ตอนที่ 25
ผมยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องนอน มองไปยังหน้าบ้าน เห็นร่างคุ้นตายืนอยู่ที่หน้ารั้วพยายามที่จะชะเง้อมองเข้ามาในบ้าน สักพักผมเห็นเฮียเดินออกไปก่อนที่จะไล่ตะเพิดคนรักของผมให้กลับไป ผมเห็นอินพยายามที่จะเจรจา แต่กลับโดนเฮียตวาดเสียงดังจนผมได้ยินเสียงมาถึงข้างบนนี่ อินยืนรี ๆ รอ ๆ อยู่สักครู่ก็ยอมถอย แต่ก็เพียงแค่กลับไปยังรถที่จอดไว้เท่านั้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมละสายตาจากรถของอินและความคิดที่ว่าจะแอบปีนหน้าต่างลงไปอย่างไง ได้ยินเสียงไขกุญแจก่อนที่ม้าจะยกถาดใส่อาหารเข้ามา
“กี้ กินข้าวเถอะลูก ม้าทำแต่ของโปรดของกี้ทั้งนั้นเลยนะ”
ผมขยับตัวไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือที่ตอนนี้กลายเป็นโต๊ะกินข้าวของผมไปแล้ว เฮียกรบ้าอำนาจขังผมไว้ไม่ยอมให้ผมออกจากห้องเมื่อรู้ว่าอินมารอพบผมอยู่ที่หน้าบ้านไม่ยอมไปไหน นี่ก็ผ่านมา 2 วันแล้วนับจากวันที่เฮียพาตัวผมกลับมา
เมื่อวานอินพาอานพกับอานงค์มาที่บ้าน ตอนแรกเฮียไม่ยอมให้เข้าบ้านด้วยซ้ำ แต่โดนป๊าดุว่าไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ก็เลยต้องยอมให้ครอบครัวของอินเข้ามาคุยในบ้าน ผมถูกเฮียจับขังไว้บนห้องแถมยังยึดกุญแจไปไม่ยอมให้แม้แต่กับม้า ได้แต่นั่งกระวนกระวายใจเดินวนไปวนมาจนพื้นบ้านแทบจะสึก ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมจึงได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว วิ่งไปดูที่หน้าต่างก็เห็นอินเดินคอตกกลับไปกับพ่อและแม่ ผมได้แต่รอด้วยความอยากรู้แทบขาดใจว่าอินพาพ่อแม่มาคุยว่ายังไง รอจนในที่สุดม้าก็เปิดประตูเข้ามา ถึงได้รู้ว่าอานพและอานงค์พยายามจะช่วยพูดกับเฮียเรื่องของผมกับอิน ขอให้พวกเรา 2 คนได้คบกัน เพราะในเมื่อผู้ใหญ่ทั้ง 2 บ้านยอมรับความสัมพันธ์นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และอานพอานงค์ก็เอ่ยปากว่ารักผมไม่ต่างจากลูกตัวเองเลย แต่มีหรือที่เผด็จการแบบเฮียจะยอม เฮียตอกกลับอานพกับอานงค์ไปว่าเลี้ยงลูกอย่างไงถึงได้โตมาเป็นเกย์ แล้วยังมาทำให้ลูกคนอื่นต้องพลอยเสียคนไปด้วย ผมฟังแล้วยังโมโหแทน ไม่รู้ว่าอานพใจเย็นไม่ลุกขึ้นมาชกเฮียสักหมัดได้อย่างไง
คิดแล้วก็กลุ้มใจ ทำไมเฮียถึงได้ใจร้ายใจดำได้ขนาดนี้นะ นี่ก็เอากุญแจมาล๊อคห้องผมไว้จากข้างนอก เดือดร้อนม้าต้องไปตามเอากุญแจมาเปิดเพื่อจะเอาข้าวเข้ามาให้ผมกินทุกมื้อ
“น่ากินทุกอย่างเลยม้า”
ผมมองกับข้าวที่ม้าตั้งใจทำมาให้ผม มีแต่ของชอบของผมอย่างที่ม้าบอก ม้าคงอยากจะปลอบใจผมที่ต้องทนอุดอู้อยู่บนห้องไม่ได้ไปไหน
“น่ากินก็กินเยอะ ๆ”
“ฮะ กี้จะกินให้หมดเลย” ผมยิ้มน้อย ๆ เพื่อให้ม้าดีใจ
“เห็นกี้ยังกินได้แบบนี้ม้าก็คงโล่งใจ” ม้าลูบหัวผมแล้วส่งยิ้มละมุนให้
“ม้านึกว่ากี้จะตรอมใจที่โดนเฮียกีดกันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเหรอ กี้คิดได้ละม้า กี้จะต้องกินให้มีแรงไว้ก่อน เกิดอะไรขึ้นจะได้มีแรงไปสู้กับคนใจร้ายได้”
คนอะไรบ้าอำนาจเหลือเกิน คอยดูนะ ผมไม่ยอมแพ้หรอก ฮึ พูดแล้วก็โมโห ผมตักผัดกุ้งกระเทียมเข้าปากแล้วเคี้ยว ๆ ด้วยแรงโมโห
“โถ กี้ เฮียเค้าก็แค่หวังดี” ม้าวางมือบนบ่าของผม
“เหอะ หวังดีเหรอม้า เฮียเค้าแค่คิดถึงแต่หน้าตัวเองมากกว่า” ผมเบ้ปาก วางช้อนที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากลง
“ม้า” ผมจับมือม้าที่วางอยู่บนบ่าแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าม้า “กี้ถามจริง ๆ นะ ป๊ากับม้าอายมากไหมที่มีลูกเป็นแบบกี้”
ผมเม้มปากก่อนจะถามต่อ “ป๊าม้าอายญาติ ๆ หรือว่าคนอื่นเรื่องที่กี้รักกับผู้ชายเหมือนกันบ้างไหม”
ม้ายังคงยิ้มให้ผมก่อนจะดึงให้ผมซบที่อก ปลอบโยนผมด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนของแม่
“กี้ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก พอป๊าเอาจริง พวกญาติ ๆ ก็ไม่มีใครกล้าหือกับป๊าหรอก ป๊าม้าไม่อายหรอกนะ ก็ลูกของม้าไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีนี่ กี้ของม้าแค่มีความรัก เพียงแต่เป็นความรักในแบบที่อาจจะดูแตกต่างในสายตาคนอื่นสักหน่อย คนอื่นเค้าก็เลยยังไม่ชิน”
“เหมือนอย่างพวกญาติ ๆ เราใช่ไหมม้า”
ตอนนี้เฮียยึดโทรศัพท์มือถือของผมไปแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ความเคลื่อนไหวในไลน์กรุ๊ปวงค์ตระกูลตั้งวัฒนาพานิชอีก
“อีกหน่อยพวกเค้าก็จะเข้าใจเองแหละลูก”
“กี้ขอโทษนะม้า” ผมเอ่ยเสียงอ่อย ๆ
“เรื่องเฮียก็เหมือนกัน ป๊าเค้าก็ช่วยคุยอยู่นะ กี้อดทนรออีกหน่อย”
“ขอบคุณนะครับ”
ผมสวมกอดม้า รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่อย่างน้อยมีป๊าม้าที่เข้าใจและยอมรับตัวผม
เสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านดึงความสนใจของผมกับม้า ผมจึงลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่างก็เห็นเฮียเดินออกไปรับซ้อเหมยให้เข้ามาในบ้าน ผมหันไปบอกกับม้า
“ซ้อเหมยมาน่ะม้า”
“งั้นเดี๋ยวม้าลงไปหาเหมยก่อนนะ”
“กี้ลงไปด้วยสิม้า” ผมขอตามลงไปด้วย อยู่บนห้องมา 2 วันเต็ม ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ซ้อเหมยมาแบบนี้เฮียคงไม่กล้าว่าอะไรผมหรอก
“นะม้านะ กี้เบื่อที่ต้องอยู่บนห้องแล้ว” ผมใช้ลูกอ้อนตื้อม้าให้พาผมลงไปด้วย
“ป่ะ งั้นลงไปหาซ้อกัน”
ผมเดินตามม้าลงมาจากชั้น 2 เจอคนอื่น ๆ กำลังนั่งคุยกันในห้องรับแขก ผมเดินเข้าไปหาพี่สะใภ้คนสวยทันที
“ซ้อเหมย หวัดดีครับ”
“กี้ ใครให้แกลงมา” เฮียทำท่าไม่พอใจทันทีที่เห็นผมออกจากหน้า ผมเห็นเฮียเหลือบไปมองที่ประตูหน้าบ้าน คงกลัวว่าผมจะออกไปหาอิน
“ม้าให้น้องลงมาเอง เรามันก็เกินไปนะกร” ม้าเดินเข้ามาปรามก่อนจะดึงผมให้ไปนั่งด้วยกันบนโซฟา
“นั่นสิเฮีย จะขังน้องไว้บนห้องหรือไง นี่น้องนะเฮีย”
ซ้อเหมยพูดเสริมหันไปว่าสามีตัวเอง ผมได้ทีก็เลยแกล้งทำเสียงเศร้าบอกกับซ้อ
“เฮียเค้าคงไม่อยากมีน้องอย่างกี้แล้วมั้งซ้อ”
“แกกลับขึ้นไปบนห้องเดี๋ยวนี้เลยกี้” เฮียหันมาดุผมตาเขียว ผมได้แต่ทำหน้างอ
“ให้น้องมันอยู่นี่แหละ ใจคอจะขังมันไปถึงเมื่อไหร่”
ป๊าปรามเฮียเสียงนิ่ง ๆ ซ้อเอื้อมมือมาแตะที่มือผม
“ใช่ กี้อยู่กับคุยกับซ้อก่อน”
“เหมย เหมยก็เห็นว่าไอ้อินมันอยู่ที่หน้าบ้าน รีบให้กี้มันขึ้นไปบนบ้านน่ะดีแล้ว” เฮียกรฮึดฮัดไม่พอใจที่ไม่มีใครเข้าข้าง เมื่อทำอะไรป๊าไม่ได้ก็หันมาโวยวายใส่เมียตัวเองแทน
“แล้วยังไงละเฮีย ก็อินเค้าก็มาหาแฟนเค้า เฮียนั่นแหละทำไมไม่ยอมให้เค้าเขามาดี ๆ”
“เหมย นี่เหมยเข้าข้างมันเหรอ”
“เหมยไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น เหมยแค่เห็นว่าการที่เด็กมันรักกันก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน ทำไมเฮียจะต้องทำตัวเจ้ากี้เจ้าการแย่งไม่ให้คนรักเค้าเจอกันด้วย”
ซ้อถอนหายใจก่อนจะกรอกตามองสามีหัวแข็งของตนที่ดื้อเหลือเกิน
“แต่มันเป็นผู้ชายเหมือนกันนะเหมย มันผิดเพศ เฮียยอมรับไม่ได้”
“เฮียฟังเหมยนะ ถึงกี้มันจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของกี้ เฮียไม่มีสิทธิ์ไปกะเกณฑ์ให้น้องมันต้องเป็นแบบที่เฮียต้องการ”
“แต่มันทำให้ป๊าม้าขายขี้หน้า เหมยก็เห็นว่าพวกญาติ ๆ ว่าอย่างไง มีแต่คนมาว่าป๊าม้า เฮียทนไม่ได้”
“เฮียทนไม่ได้เพราะเฮียรู้สึกเสียหน้าเองหรือเปล่า เหมยไม่เห็นป๊าม้าจะเดือดร้อนอะไรเลย”
ผมนั่งมองสองสามภรรยาเถียงกันเรื่องของผมกับอินอย่างดุเดือด เห็นได้ชัดว่าซ้อเหมยเข้าข้างพวกผมเต็มที่ พอเฮียทำท่าจะสู้เมียตัวเองไม่ไหวก็อ้างป๊าม้า แต่บอกเลยว่างานนี้ไม่ได้เป็นแบบที่เฮียหวังหรอกครับ เพราะคำพูดของป๊าต่อมาทำเอาเฮียถึงกับหน้าหงาย
“เหมยพูดถูก ป๊าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ป๊าจัดการได้ ใครมันจะว่าอะไรก็ช่างมันสิ ป๊าไม่ได้ขอเงินพวกมันใช้สักหน่อย”
“ป๊า ก็เพราะป๊าม้าให้ท้ายกี้มันแบบนี้ไง มันถึงได้เสียคนแบบนี้”
“มันจะเกินไปแล้วนะกร” ป๊าดุเฮียเสียงเข้มเมื่อเห็นเฮียเอาแต่โวยวายเสียงดังไม่หยุด
ซ้อเหมยดึงมือเฮียไว้แล้วลูบเบา ๆ คงเพื่ออยากจะให้เฮียสงบอารมณ์ลงบ้าง
“เฮียลองคิดดูนะ ถ้าหากตอนที่เฮียคบกับเหมยแล้วมีคนบอกว่าเราไม่เหมาะสมกัน โดนป๊าม้ากีดกันให้เราเลิกกันให้ได้ เฮียจะยอมเลิกกับเหมยไหม”
“มันไม่เหมือนกันนะเหมย มันจะเป็นแบบนั้นได้ ก็เหมยเป็นผู้หญิง แต่ไอ้อินมันเป็นผู้ชาย”
“ก็แล้วมันต่างกันตรงไหนละเฮีย ผู้หญิงผู้ชายมันก็คนเหมือนกัน มีความรักได้เหมือนกัน”
“ไม่ มันไม่เหมือนกัน” เฮียส่ายหัวไม่ยอมรับ
“ไม่เหมือนอย่างไงเฮีย”
ซ้อเหมยจ้องหน้าเฮีย ผมเห็นเฮียเม้มปากแน่นก่อนจะหาเหตุผลมาตอบ
“ก็...ผู้ชายคบกับผู้ชาย มันก็ไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุลสิ”
“โธ่ เฮียไม่ต้องไปยุ่งเรื่องกี้มันจะมีลูกมีหลานหรือเปล่าหรอก ห่วงตัวเฮียเองก่อนไหม” ซ้อเหมยถอนหายใจก่อนจะยิ้มอ่อน
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเฮียเกิดไม่มีลูกจะทำอย่างไง ตระกูลเราก็จะจบแค่นี้เหรอ”
“ถ้าเฮียจะเป็นห่วงเพราะเรื่องแค่นี้ เฮียไม่ต้องห่วงแล้ว เหมยมาหาก็เพราะมีเรื่องอยากจะบอกเฮีย เมื่อกี้เหมยเพิ่งไปโรงบาลมา” ซ้อเหมยกุมมือเฮียกรเอาไว้ก่อนจะยิ้มให้ “หมอบอกเหมยท้องได้ 4 สัปดาห์แล้ว”
“หา จริงเหรอเหมย”
ผมเห็นเฮียตาเป็นประกายก่อนจะยิ้มกว้างแบบที่ไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว พวกผมก็พลอยยินดีไปด้วยเมื่อได้รับข่าวดี
“จริงสิ ที่นี้เฮียก็จะมีลูกสมใจแล้วนะ”
“เฮียดีใจที่สุดเลยเหมย” เฮียเขยิบเข้าไปใกล้ซ้อแล้วโอบกอดซ้อด้วยความดีใจ
“ถ้าอย่างงั้นเฮียก็ยอมให้กี้กับอินคบกันเถอะนะ”
“มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ละเหมย”
คิ้วเฮียขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินซ้อยังไม่เลิกล้มความพยายามเรื่องของผม ส่วนผมก็นั่งลุ้นจนตัวเกร็ง
“อ้าว ก็การที่เฮียไปขัดขวางความรักของน้องเนี่ยมันบาปนะเฮีย ระวังเถอะบาปกรรมมันจะมาถึงลูก”
“เหมย อย่ามาล้อเล่น” ผมเห็นเฮียเริ่มหน้าเสีย ซ้อได้ทีก็รีบพูดต่อ
“เหมยไม่ได้ล้อเล่น นี่เหมยพูดจริง ๆ นะเฮีย พรากคนรักจากกันมันบาปกรรม เฮียไม่กลัวใครจะมาพรากลูกพรากเหมยไปจากเฮียบบ้างเหรอ ปล่อยกี้มันไปเถอะนะ น้องมันโตแล้ว”
เฮียกรนั่งนิ่งไป สีหน้าหนักใจแต่ก็ไม่ได้พูดแย้งอะไรต่อ เห็นแบบนั้นซ้อก็เลยหันมาบอกกับผม
“กี้ ออกไปหาอินเถอะ พาอินเข้ามาคุยกันในบ้าน”
ผมเหลือบมองพี่ชายตัวเองที่ทำท่าเหมือนกำลังจะอกแตกด้วยความไม่แน่ใจ ถ้าพาอินเข้ามาแล้วเฮียจะไม่อาละวาดทำร้ายคนรักของผมใช่ไหม
“รีบพาอินมาสิกี้”
ม้าคะยั้นคะยอ ส่วนป๊าก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ผมยิ้มให้ทุกคนก่อนจะรีบลุกไป วิ่งตรงไปเปิดประตูรั้ว อินที่คงเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของบ้านผมอยู่ตลอดรีบเปิดประตูรถวิ่งมาผมเช่นกัน ผมกระโดดกอดอินซุกหน้ากับอกของมัน อินกอดรัดผมเต็มแรงเหมือนกัน เราสวมกอดกันจนพอใจก็ผละออกจากกัน อินจับไหล่ผมไว้ทั้ง 2 ข้างกวาดสายตาสำรวจไปทั่วตัวผมก่อนจะยิ้มกว้าง
“ทำไมกี้ออกมาได้แล้ว เฮียยอมแล้วเหรอ”
“ไม่ยอมก็เหมือนยอมแล้วละ”
อินย่นคิ้วทำหน้าสงสัย ผมหัวเราะก่อนจะรีบดึงมืออินให้เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน
พอเข้าไปก็เห็นเฮียนั่งหน้าหงิกเป็นตูดด้วยมีซ้อเหมยนั่งอมยิ้มคล้องแขนอยู่ข้าง ๆ ส่วนป๊าม้าก็กวักมือเรียกพวกผมให้ไปนั่งด้วยกัน ผมพาอินไปนั่งที่โซฟา ส่วนผมก็นั่งบนที่เท้าแขน
“ไม่ต้องนั่งใกล้กันขนาดนั้น” เฮียหันมองพวกผมตาแทบจะลุกเป็นไฟ อินเหลือบมองหน้าผมด้วยความไม่แน่ใจ
“เฮีย ก็คนเค้าเป็นแฟนกันนะ” ซ้อลูบแขนให้ใจเย็นก่อนจะส่งยิ้มมาให้
“เฮียเค้ายอมให้กี้กับอินคบกันแล้วนะ”
“จริงเหรอครับ”
อินยิ้มกว้างก่อนหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้ ในใจรู้สึกพองโตไปหมด
“ขอบคุณนะครับเฮีย”
คนรักของผมยกมือไหว้เฮีย แต่เฮียกลับมองด้วยหางตาก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างหัวเสีย
“มึงต้องทำตามที่มึงเคยพูดไว้ให้ได้ ว่าจะไม่ทำให้น้องกูเสียใจแล้วก็จะปกป้องไม่ให้ใครมาดูถูกหรือทำร้ายน้องกูได้”
“ครับ”
อินตอบรับอย่างแข็งขัน อินดึงมือผมไปกุมกระชับมั่น
“จะทำอะไรก็อย่าให้มันประเจิดประเจ่อ เฮียไม่ชอบ”
เฮียจ้องมือที่กุมกันอยู่ของพวกผมตาแทบถลน แต่มีเหรอผมจะสนใจ ก็เฮียยังสวีทกับซ้อให้ผมเห็นบ่อย ๆ กับอีแค่จับมือกันเนี่ยมันคงไม่ปาดตาเท่าไหร่หรอก
“กลับบ้านเราเถอะเฮีย”
ซ้อเหมยส่ายหน้าระอาในสามีตัวเอง ก่อนจะชวนให้เฮียที่มาเฝ้าผมอยู่หลายวันกลับบ้านด้วยกัน
“แต่ว่า...” ผมยังเห็นเฮียมองผมกับอินด้วยสาบไม่ไว้ใจ แต่ซ้อก็ยังมีวิธีทำให้เฮียยอมแต่โดยดี
“หรือว่าเฮียอยากจะให้เหมยขับรถกลับเอง เฮ้อ ท้องอ่อน ๆ ยิ่งเวียนหัวบ่อยด้วยสิ”
“เดี๋ยวเฮียขับเอง เหมยไม่ต้อง”
เฮียรีบแย่งกุญแจรถมาจากเมีย ซ้อเหมยยิ้มอย่างเป็นต่อก่อนจะจูงมือสามีกลับบ้าน
“ซ้อเหมยท้องเหรอ”
อินหันมาถามผมเมื่อเฮียกรกับซ้อเหมยกลับไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนป๊าก็ขอตัวไปดูปลากัดลูกรักที่หลังบ้าน ส่วนม้าก็เตรียมไปทำกับข้าวมื้อใหญ่ฉลองให้ผมกับอิน
“อือ เพราะหลานคนนี้แหละเฮียถึงยอมให้เราสองคนคบกัน”
ผมหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นอินทำหน้างง ๆ ก่อนจะลุกไปนั่งโซฟาตัวที่ว่างแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ถ้าอย่างงั้นกูจองตั๋วเครื่องบินของพรุ่งนี้เลยนะ”
“จะกลับพรุ่งนี้เลยเหรอ ขอกูอยู่บ้านต่ออีก 2-3 วันไม่ได้เหรอ แล้ววันอาทิตย์เราค่อยกลับ” ผมต่อรองเมื่ออินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดจองตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพ
“กลับได้แล้ว นี่ก็โดดเรียนมาหลายวันละ นี่ยังดีที่มีวิชาที่เช็คชื่อแค่วิชาเดียว ส่วนเรื่องเลคเชอร์กูขอให้ชมพู่กับมายช่วยจดไว้ให้แล้ว อ่านวันเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะตามทัน”
“โอ้ย นี่มึงยังคิดเรื่องเรียนอีกเหรอ”
ผมโอดครวญ นี่ใจคออินมันจะเรียนเอาเกียรตินิยมเลยใช่ไหมครับ เวลาแบบนี้ยังจะคิดถึงแต่เรื่องเรียนอีก
อินมองไปรอบ ๆ ก่อนจะขยับเข้ามานั่งใกล้ผม มันโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
“กูอยากอยู่สองต่อสองกับมึงเร็ว ๆ ตั้งหาก คิดถึงมึงจะแย่แล้วรู้ไหมกี้”
ไม่ต้องส่องกระจกผมก็รู้ว่าตอนนี้แก้มตัวเองกำลังขึ้นสีแดงแน่ ๆ ผมเม้มปากแน่นแล้วมองคนที่ได้ชื่อว่าแฟนตาขวาง
“ไอ้บ้า”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับถึงคอนโดกูจะพิสูจน์ให้ดูว่าอินคิดถึงกี้แค่ไหน ถ้ามึงรับความคิดถึงกูไม่ไหว กูอนุญาตให้ลาอีกวันก็ได้”
“ไอ้เชี่ยอิน ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องหื่น”
ผมด่ามันทันทีที่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับแววตาวาววับของมัน แต่มันกลับหัวเราะแล้วคว้ามือผมไปกุมไว้ก่อนที่สายตาของมันที่สบตาผมจะเปลี่ยนเป็นสายตาจริงจัง
“แต่กูคิดถึงมึงจริง ๆ นะกี้ แล้วกี้ละ คิดถึงอินไหม”
“กูแทบจะปีนหน้าต่างหนีตามมึงไปอยู่แล้วยังจะถามอีก” ผมขมุบขมิบตอบมันเสียงเบา
มึงจะถามให้กูเขินทำไมเนี่ยไอ้อิน
ผมเห็นอินก้มลงมองมือของมันที่กุมมือผมไว้ ก่อนจะสอดประสานมือของมันกับมือของผมแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน อินยิ้มแบบที่มักจะยิ้มให้ผมอยู่เสมอ
“กูอยากให้มึงรู้ไว้นะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก กูจะไม่มีวันปล่อยมือมึงแน่นอน”
“กูก็เหมือนกัน”
ผมก้มดูมือของเราที่ประสานกันแนบแน่น ผมรู้ว่าสองมือของอินจะไม่มีวันปล่อยมือจากผมแน่นอน ความรักของพวกผมต่อจากนี้ไปคงไม่ง่ายนัก คงมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เราต้องเผชิญ ขอแค่เรายังจับมือกันไว้ ผมเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน
“กี้”
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอินตามเสียงเรียก อินเขยิบเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ ผมค่อย ๆ หลับตาลง ทันทีที่ริมฝีปากของเราสัมผัส เจ้าพวกผีเสื้อในท้องก็เริ่มขยับปีกบางใสและโบยบินวนอยู่ในท้องของผม
ถึงตอนนี้ผมคิดว่าโรคประหลาดนี้มันคงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แล้วละครับ มันคงจะกลายเป็น ‘โรคประจำตัว’ ของผมไปแล้วสิ
The end.
ในที่สุดโรคประจำตัวก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วค่ะ^^
เรื่องนี้เป็นนิยายยาวเรื่องแรกของเรา ซึ่งเราตั้งใจกับมันมากๆ
ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาถึงตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้เรามีนิยายอีกเรื่อง ขอฝากพี่เสือกับน้องแฮมไว้ด้วยนะคะ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68152.0ปล. อาจจะมีตอนพิเศษมาอีก อย่างไงก็ฝากติดตามด้วยน้าา