-12-
วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บๆ ผมก็เป็นพี่ขิงเกือบสองเดือนแล้ว แต่ละวันที่ผ่านไปนั้นช่างลำบากยากเข็ญเสียจริง หากไม่ได้เพื่อนรักอย่างเจมส์คอยช่วย ผมคงจบเห่ไปตั้งแต่วันแรกๆ
“นี่มึงไปค่ายหรือไปต่างประเทศวะ” เจมส์ทักหลังจากเห็นผมลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มากองรวมกับคนอื่นๆ ที่ข้างรถทัวร์
“ก็แม่น่ะสิ เอาของยัดมาให้ มีแต่ครีมบำรุงผิว” ตีหน้าเซ็งมองกระเป๋าใบใหญ่ที่แม่ให้ยืมมา “รู้ทั้งรู้ว่ากูไม่ใช่พี่ขิง ไม่ต้องบำรุงผิวมากก็ได้”
“ตราบใดที่ไอ้ขิงยังไม่กลับมา มึงก็ต้องใช้หน้าตาที่เหมือนนี่ทำงานไง หน้าด้านๆ ใครจะมาจ้าง”
ผมเบือนหน้าหนีด้วยความเบื่อ ก่อนรุ่นพี่จะเรียกไปรวมเพื่อเช็คชื่อ วันนี้ดูทุกคนผ่อนคลายพูดคุยเฮฮากัน ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง คงจะมีแค่ผมที่แปลกแยก เพราะไม่มีใครกล้ามายืนข้างๆ นอกจากเจมส์ ผมว่าผมก็ไม่ได้หน้าตาน่ากลัวนะ
“ใครเช็คชื่อแล้วขึ้นรถเลยนะคะ ขึ้นรถตามรายชื่อเลยนะคะ” รุ่นพี่ผู้หญิงพูดผ่านโทรโข่ง ผมกับเจมส์มองหน้ากันนิดๆ ก่อนจะเดินไปที่รถทัวร์คันถัดจากที่ยืนอยู่
บนรถที่ผมขึ้นมาบรรยากาศก็คึกคักเหมือนคันอื่นๆ แต่ที่ดูต่างไปคงเพราะทั้งคันมีแต่ปีสาม มีผมกับเจมส์สองคนที่หลงมาอยู่คันนี้ ตอนนี้เลยโดนจ้องกันหนักจนอยากฝังร่างไปกับเบาะ
“กูว่า พวกเราย้ายไปนั่งคันหน้าดีไหมวะ”
เจมส์มันกระซิบกระซาบซึ่งผมก็เห็นด้วย พอดีจังหวะที่รุ่นพี่คนเช็คชื่อเดินขึ้นมาบนรถ ผมก็เลยรีบถาม
“พี่ครับ ชื่อพวกเราอยู่ผิดคันหรือเปล่าครับ” ถามเสร็จพี่เขาก็รีบเอาใบรายชื่อออกมาดู
“ชื่อน้องขิงกับน้องเจมส์อยู่คันนี้นะ นี่ไง” ผมยื่นหน้าไปดู มีชื่อผมกับเจมส์จริงๆ ด้วย “ตอนแรกพี่ก็แปลกใจทำไมน้องถึงมานั่งกับปีสาม”
“งั้นถ้าพวกเราสองคนจะขอไปขึ้นคันอื่น...”
“เอ พี่ไม่มีอำนาจตัดสินใจด้วยสิ อ๊ะ ไฮท์มาพอดี ลองถามไฮท์ดูนะ เขาเป็นรองประธานค่าย”
รุ่นพี่พูดปุ๊บ ผมก็หันไปมอง พอดีกับพี่ไฮท์เงยหน้าขึ้นมาทำให้เราสบตากัน ดวงตาดุจ้องผมไม่กระพริบ เป็นผมเองที่หลบตาก่อน
“มีอะไร” พี่ไฮท์เดินถือกระเป๋ากีต้าร์มาหยุดตรงที่ผมนั่งอยู่ “ทำไมเหรอกาน”
“พอดีน้องขิงเขาถามกู ว่าทำไมน้องเขาถึงมานั่งรวมปีสาม และจะขอย้าย กูเลยบอกให้ถามมึง” เสียงหวานยามพูดกับผมเปลี่ยนเป็นห้าวจัดจนผมอึ้ง “มีอะไรก็ถามเพื่อนพี่เลยนะน้องขิงสุดหล่อ”
“ขอบคุณครับ เอ่อ...”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณ แต่รุ่นพี่สาวกลับยื่นมือมาตบแก้มผมเบาๆ พร้อมขยิบตา ทำเอาตกใจอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ตกใจเท่าคนที่ถือกีต้าร์กำลังมองผมเหมือนตำหนิ
อย่าบอกว่าพี่ไฮท์หึงพี่ผู้หญิงคนนี้ ฉิบหายแล้วไง
“อ่อยเรี่ยราดนะมึง” พี่ไฮท์ว่าเบาๆ “กูเป็นคนเขียนชื่อมึงเอง ทำไม นั่งรวมกับพวกกูไม่ได้หรือไง”
“นั่งได้ ผมแค่สงสัยเฉยๆ เอง ใช่ไหมมึง” พี่ไฮท์ปรายตามองเจมส์เมื่อผมหันไปขอแนวร่วม ก่อนเลื่อนสายตากลับมาจ้องผมตามเดิม “เปลี่ยนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมนั่งนี่ก็ได้”
“เรื่องมาก มานั่งกับกูนี่”
ยังไม่ทันได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ ผมก็ถูกดึงแขนให้ลุกขึ้นพร้อมกับดันให้เข้าไปนั่งเก้าอี้อีกแถวแทน เจมส์ดูตกใจคราแรก ก่อนจะกลับมายิ้มแย้มเพราะคนที่มานั่งแทนผมคือพี่บิ๊ก
นี่เห็นความรักดีกว่ามิตรภาพงั้นเหรอ
“พี่ไม่อึดอัดเหรอ ที่นั่งกับคนที่พี่เกลียดขี้หน้า” ลองถามเผื่อพี่ไฮท์จะเปลี่ยนใจไปนั่งคู่พี่บิ๊กแทน
“ก็ไม่นี่” เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน พี่ไฮท์ให้ผมนั่งติดหน้าต่าง ส่วนตัวเองนั่งด้านนอก กีต้าร์โปร่งที่ถือมาถูกวางไว้ช่องด้านบน “พ่อกูฝากมาให้” ผมมองกล่องข้าวเล็กๆ ที่อยู่ในมือพี่ไฮท์ด้วยความงงงวย “รับไปสิ หรือว่าไม่เอา”
“ขอบคุณครับ” รีบรับมาก่อนพี่แกจะโวยวาย ผมลองแง้มดูด้านในมันคือข้าวผัดกับไข่ดาว กลิ่นหอมที่โชยออกมาเรียกเสียงโครกครากในท้องจนต้องรีบเปิดฝาแล้วตักข้าวเข้าปาก “พี่ไฮท์กินข้าวมาหรือยังครับ” รู้สึกเหมือนถูกจ้อง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอจริงๆ
“ยัง” สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ
“กินด้วยกันไหม” ยังไม่ได้ทันได้ยื่นกล่องข้าวให้ก็มีมือใหญ่โฉบมาแย่งช้อนจากมือผม พี่ไฮท์ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ เสร็จแล้วก็ยื่นช้อนคืนผม “เอ่อ แบบนี้ก็ได้เหรอครับ”
สรุปแล้ว ข้าวกล่องนั้นเราก็แบ่งกันกินจนหมด มันก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรหากไม่ถูกคนอื่นๆ แอบมอง ขนาดเจมส์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าผม มันยังโผล่ลูกตามามอง พวกเขาคงไม่คิดว่าบรรยากาศรอบตัวผมมันดูม่วงๆ ใช่ไหม ช่วงที่ลอบมองคนอื่น คนข้างๆ ผมกลับลุกขึ้นยืน
“พี่ไปไหน” ไม่ได้อยากรู้หรอกนะครับ แต่สงสัยเฉยๆ
“หิวน้ำ” พูดจบก็เดินไปด้านหลัง และกลับมาพร้อมน้ำขวดเล็ก ผมมองพี่ไฮท์ยกขวดน้ำนั่นดื่มแล้วก็รู้สึกกระหาย “อยากกิน?” ผมไม่ตอบ แต่พยักหน้าแทน “อะ” รับขวดน้ำปุ๊บก็ยกดื่มจนหมด ดีที่คนดื่มก่อนเหลือไว้ให้ตั้งครึ่งขวด
“เชี่ยเอ้ย กูสั่งกาแฟหวานน้อย ร้านนี้แม่งใส่น้ำตาลผสมน้ำเชื่อมให้กูอีก หวานเลี่ยนจนอยากจะอ้วก”
เสียงลอยมาจากเบาะด้านหลัง คนพูดคือรุ่นพี่ตัวผอมที่ชื่อแน่ ปากก็บ่นเรื่องกาแฟหวาน แต่แก้วในมือนั่นคือชาเขียวนะครับ ส่วนพี่ไฮท์ทำนิ่งไม่สนใจเสียงเพื่อนของตัวเอง ต่างจากผมที่นั่งสอดสายตามองไปทั่ว รู้สึกกังวลแปลกๆ
“นั่งนิ่งๆ ไม่เป็นหรือไง หันไปมาอยู่ได้ กูเวียนหัว”
บนรถทัวร์ปีสาม แรกๆ เหตุการณ์ก็จะเงียบๆ นิ่งๆ เพราะต่างคนต่างหลับ แต่พอตื่นกันปุ๊บ รถทั้งคันก็เหมือนตู้เพลงเคลื่อนที่ ทั้งเสียงกลอง เสียงร้องที่เข้าจังหวะบ้าง ไม่เข้าบ้างแล้วแต่คีย์เสียงของแต่ละคน ส่วนผมที่เผลองีบไปก็ตื่นเต็มตาเช่นกัน จะมีแค่คนที่นั่งข้างผมที่ยังไม่ตื่น แถมยังเอนศีรษะมาพิงไหล่ผม เอาซะไม่กล้าขยับเขยื้อน จะหัวเราะทีก็ต้องกลั้นไว้
“ฮัลโหลๆ เทสๆ มือกีต้าร์สุดหล่อในสามโลกอยู่ไหน ปรากฏตัวด่วน โหลๆ” พี่แน่พูดออกไมค์ ทุกคนในรถก็เริ่มเหลียวซ้ายแลขวาหามือกีต้าร์ที่ว่า จนสายตาทุกคู่พุ่งมาที่ผม ไม่สิ คนข้างผมที่หลับไม่รู้เรื่อง “แหม ก็ว่าทำไมเงียบ ที่แท้ก็หลับนี่เอง คงจะฝันหวานจนไม่อยากตื่น” เสียงกลองรัวรับจนผมละอยากหายตัวจมไปในเบาะ
“แบบนี้หรือเปล่าวะ ที่เขาว่า สุดแค้น แสนรัก” เสียงรุ่นพี่ในรถตะโกนมา เรียกเสียงโห่ได้รอบคัน
“มึงอย่าไปแซวเขา เดี๋ยวเขาอาย เห็นไหมๆ นายแบบสุดฮอตเขาหน้าแดงแล้ว” พี่แน่พูดจบ เสียงโห่ดังกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“ตาดีนะมึงไอ้เชี่ยแน่ อยู่ท้ายรถแต่เสือกเห็น” พี่บิ๊กตะโกนว่าให้เพื่อนตัวเอง คนตาดีเลยถูกหัวเราะใส่
“ก็กูเก่งสมกับฉายา กูแน่แช่แว๊บ” แล้วพี่แน่แกก็ร้องเพลงแช่แว๊บ มีเสียงกลองตีรับเป็นจังหวะด้วย น่าจะซ้อมกันมาก่อน หรือไม่ก็ สนิทจนรู้ใจ
จากที่คอยหลบสายตาคนอื่น ตอนนี้ผมหัวเราะเสียงดังพอๆ กับรุ่นพี่ทั้งรถ และผมคงจะหัวเราะแรงไป พี่ไฮท์เลยขยับทำให้ผมรีบยืดตัวตรง คนหลับค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา
“กูหลับ”
“กรนดังด้วย”
“ตอแหล”
ตื่นมาก็ด่ากันเลยนะ รู้งี้ไม่ให้พิงไหล่ซะก็ดี
พี่ไฮท์ตื่นแล้วแต่ก็ไม่ยอมไปเล่นกีต้าร์ให้ตามคำเรียก สัตว์มากมายเลยถูกพ่นออกมาจากปากพี่แน่ เรียกเสียงหัวเราะลั่นรถ แม้แต่ผมยังต้องแอบขำ ขืนออกเสียงถูกบีบคอพอดี รถทัวร์สามคันกับรถตู้วิ่งเข้าพักรถที่ปั้มน้ำมัน ดูทุกคนจะพร้อมใจวิ่งลงจากรถแล้วพุ่งไปห้องน้ำ รวมทั้งผมด้วย
พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายจนท้องเริ่มร้อง ภายในปั้มมีทั้งร้านสะดวกซื้อ ศูนย์อาหาร แต่ที่ผมสนใจคือร้านขายลูกชิ้นปิ้ง กลิ่นหอมที่โชยมาทำเอาท้องร้องดังกว่าเดิม พอชั่งใจว่าจะซื้อดีไหม รุ่นพี่ก็ตะโกนให้ขึ้นรถ เลยได้แต่มองตู้ลูกชิ้นตาละห้อย
หิวว่ะ
เดินขึ้นรถด้วยความเสียดาย ผมน่าจะตัดสินใจซื้อตั้งแต่เดินออกจากห้องน้ำ ไม่สิ ควรจะสั่งไว้ก่อนเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ
“หือ” ครางออกมาเมื่อเจ้าของเบาะข้างๆ นั่งลงพร้อมยื่นถุงลูกชิ้นปิ้งมาให้ “พี่ให้ผมเหรอ”
“เออ กูกินไม่หมด” แม้จะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่ามีไม้เปล่าสักอัน แถมลูกชิ้นยังร้อนๆ อยู่เลย
“ขอบคุณครับ”
พี่ไฮท์ไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าให้นิดๆ เมื่อรถเริ่มเคลื่อน ผมก็เริ่มกัดลูกชิ้น เวลาหิวนี่อะไรก็อร่อยหมดจริงๆ ครับ ขนาดแตงกวาที่เขาให้มายังอร่อย
“มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เสียงคนข้างๆ ลอยถามมา ผมก็รีบพยักหน้า ปากยังเคี้ยวลูกชิ้นตุ้ยๆ “มันก็เหมือนร้านอื่นๆ นั่นแหละ”
“พี่ลองกินสิ” ยื่นถุงลูกชิ้นให้ แต่พี่ไฮท์ไม่หยิบลูกชิ้นจากถุง มือใหญ่ยื่ยมาดึงข้อมือผมไป แล้วก้มกัดลูกชิ้นเสียบไม้ในมือผมแทน “พี่นี่...” พูดไม่ออกเลยทีเดียวเมื่อเจอสายตาดุช้อนมอง
“ก็งั้นๆ แหละ” คนเคี้ยวลูกชิ้นบอก แต่ก็แย่งกินไปหลายไม้ ใครวะที่บอกกินไม่หมดเลยเอาให้
ตึกรามบ้านช่องเริ่มมีน้อยหลังเมื่อรถวิ่งใกล้ถึงจุดหมาย ค่ายของคณะเลือกไปซ่อมแซมห้องสมุดกับสร้างห้องน้ำใหม่ให้เด็กๆ ในจังหวัดหนึ่งของภาคตะวันตก ผมไม่เคยมาเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ เพราะชีวิตมีแค่งานกับบ้านแค่นั้น
“มึงจะขยับทำไมเนี่ย” เสียงขุ่นดังขึ้น เรียกให้หันไปหา พี่ไฮท์ย่นคิ้วมองอย่างไม่ชอบใจคงเห็นผมยุกยิกอยู่ไม่เป็นสุขละมั้ง
“ก็ผมตื่นเต้น” บอกตามความจริง ยิ่งใกล้ถึงยิ่งเหงื่อออก นี่ผมกำลังจะมีประสบการณ์เข้าค่ายกับมหาลัยครั้งแรกในชีวิต
“แน่ล่ะสิ ก็มึงไม่เคยมาเข้าค่ายกับมหาลัยนี่” ที่พี่ไฮท์พูดก็ถูก พี่ขิงไม่เคยมาเข้าค่ายหรือทำกิจกรรมใดๆ ของคณะเลย “เตรียมตัวได้แล้ว จะถึงแล้ว”
ผมย่นหน้าหลังจากถูกดุ ก่อนหันไปมองด้านนอกแทน สองข้างทางเริ่มมีบ้านคนที่ทำจากไม้หลังเล็กๆ เรียงรายอยู่เมื่อเริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน
“พี่ๆ หมู” รีบสะกิดแขนพี่ไฮท์ยิกๆ เมื่อเห็นลูกหมูสีดำวิ่งตามถนนดินสีแดง “โคตรอ้วน” ไม่มีคำพูดตอบกลับ มีแค่เสียงขำในลำคอเบาๆ เท่านั้น
ไม่นานรถทัวร์สามคันกับรถตู้ก็วิ่งเข้าจอดในลานกว้างใกล้โรงเรียน ลานนี้จะใช้สำหรับกางเต็นท์นอนในส่วนของผู้ชาย ส่วนของผู้หญิงแยกไปนอนในโรงเรียนเพื่อความปลอดภัย ผมเดินนำหน้าพี่ไฮท์ลงมาจากรถ มือก็ถือกีต้าร์ให้เพราะเจ้าของต้องช่วยเพื่อนคนอื่นขนน้ำกับอาหารลงจากรถ
“โคตรเมื่อย” เจมส์บิดขี้เกียจพลางบ่น ผมก็เป็นแค่ไม่บ่นออกมา
“กูตื่นเต้นว่ะ” สอดสายตามองไปรอบๆ ตอนนี้ทุกคนทยอยลงจากรถหมดแล้ว แถมยังเริ่มเดินเข้าไปในตัวโรงเรียนที่อยู่ข้างๆ “แล้วพวกเรานอนกันยังไงวะ”
“คณะมีเต็นท์ให้ยืม เดี๋ยวพอไปคุยกับพวกครูเสร็จก็ค่อยมากางเต็นท์” เจมส์บอกย่อๆ มันคงมาบ่อยดูไม่ตื่นเต้นเหมือนผมเลย “ไปเถอะ”
แล้วทุกคนก็เดินไปรวมกันหน้าสนามหญ้าแห้งๆ ของโรงเรียน มีครูและนักเรียนตัวเล็กกำลังยืนยิ้มรอต้อนรับอยู่ เด็กหลายคนที่ยืนตรงหน้าเนื้อตัวดูมอมแมม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ดูเก่าและขาด แถมบางคนยังไม่มีรองเท้าอีก คงเพราะความห่างไกลจากตัวเมืองหลายร้อยกิโลเมตรทำให้ที่นี่ไม่ค่อยมีความเจริญมากนัก แต่ยังดีที่น้ำและไฟเข้าถึง
“ทางโรงเรียนของเราขอต้อนรับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์นะครับ และขอขอบคุณที่ทุกคนตั้งใจมาซ่อมแซมห้องสมุดและสร้างห้องน้ำสะอาดๆ ให้กับนักเรียนและโรงเรียนของเรา วันนี้ทุกคนคงจะเหนื่อยกับการเดินทาง โรงเรียนของเราเลยทำอาหารไว้ต้อนรับ เป็นอาหารแบบบ้านๆ ไม่เหมือนโรงแรมในเมือง หวังว่าทุกคนคงจะพอทานได้นะครับ”
ครูใหญ่ของโรงเรียนกล่าวต้อนรับ จากที่ผมมอง สายตาของท่านเวลามองพวกเราดูตื้นตัน มีน้ำใสๆ คลอที่หน่วยตาอยู่ตลอด โรงเรียนนี้ไม่ได้ใหญ่โต มีตึกหลังเล็กๆ เป็นห้องสำหรับการเรียนการสอน แยกออกมาเป็นโรงครัว พอมองมาอีกด้านก็เป็นห้องสมุดที่ดูเก่า สีรอบห้องหลุดลอกจนเห็นเนื้อปูน แถมประตูก็ไม่มี ทำให้มองเห็นด้านในที่มีหนังสืออยู่บนชั้นและวางเรียงรายกับพื้น
หลังจากต้อนรับและพูดคุยกันเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายไปพัก พวกผู้หญิงดีหน่อยที่หิ้วกระเป๋าเข้าตึกเรียน ส่วนพวกผู้ชายยังต้องไปกางเต็นท์ที่จะใช้ซุกหัวนอนตลอดสองคืน เต็นท์สีเขียวขนาดใหญ่สามารถนอนได้ห้าถึงหกคน ผมช่วยเจมส์กับเพื่อนร่วมรุ่นกางเต็นท์ แม้ผมจะถูกมองแปลกๆ ก็เถอะ
“ใครกางเต็นท์เสร็จแล้วรู้สึกหิว ไปตักข้าวกินได้ อาจารย์ไปสำรวจมาแล้ว มีไก่ทอดแล้วก็ผัดผัก ซึ่งพอสำหรับทุกคนแน่นอน” ดูเหมือนอาจารย์ประจำภาควิชาและประจำค่ายจะพูดช้าไป แค่บอกไปกินข้าวได้ ทุกคนก็พร้อมใจเฮละโลไปโรงอาหารกันหมดเพราะกลัวของจะขาด “พวกเธอสองคนไม่ไปเหรอ”
“ไปครับ แต่คนเต็มโรงอาหารเลย” เจมส์ตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนผมจะสะดุ้งเมื่อถูกจ้อง
“เธอกินได้ไหม กับข้าวคนธรรมดาน่ะ” พอได้ยินอาจารย์พูดคิ้วผมก็ขมวดทันที “แปลกใจนะเนี่ย ที่เธอมาด้วย” แล้วอาจารย์ก็เดินไปโรงอาหาร ปล่อยให้ผมยืนงงด้วยความไม่เข้าใจ
“อะไรของมึง” เจมส์เห็นผมยืนนิ่งคงสงสัย
“ก็ที่อาจารย์เขาพูดเมื่อกี้ กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ เหมือนเขาไม่ชอบกู”
“คิดมากน่า อาจารย์เขาไม่รู้นี่ว่ามึงไม่ใช่ไอ้ขิง นายแบบผู้เรื่องมาก ข้าวต้องเป็นข้าวกล้อง กับข้าวห้ามทอดด้วยน้ำมัน แกงก็ห้ามใส่กะทิ” เจมส์พูดไปเบ้ปากไปจนผมหัวเราะ “ขนาดน้ำเปล่ามันยังเรื่องมาก จะเอาน้ำที่สูงกว่าอุณหภูมิห้องนิดหน่อยแต่ต้องไม่เย็น กูละปวดหัว”
“แต่มึงก็คบมาได้นานนี่หว่า”
“ก็กูสงสารพี่มึง แค่นี้ก็ไม่มีใครอยากคบแล้ว”
แม้มันจะพูดติดตลก แต่แววตามันไม่ใช่ เจมส์มันห่วงและรักพี่ขิงมากเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะรักได้ ไม่รู้ทำไมพี่ขิงถึงมองไม่เห็น ภาพใบหน้าวันที่มันถูกพี่ขิงสะบัดตัวออกนั่นยังติดตาผมอยู่เลย
“ดีแล้ว เลิกๆ คบไปซะ คนนิสัยเสียแบบนั้น มึงต้องคบคนนิสัยดีแบบกูนี่”
“ไปกินข้าวดีกว่า”
ดูเจมส์มันกวนผมครับ พูดจบมันก็เดินไปโรงอาหาร ผมเลยต้องรีบวิ่งไปกอดคอมัน มิตรภาพของเพื่อนไม่ได้อยู่ที่เวลา แต่อยู่ที่หัวใจมากกว่า ไม่ว่าจะเจอกันกี่เดือน กี่ปี หรือแค่วินาทีเดียวก็ตาม โรงอาหารตอนนี้แออัดมากทีเดียว แม้บางส่วนจะออกไปนั่งกินข้าวข้างนอกก็เถอะ
“เชี่ย ไก่ทอดหมด” ผมว่าออกมาเมื่อป้าแม่ครัวของโรงเรียนตักข้าวกับผัดผักให้ ส่วนถาดไก่ทอดเหลือเพียงเศษซากเล็กๆ แทบมองไม่ออกว่ามันเคยเป็นน่องไก่มาก่อน
“นี่เรามาช้าไปใช่ไหมวะ” เจมส์มองเศษซากไก่ด้วยความเสียดาย
“ช้ามากด้วย”
แล้วเราสองคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนจะเดินออกไปนั่งด้านนอก ข้าวกับผัดผักก็อิ่มท้องได้เหมือนกัน รู้แบบนี้เอาบะหมี่สำเร็จรูปมาด้วยก็ดี จังหวะที่เจมส์กำลังจะตักข้าวเข้าปาก ไก่ชิ้นเล็กๆ ก็ถูกวางบนช้อน ทั้งผมและเจมส์หันไปมองด้านหลังเจอพี่บิ๊กยิ้มส่งมาให้
“ทำไมมาช้าวะ” คำถามนี้คงไม่ได้ถามผมแน่นอน
“ก็เก็บของเลยมาช้า” เจมส์ทำหน้าสลด
“ไก่ก็หมดด้วย” อดที่จะพูดแทรกไม่ได้ ผัดผักรสชาติก็ไม่ได้แย่มาก แค่มันจืดไปหน่อย
“พวกมึงมาช้ากันเอง ไม่มีใครเก็บไว้ให้หรอก” พี่บิ๊กพูดไป มือก็แกะน่องไก่ให้เจมส์ไป ผมละสายตาจากคู่ข้างๆ มองไปรอบๆ ตัว ในจานทุกคนมีไก่ ไม่ก็กระดูกหลายชิ้น คงโกยเอาเต็มที่สินะ เหลือแต่เศษซากขนาดนั้น
“ตาละห้อยเลยนะมึง” เสียงดังมาจากอีกด้าน ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เจอพี่ไฮท์ยืนทำหน้านิ่งอยู่ “อยากกินไก่หรือไง”
“ไม่ใช่สักหน่อย” ตอบไปงั้น ที่จริงผมกินง่าย แค่ผัดผักก็พอแล้ว แค่อยากมองเฉยๆ ไม่ได้อยากกินไก่แบบที่พี่ไฮท์ว่า ผมยัดข้าวเปล่าเข้าปากจนแก้มตุ่ย ดีที่ข้าวหอมและนุ่มทำให้กินเปล่าๆ ก็พอไหว แต่พอจะตักอีกคำ เนื้อไก่ชิ้นใหญ่ก็ถูกวางบนช้อน “อะไร”
“ไก่ไง เห็นเป็นหมูเหรอ”
“พี่ให้ผมเหรอ”
“กูกินไม่หมด หมาแถวนี้ก็ไม่มีสักตัว เลยให้มึงดีกว่า”
“ขอบคุณที่ยังนึกเก็บไว้ให้ผม”
พูดประชดไปอย่างนั้น แต่พี่ไฮท์กลับเงียบไป ว่าแต่ ผัดผักจืดๆ ได้ไก่รสชาติเค็มมันช่างเข้ากัน
เมื่อทุกคนอิ่มกับมื้อเย็นกันแล้วก็ต่างคนต่างกลับที่พัก ความเมื่อยล้าจากการเดินทางกำลังเล่นงานจนอยากนอนเต็มแก่ เต็นท์ของผมก็มีเพื่อนร่วมห้องอีกสามคน ก็คนที่มองผมแปลกๆ นั่นแหละ
“กูทำให้เขาอึดอัดหรือเปล่าวะ” แอบกระซิบถามเจมส์ขณะที่มันกำลังค้นเสื้อผ้าเพื่อจะไปอาบน้ำ เจมส์หันมามองผมก่อนเอี้ยวตัวไปมองเพื่อนคนอื่น
“คงจะใช่ ปกติไอ้ขิงไม่เคยอยู่ร่วมกับใคร แถมไม่เคยมาแบบนี้ด้วย พวกมันก็เลยแปลกใจกันละมั้ง”
“เป็นคนไม่เข้าพวก”
ผมกับเจมส์เดินหอบเสื้อผ้ามาที่ห้องน้ำ ตอนนี้คนรอคิวอาบเยอะมาก ชนิดที่ว่าสามทุ่มก็คงยังไม่ได้อาบ ห้องน้ำเก่าๆ มีทั้งหมดห้าห้อง แต่ละห้องก็มีคิวยาวเหลือเกิน แต่ทำไงได้ เพื่อความสะอาดและสบายใจของเพื่อนร่วมเต็นท์ ยังไงก็ต้องรอ
ยังโชคดีที่ผู้หญิงไปอาบน้ำที่บ้านของชาวบ้าน ไม่อย่างนั้นคงลำบากกว่านี้แน่นอน
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ดวงดาวแข่งกันกระพริบเรียกให้มอง และที่มีมากแข่งกับดาวคือยุง ผมนั่งเกาขาตัวเองจนมีเลือดติดเล็บ ยุงที่นี่ดุมากแถมมาเป็นหมู่คณะ สูบเลือดทีมาเต็มขา จะตบก็ไม่รู้จะเริ่มจากตัวไหนก่อน
“เจมส์ อาบพร้อมกับกูเลยไหม” ผมถามเพื่อนที่นั่งตบยุงอยู่ข้างๆ เจมส์กับคนอื่นๆ หันมามองผมกันหมด “เร็วๆ ห้องกูจะออกมาแล้ว”
“เออๆ”
พอห้องน้ำที่ผมรอคิวเปิดออกมา ผมกับเจมส์ก็เดินสวนเข้าไป การอาบน้ำกับเพื่อนที่เป็นเพศเดียวกันไม่มีอะไรจะต้องอายนี่ครับ ของก็มีเหมือนกัน พวกเราใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เปิดประตูออกไป ทันทีที่ประตูเปิดออก คนด้านนอกต่างก็พากันหยุดคุยหยุดเล่น สายตาทุกคู่พุ่งมาที่ผมกับเจมส์ หากเป็นหนังสือการ์ตูนตาหวาน ทุกคนคงจะมีดาวสีเหลืองแปะหางตากันทุกคน
ความคิดในหัวก็จะมีแต่เรื่องต่ำตมกันหมด
“มองอะไรกัน” เจมส์ว่า ในขณะที่ผมกำลังเช็ดผมที่สระเพิ่งเสร็จ “ไม่อาบต่อหรือไง”
“เขามองอะไรกันวะ” ผมถามขณะเราเดินกลับเต็นท์
“คงไม่เคยเห็นคนอาบน้ำด้วยกัน”
“อาบด้วยกันมันแปลกเหรอวะ กูว่าไวดีออก คนอื่นจะได้อาบ”
“กูก็เห็นด้วย”
ลานกว้างมีเต็นท์หลังใหญ่กางอยู่จนเต็ม แต่ก็จะมีเต็นท์เล็กๆ ประปรายอยู่ไม่ไกล เท่าที่สังเกต หนึ่งในส่วนเล็กๆ นั่นคือเต็นท์ของพี่ไฮท์ เมื่อตอนเย็นแอบเห็นพี่แกกางคนเดียวอย่างชำนาญ
“ทำไมรุ่นพี่บางคนเอาเต็นท์มาเองวะ” ใช้ปากบุ้ยชี้ “หรือนอนร่วมกับคนอื่นไม่ได้ หรือว่ากรนดัง หรือว่าดิ้น หรือว่า....”
“อยากรู้ขนาดนั้น?”
เสียงที่ถามมาไม่ใช่เสียงเจมส์ เจ้าของเสียงยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้านิ่งๆ ทำเอาผมต้องรีบเดินหนี หากไม่ติดว่าถูกดึงผ้าเช็ดตัวไว้ทำให้ไปไหนไม่ได้
“ผมแค่สงสัย ไม่ได้อยากรู้”
“มึงก็เคยนอนกับกูแล้วนี่”
“ฮะ?”
“โอ้”
ตาแทบถลนเมื่อได้ยินพี่ไฮท์ว่า มันเป็นประโยคสองแง่สองง่าม หากใครได้ยินคงเอาไปตีความผิดๆ แน่ เหมือนเจมส์ตอนนี้ที่มันกำลังทำจมูกบาน
“หรือมึงร้องไห้จนจำไม่ได้ อยากนอนกับกูอีก ก็ได้นะ”
“ไม่ๆ ผมนอนกับเพื่อนได้”
“ก็มึงจะได้หายสงสัยไง ไม่ดีเหรอ”
“ไม่ดีเลย ไม่เลย”
ผมปฏิเสธแทบจะทันที แต่ก็เท่านั้น พี่ไฮท์ไม่สน ไม่ฟังอะไร เอาแต่ดึงผ้าเช็ดตัวที่มันยังพันคอผมอยู่ให้เดินตามไปที่เต็นท์หลังเล็กสีส้ม แม้จะพยายามกวักมือเรียกเจมส์ยังไง มันก็ไม่ยอมมาช่วย ได้แต่โบกมือให้กำลังใจอยู่ห่างๆ
“พี่ไฮท์ ผมไม่อยากรู้แล้ว” พูดขณะยืนอยู่หน้าเต็นท์
“แต่สายตามึงยังบอกว่าอยากเสือกเรื่องกูอยู่”
ผมรีบยกมือจับตาตัวเอง อยากได้กระจกซะจริง อยากรู้ว่า สายตาเสือกเป็นยังไง
“ผมขอกลับไปนอนกับเจมส์ได้ป่ะ”
“เพื่อนมึงเดี๋ยวก็ตามมา” พี่ไฮท์พูดไม่จบดี เจมส์มันก็เดินมาพร้อมกับพี่บิ๊ก “นั่นไง”
เจมส์ส่งยิ้มให้ผมบางๆ ก่อนมันจะมุดเข้าเต็นท์สีเหลืองข้างๆ แทน นั่นเต็นท์ของพี่บิ๊กเหรอ
“เจมส์นอนกับพี่บิ๊กเหรอ”
“เออ”
“ทำไมล่ะ”
“หยุดเสือกเรื่องคนอื่นได้แล้ว เข้าเต็นท์สักที พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
“ขี้บ่น”
“มึงก็หยุดทำตัวให้กูบ่นสิ เร็วๆ”
“ครับๆ”
ผมถอดรองเท้าไว้ด้านหน้าก่อนมุดเข้าเต็นท์โดยมีพี่ไฮท์ตามเข้ามาทีหลัง ด้านในมีถุงนอนสองที่ปูเอาไว้
“เดี๋ยวๆ มึงจะนอนเลยเหรอ” ในขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน พี่ไฮท์ก็ฉุดแขนให้ผมลุกขึ้นมานั่ง พอพยักหน้าแทนคำตอบก็ถูกนิ้วดีดหน้าผาก “ผมไม่แห้งมึงจะนอนได้ยังไง”
“นอนๆ ไปเดี๋ยวมันก็แห้ง”
“หัวมึงขึ้นราพอดี เช็ดให้แห้งก่อนสิวะ”
อะไรของพี่เขาวะ บอกให้ผมรีบนอนเพราะต้องตื่นเช้า มาตอนนี้กลับบอกเช็ดผมให้แห้งแล้วค่อยนอน จะเอายังไงกันแน่ และพี่ไฮท์คงเห็นผมตีหน้ายุ่งเลยคว้าเอาผ้าเช็ดตัวผมมาคลุมหัวผมแล้วขยี้
“โอ๊ย พี่ทำอะไรวะ เจ็บนะเว้ย”
“ก็มึงชักช้า”
“ทำดีๆ ก็ได้ นี่ทำซะแรง มันเจ็บนะเว้ย”
“กูช่วยมึงก็ดีเท่าไหร่แล้ว อยู่นิ่งๆ สิวะ จะดิ้นทำไม กูทำไม่ถนัดไอ้ห่า”
“ก็พี่ทำแรง มันเจ็บนี่”
มัวแต่โต้เถียงเรื่องเช็ดผมจนลืมสังเกตว่ารอบๆ เต็นท์มีเงาคนยืนอออยู่ ผมสะกิดพี่ไฮท์ให้ดู พอเจ้าของเต็นท์เห็นก็รีบเปิดซิปแล้วชะโงกหน้าออกไปดู
“อะไรของพวกมึง มายืนมุงเต็นท์กูทำไม”
“ก็มึงทำอะไรอยู่ แล้วในนั้น...เชี่ย ไอ้ขิงเหรอวะ นี่มึงกับมัน ฟิชเชอริ่งกันแล้วเหรอ” พี่แน่ตะโกนจนดังลั่น ไม่สนพี่ไฮท์เอารองเท้าปาใส่อกดังปึ๊ก “เหมือนที่ไอ้เป้ว่าบนรถจริงๆ สุดแค้นแสนรัก แค้นมาก ก็รักหนักมาก มึงจะทำอะไรกันก็เบาๆ เสียงหน่อย สงสารคนไร้คู่แบบพวกกูบ้าง” แล้วกลุ่มที่มุงก็โห่เสียงดัง
“ไอ้สัด” พี่ไฮท์ด่าส่งท้ายก่อนจะรูดซิปปิดตามเดิม ไม่สนใจเสียงโห่ เสียงล้อด้านนอก เป็นผมซะอีกที่ทำอะไรไม่ถูก “เป็นอะไรของมึง เช็ดผมไปสิ”
“พี่ไม่ออกไปบอกเหรอ ว่าพี่แค่ช่วยเช็ดผมให้ผมอะ เราสองคนไม่ได้ เอ่อ...” กระดากปากฉิบหาย
“พวกมันไม่ได้โง่”
“แต่ที่พี่เขาพูดเมื่อกี้...”
“มันแค่แกล้ง ไฟในเต็นท์ก็เปิด มึงเห็นเงาคนข้างนอก แล้วคิดเหรอ ว่าพวกมันจะไม่เห็นเงาของเรา”
“ก็จริง” แทบอยากถอนหายใจออกมา “พี่จะนอนแล้วเหรอ” ที่ถามเพราะพี่ไฮท์ล้มตัวลงนอนบนถุงนอน ทั้งที่ปกติเราต้องเข้าไปอยู่ด้านในถุง แต่พี่ไฮท์กับนอนทับซะอย่างนั้น
“เออสิ มึงก็รีบเช็ดผมให้แห้งแล้วก็นอน”
“ผมนอนเลยก็ได้”
“อย่าพูดไม่รู้ฟัง รีบๆ เช็ด”
“พี่ก็พูดไม่รู้ฟัง เชี่ย”
ด่าได้แค่นั้นละครับ เพราะอยู่ๆ ผมก็ถูกเท้าเกี่ยวอกให้ล้มตัวลงนอนบนถุงนอน
“พูดมาก อยากนอนก็นอน”
“พี่หัดทำตัวให้เป็นรุ่นพี่ที่ดีบ้าง” ยกมือลูบอกตัวเอง มันก็ไม่ได้เจ็บหรอกนะครับ แต่ก็จุกๆ
“มึงเป็นรุ่นน้องกูหรือไง”
ประโยคที่ผมฟังไม่เข้าใจเลยเอาแต่จ้องคนพูด ตอนนี้พี่ไฮท์นอนหันหลังให้ ผมเลยได้เห็นแค่ผมสีดำ ช่วงที่เผลอจ้อง อยู่ๆ พี่แกก็หันหน้ากลับมาทำให้ผมเบนสายตาแทบไม่ทัน
“ฝันดีครับ” รีบหันหลังให้ เมื่อกี้มีช่วงแวบหนึ่งที่สบตาดุนั่นใกล้ๆ แค่นั้นก็ทำให้ผมใจสั่นแปลกๆ
ฉิบหาย ทำไมรู้สึกตื่นเต้นวะ
“มึง...” เสียงคนข้างหลัง ผมพยายามข่มตาหลับทำตัวให้นิ่งเหมือนหลับไปแล้ว ทั้งที่ใจยังเต้นระส่ำอยู่เลย อีกอย่าง คงไม่มีใครหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับปั๊บ “ฝันดี”
เสียงพูดดังพร้อมเสียงขยับตัว ผมแอบหันหน้าไปดู พี่ไฮท์ขยับนอนหงายเหยียดยาว ดวงตาที่ชอบมองดุปิดลงแล้ว เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นใบหน้านี้ในระยะใกล้
“ผมขอโทษที่โกหก” พูดกับตัวเองเบาๆ ยามจ้องหน้าคนหลับ ผมรู้สึกผิดที่หลอกพี่เขา รวมถึงทุกคนด้วย ผมไม่ได้มีความสุขสักนิด แต่อีกไม่นานหากทุกอย่างกลับมาเป็นแบบเดิม เราก็คงไม่ได้เจอกันอีก “ฝันดีครับ”
...TBC
เดินทางแล้ว...ค่ายนี้จะสนุกสนานสักเท่าไหร่กันหนอ