระดกพร้อมกับเล่นกับเจ้าแมวด้วยการเกาพุงมัน แต่เกาแรงขนาดนั้นหนังมันจะหลุดติดมือป่ะวะ

"ถ้าพี่เมาก็มองไม่เห็นผีดิ"

"ขวดเดียวมันจะมาเมาอะไรล่ะ เอามะ" เขาว่าแล้วยื่นขวดให้ผม

"ไม่ครับ" ผมบอกปฏิเสธก่อนจะแย่งไอรอนแมนมาจากเขาเพราะกลัวขนมันจะหลุดหมดก่อน 

"นี่ไอ้หนู"

"เลิกเรียกแบบนี้เหอะ"

"ก็มึงเหมือนหนู"

ไม่เหมือนโว้ย! หล่อขนาดนี้จะไปเหมือนไอ้หนูอ้วนที่วันๆ เอาแต่กินเมล็ดทานตะวันได้ยังไงวะ!

"ผีที่อยากเจออะ แฟนเหรอ"

"เป็นเพื่อนครับ" ผมตอบเสียงเบา

"เพื่อนเฉยๆ เหรอ"

ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับไปอย่างนั้น

"เป็นเพื่อนที่สำคัญมากเลยดิ"

"ครับ สำคัญ..."

"แล้วมันตายนานยัง"

"หลายปีแล้ว"

"บางทีเขาอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้นะ"

"ครับ?"

"หมายถึง หลังจากที่ตายไปแล้ว ผีทุกตัวก็จะมีที่ที่ต้องไป กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ไหน เว้นแต่บางตัวที่ยังมีจิตผูกพัน มีเรื่องที่ยังห่วง มีบางอย่างที่อยากทำก็เลยวนเวียนอยู่ที่นี่ มึงเข้าใจใช่ไหม"

"ครับ"

"อย่างไอ้ตัวเนี้ย มันฆ่าตัวตายเลยไปไหนไม่ได้ ก็วนๆ อยู่แถวนี้แหละ" พี่ซีมองมายังข้างๆ ผม เดาว่าเป็นผีสาวจากหอแปดชั้นที่สนิทกับเขา สายตาพี่ซีที่มองมาข้างๆ ผมแล้วยังยิ้มทักทายกับใครบางคนทำให้ผมขนลุกแล้วขยับตัวหนีมานิดหนึ่ง

"อยู่ตรงนี้เหรอฮะ"

พี่ซีพยักหน้าเบาๆ แล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดขวด  ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วโบกมือทักทายอากาศ ถ้าอยู่ตรงนี้จริงๆ ก็ ยินดีที่ได้รู้จักครับ 

"เพื่อนน่านอะ เดี๋ยวช่วยหา สัญญาเลย แต่ถ้ามันไม่อยู่ที่นี่แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะตาม เพราะยังไงก็ไม่มีวันเจอ เข้าใจนะ"

"ครับ"

"เอาไว้ว่างๆ ไปด้วยกัน"

"ไปไหนฮะ"

"ไปที่ที่มันตาย ไปบ้านมัน ไปที่ที่มันชอบไป ไปที่ที่มันผูกพัน ก็อาจจะอยู่แถวๆ นั้นก็ได้"

ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ผมรู้โอกาสนั้นแทบเป็นศูนย์ แต่ในความไม่มั่นใจนั้นผมก็มองเห็นความหวังจากพี่ซี ที่ผ่านมาผมต้องการอยากเจอผีมาตลอดโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นมีจริงหรือเปล่า อย่างน้อยเขาก็ทำให้ผมแน่ใจว่า ผมไม่ได้เพ้อเจ้อไปคนเดียว แค่นั้นพอ

 

To be continued.

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนหน้ารีบช่วยน้องหาเลยนะ อย่าอู้ล่ะ  o18

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
พี่ซีเลิกเมาแล้วช่วยน้องซะ


เรื่องมันเป็นยังไงนะ ทำไมถึงอยากเจอขนาดนั้น



ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 5
ขนหัวลุก

 

ผมมาเดินอยู่ในมินิมาร์ทหลังจากแยกกับทิมหลังเลิกเรียน อากาศเย็นๆ ในช่วงหกโมงบวกกับการที่ฝนทำท่าจะตกลงมาทำให้ผมอยากกลับให้ถึงหอไวๆ ไม่อยากออกไปไหนเลย ไม่มีอารมณ์มาเดินดูนั่นดูนี่ จึงเดินหาของที่ตั้งใจมาซื้อ รีบๆ หยิบจะได้รีบๆ กลับ

"หนู"

โห...ช็อกโกแลตลดราคาแหละ

"ไอ้หนู"

เหมาเลยดีไหม

"น่าน!"

ผมหันขวับไปมองเสียงนั้นก่อนจะพบว่าเป็นพี่ซีที่กำลังเดินเข้ามาหา

"อ้าวพี่"

"เรียกตั้งนานไม่ได้ยินหรือไง"

"ไม่ได้ชื่อหนู" ผมตอบสั้นๆ พี่ซีทำท่าจะเขกกบาลผม ผมมองไปยังรถเข็นในมือเขา ทั้งขนม เครื่องดื่มเยอะจนเต็มรถ

"โหพี่ นี่ซื้อไปขายต่อเหรอ?"

"ให้น้องรหัส"

ผมแอบตกใจ เพราะของที่ซื้อให้น้องรหัสอย่างกับเอาไปบริจาคผู้ประสบภัยน้ำท่วมอะไรอย่างนั้น ถ้าเทียบกับพี่รหัสตัวเองแล้วผมนี่อิจฉาตาร้อนผ่าวเลย ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาได้ขนมมาสองสามถุง หลังจากนั้นพี่รหัสก็หายสาบสูญจนผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า

"พี่นี่ท่าทางจะรักน้องคนนี้มากสินะ"

"น้องใครใครก็ต้องรักดิ"

"อันนี้ก็ให้น้องด้วยเหรอ" ผมชี้ไปที่เบียร์หลายขวดในนั้น

"อันนี้กินเองครับ"

"ขี้เมาว่ะ"

"พูดมาก อันนี้กินกันไหมเนี่ยจะได้ซื้อไปใส่ตู้เย็นไว้ให้" เขาว่าแล้วหยิบเยลลี่ปีโป้มาถุงหนึ่ง สวัสดิการที่หอมันดีเพราะพี่เขามักจะซื้อนม ซื้อขนมไปติดตู้เย็นในครัวเอาไว้ให้กินฟรีนี่แหละ ผมไม่ได้ตอบคำถามเขาแต่เดินไปหยิบปีโป้มาเพิ่ม รวมเวเฟอร์ กับช็อกโกแลตที่ลดราคาเมื่อกี้ด้วย

"พอๆ หนูจะปล้นพี่หรือไง"

"พี่ดูรวยอะ"

"รวยห่าอะไรล่ะ หลบเลยจะไปจ่ายตังค์แล้ว" เขาเข็นรถหนีผมไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ ผมเองก็เดินตามไปด้วย ระหว่างนั้นเขาก็มาหยุดที่ชั้นวางร่ม คนตัวสูงกวาดสายตามองชั้นนั่นแล้วหันมาถามผม

"เอาสีอะไรดี"

ผมชี้ไปที่คันสีเขียวอย่างไม่คิดอะไร พี่ซีก็หยิบมันใส่รถเข็นไปด้วย

"อีกอันนึงอะ สีอะไรดี"

"พี่ซื้อทำไมเยอะแยะ"

"ช่วงนี้ฝนตกบ่อย เดี๋ยวซื้อไปทิ้งไว้ที่หอ เผื่อคนบางคนมันไม่มีร่มใช้จะได้ไม่เป็นลูกหนูเปียกฝนไง"

ผมหันมองเคืองเพราะรู้ตัวว่าไอ้คนบางคนที่เขาว่านั่นมันผมชัดๆ พี่ซีหยิบร่มสีแดงไปอีกคันหนึ่งแล้วเดินไปจ่ายเงิน ภายใต้ความเคืองของผม กลับมองเห็นความเอาใจใส่ของเขาผ่านการกระทำนั่นอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

ผมยืนรอจ่ายเงินอยู่ข้างหลัง เห็นยอดชำระของเขา และเงินที่เขาหยิบออกมาจ่ายค่าของแล้วก็อดแซวไม่ได้

"เมื่อวานยังไม่มีตังค์กินข้าวอยู่เลย"

"หลอกกินข้าวฟรีไม่รู้เหรอ"

ผมเบ้ปากใส่ ก็คิดอยู่แล้วว่ามนุษย์ที่ขี่จักรยานคันละแสนจะไม่มีเงินกินข้าวได้ไง ถึงเขาจะทำตัวเซอร์ค่อนเอียงไปทางสกปรก ซกมก ขี้เมา จรจัด หยาบคาย ปากหมา สถุน แต่รังสีความรวยในตัวเขาก็ยังพุ่งออกมาเป็นระยะ ด้วยใบหน้าและผิวพรรณที่ดูดีแบบพวกลูกครึ่งนั่นล่ะมั้งที่ทำให้เขาดูดีแม้จะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม

"พี่ซี วันนี้ว่างไหม"

"ทำไม จะเลี้ยงข้าวอีกเหรอ"

"อือ เดี๋ยวเลี้ยงเอ็มเคเลย"

"เออว่าง โคตรว่างเลย"

"ไปบ้านเพื่อนผมที่ตายกันนะ"

"เอ่อ เอาจริงนัดเพื่อนกินเหล้าไว้ว่ะ"

ผมได้แต่มองแรงใส่อย่างไม่พอใจ  เขาทำทีเล่นทีจริงจนผมรู้สึกรำคาญ บางเวลาก็ออกตัวอยากจะช่วยซะเหลือเกิน บางทีก็ทำเหมือนไอ้ที่พูดไปก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเล่นๆ ไอ้กลับกลอกเอ๊ย!

"เออๆ ไปก็ไป ไม่ต้องทำหน้าเหมือนหนูโกรธแบบนั้นเลย"

"หนูห่าอะไรล่ะพี่ เดี๋ยวก็กัดหน้าแหกเลย!"

"แน่ะๆ ทำดุๆ"

"ก็ผมไม่ใช่หนู"

"ล้อเล่นหน่อยเดียวไม่ได้เลย" เขาพูดขำๆแล้วยื่นแขนมาคล้องคอผม

"ผมเรียกพี่ว่าหมาได้ไหมล่ะ พี่ปากหมาอ่ะ"

"เอาดิ เอาที่หนูสบายใจอะ พี่ได้หมด"

ผมส่ายหัวเบาๆ พยายามสะบัดแขนเขาที่คล้องคอออกแต่เขากลับรัดมันให้แน่นกว่าเดิม

"ว่าแต่เลี้ยงเอ็มเคแน่นะ"

"อือ"

"สั่งเป็ดด้วยนะ"

"เออ!"

 

 

...

 

           

หลังจากกลับมาถึงหอ พี่ซีเดินเอาของที่ซื้อเข้าไปเก็บในครัว ส่วนผมนั่งรอเขาที่โซฟา ก่อนจะหันไปเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามา ไคโรที่อยู่ในชุดนักเรียนม.ปลายยิ้มกว้างมาก่อนที่จะทักทาย

"พี่น่าน สวัสดีฮะ"

"ครับ" ผมตอบรับก่อนไคโรจะโดดมานั่งข้างๆ แล้วยิ้มกว้าง

"ไอ้ไค กลับหอแต่วันๆ เป็นด้วยเหรอมึง" พี่ซีเอ่ยทักตอนที่เดินเข้ามา 

"ว่าแต่ผม เฮียก็เหมือนกันแหละ วันนี้ไม่เมาด้วยนี่"

"กูไม่มีตังค์กินเหล้า จบไหม?"

"ทนหน่อยนะเฮีย ใกล้สิ้นเดือนแล้ว เดี๋ยวจ่ายค่าหอให้"

"เหรอ! กูเห็นมึงผลัดกูทุกเดือน"

"ผมเป็นนักเรียนม.ปลายเองนะเฮีย ไม่มีรายได้ซะหน่อย"

"ไปทำการบ้าน อ่านหนังสืออะไรก็ไปๆ วันๆ มึงเล่นแต่เกม พ่อแม่รู้ไหมทำตัวแบบนี้ ฮะ?"

"วู้! ผมหนีแม่มาอยู่หอเพราะขี้เกียจฟังคำบ่น แต่เฮียมาบ่นขนาดนี้ มาเป็นพ่อผมเลยไหม"

"กูไม่ได้แก่พอที่จะเป็นพ่อมึงได้หรอก"

"งั้นมาเป็นผัวผมไหมล่ะ จะอนุญาตให้บ่น"

ไม่มีคำพูดอะไรนอกจากปลายเท้าที่ยกขึ้นสูงพร้อมจะยัดเข้าปากไคโรได้ เขารีบรวบปากให้หุบแล้วคว้ากระเป๋าเดินไปที่บันไดไปอย่างเงียบๆ

"เฮีย! เฮีย!"

ไม่ทันที่ไคโรจะเดินถึงบันได เท็นก็วิ่งสวนลงมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก

"อะไร?"

"เห็นไอรอนแมนไหม? มีใครเห็นไอรอนแมนไหม?"

เราสามคนสามัคคีกันส่ายหน้า พี่ซีเข้าไปดูในครัว ผมก้มลงมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่มี

"มันหายไปไหนอะ!"

"มึงอะชอบปล่อยมันไป"

"ก็ผมกลัวมันอยู่แต่ในห้องแล้วจะอึดอัดอะ"

"มันอยู่ข้างนอกเปล่าไปดูดิ" พี่ซีว่าก่อนจะรีบเดินออกไปที่ประตู เท็นรีบวิ่งตามลงไป เจอน้ำขิงที่เปิดประตูสวนเข้ามาพอดี

"มีอะไรกันเหรอ?"

"ไอรอนแมนหายไปครับพี่ขิง"

กลายเป็นว่าเราทั้งห้าแยกกันไปหาไอรอนแมนคนละทาง ผมเดินเข้ามาในซอยหอแปดชั้นที่ทุกคนเกี่ยงกัน เหตุจากผมไม่กลัวผีเลยโดนไล่มาทางนี้ จากหอพี่ซีมาถึงนี้ก็ไกลพอสมควร เพราะมันเป็นซอยเปลี่ยวและดูรกร้างจึงไม่มีไฟส่องสว่างริมทาง ผมหยิบมือถือขึ้นมาแทนไฟฉาย ส่องไปรอบๆ ก็ไม่เห็นวี่แววของแมวตัวนั้น รู้ตัวอีกทีผมก็มาหยุดที่หน้าตึกแปดชั้น
            ผมเลื่อนสายตามองตึกสูงไปยันชั้นบนสุด พอมาดูใกล้ๆ ตอนมืดๆ แบบนี้ โคตรน่ากลัวเลย จริงอยู่ที่ผมไม่ใช่คนกลัวผี แต่พอคิดถึงเรื่องที่พีซีพูดว่า ผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายที่นี่ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ ทำเอาผมถึงกับขาแข็งเหมือนกัน

"เปรี้ยง!"

"เชี่ย!" ผมสบถคำหยาบด้วยความตกใจที่อยู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา ลมพัดแรงขึ้นพร้อมกับฟ้าเสียงร้องโครมครามราวกับฟ้ากำลังโกรธอะไรอยู่ อีกไม่นานฝนคงตกลงมาแน่ๆ

"ครืน..."

ผมเงยหน้ามองฟ้า และก็เป็นอย่างที่คิดฝนลงเม็ดมาเบาๆ ผมรีบวิ่งออกมาจากหอนั้นก่อนที่ฝนจะตกหนักไปมากกว่านี้ เปียกฝนนิดหน่อยดีกว่าติดอยู่ที่หอนั่นแน่นอน แต่ไม่ทันที่จะวิ่งออกมาได้ไกลนักฝนก็ลงเม็ดหนักอย่างไม่เกรงใจคนเกลียดฝนอย่างผม

"ซ่า!"

ผมเข้าไปหลบใต้ต้นไม้แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ต้นไม้ไม่ได้ใหญ่พอที่จะบังฝนให้ผมเลย จึงต้องยอมให้ตัวเปียกแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า

ที่ผมไม่ชอบฝน เพราะทุกครั้งที่มันตก ผมมักจะนึกถึงวันที่คิทตาย วันที่คิทจากไป ฝนก็กระหน่ำลงมาแบบนี้ คล้ายเป็นน้ำตาแด่การจากไปของเขา ผมเองก็เช่นกัน อยากร้องไห้เหมือนกับฝนนั่น

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งที่อยู่ๆ ฝนก็ไม่กระทบกับหน้าผม ก่อนจะหันไปมองพี่ซีที่โผล่มาข้างหลัง ร่มในมือของเขายื่นมาบังฝนให้ผม แต่ตัวเขาเองกำลังเปียก

"ไม่ชอบฝนไม่ใช่เหรอ"

"พี่รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่"

"ก็มึงมาทางนี้ ก็เลยตามมา"

"แล้วเจอแมวหรือยังครับ"

"เจอแล้ว รีบกลับเหอะ เดี๋ยวเปียก"

ผมพยักหน้าเบาๆ โล่งอกไปทีที่เจอไอรอนแมนแล้ว

"รีบไปเหอะ แถวนี้น่ากลัวชิบ"

"แต่พี่สนิทกับผีสาวนั่นไม่ใช่เหรอ"

"จะรู้ได้ไงว่าแถวนี้มันมีไอ้นั่นตัวเดียว"

ผมหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของพี่ซีที่รีบก้าวฉับๆ ไม่ลืมที่จะลากผมให้รีบเดินตามไปด้วย

"เปรี้ยง!"

เสียงฟ้าผ่าเป็นเหตุให้ทั้งผมและพี่ซีสะดุ้งตัวโยน ผมเผลอขยับเข้าไปใกล้เขา ในจังหวะที่พี่ซีตกใจจนปล่อยร่มหลุดมือไป 

"พรึบ!"

"เฮ้ย!"

ลมแรงพาร่มพี่ซีปลิวไปอีกทาง ผมมองตามร่มที่พัดเข้าไปทางหอแปดชั้น 

"เดี๋ยวผมไปเอาให้"

"ไปเหอะ!" พี่ซีจับมือผมแล้วพาวิ่งออกมา ผมได้แต่วิ่งฝ่าฝนตามเขาออกมาอย่างงงๆ 

"พี่ซี ทำไมต้องรีบขนาดนี้"

"กูไม่ชอบแบบนี้"

"อะไรนะ"

"เชี่ย!" เขาหยุดกึกแล้วปล่อยมือผมออก เขาหลับตาแน่นเหมือนคราวก่อน เดาว่าเขาคงเห็นผีเข้าอีกแล้ว

"พี่ซี?"

เขาสูดลมหายใจเบาๆ เหมือนกำลังเรียกสติ แล้วลืมตาช้าๆ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง

"มึงมาแบบปกติกูไม่ว่าเลยนะ ทำไมต้องมาสยองแบบนี้ด้วย กูไม่ชอบ"

ผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่นมองพี่ซีที่ตะโกนเสียงสั่น

"กูไม่อยากเห็นพวกมึง กูไม่อยากเห็นเข้าใจไหม! กูกลัวโว้ย!"

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พี่ซีเห็นคืออะไร และที่กำลังเป็นอยู่คืออะไร ผมไม่รู้ว่าพี่ซีกำลังบ้า ผมกำลังบ้า หรืออะไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ผมรู้คือ พี่ซีกำลังกลัว ด้วยเหตุนั้นผมจึงยื่นมือตัวเองไปจับมือพี่ซีที่สั่นระริก พี่ซีหันมามองมือที่จับแล้วเลื่อนสายตามามองหน้าผม

"ไม่ต้องกลัวนะพี่"

"..."

"ผมก็อยู่"

ท่ามกลางฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุด ผมปล่อยให้ตัวเองตัวเปียกโชกอยู่กับเขา ปลอบประโลมพี่ซีผ่านมือที่จับกันอยู่ กระทั่งพี่ซีโอเค ผมเดาว่าเขาดีขึ้นในตอนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

"เขาไปแล้วเหรอพี่"

เขาพยักหน้าเบาๆ

"ไปกันเถอะครับ"

ผมกับพี่ซีเดินกลับมาที่หอ คนในหอนั่งอยู่ที่โซฟากันครบแล้ว

"เฮีย น่าน ทำไมเปียกแบบนั้นอะ" น้ำขิงพูด แต่พี่ซีไม่พูดอะไรก้าวฉับๆ เข้าครัวไป เปิดตู้เย็นหยิบขวดเบียร์ กระแทกกับขอบโต๊ะเพื่อเปิดฝา แล้วกระดกมันเข้าปากแบบไม่มีคำพูดใด

"เฮียเป็นอะไรวะ"

"ไอรอนแมนหนีไปเที่ยวไหนมา" ผมเปลี่ยนเรื่องไปลูบหัวแมวที่อยู่ในอ้อมกอดของเท็น 

"ไปเกือบหน้ามหาลัยนู่น สงสัยหลงเลยกลับมาไม่ได้"

"ไปอาบน้ำเถอะพี่น่าน เดี๋ยวไม่สบายนะ" ไคโรพูด ผมพยักหน้าตาม ก่อนทั้งหมดจะแยกย้ายกันไป ผมเดินเข้าหาพี่ซีที่นั่งอยู่ในครัว แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เขา

"พี่ซี"

"..."

"ยังกลัวอยู่เหรอ"

เขาพยักหน้ารับเบาๆ

"เจอกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน" เขาพูดแล้วกำลังจะกระดกเบียร์อีกที แต่ผมหยุดเขาเอาไว้ก่อน

"ไม่อยากให้พี่กินอะ"

"ไม่เมาหรอก ขวดเดียวเอง"

"ไม่ได้กลัวพี่เมา กลัวตับพี่แข็งต่างหาก" ผมพูดขำๆ พี่ซียกมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับแล้ววางขวดเบียร์ลงข้างๆ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นมันน่ากลัวขนาดไหน และไม่รู้ว่าเขาจะกลัวมันขนาดนี้

"พี่โอเคนะ"

"อืม"

"งั้นผมขึ้นห้องไปอาบน้ำนะ"

ผมทำท่าจะลุกขึ้นแต่พี่ซีกลับจับมือผมเอาไว้ก่อน

"น่าน"

"..."

"อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนได้ไหม"

ผมไม่ลังเลที่จะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขาแม้เนื้อตัวจะเปียกปอน สองมือของตัวเองยกจับมือเขาที่ยังสั่นเทาอีกครั้ง

"ไม่ต้องกลัวนะครับ"

"..."

"เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน"

 

 

To be continued.


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ถ้าพี่ซีกลัวผีมาก ๆ เลย ก็วานน่านหิ้วพี่ซีไปที่ห้องน่านแล้วกัน น่านเองจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ดีไหม  :hao3:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
คนไม่กลัวดันไม่เห็น คนเห็นดันกลัว น่าติดตามมากก รีบมาต่อเน้อ

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อยู่เป็นแฟนก็ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
โอ๊ยดีละมุน



ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ windwrite

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
มีความปิงกับเฮียอิสเบาๆ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 6
เป็นเพราะกลัว

 

หลังจากพี่ซีดีขึ้น ไม่รู้ว่าเขาหายกลัวหรือไม่อย่างไร แต่ผมก็ส่งเขาเข้าห้องนอนเรียบร้อย ส่วนตัวเองก็กลับเข้าห้อง ด้วยสภาพเสื้อผ้าที่เปียกชื้น ผมเดินขึ้นมาที่ห้องล้วงกระเป๋าหากุญแจห้อง แต่ต้องชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากันทีละน้อยจนแทบชนกันเมื่อล้วงหากุญแจห้องไม่เจอ ทั้งกระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา กระเป๋าหลัง กระเป๋าเสื้อ

ผมหยุดนิ่งเพื่อนึกไปถึงครั้งสุดท้ายที่เห็นมัน แต่ก็คิดไม่ออก ไม่รู้หายไปไหน ก่อนคิดขึ้นมาได้ว่าป้าทิพย์จะต้องมีกุญแจสำรองแน่นอน เลยก้าวเท้าลงบันไดตั้งใจจะมาหาป้าทิพย์ แล้วก็ต้องชะงักไปอีกเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าป้าทิพย์ไม่ได้นอนที่นี่ซะหน่อย ผมทรุดลงนั่งที่ขั้นบันไดแล้วเอาหัวโขกราวบันไดเบาๆ สองทีเพื่อลงโทษความเฟอะฟะของตัวเอง

เคาะสมองเพื่อให้มันประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่ซีที่เป็นเจ้าของหอจะต้องมีกุญแจสำรองแน่นอนเลยพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องเขา ห้องหมายเลข 111 คือห้องของพี่ซีที่ใครๆ ในหอก็บอกว่าอยากอยู่ห้องนี้เพราะมันไม่ต้องขึ้นบันได แต่เจ้าของห้องซึ่งเป็นเจ้าของทุกพื้นที่ในหอนี้ไม่มีวันยกห้องตัวเองให้แน่นอน เอาจริงพี่ซีแก่แล้วอะ อย่าทรมานพี่เขาให้ตะเกียกตะกายขึ้นบันไดเลยเหอะ

"ก็อกๆๆ"

ผมเคาะประตูสองสามที กลัวว่าพี่ซีจะไม่ได้ยินหรือเปล่าจึงเรียกซ้ำไปอีกที

"พี่ซี"

"ก็อกๆ!"

"พี่ซี!"

"แป๊บนึงโว้ย!" เขาตะโกนออกมา ครู่หนึ่งก็ออกมาเปิดประตู ด้วยสภาพเปลือยท่อนบนที่เหมือนพุ่งออกมาจากห้องน้ำ ผมเผลอเลื่อนมองร่างกายของคนตรงหน้า

โคตรขาวเลย

เรือนร่างที่ขาวสะอาดมีเพียงสร้อยพระสีทองคล้องอยู่ที่คอของเขา พี่ซีน่าจะเป็นฝรั่งสายพุทธแหละ

"มีอะไรเปล่า"

"อ้อ เออ กุญแจห้องผมหายอะ พี่มีกุญแจสำรองไหม?"

เขาทำหน้านึก มองไปทางซ้าย แล้วก็มองไปทางขวา

"ทำไมคิดนานอะ"

"นึกไม่ออกว่ะ มันมีแหละ แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน"

"อ้าว! เป็นเจ้าของหอประสาอะไรเนี่ย"

"ร้อยวันพันปีเคยมีคนทำกุญแจหายที่ไหนล่ะ มึงคนแรกเลยเนี่ย รอแป๊บ" เขาเดินกลับไปหยิบมือถือขึ้นมากดสองสามทีแล้วยกขึ้นแนบหู

"ป้าทิพย์ปิดเครื่องว่ะ"

ผมก็ได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำยังไง เขาเองก็เช่นกัน เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนพี่ซีจะแทรกความเงียบด้วยการเรียกให้ผมเข้าไปในห้อง 

"เข้ามา"

"ฮะ?"

"เข้ามาดิ!"

ผมเดินตามเขาเข้าไปอย่างงงๆ พี่ซีเดินไปหยิบผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าชุดหนึ่งในตู้ ออกมาโยนให้ผม 

"ไปอาบน้ำดิ"

"ฮะ?"

"หนูจะงงอะไรของหนู บอกให้ไปอาบน้ำ"

"ที่นี่? ที่ห้องพี่?"

"แล้วจะห้องไหนได้อีก ห้องตัวเองก็เข้าไม่ได้ ไม่เอาห้องนี้ก็เลือกมาเลยห้องไอ้เท็น ห้องไอ้ไค หรือห้องน้ำขิงดี"

"ห้องว่างๆ ชั้นอื่นไม่ได้เหรอฮะ"

"ไม่มีกุญแจ"

คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมถึงกับถอนหายใจแรง ผมไม่มีทางเลือกและต้องโทษตัวเองด้วยที่โง่ทำกุญแจหายเอง ก็เลยต้องทำตามที่เขาบอก 

"แล้วพี่อาบหรือยัง"

"กำลังจะอาบมึงก็มาเรียกพอดีไง มึงอาบก่อนเลย เดี๋ยวเป็นหวัด"

"งั้นพี่อาบก่อนก็ได้ครับ พี่ก็เป็นหวัดได้เหมือนกันนะ"

"อาบพร้อมกันเลยไหมล่ะ?"

"ขอสิบนาที!" ผมว่าแล้วหยิบกองผ้าที่เขาโยนให้ตรงเข้าห้องน้ำ ก่อนผมจะใช้เวลาไม่นานในห้องน้ำ เสร็จแล้วจึงเดินออกมาแต่พี่ซีไม่อยู่ในห้องแล้ว ผมกวาดสายตามองรอบๆ ห้องของเขา ห้องนี้เล็กกว่าห้องที่ผมอยู่นิดหน่อย แต่มีเฟอร์นิเจอร์เหมือนกันหมดทุกชิ้น ผ้าปูที่นอนของพี่ซีที่เป็นสีเทาอ่อนๆ ปลอกหมอนเป็นสีดำ อีกใบเป็นสีขาว มีข้าวของเยอะแต่ไม่ได้รกเกะกะ ดูสะอาดตาดี ที่มุมห้องมีโต๊ะวาดภาพขนาดใหญ่ กองอุปกรณ์วาดภาพ เฟรมหลายขนาดและกองภาพวาดที่วางเอาไว้ เดาว่าบรรดารูปภาพที่ตกแต่งอยู่ที่ผนังห้องโถงก็คงเป็นฝีมือเขาแน่ๆ ผมหันไปมองหนังสือสวดมนต์และพระพุทธรูปที่หัวเตียง อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นฝรั่งสวดมนต์ไง เลื่อนสายตาจากหัวเตียงก็ไปเจอกับชั้นวางหนังสือที่แน่นไปด้วยหนังสือการ์ตูน ใกล้ๆ กันก็มีโมเดลฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนที่ผมเองก็ไม่รู้จัก ผมถือวิสาหยิบโมเดลบางตัวตรงนั้นออกมาดู

"หนู ซนอะไร"

"อุย!" ผมสะดุ้งนิดหนึ่งแล้ววางโมเดลนั่นกลับไปที่เดิม

"ไม่ได้ซนซะหน่อย พี่ไปไหนมาเหรอ"

"อาบน้ำห้องไอ้เท็น"

ผมพยักหน้ารับ เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาเองก็เปลี่ยนชุดไปแล้วเหมือนกัน

"ไปหากุญแจมาให้แต่ไม่เจอว่ะ คืนนี้นอนที่นี่ละกัน"

"ฮะ?"

"จะตกใจอะไรนักหนา แค่คืนเดียวอย่าเรื่องมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าทิพย์มาจะเอากุญแจให้ ไปล่ะ" เขาพูดยาวก่อนจะเดินไปที่ประตู

"พี่ไปไหนอะ?"

"นอนข้างนอก"

"เฮ้ยพี่ พี่นอนในนี้เหอะ เดี๋ยวผมนอนข้างนอกเอง"

"ไม่เป็นไร ตอนเมาก็นอนตรงนี้แหละ หน้าหอยังนอนได้เลย"

"แต่..."

"อยู่กับพี่อย่ามีแต่ รำคาญ"

ผมพยักหน้าเบาๆ ตอนที่พี่ซีเดินออกไป ไม่ลืมที่จะกดล็อกประตูให้ด้วย ผมนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมไม่บอกให้เขานอนในนี้ด้วยกัน แต่ก็ไม่อยากกวนใจอะไรกับเขามากนัก

ที่จริงพี่ซีโคตรใจดีเลย ไม่ใช่แค่กับผม แต่กับทุกคนเลย ถึงผมจะเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่แต่ผมเชื่อว่าคนที่นี่รักเขามาก เขาเหมือนเป็นพี่ของพวกเราจริงๆ แล้วเขาก็ดูแลคนอื่นมากกว่าตัวเองตลอดเลย 

 

...

 

 

"เท็น! ไอ้เท็น!"

ผมลืมตาขึ้นเพราะเสียงโวยวายของใครสักคนข้างนอก วันนี้วันหยุดแท้ๆ อยากจะนอนสักครึ่งวัน ใครมันมาแหกปากอะไรแต่เช้าวะ ผมดีดตัวขึ้นจากที่นอนอย่างหงุดหงิด หงุดหงิดตั้งแต่เสียงดังๆ หงุดหงิดเพราะห้องพี่ซีไม่มีผ้าม่านที่ประตูกระจก แสงสว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ตอนเช้าสาดเข้ามาทางนั้นพอดีจึงพาให้นอนต่อไม่ได้ ผมยกมือขยี้ตาสองสามทีแล้วเดินออกจากห้อง เสียงโวยวายจากคนข้างนอกก็ยังไม่หยุด

"ไอ้เท็น! มึงลงมานี่เดี๋ยวนี้เลย!"

เจ้าของหอคือเจ้าของเสียงแหกปากนั่น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เรียกหาเท็นแต่เช้าตรู่ ถึงอย่างนั้นเท็นเองก็รีบวิ่งเปลือยท่อนบนลงมาจากบันไดอย่างหน้าตาตื่น

"มีอะไรเฮีย โวยวายอะไร"

"ของมึงใช่ไหม!" พี่ซีว่าแล้วชี้ไปยังตู้ปลาแต่ข้างในบรรจุสิ่งมีชีวิตขนาดย่อมอยู่ตัวหนึ่ง ผมก้มลงมองชัดๆ เพื่อให้เห็นว่ามันเป็นตัวอะไร...

"เหี้ย!"

ผมร้องลั่นเมื่อมองเห็นไอ้ตัวเงินตัวทองในตู้นั้น เหี้ย จริงๆ ด้วย ตัวเป็นๆ เลยว่ะ

"ขามันเจ็บ สงสัยโดนรถทับมา"

"แล้วมึงเอาเข้ามาที่นี่ทำไม!"

"ก็มันเจ็บอะ ผมกับเพื่อนเจอมันแล้วไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน"

"มึงก็เลยเอามาไว้ที่นี่เหรอไอ้บ้า"

"แล้วเฮียจะให้ผมเอามันไปไว้ที่ไหน"

"หอกูไม่ใช่โรงพยาบาลสัตว์นะโว้ย! มึงพาสัตว์เข้ามาจนหอกูจะกลายเป็นซาฟารีเวิลด์อยู่แล้ว เอาออกไปเลย คราวนี้กูไม่อนุญาต"

"โธ่เฮีย สงสารมันออก" เท็นว่าแล้วยื่นมือไปสัมผัสผิวสัตว์ชนิดนั้น ผมขนลุกตั้งแต่หัวจรดปลายนิ้วโป้งตีน เผลอแขยงจนตัวสั่น

"มึงจะมีเมตตาธรรมค้ำจุนสัตว์โลกอะไรก็เรื่องของมึง แต่เอาไปไว้ที่อื่นโว้ย เกิดมันหลุดออกมาแล้วมาวิ่งเพ่นพ่านในหอทำไง ใครจะกล้าจับ นี่ไม่ใช่ไอรอนแมนนะเว้ย"

"จับได้ ไม่ได้มีพิษ เนี่ย!" เท็นว่าแล้วหยิบมันชูขึ้นมา ทั้งผมและพี่ซีโดดหลบไปคนละทาง

"ก็สิ่งมีชีวิตเหมือนกันอะ ทำไมต้องรังเกียจกันด้วย เนอะ กัปตันอเมริกา"

ทำไมกัปตันกลายเป็นไอ้ตัวนี้ล่ะโว้ย! 

"ประสาทแดกตั้งชื่อให้ตัวเหี้ย คราวก่อนไอ้แมวนั่นก็ไอรอนแมน นี่มึงจะพามาทั้งอเวนเจอร์เลยไหม"

"โห่เฮีย น่ารักออก"

"น่ารักที่แม่มึงสิ!"

"งั้นเอาไว้หลังหอได้มะ"

"ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้โว้ย"

"เออๆ ก็ได้ เดี๋ยวเอาไปไว้ข้างหลัง มันขาเจ็บหรอกน่า เดี๋ยวขาหายก็ปล่อยคืนสู่ป่าแล้ว" เท็นว่าแล้วแบกตู้นั่นออกไปประตูหลัง พี่ซีส่ายหน้าเบาๆ แล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา

"คนอะไรเลี้ยงเหี้ยอะ"

"เออ พาเข้ามาอย่างกับหอกูเป็นป่าอะเมซอน เคยมีครั้งหนึ่งมันเคยพาไก่เข้ามาด้วยนะ ตอนเช้านี่ขันจนตื่นกันทั้งซอย"

ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ตอนที่พี่ซีบ่นอย่างดูโมโห   

"เท็นดูท่าทางไม่น่ารักสัตว์เลย"

"มันเรียนสัตวแพทย์อะ"

ผมสะดุดกับคำพูดของพี่ซี มนุษย์ชีเปลือยผู้ไม่มีเสื้อใส่คนนั้น วันๆ ผมไม่เห็นทำอะไรนอกจากเดินตัวล่อนจ้อนไปๆ มาๆ ในหอกับแบกแมวไปเดินเล่น นั่นคือนักศึกษาสัตวแพทย์ 

"เออหนู ป้าทิพย์มาแล้วนะ ไปเอากุญแจได้เลย"

"อ๋อครับ เมื่อคืนขอบคุณนะฮะ"

"ไม่เห็นต้องขอบคุณ"

"แต่ซักผ้าปูที่นอนบ้างก็ดีนะพี่"

"อะไร! ซักบ่อยเว้ย!"

"ล้อเล่นน่า ว่าแต่พี่ซี ทำไมพี่หน้าแดงๆ อะ" ผมมองหน้าเขาที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อดูผิดปกติ ยิ่งตรงปลายจมูกแดงเป็นลูกเชอร์รี่เลย

"เขินมั้ง"

"เขินอะไรวะพี่"

"เขินมึงไง ใส่ชุดนอนมายั่วแต่เช้า" เพราะเสื้อตัวที่เขาให้ยืมมันใหญ่กว่าตัวผมเยอะไปหน่อย แถมคอเสื้อยังกว้างจนตกมาถึงไหล่ พี่ซีอมยิ้มนิดๆ แล้วจับคอเสื้อให้กลับมาปิดไหล่ให้

"เห็นแล้วใจไม่ดี"

"ตลกละพี่! งั้นเดี๋ยวซักคืนให้นะชุดนี้"

ผมพูดกับเขาแค่นั้น แล้วเดินไปหาป้าทิพย์เพื่อเอากุญแจขึ้นห้อง หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินลงมาข้างล่าง ตั้งใจจะลงมาหาพี่ซี เพราะมีบางเรื่องอยากคุยกับเขา

"ป้าทิพย์ครับ เห็นพี่ซีมั๊ยฮะ" ผมถามป้าทิพย์ที่กำลังถูพื้นอยู่อีกทาง

"เห็นว่าไม่ค่อยสบายนะคะ คงนอนอยู่ในห้องแหละค่ะ"

"ไม่สบายเหรอครับ?"

"ค่ะ สงสัยเมื่อคืนตากฝน"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปที่หน้าห้องของเขา ผมตั้งใจจะเคาะประตู แต่เห็นว่ามันเปิดอยู่แล้ว จึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป เขาไม่ได้อยู่บนที่นอน แต่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่อีกมุม เอากระดาษทิชชูยัดจมูกเอาไว้บ่งบอกว่าเขาเป็นหวัดอยู่แน่ๆ

"พี่ซี"

"เฮ้ย! ตกใจหมด! ทำไมไม่เคาะประตูวะ! ไอ้หนูไร้มารยาท!"

ผมสลดไปเลยตอนโดนด่ารัว จึงถอยหลังกลับมาแล้วเคาะประตูสองสามครั้งทั้งๆ ที่เขาก็มองอยู่แล้ว คนข้างในหลุดหัวเราะแล้วกวักมือเรียกผมเข้าไป

"ขอโทษครับ เมื่อกี้เห็นประตูห้องมันเปิดอยู่เลยเข้ามาเลย"

"เออ ก็จะต้องสลดอะไรเบอร์นั้น"

"ก็พี่ดุอะ"

"เออ ขอโทษ แล้วมีอะไรถึงต้องเข้ามาหาถึงห้อง ติดใจห้องนี้เหรอ" เขาพูดติดตลก แต่ผมหันมองเคืองอีกคนจึงหยุดหัวเราะไป

"พี่ไม่สบายเหรอ"

"แค่เป็นหวัดเอง"

"เพราะผมป่ะเนี่ย?"

"ทำไมอะ มึงเป็นเชื้อโรคที่มาแพร่เชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจกูหรือไง"

"ทำไมกวนตีน"

"อ้าว ไอ้นี่"

"เออ ก็เมื่อคืนพี่ตากฝนเพราะไปหาผมไง แถมผมยังให้พี่นอนนอกห้องอีก รู้สึกผิดเลยอะ"

"โห่ คิดไปได้ กูเป็นลูกคุณหนูอะ อ่อนแอง่าย"

"ลูกคุณหนู?"

"เออ รูปหล่อพ่อรวย"

กูวิ่งไปอ้วกได้ไหม? บอกว่าเป็นกรรมกรหน้าตาฝรั่งยังเชื่อกว่าอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเขา ก่อนผมเลื่อนสายตามองไปยังรูปวาดในเฟรมนั่น ผมไม่เข้าใจรูปภาพนามธรรมและศิลปะลึกล้ำแบบนั้น ไม่รู้ว่าความสวยดูกันจากตรงไหน แต่พอรู้ว่าภาพนั้นเป็นฝีมือของพี่ซี ก็กลับชื่นชมขึ้นมาซะอย่างนั้น

"อีกนานป่ะพี่?"

"ทำไมอะ งานศิลปะใครเขาจะกำหนดได้วะว่ามันจะเสร็จตอนไหน มันเป็นจิตวิญญาณของศิลปิน เข้าใจป่ะ"

"รีบๆ วาดได้ป่ะ มีเรื่องจะคุยด้วย"

"มีอะไรอะ พูดมาเลยดิ"

"เรื่องที่ผมขอให้ช่วย..."

"อือ...ทำไมอะ"

"ไม่ต้องแล้วก็ได้นะพี่"

เขาชะงักพู่กันในมือแล้วหันมามองผม

"ไม่ต้องช่วยผมแล้วก็ได้นะ"

"ทำไมพูดยังงี้อะ? มีอะไรป่ะเนี่ย"

"ผมไม่รู้ว่าจะพี่กลัวขนาดนั้น"

"..."

"ถ้าพี่กลัวอะ ไม่ต้องช่วยผมแล้วก็ได้ ผมไม่อยากให้พี่กลัว พี่คงรู้สึกแย่มากที่ต้องมองเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น"

เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนวางพู่กันลงแล้วเลื่อนสายตามามองหน้าผม

"ก็จริงที่กูกลัว แต่บอกแล้วว่าจะช่วย ก็ต้องช่วย"

"แต่มันน่ากลัวสำหรับพี่..."

"น่านก็อยู่นี่"

"..."

"ไม่มีอะไรต้องกลัวไม่ใช่เหรอ"

 

คำพูดที่หน้าตึกแปดชั้นผุดขึ้นมาในหัว ตอนที่ผมบอกเขาว่าไม่ต้องกลัวเพราะมีผมอยู่ตรงนี้ และท่ามกลางความเงียบนั้นเขายื่นมือที่เลอะสีมาจับมือผมเอาไว้อย่างเมื่อคืน 

"คราวหน้าถ้าพี่กลัว..."

"..."

"จับมือพี่ไว้ด้วยนะ"

 

...

To be continued.

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ก่อนจะจับมือ ช่วยไปล้างสีที่มือก่อนดีไหม หนูน่านผิวบอบบางคะ  :hao3:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
พี่ซีก็ละมุนได้นะเนี่ยยย  :hao5:

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
มากกว่าจับมือก็ได้ #แอ๊บเป็นน่าน 55555555555555555555555555

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
บ๊ะ เค้าสวีทกันแหละจ๊ะ

จับมงจับมือ

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
จับมงจับมือออ พี่ซีมันอ่อนโยนว้อยยย :-[

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ตอนที่ 7
การกลับมาของคนตาย

 

วันว่างๆ อย่างวันนี้ ผมกำลังนั่งเล่นกับไอรอนแมนอยู่ที่ชั้นล่างของหอ มองดูเท็นที่กำลังปรนนิบัติตัวเงินตัวทองประดุจมันเป็นลูกรักคนใหม่ ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่าที่จริงเขาแก่กว่าผมปีหนึ่ง ใจผมกำลังสับสนว่าควรเรียกเขาว่าพี่ดีไหม

"อยู่เฉยๆ สิ เดี๋ยวป๋าทายาให้ นั่นแหละดีมาก โอ๋ๆ เด็กดี เจ็บนิดหนึ่งนะ"

คนแบบนี้ต้องเรียกพี่ไหมนะ

"ฮัดเช้ย!" ผมหันไปมองพี่ซีที่เดินออกมาจากห้องพร้อมเสียงจาม เป็นหวัดจริงจัง จามจนจมูกแดงไปหมดแล้ว เขาเดินเข้าไปในครัวหยิบน้ำออกมาขวดหนึ่งแล้วกลับออกมานั่งลงข้างๆ ผม หันมองไปที่เท็นแล้วส่ายหัวอย่างเอือมระอา 

"ไอ้เท็นประสาทแดกไปแล้ว"

"ไอรอนแมนกลายเป็นแมวหัวเน่าเลย"

พี่ซีหัวเราะนิดๆ แล้วหยิบแมวไปจากตักผม เขาเกาพุงให้มันอย่างที่เคยทำ

"พี่ยังไม่หายหวัดอีกเหรอ"

"อือ หงุดหงิดชิบ" ผมว่าพลางสูดน้ำมูก ผมเข้าใจดีเลยว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน เป็นไปได้ก็พยายามที่จะไม่ป่วยดีกว่า

"พี่ว่างยัง"

"ว่างอยู่"

"ไปข้างนอกกับผมหน่อยได้ไหม"

เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเลโดยไม่ได้ถามว่าที่ไหน ผมยิ้มให้นิดๆ อย่างดีใจตอนที่เขาตกลง พี่ซีวางแมวลงกับพื้นแล้วลุกออกมากับผม เท็นที่กำลังวุ่นวายกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่จนไม่ได้สนใจพวกเรา

 "เฮีย พี่น่าน จะไปไหนอะ" ผมกับพี่ซีกำลังจะก้าวขาออกจากหอ แต่เสียงของไคโรก็หยุดเราเอาไว้ก่อน ไคโรที่เดินลงมาพร้อมกับน้ำขิงมองหน้าผมอย่างรอคำตอบ

"พาพี่ซีไปหาหมอ" ผมตอบแทน 

"ฮะ?"

ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกไป น้ำขิงและไคโรสามัคคีกันร้องลั่นด้วยความตกใจ แม้แต่เท็นเองก็ละออกมาจากสัตว์เลี้ยงแล้วหันมาให้ความสนใจกับพวกเรา

"เฮียไม่สบายเหรอ"

"เป็นอะไรอะ ตับแข็งเหรอ?"

"มะเร็งปอด?"

"หรือซิฟิลิส?"

"ไอ้ห่าพวกนี้!" พี่ซียกมือทำท่าจะเขกกบาลพวกเขาด้วยความเดือดจัดหลังจากโดนวินิจฉัยโรคร้ายพวกนั้น แต่ละโรคนี่บ่งบอกไลฟ์สไตล์ของเฮียแกมาก

"กูแค่เป็นหวัด"

"ใครจะไปรู้ล่ะพี่ ร้อยวันพันปีเคยป่วยที่ไหน แล้วนี่เป็นหนักเลยเหรอถึงต้องไปหาหมอ"

"หนักดิ เนี่ยขี้มูกไหลจนโพรงจมูกจะพังอยู่ละ ปล่อยไว้นานกว่านี้ระยะสุดท้ายแน่ๆ" ผมบอกอย่างนั้น พวกที่เหลือก็ได้แต่พยักหน้ารับ ผมว่าพวกเขาไม่ได้แปลกใจที่พี่ซีป่วย แต่น่าจะแปลกใจที่ผมออกไปกับพี่ซีมากกว่า จึงได้ยินเสียงสนทนาแว่วๆ ตามหลังมา

"สองคนนั้นมันไปสนิทกันตอนไหนวะ"

"เออ นั่นดิ"

 

ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปสนิทกับพี่ซีตอนไหน แต่พักนี้เราก็คุยกันบ่อย พี่ซีไม่ใช่คนแปลกหน้า กระทั่งตอนนี้ผมก็พาเขามาที่โรงพยาบาลอย่างที่บอก แต่เมื่อถึงหน้าโรงพยาบาลคนข้างๆ ก็หันมาโวยลั่น

"เฮ้ย! พามาที่นี่ทำไม"

"ก็พี่ป่วยอ่ะ ก็ต้องหาหมอดิ"

"จะบ้าเหรอ แค่เป็นหวัดเนี่ย ไม่เอา ไหนบอกจะไปหาเพื่อนมึงที่ตายไง"

"ใครบอก"

"มึงบอกให้ออกมาข้างนอกกับมึง"

"ผมหมายถึงที่นี่แหละ พี่ไม่สบายอะ" ผมไม่รู้ว่าเขาเข้าใจว่าไง แต่จริงๆ ผมก็ตั้งใจจะพาเขามาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ก็พี่ซีไม่สบายเพราะผม เลยรู้สึกผิดอย่างห้ามไม่ได้ ผมไม่อยากให้เขาทรมานกับอาการหวัดที่ตัวเขาเองก็ดูหงุดหงิดเลยพามาหาหมอซะเลย 

"ไปเร็วครับ"

"ไม่ไปเว้ย"

"เฮ้ยพี่ ทำไมดื้อวะ?"

"ก็กูไม่ได้เป็นอะไร"

"ก็เป็นหวัดเนี่ย"

"เดี๋ยวมันก็หายเอง ทำไมต้องมาโรงพยาบาลด้วย"

"ก็โรงพยาบาลมันมีหมอ"

"แต่มันก็มีผีด้วยไง!"

"..."

"เยอะด้วย"

ประโยคหลังเขาเสียงเบาลงไป ผมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าโรงพยาบาลคงเป็นสถานที่น่ากลัวสำหรับเขา

"ไม่อยากเข้าไปใช่ไหม"

"อือ"

"โอเค ไม่บังคับก็ได้"

พี่ซีพยักหน้ายิ้มๆ ผมเองก็ไม่อยากให้เขาต้องกลัวจึงตั้งใจจะพากันกลับ แต่ในจังหวะที่กำลังหันกลับ ผมหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาทางเราเลยดึงมือพี่ซีให้หลบ และในตอนที่จับมือเขาอยู่ก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาเพราะอุณหภูมิจากร่างกายเขา

"พี่ซี พี่ตัวโคตรร้อนเลยอะ"

"ก็ปกติเปล่า"

ผมส่ายหน้ายิกเลื่อนมือไปสัมผัสหน้าผากเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างตกใจ

"ไม่พี่ นี่มันโคตรร้อนเลย เฮ้ยนี่ไม่สนุกแล้วนะ เกิดมันเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้เลือดออก ลามไปเป็นมะเร็งตับขึ้นมาจะทำยังไง"

"มึงก็เวอร์!"

"ไปหาหมอเถอะพี่ ไหนๆ ก็มาแล้ว"

ผมรู้สำหรับเขาโรงพยาบาลมันน่ากลัว แต่ความเจ็บป่วยมันก็อันตรายเช่นกัน เกิดเป็นอะไรหนักขึ้นมากว่านี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ผมเดินนำเข้าตึกโรงพยาบาล แต่พี่ซีทำท่าอิดออดไม่ยอมตามมา

"มาเถอะครับ"

"แต่มัน..."

"เดี๋ยวให้จับมือตลอดทางเลยเอ้า!"

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วยื่นมือมาจับมือผม ก่อนผมจะจูงมือเขาเข้าไป กลายเป็นเราสองคนเดินจับมือกันเข้าโรงพยาบาล เรียกว่าเดินจับมือกันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ก็พี่ซีเอาแต่ก้มหน้างุด ส่วนผมก็แทบจะลากเขาเข้ามา สภาพเหมือนเด็กจูงหมาโกลเดนท์ตัวใหญ่ๆ แล้วหมาดื้ออะ หมาไม่ยอมเดินตามเลยต้องฉุดๆ เข้ามา ลำบากอะ

"กึก!"

ผมหยุดเดินไปด้วยหลังจากที่พี่ซีหยุดเดินกะทันหัน เดาได้ไม่ยากว่าเขาคงเห็นอะไรเข้าอีกแล้ว พี่ซียิ้มแห้งๆ แล้วหลบทางให้อะไรบางอย่าง

"อยู่ตรงนี้เหรอพี่"

เขาพยักหน้านิดๆ

"ไปแล้ว"

แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอดทาง เชื่อแล้วว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมสิ่งไม่มีชีวิตเหล่านั้นจริงๆ พี่ซีสะดุ้งเป็นรอบที่หลายสิบจนกระทั่งหาหมอเสร็จ เขาแทบจะวิ่งสี่คูนร้อยออกมาจากที่นั่น

"ไม่มาโรงพยาบาลแล้วนะ ต่อให้เจ็บป่วยปางตายก็ไม่ต้องพามา" เขาพูดด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กๆ ผมแอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางเหมือนเด็กงอแงของเขา

"นี่ถ้าไปตึกอุบัติเหตุพี่ต้องหัวใจวายตายแน่ๆ" ผมพูดแซว เพราะตึกนั่นน่าจะอุดมไปด้วยบรรดาผีที่ตายแบบไม่ปกติ แข้งขาหัก หัวขาดแขนหลุดอะไรทำนองนี้น่าจะเยอะ

"แค่นี้กูก็หายใจไม่ทันละ"

"เหงื่อเต็มมือเลยเนี่ย" ผมว่าแล้วแกล้งเอามือไปเช็ดกับเสื้อของเขา ตลอดเวลาเขาไม่ยอมปล่อยมือออกจนเหงื่อท่วมมือผมไปหมด เขาเองเลื่อนสายตามามองหน้าผมแต่ไม่พูดอะไร

"อะไร?"

"เปล่า"

"ก็พี่มองอะไรขนาดนั้น"

"มึงเหมือนเครื่องรางไล่ผีเลย"

อ้าว เห็นกูเป็นอะไร ยันต์กันผีหรือกระจกแปดทิศงี้?

"ถ้าเปลี่ยนกันได้ก็ดี มึงอยากเห็นผีแต่ไม่ได้เห็น กูไม่เคยอยากเห็นแต่ต้องเจอทุกวัน"

"ถ้าผมเจอแบบพี่ ผมก็กลัวแบบพี่แหละ"

พี่ซียิ้มให้หน่อยๆ

"เคยเจอหนักสุดแบบไหนเหรอ หัวขาดงี้ไหม หรือคลานออกมาจากทีวีนี่มีป่ะ"

"น่ากลัวสุดที่เคยเจอ ก็ผีกระโดดตึกตายอะ หน้ายุบไปครึ่ง กระดูกหักทั้งตัว มันไม่มีหน้าแต่พูดได้อะ หลอนโคตรๆ" เขาพูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง ผมยังแอบสยองไปด้วย

"พี่ไม่เคยบอกใครเรื่องที่ตัวเองเห็นผีได้เลยเหรอ"

"บอกไปใครจะเชื่อวะ มีแต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ"

อ้าว!

"เฮ้ย ไม่ได้ว่ามึง"

"แต่มันเข้านี่เต็มๆ ไง แต่ก็ไม่เถียงหรอก ผมมันทั้งบ้าทั้งโง่ แต่ทำไงได้ละ"

"ถามอะไรหน่อยดิ"

"ครับ?"

"ทำไมถึงยังเชื่อว่ามันยังอยู่อะ"

ผมเงียบ มันอาจจะไม่มีเหตุผลแต่ผมแค่เชื่อว่าเขายังอยู่ ผมแค่รู้สึกว่าเขายังอยู่ ทั้งๆ เขาไม่มีตัวตน แต่ผมยังคงฝันถึง หลายครั้งก็รู้สึกไปเองว่าเขาอยู่ใกล้ๆ พี่ซีเคยบอกว่าคนที่ยังมีเรื่องค้างคาอยู่ต่อให้ตายก็จะไปไหนไม่ได้ ผมเชื่อว่าเขาเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น คนที่ยังวนเวียนอยู่

"เฮ้ย ทำไมต้องหน้าเครียดด้วยวะ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ 

"กลับหอกันดีกว่าครับ"

"ไปดิ อยู่ที่นี่นานๆ ก็ไม่ชอบนักหรอก วันนี้เจอมาเยอะแล้วไม่อยากเห็นอะไร เหี้ย!"

พี่ซีร้องลั่นพร้อมกับกับหยุดกึก ผมหันไปมองสีหน้าของเขาซึ่งอาการคล้ายกับคราวก่อนที่หอแปดชั้น เดาว่าตรงหน้าเขาจะต้องมีอะไรที่สยองนองเลือดอยู่ตรงนั้นแน่ๆ จึงหลับตาแน่นพูดพึมพำคนเดียว

"กูไม่เห็น...กูไม่เห็น..."

แต่กูว่าเห็นนะพี่

ผมยิ้มออกมานิดหน่อยแล้วยื่นมือไปจับมือเขาเอาไว้ อีกคนลืมตาขึ้นมองมือของเราที่จับกันอยู่

"ไม่ต้องกลัวนะครับ"

มุมปากของพี่ซีขยับเป็นรอยยิ้ม แล้วเดินตามผมที่จูงมือเขาออกมา

"กึก!"

            เขาหยุดเดินกะทันหันจนมือที่จับกันอยู่เกือบจะหลุดออกจากกัน เขาหันมามองผมด้วยใบหน้านิ่งๆ

"เมื่อกี้พูดอะไรนะ"

"ครับ?"

"เมื่อกี้หนูพูดอะไร"

"ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"

พี่ซีกระพริบตาสองสามที แล้วหันมองซ้ายมองขวา แล้วหยุดมองตรงสบตากับผม

"เมื่อกี้ได้ยินจริงๆ นะ" 

"ผีพูดมั้ง"

ผมกะแซวเล่น แต่พี่ซีไม่ตลก เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากหันมองบางอย่างก่อนมาหยุดนิ่งอยู่กับที่ หลับตาลงแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นกิริยาที่เป็นแบบนี้ทุกครั้งตอนที่เขาเห็นผี เขาพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นมองสิ่งตรงหน้าที่ผมไม่เห็น

"เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ"

เขาไม่ได้พูดกับผม ในสายตาผมมันก็คือการพูดคนเดียว แต่ในความเชื่อของผม ผมรู้ตรงนั้นยังมีใครอีกคน

"รออยู่เหมือนกัน"

"..."

"คิดถึงมากเหมือนกัน"

ผมเบิกตาขึ้นเพราะประโยคที่พี่ซีพูดขึ้นมา ประโยคที่พี่ซีอาจไม่เข้าใจ แต่ผมรู้ชัดเจนดี แค่นั้นผมก็รู้เลยว่ามันออกมาจากปากของใคร ผมพยายามจะบอกกับพี่ซีถึงคนที่เขากำลังคุยอยู่ เพราะความตกตะลึงทำให้เอ่ยมันออกมาอย่างติดขัด

"พี่ซี...นั่น...นั่นเพื่อนผม"

"เนี่ยเหรอคิท" พี่ซีพูด ไม่ใช่กับผม แต่กับบางสิ่งที่อยู่ทางด้านซ้ายของผม ดวงตาของพี่ซีเลื่อนจากพื้นถนนขึ้นไปจรดที่กลางอากาศ ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ รู้สึกชาไปทั้งหน้า ปากที่อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับขยับไม่ออก

"อ้าว" พี่ซีร้องออกมาเบาๆ แล้วหันซ้ายหันขวา

"พี่ซี"

"มันไปแล้ว"

"คิท"

ผมเอ่ยชื่อหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจผมตลอดมา นั่นเป็นเขา ครั้งนี้เป็นเขาจริงๆ

"คิทยังอยู่"

พี่ซีพยักหน้ารับ

"มันอยู่ที่นี่เหรอ มันยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหม"

"ตรงนี้ไม่อยู่แล้ว"

"พี่ซี! เรียกมันกลับมาได้ไหม! เรียกมันกลับมาก่อนได้ไหม!"

พี่ซีหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ 

"คิท! มึงอยู่ที่นี่ใช่ไหม ออกมาเลยนะเว้ย! พี่เขามองเห็นมึงได้ มึงออกมาเลยนะ!" ผมตะโกนลั่นวิ่งไปทั่วเพื่อต้องการให้เขาออกมา

"น่าน"

"ไอ้คิท! มึงออกมาสิวะ!"

"น่าน! มันไปแล้ว!"

"มันต้องอยู่ดิพี่ มันยังอยู่ที่นี่"

"ถ้าอยู่พี่ก็ต้องเห็นดิวะ! แต่นี่ไม่มีเว้ย!"

เสียงตะโกนของพี่ซีทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเอง ผมเป็นคนบ้า ยิ่งเหมือนคนบ้า ผมงมงายกับสิ่งเหล่านี้มานาน ผมอาจโหยหาและไร้ที่พึ่งพาจึงลุ่มหลงเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้ผมรู้และเชื่อสนิทใจว่านั่นคือคิท นั่นคือคิทจริงๆ

ผมทรุดตัวลงนั่งไปกับพื้น ไม่เคยอยากร้องไห้ แต่ทุกครั้งน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง  ผมเชื่อมาตลอดว่าคิทมันไม่ไปไหน และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเกิดขึ้นจริง ไม่รู้ว่าจริงหรือฝัน แต่หลายครั้งก็รู้สึกว่าคิทมันยังอยู่ตรงนี้ อยู่ใกล้ๆ กันมาตลอด

พี่ซีนั่งลงข้างๆ ผมแต่ไม่ได้พูดอะไร ให้ความเงียบปล่อยให้เรานั่งอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง ก่อนพี่ซีจะพูดขึ้นมาก่อนเพื่อปลอบประโลมผม

"ไม่เป็นไรนะ"

"ครับ"

"อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเขายังอยู่ไง"

ผมพยักหน้ารับคำพูดของพี่ซี

"พี่จำหน้าเขาได้แล้ว ถ้าเจอคราวหลังจะรีบบอกทันทีเลย"

ผมพยักหน้าอีกที

"แต่บอกเพื่อนนะว่ามาทีหลังมาแบบปกติก็ได้ มาสยองอย่างนั้นพี่หัวใจจะวายว่ะ" ผมยิ้มนิดๆ ออกมาได้เพราะคำพูดของเขา พี่ซีที่นั่งอยู่ตรงหน้าเลื่อนสายตามามองหน้าผม มือหนึ่งยกเท้าคางตัวเอง อีกมือยื่นมาจับหน้าผมให้เงยขึ้น แล้วบีบเข้ามาที่แก้มเบาๆ   

"ยิ้มดิ"

"..."

"มึงยิ้มแล้วเหมือนหนู"

"พี่ซี"

เขาหลุดหัวเราะแล้วยกเช็ดน้ำตาที่เลอะหน้าของผม

"ก็อยากจะให้ยืมผ้าเช็ดหน้านะ แต่เลอะขี้มูกว่ะ เอาป่ะ"

"พี่เก็บไว้เหอะ"

"โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่ซื้อเมล็ดทานตะวันให้กิน"

เขาว่าแล้วยื่นมือมาเคาะหัวผมเบาๆ ผมยิ้มออกมาเพราะเขาที่พยายามจะปลอบใจ แม้ผมจะไม่ได้อยากเป็นหนูแฮมเตอร์แต่ก็รู้สึกขอบคุณ และผมเชื่อพี่ซีหมดหัวใจโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย

 

 

 

To be continued.

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด