บทที่ 6ไม่รักก็จะร้าย สาบานได้ว่าตั้งแต่พ้นวัยเด็ก สิ่งที่มีความสุขมากๆ ในชีวิตแม่งแทบจะนับครั้งได้เลยอะ หลังๆ ที่มีเด่นๆ เลยก็คือได้ดูคอนเสิร์ตแฟนคนปัจจุบันอย่างอะเรียน่าแก้วกลางแถวหน้าสุด เวลาคนสวยหมุนตัวทีนี้อะหืมมมม ลมจะจับ เรียกได้ว่าฟินคาเก้าอี้ราคาเจ็ดพัน
และอีกครั้งก็… เฟรชชี่ไนต์ตอนนี้นี่ไงล่ะโว้ยยยยย ยะฮู้วววววววววววว
เพลงคุกกี้เสี่ยงทายถูกคัฟเวอร์ด้วยวงดนตรีของมหาลัย ซึ่งส่วนมากมีสมาชิกเป็นรุ่นพี่สินกำซะด้วย แต่ละคนหน้าตาจิ้มลิ้มสุดๆ ประดุจหนุ่มคิ้วบอย สาวๆ ก็เลยแห่กรี๊ดกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เอาจริงไม่รู้ว่าฟินกับนักร้องหรือขำอีมุนินที่ขึ้นไปแย่งซีนโชว์สเต็ปเป็นเฌอปรางค์กันแน่ แม่งเอ๊ย สินกำเด่นอีกแล้วเหรอวะ คืนนี้จะเป็นคืนแห่งสินกำไม่ได้นะ
ใช่ครับ หยากไย่ได้เป็นดาวมหาลัยไปตามระเบียบ พ่วงด้วยตำแหน่งขวัญใจมหาชน
ส่วนเดือนอะเหรอ… ไม่เห็นต้องเดาให้ยาก ถ้าไม่ใช่ไอ้ทักแล้วจะไปเอาหมาที่ไหนมาใส่สายสะพายล่ะ
“ฮืออออ ไอ้กุ้งกูดีใจ” แม่ดาวมหาลัยคนล่าสุดเต้นไปร้องไห้ไป แถมยังประคองมงกุฎเพชรเก๊บนหัวอย่างทุลักทุเล มาสคาร่านี่ไหลเป็นสาย เฮ้อ หมดกันความสวย เมื่อไหร่มันจะหยุดซาบซึ้งสักทีล่ะเนี่ย
“เออ ไม่ต้องเครียดแล้วน่า หน้าเละเป็นพิสซ่าหมดแล้วววว”
“ขอบคุณมึงมากนะกุ้ง”
“หา? ขอบคุณเรื่อง?”
“ถ้ากูไม่รู้สึกผิดกับมึง คงไม่ฮึดสู้ขนาดนี้”
“ไร้สาระน่า…” ถึงจะแอบซึ้ง แต่คงต้องถึงเวลาเข้าเรื่องสักที “มึง… แล้วไอ้ทักอะ?”
ไอ้ไย่จ้องผมเหมือนพยายามจับผิด แต่เสียใจ เรื่องตีหน้าแบ๊วผมเนียนมากเลยขอบอก
“ไม่รู้ดิ พอถ่ายรูปหลังเวทีเสร็จก็ไม่เจอเลย” มันว่า “น่าจะอยู่กับพวกเด็กพละละมั้ง”
“อ๋อๆ” ผมพยักหน้า ตั้งใจจะทำเนียนต่อ “ปวดฉี่จัง เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“อยู่ดีๆ ก็จะเยี่ยวจะขี้ขึ้นมาเลยเนอะ” เสียงนี้ไม่ใช่หยากไย่ หากแต่เป็นไอ้อู๋เพื่อนรักที่เหงื่อท่วมตัวเพราะเต้นแรงไปหน่อย
“อย่ายุ่งน่า” ผมไม่สนใจแววตา ‘แหนะ กูรู้ทันมึงนะ’ ของมัน รีบสะบัดตูดแหวกฝูงชนหนีออกไปทันที
อะไรกันนี่ ในนี้เบียดเสียดกันยิ่งกว่าสงกรานต์สีลม จะขยับได้แต่ละทีก็ลำบ๊ากกกกลำบาก ไหนจะต้องคอยหลบสายตาที่น่ากลัวของสาวๆ สายฮาร์ดคอร์ กับไอ้พวกหื่นๆ จ้องจะขย้ำตามทางอีก โอเคดูได้แต่อย่าจับน้า มืออย่าซนๆ
“ปราโมทย์!” ผมรีบกระโจนเข้าไปเมื่อเห็นรูมเมทขยับแข้งขยับขาอยู่กับผองเพื่อน
“อ้าวกุ้ง ว่าไง”
โง้ยยยย หนุ่มแว่นเวลาเต้นก็น่ารักดีนิหว่า แต่ไม่ได้…ต้องหักห้ามใจ เดี๋ยวมีปัญหาขึ้นมาโดนไล่ไปนอนวัดแล้วจะซวย
“เห็นทักปะ?”
“อยากเจอมันเหรอ?” ดูทำหน้าทำตา
“ตอบให้ตรงคำถามด้วยจ้า”
จะย้อนทำไม เดี๋ยวก็หน้าแดงเป็นกุ้งสุกให้ดูซะหรอก
ปราโมทย์ยิ้มมุมปาก เวรละ ติดนิสัยกวนตีนมาจากเพื่อนสนิทแหงๆ “เห็นเมื่อกี้ที่บ้านมันโทรมา คงออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกละมั้ง”
“อ๋อ” ผมมองไปตามทางที่โมทย์ชี้
“จะทำอะไรก็รีบทำน้า มันกำลังจะเป็นหนุ่มฮอตแล้ว”
“พูดอะไร ใบ้คำเหรอ”
“อ้าว อย่าทำเป็นไม่รู้” โมทย์ทำหน้างง แต่มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม “กุ้งไม่ใช่สีเหลืองของไอ้ทักหรือไง”
กุ้งไม่ใช่สีเหลืองของไอ้ทักหรือไง
กุ้งไม่ใช่สีเหลืองของไอ้ทักหรือไง
กุ้งไม่ใช่สีเหลืองของไอ้ทักหรือไง คำพูดของรูมเมทหนุ่มจืดก้องกังวานเหมือนระฆัง มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพยายามจิกหน้าไม่ให้ตัวเองระเบิดยิ้มออกมาแบบนี้ โว้ยยยย
“บ้า มึงก็คิดมาก”
“แหม่ เราเป็นรูมเมทกุ้งนะ ผ้าปูที่นอนสีเหลืองอ๋อยขนาดนั้นไม่รู้ก็บ้าแล้ว”
“…”
“เอาเถอะ เราจะไม่บอกใคร” ทำเป็นขยิบตงขยิบตา เดี๋ยวจะโดน
“สรุปมันไปตรงนู้นเนอะ” ผมเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับชี้นิ้ว
ผมเดินแหวกคลื่นประชากรชาวพละออกมาด้านนอกอาคารจัดงาน พอผ่านประตูรั้วเหล็กเล็กๆ ที่น่าจะมีคนแอบเปิดก็ปะทะเข้าให้กับลมเย็นๆ ตามประสาอากาศต่างจังหวัด มีพวกปีหนึ่งกลุ่มนึงออกมาแอบดูดบุหรี่ ดูจากการแต่งกายและหัวโจกที่ใส่สายสะพาย ‘วิศวกรรมศาสตร์’ ก็ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นเด็กคณะไหน
“เฮ้ยๆ พวกมึงหลบดิวะ คนดังเค้าจะเดิน”
ผมขมวดคิ้วให้กับไอ้เดือนคณะวิศวะที่ทำเป็นผลักเพื่อนๆ ให้หลบทางแบบโอเวอร์อย่างกะมีรัฐมนตรีจะเดินผ่าน
เออ ก็หน้าตาดีเหมือนกันหนิทำไมไม่ได้รางวัลติดไม้ติดมือไปบ้างวะ
แต่ไว้ทีหลัง ตอนนี้ต้องตามคิว
หลังจากที่เดินหาอยู่นานก็เจอไอ้ทักหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มือจิ้มโทรศัพท์ยุกยิกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เกรงใจสายสะพายที่มีคำว่าเดือนมหาวิทยาลัยตัวเท่าโอ่ง แหนะ อวดใครอยู่ล่ะสิ
ผมเกือบจะโห่ร้องออกมาแล้วตอนที่เห็น แต่โชคดี้ที่กามเทพฝ่ายธรรมะห้ามไว้ซะก่อนเลยเก็บอารมณ์ได้ทัน ผมจึงเอามือไพล่หลังทำเป็นเดินเข้าไปอย่างปกติที่สุด
ยังไม่ทันจะเอ่ยปากอะไรไอ้เดือนมหาลัยดันเงยหน้าขึ้นมาเห็นซะก่อนแล้ว ไอ้ทักแยกเขี้ยวเลิกสนใจโทรศัพท์จัดการยัดใส่กระเป๋ากางเกงเรียบร้อย
“ไงคุณกบ”
แง่วววว เสียอารมณ์เลยสัส
“กุ้งครับ กุ้ง” ผมเบ้ปาก โว้ย อุตส่าห์กำลังจะสร้างมู้ด “สายสะพายเท่ดี”
ไอ้ทักมองตามที่ผมชี้ “เอาไปใส่ถ่ายรูปปะล่ะ?”
“เดี๋ยวกูก็โดนแม่ยกมึงรุมกระทืบหรอก” ผมว่า “เข้าไปเช็ครึยังว่าตอนนี้มีคนตั้งแฟนเพจให้หรือเปล่า”
“ยังไงกูก็คงดังไม่เท่ามึงร้อกกก” ไอ้เดือนเท้าแขนกับต้นไม้ “แล้วนี่ออกมาทำไม ไม่ไปเต้นกับเพื่อนๆ วะ”
“ไม่อะ” ผมบ่ายเบี่ยงทำเป็นมองที่อื่น “อยากเจอมึง”
“…”
อย่าเงียบจ้า อย่าเงียบ ไม่รู้รึไงว่ากูต้องรวบรวมกล้าแค่ไหนถึงหน้าทนพูดออกไปแบบนี้ ฮือออออ
“เข้ามาใกล้ๆ ดิ” ไอ้ตัวยาวเป็นกิ้งกือกวักมือเรียก ซึ่งผมก็ใจเด็ดมากที่ทำตามอย่างว่าง่าย
“…”
“รู้ใช่ปะว่าสีเหลืองที่กูหมายถึงคืออะไร”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก ใกล้กันขนาดนี้ใจเต้นสัสๆ ขืนอ้าปากพูดไปมีหวังสั่นพั่บๆ เป็นนกเป็ดน้ำแน่
“โอเค” ไอ้นี่ก็พูดน้อยจังวันนี้ คีพลุคเดือนรึไง “ก็ตามนั้นแหละ”
“แล้วคิดอะไรอยู่ถึงตอบแบบนั้นฮะ”
“ไม่รู้ว่ะ พอได้ยินคำถาม หน้ามึงที่ยิ้มแป้นตอนปูเตียงก็ลอยหรามาเลย”
ไม่ได้มีความโรแมนซ์ใดๆ ทั้งสิ้น…
“งี้กูก็มีส่วนทำให้มึงได้เป็นเดือนมหาลัยล่ะสิเนี่ย”
“จะทวงบุญคุณว่างั้น?” ไอ้ทักเปลี่ยนมากอดอกแบบเดียวกับผมบ้าง “อ่ะๆ อยากได้อะไร เดี๋ยวจะตอบแทนให้อย่างงาม”
“ทุกอย่างเลยหรือเปล่า” ผมหรี่ตา
“เออ”
“แน่ใจนะ”
“ถ้าไม่เว่อร์กูให้ได้หมด”
“งั้น…”
หมับ! “เฮ้ย!” ไอ้ทักตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ๆ ผมก็ใช้มือเล็กๆ ทะลวงเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาว วางแหมะลงบนหน้าอกนูนๆ แน่นๆ แบบคนออกกำลังกายของมันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หึ กูเล็งช่องว่างระหว่างกระดุมเม็ดที่สองกับเม็ดที่สามมานานแล้ววววววว
โห… ใจเต้นรัวไม่ตรงจังหวะจนแทบจะระเบิดออกมาจากอก
…ไม่ใช่ของมันนะ ของผมนี่แหละครับ! แง๊ ทำอะไรลงป๊ายยยยย
“เอ่อ…” ไอ้ทักก้มลงมองเสื้อกับหน้าผมสลับไปมา “เล่นอะไรเนี่ย”
“อย่าให้พูดมากได้มั้ยฮะ!” ผมยื่นจมูก “ไม่รู้หรือไงเล่า”
ไอ้ทักเบิกตากว้าง มันคงช็อคจริงๆ “นี่มึง…”
ผมพยักหน้าอีกรอบ พูดไม่ได้ พูดตอนนี้อ้วกเลย ใจเต้นแรงทำเอาท้องปั่นป่วนอย่างกับต้องการจะถีบน้ำย่อยออกมาทางปาก
“ถึงคิวของกูแล้วเหรอ…”
พยักหน้าครั้งที่สาม…
ไอ้ทักนิ่งไปเลย แถมยังจ้องเขม็งมาที่ตาผม ซึ่งตอนนี้ไร้ประกายแถมแข็งทื่ออย่างกับตาหุ่นบริทนี่ย์ สเปียร์ที่ทางเข้าสยามดิสฯ ฮืออออ จิตใจมันล่องลอยไปหมด วิญญาณถูกธรณีสูบไปแล้วเรียบร้อย
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเงียบ สงสัยอยากให้พูดจริงๆ ใช่มั้ยฮะ
เอาก็เอาวะ
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ
“นอนกับกู… นะ” ฮืออออออ แม่รู้ด่าตายเลยยยยย
สีหน้าไอ้ทักกลับไปเรียบนิ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น นิ่งแบบนิ่งสุดๆ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีการกวนตีนผ่านแววตา แล้ววินาทีนั้นผมก็รู้สึกว่าไอ้ผู้ชายที่เคยเล่นหัวเล่นหางกันแรงๆ ตรงหน้าดูดุขึ้นมาเฉยเลย แงงงง
“หึ” ไอ้ทักทำลายความเงียบด้วยการกระตุกยิ้มมุมปาก แต่มันแตกต่างจากที่เคยเห็นเพราะไม่มีแววหยอกล้อเลย “เล่นอะไรของมึงเนี่ย”
“หะ…หา?” ผมอ้าปากหวอ
“เลิกแกล้งกูได้แล้ว” ไอ้ทักไม่พูดเปล่า แต่ยังดึงมือผมออกมาจากเสื้อด้วย
ชุ่มเหงื่อไปหมดเลย…
“กูไม่ได้…”
“เป็นอะไรขึ้นมาฮะ? ก่อนหน้านี้ยังไล่เตะกันอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้ไม่เตะแล้ววว” ผมเดินเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายมากกว่าเดิม “จะนอน…”
ไอ้ทักแยกเขี้ยว “แต่กูไม่อยาก”
“มึงว่าไงนะ…” เหมือนฟ้าผ่ากลางกบาล ไม่เคยได้ยินคำพูดนี้จากใครมาก่อนในชีวิต
“กูไม่ใช่พวกกินทิ้งกินขว้าง ขอโทษด้วยนะ” มันทำท่าจะเดินหนีผมเลยวิ่งไปดักหน้ามันไว้
“แต่กูไม่ได้จะนอนทิ้งนอนขว้างนะ” ฟังกูอธิบายก่อนเซ่ “กูอยากจะนอนกับมึงแบบ…”
“…”
“แบบ… นอนตลอดไป”
“ตลกและไอ้เจี๊ยบ”
สรรหาคำไหนมาเรียกกูอีกล่ะ
“ทักนี่กูจริงจังนะ”
“แล้วมึงอยากจะนอนกับกูทำไม?”
“…”
“อย่าเงียบ ตอบมาให้ได้สิ”
จะให้ตอบว่ายังไงอะ ปกติผมชวนใครก็ไม่เคยพลาด เอ่ยปากทีนึงก็ตามต้อยๆ อย่างกับหมา แต่นี่อะไร อ้อนวอนจนแทบจะแบหลาไปกับพื้นก็ไม่มีผลอะไรสักอย่าง ฮืออออ ทำไมผมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยเนี่ย อย่างกับ…
อย่างกับผมชอบมัน…
บ้าหน่า อันนี้ข้ามขั้นเกินไปมั้ง ไม่จริงๆ กูจะชอบมันได้ยังง้ายยยยย
“ระวังเถอะ ทำแบบนี้เวลามึงอยากมีแฟนจะลำบาก”
“กูไม่ได้อยากมีแฟนสักหน่อย”
“มึงคิดว่าจะอยู่คนเดียวแล้วเปลี่ยนคนนอนกอดไปทุกๆ คืนงั้นเหรอ”
“นั่นแหละชีวิตในฝัน” คำพูดไอ้อู๋ลอยเข้ามาในหัวทันที ฮือออออ ไอ้เพื่อนรัก วันนี้กูเข้าใจแล้ว เตรียมรับดอกไม้ธูปเทียนขอขมาได้เลย ไอ้กุ้งสำนึกในบุญคุณแล้วววววว
“ว่าไง…” ไอ้ทักย้ำอีกครั้ง หน้าตารอคอยคำตอบเต็มที่
“กู…”
ชะ…ช่วยด้วย ผมขี้ขลาด ผมไม่สามารถพูดคำว่า ‘กูชอบมึง’ ออกไปได้ ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี
“มึงทำไม?”
“กู…” ผมรู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังจะคลอเบ้า “กูไม่รู้”
“เหอะ” น้ำเสียงนั้นเจือความผิดหวังได้ยินแล้วหดหู่เหี้ยๆ “อย่าทำแบบนี้กับใครอีก”
“…”
“คนอื่นเขาไม่ได้เป็นแบบมึงทุกคนนะ”
“…”
“เข้าถึงง่าย ไม่จริงจัง…” หน้าไอ้ทักมันดูดุซะจนต้องหลุบตาหนี “กูล่ะคนนึง”
เสียงเครื่องยนต์ของรถเก๋งคันหนึ่งทำลายการสนทนาของเราซะก่อน เสียงโหวกเหวกโวยวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อกระจกที่นั่งข้างคนขับถูกลดลง ดาวคณะสังคมฯ ผู้เป็นรองอันดับหนึ่งโผล่หน้าออกมายิ้มให้ พร้อมกับมีเสียงดนตรีซึ่งดังไม่แพ้ในอาคารลอยออกมาจากเครื่องเสียงในนั้น
“ทักกกกกก จะไปมั้ยเนี่ย” เสียงแหลมๆ นั้นตะโกนถาม
คนที่กำลังจ้องหน้าผมสะบัดหัวเหมือนกับไล่ความคิดตัวเอง แม้แววตานั้นจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่มันก็ยังคงไม่เหมือนเดิม
“พวกกูจะไปฉลองกันที่ร้านเหล้าหลังม.” ไอ้ทักพูดเสียงเรียบ “จะไปด้วยกันมั้ย”
ผมเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อก่อนจะส่ายหน้า “ไปไม่ได้หรอก รุ่นพี่ไม่ให้ไป”
ถึงไปได้ ก็ไม่มีอารมณ์จะเทเหล้าเข้าปากหรอก นอกจากเทใส่อ่างแล้วกระโดดลงไปอาบถึงจะสาสมกับความเศร้าตอนนี้
“อ่อ…” ไอ้ทักพยายามยิ้ม “กลับไปสนุกกับเพื่อนเถอะ มึงออกมานานแล้ว”
ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ ไอ้เดือนมันก็สะบัดตูดเดินไปที่รถเรียบร้อย แถมยังเข้าไปนั่งเบียดกับดาวสังคมอย่างสนิทสนมอีกตะหาก
ฮืออออ เห็นแล้วมันเจ็บจึ้ก น้ำตาไหลรินออกมาอีกสาย จนต้องเท้าแขนสะอื้นกับต้นไม้ เผื่อน้ำตาที่หยดลงมาจากแก้มจะตกสู่พื้นดินทำให้มันเจริญงอกงามต่อไป
ไอ้ทัก… คนแรกที่ปฏิเสธผม
ไอ้ทัก… คนแรกที่ทำให้ผมอกหัก
ไอ้ทัก… คนแรกที่ (เกือบจะ) ทำให้ผมไม่อยากไปนอนกับใครอื่นอีก ทุกอย่างรอบตัวผมเงียบสงัด จนทำให้ได้ยินเสียงเพลงในงานเฟรชชี่ไนต์ได้ชัดเจน
“…อยู่ดีๆ ก็หาย ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆ ก็นก…ฉันพลาดตรงไหน ถึงได้เดินจากไป ไม่บอกกันสักคำ…” โว๊ยยยยย เพลงบ้าอะไรวะเนี่ยยย ฟังแล้วเหมือนโดยหัวเราะเยาะใส่หน้า แค่นี้ยังทรมานไม่พอใช่มั้ยฮ้า!!
ใจร้าย ใจร้ายชะมัด ที่นี่มีแต่คนใจร้ายยยยยยยยยย
ผมนี่น่าสมเพชชัดๆ ไอ้กุ้งบางขุนเทียนคนนี้ต้องมาร้องไห้เพราะไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้แค่คนเดียว ปกติมีแต่คนมาง้อ ไม่ก็วิ่งตามเป็นพรวน ทำไมนะทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยยยยย ฮืออออ ชีวิตมหาลัยที่หวังว่าจะสดใสหายวับไปในพริบตาเลยยยยย ไหนล่ะที่เคยตั้งปณิธานว่าจะเปลี่ยนคนนอนกอดไปทุกคืนอย่างไม่สนหมาสนแมวใดๆ ไหนล่ะ!!… ฮือออออออ
เอ๊ะ…
ปณิธานงั้นเหรอ… ใช่สิ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดไม่ใช่หรือไง นอนกอดคนไม่ซ้ำหน้า ทุกคืน… ทุกคืน…
ผมตั้งสติ ปาดน้ำตาด้วยนิ้วชี้และสะบัดทิ้งลงพื้นอย่างกับมันเป็นของโสโครก
ใช่แล้ว กุ้งออริจินอลต้องไม่เสียน้ำตา กุ้ง…คนที่สดใสที่สุดในวิทยาเขตนี้จะร้องไห้ไม่ได้
บ้าเอ๊ย นี่กูมางอแงเป็นเด็กอยู่ตรงนี้ทำไม เสียเวลา!!
หึ กุ้งจะมาทวงทุกอย่างของกุ้งคืน!!! (มองกล้องสอง)
“แล้วมึงจะเสียใจที่ปฏิเสธกู”
ผมยิ้มให้กับอากาศ (อารมณ์พาไป) แล้วจัดการหันหลังก้าวขาสับๆ ตั้งใจจะกลับเข้าไปสแว๊กต่อด้านใน บอกเลย… ต่อจากนี้จะไม่มีวันเห็นผมได้เสียใจอีก!!
ผมถอดกิ๊บห้าตัวที่ติดอยู่บนหัวออกแล้วปามันลงพื้นอย่างไม่ใยดี จัดการขยี้ๆ ผมที่ลีบแห้งจนกลับมาฟูฟ่องเป็นรังนกอีกครั้ง ตาก็มองตรงอย่างแน่วแน่ประดุจน้องจิ้งจอกน้อยที่พร้อมจะออกล่า!!
“หลบ!!” ผมตะโกนใส่ไอ้พวกแก๊งเกียร์ที่ยืนขวาง ยังไม่ไปกันอีกเหรอวะ เกะกะจริงๆ เสียจังหวะการสับขาหมด
“จะรีบไปหาญาติมึงรึคร้าบบบ!!” เสียงหนึ่งในกลุ่มตะโกนไล่หลัง เมื่อผมกระแทกผ่านจนแตกฮือไปคนละทิศละทาง
ขวับ! โธ่นึกว่าจะแน่ ทีจ้องหน้าล่ะเงียบกริบกันทุกคน
พอกำลังจะเดินก็มีเสียงมาอีก “ทำเป็นมงทำเป็นมอง… เดี๋ยวปั๊ดจับบีบซะเลยนิ!!”
จริงๆ ตั้งใจจะเดินเข้างานไปแล้วนะ แต่พอได้ยินคำว่าบีบแล้ว…
“ไหน ใครจะบีบ” ผมกอดอกหันกลับมาจ้องหน้าพวกมันห้าตัวอีกครั้ง คราวนี้ตั้งใจมองทีละคนทีละคน
“มึงอะ” ไอ้เดือนวิศวะหัวโจกชี้ไปที่เพื่อน
“โยนขี้ทำไมอะ มึงแหละสัส”
“โธ่ไอ้ควาย มึงอะ…”
“มึง…”
“เงียบ!” เถียงกันทำไมวะ หนวกหู “ขอถามครั้งสุดท้ายว่าใคร”
พวกมันมองหน้ากัน ก่อนจะเป็นไอ้เดือนที่ยกมือขึ้นหนีบๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ
“…”
ก็โอเค้ ถือว่าใช้ได้…
“เอาไลน์กูไป” เหมือนคำพูดผมทำมันสตั๊นท์ “เอ๊า! ชักช้าทำไมอะ! ไม่อยากได้ไง๊!?”
“ยะ…อยากๆๆๆ” ไอ้เดือนวิศวะล้วงกระเป๋าหามือถือพัลวัน มือไม้แทบจะพันกันยุ่งไปหมด ลำบากขนาดเพื่อนมันยังต้องยื่นมือมาช่วย
“เร็วๆ ดิ”
“อยู่ไหนวะ”
“ทำหายเหรอสัส”
“พวกมึงก็ช่วยกูเซ่”
หึ มองไอ้พวกนี้แล้วอยากจะขำ แต่ก็สะใจดี
ได้เลยไอ้ทัก บอกเลยนะ… ถ้าไม่รักก็จะร้าย จำไว้!!
ไม่ได้ร้ายอย่างเดียว แรดด้วยยยยยยยยยยยย
(เกิดความเคลื่อนไหวล่าสุด)*
ใครเคยนอนกับกุ้งบ้าง?
[กระทู้หนึ่งในกรุ๊ป Facebook เฟรชชี่รหัส 61 มหาวิทยาลัยXX]
เม้นท์ที่ห้าร้อยยี่สิบ
บรรลุแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
- หนุ่มบัญชี (เจ้าเดิม)
DewsX
…อะไรยังไงครับเนี่ย
เม้นท์ที่ห้าร้อยยี่สิบสอง
วิศวะตอก เอ๊ย… ปักหมุดเรียบร้อยแล้วครับ
DewsX
แรง… แรงมากๆ
เม้นท์ที่ห้าร้อยยี่สิบสี่
นิเทศยกมือ
DewsX
แรงสุดๆ …
เม้นท์ที่ห้าร้อยยี่สิบหก
มนุษย์จีนก็สบายตัวแล้วเรียบร้อย
DewsX
ปวดใจ U_U
เม้นที่ห้าร้อยยี่สิบแปด
เภสัชร่วมลงชื่อ สดๆ ร้อนๆ
DewsX
เฮ้ยยยยยยยยย ได้ไงอะ
เพิ่งเปิดเทอมได้อาทิตย์เดียวเองนะ กุ้งแม่งโคตรใจร้ายยยยยยยยย
“เมี้ยววววว”
“แง๊วววว” “เมี้ยวววววว”
“แง๊วววววว” “เมี๊ยว…”
“ถ้าไม่เลิกร้องกูจะเตะทั้งคนทั้งแมวให้ดิ้นเลย” ไอ้อู๋ตบะแตก “เงียบๆ ดิ คนกำลังใช้สมาธิเห็นมั้ยฮะ!!”
ผมเบ้ปากใส่เพื่อนรัก แต่มันก็ไม่คิดจะหันมามองเลยด้วยซ้ำ แม่งงงงก็เล่นแต่เกมกันทั้งก๊กแบบนี้ คนที่ไม่ติด ROV อยู่คนเดียวอย่างผมจะทำอะไรได้ นอกจากเอาหลอดเขี่ยจมูกน้องแมวที่เข้ามาคลอเคลียแก้เหงาแบบนี้เล่า
“พวกมึงงงง” ผมอุ้มน้องมาไว้บนตัก พร้อมทั้งเขย่าตัวออดอ้อนเพื่อนๆ “กลับหอกันเถอะ กูง่วงงงง”
“ใครใช้ให้มึงไปแรดทั้งวันทั้งคืนล่ะ” ไอ้อู๋พูดส่งๆ ใจยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอ แบ่งประสาทได้ยังไงวะเนี่ย
“พวกมึงเล่นแต่เกมสนใจกูบ้างสิ นี่ก็จะครึ่งชั่วโมงแล้วน้า กลับกันเห้ออออ”
“เดี๋ยว…” มุนินส่งเสียง
“เร็วๆ สิ”
“เดี๋ยว…”
“เดี๋ยวอ่ะอีกนานมั้ยฮะ!”
“เดี๋ยวกูได้ตาย!” ไอ้ตุ๊ดแฟชั่นกระแทกมือถือลงกับโต๊ะแบบไม่แคร์ราคา “กูว่าแล้ววววไอ้สัสอู๋”
“ใครใช้ให้มึงไปอยู่ในดงตีนล่ะอีควาย”
เอ๊า ก็นึกว่าพูดกับกู แงงงงง
“แล้วมึงจะงอแงทำไมนักหนาฮะกุ้ง” มุนินเท้าเอว “รีบก็กลับไปก่อนเลยไป๊”
“โหยยยยย ไม่อยากเดินคนเดียว”
“เป็นบ้าอะไร คนอย่างมึงไม่กลัวโดนฉุดอยู่แล้วนี่”
“มึงก็พูดไปเรื่อย” ผมเท้าคางอย่างเซ็งโลก “แล้วนี่หยากไย่หายไปไหนของเค้า เลิกเรียนก็ไม่เห็นเลย”
“โอ๊ย รายนั้นพอหมดคาบปุ๊บก็ขับรถไปหากิ๊กที่รังสิตแล้ว เป็นเพราะมึงแหละจ้ะ”
“เกี่ยวอะไรกันวะ” โยนขี้ที่กูอีกละ
“คนที่นี่เขาไม่เอาดาวมหาลัยกันไงจ๊ะ”
“ทำไมอะ…” ผมหรี่ตาสงสัย
“เขาจะเอามึงกันไง! อีไย่อยู่ไปก็เหี่ยวแห้ง สู้ไปหาเหยื่อที่อื่นให้คุ้มดีกว่า”
“บ้า มึงก็พูดเกินไป” ได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม อิๆ
“ทำหน้าทำตา… เดี๋ยวกูจะเอาน้ำกรดสาด” อีมุนินง้ามมือขึ้นสูง แต่โชคดีที่ตัวละครมันเกิดใหม่อีกครั้งก็เลยเลิกสนใจผมไป
เอออออ เล่นให้ตายไปเลยนะพวกมึง เอาให้มันได้ไปแข่งระดับโลกเลย จริงจังกันชิบหาย
“งั้นกูไปก่อนนะ”
“…” เงียบทุกตัว…
“งั้นกูไปก่อนนะ!”
ไอ้อู๋รำคานจนต้องเงยขึ้นมามอง “จ้าๆ กลับดีๆ นะ ไว้เจอกันจ้าเพื่อนรัก”
ผมฟึดฟัดอุ้มน้องแมวตัวอ้วนขึ้นมาแล้วเดินออกจากร้านอาหาร ตอนนี้ผมอยู่ในอาคารที่เรียกว่า ‘พลาซ่า’ มันไม่ใช่ห้างหรอกครับ แต่นิสิตต่างจังหวัดอย่างพวกเราจะเลือกอะไรได้ แค่มีสถานที่รวมแหล่งร้านอาหาร ขนมหวาน และชาบูบุฟเฟ่ต์ในราคาย่อมเยา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“กลับไปอยู่กับเพื่อนๆ น้า เดี๋ยวมาเล่นด้วยใหม่” ผมปล่อยน้องแมวเข้าป่า มองมันเดินหายไปในโพรงหญ้าอย่างงงๆ ด้วยความชื่นใจ ดีแล้วววว อยู่ในที่ของตัวเองนะลูก ขึ้นไปเล่นที่ร้านอาหารเดี๋ยวเค้าตีเอา
ผมคว้าแว่นกันแดดสีแดงขึ้นมาใส่ ส่วนหนึ่งเลยก็เพราะอากาศร้อน อีกส่วนก็คือไม่อยากจะสบตาใคร การเห็นทุกอย่างเป็นสีดำครึ้มๆ แบบนี้มันเพิ่มความมั่นใจได้เต็มที่ เวลาโดนจ้องมาจะได้ทำเป็นหยิ่งๆ เพิ่มความเข้าถึงยากให้ดูร้อนแรงเล่นๆ
โอ๊ยยยยย หอในที่รัก ไม่ได้นอนที่นี่เกือบอาทิตย์เห็นจะได้ หลังจากที่ไปดุ๊กดิ๊กซุกซนหอนั้นหอนี้ไม่ขาด จะมีบ้างที่แวะเข้ามาเอาเสื้อผ้าตอนกลางวัน แต่ก็ไม่เจอปราโมทย์เลยสักที
ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนมันนะ ไอ้ทักอะ… ถึงจะเจอก็ไม่พูดด้วยหรอก ไม่มีนโยบายเสวนากับคนใจร้าย
ถึงแล้วห้อง 319
ผมคว้าลูกบิดประตูก่อนจะกระชากมันออกมาอย่างแรง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบนั่งสลอนอยู่ที่หน้าจอทีวี ไม่ได้สังเกตเลยด้วยว่าผมกำลังยืนอยู่ตรงนี้
เดี๋ยวนะ ขอถอยมาถอดแว่นดูเลขห้องอีกที…
เอ๊า ก็ถูกแล้วนิ
“มาจากไหนกันอ่า”
สายตานับสิบคู่จ้องมาทันทีเมื่อผมส่งเสียงถาม
“ไอ้สัสเก๋า ลุกมาจากเตียงเค้า!”
คนที่โดนเพื่อนเรียกกระโดดออกมาจากเตียงฝั่งผมอย่างร้อนลน พอมันลุกออกไปก็ทำให้ผมเพิ่งเห็นว่ามีผ้านวมสีเขียวม้าผืนใหญ่ทับผ้าปูลายน้องไก่ของผมไว้ซะมิดชิดจนนึกว่าไม่ใช่เตียงตัวเอง ฝีมือใครวะ เดี๋ยวต้องเคลียร์
ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งประตูระเบียงถูกเปิดออก ปราโมทย์ยิ้มร่าแถมมาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่เช่นเคย
“อ้าว ไม่เจอกันนานเลยกุ้ง” หนุ่มจืดดีดนิ้วใส่เพื่อนๆ “หมดเวลา เจ้าของห้องเขามาแล้ว กลับห้องของพวกมึงไปสักที”
เงียบ… พวกนั้นเอาแต่จ้องผม ไม่มีใครคิดจะกระดิกซักตัว มีแต่เสียงเกมบอลดังเป็นแบ็คกราวด์
“เฮ้ย!!” โมทย์ใช้แรงเฮือกใหญ่
“กูบอกให้กลับไปได้แล้วสัส!” พวกหนุ่มพละทำหน้าจ๋อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินผ่านผมไปทีละคนๆ ด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัว เอาซะนึกว่าเพิ่งไปปฏิบัติธรรมมา แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กที่รั้งท้ายแถวไม่ค่อยอยากจะออกไปเท่าไหร่ คนเดียวกันกับที่นอนเตียงของผมนั่นแหละ
“เก๋า… ไม่ใช่ตอนนี้”
“อะไรเหรอ…” ผมหันไปถามโมทย์
“มันอยากเซลฟี่กับกุ้ง มาถามหากุ้งกะเราทุกวันเลย”
“อ่อ…” ผมยิ้มให้กับแฟนคลับ “ไว้วันหลังน้าเราง่วงมากเลย ดูตาเราสิ ถ่ายไปก็ไม่น่ารักหรอก”
พออีกฝ่ายเห็นผมถอดแว่นก็พยักหน้า นี่ไม่คิดจะพูดกับกูสักคำเลยเหรอครับ แงงงง
“สัญญา คราวหน้าเห็นที่ไหนเรียกได้ทันที”
เด็กพละชื่อเก๋าชูนิ้วก้อยขึ้นมากลางอากาศ คือไรอะ… จริงจังไปมั้ย
อะเอาเถอะ ยอมเกี่ยวก้อยก็ได้ ถือว่าเป็นเรื่องขำๆ นานๆ จะเจอแฟนคลับสายน่ารัก สบายใจกว่าพวกฮาร์ดคอร์เยอะเลย
“ไม่เจอหลายวันเลยนะกุ้ง” ปราโมทย์ชวนคุยหลังจากที่เก๋าออกไปจากห้องแล้ว
“คิดถึงล่ะสิ”
“คิดถึงสิ แต่มีคนนึงน่าจะคิดถึงมากกว่าเรานะ มานอนกับเราทุกคืนเลย ไม่รู้ดักรอเจอกุ้งหรือเปล่า”
“ใคร…” ยังถามไม่ทันจบ ตาก็เหลือบไปเห็นคนที่นอนอ้าซ่าอยู่บนเตียงซะก่อน กระดุมเสื้อเชิ้ตก็ไม่ติด โชว์ซิกแพ็คหราไม่แคร์สายตาใครเลย นี่ถ้าเป็นคนแรงๆ จะกระโจนลงไปเอาหน้าถูไถเป็นเครื่องปัดน้ำฝนแล้วนะ
แต่โชคดีที่ผมไม่ได้แรงขนาดนั้น ก็เลยได้แต่ยิ้มเขินๆ
“เฮ้ยมึง!” โมทย์ใช้เท้าเขี่ยไอ้คนที่หลับปุ๋ยหันหน้าเข้ากำแพง คนโดนปลุกงัวเงียส่งเสียงครางเล่นเอาผมขนลุก “กุ้งมาแล้ว…”
“อื้มมมม อย่าหลอกกกก” ร่างใหญ่นั้นยังไม่ตื่น แถมยังบิดขี้เกียจด้วยการเบียดสะโพกเข้ากับกำแพง อู้ววว เผ็ดร้อน
“หลอกบ้าอะไรล่ะ” โมทย์เตะเข้าให้อีกที “แหกตูดดูสิสัส!!”
คนบนเตียงยกหัวขึ้นพร้อมกับหรี่ตามองมาทางนี้ ความปลาบปลื้มหายไปทันทีเมื่อผมเห็นว่าเป็นใคร
ไอ้ทัก…
เหี่ยว… รู้สึกได้เลยว่ามีอะไรกำลังเหี่ยว อาจจะเป็นใจของผมแน่ๆ...
[อ่านต่อด้านล่าง]