พิมพ์หน้านี้ - โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Polkaneko ที่ 16-12-2017 21:06:19

หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 16-12-2017 21:06:19
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

โรคประจำตัว

ผมกำลังป่วย...
ป่วยเป็นโรคประหลาดที่มีอาการคล้ายกับมีผีเสื้อนับร้อยกำลังกระพือปีกบินอยู่ในท้อง
โรคประหลาดที่อาการจะกำเริบขึ้นกับคน ๆ เดียวเท่านั้น...
และคน ๆ นั้นคือเพื่อนสนิทของผมเอง

ตอนที่ 1

   หลังจากเปิดเทอมมาได้ไม่ถึงเดือน เช้าวันนี้ยังคงเป็นวันที่สดใสสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 อย่างผม ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในมหาลัยผมก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีสำหรับผมแน่ ๆ ดูแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้ากับสายลมที่พัดมาเบา ๆ นั่นสิครับ

   อ่า...สดชื่น

   “ไอ้กี้ มึงจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาดีถึงดีมาก ยืนเท้าเอวมองผมอยู่ที่หน้าบันไดตึกคณะ ดูท่าทางเจ้าตัวจะหงุดหงิดไม่อยู่น้อย ผมจึงรีบวิ่งไปหาทันที

   ไอ้สุดหล่อที่ยืนเก๊กเป็นนายแบบอยู่ตรงนี้คืออิน เพื่อนสนิทของผมเอง คิ้วเข้ม ๆ ของมันขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นหน้าผมชัด ๆ

   “แว่นมึงไปไหนกี้”

   “เมื่อวานกูเผลอนั่งทับขาแว่นหักว่ะ พอไปที่ร้านจะตัดแว่นใหม่ พี่เขาก็เลยแนะนำให้ลองใส่คอนแทคเลนส์ดู เขาบอกกูถอดแว่นละดูดีกว่า”

   ผมอธิบายสาเหตุที่วันนี้บนใบหน้าของผมไม่มีแว่นสายตาอันใหญ่เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ผมเริ่มใส่แว่นมาตลอดตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยม พอไม่ได้ใส่แบบนี้มันก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ มันไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เลยครับ

   “มึงว่าเป็นไงบ้างวะ กูหล่อขึ้นไหม”

   ผมเขย่งตัวยื่นหน้าไปใกล้ ๆ ให้อินมันดูชัด ๆ ตัวมันสูงกว่าผมสิบกว่าเซนได้ ก็ผมมันสูงแค่ 170 เองนี่หน่า

   อินจ้องหน้าครู่ใหญ่แล้วมันทำหน้าแปลก ๆ ก่อนจะเอานิ้วยาว ๆ ของมันจิ้มหน้าผากผมจนหงาย

   “ขี้เหร่”

   “แหม ใครจะไปหล่อเหมือนคุณละครับคุณอินทนิล”

   ผมเปะปากใส่มันด้วยความหมั่นไส้ไอ้คนหน้าตาเหมือนอปป้าเกาหลีแบบมัน ผมไม่ถามมันแล้ว ไปถามคนอื่นดีกว่า และพอเดินมาถึงที่โต๊ะใต้ตึกคณะ ผมก็เจอชมพู่กับมายเพื่อนของผมกำลังนั่งอยู่พอดี ผมเลยรีบเดินเข้าไปหา

   “ไง”

   “อ้าว กี้ วันนี้มึงไม่ใส่แว่นเหรอ”

   ชมพู่ ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ทักผมก่อน เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่นิสัยค่อนข้างจะห้าว ๆ รู้จักกันได้ไม่กี่วันก็พูดมึงกูหน้าตาเฉยเลยครับ

   “ใส่คอนแทคเลนส์น่ะ ดูเป็นไงมั้ง”

   “น่ารักอ่ะมึง น่าจะใส่ตั้งนานแล้วนะ”

   “น่ารงน่ารักอะไร ต้องบอกว่าหล่อสิ”

   ผมเอ่ยแก้ เป็นผู้ชายก็ต้องบอกว่าหล่อสิครับ น่ารักมันใช่คำชมผู้ชายซะที่ไหน

   “อย่างมึงนะเหรอหล่อ หล่อมันต้องแบบไอ้อินนี่”

   ชมพู่หัวเราะก่อนหันไปทางอินที่นั่งลงข้างกัน ผมได้แต่เปะปากกรอกตาเซ็ง เลยหันไปถามเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   “มายว่าเราไม่ใส่แว่นแบบนี้ดีม่ะ”

   “ก็ดูดีกว่าตอนใส่แว่นนะครับ”

   มายเป็นผู้ชายตัวโตท่าทางหมี ๆ หน้าตาอาจจะดูดุสักหน่อยแต่ที่จริงมายเป็นคนที่นิสัยสุภาพ พูดจาก็เพราะ ช่างขัดกันกับหน้าตาเหลือเกินครับ

   “เห็นไหมมีแต่คนบอกว่าดี มีแค่มึงนี่แหละอินที่ว่าไม่ดี”

   “กูว่ามึงเอาแว่นมาใส่เหมือนเดิมเหอะ ใส่แล้วจะได้ดูฉลาดหน่อย”

   “ไอ้อิน”

   มันว่าผมโง่อีกแล้วครับ ใครจะไปฉลาดเหมือนมันละครับ อินมันเรียนเก่งตั้งแต่เด็กครับ สอบเข้าที่นี่ได้ตั้งแต่รอบรับตรง ไม่ต้องมาลุ้นคะแนนหลายรอบแบบผม

   ตอนนี้พวกผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ อย่างที่บอกผมกับอินเป็นเพื่อนสนิทกัน เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถม ตอนนั้นอินมันย้ายตามคุณอานพที่เป็นนายทหารไปประจำอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านเกิดของผม เราเรียนด้วยกันจนถึงชั้นม. 6 ไม่พอมันยังบังคับให้ผมสอบเข้ามาเรียนมหาลัยเดียวกันกับมันที่กรุงเทพอีก กว่าผมจะสอบติดแทบจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด โดนอินทั้งติวทั้งด่ากว่าจะสอบได้คะแนนถึงคณะนี้ ส่วนชมพู่กับมายเพิ่งเจอกันที่นี่ตอนวันปฐมนิเทศครับ เพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงคนอื่นก็มัวแต่กรี๊ดกร๊าดในความหล่อของอินมัน ส่วนเพื่อนผู้ชายก็ไม่มีใครเข้ามาคุยด้วย คงหมั่นไส้ความขี้เก๊กของไอ้เจ้าอินมัน มีแค่ 2 คนนี้ที่เข้ามาคุยด้วย ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

   “เย็นนี้พี่เขาบอกว่ามีคัดดาวเดือนคณะ พี่กิ๊ฟแกฝากบอกให้อินไปด้วยนะ”

   พี่กิ๊ฟที่ว่านี่เป็นพี่ปีสูงที่คณะของพวกผมเอง ท่าทางแกจะอยากจีบอินไปเป็นเดือนคณะน่ะครับ เห็นแกมาดูตัวตั้งแต่วันปฐมนิเทศแล้ว

   “เย็นนี้กูไม่ว่างว่ะ ต้องไปชมรมดนตรีของมอ”

   นอกจากจะฉลาด รูปหล่อ พ่อเป็นนายทหารใหญ่แล้ว อินยังเสียงดี เป็นนักร้องของวงดนตรีของโรงเรียนตั้งแต่ตอนม.ปลายแล้วครับ ไม่รู้ว่ามันจะเฟอร์เฟคไปถึงไหน

“พี่ต้าร์ชวนกูไปที่ชมรม มึงก็ต้องไปกับกูด้วยนะ” ประโยคหลังนี่อินมันหันมาบอกผมครับ พี่ต้าร์เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของพวกผม เคยเล่นดนตรีอยู่วงเดียวกับอินเลยสนิทกันกับพวกผม แล้วตอนนี้แกเป็นมือกีตาร์ของวงมหาลัย พอพี่ต้าร์รู้ว่าอินสอบติดที่นี่ประจวบกับนักร้องนำคนเก่าเรียนจบเมื่อปีที่ผ่านมาพอดี พี่ต้าร์เลยชวนให้อินไปสมัครเป็นนักร้องนำของวง

ถามว่าทำไมผมถึงสนิทกับพี่ต้าร์ ตัวผมเองไม่ได้มีความสามารถด้านร้องเพลงหรือเล่นดนตรีอะไรได้หรอกครับ อินมันยังชอบด่าหาว่าผมร้องเพลงเสียงเพี้ยน แม้แต่เพลงชาติยังร้องไม่ตรงคีย์ แต่เป็นเพราะอินชอบพาผมไปดูมันซ้อมดนตรีเกือบทุกครั้ง ทำให้ผมพลอยสนิทกับคนอื่นในวงไปด้วย โดยเฉพาะพี่ต้าร์ที่เอ็นดูพวกผมเป็นพิเศษ นัยว่าแกถูกชะตาตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก

“อ้าว แบบนี้กูก็อดดูเขาเลือกดาวคณะกันอ่ะดิ”

“ดาวคณะก็อยู่ตรงหน้ามึงนี่ไงกี้”

ชมพู่พูดถึงตัวเองและส่งยิ้มให้ผมด้วยความมั่นใจ ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปบอกอิน

“สงสัยกูต้องกลับไปใส่แว่นจริง ๆ วะ ถ้าอย่างชมพู่ได้เป็นดาวคณะ”

“อ้าว ไอ้นี่”

“โอ้ย”

ชมพู่เตะผมใต้โต๊ะครับ เรียกเสียงหัวเราะได้จากคนที่เหลือขณะที่คนเจ็บอย่างผมได้แต่เอามือลูบหน้าแข้ง



พอถึงเวลาเลิกเรียน พวกผมก็แยกกันกับชมพู่และมายที่ไปประชุมตามที่รุ่นพี่นัดไว้ คณะของพวกผมไม่ค่อยจะซีเรียสเรื่องการรับน้องเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการขอความร่วมมือตามความสมัครใจมากกว่า อินพาผมมายังห้องชมรมดนตรีสากลของมหาลัยที่อยู่ตึกเดียวกับสโมสรนักศึกษา เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับสมาชิกคนอื่น ๆ กำลังประชุมกันอยู่พอดี รวมถึงพี่ตาร์รุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของพวกผมด้วย

“มาแล้วเหรอไอ้อิน ไอ้กี้ กำลังรออยู่พอดี”

พี่ต้าร์กวักมือเรียกให้พวกผมเดินเข้าไปหา ผมเดินตามหลังอินเข้าไปก่อนจะยกมือไหว้พวกพี่ ๆ ที่นั่งกันอยู่ ดูท่าทางแล้วจะปีสูงกว่าพวกผมทั้งนั้น

“พี่แจ็ค นี่อิน รุ่นน้องโรงเรียนผมเองที่ว่าจะให้มาเป็นนักร้อง” พี่ต้าร์ลุกขึ้นมายืนข้างพวกผมแล้ววางมือลงบนบ่าของอินพร้อมกับแนะนำคนในวงให้รู้จัก

“นี่พี่แจ็ค อยู่ปี 4 เป็นหัวหน้าวงแล้วก็เป็นประธานชมรมด้วย เล่นกีตาร์ นั่นแพรว ปี 2 ตีกลอง ส่วนอีกคนชื่อนัท ปี 2 เหมือนกัน เล่นเบส ยังมีพี่อีกคนที่ไม่ได้มาชื่อพี่ต้น อยู่ปี 3 แกเล่นคีย์บอร์ด”

ผมกวาดตามองตามที่พี่ต้าร์แนะนำ พี่แจ็คประธานชมรมท่าทางเท่ไม่หยอก ทำผมไถข้างด้วยครับ อีกคนเป็นพี่ผู้หญิงท่าทางเนิร์ด ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะตีกลอง ส่วนพี่อีกคนที่ชื่อนัทก็ดูหน้าตาดีไม่น้อย ท่าทางยิ้มกริ่มแบบนั้นสาว ๆ คงชอบกันน่าดู

“จริง ๆ ชมรมเรามีสมาชิกอีก 40 กว่าคน ยังมีที่เล่นเครื่องดนตรีอื่น ๆ ด้วย บางครั้งก็มาแจมกันกับวงบ้าง” พี่แจ๊คพูดเสริม มิน่าผมถึงเห็นมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิดวางอยู่ในห้อง แถมตรงมุมห้องยังมีเปียโนตั้งอยู่หลังหนึ่งด้วย

“พี่ได้ดูคลิปที่อินเคยร้องเพลงกับต้าร์มันแล้วนะ เสียงดีอย่างที่ต้าร์มันคุยไว้จริง ๆ”

“แล้วน้องอีกคนชื่ออะไรเหรอครับ”

เป็นพี่นัทที่อยู่ ๆ ถามขึ้น พี่เขามองมาที่ผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ด้วย

“เอ่อ ผมชื่อกี้ครับ”

“มาสมัครเป็นนักร้องด้วยอีกคนเหรอ”

“อย่างไอ้กี้เนี่ยนะร้องเพลง กูสงสารคนฟังวะ”

พี่ต้าร์หัวเราะลั่นเมื่อได้ยินที่พี่นัทถามก่อนจะเอามือมาตบหลังจนผมแทบเซ แกเคยได้ยินผมร้องเพลงตอนไปคาราโอเกะด้วยกัน วันนั้นแกก็หัวเราะแบบนี้ไม่ยอมหยุด ไม่รู้จะขำอะไรนักหนา

“งั้นก็เล่นดนตรีสินะ เล่นอะไรเหรอครับน้องกี้”

“กี้มันเล่นดนตรีไม่เป็นหรอกครับ”

ผมยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้อินเพื่อนผมก็ชิงตอบแทนผมเสียก่อน

“อ้าว”

พวกพี่ ๆ ต่างพากันทำหน้างง ๆ คงสงสัยว่าแล้วคนที่ไม่มีความสามารถเกี่ยวข้องอะไรกับดนตรีอย่างผมมาทำอะไรที่นี่ ผมได้แต่ยิ้มแหย ๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

“ไอ้กี้มันเป็นฝาแฝดไอ้อินมันน่ะ ฮ่า ๆ”

ผมเหล่มองคนที่ยังหัวเราะไม่เลิก ดูท่าทางพี่ต้าร์จะตลกมากนะครับ แล้วใครไปเป็นฝาแฝดกับไอ้อินมันตั้งแต่ตอนไหนครับ

“หือ เป็นแฝดที่ดูไม่เหมือนกันเลยนะ”

เอ่อ พี่แจ๊คก็ดันเชื่อที่พี่ต้าร์พูดอีกนะครับ แค่ดูจากหน้าตาของผมกับอินบอกว่าเป็นญาติห่าง ๆ กันยังไม่มีใครเชื่อเลยครับ ก็อินมันออกจะตัวสูงใหญ่ หน้าเข้ม ตาคมกริบ ส่วนผมนี่ก็หน้าตี๋ ๆ จืด ๆ ตาสองชั้นที่มีก็หลบในจนมองแทบไม่ออก

“กี้มันเป็นเพื่อนสนิทของผมครับ มันอยากจะหัดเล่นกีตาร์อยู่พอดี ผมก็เลยชวนมันมาสมัครเข้าชมรม”

ผมหันขวับไปมองหน้าเพื่อนสนิททันที กูบอกมึงว่าอยากหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“ใช่ไหมวะกี้”

มันส่งสายตาให้ผมรู้ว่าต้องยอมเออออไปกับมันด้วย ไอ้นี่จะทำอะไรไม่เตี๊ยมกันก่อนเลย

“เอ่อ ครับ ผมอยากจะลองหัดเล่นกีตาร์น่ะครับ เลยขอตามอินมาสมัครเข้าชมรมด้วย”

“อ้าว แล้วก็ไม่บอกกู ให้กูสอนก็ได้นะไอ้กี้”

พี่ต้าร์คงงง ๆ ที่รู้จักกันมาตั้งนาน ผมเพิ่งจะอยากมาหัดเล่นกีตาร์ตอนนี้ ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พี่แก

“ให้พี่สอนก็ได้นะครับกี้ พี่ก็เล่นกีตาร์เป็นนะ”

พี่นัทเอ่ยปากอาสาพร้อมกับส่งยิ้มหล่อ ๆ ท่าทางใจดีแบบพี่นัท ถ้าเรียนด้วย คนหัวช้าแบบผมคงไม่ถูกสอนไปด่าไปแบบที่คาดว่าจะเกิดถ้าเรียนกับคนปากจัดอย่างพี่ต้าร์ หากยังไม่ทันจะพูดอะไร ไอ้คนที่ยิ้มอยู่ข้าง ๆ ก็เอาโอบไหล่ผมแล้วแย่งพูดแทนอีกแล้ว

“ขอบคุณครับ แต่คงไม่รบกวนดีกว่า ให้พี่ต้าร์สอนดีแล้วครับ ยังไงกี้มันก็สนิทกับพี่ต้าร์อยู่แล้ว”

“ใช่ ๆ เดี๋ยวกูสอนเอง”

พี่ต้าร์รับอาสาอย่างแข็งขัน นี่อยากจะสอนผมขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นแล้วผมก็ไม่อยากขัดศรัทธาพี่แกที่อยากรับผมเป็นลูกศิษย์

“ผมเรียนกับพี่ต้าร์ก็ได้ครับ”

“งั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นอินมาช่วยกันเลือกเพลงที่จะเล่นงานเปิดโลกกิจกรรมด้วยนะ”

พี่แจ๊คพูดถึงงานเปิดโลกกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า ทุกชมรมในมหาลัยจะเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ ซึ่งแต่ละชมรมก็จะมีกิจกรรมแนะนำชมรมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละความถนัดและจุดขายของชมรมนั้น ๆ โดยทุกปีชมรมดนตรีสากลมักจะใช้การเปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เพื่อเรียกความสนใจจากเด็กปี 1

“ครับพี่”

อินรับปากพี่แจ๊คตามที่นัดแนะ ส่วนผมเองก็ต้องหันไปรับปากว่าที่คุณครูด้วยเหมือนกัน

“พรุ่งนี้มึงมาเริ่มหัดกีตาร์ด้วยนะกี้”

“ครับพี่”


ต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 16-12-2017 21:11:36
“ทำไมกูต้องหัดเล่นกีตาร์ด้วยวะ”

ผมถามคำถามที่ค้างคาใจทันทีที่พวกเราเดินออกมาจากตึกกิจกรรม

“ไม่บอกว่าหัดกีตาร์แล้วมึงจะเข้ามาอยู่ชมรมดนตรีได้ไง เล่นอะไรกับเขาก็ไม่เป็นสักอย่าง”

อินทำหน้าแบบผมถามคำถามที่ไม่น่าจะถามออกไป ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน

“แล้วทำไมกูต้องเข้าชมรมดนตรีด้วยวะ กูก็ไม่ได้อยากจะอยู่ชมรมนี้นี่”

อยู่ ๆ ไอ้คนตัวโตก็หยุดกึก แขนที่พาดบ่าเหนี่ยวรั้งตัวผมไว้ไม่ให้ก้าวเดินไปได้ต่อ ผมจึงหันไปมองก็พบว่าหน้าของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังกำลังก้มลงมาห่างกันไม่ถึงคืบ

“แต่กูอยากให้มึงอยู่ กูอยู่ชมรมนี้ มึงก็ต้องอยู่ชมรมนี้ด้วย”

ผมย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความขัดใจ

“มึงเผด็จการอีกละ”

“งั้นมึงอยากเข้าชมรมไหน บอกกูมาสิ”

อินจ้องหน้ารอคำตอบจากผมด้วยสายตาจริงจัง

มึงอย่ากดดันกูได้ไหม...

“...”

“คิดออกยัง”

ผมเม้นปากอย่างใช้ความคิด เอาจริง ๆ เรื่องชมรมอะไรนี่ก็ไม่เคยอยู่ในหัว ผมมันไม่ใช่เด็กกิจกรรมอะไรอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นอินที่เป็นคนชวนผมทำโน้นทำนี้มากกว่า

“เอ่อ กูอยู่ชมรมนี้ก็ได้ ไหน ๆ ก็มีพี่ต้าร์อยู่ด้วย”

“มึงอยู่กับกูน่ะดีแล้ว เชื่อกู”

อินยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขยี้เส้นผมข้างหน้าของผมจนลงมาปรกตา รอยยิ้มละมุน ๆ ถูกส่งมาให้ ก่อนที่มันจะผละออกเดินนำไป ผมยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่พร้อมกับมองคนที่กำลังเดินห่างออกไป

ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องยอมตามใจมันทุกที...

“มึงจะกลับเลยไหมกี้ ชักช้าเดี๋ยวกูไม่ไปส่งนะ”

คนที่ผมกำลังมองหันมาตะโกนเรียกเมื่อเห็นผมยังยืนอยู่ที่เดิม ทำให้ผมต้องรีบเดินตามมันไปจนทัน

“นี่ก็ยังไม่เย็นมาก มึงไม่แวะไปที่คณะก่อนเหรอ กูอยากไปดูเขาคัดดาวเดือนกัน”

ผมรีบชวนเมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา ถ้ารีบไปที่คณะตอนนี้ก็น่าจะทันการประชุมคัดเลือกดาวเดือนของคณะวิทยาศาสตร์

“ไปทำไม ขืนไปกูก็โดนให้เป็นเดือนสิ”

ไม่เถียงเรื่องหน้าตามันครับ สู้มันไม่ได้จริง ๆ แต่ก็อดที่จะหมั่นไส้ในความมั่นหน้าของเพื่อนสนิทผมคนนี้ไม่ได้
 
“ทำไมมึงถึงไม่อยากเป็นเดือนคณะวะ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ถ้าเป็นเดือนคณะ มันก็ต้องไปซ้อมไปเก็บตัวกับพวกตัวแทนคณะอื่นหลาย ๆ วันใช่ไหม กูก็แค่ไม่อยากไป”

“แล้วไงวะ เมื่อก่อนตอนอยู่โรงเรียนกูก็เห็นมึงชอบทำกิจกรรมนี่ อาจารย์ขอให้ไปช่วยอะไรมึงก็ไปตลอด”

ผมยังจำได้ว่าอินทั้งเป็นตัวแทนไหว้ครู ถือธงโรงเรียนตอนเดินขบวน แล้วปีสุดท้ายมันยังเป็นดรัมเมเยอร์ประจำสี ยังบังคับให้ผมไปดูมันซ้อมควงคทาทุกวันอยู่เลย

“ก็มันไม่เหมือนกัน งานนี้เขาเลือกตัวแทนคณะไปแค่ 2 คน”

“ก็แล้วยังไงวะ”

ยิ่งอินมันพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจเหตุผลของมัน ดาวกับเดือนคณะมันก็ต้องมี 2 คนก็ถูกแล้ว

“เออ เอาเป็นว่ากูไม่อยากเป็นก็แค่นั้น” คิ้วเข้มของคนตัวโตกว่าผมขมวดเข้าหากันก่อนมันจะตัดบท

“ประหลาดนะมึง”

“ช่างกูเหอะ ขี้เหร่อย่างมึงไม่เข้าใจหรอก”

อ้าว ไอ้นี่ เอะอะว่ากูขี้เหร่ตลอด ยังมาทำเป็นมองด้วยหางตาอีกนะ

“งั้นกูไปดูคนเดียวก็ได้”

มันไม่ไป ผมก็ไม่เห็นต้องง้อ ไปเองก็ได้ จากตึกกิจกรรมเดินไปที่คณะของพวกผมก็ไม่ได้ไกลอะไร

“ไม่เอา มึงต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนกู”

“ไม่เอา กูจะไปคณะ”

เมื่อกี้ก็ตามใจเรื่องชมรมไปเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอะไรผมต้องยอมมันเรื่องนี้ด้วยละครับ

“กูเลี้ยงอาหารญี่ปุ่น”

“ป่ะ รถมึงจอดไว้ตรงไหนนะ กูหิวจะแย่ละมึง”

ผมรีบเดินนำไปทันที ไม่ได้เห็นแก่ที่มันจะเลี้ยงหรอกนะครับ แค่สงสารถ้าอินมันต้องกินข้าวคนเดียวก็เท่านั้น


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
ขอฝากนิยายเรื่องแรกของเราด้วยนะคะ *โค้ง*


หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 16-12-2017 21:22:56
ตอนที่ 2

   พักนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองมีอาการแปลก ๆ ครับ

   มัน...จะอธิบายยังไงดีละ ผมว่าอาการที่ผมเป็นอยู่มันค่อนข้างจะฟังดูพิลึก

คือ...ผมรู้สึกเหมือนกับมีตัวอะไรสักอย่างกำลังบินวนอยู่ในท้อง...

ใช่ครับ...บินอยู่ในท้อง แต่มันไม่ได้บินหึ่ง ๆ แบบผึ้ง หรือตีปีกพรึบพรับแบบนกนะครับ แต่มันกลับจะค่อย ๆ ขยับปีกช้า ๆ ก่อนจะบินวนไปวนมาอยู่ในท้องของผม

แต่ที่แปลกไปกว่านี้คือ อาการที่ผมว่ามามันจะเกิดขึ้นกับผมเฉพาะเวลาที่ผมอยู่กับใครคนหนึ่งเท่านั้น


“ไอ้กี้...ไอ้กี้!”

“โอ้ย”

ผมลูบหัวเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่โดนพี่ต้าร์เอากระดาษจดคอร์ดกีตาร์ม้วนเป็นแท่งแล้วฟาดลงบนหัวของผม

“มัวแต่เหม่อนะมึง แล้วเมื่อไหร่จะจับคอร์ดถูก เอไมเนอร์นี่กูสอนมึงมาเกือบชั่วโมงละยังดีดไม่ได้อีก”

พี่ต้าร์แม่งโหดครับ ปกติเห็นใจดีขี้เล่นจะตาย ใครจะไปคิดว่าเวลาสอนกีตาร์จะดุขนาดนี้ เอะอะฟาด เอะอะตี ผมว่าสมองผมคงมึนก่อนที่จะจับไอ้คอร์ดพวกนี้ได้ถูกแน่เลยครับ

“ก็มันยากนี่พี่ เนี่ยนิ้วผมเจ็บไปหมดแล้ว”

ผมบ่นอุบอิบ นี่กดคอร์ดจนนิ้วจะขาดอยู่แล้วครับ ดีดกี่รอบก็ยังบอด ไอ้ผมมันไม่ได้มีหัวทางนี้เลย ตั้งแต่มาหัดกีตาร์กับพี่ต้าร์ 2-3 วันมาแล้วยังไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นสักนิด

   “เออ กูให้เวลามึงพัก 10 นาที”

   พี่ต้าร์ลุกขึ้นไปหาพี่แจ๊คที่นั่งแกะเพลงที่จะใช้เล่นในงานวันเปิดโลกกิจกรรมอยู่อีกฝั่งของห้อง ผมวางกีตาร์ลงบนพื้นข้างตัวแล้วค่อย ๆ นวดปลายนิ้วให้คลายความเจ็บ

   “พักกินน้ำสักหน่อยสิครับ”

   ขวดชาเขียวเย็น ๆ ที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นพี่นัทสุดหล่อนี่เอง พี่นัทนั่งลงบนพื้นข้างกันแล้วส่งขวดชาเขียวในมือให้ผม

   “ขอบคุณครับ”

   ผมยิ้มขอบคุณแล้วยื่นมือไปจะรับขวดชาเขียวจากพี่นัท แต่กลับมีมือหนึ่งมาคว้าไปแทน

   “ขอบคุณนะพี่ ผมกำลังคอแห้งพอดี เมื่อกี้ซ้อมร้องไปหลายเพลง”

   อินเปิดขวดชาเขียวแล้วยกดื่มไปหลายอึก เมื่อกี้ยังเห็นมันยังยืนอยู่ข้างพี่แจ๊ค ไม่รู้มันมานั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมต้องมาแย่งของผมด้วยนะ

   “ไอ้อิน นั่นพี่เขาให้กูนะ”

   อินเขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนที่มือหนึ่งของมันจะเกี่ยวคอผมไว้ ส่วนอีกมือก็ถือขวดชาเขียวที่มันเพิ่งดื่มมาจ่อที่ปากผม

   “อ่ะ งั้นมึงก็กินด้วยสิ”

   มันยกขวดกระดกให้น้ำชาไหลเข้ามาในปากผมทำเอาผมแทบสำลัก ต้องรีบดันมือมันออก

   “แค่ก...เล่นบ้า ๆ นะมึง”

   ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก ผมยกหลังมือขึ้นเช็คหยดน้ำที่ไหลจากมุมปาก

   “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ”

   ผมหันมายิ้มให้พี่นัทที่ลุกขึ้นพลางก้มหัวให้นิด ๆ ขอบคุณอีกฝ่ายที่อุตส่าห์เอาน้ำมาให้

   “มึงมาแย่งน้ำกูกินทำไมไอ้อิน ทุกทีเห็นไม่ชอบกินชาเขียวไม่ใช่เหรอ”

   ปกติอินมันไม่ชอบดื่มพวกชาเขียวเป็นขวดเท่าไหร่นัก มันมักจะบ่นว่ามันหวานไป แต่วันนี้นึกยังไงถึงมาแย่งขวดชาเขียวไปดื่ม

   “ก็วันนี้กูอยากกิน”

   บอกว่าอยากกิน แต่กลับวางขวดที่เพิ่งแย่งผมไปบนพื้นอย่างไม่สนใจจะดื่มต่อแล้ว พอผมจะหยิบมาดื่มบ้างกลับถูกมันคว้ามือไว้

   “มึงกินนี่ดีกว่า”

   นมกล่องรสช๊อกโกแลตถูกส่งมาให้แทน อินแกะหลอดเสียบลงบนกล่องนมแล้วยื่นให้ผม

   “อ่ะ กินนมจะได้โตไว ๆ”

   ผมรับมาดูดเอาไปอึกใหญ่พร้อมกับอาการแปลก ๆ ที่มันเริ่มจะก่อตัวขึ้นอีกแล้ว

   พรึบ...

   ...ได้ยินไหมครับ เจ้าสิ่งที่อยู่ในท้องของผมมันเริ่มขยับปีกบินอีกแล้วครับ มันกำลังบินวนช้า ๆ อยู่ในท้องของผม

   “มึงเป็นอะไรเปล่าวะ”

   “เฮ้ย”

   ผมผละออกตกใจที่อยู่ ๆ อินก็เอาหน้าหล่อ ๆ ของมันเข้ามาใกล้ ดวงตาคู่สวยของมันที่ช้อนมองผมด้วยความเป็นห่วงกับคิ้วเข้มที่ขมวดยิ่งทำให้ไอ้เจ้าที่อยู่ในท้องผมกระพือปีกบินใหญ่

   “เจ็บมือเหรอ”

   มันจับมือข้างซ้ายของผมขึ้นมา นิ้วเรียวยาวของมันไล่ไปตามปลายนิ้วของผมเบา ๆ ภาพที่เห็นทำเอาหน้าผมรู้สึกร้อน ๆ ชอบกล

   “มึงนี่ท่าทางจะไม่รอดนะ กูเห็นโดนพี่ต้าร์ดุใหญ่เลยนี่”

   “ก็เพราะใครละ กูไม่ได้อยากจะหัดเล่นกีตาร์สักหน่อย”

   ผมทำหน้ามุ่ยก็เพราะคำพูดของไอ้เพื่อนบ้านี่แหละทำให้ผมต้องมาลำบากแบบนี้

   “เอาน่า เดี๋ยวพี่ต้าร์ก็ยอมแพ้ความโง่ของมึงไปเองแหละ”

   “ไอ้เชี่ยอิน”

   ผมกระชากมือที่มันจับไว้ออกทันที หลอกด่าผมตลอด  ผมก้มหน้าดูดนมกล่องที่มันให้มาจนหมด มองจากหางตาก็เห็นว่ามันลุกขึ้นไปหาพวกพี่แจ๊คแล้ว พออินลุกไปเจ้าตัวที่อยู่ในท้องของผมก็สงบอาการลงตามไปด้วย

   ใช่แล้วครับ

   อาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับผม มันจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่ผมอยู่ใกล้ชิดกับอิน ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้ทำไมอินมันถึงมาวอแวผมมากกว่าปกติ เดี๋ยวกอด เดี๋ยวโอบ แถมยังใจดีเป็นพิเศษ เวลาที่มันมากอด มาทำใจดีด้วย อาการผมก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ

   ผลั่ก!

หน้าผากผมแทบจะโขกกับกีตาร์ที่ถืออยู่เพราะแรงส่งจากมือที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาจากข้างหลัง ทำเอาผมหันขวับไปดูทันที

   “หมดเวลาพักละ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ”

   พี่ต้าร์นี่สายปากว่ามือถึงจริง ๆ ครับ ผมว่าผมคงน่วมก่อนจะเล่นกีตาร์เป็นสักเพลงแน่ ๆ

   “โถ ผมกำลังทำสมาธิอยู่”

   “คอร์ดเดียวเนี่ยเล่นให้มันได้สักทีเหอะ”

   พี่ต้าร์คว้ากีตาร์อีกตัวมานั่งแกะเพลงอยู่ข้าง ๆ ผมไปพลาง ๆ พร้อมกับสอนผมไปด้วย ผมพยายามกดสายกีตาร์ตามที่พี่ต้าร์สอนซ้ำ ๆ สายตาแอบชำเลืองดูคนอื่นในห้องด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ผมก็เขยิบเข้าไปใกล้อาจารย์ที่นั่งเกากีตาร์อยู่

   “พี่ตาร์ ผมมีอะไรจะปรึกษา”

   “อะไรวะ ติดตรงไหนเหรอ”

   “ไม่ใช่เรื่องกีตาร์พี่”

เห็นดูเถื่อน ๆ แบบนี้พี่ต้าร์แกเรียนหมอนะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่ามือหนักแบบนี้จะรักษาคนไข้อย่างไง มีหวังคนไข้คงช้ำในตายเพราะมือหมอก่อนจะได้รักษา แต่ที่แน่ ๆ พี่แกฉลาด คงพอจะรู้ว่าไอ้อาการประหลาด ๆ ที่ผมเป็นอยู่มันเป็นโรคอะไร ผมเลยคิดจะเล่าอาการของผมให้พี่แกช่วยวิเคราะห์

“มีอะไรก็ว่ามา ถ้าจะยืมตัง บอกไว้ก่อนเลยนะว่ากูไม่มี ช่วงนี้กูช็อต”

พี่ต้าร์รีบออกตัวปฏิเสธทันที ไม่ทันให้ผมได้อธิบายอะไร

“ไม่ใช่พี่...คือ...”

ผมหันไปมองซ้ายมองขวาอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีการได้ยิน

“คือผมคิดว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นอะไรสักอย่าง”

ผมกลั้นใจบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง พี่ต้าร์ยังดูงง ๆ อยู่ ผมเลยรีบเล่าอาการให้แกฟัง

“คือ...อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างบินไปบินมาอยู่ในท้องผมล่ะพี่ แล้วมันก็เป็นทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ไอ้อิน ไอ้ตัวที่อยู่ในท้องมันก็ขยับปีกบินให้ว่อนเลยล่ะพี่ ผมจะทำยังไงดีพี่ต้าร์”

พี่ต้าร์ดูอึ้ง ๆ กับเรื่องที่ได้ยินไปเหมือนกัน ผมเลยกล่าวย้ำอีกครั้ง

 “จริง ๆ นะพี่ ไอ้ตัวที่ว่าเนี่ยมันอยู่ในท้องของผมจริง ๆ ”

“มึงบอกว่ามีตัวอะไรบินอยู่ในท้องมึงเวลาเข้าใกล้ไอ้อิน...อย่างงั้นเหรอ”

ผมพยักหน้างึกงักกับคำพูดที่กว่าจะหลุดปากจากคนที่ยังนั่งอึ้งไม่เลิก

“ไอ้ตัวที่อยู่ในท้องมึงนี่ ตัวเล็ก ปีกบาง ๆ ค่อย ๆ บินใช่ไหมวะ”

ผมพยักหน้ารัว ๆ สองสามที

“คล้าย ๆ กับ...ผีเสื้อ?”

คราวนี้ผมพยักหน้าจนคอเกือบหลุด

ใช่เลยครับ!

ผมนึกอยู่ตั้งนานแล้วว่าไอ้ตัวที่อยู่ในท้องของผมนี่มันน่าจะเป็นตัวอะไรนะ ท่าทางผมจะมาปรึกษาถูกคนแล้วละครับ พี่ต้าร์ต้องรู้แน่ ๆ ว่าผมเป็นอะไร

“พี่รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นอะไร”

 “มึงบอกว่ามึงจะเป็นเฉพาะเวลาที่มึงอยู่ใกล้ไอ้อินใช่ไหม”

พี่ต้าร์จ้องหน้าผมเขม็ง ผมพยักหน้ารับ

“ชัดเลยมึง กูว่าละ”

เห็นพี่ต้าร์ถอนหายใจท่าทางปลง ๆ ผมกลับยิ่งกระวนกระวายใจ

“ว่าแต่เรื่องนี้อินมันรู้หรือเปล่าวะ”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“เออ ดีละ มึงอย่าเพิ่งบอกมัน”

“นี่สาเหตุมันเป็นเพราะไอ้อินใช่ไหมพี่ แล้วนี่ผมต้องทำยังไงดี ผมไม่อยากป่วยเป็นโรคประหลาดแบบนี้นะ พี่ต้าร์ต้องช่วยผมนะ”

ผมจับแขนพี่ต้าร์เขย่าแรง ๆ จนพี่แกต้องสะบัดหนี

“ใจเย็นไอ้น้อง”

มือใหญ่ตบลงบนบ่าผมด้วยแรงไม่ใช่น้อย ทำเอาผมแทบทรุดไปเหมือนกัน

“โรคนี้มันรักษาไม่ยากหรอก เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะบอกวิธีให้ หึ ๆ ”

ในที่สุดผมก็มีทางรอดแล้วครับ ผมรู้ว่าพี่ต้าร์ของผมพึ่งพาได้เสมอ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าพี่ต้าร์แกยิ้มเหี้ยมๆ ชอบกล


‘มึงต้องเริ่มวันนี้เลยนะโว้ย ถ้ามึงอยากหาย’

ผมนึกถึงคำพูดที่พี่ต้าร์บอกถึงวิธีรักษาอาการประหลาดๆ ของผม ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องกินยา แค่ทำตามที่พี่แกบอก

ได้ครับพี่...ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง

“เฮ้ย ไอ้กี้ รอกูด้วยสิวะ”

อินตะโกนเรียกขณะที่ผมกำลังสะพายกระเป๋าเดินออกจากชมรมทันทีที่พี่ต้าร์สอนผมเสร็จ มันรีบเดินตรงมาหาผม เห็นแบบนั้นผมเลยก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แต่มันก็วิ่งมาดึงแขนเสื้อผมไว้ทัน

ผมขยับตัวถอยหลังไปสามก้าวทันที ถอยมามองหน้าหล่อ ๆ ที่ดูงงกับปฏิกิริยาของผม

“มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็เก็บของเดินออกมาไม่รอกู”

ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ ให้มันโวยวาย ใจจริงผมก็ไม่อยากทำแบบนี้นะครับ แต่เพราะนี่เป็นหนึ่งในวิธีรักษาที่พี่ต้าร์บอกกับผมนั่นแหละ

ข้อที่หนึ่ง ห้ามอยู่ใกล้อินในระยะสัมผัส

จริง ๆ พี่ต้าร์แกจะให้ผมอยู่ห่างจากอิน 10 เมตรเสียด้วยซ้ำ แต่เกรงว่าจะลำบากเกินไป เลยลดเหลือแค่ระยะประชิดตัวก็พอ แกบอกค่อยๆ รักษาอาการกันไปละกัน แถมพี่ต้าร์กำชับนักกำชับหนาว่าให้เริ่มลงมือปฏิบัติทันที

“มึงเริ่มเลยนะ กูเห็นไอ้อินมันชอบมากอดมาโอบไหล่มึง มึงก็อย่าไปยอม”

“มันมากอดของมันเอง ผมไม่ได้ไปกอดมันสักหน่อย”

“เออๆ นั่นแหละ มันใกล้กันเกินไป ยิ่งใกล้มันอาการมึงยิ่งกำเริบไม่ใช่เหรอ”

“โอเค ไม่ให้มันเข้าใกล้ แล้วไงต่อพี่”

“เวลากลับมึงก็ไม่ต้องให้มันไปส่งด้วย”

“อ้าว แล้วผมจะกลับยังไงละพี่”

“ไม่รู้โว้ย รถเมล์ สองแถว แท็กซี่ก็มีเยอะแยะ”

“เอางั้นก็ได้พี่”

พอผมรับคำ ที่ปรึกษากิตติมาศักดิ์ของผมก็ยิ้มกว้างไล่ผมให้เก็บของกลับทันที


“ว่าไง เป็นอะไร”

เสียงที่ปกติฟังทุ้มนุ่มละมุนหูว๊ากถามทำเอาผมสะดุ้ง แถมมันมายืนจ้องหน้าชิดติดผมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย จะถอยก็ถอยไม่ได้เนื่องจากเมื่อกี้ผมดันถอยหลังหนีไปติดกำแพง ผมหันไปเจอดวงตาคมจ้องคาดคั้น มึงไม่ต้องทำตาดุขนาดนั้นก็ได้ แค่นี้กูก็กลัวแล้ว

“มึงหลบตากูทำไม”

“เปล่า ไม่ได้หลบ”

ผมแค่หันหน้าไปมองทางบันได มองทางหนีทีไล่แค่นั้นเอง ก็พี่ต้าร์ว่าที่คุณหมอเขาบอกไว้ว่า...
 
ข้อที่สอง ห้ามมองหน้า ห้ามสบตาอิน

พี่ต้าร์อธิบายว่ายิ่งมองหน้าอิน มันจะยิ่งทำให้อาการของผมทรุดลงเร็วกว่าเดิม แต่ตอนนี้ไอ้ตัวต้นเหตุมันเล่นมายื่นหน้ามาเสียชิด นี่กะจะเล่นจ้องตากับผมหรือไงไม่ทราบ

“ไอ้อิน ไอ้อินโว้ย”

สวรรค์โปรด ส่งพี่ต้าร์มาช่วยผมแล้วครับ

มาถึงพี่แกก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่น้องชายสุดที่รักทันที แถมยังหวังดีช่วยดึงไอ้หน้าหล่อออกห่างจากผมด้วย

“อินมึงจะรีบไปไหนวะ พี่แจ๊คเรียกแหนะ บอกจะให้มึงลองดูลิสต์เพลงอีกที เห็นว่าไอ้นัทอยากจะเปลี่ยนเพลงสุดท้าย แล้วก็พี่เป้จะมาเล่นแซกด้วยเพลงนึง มึงว่าเอาเพลงไหนดีวะ จะเอาเพลงที่มีแซกอยู่แล้ว หรือว่าจะทำดนตรีใหม่ดีวะ”

“เอ่อ...”

ท่าทางไอ้อินของพี่ต้าร์จะยังไม่ทันตั้งตัว หรือว่างงกับคำถามที่มาเป็นชุดของพี่แกก็ไม่ทราบได้ ผมเลยรีบอาศัยจังหวะที่อินมันเผลอขยับตัวจะหนี หากไอ้คนตาไวหันมาเห็นเสียก่อน

“จะไปไหนกี้”

ผมมองหน้าพี่ต้าร์พร้อมกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

“เออ...กี้ เมื่อกี้มึงบอกว่าปวดท้องไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปหาข้าวหายากินสิ”

“หา..ใช่ๆ ปวดท้องว่ะอิน ไม่รู้กินไรมา กลับก่อนละนะ”

ผมรับมุกที่พี่ต้าร์ส่งให้โดยการเอามือกุมท้องทันที แล้วรีบเดินลงบันไดลงมาเลย ปล่อยอินให้อยู่กับพี่ต้าร์ต่อไป ได้ยินแต่เสียงพี่ต้าร์เจื้อยแจ้วลากนักร้องนำของวงกลับเข้าห้องชมรมไป

หวังว่าวิธีของพี่ต้าร์จะได้ผล ผมจะได้หายจากโรคประหลาดนี้เสียที


TBC.
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 17-12-2017 00:32:28
น้องกี้คนซื่อออ :m20:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 17-12-2017 01:27:46
กี้เพิ่งจะเริ่มชอบอิน แต่อินนี่น่าจะชอบมานานแล้ว อะไรที่กี้ทำแล้วคนอื่นจะสนใจนี่กันซีนตลอด พี่ต้าก็คงรู้ แค่อยากแกล้งอินใช่ป่าว?
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 17-12-2017 09:21:38
โดยพี่ต้าร์แกล้งให้แล้วทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: usguinus ที่ 18-12-2017 09:02:57
น่าร้ากกกกก อินแอบชอบมานานแล้วแน่ๆ
รอตอนต่อไปค่า :katai5:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 19-12-2017 08:06:53
แอร้ยยยยยยย ชอบบบแนวนี้ฟหหกดดๆก่กาดาเสเววด  :pighaun: :jul1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-12-2017 14:58:20
ต่างคนต่างชอบกัน เบยๆ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 19-12-2017 19:06:56
พี่ต้าร์แกล้งอ่ะ รักษาจริง ต้องให้กี้จับอินจูบนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 23-12-2017 22:02:17
ตอนที่ 3

“เฮ้อ...”

“เป็นอะไรวะมึง เห็นนั่งถอนหายใจตั้งแต่เมื่อกี้ละ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองชมพู่ที่เอื้อมมือมาหยิบแท่งป๊อกกี้รสกล้วยจากกล่องในมือผมไปกิน ผมส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง ทำเอาคนที่มองอยู่ได้แต่ส่งป๊อกกี้เข้าปากก่อนจะกรอกตาแล้วก้มหน้ากลับไปสนใจรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะแทน

ผมกับชมพู่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ตึกคณะเพื่อรอเวลาเรียนคาบแรกตอน 10 โมง มายเพิ่งลุกไปซื้อน้ำเมื่อกี้ ส่วนเพื่อนอีกคนในกลุ่ม...

   ....ตอนนี้อินมันกำลังทำอะไรอยู่นะ

   นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้วแต่อินมันยังไม่มาเลย มันจะกินข้าวก่อนมาเรียนหรือเปล่า แล้วนี่มันซ้อมร้องเพลงถึงไหนแล้วนะ คิดแล้วก็อยากไปดูอินร้องเพลง

...อยากไปหา...อยากเจอ...

ผมส่ายหน้าแรง ๆ กับความคิดของตัวเอง

ไม่ได้ ๆ ...ต้องทำตามที่พี่ต้าร์บอก ห้ามเข้าใกล้ ห้ามมองหน้า ห้ามสบตา...

...แต่พี่ต้าร์ไม่ได้ห้ามไม่ให้นึกถึงมันนี่หน่า

   นี่ก็ 3 วันแล้วนับจากวันที่ผมรวมหัวกับพี่ต้าร์หลอกอินว่าปวดท้องแล้วหนีกลับหอไปก่อนโดยทิ้งมันไว้ที่ชมรม อินก็โทรมาถามอาการของผมแล้วบอกว่าตอนเช้าจะแวะมารับผมไปเรียนด้วยกัน แต่พอถึงเวลาผมก็ไม่อยู่รอมัน ตัดสินใจนั่งรถเมล์มาเรียนเอง แม้ว่ามันจะลำบากสักหน่อยสำหรับผม ตอนนั่งเรียนในคาบผมก็ไม่ยอมนั่งติดกับอิน ให้ชมพู่กับมายนั่งคั่นกลาง เวลาอินจะคุยด้วยผมก็ทำเป็นยุ่งอยู่บ้าง แกล้งทำเป็นมึน ๆ ไม่ได้ยินที่อินมันเรียกบ้าง พอหมดคาบก่อนที่มันจะเดินมาหาผมก็แอบหนีกลับก่อน และไม่ยอมโผล่หน้าไปที่ชมรมดนตรีโดยที่พี่ต้าร์ก็คอยช่วยหาข้ออ้างให้ อินโทรมาผมก็รับบ้างไม่รับบ้าง อ้างว่าทำโน้นทำนี้ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้าง

แต่แทนที่อาการของผมจะดีขึ้น ผมกลับรู้สึกว่ามันแย่ลงกว่าเดิม...

เพราะผมเคยชินกับการที่มีอินอยู่ข้าง ๆ ตลอดมา...

ปกติผมกับอินเราคุยกันแทบทุกวัน อาจมีบ้างบางวันที่ไม่ได้เจอกัน แต่ก็ยังคุยกันตลอด แต่พอจู่ ๆ ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเดิม ผมก็เผลอเอาแต่คิดว่าตอนนี้อินกำลังทำอะไรอยู่ พอยิ่งคิด เจ้าพวกผีเสื้อที่อยู่ในท้องก็พากันบินให้ว่อน และดูเหมือนจะบินกันให้วุ่นวายปั่นป่วนกระเพาะผมมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

วิธีของพี่ต้าร์มันจะได้ผลจริงเหรอ ผมชักจะสงสัย คิดไปคิดมาถึงพี่ต้าร์จะเรียนหมอแต่ความเกรียนของพี่แกก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่...

“เฮ้อ..”

   “ถ้ามึงจะถอนหายใจถี่ขนาดนี้ กูถามจริง ๆ มึงเป็นอะไรวะ”

   ชมพู่มันคงรำคาญผมเต็มทนถึงได้วางปากกาแล้วจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

   “มึงมีปัญหาอะไรกับอินหรือเปล่ากี้”

   “หา..เปล่า” ผมรีบปฏิเสธเสียงสูง “ไม่มีอะไร”

   “ก็ 2-3 วันนี่ กูเห็นมึงไม่ยอมพูดยอมจากับไอ้อินมัน” ชมพู่ตั้งข้อสังเกตจากพฤติกรรมของเพื่อน “ไอ้อินแม่งก็ดูหงุดหงิดเวลาที่อยู่ ๆ มึงหายหัวไป”

   “ก็ไม่ได้มีอะไร กูแค่ยุ่ง ๆ”

   “เหรอวะ”

   “เออ ไม่มีอะไรจริง ๆ” ชมพู่ยังจ้องหน้าเขม็งจนผมต้องแสร้งทำเป็นก้มหยิบป๊อกกี้ในมือขึ้นมากิน

   “กี้”

   เสียงทุ้ม ๆ แบบนี้ที่ดังมาจากด้านหลังของผมมีคนเดียวเท่านั้นแหละครับ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็น

   “มาแล้วเหรออิน”

   มายที่เดินกลับมายังโต๊ะพอดีเอ่อทักพร้อมกับวางขวดน้ำที่ผมฝากซื้อไว้บนโต๊ะ ผมเอ่ยขอบใจเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและขวดน้ำขึ้นมา

   “ไอ้กี้ กูขอคุยด้วยหน่อย”

   คนตัวสูงขยับตัวมาขวางทางไว้ไม่ให้ผมเดินไปต่อ

   “แต่นี่มันจะได้เวลาเรียนแล้วนะ เดี๋ยวหมดคาบค่อยคุยกันก็ได้”

   “ไม่” มันพูดเสียงแข็ง “กูจะคุยตอนนี้”

   อินหันไปบอกกับชมพู่และมายที่ยืนดูสถานการณ์อยู่

   “ชมพู่ มาย ไปเรียนก่อนเลย เดี๋ยวกูกับกี้ตามไป กูขอเคลียร์อะไรหน่อย” ประโยคสุดท้ายอินหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ทำเอาผมร้อน ๆ หนาว ๆ

   “เฮ้ย ใจเย็นนะอิน”

ชมพู่รีบเข้ามาห้ามหากมายกลับดึงแขนชมพู่ให้เดินไปด้วยกันพร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้

   “ยังไงก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันนะครับ”

   เฮ้อ พวกมึงอย่าเพิ่งไป อยู่ช่วยกูก่อน

   ผมได้แต่กรีดร้องในใจ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ผมกับอิน ผมยังคงไม่กล้าสบตามัน แต่เห็นจากหางตาว่ามันถอนหายใจด้วยท่าทางที่รู้ว่าพยายามระงับอารมณ์อยู่

   “ไปคุยกันตรงโน้นดีกว่า”

   คนตัวสูงก้าวขายาว ๆ เดินนำไปก่อน แต่พอเห็นผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อินมันก็หันกลับมาคว้าข้อมือผมก่อนจะลากให้เดินตามไปที่ด้านข้างของตึกตรงที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน มันจึงปล่อยมือผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “มึงเป็นอะไรกี้”

   ผมเหลือบตามองเพื่อนสนิทก่อนจะหลุบตาลงมองที่ปลายรองเท้าตัวเองโดยไม่พูดอะไร ซึ่งนั่นคงทำให้คนอย่างอินทนิลหงุดหงิดไม่น้อย

   “เชี่ยกี้ กูถามว่ามึงเป็นอะไร”

   อินตะคอกผมเสียงดัง ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งและรู้สึกใจสั่น ๆ มีไม่กี่ครั้งหรอกครับที่อินจะเสียงดังใส่ผมแบบนี้ ถึงมันจะชอบด่าผมแต่มันก็แทบจะไม่เคยตะคอกด้วยอารมณ์เลย

   “กูไม่ได้เป็นอะไร” ผมได้แต่ตอบเสียงอ่อย ๆ

   “ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมมึงต้องหลบหน้ากู”

   ผมก้มหน้ากัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้

   “หรือมึงจะบอกว่าไม่ใช่”

   “มึงมองหน้ากู”

อินจับไหล่ของผมทั้ง 2 ข้าง ผมจำต้องเงยหน้าขึ้นมาเจอกับสายตาคมกริบของมันที่สะท้อนใบหน้าของผมในนั้น

   “มึงไม่พอใจอะไรกูมึงบอกกูมาตรง ๆ กูคบกับมึงมากี่ปี กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี มึงคิดว่ากูดูไม่ออกเหรอว่ามึงจงใจหลบหน้ากู มึงมีอะไรมึงก็พูดมาเลย ไม่ต้องมาทำแบบนี้”

   อินพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่ น้ำเสียงที่ราวกับว่ามันกำลังวิงวอนผมอยู่

    “อิน...คือว่ากู...”

ผมได้แต่เอ่ยตะกุกตะกัก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตามันตรง ๆ มันจะดีเหรอถ้าหากอินมันรู้ถึงอาการที่ผมเป็น

“กู...กูบอกไม่ได้”

   “กี้”

   อินเรียกชื่อผมเสียงแผ่วก่อนจะปล่อยมือที่จับผมไว้ให้ตกลู่ลงข้างตัว

   “นี่มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนไหมวะ”

   “อิน...”

   “กูเห็นมึงเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุด แต่สำหรับมึงกูคงไม่ใช่สินะ”

   คนตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ปลายเสียงติดจะสั่น ๆ ทำเอาผมใจหาย

   “ถ้ากูทำอะไรให้มึงไม่พอใจ กูก็ขอโทษนะกี้ แต่กูไม่รู้จริง ๆ ว่ะ กูคงเป็นเพื่อนที่แย่มากสำหรับมึงสินะ”

ความสั่นไหวที่ผมมองเห็นในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย ผมกำลังทำให้อินเสียใจ...

   “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะอิน มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู” ผมเอื้อมมือไปจับแขนมันไว้ ขณะที่อินเบือนหน้าหนี

   “ถึงมึงจะเอาแต่ใจ ชอบด่า ชอบว่ากู แต่มึงเป็นเพื่อนรักกูนะโว้ย”

   “ไม่จริงหรอก ถ้ากูเป็นเพื่อนรักมึง มึงจะหลบหน้ากูทำไม”

   ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ อินมันยังไม่ยอมหันกลับมามองผม

   “คือ..”

   อินดึงมือผมที่จับแขนมันไว้ออกก่อนจะตบที่ไหล่ผมเบา ๆ

   “กี้ มึงขึ้นไปเรียนเถอะ ต่อไปนี้กูจะไม่มาวุ่นวายกับมึงแล้ว”

   เฮ้ย อินมันพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง มันจะเลิกเป็นเพื่อนกับผมแล้วอย่างงั้นเหรอ

   “อิน เดี๋ยวก่อน” ผมรีบดึงแขนอินไว้ก่อนที่มันจะเดินจากไป แล้วบอกกับมันด้วยน้ำเสียงร้อนรน “กูยอมบอกแล้ว”

   อินหยุดหันกลับมามอง ผมจึงปล่อยมือก่อนจะค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกความลับของผมให้มันรู้

   “คือ...ตอนนี้กูกำลังป่วย”

   “ป่วย..มึงป่วยเป็นอะไรกี้” อินทำหน้าประหลาดใจ ท่าทางดราม่าเมื่อกี้หายวับไปในทันที คิ้วเข้มนั้นขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน

   “กูก็ไม่รู้”

ผมกัดริมฝีปากล่างแล้วกลั้นใจพูดต่อในส่วนที่เกี่ยวกับคนตรงหน้าโดยตรง

“กูรู้แค่ว่าเวลาที่กูอยู่ใกล้มึง กูมีอาการแปลก ๆ มันเหมือนมีผีเสื้อเป็นฝูงบินอยู่ในท้องกู”

เอาเหอะมึง...คงหัวเราะกูอีกล่ะสิ

...

หากอินมันกลับนิ่งเงียบเสียจนผมแปลกใจ นึกว่าจะได้ยินหัวเราะลั่นหลังจากที่มันได้ฟังเรื่องราวของผม ผมเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นหน้าหล่อเหลากำลังทำสีหน้าประหลาดสุด ๆ ดูเหวอ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ต่างจากพี่ต้าร์ตอนที่ได้ยินเรื่องเดียวกัน

“มึงว่าอะไรนะ...มึงบอกว่ามี...ผีเสื้อบินอยู่ในท้องมึง”

อินมันดูอึก ๆ อัก ๆ ชอบกลกว่าจะพูดออกมาได้

“...เวลาที่อยู่ใกล้กู”

“ก็ใช่นะสิ กูถึงไม่กล้าจะอยู่ใกล้มึงไง พอเข้าใกล้มึงทีไร แม่งบินกันให้ว่อนทุกที”

“กี้..”

เสียงทุ้มนั่นเรียกชื่อผมแผ่วเบา

“อะไรอีกล่ะ นี่กูก็บอกมึงไปหมดแล้วนะ”

นี่ผมยอมบอกมันหมดเปลือกแล้วนะครับ ไอ้คุณอินยังจะเอาอะไรจากผมอีก

“มึง...เออ..ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าตัวเองเป็นอะไร”

“ถ้ากูรู้กูจะไปปรึกษาพี่ต้าร์เหรอ ไอ้ที่บอกให้กูว่าอย่าเข้าใกล้มึงนี่ก็วิธีของไอ้คุณพี่ต้าร์ทั้งนั้นแหละ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงพี่ชายตัวดีเจ้าของคำแนะนำสุดบรรเจิดนี้

“ไม่เห็นมันจะได้ผลเลย กูว่ายิ่งทำให้กูอาการหนักกว่าเดิมอีก พอไม่ให้เจอมึง ทีนี้แค่พอกูนึกถึงมึง ไอ้ผีเสื้อในท้องกูเนี่ยมันก็บินกันให้ว่อนกว่าเดิมอีก”

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ผมขอบ่นกับไอ้คนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมมีอาการประหลาด ๆ นี่หน่อยเหอะ อึดอัดจนอกผมแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

“มึงหน้าแดงทำไมวะอิน”

“หา...เปล่านี่”

ก็เห็นอยู่ว่าหน้ามันแดงจนไปถึงหูอยู่แล้วยังจะบอกว่าเปล่าอีก

“แล้วตอนนี้ยังมีอาการอยู่ไหม”

ผมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “ก็ไม่เท่าไหร่นะ จะเป็นเวลาที่มึงใกล้กูมาก ๆ มากกว่า”

“แล้วถ้าแบบนี้ละ”

พูดจบอินมันก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดเข้ากับอกแน่น ทำให้หน้าของผมตอนนี้ซบลงบนบ่าของมันพอดี

“เฮ้ย ทำอะไรของมึง”

ผมรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นดันตัวมันออกด้วยความตกใจ หากอินกลับกอดผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“แบบนี้มึงรู้สึกอะไรไหมกี้”

เสียงทุ้ม ๆ ของมันกระซิบที่ข้างหู ทำเอาตัวผมแข็งทื่อไปชั่วขณะ พร้อม ๆ กับบรรดาเจ้าผีเสื้อที่อยู่ในท้องของผมค่อย ๆ ขยับปีกโบยบินวนเวียนอย่างร่าเริง

นี่พวกมึงจะคึกคักกันไปไหม

ผมผลักตัวอินออกเต็มแรงจนมันยอมคลายอ้อมแขน

“มึงจะฆ่ากูหรือไงไอ้อิน แม่งบินกันจนจะทะลุกระเพาะกูอยู่แล้ว”

“หึ” ไอ้ต้นต้นเหตุมันกลับหัวเราะเบา ๆ

“ทีนี้มึงก็รู้แล้วนะว่ากูเป็นอะไร งั้นมึงช่วยกูได้ไหม”

ในเมื่ออินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเกิดอาการประหลาด ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่ามันก็ควรจะช่วยผมให้หายจากอาการบ้า ๆ นี่เสียที

“ช่วยให้ผีเสื้อนี่มันเลิกบินในท้องกูได้ไหม กูรู้มึงเก่ง กูเป็นเพื่อนรักมึงไม่ใช่เหรอ มึงต้องช่วยกูนะ”

ผมจับแขนมันเขย่าใช้น้ำเสียงอ้อน ๆ มันสักหน่อยเพื่อให้มันใจอ่อน

“มึงอยากให้กูช่วยเหรอ”

อินจ้องหน้าผมเขม้นด้วยสายตาเหมือนต้องการจะค้นหาอะไรสักอย่าง

“อืม”

ผมรับคำหนักแน่นพร้อมกับพยักหน้ายืนยันไปอีกสองที

“ก็กูเล่าทุกอย่างให้มึงฟังแล้ว มึงก็ต้องช่วยกูสิ”

อินมันนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่งยิ้มหล่อ ๆ ที่สร้างความปั่นป่วนให้ผีเสื้อในท้องผมเหลือเกิน

“กูจะช่วยมึงเองกี้”


TBC...


   ตอนนี้เป็นซีนเดียวมายาว ๆ เลย^^
   ในที่สุดอินก็รู้อาการประหลาดของน้องกี้คนซื่อแล้ววววววว
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-12-2017 23:24:34
เสร็จโจรแน่นวลท่าทาง
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 24-12-2017 11:57:05
อมก. นังกี้นังเด็กซื่อ โอ้ยฟกกปดกร น่ารักก><
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 24-12-2017 15:09:03
รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้วววว
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 24-12-2017 17:12:15
เข้าทางตาอินเลยล่ะสิทีนี้
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 24-12-2017 18:33:23
โอ้ยยยย ละมุน เสร็จโจร ถถถ น้องกี้เจ้ขออวยพรให้คู่บ่าวสาวล่วงหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 4 [30/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 30-12-2017 21:17:58
ตอนที่ 4

   ผมมองคนที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมเข้ามาภายในห้องของผม ปล่อยให้แขกที่มันเชิญตัวเองมาแต่เช้าจัดการวางกระเป๋าลงบนโซฟา

   “มึงมาทำไมแต่เช้า” ผมมองอินที่อยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศพร้อมกับหน้าผมที่เซตมาอย่างหล่อ ขณะที่ตัวผมเองยังอยู่ในชุดเสื้อยืดนิ่ม ๆ กับกางเกงนอนเน่า ๆ หัวยังไม่ได้หวี น้ำก็ยังไม่ได้อาบ

   “ก็แวะเอาของมาเก็บที่ห้องมึงก่อนจะได้ออกไปมหาลัยพร้อมกัน”

   “มึงแน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้มันจะได้ผล”

   ผมถามด้วยความสงสัยหลังจากเดินไปนั่งลงบนเตียง ขยับแว่นตาที่เลื่อนลงให้เข้าที่

   “ก็ต้องลองดู...ไม้แขวนเสื้ออยู่ตรงไหนวะ”

   อินยักไหล่พลางรื้อข้าวของในกระเป๋าออกมา ผมลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบไม้แขวนเสื้อส่งให้มัน แล้วกลับมานั่งมองเจ้าเพื่อนสนิทของผมเอาเสื้อนักศึกษาและกางเกงแขวนไว้ในตู้

   “แล้วนี่มึงจะมาอยู่กี่วันวะ”

   “ยังไม่ได้คิด ก็คงต้องดูจากอาการของมึงละมั้ง”

   ผมพยักหน้ากับสิ่งที่ได้ยิน หลังจากที่เจออินมันดราม่าใส่เรื่องที่ผมเอาแต่หลบหน้าหลบตามันจนในที่สุดผมต้องยอมสารภาพความจริงเกี่ยวกับโรคประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวผม อินก็เลยมีความคิดว่าผมควรจะอยู่ใกล้ ๆ มันเพื่อที่มันจะได้สังเกตดูอาการของผมอย่างใกล้ชิดและหาวิธีจัดการให้เจ้าพวกผีเสื้อพวกนั้นหายไป วันต่อมาอินมันก็เลยขนข้าวของมาอยู่ที่หอผมอย่างที่เห็น ตอนแรกมันจะให้ผมขนของไปอยู่กับมันที่คอนโด แต่ผมไม่เอาด้วย ก็คอนโดมันค่อนข้างไกลจากมหาลัยมากกว่าหอพักของผมนี่ครับ ขี้เกียจที่จะต้องรีบตื่นแต่เช้า เสียดายเวลานอน

   “ว่าแต่ตอนนี้อาการเป็นยังไงมั่งกี้” จู่ ๆ อินมันก็ถามขึ้นมา

   “ก็ไม่เป็นอะไรนะ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเฉย ๆ อยู่” ผมตอบไปตามความรู้สึก ตอนนี้ภายในท้องของผมยังปกติดีอยู่ครับ

   “เหรอ”

   อินที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งข้างกันบนเตียง

   “แล้วตอนไหนถึงจะเป็นละ”

   ผมเอียงคอคิด ตอนไหนเหรอที่เจ้าผีเสื้อพวกนั้นมันจะสำแดงฤทธิ์ คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น

   “ตอนที่...มึงมาทำใจดีด้วย ตอนที่มึงพูดเพราะ ๆ กับกู ตอนที่มึงเข้ามากอด” ผมหันไปสบตากับคนที่นั่งข้าง ๆ

   “แล้วก็ตอนที่กูนึกถึงมึง”

   ผมเห็นอินกลืนน้ำลายก่อนจะเสหลบสายตาไปทางอื่น

   “มึงว่ากูจะเป็นอะไรมากไหมวะ” ผมถามด้วยความกังวล

   “ก็เอาการอยู่”

   “แล้วทำยังไงดี กูกลัว” ผมแตะลงบนหลังมือของมันที่วางอยู่บนเตียง

   “กลัวทำไม มีกูอยู่กับมึงทั้งคน มึงไม่ต้องกลัวหรอก”

อินส่งยิ้มบาง ๆ มาให้พร้อมกับสัมผัสเบา ๆ ที่ลูบลงบนหัวจากมืออีกข้างของมัน ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวผม

เจ้าผีเสื้อตัวน้อยเริ่มขยับปีกโบยบินอีกครั้ง…

   “เป็นอะไรไปวะ”

   อินถามเมื่อเห็นผมกำลังเม้นริมฝีปากแน่น

   “มันเป็นอีกแล้วว่ะ” ผมวางมือทาบลงบนท้องบอกให้อินรู้

   “หึ แค่นี้ก็เกิดอาการแล้วเหรอวะ อ่อนว่ะมึง”

   “มึงอย่ามาล้อกู” ผมทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นเพื่อนสนิททำท่าขบขันกับอาการที่เกิดขึ้นของผม

   “กูก็แค่แซวเล่น”

อยู่ ๆ อินก็สอดมือทั้งสองข้างเข้ามาโอบรอบเอวผมก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปซบลงบนอกโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้กอดผมแน่นจนอึดอัด อ้อมแขนนั่นเพียงแค่ประคองกอดไว้ แต่แค่นี้ก็ทำเอากระเพาะของผมปั่นป่วนอย่างหนัก ราวกับมีฝูงผีเสื้อนับร้อยกำลังกระพือปีกโบยบินวนเวียนอยู่ภายใน พอ ๆ กับหัวใจของผมที่มันเต้นแรง

   เช่นเดียวกับหัวใจอีกดวงที่อยู่ใกล้กับหน้าของผมตอนนี้ที่กำลังเต้นแรงไม่แพ้กัน

   ผมรีบดันตัวมันออกโดยที่มันก็ยอมคลายมือออกแต่โดยดี

   “มึงทำอะไร ก็บอกแล้วไงว่าถ้ากอดแล้วมันจะเป็น”

   “ก็กูกำลังหาวิธีรักษามึงอยู่ไง”

   “กูจะตายก่อนน่ะสิ”

   “ไม่มีใครตายเพราะโรคนี้หรอก” อินมันพูดยิ้ม ๆ พลางเท้ามือทั้งสองไปด้านหลัง

   “ตกลงมึงบอกกูได้ไหมว่ากูเป็นโรคอะไร” พูดแบบนี้แสดงว่าอินมันต้องรู้ว่าผมป่วยเป็นโรคอะไรแน่ ๆ

   “มันก็แค่โรคประหลาดโรคนึงน่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยมึงก็จะรู้เองว่ามึงเป็นโรคอะไร”

   “แล้วมันรักษาได้ใช่ไหมวะ”

   “ได้สิ แต่มึงต้องให้กูเป็นคนรักษาเท่านั้นนะ”

   “คนอื่นไม่ได้เหรอวะ”

   “ไม่ได้ ต้องเป็นคนที่ทำให้มึงเกิดอาการเท่านั้นถึงจะรักษาได้”

   ตอนที่อินบอกสายตามันจริงจังมาก ผมคงไม่มีทางเลือก นอกจากจะยอมเชื่อใจเพื่อนคนนี้



   “กี้ ตอนเย็นมึงไปที่ชมรมด้วยนะ”

   อินบอกกับผมขณะที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะลงจากรถของมัน

   “อือ รู้แล้ว”

   “เอาแต่โดดซ้อม แล้วเมื่อไหร่จะเล่นเป็น”

   “ได้ข่าวว่ากูก็ไม่ได้อยากจะเล่นม่ะ”

   ผมเบ้ปากใส่มัน ตัวเองมัดมือชกคนอื่นแท้ ๆ ยังจะทำมาเป็นพูดดี

   “เอาน่า นึกว่าเห็นแก่อาจารย์ที่อุตส่าห์ตั้งใจสอนละกัน”

   “เหอะ นี่กูยังไม่ได้จัดการเรื่องที่พี่ต้าร์หลอกกูเลย”

   นึกขึ้นได้ก็เจ็บใจ เป็นเพราะพี่ต้าร์มาหลอกแกล้งผมเรื่องวิธีรักษาอาการประหลาดนั่นแท้ ๆ เกือบทำให้ผมกับอินผิดใจกันไปแล้ว
   อินเอาแต่ส่ายหัวขำ ๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ ผมรีบตามลงไป เราสองคนเดินขึ้นตึกไปยังห้องเรียนด้วยกัน พอไปถึงก็เห็นชมพู่กับมายนั่งอยู่กลางห้องเลยเดินเข้าไปนั่งตรงที่ว่างข้าง ๆ ที่พวกมันจองที่ไว้ให้

   “ไงมึง”

   เป็นชมพู่ที่เอ่ยทักพร้อมกับชะโงกหน้ามาเต็มที่ ส่วนมายนั้นแค่หันมายิ้มให้เฉย ๆ

   “นี่ดีกันแล้วสินะพวกมึง ถึงมาพร้อมกันได้”

   “ก็ไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย” ผมตอบไม่เต็มเสียงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ มาย

   “อ๋อเหรอ ไอ้ที่ลากกันไปเคลียร์ที่ข้างตึกจนไม่ขึ้นมาเรียนนั่นอะไรวะ” ชมพู่ทำหน้าไม่เชื่อแถมยังขุดเอาเรื่องเมื่อวานขึ้นมาพูดอีก

   “ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” ผมแก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม

   “งั้นนี่เข้าใจกันแล้วสิ แหม อย่างกับผัวเมียทะเลาะกันเลยนะพวกมึง”

ไอ้เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มยังไม่หยุดแซ็วผม

   “ไอ้ชมพู่ นั่นปากเหรอ ใครผัวเมียกับมัน ขนลุกตาย”

   ผมทำท่าขนลุกเสียเต็มประดา ผัวเมียอะไรกัน แค่คิดก็รับไม่ได้แล้วครับ ส่วนอีกคนที่ถูกจับคู่ด้วยกลับหัวเราะเบา ๆ ผมเลยหันไปเล่นงานมันแทน

   “ไอ้อินมึงไม่ต้องมาหัวเราะเลย”

   “เอ้า กูก็แค่ขำที่ชมพู่มันพูดเฉย ๆ” มันหยุดหัวเราะแล้วครับ แต่ในดวงตายังมีประกายขบขัน

   “แต่กูไม่ขำ”

   “พอครับ เลิกเถียงกันได้แล้ว อาจารย์มาโน้นแล้ว”

   มายรีบห้ามทัพส่งซิกให้พวกผมหันไปมองทางประตูด้านหน้าห้อง อาจารย์ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของผมกำลังเดินเข้ามาพอดี พวกผมก็เลยสงบปากสงบคำหันไปตั้งใจเรียนกัน   



   พอถึงตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมก็ต้องตามอินมาที่ห้องชมรมดนตรี ช่วงนี้อินมันต้องมาซ้อมเกือบทุกวันเพราะใกล้จะถึงวันงานเปิดโลกกิจกรรมในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว

   “อ้าว น้องกี้”

   พอเปิดประตูเข้าไปพวกผมก็เจอพี่นัทกับพี่อีกคนที่ผมไม่รู้จักนั่งอยู่ในห้องกันสองคน พี่นัทลุกขึ้นมาผมทันทีพร้อมกับส่งยิ้มหล่อ ๆ มาให้ ผมจึงรีบยกมือไหว้

   “หายไปหลายวันเลยนะครับ”

   “เออ ผมยุ่ง ๆ น่ะครับ เลยไม่ได้แวะมาที่ชมรม”

   “แล้วไป พี่ก็กำลังเป็นห่วง นึกว่าไม่สบาย นี่ว่าจะขอเบอร์ต้าร์โทรไปหาอยู่”

   “พี่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” อยู่ ๆ อินที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ผมไว้ พอผมจะขืนตัวออกมันกลับกระชับต้นแขนผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมหันไปส่งสายตาปรามบอกให้มันปล่อยแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ใส่ใจ

   เล่นบ้าอะไรของมัน ก็บอกแล้วไงว่าทำแบบนี้แล้วอาการมันกำเริบ

   “ผมดูแลกี้มันได้”

   ตอนนี้ผมได้แต่พยายามสะกดอาการปั่นป่วนที่เริ่มจะเกิดขึ้นในท้องของผม

   “งั้นเหรอ” พี่นัทเปรยตามองมือที่ไหล่ผม ก่อนที่พี่แกจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่สายตากับจับจ้องอยู่ที่เพื่อนผม “แต่ถ้าวันไหนอินไม่ว่าง พี่ช่วยดูแลได้นะครับกี้”

   “คงไม่ต้องรบกวนพี่หรอกครับ”

   ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้นตรงต้นแขนเลยหันมามองคนข้างตัว สายตาไอ้อินที่มองพี่นัททำเอาผมถึงกับขนลุก ผมแกะมือของอินออกแล้วเขยิบออกเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่นัท

   “ผมดูแลตัวเองได้ครับ โตแล้วดูแลตัวเองได้เนอะ”

   ผมเหล่มองทั้งคู่ ไม่รู้จะเล่นจ้องตากันหรืออย่างไง แถมจ้องกันเขม็งด้วย

   “อ้าว ไอ้กี้ วันนี้มาได้แล้วเหรอวะ”

   ในที่สุดสวรรค์ส่งคนมาช่วยกอบกู้สถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนี่พอดี ทำให้สองคนนี่เลิกเล่นจ้องตากันเสียที

   “หวัดดีครับพี่” พวกผมหันไปไหว้พี่ต้าร์กับพี่แจ๊คที่เดินเข้ามา ส่วนพี่นัทก็กลับไปนั่งที่เดิม

   “เออ แล้วนี่หายแล้วเหรอวะ ถึงมาด้วยกันได้” พี่ต้าร์มองหน้าผมกับอินสลับกันแล้วก้มลงกระซิบถามผมด้วยความสงสัย

   “ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

   ผมตอบไปแบบส่ง ๆ ยังไม่อยากพูดอะไรมากตอนนี้เพราะมีคนอื่นยืนอยู่ด้วย

   “เหรอวะ”

   “ผมว่าเรามาเรียนต่อจากวันนั้นดีกว่าพี่”

   ผมเดินไปหยิบกีต้าร์โปร่งตัวที่ใช้ประจำมานั่งตรงที่เดิม กีต้าร์ตัวนี้เป็นของพี่ต้าร์ครับ แกเอามาให้ผมใช้ฝึกเล่น พี่ต้าร์ตามมานั่งลงข้างกัน ส่วนอินก็แยกไปกับพี่แจ๊สเพื่อเตรียมตัวซ้อมร้องเพลง

   “วันนี้มึงลองเล่นทวนที่กูสอนไปแล้วก่อนดีกว่า”

   “ครับ”

   ผมรับคำสั้น ๆ แล้วพยายามวางนิ้วลงบนสายกีตาร์ตามที่อาจารย์คนนี้เคยสอน ดีดบอดบ้างไม่บอดบ้าง

   “กี้”

   “ครับ”

   ผมขานรับแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกแค่ว่ารุ่นพี่ขยับมาใกล้ขึ้น

   “นี่อาการมึงหายแล้วแน่เหรอ ทำไมมันหายเร็วจังวะ”

   “จริง ๆ ก็ยังไม่หายหรอกครับ”

   อ่า บอดอีกแล้วครับ เมื่อไหร่จะดีดได้สักที

   “อ้าว แล้วทำไมมึงถึงมากับอินมันได้วะ” พี่ต้าร์อุทานอย่างประหลาดใจ ผมเงยหน้าขึ้นมอง

   “พี่ต้าร์ นี่ผมยังโกรธที่พี่หลอกผมเรื่องวิธีการรักษาอะไรนั่นอยู่นะ พี่รู้ไหมไอ้อินโกรธผมแทบตาย”

   “ฮ่า ๆ นี่รู้ตัวแล้วเหรอวะ”

   “ไม่ขำนะพี่”

   พี่แกทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเกาหัวแก้เก้อ

   “กูขอโทษก็ได้ กูก็แค่อยากแน่ใจอะไรบางอย่าง” พี่ต้าร์ยกมือขึ้นตบบ่าผมเบา ๆ “ว่าแต่นี่ไอ้อินมันรู้เรื่องหมดแล้วใช่ไหมวะ แล้วมันว่าไงมั่งวะ”

   “มันบอกว่าเดี๋ยวมันจะช่วยผมเอง”

   “หึ กูว่าแล้วเชียว”

   “ว่าอะไรพี่” ท่าทางพี่ต้าร์ดูมีลับลมคมในชวนให้น่าสงสัยชอบกล

   “เปล่า ๆ ไม่มีอะไร ให้ไอ้อินช่วยน่ะดีแล้ว เดี๋ยวมึงก็ดีเองกี้ เชื่อกู”

   ...ทำไมผมรู้สึกหวาด ๆ กับคำว่าเชื่อกูของพี่ต้าร์จังเลยครับ



   ตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาครับ...

ผมมองเตียงนอนขนาดควีนไซด์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง จริง ๆ มันก็ไม่ได้เบียดอะไรถ้าจะนอนสองคน แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกับอินนอนบนเตียงเดียวกัน เมื่อก่อนตอนเรียนมัธยมผมไปค้างบ้านมันก็บ่อย มันเองก็เคยมาค้างที่บ้านผมเหมือนกัน แต่นั่นมันก่อนที่ผมจะมีอาการแปลก ๆ นี่ ผมไม่แน่ใจว่าถ้าตอนนี้ต้องนอนใกล้ ๆ กับอินแล้ว เจ้าพวกผีเสื้อในท้องมันจะมีอาการอย่างไง

แก๊ก..

เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้รู้ว่าอินมันอาบน้ำเสร็จแล้ว มันเดินออกมาในสภาพผมเปียกมีผ้าขนหนูพาดบนบ่า ผมว่าบางทีพระเจ้าก็ลำเอียงเกินไปนะครับ นี่ขนาดอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลเปื่อย ๆ หัวเปียก ๆ ไอ้อินมันยังดูหล่ออยู่เลย

“มึงจะนอนเลยป่ะ”

“อือ”

ผมตอบมันแค่นั้นก่อนจะถอดแว่นสายตาวางไว้บนโต๊ะแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง ยืดทำเลฝั่งหนึ่งแล้วเตรียมตัวจะนอน

“เดี๋ยวก่อนกี้”

ผมหันมามองพลางเลิกคิ้วแทนคำถาม

   “เช็คผมให้แห้งก่อน” อินเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ผมตากไว้มาโยนให้ ในขณะที่มันเองก็กำลังใช้ผ้าอีกผืนเช็ดผมตัวเองอยู่เหมือนกัน

   “ไม่เป็นไร กูจะนอนแล้ว”

   ผมโยนผ้าขนหนูไปตกบนโซฟาก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมา อินส่ายหน้าแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากโซฟามานั่งบนเตียง มันตบฟูกข้าง ๆ ตัวเป็นสัญญาณให้ผมไปนั่งข้างมัน

   “มานี่”

   ผมยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับตัวไปหามัน

   “เร็ว”

   ผมได้แต่เบ้ปาก นี่มันเป็นแม่ผมหรือไงครับ ไม่เห็นต้องทำเสียงดุเลย ผมก็เลยต้องขยับไปนั่งข้างกัน ผ้าขนหนูผืนนั้นถูกวางลงบนหัวพร้อมกับมืออีกข้างของอินที่ค่อย ๆ ใช้ผ้านั้นเช็ดผมของผมอย่างเบามือ

   ผีเสื้อที่อยู่ในท้องของผมเริ่มตื่นขึ้นอีกครั้งและขยับปีกช้า ๆ ก่อนจะโบยบิน...

   “กูเช็ดเอง”

   ผมเบี่ยงหัวหลบจัดการใช้ผ้าผืนเล็กขยี้ลงบนหัวแรง ๆ นอกจากอยากจะให้ผมที่ยังชื้นอยู่แห้งเร็วขึ้น ผมหวังให้มันช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากคนข้างกายที่ทำให้ผมมีอาการประหลาดนี้

   “แห้งแล้ว งั้นกูนอนละนะ”

   พอเห็นว่าเส้นผมแห้งแล้ว ผมก็ยัดผ้าขนหนูใส่มือของคนที่นั่งข้างกันเพื่อจะให้มันเอาไปตาก ส่วนตัวผมเองก็คว้าผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนคลุมผ้ามิดจนถึงคอ

   “มึงปิดไฟด้วยนะ”

   พอบอกอินเสร็จผมก็หันหลังให้มันแล้วหลับตาลง แต่จริง ๆ นอนไม่หลับหรอกครับ สักพักใหญ่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าไฟในห้องดับลง ฟูกด้านหลังที่ยุบตัวลงบอกให้รู้ว่าอีกคนที่นอนลงบนเตียงแล้ว ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในความมืด ฟังเสียงลมหายใจของเพื่อนสนิทที่ค่อย ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ต่างกับเจ้าผีเสื้อในท้องของผมที่ยังคงบินวนไม่หลับไม่นอน


   TBC...


ขอความเอ็นดูให้น้องกี้คนซื่อด้วยนะคะ  :mew2:
สวัสดีปีใหม่ทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีของทุกคนค่ะ^^
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 4 [30/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 30-12-2017 22:40:06
เขารู้หมดแล้วลูกกกก :laugh:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 4 [30/12/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Jintajam ที่ 30-12-2017 23:11:18
เอ็นดูน้องกี้ เมื่อไหร่จะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร :katai2-1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 06-01-2018 19:26:27
ตอนที่ 5



            “สวัสดีครับน้อง ๆ ปีหนึ่งทุก ๆ คน พี่เป็นตัวแทนจากชมรมดนตรีสากลของมหาลัยครับ”


            เสียงพี่แจ๊คกล่าวทักทายเด็กปี 1 ที่มาร่วมงานเปิดโลกกิจกรรมจากบนเวทีขนาดเล็กที่ตั้งอยู่หน้าตึกกิจกรรมและสโมสรนักศึกษา ผมเดินออกมาดูที่ด้านหน้าเวทีเมื่อเห็นว่าด้านหลังไม่มีอะไรให้สมาชิกชมรมดนตรีอย่างผมทำแล้ว  มีคนให้ความสนใจไม่น้อยทำให้พื้นที่ด้านหน้าเวทีมีคนยืนดูอยู่พอสมควร ผมเลยหลบมายืนดูอยู่มุมข้าง ๆ ที่ยังพอมีพื้นที่โล่งแทน


            “เฮ้ย กี้”


            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ยิ้มออกมาเมื่อเห็นเป็นชมพู่กับมายเดินเข้ามาใกล้


            “เป็นไง ตกลงเข้าชมรมไหนกัน”


            “เราสมัครเข้าชมรมเบเกอรี่น่ะ”


            เอ่อ ผมนึกภาพผู้ชายตัวล่ำ ๆ ท่าทางหมี ๆ ตรงหน้าในชุดผ้ากันเปื้อนทำขนมอยู่หน้าเตาไม่ออกจริง ๆ


            “มึงนี่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอดเลยเนอะ แล้วมึงละชมพู่” ผมหันไปถามเพื่อนผู้หญิงอีกคนบ้าง ท่าสาวน้อยหน้าตาน่ารักแต่นิสัยสุดห้าวแบบชมพู่นี่จะเลือกชมรมไหนนะ


            “กูเข้าชมรมยูโด เล่นมาตั้งแต่ม.ปลายละ”


            ...เพื่อนผมแต่ละคนนี่คาดเดาไม่ได้จริงๆ


            “วันนี้นอกจากเราจะเปิดรับสมัครสมาชิกแล้ว เรายังมีโชว์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝาก เชิญรับชมรับฟังได้เลยครับ” เสียงประกาศของพี่แจ๊คเรียกความสนใจของพวกผมให้กลับไปที่บนเวทีอีกครั้ง สมาชิกของวงทุกคนเข้าประจำตำแหน่งยกเว้นอินที่ผมยังมองไม่เห็น พี่แจ๊คส่งสัญญาณให้กับพี่แพรวมือกลองสุดเนิร์ดเริ่มเล่นเพลงเปิด


“ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร
ไม่รู้ว่าโลกความจริง ของเรานั้นเป็นอย่างไร”


            เสียงทุ้ม ๆ เป็นเอกลักษณ์ที่ผมคุ้นเคยดีเรียกเสียงกรี๊ดได้ตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่ทันปรากฏตัวบนเวที ก่อนที่ตัวนักร้องนำจะเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับรอยยิ้มหล่อ ๆ ของมันในเพลงท่อนต่อไป


“สิ่งที่สำคัญที่สุด อาจไม่สำคัญเท่าไร
เท่าวันที่เราได้เจอ ได้คุยได้อยู่ใกล้กัน”


เท่านั้นแหละครับ หูพวกผมแทบแตกกับเสียงกริ๊ดที่ดังขึ้นจากคนรอบข้าง บรรดานักศึกษาสาวต่างพากันกรูเข้าไปที่หน้าเวที ผมกระโดดหลบเกือบไม่ทัน ไม่งั้นคงโดนชนกระเด็นไปแล้วละครับ


“แก นักร้องนำโคตรหล่อเลยอ่ะ อยู่ปีไหนวะแก”


“นั่นสิ อยู่คณะอะไรนะ ทั้งหล่อทั้งเสียงดี”


เสียงผู้หญิงสองคนที่ยืนหวีดอยู่ข้าง ๆ ผมบ่งบอกว่าชื่นชอบให้ตัวนักร้องนำคนนี้ไม่น้อย ผมอมยิ้มภูมิใจแทนในตัวเพื่อนสนิท นั่นเพื่อนผมครับเพื่อนผมเอง


            ยิ่งพอได้ยินเสียงเพลงเพราะ ๆ ของนักร้องนำบรรดานักศึกษาที่มาร่วมงานก็ยิ่งพากันมามุงดูกันคึกคักมากขึ้น ผู้คนต่างเบียดเสียดกันอยู่หน้าเวทีสนุกสนานกับเพลงที่ทางวงเลือกมาเล่นอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก ผมเองก็ยกตัวไปตามจังหวะ ร้องคลอไปกับเสียงของอิน บางท่อนก็ตะโกนออกไปสุดเสียง เพราะถึงจะร้องเพี้ยนแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ทุกคนต่างให้ความสนใจการแสดงที่อยู่บนเวทีเท่านั้น


            “ก่อนจะเล่นเพลงสุดท้ายเรามาแนะนำตัวกันหน่อยดีกว่า เริ่มจากพี่ก่อนละกัน พี่ชื่อแจ๊คครับ เป็นประธานชมรมและเล่นกีตาร์ครับ” หลังจากที่เล่นเพลงรวดเดียวถึง 4 เพลงโดยไม่เว้นจังหวะให้พักกันเลย พี่แจ๊คก็แนะนำสมาชิกในวงให้ทุกคนได้รู้จัก


            “ส่วนคนถัดไป มือกีตาร์ของเรา ว่าที่คุณหมอ พี่ต้าร์ครับ” พี่ต้าร์ยกมือขึ้นเป็นการโบกทักทาย


            “อีกหนึ่งคน มือเบสสุดหล่อ พี่นัทครับ” ส่วนพี่นัทก็เพียงแค่ยกยิ้ม แต่แค่นั้นสาว ๆ ก็ระทวยกันแล้วครับ


            “มือกลองสาวสวยคนเดียวของวง พี่แพรว” พี่แพรวตีกลองเป็นการทักทาย


            “ส่วนมือคีย์บอร์ดของเรา พี่ต้นครับ” พี่ต้นเป็นหนุ่มแว่นร่างอวบส่งยิ้มกว้าง


            “และสุดท้าย ขอเสียงกรี๊ดดัง ๆ ให้กับนักร้องนำคนใหม่ของเรา น้องอินครับ”


            พอถึงคิวของนักร้องนำเสียงกรี๊ดยิ่งดังกระหึ่มจนน่าจะได้ยินไปถึงหลังมหาลัยแล้วมั้งครับ นักร้องนำส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือไปทั่วแถมยังทำท่ามินิฮาร์ทให้สาว ๆ ที่อยู่ข้างหน้าอีก เล่นเอากระโดดกรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุดเลย ขยันโปรยเสน่ห์จริง ๆ เพื่อนผมมันยังคงขี้อ่อยเวลาอยู่บนเวทีเหมือนเดิม


            “เสียงกรี๊ดถล่มทลายแบบนี้งั้นเรามาต่อกันเลยดีกว่า เพลงนี่คือเพลงอะไรครับอิน”


            “เพลงนี้เป็นเพลงที่พวกเราขอมอบให้ทุกคนเป็นเพลงส่งท้าย การที่พวกเรามายืนอยู่บนเวทีนี้ก็เพราะพวกเรารักในเสียงดนตรี และอยากจะถ่ายทอดความรักของพวกเราให้กับทุกคนได้รับรู้ ผมหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่ และหวังว่าจะมีคนสนใจชมรมดนตรีบ้างนะครับ”


            “มันคงเป็นความรักที่ทำให้ตัวฉันยังยืนอยู่ตรงนี้

มันคงเป็นความรักที่ทำให้ตัวฉัน ไม่ยอมหยุดเสียที”


น้ำเสียงทุ้ม ๆ กับคำพูดทิ้งท้ายของนักร้องนำสุดหล่อเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ จนหูผมนี่อื้อไปหมดแล้วครับ เรียกได้ว่างานนี่อินมันกวาดความนิยมจากสาว ๆ ทั้งงานเลยก็ว่าได้ ไม่แปลกที่ทุกคนจะหลงเสน่ห์ของอินเวลาบนเวที อินรักการร้องเพลงและมันดูมีความสุขทุกครั้งที่อยู่บนเวที ทั้ง ๆ ที่ตัวจริงเวลาปกติเพื่อนสนิทของผมคนนี้เป็นคนค่อนข้างขี้เก๊ก ดูกวน ๆ ไม่ค่อยจะยิ้มสักเท่าไหร่ แต่พออยู่บนเวทีเท่านั้นมันกลายเป็นผู้ชายขี้เล่น ดูสบาย ๆ เป็นกันเอง พอมารวมกับเสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ ที่ฟังสบายยิ่งชวนให้ผู้คนที่ได้พบได้เห็นได้ฟังประทับใจ นี่แหละครับเสน่ห์ของอิน

 






พอการแสดงบนเวทีของชมรมดนตรีสากลจบลง ผมก็ขอตัวแยกจากพวกชมพู่กลับมาที่หลังเวทีเพื่อช่วยเก็บของ ผมเดินไปหากลุ่มนักดนตรีที่นั่งกันอยู่แล้วยื่นขวดน้ำเปล่าที่ไม่ได้แช่เย็นให้อิน เพราะรู้ว่าอินมันคงไม่ดื่มน้ำเย็นที่แช่อยู่ในถังน้ำแข็งที่ทางสโมสรนักศึกษาเตรียมไว้ให้


“อ่ะ”


มันรับขวดน้ำที่ผมส่งให้ไปดื่มฮึกใหญ่ ผมมองตามมือเรียวสวยของมันที่ยกขึ้นมาเช็ดหยดน้ำที่ไหลออกมาตรงมุมปาก


“เมื่อกี้มึงได้ดูหรือเปล่า”


“หา...อ๋อ ดูสิ ยื่นอยู่ตรงข้างเวที คนแม่งโคตรเยอะ สาว ๆ งี้กรี๊ดมึงกันทั้งนั้น”


“ก็กูทั้งหล่อทั้งเสียงดี” ไอ้คนหล่อยักไหล่น่าหมั่นไส้ กูละเกลียดในความมั่นหน้าของมึงจริง ๆ


“เออ ไม่เถียง”


ผมได้แต่ทำหน้าเบื่อ ๆ ใส่มันก่อนจะเลิกสนใจปล่อยให้มันนั่งหล่อ ๆ ของมันไป หันไปช่วยอาจารย์พี่ต้าร์ของผมเก็บของดีกว่า จริง ๆ ก็ขนของไม่ไกลหรอกครับ แค่ยกขึ้นไปเก็บที่ห้องชมรมบนชั้น 2 ของตึกนี้เท่านั้นเอง


“พี่แจ๊ค ๆ แย่แล้วพี่”


อยู่ ๆ พี่หมวยหนึ่งในสมาชิกชมรมดนตรีสากลวิ่งมาหาประธานชมรมที่หลังเวที จำได้ว่าพี่แกรับหน้าที่รับสมัครสมาชิกใหม่อยู่ที่โต๊ะด้านนอกนี่ครับ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“มีปัญหาอะไรเหรอหมวย” พี่แจ๊คถามเมื่อเห็นพี่หมวยวิ่งหน้าตาตื่น


“คือตอนนี้มีคนอยากจะสมัครชมรมเราเป็นร้อยเลยพี่ แถมมีแต่ผู้หญิงแย่งใบสมัครกันอยู่ที่หน้าเต็นท์ เอาไงดีวะพี่”


แบบนี้จะไม่ให้พี่หมวยรีบวิ่งมาหาประธานชมรมได้ยังไงละครับ เพราะปีนี้ชมรมดนตรีมีโควต้ารับสมาชิกเพิ่มได้อีกแค่ยี่สิบคนเท่านั้น


สมาชิกทุกคนในวงรวมทั้งผมหันมามองไอ้นักร้องนำที่ยังนั่งทำหน้าหล่อไม่รู้เรื่องอยู่ตรงนี้ด้วยความพร้อมเพียง คิ้วเข้มได้รูปนั่นเลิกขึ้นเป็นคำถามเมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่มองมา


“ความหล่อของมึงนี่ได้เรื่องเลยวะไอ้อิน” พี่ต้าร์ตบไหล่มันก่อนจะหัวเราะลั่น


“เดี๋ยวพี่ออกไปจัดการเอง ทางนี้พี่ฝากดูด้วยนะต้าร์”


พี่แจ๊คตัดสินใจจะออกไปเคลียร์ด้วยตัวเองจึงหันมาฝากให้พี่ต้าร์ดูเรื่องเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ


ลับหลังพี่แจ๊คเดินไปไม่ทันไร ก็มีนักศึกษาหญิงเป็นสิบคนมายืนเมียงมองที่ด้านหลังเวที ชะเง้อมองกันสักพักก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกันขึ้นมา


“นั่นไงแก นักร้องนำ”


“ใช่ ๆ เข้าไปขอถ่ายรูปได้ป่ะ”


“เข้าไปเลยแก เข้าไปเลย”


แล้วสาว ๆ พวกนี้ก็กรูกันเข้ามาหาอินที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นักร้องนำรูปหล่อเงยหน้ามองอย่างงง ๆ แต่ก็ยังแจกยิ้มให้


“คืออินอยู่ปี 1 ใช่ไหมคะ คณะอะไรเหรอคะ”


“อยู่วิทยาครับ”


“เออ พวกเราขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”


“ได้สิครับ”


อินยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พอได้ยินคำอนุญาตจากเจ้าตัว สาว ๆ ก็เข้าไปถ่ายรูปคู่กับอิน บ้างก็ยกมือถือขึ้นมาเซลฟี่ บางคนก็ให้เพื่อนถ่ายเห็น วนเวียนต่อแถวกันอยู่ ดูท่าทางอินมันคงไม่ว่างมาช่วยพวกผมเก็บของแล้วละ ผมเลยว่าไปช่วยพี่ต้าร์ดีกว่า ปล่อยเพื่อนผมมันไว้กับสาว ๆ ตรงนี้แหละ


หมับ!


“เฮ้ย มาดึงกูทำไม”


“มึงอยู่เป็นเพื่อนกูก่อน”


“มึงก็อยู่ถ่ายรูปกับเขาไปสิ กูจะไปช่วยเก็บของ”


ผมพยายามกระตุกแขนออกจากมือไอ้อิน แต่ไอ้นี่ก็ไม่ยอมปล่อยเลย จนคนอื่นที่ล้อมอยู่ยืนมองพวกผมยื้อกันไปยื้อกันมา


“เอ่อ เพื่อนอินเหรอคะ” ผู้หญิงใส่แว่นหน้าตาน่ารักคนหนึ่งถามขึ้น


“เอ่อ..ครับ”


“น่ารักดีอ่ะแก” ผู้หญิงพวกนั้นหันไปกระซิบกระซาบกัน แต่ผมก็ดันได้ยิน


“นั่นสิ หน้าใสเชียว ดูแบ๊ว ๆ เหมือนแมวเลย”


...เอ่อ นั่นกำลังพูดถึงตัวผมอยู่หรือเปล่าครับ ฟังแล้วมันทะแม่งยังไง ๆ อยู่นะ


“เพื่อนชื่ออะไรเหรอคะ แล้วนี่เรียนคณะเดียวกันด้วยหรือเปล่าคะ” สาวผมสั้นที่ยืนอยู่ข้างอินหันมาถามผม


“เพื่อนชื่อกี้ครับ อยู่วิทยาเหมือนกันครับ” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากตอบ อินมันก็ชิงตอบแทน


 “งั้นกี้มาถ่ายรูปด้วยกันค่ะ มา ๆ มายืนข้าง ๆ อินเลยค่ะ”


อ้าว แล้วไม่ถ่ายรูปคู่กับนักร้องนำแล้วเหรอครับ ผมหันไปมองหน้าอินอย่างงง ๆ มันพยักหน้าให้แถมยังดึงผมให้ไปยืนชิดกับมันอีก


“อุ้ย ยืนคู่กันแล้วโคตรดีเลยอ่ะแก”


“ส่วนสูงนี่ใช่เลย เหมาะกันมาก”


“เนอะ เคมีดี๊ดีอ่ะ”


ผมยังงง ๆ กับการที่จู่ ๆ ก็มีคนมาขอถ่ายรูปแบบนี้ ในขณะที่อินมันค่อนข้างจะคุ้นชิน เพราะเวลาที่อินเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดรงเรียนเก่าก็มักจะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยแบบนี้อยู่เสมอ มันเลยยืนส่งยิ้มให้สาว ๆ ถ่ายรูปได้โดยไม่เก้อเขิน ผมก็เลยได้แต่ยืนยิ้มแบบเกร็ง ๆ คิดว่ารูปของผมที่ได้กันไปคงดูไม่จืดเท่าไหร่นัก พวกผมยืนให้ถ่ายรูปกันสักพักพอที่จะทำเอาผมเหงือกแทบจะแห้ง พี่ต้าร์ก็เข้ามาตามให้ไปที่ห้องชมรม พวกเราจึงขอตัวออกมาได้

 






เช้าวันต่อมาวันนี้พวกผมมีเรียนเคมีซึ่งเรียนร่วมกับเด็กปี 1 จากคณะอื่นด้วย พอผมกับอินเดินเข้าไปในห้องเรียนซึ่งเป็นห้องใหญ่ สายตาของทุกคนในห้องต่างมองมาที่พวกผมสองคน พร้อมกับเสียงเซ็งแซ่


“แก อินเรียนเซคนี้ด้วยอ่ะ”


“ตัวจริงโคตรหล่อเลย”


“มากับกี้ด้วยอ่ะ”


เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย ขณะที่อินมันยังทำหน้านิ่งท่าทางเฉย ๆ กวาดตามองหาเพื่อนคนอื่น ในที่สุดก็เห็นชมพู่โบกมือเรียกจากที่นั่งตรงกลางแถวบน อินแตะข้อศอกผมให้เดินนำ ผมเดินขึ้นไปนั่งข้างชมพู่ตรงที่มันจองไว้ให้ โดยที่ตัวมันเขยิบไปนั่งติดกับมาย


“มึงนี่ดังใหญ่เลยนะอิน” ชมพู่เอ่ยแซ็วคนที่นั่งข้างผมอีกด้าน


“หือ”


“ก็งานวันเปิดโลกกิจกรรมไง มีคนทั้งแชร์รูปแชร์คลิปที่มึงร้องเพลงเต็มไปหมด ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้จักนักร้องนำคนใหม่ของวงดนตรีมหาลัยกันทั้งนั้น”


“ก็คนมันหล่อ”


อินมันยกมือขึ้นเสยผม แม่งโคตรขี้เก๊กแต่ดูเหมือนนักศึกษาสาวที่นั่งแถวถัดไปจะชอบนะครับ ผมเห็นมือถือขึ้นมาแอบถ่ายแล้วหันไปหวีดกับเพื่อนใหญ่เลย


“เออ ไอ้หล่อ” ชมพู่กรอกตาก่อนจะหันมาคุยกับผมแทน “มึงก็ดังนะกี้ รู้ตัวป่ะ”


ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน ยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง


“กูเนี่ยนะ”


“ก็รูปคู่มึงกับอินไง ถึงกับมีแฮชแท็กอินกี้เลยนะ”


“ลองเข้าไปดูในเพจเด็กมอดูดิ”


มันเห็นผมยังทำท่าสงสัยเลยชี้ทางสว่าง ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเอาเพจกิจกรรมของมหาลัย เพจนี้ไม่ใช่เพจหลักของมหาลัยครับ เป็นเพจที่ทางสโมสรนักศึกษาทำขึ้นเพื่ออัพเดตกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาลัยซะส่วนใหญ่ ผมเลื่อนหน้าฟีดลงมาเรื่อย ๆ ก็เห็นคลิปการแสดงสดของวงดนตรีของชมรมกับรูปถ่ายในงานวันเปิดโลกกิจกรรม อินชะโงกหน้าเข้ามาดูหน้าจอในมือผมด้วย ผมว่าผมได้ยินเสียงหวีดเบา ๆ จากแถวข้างหลังนะ ผมกดเข้าไปอ่านคอมเม้นใต้คลิปวิดีโอดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นสาว ๆ ที่มาเม้นถึงนักร้องนำของวงนั่นแหละครับ


นักร้องนำหล่อมากกกกกกกกกกก คนนี้ของจองงงงงงงงง


นักร้องเป็นใคร มาจากไหน อยู่คณะอะไรคะ


นักร้องงานดีมากกกกก เห็นแล้วน้ำเดิน พ่อของลูกชั้น


ใครใจดี ขอวาร์ปนักร้องหน่อยคะ


นักร้องชื่ออิน เรียนอยู่วิทย์คอม ปี 1 ค่ะ ตัวจริงงานดีมากกกกก ขาวใสโอปป้ามาก เรายืนยัน


จากนั้นผมก็เห็นมีคนลงลิ้งค์เฟซบุ๊คกับลิ้งค์อินสตราแกรมของอินด้วยเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว  ชมพู่ที่ชะโงกมาดูด้วยกันหันมาถามไอ้คนที่แทบจะสิงหัวผมอยู่แล้ว


“อินมึงลองเปิดเข้าเฟซดิ กูว่าป่านนี้คนขอแอดเป็นร้อยแล้วมั้ง”


อินมันเลยล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูตามที่ชมพู่บอก ทันทีที่กดเข้าไปในเฟซบุ๊คก็แสดงการแจ้งเตือนว่ามีคนขอแอดไอ้อิน


“โอ้โห” จำนวนคนที่ขอแอดเฟซไอ้อินชั่วโมงเดียวเกือบ 500 คนได้มั่งครับ ยังไม่รวมในไอจีที่มีคนกดติดตามเพิ่มอีกหลายร้อยด้วย


“มึงไม่รับแอดเขาเหรอวะ” ผมถามเมื่อเห็นมันกดปิดโทรศัพท์ไปแล้ว


“ไม่ละ ไม่รู้จักสักหน่อย อีกอย่างกูก็ไม่ค่อยเล่นเฟซด้วย มีไว้เพื่อทำงานกลุ่มเฉย ๆ” จริงครับ อินมันสมัครเฟซไว้เพราะต้องใช้คุยเพื่อน ๆ เวลาทำงานกลุ่มเท่านั้น เฟซมันแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย รูปโปรไฟล์ยังเป็นรูปที่ถ่ายตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียนเก่าอยู่เลยครับ


“นี่ไง มีคนพูดถึงมึงด้วยกี้”


ชมพู่ที่เอาโทรศัพท์ของผมไปเลื่อนดูคอนเม้นส่งคืนให้ผมดูหน้าจอ ผมจึงได้เห็นข้อความที่มีการพาดพึงมาถึงผมอยู่ด้วย


ใครมีรูปอินอีกไหมคะ ขอหน่อยค่า


มีรูปอินหลังเวทีค่ะ *แนบรูปอินกับผมที่ถ่ายหลังเวที*


รูปอินถ่ายคู่กับใครคะ น่ารักอ่ะ ดูสนิทกันจังค่ะ มีโอบไหล่กันด้วย >///<


เห็นว่าชื่อกี้ค่ะ เป็นเพื่อนสนิท เรียนอยู่วิทย์คอมเหมือนกัน


กี้เป็นเพื่อนสนิทอินค่ะ เราเห็นมาเรียนพร้อมกันกลับพร้อมกัน ตอนที่คณะก็อยู่ด้วยกันตลอดเลยค่ะ #อินกี้


อร้ายยย ขอจิ้นได้ไหม #อินกี้


ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มด้วยความสงสัย


“จิ้นนี่คืออะไรวะ”


ยังไม่ทันที่ชมพู่จะได้อธิบายข้อสงสัยของผม อาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องแล้วเริ่มเช็คชื่อ พวกผมก็เลยเลิกสนใจเรื่องอื่นหันไปตั้งอกตั้งใจเรียนกันก่อนที่จะโดยอาจารย์เรียกให้ออกไปหน้าชั้น อาจารย์แกยิ่งโหด ๆ อยู่ครับเดี๋ยวจะโดนไล่ออกจากห้อง

 






หลังเลิกเรียนพวกผมชวนกันมาหาข้าวเที่ยงกินกันที่โรงอาหารประจำคณะ พอเดินมาถึงโรงอาหารขณะที่กำลังมองหาโต๊ะว่าง ผมก็สังเกตเห็นว่ามีสาว ๆ หลายโต๊ะพยายามจะทำให้โต๊ะที่พวกเธอนั่งให้มีที่ว่างสำหรับพวกเรา แต่ชมพู่พาพวกผมไปนั่งโต๊ะเดียวกับพวกพี่กิจกรรมปี 2 แทน พวกพี่เขากำลังจะลุกไปเรียนพอดี พอได้โต๊ะพวกผมก็แยกย้ายกับไปซื้อข้าว ผมเดินไปร้านอาหารตามสั่ง เขียนเมนูที่จะกินยื่นให้ลูกสาวป้าเจ้าของร้านก่อนจะเดินไปร้านน้ำ ซื้อชามะนาวกับน้ำกระเจี๊ยบมาอย่างละแก้วแล้วเดินกลับโต๊ะ ยังไม่มีใครกลับมาที่โต๊ะ สักพักอินก็ถือชามก๋วยเตี๋ยวมานั่งฝั่งตรงข้าม


“มึงกินไร”


“สั่งคะน้าหมูกรอบไว้ เดี๋ยวไปเอา”


ผมยื่นแก้วกระเจี๊ยบให้เพื่อนก่อนจะลุกไปเอาข้าวคะน้าหมูกรอบที่สั่งไว้ กลับมาก็เห็นชมพู่กับมายนั่งอยู่กันครบแล้ว


ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะแล้วนั่งลง ลูกชิ้นถูกคีบมาวางข้าง ๆ ผักคะน้าในจาน ผมก็เลยตักหมูกรอบใส่ลงในชามก๋วยเตี๋ยวของคนตรงหน้าแล้วเริ่มลงมือตักข้าวเข้าปาก


“แหม มีแลกลูกชิ้นหมูกรอบกันด้วยนะมึง” ชมพู่ที่นั่งกินข้าวมันไก่อยู่ข้างผมเอ่ยทัก


“ก็ไอ้กี้มันอยากกินลูกชิ้น”


อินยังคงคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากไปเรื่อย ๆ


“กูยังไม่ได้ยินไอ้กี้มันพูดว่าอยากกินสักคำ งั้นมึงก็อยากกินหมูกรอบด้วยสิ” มันยังไม่เลิกพูดครับ “สนใจแลกลูกชิ้นกับไก่กูม่ะ”

“ไม่เอา กูไม่อยากกินไก่แห้ง ๆ ของมึง”


ชมพู่ทำเสียงจิจ๊ะ ผมก้มหน้าลงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงออกมา สไลซ์เปิดหน้าจอก็เห็นการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊คและไอจีเป็นร้อย


“เฮ้ย”


“อะไรมึง” ยังเป็นชมพู่เช่นเคยที่อยากรู้


“อยู่ ๆ คนก็มาขอแอดเฟซกูเป็นร้อยเลยอ่ะ ไอจีอีก” ผมยื่นโทรศัพท์ให้มันดู ชมพู่เหลือบตาดูนิดเดียวมันก็กลับไปตักน้ำจิ้มราดข้าวมันไก่ก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ


“ก็คงตามแท็กอินกี้ของพวกมึงมานั่นแหละ”


ผมเลื่อนดูชื่อคนที่มาขอแอดเฟซ ไม่รู้จักสักคนเลยครับ ไม่ใช่เพื่อนในสาขาด้วย เพราะส่วนใหญ่แอดเฟซกันตั้งแต่วันเปิดเทอมแรก ๆ แล้ว


“อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ รีบกินข้าวได้แล้ว” เสียงทุ้ม ๆ ของไอ้อินเตือนผม แต่ผมก็ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอมือถือ


“แป๊บนึง”


ทันใดนั้นโทรศัพท์ในมือก็ถูกคนตรงหน้าดึงไป ผมมองตามก็เห็นมันทำตาดุ ก่อนจะเอาโทรศัพท์ของผมยัดใส่กระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกของมัน


“ไอ้อิน เอาโทรศัพท์กูคืนมา”


ผมพยายามจะเอื้อมข้ามโต๊ะไปแย่งมือถือจากกระเป๋าเสื้อมัน แต่กลับถูกไอ้อินใช้นิ้วจิ้มหน้าผากจนต้องกลับมานั่งตามเดิม


“มึงกินข้าวให้หมดแล้วเดี๋ยวกูคืน”


เมื่อเพื่อนสนิทผมก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวต่อไม่สนใจผมอีก ผมเลยได้แต่ตักข้าวในจานเข้าปากด้วยความจำนนเพราะแขนสั้นเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์ไม่ถึง ได้ยินเสียงชมพู่พึมพำ


“กูว่างานนี้แท็กอินกี้คงครึกครื้นแน่ ๆ”


 

TBC....


ไม่รู้ว่าเรื่องดูเนื่อย ๆ ไปหรือเปล่า แต่อยากให้เห็นความซื่อ ๆ ของกี้และความเอาใจใส่ของอินที่มีต่อกี้น่ะค่ะ ค่อยรักกันเบา ๆ เนอะ :o8:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 06-01-2018 20:08:27
น้องกี้ยังน่ารักเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีแฮชแท็ก อิอิ #อินกี้
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 06-01-2018 22:10:43
มาเป็นแม่ยก #อินกี้ ด้วยคนค่าาาาาา :katai2-1:
อ่านเรื่องนี้ละนึกถึง #มาร์คมีน เลยอ่ะ ฮือออ แต่เสียดาย น้องกี้ไม่มีความสามารถเรื่องดนตรีเลย 5555555
น้องกี้คือน่ารักอะ นางใสๆมาก  o18
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 06-01-2018 23:12:29
ชอบมากเลยค่ะ อินรีบๆรักษากี้เร็วววววว
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 07-01-2018 22:47:17
เรื่องน่ารักดีค่ะ คล้ายๆมาร์คมีนเลยยยยย  :-[
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 13-01-2018 11:30:02
ตอนที่ 6



   ผมนั่งมองไอ้คนที่เดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำยังคงร่วงพราวจากปลายผมเปียกแม้เจ้าตัวจะกำลังเช็ดด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ผมมองตามหยดน้ำที่ไหลจากบ่ากว้างลงไปจนถึงหน้าท้องแบนราบที่มีแต่กล้ามเนื้อ รูปร่างดีจนน่าอิจฉา ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ

   ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ...

   และสัญชาตญาณของผมมันบอกว่าไม่ดีแน่ ๆ  อินมันกำลังทำให้ผมไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือเลย

   “มึงใส่เสื้อด้วยสิวะ” ผมหันกลับมาจ้องที่หน้ากระดาษซึ่งเปิดค้างไว้บนโต๊ะหนังสือเมื่ออินมันหันมามอง

   “ไม่ละ กูร้อน” มันยังคงเดินไปเดินมาในห้องโดยไม่คิดจะหยิบเสื้อในตู้มาใส่

   “ใส่เหอะ เดี๋ยวกูเปิดแอร์”

   “ทำไมมึงอยากให้กูใส่เสื้อจังวะ”

   “เออ...แล้วมึงจะมาเดินแก้ผ้าโทง ๆ ทำไมวะ”

   “ทำเหมือนมึงไม่เคยเห็น แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันก็เคยมาแล้ว”

ที่มันพูดก็จริงอยู่ครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่นั่นมันก็ตั้งแต่สมัยเรียนร.ด.แล้วครับที่แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกัน แล้วไม่ใช่อาบกันแค่ 2 คนเสียหน่อย ตอนเข้าค่ายนั่นอาบรวมกันเป็นสิบคน

   “ก็นั่นมันเมื่อก่อน”

   “แล้วตอนนี้มันยังไง” อินเดินมาหยุดยืนข้างหลังผม แต่ผมยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือต่อ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเข้าหัว

   “มันก็ไม่ยังไงหรอก”

   “หรือว่า...” เสียงทุ้ม ๆ ของมันพูดอยู่ข้างหูไม่ดังนัก “มึงมีอาการเหรอวะ”

   ผมได้แต่เม้มปากแน่น ไม่มีคำพูดใด ๆ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เริ่มจะเต้นผิดจังหวะ

   “ตอบกูก่อนสิ”

เสียงของอินยังดังอยู่ข้างหูพร้อมกับลมหายใจที่ร้อนรดชวนให้ขนลุก

   “กูจะอ่านหนังสือ”

   มือคู่เรียวสวยของมันจับเข้าที่ขาแว่นตาของผมก่อนที่จะดึงออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปโวยไอ้คนที่แกล้งผม

“เฮ้ย ไม่เอา กูไม่เล่น”

ถึงสายตาผมจะพร่ามัวไปบ้าง แต่ด้วยความใกล้ผมจึงเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าของอินที่หน้าผมแทบจะชนอยู่แล้วอย่างชัดเจน

พรึบ...

นั่นไง ผมอุตส่าห์พยายามสงบจิตสงบใจไว้แท้ ๆ ตอนนี้เจ้าผีเสื้อพวกนั้นมันพากันบินวนอยู่ในท้องของผมแล้วครับ

   “มึงเป็นอีกแล้วใช่ไหม”

   “...อือ” ผมก้มหน้าจนคางชิดหน้าอก ส่งเสียงตอบรับมันเพียงเบา ๆ

   “มึงใส่เสื้อเหอะ กูขอละ”

   มันเงียบเสียงไปก่อนที่แว่นตาจะถูกสวมคืนให้ผมอย่างเบามือ ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นอินผละออกไปเปิดตู้แล้วหยิบเสื้อยืดมาสวม

   “กูพูดตรง ๆ นะอิน” ผมกลั้นใจพูดออกมาตรง ๆ ในสิ่งที่คิด “กูว่ามึงกลับไปอยู่คอนโดมึงเถอะ นี่ก็ใกล้สอบมิดเทอมแล้วมีมึงอยู่ด้วยกูไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยวะ”

   “ไม่เกี่ยวกับกูมั้ง กูก็เห็นมึงขี้เกียจอ่านอยู่แล้วเปล่าวะ” อินหยิบหนังสือจากกระเป๋าของมันที่วางอยู่ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา

   “อิน นี่กูพูดจริง ๆ นะ”

   อินถอนหายใจออกมาขณะที่กำลังเปิดหน้าหนังสือในมือ

   “กูอยู่ด้วยจะได้ช่วยติวตรงที่มึงไม่เข้าใจไง”

   “ไม่เป็นไร กูว่ากูพออ่านเองได้”

   “มึงเอางั้นนะ” มันเงยหน้าจากหนังสือมาถามผม

   ผมพยักหน้ารับ

   “โอเค งั้นพรุ่งนี้กูจะกลับไปอยู่คอนโด ถ้ามึงมีปัญหาอะไรก็โทรถามกูละกัน”

   “อือ” ผมตอบรับด้วยความยินดีที่อินมันยอมตกลงตามที่ผมเสนออย่างง่ายดาย

   “งั้นมึงอ่านหนังสือต่อ กูก็จะอ่านของกูบ้าง”

   พอเห็นอินนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ ผมก็หันกลับมาอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ พยายามจะทำสมาธิให้จดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

   แต่ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีตอนเช้าก็นอนห่มผ้าอยู่บนเตียงแล้ว สงสัยว่าตัวเองคงอ่านหนังสือจนเพลียเลยละเมอคลานขึ้นมานอนบนเตียง แถมแว่นตายังถอดพับวางไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะอีกตั้งหาก



   ความรู้สึกแรกหลังออกจากห้องสอบวิชาสุดท้าย

   ...ไอ้กี้มึงตายแน่ ๆ

   ผมแทบจะร้องไห้หลังจากที่อาจารย์บอกว่าหมดเวลาแล้วดึงกระดาษคำตอบที่ยังเขียนไม่เสร็จออกจากมือผม

   “ไงกี้ ทำได้ไหมวะ” ชมพู่ถามหลังจากที่ผมเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องสอบ บอกได้คำเดียวว่าหมดสภาพครับ

   “ทำได้ไหมกูไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าได้ทำ”

   “สอบเสร็จแล้วไม่ต้องเครียดแล้วมึง ไว้คะแนนออกค่อยว่ากันอีกที” ชมพู่พูดปลอบใจ ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “ก็คงอย่างงั้น”

   “เอาน่า มึงก็ทำเต็มที่แล้วไม่ใช่เหรอ” อินตบไหล่เบา ๆ

   เต็มที่ไหม...

ผมก็ตอบไอ้อินมันได้ไม่เต็มปากครับ ไอ้ที่เอ่ยปากบอกให้มันกลับไปนอนคอนโดตัวเองเพื่อที่ผมจะได้มีสมาธิอ่านหนังสือสอบท่าทางไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือน่ะสิครับ ทำตัวเถลไถลเล่นเกมบ้างอ่านการ์ตูนบ้าง นี่ถ้าอินมันรู้มันต้องด่าผมยับแน่ ๆ

   “สอบเสร็จแล้ว ไปฉลองกันดีกว่ามึง เย็นนี้เลย”

ชมพู่หันไปชวนทุกคน ก็ดีครับ ไปปลดปล่อยให้หายเครียดบ้าง พรุ่งนี้วันเสาร์ด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วง

   “ป่ะ กูก็อยากเมาเหมือนกัน” หันไปมองไอ้อินมันก็ไม่ได้ค้านอะไร ส่วนมายก็ยิ้มรับแสดงว่าโอเค

   “จัดไปไอ้กี้ วันนี้ไม่เมาไม่เลิก”

   “ตามนั้นชมพู่” ผมตกลงกับชมพู่เสร็จสรรพก็หันไปหาอิน

   “กูจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่หอก่อน อินมึงจะเอาไง”

   “กูมีเสื้ออยู่ในรถ เดี๋ยวเอาไปเปลี่ยนที่ห้องมึง” ผมพยักหน้ารับแล้วหันกลับมาถามเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม หอชมพู่มันอยู่คนละทางกับหอผม

   “แล้วมึงไปยังไงวะชมพู่”

   “เดี๋ยวเราไปรับชมพู่ที่หอเอง” มายอาสาเพราะเป็นอีกคนที่มีรถ

“งั้นทุ่มนึงเจอกันที่เมาเบอรี่”

   “โอเค” พอตกลงกันได้โดยชมพู่บอกเป้าหมายที่จะไปในคืนนี้พวกผมก็แยกย้าย


   
   “พวกมึง ชน”

   ผมยกแก้วเหล้าในมือชนกับเพื่อน ๆ ก่อนจะค่อย ๆ จิบ ยังไม่รีบเมาครับ ขอส่องสาว ๆ แถวนี้ก่อน เท่าที่เห็นตอนเดินเข้ามาผมก็เห็นมีเด็ด ๆ หลายคนอยู่เหมือนกัน โต๊ะถัดไปนี่ก็ดี โต๊ะตรงมุมนั้นก็แจ่ม สวย ๆ กันทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงผมยาวหน้าตาเหมือนลูกครึ่งที่ผมเห็นมองไอ้อินตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“เฮ้ย อิน มึงดูผู้หญิงโต๊ะนั้นดิ มองมึงใหญ่เลย ไม่สนเหรอวะ” ผมสะกิดบอกมัน ไอ้คนรูปหล่อแค่เหลือบตาไปมองแล้วกลับมาดื่มเหล้าต่อ

   “ไม่ละ ไม่ใช่สเปคกู”

   “สเปคมึงนี่ยังไงวะ กูอยากรู้ สาว ๆ ทั้งมหาลัยเขาก็อยากรู้” ชมพู่ยื่นหน้าเข้ามาถาม เรื่องอยากรู้เรื่องคนอื่นนี่ไม่มีใครเกินจริง ๆ

   “มึงนี่เสือกเรื่องกูจังเลยนะครับชมพู่” ถ้ามึงจะด่าว่าเสือกขนาดนี้ไม่ต้องมีครับแล้วก็ได้มั้ง

   “เอ้า มึงก็บอกมาสิ” อย่าคิดว่าผู้หญิงอย่างชมพู่จะสนใจกับคำด่าแค่นี้ครับ

   “อือ...ขาว ๆ ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ดูซื่อ ๆ โง่หน่อย ๆ แบบนั้นล่ะมั้ง” อินมันทำท่านึกตั้งนาน ฟังตอนแรกก็ฟังดูดีอยู่หรอกครับ แต่ท้าย ๆ นี่ชักจะแปลก ๆ

   “อ้าว แบบนี้ก็ไม่ใช่กูสิ กูทั้งสวยแล้วก็ฉลาดมากด้วย”

   “อย่างมึงกูไม่กล้ายุ่งด้วยหรอกไอ้ชมพู่”

   “จริง น่ารักแต่ห้าวขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะกล้าจีบมึงวะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับอิน ถ้านั่งเฉย ๆ เพื่อนผมคนนี้ก็ดูน่ารักดีอยู่หรอกครับ แต่จริง ๆ กลับเกรียนไม่แพ้ผู้ชายเลย

   “เขาไม่จีบกู กูก็จีบเขาเองสิว่ะ ไม่เห็นยาก” ฟังที่มันพูดสิครับ กุลสตรีมาก

   “ว่าแต่สเปคมึงนี่แปลก ๆ เนอะ ชอบคนซื่อ ๆ โง่ ๆ”

   อินมันไม่ตอบชมพู่ เอาแต่อมยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

   “ไอ้กี้นี่ก็ได้นะ ตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ แถมซื่อบื้อตรงตามสเปคมึงเลย”

ผมสำลักเหล้าที่กำลังดื่มอยู่พอดี อยู่ดี ๆ กูไปเกี่ยวอะไรกับสเปคของไอ้อินวะ แถมยังหลอกด่ากูอีกนะ

“แค่ก ๆ ไอ้ชมพู่ มึงนี่พูดออกมาได้ แล้วนี่ด่ากูด้วยเหรอ”

   “อ้าว รู้ตัวด้วยเหรอมึง ฮ่า ๆ” ชมพู่หัวเราะชอบใจ ก่อนจะชวนชนแก้วอีกรอบ

   “มึงรู้ป่ะ ไอ้แฮชแท็กอินกี้ของพวกมึงนี่โคตรดังเลยนะ”

   “ยังไม่เลิกเล่นกันอีกเหรอวะ”

ผมคุ้น ๆ ว่าชมพู่มันเคยเล่าให้ผมฟังช่วงที่อินมันฮอตสุด ๆ หลังจากที่เปิดตัวเป็นนักร้องนำสุดหล่อของวงดนตรีมหาลัยในงานเปิดโลกกิจกรรม เรียกได้ว่างานวันนั้นเป็นแกรนด์โอเพนนิ่งของมันเลยครับ

   “เลิกอะไรละ นี่มึงดู เดี๋ยวนี้มีเพจทีมอินกี้ด้วยนะมึง” ชมพู่หยิบโทรศัพท์มาเปิดเข้าเฟซบุ๊คแล้วยื่นให้ผมดู

   “โห มีรูปกูกับไอ้อินเต็มเลย นี่แอบถ่ายกันตั้งแต่ตอนไหนวะ”

   มีทั้งรูปในห้องเรียนที่ผมกำลังก้มหน้าหลบอาจารย์คุยกับอิน รูปตอนที่ผมกับอินทานข้าวที่โรงอาหารแล้วอินมันกำลังคีบลูกชิ้นใส่ในจานข้าวของผม รูปอินมันยกมือแกล้งขยี้หัวผมขณะที่เราเดินขึ้นตึกเรียน ยิ่งเป็นรูปที่พวกผมดูใกล้ชิดกันเท่าไหร่ ยอดไลค์รูปนั้นก็ยิ่งสูง ผมเลื่อนดูรูปไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดตาเข้ากับรูป ๆ หนึ่ง ในรูปผมกำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าโดยที่อินมันยืนรออยู่ข้าง ๆ และดูจากรูปจะเห็นว่าเงาของคนที่ยืนอยู่ตกลงที่ตัวผม ช่วยบดบังไม่ให้ผมโดนแดดยามบ่ายที่ทอดแสงเต็มแผ่นหลังของมันแทนอย่างพอดิบพอดี ทั้ง ๆ ที่อีกฝั่งที่อินยืนอยู่มีร่มเงาจากหลังคากันแดด จากเสี้ยวหน้าของคนที่ยืนอยู่ในรูปสังเกตเห็นรอยยิ้มละมุนและสายตาที่ก้มลงมองผม

   มันทำให้ผมรู้สึกถึงปีกเล็ก ๆ ที่อยู่ในท้องชอบกล...

   “อ้าว ไอ้อิน ไอ้กี้”

   เสียงเรียกชื่อทำให้ผมละสายตาจากโทรศัพท์ในมือ หันไปมองก็เห็นพี่ต้าร์เดินมาพร้อมพี่แจ๊ค ผมเลยส่งโทรศัพท์คืนให้ชมพู่ แล้วยกมือไหว้เมื่อพี่ต้าร์เดินมายืนข้างผม

   “หวัดดีครับพี่”

   “นี่สอบกันเสร็จแล้วเหรอวะ”

   “ครับ ตัวสุดท้ายเมื่อเช้า นั่งด้วยกันไหมพี่” อินเป็นคนตอบพร้อมกับเอ่ยปากชวน

   “ไม่ละ พวกกูนัดเพื่อนไว้แล้ว”

   “วันจันทร์เรียนเสร็จแล้วก็แวะไปชมรมหน่อยนะ เดือนหน้าจะมีเฟรชชี่ไนท์ วงเราต้องไปเล่นเป็นวงเปิด” พี่แจ๊คนัดแนะกับนักร้องนำของวงเพราะหลังจากงานวันเปิดโลกกิจกรรมก็เป็นช่วงใกล้สอบมิดเทอมพอดี พวกผมเลยขอหยุดชมรมไปชั่วคราวเพื่ออ่านหนังสือสอบ

   “ได้ครับพี่”

   “ไอ้กี้ มึงก็ไปด้วยนะ หยุดไปนี่มึงลืมที่กูสอนหมดแล้วมั้ง”

ผมอุตส่าห์นั่งเงียบ ๆ แล้วนะครับ อาจารย์พี่ต้าร์ของผมยังจำได้อีกน่ะ ผมเลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ

   “แฮะ ๆ”

   “ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มเลยมึง แล้วก็อย่ากินเหล้าให้มันเยอะนะไอ้กี้ มันไม่ดี”

   “อ้าว ถ้าเหล้ามันไม่ดีงั้นพี่มาร้านเหล้าทำไม”

   “กูก็มากินเหล้าสิว่ะ” พี่แกตอบหน้าตาเฉย นี่ว่าที่หมอจริงหรือหมอเถื่อนวะ

   “กูบอกอะไรก็เชื่อฟังสิวะ”

   “อะไรของพี่เนี่ย ทีคนอื่นไม่เห็นห้าม”

ผมโวยวาย ทีไอ้อินก็มาด้วยกันไม่เคยเห็นพี่ต้าร์จะว่าอะไร แต่กับผมนี่ห้ามจัง ทำอย่างกับเป็นป๊าผมเลย

   “มึงเป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ามาเถียง”

   “โว๊ะ” เด็กบ้าอะไรพี่ ทั้งโต๊ะนี่ก็อายุเท่ากันหมด ผมเลยทำหน้ามู่ใส่ พี่แกทำท่าจะเขกกระโหลกจนผมต้องเขยิบไปหลบหลังไอ้อิน

   “กูไปละ ไว้เจอกันวันจันทร์”

พี่แจ๊คพาน้องพี่ไปเลยครับ ชอบแกล้งผมอยู่เรื่อยเลย ผมรีบโบกมือบ๊ายบายส่งพี่ชายที่เคารพรัว ๆ

   “ใครวะ” ชมพู่ถาม ทำท่าพยับเพยิบไปทางที่พวกพี่ ๆ เขาเดินไป

   “พี่ในวงน่ะ วันงานเปิดโลกกิจกรรมมึงก็น่าจะเห็น”

   “วันนั้นคนมันเยอะกูไม่ทันมองว่ะ มัวแต่มองมึง”

   “ชมพู่มึงคิดอะไรกับอินป่ะเนี่ย หยอดจัง” ผมแกล้งแหย่เล่นเพื่อว่ามันจะเขินบ้าง แต่คงจะคิดผิด

   “อย่างไอ้อินไม่ใช่สเปคกูว่ะ หล่อไป”

   “กูรู้สึกโชคดีจังว่ะ” อินทำท่าทางโล่งอกจนดูโอเวอร์

   “ฮ่า ๆ”

   “มาย นี่มึงหัวเราะกูเหรอ” ไอ้ชมพู่มันหันไปเล่นงานมายที่หัวเราะขึ้นมานั่งกินเหล้าเงียบ ๆ มาตั้งนาน ไม่พูดไม่จาเอาแต่ยกแก้ว ผมว่าเหล้าจะหมดเพราะมันนี่แหละครับ

   “เราไม่ได้หัวเราะชมพู่ เราแค่ขำที่อินพูด”

   “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

   “เอ้า พวกมึงชน ๆ” ก่อนที่พวกมันจะเอาแต่กัดกันผมเลยยกแก้วขึ้นมาชวนพวกมันดื่ม

   “เบา ๆ กี้ เดี๋ยวก็เมาหรอก”

เอ๊ะ ไอ้นี่ มากินเหล้าก็ต้องกินให้เมาสิโว้ย ไม่งั้นจะมากินให้เปลืองทำไม ผมแลบลิ้นให้ไอ้อินเพื่อนที่ชอบทำตัวเป็นป๊าของผมอีกคน ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากทีเดียวหมดแก้ว แล้วหันไปยักคิ้วให้มัน

“มา ๆ ไอ้กี้ ไม่เมาไม่เลิก” ชมพู่ยื่นแก้วที่ชงมาใหม่ใส่มือผม

“จัดหนักจัดเต็มมาได้เลยครับ”




เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่ยอมหยุดรบกวนการนอนหลับที่แสนสบาย ผมเอาผ้าห่มคลุมหัวกะว่าปล่อยให้เสียงโทรศัพท์มันเงียบไปเอง แต่ยังไม่ทันจะหลับต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง จนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ยอมเอื้อมมือออกจากผ้าห่มไปหยิบโทรศัพท์มาจากทิศทางที่ได้ยินเสียงก่อนรับสายด้วยเสียงแหบแห้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตา

“ฮาโหล”

‘ทำไมรับโทรศัพท์แม่ช้าจังอิน’

อิน....

ผมลืมตาขึ้นมองโทรศัพท์มือถือในมือและชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอถึงได้รู้ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ใช่ของผม

“เออ...นี่กี้ครับแม่”

‘อ้าว กี้เหรอลูก แล้วอินไปไหนละ”

ผมหันมองไปรอบ ๆ ตัวก็ได้รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง แต่เป็นห้องนอนภายในคอนโดของเพื่อนสนิทแทน ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวมันอยู่ที่ไหน แต่ได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากห้องน้ำเลยเดาว่าเจ้าของห้องน่าจะกำลังอาบน้ำอยู่

‘อินมันอาบน้ำอยู่ครับ’

‘แล้วกี้เป็นยังไงมั่งลูก สบายดีไหม เห็นอินบอกว่าสอบเสร็จแล้วใช่ไหม’

“สบายดีครับ เพิ่งสอบเสร็จเมื่อวาน”

‘งั้นฝากบอกอินด้วยนะว่าแม่โทรมา’

“ได้ครับ สวัสดีครับ”

พอวางสายจากแม่ของอิน ผมก็ลุกขึ้นนั่งพลางคิดทบทวนว่าตัวเองมาอยู่ที่ห้องนี้ได้อย่างไง จำได้ว่าเมื่อคืนพวกผมไปดื่มฉลองกันที่ร้านเมาเบอรี่แถวมหาลัยหลังสอบเสร็จ ก็จัดกันเยอะเหมือนกันน่ะครับ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเลิกดื่มกันตอนไหน ผมก้มลงมองเสื้อกับกางเกงที่ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งคอย้วยกับกางเกงบ๊อกเซอร์ของไอ้อิน

“ตื่นแล้วเหรอ”

ผมเงยขึ้นมองก็เห็นเจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างไว้ผืนเดียว

“ทำไมกูมาอยู่ห้องมึงวะ”

“นี่มึงจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

ผมส่ายหน้า รู้สึกมึน ๆ หนัก ๆ หัวชอบกล แถมยังเคืองนัยน์ตาทั้งสองข้างด้วย

“มึงเมามาก แถมยังอ้วกใส่กูตอนที่พามึงมาขึ้นรถด้วย กูก็เลยพามึงมานอนที่คอนโด” อินเล่าให้ผมฟังขณะที่กำลังแต่งตัว

“แฮะ ๆ” ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ “กูจำไม่ได้เลยวะ”

“อ้วกใส่กูเสร็จมึงก็หลับไม่ยอมตื่นเลย ลำบากกูต้องแบกมึงขึ้นห้องแล้วต้องมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนกางเกงที่เลอะอ้วกมึงอีก”
 
อินในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขาเดฟเดินมาที่เตียง ก่อนที่มันจะใช้นิ้วยาว ๆ ของมันดีดหน้าผากของผม

“โอ้ย” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากตรงที่โดนดีด

“กูบอกว่าอย่ากินเยอะก็ไม่เชื่อกู เป็นไง เดือดร้อนกูอีก”

“มึงอย่าบ่นมากสิ กูสำนึกผิดไม่ทัน” ผมได้แต่พูดเสียงอ่อย ๆ ไม่มีอะไรจะเถียง

ผมยกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้างจนไอ้อินมันคงสังเกตเห็น เลยถามขึ้นมา

“ตาเป็นอะไร”

“ไม่รู้อ่ะ แสบตา” ยิ่งขยี้ก็ยิ่งแสบจนน้ำตาไหล

“ไหนดูสิ”

อินจับมือผมเอาไว้ไม่ให้ขยี้ตา แล้วย่อตัวลงตาจนระดับสายตาของเราเท่ากัน ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาคม

“ก็มึงเล่นใส่คอนแทคเลนส์นอนทั้งคืน ตอนนี้ตามึงแดงมากเลย ทำไมไม่ถอดออกก่อนวะ” อินมันบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ก็เมื่อคืนกูเมา จะลุกขึ้นมาถอดได้ไงละ” เมาจนไม่รู้สึกตัวแบบนั้น มึงก็บ่นกูไม่คิดเลยนะไอ้อิน

“กูบอกแล้วให้มึงกลับไปใส่แว่นก็ไม่เชื่อกู”

“อย่าขยี้ เดี๋ยวตาก็อักเสบหรอก” อินทำเสียงดุทันทีที่เห็นผมยกมือขึ้นมาใกล้ตา

“เออ รู้แล้วน่า”

“ลุกไปถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วก็อาบน้ำได้แล้ว นี่สิบโมงกว่าละ กูหิว”

มือใหญ่ของอินยื่นมาตรงหน้า ผมเลยส่งมือให้มันก่อนจะถูกดึงให้ลุกขึ้นจากเตียง ผ้าขนหนูผืนใหม่ถูกยัดใส่มือ พร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของมัน ผมรับมาแล้วเดินไปทางห้องน้ำก่อนจะนึกออกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่ทำให้ผมตื่น

“เอ่อ เมื่อกี้แม่มึงโทรน่ะ”

อินหยิบโทรศัพท์มือถือของมันที่ผมวางทิ้งไว้บนที่นอนขึ้นมากดโทรออก ผมได้ยินเสียงมันพูดกับแม่ก่อนจะผมเดินเข้าห้องน้ำ

“ครับแม่”

“เมื่อคืนกี้มันเมาเลยมานอนที่ห้องน่ะครับ” อ้าว ไอ้นี่ เอากูไปเม้าให้แม่มึงฟังทำไม แบบนี้ภาพพจน์กูเสียหายหมด
   


   เกือบครึ่งชั่วโมงได้ที่ผมใช้เวลาอาบน้ำ พอแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องนอนโดยที่ถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วและไม่ได้สวมแว่นเพราะเมื่อวานผมไม่ได้หยิบออกมาด้วยตอนที่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง ยังดีที่ผมไม่ได้สายตาสั้นมากจนใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ถ้าขาดแว่นสายตา แค่มองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ผมหรี่ตามองภาพไอ้อินแบบเบลอ ๆ กำลังแกะห่อข้าวใส่จานบนโต๊ะกินข้าวตัวเล็กขนาดนั่งได้สองคนอยู่

   “มากินข้าวได้แล้ว”

   ผมเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเจ้าของห้อง ข้าวหมูแดงผสมหมูกรอบเหมือนกันสองจานวางอยู่บนโต๊ะ ผมหยิบช้อนส้อมที่วางอยู่ตักหมูกรอบในจานของตัวเองไปใส่จานของอิน ขณะที่อินก็ตักกุนเชียงทอดใส่ในจานของผม เราสองคนนั่งกินข้าวในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูโลกโซเชี่ยลระหว่างที่ตักข้าวเข้าปาก

   “กินดี ๆ อย่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์”

   อินมันบ่นแต่ผมก็ทำเป็นหูทวนลมไปครับ นั่งไถหน้าจอต่อไปสักพักก็รู้สึกรำคาญที่ต้องเพ่งหน้าจอเลยวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาตักข้าวกินต่อ แก้วพลาสติกบรรจุน้ำปั่นสีใส ๆ ถูกยื่นมาให้พร้อมกับคำพูดสั้น ๆ

   “แก้แฮงค์”

   ผมรับมาดูดไปฮึกใหญ่ถึงรู้ว่ามันคือน้ำมะนาวปั่นที่เปรี้ยวจิ๊ดขึ้นสมอง ทำเอาตาสว่างเลย

   “นี่ลงไปซื้อมาตอนไหนวะ”

   “ตอนที่มึงอาบน้ำนานเป็นชาติไง รอมึงกูคงหิวตายก่อน” อินก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากต่อ

   “กูซื้อน้ำยาล้างตากับยาหลอดตามาให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ”

   ผมมองคนที่ปากก็เอาแต่บ่นแต่กลับคอยดูแลผมอยู่ตลอด น้ำมะนาวปั่นที่อินมาซื้อมาให้ถูกผมลิ้มรสอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่ารสชาติมันกลมกล่อมขึ้นกว่าเดิม


TBC.....

สวัสดีวันเด็กค่า ฝากเด็กซื่อชื่อกี้ไว้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: xkoxko ที่ 13-01-2018 12:11:07
กี้น่าร้ากกก :mew1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 13-01-2018 13:30:21
 :mew1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 13-01-2018 18:00:16
อินนี่เหมาะกับตำแหน่งสามีแห่งชาติมากอ่ะ ดูแลดีไปอีกกกกกกก หน่องกี้อย่ารู้ตัวช้านะคะ ก่อนที่พรี่จะแย่งงงงงงง :laugh:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 13-01-2018 20:41:12
 :impress2: มันละมุนอ่ะแก เอาใจใส่ขนาดนี้  :L1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 13-01-2018 21:53:14
น้องกี้คนซื่อ น่ารักที่สุด อินก็เนียนจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 13-01-2018 23:55:23
 :hao7:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 15-01-2018 17:47:25
น้องกี้คนซื่อแห่งปี!!!
โรคประจำตัวแบบนี้ อินคงชอบน่าดู หมั่นไส้อิน 555555
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 7 [20/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 20-01-2018 14:38:31
ตอนที่ 7

   ผมยืนมองแผ่นกระดาษที่แปะอยู่บนบอร์ดหน้าห้องเรียนด้วยความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ บนแผ่นกระดาษสีขาวมีรายชื่อและคะแนนผลสอบมิดเทอมวิชาแคลคูลัสที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานมานี่เอง

   “เป็นไงวะ”

   แขนของเพื่อนสนิทโอบคล้องบนบ่าผมแบบที่มันทำประจำ อินเงยหน้าขึ้นไล่สายตาบนกระดาษบอกคะแนน ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้ม ๆ เป็นเอกลักษณ์ของมันพูดด้วยน้ำเสียงที่ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

   “นายกีรติ ตั้งวัฒนาพานิช 13 คะแนน จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน”

   ผมรู้สึกว่าวงแขนที่โอบรอบคออยู่แน่นขึ้นกว่าเดิม

   “นี่วิชาอื่นมึงได้เท่าไหร่”

   ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนสนิท

   “ไอ้กี้”

   “อิ้งได้ 18 เคมีได้ 15 วิทย์ได้ 17 ... ไบโอได้ 16” ผมตอบเสียงอ่อย เตรียมตัวเตรียมใจโดนอินมันด่ายับแน่ ๆ
   แต่ผิดคาด ผมได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความอ่อนใจจากคนที่อยู่ข้างกายพร้อมกับวงแขนที่คล้ายออก

   “นี่มึงไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือจริง ๆ จัง ๆ ใช่ไหม”

   “ก็...อ่านอยู่”

   “อ่านแล้วทำไมคะแนนถึงได้แค่นี้”

   ผมเบะปากเหลือบตาขึ้นมองไอ้คนที่จ้องผมอยู่ พอเห็นแววตาที่มองตอบกลับมาด้วยความผิดหวัง ผมก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำตาละห้อยสำนึกผิดที่ไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือตามที่บอกมันไว้

   “ไงพวกมึง ได้เท่าไหร่กันวะ”

   ชมพู่กับมายเดินมาสมทบ พร้อมกับมองคะแนนบนบอร์ด

   “กูได้ 30” ชมพู่ไล่สายตาไปเรื่อย ๆ “โห ไอ้อินมึงได้ท๊อปเซคเลยเหรอวะ”

   “อ้าว ไอ้กี้มึงตกมีนนี่”

   เออ กูรู้แล้ว มึงไม่ต้องตอกย้ำกูอีกรอบก็ได้

   “ชมพูอย่าไปย้ำกี้สิครับ แค่ตกมีนไปสามคะแนนเอง”

ไอ้มาย...มึงจะเงียบอย่างทุกทีกูก็ไม่ว่านะ

   “เห็นทีกูคงต้องทำอะไรสักอย่างละไม่งั้นมึงไม่รอดเอฟแน่”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าตาจริงจังราวกับกำลังมีแผนการอะไรสักอย่าง

   “มึงจะทำอะไรวะ”

   “เดี๋ยวมึงก็รู้เอง”





   เสียงริงโทนดังขึ้นคามือในขณะที่ผมกำลังเกลือกกลิ้งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงในช่วงบ่ายวันเสาร์ ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมรีบกดรับสายทันที

“ฮัลโหลม้า”

   ‘เป็นไงเรา สอบได้คะแนนออกมาไม่ค่อยดีเหรอกี้’ ม้าผมเข้าประเด็นทันที ไม่มีเกริ่นอะไรทั้งสิ้น

   “ม้ารู้ได้ไง”

   ผมถามด้วยความตกใจก่อนที่จะนึกออกว่ามีคนเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้ม้ารู้เรื่องผลสอบของผมได้

   “นี่อินมันโทรไปฟ้องม้าเหรอ”

   ‘อินไม่ได้โทรมาฟ้อง แต่อินโทรมาขอม้าว่าจะให้กี้ไปอยู่ที่คอนโดด้วย อินจะได้ติวหนังสือให้’

   “ห๊ะ แล้วม้าว่าไง” ผมดีดตัวเด้งขึ้นจากที่นอนทันที

   ‘ม้าว่ามันก็ดีนะ เราน่ะห่วงแต่เล่นสนุก อยู่ไกลหูไกลตาม้าแบบนี้ ได้อินช่วยเคี่ยวเข็ญ ม้าก็ค่อยวางใจได้’

   “นี่ม้าไม่ไว้ใจลูกตัวเองเลยเหรอครับ”

   ‘ก็เพราะม้ารู้ดีว่าเราเป็นยังไงถึงได้เป็นห่วง นี่ถ้าอินไม่รับปากว่าจะช่วยดูแล ม้าก็ไม่ยอมให้เราไปเรียนที่กรุงเทพหรอก’

   “ม้าอ่ะ กี้โตแล้วนะ”

ผมเบ้ปาก อินมันเป็นลูกรักของม้าผมครับ รูปหล่อ เรียนดี กีฬาเยี่ยม กิจกรรมเด่น ม้านี่ปลื้มมากที่อินเป็นเพื่อนสนิทผม ไม่ว่าอินจะชวนผมไปทำอะไรม้าก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด

   ‘ไปอยู่กับอินก็ทำตัวดี ๆ นะกี้”

   “ม้า...นี่ลูกชายคนเล็กของม้าเองนะ”

   ‘เอาเป็นว่าตั้งใจเรียน รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะลูก’

   “ครับ หวัดดีครับ”

   ผมวางสายม้าแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องพักที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ไม่ถึง 3 เดือน อุตส่าห์ได้อยู่สบาย ๆ ชิล ๆ คนเดียวแล้ว นี่ผมต้องย้ายไปอยู่กับไอ้อินมันจริง ๆ เหรอเนี่ย ก่อนจะคว้าหนังสือการ์ตูนที่วางอยู่ขึ้นมานอนอ่าน เรื่องจะย้ายไปอยู่กับอิน ช่างมันก่อนเถอะครับ

   ก๊อก ๆ

   ใครมาวะ ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยที่ยังถือหนังสือการ์ตูนไว้ในมือ

   “เก็บของยัง”

   ไอ้เพื่อนรูปหล่อลูกรักของม้าผมเดินอาด ๆ เข้ามาในห้องทันทีที่ผมเปิดประตูโดยไม่ต้องเชิญ

   “ม้ามึงคงโทรบอกแล้วใช่ไหม เรื่องที่กูจะให้มึงไปอยู่ด้วย”

   “ทำไมกูต้องไปอยู่ห้องมึงวะ” ผมกลับเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงมองไอ้คนที่ยืนสูงชะลูดอยู่กลางห้อง

   “ก็ถ้าให้มึงอยู่คนเดียวเหมือนเดิม เทอมนี้มึงก็คงได้แดกเอฟจนอิ่มแน่ ๆ”

   “มึงก็พูดเกินไป วิชาไหนที่มันได้คะแนนน้อย ๆ กูว่าจะไปดรอป แล้วค่อยลงเทอมหน้า”

   “ไม่ได้ กูไม่ให้มึงดรอป”

   “อ้าว มึงเกี่ยวไรอ่ะ” คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินประโยคห้ามของอิน

   “ถ้ามึงดรอปเทอมนี้ เทอมหน้ามึงก็ต้องลงเรียนคนเดียว แล้วอย่างมึงนี่เรียนคนเดียวมึงคิดว่าจะรอดเหรอ สี่ปีกูว่ามึงคงไม่จบแน่ ๆ”

   “ไอ้อินมึงก็ว่าเกินไป กูไม่ได้โง่ขนาดนั้น”

   “มึงโง่กว่าที่มึงคิดละกัน”

   “ไอ้เชี่ยอิน”

มันว่าผมโง่อีกแล้วครับ อยากจะกระทืบเท้าใส่ด้วยความโมโหก็กลัวมันจะด่าว่าปัญญาอ่อนแทน

   “เร็ว เก็บของ เดี๋ยวกูจะได้ขนไปที่คอนโด” ไม่พูดเปล่า ไอ้คนเผด็จการเดินไปหยิบกระเป่าเดินทางของผมออกมาเปิดกางบนพื้นห้อง

   “แล้วห้องกูอ่ะ”

   “มึงก็ไปคืนห้องเขาซะ”

   “แต่มันจะโดนยึดค่าประกันนะโว้ย” พูดง่ายนะมึง ตอนย้ายเข้าต้องเซ็นสัญญาจ่ายค่ามัดจำค่าประกันไปตั้งเยอะ

   “แต่ต่อไปนี้มึงก็ไม่ต้องเสียค่าหอแล้ว”

เออ ว่ะ แบบนี้ก็ประหยัดไปเดือนละหลายพัน ผมนั่งคำนวณค่าขนมที่จะเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน แบบนี้ก็มีเงินไปเติมเกมกับซื้อการ์ตูนแล้วสิวะ

   “อย่าลีลา รีบ ๆ เก็บของเลยมึง”

   “เออ ๆ มึงพับผ้าใส่กระเป๋าให้กูด้วย”

   สุดท้ายผมก็ยอมเก็บข้าวเก็บของใส่ท้ายรถแจ๊สลูกรักของไอ้อินไปแต่โดยดี




   คอนโดของอินไม่ได้อยู่ติดมหาลัยแบบหอพักของผม แต่ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก ผมเคยมาที่นี่สองสามครั้ง ล่าสุดก็วันที่ฉลองสอบเสร็จจนเมาแล้วอินมันพามาค้างด้วย คอนโดนี้คุณอานพพ่อของอินซื้อไว้เมื่อสามสี่ปีก่อนเพื่อที่ว่าเวลามาทำธุระที่กรุงเทพจะได้มีที่พักและเผื่อไว้สำหรับลูก ๆ ที่เข้ามาเรียนต่อด้วย

   ผมกับอินช่วยกันขนของลงจากรถ ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากมายนักนอกจากกระเป๋าเดินทางสองใบ ของใช้จุกจิกหนึ่งกล่องและกล่องใส่หนังสืออีกกล่องแค่นั้น ช่วยกันขนเข้าลิฟท์รอบเดียวก็เสร็จแล้ว

   “มึง”

   ผมเรียกเจ้าของห้องหลังจากที่ช่วยกันยกกล่องหนังสือใบสุดท้ายเข้ามาวางตรงโซนห้องนั่งเล่นเรียบร้อย

   “แล้วจะให้กูนอนตรงไหนวะ”

   คอนโดของอินแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่รวมครัวเล็ก ๆ ไว้ด้วยด้านนอก กับห้องนอนหนึ่งห้องที่มีห้องน้ำด้วยในตัว ผมมองโซฟาขนาดไม่ใหญ่นักที่ตั้งอยู่กลางห้อง ถ้าให้นอนจริง ๆ คงไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก

   “มึงก็นอนในห้องกับกูไง”

   “หึ ไม่เอาอ่ะ” ผมส่ายหน้า

   “เรื่องมากนะมึง มีปัญหาอะไรอีกวะ” คนตัวสูงขมวดคิ้วเข้าหากัน

   “ก็...เรื่องนั้น” ริมฝีปากถูกเม้นก่อนผมจะอธิบายต่อ “มึงก็รู้นี่ เดี๋ยวอาการมันจะกำเริบอีก”

   “อ้อ ไอ้โรคประหลาดของมึงอ่ะนะ”

   “จะว่าไป พักนี้ไม่ค่อยได้ยินมึงพูดถึงเลย”

อินเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาคมคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ดวงตาของผม

“ยังไม่หายใช่ไหมวะ”

   “มันไม่เป็นก็ดีแล้วป่ะ” ผมเสหลบสายตาโดยการมองไปที่ผนังห้องอย่างไร้ความหมาย

   “งั้นกูขอพิสูจน์หน่อย”

   พูดจบผมก็ถูกอ้อมแขนของคนตรงหน้ารวบเข้าทันที จนต้องหันกลับมามองหน้าคนที่เล่นอะไรบ้า ๆ

   “เฮ้ย ไอ้อินปล่อย”

ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนที่รัดแน่น พยายามสลัดตัวให้หลุด

“กูบอกให้ปล่อย”

   “แบบนี้ยังโอเคใช่ไหม”

ไอ้อินไม่เพียงแม้แต่จะคลายอ้อมแขนที่กอดรัดออก แต่มันกลับก้มหน้าลงมาใกล้จนผมต้องเบือนหน้าหลบ พร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู

“แล้วแบบนี้ละ”

ผมรู้สึกถึงสัมผัสที่โฉบผ่านแก้ม สัมผัสถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่รดลงบนแก้มด้านนั้น ทำเอาผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้า

พรึบ...

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น แต่ยังไม่เท่ากับอาการรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้นในท้องของผมเลย เจ้าผีเสื้อนับร้อยกำลังกระพือปีกบินกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าพวกมันกำลังสับสนร้อนรน ผมได้แต่ตัวแข็งทื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดกับตัวเองไม่ถูก

   “เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ”

   ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่อินมันคลายอ้อมแขนออก เปลี่ยนมาจับแขนทั้งสองข้างให้ผมหันมาเผชิญหน้ากับมัน ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วง พยายามผ่อนลมหายใจและควบคุมให้กลับมาสงบอีกครั้ง ก่อนจะปลดมือเพื่อนสนิทออกแล้วขยับตัวถอนห่างมันเล็กน้อย

   “เล่นอะไรบ้า ๆ นะมึง กูช็อกตายไปทำไง”

   “ก็นึกว่าหายแล้ว”

   “หายบ้าอะไร เมื่อกี้แม่งบินกันในว่อนในท้องกู จนกูนึกว่าจะหลุดออกมาซะแล้ว”

   ผมโวยวายกับไอ้อินที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง ผมเริ่มหงุดหงิดกับอาการบ้า ๆ ที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้เต็มทน ผมจึงระบายใส่คนที่ตรงหน้า

“กูไม่ชอบเลยไอ้อาการประหลาดแบบนี้ เมื่อไหร่มันจะหายวะ มึงทำให้มันหายไปได้จริง ๆ เหรอวะอิน”

“เดี๋ยวมึงมาอยู่กับกูมันก็จะดีขึ้น”

“จริงเหรอวะ” ผมมองคนที่ให้สัญญากับผมอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก ก็มันชอบแกล้งผมนี่ครับ

“มึงเชื่อกูเหอะน่า กูมีวิธี”

มือข้างหนึ่งของอินยกขึ้นจะลูบหัวผมแบบที่มันมักจะทำเสมอเวลาต้องการปลอบใจผม แต่ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยเบี่ยงหัวหลบ ทำให้มันต้องชักมือกลับไปอย่างเก้อ ๆ ก่อนจะได้ยินมันพูดเสียงอ่อน

“มึงไม่เชื่อใจกูเหรอ”

“มึงจะไม่แกล้งกูใช่ไหม” ผมเหลือบตาขึ้นมองมันด้วยความลังเล

“กับเรื่องนี้กูไม่แกล้งมึงแน่นอน”

“กูเชื่อใจมึงได้ใช่ไหม”

อินไม่ตอบ มันเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนจะยกมือลูบหัวผมเบา ๆ ซึ่งคราวนี้ผมยอมให้มือข้างนั้นสัมผัสเส้นผมแต่โดยดี



ผมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ส่วนเจ้าของห้องกำลังอาบน้ำอยู่ โทรศัพท์ในมือถูกลดลงจากระดับสายตา ผมมองไปที่ประตูห้องน้ำอย่างชั่งใจ นึกถึงสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดขึ้นมาเมื่อตอนเย็น


   “กูเคยบอกมึงใช่ไหมว่าการที่มึงหลบหน้าหลบตากูมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูก”

   ผมพยักหน้า จำได้ครับ ตอนนั้นที่ผมโดนพี่ต้าร์หลอกจนเกือบโดนไอ้อินโกรธ

   “นั่นแหละ กูจะบอกว่าการที่มึงไม่ยอมเข้าใกล้กูมันก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ”

   “แล้วจะให้กูทำยังไงวะ”

   “มึงเคยได้ยินไหมว่าการเอาชนะความกลัว มึงต้องเริ่มจากการยอมรับที่จะอยู่กับมัน” เพื่อนผมพูดด้วยสีหน้าจริงจังดูน่าเชื่อถือ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูดอยู่ดี

   “แล้ว...มันเกี่ยวอะไรวะ กูไม่ได้กลัวมึงสักหน่อย”

   “มันก็เหมือนกัน ที่มึงไม่กล้าเข้าใกล้กูเพราะว่ามึงกลัวอาการจะกำเริบถูกไหม” ผมพยักหน้ารับ

   “เอาเป็นว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มึงต้องอยู่ใกล้ ๆ กู เพื่อที่ว่ามึงจะได้เคยชิน พอมึงชินกับการที่อยู่ใกล้กูแล้ว อาการของมึงก็น่าจะไม่เป็นขึ้นมาอีก”

   “มันจะได้ผลเหรอวะ”

   “ได้ไม่ได้ มึงลองดูก็รู้”

   “มึงแน่ใจนะ” ผมถามเพื่อนด้วยความไม่แน่ใจ

   “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก”




   “กี้”

    “กี้”

   “ห๊ะ” อยู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าของห้องก็ชะโงกเข้ามาใกล้ ทำเอาผมที่นั่งคิดอะไรอยู่ผงะด้วยความตกใจ

   “เหม่ออะไรวะ กูเรียกก็ไม่ได้ยิน” อินเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปตากไว้บนราว

   “กูคิดอะไรเพลินน่ะ ว่าแต่มึงมีอะไรวะ”

   “กูถามว่ามึงจะนอนเลยไหม จะได้ปิดไฟ”

   “เออ นอนเลยก็ได้”

   ผมถอดแว่นตาวางบนหัวเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว แล้วล้มตัวลงนอนด้านฝั่งขวาของเตียง ตะแคงข้างหันหลังให้เหลือที่ฝั่งซ้ายไว้สำหรับเจ้าของห้อง เมื่อแสงไฟในห้องถูกดับลงผมก็รู้สึกถึงฟูกที่ยุบตัวลง ก่อนจะต้องร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออินมันดึงเอวผมจากทางด้านหลัง

   “เฮ้ย”

   แผ่นหลังของผมถูกดึงเข้าไปจนชิดกับหน้าอกของคนที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง

   “อย่าดิ้น” ไม่ต้องมาเนียนทำเสียงดุใส่กูเลยไอ้อิน

   “มึงมากอดกูทำไม ปล่อย”

   “มึงจำที่เราคุยกันตอนเย็นไม่ได้เหรอ มึงจะได้ชินไง”

   “แต่ว่า...”

   “ไม่มีต่งมีแต่ กูแค่นอนกอดมึงเอง” ไม่พูดเปล่า แขนที่โอบกอดผมอยู่กระชับให้ตัวผมใกล้มันมากขึ้น ผมพยายามขืนตัวแต่แขนทั้งสองข้างก็ถูกมันรวบเข้าไปในอ้อมแขนด้วย

   “กูอึดอัด ร้อนด้วย”

ผมเริ่มฮึกฮักโวยวายหาเหตุผลหวังให้มันปล่อยตัว

   “ร้อนเหรอ เดี๋ยวกูเร่งแอร์ให้” แต่ไอ้เพื่อนสนิทผมมันกลับแค่เอี้ยวตัวไปหยิบรีโมตมาเร่งแอร์ให้เย็นขึ้นโดยที่แขนอีกข้างยังล๊อกตัวผมไว้

   “ทีนี้มึงก็เลิกโวยวายแล้วนอนได้แล้ว”

   เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหูผมในความมืด ทั้งอ้อมกอดและน้ำเสียงของอินทำให้ร่างกายผมเริ่มต้านทานไม่อยู่ เจ้าฝูงผีเสื้อเริ่มโบยบินอยู่ภายในท้องของผมไม่ยอมพักผ่อนตามเวลาที่ควรจะเป็น ผมพยายามจะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมให้อินรู้

   “...มันเป็นอีกแล้วนะอิน”

   “มึงก็อย่าเกร็งสิ ทำใจให้สบาย เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”

   อ้อมกอดที่โอบรอบตัวผมอยู่คลายออกพอให้สบายตัว เสียงทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์ของอินกระซิบบอกผมแผ่วเบาราวกับกำลังกล่อมให้ผมเข้าสู่นิทรา

   “แต่..”

   “นอนได้แล้วกี้”

   สิ้นเสียงตัดบทของอิน ก็ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนด้านหลังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงหลับไปแล้ว ผมได้แต่กัดริมฝีปากล่างด้วยความอดทน ค่อย ๆ ผ่อนหายใจเข้าออกช้า ๆ ทำใจให้สงบถึงแม้ว่าเจ้าผีเสื้อตัวน้อยที่อยู่ในท้องจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก



TBC....


เนียนเลยนะอิน...
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 7 [20/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-01-2018 16:17:12
โถน้องกี้ เมื่อไหร่จะตามอินทัน
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 7 [20/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 20-01-2018 16:45:07
อินเนียนตลอดๆๆๆๆๆ ^^
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 26-01-2018 20:23:49
ตอนที่ 8


   “กี้...”

   เสียงทุ้มที่คุ้นเคยกระซิบอยู่ข้างหู ปลุกผมให้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ

   “ตื่นได้แล้ว”

   พอผมลืมตาขึ้นเต็มตาก็เห็นร่างสูงของเจ้าของห้องที่ผละห่างออกไป จึงลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเลิกผ้าห่มออกจากตัว สัมผัสบางเบาที่ติดค้างอยู่บนแก้มจนเผลอยกมือขึ้นมาลูบแก้มเบา ๆ ด้วยความไม่แน่ใจ ผมหรี่ตามองคนที่ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก สบสายตาคมคู่นั้นผ่านภาพสะท้อนในกระจกเงา

   “ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ไปกินข้าวกัน”

   ผมสลัดความรู้สึกแปลก ๆ ออกจากหัวแล้วลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำบ้าง พอจัดการกับตัวเองเรียบร้อยผมก็เดินออกจากห้องนอนมาหาเจ้าของห้องที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟา ไม่รู้มันจะขยันไปไหน

   “ป่ะ ไปหาข้าวกินก่อนแล้วค่อยไปซื้อของเข้าห้อง”

   อินขับรถแจ็สสีดำลูกรักของขวัญที่คุณอานพซื้อให้ตอนที่มันสอบเข้ามหาลัยได้ พาผมมาหามื้อเช้าควบเกือบเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จริง ๆ ผมก็อยากจะมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้บ้างเหมือนกัน ติดตรงที่ขอป๊าแล้วป๊าไม่อนุมัติ ป๊าบอกว่าผมขับรถไม่แข็ง กลัวว่าถ้าขับออกถนนใหญ่แล้วเจอรถเยอะ ๆ แบบกรุงเทพจะขับไปชนรถคันอื่น ป๊าเลยไม่ยอมให้ผมเอารถมาใช้
   หลังจากที่กินข้าวกันเรียบร้อย อินก็พาผมเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้นล่างเพื่อซื้อของเอาห้อง มันคว้ารถเข็นเดินนำหน้า หยิบพวกของใช้อย่างผงซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม อะไรพวกนั้นใส่ในรถเข็น ผมปล่อยให้อินมันเป็นหยิบไป อยากใช้ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่มันเลยครับ ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ อยู่บ้านม้ากับพี่เลี้ยงก็เป็นคนจัดการให้หมด ต่างจากอินที่เป็นลูกคนโตของบ้าน ช่วยคุณอาเพ็ญทำงานบ้านและดูแลน้องชายอีก 2 คนตั้งแต่เด็ก

ระหว่างที่ผมเดินตามอินอยู่ก็เริ่มสังเกตว่าคนที่กำลังเดินจับจ่ายซื้อของอยู่โดยเฉพาะสาว ๆ หันมามองเพื่อนของผมที่เข็นรถอยู่ข้างหน้าด้วยความสนใจ ผมจึงสังเกตคนที่เดินอยู่ข้างหน้าบ้าง ผู้ชายตัวสูงหน้าตาอย่างกับนายแบบในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนขาเดฟสีเข้มที่ดูธรรมดา ๆ แต่ทำไมพออยู่บนตัวของเพื่อนผมคนนี้ถึงได้ดูดีนักนะ ผมที่เป็นเพื่อนมาเดินด้วยกันยังอดรู้สึกชื่นชมมันไม่ได้

   อินเข็นรถมาจนถึงชั้นที่เป็นพวกเครื่องดื่มต่าง ๆ ผมหยิบน้ำอัดลมขวดใหญ่ 2 ขวดมาใส่ในรถเข็น แต่พอเพื่อนผมมันเห็นกลับหยิบไปคืนชั้นแล้วเข็นรถไปหยิบนมขวดใหญ่รสจืดกับรสช็อคโกแลตอย่างละขวดพร้อมทั้งน้ำผลไม้กล่องใหญ่มาใส่แทน

   “กินแต่น้ำอัดลม ตัวมึงถึงได้แค่นี้”

   อินหันมาบอกผมแบบนั้นแล้วก็เข็นรถไปต่อ ปล่อยให้ผมย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจอยู่ข้างหลัง พอเดินมาถึงชั้นขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ผมก็หยิบขนมถุงใหญ่ 5 – 6 ถุงหอบไปใส่ในรถเข็น พอวางปุ๊บ ไอ้อินมันก็หยิบกลับไปคืนชั้นปั๊บ เห็นแบบนั้นผมก็เลยบอกมัน

   “กูจะกินขนม”

   “ขนมถุงมันไม่มีประโยชน์ กินแต่ของแบบนี้ มึงถึงไม่โต”

   “แต่กูจะกิน”

   ไอ้คนตัวสูงหันไปหยิบป๊อกกี้รสกล้วยมาใส่รถเข็น 2 กล่อง
 
   “กูให้แค่นี้”

   “กูจะกินเลย์”

   ผมคว้ามันฝรั่งทอดใส่รถเข็นไป 3 ถุงใหญ่ ไอ้คนตัวสูงถอนหายใจแบบรำคาญเต็มแก่ ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบมันฝรั่งทอดในรถเข็นเอากลับไปคืนชั้นวางตามเดิม เหลือไว้ให้ผมแค่ถุงเดียว

   “แค่นี้พอ ไม่ต้องทำหน้างอเลยมึง”

   “ไอ้อิน นี่มึงเป็นป๊ากูเหรอไง”

   “กูไม่อย่าเป็นป๊ามึงหรอก ไม่อยากได้มึงเป็นลูก” มันพูดจบก็เข็นรถหนีผมไปทางกระบะผักผลไม้แทน

   “ชิ” ผมจิปากด้วยความขัดใจก่อนจะเดินตามมันไปอย่างเสียไม่ได้

   ระหว่างที่ผมกำลังยืนมองไอ้เพื่อนที่ชอบทำตัวเป็นพ่อยืนเลือกแอปเปิ้ลกับองุ่นอยู่ สายตาก็เห็นคนตัวสูงหน้าหล่อคุ้นตายืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร

   “พี่นัท หวัดดีพี่” ผมส่งเสียงทักพร้อมกับยกมือไหว้

   “อ้าว กี้”

   พี่นัทส่งยิ้มหล่อมาให้พร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกผม

   “มาซื้อของเหรอครับ”

   “ครับ”

   “กี้พักอยู่แถวนี้เหรอครับ พี่ก็มาซื้อของที่นี่บ่อยนะ แต่ไม่เคยเจอเราเลย”

   “ผมเพิ่งย้ายมาน่ะครับ”

   “นี่กินข้าวกันหรือยัง ไปกินกับพี่ไหมครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง ไหน ๆ ก็เจอกันทั้งที”

   “ว้า เสียดายจังพี่ พวกผมเพิ่งกินมาน่ะครับ อดกินของฟรีเลย นาน ๆ จะมีคนอาสาเป็นเจ้ามือสักที”

   ผมแกล้งทำทางเสียอกเสียดายเหลือเกิน เรียกรอยยิ้มขำ ๆ จากรุ่นพี่

   “งั้นไปหาขนมกินแทนก็ได้”

   ผมยิ้มกว้างกำลังจะอ้าปากตกลง แต่ไอ้คนที่มาด้วยกันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

   “พวกผมไม่รบกวนพี่นัทดีกว่า เดี๋ยวต้องรีบกลับไปจัดของ พอดีว่ากี้เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กับผมน่ะครับ นี่ก็เลยต้องมาซื้อของเข้าห้องเพิ่ม”

   ผมเหลือบมองมือที่อยู่ ๆ ก็มาวางบนบ่า เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพื่อนของผมกำลังยืนจ้องตากับพี่นัท ก่อนที่รอยยิ้มจะแต้มขึ้นที่มุมปากของคนที่โตกว่า

   “กี้ย้ายมาอยู่กับอินเหรอครับ”

   “เออ เพิ่งย้ายมาเมื่อวานน่ะพี่”

   “พวกผมขอตัวไปจ่ายตังค์ก่อนนะครับ”

   อินกระตุกแขนผม ก่อนจะเข็นรถตรงไปยังช่องจ่ายเงิน ผมหันซ้ายหันขวามองตามหลังคนที่พาผมมาด้วยสลับกับพี่นัทที่ยืนอยู่

   “งั้นผมไปก่อนนะครับ”

   “ไว้เจอกันที่ชมรมนะครับกี้”



   “มึงเป็นอะไรอิน”

   หลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถกันเรียบร้อยแล้วผมก็ถามเพื่อนสนิทที่เอาแต่เงียบมาตลอดตั้งแต่ตอนที่จ่ายเงินแล้ว

   “เป็นไร กูไม่ได้เป็นอะไร”

   เหอะ หน้าบูดเป็นตูดลิงขนาดนี้ยังบอกไม่ได้เป็นอะไรอีก

   “อ๋อ เหรอ”

   ผมเอี้ยวตัวไปคุ้ยถุงของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่วางอยู่เบาะหลัง หยิบได้ป๊อกกี้มากล่องหนึ่ง ผมแกะขนมในมือก่อนจะหยิบแท่งป๊อกกี้ออกมาแล้วยื่นไปตรงหน้าของคนที่กำลังขับรถอยู่

   “อ่ะ”

   “กินดิ เร็ว ๆ กูเมื่อย”

   ผมเอ่ยปากเร่งเมื่อเห็นอินมันยังทำเฉย อินเหลือบมองป๊อกกี้ที่ยื่นให้นิดนึงก่อนจะยอมกัดเข้าปาก

   “อ้าว กัดขาดทำไม คาบไว้สิ”

   ผมยื่นป๊อกกี้ส่วนที่เหลือให้อีก รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของอินก่อนที่มันจะก้มลงงับขนมในมือผม

   “กี้”

   ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะหยิบขนมเข้าปากตัวเองบ้างเมื่อเห็นเพื่อนสนิทกินขนมที่ผมส่งให้ไปจนหมดแล้ว

   “เอามาอีกดิ”

   “ฮั่นแน่ ติดใจละสิ อ่ะ”

   “อืม”

   ผมแอบยิ้มกับตัวเองหลังจากที่ส่งป๊อกกี้อีกชิ้นเข้าปากคนที่ขับรถอยู่ อย่างที่ผมคิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ ว่าของหวานทำให้คนเราอารมณ์ดีขึ้น ดูสิครับ ตอนนี้ไอ้อินเพื่อนผมกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมแล้ว




   “เฮ้ย พวกมึง กินไรดีวะ”

   สาวสวยหนึ่งเดียวในกลุ่มถามขึ้นหลังจากที่พวกผมเรียนเสร็จในช่วงเช้าและกำลังหิวกันเต็มที่

   “ไปกินสเต็กร้านหลังมอไหมครับ กว่าจะเรียนอีกทีก็ตั้งบ่ายสอง”

   “กิน”

   ผมรีบพยักหน้าเห็นด้วยตามที่มายเสนอ สเต็กร้านนี้อร่อยมากครับ ผมชอบ อินกับชมพู่เห็นด้วย พวกผมเลยตกลงกันว่ารวมกันนั่งรถอินไปคันเดียว

   “กี้นี่เอง พี่ก็ว่าหน้าคุ้น”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นผู้ชายตัวสูงพี่สายรหัสปี 3 ของผมยืนยิ้มอยู่

   “อ่า หวัดดีครับพี่โก้”

   ผมยกมือไหว้พี่รหัสที่หลังจากวันเปิดสายก็แทบจะไม่เคยเห็นหน้าอีกเลย และหันไปไหว้รุ่นพี่คนอื่นที่มาด้วยกัน

   “ตอนแรกพี่จำเกือบไม่ได้ พอไม่ใส่แว่นแบบนี้กี้ดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะครับ”

   “เอ่อ ครับ”

   ผมยกมือขึ้นลูบปลายผมตรงท้ายทอยด้วยรู้สึกแปลกที่อยู่ ๆ ก็ถูกผู้ชายชมว่าน่ารัก

   “เจอกี้ก็ดีแล้ว พี่ว่าจะพาไปเลี้ยงสายอยู่พอดี กี้อยากทานอะไรครับ”

   “พี่โก้เป็นคนเลี้ยงก็แล้วแต่พี่เลยครับ กินฟรีผมอะไรก็ได้”

   “งั้นเดี๋ยวพี่พาไปร้านโปรดของพี่ รับรองกี้ต้องชอบแน่ ๆ”

   “ครับ”

   “แล้วนี่เรียนเป็นไงบ้างครับ ไม่เข้าใจตรงไหนบอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่ติวให้ตัวต่อตัวเลย”

ผมมองพี่รหัสตัวเองอย่างงง ๆ กับความใส่ใจที่มีให้มากล้นกว่าครั้งแรก ๆ ที่เจอกัน จำได้ว่าวันที่เปิดสายพี่แกทักผมแค่สองสามคำ ไม่คิดว่าจริง ๆ พี่เขาจะเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีขนาดนี้

“พวกผมช่วยกันติวเป็นกลุ่มอยู่แล้วครับ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงกี้มันหรอก”

อินที่นั่งอยู่ข้างกันเป็นคนตอบพี่รหัสผมไปแบบนั้น

“แต่ถ้ากี้อยากให้พี่ช่วยก็บอกนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ เกรงใจจริง ๆ ครับ ผมไม่ได้สนิทอะไรกับพี่รหัสคนนี้ นี่ถ้าเป็นพี่ก้อยพี่รหัสปี 2 ที่มักจะเอาขนมมาฝากผมบ่อย ๆ คนนั้นก็ว่าไปอย่าง ผมคงจะไม่รู้สึกกระดากใจเวลาขอความช่วยเหลือเท่าไหร่

“เกรงใจอะไรกัน สำหรับกี้พี่ยินดีเสมอ”

“เฮ้ย กี้ รีบกินเถอะเดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”

“งั้นพี่ไปก่อนนะครับ ยังไงเดี๋ยวพี่ไลน์หานะ”

พี่โก้ที่เห็นชมพู่ก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วสะกิดบอกผมเลยขอตัวลาไปก่อน แต่จะว่าไปตั้งแต่แลกไลน์กันวันเปิดสายก็ไม่เคยเห็นแกไลน์มาสักที

“ครับ”

“พี่รหัสมึงนี่เทคแคร์ดีเวอร์” พอเห็นว่าพี่รหัสของผมเดินออกจากร้านไปแล้ว ชมพู่ก็หันมาเม้าคนที่เพิ่งเดินไปแบบเผาขนทันที

“เออ กูก็เพิ่งรู้ว่าพี่โก้เขาใจดีขนาดนี้ ตอนวันเปิดสายก็ไม่ค่อยได้คุยกัน”

ผมเหลือบไปเห็นไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างกันกำลังใช้มีดหั่นสเต็กในจานอย่างเอาเป็นเอาตายจนโต๊ะแทบจะสั่นไปด้วย

“เป็นไรวะอิน”

“มึงรีบกินเหอะ มัวแต่คุยอาหารเย็นหมดละ” ไอ้คนหน้าหล่อที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนอยากจะกินหัวใครสักคนเอาส้อมปักเนื้อในจานเข้าปาก สงสัยอินมันคงจะหิวจนอารมณ์ไม่ดีนะผมว่า




“เอ่อ ขอโทษนะคะ”

ระหว่างที่พวกผมกำลังเดินกลับไปเรียนหลังจากกลับจากกินสเต็กกันมาเรียบร้อยแล้ว ก็มีนักศึกษาสาว 2 คน หน้าตาน่ารักทั้งคู่เลยมายืนขวางทางพวกผมไว้ ในมือถือถุงขนมอยู่ด้วย พอเห็นแบบนี้พวกผมก็เขยิบตัวออกหากจากอินทันที พักนี้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ เวลาที่ไปไหนมาไหนกับไอ้นักร้องสุดหล่อคนนี้น่ะครับ มักจะมีสาว ๆ ที่เป็นแฟนคลับของอินมันมาขอถ่ายรูปกับไอ้หล่อนี่ บางทีก็เอาขนมมาฝาก สองสาวนี่ก็คงจะเหมือนกัน

“มีอะไรเหรอครับ”

แหม ถามเขาเสียงละมุนเชียวนะมึง

ผมแอบแหล่ไอ้คนรูปหล่อที่ยืนส่งยิ้มอย่างรู้งาน เมื่อกี้ตอนเดินมายังหน้าตึง ๆ อยู่เลย พอเห็นสาว ๆ เข้าหน่อยนี่เปลี่ยนสีหน้าทันทีเลยนะมึง

“คือว่า...ขอถ่ายรูปกับกี้ได้ไหมคะ”

ห๊ะ...

เพื่อน ๆ ของผมต่างหันมามองผมเป็นตาเดียวเมื่อได้ยินสิ่งที่สาวน้อยผมสั้นหน้าตาน่ารักพูดขึ้น ผมหันไปมองเจ้าตัวที่บิดตัวเขิน ๆ แต่ก็ส่งมือถือให้เพื่อนเตรียมที่จะถ่ายรูป

“เอ่อ ได้ไหมคะ” เธอเอียงอายช้อนตามอง ท่าทางไม่แน่ใจเมื่อเห็นผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ครับ”

ผมยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เธอเพื่อให้อยู่ในเฟรม ให้เพื่อนเธอถ่ายรูปไปสองสามรูป

“ขอบคุณนะคะ นี่ขนมค่ะ เจ้านี่อร่อยมาก แพนเอามาฝาก”

“ขอบคุณครับ”

เธอยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะลาไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ

“มึง มีสาวมาขอถ่ายรูปกับกูด้วยว่ะ”

ผมหันไปบอกกับเพื่อน ๆ ด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับชูถุงขนมในมือขึ้นอวด

“เออ กูเห็นละ สาวคณะมนุษย์นี่หว่า หน้าตาน่ารักเสียด้วย” ชมพู่มองตามสองสาวที่เดินห่างไปค่อนข้างไกลแล้ว

“เนอะ น่ารักอ่ะ สเปคกูเลย อยากมีแฟนน่ารัก ๆ แบบนี้บ้างว่ะ”

ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ท่าทางน่าทะนุถนอมแบบนั้นน่ะแบบที่ผมชอบเลย

“หือ ไอ้กี้มึงแน่ใจนะที่พูด”

“ทำไมวะ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในคำพูดของชมพู่ ทำไมหล่อ ๆ แบบผมจะมีแฟนน่ารักแบบนั้นไม่ได้ละครับ

“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่กูว่าอย่างมึงไม่เหมาะจะมีแฟนแบบผู้หญิงคนนั้นหรอก อย่างมึงน่ะต้องมีแฟน...”

“กูว่าอย่างไอ้กี้นี่ไม่ควรมีแฟนหรอก”

ชมพู่ยังไม่ทันจะพูดจบ ไอ้อินก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขุ่นที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย

“อย่างมันน่ะเหรอจะดูแลคนอื่นได้ ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้เลย จะเอาอะไรไปดูแลผู้หญิงเขา กูว่าเอาตัวเองให้ได้เรื่องก่อนดีกว่า”

“...”

ผมหันควับไปมองหน้าอินทันที รู้สึกหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าด้วยคำพูดจากเพื่อนสนิท ผมจ้องหน้ามันแต่มันกลับเสมองไปทางอื่น สองมือของผมกำแน่น

“อิน มึงก็พูดเกินไปป่าววะ”

ชมพู่เอ่ยปรามเมื่อเห็นท่าทีของผม

“เอ่อ กูมันไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เฟอร์เฟ็คแบบมึงนี่”

ผมสะบัดเสียงใส่ไอ้เพื่อนปากเสียก่อนจะเดินขึ้นตึกเรียนโดยไม่รอคนอื่น ได้ยินแต่เสียงชมพู่ตะโกนตามหลัง

“เฮ้ย กี้ เดี๋ยวสิวะ”


   TBC....


ตอนนี้กี้ก็จะฮอตหน่อยๆ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 26-01-2018 23:24:07
ง่าาาา ไหงมาทะเลาะกันเพราะความปากไวของอินละนี่ กี้โกรธแล้ว ง้อด่วนเลยยยย
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 27-01-2018 00:37:04
อินเล็มปลากินตลอดตัวเลยน๊า ปลาอย่างกี้ชักจะหอมฟุ้งไปไกลแล้ว รีบรวบกินทั้งตัวด่วนนนนน
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 8 [26/01/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-01-2018 09:14:31
ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็นอะไรน้อออ    o22 o22
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนที่ 9 [02/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 02-02-2018 22:00:04
ตอนที่ 9



อิน....




   ผมรู้จักกับกี้ครั้งแรกตอนกลางเทอม 2 ของชั้นป. 2 เด็กผู้ชายตัวเล็ก ผิวขาวจัดแบบลูกคนจีน แต่แปลกที่ไม่ได้ตาตี่เป็นเม็ดก๊วยจี๊ ตอนนั้นมันยังไม่ได้ใส่แว่น เป็นแค่เด็กชายตัวกระเปี๊ยกที่เวลาเข้าแถวอยู่หน้าสุด ในขณะที่เมื่อผมย้ายเข้ามาต้องเข้าแถวอยู่หลังสุด

   เป็นเพราะผมย้ายโรงเรียนตามพ่อที่เป็นนายทหารมาอยู่ที่เชียงใหม่ ผมก็เลยไม่มีเพื่อนในขณะที่เด็กคนอื่นเขารู้จักและสนิทกันตั้งแต่เทอม 1 แล้ว วันแรกที่ผมมาโรงเรียน ผมนั่งอยู่หลังห้องเพียงลำพังในตอนพักเที่ยงมองเด็กคนอื่น ๆ ต่างชวนกันไปทานข้าวกลางวันที่โรงอาหารแต่ไม่มีใครเข้ามาชวนผมเลย ในตอนที่ผมกำลังหยิบข้าวกล่องที่แม่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่ตอนเช้าออกมาเพื่อจะลุกไปกินที่โรงอาหาร ก็มีเค้กกล้วยหอมชิ้นเล็กมาวางบนโต๊ะ

   “แม่เราทำเอง เราแบ่งให้นะ” เด็กผู้ชายตัวเล็กยิ้มกว้างจนตาหยีให้ผม

   “นายชื่ออะไร เราชื่อกี้ เด็กชายกีรติ ตั้งวัฒนาพานิช”

   “ชื่ออิน อินทนิล หาญตระกูล” เด็กตัวเล็กมองกล่องข้าวของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

   “ป่ะ ไปกินข้าวกัน”

   “วันนี้หม่าม้าเราทำหมูทอดกับผักเต้าหู้มาให้ หม่าม้าของอินทำอะไรให้เหรอ”

   “หม่าม้า...แม่เราทำข้าวผัดไส้กรอก”

   “พ่ออินเป็นทหารเหรอ”

   “อือ”

   “เท่จังเลย เราก็อยากมีพ่อเป็นทหารมั้ง”

   “แล้วพ่อกี้ทำอะไร”

   “เราไม่มีพ่อ”

   “ทำไมถึงไม่มีพ่อ พ่อไปไหนละ”

   “ไม่ได้ไปไหน ไม่มีพ่อตั้งแต่แรกแล้ว มีแต่ป๊ากับหม่าม๊า”

“...”

   “ป๊าเราเปิดร้านขายเหล็กละ เหล็กเป็นเส้น ๆ ยาว ๆ อินเคยเห็นไหม แล้วก็มีอิฐเป็นก้อน ๆ วางซ้อน ๆ กันสูงเลยด้วย”

   ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่ากี้มันกวนหรือว่ามันซื่อจริง ๆ แต่พอคบกันมาเป็นสิบปีผมก็ได้รู้ว่ามันเป็นคนซื่อแค่ไหน ที่บ้านมันขายเหล็กจริง แถมยังเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ บ้านกี้เป็นครอบครัวคนจีนครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องมากมายในตระกูลและกี้ก็เป็นน้องคนเล็กสุดในรุ่นเดียวกัน ม้าของกี้เคยเล่าให้ผมฟังว่ากี้เป็นลูกหลงของป๊ากับม้าตอนที่ทั้งคู่อายุค่อนข้างมากแล้ว กี้อายุห่างจากพี่ชายถึง 12 ปี แถมตอนเล็ก ๆ ก็ป่วยกระเสาะกระแสะ กี้เลยถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมสุด ๆ ตอนเด็ก ๆ เลยไม่ค่อยได้ออกไปเล่นนอกบ้านกับพี่ ๆ น้อง ๆ แต่ละวันกี้จึงคลุกอยู่กับการอ่านการ์ตูนกับเล่นเกม พอเริ่มขึ้นชั้นมัธยมก็สายตาสั้นจนต้องเริ่มสวมแว่นและติดเกมจนไม่ยอมออกจากห้องแถมผลการเรียนก็ตกจนในที่สุดก็โดนป๊ายึดเกมและขู่ว่าถ้าเกรดไม่ถึง 3 จะโดนตัดค่าขนม ป๊ากับม้าของกี้กลัวว่าลูกชายคนเล็กจะเอาแต่ขังตัวเองเล่นเกมอยู่ในห้องไม่ยอมทำอย่างอื่น เดือดร้อนต้องขอให้ผมที่สนิทกับกี้ที่สุดคอยช่วยมันเรื่องเรียนและพามันออกจากบ้านมาทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง ที่บ้านกี้ก็เลยรักผมเหมือนลูกชายอีกคนหนึ่งไปด้วย ผมเองก็อยากให้กี้มันเปิดหูเปิดตาบ้าง เลยเป็นคนชวนมันไปโน้นมานี้ ไม่อย่างงั้นตัวมันเองคงไม่คิดทำอะไรเลยครับ  นิสัยเอื่อยเฉื่อยจนผมรู้สึกเป็นห่วงอยู่ตลอด

กี้ไม่เคยคบใคร ไม่เคยมีแฟน เพราะแบบนี้จึงไม่แปลกหรอกครับที่กี้มันจะไม่รู้ว่าอาการประหลาดที่มันเป็นคืออะไร ต่างจากผมที่รู้ตัวมาตั้งนานแล้ว   

ใช่ครับ...ผมชอบกี้

   ความรู้สึกนี้มาก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ผมจะไม่แน่ใจ พอรู้ตัวอีกทีสายตาของผมก็ไม่สามารถที่จะมองคนอื่นได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักแค่ไหนหรือว่ากับผู้ชายคนอื่น ผมก็ไม่เคยสนใจ ผมชอบเวลาที่กี้มันยิ้มจนตาหยี ชอบเวลาที่มันหัวเราะเหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจ ชอบแม้กระทั่งเวลาที่มันทำหน้างอเวลาที่โดนขัดใจ

   ผมชอบทุกช่วงเวลาที่อยู่กับกี้

กี้คือคน ๆ เดียวที่ผมอยากอยู่ด้วย อยู่กับมันแล้วผมมีความสุข จนผมไม่อยากจะแบ่งความสุขนี้ให้ใคร ไม่อยากให้กี้รู้จักกับความรัก ผมกลัวว่าถ้าหากวันหนึ่งกี้มีความรักกับใครสักคน ผมคงรู้สึกแย่มาก ๆ ถ้าหากกี้ต้องการคนอื่นมาอยู่เคียงข้างแทนที่ผม ผมเลยทำทุกวิถีทางให้ที่จะเก็บกี้ไว้อยู่ข้างตัวผมตลอดเวลา ทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรมที่ทำ ผมไม่ให้กี้มีโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับใคร

ผมยอมรับว่าบางทีวิธีการที่ผมทำมันค่อนข้างเผด็จการและเอาแต่ใจ จนบางครั้งผมก็ไม่แน่ใจว่ากี้มันมีความสุขจริง ๆ หรือเปล่าในสิ่งที่ผมเลือกให้

   และบางครั้งผมก็รู้ตัวว่าหวงมันมากเกินไป จนเผลอทำอะไรให้กี้มันรู้สึกไม่ดี อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้



   “มึงก็พูดแรงไปเปล่าวะ”

   ชมพู่หันกลับมาเล่นงานผมทันทีเมื่อเห็นกี้เดินหนีขึ้นตึกเรียนไป

“...”

   “นั่นสิครับ กี้โกรธจนเดินไปโน้นแล้ว”

   “ก็กูไม่ชอบ”

   ผมไม่ชอบที่กี้มันพูดว่าอยากมีแฟน ไม่ชอบเวลาที่กี้มีทีท่าสนใจใครมากกว่าผม ไม่ชอบให้ใครมาทำท่าทีสนใจเหมือนจะจีบเพื่อนผมด้วย

   “แล้วมันใช่เรื่องที่มึงต้องไปว่ากี้มันแบบนั้นด้วยเหรอวะ”

   “กู...กูไม่ได้ตั้งใจ”

   เพราะหวงมันมาก ผมเลยพลั้งปากพูดจาแย่ ๆ แบบนั้น 

   “มึงไปง้อมันเลยนะ เรื่องนี้มึงผิดเต็ม ๆ”

   ชมพู่พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นตึกไปกับมาย


   
   
   ผมมองคนที่นั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่ขึ้นรถ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือกี้ไม่ยอมคุยกับผมตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องเรียนแล้ว คิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันกับริมฝีปากบางที่ยื่นนั้นเป็นนิสัยที่กี้มันมักจะทำประจำเวลาที่เจ้าตัวกำลังโกรธอยู่ แทนที่มันจะดูน่ากลัว ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าแกล้งมากกว่า อยากจะเอานิ้วไปเกลี่ยริมฝีปากบาง ๆ นั่นแล้วบีบจมูกรั้น ๆ นั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

   แต่ขืนผมทำอย่างที่คิดละก็กี้มันคงโกรธผมหนักกว่าเดิม ไม่ยอมยกโทษให้ผมแน่ ๆ

   “กี้”

   ผมลองเรียกชื่อคนที่นั่งข้าง ๆ ระหว่างที่รถจอดติดไฟแดง

“...”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่คุณเรียก...ทำเอาผมใจแป้ว

   “กู...ขอโทษ”

   ผมเอ่อคำขอโทษเบา ๆ พ่อสอนผมตั้งแต่เด็กให้รู้จักขอโทษเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดกับคนอื่น ถึงผมจะรู้สึกหงุดหงิดแค่ไหนก็ไม่ควรพูดจาทำร้ายกันแบบนั้น

   “กูไม่ได้ตั้งใจ กูรู้ว่ากูผิดที่พูดไม่ดีกับมึง”

   ผมเหลือบตามองเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็ก เห็นมันนั่งทำหน้าคว่ำ

   “ในสายตามึงกูคงเป็นแค่คนโง่ ๆ คนหนึ่งสินะ”

   ในสายตากู มึงเป็นคนที่สำคัญที่สุดตั้งหาก...

   ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่บอกมันอีกอย่าง

   “มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้หมายความแบบนั้น กูหงุดหงิดไปหน่อย”

   “นี่มึงหงุดหงิดที่ผู้หญิงเขามาขอถ่ายรูปกูแทนมึงงั้นเหรอ ไม่พอใจที่เขาชอบกูมากกว่ามึงว่างั้น”

   “เออ...ก็ประมาณนั้น”

   เหตุผลที่มันว่ามาเหมือนจะใช่ แต่ก็ไม่ใช่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ

   “มึงนี่บ้าเปล่า มึงจะให้ผู้หญิงเขาชอบแต่มึงหรือไง”

   ผมอยากจะบอกว่าผมไม่เคยคิดอยากจะให้ผู้หญิงหรือใครคนอื่นมาชอบผมนอกจากคนที่นั่งอยู่กับผมตอนนี้เท่านั้น

“มึงมันปากหมา ชอบว่ากู”

   “เออ ๆ กูมันปากหมาปากไม่ดี ด่ากูพอยัง”

   “มึงมันไอ้คนนิสัยไม่ดี”

   นี่แหละครับ คำด่าที่กี้มันคิดว่าเจ็บที่สุดของมันละ

   “เออ กูมันนิสัยไม่ดี หายโกรธกูเหอะ”

   “นะ...”

   ผมทำหน้าตาสำนึกผิดเต็มที่ พยายามง้อมันสุด ๆ มันอยากด่าอะไรก็ยอมให้ด่า โดนไอ้กี้ด่าอย่างไงก็ไม่เจ็บอะไรหรอกครับ กลัวมันโกรธอย่างเดียวเท่านั้นแหละ

   “หึ”

   กี้มันยังคงนั่งทำปากคว่ำแต่คิ้วเริ่มคลายไม่ขมวดกันยุ่งแล้ว ผมเลยงัดไม้เด็ดแบบทุกทีเวลาอยากให้มันอารมณ์ดี

   “เดี๋ยวกูเลี้ยงปิ้งย่าง มึงบ่นว่าอยากกินไม่ใช่เหรอ”

   “...”

   “เนี่ย เดี๋ยวขับรถไปที่ร้านเลย”

   “เอาบุฟเฟต์นะ”

   “ตามใจมึงเลย”

   ผมเหลือบมองไอ้ตัวเปี๊ยกที่นั่งอมยิ้มตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าผมจะพาไปกินของโปรด ให้ต้องแอบยิ้มด้วยความเอ็นดู

   กี้มันไม่รู้ตัวเลยว่าที่จริงมันเป็นคนน่ารักน่าแกล้งขนาดไหน รู้สึกอย่างไงคิดอย่างไงก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมด เหมือนเด็กไม่มีผิด ชอบทำตาใสแจกยิ้มให้คนอื่นเขาไปทั่ว เมื่อก่อนมันยังใส่แว่นตาอันใหญ่ดูเนิร์ด ๆ เอ๋อ ๆ เลยไม่ค่อยมีใครสังเกต แต่พอมันเปลี่ยนลุคใหม่มาใส่คอนแท็คเลนส์ ทีนี้คนก็เริ่มจะสังเกตเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของเพื่อนผม แล้วจะไม่ให้ผมหวงมันได้อย่างไงละครับ




   เสียงหัวเราะที่ฟังคุ้นหูทำให้ผมละสายตาจากกระดาษโน้ตเพลงแล้วหันไปมอง เห็นเพื่อนสนิทที่ถือกีตาร์อยู่ในมือนั่งล้อมวงอยู่กับบรรดาเพื่อน ๆ ในชมรม ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เห็นแต่ไอ้ตัวดีหัวเราะร่าจนตาหยีพลอยให้ริมฝีปากขยับยิ้มตามไปด้วย

   “เดี๋ยวนี้ไอ้กี้มันดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะ มึงว่าไหมอิน”

   ผมหันมามองพี่ต้าร์ที่สายตากำลังจับจ้องคนที่ถูกพูดถึงอยู่เช่นกัน

   “นี่พี่คิดอะไรกับมันป่ะเนี่ย”

   ผมแกล้งทำเป็นมองพี่ต้าร์ด้วยความสงสัย

   “คิดบ้าอะไร ใครจะเหมือนมึง”

   พี่ต้าร์เป็นอีกคนที่รู้มานานแล้วว่าผมคิดอย่างไงกับกี้ พี่แกดูไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ด้วยซ้ำตอนที่รู้ว่าผมคิดอย่างไงกับกี้ แถมยังค่อยช่วยดูแลกี้เวลาที่ผมไม่ว่างให้ด้วย เสียอยู่อย่างเดียว คือพี่ท่านแม่งโคตรเกรียน ชอบหาเรื่องแกล้งพวกผมประจำ อย่างเรื่องที่กี้มาปรึกษาเรื่องอาการของเจ้าตัวนั่นก็เข้าทางให้พี่แกได้แกล้งสนุกเลย

   “นี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องที่พี่หลอกไอ้กี้มันเลย”

   พี่แกกลับหัวเราะพร้อมกับทำหน้าเกรียนใส่

   “ก็กูหมั่นไส้มึง”

“ทำไมตอนนั้นพี่ถึงไม่บอกกี้มันละว่าไอ้อาการที่มันเป็นคืออะไร”

“เรื่องอะไรกูจะบอกให้มันรู้ตัว แบบนั้นก็ไม่สนุกสิว่ะ ไอ้กี้มันน่าแกล้งจะตาย”

ผมได้แต่ส่ายหัวกับความคิดของรุ่นพี่ที่เคารพ แต่กี้มันก็น่าแกล้งจริง ๆ ผมยังชอบแกล้งมันบ่อย ๆ ด้วยซ้ำ

“อีกอย่างเรื่องแบบนี้มันต้องรู้ด้วยตัวเอง จะให้คนอื่นมาบอกได้ไง”

ผมก็คิดเหมือนที่พี่ต้าพูด ตอนที่รู้ว่ากี้มีอาการแบบนั้นกับผม บอกเลยผมโคตรดีใจ ที่ได้รู้ว่าจริง ๆ กี้มันก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่ที่ผมไม่ยอมบอกมันไปตรง ๆ ว่าอาการที่มันเป็นคืออะไร บอกตรง ๆ ผมกลัวมันช็อคครับ กลัวมันรับตัวเองไม่ได้ที่รู้ว่าตัวเองรักเพื่อนสนิท แล้วมันจะหนีหน้าผมไป กี้มันไม่ใช่คนที่กล้าจะเผชิญหน้า ผมเลยพยายามทำให้กี้ค่อย ๆ เรียนรู้อาการที่มันเป็น ให้มันรู้ด้วยหัวใจตัวเองว่าที่จริงแล้วมันรู้สึกอย่างไงกับผม

“ว่าแต่เมื่อไหร่มึงจะจัดการให้มันเรียบร้อยวะ กูเห็นเฝ้ามันมาตั้งนานละ”

ผมมองคนที่เป็นประเด็นในบทสนทนายังคงนั่งหัวเราะอยู่กับเพื่อน ๆ รอยยิ้มสดใสที่ได้เห็นทำให้ต้องเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

“มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปสิพี่”

“มัวแต่คอยเป็นค่อยไป ระวังเหอะ เดี๋ยวหมาจะคาบไปแดก มึงไม่เห็นเหรอว่ามีคนสนใจไอ้กี้อยู่”

“ผมรู้แล้วน่า”

“ได้ข่าวว่ามีรุ่นพี่มาเต๊าะด้วยนี่ แถมมีสาว ๆ เอาขนมมาฝากด้วย”

“นี่พี่รู้ได้ไง”

ผมหันมองพี่แกด้วยความสงสัย เรื่องนี้ผมยังไม่ได้เล่าให้แกฟังเลย แล้วพี่ต้าร์รู้ได้อย่างไง

“กูก็มีสายของกูม่ะ น้องกูกูก็เป็นห่วงนะโว้ย”

“ถ้าเป็นห่วงก็ช่วยกันไอ้พวกที่จะมายุ่งกับน้องรักพี่ด้วยสิ”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ทำอะไร รู้ไหมว่ามีคนมาขอเบอร์ไอ้กี้กับกูกี่คนแล้ว”

คนโตกว่ายกมือพาดบนไหล่ผม ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางพวกสมาชิกชมรมที่นั่งกันอยู่ในห้อง

“หา แค่นี้ผมก็เครียดแล้วนะพี่”

“กูถึงบอกให้มึงจะทำอะไรก็รีบทำ”

“พี่ก็รู้ว่ากี้มันเป็นอย่างไง ผมกลัวมันจะไม่ยอมรับแล้วเตลิดไป”

“มึงนี่ก็คิดเยอะ”

พี่ต้าร์มองไปทางเพื่อนสนิทของผมที่ตอนนี้นั่งก้มหน้าก้มตาดีดกีตาร์ในมือ แล้วส่ายหน้า

“ส่วนไอ้นั้นก็ไม่คิดอะไรเลย เหมาะกันชิบหาย”




   ผมมองคนตัวเล็กที่เกือบจะห้าทุ่มแล้วยังไม่ยอมลุกไปอาบน้ำ เอาแต่นอนกลิ้งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ก่อนที่ผมจะเข้าไปอาบน้ำ มันบอกว่าจะทำรายงานที่ต้องส่งวันมะรืนนี้ ได้แต่ส่ายหัวระอาใจในความไม่ตั้งใจของเพื่อนตัวเอง รายงานอาจารย์สั่งตั้งแต่อาทิตย์ก่อนไม่ยอมทำ ผมชวนทำด้วยกันก็เอาแต่ผลัด อ้างโน้นอ้างนี้ไม่ยอมลงมือทำสักที

   “ไหนมึงบอกว่าจะทำรายงาน”

   กี้สะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อผมเดินเข้าไปประชิดตัวมัน ทำหน้าทำตาเลิ่กลั่กก่อนจะยิ้มแหย ผมเลยแกล้งตีหน้าขรึมใส่ ดึงโทรศัพท์ในมือมันมาดู

   เอาแต่เล่นเกมจริง ๆ ด้วย

   “อิน เอาคืนมา”

   กี้ลุกขึ้นนั่งพยายามจะเอื้อมแขนมาแย่งโทรศัพท์คืน แต่ผมชูขึ้นสุดแขน เตี้ย ๆ อย่างมันไม่มีทางทำอะไรผมได้หรอก

   “ไปทำรายงานให้เสร็จก่อนค่อยมาเอาคืน”

   “ก็เดี๋ยวทำไง เอาโทรศัพท์กูมา”

   “ไม่ให้ เดี๋ยวมึงก็เอาแต่เล่นเกมอีก”

   “เอามานะไอ้อิน”

   ไอ้กี้เริ่มงอแงทำหน้ามู่ทู่ คราวนี้มันลุกขึ้นยืนพยายามเขย่งสุดตัวให้ถึงโทรศัพท์ที่ผมยึดมา ผมเลยเขยิบตัวหนี พอกี้มันเห็นแบบนั้นก็กระโดดเกาะแขนผมเต็มแรง ทำเอาจังหวะที่ผมกำลังขยับตัวเซไปข้างหน้า ก่อนที่จะสะดุดไอ้คนที่พันแข้งพันขาจนล้มลงบนโซฟาด้วยกันทั้งคู่

   “โอ้ย”

   ผมก้มดูคนที่ร้องเสียงดังด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้มันโดนผมทับอยู่ครึ่งตัว ทำหน้าตาเหยเกแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากโทรศัพท์ในมือผม

   “ไอ้อิน ปล่อยโทรศัพท์กูเดี๋ยวนี้นะ”

   ได้ยินเสียงโวยวายของมันแบบนี้ก็เบาใจ แสดงว่าคงไม่เป็นอะไร

   “ไม่”

   ผมก้มลงจนปลายจมูกเกือบจะแตะกับปลายจมูกรั้นของคนข้างล่าง สบตากับดวงตากลม ๆ ของกี้ที่กำลังเบิกกว้างก่อนจะแกล้งพูดเน้นคำ

   “กูไม่ให้”

   “มะ...มึง...ลุกก่อน”

   หึ...

   ไอ้ท่าทางอึก ๆ อัก ๆ แบบนี้แสดงว่าอาการมันกำเริบแน่ ๆ ผมเลยแกล้งกดหัวลงต่ำอีกจนปลายจมูกเกือบจะสัมผัสกัน จนกี้มันเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี

   “กูไม่ลุก”

   กี้หลับตาปี๋เมื่อผมขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน้ามัน เห็นขนตายาวงอนที่สั่นระริกบวกกับอาการกัดเม้นริมฝีปากแน่นของคนตรงหน้าผมก็อดสงสารไม่ได้

   ทั้งที่ใจหนึ่งก็อยากจะรังแกมันให้สาแก่ใจ แต่อีกใจก็อยากจะถนอมมันไว้แบบนี้

   “มึงลุกไปอาบน้ำแล้วมาทำรายงานให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวกูคืนโทรศัพท์”

   ผมลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับฉุดมือมันให้ลุกขึ้นมาด้วย ไอ้คนดื้อรีบวิ่งปรู๊ดคว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนเข้าห้องน้ำทันทีโดยที่ผมไม่ต้องพูดซ้ำ

   ว่าง่าย ๆ แบบนี้ค่อยน่าเอ็นดูหน่อย จริงไหมครับ



   TBC…


   
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 09-02-2018 22:41:27
ตอนที่ 10

   ผมกำลังนั่งพักอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้างลานกิจกรรมหน้าตึกสโมสรนักศึกษา ในเช้าวันเสาร์ที่ปกติผมคงนอนเล่นเกมตีป้อมอยู่ที่ห้อง แต่วันนี้ผมกลับต้องมาช่วยงานการถ่ายทำโปสเตอร์โปรโมทของชมรมดนตรีพ่วงด้วยการถ่ายภาพโฆษณาเสื้อยืดที่ทางชมรมจัดทำขึ้นเพื่อหาเงินมาซื้อและซ่อมแซมอุปกรณ์และเครื่องดนตรีในชมรมที่เก่าและชำรุดไปบางชิ้น ได้ยินพี่แจ็คบ่นว่าปีนี้แต่ละชมรมโดนตัดงบกิจกรรมไปเยอะ สมาชิกของแต่ละชมรมเลยต้องหาทางหาเงินเข้าชมรมกันเอง

   “กี้ มาช่วยยกคีย์บอร์ดลงไปหน่อย”

   เสียงพี่ต้าร์พี่ชายสุดที่รักของผมตะโกนเรียกลงมาจากหน้าห้องชมรมที่อยู่ชั้นสอง ผมจึงต้องเลิกอู้แล้วลุกขึ้นไปช่วยกันยกคีย์บอร์ดลงวางที่สวนเล็ก ๆ ข้างตึกสโมร่วมกับเพื่อนอีก 2-3 คนในชมรมที่โดนเกณฑ์มาใช้แรงงานในวันหยุดเหมือนกัน

   ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจคอนเซปอะไรที่เขาจะถ่ายกันเท่าไหร่หรอกครับ ได้ยินว่าปีนี้อยากจะได้แนวดนตรีในสวนฉีกจากแนวร็อค ๆ แบบปีก่อน พวกผมก็เลยต้องมาช่วยกันยกพวกเครื่องดนตรีต่าง ๆ ลงมา นี่ก็เพิ่งขนกลองทั้งชุดไปตั้งไว้ในสวนเมื่อกี้ พักยังไม่ทันหายเหนื่อยก็โดนใช้อีกแล้วครับ กว่าจะขนลงมาครบทั้งวงก็เล่นเอาพวกผมหอบเลย ยังดีที่ไม่คิดคอนเซปอยากถ่ายบนดาดฟ้าไม่งั้นคงได้แบกขึ้นบันไดหลังเดี้ยงแน่ ๆ

   พอเครื่องดนตรีถูกวางตามตำแหน่งที่ช่างภาพต้องการเรียบร้อย พวกนักดนตรีในวงก็พากันลงจากตึก แต่ละคนสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายแขนยาวสีขาวคู่กับกางเกงยีนสีซีด เห็นว่าพี่แจ็คขอให้เพื่อนผู้หญิงที่เป็นช่างภาพของสโมสรนักศึกษาและเพื่อนสาวประเภทสองที่เป็นช่างแต่งหน้าให้มาช่วยงานนี้ด้วย ทุกคนเซตเสื้อผ้าหน้าผมอย่างหล่อ อ้อ ยกเว้นพี่แพรวคนนึง วันนี้พี่แกมาลุคสาวเท่แทน ส่วนไอ้อินเพื่อนผมนี่ออร่าโดดเด่นกว่าคนอื่นตั้งแต่เดินลงตึกมาเลย

แม่ง หล่อเกินหน้าเกินตาคนอื่นจริง ๆ

“มองไอ้อินตาค้างเลยเหรอมึง”

ผมสะดุ้งเบา ๆ เมื่อจู่ ๆ พี่ต้าร์ก็ยื่นหน้ามาเสียใกล้ พอหันไปก็สบตากับเพื่อนสนิทที่เดินมาพร้อมกัน

“ก็มองทุกคนแหละ”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องหลบสายตาของเพื่อนตัวเองที่ยืนอมยิ้มด้วยนะ

“เหนื่อยไหมครับกี้”

พี่นัทแวะเดินมาหาผมพร้อมกับยื่นแก้วเครื่องดื่มในมือให้ผม

“น้ำครับ พี่ซื้อมาฝากทุกคน เห็นขนของกันเหนื่อย”

ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก้มลงมองแก้วพลาสติกที่บรรจุน้ำสีชมพูที่รับมาด้วยความลำบากใจ

คือ...ผมไม่ชอบกินนมชมพูครับ

ปกติผมชอบกินของหวานหรือขนมนะ แต่นมชมพูนี่ข้อยกเว้น มันมีรสชาติแปลก ๆ ในความรู้สึกของผม แต่ถ้าไม่รับมาก็จะเสียน้ำใจคนที่อุตส่าห์เอามาให้แย่สิครับ

“กี้ ถือน้ำให้หน่อยสิ”

ผมมองแก้วบรรจุน้ำสีชาถูกยื่นมาตรงหน้า ในหัวก็คาดเดาไปว่ามันคือน้ำอะไร

“เร็วสิ กูจะผูกเชือกรองเท้า”

ผมเลยต้องถือแก้วน้ำไว้ในมือทั้งสองข้าง แต่พออินผูกเชือกรองเท้าเสร็จ มันกลับคว้าแก้วนมชมพูไปแทน

“เฮ้ย ของมึงแก้วนี้”

ผมชูแก้วอีกใบที่อยู่ในมือให้มันดู แต่อินมันกลับดูดแก้วที่อยู่ในมือมันแทนหน้าตาเฉย

“กูจะกินแก้วนี้ แก้วนั้นมึงก็กินไปเหอะ”

“อิน มาตรงนี้เร็ว จะเริ่มถ่ายแล้ว”

“ครับพี่”

ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินไปประจำตำแหน่งตามที่พี่ช่างภาพเรียก ก่อนจะก้มลงดูดแก้วน้ำสีชาที่อยู่ในมือ ทันทีที่ลิ้มรสผมก็จุดยิ้มที่มุมปาก

เป็นชามะนาวที่ผมชอบจริง ๆ ด้วย...



"แจ็ค มาดูสิว่าโอเคยัง”

พี่ตากล้องกวักมือเรียกประธานชมรมให้ไปดูรูปที่ถ่าย ผมที่ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ไม่ห่างก็ชะเง้อคอแอบดูกับเขาด้วย

“อืม ใช้ได้แล้วละ"

“โอเค งั้นเดี๋ยวถ่ายโปรโมทเสื้อต่อเลย”

“งั้นเดี๋ยวเราไปตามพิ้งค์มานะ” พี่แจ็คก็หันไปเรียกอินให้ตามขึ้นไปที่ห้องชมรม “อินป่ะ ไปเปลี่ยนเสื้อ”

หายขึ้นไปกันสักพัก อินในชุดเสื้อยืดสีดำสกรีนลายก็เดินลงมาพร้อมกับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวลายเดียวกัน ทั้งสองเดินไปหาพี่ช่างภาพที่ยืนรออยู่

“สวยใช่ไหมละมึง นั่นน้องพิ้งค์ดาววิศวะเชียวนะ”

พี่ต้าร์ที่ไม่รู้ว่ามายืนข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยขึ้น

“โคตรสวยเลยพี่” ผมพยักหน้าเห็นด้วย สวยจริง ๆ ครับ ดาววิศวะที่พี่ต้าร์บอก

“เห็นพี่แจ็คบอกว่าเป็นหลานรหัสแก เลยขอให้มาช่วยเป็นแบบ”

ผมเลยนั่งดูการถ่ายภาพที่จะใช้เป็นภาพโฆษณาขายเสื้อของชมรมกับพี่ต้าร์ พี่ช่างภาพบอกให้พิ้งค์ขยับไปด้านหลังเป็นจังหวะที่เหยียบเท้าอินพอดี เธอรีบหันไปขอโทษพร้อมกับส่งยิ้มน่ารักให้เพื่อนผมที่ดูมันก็ไม่น่าจะเจ็บอะไรเท่าไหร่ ไอ้เพื่อนรูปหล่อของผมส่ายหน้าบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไรพร้อมกับส่งยิ้มมุมปากให้

เหอะ อ่อยสาวอีกแล้วสินะมึง

“แหม หล่อสวยสมกันดีเนอะ มึงว่าไหมกี้”

ผมมองผู้ชายที่เกือบจะได้เป็นเดือนคณะถ้ามันไม่หนีการคัดเลือกเสียก่อนกับสาวสวยเจ้าของรอยยิ้มน่ารักดีกรีดาววิศวะพ่วงท้าย
หนุ่มหล่อกับสาวสวย...เปล่งประกายเจิดจ้าเสียจนผมแสบตาแทนจะเบือนหน้าหนี

“...งั้นมั้งพี่”

“นี่ถ้ากูเป็นไอ้อินน่ะ ไม่จบแค่งานนี้แน่ ๆ มันต้องมีแลกเบอร์แลกไลน์กันมั้งละ”

“พี่ต้าร์อยากได้เบอร์เขาก็ไปขอสิครับ ไม่ต้องทำเป็นอ้างไอ้อินมันหรอก”

“สวยขนาดนั้นเป็นใครก็ชอบเปล่าวะ” พี่ต้าร์หันมามองหน้าผม “เป็นไรเปล่ามึง อยู่ดี ๆ ก็ทำหน้าเป็นตูด”

ผมชะงัก บอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันเลยได้แต่ทำเป็นบ่นกลบเกลื่อน

“เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย ผมหิวข้าวแล้ว”

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วมั้ง”

พี่ต้าร์ยื่นเสื้อยืดสีขาวที่พับอยู่ในถุงพลาสติกมาตรงหน้าผม

“เอาไป กูให้”

“อะไรพี่”

“เสื้อไง นี่มึงดูไม่ออกเหรอ”

“รู้ว่าเป็นเสื้อ”

“ของตัวอย่างน่ะ มันมีตำหนิตรงชายเสื้อนิดหน่อย ร้านเขาเลยให้ฟรีมา กูเลยยกให้มึงตอบแทนที่วันนี้มาเป็นเบ๊ ตกลงจะเอาไหม ม่างั้นกูจะเอาไปให้คนอื่น”

“เอาสิพี่ ของฟรีนี่ ขอบคุณนะครับ”

ผมยิ้มเอาใจก่อนยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก้มมองเสื้อยืดสีขาวในมือ แกะออกดูก็เห็นลวดลายที่สกรีนแบบเดียวกันกับเสื้อที่ดาววิศวะกำลังใส่ถ่ายรูปอยู่ตรงโน้น



“โอเคค่า พี่ว่าน่าจะพอได้ละ เดี๋ยวขอเช็ครูปกับแจ็คแป๊บนึงนะ”

สิ้นเสียงพี่ช่างภาพ ไอ้อินมันก็เดินตรงมาที่พวกผมนั่งกันอยู่ มือเรียวยาวของมันจับคอเสื้อกระพือให้อากาศเข้าโดยไม่กลัวว่าเสื้อจะยับเลย 

“ขอน้ำกินหน่อยดิ ร้อนว่ะ”

เห็นหน้าหล่อ ๆ ของมันเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมก็เลยยื่นขวดน้ำที่เพิ่งดื่มเมื่อกี้ให้อินมันรับไปดื่มฮึกใหญ่

“เป็นไร หน้าเป็นตูดเชียวมึง”

ทำไมพวกนี้ถึงชอบว่าหน้าผมเหมือนตูดนักนะ

“เปล่า”

ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่ผมก็ยังคงนั่งทำหน้าเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ เหมือนเดิม 

“หิวข้าวเหรอ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว”

มือใหญ่วางลงบนหัวของผมก่อนจะขยี้เล่นเบา ๆ อย่างเคย ผมสะบัดหัวออก ทำหน้ายู่พลางบ่นไอ้เพื่อนที่ชอบเล่นหัว พยายามจะลูบผมให้มันกลับมาเป็นทรงเหมือนเดิม

“หัวกูยุ่งหมดแล้วเนี่ย”

ไอ้คนขี้แกล้งมันกลับยิ้มขำก่อนจะกระดกขวดน้ำเปล่าในมือเข้าปาก

“เอ่อ น้องกี้ใช่ไหมคะ”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่ตากล้องซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่แจ็ค ออกอาการแปลกใจที่จู่ ๆ พี่เขาก็เข้ามาทัก

“ครับ”

“เดี๋ยวน้องช่วยเปลี่ยนใส่เสื้อชมรมแล้วมาถ่ายรูปหน่อยได้ไหม”

“หา ผมเหรอ”

ผมยกมือขึ้นชี้ที่ตัวเอง นี่พี่คิดอะไรอยู่เหรอครับ จะให้ผมเป็นแบบเนี่ยนะ

“คือเมื่อกี้ตอนอยู่กับอินพี่ดูแล้วน้องน่าจะใช้ได้น่ะ เลยอยากให้ลองมาถ่ายคู่กับอินดู ตอนนี้กระแสคู่จิ้นกำลังมา คนน่าจะให้ความสนใจ”

ไอ้จิ้น ๆ ที่ผมยังไม่รู้ความหมายนี่อีกแล้ว แต่ท่าทางคงจะมีคนชอบเยอะ

“น่าสนใจดีนะ พี่ว่าก็ดีเหมือนกัน ลองดูก็ไม่เสียหายนะกี้ จะได้มีรูปให้เลือกเยอะขึ้นด้วย”

พี่แจ็คก็ดูจะเห็นด้วยกับไอเดียของเพื่อนตัวเอง มองผมด้วยสายตาที่ผมคงตอบปฏิเสธไม่ได้ ผมหันไปมองอินเป็นเชิงปรึกษา

“ก็เหมือนถ่ายรูปเล่นกับกูนั่นแหละ”

   “เอางั้นเหรอ งั้นก็ได้ครับ”


   ผมยอมไปเปลี่ยนใส่เสื้อตัวที่พี่ต้าเพิ่งให้มา ปล่อยให้พี่ช่างแต่งหน้าเซตผมตบแป้งทาลิปกลอสแล้วมายืนถ่ายรูปคู่กับเพื่อนสนิทอย่างไอ้อินอย่างงง ๆ จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากเหรอครับ ก็ยืน ๆ หัน ๆ ตามที่พี่เขาบอกนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ผมไม่ชินกับการถูกถ่ายรูปอะไรแบบนี้เท่าไหร่นัก

   “น้องกี้ทำตัวสบาย ๆ เลย พี่อยากให้มันดูธรรมชาติหน่อย”

   ผมพยายามจะยิ้มให้ดูธรรมชาติแบบที่พี่ตากล้องเขาบอก แต่ไอ้คนข้างตัวมันกลับพูดแบบนี้

   “กี้มึงอย่าเกร็งดิ นั่นยิ้มหรือแยกเขี้ยววะ”

   “ก็กูไม่เคยถ่ายแบบนี้นี่หว่า”

   “ดูทำหน้า ยิ่งขี้เหร่เข้าไปอีก”

   “ไอ้อิน มึงว่ากูเหรอ”

   คราวนี้ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันจริง ๆ แต่อินมันกลับหัวเราะขำแล้วยกมือขึ้นมาคงกะจะโยกหัวผมเล่น ผมเลยเบี่ยงหัวหลบ อินมันเลยเปลี่ยนมาคว้าคอผมไปกอดจากทางด้านหลังแทน

   “เฮ้ย”

   ผมเอามือจับแขนมันที่มันเกี่ยวคอผมไว้ หมายว่าจะแกะออก หากเสียงนุ่ม ๆ ของอินกลับกระซิบข้างหู

   “มองกล้องสิมึง”

   เสียงรัวชัตเตอร์ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองไปทางพี่ตากล้อง อินคลายมือออกเปลี่ยนเป็นวางมือพาดบนบ่าของผมแทน มันเอียงคอส่งยิ้มแบบที่ผมคุ้นตามาให้

   “ยิ้มแบบที่มึงยิ้มทุกทีก็ดีแล้ว”

   ผมเบือนสายตากลับมามองที่กล้องอีกครั้ง พร้อมกับรู้สึกถึงมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่



   “โอเค ทุกอย่างเรียบร้อยละ ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่มาช่วยกัน เดี๋ยวขายเสื้อได้ละพี่จะพาไปเลี้ยงข้าวนะ”

   “สัญญาแล้วนะพี่”

   “เออ เดี๋ยวพาไปกินหมูกระทะ”

   “ผมจะกินให้คุ้มกับค่าเหนื่อยเลยพี่”

หลังจากที่พวกผมกลับอุปกรณ์เครื่องดนตรีไปเก็บในห้องชมรมเรียบร้อย ต่างก็พากันแยกย้ายทยอยกลับกัน

   “อินคะ”

   เสียงผู้หญิงสาวเรียกไว้ตอนที่พวกผมกำลังเดินออกจากตึกสโมสรนักศึกษา

   “ครับ”

   “คือจะว่าอะไรไหม คือพิ้งค์อยากจะขอถ่ายรูปอินไปอวดเพื่อนสักรูป เพื่อนพิ้งค์มันกริ๊ดอินกันหนักมาก”

   “ได้สิครับ”

“กี้มาถ่ายด้วยกันสิคะ”

   “เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมถ่ายให้ดีกว่า”

ไอ้อินยิ้มให้เมื่อพิ้งค์เดินเข้ามายืนข้าง ๆ โทรศัพท์มือถือของพิ้งค์ถูกส่งมาให้ผมพร้อมกับยิ้มหวาน ๆ ผมมองรูปชายหญิงบนหน้าจอที่กำลังส่งยิ้มมาให้ กดส่ง ๆ ถ่ายไป 2-3 รูปก่อนจะส่งคืนเจ้าของ

   “ขอบคุณนะคะ”

   “แล้วนี่พิ้งค์กลับอย่างไง” ผมได้ยินอินมันถาม

   “เดี๋ยวเพื่อนมารับน่ะ”

   ยังไม่ทันขาดคำโทรศัพท์ในมือของพิ้งค์ก็ดังขึ้น

   “ฮัลโหล...โอเค เดี๋ยวเราเดินไปนะน้ำ”

   “งั้นพิ้งค์ไปก่อนนะ”

   ดาวคณะวิศวะส่งยิ้มสดใสทิ้งท้ายให้พวกผมก่อนจะขอตัวเดินไปขึ้นรถที่มาจอดรออยู่ไม่ไกล ผมชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันมองตามสาวตาละห้อย

   “เสียดายที่ไม่ได้ไปส่งพิ้งค์ละสิมึง”

   “พิ้งค์เขามีคนมารับอยู่แล้วนี่”

   “หึ” ผมเบ้ปากใส่ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำไปที่รถ “เร็วดิ กูหิวข้าว”



“หิวมากเหรอ จะแวะกินแถวนี้ก่อนไหม”

อินหันมาถาหลังจากขับรถออกมาจากมหาลัยได้สักพักเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นั่งเงียบ มันเหลือบมามองผมก่อนจะหันกลับไปมองถนน ตอนแรกผมกับอินตกลงกันว่าจะกินข้าวที่ห้างใกล้ ๆ คอนโด จะได้แวะไปซื้อของด้วย

“ไม่ต้องหรอก”

ผมตอบโดยไม่หันไปมองคนถาม

“กี้”

“กูเห็นมึงแปลก ๆ ตั้งแต่เมื่อกี้ละ มึงเป็นอะไรเปล่าวะ”

“....”

ผมนึกว่าอินมันคงไม่สังเกตเห็นซะอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แค่ว่ารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเอาซะเลย...และผมก็ไม่ชอบความรู้สึกนี่เอามาก ๆ ด้วย

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

“ร้อนเหรอ เดี๋ยวกูเร่งแอร์ให้ จะได้อารมณ์ดีขึ้น”

อินเอื้อมมือไปปรับเร่งแอร์ให้แรงขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้นเลย

“ก็กูบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไง”

ผมเผลอใช้น้ำเสียงกระด้างพูดกับอิน รู้สึกตัวก็เมื่อเห็นแววตาประหลาดใจที่เหลือบมามอง ผมเลยได้แต่เสเบือนหน้าหนีมองออกนอกหน้าต่าง แสร้งทำเป็นมองไปที่สัญญาณไฟตรงแยกข้างหน้าที่กำลังเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง

“มึงโกรธอะไรกูหรือเปล่า”

ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศภายในรถ ขณะที่ผมยังคงจ้องสัญญาณไฟสีแดงและตัวเลขที่นับถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ ในที่สุดผมก็หลุดสบถออกมาจนได้

“แม่ง”

ผมยังคงไม่ยอมหันมาทางคนข้าง ๆ โดยตรง ได้แต่มองเงาสะท้อนเลือนรางจากกระจกหน้าต่างรถ

“กูรู้สึกตัวเองนิสัยไม่ดีเลยว่ะ รู้สึกตัวเองทำตัวแย่ ๆ”

“มึงทำอะไร”

“คือ...กู...” ผมก้มหน้าลงยกมือขึ้นมากุมหัวแล้วถอนหายใจ “กูต้องเป็นเหมือนมึงวันนั้นแน่ ๆ”

“กูรู้สึกแปลก ๆ ตอนที่เห็นพิ้งค์ถ่ายรูปกับมึง มันหงุดหงิดอย่างไงก็ไม่บอกไม่รู้ กูรู้แต่ว่ามันไม่โอเคว่ะ แม่งรู้สึกตัวเองขี้อิจฉาอย่างไงก็ไม่รู้ กูไม่ชอบตัวเองแบบนี้เลยว่ะ”

“กูว่ากูเข้าใจละว่าวันนั้นมึงรู้สึกอย่างไงเวลาที่ผู้หญิงเขาสนใจคนอื่นมากกว่ามึง”

อินมันปล่อยให้ผมพูดพล่ามอยู่คนเดียวจนพอใจแล้ว ผมจึงได้ยินเสียงของมันพูดขึ้นมาบ้าง

“มึงแน่ใจเหรอวะกี้ ว่าที่มึงเป็นคืออิจฉากู”

ผมยกมือที่กุมหัวตัวเองออกแล้วหันไปก็สบเข้ากับสายตาคมของเพื่อนสนิท

“...กูก็ต้องอิจฉามึงสิ”

...หรือไม่ใช่

   ความรู้สึกบางอย่างในตัวผมกำลังกระซิบบอกว่ามันไม่ใช่ แล้วถ้าอย่างนั้นอาการที่ผมกำลังเป็นอยู่คืออะไรกันแน่

   ความรู้สึกบางอย่างนั้นที่ทำให้ผมถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ

   “...มันเกี่ยวกับมึงใช่ไหม”

ก่อนที่ตัวเลขบนสัญญาณไฟจราจรจะนับถอยหลังถึงเลขศูนย์แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มือที่คุ้นเคยลูบลงบนหัวของผมแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่คุ้นตา

“มึงค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับความรู้สึกของมึงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบ กูอยากให้มึงแน่ใจว่าจริง ๆ มึงคิดอย่างไง รู้สึกอย่างไง ไว้วันไหนมึงรู้แล้วมาบอกกูด้วยแล้วกัน”

มือของอินผละออกก่อนที่สัญญาณไฟเขียวจะปรากฏเพียงอึดใจ พร้อมกับคำพูดที่ทิ้งไว้ก่อนจะออกรถ

“แต่อย่านานนักนะ เพราะกูก็รอมานานแล้ว”


TBC...
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 10-02-2018 08:54:31
อินบางทีก็ใจเย็นป๊ายยยยยยยย กระตุ้นกี้หน่อยลูก ใบ้อีกๆ น้องกี้เค้าซื่อ เด่วรู้ตอนแก่ละแย่เลย
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: PK13 ที่ 10-02-2018 11:06:21
โอ้โหหหหหหหห อะไรจะซื่อเบอร์นั้นนู๋กี้ 5555555
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 10-02-2018 18:51:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 12-02-2018 07:42:49
น่าจะมีคนมาจี้จุดซักคน ปล่อยเบลอกันไปหมดดดด คนไม่รู้ไม่จี้ก็ไม่รู้เด้ออออ ไปเราก็ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 12-02-2018 13:25:21
กลัวนุ้งกี้จะโดนงาบไปจริงๆถ้าทุกอย่างยังเนิบนาบไปอย่างงี้ ฮืออออิ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 10 [09/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 12-02-2018 14:52:55
คู่นี้เค้าสมกันจริงๆค่ะพี่ตา
ฮือลุ้นทุกตอนเลยเมื้อไหร่กี้จะรู้ตัว :katai1:
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 16-02-2018 19:49:31
ตอนที่ 11

            ความรู้สึกของผม....

            ความรู้สึกที่อินมันพูดถึงมันหมายถึงอะไร แล้วมันจะเกี่ยวกับโรคประหลาดที่ผมเป็นด้วยหรือเปล่า อาการที่ผมเป็นมันแค่โรคประหลาดที่ใคร ๆ เขาก็เป็นกันจริงเหรอ สิ่งที่มันกำลังเกิดกับผมมันคืออะไรกันแน่ ผมเอาแต่คิดวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

          แล้วที่อินมันบอกว่ามันรอมานานแล้ว มันรออะไร สิ่งที่มันรอมาจากผมใช่ไหม มันเกี่ยวกับความรู้สึกของผมที่อินพูดถึงหรือเปล่า

            ผมไม่เข้าใจเลย...

             

 

            “กี้”

            “ไอ้กี้”

            “ห๊ะ เรียกกูเหรอ”

            ผมกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อโดนชมพู่ตีเข้าที่แขน

            “เออ กูเรียกเป็นสิบรอบแล้วมั้ง มัวแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ”

            “แหะ ๆ โทษทีว่ะ”

          ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เพื่อน เมื่อกี้ไม่ได้ฟังจริง ๆ ว่ามันพูดว่าอะไร

            “กูถามว่าตกลงเย็นนี้มึงกับไอ้อินจะไปกินชาบูกับพวกกูไหม”

            “เอ่อ กูยังไงก็ได้”

            “แล้วไอ้อินละ มันต้องไปซ้อมกับวงเปล่าวะ”

          ชมพู่ถามถึงเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ผม ชมพู่ และมายนั่งกันอยู่ที่ใต้ตึกคณะหลังจากเลิกเรียนแล้ว

            “ไม่รู้ มึงก็ไปถามมันสิ”

            “อ้าว ก็พวกมึงอยู่ด้วยกัน ทำไมมึงไม่รู้วะ”

            ชมพู่มองผมด้วยความสงสัย ผมเลยแกล้งสนใจชีทเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะแทน

          “แล้วนี่มันไปไหนวะ”

            “เมื่อกี้เห็นอาจารย์ขวัญเรียกให้ไปหาน่ะครับ”

            มายเป็นคนให้คำตอบกับชมพู่เอง เมื่อเห็นผมยังนั่งทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่

            “งั้นเดี๋ยวมึงก็ถามให้กูหน่อยละกัน”

          “มึงก็ถามมันเองสิ”

            “เอ๊ะ ไอ้นี่ เรื่องมากจริง”

            เพื่อนสาวของผมทำเสียงจิจ๊ะ ก่อนที่มันจะมองผ่านผมไปทางด้านหลัง

            “ไอ้อินมาพอดี”

            “อิน เย็นนี้มึงจะไปกินชาบูด้วยกันเปล่าวะ” ชมพู่ถามคนที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะ

            “อือ ไปสิ”

          “งั้นพวกมึงไปจองคิวที่ร้านกันก่อน เดี๋ยวกูขอเอาหนังสือไปคืนแล้วจะตามไป”

            “งั้นเดี๋ยวชมพู่ไปพร้อมเราละกัน ขากลับเราจะได้ไปส่งที่หอด้วย”

            “กูไปด้วย” ผมโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินมายพูดว่าจะไปพร้อมกันกับชมพู่ ไม่สนสายตาประหลาดใจของทุกคนที่มองมา

            “มึงจะมาด้วยทำไม มึงก็ไปรถไอ้อินก่อนเหมือนทุกทีสิ ก็รู้อยู่ว่าตอนเย็นที่ร้านคนมันเยอะ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยค่ะมึง”

          ชมพู่ไม่ยอมตามใจผม แถมยังด่าผมอีกที่ทำตัวมีปัญหา ซึ่งผมก็เถียงมันไม่ได้ด้วย

“ไม่ต้องมาทำเป็นหน้างอใส่กู กูไม่ใช่ไอ้อินจะได้คอยโอ๋มึง”

            ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ มาจากไอ้คนที่ถูกพาดพิงถึง ผมเลยได้แต่ทำหน้าเซ็งกว่าเดิมเมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง

           

 

 

            “ไอ้อินมึงเลิกตักใส่แต่ชามของกี้มันได้ไหม เต็มชามจนล้นแล้วนั่น เหลือไว้ในหม้อให้คนอื่นกินบ้างเหอะ”

          ชมพู่โวยวายเสียงดังเมื่อเห็นว่าในชามของผมมีทั้งหมูทั้งเนื้อสารพัดสัตว์และเครื่องชาบูที่อินมันตักให้ ส่วนผมก็มีหน้าที่แค่รอให้เย็นแล้วคีบเข้าปาก ก็ปกติเวลาไปกินชาบูหรือปิ้งย่างอะไรแบบนี้ อินมันมักจะค่อยตักค่อยคีบให้ผมอยู่แล้ว ก็เพราะมันบ่นว่าผมกินช้า มัวแต่เคี้ยวเอี้ยงแย่งไม่ทันคนอื่น

            “กูเห็นมันแย่งพวกมึงกินไม่ทัน”

          อินมันตอบไปแบบนั้นโดยที่ยังคีบกุ้งที่สุกแล้วมาใส่ในชามของผมเพิ่ม

            “แหม บุฟเฟต์นะคะคุณมึง ไม่พอก็สั่งมาอีกสิวะ”

          ผมกลืนเนื้อสไลด์ลงคอก่อนจะพูดบ้าง

            “งั้นมึงก็สั่งมาเพิ่มสิวะชมพู่ จะมาบ่นไอ้อินมันทำไม”

            “แหม ทีเรื่องกินนี่รีบเข้าข้างไอ้อินเลยนะมึง ทีเมื่อกี้ยังทำตัวงอแงจะไม่ยอมมากับมันอยู่เลย”

            “ไม่ใช่สักหน่อย เอานี่ กูยกกุ้งให้ตัวนึง สองตัวเลยก็ได้”

            ผมคีบกุ้งในหม้อใส่ชามของชมพู่เพื่อเอาใจมันบ้าง จะได้เลิกพูดมากสักที

          “แล้วของกูละ ไม่เห็นตักให้กูบ้างเลย”

            ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำทักท้วงของไอ้คนที่เพิ่งตักกุ้งใส่ชามให้ผม

            “มึงก็ตักกินเองสิ ไม่ต้องตักมาให้กูแล้ว”

            “ก็กูอยากให้มึงตักให้”

            แม่ง...ทำไมมึงต้องใช้เสียงนุ่ม ๆ มาพูดแบบนี้ด้วยวะ

            ผมหยิบกระบวยจวงตักสรรพสิ่งที่อยู่ในหม้อขึ้นมาโดยไม่ทันได้ดูหรอกครับว่าตักได้อะไรบ้างใส่ชามไอ้อิน ถ้าตักได้แต่ผักก็ช่างมัน พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมันส่งยิ้มเป็นประกายมาให้

            “ไอ้กี้ ทำไมหน้าแดงจังวะ”

            “ก็...หม้อชาบูมันร้อน มึงไม่ร้อนหรือไงชมพู่”

            ชมพู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมเลยก้มหน้าก้มตาคีบอาหารเข้าปากไม่ยอมเงยหน้ามองใครอีกเลย รวมถึงไอ้คนที่ยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้าง ๆ ผมด้วย

 

 

 

“นี่คิดมากเรื่องที่กูพูดเหรอ”

            อินหันมาถามหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบตั้งแต่ชมพู่และมายแยกกลับรถอีกคัน ผมเอาแต่นั่งเงียบ เสมองรถคันข้าง ๆ ที่เคลื่อนผ่านไปคันแล้วคันเล่า

            “ก็เลยพาลไม่อยากอยู่ใกล้กูสินะ” เพื่อนของผมมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้ได้ยิน

            “กูเสียใจนะเนี่ย อุตส่าห์ตั้งใจหาวิธีช่วยมึงแท้ ๆ”

            ผมรู้หรอกน่าว่าอินมันแกล้งตีหน้าเศร้า ทำเป็นพูดให้ดูดราม่ามาแบบนี้แต่กลับมีรอยยิ้มแต้มที่มุมปาก

            “เปล่าสักหน่อย” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มเบา ๆ

            “กูก็บอกแล้วไงว่าค่อย ๆ คิดก็ได้ ไม่เห็นต้องเครียดแบบนี้เลย”

          น้ำเสียงอ่อนโยนของอินคล้ายกับอยากจะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมเม้มริมฝีปากล่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมแล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ

            “ก็...มึงบอกว่ารอมานานแล้ว กูก็ไม่อยากให้มึงต้องรออีก”

            “....กี้...มึงนี่มัน...”

            อินเอาหน้าฟุบกับพวงมาลัยรถ โชคดีที่เป็นจังหวะรถติดไฟแดงพอดี และโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ ๆ อินก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอื้อมมือมาคว้าท้ายทอยของผมไว้ ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวริมฝีปากของคนตรงหน้าก็แตะเข้าที่ริมฝีปากของผมแล้ว

            ผมได้แต่เบิกตาโพลงพร้อมกับความรู้สึกปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในท้อง ผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยต่างแข่งกันขยับปีกโบยบินราวกับต้องการจะบินออกมาสู่โลกภายนอก สัมผัสของริมฝีปากที่แนบแน่นยิ่งขึ้นยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งให้กับเจ้าพวกผีเสื้อพวกนี้ พร้อมกับรู้สึกวาบหวิวที่เกิดขึ้นเช่นกัน

เสียงแตรรถด้านหลังที่กดไล่เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวทำให้อินผละออกจากผมหันกลับไปสนใจกับการขับรถต่อและดูเหมือนมันจะขับเร็วขึ้นกว่าปกติ

            ราวกับเนิ่นนานทั้ง ๆ ที่ความจริงแค่ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีที่รถติดไฟแดง ผมยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่โดนทาบทับเมื่อครู่

 

            “กี้..”

อินที่กำลังเขย่าตัวผมเบา ๆ มองผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมกระพริบตาถี่ ๆ ราวกับการทำแบบนี้จะเร่งสติให้กลับคืนมาได้เร็วขึ้น เหลียวมองรอบตัวก็พบว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ใต้คอนโดของอินแล้ว

“มึง...โอเคไหม”

“หา...”

ตอนแรกผมยังงง ๆ ว่าอินมันหมายถึงอะไร แต่พอเงยหน้าขึ้นสายตาปะทะเข้ากับริมฝีปากหยักได้รูปของคนตรงหน้า ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็หวนกลับคืนมา

“เมื่อกี้มึง...ทำอะไรกู”

ทำไมเสียงผมมันถึงเหมือนกับคนกำลังละเมอแบบนี้

“จูบมึงไง”

ไอ้อินตอบหน้าตาเฉย แถมยังถามผมกลับอีก

“อย่าบอกนะว่าแค่จูบมึงก็ไม่รู้จัก”

          ไอ้บ้า จูบใคร ๆ ก็ต้องรู้สิโว้ย ผมได้แต่มองค้อนมันไป

“กูหมายถึงมึงจูบกูทำไม กูเพื่อนมึงนะ”

“ก็...รักษามึงไง”

“รักษา”

ผมทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พยายามหาความเชื่อมโยง

“ใช่ ก็อย่างที่กูบอกว่าต้องเพิ่มความใกล้ชิด มึงกับกูลองนอนกอดกันมันยังไม่หายใช่ไหม กูเลยลองจูบมึงดูไง”

“แล้วจู่ ๆ มึงก็จูบกูเนี่ยนะ”

“เออ...ก็กูอยากลอง”

“ไอ้...”

ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดีครับ อยู่ ๆ นึกอยากจะลองจูบมึงก็จูบเนี่ยนะ สรุปว่าอินมันจูบผมก็เพราะอยากจะช่วยรักษาผมหรอกเหรอ

 “แล้ว...มึงรู้สึกอย่างไงบ้าง”

“ไอ้ผีเสื้อบ้าแม่งแทบจะทะลุกระเพาะกูออกมาแล้วมั้ง เล่นอะไรบ้า ๆ ”

ผมโวยวายมันยกใหญ่ จะทำอะไรก็ไม่บอกให้ผมตั้งตัวก่อนเลย

“แค่นั้น?” มันสบตาผมก่อนจะก้มหน้าลงปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ออก

“ก็เออสิ แล้วมึงจะให้รู้สึกอะไร”

“งั้นขอลองอีกที”

“ไอ้...อุ๊บ”

พูดจบอินมันก็โน้มตัวเข้ามาจนชิด สองมือจับประคองใบหน้าของผมไว้ไม่ให้หันหนีได้ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ผมเบิกตากว้างพยายามจะใช้มือดันไปที่หน้าอกของมันแต่ทันทีที่อินมันงับริมฝีปากล่างของผมแล้วดูดดึงเบา ๆ เรี่ยวแรงที่ผมมีก็แทบจะหมดไป ได้แต่ปล่อยให้อินมันทำตามใจ

เจ้าพวกผีเสื้อในท้องของผมยังคงบินวนเวียน แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้พวกมันกลับไม่ได้เกรี้ยวกราดอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่กลับค่อย ๆ ขยับปีกบินช้า ๆ อย่างอ่อนโยน ชวนให้ผมรู้สึกล่องลอย

ผมปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ผละออก ใบหน้าหล่อร้ายกาจของเพื่อนสนิทยังคงอยู่ไม่ห่าง สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีสดของมัน ผมค่อย ๆ คลายมือที่ไม่รู้ว่าขยุ้มเสื้อนักศึกษาของคนตรงหน้าตั้งแต่ตอนไหนออก นิ้วมือเรียวยาวของอินบรรจงเช็ดน้ำลายที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ

“กูว่ามึงชอบวิธีรักษาแบบนี้นะ”

รอยยิ้มเย้ายวนบวกกับสายตาแวววับของมัน ทำเอาผมร้อนวูบที่หน้า ผมรีบผลักมันให้ห่างก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถทันทีพร้อมกับคำด่าที่ทิ้งไว้

“ไอ้เชี่ยอิน”

ผมได้ยินเสียงไอ้เพื่อนชั่วหัวเราะชอบใจก่อนที่จะกระแทกประตูแจ็สลูกรักของมัน

 

 

ผมกำลังนั่งทบทวนสมการประหลาดในหัว ถ้าการอยู่ใกล้อินแล้วทำให้ผมมีอาการประหลาด การอยู่ห่างจากอินมันก็น่าจะทำให้ผมดีขึ้น แต่มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิ อาการของผมกลับยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก แล้วพอมาอยู่กับอินตามทฤษฏีความใกล้ชิดจะได้ชินอะไรของมันเนี่ย โรคประหลาดของผมมันก็ยังเกิดอาการอยู่ดี แล้วยิ่งเวลาอินมันเข้าใกล้มาก ๆ  ผมยิ่งรู้สึกเหมือนแทบจะขาดใจตอนที่เจ้าพวกผีเสื้อมันเกรี้ยวกราด

ยกเว้นครั้งล่าสุดที่ผมเกิดอาการ การโบยบินของเจ้าพวกผีเสื้อกลับทำให้ผมรู้สึกดีจนน่าแปลกใจ

แล้วนี่มันเกี่ยวกับความรู้สึกที่อินมันพูดถึงด้วยไหม...

ไม่เข้าใจเลยสักนิด...

            “คิ้วจะผูกกันแล้ว”

          “เฮ้ย”

            ผมสะดุ้งตัวเมื่ออยู่ ๆ อินมันเอานิ้วมาจิ้มตรงกลางหว่างคิ้วของผม

          “ถ้าไม่มีสมาธิอ่านก็ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”

หันไปมองนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนัง เข็มสั้นและเข็มยาวบอกให้รู้ว่าล่วงเข้าวันใหม่มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เห็นแบบนั้นผมจึงปิดหนังสือที่กางค้างไว้หน้าเดิมตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วลุกจากโต๊ะหนังสือไปแปรงฟันเตรียมตัวจะเข้านอน เสร็จแล้วก็ถอดแว่นขึ้นเตียงห่มผ้า ยังไม่ทันที่ผมจะหลับ ไฟในห้องก็ถูกดับลง

            “เฮ้ย อินไม่เอา ไม่กอด”

          ผมขยับตัวหนีไอ้คนที่พอขึ้นเตียงปั๊บมันก็คว้าหมับเข้าที่เอวผม

            “ทำไมละ ไม่อยากหายแล้วเหรอ”

          มันไม่ยอมปล่อยแถมยังรวบตัวผมไปจนชิดอก ตัวผมแทบจะจมหายไปกับอ้อมกอดของมัน เกลียดตัวเองที่ตัวเล็กกว่ามันจริง ๆ

            “ไม่เห็นมันจะหายเลย นอนให้มึงกอดมาตั้งนานละ”

            “งั้น...ลองจูบอีกสักที เผื่อว่าจะเวิร์ค”

          พูดจบอินก็พลิกตัวขึ้นคร่อมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว แสงสลัวจากระเบียงทำให้ผมพอมองเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั่นแม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ผมก็ยังสังเกตเห็นแววตาวาววับของมันได้ รู้ตัวว่าไอ้เพื่อนชั่วมันเอาจริงแน่ ๆ จึงพยายามจะดื้อหนี

            “เฮ้ย ไม่เอา ไอ้อินมึงปล่อยกูเลยนะ”

          อินจัดการปิดเสียงโวยของผมด้วยริมฝีปากของมันเอง ยิ่งผมพยายามจะผลักไสมันมากเท่าไหร่ สัมผัสที่แนบชิดดื้อดึงของมันยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อินขบเข้าที่ริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ทำให้ผมเผลอเผยอปากให้มันแทรกลิ้นร้อนเข้ามาสูบเรี่ยวแรงและสติผมไปจนหมด ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปพร้อมกับฝูงผีเสื้อนับร้อย รู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนหายใจอ่อนระทวย เงยหน้าสบตากับไอ้คนที่มันยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระเสียที

            “เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ”

            ฝ่ามือของอินลูบแก้มผมเบา ๆ ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้าทำให้ผมรีบพลิกตัวซุกหน้าซ่อนไว้กับหมอน

            “ไอ้เชี่ยอิน มึงอย่ามาเข้าใกล้กู”

            “ทำไมละ กูว่ามึงชอบที่กูจูบนะ มึงรู้สึกดีใช่ไหม”

          เสียงทุ้มที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลมานักต่อนักของอินกระซิบอยู่ข้างหู ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น

            “กู...กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น กูจะนอนแล้ว”

            ผมตอบเสียงอู้อี้พลางพยายามจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว

          “กลัวกูจะจูบมึงอีกหรือไง”

          อินแกล้งยื้อผ้าห่มในมือผมเอาไว้ แกล้งดึงกระตุกอยู่สองสามทีจนผมโมโหหันมาถลึงตาใส่ แทนที่มันจะกลัวกลับยิ้มขำ

            “มองแบบนี้ อยากให้กูจูบอีกละสิ”

            “ไอ้เชี่ยอิน”

            “อย่าด่ากูบ่อย นี่กูกำลังช่วยมึงอยู่นะ”

            เหอะ นี่กูต้องซาบซึ้งที่มึงอุตส่าห์สรรหาวิธีบ้า ๆ แบบนี้มาช่วยกูสินะ

          “ไอ้...”

            “บอกว่าอย่าด่าไง”

          ยังไม่ทันที่ผมจะได้ด่าสักคำ อินก็แลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากบอกความนัยของคำพูดของมัน

            “แม่ง”

          ผมเบือนหน้าหนีแต่ยังแอบชำเลืองเห็นว่ามันยังจ้องผมไม่เลิก

            “กูไม่ได้ด่ามึง ไม่ต้องมามองเลย”

            ผ้าห่มในมือของมันถูกผมดึงเอามาคลุมหัวจนมิด ได้ยินเสียงไอ้อินหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มันจะล้มตัวลงนอนข้างกัน ผมขยับตัวหนีเมื่อแขนของมันพาดทับตรงช่วงเอวแต่ก็ถูกมันรั้งไว้

            “นอนได้แล้ว”

            ผมนอนนิ่งจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกายแล้วจึงค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากตัวเอง



            TBC... 



            เก็บกดมาจากไหนเหรออิน วันแรกก็ 3 จูบเลย  :o8:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 16-02-2018 23:38:55
เขาจูบกันแล้ววววววววววว และเยอะจนฟินเว่อร์!!! อินมาถูกทางแล้ว ต้องทำอีก ทำเย๊อออออๆ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 17-02-2018 07:21:29
อินทนไหวได้ยังไงเนี่ย 555 กี้ลูก เมื่อไหร่หนูจะรู้ตัวคะ ><
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 17-02-2018 11:01:32
รักษาด้วยปากแล้วเดี๋ยวก็รักษาด้วยร่างกายต่อ  :haun4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 11 [16/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 18-02-2018 16:06:36
น้องกี้ซื่อมาก ใสมาก ไม่เคยดูละครซีรี่ย์เลยเหรอ สงสัยโดนอินเซ็นเซอร์ทุกอย่างตั้งแต่เด็กปานอยู่เกาหลีเหนือ  55
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 23-02-2018 21:25:32
ตอนที่ 12



 

            หลังจากที่ทางชมรมดนตรีสากลโพสรูปโฆษณาขายเสื้อชมรมทั้งสองเวอร์ชั่นลงเพจ คือทั้งเซตที่เป็นของอินกับพิ้งค์และอินกับผม ปรากฏว่ายอดกดไลค์กดแชร์ถล่มทลายโดยเฉพาะเซตที่เป็นรูปของผมกับอิน บรรดาสาว ๆ เข้ามาหวีดมาคอมเม้นกันเป็นพัน พี่ต้าร์เล่าว่ายอดส่งซื้อเสื้อเข้ามาเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากจนต้องรีบสั่งให้ร้านทำเพิ่มล๊อตใหม่แทบไม่ทัน พี่แจ็คดีใจยกใหญ่บอกว่าจะพาพวกผมไปเลี้ยงมื้อใหญ่เลย

            ส่วนทางพวกผมเองก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย ตอนนี้เลยดังใหญ่ ไปไหนจากที่ปกติก็มักจะคนมองอินอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ยิ่งมีแต่คนมองโดยเฉพาะสาว ๆ เยอะขึ้นไปอีก เห็นแต่รูปคู่ตัวเองถูกแชร์มาเต็มหน้าเฟซบุ๊คไปหมด ชมพู่ได้ทีแซ็วพวกผมใหญ่เลยว่ากำลังจะกลายเป็นคู่จิ้นแห่งปีไปแล้ว

            ว่าแต่ผมยังไม่ได้ถามชมพู่เลยว่าตกลงไอ้จิ้น ๆ ที่ใคร ๆ ก็พูดถึงกันนี่มันคืออะไร...

           

            “เฮ้ย โทษทีวะ พอดีกูลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องเลยต้องกลับไปอีกรอบ”

            ชมพู่ที่เพิ่งมาวางกระเป๋ากับหนังสือไว้บนโต๊ะยาวในหอสมุด พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ ผมที่กำลังพิมพ์รายงานอยู่ เช้าวันนี้พวกผมนัดกันมาทำงานกลุ่มด้วยกันที่หอสมุดก่อนที่จะมีเรียนช่วงบ่าย

            “แล้วอินกับมายละ”

            “พวกมันไปหาหนังสือกันน่ะ มึงมาช่วยกูพิมพ์ต่อที”

          “เอามาสิ”

            ผมยกโน้ตบุ๊คของตัวเองไปวางตรงหน้าเพื่อน ก่อนจะยื่นหนังสือหน้าที่ดูค้างไว้ให้มันไปพิมพ์ต่อ ผมจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเกมก็กลัวจะโดนชมพู่มันด่า เลยนั่งเอาคางก่ายกับโต๊ะดูชมพู่ทำงานไปสักพักก็ยังไม่เห็นเพื่อนอีกสองคนจะกลับมา ผมก็เลยได้โอกาสแอบถามชมพู่ถึงเรื่องที่สงสัย

            “ชมพู่ ไอ้คู่จิ้นนี่มันคืออะไร”

            “หือ นี่มึงไม่รู้เหรอ” ชมพู่หันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าสนใจหนังสือต่อ

            “ไม่อ่ะ ได้ยินแต่คนนั้นคนนี้เขาพูดกัน”

          “ไปอยู่ที่ไหนมามึง ไม่เคยดูละครหรือไง ที่เขาเป็นคู่จิ้นกันน่ะ เดี๋ยวนี้ดังจะตาย”

            “ไม่เคยอ่ะ เคยดูแต่การ์ตูน”

            ชมพู่ละมือจากคีย์บอร์ดหันมาอธิบายให้ผมฟัง “เขาก็ไว้ใช้เรียกคนสองคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่คนอื่นมโนว่ารักใคร่ชอบพอกันอย่างไงละ แบบว่าเคมีดูเข้ากัน ดูแล้วชวนให้คิดว่ามีอะไรกุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรแบบนี้”

          ผมเกาหัวด้วยความงงกับคำอธิบายของชมพู่ ไหนจะมโน ไหนจะเคมี ตกลงอย่างไงเนี่ย ชมพู่มันก็เลยอธิบายเพิ่ม

          “ก็เหมือนคู่มึงกับอินนั่นแหละที่คนอื่นเขาจิ้นกันไง”

            “เฮ้ย แต่กูกับอินเป็นเพื่อนกันนะ” ผมกระเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงทำตาโตทันที

            “ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าคู่จิ้นเหรอ” ชมพู่หยุดมือหันมาหรี่ตามองผม “เอ๊ะ หรือว่าจริง ๆ พวกมึงเป็นคู่จริงวะ”

            “จริงบ้านมึงสิชมพู่” ผมด่ามันไปทันทีที่ได้ยินมันพูดจาแปลก ๆ

            “ก็ไม่รู้สินะ เผื่อพวกมึงอาจจะซัมติงกันก็ได้” มันกลับยักไหล่พูดหน้าตาเฉย

          “บ้าแล้วไอ้ชมพู่”

            ผมรู้สึกร้อนตัวกับคำว่าซัมติงของมัน หรือว่าชมพู่มันจะรู้อะไร พอดีกับที่เพื่อนอีกสองคนหอบหนังสือกลับมาที่โต๊ะ อินเป็นคนเอ่ยทักชมพู่ก่อน

            “มาแล้วเหรอวะ ช้านะมึง”

            “โทษทีว่ะ”

            “ทำถึงไหนกันแล้วละครับ เดี๋ยวเราจะได้ทำพรีเซนต์ต่อ”

          มายอ้อมมาด้านหลังก้มดูหน้าจอที่ชมพู่กำลังพิมพ์งานค้างไว้อยู่ ผมแอบชำเลืองมองเพื่อนอีกคนที่นั่งลงตรงข้ามผมเป็นพัก ๆ ในใจก็นึกไปถึงคำพูดของชมพู่ที่รบกวนสมาธิของผมไปทั้งวัน

 

            หลังเลิกเรียนทันทีที่ขึ้นมาบนรถ ผมก็ถูกไอ้คนเจ้าของแจ็สสีดำคันนี้ไล่ต้อนจนต้องถอยหลังไปชิดประตูรถ สายตาคมคู่นั้นของมันจ้องหน้าผมเขม็ง

            “แอบมองกูทั้งวันนี่ต้องการอะไรวะ”

            “ใครแอบมองมึง ไม่มี” ผมปฏิเสธเสียงสูง หลักฐานก็ไม่มี เรื่องอะไรจะยอมรับละครับ

            “ทำเป็นปากแข็ง อยากมองกู มึงก็มองตรง ๆ ได้เลย กูรู้กูหล่อ กูอนุญาตให้มองได้เต็มที่”

          ไอ้คนที่มั่นใจในหน้าตาตัวเองจนน่าหมั่นไส้ส่งยิ้มที่ดูแล้วกวนอวัยวะเบื้องล่างเสียเหลือเกิน

            “เหอะ ไอ้คนหลงตัวเอง มั่นหน้าไปนะมึง”

            “เขาเรียกว่าเป็นคนรู้จักตัวเองตั้งหาก”

            “เหรอ หล่อเหี้ย ๆ เลยละมึง” ผมอดที่จะเบ้ปากหมั่นไส้ไม่ได้

            “ปากดีนะมึงเนี่ย แบบนี้มันต้องโดน”

            “โดนไร” ผมมองหน้าหล่อเหี้ย ๆ ที่ยื่นเข้ามาใกล้ด้วยความระแวง จะขยับตัวหนีหลังก็ติดกระจกรถแล้ว

            “ก็โดนแบบนี้ไง”

            พูดจบอินมันก็ฉกริมฝีปากมาจุ๊บปากผมอย่างรวดเร็ว

            “ไอ้เชี่ยอิน แม่งเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

          ผมทำตาโตรีบหันไปมองนอกรถว่ามีใครผ่านมาเห็นหรือเปล่า โชคดีที่ลานจอดรถคณะตอนนี้ไม่มีคนเดินผ่านมา ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

            “งั้นถ้าไม่มีใครเห็นก็ทำได้สิ” ดู ๆ ไอ้คนทำมันยังไม่สำนึก ยังมายิ้มหน้าระรื่นอีก ไม่มียางอายเลยนะมึง

            “จะตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นโว้ย มึงรีบออกรถเลย กูหิวแล้ว เร็วสิ”

ผมใช้สองมือทั้งผลักทั้งดันไอ้เพื่อนชั่ว ทำเสียงดังโวยวายกลบเกลื่อนความรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้ม อินยอมถอยกลับไปสตาร์ทรถแต่โดยดี ถึงแม้หน้ามันจะยังเห็นว่ากำลังกลั้นยิ้มอยู่ก็ตาม

 

           

            อินจูบผมในทุก ๆ วัน อย่างน้อยก็ก่อนเข้านอน มันบอกว่าเพื่อทำให้อาการผมดีขึ้น ถึงอินมันจะให้เหตุผลว่าเพราะต้องการจะช่วยรักษาโรคประหลาดของผม และตัวผมเองก็เริ่มรู้สึกว่ามันได้ผลอยู่เหมือนกัน ผมไม่ได้รู้สึกทรมานเวลาที่ผีเสื้อพวกนั้นบินวนในท้องแล้ว บางครั้งกลับรู้สึกดีมากด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่พวกผมทำมันไม่ใช่เรื่องปกติ แล้วยังมีไอ้ความรู้สึกอะไรที่อินมันบอกให้ผมไปคิดนั่นอีกละ

          ผมนั่งมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเปลืองสมองมานั่งคิดจนปวดหัว พี่แจ็คเพิ่งจะให้วงหยุดพักการซ้อมสิบนาที แต่เห็นเรียกให้อินไปคุยด้วย มีเพียงพี่ต้าร์ที่เดินมานั่งดื่มน้ำตรงที่ผมนั่งดูอยู่

            “พี่ต้าร์” ผมเรียกพี่แกโดยสายตายังจับจ้องที่เพื่อนสนิท

            “หือ”

            “....”

            “เรียกกูแล้วก็ไม่พูด อะไรของมึง”

          “คือว่า...” ผมหันไปมองหน้ารุ่นพี่คนสนิทแต่ก็ยังพูดไม่ออกอยู่ดี

            “ตกลงมึงจะพูดไหม ไม่งั้นกูจะได้ไปทำอย่างอื่นก่อน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเรียกกูมาฟัง”

            “เดี๋ยวพี่ โธ่ ทำเป็นใจร้อนไปได้ ก็จะพูดอยู่เนี่ย” ผมรีบดึงแขนคนที่ทำท่าจะลุกหนีไว้ก่อน คนแก่ใจร้อนหรือไง

            “ว่ามาเร็ว ๆ”

            “ปกติเพื่อนเขาจูบกันด้วยเหรอพี่”

            “ห๊ะ”

          พี่ต้าร์ทำท่าตกอกตกใจเสียเหลือเกินกับคำพูดที่ผมอุตส่าห์กลั้นใจถาม อยู่กันแค่นี้ไม่รู้พี่แกจะเสียงดังทำไม ยังดีที่ไม่มีใครสนใจ

            “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ ใครจูบใคร”

            “ผมถามว่าปกติเพื่อนกันเขาจูบกันด้วยเหรอ”

            “นี่มึงกับไอ้อินจูบกันแล้วเหรอวะ” พี่ต้าร์ถามด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ

            “อือ”

          ผมพยักหน้ารับก่อนจะร้องด้วยความตกใจรีบโบกไม้โบกมือแก้ตัวเป็นพัลวัน

          “เฮ้ย ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่ผมกับไอ้อิน”

            “เบา ๆ สิมึง อยากให้เขารู้กันทั้งชมรมเหรอ มึงมานี่เลยมา”

พี่ต้าร์ยกมือขึ้นแตะที่ปากเป็นสัญญาณให้ลดเสียงลงก่อนจะลากแขนผมออกไปนอกห้อง แวบหนึ่งที่ผมหันไปเห็นอินมันมองตาม

            “ไหนมึงเล่ามาว่าเรื่องมันเป็นอย่างไง”

          พี่แกลากผมออกมาจนห่างจากห้องชมรมพอสมควร เมื่อมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ก็หันมาคาดคั้นผมทันที

          “ก็บอกว่าไม่ใช่ผมไง” ผมก้มหน้าหลบสายตาที่มองมา

            “นี่มึงคิดว่าอย่างมึงนี่จะโกหกใครเขาได้เหรอวะ เล่ามาให้หมด”

            “คือ...อินมันบอกว่าเป็นวิธีรักษาอย่างหนึ่ง...” ในที่สุดผมก็ยอมเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ

            “รักษาด้วยการจูบมึงเนี่ยนะ”

            “อือ” ผมพยักหน้ารับ

            “แล้วมึงก็เชื่อมันเนี่ยนะ”

            “ก็ตอนนั้นมันบอกแบบนี้นี่”

            “นี่มันเข้าข่ายล่อลวงชัด ๆ ไอ้อินนี่มันร้ายนัก”

            “พี่ต้าร์” ผมกัดริมฝีปากตัวเองก่อนจะเอ่ยถามคำถามเดิมอีกครั้ง “เพื่อนกันเขาไม่จูบกันใช่ไหมพี่”

          พี่ต้าร์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู

            “เรื่องนี้มันอยู่กับว่าพวกมึงสองคนคิดอย่างไง กูก็ไม่อยากจะเสือกเรื่องของพวกมึงหรอกนะ พวกมึงต้องคุยกันเอง กูว่ามึงกลับไปถามคำถามนี้กับไอ้อินมันตรงๆเลยดีกว่า”

          พี่ต้าร์ตบบ่าให้กำลังใจผมแล้วเดินกลับเข้าไปซ้อมดนตรีต่อ ปล่อยให้ผมจมอยู่กับคำถามในใจ

         

 

            “กี้”

            ผมชะลอฝีเท้าลงจนเพื่อนสนิทซึ่งเดินนำไปก่อนหันกลับมาเรียกระหว่างทางที่เรากำลังจะเดินไปยังรถที่จอดไว้หลังจากอินซ้อมดนตรีเสร็จแล้ว

            “ทำไมเดินช้าจังวะ ไม่หิวเหรอมึง”

            “อิน”

            ผมหยุดเท้าก่อนที่อีกเพียงไม่กี่ก้าวจะเดินไปถึงคนที่ยืนรออยู่ แสงไฟข้างทางจากด้านหลังฉายเงาของผมให้ทอดยาวไปตามทางเดิน

            “กูถามอะไรได้ไหม”

            ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาคนที่มองมาด้วยความฉงน ผมแค่อยากจะรู้คำตอบของคำถามที่มันค้างคาใจ

            “ทำไมมึงถึงจูบกู”

          “กูก็บอกเหตุผลมึงไปแล้วนี่”

“มันไม่ใช่แค่การรักษาอาการของกูอย่างที่มึงบอกใช่ไหม”

          “ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้นละกี้”

            “กูก็ไม่รู้ กูไม่รู้ว่าทำไมกูถึงคิดแบบนี้ ตอนแรกไอ้พวกผีเสื้อในท้องมันอาละวาดจะเป็นจะตาย แต่พอจูบกับมึง กูกลับรู้สึกดี ทั้ง ๆ ที่มึงเป็นเพื่อนกู เป็นผู้ชายเหมือนกู กูว่ามันไม่ถูกต้อง ทุกอย่างมันดูผิดเพี้ยนไปหมด กูไม่รู้ว่าสิ่งที่กูกำลังเป็น กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ กูสับสนไปหมด มึงบอกกูได้ไหม มึงบอกว่ามึงจะช่วยกูไม่ใช่เหรอ”

          ผมระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมายืดยาวให้ไอ้คนตรงหน้าต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ได้รับฟัง ผมไม่รู้ว่าอินมันจะเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า หรือบางทีมันอาจจะฟังสิ่งที่ผมพูดออกมาไม่ทันก็ได้ มันถึงยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้น

            แต่เพียงไม่กี่วินาที อินก็สาวเท้ายาว ๆ เข้ามารวบตัวผมไปกอดไว้แนบอก ใบหน้าของผมซบอยู่ตรงบ่ากว้าง

            “มึงจะเชื่อในสิ่งที่กูกำลังจะบอกไหม”

          อินคลายอ้อมกอด สองมือเปลี่ยนมาจับไหล่ผมไว้มั่น ดวงตาคมของมันสะกดผมให้ไม่อาจเบือนสายตาหนี

            “กูชอบมึง”

 

TBC....
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 23-02-2018 23:05:35
จิ้มไว้ก่อน อ่านทีหลัง
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 23-02-2018 23:18:31
ค้างงงงงงง รอตอนต่อไป!!!
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-02-2018 00:20:58
เชื่อ หมดใจเลยยย
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 24-02-2018 05:52:08
เย้ ดินสารภาพรักแล้ว เมื่อไหร่น้องกี้จะรู้ใจตัวเองน้า
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 24-02-2018 09:52:20
เฮ้ออออ น้องกี้เข้าใจยากแท้ นี่ก็กลัวใจนังน้องจะคิดอะไรต่อ จะเข้าใจอะไรมากขึ้นมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 12 [23/02/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-02-2018 23:29:19
 :pig4:
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนที่ 13 [02/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 02-03-2018 20:19:37
 ตอนที่ 13

 

กูชอบมึง...

นาทีนั้นทั้งผมและคนที่เอ่ยคำนี้ออกมาต่างนิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งคู่ ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคมที่กำลังสะท้อนภาพของผมอยู่ในขณะนี้หมายจะหาความนัยที่ซ่อนอยู่

ชอบ...ที่อินมันบอกหมายถึงแบบไหน

“มึงหมายความอย่างไง”

“กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน”

ผมกระพริบตาถี่ ๆ พยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าบอก

ไม่จริงหรอก...ผมกับอินเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก...อย่ามาล้อเล่นอะไรแบบนี้

“มึง....จะแกล้งอะไรกูอีก”

มึงแกล้งกูอีกแล้วสินะอิน นี่คิดจะหลอกกูใช่ไหมถึงพูดแบบนี้...

“กูไม่ได้แกล้ง กูพูดจริง”

มึงกำลังรอจะหัวเราะกูทีหลังอยู่ละสิ กูไม่หลงกลมึงหรอก...

“อย่ามาล้อเล่นนะไอ้อิน”

            “กูไม่ได้ล้อเล่น นี่กูซีเรียสนะโว้ย”

            ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่แรงขึ้นตรงหัวไหล่ของผมที่ถูกมันจับเอาไว้ อินมองผมด้วยแววตาอ้อนวอน

            “กูชอบมึงจริง ๆ”

            คำ ๆ นี้มันกำลังจะทำให้ผมกลายเป็นบ้าเพราะเจ้าพวกผีเสื้อมากมายที่อยู่ในท้อง ที่พากันกระพือปีกบินอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ ผมสะบัดตัวจนหลุดแล้วยกขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างพร้อมกับเดินหนี

          “กี้”

            “ไม่”

            “มึงฟังกูก่อน”

            “กูไม่ฟัง”

            ผมเบือนหน้าหนีอินที่พยายามจะพูดกับผม ปิดหูปิดตาตัวเองไม่รับฟัง

            “มึงฟังกูก่อน ก็ไหนมึงบอกว่ามึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอ”

            “ไม่ฟัง ไม่ฟัง ไม่ฟัง”

          ตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นแล้ว ในหัวมีแต่ความสับสนระแวงไปหมด

            “ไอ้กี้ อย่าเพิ่งดื้อ”

          อินที่เดินตามมาพยายามจะแกะมือผมออกแต่ผมไม่ยอม ผมจะดื้อ มันจะทำไม

            “กูไม่ฟัง กูรู้มึงจะแกล้งกู”

            “ก็บอกว่าไม่ได้แกล้งไง โธ่เว้ย”

            ถึงไอ้อินมันจะทำเสียงดุใส่ ผมก็ไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด มันเลยจับแขนทั้งสองข้างของผมที่ยังยกขึ้นปิดหูอยู่ให้หันมาเผชิญหน้ากัน

            “ถ้ากูไม่ได้ชอบ ไม่ได้รักมึง กูจะจูบมึงเหรอ มึงรู้ไว้นะว่าคนที่กูอยากจูบมีแค่มึงเท่านั้น”

            อินมองผมด้วยสายตาอ้อนวอน ความรู้สึกรักใคร่มันชัดเจนเสียจนผมได้แต่เม้นริมฝีปากตัวเองด้วยความสับสน   

สายตาคู่นี้ผมเชื่อได้จริง ๆ เหรอ...

            ผมเป็นเพื่อนมัน เป็นผู้ชายเหมือนมัน อินมันรักผมแบบนั้นจริง ๆ เหรอ...

            “กูเป็นเพื่อนมึงนะ”

            “แต่กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าอาการที่มึงเป็นอยู่มันคืออะไร มึงลองคิดดูดี ๆ สิว่าตัวมึงเองก็รู้สึกอย่างไงกับกู”

          “กู...กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

          ตอนนี้ผมสับสนไปหมดเลยได้แต่หลบสายตาที่จับจ้อง อินถอนหายใจก่อนที่จะยอมปล่อยมือจากผมด้วยสีหน้าอ่อนใจ

          “กูยังไม่เอาคำตอบจากมึงตอนนี้ก็ได้ มึงคิดทบทวนให้ดี แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน”

 

 

            อินมันปล่อยให้ผมคิดเองอย่างที่พูดจริง ๆ หลังจากเหตุการณ์วันนั้นอินก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นอีก มันยังทำทุกอย่างเช่นปกติ มันยังอยู่ข้าง ๆ ผมเหมือนทุกวัน ตื่นไปเรียนด้วยกัน กินข้าวพร้อมกัน กลับห้องด้วยกัน เพียงแต่ผมรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม อินเว้นระยะห่างมากขึ้นเวลาอยู่ใกล้ผม ไม่เล่นหัวหยอกเล่นถึงเนื้อถึงตัวอีก และผมเองก็ทำตัวเกร็ง ๆ เมื่ออยู่ใกล้กัน ไม่ต้องพูดถึงการจูบก่อนนอนและการนอนกอดกันไปจนเช้าอีกแล้ว

            ผมมีโจทย์ที่ต้องหาคำตอบ โจทย์ที่ผมก็ไม่รู้ว่าคนโง่ ๆ แบบผมจะเข้าใจมันได้ไหม....

“เป็นอะไรหรือเปล่า พักนี้เราว่ากี้ดูซึม ๆ นะ”

            ผมเหลือบตามองเพื่อนที่พูดจาสุภาพที่สุดในกลุ่มที่เดินมานั่งลงตรงข้ามกัน

            “นั่นก็อีกคน ทำไมอินถึงไม่มานั่งด้วยกันตรงนี้ละครับ”

          มายพยับเพยิบไปทางอินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวถัดไปใต้ตึกคณะ ถึงตอนนี้มันจะกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่แต่ผมแอบเห็นมามันก็แอบมองผมอยู่เช่นกัน

            “ทะเลาะกันกับอินเหรอครับ”

            มายมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมได้แต่ทอดถอนใจเบา ๆ

            “ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้นะ ไม่ชินเวลาที่เห็นกี้กับอินทำมึน ๆ ใส่กันแบบนี้เลย”

            “มาย...”

            “ครับ”

            “เคยชอบเพื่อนตัวเองไหม”

          มายเงียบไปชั่วครูเมื่อได้ยินที่ผมถาม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา

            “ยังไม่เคยครับ แต่มันก็ไม่แปลกอะไรนี่ครับ”

            ผมกัดริมฝีปากตัวเองก่อนจะถามต่อ

            “แล้วถ้าเพื่อนคนนั้น...เป็นผู้ชายเหมือนกันละ”

            มายยิ้มให้ผม

            “แล้วมันสำคัญอย่างไงละครับ เราว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่กับการที่เราจะรักใครสักคน เราคงรักเพราะเขาคือคน ๆ นั้น ไม่ได้รักเพียงเพราะเขาเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายนี่ครับ”

          ผมเหลือบคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

          “ที่เรารักก็เพราะว่าเรารู้สึกกับคน ๆ นั้นพิเศษกว่าคนอื่นไม่ใช่เหรอครับ”

            พิเศษกว่าคนอื่น...

          อาการประหลาดของผมที่เกิดขึ้นเฉพาะกับอินคนเดียวเท่านั้น คนเดียวที่ทำให้ผีเสื้อนับร้อยในท้องของผมโบยบิน คนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกมากกว่าใคร ๆ

            ผมยิ้มให้กับตัวเอง ในที่สุดผมก็เข้าใจและหาคำตอบให้กับตัวเองได้แล้ว

 

 

            อินกับผมแยกจากเพื่อน ๆ มาขึ้นรถกลับบ้านเหมือนอย่างทุกวัน เพียงแต่วันนี้พออินกำลังจะสตาร์ทรถ ผมก็เรียกมันไว้ก่อน

“อิน” คนถูกเรียกหันมามอง

            “อย่าเพิ่งกลับคอนโดได้ไหม”

            “มึงจะไปไหนเหรอ”

            ผมเม้นปากก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ

“มึงขับไปที่เงียบ ๆ ได้ไหม...กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

อินไม่พูดอะไร เพียงแต่สตาร์ทรถแล้วขับออกจากคณะมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดรถแจ๊สสีดำก็จอดสนิทใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างสระน้ำในมหาลัย มีเพียงนักศึกษา 2-3 คนที่มาออกกำลังกายวิ่งผ่านไป หลังจากที่เสียงเครื่องยนต์ดังลงก็เหลือแต่เพียงความเงียบภายในรถ ก่อนที่ผมจะเป็นคนทำลายความเงียบนั้น

“อิน...เรื่องที่มึงถามกู”

            “กูเข้าใจแล้วว่าอาการที่กูเป็นทำไมมันถึงเกิดขึ้นเฉพาะกับมึง”

ผมหันไปสบตาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุด

“ก็เพราะมึงคือคนพิเศษสำหรับกู”

            “มันไม่ช้าไปใช่ไหม” ผมถามด้วยความลังเลก่อนจะตัดสินพูดคำนั้นออกไป

“ถ้ากูจะบอกว่ากูชอบมึง”

อินยังคงนั่งนิ่งเมื่อได้ยินคำที่ผมบอกจนผมชักจะหวั่นใจ หรือผมพูดอะไรผิด ผมกำลังจะขยับปากเอ่ยชื่อมัน อินก็ดึงผมเข้าไปกอดเสียแน่นก่อนที่มันก้มหน้าลงมาทำท่าจะจูบผม

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน มึงจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ” ผมเบี่ยงหน้าหลบพร้อมกับเอามือยันหน้าหล่อ ๆ ของมันไว้

“ก็กูบอกมึงไปแล้ว แต่ถ้ามึงอยากฟังกูก็จะพูดอีก”

อินคว้ามือผมไว้แล้วยิ้มแบบที่ทำให้ผีเสื้อในท้องของผมเริ่มโบยบิน สายตาคมของมันที่จับจ้องผมอยู่สะกดให้ผมไม่อาจหลบสายตามันได้

“กูชอบมึง”

ผมไม่อาจห้ามหัวใจที่กำลังเต้นแรงเมื่อได้ยินคำ ๆ นี้อีกครั้งได้ ไม่อาจจะห้ามเจ้าผีเสื้อที่กำลังร่าเริงอยู่ภายในท้องของผม

“ชอบมึงมาตั้งนานแล้ว มึงรู้ไหม”

นี่ผมปล่อยให้อินต้องเก็บความรู้สึกนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมกูไม่เคยรู้”

“ก็เพราะมึงมันโง่ไง”

“ไอ้อิน มึงด่ากูอีกแล้วนะ”

ผมแยกเขี้ยวโวยมันทันที เวลาแบบนี้มันยังจะมาว่าผมโง่อีก แต่มันกลับเอาหัวเราะขำเสียอย่างนั้น ผมทำหน้าหงิกจนมันหยุดหัวเราะแล้วยอมเล่าให้ผมฟังแต่โดยดี

“ที่กูไม่บอกมึงตั้งแต่แรก ก็เพราะตอนนั้นกูยังไม่รู้ว่ามึงคิดอย่างไงกับกู กูกลัวว่าถ้ากูบอกมึงไป แล้วมึงเห็นกูเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง มึงอาจจะหนีหน้ากูไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นกูคงทนไม่ได้ สู้ให้กูเก็บเรื่องนี้ไว้เองดีกว่า”

“แต่ตอนที่กูเล่าเรื่องโรคประหลาดของกูให้มึงฟัง มึงก็ต้องรู้แล้วสิ ทำไมมึงไม่บอกกู”

          ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าไอ้อาการประหลาดของผมคืออะไร นี่ผมปล่อยไก่บอกให้อินรู้ว่าผมชอบมันไปกลาย ๆ สินะ

“กูรู้ แต่กูอยากให้มึงรู้สึกด้วยตัวเองมากกว่าว่าสิ่งที่มึงรู้สึกมันคืออะไร เพราะกูคิดว่าบอกความจริงว่ามึงชอบกู มึงก็คงไม่เชื่ออยู่ดี”

นิ้วมือเรียวยาวของอินเกลี่ยเบา ๆ ที่ข้างแก้มของผม

“ขนาดกูบอกชอบมึง มึงยังคิดว่ากูล้อเล่นเลย มึงรู้ไหมว่ากูเสียใจนะ”

“กูขอโทษ”

ผมได้แต่เอ่ยคำขอโทษเสียงอ่อย ๆ ถึงแม้อินมันจะพูดไปยิ้มไปด้วยให้รู้ว่ามันไม่คิดอะไรแล้วก็เถอะ แต่ผมก็ยังอดรู้สึกผิดที่ทำให้มันเสียใจอยู่ดี

“อะไรที่ควรจะพูด กูก็พูดไปหมดแล้ว”

คราวนี้นิ้วมันไม่ได้แค่เกลี่ยข้างแก้มของผมแล้วแต่มันกลับจับล็อกใบหน้าผมเอาไว้ เห็นท่าจะไม่ดีกับตัวผมแน่ ๆ

“อะ...อะไร”

“งั้นตอนนี้กูก็จูบมึงได้แล้วสินะ” พูดจบไอ้อินมันก็ก้มหน้าลงมาหาผมทันที

“เฮ้ย”

มือที่ล็อกคอผมเอาไว้จัดองศาให้ผมเงยหน้ารับจูบของมันพอดี ผมได้แต่หลับตาปี๋ปล่อยให้ริมฝีปากร้อน ๆ ของแตะลงมาละเลียดอย่างแผ่วเบาก่อนที่มันจะค่อย ๆ เพิ่มแรงสัมผัสที่มากขึ้น เพิ่มขึ้น ๆ เสียจนผมต้องยอมแพ้ ได้แต่อาศัยจังหวะที่มันยอมปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระห้ามมันเสียงสั่น

“มะ...มึงพอได้แล้ว”

ผมช้อนตามองใบหน้าหล่อ ๆ ที่ห่างไม่เกินปลายจมูกสัมผัสกัน สบสายตาคมโดยหวังว่ามันจะยอมเชื่อฟังผมบ้าง แต่ผมคงคิดผิดเพราะอินมันกลับใช้ริมฝีปากรังแกผมต่อ จนผมต้องรวบรวมเรี่ยวแรงดันตัวมันห่าง ซึ่งไอ้อินมันไม่ยอมให้ความร่วมมือกับผมเลย

“อินพอก่อน”

ผมรีบเบี่ยงหน้าหนีเมื่ออินมันยังไม่เลิกที่จะก้มลงมาหาริมฝีปากของผม ผมพูดละล่ำละลัก

“คือ...กูหิวแล้ว ไปหาอะไรกินเถอะ...นะ”

ผมเม้นริมฝีปากแน่นกลัวไอ้คนที่จ้องมองอยู่จะคิดจูบซ้ำอีกครั้ง หากอินยอมถอยขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิม

“โอเค ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้”

พอเห็นอินสตาร์ทรถแล้วผมก็เผลอถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ยังโล่งใจได้ไม่ทันไรก็ได้ยินคำพูดที่ต้องหันไปทำตาโตใส่มัน

“เดี๋ยวกลับถึงห้องค่อยต่อ”

“ไอ้เชี่ยอิน”

 

TBC...



บอกเลยว่าอินเก็บกด XD
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 13 [02/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 03-03-2018 11:36:21
ในที่สุดก้อเข้าใจกันแล้วววววว ><
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 13 [02/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 03-03-2018 15:23:27
คืนนี้น่าติดตามต่อจริงๆ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 09-03-2018 20:36:01
     
          ตอนที่ 14

         

            “กี้ กูตื่นเต้นว่ะ มือเย็นไปหมดแล้วเนี่ย”

            ชมพู่ในชุดเดรสสั้นสีน้ำเงินเข้มกระโปรงฟูฟ่องกำลังจับมือผมเขย่าไปมาจนผมหัวสั่นหัวคอนไปด้วย

            “ใจเย็นมึง คนดูออกจะเยอะแยะ มึงจะตื่นเต้นไปทำไม”

            “กี้ กูว่านั่นฟังทะแม่ง ๆ ว่ะ” อินเอ่ยทักคำพูดของผม ผมเลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้ชมพู่ที่ทำหน้าตาตื่นอยู่

            “อ้าวเหรอ เออ...ชมพู่วันนี้มึงสวยมากเลย รับรองต้องได้สักตำแหน่งแน่ ๆ”

            ที่ชมพู่แต่งเนื้อแต่งตัวสวยเป็นพิเศษก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันงานเฟรชชี่ไนท์ครับ และเป็นวันประกวดเดือนและดาวของมหาลัยเราด้วย

            ใช่แล้วครับ

            ชมพู่เป็นตัวแทนลงประกวดชิงตำแหน่งดาวมหาลัยในนามคณะวิทยาศาสตร์ ตามที่มันเคยพูดเอาไว้ไม่มีผิด เสียดายที่วันคัดเลือกดาวเดือนของคณะผมไม่ได้อยู่ด้วย เลยไม่รู้ว่าทำไมสาวห้าวสุดเกรียนอย่างชมพู่ถึงได้รับเลือกให้เป็นดาวคณะวิทย์ได้ ถึงแม้ว่าหน้าตามันจะน่ารักมากก็เถอะ สงสัยว่าปีนี้เขาคงจะชอบของแปลกกันน่ะครับ พอผมเผลอพูดแบบนี้ออกไปก็โดนดาวคณะวิทย์คนล่าสุดตบหัวไปทีหนึ่ง

            ตอนที่เดินเข้ามาพวกผมเจอกับพิ้งค์ด้วย พิ้งค์ที่สวยอยู่แล้ววันนี้ยิ่งสวยกว่าที่เจอกันครั้งก่อนอีก พอเห็นพวกผมพิ้งค์ก็โบกมือทักทายพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ทำเอาผมเคลิ้มไปเลยเหมือนกัน เหลือบมองไอ้อินที่เดินมาด้วยกันก็เห็นมันแค่ยิ้มรับแล้วเดินมาหาชมพู่เลย

            ทำเป็นเมินคนสวยนะมึง

            “นี่พวกมึงโหวตให้กูแล้วใช่ไหม”

            “กูให้มายมันไปเหมาสติ๊กเกอร์เรียบร้อยแล้วล่ะ”

            การตัดสินรางวัลป๊อบปูล่าร์โหวตใช้การซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีชมพูแปร๋นของทางสโมสรนักศึกษาแล้วนำไปแปะใต้รูปผู้เข้าประกวดที่ต้องการจะโหวตตรงบอร์ดที่ตั้งอยู่หน้างาน รูปใครที่มีสติ๊กเกอร์ติดมากที่สุดก็ได้ตำแหน่งนี้ไปครับ

            “แล้วนี่ช่วงแสดงความสามารถพิเศษ มึงจะทำอะไรวะ”

          “กูโชว์ยูโดน่ะ คู่กับปอนด์ มันจะโชว์เทควันโด”

          ผมหันไปมองหนุ่มหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิง รูปร่างสูงเพรียวที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ นี่คือตัวแทนคณะวิทย์อีกคนในตำแหน่งของเดือนคณะ

            ...สงสัยปีนี้คณะผมเขาจะชอบแนวหน้าหวานแต่มาสายโหดกันนะครับ

            “สู้ ๆ นะมึง เดี๋ยวกูออกไปเชียร์หน้าเวที สู้ ๆ นะปอนด์”

            ผมยิ้มให้กำลังใจเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะหันมาถามเพื่อนสนิทอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

            “อินมึงจะออกไปด้วยเลยไหม หรือว่าต้องอยู่ที่หลังเวทีตลอด”

            “กูออกไปดูด้วย เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาค่อยเข้ามา”

          ผมกับอินเดินออกจากมาจากหลังเวที มาสมทบกับมายที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้างาน เนื่องจากไม่มีบัตรสต๊าฟเข้าหลังเวทีได้เหมือนพวกผม หลังจากทำการแปะสติ๊กเกอร์ที่รูปของชมพู่จนสาแก่ใจแล้ว พวกผมก็พากันเข้าไปในหอประชุมก่อนที่งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยจะเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

            งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยเริ่มต้นด้วยภาพวิดีโอเปิดตัวผู้เข้าประกวดแต่ละคณะก่อนที่ผู้เข้าประกวดแต่ละคนจะขึ้นมาแนะนำตัว พวกผมช่วยกันปรบมือเป่าปากเมื่อชมพู่แนะนำเสร็จ ผมโบกมือให้มันด้วย หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงความสามารถพิเศษของผู้เข้าประกวด คณะวิทย์แสดงเป็นลำดับที่ 7 ชมพู่กับปอนด์ในชุดนักกีฬายูโดและเทควันโดแสดงฝีมืออยู่บนเวที ตอนที่ชมพู่จับเพื่อนผู้ชายที่ร่วมแสดงด้วยทุ่มลงพื้นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ผู้ชายใส่เสื้อช็อปวิศวะที่ยืนอยู่ข้างผมซึ่งตอนแรกคุยกับเพื่อนให้ได้ยินว่าดาวคณะวิทย์หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเห็นแล้วอยากจะดูแลถึงกับหน้าซีดจนผมอดขำไม่ได้ พอถึงการแสดงของคณะสุดท้ายอินก็ขอตัวกลับไปที่หลังเวทีเพื่อจะเตรียมตัวกับวง

          ผลการประกวดปรากฏว่าชมพู่ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ปอนด์ได้รางวัลป๊อบปูล่าโหวต ได้ข่าวว่ามีทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆรุมติดสติ๊กเกอร์หัวใจสีชมพู่แปร๋นจนไม่เหลือพื้นที่สีขาวใต้รูปของปอนด์เลย ส่วนพิ้งค์ได้ตำแหน่งดาวมหาลัยไปตามความคาดหมายคู่กับเดือนจากคณะนิติศาสตร์

            หลังจากการประกาศผมดาวและเดือนมหาลัยก็เป็นการแสดงของวงจากชมรมดนตรีที่มาเล่นเปิดให้กับศิลปินหลักของงาน

            ผมยังไม่เคยบอกสินะครับว่าวงของอินมันมีชื่อวงด้วยนะครับ อินเพิ่งบอกกับผมเมื่อวันก่อนนี่เอง ชื่อวงว่า

            “เอาละครับ ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะได้พบกับวงดนตรีของมหาลัยเราที่มาเล่นเป็นวงเปิดในวันนี้ ขอเชิญพบกับ วงเวียน ได้เลยครับ”

            ครับ...ชื่อวงว่าวงเวียนครับ

            ผมถามอินมันเหมือนกันว่าทำไมชื่อนี้ อินบอกเป็นชื่อที่รุ่นพี่ที่ก่อตั้งชมรมรุ่นแรก ๆ ตั้งไว้และใช้กันมานาน มีความหมายว่าเป็นวงดนตรีที่มีสมาชิกเป็นนักศึกษาแต่ละรุ่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาอย่างหนึ่งละมั้งครับ

            เสียงโห่ร้องกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงที่กำลังฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง บวกกับเสียงร้องมันเป็นเอกลักษณ์ของอินยิ่งทำให้รู้สึกสนุกยิ่งขึ้น ผมมองคนที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขอยู่บนเวทีแล้วก็ยิ้มกว้างให้กับตัวเอง

            ผมชอบอินเวลาอยู่บนเวที

ผมชอบเวลาที่อินได้ทำในสิ่งที่มันชอบ

ผมชอบอิน

 

 

            อินออกมาสมทบกับผมและมายอีกครั้งหลังจากที่งานเลิก ส่วนชมพู่หอบช่อกุหลาบขาวช่อใหญ่แวะมาทักทายขอบอกขอบใจพวกผมแป๊บเดียวก็ต้องไปถ่ายรูปต่อ

            “โทษที มัวแต่เก็บของน่ะ”

            “แล้วนี่เก็บเสร็จแล้วเหรอ กูไม่ได้ไปช่วยเลย”

            ผมถามอินด้วยสำนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองก็เป็นสมาชิกชมรมดนตรีคนหนึ่งเหมือนกัน แต่เมื่อครู่มัวแต่ดูคอนเสิร์ตเพลินไปหน่อยจนลืมเข้าไปช่วยงานที่หลังเวที

            “เรียบร้อยแล้วละ นี่จะกลับกันไหม หรือว่าจะไปไหนต่อ”

            “เราว่าเรากลับเลยดีกว่า ไว้เจอกัน”

            “โอเค กลับรถดี ๆ นะมึง”

            ผมโบกมือให้มายที่ขอตัวกลับไปก่อน แล้วหันกลับมามองคนข้างกาย ตอนนี้เหลือผมกับมันสองคนแล้ว

            “เอาไง”

          “หิวไหม”

            ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ มาช่วยขนของตั้งแต่เที่ยง นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว ท้องมันก็เริ่มประท้วงแล้วครับ

            “งั้นเดี๋ยวแวะหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับคอนโด”

            ขณะที่ผมกับอินกำลังตกลงกันว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี ก็มีบรรดานักศึกษาหญิงกรูเข้ามารุมล้อมก่อนที่จะมีคนโพล่งถามนำขึ้นมา

            “อินคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”

            “มึงว่าไง ได้ไหมกี้”

            ผมหันไปมองอินอย่างงง ๆ ที่อยู่ดี ๆ มันก็หันมาถามผมเอาดื้อ ๆ

            “เขาจะขอถ่ายรูปด้วย กี้ว่าไง ให้เขาถ่ายได้ไหม”

          อินทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางสาว ๆ ที่ยืนถือโทรศัพท์กับกล้องรายล้อมอยู่ ผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

            “เขาขอถ่ายกับมึงไม่ได้ขอถ่ายกับกูนี่ มึงมาถามกูทำไม”

            “งั้นมึงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ไม่งอนกูนะ”

            งอนบ้าอะไรของมึง

            ผมทำตาโตใส่เมื่อได้ยินมันพูดแบบนั้น เสียงสาว ๆ ที่ล้อมพวกผมอยู่หวีดขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงซุบซิบ

            “อร๊าย แก เขาต้องขออนุญาตกันด้วยอ่ะ”

            “แบบนี้มันไม่ใช่แค่เพื่อนกันแล้วแก”

            “เอ่อ ทำไมต้องขอกี้ก่อนด้วยละคะ”

สาวน้อยนางหนี่งใจกล้าถามอินทันที อินหันไปยิ้มหล่อ ๆ ให้ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาหวานเชื่อมที่ชวนให้ขนลุก

            “เดี๋ยวกี้มันงอนน่ะครับ ผมขี้เกียจตามง้อ”

            “ว้าย เขามีงอนมีง้อกันด้วยอ่ะ”

“โอ้ย ฟินเวอร์”

“แบบนี้ฉันไม่ทนแล้วแก”

คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เสียงซุบซิบอีกแล้วละครับ บางคนนี่ถึงกับหันไปตีแขนเพื่อนข้าง ๆ ใหญ่เลย

            “เฮ้ย ไอ้อินพูดอะไรเนี่ย ใครงอนอะไรกัน มึงพูดดี ๆ”

          ผมหันไปโวยวายไอ้คนที่พูดจาแปลก ๆ แต่มันกลับเอาแต่ยืนยิ้มชวนให้น่าโมโห

            “ไม่งอนก็ไม่งอน งั้นต้องบอกว่ากี้หวงสินะ”

            “ไอ้อิน”

            “อุ้ย เพื่อนกันเขาหวงกันด้วยเหรอคะอิน” ผู้หญิงคนเดิมอีกแล้วครับ นี่ก็ช่างขยันถามเหลือเกิน

            “ก็ไม่ใช่เพื่อนกันนี่ครับ”

          จู่ ๆ อินก็ยกมือขึ้นโอบไหล่ผม ผมได้แต่มองมันตาปริบ ๆ ไม่รู้มันจะมาไม้ไหนก่อนจะต้องตกใจกับสิ่งที่มันพูดออกมา

            “เราเป็นแฟนกันครับ”

            “กริ๊ดดดดดดดด เป็นแฟนกัน”

            “อินบอกว่าเป็นแฟนกี้อ่ะ”

          เสียงกริ๊ดดังลั่นพอ ๆ กับเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวขึ้นมาจากบรรดาสาว ๆ จนคนรอบข้างหันมามองทางนี้ด้วยความสนใจ

            “ไอ้อิน พูดบ้าอะไร”

          ตอนนี้หน้าผมร้อนเห่อไปหมดแล้วครับ พยายามจะสลัดมือที่พาดอยู่บนบ่าออก แต่ไอ้อินนี่ก็มือเหนียวเป็นตุ๊กแกเลยครับ

          “งั้นขอถ่ายรูปสองคนคู่กันแทนนะคะ”

            “ได้สิครับ”

            “ไม่เอา” ผมรีบปฎิเสธทันที แค่นี้ก็อายจะแย่แล้วครับ

            “เอ่อ...ไม่ได้เหรอคะกี้”

          พวกสาว ๆ ที่รายล้อมอยู่ต่างทำสีหน้าผิดหวัง ทำเอาผมใจอ่อน ยอมยืนให้สาว ๆ ถ่ายรูปคู่กับไอ้อินในที่สุด

            “...ก็ได้ครับ แต่แป๊บเดียวนะครับ”

 

 

            “เดี๋ยวสิกี้ จะรีบไปไหน”

          พอเห็นว่าถ่ายรูปกันได้พอสมควรแล้ว ผมก็ขอตัวกลับ เดินลิ่ว ๆ ไม่สนใจคนที่เดินตามหลังมาแม้แต่น้อย แต่เพราะไอ้อินมันขายาวกว่าผมหรืออย่างไง ไม่ทันไรมันก็เดินตามผมมาจนทัน

            “มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูเลย มึงพูดแบบนั้นได้ไง”

            “พูดว่าเราเป็นแฟนกันอ่ะนะ”

            “ไอ้อิน ใครเป็นแฟนมึง”

          ผมหันไปแหวใส่มันทันที โทษฐานพูดจามั่วซั่วไม่เข้าหู

            “ก็มึงไงกี้”

            “กูไปเป็นแฟนมึงตอนไหน”

            “ก็ตอนที่มึงบอกว่าชอบกูนั่นแหละ”

          อินกระพริบตาปริบ ๆ ทำเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดา ๆ ที่ผมควรจะเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจเสียอย่างงั้น

            “กูชอบมึง มึงก็ชอบกู เราก็ต้องเป็นแฟนกัน มันก็ถูกแล้วนี่”

          ที่มันพูดมาจะว่าถูกก็ถูก จะว่าไปผมกับอินเรายังไม่ได้พูดคุยถึงสถานะระหว่างเราสองคนให้ชัดเจนเลย แต่ถึงอย่างไงมันก็ยังไม่เคยเอ่ยปากขอคบกับผมเลยสักคำ จะมาขี้ตู่ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้แบบนี้ได้อย่างไง ผมไม่โอเคนะ

            “ตะ...แต่กูยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนมึงโว้ย”

          “งั้นมึงก็เป็นแฟนกูตอนนี้เลย”

          “หา”

          อินคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ พร้อมกับใช้หน้าหล่อ ๆ และเสียงทุ้มนุ่มสะกดใจของมันมาทำเสียงอ้อน ๆ ใส่ผม

            “เป็นแฟนกันนะกี้”

            “ไอ้...”

ตอนนี้หน้าผมร้อนไปหมดแล้ว ไอ้เจ้าพวกผีเสื้อในท้องก็พากันบินกันคึกคักเหลือเกิน พวกมึงนี่ไม่เคยจะเก็บอาการเลยจริง ๆ

            “นะครับกี้”

          ผมก้มหน้าหลบสายตาคมที่มองไม่เลิก พยายามจะกระตุกมือออก

            “ไม่รู้โว้ย”

          “ไม่รู้ได้ไง ตอบมาก่อนสิ”

            “กูจะกลับบ้าน”

            “ยังไม่ให้กลับ ตอบกูมาก่อน”

            “...”

            “หรือว่ามึงอายที่คบกับกู”

            ผมเม้นริมฝีปากแน่น อายน่ะมันก็อายอยู่ ผมไม่ได้หน้าด้านหน้าทนแบบไอ้อินมันนี่ ก็ผมไม่เคยมีแฟนนี่หน่า

            “ไม่อยากเป็นแฟนกูเหรอ”

          อินย่อตัวลงมาจนสามารถช้อนตามองผมที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาได้

            “แต่กูอยากเป็นแฟนกับมึงนะกี้ อยากประกาศให้ทุกคนรู้ว่ากูกับมึงคบกันอยู่”

          ทำไมอินมันต้องทำหน้าตาน่าสงสารขนาดนั้นด้วย แล้วยังจะมองผมด้วยสายตาละห้อยอีก

            แม่ง มึงมันขี้โกงไอ้อิน....

            “อือ ก็ได้”

          เพราะมันรู้ดีสินะว่าผมน่ะเป็นคนใจอ่อนแค่ไหน ถึงได้ใช้ไม้นี้

            “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ”

            “...กูบอกว่าก็ได้ไง จะให้พูดอะไรเยอะแยะวะ”

            ผมทำหน้าหงิก เห็นแววตาเป็นประกายของไอ้คนที่เพิ่งจะตกลงคบกันเป็นแฟนก็อดหมั่นไส้ไม่ได้

            “งั้นตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

            “อือ”

            “ขอจูบทีสิ”

            “ไอ้เชี่ยอิน ไม่ได้โว้ย”

            “กี้ครับ อย่าด่าแฟนแบบนี้สิครับ ไม่น่ารักเลยนะ”

            “ไอ้เชี่ยอิน กูไม่คุยกับมึงแล้ว”

            ผมสะบัดมือหนีแล้วเดินไปทางที่จอดรถ ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มือของอินจะสอดประสานเข้ากับมือของผมรั้งให้ผมเดินเคียงข้างกัน แรงบีบกระชับเบา ๆ ที่มือส่งความอบอุ่น แต่เสียงทุ้มนุ่มกระซิบที่ข้างหูทำเอาผมแทบจะสะบัดมือมันทิ้ง

            “ก็จูบกันทุกวันยังจะเขินอะไรอีก”

            “ไอ้อิน ถ้ามึงพูดอีกคำเดียวกูจะโกรธจริง ๆ ด้วย”



            TBC.....
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-03-2018 21:59:35
 :L2: :pig4:

เล้าเป็นอะไรทำไมกดบวกยาก :ling1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 09-03-2018 23:12:17
แผนต่อไป กำจัดผีเสื้อนะอิน
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 14 [09/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 10-03-2018 13:23:39
มีความล่อลวงกี้นะอิน :-[
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 15 [25/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 25-03-2018 23:18:39
ตอนที่ 15

 

            เช้าวันต่อมา ทันทีที่พวกผมก้าวเท้าลงจากรถก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา ทั้งแอบมอง ทั้งมองกันตรง ๆ มองกันตั้งแต่ลานจอดรถคณะจนถึงตึกเรียน มองเสียจนผมเขินเลยสะกิดถามไอ้อิน มันก็ยักไหล่บอกไม่รู้ ทุกอย่างมาเฉลยตอนที่เจอกับพวกชมพู่ที่ห้องเรียน

"ไงพวกมึง แกรนด์โอเพ่นนิ่งเลยนะเมื่อวาน ทำเอาข่าวดาวเดือนนี่จืดไปเลย"

ประโยคแรกที่ชมพู่เอ่ยทักผมที่เพิ่งเดินมาถึงพร้อมกับอิน ทำเอาผมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

"อะไรวะ"

"ถามแบบนี้แสดงว่ายังไม่เห็นสินะ"

ชมพู่หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเข้าหน้าเฟชบุ๊คแล้วยื่นมาให้ผมกับอินดู หน้าฟีดที่เห็นทำเอาผมถึงกับตาเหลือกหันไปเล่นงานกับไอ้ตัวดีที่ยืนอยู่ข้างกัน มิน่าคนถึงมองกันเยอะขนาดนี้ ก็ตอนนี้มีแต่รูปของผมกับอินและข่าวที่ว่าพวกผมประกาศคบกันกลางงานประกวดดาวเดือนเต็มไทม์ไลน์ไปหมด

"เชี่ย ไอ้อินเพราะมึงคนเดียวเลย"

ผมทำตาโตหันไปโวยวายกับไอ้ตัวต้นเหตุ มึงนะมึง แต่คนหน้าด้านหน้าทนอย่างไอ้อินมันเพียงแค่มองผ่าน ๆ เอาแต่ยืนยิ้มกวนประสาทเหมือนเคย

"นี่สรุปว่าพวกมึงคบกันแล้วจริงๆสินะ"

"อือ กูกับกี้เป็นแฟนกันแล้ว"

"เชี่ยอิน พูดไม่อายเลยนะมึง"

ไม่พูดเปล่า อินเอาแขนมาโอบไหล่ผมด้วย ผมหันไปทำตาดุใส่กลบเกลื่อนอาการร้อนผ่าวที่หน้า แต่มันก็ไม่สนใจ

"ไม่ต้องเขินหรอก ไหนๆพวกนี้มันก็รู้แล้ว"

"เฮ้อ กูดีใจกับมึงด้วยนะอินที่ในที่สุดไอ้กี้มันก็รู้ตัวสักที"

"เรายินดีด้วยนะครับอินที่สมหวังสักที เราลุ้นอยู่ตั้งนาน"

"ขอบใจนะพวกมึง"

"เดี๋ยวนะ ทำไมพวกมึงพูดเหมือนรู้เรื่องอยู่แล้วละ"

ผมหันไปมองหน้าทุกคนเลิกลัก นี่มันหมายความว่าไง ไอ้พวกเพื่อน ๆ ของผมมันรู้กันตั้งแต่แรกแล้วเหรอ มายอมยิ้มไม่ตอบ ส่วนชมพู่ส่ายหน้าก่อนจะแกล้งถอนหายใจเสียงดังใส่ผม

"เฮ้อ ไอ้กี้ คนอื่นเขาดูออกกันตั้งแต่วันแรกแล้วมั้งว่าอินน่ะคิดยังไงกับมึง ก็เล่นหวงมึงเสียขนาดนั้น มีแต่มึงนี่แหละที่โง่ไม่เคยรู้ตัว"

ผมยิ้มเขิน ๆ พลางเกาหัวแก้เขิน ก่อนจะถลึงตาใส่ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าแฟนหมาด ๆ ด้วยมันหันมายิ้มล้อเลียนผม ก็ผมจะไปรู้ได้ไงละครับว่าอินมันรู้สึกพิเศษกับผมมาตั้งนานแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาอินคอยดูแล คอยอยู่ข้าง ๆ  สิ่งต่าง ๆ ที่มันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าเป็นเรื่องปกติมานานหลายปีแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีอินอยู่ข้าง ๆ อยู่เสมอ ฉะนั้นอย่ามาโทษว่าผมรู้ตัวช้านะ เรื่องนี้ต้องโทษอินตั้งหากที่มันทำให้ผมเคยตัวจนทำให้รู้ตัวช้าไปหน่อย

 

 

พอถึงตอนเย็นหลังเรียนเสร็จพวกผมก็แวะมาที่ห้องชมรมเหมือนอย่างเคย เจอพี่นัทที่หน้าห้องด้วย ไม่รู้พี่แกเป็นอะไรนะครับ พอผมทักก็แค่ยิ้มให้แล้วเดินผ่านไปเฉย ๆ ไม่เข้ามาคุยเล่นกับผมเหมือนทุกที สงสัยจะรีบ

"ว่าไงไอ้คู่รักข้าวใหม่ปลามัน"

ทันที่ที่เจอหน้ากันพี่ต้าร์ก็เล่นทักซะผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว

"โหย พี่อย่าเรียกแบบนี้สิ อายเขา"

"มึงจะอายทำไม นี่มึงควรภูมิใจด้วยซ้ำที่หนุ่มฮอตระดับไอ้อินหลงผิดมาชอบมึงเนี่ย"

“โหย พูดซะผมดูเป็นหมาไปเลยนะครับพี่”

"กี้มันเขินน่ะพี่"

อินเอามือขยี้หัวผมอย่างเคยแม้ว่าผมจะพยายามโยกหัวหลบมือมันก็ตาม

"เดี๋ยวมึงก็ชินไอ้หนุ่ม"

ผมมองท่าทางที่ดูชิลเหลือเกินของพี่ท่านก็เกิดความสงสัย

"ทำไมพี่ดูไม่ตกใจเลยละที่พวกผมคบกัน"

"กูควรตกใจตั้งแต่วันที่มึงเล่าว่าโดนไอ้อินจูบแล้วไหม"

ผมยิ้มแหยแก้เก้อ ลืมไปเลยว่าพี่ต้าร์รู้เพราะผมเผลอเล่าทุกเรื่องทั้งเรื่องอาการประหลาดและเรื่องจูบให้แกฟังไปหมดแล้ว

"อ่ะ กูมีของจะให้ ถือว่าเป็นของขวัญจากพี่ชายคนนี้"

พี่ต้าร์ยื่นถุงพลาสติกมีโลโก้ร้านยาให้กับอิน

"อะไรเหรอพี่"

"พวกมึงเปิดดูเอง"

ผมชะโงกหน้าไปดูถุงที่อยู่ในมือของอิน กล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ 3-4 กล่องพร้อมกับเจลหลอดเล็กนอนนิ่งอยู่ก้นถุง

"พี่ต้าร์!"

พอเห็นว่าเป็นอะไรผมก็หันไปโวยวายกับคนที่ซื้อมา ของที่อยู่ในถุงทำเอาหน้าผมร้อนเห่อไปหมด ผมรีบรวบปากถุงเมื่อเห็นว่าไอ้อินมันกำลังจะรื้อของข้างในออกมาดู

"พี่ต้าร์เอาอะไรมาให้เนี่ย"

"ก็เซฟเซ็กส์ไงมึง นี่ยังไม่ได้กันใช่ม่ะ พวกมึงต้องรู้จักเตรียมพร้อมนะ ไม่ใช่อยากจะทำก็ทำ ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ดูแลกันละกันด้วย เข้าใจไหม"

"พี่ต้าร์อ่ะ"

ผมได้แต่โอดครวญ นี่พี่แกพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ไม่อายปากเลยหรือยัง อย่างน้อยก็ควรจะนึกถึงจิตใจเด็กซอฟ ๆ ใส ๆ แบบผมบ้างนะ

"ไอ้กี้มึงไม่ต้องมาทำเป็นอายกู เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมชาติ"

พี่แกทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมก่อนจะหันไปคุยกับอินแทน

"อิน เดี๋ยวกูสอนให้ว่าของพวกนี้มันต้องใช้อย่างไง ท่าทางอย่างไอ้กี้คงไม่ได้เป็นคนใช้แน่ ๆ นี่กูอุตส่าห์ซื้อแบบบางพิเศษให้มึงเลยนะ"

"พี่ต้าร์!"

ผมเผลอตะโกนเสียงดัง อยากจะเอามืออุดปากไอ้คุณพี่ต้าร์ที่พูดไม่ยอมหยุด ส่วนไอ้อินก็เอาแต่หัวเราะชอบใจใหญ่

"ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมหาเปิดดูในเนตดีกว่า แค่นี้กี้มันก็เขินมากแล้ว ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ รับรองผมใช้แน่นอน"

"ไอ้อิน มึงเลิกพูดเดี๋ยวนี้"

คราวนี้ผมหันไปเล่นงานไอ้แฟนตัวดี แต่มันกลับส่งสายตาวาว ๆ มาให้ผมเป็นนัย ๆ ว่าของขวัญที่ได้จากพี่ต้าร์จะใช้กับใคร

“กูไม่คุยด้วยแล้ว”

ผมเดินหนีไปคว้ากีตาร์ตัวเดิมมานั่งดีดตามที่พี่ต้าร์เคยสอน อินเดินตามมานั่งข้างกัน

“แม่ง เพราะมึงเลย ป่านนี้รู้กันหมดทั้งมหาลัยแล้วมั้ง”

ผมทำปากยื่นบ่นกระปอดกระแปด เพราะมันเลย ไปไหนถึงได้มีแต่คนล้อ

“ให้รู้กันทั่วน่ะดีแล้ว”

“ดีอะไรละ กูอายเขา”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย กูยังไม่อายเลย”

“กูไม่ได้หน้าหนาแบบมึงนี่”

“มึงอายที่คบกับกูเหรอ”

“...เปล่า”

ผมเม้นปากพลางหลบสายตาอ้อน ๆ ของอินที่มองมา ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

“กูแค่ทำตัวไม่ถูก”

“มึงก็ทำตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ”

 

มือของอินยกขึ้นขยี้หัวผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ พร้อมแววตาที่มองด้วยความเอ็นดู ผมมองใบหน้าหล่อเหลาที่ไปไหนก็มีแต่สาว ๆ มองตามของมันแล้วถอนหายใจเบา ๆ

“แล้วมึงละ มีคนสวย ๆ น่ารัก ๆมาชอบมึงตั้งเยอะนะ มึงไม่เสียดายเหรอที่มาคบกับกู”

“เสียดายทำไม กูไม่ได้ชอบคนสวยคนน่ารักพวกนั้นนี่”

อินส่งยิ้มละมุนให้ผม ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องหน้าแดง

“กูชอบแค่มึงเท่านั้น”

“นี่พวกมึงไม่หวานกันที่อื่นได้ไหม กูเห็นแล้วหมั่นไส้เหลือเกิน นี่มันในห้องชมรมนะโว้ย”

นี่ก็ไม่รู้ว่าตามมานั่งด้วยตั้งแต่ตอนไหนนะครับ แฟนเขาจะคุยกันยังมานั่งเป็นก้างขวางคออยู่ตรงนี้

“พี่ต้าร์อย่าอิจฉา”

อินหันไปบอกกับพี่ต้าร์เสียงเรียบ ๆ ทำเอาผมขำกิ๊ก

“กูไม่ได้อิจฉาโว้ย กูรำคาญ”

“คนไม่มีแฟนก็งี้แหละ”

            ผมร่วมวงด้วยเมื่อเห็นพี่ต้าร์เริ่มโวยวาย

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่มี”

“งั้นพี่ก็พามาให้พวกผมรู้จักสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่หลงผิดว่าเป็นแฟนพี่ได้”

“ไอ้กี้ มึงซ้อมกีตาร์ถึงไหนแล้ว เล่นได้เป็นเพลงหรือยัง มึงซ้อมต่อเดี๋ยวนี้เลย”

พอเถียงไม่ได้ก็ใช้วิธีทำมาเป็นขึงขังใส่ผมแทนนะครับคุณพี่ ผมโอดโอยทันที ซ้อมถึงปีหน้าก็ยังไม่ได้สักเพลงหรอกครับ

“โหย พี่อ่ะ”

“ถ้าวันนี้เล่นไม่ได้นะ มึงไม่ต้องกลับเลย ไอ้อินมึงก็ไปไกล ๆ ไปซ้อมตรงโน้นเลย ห้ามมานั่งกับไอ้กี้”

อินส่ายหัวขำก่อนจะลุกไปโดยดี ปล่อยให้แฟนอย่างผมโดนพี่ต้าร์โขกสับอยู่คนเดียวอยู่เป็นชั่วโมงถึงจะยอมปล่อยให้พวกผมกลับบ้านได้

 

“โอ้ย ท้องจะแตก”

ผมพุ่งเข้าหาโซฟาทันทีเมื่อกลับมาถึงห้อง ลูบพุงที่ป่องขึ้นมาเพราะหมูกระทะที่เพิ่งจัดเต็มมาเป็นมื้อเย็น

“อ่ะ”

“อะไร”

ผมหยิบถุงพลาสติกที่อินมันโยนลงมาบนพุงของผมขึ้นมาดู นึกว่ามันซื้อขนมมาให้ พอเปิดเห็นของข้างในผมรีบโยนกลับคืนให้มันทันที

“เอามาให้กูทำไม มึงเอาไปทิ้งเลยนะ”

อินทรุดตัวลงนั่งเบียดบนโซฟาที่ผมนอนอยู่ ผมมองมือมันที่หหยิบของแต่ละชิ้นในถุงออกมาดูด้วยความหวาดระแวง

“ทิ้งทำไม พี่ต้าร์อุตส่าห์ให้มานะ”

ก่อนที่สายตาคม ๆ ของมันจะเหลือบมองผมพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

“หรือว่ามึงชอบแบบสด ๆ”

“ไอ้อิน เดี๋ยวกูถีบเลย”

ผมยกขาทำท่าจะถีบมัน แต่กลับโดนไอ้อินจับกดไว้พร้อมกับคร่อมผมไว้โดยไม่ให้ทันตั้งตัว

“เฮ้ย มึงจะทำอะไร”

อินไม่ตอบ มันเพียงแค่ยกยิ้มแบบที่ทำให้ผมใจเต้นแรง พร้อมกับอาการมวนท้องเพราะเจ้าพวกผีเสื้อที่พากันโบยบิน สายตาของมันเลื่อนลงต่ำมาหยุดที่ริมฝีปากของผม

“อะ..อิน...ไม่เอา”

 

แต่มีหรือที่คนอย่างไอ้อินมันจะยอมฟังผม อินก้มลงกัดริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ก่อนจะดูดดึงและส่งลิ้นเข้ามาไล่ต้อนผมให้จนมุม เล่นกับริมฝีปากผมไม่พอ มือของไอ้อินมันยังยุ่มย่ามมุดเข้ามาใต้เสื้อนักศึกษาของผม มือร้อน ๆ ของมันลูบไล่ไปตามหน้าอกทำเอาผมขนลุก สองมือขยุ้มเสื้อเชิ้ตของมันแน่น สั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่ออินมันละริมฝีปากออกแล้วหันไปจู่โจมซอกคอและใบหูของผมแทน

“อะ...อิน...กูกลัว”

ผมบอกมันเสียงสั่น กลัวใจอินมันอยากจะทดลองใช้ของที่พี่ต้าร์ให้มา ผมช้อนตามองอินเมื่อมันผละออกมาสบตากับผม

อินลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังอย่างอ่อนโยนพร้อมกับกระซิบบอก

"กูไม่ทำอะไรมึงหรอก กูรู้มึงยังไม่พร้อม กูรอได้"

"กู...ขอโทษ"

"ขอโทษทำไม กูรอให้มึงรู้ใจตัวเองมาตั้งหลายปี ทำไมแค่นี้กูจะรอไม่ได้"

"มึงเหนื่อยไหมที่ต้องรอกูตั้งนาน"

ผมมุดหน้าเข้าไปอกของอิน ฟังเสียงหัวใจของมันที่เต้นแรงไม่ต่างกัน

"ไม่เหนื่อยเลย" อินคลายอ้อมกอดเพื่อให้ผมขยับตัวได้สบายขึ้น "แต่กูกลัวมากกว่า กลัวว่ากูจะคิดไปเอาข้างเดียว กลัวว่ามึงจะเจอคนอื่นที่มึงรักมากกว่า"

"มึงถึงไม่ยอมให้กูคบใครใช่ไหม กูรู้นะ"

"ก็กูอยากเป็นคนที่อยู่ข้างๆมึงแค่คนเดียว มึงจะได้ไม่ต้องมองคนอื่น"

ผมเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มละมุนที่ถูกส่งมาให้

"กูอยากเป็นคนที่ดูดีที่สุดในสายตาของมึง เป็นคนที่เก่งที่สุด ใจดีกับมึงที่สุด แล้วก็รักมึงที่สุดด้วยกี้"

"ไอ้บ้า พูดมาได้ไม่อายปาก"

ทำไมพอเป็นแฟนกันอินมันถึงชอบพูดจาทำให้ผมหน้าร้อนทุกทีเลย

"ทำไม มึงเขินเหรอที่กูบอกว่ารักมึง"

อินยิ้มยั่วด้วยสายตาเป็นประกาย

"กูให้มึงบอกรักคืนก็ได้จะได้เจ๊ากัน"

"บอกอะไร ไม่บอกโว้ย"

ผมออกแรงผลักไอ้คนกวนประสาทก่อนจะลุกหนี ทิ้งไอ้อินนั่งหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว จนอดหันกลับไปแว๊ดใส่มันไม่ได้

"ไอ้อินมึงหยุดหัวเราะเลยนะ"

 

TBC....

 
      ขอโทษนะคะที่มาช้า ช่วงนี้เรายุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้เขียน
     ดีใจนะคะที่ยังเห็นมีคนเข้ามาอ่าน และขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นจริงๆค่ะ *โค้ง*
 
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 15 [25/03/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 07-04-2018 01:51:21
ละมุนละไม ตอนหน้าต้องรีบทดลองใช้ของฝากนะคะไรท์ เด่วบูด
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 16 [08/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 08-04-2018 21:44:48
 
ตอนที่ 16


            “กี้ สอบเสร็จจะกลับบ้านเลยไหม”

            ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือในมือ หันไปตอบอินที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาหลังจากตากผ้าที่ระเบียงเสร็จ

            “กลับสิ”

            ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาเพราะเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้

            “กูยังไม่ได้จองตั๋วเลยนี่หว่า แม่งเต็มยังวะ”

            “ไม่ต้องจอง เดี๋ยวกลับพร้อมกัน กูจะขับรถกลับ”

            “งั้นเดี๋ยวกูช่วยขับ”

            “อย่าเลย กูยังอยากกลับไปเจอหน้าพ่อหน้าแม่”

            ผมอาสาอย่างแข็งขันแต่กลับโดนอินมันเบรกหัวทิ่ม

            “ไอ้อิน มึงก็เกินไป”

            “กลับคราวนี้กูจะไปหาป๊ากับม้ามึงนะ”

            ผมเขยิบตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อให้อินนั่งลงบนโซฟาด้วยกัน

            “อยากไปก็ไปดิ”

            ปกติอินมันก็เข้า ๆ ออก ๆ บ้านผมจนจะกลายเป็นลูกบ้านนี้อีกคนอยู่แล้ว นี่ก็คงจะแวะไปทำคะแนนกับป๊าม้าผมเหมือนเคย

            “กูจะไปคุยกับที่บ้านมึงเรื่องของเราสองคน ไปบอกให้พวกท่านรู้ว่าเราคบกันแล้ว”

            ผมหันขวับมามองหน้าคนพูดทันที ทำปากพะงาบ ๆ ก่อนจะพูดออกมาได้

            “เฮ้ย กูว่าไม่ต้องหรอก”

            “ไม่ได้ อย่างไงก็ต้องบอก ไม่ใช่แค่ที่บ้านมึง กูก็จะบอกพ่อกับแม่กูเหมือนกัน”

            ผมเม้นปากแน่น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่สบายใจนัก แต่ท่าทางอินมันก็ดูจริงจังเหลือเกิน มันคงตั้งใจที่จะบอกให้คนในครอบครัวรับรู้สถานะของเราสองคนจริง ๆ ผมเข้าใจเจตนามันดี อินสนิทกับที่บ้านมาก ผมก็เช่นกัน พวกเราคงไม่มีความสุขอย่างแท้จริงถ้าจะแอบคบกันโดยไม่บอกคนในครอบครัวตัวเอง

            เพียงแต่ผมยังกังวล เพราะด้วยผมและอินต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ บ้านผมเป็นครอบครัวคนจีนตระกูลใหญ่ ส่วนบ้านอินก็เป็นลูกทหาร พวกท่านจะรับได้ไหมกับเรื่องนี้

            “มึงว่าพวกท่านจะรับได้เหรอวะ”

            “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูไม่อยากปิดบัง กูอยากคบกับมึงอย่างเปิดเผย”

            “มึงอย่าเพิ่งกลุ้มใจไปเลย”

            “กูกำลังจินตนาการว่าถ้าเฮียกรรู้จะเป็นอย่างไง”

            พวกผมสบตากันด้วยความหนักใจ ปัญหาที่ใหญ่กว่าป๊าม้าของผมที่รออยู่ที่เชียงใหม่ ก็คือเฮียกร พี่ชายที่อายุมากกว่าผมถึง 12 ปี เฮียแกทั้งหวงทั้งห่วงผมยิ่งกว่าป๊ากว่าม้าอีกครับ เพราะว่าเลี้ยงผมมาเองตั้งแต่อ้อนแต่ออด คอยรับคอยส่งผมตั้งแต่อนุบาล เพิ่งจะเลิกรับส่งก็ตอนผมเรียนมอปลายแล้วเฮียแกแต่งงานย้ายไปช่วยพ่อตาแม่ยายดูแลกิจการ แต่แกก็ยังแวะเวียนมาหาอยู่บ่อย ๆ จะคบเพื่อนคนไหนเฮียแกสกรีนแล้วสกรีนอีก ซักประวัติยันต้นตระกูลเลยมั้งครับ จะมีก็แต่ไอ้อินนี่แหละที่เฮียแกยอมวางใจปล่อยผมให้ไปไหนมาไหนด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนคณะเดียวกับอิน เฮียก็คงไม่ยอมปล่อยให้ผมไปเรียนไกลถึงกรุงเทพหรอกครับ

            แล้วนี่ถ้าเฮียแกรู้ว่าผมกับอินคบกัน มีหวังบ้านแตกแน่ ๆ แค่คิดก็สยองแล้วครับ

            อินโอบไหล่ผมไว้แล้วบีบต้นแขนเบา ๆ ให้กำลังใจผมที่กำลังห่อเหี่ยว

"เอาเป็นว่าตอนนี้มึงเลิกคิดเรื่องนี้ก่อน อ่านหนังสือถึงไหนละกี้"

ผมผงะออกห่างมันทันที แต่ด้วยมือที่โอบอยู่รั้งไว้ ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแหย ๆ ให้มันแทน

"....แฮะ ๆ"

"ถามจริงๆ นี่อีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้วนะ"

"ก็อ่านอยู่"

ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มพลางหลบสายตาคม ๆ ของอินที่จ้องจับผิด นี่เลื่อนสถานะเป็นแฟนแล้วนะครับ ยังจะทำตาดุใส่กันอีก

"อย่าให้รู้ว่าเอาแต่เล่นเกมนะ อ่านไม่ทันไม่ต้องมาให้กูช่วยเลยนะ"

อินปล่อยมือที่โอบผมอยู่ ทำท่าทางจะลุกไปไม่สนใจผมแล้ว ผมเลยรีบคว้าแขนมันไว้

"ฮือ ไอ้อิน มึงจะปล่อยกูเอฟเหรอ ก็กูจะดรอปมึงก็ไม่ให้กูดรอปนี่"

ผมเริ่มงอแงโวยวายที่เห็นอินมันทำท่าจะลอยแพผมเสียอย่างนั้น ก็ตอนคะแนนมิดเทอมออกผมจะดรอปมันก็ไม่ยอม แล้วตอนนี้มันจะมาทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ

"มึงเอฟไปแล้วกูจะเรียนกับใคร อย่างไงมึงก็ต้องผ่านให้ได้กี้"

อินถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่ง โดยที่ผมทำได้แค่เบะปาก

"มึงห้ามทิ้งกูไว้กลางทางนะ"

"เออ แฟนทั้งคนจะทิ้งได้ไง"

ผมยิ้มกว้างจนตาหยีทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

"ไม่ต้องยิ้มเลย ลุกมาอ่านหนังสือ เร็ว เดี๋ยวติดตรงไหนกูสอนให้"

"...ขอเล่นเกมตาหนึ่งก่อนได้ป่ะ"

ผมยื้อไว้ไม่ยอมลุกขึ้นตามแรงมืออินที่พยายามจะดึงผมลุกจากโซฟา

"...เดี๋ยวกูจะลบเกมในโทรศัพท์มึงทิ้งให้หมดเลย"

"ง่ะ ไม่เล่นก็ได้ ไม่เห็นต้องขู่เลย"

"ไม่ได้ขู่ มึงก็รู้กูทำจริง"

"ชิ ไอ้โหด"

ผมบ่นอุบอิบแอบทำหน้ายู่ใส่คนที่ยืนทำหน้าตาซีเรียสอยู่

"ถ้ามึงทำโจทย์แคลเสร็จก่อนหกโมง กูจะพาไปกินเสต็ก โอเคไหม"

"จริงนะ อย่าหลอกกูนะ"

"ถ้าเสร็จช้าก็อด"

"มึงก็หลบไปสิ เร็ว"

ผมลุกขึ้นทันทีพร้อมกับไล่ไอ้อินที่ยืนเกะกะขวางทางอยู่ได้ อินได้แต่ส่ายหัวก่อนจะยิ้มขำแล้วยอมหลีกทางให้

 

 

“เย้ สอบเสร็จแล้วโว้ยยย”

ผมเฮทันทีที่เดินออกจากห้องสอบวิชาสุดท้าย ในที่สุดผมก็หลุดพ้นไปเทอมนึงแล้ว

“เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวห้องที่เขาสอบไม่เสร็จก็ออกมาด่าหรอกมึง”

ชมพู่เอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นว่าพวกผมยังอยู่กับหน้าห้องสอบ อาจารย์ที่คุมสอบเมื่อกี้ก็หันมามองพวกผมตาเขียวทีนึงเป็นเชิงปรามแล้ว

“สอบเสร็จแล้วไปฉลองกันมึง”

ผมหันไปชวนทุกคนอย่างคึกคัก อ่านหนังสือจนหน้าดำคร่ำเครียดมาเป็นเดือนมันก็ต้องถึงเวลาผ่อนคลายแล้วสิครับ

“ท่าทางระริกระรี้เชียวนะมึง”

“แล้วมึงจะไปไหมชมพู่”

“ไม่ได้ว่ะ วันนี้กูมีนัดแล้ว”

“นัดกับใครวะ เพิ่งสอบเสร็จเนี่ยนะ ไม่ให้เวลากับเพื่อนฝูงเลยนะมึง”

“เออ กูก็มีนัดของกูสิ”

ท่าทางชมพู่นี่ชักจะน่าสงสัยนะครับ เดี๋ยวนี้ชอบบอกว่ามีนัด หายหน้าหายตาไม่ค่อยยอมไปเที่ยวด้วยกันเลย

“มายละ ไปกินเหล้ากัน”

ผมหันไปถามเพื่อนอีกคนที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ

“เย็นนี้เรามีนัดกับที่บ้านแล้ว วันเกิดคุณแม่น่ะครับ”

“ว้า นี่ก็ไปไม่ได้อีกคนละ”

“ไม่เป็นไร งั้นเราไปกันสองคนก็ได้เนอะอิน”

ผมหันไปยิ้มหวานพร้อมกับยกมือขึ้นพาดบ่าสูง ๆ ของแฟนตัวเอง อินมันเหลือบมองหน้าผมก่อนจะเอามือของผมที่พาดไว้ลง

“ไม่มีใครไปทั้งนั้น ลืมแล้วเหรอว่าพรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้า”

ผมยู่หน้าทันทีที่ได้ยิน ลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้ผมกับอินต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ ที่บ้านอินไม่อยากให้ขับรถกลับตอนกลางคืนน่ะครับ บอกว่ารถสิบล้อเยอะ ขารถกลับจะอันตราย พวกผมก็เลยต้องออกแต่เช้าตรู่แทน

“เออ ก็ได้ งั้นเปิดเทอมค่อยมาฉลองกันนะ”

ผมยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ หันไปนัดแนะกับเพื่อนอีกสองคนก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ

“ท่าทางแบบนี้แสดงว่าทำข้อสอบได้สินะ”

อินถามขึ้นระหว่างทางที่พวกผมกำลังเดินไปที่รถ ผมหันไปยิ้มอวด ของมันแน่อยู่แล้ว นี่ใครครับ นี่มันนายกีรตินะ

“บอกเลยว่าครั้งนี้กูมั่นใจมาก”

อินยกมือขึ้นโยกหัวผมเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มแบบที่สาว ๆ มาเห็นคงกริ๊ดสลบ

“เก่งมาก”

ณ จุดนี้ ถึงผมจะไม่ได้กริ๊ดจนสลบ แต่ก็ต้องเม้นปากแน่นพลางเสหลบสายตาคมหันไปมองทางอื่น

ไม่ไหวแล้วครับ หัวใจมันเต้นแรงมาก...

“งั้นเดี๋ยวพาไปกินแซลม่อนฉลองที่กี้ทำข้อสอบได้”

ผมหันควับมามองอินที่ตอนนี้เปลี่ยนจากวางมือบนหัวผมมาพาดที่ไหล่แทนทันที

“เลี้ยงใช่ม่ะ”

“ครับ เลี้ยงครับ”

ผมยิ้มร่าทันทีที่ได้ยินแบบนี้ รู้สึกแฮปปี้สุด ๆ ทั้งเรื่องที่ทำข้อสอบได้ เรื่องที่อินจะพาไปเลี้ยงของโปรดอีก

“ขอบคุณนะ”

อินเลิกคิ้วสงสัยเมื่อได้ยินที่ผมพูด ผมหันไปอธิบายให้มันฟังพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วยใจจริง

“ก็ขอบคุณไง ขอบคุณที่ช่วยติว ขอบคุณที่ดูแลกูมาตลอด กูโชคดีจังที่รู้จักกับมึง”

“ต้องพูดว่าโชคดีจังที่มีอินเป็นแฟนตั้งหาก”

“ถ้าไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วมึงจะไม่ทำดีกับกูแบบนี้เหรอ”

ผมถามด้วยความสงสัย อินเปลี่ยนมาคว้ามือผมข้างหนึ่งของผมไปจับไว้

“ไม่ใช่เพราะเป็นแฟนกันเหรอ แต่เพราะมึงเป็นคนที่กูรัก ไม่ว่าสถานะไหน กูก็อยากจะทำให้มึงมีความสุข”

“แม่ง พูดซะกูเขิน”

อินยิ้มขำแล้วกำชับมือผมที่กุมไว้แน่น

“ป่ะ ไปกินแซลม่อนกัน”

ผมพยักหน้ารับปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจูงมือไปด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต

 

 

“กี้ ตื่นได้แล้ว”

“อือ...” ผมลืมตาขึ้นมามองรอบ ๆ “ถึงไหนแล้วอ่ะ”

“หน้าบ้านมึงแล้ว”

พอตื่นเต็มตาก็เห็นว่ารถแจ๊สลูกรักของอินจอดสนิทอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของผมเรียบร้อยแล้ว

“อ้าว ถึงแล้วเหรอ ทำไมมึงไม่ปลุกกูก่อนละ กูจะได้ช่วยขับ”

“ก็บอกว่ากูยังไม่อย่าไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ในโรงบาล”

ผมทำหน้าเซ็งใส่มัน ก็บอกอยู่ว่าจะช่วยขับ ๆ ก็ไม่ยอม ขับคนเดียวตั้งแต่กรุงเทพถึงเชียงใหม่ ไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไง

“งั้นกูลงละนะ มึงจะเข้าไปในบ้านไหม” ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหันไปถามอินอีกทีก่อนจะเปิดประตูรถ

“เดี๋ยวกูกลับบ้านเลยดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาหา”

“เออ ตามใจ ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกกูด้วยนะ”

ผมคว้ากระเป๋าลงมายังไม่ทันได้ปิดประตูรถก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากทางด้านหลัง

“อ้าว กี้กลับมาแล้วเหรอลูก”

“ไม่กลับแล้วม้าจะเห็นกี้ยืนตรงนี้เหรอ”

ผมโผเข้าไปกอดผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก เอาหน้าถูกับไหล่นุ่มนิ่มที่คิดถึง

“ไอ้ลูกคนนี้นี่กวนม้าเหรอ”

ม้าทำเป็นดุเสียงเข้มแต่ก็ลูบหัวผมเบา ๆ

“หวัดดีครับม้า”

อินลงมาจากรถ เดินมายกมือไหว้ม้า

“สวัสดีจ้ะอิน เป็นไงขับรถมาเหนื่อยไหมลูก ลงมากินข้าวกินปลากันก่อนสิ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเลยดีกว่า พอดีบอกแม่ไว้แล้วน่ะครับว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย”

“อ้าว เหรอ ม้าก็คิดถึง อยากจะคุยด้วย”

เนี่ย บอกแล้วว่าอินน่ะมันลูกรักม้าผม กับลูกชายตัวเองนี่ไม่มีให้ได้ยินสักคำเลยว่าคิดถงคิดถึง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะแวะมาหานะครับ”

“งั้นอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก เดี๋ยวม้าทำให้”

“ทีลูกชายตัวเองไม่เห็นถามสักคำเลยนะม้า”

ผมแกล้งทำปากยืนแถมยังกอดม้าไว้แน่น ให้มันรู้บ้างสิครับว่านี่แม่ใคร

“ม้าก็ทำให้เรากินอยู่แล้วไง ว่าไงลูก อินอยากกินอะไรบอกม้ามา”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พรุ่งนี้ป๊าม้าไม่ไปไหนใช่ไหมครับ”

“ช่วงนี้ป๊าเขาเห่อปลากัดที่ได้มาใหม่อยู่น่ะ ไม่ออกไปไหนหรอก”

ม้าเคยเม้าให้ฟังว่าพอผมย้ายไปเรียนที่กรุงเทพเดี๋ยวนี้ป๊าแกก็หันไปบ้าเลี้ยงปลากัดน่ะครับ เห็นว่ากำลังฮิตในก๊งเพื่อน ได้ยินว่าเพิ่งได้ตัวใหม่ล่าสุดสีสวยหายากมา วัน ๆ ไม่ไปไหนคลุกอยู่แต่กับปลานี่แหละครับ

“งั้นพรุ่งนี้สาย ๆ ผมจะแวะมาหานะครับ”

อินยกมือไหว้ลาแล้วหันมาสบตากับผมด้วยแววตาจริงจังก่อนจะกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป

นี่มันจะบอกป๊ากับม้าพรุ่งนี้เลยเหรอ...

ผมถอนหายใจเบา ๆ ขอเวลาทำใจหน่อยไม่ได้เหรอวะไอ้อิน

“ถอนหายใจทำไมลูก”

“หา....คือกี้หิวแล้วอ่ะม้า” ผมรีบยิ้มอ้อน

“หิวก็เข้าบ้าน ม้าทำของโปรดของเราไว้ให้เต็มเลย”

“รักม้าจังเลยครับ”

ผมประจบด้วยการเข้าไปกอดแล้วหอมแก้มม้าฟอดใหญ่ ทำเอาม้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู

“แหม ตอนนี้ละทำมาเป็นรักม้า เดี๋ยวพอมีแฟนก็ไปรักแฟนแทน”

 “ง่า ไม่หรอกครับ”

ผมชะงักไปนิดนึงเมื่อได้ยินคำว่าแฟน แอบชำเลืองดูท่าทีของม้า

“ม้า...ถ้ากี้มีแฟน ม้าจะว่าอะไรไหม”

“จะว่าอะไรละ โตแล้วมีแฟนก็ไม่แปลกนี่”

...แล้วถ้าแฟนเป็นผู้ชายละม้า

ผมไม่กล้าถามออกไปหรอกครับ ได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจก่อน ซักเริ่มไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงแล้วสิครับ

 

ตึ้ง...

ผมคว้าโทรศัพท์มาดูทันทีที่ได้ยินเสียงไลน์ดังขึ้น

‘อยู่หน้าบ้านแล้วนะ’

พอเห็นข้อความที่ถูกส่งมา ผมรีบลุกจากเตียงวิ่งตึงตังลงบันไดจนโดนม้าที่นั่งดูทีวีอยู่หันมาดุ แต่ผมก็วิ่งไปจนถึงประตูแล้วละครับ

“ทำไมมาแต่เช้าเลยละ”

ผมเอ่ยทักคนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วพลางเปิดประตูไปด้วย นี่เพิ่งจะแปดโมงกว่าเอง ผมนึกว่าอินจะมาสักใกล้ ๆ เที่ยงซะอีก

“เฮ้ย หน้าไปโดนอะไรมา”

พอเงยหน้าขึ้นก็พบกับรอยช้ำที่มุมปากของคนตรงหน้า ผมรีบเข้าไปดูใกล้ ๆ อินยกมุมปากยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะต้องนิ่วหน้า

“ใครทำมึงวะ”

“พ่อน่ะ”

“ห๊ะ อานพน่ะเหรอ ทำไมวะ”

ทำไมอานพถึงต่อยลูกตัวเองละ ผมมองอินที่มันทำหน้าแปลก ๆ ดูอึกอักชอบกล

หรือว่า...

“มึงบอกอานพเรื่องของเราแล้วเขาไม่โอเคใช่ไหมวะ”

 

            TBC...


หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 16 [08/04/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 09-04-2018 18:06:26
สู้ๆนะ ทั้งสอง  :กอด1:
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : คนขี้ดื้อกับคนขี้แกล้ง [27/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 27-05-2018 17:34:28
 ตอนพิเศษ : คนขี้ดื้อกับคนขี้แกล้ง


   ผมมองคนที่กำลังนอนคว่ำเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ทั้ง ๆ ผมบอกมันให้ลุกไปอาบน้ำตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว จนตอนนี้ผมแต่งตัวเสร็จ เอาผ้าที่ใส่ถังซักไว้ไปตากจนเรียบร้อย ไอ้แฟนตัวดีมันก็ยังคงไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียง เอาแต่นอนเล่นเกมแถมยังไม่ยอมสวมแว่น ก้มหน้าจนแทบจะติดหน้าจอแบบนั้น เดี๋ยวสายตาก็เสียหมดหรอก

   “กี้ บอกให้ไปอาบน้ำ นี่มันจะสิบโมงแล้วนะ”

   “อือ”

   ส่งเสียงขานรับแต่ไม่ยอมขยับตัวหรือแม้แต่จะหันมาเลยไอ้ตัวดี

   “มึงลืมแล้วเหรอว่าวันนี้เราต้องไปหอสมุด ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”

   ......

คราวนี้มันเงียบครับ ผมชักเริ่มจะหงุดหงิดมันแล้ว

“ไอ้กี้ มึงลุกเดี๋ยวนี้ เร็ว”

“โธ่ โว้ย แม่งกากว่ะ ใครเลือกมันมาเข้าทีมด้วยวะ”

.....

ผมก้มลงคว้าโทรศัพท์มือถือแย่งมาจากมือกี้อย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย ไอ้อิน เอาคืนมา”

“ไม่คืน”

แถมผมยังกดปิดเครื่องไปต่อหน้าต่อตามันด้วย เมื่อมันพยายามลุกขึ้นมาจะแย่งคืน

“ไอ้เชี่ยอิน”

“มึงบอกให้กูช่วยหาข้อมูลทำรายงาน แต่มึงไม่เริ่มทำเลย เมื่อคืนก็บอกว่าง่วง ไว้ค่อยทำตอนเช้า นัดกันว่าสิบโมงจะไปหอสมุดหาข้อมูล แล้วนี่อะไร เอานอนเล่นเกมไม่สนใจอะไรเลย ทำไมเหลวไหลแบบนี้”

“กูก็แค่ขอเล่นเกมแป๊บเดียว มึงแม่งขี้บ่น”

นี่ขนาดกูบ่นขนาดนี้ มึงยังไม่สำนึกเลย

ผมมองไอ้คนที่ทำหน้างอเบะปากเป็นเด็ก ๆ เมื่อถูกขัดใจ มันน่าเขกกระโหลกสักที

“ไปอาบน้ำได้แล้ว กูให้เวลาสิบนาที”

“ไม่อาบ”

มันหันมาแลบลิ้นใส่ก่อนจะล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ทำเป็นไม่สนใจผมที่กำลังมองอย่างเอาเรื่อง

“กี้ มึงลุกเดี๋ยวนี้”

   “ไม่ลุก”

   ยังจะมานอนเกาพุงทำลอยหน้าลอยตาใส่ผมอีก

   หึ...มึงจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม”

   “เออ ไม่ลุกใช่ไหม”

   ผมก้มลงใช้สองมือจับหน้าแฟนตัวเองให้หันมาแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากของคนดื้อแรง ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว คนโดนจูบโดยไม่ทันตั้งตัวดิ้นขลุกขลักก่อนที่มือของมันจะขยุ้มเสื้อผมไว้แทน เมื่อผมค่อย ๆ ละเลียดชิมริมฝีปากบางก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปชิมความหวานด้านใน หยอกล้อกับลิ้นเล็ก ๆ ของกี้ที่ถูกผมไล่ต้อนจนจนมุม สองมือละจากใบหน้าแล้วล้วงเข้าในเสื้อยืดของคนตรงหน้า มือข้างหนึ่งสะกิดยอดอกที่ขึ้นเป็นไต อีกมืออ้อมไปด้านหลัง ลูบไล้ผ่านสะโพกเนียน

   “ฮือ..อิน...กูจะไปอาบน้ำแล้ว”

   คนที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนทำโทษส่งเสียงประท้วง ใบหน้าขาวจัดนั่นขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาลูกกวางฉ่ำไปด้วยน้ำตายิ่งดูน่าแกล้งให้สำนึกนัก

“เดี๋ยวค่อยอาบ”

ผมตอบมันทั้ง ๆ ที่ยังซุกหน้าอยู่กับซอกคอขาว

“ไปหอสมุด...ต้องทำ...รายงาน..”

“เดี๋ยวค่อยไป ตอนนี้กูอยากทำอย่างอื่นมากกว่า”

ผมส่งยิ้มให้มันที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะถกเสื้อยืดที่กี้สวมอยู่ออกให้พ้นทาง แล้วจู่โจมให้ไม่ทันตั้งตัว ใช้จมูกสูดกลิ่นกายหอมพร้อมกับจูบเบาไล่จากซอกคอเรื่อยมาจากถึงหน้าอก ดูดเม้นยอดออกที่ชูชัน ท่าทางกี้มันจะชอบให้ผมเล่นกับหน้าอกมัน เวลาแบบนี้ถึงได้แอ่นอกสู้ทุกครั้ง ในขณะที่สองมือก็ดึงกางเกงบ๊อกเซอร์ออกจากเรียวขาของมัน กี้สะดุ้งเมื่อมือของผมจับที่กี้น้อยของมันแล้วรูดขึ้นลงเบา ๆ เรียกความเสียวซ่านให้แก่คนที่แอ่นสะโพกขึ้นตามมือของผม

   ผมลุกขึ้นถอดเสื้อยืดแล้วปลดเข็มขัดพร้อมถอดกางเกงยีนออกให้พ้นตัว เอื้อมมือไปหยิบหลอดเจลหล่อลื่นกับถุงยางออกจากลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียง แล้วกลับมานั่งแทรกตรงกลางหว่างขาของคนที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง บีบเจลใส่มือขวาแล้วจับขาทั้งสองข้างของกี้ให้ตั้งชันขึ้น แตะวนช่องทางด้านหลังเบา ๆ ก่อนจะส่งปลายนิ้วที่ชโลมด้วยเจลจนชุ่มแทรกเข้าไปในช่องทางนั่นจนสุดในทีเดียวทั้งสองนิ้ว ทำเอาคนที่นอนอยู่ถึงกับสะดุ้งผงกหัวขึ้นมามองผมตาวาว

    “ไอ้อิน มันเจ็บนะ..อะ..”

   ผมมองคนที่หลับตาปี๋เมื่อปลายนิ้วของผมกดย้ำเข้าไปโดนจุดที่ไวต่อสัมผัสของตน มันกัดริมฝีปากไว้แน่นจนหน้าขึ้นสีแดงจัด ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งขยับมือเร็วและแรงขึ้น ในขณะที่มืออีกข้างก็กำที่ปลายส่วนอ่อนไหวของกี้แล้วรูดขึ้นลงก่อนจะขยี้ตรงปลายจนคนที่นอนอยู่ต้องเด้งสะโพกขึ้นด้วยความเสียวซ่าน

   นิ้วมือถูกส่งเข้าไปในตัวของกี้เพื่อเตรียมความพร้อมเพิ่มอีกนิ้ว พร้อมกับจังหวะเข้าออกเร่งเร้า ภายในตัวของกี้บีบรัดนิ้วของผมมากขึ้น

   “อ่า..อิน..ฮึก...จะไม่ไหวแล้ว”

   พอผมเห็นกี้มันทำท่าจะทนไม่ไหวแล้ว ผมจึงดึงนิ้วออก สบตากับคนที่มองผมตาเชื่อมหวานจนต้องก้มลงจูบหนัก ๆ ไปทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบถุงยางที่วางอยู่มาฉีกด้วยปาก ยิ้มยั่วให้กี้ที่นอนจ้องผมตาเขม็ง จนมันเขินหันหน้าหนีไป ผมจัดการสวมถุงยางให้กับตัวเองก่อนจะจับส่วนปลายไปแตะช่องทางของกี้ ผมมองคนตัวเล็กกว่าที่หลับตาปี๋เตรียมใจรับกับความคับแน่นที่จะเกิดขึ้นเช่นทุกครั้งเมื่อตัวตนของผมจะเข้าไปอยู่ในตัว รอยยิ้มเอ็นดูแต้มที่มุมปาก ผมจับส่วนปลายที่แข็งขืนจ่อวนอยู่ตรงปากทางแต่ไม่ยอมดันเข้าไปสักที ขณะที่มืออีกข้างลูบสะโพกของมันเล่น ผมยังคงเอาแต่หยอกเล่นอยู่นานจนไอ้คนที่กำลังค้างอยู่ในอารมณ์วาบหวามเริ่มทนไม่ไหว ปรือตาขึ้นมองผม

   “ไอ้อิน...มึง...”

   มันเรียกผมเสียงสั่น ผมยิ้มก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากล่างมันเบา ๆ

   “เรียกเพราะๆ สิครับ”

   “อิน..ไม่เล่น”

   “ก็ไม่ได้เล่น..นี่จะเอาจริง”

   ผมก้มลงกระซิบข้างหูเน้นคำว่า ‘เอา’ เป็นพิเศษ กี้ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเม้มปากแน่น

   “แฟนอยากได้อะไรเหรอครับ”

   แก้มใส ๆ ของกี้ขึ้นสีแดงจัดเมื่อได้ยินคำว่าแฟน มันยังคงเขินเสมอเมื่อได้ยินผมเรียกแบบนี้

   “ว่าไง...อยากให้อินทำอะไร”

   ผมซุกไซ้จมูกไปที่ซอกคอขาว ๆ ก่อนจะขบเม้นตรงติ่งหูให้กี้มันย่นคอด้วยความสยิว

   “ถ้าไม่บอก เดี๋ยวอินตามใจกี้ไม่ถูกนะครับ”

   “...เข้ามา”

   “ว่าอะไรนะ ได้ยินไม่ชัด”

   ผมแกล้งถามซ้ำทั้ง ๆ ที่ได้ยินกี้มันพูดแล้ว ถึงมันจะพูดเบา ๆ แต่ผมที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ซอกคอมันย่อมต้องได้ยินอยู่แล้ว

   “...ก็บอกให้เข้ามาไงเล่า จะเอาไม่ใช่เหรอ เร็ว ๆ สิ”

   กี้กัดฟันบอกผมชัดถ้อยชัดคำด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่ามันกำลังอายขั้นสุด ทำตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้

   ผมยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะฉกจูบจากริมฝีปากของคนน่ารักพร้อมกับที่ดันกายเข้าไปภายในตัวของอีกฝ่ายจนสุดในคราเดียว

   “อือ...”

   เสียงร้องของกี้อู้อี้อยู่ในคอเพราะผมยังไม่ยอมปล่อยปากมันให้เป็นอิสระ พลางถอนสะโพกตัวเองออกแล้วมากดเข้าจนสุดอีกสองสามครั้ง ก่อนจะยอมปล่อยให้คนที่โดนผมรังแกได้สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด

    “อิน...อย่า..กะ...แกล้ง..อ่า...”

   ดูเหมือนคนรักของผมจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกแกล้งเมื่อผมแกล้งกดย้ำ ๆ ไม่ยอมทำตามอย่างที่กี้มันต้องการเสียที ดวงตากลมโตนั่นคลอด้วยน้ำตาจนดูน่าสงสาร ช่องทางด้านล่างตอดรัดตัวตนของผมรุนแรงตามอารมณ์ที่ขึ้นสูงของเจ้าตัวจนในที่สุดผมก็อดทนไม่ไหว ผมจับเอวเล็กด้วยสองมือให้มั่นก่อนจะส่งกายกระแทกกระทั้นเข้าไปในตัวของคนที่ผมรักเป็นจังหวะที่เร็วและแรงขึ้น ร่างที่อยู่ใต้ร่างของผมส่ายหัวไปกับที่นอนด้วยความเสียวซ่าน สองมือกำผ้าปูที่นอนจนยับย่น

   “อ่า..อิน...แรงไป...ไม่เอา...ช้า ๆ...อ่ะ”

   โอเค ไม่เอาช้าๆ จัดให้ตามที่ขอครับแฟน

   ผมจับขาข้างนึงของกี้ขึ้นฟาดบ่าก่อนจะดันตัวเข้าไปจนสุด กดย้ำซ้ำ ๆ เร่งความเร็วจนเรียกเสียงครางหวานหูลั่นห้อง จนในที่สุดคนตัวเล็กก็กระตุกตัวเกร็งและปลดปล่อยออกมาจนเปรอะเปื้อนหน้าท้องตัวเอง ผมเอาขาที่พาดอยู่บนบ่าลงก่อนจะช้อนหลังคนที่นอนหายใจหอบขึ้นมานั่งบนตัก ให้ใบหน้าของกี้ซบลงบนไหล่ของผมอย่างอ่อนแรง สองมือลูบไล้ไปตามแนวสันหลังของคนในอ้อมกอดด้วยความรักใคร่

   “ทำไมชอบดื้อ”

   “มึงแม่งใจร้าย ชอบแกล้งกู ชอบบ่น ชอบด่ากู”

   เสียงคนดื้อที่สิ้นฤทธิ์บ่นอู้อี้อยู่บนบ่า

   “ที่กูทำก็เพราะกูรัก รู้ไหม”

   “อือ..”

   สองมือของคนหมดแรงที่เมื่อกี้ตกอยู่ข้างกายยกขึ้นมาโอบกอดผมตอบ ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบข้างหู

   “รักเหมือนกัน”

   พอได้ยินคำบอกรักจากคนขี้เขิน ผมก็ยกสะโพกขึ้นสอดประสานเข้าไปในตัวของคนที่นั่งอยู่บนตักอย่างรัวเร็วจนมันผวากอดผมไว้แน่น จนในที่สุดความเร่งร้อนก็มาถึงขีดสุดและปลดปล่อยทุกหยาดหยด

   ผมยังตะคองกอดคนรักในอ้อมกอด ฟังเสียงลมหายใจของกันและกันที่ค่อย ๆ ผ่อนช้าลง จนเป็นปกติแล้วจึงยกตัวของกี้ออกจากตัวตนของผม วางมันลงบนเตียงอย่างเบามือ ถอดถุงยางออกมามัดแล้วโยนลงถังขยะที่อยู่ใต้โต๊ะข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างกัน พลิกตัวมองด้านข้างของใบหน้าของคนที่นอนหงายหายใจถี่ ริมฝีปากสีชมพูเผยออ้าจนผมเผลอยกมือขึ้นลูบไล้เบา ๆ จนมันพลิกตัวตะแครงหันมามองตอบ

   “ไปอาบน้ำเลยไหม”

    ผมถามคนที่คิดว่าคงจะเหนียวตัว แต่มันกลับส่ายหน้า

   “เหนื่อย”

   “ก็ดีเหมือนกัน”

   กี้มองผมด้วยความสงสัยเพราะปกติหลังจากเรามีอะไรกันแล้ว ผมมักจะพามันไปอาบน้ำเพราะกลัวมันจะเหนอะหนะไม่สบายตัว

   “เดี๋ยวเสร็จอีกรอบค่อยไปอาบพร้อมกันเลยทีเดียว”

   “แม่ง ไอ้อิน ไอ้หื่น”

   “ฮ่า ๆ แล้วมึงไม่ชอบเหรอ”

   ผมหัวเราะเมื่อเห็นหน้ามันแดงแบบคนขี้อาย ผมเลยแกล้งแหย่มันต่อ

   “หือ...ว่าไง ไม่ชอบเหรอครับกี้”

   “ไอ้อิน”

   “บอกว่าให้พูดเพราะ ๆ ไงครับ แบบนี้คงต้องโดนอีกสักที”

   ไม่พูดเปล่า ผมพลิกตัวขึ้นคร่อมคนที่กำลังอ้าปากค้างก่อนจะก้มลงประกบริมฝีปาก กวาดต้อนจนอีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มจึงถอนริมฝีปากออก

   “มะ...มึง”

   กี้พูดเสียงติดจะสั่น ๆ ทำหน้าตาตื่น คงเพราะรู้สึกถึงอินน้อยที่กำลังดุนดันหน้าท้องของตนอยู่

   “ไม่เอาแล้ว กูไม่เอาแล้ว”

   ผมพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็นวดเฟ้นไปที่หน้าอกและบั้นท้ายเนียนนุ่มมือเรียกเสียงกระเส่าจากคนใต้ร่าง

   “อ่า...อิน...พอแล้ว...”

   ผมสัมผัสส่วนกลางลำตัวของคนปากแข็งที่แข็งขืนขึ้นมาเต็มมือแล้วแท้ ๆ ค่อย ๆ ลูบไล้แกล้งสร้างความปั่นป่วนในกับคนน่ารังแก

   “ให้พูดอีกที...จะเอาหรือไม่เอา”

   กี้มันไม่ตอบ เอาแต่กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น

   “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร”

   ผมส่งยิ้มให้ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนรักด้วยคำพูดที่เรียกทำให้มันถึงกับโวยวายไม่ออก

   “ถุงยางยังเหลืออีกเยอะ”



   “แม่ง กูก็นึกว่าจะให้กูนอนต่อ”

   ผมมองหน้าคนที่นั่งบ่นอุบอิบอยู่ข้าง ๆ หลังจากที่ผมไปหาหนังสือกับเอกสารที่ต้องใช้ทำรายการมากองให้มันบนโต๊ะ

   “มึงคิดว่าจะได้นอนเฉย ๆ เหรอ”

   “ไอ้เชี่ยอิน”

   “เบา ๆ สิ นี่หอสมุดนะมึง”

   ผมแอบยิ้มขันเมื่อเห็นหน้าขาว ๆ ของกี้ขึ้นสีระเรื่อ

   “มึงก็รีบทำรายงานให้เสร็จ ถ้ารายงานมึงเสร็จแล้วอยากจะทำอะไรก็ตามใจมึงเลย”

   “มึงต้องช่วยกูทำด้วย”

   “เดี๋ยวกูทำทั้งคืนเลย”

   “ไอ้อิน ทำไมมึงหื่นแบบนี้”

   กี้หันมาทำตาโตใส่ผม ผมคว้ามือมันที่ยกขึ้นจะฟาดผมเอาไว้ก่อนจะกุมไว้ใต้โต๊ะเพื่อกันสายตาคนอื่นที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

   “อะไร นี่มึงคิดอะไร กูบอกจะช่วยมึงทำรายงานทั้งคืนไง”

   ผมมองคนที่ทำตาโตหน้าแดงแล้วก้มลงไปกระซิบใกล้ ๆ พลางลูบมือที่กุมไว้

   “คิดแต่เรื่องลามกนะกี้”

   แฟนขี้อายของผมสะบัดมือผมทิ้งทันที หันไปคว้าหนังสือเล่มใหญ่มายัดใส่มือผมแทน

   “ไอ้อิน หุบปากแล้วทำงานไปเลย”

   “กี้”

   ก่อนที่ผมจะเริ่มเปิดหนังสือ ผมก็เรียกกี้ที่กำลังเปิดโน้ตบุ๊ค วันนี้มันไม่ใส่คอนแทคเลนส์แต่สวมแว่นกรอบโตอันเดิมแทน

   “อะไร”

   “ทำไมแฟนกูน่ารักจังวะ”

   “ไอ้อิน หุบปาก”

   “นี่นักศึกษาคะ ที่นี่หอสมุด งดใช้เสียงค่ะ”


   ................................
   ขอโทษที่หายไปนานค่ะ ตอนปกติยังติด ๆ ขัด ๆ อยู่ เลยเอาตอนพิเศษ (ชั่ววูบ) มาให้อ่านกันก่อนนะคะ T____T
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : คนขี้ดื้อกับคนขี้แกล้ง [27/05/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 29-05-2018 09:28:47
 :-[โอ๊ย​ ตอนพิเศษ​ดี​ต่อ​ใจ​
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 17-06-2018 19:39:55
ตอนที่ 17

 

           ผมมองรอยช้ำที่มุมปากของอินด้วยความรู้สึกแปลบตรงหัวใจ ปลายนิ้วค่อย ๆ แตะที่รอยช้ำนั่นอย่างเบามือแต่ก็ไม่วายทำให้เจ้าของแผลต้องนิ่วหน้า

            “เจ็บมากไหม”

            มือข้างนั้นประคองใบหน้าหล่อเหลาอย่างเบามือที่สุด อินยิ้มบาง ฝ่ามือของมันวางทับบนมือของผม

            “อานพเขาโกรธมากเลยเหรอ”

            อินเป็นลูกชายคนโตที่อานพรักและภูมิใจมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาอินเป็นลูกชายที่ได้ดั่งใจทุกอย่าง เป็นเด็กดีเสมอ และอานพก็เป็นชายชาติทหาร ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะลงไม้ลงมือแบบนี้ เวลาอินทำผิด อานพจะคุยด้วยเหตุและผลทุกครั้งก่อนจะลงโทษ ซึ่งไม่ใช่การทำร้ายร่างกายแน่นอน

            เพราะผมใช่ไหมที่ทำให้อินต้องเจ็บตัว

เพราะผมใช่ไหมที่ทำให้อินต้องมีปัญหากับครอบครัว

            “ไม่หรอก พ่อเขาก็แค่โมโหน่ะ”

            “อิน...กูขอโทษนะ”

            “เฮ้ย กี้ร้องไห้ทำไม มึงเป็นอะไร”

            ไม่รู้น้ำตามันไหลมาตอนไหน ผมไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้ออกมา

            เพราะผมคนเดียว...

            “อึก...เป็นเพราะกู ถ้ามึงไม่คบกับกู มึงก็ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อ มึงก็ไม่ต้องโดนต่อยแบบนี้ เพราะกูคนเดียว”

            “เฮ้ย กี้ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งร้อง”

            ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ

            “กูสงสารมึง อึก...แล้วกูก็สงสารตัวเองด้วย พ่อมึงก็โกรธ แบบนี้กูไม่กล้าบอกป๊ากับม้าแล้ว พวกเขาต้องให้เราเลิกกันแน่ ๆ”

เจ้าพวกผีเสื้อในท้องคล้ายจะรับรู้ความรู้สึกของผมได้ จากปกติที่เคยโบยบินอย่างเริงร่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้อิน มาวันนี้กลับขยับปีกบางเบาเหมือนกำลังจะหมดแรง

            อินดึงผมเข้าไปกอด ลูบหัวผมเบา ๆ ปลอบโยนให้ผมสงบลง

            “มันไม่เป็นไรนะกี้ หยุดร้องก่อน ฟังกูก่อน”

            ผมซบหน้าลงบนไหล่กว้าง หวังให้น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นปลอบใจ

            “มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”

            “มึงโดนอานพต่อยนี่ยังไม่เลวร้ายอีกเหรอ”

            ผมแย้งมันเสียงอู้อี้อยู่บนบ่ากว้าง ก่อนที่อินจะผละออกมาจ้องหน้าผม ผมมองใบหน้าหล่อ ๆ กระชากใจคนเกือบทั้งมหาลัยที่ตอนนี้กลับมีตำหนิช้ำ ๆ ตรงริมฝีปากพยายามจะส่งยิ้มให้ผมสบายใจ

            “กูยอมรับว่าตอนแรกที่บอกพ่อ พ่อกูเค้าโมโหมาก แต่พอกูอธิบายเรื่องของกูกับมึงให้เค้าฟัง พ่อก็ดูจะอ่อนลงนะ ตอนนี้แม่ก็กำลังช่วยพูดให้อยู่”

            จริงสิ นอกจากอานพแล้วที่บ้านของอินยังมีอานงค์กับเจ้าอิศ เจ้าอัค น้องชายอีก 2 คนด้วย แล้วนี่พวกเขาคิดอย่างไงกับเรื่องของพวกผม

            “แล้วแม่กับน้องมึงว่ายังไงมั่งวะ พวกเค้าโอเคกันเหรอวะ”

            “แม่กูตอนแรกก็ตกใจอยู่นะ แต่พอคิดได้ว่าคนที่กูคบด้วยเป็นมึง แม่กูเค้าก็ดูจะรับได้ ก็แม่เค้าเอ็นดูมึงจะตาย ส่วนอิศกับอัคมันก็ชอบมึงอยู่แล้ว”

            ได้ยินแบบนี้ผมก็ค่อยโล่งใจไปเปาะหนึ่งที่อย่างน้อยก็ยังมีคนยอมรับพวกเรา 2 คน

            “ไปมึง เข้าบ้านไปหาป๊าม้ากัน”

            อินคว้าข้อมือของผมจับจูงให้เดินตามเข้าไปในตัวบ้าน หากผมขืนตัวไว้ บอกมันไปด้วยน้ำเสียงหวาด ๆ

            “กูอย่าเพิ่งดีกว่าวะ ไว้ค่อยบอกวันหลังก็ได้”

            อินประสานมือเข้ากับฝ่ามือของผมแล้วบีบเบา ๆ ส่งต่อความอบอุ่นและกำลังใจมาให้ผม รอยยิ้มละมุนแต้มที่มุมปาก

            “กูอยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบัง กูอยากบอกคนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่ากูคบกับมึงอยู่”

            ผมสบสายตาคู่ที่เห็นแต่ประกายความมุ่งมั่น ที่ราวกับต้องจะบอกว่าให้มั่นใจในทุกคำที่เจ้าของดวงตาคู่นี้พูดออกมา

“มึงเชื่อใจกูนะ”

ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่มืออีกครั้ง ก่อนจะยอมปล่อยให้มันจับจูงเข้าไปในบ้านเพื่อเผชิญหน้ากับคนที่ผมรักมากที่สุดอีกสองคน

 ป๊านั่งอ่านดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน ส่วนม้าน่าจะอยู่ในครัว ป๊าหันมามองเมื่อเห็นพวกผมเดินเข้ามาหา อินจึงปล่อยมือเพื่อยกขึ้นสวัสดี ป๊าตบโซฟาข้างตัวเรียกให้อินไปนั่งด้วยกัน

”ไงเจ้าลูกชาย อ้าว ไปทำอะไรมาหน้าถึงเป็นแบบนั้น หมดหล่อกันพอดี”

“นิดหน่อยน่ะครับป๊า”

เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าอินมันเป็นลูกรักของบ้านนี้

ผมนั่งลงบนโซฟาอีกตัว มองป๊ากับอินทักทายกันตามประสาลูกชายคนโปรด ได้ยินป๊าถามถึงเรื่องเรียนแล้ววกกลับมาบ่นเรื่องผมไม่ค่อยตั้งใจ ต้องให้อินช่วยอยู่ตลอด ก็ได้แต่ยู่ปากไม่พอใจ จวบจนม้ายกจานใส่ของว่างเดินมากับพี่คนงานที่ยกถาดน้ำตามหลังมานั่นแหละป๊าถึงได้หยุดบ่นผม

“หวัดีครับม้า”

“มากินของว่างกินน้ำกันก่อน วันนี้ม้าทำสาคูของชอบของอินด้วยนะลูก”

“ขอบคุณนะครับม้า”

อินส่งยิ้มเอาใจก่อนจะจิ้มสาคูเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ท่าทางเอร็ดอร่อย ส่วนผมเอาแต่นั่งมองเฉย ๆ บอกตรง ๆ ว่ากินอะไรไม่ลงครับ ระหว่างที่ป๊าม้ากำลังสนใจอยู่กับสาคูบนโต๊ะ อินก็หันมาสบตากับผมเป็นนัยให้รู้ว่ากำลังจะทำอะไร ผมส่ายหน้าเบา ๆ ส่งสายตาไม่มั่นใจกลับไป

“ป๊าครับ ม้าครับ”

แต่มีหรือที่มันจะเชื่อ ผมได้แต่กลืนน้ำลายขณะที่ป๊าม้าหันมามองอินตามเสียงเรียก


“ที่ผมมาวันนี้ ผมมีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกป๊ากับม้าครับ”

ผมกระตุกชายเสื้อยึดของมันเบา ๆ ยังไม่อยากให้อินมันพูดเรื่องนี้ แต่มันกลับไม่สนใจ

“คือผมกับกี้ เราสองคนตกลงคบกันเป็นแฟนแล้วครับ”

“มึง...”

ผมครางเสียงแผ่ว มองหน้าป๊ากับม้าที่กำลังอึ้งสุดขีดกับคำพูดของเพื่อนสนิทลูกชาย

“เมื่อกี้อินพูดว่าอะไรนะ ป๊าได้ยินไม่ชัด”

“ผมกับกี้ ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันครับ”

“ป๊า ม้าจะเป็นลม”

“ม้า!”

คราวนี้ป๊ากับม้าได้ยินชัดเจนแน่ ๆ ครับ สีหน้าของม้าคล้ายว่าอยู่ ๆ ก็หน้ามืดขึ้นมากะทันหันทำท่าโอนเอนพิงโซฟา ป๊าต้องรีบยืนยาดมให้ ผมมองด้วยความเป็นห่วงรีบเข้าไปหยิบพัดมาช่วยพัดให้ หลังจากให้ม้าได้พักหายใจหายคอจนหน้าตาหายซีดเซียวแล้ว ป๊าก็หันไปพูดกับอินด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อินหมายความว่าอย่างไงที่บอกว่าเป็นแฟนเจ้ากี้ เราสองคนเป็นผู้ชายนะ”

“ใช่ครับ ถึงผมกับกี้จะเป็นผู้ชาย แต่เราสองคนก็รักกัน วันนี้ผมตั้งใจมาขออนุญาตป๊ากับม้าให้เราสองคนคบกัน”

“ไม่ได้” ป๊าตวาดเสียงดังจนผมสะดุ้ง “เรื่องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง พวกเธอสองคนเป็นเพื่อนกัน เป็นผู้ชายเหมือนกันจะคบกันได้อย่างไง ป๊ากับม้ารับไม่ได้ กี้มันต้องแต่งงานมีลูกมีหลานสืบสกุล”

“ผมรู้ว่ามันคงไม่ง่ายที่จะยอมรับได้ แต่ผมอยากให้ป๊าม้ามั่นใจในความรู้สึกที่ผมมีให้กี้ ถึงแม้ว่าพวกผมจะไม่สามารถมีลูกได้ แต่ผมก็พร้อมที่จะดูแลกี้ อยู่ข้าง ๆ กี้เหมือนกับที่ผมทำมาตลอดและผมก็จะทำต่อไป”

น้ำเสียงของอินที่พูดหนักแน่น

“ป๊ากับม้าเชื่อใจผมเถอะครับ ขอให้เราสองคนได้คบกัน”

อินส่งสายตาวิงวอน ผมเหลือบมองหน้าป๊าที่ยังคงนั่งนิ่ง ผมจับมือม้าเอาไว้ มองหน้าซีดเซียวของม้าแล้วก็ให้ใจเสียแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“เฮ้อ”

เป็นป๊าที่ส่งเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แน่ใจแล้วเหรอที่จะจริงจัง เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ แน่ใจเหรอว่ามันไม่ใช่ความใกล้ชิดที่ทำให้เข้าใจผิดกันไปเอง”

“ผมมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองมานานแล้วครับ มั่นใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจริงจัง จนผมไม่สามารถที่จะรู้สึกกับใครแบบนี้ได้อีกแล้วนอกจากกี้”

ผมรู้สึกหน้าร้อน ๆ สิ่งที่อินพูดไม่ต่างอะไรกับการสารภาพรักต่อหน้าป๊าม้าของผมเอง

“แล้วกี้ละ จะไม่พูดอะไรบ้างเหรอ”

ป๊าหันมาถามผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก หากสัมผัสที่มือกลับกระชับแน่น ผมเหลือบมองม้าที่พยักหน้าน้อย ๆ ให้ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป

“กี้รักอิน กี้ขอโทษที่เป็นลูกที่ดีให้ป๊าม้าไม่ได้”

พูดถึงตรงนี้น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้เสียตั้งนานก็ไหลลงข้างแก้ม

“ขอโทษที่กี้ทำให้ป๊าม้าต้องผิดหวัง ต้องเสียใจ ขอโทษที่กี้เป็นลูกชายที่ไม่เอาไหน เป็นลูกชายที่ทำให้ป๊าม้าภูมิใจไม่ได้”

“กี้”

แรงบีบที่มือผมมากขึ้น ผมยกหลังมืออีกข้างขึ้นมาปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดต่อตามที่ตั้งใจ

“แต่กี้อยากจะให้ป๊าม้าเชื่อใจกี้ เชื่อในคนที่กี้เลือก ให้เราสองคนคบกันเถอะนะครับ”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ผมพูดจบ ผมเผลอขบเม้นริมฝีปากแน่น ได้แต่สบสายตาที่ให้กำลังใจจากอิน

ฝ่ามือคู่ที่เลี้ยงผมมาดึงเอามือผมไปกุมไว้ ก่อนที่ม้าจะยิ้มน้อย ๆ ให้ แม้มันจะเป็นเป็นยิ้มที่ดูฝืด ๆ แต่ก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา

“ม้าเลี้ยงกี้มากับมือ ม้ารู้ดีว่ากี้เป็นอย่างไง สิ่งที่ม้าอยากได้จากกี้ ไม่ใช่ความภูมิใจหรือความสำเร็จอะไรนั้นหรอก ม้าแค่อยากเห็นกี้มีความสุข มีคนที่สามารถดูแลและไม่ทำให้กี้เป็นทุกข์”

“หมายความว่าป๊าม้ายอมให้พวกเราคบกันใช่ไหม”

ผมเอ่ยด้วยความดีใจ ก่อนจะถูกป๊ากระแอ้มเบรกไว้

“ถึงจะให้คบกันได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรประเจิดประเจ้อได้ตามใจ ขอเวลาให้ป๊าม้าทำใจบ้าง”

“ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียแน่นอนครับ”

อินรับปากอย่างแข็งขันด้วยแววตาเป็นประกาย

“ถ้าแน่ใจแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ขอให้มีสติกันให้มาก ๆ หลังจากนี้เราสองคนทั้งอินทั้งกี้จะต้องเผชิญกับสายตาและแรงกดดันจากคนรอบข้าง ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันเองมันยังเป็นเรื่องที่สังคมยากจะยอมรับได้ แน่ใจนะว่าจะรับมันไหว”

อินหันมาสบตาผม ผมพยักหน้าด้วยความมั่นใจ เราต้องเชื่อมั่นในกันและกัน

“พวกเราจะพยายามครับ”

“แล้วนี่คุณนพกับคุณนงค์รู้เรื่องนี่หรือยัง”

ม้าหมายถึงพ่อกับแม่ของอิน พอได้ยินคำถามนี้ จิตใจที่กำลังฟูของผมก็แฟ่บลงราวกับลูกโป่งที่โดนเจาะลูกออก

“บอกแล้วครับ แม่ผมโอเค แต่ว่าพ่อดูจะยังทำใจไม่ได้”

“ที่มาของรอยช้ำที่หน้าสินะ” ป๊ามองหน้าอินอย่างจับผิด

“นี่แหละ อุปสรรคที่เราสองคนต้องเจอ เริ่มต้นก็เป็นแบบนี้แล้วจะไหวกันเหรอ”

“ไหวครับ ถึงวันนี้พ่อจะยังไม่ยอมรับ แต่สักวันพ่อจะต้องเข้าใจ ผมมั่นใจ”

“มั่นใจก็ดี ก็ขอให้เมื่อถึงเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นมาจะยังพูดเหมือนวันนี้นะ”

“ผมจะไม่ปล่อยมือจากกี้ไม่ว่าจะมีเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

ป๊าจ้องหน้าอินเขม็ง หากอินมองกลับด้วยสายตาจริงจัง จนในที่สุดป๊าก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก

“หึ ให้เวลามันพิสูจน์คำพูดเราก็แล้วกัน”

ผมยิ้มกว้าง ม้าลูบหัวผมเบา ๆ

“นี่ก็จะเที่ยงละ อินอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะลูก”

“ครับม้า”

ม้ายิ้มให้แล้วลุกเข้าไปในครัว ก่อนที่ป๊าจะลุกขึ้นบ้างและอยู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามอง

“เดี๋ยวป๊าจะไปดูปลากัด จะไปดูด้วยกันไหม”

ผมรีบพยักหน้าให้อิน มันยิ้มดีใจก่อนจะรีบลุกเดินตามป๊าไปดูปลาที่หลังบ้าน

ผมถอนหายใจโล่งอก ถึงป๊าม้าจะยังดูมีท่าทีไม่เต็มใจจะยอมรับในความสัมพันธ์ของผมกับอินเท่าไหร่นัก แต่ดูแล้วก็คงไม่ยากเกินไปที่จะเปิดใจให้กับความรักของพวกเราสองคน ผมมั่นใจว่าสักวันหนึ่งป๊ากับม้าจะเข้าใจ

ผม ลุกขึ้นตามม้าเข้าไปในครัว เมื่อเห็นม้ากำลังยืนสั่งพี่คนงานให้ทำกับข้าวอยู่ก็เข้าไปสวดกอดจากด้านหลัง

“ขอบคุณนะครับ รักม้าที่สุดเลย”

ผมเอ่ยเสียงอู้อี้เพราะซบหน้าอยู่บนบ่าของม้า

“ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อนเลยลูกคนนี้” ได้ยินเสียงม้าถอนหายใจก่อนที่ผมจะถูกขยี้หัวเบาๆ “คิดดีแล้วสินะเราน่ะ”

“ครับ”

“เป็นอินก็ดีตรงที่ม้ามั่นใจว่าเอาเราอยู่ จะได้ไม่ทำตัวเกเรเหลวไหล”

“โถ ม้าก็” เวลาแบบนี้ยังบ่นลูกตัวเองได้อีกนะ

“แล้วนี่คิดจะบอกเฮียเค้าเมื่อไหร่ละ”

ผมได้แต่เม้นปาก ถึงจะผ่านด่านป๊าม้าไปได้ แต่ก็ยังเหลือเฮียกรอีกคน ซึ่งเอาจริง ๆ ผมว่าน่ากลัวกว่าอีก

“ถ้าอย่างไงจะให้ม้าช่วยพูดไหม”

“อือ ไว้ให้กี้เป็นคนบอกเฮียเองดีกว่า แต่ขอเวลากี้หน่อยนะม้า กี้ยังไม่กล้า”

ผมยิ้มแหย ๆ เฮียดุอย่างกับอะไรดี พวกผมต้องตั้งรับให้ดี ไม่งั้นมีหวังเละไม่เป็นท่า

“ตามใจ” ม้าแกะมือผมที่โอบช่วงเอวออก  “ปล่อยม้าได้แล้ว ม้าจะได้ทำกับข้าว”

“ให้กี้ช่วยนะม้า”

 

 

TBC...

สวัสดีค่ะ ห่างหายไปนาน ต้องสารภาพว่าตอนนี้เป็นตอนที่เราแต่งออกมายากมาก พิมพ์แล้วแก แก้แล้วลบอยู่ 2-3 ครั้งกว่าที่จะออกมาเป็นแบบนี้ ให้ตรงกับสิ่งที่เราอยากสื่อออกมา

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ^^

หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 18-06-2018 14:48:39
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ ผ่านด่านครอบครัวไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-06-2018 16:48:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 18-06-2018 23:36:24
เฮียดุกว่าป๊าม๊าอีกอ่ะ​ 555
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 17 [17/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 19-06-2018 23:32:08
d
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 18 [24/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 24-06-2018 01:12:34
ตอนที่ 18

 

            ทันทีที่ได้ยินเสียงรถจอดที่หน้าบ้าน ผมก็รีบลุกออกไปเปิดประตูรั้ว เพราะรู้ว่าคนที่ช่วงนี้มักจะมาในเวลานี้เสมอไม่ใช่ใครที่ไหน

            “กูซื้อไก่ย่างร้านที่เราเคยไปกินมาฝากมึงด้วยละกี้”

            อินชูถุงพลาสติกในมือให้ผมดูเมื่อก้าวลงจากรถ ผมยิ้มร่าเมื่อเห็นของโปรด พอเดินไปหาจะช่วยถือมันก็ไม่ยอม ผมเลยปล่อยให้อินเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะปิดประตูรั้วแล้วเดินตามเข้าไป

            “ม้า สวัสดีครับ ผมเอาแหนมเนืองมาฝากครับ”

            ผมได้ยินเสียงอินจากในครัว มันคงเดินเอาของกินไปเก็บ ผมกลับมานั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือต่อ สักพักก็มีมือมาขยี้หัวเบา ๆ

            “ปิดเทอมก็เล่นแต่เกมทั้งวัน”

            ผมแลบลิ้นใส่ไอ้คนขี้บ่นที่นั่งลงบอกเก้าอี้อีกตัวพร้อมกับวางจานใส่แอปเปิลที่ปอกเรียบร้อยแล้วบนโต๊ะ

            “ป๊าอยู่ไหนเหรอกี้”

            “น่าจะอยู่กับพวกนักมวยหลังบ้านละมั้ง”

            ผมหยิบแอปเปิลขึ้นมากินกัดแล้วก็เล่นเกมต่อ ไม่ได้สนใจอีกคนที่ลุกหายไปแล้ว เล่นต่อไม่ถึงสิบนาทีก็ตาย ทีนี้ผมเลยลุกขึ้นมองหามนุษย์ขี้บ่นอันดับสองของผม อันดับหนึ่งผมยกให้ป๊ากับม้ารักษาแชมป์คู่ครับ เดิน ๆ หาสักพักก็เจอมันอยู่ที่หลังบ้านจริง ๆ ด้วย กำลังนั่งดูโหลปลากัดอยู่กับป๊า

            “เจ้าบัวขาวตัวนี้กว่าป๊าจะได้มาไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนะ จองตั้งนานกว่าจะได้”

            ผมเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นป๊ากำลังอวดปลากัดจีนที่เพิ่งได้ใหม่เหมือน 2-3 ก่อน

            “อ้าว แบบสมรักษ์ก็ตกกระป๋องไปแล้วสิป๊า”

            ผมหมายถึงปลากัดตัวสีแดงเข้มที่ช่วงก่อนเห็นป๊าเห่อนักเห่อหนา

            “นั่นก็ตัวโปรดป๊า นี่อินดูสิสีมันสวยมากเลยใช่ไหม”

            “สวยครับป๊า หางยาวเชียว”

            ผมยืนมองป๊ากับแฟนผมที่ตอนนี้ทวงคืนตำแหน่งลูกรักของป๊าม้ากลับไปได้อีกแล้วด้วยความหมั่นไส้น้อย ๆ แค่มันขยันมาบ้านนี้ทุกเช้าพร้อมกับของฝากที่ถ้าไม่ใช่ของโปรดของม๊าก็ต้นไม้น้ำจะให้ป๊าเอามาใส่โหลปลากัดบ้างละ เมื่อวานก็มาช่วยป๊าเปลี่ยนน้ำโหลปลา ขนาดผมเป็นลูกชายแท้ ๆ ยังไม่ขยันเท่าไอ้อินมันเลย ตอนนี้มันเลยคะแนนความเอ็นดูจากป๊าม้าพุ่งพรวด

            ส่วนกับผม อินก็ไม่ได้มีท่าทีพิเศษหรือทำตัวรุ่มร่ามแบบตอนที่อยู่ด้วยกันที่คอนโด อย่างมากก็แค่จับมือ มีบ้างบางวันที่มันชวนผมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก แต่ก็ไปซื้อของหรือหาอะไรกิน พวกผมยังทำตัวเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำตอนที่ยังเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้ทำตัวประเจิดประเจ้ออะไร เพราะเกรงใจไม่อยากให้ผู้ใหญ่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“ป๊า เดี๋ยวม๊าจะออกไปตลาดนะ อินไปด้วยกันไหมลูก”

ได้ข่าวว่าลูกชายบ้านนี้ชื่อกี้นะม้า ผมได้แต่เบ้ปาก

“ไปครับ ไปไหม”

ประโยคหลังอินมันหันมาถามผม

“ไปซื้ออะไรเหรอม้า”

ผมกลับหันไปถามม้าแทน เพราะเมื่อกี้อินก็ซื้อของกินมาตั้งเยอะแล้ว น่าจะพอถึงมื้อเย็นเลยด้วยซ้ำ

“เย็นนี้กรกับเหมยเค้าจะมากินข้าวด้วย โทรมาบ่นอยากกินกุ้งอบวุ้นเส้น ม้าก็เลยว่าจะไปซื้อกุ้งแล้วก็ปูมาผัดผงกะหรี่ด้วย”

“ห๊ะ เฮียกรกลับมาแล้วเหรอ” ผมร้องด้วยความตกใจ

“เพิ่งกลับมาถึงเมื่อคืนน่ะ”

เฮียกรแกพาซ้อเหมยไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นรอบที่ 4 หรือ 5 นี่แหละ หาเรื่องไปปั๊มหลานคนโตให้อากงอาม่าเพราะแต่งกันมาก็ 4-5 ปีแล้วยังไม่มีลูกกันเสียที ฝั่งบ้านซ้อเหมยก็เป็นห่วงเพราะมีซ้อเป็นลูกคนเดียว นี่เป็นอีกเหตุผลที่เฮียเลยต้องไปอยู่บ้านซ้อ

“แล้วนี่กี้จะบอกเฮียเรื่องเรากับอินเลยไหม”

ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ อุตส่าห์คิดว่าเฮียคงมัวแต่สนใจเรื่องปั๊มลูก ก็ไหนไลน์ไปหาวันก่อนก็บอกบรรยากาศโรแมนติกอีกอาทิตย์หนึ่งถึงจะกลับ แล้วทำไมปุ๊บปั๊บกลับมาแบบนี้ได้

“งั้นเย็นนี้ผมอยู่กินข้าวด้วยนะครับป๊าม้า”

“ไม่ต้อง ๆ มึงกลับบ้านไปก่อนเลย”

ผมร้องห้ามทันทีเมื่อได้ยินที่อินพูด ผมรู้ว่ามันคิดจะทำอะไร

“ทำไมวะ”

“มึงจะบอกเฮียใช่ไหมละ กูขอดูท่าทีของเฮียก่อน ขืนไปพูดไม่ดูอารมณ์ รับรองชาตินี้มึงกับกูไม่ได้เจอกันอีกแน่ ๆ”

“กี้ มึงก็พูดเกินไป”

“กูรู้จักเฮียกูก็แล้วกัน”

ผมถูกเฮียเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ทำไมจะไม่รู้ว่าเฮียกรเป็นอย่างไง ที่พูดไปไม่มีเกินความน่าจะเป็นเลยสักนิดเดียว

“ม้าก็เห็นด้วยกับกี้นะ กรน่ะเป็นคนใจร้อน พอโมโหแล้วก็ไม่ค่อยจะฟังใคร อย่างไงลองให้กี้กับม้าตะล่อมดูก่อน”

เมื่อเห็นว่าทั้งผมทั้งม้าต่างพูดแบบนี้ อินก็ยอมแต่โดยดี

“ก็ได้ครับม้า”

 

 

หลังจากกินข้าวกลางวันด้วยกัน ผมก็เดินออกมาส่งอินที่ประตูรั้ว เราสองคนเดินมาด้วยกันอย่างเงียบ ๆ ผมลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร ผมกลัวว่าอินจะไม่พอใจหรือเปล่าที่ผมไม่ยอมให้มันอยู่ต่อ ก็ผมกลัวว่าเดี๋ยวเฮียกรจะมาเจออินที่บ้าน มันคงไม่คิดว่าผมไล่มันกลับก่อนหรอกนะ

“มึงไม่โกรธกูใช่ไหม”

อินมองหน้าผมด้วยสายตาสงสัย

“ก็เรื่องที่กูยังไม่ให้มึงบอกเฮียกร”

รอยยิ้มเอ็นดูแต้มที่มุมปากของอิน

“คิดมากน่ะกี้ กูโอเค กูเข้าใจ กูไม่โกรธมึงเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”

“อย่างไงกูจะหาจังหวะบอกเฮียให้ได้”

อินยกมือลูบหัวผมเบา ๆ

“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น ดูสิ คิ้วขมวดแล้ว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อินขยี้หัวผมอีกทีก่อนจะปล่อยมือ

“งั้นกูกลับละนะ เจอกันพรุ่งนี้”

“อือ ขับรถดี ๆ “

             

             

            เฮียกรกับซ้อเหมยมาถึงบ้านช่วงบ่าย ๆ ขนของฝากจากญี่ปุ่นมาให้ 2-3 ถุงใหญ่ ซ้อขอตัวไปช่วยม้าทำกับข้าวในครัว ทิ้งให้หนุ่ม ๆ ทั้ง 3 คนนั่งคุยกันในห้องรับแขก

            “เรียนเป็นไงบ้างละกี้”

            “ก็ดีนะเฮีย เกรดออกมาก็โอเค”

            ผมรื้อถุงของฝากได้ป๊อกกี๊ชาเขียวมากล่องหนึ่งก็แกะกิน ผมยื่นให้ป๊าลอง แต่ได้รับการปฏิเสธ เลยนั่งกินคนเดียวเพราะเฮียก็ไม่ชอบของหวาน

            “ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว เฮียก็กลัวว่าจะไม่รอด”

            “น้องชายเฮียระดับไหน แค่นี้สบายอยู่แล้ว”

            ผมทำท่ายักไหล่พร้อมกับกัดป๊อกกี๊ในปาก

            “ทำเป็นพูดดี ที่สอบผ่านก็เพราะอินช่วยเคี่ยวเข็ญให้หรอก ไม่อย่างงั้นป่านนี้คงต้องสอบซ่อมไปแล้ว”

            “อ้าว ป๊า แต่กี้ก็ตั้งใจนะ”

            ผมหันไปประท้วงกับป๊าที่พูดจาดิสเครดิตลูกตัวเองเสียอย่างนั้น เฮียหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามถึงคนที่อยู่ในบทสนทนา

            “เอ่อ แล้วนี่อินมันเป็นอย่างไงบ้างละ ไม่ได้เจอตั้งนานละ”

            “ก็...” ผมเหลือบมองหน้าป๊าที่นั่งทำหน้านิ่ง “อินมันก็สบายดีเฮีย หล่อสาวกริ๊ดเหมือนเดิม”

            “เหรอ แล้วนี่มันมีแฟนยัง ที่มหาลัยคงมีสาว ๆ มาชอบมันเยอะสินะ”

            “ก็...มีแล้ว...เอ่อ...ไม่มีมั้ง”

            “ตกลงมีหรือไม่มี”

            “เรื่องของไอ้อินมันน่ะเฮีย ช่างมันเหอะ”

            “แล้วเราละ หาน้องสะใภ้ให้เฮียได้หรือยัง”

            “น้องสะใภ้เหรอ...”

            ผมเหล่มองป๊าอีกที คราวนี้เห็นป๊ากำลังทำเป็นรื้อถุงขนม หยิบถุงนั้นถุงนี้ออกมาดูด้วยความสนใจเกินกว่าปกติ

            ...ไม่เนียนเลยป๊า

            “ไอ้นี่อร่อยดีนะเฮีย ซื้อมาเยอะป่ะ”

            เมื่อเห็นป๊าไม่ช่วยแน่ ๆ  ผมเลยตีเนียนเปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น

            “ไม่ได้ทำเป็นพูดเรื่องขนม ตกลงมีแฟนหรือยัง จะคบใครก็พามาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักด้วย จะได้ช่วย ๆ กันดู”

            ไม่ต้องแนะนำเฮียก็รู้จักดีอยู่แล้วละ..

            “เอ่อ...” ผมแสร้งก้มหน้ามองกล่องขนมในมือ “ก็ดู ๆ อยู่”

            “มีแฟนก็อย่าให้เสียการเรียนละ ตั้งใจเรียนด้วย โตแล้วก็เลิกทำตัวติดอินมันเสียที ปล่อยให้มันไปมีแฟนได้แล้ว มัวแต่มาดูแลเรานี่แหละ”

            “แหะ ๆ”

            ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางหยิบป๊อกกี้เข้าปากกลบเกลื่อน

            “ว่าแต่ทำไมเฮียรีบกลับมา ไหนบอกว่าจะกลับอาทิตย์หน้า”

            “ก็มันมีเรื่องให้ต้องกลับมาน่ะสิ ป๊าของเหมยแกจับได้ลูกน้องยักยอกบัญชีในร้าน พอจะพาตำรวจไปจับมันดันรู้ตัวหนีไปก่อนซะได้ เนี่ยก็เพิ่งได้ข่าวว่ามันหนีไปบ้านเมียที่พะเยา เดี๋ยวพรุ่งนี้เฮียจะตามไปลากตัวมันกลับมา รับรองมันโดนดีแน่ ๆ”

            เฮียกรพูดด้วยความโมโห ผมว่าไอ้หมอนั่นคงจะต้องโดนเฮียกระทืบสัก 3-4 ทีก่อนจะส่งตำรวจแน่ ๆ โทษฐานที่ไปขัดจังหวะฮันนีมูนเพื่อผลิตทายาทของเฮีย ท่าทางเฮียอารมณ์จะไม่ดีนัก ผมว่าผมเงียบ ๆ เรื่องที่จะบอกไปก่อนดีกว่า ผมยังไม่อยากเห็นอินมันโดนเฮียกระทืบนะครับ

 

            “ก็เลยไม่กล้าบอกเฮียเรื่องกูสินะ”

            “ใครมันจะไปกล้าละ”

            ผมหันไปสังเกตสีหน้าของคนที่กำลังขับรถพาผมออกมาข้างนอกหลังจากเล่าเรื่องที่เฮียกรมาเมื่อวานให้ฟัง

            “กูยังไม่อยากเห็นมึงโดนเฮียกระทืบว่ะ”

            อินยกมือขึ้นมาขยี้หัวแบบที่มันชอบทำ

            “เห็นมึงเป็นห่วงกูแบบนี้ กูก็ดีใจละ มามะ ให้กูชื่นใจที ถึงโดนเฮียมึงกระทึบกูก็จะทน”

            “เดี๋ยวก็ให้เฮียพาลูกน้องมากระทืบเลยมึง ตั้งใจขับรถไปเลยนะ”

            ผมผลักมือมันออกจากหัว ถึงรู้ว่ามันแค่เย้าเล่นก็ยังไม่วายรู้สึกหน้าร้อนผ่าว

            “กูคงยังไม่บอกเฮียเรื่องของเราเร็ว ๆ นี้หรอกนะ กูว่ารอจังหวะให้ทุกอย่างมันดีกว่านี้แล้วค่อยบอก”

            “กูเข้าใจ ก็พอจะนึกภาพตอนเฮียแกกำลังโมโหออก ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงจริง ๆ ว่ะ”

            อินทำท่าสยดสยองจนผมหยุดขำกิ๊กออกมา ดีที่อินมันเข้าใจอะไรง่าย ผมก็เลยไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหาหยุมหยิมพวกนี้

            “แล้ววันนี้มึงจะพากูไปไหนวะ วันก่อนกูเห็นรีวิวร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ตรงนิมมาน เราไปลองดูไหม”

            อินส่ายหน้าปฏิเสธ มันขับรถพาผมไปยังเส้นทางที่คุ้นตาเนื่องด้วยเมื่อก่อนผมเคยมาแถวนี้บ่อย ๆ ทางนี้มัน....

            “กูจะพามึงไปบ้าน พ่อกับแม่รออยู่”

            “เฮ้ย ไม่เอา กูยังไม่พร้อม”

            ผมรีบปฏิเสธเสียงดังลั่นรถ หากอินมันก็ยังคงขับรถมุ่งหน้าไปตามทาง

            “ไปเหอะ มึงจะกลัวอะไร มีกูอยู่ด้วยทั้งคน”

            “ก็กูกลัวพ่อมึงเห็นหน้ากูแล้วจะโมโหขึ้นมาอีก ให้กูโดนพ่อมึงชก กูก็ไม่ไหวนะโว้ย”

            ผมโวยวายเสียงดังในขณะที่อินทำหน้าเพลียก่อนจะพูดปลอบใจ

            “พ่อไม่ชกมึงหรอกน้า มึงนี่ก็วิตกจริตละ ไม่ต้องกลัวหรอก”

            “ว่าไม่ได้นะ ขนาดมึงเป็นลูก อานพเค้ายังชกมึงได้เลย”

            แถมอานพยังหมัดหนักไม่ใช่เล่น ทำปากไอ้อินช้ำไปตั้งหลายวัน มันยังจะบอกให้ผมไม่ต้องกลัวอีก หน้ากูออกจะบอบบางไม่ได้หนาทนแบบหน้ามึงนะ

            “ที่เค้าทำก็เพราะกูเป็นลูกนี่แหละ กูเคลียร์เรื่องนี้กับพ่อเรียบร้อยแล้ว มึงไม่ต้องห่วง พ่อกับแม่เค้าแค่อยากเจอมึง อิศอัศก็ถามหามึงด้วย”

            “เอาไว้วันหลังก็ได้ วันนี้กูยังไม่พร้อม ขอเวลากูทำใจก่อน”

            “ไม่วันหลงวันหลังแล้ว วันนี้แหละ”

            อินพูดจบผมเพิ่งรู้ตัวว่ามันเลี้ยวรถเข้ามาในบ้านมันเรียบร้อย จะหนีก็คงไม่ทันแล้วเพราะผมเห็นอานพเดินลงมาจากบ้าน รอพวกผมลงจากรถอยู่

 

            TBC...



          ลงเวลายามไทม์...
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 18 [24/06/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-06-2018 15:57:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [1/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 01-07-2018 01:17:34
ตอนที่ 19

 

            ผมเปิดประตูลงจากรถด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ มองหน้าอินสลับกับอานพที่ยืนอยู่หน้าบ้าน อินเดินอ้อมรถมาหาผม มันส่งยิ้มให้ก่อนจะเอามือดันหลังผมให้เดินไปข้างหน้า ผมเดินมาหยุดตรงหน้าอานพแล้วยกมือไหว้ แล้วได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาของผู้ใหญ่ที่มองมา

            “สวัสดีครับ”

            “มาได้สักทีนะเรา” อานพรับไหว้ผมแล้วหันหลังกลับเข้าบ้าน “ป่ะ เข้าไปให้บ้านกัน แม่เค้าเตรียมกับข้าวเสร็จแล้ว”

            ผมมองแผ่นหลังสมชายชาตรีของอานพที่กำลังเดินห่างออกไปแล้วหันมามองหน้าลูกชายเจ้าของบ้านด้วยความไม่มั่นใจ

            “เข้าบ้านไปเถอะน่า”

            อินไม่พูดเปล่า มันคว้าข้อมือของผมแล้วจูงให้เดินตามเข้ามาในบ้านโดยไม่สนใจสายตาของพ่อมันที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ตรงโซฟาเลยสักนิด อินจับให้ผมนั่งลงบนโซฟาคนละตัวกับอานพ ผมรีบเขยิบทันทีเมื่ออินมันลงมานั่งเบียดด้วยพลางเหลือบมองอานพด้วยความหวาดหวั่น

            “อ้าว มากันแล้วเหรอ”

            “หวัดดีครับแม่”

            ผมยกมือสวัสดีอานงค์แม่ของอิน แต่ผมชินที่จะเรียกแม่ตามอินมากกว่า อานงค์ยิ้มให้ผมแล้วนั่งลงข้างสามี

            “เอาละ ที่อาให้เจ้าอินพากี้มาวันนี้ก็เพราะจะพูดเรื่องของเราสองคนนั่นแหละ”

            เอาแล้วสิครับ มาถึงอานพก็เข้าเรื่องเลยทันที ผมเม้มริมฝีปากแน่น เหงื่อเริ่มซึมที่หน้าผาก มือเริ่มจะสั่น ๆ หากแต่มีอีกมือหนึ่งมาจับเอาไว้พร้อมกับบีบเบา ๆ ให้ผมรู้สึกอุ่นใจ

            “กี้แน่ใจแล้วเหรอเรื่องที่จะคบกับอิน”

            “พ่อ”

            “เงียบไปเลยเจ้าอิน”

            ผมนิ่งไป รู้สึกกดดันจากสายตาทุกคนที่จับจ้อง คิดหนักว่าคำตอบของผมมันจะมีผลต่อเรื่องของเราหรือเปล่า

            “คือ...ถึงผมอาจจะเป็นคนเหลาะแหละ ดูไม่ค่อยจริงจังกับอะไร” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับอานพ รับรู้ถึงแรงบีบที่ส่งผ่านมายังมือของผม “แต่เรื่องอินผมแน่ใจครับ”

            “แน่ใจนะว่าจะไม่เสียใจทีหลัง” อานพถามซ้ำด้วยนน้ำเสียงจริงจัง     

            “พ่อ”

            “แน่ใจครับ” ผมตอบด้วยความมั่นใจที่สุดที่ผมมี

            “เฮ้อ” อานพถอนหายใจเสียงดังแล้วเอนตัวไปพิงโซฟา ก่อนจะส่งยิ้มแรกให้ผมได้เห็น “นี่โดนเจ้าอินมันล้างสมองมาหรือหลอกอะไรหรือเปล่า เจ้าลูกคนนี้มันเจ้าเล่ห์นะ เวลาอยากได้อะไรก็ต้องได้ อาน่ะอยากให้เราคิดดี ๆ ก่อน เรายังมีโอกาสจะได้เจอคนอื่นอีกมากนะ”

            “พ่อครับ อย่าพูดให้แฟนผมไขว้เขวสิครับ”

            อินพูดกับอานพเสียงเรียบ ขณะที่ผมอดที่จะเขินหน้าแดงไม่ได้เมื่อถูกเรียกว่าแฟนต่อหน้าพ่อกับแม่ของมัน

            “พ่อก็แค่อยากให้กี้มันแน่ใจ แต่เห็นเรียกเป็นแฟนจริงจังแบบนี้พ่อก็คงไม่ต้องห่วงแล้วละมั้ง”

            อานพจะย้ำให้ผมอายหนักขึ้นกว่าเดิมทำไมเนี่ย

            “อิน...พ่อหวังว่าเราจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังนะ ดูแลกี้ให้ดีด้วยละ”

            อานพหันไปฝากฝังให้อินดูแลผม ผมฟังแล้วออกจะงง ๆ กับท่าทีสบาย ๆ ของอานพ นี่สรุปว่าอานพแกไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่อินคบกับผมใช่ไหม

            “เอ่อ...นี่หมายความว่าอานพโอเคให้อินคบกับผมเหรอครับ”

            “ “โอเคสิ อาจะไปห้ามอะไรมันได้ละ ถ้ามันจะรักจะชอบใคร อาจจะตกใจบ้างที่คน ๆ นั้นของมันคือเรา เพราะอาเห็นกี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นห่วงก็แต่กี้นี่แหละ คิดดีแล้วแน่นะที่จะเอาอนาคตมาฝากไว้กับเจ้าอินมัน”

            ถึงตอนนี้อินทำหน้าเพลียใส่พ่อมันแบบเต็มทน จนผมอดขำไม่ได้ ก่อนจะหันกลับไปถามอานพอีกทีด้วยความสงสัย

            “แล้วอานพชกอินทำไมเหรอครับ”

            “พ่อเค้าโกรธที่อินทำอะไรไม่ปรึกษาผู้ใหญ่ กี้เองพวกเราก็รักเหมือนลูก ป๊าม้าของกี้ก็รู้จักกันมาเป็น 10 ปี อยู่ ๆ ก็มาบอกคบลูกชายบ้านเค้าเป็นแฟน แถมยังพาไปอยู่ด้วยกันที่คอนโดแล้วด้วย พ่อเค้าก็เลยทะเลาะกับอินน่ะ อินก็ยั่วโมโห ก็เลยโดนไปหมัดนึง” เป็นอานงค์ที่ช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

            “คือที่พวกผมไปอยู่ด้วย มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ”

             ผมรีบปฏิเสธเมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจผิดกันไปไกล ป๊าม้าของผมยังไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยครับ ที่อานพกับอานงค์คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย

            “พ่อกับแม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้มันก็ธรรมดาของวัยรุ่น”

            “มันไม่ใช่นะครับแม่”

            ผมว่าที่แม่เข้าใจมันคนละแบบกับที่ผมอยากจะบอกนะครับ

            “ไม่ต้องอายไปหรอกกี้”

            ที่ผมหน้าแดงไม่ได้อายเรื่องนั้น แต่เพราะทุกคนกำลังเข้าใจผิดตั้งหาก ผมหันไปไอ้อินจะขอให้มันช่วยอธิบาย ไอ้แฟนตัวดีกลับทำเป็นนั่งเงียบ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น

            “อินไปตามน้องลงมากินข้าวให้แม่หน่อย”

            “ผมไม่อยู่ พ่อก็อย่าพูดอะไรให้กี้มันคิดมากละครับ” อินลุกขึ้นแต่โดยดี หากไม่วายหันไปเตือนอานพ

            “หวงจริงนะเรา” อานพหยอกอย่างขำ ๆ

            “ครับ หวงมาก กว่าจะได้คบกันผมต้องรอตั้งหลายปี”

            “ไอ้อิน หยุดพูดเลยมึง”

            ตอนนี้ผมเขินจนแทบอยากจะร้องไห้เอาหน้ามุดกับโซฟาแล้ว

            อินหัวเราะหึก่อนจะเดินขึ้นไปตามน้อง ๆ ให้ลงมากินข้าวตามคำสั่งของแม่ ผมนั่งเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ตรงไหนดี เลยขอตัวลงตามอานงค์เข้ามาในครัว

            “เดี๋ยวผมช่วยแม่จัดโต๊ะนะครับ”

            ระหว่างที่ผมกำลังช่วยอานงค์หยิบจานชามออกจากตู้ อานงค์ก็เอ่ยขึ้นมา

            “พ่อเค้ารักอินมาก แล้วก็เอ็นดูกี้มากนะลูก พวกเราเห็นกี้เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง ตอนที่อินมาบอกพ่อกับแม่ก็ตกใจนะ แต่พอนึกไปนึกมา ตั้งแต่เด็กจนโต อินก็ไม่เคยจะมีทีท่าสนใจผู้หญิงคนไหนเลย ก็คงเพราะแอบชอบกี้มานานอย่างที่บอกจริง ๆ”

             ผมมองอานงค์ที่ยิ้มให้ผมด้วยความเอ็นดูอย่างเช่นทุกทีด้วยความรู้สึกตื้นตันในใจ

”พอรู้แบบนี้พ่อกับแม่ก็ยอมรับได้ ลูกเราเลี้ยงได้แต่ตัว จะไปบังคับจิตใจเค้าก็คงไม่ได้ เค้ารักใคร เราก็รักด้วย ดีเสียอีกที่แฟนของอินเป็นกี้ พ่อกับแม่ไม่ต้องกลัวว่าจะเข้ากับแฟนของลูกไม่ได้”

“ขอบคุณนะครับแม่”

ผมขอบคุณจากใจจริง ดีใจเหลือเกินที่พ่อและแม่ของคนรักยอมรับความรักของพวกเราสองคน เพราะถ้าหากพวกท่านทั้งสองคัดค้านหรือกีดกัน ผมคงต้องเสียใจมาก

“ช่วยแม่ยกจานชามออกไปหน่อย วันนี้แม่ทำขนมจีนน้ำยาปูที่กี้ชอบด้วยนะลูก”

“ขอบคุณครับ ผมคิดถึงฝีมือแม่มากเลย”

ผมยิ้มประจบเมื่อได้ยินว่าอานงค์อุตส่าห์ทำของโปรดเอาใจ

“อยากให้ลูกชายอ้อนแม่แบบนี้บ้างจัง” อานงค์ลูบหัวผมเบา ๆ “แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้แม่ก็มีกี้มาเป็นลูกอีกคนแล้วนี่เนอะ”

ผมยิ้มรับก่อนจะยกจานชามออกจากครัว

 

“สบายใจขึ้นแล้วสินะ”

อินถามหลังจากที่กินข้าวเที่ยงกันเสร็จ พอช่วยอานงค์เก็บจานชามแล้วปล่อยให้เจ้าอิสและเจ้าอัคเป็นคนล้าง อินก็ชวนผมขึ้นมาบนห้องนอนของมัน

“อือ” ผมนั่งลงบนเตียง กวาดตามองรอบห้องที่ดูเรียบร้อยกว่าครั้งที่มาล่าสุด “ไม่คิดว่าอานพเค้าจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ กูนึกว่างานนี้จะต้องมีดราม่า ไม่มึงก็กูโดนชกปากแตกซะแล้ว”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดมาก พ่อเค้าแค่โมโห แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ยอมรับมึง” อินทรุดลงนั่งข้างกัน

“กูมีความสุขจัง ที่ทั้งบ้านมึงแล้วก็บ้านกู ทุกคนยอมรับเรื่องของเรา” ผมยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างมีความสุข

“มึงลืมเฮียกรของมึงไปหรือเปล่า”

ผมหันควับทำหน้าเซ็งใส่ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างกาย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ทำไมมึงต้องย้ำด้วยวะ กูอุตส่าห์ลืม ๆ ไปแล้ว”

ไอ้อินมันเพียงแค่หัวเราะหึในคอ

“กูจำได้น่า ให้เวลากูอีกหน่อยนะ กูจะบอกเฮียเอง”

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร” อินเขยิบมาใกล้ผมมากขึ้น “แต่ตอนนี้กูขออะไรมึงได้ไหม”

ผมเอียงหน้ามองมันพลางเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“กูขอจูบมึงนะ”

“เฮ้ย ไม่เอา พ่อกับแม่มึงก็อยู่ข้างล่าง” ไอ้บ้านี่ ผมรีบขยับตัวหนีแต่ก็โดนอินมันโอบเอวล็อกไว้ไม่ให้หนีไปไหน

“ก็ใช่ไง ตอนนี้ไม่มีใครขึ้นมาหรอก ขอกูจูบมึงนะ”

อินโน้มหน้าเข้าไปใกล้ผม ใกล้จนผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาของมัน รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

“รู้ไหมว่ากูคิดถึงจูบของมึงแค่ไหน”

ผมไม่แน่ใจว่ามันคือคำถามที่ต้องการให้ผมตอบหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ผมไม่มีโอกาสได้ตอบ เพราะทันทีที่จบประโยค ริมฝีปากของอินก็ทาบทับลงมาสัมผัสกับริมฝีปากของผม ผมหลับตาลงปล่อยให้มันค่อย ๆ ละเลียดหยอกเย้าก่อนจะสัมผัสอย่างลึกซึ้ง อินจูบผมราวกับว่าหิวกระหายเหลือเกินจนผมแทบจะหมดแรง รู้สึกตัวอีกทีเมื่อมันผละออกถึงได้รู้ว่าตอนนี้แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนอนไปแล้ว

“อิน...” เสียงของผมที่หลุดออกมาฟังราวกับเสียงละเมอ

“หือ”

อินเพียงส่งเสียงตอบรับ หากแต่ริมฝีปากมันยังคลอเคลียอยู่แถว ๆ ริมฝีปากของผมไม่ห่าง

“พะ...พอได้แล้ว”

ผมเบี่ยงหน้าหนีสัมผัสชวนวาบหวาม อินใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผมออก พอหันมาสบสายตาที่จ้องมองกันอยู่ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในท้อง

เจ้าพวกผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยที่กำลังพากันกระพือปีกโบยบินด้วยความร่าเริงจนผมรู้สึกวูบวาบในท้อง

“กูยังไม่หายคิดถึงมึงเลยนะ”

“คิดถึงอะไรของมึง ก็อยู่ด้วยกันตลอด”

“มันไม่เหมือนกัน รู้ไหมกูต้องอดทนแค่ไหนที่จะไม่คิดถึงจูบหวาน ๆ ไม่คิดถึงสายตาของมึงที่มองกูแบบนี้”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองมองอินด้วยสายตาแบบไหน รู้แต่ว่าสายตาที่อินมองผมอยู่ตอนนี้กำลังจะทำให้ผมระเหิดกลายเป็นไอแล้ว อินใช้มือหัวแม่มือเกลี่ยที่ริมฝีปากล่างของผมก่อนที่จะก้มลงจูบเบา ๆ อีกที แล้วทิ้งตัวล้มตัวนอนหงายข้างกัน โดยที่มือขวาของมันจับมือซ้ายของผมเอาไว้

“กูว่ากลับไปคอนโดคราวนี้ กูคงอดใจไม่ไหวแล้วละ”

ปลายนิ้วมือของมันเขี่ยกลางฝ่ามือผมเล่น มันกำลังทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ทั้งจักกะจี้และชวนให้ขนลุก

“กลับไปกูขอนะ”

“ขออะไร”

อินพลิกตัวขึ้นมาใช้วงแขนคร่อมผมเอาไว้ ผมมองท่าทางของมันอย่างหวาด ๆ ยิ่งเห็นมันยิ้มกริ่มแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่น่าไว้ใจ

“ก็...ขอให้มึงเป็นของกูไง”

“อะ...ไอ้อิน มึงมัน...ขอบ้าบออะไรเนี่ย” ผมเบิกตาโพลงก่อนที่หน้าจะขึ้นสีจัดจนแทบอยากมุดฟูกหนี ไอ้อินแม่งพูดออกมาได้ไม่อายหรือไง

“ทำไมละ นี่กูก็ขอกับมึงดี ๆ แล้วนะ” มันยังจะทำหน้าสงสัยอีก

“กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่โว้ย มาขอสุ่มสี่สุ่มห้ากันได้อย่างไง กูไม่ยอม” ผมดันตัวไอ้อินให้มันถอยออกก่อนจะลุกขึ้นมา พยายามฉุดมือของอินที่กลับไปล้มตัวนอนให้ลุกตามขึ้นมาด้วย “มึงลุกขึ้นมาเลย ไปส่งกูเดี๋ยวนี้”

“ลุกอยู่”

“ลุกเชี่ยอะไร มึงยังนอนอยู่เนี่ย”

อินสบตาผมก่อนจะเบนสายตาให้มองไปยังส่วนกลางลำตัวที่ตอนนี้มีอะไรบางอย่างโป่งนูนขึ้นมาชัดเจน

“อะ...ไอ้อิน ไอ้ลามก อะ...ไอ้....”

ไม่ต้องบอกว่าหน้าผมร้อนแค่ไหน ถ้าเอาไปทอดไข่ ไข่ก็คงสุก ผมพยายามจะสะบัดมือไอ้แฟนลามกออกแต่กลับถูกอินฉุดให้ล้มทับบนตัวมันก่อนจะโดนมันกอดเอาไว้

“มึงอยู่เฉย ๆ รอให้มันสงบก่อน เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไอ้อิน มึงปล่อยกู” ผมดิ้นขลุกขลักขืนตัวจะออกจากอ้อมแขนของมัน

“ขืนมึงดิ้นมาก ๆ กูจะปล้ำมึงตอนนี้เลย”

พอได้ยินอินมันขู่แบบนั้น ผมถึงหยุดดิ้น ทำตัวแข็งทื่อยอมให้มันกอดแต่โดยดี หากก็ยังไม่หยุดด่าแม้ว่าจะไม่กล้าโวยวายเสียงดังอย่างใจอยาก

“...ไอ้เชี่ยอิน ไอ้บ้า ไอ้หื่นกาม ไอ้ลามก”

“บอกให้นอนเงียบ ๆ ไง”

อินทำเสียงดุแถมมือขอมันยังลูบไปตามแนวสันหลัง ผมเลยหุบปากทันที มันจึงยอมคลายอ้อมกอดพอให้ขยับตัวได้สบายขึ้นอีกนิดเลยกลายเป็นว่าตอนนี้ซบหน้าอยู่บนอกของมัน มือของอินลูบเส้นผมของผมเล่น ส่วนผมก็นอนฟังเสียงหัวใจของมันพลางคิดว่าแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน

 

“กี้...กี้ ตื่นได้แล้ว”

เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยกระซิบเรียกทำให้ผมค่อย ๆ ขยับเปลือกตาขึ้น

“ลุกได้แล้ว กูเมื่อยแล้วเนี่ย”

ผมกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะช้อนตามองตามเสียงที่ได้ยิน เห็นปลายคางของไอ้คนที่ผมนอนทับอยู่ ผมจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง อินลุกขึ้นมานวด ๆ แขนข้างที่ผมนอนทับ มันคงเมื่อยน่าดูแต่ช่วยไม่ได้นี่ ก็อยากกอดผมไม่ปล่อยเอง

“กูเผลอหลับเหรอ”

“อือ นอนน้ำลายยืดเลอะเสื้อกูด้วย” ไอ้อินทำเป็นดึงเสื้อมันขึ้นมาดมแล้วทำท่าเหม็นแหวะ

“เวอร์ละมึง”

“ไม่เชื่อมึงลองดมดู”

เรื่องอะไรผมจะต้องไปดมเสื้อมันด้วยละ

“กี่โมงแล้ว”

“เกือบจะบ่ายสามแล้ว” อินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู

“นี่กูนอนเป็นชั่วโมงเลยเหรอ”

ผมว่าผมกลับบ้านดีกว่า นี่ก็ออกจากบ้านมาหลายชั่วโมงละ เมื่อเช้าบอกม้าไปว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านด้วย

“งั้นกูว่ากูจะกลับละ”

ผมเดินตามอินลงมาข้างล่าง เจออานพ อานงค์กับอิศกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ ส่วนอัคไม่รู้ไปไหน

“แหม หายขึ้นไปบนห้องกันตั้งนานนะพี่ หายไปทำอะไรกันน่ะ”

อิศเอ่ยทักทันทีที่เห็นพวกผมลงบันไดมาด้วยน้ำเสียงล้อเลียน

“อิศอย่าไปแซวพี่เค้า คนเป็นแฟนกันเค้าก็อยากอยู่กันสองต่อสอง”

พอเห็นอานพกับอานงค์มองหน้ากันแล้วยิ้มน้อย ๆ ผมก็เข้าใจว่าเจ้าอิศมันหมายถึงอะไร

“ม่ะ...ไม่ใช่นะ คือพวกเรา...”

“ไปนอนกันมา”

“ไอ้อิน!” ผมตกใจเรียกชื่อมันเสียงดังลั่น

มึงพูดแบบนี้ คนอื่นจะเข้าใจว่าอย่างไง พ่อกับแม่มึงเขาจะมองกูอย่างไงที่วันแรกมาเปิดตัวในฐานะแฟนลูกชายก็ทำเรื่องแบบนี้ในบ้าน

“มึงจะเสียงดังทำไม ก็นอนจริง ๆ เนี่ยน้ำลายมึงยังยืดเลอะแก้มอยู่เลย”

ผมรีบยกมือเช็ดแก้มทั้ง 2 ข้าง ไอ้อินก็แม่งไม่ยอมบอกกันก่อน ผมหันไปยิ้มแหย ๆ ให้คนอื่นในครอบครัวของมัน ไอ้อิศนั่งหัวเราะชอบใจใหญ่

“ผมไปส่งกี้ก่อนนะครับ”

อินพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไป ผมรีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้ววิ่งตึก ๆ ตามไอ้แฟนตัวดีมาขึ้นรถ

 

 

“มึงจะลงไปไหม”

ผมถามอินเมื่อรถจอดเทียบที่หน้าประตูรั้ว มันพยักหน้า ผมจึงลงจากรถมารอมันที่หน้าประตูรั้วก่อนจะเดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน

“รถใครวะ” อินหันไปมองรถฟอร์จูนเนอร์สีขาวป้ายแดงที่จอดอยู่ภายในรั้ว

ผมส่ายหน้าไม่รู้ “เพื่อนสมาคมปลากัดของป๊าละมั้ง”

พอเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านเท่านั้นแหละ ผมก็ได้รู้เลยว่ารถคันนั้นเป็นของใคร

“กี้กลับมาแล้วเหรอ”

“เฮีย...”

ผมหันหลังกลับทันที จะดันอินให้ไม่เข้ามาในบ้านแต่ก็ไม่ทัน เมื่อได้ยินเสียงเอ่อทักจากคนที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องรับแขก

“อ้าว อินมาด้วยเหรอ มานี่ ๆ เฮียไม่เจอซะตั้งนาน”

ผมได้แต่ทำตาเหลือกมองหน้าอินที่ยังคงหน้านิ่งเก็บอาการอยู่ พลางคิดในใจว่า...

...ตายแน่กู

 

TBC...



มาตอนดึกๆดื่นๆอีกแล้ว OTZ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [01/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 01-07-2018 18:50:56
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [01/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 01-07-2018 22:37:11
เฮียกลับมาแล้ว น้องกี้จะจัดการกับเฮียแบบไหนน้า
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 19 [01/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-07-2018 01:29:11
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 20 [08/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 08-07-2018 02:09:06
ตอนที่ 20

 

            ผมหันกลับไปส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เฮียกร ขยับตัวมาบังอินเอาไว้แม้ผมจะสูงแค่ปลายจมูกมันก็เถอะ

            “ไอ้อิน มันจะกลับละเฮีย ใช่ม่ะ ๆ”

            ประโยคหลังผมหันไปกระตุกแขนอิน แต่ไอ้แฟนตัวดีมันไม่ยอมเออออตามผม กลับเดินผ่านผมเข้าไปทักทายเฮียกรที่นั่งอยู่บนโซฟาแทนหน้าตาเฉย

            “หวัดดีครับเฮีย”

            “มา ๆ นั่งนี่ ๆ” เฮียชี้ไปที่โซฟาอีกตัวที่อยู่ใกล้กับตรงที่อินยืน พอผมเห็นอินมันนั่งลงก็จำต้องเดินมานั่งกับข้างเฮียอย่างเสียไม่ได้

            “รถหน้าบ้านนั้นของเฮียเหรอ”

            “ใช่ เพิ่งได้มาเมื่อวานนี่เอง กลับจากพะเยาก็ไปเอามาเลย”

            “เอ่อ...แล้วเรื่องที่เฮียไปจัดการที่พะเยาเรียบร้อยแล้วเหรอ ทำไมกลับมาเร็วจัง นึกว่าจะไปนานกว่านี้ซะอีก”

น่าจะไปสักอาทิตย์หนึ่ง รอให้พวกผมกลับกรุงเทพไปก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้นะเฮีย

            “โชคดีไปเจอไอ้หมูมาอยู่กับเมียที่บ้านพอดี ไอ้นี่มันร้ายน่าดู เฮียต้องเสียแรงกระทืบมันไป 2-3 ทีกว่ามันจะยอมคืนเงินที่ยักยอกไป”

ผมว่าป่านนี้คนชื่อหมูคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปแล้วละมั้ง

“เหนื่อยแย่เลยเนอะเฮีย”

            “เป็นอะไรกี้ เหงื่อออกเต็มเลย หน้าก็ดูซีด ๆ”

            ผมเอามือปาดเหงื่อที่ไหลมาข้างขมับทิ้งก่อนจะยิ้มแหย ๆ

            “ข้างนอกมันร้อนน่ะเฮีย ใช่ม่ะไอ้อิน”

อินถึงส่ายหน้าให้กับคำแก้ตัวของผม เพราะตอนนี้มันเดือนธันวาใกล้จะปีใหม่อยู่แล้ว ดีที่เฮียแกขี้ร้อนอยู่แล้วเลยไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร

 

“แล้วนี่เป็นไงบ้างละอิน ไปเรียนที่กรุงเทพ”

”ก็ดีครับ”

“สาวกรุงเทพสวย ๆ เยอะเลยสินะ แล้วนี่มีแฟนหรือยังละเรา”

อินมองมาทางผมซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเฮีย ผมส่ายหัวให้ อินมันกลับไปมองที่เฮียพร้อมกับยิ้มมุมปากหล่อ ๆ

“มีแล้วครับ”

“เฮ้ย!”

ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำตอบของมัน เมื่อกี้มึงไม่ได้ยินเหรอว่าเฮียแกเพิ่งกระทืบคนมา นี่มึงคิดจะทำอะไรของมึงนะไอ้อิน ขืนมึงบอกเฮียตอนนี้มีหวังไส้แตกแน่ ๆ

“เป็นอะไรกี้ อยู่ดี ๆ ก็เสียงดัง” เฮียกรหันมามองผมด้วยความสงสัย

“มะ...มดมันกัดน่ะ”

ผมทำเป็นเกา ๆ ปัด ๆ ตรงขา เฮียเลยเลิกสนใจผมหันกลับไปคุยกับอินต่อ

“สาวกรุงเทพเหรอ”

“คนเชียงใหม่น่ะครับ ไม่สวยแต่ก็น่ารักดีครับ”

ผมได้แต่ทำตาโต อ้าปากพะงาบ ๆ กับคำตอบของไอ้อิน นี่มึงเอาจริงเหรอ มึงจะบอกเฮียจริง ๆ เหรอ

“อ้าว เป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันด้วย เอ่อ ก็ดีเหมือนกัน จะได้อยู่ใกล้ ๆ กัน”

“ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอกครับ”

“เฮีย” ผมแกล้งเรียกเสียงดัง จนเฮียกรขมวดคิ้วหันมา

“จะเสียงดังทำไมเนี่ยเรา”

“ป๊าม้าอยู่ไหนเหรอเฮีย”

“ป๊าก็ดูปลาอยู่หลังบ้าน ม้าก็อยู่ในครัวกับเหมยเหมือนทุกที”

เฮียตอบคำถามผมด้วยสีหน้างง ๆ กับคำตอบโง่ ๆ ของผม เฮียมองหน้าผมครู่หนึ่งก็หันกลับไปหาอิน

“จริงสิ นี่อินรู้ไหมว่ากี้มันกำลังคบกับสาวที่ไหน เห็นบอกกำลังดู ๆ กันอยู่”

“เฮีย” ผมร้องเสียงหลง “ไปถามมันทำไม”

“อ้าว ก็เราไม่ยอมเล่า เฮียก็ต้องถามจากเพื่อนสนิทอย่างอินสิ”

“คนที่กี้คบด้วยน่ะเหรอครับ”

เฮียหันกลับไปหาอินด้วยความสนใจ ผมทำท่าเอานิ้วชี้แตะปากห้ามไม่ให้ไอ้อินมันพูดต่อ ส่งสายตาอ้อนวอนให้มันเชื่อผม อินมันเพียงเหลือบมองด้วยหางตาก่อนจะตอบ

“ผมว่าให้กี้มันบอกเองดีกว่าครับ”

ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เพื่อนกันช่วยกันปิดนะ” เฮียมองพวกผมด้วยสายตาจับผิด “เฮียก็แค่เป็นห่วงกี้มันน่ะ โตแต่ตัว กลัวว่าซื่อ ๆ แบบมันจะโดนผู้หญิงไม่ดีหลอกเอา แต่ก็เอาเถอะ อย่างไงเฮียก็ฝากอินดูกี้มันหน่อยละกัน”

“เฮียไม่ต้องเป็นห่วงกี้มันนะครับ อย่างไงผมก็จะดูแลให้ดีครับ”

“ดีแล้ว ๆ เป็นเพื่อนกันก็ต้องดูแลช่วยเหลือกัน มีอินไปอยู่กับกี้ด้วยที่กรุงเทพ เฮียก็สบายใจ มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกัน เพราะมีอินไปเรียนด้วยกันหรอกนะ ไม่งั้นเฮียไม่ปล่อยให้กี้มันไปเรียนไกลถึงกรุงเทพหรอก”

“กี้ดูแลตัวเองได้น่ะเฮีย ไม่ต้องให้อินมันมาค่อยดูแลหรอก” ผมเอ่ยแทรกขึ้นมา เมื่อไหร่เฮียจะมองว่าผมโตแล้วสักที

“ให้มันจริงเถอะ นี่ม้าก็มาเล่าให้ฟังว่ากี้เกเรไม่ตั้งใจเรียน คะแนนออกมาไม่ดีจนต้องไปอยู่คอนโดกับอินให้ช่วยติวหนังสือไม่ใช่เหรอ กลัวจะโตแต่ตัวน่ะสิเรา” เฮียบ่นเสียยืดยาว “จริงสิ อินก็มีแฟนแล้วนี่ จะให้มาดูแลกี้อยู่แบบนี้ก็คงไม่ได้แล้วสินะ”

“ถ้าเป็นกี้ผมเต็มใจครับ” อินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเฮียชะงักจ้องหน้ามันอยู่ชั่วขณะ ผมกลัวเหลือเกินว่าเฮียจะเอะใจในคำพูดของมันหรือเปล่า ผมเลยพูดแทรกขึ้น

“ใช่ มึงไปดูแลแฟนมึงดีกว่า จะมาดูแลกูตลอดเวลาได้ไง”

อินสบตากับผมด้วยสายตาที่ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา

“แบบนี้ถ้าจะให้ดีก็ช่วยหาผู้หญิงนิสัยดี ๆ น่ารัก ๆ ให้กี้มันสักคนนะอิน เฮียอยากได้น้องสะใภ้น่ารักน่าเอ็นดู”

อินได้ยินแบบนั้นก็เพียงแต่ยิ้มรับแต่ไม่ยอมตอบอะไรเฮีย ส่วนผมน่ะเหรอครับได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ พลางคิดในใจว่าแบบไอ้อินนี่เฮียจะนับว่าเป็นน้องสะใภ้ที่น่ารักน่าเอ็นดูได้ไหมนะ

 

อินไม่ได้อยู่กินมื้อเย็นกับครอบครัวของผม มันบอกกับม้าตอนที่ชวนว่าต้องรีบกลับไปกินข้าวกับที่บ้าน แต่ผมรู้ว่าจริง ๆ แล้วสาเหตุเป็นเพราะผมนี่แหละ

ผมมองแผ่นหลังกว้างของอินระหว่างที่เดินออกมาปิดประตูรั้วให้ มันไม่ได้พูดอะไรกับผมเลยหลังจากที่ขอตัวกลับ

“มึง”

ผมเรียกอินไว้ก่อนที่มันจะเดินถึงรถ อินหันมามองมือของผมที่ยื่นไปดึงชายเสื้อมันเอาไว้ คิ้วได้รูปของมันเลิกขึ้นมอง ผมกัดริมฝีปากล่างก่อนจะเงยหน้ามองมัน

“มึงโกรธกูเหรอ”

“เปล่านี่”

“แต่มึงเงียบ”

“กูแค่ไม่รู้จะพูดอะไร” อินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“มึงโกรธกูจริง ๆ ด้วย”

อินถอนหายใจก่อนจะโยกหัวผมเบา ๆ

“กูไม่ได้โกรธ”

รอยยิ้มที่มันส่งให้ผมไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ้มเศร้า ๆ แบบนี้ผมไม่อยากจะเห็นเลยแม้แต่สักนิด

“กูก็แค่อยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน อยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่ามึงกับกูคบกันอยู่ แต่ดูเหมือนตอนนี้มึงคงยังไม่พร้อมเท่าไหร่”

“อิน”

อินยังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนในขณะที่แววตาของมันกลับดูเหมือนพยายามสะกดอารมณ์อยู่

“ไม่เอาดิ มึงไม่พูดแบบนี้”

“กูโอเค กูแค่...อาจจะคิดมากไปหน่อย”

“กูขอโทษ กูรู้ว่ากูมันไม่เอาไหน  กูมันไม่ได้เรื่อง”

ผมจับมือของอินที่ลูบหัวมากุมไว้ จ้องเข้าไปในแววตาคู่นั้นเพื่อยืนยันในคำที่กำลังจะเอ่ยออกมา

“แต่มึงเชื่อเถอะว่ากูชอบมึงจริง ๆ นะอิน”

“กูรู้”

“อิน มึงให้เวลากูหน่อยนะ”

“กูกลับละ มึงเข้าบ้านไปเถอะ”

อินปลดมือผมออกก่อนทำท่าจะเดินไปขึ้นรถ ผมคว้าแขนเสื้อแจ็คเก็ตมันเอาไว้ไม่ให้มันเดินหนีผมไป

“เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน”

“ไว้พรุ่งนี้กูมาหานะ”

“อิน”

อินแกะมือผมออกอีกครั้งและก้าวขึ้นรถขับออกไป ผมได้แต่ยืนมองท้ายรถแจ็สสีดำที่ค่อย ๆ ห่างออกไป

คืนนั้นผมได้แต่นอนพลิกไปพลิกมา ลืมตาโพล่งจ้องมองเพดานโดยอาศัยแสงไฟลาง ๆ จากถนน ทำอย่างไงก็ไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับลงได้โดยไม่คิดถึงเรื่องของอินกับผม ผมรู้ว่าตัวเองมันไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่เคยมั่นใจหรือกล้าตัดสินใจอะไรได้เอง มัวแต่ทำตัวลังเลโลเลจนน่ารำคาญ

ผมไลน์ไปหาอิน มันก็ตอบมาสั้นก่อนจะบอกว่าจะนอนแล้วและก็เงียบไป อินมันคงเบื่อผม คงโกรธผมอยู่สินะ

แต่การที่จะให้ผมเดินไปบอกกับเฮียที่ดุยิ่งกว่าป๊าม้าว่าตอนนี้น้องชายสุดที่รักของเฮียกำลังคบหาดูใจอยู่กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมก็ยังทำใจกล้าขนาดนั้นไม่ได้ เฮียไม่ได้เข้าใจอะไรง่าย ๆ เหมือนป๊ากับม้านะครับ ไอ้ผมน่ะบอกไปเฮียคงไม่ทำอะไรหรอก เพราะเฮียรักผมอย่างกับลูก แต่กับไอ้ผู้ชายที่กล้ามาเป็นแฟนกับน้องชายคนเดียวนี่คงโดนอัดเละแน่ ๆ ผมไม่อยากเห็นอินมันต้องเจ็บตัวเพราะผม

ไม่ใช่ว่าผมจะปิดบังเรื่องที่พวกเราคบกัน ผมก็แค่อยากให้อินมันให้เวลาผมอีกสักหน่อย รอจังหวะดี ๆแล้วค่อยบอกเฮีย

ถ้าอินมันไม่เบื่อจนอยากจะเลิกกับผมไปเสียก่อน...

 

 

ผมตื่นขึ้นมาในสภาพที่ไม่ต่างจากหลินฮุ่ยที่ผมเคยไปดูที่สวนสัตว์เมื่อหลายปีก่อนและถูกม้าฉุดขึ้นมาจากที่นอนให้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเพราะมีแขกกำลังจะมาที่บ้าน ผมถามม้าด้วยความสงสัยว่าแขกที่ว่าคือใครแล้วเกี่ยวอะไรกับ คงไม่ใช่สมาคมปลากัดหรือกินโต๊ะแชร์นะ แต่ม้ากลับเอาแต่ไล่ผมให้ไปอาบน้ำ แต่งเนื้อแต่งตัวให้มันดี ๆ แล้วรีบลงไปข้างล่าง

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยผมก็เดินลงมาตรงไปยังห้องรับแขก เห็นป๊าม้ากำลังนั่งคุยอยู่กับแขกที่ม้าบอก

“อานพ”

ผมยกมือไหว้อานพ พลางเหลือบมองลูกชายของอานพที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ข้างกัน ก่อนจะเดินไปนั่งตรงกลางระหว่างป๊ากับม้าด้วยอาการงง ๆ

ผมมองหน้าอานพกับอินสลับไปมาด้วยความสงสัยว่าอานพมาที่บ้านผมทำไม แล้วนี่อินมันหายโกรธผมแล้วเหรอ ไม่เห็นมันบอกผมเลยว่าวันนี้จะพาอานพมาบ้าน พอสบตากันอินก็เพียงแค่ยกยิ้มหล่อ ๆ ให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วเมื่อวานที่มึงงอนกูจนรีบกลับบ้านนั่นมันคืออะไรวะ

“กว่าเจ้าตัวจะลงมาก็ปล่อยให้คุณนพกับอินรอตั้งนาน ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เด็ก ๆ ก็แบบนี้ เจ้า 2 แสบที่บ้านนั้นกว่าจะตื่นก็สายโด่งเหมือนกัน” อานพยิ้มแย้มไม่ได้ถือสาอะไร “ไม่ได้แวะมาหาคุณเกรียงกับคุณหน่อยตั้งนานเลยครับ ตั้งแต่พวกเด็ก ๆ ไปเรียนที่กรุงเทพ”

พูดจบอานพก็ชำเลืองมามองที่ผมกับอิน ทำเอาผมรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไม่รู้ว่าอานพจะมาไม้ไหน

“นั่นสิ พอเด็ก ๆ ไม่อยู่ก็เหงา ๆ เหมือนกันนะครับ” ป๊าลูบหัวหรือจะเรียกให้ถูกคือตบหัวผมเบา ๆ 2-3 ทีด้วยความเอ็นดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

            “นี่ดีที่กี้มีอินไปอยู่เป็นเพื่อนที่โน้นด้วยนะคะ พวกเราก็ค่อยสบายใจหน่อย ไม่งั้นคงต้องเป็นห่วงกี้มาก ๆ”

            “เห็นว่าตอนนี้กี้มาอยู่ที่คอนโดกับอินด้วยใช่ไหมครับ” พ่อของอินถามขึ้นมา

“เรื่องนี้พวกเราก็เกรงใจเหมือนกันค่ะที่ไปรบกวน”

“คือผมไม่ได้จะว่าอะไรหรอกครับ ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องไปเสียค่าเช่าห้องให้สิ้นเปลือง” อานพโบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างอารมณ์ดี

 “ก็ต้องขอบคุณอินที่ช่วยดูแลกี้น่ะค่ะ ช่วยติวหนังสือให้ ไม่งั้นกี้คงเหลวไหลน่าดู”

            ม้าหันไปมองอินด้วยความเอ็นดู ในขณะที่ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับอานพที่ตัวเองทำตัวเป็นภาระให้ลูกชายท่าน

            “ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อจะมาพูดเรื่องของเด็กสองคนนี้นี่แหละครับ”

            อานพมองมายังพวกผมสลับกัน ทำเอาผมใจเต้นด้วยความตื่นเต้น ในใจกังวลในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมสบตากับอินด้วยความกังวล มันยิ้มให้ผมก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ เพื่อบอกให้ผมสบายใจ

            “คุณเกรียงกับคุณหน่อยคงจะทราบแล้วว่าเด็กสองคนนี่คบกันอยู่”

            “ครับ อินกับกี้บอกเรื่องนี้กับพวกเราแล้ว และพวกเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่เด็กสองคนนี่จะคบหากันหรอกครับ ผมยอมรับว่าตอนแรกที่รู้ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่เด็กมันรักใคร่ชอบพอกัน ไอ้เราเป็นพ่อเป็นแม่จะไปห้ามอะไรได้ละครับ ความสุขของลูกมันนี่ครับ”

            ผมมองป๊าด้วยความซาบซึ้งใจ โชคดีเหลือเกินที่ผมมีพ่อแม่ที่เข้าใจลูกแบบนี้

            “ก็เป็นเพราะเจ้าลูกชายตัวดีของผมที่ทำให้กี้อาจจะไม่เป็นลูกชายตามที่คุณเกรียงกับคุณหน่อยหวังไว้”

            ผมเห็นอานพใช้สายตาดุ ๆ เหลือบมามองคาดโทษลูกชายชวนให้เสียวสันหลัง นี่อานพยังไม่เลิกรู้สึกผิดเรื่องนี้อีกเหรอ

            “ในฐานะของคนเป็นพ่อ ผมต้องขอโทษแทนลูกชายด้วยนะครับ”

            อานพก้มหัวลงขอโทษป๊ากับม้า ขณะที่ป๊ากับม้าเองก็รีบร้องห้าม

            “มันไม่ใช่ความผิดของใครหรอกครับ คุณนพไม่ต้องจำเป็นต้องขอโทษพวกเราเลย”

            “แต่ก็เพราะผมเป็นพ่อของอิน ผมจึงมั่นใจว่าลูกชายของผมจะสามารถดูแลกี้ได้ดีอย่างแน่นอน”

            หือ...

            ผมหันมาหาอานพทันที เริ่มรู้สึกตงิด ๆ กับคำพูดที่ได้ยิน นี่วันนี้อานพจะมาไม้ไหนกันแน่

            “วันนี้ที่ผมมา ก็เพราะผมอยากจะมาขอให้อนุญาตคุณเกรียงกับคุณหน่อย ขอให้ยกกี้ให้กับเจ้าอินมันน่ะครับ”

            “ห๊ะ”

            ผมตกใจจนเผลอตะโกนเสียงดังลั่นจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว

“มะ...เมื่อกี้อะ...อานพพูดว่าอะไรนะครับ”

            เมื่อกี้อานพพูดว่าขอให้ป๊าม้ายกผมให้อินใช่ไหมครับ นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่า ผมหันไปมองหน้าลูกชายคนพูด มันพยักหน้าบอกให้รู้ว่ามึงไม่ได้หูฟาด

            “เอ่อ”

            ป๊าเงยหน้าขึ้นมองผมสลับอินก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

            “จริง ๆ พวกผมก็เห็นอินเป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่ง เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ผมยอมรับว่าอินเป็นเด็กดี เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกี้เลยก็ว่าได้ อินไม่เคยชักชวนกี้ให้ทำในเรื่องที่เสื่อมเสียเลยสักครั้ง มีแต่ก็คอยช่วยห้ามช่วยปรามเจ้ากี้มันด้วยซ้ำ”

            “ม้าละจะว่าอย่างไง” ป๊าหันไปปรึกษาคู่ชีวิต

            “ถ้าป๊าจะยกกี้ให้อินช่วยดูแล ม้าโอเคไหม”

            ผมอ้าปากค้างพะงาบ ๆ ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เดี๋ยวนะ นี่มันคือการสู่ขอหรือเปล่า

            ม้าส่งยิ้มหวานก่อนจะหันไปมองอานพ ส่วนมือของม้าก็โอบไหล่ของผมไว้

            “ทุกวันนี่อินก็ช่วยดูแลกี้อยู่แล้ว ไม่ยกก็เหมือนยกให้ไปแล้วละค่ะ”

            “ขอบคุณนะครับคุณเกรียงคุณหน่อย”

            “ขอบคุณมากครับป๊าม้า รับรองว่าผมจะดูแลกี้ให้ดี ไม่ทำให้ป๊าม้าต้องผิดหวังที่ไว้ใจผมแน่นอนครับ” อินตอบรับม้าอย่างแข็งขัน ผมมองเห็นประกายความมุ่งมั่นในดวงตาจากตรงที่ผมนั่งอยู่ได้เลย

            “อย่างไงม้าก็ฝากน้องด้วยนะลูก ถึงกี้มันจะดื้อไปบ้าง แต่ม้าเชื่อว่าอินจะรับมือได้แน่นอน”

            “เท่านี้ก็สบายใจแล้วสินะอิน”

            ผมเห็นอานพตลบไหล่อินเบา ๆ ขณะที่อินยิ้มตอบด้วยความยินดี

            “ครับ”

            ผมหันไปมองทุกคนต่างยิ้มแย้มให้กันอย่างชื่นมื่น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม แต่เดี๋ยวนะครับ มีใครถามความเห็นผมบ้างไหม ใครช่วยอธิบายผมทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

            ฮัลโหล...

 

            TBC…

 
เรื่องนี้มันฟีลกู๊ด^^

มาดึกขึ้นเรื่อยๆ ตอนต่อไปอาจจะมาตอนฟ้าสาง OTL
 

 

 
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 14-07-2018 13:25:14
โรคประจำตัว

ตอนที่ 21

 

            จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้บอกเรื่องของผมกับอินให้เฮียกรรู้ เพราะหลังจากวันที่เฮียเจอกับอิน ทางบ้านซ้อเหมยก็เกิดปัญหา ป๊าของซ้อเหมยหกล้มแขนหักทำให้เฮียต้องเข้าไปดูแลงานแทนทั้งหมดก็เลยงานยุ่งจนไม่มีเวลาแวะมาหาผมจนใกล้จะเปิดเทอม ผมจึงต้องกลับมากรุงเทพก่อนโดยไม่ทันได้บอกเรื่องนี้กับเฮีย

            ถึงผมจะรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างที่ได้เหมือนได้รับการยึดเวลาของการเผชิญหน้าออกไป แต่ผมก็รู้ดีว่าวันหนึ่งผมต้องเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเฮียกรเองตามที่บอกไว้กับอิน

           

            พวกผมเริ่มต้นเทอม 2 ด้วยความสดใส กิจกรรมรับน้องอะไรก็ไม่ค่อยจะมีแล้ว เกรดเทอมที่ผ่านมาของผมก็สวยหรูดูดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก ผมจึงไปเรียนวันแรกของเทอมด้วยความลันลาสุด ๆ

            “ปิดเทอมเป็นไงมั้งละพวกมึง” ชมพู่ถามพวกผมทันทีที่เจอหน้ากัน

            “ก็ดีมึง อยู่บ้านไม่ได้ไปไหนเลยว่ะ”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้เลคเชอร์ที่ชมพู่กับมายจองไว้ให้ ชมพู่มองผมกับอินสลับไปมาก่อนจะถามด้วยแววตาใคร่รู้

            “แล้วนี่พวกมึงถึงไหนกันแล้ววะ”

            “ถึงไหนอะไรของมึง”

            “ก็...” ชมพู่ทำมือมาประกบกันให้เกิดเสียงดังป๊าบ ๆ

            “ไอ้ทะลึ่ง มึงจะอยากรู้ไปทำไม” หน้าผมแดงทันทีที่เห็นท่าทางสื่อความหมายนั้น นี่ชมพู่มันผู้หญิงจริงหรือเปล่า ทำไมห่ามแบบนี้วะ

            “ก็กูอยากรู้ แล้วตกลงอย่างไง ได้กันยัง” เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มยังถามต่อแบบไม่สะทกสะท้าน

            “ไอ้ชมพู่” ผมเรียกชื่อมันเสียงเข้มหวังจะให้มันเงียบ ๆ ไป ถึงมึงจะไม่อายแต่กูอายโว้ย

            “ยังว่ะ”

            แต่ไอ้แฟนตัวดีของผมกลับยื่นหน้ามาตอบหน้าตาเฉย

            “ว้า ไอ้อินมึงมัวทำอะไรอยู่วะ แม่งก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันตั้งนานละ อ่อนว่ะ”

            “ชมพู่ มึงหุบปากไปเลยนะ” ผมที่หันไปมองอินตาเขียวหันขวับมาแว๊ดใส่เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่ม

            “อีกไม่นานหรอกมึง” อินแกล้งชะโงกหน้าข้ามตัวผมไปใกล้ ๆ ชมพู่

            “ไอ้เชี่ยอิน” ผมด่าไอ้แฟนตัวดีก่อนจะหันมาจัดการกับคนอื่น “พวกมึงหยุดพูดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นกูจะโกรธจริง ๆ ด้วย”

            ผมเบะปากหน้าหงิกด้วยความไม่พอใจ ไอ้พวกเพื่อนชั่วพวกมันเอาแต่หัวเราะชอบใจแต่ก็ยอมหยุดพูดถึงเรื่องนั้นแต่โดยดี

            “ว่าแต่พวกมึงเถอะ ปิดเทอมทำอะไรบ้างวะ” อินหันมาถามคนอื่น ๆ หลังจากที่มันหยุดหัวเราะแล้ว

            “เราไปเที่ยวไต้หวันกับที่บ้านมา อ่ะ นี่ของฝากของทุกคนครับ” มายยื่นถุงกระดาษมาให้พวกผมคนละถุง

            “แล้วมึงละชมพู่” ผมถามชมพู่บ้างระหว่างที่กำลังเปิดดูถุงที่มายให้มา

            “กู...กูไปเที่ยวเชียงใหม่มาว่ะ”

            “อ้าว มึงไปเชียงใหม่ทำไมไม่บอก กูกับไอ้อินจะได้พาเที่ยว”

            “เอ่อ พอดีกูมีคนพาเที่ยวแล้วน่ะ ไม่อยากกวนเวลาอยู่กับครอบครัวของพวกมึง”

ชมพู่ตอบอึก ๆ อัก ๆ แถมยังหลบสายตา ผมมองชมพู่ด้วยความสงสัยในท่าทีแปลก ๆ ของมัน ดูมีลับลมคมในชอบกล

            ไม่เพียงแต่เท่านั้น หลังจากเปิดเทอมมาได้แค่ไม่กี่วัน ชมพู่มันก็ยิ่งทำตัวน่าสงสัยมากขึ้น พอหมดเวลาคาบสุดท้ายของแต่ละวัน  ชมพู่ก็หายตัวออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว อย่างวันนี้ชมพู่ก็ทำตัวแปลกแยกโดยการไม่ยอมไปกับพวกผมทั้ง ๆ ที่พวกเราตกลงกันตั้งแต่กลางวันแล้วว่าตอนเย็นจะไปหาอะไรกินด้วยกัน ชมพู่บอกเพียงแค่ว่ามีธุระเลยต้องรีบกลับ พูดจบก็เก็บข้าวของออกจากห้องเรียนไปเลยโดยที่พวกผมยังไม่ทันตั้งตัว

            “ทำไมเดี๋ยวนี้ชมพู่มันรีบกลับจังวะ มึงรู้ไหมมาย” ผมถามเพื่อนเมื่อชมพู่เดินออกจากห้องไปแล้ว

            “เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ชมพู่ไม่ให้เราไปส่งที่หอแล้วด้วย บอกว่าจะกลับเอง”

            “กูว่ามันแปลก ๆ นะ มึงว่าไหมอิน” ผมหันไปขอความเห็นจากอินบ้าง

            “นี่ ๆ พวกนายได้ยินที่เค้าลือกันบ้างไหม”

            กระแตเพื่อนสาวเอกเดียวกันที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ชะโงกหน้าจากแถวหลังมาร่วมวงด้วยสีหน้าเป็นกังวล

            “ว่า”

            “เค้าบอกว่าเดี๋ยวนี้มีหนุ่มคณะอื่นมารับมาส่งดาวคณะเราทุกวันแต่ให้มารับมาส่งแถวคณะมนุษย์นะ ไม่ยอมมาส่งที่หน้าคณะ บางคนก็เคยเจอสองคนไปนั่งกินข้าวกันด้วยกัน เค้าเลยลือกันว่าสงสัยจะแอบคบกันอยู่”

            “ชมพู่น่ะเหรอแอบคบกับใคร” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

            “ใช่ นี่ก็ไม่รู้ว่าผู้ชายเป็นใคร ไม่รู้ว่ามีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่าถึงต้องคบกันแอบ ๆ แบบนี้”

            พวกผมมองหน้ากันด้วยความรู้สึกกังวลและเป็นห่วงเพื่อน ถึงชมพู่มันจะแห้วแค่ไหนมันก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

            “อย่างไงพวกนายก็ดู ๆ กันหน่อยนะ ชมพู่มันก็เพื่อนเรา ไม่อยากเห็นมันโดนหลอก”

            “อือ ขอบใจนะกระแต”

            หลังจากกระแตลุกไปแล้ว พวกผมก็เดินออกจากห้องเรียนบ้าง

            “พวกมึงว่าอย่างชมพู่น่ะเหรอจะแอบคบคนที่เค้ามีแฟนแล้ว” ผมถามเพื่อนสนิททั้งสองคน

            “กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่ฟังดูก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน” คิ้วได้รูปของอินขมวดอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

            “นั่นสิครับ ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงทำไมต้องคบกันแบบแอบ ๆ ด้วย” มายก็เสริมด้วยความเป็นห่วง

            “เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะถามมันให้รู้เรื่อง”

            “นี่มึงคิดแล้วเหรอวะกี้ มึงคิดว่าชมพู่จะยอมบอกความจริงกับมึงง่าย ๆ เหรอ”

            “อ้าว งั้นจะให้กูทำอย่างไงวะ” ผมหันไปถามไอ้แฟนที่แย้งผมขึ้นมา

            “เราว่าพวกเราแอบตามไปดูดีกว่าว่าผู้ชายที่มารับมาส่งชมพู่เป็นใคร ไว้ใจได้หรือเปล่า”

            “งั้นตกลงตามนี้”

            “โอเค”

            พวกผมพยักหน้าให้กัน ต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร

 

            บ่ายวันเสาร์หลังจากที่กินข้าวเช้าควบเที่ยงที่อินมันลงไปซื้อจากร้านหน้าคอนโดมาให้ ผมก็นอนเกาพุงกลิ้งเกลือกเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนโซฟา

            “กี้ เขยิบไปหน่อยสิ”

            อินที่กำลังทำความสะอาดอยู่เอาหัวเครื่องดูดฝุ่นเขี่ย ๆ ขาผมที่ห้อยระพื้นอยู่ ผมพลิกตัวเปลี่ยนมานอนคว่ำ ขยับแว่นตาที่เลื่อนตกลงมาให้เข้าที่หากสายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ

            เสียงเครื่องดูดฝุ่นยังดังวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวราวกับต้องการเรียกร้องความสนใจ

            “ไอ้อิน มึงไปดูดฝุ่นที่อื่นบ้างสิ กูรำคาญ” ผมลุกขึ้นมาโวยวาย ดูสิ ไอ้อินมันทำให้ผมไม่มีสมาธิตีป้อมเลยเนี่ย

            อินเอื้อมมือไปปิดเครื่องดูดฝุ่น ห้องก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มันมองมาที่ผมด้วยสายตาระอา

            “นี่ใจคอมึงจะไม่ช่วยกูทำความสะอาดเลยเหรอ”

            “มึงก็ทำไปสิ ก็ห้องมึงนี่” ผมตอบพลางยกมือมาเกาพุง

            “มึงนี่มันไม่มีจิตสำนึกเลยจริง ๆ มาอยู่ห้องกู ข้าวกูก็หาให้กิน ผ้ามึงกูก็ซักให้ ยังทำห้องกูรกต้องให้กูมาค่อยเก็บกวาดให้อีก”

            อินบ่นไปเก็บของที่ผมสุม ๆ ซุก ๆ ไว้ตรงข้างโซฟาไปด้วย

            ผมเดินเข้าไปข้างหลังอินที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ ทิ้งตัวแปะอยู่บนหลังของมันพร้อมกับเอาหัวถูหลังมันอย่างอ้อน ๆ เพื่อที่อินมันจะได้หยุดบ่นผมสักที

            “แต่กูเป็นแฟนมึงนะอิน”

“ไม่ช่วยก็หลบไป เกะกะ”

“มึงว่าแฟนตัวเองเกะกะได้ไงอิน”

ว่าแล้วผมก็กอดหมับเข้าที่เอวมัน แม่ง หน้าท้องแน่นพุงไม่มีเลย

“กี้ ปล่อย” ทำเป็นเสียงเข้มนะมึง

“ไม่ปล่อย” ไม่พอผมยังแกล้งเอามือลูบซิกแพคของมันด้วยพร้อมกับเอาหัวถู ๆ หลังมันไปด้วย

“กูบอกดี ๆ แล้วนะกี้ กูไม่เล่น”

“ก็กูอยากกอดแฟนตัวเองบ้างไม่ได้เหรอ” ผมแกล้งทำเสียงอ้อนมันดูบ้าง

“งั้นกูก็จะกอดมึงบ้าง” พูดจบอินก็หันมาผลักผมให้ล้มลงไปโซฟาก่อนจะขึ้นคร่อมช่วงหน้าขาด้วยความรวดเร็ว

“มะ มึงจะทำอะไร” ผมถามมันด้วยความตกใจที่จู่ ๆ ตกอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงเช่นนี้

“ก็จะกอดมึงบ้างไง”

“จะกอดก็กอดดี ๆ ก็ได้ มึงลุกเลยนะ”

อินยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะชูถุงพลาสติกหน้าตาคุ้น ๆ ในมือให้ผมดู

“กูว่าถึงเวลาที่ต้องใช้ของขวัญที่พี่ต้าร์ให้มาแล้วว่ะ”

“เฮ้ย ไม่เอา มึงปล่อยกู”

ผมเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าของในมืออินคืออะไร ก่อนจะพยายามดันตัวขึ้นแต่ไอ้คนเจ้าเล่ห์มันทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่ ทำเอาผมแทบจะขยับไม่ได้ อินวางถุงในมือลงบนพื้น ก่อนที่มันจะก้มลงมาหา ผมรีบยกมือขึ้นดันหน้าอกมันไว้ แต่กลับถูกมันใช้สองมือจับล๊อคไว้ อินดึงแว่นออกจากหน้าผม ทำเอาผมถึงกับโฟกัสไม่ถูกไปชั่วขณะ ผมเบี่ยงหน้าซุกกับไหล่ หลับตาทันทีที่อินโน้มหน้าเข้ามาใกล้ รู้สึกถึงปลายจมูกโด่งที่กำลังซุกไซ้อยุ่บริเวณซอกคอเรื่อยไปจนถึงใบหู ก่อนที่ผมจะต้องสะดุ้งจนลืมตาเพราะอินมันกัดที่ติ่งหูของผม

“ไอ้อิน...อืม..”

ทันทีที่ผมหันไปจะด่ามัน ก็ถูกมันใช้ริมฝีปากประจบจูบเสียก่อน มันส่งลิ้นเข้ามาไล่ต้อนจนผมจนมุม ได้แต่ส่งเสียงอยู่ในคอปล่อยให้มันจูบจนพอใจถึงยอมผละออกจาริมฝีปากผมให้ได้หายใจหายคอบ้าง

 “อือ อินไม่เอา”

ผมร้องห้ามเมื่อรู้สึกถึงมือที่ลูบไล้เข้ามาในเสื้อยืดที่ใส่อยู่

“มึงยังไม่ได้ให้รางวัลที่กูช่วยติวให้มึงจนได้คะแนนดีเลยนะ”

อินก้มลงงับริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ผมพยายามจะเบี่ยงหน้าหลบ

“มึงอยากได้อะไร เดี๋ยวกูซื้อให้ก็ได้”

“กูอยากได้มึง มึงให้กูได้ไหม”

ริมฝีปากของอินวนเวียนอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าของผม ขณะที่มือซน ๆ ของมันกำลังสะกิดยอดอกของผมอยู่

“มะ...ไม่เอา ขออย่างอื่น”

“มีอย่างเดียวที่กูอยากได้”

เสียงทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์ของอินกระซิบอยู่ข้างหูชวนให้เคลิบเคลิ้ม

“มึงให้กูเถอะนะกี้”

“ไม่...” ผมเผลอแอ่นหน้าอกขึ้นเมื่อถูกขยี้ตรงยอดอก สองมือที่ตอนแรกผลักไสกลับขยุ้มเสื้อยืดสีเข้มของอินไว้แน่น

“ให้อินเถอะนะครับ”

อินผละออกจ้องหน้าผมด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความต้องการ รอยยิ้มละมุนของมันที่ทำให้ใครต่อใครหลงเสน่ห์มานักต่อนักแต้มที่ริมฝีปาก

“กู...กลัว...”

“ไม่ต้องกลัวนะครับ กี้ไม่เชื่อใจอินเหรอ”

รู้ไหมว่าผมเกลียดเวลาอินมันใช้หน้าตาหล่อเหลากับน้ำเสียงทุ้มนุ่มของมันพูดเพราะ ๆ กับผมที่สุด เพราะมันกำลังทำให้ผมเขินจนทำอะไรไม่ถูก

“นะครับ”

วินาทีที่ผมเผลอพยักหน้า ริมฝีปากก็ถูกคนตรงหน้าเอาครอบครองอย่างอุกอาจทันที จูบร้อนแรงของอินที่มอบให้ทำเอาสมองของผมแทบจะหยุดทำงาน

เจ้าพวกผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยในท้องก็พากันกระพือปีกโบยบินอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำเอาผมรู้สึกปั่นป่วนไปหมด

อินผละออก ผมปรือตามองตามเห็นมันกำลังถอดเสื้อยืดสีเข้มออก ท่วงท่าสะบัดเสื้อออกจากคอกับกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอนที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

แม่ง เซ็กซี่เป็นบ้า

พอจัดการกับเสื้อตัวเองเสร็จอินมันก็หันจะจัดการลอกคราบผมบ้าง เสื้อยืดตัวบางของผมถูกมันถอดโยนทิ้ง ก่อนที่มันจะก้มลงเล่นงานที่หน้าอกจนผมต้องเผลอครางออกมาอย่างสุดกลั้น รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีอินดึงรั้นกางเกงทั้งชั้นนอกชั้นในออกจากปลายเท้าแล้ว

ผมพยายามจะหนีบขาแต่อินก็เข้ามาแทรกตรงกลางหว่างขา ผมใช้สองมือมาปกปิดกี้น้อยไว้ด้วยความอายแต่ถูกอินจับรวบมือของผมรวมกับมืออีกข้างของมันกอบกุมส่วนนั้นไว้ก่อนที่มือเรียวยาวของอินที่ผมมักเผลอมองอยู่เสมอจะพามือของผมขยับขึ้นลง อินก้มลงมาจูบผมเบา ๆ ซ้ำ ๆ ผมปรือมองเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ผละออกไป เห็นอินกำลังค้นถุงที่พี่ต้าร์ให้มา มันหยิบหลอดมาบีบใส่มือ ผมผงกหัวขึ้นเพื่อมองว่าอินกำลังจะทำอะไรก่อนจะต้องหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวผม แต่ถึงจะหลับตาผมก็ยังรู้สึกและจินตนาการภาพในหัว ปลายนิ้วของอินกำลังแทรกผ่านเข้ามาในตัวทำเอาผมเกร็งตัวด้วยความรู้สึกคับแน่น

“ไม่ต้องเกร็งนะครับ”

ผมรู้สึกถึงจูบอ่อนโยนบริเวณขมับและเปลือกตา จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ยอมรับความรู้สึกที่มีนิ้วของอินเอามาเคลื่อนไหวอยู่ในตัว มันค่อย ๆ ขยับนิ้วเข้าออก ก่อนจะเพิ่มขึ้นอีกนิ้ว มันทำให้ร้อนวูบวาบไปหมด เป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้สติของกระเจิง ก่อนที่อินที่ดึงนิ้วออกไป ผมลืมตาขึ้นมองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฉีกฟอล์ย อินในสภาพเปลือยเปล่ากำลังจับขาของผมให้อ้ากว้าง ผมถดตัวหนีแต่ก็ถูกอินจับเอาไว้ ผมพยายามจะส่งสายตาอ้อนวอนให้มัน

“ไม่ต้องกลัวนะครับ”

เสียงนุ่ม ๆ ของมันที่กระซิบข้างหูทำให้ผมยอมอีกครั้ง ผมหลับตาลงทันทีที่รู้สึกถึงสิ่งที่กำลังดุนดันเข้ามา อินค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาช้า ๆ มันคับแน่นไปมันจนผมรู้สึกเจ็บและแสบ น้ำตาของผมไหลซึมออกมาเมื่ออินเข้ามาจนสุดทาง

อินรวบตัวผมไปกอด ริมฝีปากของมันจูบซับน้ำตาที่หางตา มือของอินลูบหัวผมด้วยความอ่อนโยนในขณะที่ผมกอดมันไว้แน่น

“เจ็บอ่ะ”

“กี้คนเก่ง ทนอีกนิดนะครับ”

อินกดแช่นิ่งไว้ในตัวผมอย่างนั้น สองมือของอินนวดเฟ้นไปทั่วตัวในระหว่างผมค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ พอมันเห็นว่าผมเริ่มปรับตัวได้ อินก็ค่อย ๆ ถอยออกก่อนจะกดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ผมสะดุ้งเฮือกสองมือผวาเข้ากอดมันทันที ความจุกกระจายไปทั่วท้องผสานกับความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้น ผมได้แต่ซุกหน้ากับไหล่ของอินเมื่อมันเริ่มขยับตัวเร็วขึ้น

“อะ...อิน...ช้าหน่อย มันเจ็บ”

“ขอโทษนะกี้ แต่มันทนไม่ไหวแล้ว”

อินขยับตัวเข้าออกถี่เร็วจนผมต้องเชิดหน้าด้วยความรู้สึกเสียววาบปนแสบ การได้ยินเสียงหอบหายใจแรงของอินที่ข้างหูยิ่งทำให้อารมณ์ของผมขึ้นสูง บวกกับมือของอินที่กำลังเคล้าคลึงตรงหว่างขาทำให้ผมทนไม่ไหว ปลดปล่อยหยาดหยดในตัวออกมาเปรอะรดหน้าท้องของเราสองคน

อินเอนตัวผมลงบนโซฟา มันกอดผมไว้แน่นก่อนจะขยับซอยถี่จนในที่สุดผมได้ยินเสียงคำรามในลำคอ ก่อนที่มันจะฟุบลงซุกหน้ากับไหล่ของผม อินยังกระตุกอยู่ภายในตัวผมอีกสองสามทีก่อนจะหยุดนิ่ง ผมปล่อยมือที่โอบกอดตัวมันลงข้างตัวอย่างสิ้นแรง ในหัวขาวโพลนไปหมด ได้ยินแต่เสียงหายใจข้างหูที่ค่อย ๆ สงบลง

“รักนะครับกี้ อินมีความสุขที่สุด ขอบคุณนะครับ”

ถ้อยคำหวาน ๆ หลังจากเซ็กส์จบลงมันทำให้ผมเขินหน้าแดงจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้า แต่อินมันกลับดึงมือออก ผมพยายามหันหน้าหนีสายตาคมที่จ้องมองกันในระยะประชิด

“แล้วกี้ละครับ”

“กูเจ็บ”

“ไม่รู้สึกดีบ้างเลยเหรอ”

อินมองผมด้วยสายตาหงอย ๆ ก็มันเจ็บจริงๆ นี่ครับ ถึงมันจะมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงด้วยก็เถอะ ผมเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ

“อินทำไม่ดีเลยเหรอ”

อินขยับสิ่งที่ยังอยู่ภายในตัวผมเบา ๆ และมันทำให้ผมรู้สึกวูบวาบในท้องขึ้นมาอีกแล้ว

“มึงออกไปเลยนะ”

“กี้ก็ตอบมาก่อนสิ คราวหน้าอินจะได้ปรับปรุงตัว”

ยังจะคราวหน้าอีกเหรอ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่ละ

“ครั้งเดียวก็พอแล้ว”

“ไม่ได้หรอก กับกี้กี่ครั้งมันก็ไม่พอ”

ไม่พูดเปล่า ผมยังรู้สึกถึงตัวตนของอินที่กำลังขยับอยู่ในตัวผม นี่มึงคงไม่คิดจะต่ออีกนะ

“มึงพอเลย กูเจ็บจริง ๆ นะ”

ผมช้อนตามอง ทำตาปริบ ๆ ให้มันเห็นใจ คงต้องใช้ไม้นี้ไม่งั้นอินคงไม่ยอมปล่อยผมแน่ ๆ ซึ่งมันก็ได้ผล อินจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผมก่อนจะลุกขึ้น ผมนิ่วหน้าเมื่อมันเคลื่อนออกจากตัวผม อินใส่เสื้อผ้าแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยผมให้นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาโดยไม่มีอะไรปกปิด ผมชันตัวจะลุกตามก็เจ็บแปลบตรงช่องทางข้างหลังจนต้องกลับลงไปนอนตามเดิม ในใจได้แต่ก่นด่าไอ้ตัวดีที่ทำให้ผมต้องอยู่ในสภาพแบบนี้

สักพักอินก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับถือกะละมังมาด้วย ผมผงกหัวขึ้นมองเมื่อมันมานั่งเบียดบนโซฟา

“ลุกไหวไหม”

“ลุกแล้วมันเจ็บ” ผมตอบมันเสียงเขียว ก็เพราะมึงแม่งใส่ไม่ยั้ง

อินหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กในกะละมังมาเช็ดคราบต่าง ๆ อย่างเบามือ ผมได้แต่นอนอึ้ง ปล่อยให้มันเช็ดตามเนื้อตามตัว จนกระทั่งอินมันจะแตะน้องชายของผมจึงร้องห้าม

“เฮ้ย ตรงนั้นไม่ต้อง เดี๋ยวกูทำเอง”

แต่อย่างไอ้อินหรือจะฟัง มันปัดมือผมที่ยกขึ้นมาบังออกก่อนจะค่อย ๆ บรรจงเช็ดทุกซอกทุกมุม โดยที่ผมได้แต่มองด้วยความรู้สึกตื้นตัน

“ในถุงพี่ต้าร์มียาแก้ปวดแก้อักเสบกับยาทาแผลมาให้ด้วย เดี๋ยวกูทาให้นะ”

“มึงไม่ต้อง กูทาเองได้”

ผมร้องห้ามมันเสียงหลงเมื่ออินมันจับขาผมให้อ้ากว้างแล้วนั่งแทรกกลางไม่ให้ผมหุบขา ได้แต่นอนมองมันบีบยาใส่ที่ปลายนิ้วก่อนจะค่อย ๆ สอดเข้ามาภายในตัวผม ปลายเท้าผมจิกเกร็งเมื่อมันหมุนนิ้วกวาดยาอยู่ภายในทำเอาเลือดขึ้นมาสูบฉีดที่หน้าผมจนร้อนวูบวาบไปหมด

พอเช็ดตัวเสร็จอินมันก็หยิบเสื้อผ้าของผมที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นมาช่วยสวมให้ แล้วมันก็ยกกะละมังไปเก็บ

“มึงนอนพักไปก่อนนะ เดี๋ยวกูเก็บห้องเสร็จแล้วจะค่อยไปหาอะไรกินกัน” อินเดินกลับมานั่งข้างผมที่ตอนนี้พลิกตัวมานอนตะแคง

“กูขี้เกียจอ่ะ ไม่อยากออกไปไหนเลย”

“แซลม่อนก็ไม่อยากกินเหรอ กูเลี้ยงนะ”

มึงไม่ต้องเอาของโปรดมาหลอกล่อกูเลยไอ้อิน

“ฮึ มึงก็สมควรเลี้ยงกูแล้วไหม” ผมมองค้อนไอ้ตัวต้นเหตุ

“งั้นโทรสั่งละกัน กินเสร็จแล้วค่อยกินยา”

อินหัวเราะในคอ มันยกมือขึ้นโยกหัวผมเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากผมแล้วลุกไปจัดการเก็บกวาดห้องที่ทำค้างอยู่เมื่อกี้ต่อ

ผมนอนมองอินเก็บโน้นเก็บนี้พอมันหันมาเห็นผมมองอยู่ก็เดินเข้ามาจุ๊บปากผมเบา ๆ ก่อนจะผละออกไปทำงานต่อ พอหันมาเห็นผมมองอินมันก็เดินมาจุ๊บผมอีกครั้ง จนผมต้องทำเป็นแกล้งหลับตาเพราะตอนนี้รู้สึกหัวใจมันพองไปหมดจนกลัวตัวเองจะสำลักความสุขตายเสียก่อน

ไม่ต้องบอกเลยว่าเจ้าพวกผีเสื้อในท้องของผมจะเป็นอย่างไง ตอนนี้พวกมันดูจะแฮปปี้กันสุดโบยบินล่องลอยกันอย่างร่าเริง ผมนอนอมยิ้มจนเผลอหลับไปในที่สุด

 

 

TBC.....

 
ไม่รู้ว่าคนอ่านชอบเรื่องนี้กันไหม แต่เราก็จะอยากจะลงให้จบ เป็นกำลังใจให้เราหน่อยนะคะ^^

 

 
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-07-2018 14:23:08
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-07-2018 17:59:05
ชอบค่ะ เนื้อเรื่องน่ารักดี พัฒนาการของตัวละครในเนื้อเรื่องก็ค่อยเป็นค่อยไป
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 21 [14/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-07-2018 09:09:50
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 22 [22/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 22-07-2018 12:10:30
ตอนที่ 22

 

            รถแจ๊สสีดำจอดที่ลานจอดรถคณะในเวลา 7 นาฬิกา 50 นาทีในวันที่พวกผมมีวิชาแรกตอน 8 โมง โชคดีที่ยังพอมีที่ว่างให้จอดรถได้

            “รีบ ๆ เลยกี้ เดี๋ยวแม่งไปไม่ทันอาจารย์เช็คชื่อ”

            “เอ่อ ๆ กูก็รีบอยู่เนี่ย”

            “ถ้าอยู่ ๆ มึงไม่นึกอยากกินปาท่องโก๋ขึ้นมากลางทางก็คงไม่สายขนาดนี้หรอก” ไอ้อินยังบ่นไม่เลิกระหว่างที่มันเอื้อมไปคว้ากระเป๋าของเราสองคนที่วางอยู่เบาะหลัง

            “ก็แล้วมึงจอดแวะให้กูลงไปซื้อทำไม” ผมโวยวายมันคืน

            “ก็มึงอยากกิน”

            มันพูดจบแล้วยัดกระเป๋าของผมใส่มือให้ก่อนจะเปิดประตูลงไป ผมรีบตามลงไปติด ๆ

            “เฮ้ย อินรอด้วยสิวะ”

            ผมรีบก้าวเท้าตามไอ้คนขายาวที่พาลัดเลาะไปตามทางเดินสู่ตึกคณะ แต่อยู่ดี ๆ อินมันก็หยุดกระทันหันทำเอาหน้าผมเกือบกระแทกกลางหลังของมัน

            “หยุดทำไมวะ”

            ทั้ง ๆ ที่รีบ ๆ กันอยู่แท้ ๆ แต่อินกลับหยุดดูอะไรบางอย่าง ผมเลยมองตามสายตาของมันไปบ้างด้วยความสงสัย ก็เห็นรถยนต์สีขาวจอดเยื้อง ๆ หน้าคณะ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พวกผมต้องหยุดมอง หากเป็นนักศึกษาสาวผมยาวที่กำลังยืนคุยกับคนในรถนั้นตั้งหาก

            “เฮ้ย ชมพู่นี่หว่า”

            ผมหันไปมองหน้ากันกับอิน รถคนนั้นต้องเป็นของผู้ชายที่เขาลือกันให้แซดไปทั้งคณะว่ากำลังคั่วกับดาววิดยาแน่ ๆ

            ยังไม่ทันที่ผมกับอินจะเดินเข้าไปหา ชมพู่ก็โบกมือลาแล้วรถคันนั้นก็ขับออกไป เห็นแบบนั้นพวกผมก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังเดินขึ้นตึก

            “ชมพู่”

            ชมพู่หยุดและหันกลับมาตามเสียงตะโกนเรียก ผมสังเกตเห็นว่ามันดูตกใจที่เห็นว่าเป็นพวกผม 2 คน

            “พวกมึง...เพิ่งมากันเหรอ”

            “อืม เกือบไม่ทันละ” อินเป็นคนตอบ ผมมองหน้าชมพู่ที่ดูลอกแลก

            “เอ่อ ชมพู่”

            “กูว่ารีบขึ้นไปกันดีกว่า เดี๋ยวอาจารย์ล็อกห้องไม่ให้เข้าแล้วจะแย่”

            ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามเรื่องที่คาใจ อินมันก็กระตุกแขนผมไว้ก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนให้รีบขึ้นห้อง

            “เอ่อ นั่นสิ อาจารย์เจนแกยิ่งโหด ๆ อยู่”

            ชมพู่เดินนำไปที่ห้องเรียนก่อน ผมหันไปสบตาคนรัก อินมันก็เพียงแค่ส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วดึงแขนผมให้รีบเดินตามไป

            พวกเรามาทันเช็คชื่อแบบเฉียดฉิว เห็นสายตาอาจารย์ที่มองลอดแว่นก็รีบพากันไปนั่งข้าง ๆ มายซึ่งจองที่ไว้ให้

            “นึกว่ามาไม่ทันกันซะแล้ว ทำไมวันนี้มาพร้อมกันเลยละ”

            “พอดีเจอชมพู่ที่หน้าตึกน่ะ”

            ผมหันไปตอบมายก่อนจะพวกผมต้องหยุดคุยและตั้งอกตั้งใจกับสไลด์บนหน้าจอแทน มิเช่นนั้นจะถูกเชิญออกไปคุยกันนอกห้องแน่ ๆ

 

            พักเที่ยงพวกผมตัดสินใจกินข้าวที่โรงอาหารของคณะ ผม อิน และมายนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมจานข้าวของแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ชมพู่กำลังยืนต่อแถวร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดียวที่มีอยู่

            “ทำไมเมื่อเช้ามึงห้ามไม่ให้กูถามวะอิน”

            “อย่าเพิ่งเลย เมื่อเช้าถึงมึงถามไป ชมพู่มันก็ไม่ยอมบอกความจริงกับมึงหรอ”

อินตักผักคะน้าที่อยู่ในจานผมไปกิน ส่วนผมก็จิ้มหมูในจานของมันมา

“กูรู้สึกว่ารถคันนั้นมันคุ้น ๆ อยู่ กูเลยอยากให้แน่ใจก่อน”

“นี่คุยกันเรื่องอะไรเหรอครับ เราตามไม่ทัน”

มายถามแทรกขึ้นมา มองหน้าพวกผมคนละทีด้วยความงุนงงในบทสนทนา

“คืองี้” ผมชะโงกหน้าดูแล้วเห็นว่าชมพู่ยังคงยืนต่อแถวหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวก็รีบเล่าเรื่องที่เจอเมื่อเช้าให้มายฟัง

“แสดงว่าชมพู่กำลังคบอยู่กับใครจริง ๆ สินะครับ”

“ใช่ แต่ทำไมต้องปิดบังพวกเราด้วยวะ น่าจะบอกให้พวกเรารู้จะได้ช่วยสกรีน”

“แต่อันที่จริง...การที่ชมพู่เค้าจะคบกับใครมันก็ไม่ใส่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งนะครับ” มายแย้งผมขึ้นมา

“เฮ้ย ได้ไง ชมพู่มันเป็นเพื่อนพวกเรานะโว้ย ถ้าหากไอ้ผู้ชายคนนั้นมันคิดจะมาหลอกชมพู่จะทำไง”

“เอาจริง ๆ กูก็คิดแบบมายนะ ว่าการที่ชมพู่จะคบกับใครมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว”

“อ้าว ไอ้อิน ไหงพูดแบบนี้วะ” ผมหันกลับมาโวยไอ้แฟนตัวดีที่ไม่คิดจะเข้าข้างกันเลย

“แต่ที่กูเป็นห่วงก็เพราะสงสัยว่าทำไมต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ด้วย กูเป็นห่วงแค่เรื่องเดียวว่ามันจะโดนหลอก” อินพูดด้วยสีหน้าค่อนข้างจะเคร่งเครียด

“หรือว่าจะคบซ้อนอย่างที่เค้าลือกันจริง ๆ” มายตั้งข้อสังเกตอีก

“เฮ้ย ไม่ได้นะโว้ย เพื่อนกูเป็นถึงดาวคณะ จะมาทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”

“เอางี้กูมีแผน” อินเหลือบมองด้านหลังของผม “แต่ตอนนี้พวกมึงรีบกินก่อน ชมพู่เดินมานั้นล่ะ”

หลังกินข้าวเสร็จพวกผมก็ขึ้นเรียนตามปกติ อินจัดการส่งไลน์มาบอกแผนของมันให้พวกผมได้รู้ พวกผมขยุกขยิกกันใต้โต๊ะจนชมพู่มันหันมามองหลายที่แต่พวกผมก็ทำเป็นกลบเกลื่อนไปเรื่องอื่น จนถึงคาบสุดท้ายก็ได้เวลาทำตามแผน

“ชมพู่ วันนี้จะให้เราไปส่งที่หอหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรมาย เดี๋ยวกูกลับเอง”

“โอเค”

พวกผมหันมาสบตากันเมื่อได้ยินที่มายคุยกับชมพู่แล้วก็เป็นอันรู้กันว่าเย็นนี้ชมพู่มีนัดเหมือนเช่นเคย

พอหมดเวลาอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้ว ผมก็รีบลุกมาหาชมพู่ทันทีก่อนที่มันจะรีบออกจากห้องไปเหมือนเช่นทุกครั้ง

“เฮ้ย ชมพู่ มึงอธิบายตรงนี้ให้กูหน่อย เมื่อกี้ฟังอาจารย์อธิบายไม่เข้าใจเลยว่ะ”

“อ้าว มึงก็ให้อินมันสอนสิ” ชมพู่ดูงง ๆ ที่จู่ ๆ ผมก็มาขอให้มันช่วยอธิบายเนื้อหาในวิชา เพราะปกติผมจะติวเตอร์ส่วนตัวอย่างอินอยู่แล้ว

“ไอ้อินมันปวดท้อง วิ่งไปเข้าห้องน้ำแล้ว”

อินตอนนี้หายออกไปจากห้องแล้วจริง ๆ ครับ เหลือแค่มายที่ยังยืนอยู่ข้างกัน

“มึงก็กลับไปถามกันที่ห้องก็ได้เปล่าวะ ก็อยู่ด้วยกันนี่”

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวกูก็ลืม แล้ววิชานี้มึงก็เก่งกว่าไอ้อินมันด้วย โหย สอนเพื่อนแป๊บเดียวแค่นี้ไม่ได้เหรอวะ”

ผมทำเป็นงอแงเบะปากเพื่อให้ดูสมจริง

“เออ ๆ ก็ได้ แป๊บเดียวนะ มึงไม่เข้าใจตรงไหนละ”

ผมยิ้มร่าทันทีรีบเอาเนื้อหาส่วนที่อาจารย์เพิ่งสอนในคาบให้ชมพู่ดู มันตั้งอกตั้งใจอธิบายให้ผมฟังเป็นอย่างดี แต่ผมก็ยังทำเป็นถามโน้นถามนี้ต่อ ขอให้ชมพู่ช่วยอธิบายซ้ำอีกรอบ ซึ่งเพื่อนผมมันก็แสนดียอมอธิบายใหม่ทั้งหมด จนกระทั่งมายกระตุกเสื้อเชิ้ตส่งสัญญาณให้

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไม่ได้มึงนี่กูคงงงไปอีกนานแน่ ๆ เลย”

“กว่าจะเข้าใจนะมึง”

“ขอบใจนะชมพู่สุดสวย มึงจะไปไหนก็ไป กูไม่รั้งไว้ละ”

ผมยิ้มกว้างให้ ขอบอกขอบใจชมพู่เสียยกใหญ่ ปล่อยให้มันหยิบกระเป๋ากับหนังสือขึ้นมา

“งั้นกูไปล่ะนะ”

ผมโบกมือลาพร้อมกับเดินไปส่งมันถึงประตู พอเห็นชมพู่เดินลงบันไดไปก็หันมาหามาย

“ป่ะ มาย รีบเลยมึง”

ผมกับมายรีบวิ่งลงบันไดอีกฝั่งลงมาก่อนที่ชมพู่จะลงมาถึงชั้นล่าง และวิ่งหน้าตั้งไปหารสแจ๊สสีดำคันเดิมที่จอดรออยู่ที่หน้าคณะเรียบร้อยแล้ว

            “เป็นไง”

            อินถามทันทีผมกับมายขึ้นมานั่งในรถ

            “รีบเดินออกจากห้องเลยว่ะ นี่พวกกูวิ่งกันมาแทบตาย”

            ตอนนี้ยังหอบไม่หายเลย กูหายใจจะไม่ทันอยู่แล้ว

            “ชมพู่มาโน้นแล้วครับ”

            พวกผมหันไปมองที่หน้าคณะทันที เห็นชมพู่ยืนรออยู่สักพักก็มีรถยนต์คันเดียวกันกับที่ผมและอินเห็นเมื่อเช้ามาจอดเทียบก่อนที่เพื่อนของผมจะขึ้นรถไปด้วย

            “รีบตามไปเลยมึง”

            อินขับรถตามหลังรถคันนั้นไปโดยมันไม่ขับประชิด แต่เว้นระยะไว้พอให้ไม่โดนทิ้งห่าง รถคันที่มารับชมพู่เลี้ยวเข้าคอมมูนิตี้มอลล์ที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัย อินรีบเลี้ยวตามเข้าไปติด ๆ รถคันนั้นได้ที่จอดหลังจากเลี้ยวเข้าอาคารจอดรถทันที แต่รถของพวกผมโดนรถคันอื่นจี้ตูดตามหลังจำต้องรีบไปหาที่จอดรถตรงจุดอื่น พอวิ่งกลับมาดูที่รถคันนั้นก็ไม่พบใครแล้ว

            “เอาไงดีวะมึง”

ผมหันไปปรึกษาอิน หรือว่าพวกผมจะยืนรอกันอยู่ตรงนี้ดี

“กูว่าพวกนั้นน่าจะเข้าไปหาอะไรกิน แต่จะให้ไปเดินหาทีละร้านคงไม่ไหว”

“เอางี้ไหม ตรงนั้นมีร้านกาแฟที่มองเห็นรถคันนี้ พวกเราเข้าไปนั่งรออยู่ข้างในดีกว่า”

พวกผมเห็นด้วยกับความคิดที่มายเสนอมา ต่างพาเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกล สั่งอาหารและเครื่องดื่มมาจับจ้องโต๊ะที่มองเห็นรถคันเป้าหมายชัดที่สุดและเฝ้ารอเวลา

ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง จนผมดื่มโกโก้ปั่นกับสมูตตี้หมดไป 2 แก้ว นั่งหลับไปอีก 1 ตื่น ในที่สุดคนที่พวกเรารอคอยก็กลับมาที่รถ พวกผมรีบเดินไปที่รถคันนั้นทันทีก่อนที่ 2 คนนั่นจะขึ้นรถ

“ชมพู่”

ผมเรียกเพื่อนเมื่อเดินเข้าใกล้พอ ชมพู่หันขวับมาทันทีด้วยสีหน้าตกใจ แต่พอพวกผมเห็นหน้าผู้ชายที่มากับชมพู่กลับต้องเป็นฝ่ายตกใจยิ่งกว่า

“พี่ต้าร์”

“พี่ต้าร์”

เสียงผมกับอินประสานกันดังลั่น ส่วนเจ้าของชื่อกลับส่งยิ้มสบาย ๆ ให้

“ทำไมพี่ต้าร์ถึงมาอยู่กับชมพู่ได้ งั้นที่คนเค้าลือกันว่ามีผู้ชายมาคอยรับคอยส่งมึงนี่คือพี่ต้าร์เองเหรอวะ แล้วนี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมไม่บอกกันเลยวะ”

ผมรัวคำถามเป็นชุด นี่มันอะไรกัน ทำไมไอ้ผู้ชายที่แอบคบซ้อนจะมาหลอกเพื่อนผมถึงกลายเป็นพี่ชายที่ผมนับถือไปได้

“ใจเย็น ๆ ก่อนมึง ค่อย ๆ ถามก็ได้”

ท่าทีสบายอกสบายใจของพี่ต้าร์ช่างขัดกับท่าทางเขินอายของเพื่อนผมที่ยืนอยู่ข้างกันเหลือเกิน

“อย่างไงชมพู่ มึงคบกับพี่ต้าร์ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“กี้ใจเย็น ๆ มึงเสียงดังไปละ”

อินปรามผมเบา ๆ ก็คนมันโมโหนี่ครับ ที่จู่ ๆ ก็จับได้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองกำลังคบกับพี่ที่เคารพรักกันมานานโดยไม่บอกไม่กล่าวให้ได้รู้เลย

“มึงนี่ขี้โวยวายจริง ๆ สมควรละที่ชมพู่จะไม่กล้าบอกมึง”

“อ้าว ที่พี่ต้าร์พูดหมายความว่าไงชมพู่”

“มึงก็ใจเย็น ๆ ก่อนสิว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรพวกมึงหรอกนะ แต่กูอายอ่ะ อายที่จะบอกว่ากูคบกับพี่ชายพวกมึง”

ชมพู่ทำหน้าเจื่อน ๆ ขณะที่กำลังเล่าเรื่องของมันกับพวกผม

“ชมพู่เค้าเขินน่ะที่มาจีบพี่ก่อน”

“ห๊ะ ชมพู่อ่ะนะจีบพี่ต้าร์” ผมมองหน้าเพื่อนทันที นี่มึงถึงกับจีบผู้ชายก่อนเลยเหรอ

“พี่ต้าร์ จะบอกพวกมันทำไม ก็ชมพู่บอกว่าชมพู่อาย”

“พี่ขอโทษ ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงนี่ค่ะ”

ชมพู่ตีแขนพี่ต้าร์เบา ๆ ทำท่าเขินอายบิดไปบิดมา ส่วนไอ้รุ่นพี่ผมก็ยิ้มกริ่มหยอกเอินด้วย ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเหมือนเบาหวานจะขึ้นตาจนต้องรีบเบรกคู่รักน่าหมั่นไส้คู่นี้

“เดี๋ยว ๆ ก่อนที่จะสวีทกันให้พวกกูดู มึงเล่ามาเลยว่าอะไร อย่างไง ที่ไหน แล้วก็เมื่อไหร่”

“เออ ๆ เล่าก็ได้” ชมพู่ถอนหายใจก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมด “พวกมึงจำวันที่พวกเราไปฉลองสอบเสร็จแล้วเจอพี่ต้าร์ได้ไหม”

ผมพยักหน้า ก็วันนั้นพวกผมยังแนะนำพวกนี้กับพี่ต้าร์อยู่เลย

“ทีนี้กูก็บังเอิญไปเจอพี่เค้าอีกทีตอนประกวดดาวเดือน พี่เค้าดูน่าสนใจดี กูก็เลย...ขอแลกไลน์”

“โห ไอ้ชมพู่ มึงโคตรอ่อยเลย”

“ก็นั้นแหละ หลังจากนั้นก็คุย ๆ กันมาเรื่อย ๆ พอวันที่ประดาวเดือนพี่ต้าร์ก็มาขอกูเป็นแฟน กูก็เลยตกลงคบ”

นี่ระยะเวลาที่ 2 คนนี้คบกันมันพอ ๆ กันกับที่ผมกับอินตกลงคบกันเลยนะ แต่แม่งปิดเงียบเลย

“แล้วทำไมพี่ถึงไม่บอกพวกผมละครับพี่ต้าร์” อินถามขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบฟังอยู่นาน

“จริง ๆ พี่อยากจะบอกตั้งแต่วันที่คบกันเลยด้วยซ้ำ แต่ชมพู่ไม่ยอม”

“ทำไมวะชมพู่”

“ก็ถ้าพวกมึงรู้ เดี๋ยวพวกมึงก็จะว่ากูไปอ่อยพี่พวกมึงอ่ะดิ กูอาย” ชมพู่เม้นริมฝีแกก่อนจะตอบเสียงอ่อย

ผมไม่คิดว่าผู้หญิงก๋ากั่นแบบชมพู่จะเขินอายหรือหวั่นไหวกับคำพูดของพวกผม

“รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงนะชมพู่ ตอนที่ได้ยินข่าวลือว่าชมพู่กำลังคบกับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว และอาจจะกำลังโดนหลอก” มายถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยความเป็นห่วง

“ใช่ พี่ต้าร์รู้ไหมว่าข่าวลือพวกนี้มันทำให้เพื่อนผมเสียหาย มันเป็นผู้หญิงนะพี่” อินพูดเสริม

“กูรู้ กูก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่กูยืนยันนะว่ากูจริงใจกับชมพู่ กูไม่เคยคิดเล่น ๆ กูอยากจะคบกับเพื่อนมึงอย่างเปิดเผย”

“กูผิดเองแหละ กูรู้ว่ามีข่าวลือไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับกู แต่มันก็แค่เรื่องที่คนเม้ากันไปเปล่าวะ ในเมื่อกูไม่ได้เป็นแบบนั้นกูก็ไม่จำเป็นต้องไปนั่งอธิบาย หรือว่าแคร์กับคำพูดว่าคนอื่นนี่”

“แล้วอย่างพวกกูนี่เป็นคนอื่นสำหรับมึงด้วยเปล่าวะ”

ผมถามขึ้นมาเมื่อได้ยินเพื่อนของผมพูดแบบนั้น

“เฮ้ย กี้ไม่ดราม่าดิ พวกมึงเป็นเพื่อนกูนะโว้ย” ชมพู่เดินมาจับแขนผม สีหน้าของมันไม่ดีนักที่เห็นว่าผมกำลังโกรธ

“แต่มึงก็ไม่ยอมบอกพวกกูทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกกูเป็นห่วง”

ผมแม่งน้อยใจกับความคิดของมัน

ชมพู่บีบมือที่จับแขนผมเบา ๆ สองตาเริ่มมีนน้ำตาคลอ มันหันไปมองหน้าเพื่อนแต่ละคน

“กูขอโทษจริง ๆ ว่ะ กูก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ กูขอโทษ”

“กูก็ผิดด้วยที่ยอมตามใจชมพู่ ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มันทำให้ชมพู่มีข่าวเสียหาย ต่อไปกูจะทำให้เรื่องนี้มันชัดเจน ไม่ให้ใครมาว่าชมพู่ได้อีก” พี่ต้าร์ไม่ได้ยิ้มแย้มทำท่าทางยียวนอีกต่อไป ผมรู้ว่าพี่แกก็รู้สึกผิด

“ได้ยินแบบนี้ผมก็โอเคพี่ อย่างไงก็ฝากดูแลเพื่อนผมด้วย” อินเดินไปจับมือกับพี่ต้าร์ ส่วนพี่มันก็ตอบรับด้วยการตบไหล่ไอ้อินเบา ๆ

“เฮ้ย ทำไมมึงยอมง่ายจังวะอิน” ผมโวยทันที

“มึงก็จะอะไรหนักหนา นี่มันเรื่องส่วนตัวของชมพู่” อินเดินมาโยกหัวผม ผมสะบัดหัวออกจากมือผม มันก็คว้าตัวโอบไหล่ผมไว้

“นั่นสิ เราว่ารู้ว่าชมพู่ไม่ได้โดนคนไม่ดีที่ไหนหลอกก็น่าจะพอแล้วละ” มายมึงก็เสริมตลอดเลยนะ

“เออ ก็ได้”

ผมยอมรับแต่ก็ยังทำหน้ามุ่ย ชมพู่กับพี่ต้าร์ยิ้มด้วยความดีใจ โวยวายไปแม่งก็ไม่ได้อะไร ปล่อยให้สองคนนี่รักกันดีกว่า

 

หลังจากเคลียร์ทุกประเด็นเรียบร้อย ต่างคนต่างแยกย้าย อินวนรถกลับมาส่งมายเอารถที่คณะ แล้วพวกผมก็กลับคอนโด

“ชมพู่กับพี่ตาร์นี่แม่งปิดกันเงียบเลย แม่ง กูน้อยใจว่ะ สนิทกันแท้ ๆ กลับไม่บอกเลย”

ระหว่างทางผมยังบ่นด้วยความหงุดหงิด ถึงจะบอกว่ายอมรับแล้วก็เหอะ แต่มันก็ยังรู้สึกนอยด์ ๆ อยู่ดี

“มึงก็เลิกบ่นได้แล้วกี้ ตอนนี้มึงก็รู้แล้วนี่”

“ก็พวกเราจับได้เปล่าวะ มันไม่ได้เป็นคนบอกเองซะหน่อย กูเหรออุตส่าห์เป็นห่วง”

ผมโวยต่อ ไอ้อินนี่แม่งก็ไม่เข้าข้างกูเลย ตกลงนี่มึงเป็นแฟนใครวะ

“มึงไม่มีสิทธิไปว่าเค้านะกี้”

“ทำไมกูจะว่าไม่ได้”

“มึงกล้าบอกเรื่องของกูให้เฮียมึงรู้หรือยังละ” อินถามด้วยน้ำเสียงนิ่งระหว่างที่มันกำลังเลี้ยวรถเข้าในซอย

ผมนั่งใบ้แดกไปเลยครับเมื่อได้ยินคำพูดของอิน

“เห็นไหม มึงก็ยังไม่กล้าบอกเลย ทั้ง ๆ ที่มึงก็รู้ว่าเฮียกรทั้งรักทั้งเป็นห่วงมึงแค่ไหน”

ผมนั่งเงียบ ส่วนอินก็ขับรถต่อไปจนถึงคอนโด มันจอดรถเข้าซองเรียบร้อยก็หันมามองผม

“เออ กูเข้าใจละ” ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างยอมจำนน

“ทุกคนมันก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นแหละ มึงก็ต้องเคารพการตัดสินใจของชมพู่ เหมือนที่กูก็เคารพการตัดสินใจของมึง” อินเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ผมลอบมองสีหน้าของแฟนตัวเองที่กำลังก้มมาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูนิ่งเฉย

“นี่มึงไม่ได้โกรธกูอยู่ใช่ม่ะ”

“กูไม่โกรธมึงหรอก แต่มึงลองคิดดี ๆ ละกัน ว่ามึงรู้สึกอย่างไงตอนที่รู้ว่าชมพู่กับพี่ต้าร์ปิดบังมึง แล้วมึงคิดว่าเฮียกรจะรู้สึกอย่างไงถ้ามารู้เองทีหลังว่าเราคบกัน”

ผมเม้มปากอย่างใช้ความคิด ใช่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่อินอยากจะบอก แต่การที่จะให้ผมเดินไปบอกกับเฮียกรว่าน้องเฮียกำลังคบกับผู้ชาย มันก็เป็นเรื่องที่ยากเอามาก ๆ

“จะนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเหรอ”

ไม่รู้อินมันลงจากรถไปตอนไหน มันเดินมาเปิดประตูฝั่งที่ผมนั่งอยู่ ยื่นมือมาให้ผม ผมมองมือนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ อินเลิกคิ้วสงสัยก่อนจะยิ้มให้

“ขึ้นห้องได้แล้ว”

ผมวางมือลงไปปล่อยให้อินกุมมือเอาไว้ มองแผ่นหลังของคนที่จูงมือผมให้ก้าวเดินโดยไม่เคยสนใจสายตาใครที่มองมา

ถึงเวลาที่ผมเองก็ต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจน

 

TBC...

 
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 22 [22/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-07-2018 16:21:10
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนที่ 23 [30/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 30-07-2018 14:12:36

ตอนที่ 23

 

            ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ รวบรวมความกล้าในตัวก่อนจะพูดสิ่งที่เรียบเรียงอยู่ในหัว

            “เฮียกร กี้มีเรื่องสำคัญจะบอก”

            ผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ

            “คือกี้กำลังคบอยู่กับอิน แบบคบเป็นแฟนกัน คือเราสองคนรักกันนะเฮีย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย อินมันดูแลกี้ดีมาก ๆ เลยนะเฮีย แล้วก็...กี้ก็มีความสุขมาก ๆ ด้วยที่ได้อยู่กับอิน”

            “มึงพูดซะกูเขินเลย”

            “ไอ้อิน มึงห้ามมาแอบฟัง” หน้าผมขึ้นสีระเรื่อเมื่อหันไปดุไอ้คนที่มายืนอยู่ข้างหลัง

            “แอบฟังมึงพูดกับตุ๊กตาแมวน้ำเนี่ยนะ”

            อินทำท่าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโอเวอร์สุด ๆ

            “มึงนี่ท่าจะเพี้ยนหนักนะ อาการน่าเป็นห่วง”

            “ไอ้อิน ปากมึงนี่พูดดี ๆ ไม่เป็นหรือไง ไม่ให้กำลังใจยังเสือกมาว่ากูอีก” ผมเขวี้ยงตุ๊กตาแมวน้ำที่ได้จากพี่รหัสใส่ไอ้แฟนปากดี ซึ่งมันก็รับไว้ได้อย่างสวยงาม

            “มึงอยากได้กำลังใจ”

            “เออ สิวะ”

            อินเดินเข้ามาใกล้ก่อนที่มันจะยัดตุ๊กตาใส่มือผม แล้วใช้สองมือประคองใบหน้าผมไว้และก้มลงมาจูบ

            “อือ”

            ปลายลิ้นของอินที่ส่งเข้ามาตอนผมเผลอไล่ต้อนจนผมได้แต่ครางอือในคอ จวบจนมันพอใจแล้วจึงยอมปล่อยให้ผมได้หายใจหายคอ

            “กำลังใจแบบนี้พอได้ไหม”

            ปลายนิ้วโป้งของอินลูบที่ริมฝีปากผมเบา ๆ ขณะที่มันส่งยิ้มแต้มมุมปาก

            “ไอ้อิน...แม่ง....”

            ผมปัดมือมันออกก่อนจะใช้เอาหลังมือเช็ดน้ำลายที่เลอะมุมปาก กลบเกลื่อนอาการร้อนวูบวาบที่หน้า

            ไอ้พวกผีเสื้อในท้อง พวกมึงไม่ต้องทำดี๊ด๊าเลยนะ

            “หรือยังอยากได้กำลังใจอีก” ไอ้อินยื่นหน้าเข้ามาใกล้

            “มึง หยุดเลยนะ”

ผมใช้ตุ๊กตาในมือดันไปที่หน้าอกมัน หากกลับโดนมันคว้าแล้วโยนข้ามหัวไปข้างหลัง น้องแมวน้ำของผมนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นห้อง อินคว้าข้อมือของผมเอาไว้ก่อนจะก้าวขึ้นคร่อมตัวผม

            “มามะ เดี๋ยวแฟนจะให้กำลังใจนะครับ”

            “ไอ้อิน หยุดดดด”

            ผมร้องห้ามมันเสียงหลง แต่มีหรือที่คนอย่างอินมันจะฟังผม เสียงร้องห้ามของผมเลยต้องเปลี่ยนกลายเป็นเสียงร้องน่าอายแทน

 

 

            หลังจากเปิดเทอม 2 ได้ไม่นานก็มีงานให้วงเวียนได้แสดงฝีมือ ทางสโมสรนักศึกษา ก็เพื่อนพี่แจ๊คนั่นแหละครับ มาขอให้วงของชมรมดนตรีสากลไปเล่นที่งานโอเพ่นเฮาส์ งานจัดด้วยกันทั้งหมด 2 วัน วันแรกเป็นวันศุกร์ พวกผมที่ไม่มีการเรียนการสอนก็เลยมาช่วยงานชมรมตั้งแต่เช้า หลังจากที่วิชาการกันมาทั้งวัน พอบ่ายสองก็ได้เวลาบันเทิงแล้วครับ

            ผมแอบชะโงกดูจากด้านหลังเวทีก็เห็นพวกเด็ก ๆ มัธยมทั้งสาวคอซอง ทั้งเด็กกระโปรงน้ำเงินดูสดใสละลานตาไปหมด

            “อิน กูออกไปดูหน้าเวทีนะ”

            ผมหันไปบอกนักร้องนำของวงที่กำลังเตรียมตัวจะขึ้นเวที วันนี้มันอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ รับรองว่าน้องมัธยมพวกนั้นได้เห็นต้องตะลึงในความหล่อแน่ ๆ

            “จะไปดูเด็กมัธยมละสิ”

            “ก็นาน ๆ ทีเปล่าวะ” ผมเดินเข้ามาใกล้ ๆ มันแล้วลดเสียงลงแกล้งถาม “ทำไม หึงเหรอ”

            “ไม่หรอก เพราะเดี๋ยวพอกูขึ้นเวที เด็กพวกนั้นก็ต้องกริ๊ดกูอยู่แล้ว”

            แหม ผมละเกลียดความมั่นหน้าของมันจริง ๆ ได้แต่กรอกตาก่อนจะเดินออกมาที่หน้าเวที ยังไม่ทันที่ผมจะได้ส่องสาวมัธยมให้เต็มที่ตามที่ตั้งใจเอาไว้ การแสดงของวงเวียนแห่งชมรมดนตรีสากลก็เริ่มขึ้น วงเปิดตัวด้วยเพลงรักที่กำลังดังมาก ๆ ในตอนนี้ เสียงกริ๊ดดังกระหึมจริงดังที่อินมาว่าไว้พร้อมกับผู้คนที่ต่างเอามารุมล้อมจับจ้องพื้นที่หน้าเวทีทันทีที่นักร้องนำปรากฏตัวบนเวทีพร้อมกับเสียงทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

            อินยังคงมีเสน่ห์ล้นเหลือเวลาที่ร้องเพลงอยู่บนเวที ไม่ว่าจะเพลงไหนอินก็ร้องมันได้อย่างมีชีวิตชีวา ผมเห็นเด็กสาวมัธยมต่างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปถ่ายคลิปวิดีโอพร้อมกับส่งเสียงกริ๊ดกร๊าดด้วยความชื่นชมก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

            “ขอเสียงกริ๊ดให้กับวงดนตรีจากชมรมดนตรีสากลหน่อยค่า”

            “แหม เสียงกริ๊ดนี่ดังมากจริง ๆ นะครับ”

            พอเล่นจบพิธีกรชายหญิงของงานก็ขึ้นไปบนเวที ทั้งสองยืนประกอบนักร้องนำซ้ายขวาเพื่อที่จะเตรียมสัมภาษณ์

            “เอาละ เรามาพูดคุยกับวงนี้กันดีกว่า สวัสดีค่ะ”

            “สวัสดีครับ”

            “ช่วยแนะนำตัวหน่อยค่ะ นักร้องนำของเราชื่ออะไรคะ”

            “ครับ พวกเราวงเวียนจากชมรมดนตรีสากลครับ ผมชื่ออิน อยู่วิทยาปี 1 ครับ”

            เสียงกริ๊ดจากคนดูข้างล่างดังสนั่นเมื่ออินแนะนำตัวพร้อมกับส่งยิ้มให้คนดู และดังไม่หยุดจนพิธีกรต้องรีบเบรก

            “ใจเย็นก่อนครับน้อง ๆ อย่าเพิ่งกริ๊ด เรามาสัมภาษณ์อินกันก่อนดีกว่า เรียนคณะวิทย์นี่เรียนสาขาไหนครับ”

            “ผมเรียนไอทีครับ”

            “ทำไมอินถึงเลือกเรียนไอทีละคะ”

            “ผมเป็นคนชอบเทคโนโลยี ชอบอะไรใหม่ ๆ และก็อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ”

            “มีอะไรจะฝากถึงน้อง ๆ ที่มาวันนี้หน่อยไหมคะ”

            “ก็ขอให้น้อง ๆ ทุกคนได้เรียนคณะที่อยากจะเรียนนะครับ และก็ถ้าใครสนใจทางด้านไอที มาเป็นรุ่นน้องพี่ได้นะ พี่รออยู่”

            ผมได้ยินเสียงหวีดจากเหล่าน้อง ๆ มัธยม คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมถึงกับหันไปบอกกับเพื่อนว่าจะเลือกเรียนไอทีที่นี้แหละ

            “เชิญชวนกันขนาดนี้ น้อง ๆ คนไหนสนใจก็อย่าลืมเลือกไอทีของมอเรานะครับ”

            “เอาล่ะค่ะ คำถามสุดท้ายที่เชื่อมีหลายคนอยากจะรู้และกำลังรออยู่” พิธีกรหญิงทำท่ามีเลศนัยก่อนจะหันมาถามอิน

            “อินมีแฟนหรือยังคะ”

            “เออ ต้องตอบใช่ไหมครับ” อินทำเป็นยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแบบเขิน ๆ แต่ผมดูออกว่ามันเป็นการแสดงชัด ๆ

            “ต้องตอบสิค่ะ เร็วค่ะ สาว ๆ กำลังรอฟังอยู่ค่ะ”

            รอยยิ้มหล่อกระชากใจแต้มที่มุมปากของอินก่อนจะตอบคำถาม

            “มีแล้วครับ”

            ผมได้ยินเสียงบ่นพึมพำว่าเสียดาย ก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ

            “ว้า นักร้องสุดหล่อของเรามีแฟนเสียแล้ว สาวคนนั้นช่างโชคดีจังเลยนะคะ”

            “ไม่ใช่สาวที่ไหนหรอกครับ เค้าเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง”

            ผมเห็นอินกวาดสายตามองมายังคนดู ก่อนที่มันจะสบตากับผม มันส่งรอยยิ้มละมุนพร้อมกับชี้มือมาที่ผม

            “คนนั้นไงครับแฟนผม ขอบอกว่าผมเป็นคนขี้หึงนะครับ”

            ทุกสายตาล้วนหันมามองที่ผมที่กำลังทำหน้าเหลอหลา ผมได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากน้องมัธยมคนที่อยู่ใกล้

“พี่เค้าเป็นผู้ชายนี่”

“โอ้ย แก โคตรน่ารักเลยอ่ะ”

ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงกริ๊ดถล่มทลายจนหูผมแทบจะดับ เห็นท่าไม่ดีแบบนี้ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแหย ๆ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลบที่หลังเวที เห็นสายตาและอาการยิ้ม ๆ ของพี่ ๆ สโมที่ถึงจะรู้กันอยู่แล้วว่าผมกับอินคบกันก็ยังอดที่จะเขินไม่ได้ เสียงบนเวทียังคงดำเนินต่อให้ผมได้ยิน

            “เล่นเปิดตัวกันแบบนี้ ดิฉันก็หมดหวังสินะคะ”

            “มือเบสยังโสดนะครับ”

            “ว้าย ตายแล้ว แบบนี้เดี๋ยวต้องขอเบอร์หลังเวทีค่ะ”

            “เอาละครับ งั้นขอเสียงปรบมือส่งท้ายให้กับวงเวียนด้วยครับ”

            พอไอ้อินกลับเข้าหลังเวที ผมก็โวยวายใส่ไอ้แฟนตัวดีทันที ข้อหาทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว

            “ไอ้อิน มึงประกาศแบบนั้นได้อย่างไง กูอายนะโว้ย”

            “อ้าว ทำไมละ กูว่าคนเค้าก็ชอบกันนะ เสียงกริ๊ดดังลั่นเลย”

            มันยังจะมีหน้ามายกคิ้วให้ผมอีก นี่ถ้าไม่เสียดายความหล่อนะกูจะต่อยให้คิ้วแตกเลย

            “แต่กูอายนี่ แล้วนี่กูจะออกไปสู้หน้าคนอื่นได้อย่างไง”

            “ก็ออกไปพร้อมกันกับกูนี่แหละ”

            “จะบ้าเหรอ ออกไปพร้อมกับมึงเนี่ยนะ”

            ขืนออกไปพร้อมกันก็ยิ่งโดนล้อหนักสิครับ ไอ้อินนะไอ้อิน

            “นี่ ไอ้กี้ มึงยังไม่ชินที่มีแฟนเป็นหนุ่มฮอตแบบไอ้อินมันอีกเหรอวะ ไอ้อินมันยังไม่อายที่มีแฟนหน้าตาขี้เหร่แบบมึง” พี่ต้าร์ที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลพูดแทรกขึ้นมา

            “พี่ต้าร์อ่ะ”

            ผมหันไปงอแงใส่รุ่นพี่สุดเกรียนก่อนจะหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ไอ้ตัวต้นเหตุที่ยืนขำอยู่ข้าง ๆ

            “ไอ้อินมึงหยุดหัวเราะเลย”

            มันยกมือขึ้นขยี้หัวผม แต่ผมกำลังอารมณ์ไม่ดีเลยพยายามจะหนีแต่กลับโดนมันแกล้งโยกหัวเล่นเสียอย่างนั้น

            “มึงรอออกไปพร้อมกูนี่แหละ กว่าจะเก็บของเสร็จ คนเค้าก็ไปกันหมดแล้ว”

            ผมพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ ก็คงต้องยอมทำตามที่อินบอกแหละครับ อย่างไงผมก็ต้องกลับพร้อมมันอยู่ดี

 

            กว่าจะเก็บข้าวของและอุปกรณ์ต่างเรียบร้อยก็เป็นชั่วโมง พอออกมาผมก็พบว่าผู้คนต่างแยกย้ายกันไปเกือบหมด ผมถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

            “เห็นไหม ทีนี้ก็ยิ้มได้แล้ว”

            อินใช้สองมือของมันดึงแก้มผม ผมตีแขนให้มันปล่อยก่อนจะนวดแก้มตัวเองเบา ๆ พร้อมกับทำหน้าดุใส่ แต่อินมันกลับหัวเราะหึแล้วแย่งกระเป๋าสะพายของผมไปถือ

            “มึงน่ะเลิกสนใจสายตาคนอื่นได้แล้ว เราก็แค่คบกัน ไม่เห็นต้องไปแคร์ว่าคนอื่นก็มองอย่างไงเลย”

            “ก็กูเขิน...กูไม่ได้อายที่คบกับมึงแบบที่พี่ต้าร์ว่านะ แต่กูแค่ไม่ชินเวลามึงทำตัวเป็นแฟนกูต่อหน้าคนอื่น”

            ถึงเราจะคบกันมาได้สักพัก นอกจากเรื่องอย่างว่าแล้ว วิธีปฏิบัติต่อกันรวมถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตของผมและอินก็แทบจะไม่ได้ต่างไปจากตอนที่เรายังเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นผมเลยไม่คุ้นชินนักเวลาที่อินปฏิบัติกับผมแบบคนรักต่อหน้าคนอื่น

            แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเข้ามาทักเลยระหว่างทางที่พวกผมกำลังเดินกลับไปที่รถ มีเด็กนักเรียนหญิงเข้ามาขอถ่ายรูปอยู่ 2-3 กลุ่มพร้อมกับคำถามทำนองเดียวกัน

            “พี่สองคนเป็นแฟนกันจริง ๆ เหรอคะ”

            “พวกพี่คบกันมานานหรือยังคะ”

            “เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กเลยเหรอคะ”

            “พวกหนูขอเป็นแฟนคลับพวกพี่ได้ไหมคะ”

            ผมได้แต่ยืนส่งยิ้มเกร็งให้น้อง ๆ ถ่ายรูป ส่วนเรื่องคำถามปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอินในการตอบ เรื่องแบบนี้มันรับมือได้ดีกว่าผมครับ หลังจากยืนยิ้มเหงือกแห้งสักพักพวกผมก็ขอตัวกลับ

            พอเหลือกันอยู่สองคนระหว่างทางเดินไปลานจอดรถ อินก็หันมาชวนผมคุย

            “จริง ๆ ก็มีคนยินดีที่เราคบกันตั้งเยอะแยะนะ ดูสาว ๆ พวกนั้นสิ”

            “ชมพู่บอกพวกนั้นเค้าเรียกว่าสาววาย” ผมนึกถึงเฮชแท็กอินกี้ที่ชมพู่เคยให้ผมดู และก็นึกถึงบางคอมเม้นขึ้นมา

            “แต่กูก็เห็นมีคนคอมเม้นว่าเสียดายมึงที่มาคบกับกูอยู่นะ”

            “ก็ช่วยไม่ได้ มึงมีแฟนเฟอร์เฟ็คแบบนี้ก็ต้องทำใจหน่อยนะ” อินทำเป็นเสยผมเก๊กหล่อดูแล้วน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

            “แหวะ ไปเลยไอ้อิน พากูไปกินข้าวเลย หิวจะแย่แล้ว”

            ผมดันหลังอินให้รีบเดินไปที่รถ มันหัวเราะในคอแล้วคว้ามือผมให้เดินไปพร้อมกัน

            “ครับ ๆ ตามที่คุณแฟนต้องการเลยครับ”

           

           

            เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือดังลั่นในเช้าตรู่วันเสาร์ทำเอาผมที่กำลังนอนสบายต้องตะเกียกตะกายออกมาจากผ้าห่ม หรี่ตามองไปรอบ ๆ ตัวก็ไม่เห็นคนที่นอนข้างกายด้วยกันเมื่อคืน

            “ใครวะ แม่งโทรมาแต่เช้า”

            ผมคว้าโทรศัพท์มือถือตรงหัวเตียงมารับโดยไม่ได้ดูชื่อบนหน้า

“ฮัลโหล”

‘กี้ แกอธิบายเรื่องของแกกับอินมาว่ามันอย่างไง ที่บอกว่าเป็นแฟนกันมันหมายความอย่างไง’

เฮียกร....

ผมตาสว่างทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่ชายที่บ่งบอกว่ากำลังโมโหอยู่ไม่น้อย เมื่อกี้เฮียพูดว่าเรื่องของผมกับอินอย่างนั้นเหรอ

“เดี๋ยวก่อนเฮีย เออ เฮียหมายถึงอะไร”

‘แกเปิดดูในไลน์ ก้อยมันส่งคลิปส่งรูปเข้าในไลน์กลุ่มญาติ ตอนนี้เฮียไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว’

“เดี๋ยวก่อนนะเฮีย”

ผมลนลานเปิดแอปพลิเคชั่นสีเขียวตามที่เฮียกร ไลน์กลุ่มรวมญาติมีข้อความแจ้งเตือนเป็นร้อย ผมเปิดเข้าไปแล้วเลื่อนหาคลิปที่ก้อยลูกสาววัยมัธยมของอาเจ็กชัยส่งมา ภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน คงมีใครสักคนถ่ายไว้ตอนที่อินประกาศบนเวทีว่ามีแฟนแล้วและชี้มาที่ด้านหน้าเวที คนถ่ายอยู่ไม่ไกลจากผมนักจึงสามารถซูมกล้องให้เห็นผมที่กำลังทำหน้าเหลอหลาก่อนจะเขินอายจนวิ่งหลบไปหลังเวทีอย่างชัดเจน ยังไม่พอก้อยยังแคปรูปจากเพจอินกี้ที่เป็นรูปแอบถ่ายพวกผมในมหาลัยที่เห็นแล้วยิ่งแน่ใจในความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน

ก้อยถามในกลุ่มว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ และกริ๊ดกร๊าดว่าแฟนผมหล่อมาก ในขณะที่ญาติ ๆ โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ต่างตำหนิและต่อว่าผม พาลไปถึงป๊าม้าว่าอบรมสั่งสอนลูกชายอย่างไงถึงได้ทำตัวหน้าไม่อาย ไปคบกับผู้ชายแล้วยังมีหน้าประกาศให้อับอายขายขี้หน้าวงตระกูล

ผมแทบจะทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือหากได้ยินเสียงเฮียกรดังขึ้นเสียก่อน

‘กี้ตกลงเรื่องนี้มันอย่างไง’

“เฮียฟังกี้อธิบายก่อนนะ”

‘มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม เสียแรงที่เฮียอุตส่าห์ไว้ใจนะกี้ ทำไมทำตัวแย่แบบนี้’

“เฮีย เราสองคนไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”

ผมพยายามจะอธิบายแต่ดูเหมือนเฮียจะไม่ฟังผมเลย เสียงของเฮียเกรี้ยวกราดมากขึ้น

‘ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ ทำตัวขายขี้หน้าขนาดนี้แล้ว นี่คิดไหมว่าป๊าม้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’

“ป๊าม้ารู้แล้วเฮีย ป๊าม้ายอมให้พวกเราคบกัน”

‘นี่รวมหัวกันปิดบังสินะ ไม่เห็นหัวเฮียกันแล้วใช่ไหม’

แทนที่เฮียจะเย็นลงกลับอารมณ์รุนแรงขึ้นเมื่อรู้ว่าเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้

“ไม่ใช่นะเฮีย เราไม่ได้จะปิดบังเฮียนะ”

‘นี่ย้ายไปอยู่ด้วยกันก็จะได้มั่วกันเต็มที่สินะ แกมันทำตัวเหลวไหลเกินไปแล้วนะ”

“เฮีย! มันไม่ใช่อย่างที่เฮียคิดนะ อินมันช่วยดูแลกี้ เราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย”

ผมอุทานด้วยความเสียใจที่เฮียคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้น น้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ค่อย ๆ ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

‘เฮียให้เวลาเก็บของทั้งหมดภายในวันนี้ พรุ่งนี้เฮียจะไปรับกลับเชียงใหม่’

“ไม่เอานะเฮีย...เฮีย...เฮีย”

ผมเลิกลักรีบปฏิเสธแต่เฮียกรตัดสายไปเสียก่อน ได้แต่มองโทรศัพท์ในมือด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

“เป็นอะไรกี้”

อินที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนอนรีบพุ่งเข้ามาหาผมทันทีเมื่อเห็นสภาพของผม ผมกลั้นเสียงสะอื้นบอกกับคนรัก

“อิน เฮียรู้แล้ว เฮียรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เฮียโกรธมาก”

“เฮียรู้ได้อย่างไง”

ผมยื่นโทรศัพท์ในมือที่ยังเปิดค้างอยู่หน้าไลน์กลุ่มญาติให้อินดู อินไล่สายตาอ่านข้อความในนั้นอย่างรวดเร็ว พออ่านจบมันก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด ลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะกี้ ไม่เป็นไร”

“กูจะทำอย่างไงดี พรุ่งนี้เฮียบอกจะมารับกูกลับเชียงใหม่ กูไม่อยากกลับ เฮียต้องให้กูเลิกกับมึงแน่ ๆ”

            ผมเงยหน้าขึ้นมองอินด้วยความกังวล อินตบหลังผมเบา ๆ

“ใจเย็นนะกี้ เดี๋ยวกูคุยกับเฮียเอง”

อินหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเฮียกร แต่ไม่มีคนรับสาย อินลองต่อสายอีกครั้งคราวนี้ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับอัตโนมัติว่าไม่สามารถติดต่อหมายเลขนี้ได้ อินเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือหลังจากที่พยายามต่อสายอยู่หลายครั้ง สายตาคมมองผมแฝงไปด้วยความหนักใจ อินกระชับกอดผมแน่นขึ้น

“อย่างไงกูก็ไม่ยอมเลิกกับมึงกี้ มึงไม่ต้องกลัว”

 

TBC....



ใกล้จะจบแล้วววววววววว

 

หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 23 [30/07/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-07-2018 20:59:52
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 24 [13/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 13-08-2018 22:30:12
ตอนที่ 24

 

                แสงแดดที่ส่องลอดผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทเข้ามาในห้องนอนทำให้รู้ว่าเช้าแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา หกโมงเช้าแล้วแต่ผมแทบจะไม่ได้นอนเลย ไม่อยากให้เช้านี้มาถึงเลยจริง ๆ

                ย้อนกลับไปเมื่อวานหลังจากที่เฮียกรรู้เรื่องและโทรมายื่นคำขาดให้ผมเก็บของกลับเชียงใหม่

                ผมเพิ่งวางสายจากป๊าและม้าที่โทรมาด้วยความกังวลและเป็นห่วงเมื่อเห็นข้อความในไลน์กรุ๊ปรวมญาติ ทั้งสองบอกผมว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องที่พวกญาติ ๆ ว่า ป๊ากับม้าไม่ได้รู้สึกอายหรือเสียหน้าอะไร เพราะลูกป๊าไม่ได้ทำเรื่องผิดบาป เรื่องญาติ ๆ ป๊าม้าจะจัดการให้เอง ผมเล่าเรื่องที่เฮียโทรมา ป๊าได้แต่ถอนหายใจแล้วบอกว่าจะไปช่วยคุยให้ แต่ผมรู้ว่าป๊าก็ไม่แน่ใจว่าจะคุยกับเฮียได้หรือเปล่า เวลาที่เฮียโกรธแม้แต่ป๊าหรือม๊าก็เอาไม่อยู่ครับ

                “มึงเอาอย่างไงดีวะ”

                ผมหันไปถามอินด้วยความหนักใจ การคุยกับป๊าม้าไม่ได้ช่วยให้ผมสบายใจเท่าไหร่ ถึงป๊าม้าจะบอกว่าไม่เป็นไรเรื่องข้อความต่อว่าของญาติ ๆ แต่ผมรู้ว่าป๊าม้าก็คงไม่สบายใจนัก

                ทั้งหมดมันเป็นเพราะผม...

                เหมือนอินมันจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เพราะมันดึงตัวผมไปกอดไว้แน่น

                “มึงไม่ต้องโทษตัวเองนะกี้”

                “กูทำอะไรผิดเหรอ กูแค่...กูแค่คบกับมึงนะ ทำไมเฮียไม่ฟังกูเลยวะ”

                น้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้มันไหลเอ่ยตาเมื่ออินลูบหลังปลอบผม

                “มึงไม่ได้ทำอะไรผิดกี้ เรื่องนี้มันไม่มีใครผิด เฮียเค้าแค่ไม่เข้าใจเรื่องของเรา”

                ผมซบลงกับอกของอินสะอื้นอย่างไม่อาย โดยที่มือของอินยังคงโอบกอดผมไว้

                “เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะคุยกับเฮียเอง มึงไม่ต้องกลัว”

 

                ผมหันไปมองคนที่นอนข้างกันก็เห็นว่าอินกำลังมองผมอยู่ สัมผัสอุ่น ๆ ที่มืออีกข้างทำให้ผมรู้ว่ามือของเรายังกุมกันไว้เช่นตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา

                “มึงว่าหรือกูจะหนีตามมึงไปดีวะ เอาแบบหนีไปให้ไกล ๆ ให้เฮียตามหาไม่เจอ ดีนะ จะได้ไม่ต้องสอบไง”

                ผมพยายามพูดติดตลก อินมันแค่ยกยิ้มที่มุมปากให้ผม

                “เพ้อเจ้อละมึง นอนไม่หลับจนเพี้ยนเหรอ”

                “ฮึ เวลาแบบนี้มึงยังด่ากูได้นะ”

                ผมได้แต่ยิ้มเศร้า ๆ อินกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้น ก่อนที่มันจะลุกและฉุดผมให้ลุกตามไปด้วย มันลูบหัวผมเบา ๆ

                “มึงไปอาบน้ำเถอะ สภาพดูไม่ได้เลย”

                ผมลุกไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาตามที่อินบอก

                “กูลงไปซื้อข้าวนะ”

ผมได้ยินเสียงอินตะโกนบอก พอออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เจอมัน ผมแต่งตัวเสร็จแล้วนั่งรออยู่ตรงโซฟา สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ผมลุกขึ้นมาด้วยความแปลกใจว่าทำไมอินมันไม่ไขกุญแจเข้ามาเลย หรือว่ามันจะลืมหยิบกุญแจไปด้วย เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งคล้ายจะเร่ง ผมจึงเดินไปเปิดประตูโดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูจะเป็นคนอื่น

“เฮีย...”

ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเฮียกรกับลูกน้องและพยายามจะปิดประตู แต่ลูกน้องของเฮียเดินมาขวางประตูไว้แล้วดันให้เปิดกว้าง ตอนนี้เฮียกรได้ก้าวเข้ามาในพื้นที่ของผมและอินแล้ว

“ไปเก็บของแล้วกลับไปกับเฮีย”

“ไม่ กี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น”

ผมถอยไปหยุดอยู่กลางห้อง พลางคิดว่าแล้วอินอยู่ที่ไหน

“พวกมึงจัดการสิ”

เฮียหันไปสั่งลูกน้องที่มาด้วย ทั้งสองคนตรงเข้าไปในห้องนอนของเรา

“จะทำอะไร”

ผมรีบวิ่งตามเข้าไป เห็นพวกมันกำลังรื้อเสื้อผ้าในตู้ออกมาใส่กระเป๋าเดินทาง

“หยุดเดี๋ยวนี้”

ผมพยายามจะเข้าไปขวางแต่ถูกเฮียกระชากแขนออกมาจากห้องนอน

“เฮีย ปล่อยกี้ กี้ไม่ไป”

“ไม่ใช่เวลาจะมาดื้อกับเฮียนะกี้ เก็บของแล้วไปกับเฮียเดี๋ยวนี้”

เฮียกรเริ่มเสียงดังมากขึ้น มือที่จับแขนผมไว้บีบแน่นจนเจ็บ ผมพยายามจะแกะแขนเฮียออกแต่ก็ไม่เป็นผล

                “ก็กี้บอกว่ากี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น กี้ไม่อยากไป ทำไมเฮียไม่ฟังกี้บ้าง”

                “จะให้เฮียฟังอะไร ฟังว่าแกรักกับผู้ชายด้วยน่ะเหรอ อย่าทำให้เฮียโมโหไปมากกว่านี้นะ แค่นี้ไอ้สิ่งที่พวกแกทำก็ทำให้เฮียขายขี้หน้าวงศ์ตระกูลขนาดไหน แกเคยคิดบ้างไหม”

                คราวนี้เฮียตะคอกผมเสียงดังลั่นห้องด้วยความโมโห เฮียโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ถึงผมจะกลัวแต่ผมก็ไม่ยอมให้มาว่าพวกผมแบบนี้ ผมอยากจะขอให้เฮียฟังสิ่งที่ผมที่พูดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ใช้อารมณ์แบบนี้

                “ทำไมเฮียต้องสนใจหน้าตาอะไรพวกนั้นด้วย ทำไมเฮียไม่คิดถึงน้องเฮียบ้าง ทำไมเฮียเอาแต่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิด แต่ความสุขของน้องตัวเองเฮียกลับไม่สนใจ”

                “ทำไมเฮียจะไม่สนใจ เพราะเฮียเป็นห่วงแก แต่แกมันไม่รักดี มารักมาชอบกับผู้ชายแบบนี้”

                “เฮียก็แค่รักตัวเอง ห่วงแต่หน้าตาตัวเอง อย่าเอากี้มาอ้าง”

                เพียะ!

                ผมจับที่แก้มซ้ายของตัวเอง ความเจ็บค่อย ๆ แผ่ไปทั้งแก้มพร้อมกับน้ำตาที่เอ่ยขึ้นที่ตา ผมจ้องหน้าพี่ชายตัวเองที่กำลังกำมือข้างที่ตบหน้าผมเมื่อกี้ไว้แน่น

                “อย่ามาทำปากดีกับเฮียนะกี้”

เฮียชี้หน้าผมในขณะที่ผมเองก็มองตอบอย่างไม่ยอมเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าเถียงเฮียแบบนี้ ไม่แปลกหรอกที่เฮียจะโกรธมากจนลงไม้ลงมือกับผม

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมโดนเฮียตี...

ผมเห็นแววตาที่มองผมมีแววสั่นไหวก่อนที่เฮียจะเบือนหน้าหนี

“กลับไปกับเฮีย แล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ เลิกกับอินซะ”

“ไม่ เฮียไม่มีสิทธิ์มาบังคับกี้กับอิน เฮียไม่สิทธิ์ทำแบบนี้กับใครทั้งนั้น”

ผมปฏิเสธเฮียเสียงดัง ผมเป็นน้องชายเฮียก็จริง แต่ผมมีชีวิตมีความคิด ผมมีสิทธิ์ในชีวิตของผมเอง

“ถึงแม้ว่าอินมันจะเป็นอย่างไง กี้ก็ยังไม่ยอมฟังเฮียงั้นเหรอ”

อิน...หมายความว่าอย่างไง

“เฮียทำอะไรอิน” ผมถามเฮียเสียงสั่น

ใช่ อินมันหายไปไหน ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับมา มันแค่ไปซื้อข้าวหน้าคอนโดไม่ใช่เหรอ มันควรจะกลับมาแล้วสิ

“อินอยู่ไหน บอกมาเฮียทำอะไรอิน”

ผมตะโกนถามเฮียสุดเสียง ก่อนหันหลังกลับหมายจะพุ่งออกไปทางประตู แต่ถูกเฮียกรกระชากแขนเอาไว้

“ตอนนี้มันยังไม่เป็นอะไร แต่ถ้าแกยังไม่ยอมกลับ เฮียก็จัดการมันตามวิธีของเฮีย”

เฮียบอกผมด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ผมเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นดี วิธีการที่เฮียมักจะใช้ให้ได้ตามที่ต้องการ ผมมองหน้าพี่ชายตัวเองด้วยสายตาปวดร้าว

ทำไมถึงเป็นแบบนี้...

“เฮียสัญญาได้ไหมว่าถ้ากี้ยอมกลับด้วย อินจะไม่เป็นอะไร”

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแกทำตัวดีแค่ไหน”

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลรินก่อนที่แกะมือเฮียออกจากแขนแล้วเดินเข้าไปเก็บของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าส่วนใหญ่ถูกลูกน้องของเฮียเก็บลงกระเป๋าเดินทางเกือบหมดแล้ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็เดินตามเฮียกรมาขึ้นรถฟอร์จูนเนอร์สีขาวที่จอดรออยู่หน้าคอนโด

ผมพยายามโอ้เอ้มองหาอิน เพื่อมันจะอยู่แถวนี้แต่ก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา เฮียคงให้ลูกน้องจับตัวอินไว้

ระหว่างทางจากกรุงเทพมาเชียงใหม่ผมเอาแต่นั่งเงียบ เหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ในใจได้แต่เป็นห่วงอิน ผมหวังว่ามันคงจะไม่เป็นอะไร ผมไม่รู้ว่าเฮียทำอะไรกับมันบ้างหรือเปล่า อยากจะโทรหา โทรไปถามว่ามันเป็นอย่างไง อยากจะบอกมันว่าตอนนี้ผมกำลังทรมานมากแค่ไหนที่ต้องจากมันมาแบบนี้ แต่โทรศัพท์มือถือของผมถูกเฮียยึดไปตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว

พลบค่ำแล้วเมื่อพวกผมเดินทางมาถึงเชียงใหม่ เฮียตรงเข้าไปที่บ้านป๊า ผมยังนั่งพิงกระจกมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย รถค่อย ๆ ชะลอช้าลง แล้วผมก็เห็นว่าแสงไฟจากรถสาดส่องร่างสูงคุ้นตาของใครคนหนึ่งที่หน้าประตูรั้วยืนอยู่กับป๊าและม้า ผมขยับตัวขึ้นมองทันทีด้วยความดีใจ

พอรถยังไม่ทันจะจอดสนิท ผมก็รีบเปิดประตูรถพุ่งตัวลงมาก่อนที่เฮียจะจับไว้ทัน ผมวิ่งไปหาคนที่ผมเฝ้าคิดถึงมาตลอดทาง

“อิน”

ผมกอดอินแน่น มันเองก็กอดตอบผมแน่นไม่ต่างกัน ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนรัก

“มึงมาได้อย่างไง กูนึกว่าจะไม่ได้เจอมึงแล้ว”

อินยกมือขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ มันพยายามจะยกยิ้มให้ผมแต่ก็ดูฝืนเต็มทน

“กูรีบขึ้นเครื่องมารอน่ะ”

“แล้วนี่เฮียทำอะไรมึงหรือเปล่า”

อินส่ายหน้า ผมใช้สองตาสำรวจดูว่ามีส่วนไหนของมันที่มีร่องรอยการถูกทำร้านหรือเปล่า มุมปากบนหน้าหล่อ ๆ ของอินมีรอยช้ำเล็กน้อย แต่ส่วนอื่นก็ยังดูปกติดี

“กี้ มาหาเฮีย”

เฮียกรที่ลงมาจากรถแล้วเข้ามากระชากตัวผมออกจากอิน ผมพยายามสะบัดหนีส่วนอินก็คว้าแขนเฮียข้างที่จับผมไว้

“เฮียปล่อยกี้ก่อนครับ”

“มึงไม่ต้องมายุ่งไอ้อิน อย่ามายุ่งกับน้องกู”

“แต่น้องเฮียก็แฟนผมนะครับ”

“มึงไม่ต้องพูด กูไม่ยอมรับเรื่องของพวกมึง”

“แต่ผมกับกี้เรารักกันครับ”

“ฮึ รักกันงั้นเหรอ”

เฮียยอมปล่อยแขนผม แต่กลับตรงเข้าไปกระชากคอเสื้ออินแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าอินเต็มแรงจนมันล้มลง ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจของม้า ผมปราดจะเข้าไปประคองคนรักแต่กลับรักแต่กลับโดนเฮียจับแขนเอาไว้

“ใจเย็นก่อนกร อย่าให้ถึงกับลงไม้ลงมือกันเลย”

ป๊าเดินเข้ามาห้าม อินยกมือขึ้นแตะที่หน้าก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้น รอยช้ำสีแดงปรากฏขึ้นที่โหนกแก้มซ้าย ผมพยายามจะเดินไปหาอินแต่ถูกเฮียดึงไว้

“นี่กูแค่สั่งสอน ถ้ามึงยังไม่เลิกมายุ่งกับน้องกูมึงโดนยิ่งกว่านี่แน่ ๆ”

“เราก็แค่รักกัน ทำไมเฮียต้องทำแบบนี้กันพวกเราด้วย”

ผมพยายามจะอ้อนวอนให้เฮียเห็นใจ

“แล้วแกรักป๊าม้าบ้างไหม หรือเห็นมันดีกว่าพ่อแม่แล้ว ถึงได้ทำอะไรไม่คิดถึงหน้าตาป๊าม้าแบบนี้ รู้ไหมว่าพวกญาติ ๆ เขาด่าว่าอะไรบ้าง ป๊าม้าต้องอับอายแค่ไหน”

“เฮีย”

ผมได้แต่ยืนอึ้งในสิ่งที่เฮียตอกกลับใส่ ยิ่งพูดไม่ออกเมื่อเห็นสีหน้าป๊ากับม้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมเห็นความไม่สบายใจในแววตาของป๊าม้าที่มาก็รู้สึกผิด

นี่ ผมทำเรื่องให้ป๊าม้าต้องอับอายอย่างที่ว่าจริง ๆ สินะ

“กร ป๊าว่าเราค่อย ๆ พูดกันเถอะนะ”

ม้าเดินมากอดผม ผมซบหน้าลงบนบ่าของม้าให้ม้าลูบหลังด้วยความอ่อนโยน

“ป๊าว่าวันนี้อินกลับไปก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน”

ป๊าเดินเข้าไปขวางระหว่างเฮียกับอิน ก่อนจะหันไปพูดกับอิน

“จะไม่มีการคุยอะไรกันทั้งนั้นป๊า มันกับกี้ต้องเลิกติดต่อกันอีก”

“เฮีย”

“เฮีย”

ผมกับอินอุทานขึ้นพร้อมกันเมื่อได้ยินที่เฮียพูด ป๊าหันมาส่งสายตาปรามห้ามไม่ให้ผมพูดอะไรก่อนจะหันไปบอกเฮียเสียงเรียบ

“กร เรื่องนี้ปล่อยให้ป๊าจัดการเองดีกว่า”

“แต่ป๊า...”

เฮียยอมเงียบลงเมื่อเห็นสายตาของป๊า เมื่อเห็นเฮียยอมเงียบแล้ว ป๊าจึงหันไปพูดกับคนรักของผมบ้าง

“กลับไปก่อนนะอิน เชื่อป๊า”

อินมองมาที่ผมด้วยความเป็นห่วงและลังเล เราสบตากันก่อนที่อินจะยอมถอย

“ครับ”

ผมมองอินกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป ม้ากอดกระชับผมแน่นขึ้นส่วนผมก็ได้แต่กั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ป๊าเดินมาลูบหัวก่อนจะพาผมเข้าไปในบ้าน เฮียเดินตามเข้ามาพร้อมกับลูกน้องที่ยกกระเป๋าของผมขึ้นไปบนห้อง ผมทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง

“เดี๋ยวม้าไปหาอะไรมาให้กินนะลูก มาถึงเหนื่อย ๆ คงหิวแย่”

ม้าลูบหน้าลูบหลังผมก่อนจะลุกเข้าไปในครัว ส่วนป๊ายังนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างผม เฮียเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมเพียงเหลือบมองก่อนจะเบือนหน้าหนี

“ที่เฮียทำก็เพราะเฮียหวังดีนะกี้ ไอ้ความรักแบบนี้มันไม่ยั่งยืนหรอกนะ อย่างไงผู้ชายก็ต้องคู่ผู้หญิง ต้องมีลูกมีหลานสืบสกุล จะทำอะไรก็คิดถึงป๊าม้าบ้าง”

“เฮียไม่ต้องเอาป๊าม้ามาอ้าง ป๊าม้ายังไม่เคยว่าสักคำ”

“กี้ พูดกับเฮียแบบนี้ได้อย่างไง” เฮียดุผมเสียงดัง แต่ผมไม่สนใจหรอก

“กร ไม่เอา”

ป๊ารีบห้ามคงไม่อยากเห็นลูกทั้งสองทะเลาะกัน เฮียถอนหายใจเฮือกใหญ่คงพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้อาระวาดผมอีกรอบ

“เอาเถอะ สักวันกี้ก็จะรู้ว่าสิ่งที่เฮียทำมันถูกต้องแล้ว”

ผมไม่รู้ว่าคำว่าถูกต้องของเฮียหมายถึงอะไร ความถูกต้องที่ว่าใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ใช้ความคิดของเฮีย ใช้สายตาที่คนอื่นมองมา หรือใช้ความสุขของผมในการตัดสินความรักของผมกับอินกันแน่

 

TBC...

 
หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 19-08-2018 22:56:06
ตอนที่ 25

 

                ผมยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องนอน มองไปยังหน้าบ้าน เห็นร่างคุ้นตายืนอยู่ที่หน้ารั้วพยายามที่จะชะเง้อมองเข้ามาในบ้าน สักพักผมเห็นเฮียเดินออกไปก่อนที่จะไล่ตะเพิดคนรักของผมให้กลับไป ผมเห็นอินพยายามที่จะเจรจา แต่กลับโดนเฮียตวาดเสียงดังจนผมได้ยินเสียงมาถึงข้างบนนี่ อินยืนรี ๆ รอ ๆ อยู่สักครู่ก็ยอมถอย แต่ก็เพียงแค่กลับไปยังรถที่จอดไว้เท่านั้น

                เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมละสายตาจากรถของอินและความคิดที่ว่าจะแอบปีนหน้าต่างลงไปอย่างไง ได้ยินเสียงไขกุญแจก่อนที่ม้าจะยกถาดใส่อาหารเข้ามา

                “กี้ กินข้าวเถอะลูก ม้าทำแต่ของโปรดของกี้ทั้งนั้นเลยนะ”

                ผมขยับตัวไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือที่ตอนนี้กลายเป็นโต๊ะกินข้าวของผมไปแล้ว เฮียกรบ้าอำนาจขังผมไว้ไม่ยอมให้ผมออกจากห้องเมื่อรู้ว่าอินมารอพบผมอยู่ที่หน้าบ้านไม่ยอมไปไหน นี่ก็ผ่านมา 2 วันแล้วนับจากวันที่เฮียพาตัวผมกลับมา

                เมื่อวานอินพาอานพกับอานงค์มาที่บ้าน ตอนแรกเฮียไม่ยอมให้เข้าบ้านด้วยซ้ำ แต่โดนป๊าดุว่าไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ก็เลยต้องยอมให้ครอบครัวของอินเข้ามาคุยในบ้าน ผมถูกเฮียจับขังไว้บนห้องแถมยังยึดกุญแจไปไม่ยอมให้แม้แต่กับม้า ได้แต่นั่งกระวนกระวายใจเดินวนไปวนมาจนพื้นบ้านแทบจะสึก ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมจึงได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว วิ่งไปดูที่หน้าต่างก็เห็นอินเดินคอตกกลับไปกับพ่อและแม่ ผมได้แต่รอด้วยความอยากรู้แทบขาดใจว่าอินพาพ่อแม่มาคุยว่ายังไง รอจนในที่สุดม้าก็เปิดประตูเข้ามา ถึงได้รู้ว่าอานพและอานงค์พยายามจะช่วยพูดกับเฮียเรื่องของผมกับอิน ขอให้พวกเรา 2 คนได้คบกัน เพราะในเมื่อผู้ใหญ่ทั้ง 2 บ้านยอมรับความสัมพันธ์นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และอานพอานงค์ก็เอ่ยปากว่ารักผมไม่ต่างจากลูกตัวเองเลย แต่มีหรือที่เผด็จการแบบเฮียจะยอม เฮียตอกกลับอานพกับอานงค์ไปว่าเลี้ยงลูกอย่างไงถึงได้โตมาเป็นเกย์ แล้วยังมาทำให้ลูกคนอื่นต้องพลอยเสียคนไปด้วย ผมฟังแล้วยังโมโหแทน ไม่รู้ว่าอานพใจเย็นไม่ลุกขึ้นมาชกเฮียสักหมัดได้อย่างไง

                คิดแล้วก็กลุ้มใจ ทำไมเฮียถึงได้ใจร้ายใจดำได้ขนาดนี้นะ นี่ก็เอากุญแจมาล๊อคห้องผมไว้จากข้างนอก เดือดร้อนม้าต้องไปตามเอากุญแจมาเปิดเพื่อจะเอาข้าวเข้ามาให้ผมกินทุกมื้อ

                “น่ากินทุกอย่างเลยม้า”

                ผมมองกับข้าวที่ม้าตั้งใจทำมาให้ผม มีแต่ของชอบของผมอย่างที่ม้าบอก ม้าคงอยากจะปลอบใจผมที่ต้องทนอุดอู้อยู่บนห้องไม่ได้ไปไหน

                “น่ากินก็กินเยอะ ๆ”

                “ฮะ กี้จะกินให้หมดเลย” ผมยิ้มน้อย ๆ เพื่อให้ม้าดีใจ

                “เห็นกี้ยังกินได้แบบนี้ม้าก็คงโล่งใจ” ม้าลูบหัวผมแล้วส่งยิ้มละมุนให้

                “ม้านึกว่ากี้จะตรอมใจที่โดนเฮียกีดกันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเหรอ กี้คิดได้ละม้า กี้จะต้องกินให้มีแรงไว้ก่อน เกิดอะไรขึ้นจะได้มีแรงไปสู้กับคนใจร้ายได้”

                คนอะไรบ้าอำนาจเหลือเกิน คอยดูนะ ผมไม่ยอมแพ้หรอก ฮึ พูดแล้วก็โมโห ผมตักผัดกุ้งกระเทียมเข้าปากแล้วเคี้ยว ๆ ด้วยแรงโมโห

                “โถ กี้ เฮียเค้าก็แค่หวังดี” ม้าวางมือบนบ่าของผม

                “เหอะ หวังดีเหรอม้า เฮียเค้าแค่คิดถึงแต่หน้าตัวเองมากกว่า” ผมเบ้ปาก วางช้อนที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากลง

                “ม้า” ผมจับมือม้าที่วางอยู่บนบ่าแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าม้า “กี้ถามจริง ๆ นะ ป๊ากับม้าอายมากไหมที่มีลูกเป็นแบบกี้”

                ผมเม้มปากก่อนจะถามต่อ “ป๊าม้าอายญาติ ๆ หรือว่าคนอื่นเรื่องที่กี้รักกับผู้ชายเหมือนกันบ้างไหม”

                ม้ายังคงยิ้มให้ผมก่อนจะดึงให้ผมซบที่อก ปลอบโยนผมด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนของแม่

                “กี้ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก พอป๊าเอาจริง พวกญาติ ๆ ก็ไม่มีใครกล้าหือกับป๊าหรอก ป๊าม้าไม่อายหรอกนะ ก็ลูกของม้าไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีนี่ กี้ของม้าแค่มีความรัก เพียงแต่เป็นความรักในแบบที่อาจจะดูแตกต่างในสายตาคนอื่นสักหน่อย คนอื่นเค้าก็เลยยังไม่ชิน”

                “เหมือนอย่างพวกญาติ ๆ เราใช่ไหมม้า”

                ตอนนี้เฮียยึดโทรศัพท์มือถือของผมไปแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ความเคลื่อนไหวในไลน์กรุ๊ปวงค์ตระกูลตั้งวัฒนาพานิชอีก

                “อีกหน่อยพวกเค้าก็จะเข้าใจเองแหละลูก”

“กี้ขอโทษนะม้า” ผมเอ่ยเสียงอ่อย ๆ

“เรื่องเฮียก็เหมือนกัน ป๊าเค้าก็ช่วยคุยอยู่นะ กี้อดทนรออีกหน่อย”

“ขอบคุณนะครับ”

ผมสวมกอดม้า รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่อย่างน้อยมีป๊าม้าที่เข้าใจและยอมรับตัวผม 

เสียงรถมาจอดที่หน้าบ้านดึงความสนใจของผมกับม้า ผมจึงลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่างก็เห็นเฮียเดินออกไปรับซ้อเหมยให้เข้ามาในบ้าน ผมหันไปบอกกับม้า

“ซ้อเหมยมาน่ะม้า”

“งั้นเดี๋ยวม้าลงไปหาเหมยก่อนนะ”

“กี้ลงไปด้วยสิม้า” ผมขอตามลงไปด้วย อยู่บนห้องมา 2 วันเต็ม ๆ อึดอัดจะแย่แล้ว ซ้อเหมยมาแบบนี้เฮียคงไม่กล้าว่าอะไรผมหรอก

“นะม้านะ กี้เบื่อที่ต้องอยู่บนห้องแล้ว” ผมใช้ลูกอ้อนตื้อม้าให้พาผมลงไปด้วย

“ป่ะ งั้นลงไปหาซ้อกัน”

ผมเดินตามม้าลงมาจากชั้น 2 เจอคนอื่น ๆ กำลังนั่งคุยกันในห้องรับแขก ผมเดินเข้าไปหาพี่สะใภ้คนสวยทันที

“ซ้อเหมย หวัดดีครับ”

“กี้ ใครให้แกลงมา” เฮียทำท่าไม่พอใจทันทีที่เห็นผมออกจากหน้า ผมเห็นเฮียเหลือบไปมองที่ประตูหน้าบ้าน คงกลัวว่าผมจะออกไปหาอิน

“ม้าให้น้องลงมาเอง เรามันก็เกินไปนะกร” ม้าเดินเข้ามาปรามก่อนจะดึงผมให้ไปนั่งด้วยกันบนโซฟา

“นั่นสิเฮีย จะขังน้องไว้บนห้องหรือไง นี่น้องนะเฮีย”

ซ้อเหมยพูดเสริมหันไปว่าสามีตัวเอง ผมได้ทีก็เลยแกล้งทำเสียงเศร้าบอกกับซ้อ

“เฮียเค้าคงไม่อยากมีน้องอย่างกี้แล้วมั้งซ้อ”

“แกกลับขึ้นไปบนห้องเดี๋ยวนี้เลยกี้” เฮียหันมาดุผมตาเขียว ผมได้แต่ทำหน้างอ

“ให้น้องมันอยู่นี่แหละ ใจคอจะขังมันไปถึงเมื่อไหร่”

ป๊าปรามเฮียเสียงนิ่ง ๆ ซ้อเอื้อมมือมาแตะที่มือผม

“ใช่ กี้อยู่กับคุยกับซ้อก่อน”

“เหมย เหมยก็เห็นว่าไอ้อินมันอยู่ที่หน้าบ้าน รีบให้กี้มันขึ้นไปบนบ้านน่ะดีแล้ว” เฮียกรฮึดฮัดไม่พอใจที่ไม่มีใครเข้าข้าง เมื่อทำอะไรป๊าไม่ได้ก็หันมาโวยวายใส่เมียตัวเองแทน

“แล้วยังไงละเฮีย ก็อินเค้าก็มาหาแฟนเค้า เฮียนั่นแหละทำไมไม่ยอมให้เค้าเขามาดี ๆ”

“เหมย นี่เหมยเข้าข้างมันเหรอ”

“เหมยไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น เหมยแค่เห็นว่าการที่เด็กมันรักกันก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน ทำไมเฮียจะต้องทำตัวเจ้ากี้เจ้าการแย่งไม่ให้คนรักเค้าเจอกันด้วย”

ซ้อถอนหายใจก่อนจะกรอกตามองสามีหัวแข็งของตนที่ดื้อเหลือเกิน

“แต่มันเป็นผู้ชายเหมือนกันนะเหมย มันผิดเพศ เฮียยอมรับไม่ได้”

“เฮียฟังเหมยนะ ถึงกี้มันจะมีแฟนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของกี้ เฮียไม่มีสิทธิ์ไปกะเกณฑ์ให้น้องมันต้องเป็นแบบที่เฮียต้องการ”

“แต่มันทำให้ป๊าม้าขายขี้หน้า เหมยก็เห็นว่าพวกญาติ ๆ ว่าอย่างไง มีแต่คนมาว่าป๊าม้า เฮียทนไม่ได้”

“เฮียทนไม่ได้เพราะเฮียรู้สึกเสียหน้าเองหรือเปล่า เหมยไม่เห็นป๊าม้าจะเดือดร้อนอะไรเลย”

ผมนั่งมองสองสามภรรยาเถียงกันเรื่องของผมกับอินอย่างดุเดือด เห็นได้ชัดว่าซ้อเหมยเข้าข้างพวกผมเต็มที่ พอเฮียทำท่าจะสู้เมียตัวเองไม่ไหวก็อ้างป๊าม้า แต่บอกเลยว่างานนี้ไม่ได้เป็นแบบที่เฮียหวังหรอกครับ เพราะคำพูดของป๊าต่อมาทำเอาเฮียถึงกับหน้าหงาย

“เหมยพูดถูก ป๊าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ป๊าจัดการได้ ใครมันจะว่าอะไรก็ช่างมันสิ ป๊าไม่ได้ขอเงินพวกมันใช้สักหน่อย”

“ป๊า ก็เพราะป๊าม้าให้ท้ายกี้มันแบบนี้ไง มันถึงได้เสียคนแบบนี้”

“มันจะเกินไปแล้วนะกร” ป๊าดุเฮียเสียงเข้มเมื่อเห็นเฮียเอาแต่โวยวายเสียงดังไม่หยุด

ซ้อเหมยดึงมือเฮียไว้แล้วลูบเบา ๆ คงเพื่ออยากจะให้เฮียสงบอารมณ์ลงบ้าง

“เฮียลองคิดดูนะ ถ้าหากตอนที่เฮียคบกับเหมยแล้วมีคนบอกว่าเราไม่เหมาะสมกัน โดนป๊าม้ากีดกันให้เราเลิกกันให้ได้ เฮียจะยอมเลิกกับเหมยไหม”

“มันไม่เหมือนกันนะเหมย มันจะเป็นแบบนั้นได้ ก็เหมยเป็นผู้หญิง แต่ไอ้อินมันเป็นผู้ชาย”

“ก็แล้วมันต่างกันตรงไหนละเฮีย ผู้หญิงผู้ชายมันก็คนเหมือนกัน มีความรักได้เหมือนกัน”

“ไม่ มันไม่เหมือนกัน” เฮียส่ายหัวไม่ยอมรับ

“ไม่เหมือนอย่างไงเฮีย”

ซ้อเหมยจ้องหน้าเฮีย ผมเห็นเฮียเม้มปากแน่นก่อนจะหาเหตุผลมาตอบ

“ก็...ผู้ชายคบกับผู้ชาย มันก็ไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุลสิ”

“โธ่ เฮียไม่ต้องไปยุ่งเรื่องกี้มันจะมีลูกมีหลานหรือเปล่าหรอก ห่วงตัวเฮียเองก่อนไหม” ซ้อเหมยถอนหายใจก่อนจะยิ้มอ่อน

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเฮียเกิดไม่มีลูกจะทำอย่างไง ตระกูลเราก็จะจบแค่นี้เหรอ”

“ถ้าเฮียจะเป็นห่วงเพราะเรื่องแค่นี้ เฮียไม่ต้องห่วงแล้ว เหมยมาหาก็เพราะมีเรื่องอยากจะบอกเฮีย เมื่อกี้เหมยเพิ่งไปโรงบาลมา” ซ้อเหมยกุมมือเฮียกรเอาไว้ก่อนจะยิ้มให้ “หมอบอกเหมยท้องได้ 4 สัปดาห์แล้ว”

“หา จริงเหรอเหมย”

ผมเห็นเฮียตาเป็นประกายก่อนจะยิ้มกว้างแบบที่ไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว พวกผมก็พลอยยินดีไปด้วยเมื่อได้รับข่าวดี

“จริงสิ ที่นี้เฮียก็จะมีลูกสมใจแล้วนะ”

“เฮียดีใจที่สุดเลยเหมย” เฮียเขยิบเข้าไปใกล้ซ้อแล้วโอบกอดซ้อด้วยความดีใจ

“ถ้าอย่างงั้นเฮียก็ยอมให้กี้กับอินคบกันเถอะนะ”

“มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ละเหมย”

คิ้วเฮียขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินซ้อยังไม่เลิกล้มความพยายามเรื่องของผม ส่วนผมก็นั่งลุ้นจนตัวเกร็ง

“อ้าว ก็การที่เฮียไปขัดขวางความรักของน้องเนี่ยมันบาปนะเฮีย ระวังเถอะบาปกรรมมันจะมาถึงลูก”

“เหมย อย่ามาล้อเล่น” ผมเห็นเฮียเริ่มหน้าเสีย ซ้อได้ทีก็รีบพูดต่อ

“เหมยไม่ได้ล้อเล่น นี่เหมยพูดจริง ๆ นะเฮีย พรากคนรักจากกันมันบาปกรรม เฮียไม่กลัวใครจะมาพรากลูกพรากเหมยไปจากเฮียบบ้างเหรอ ปล่อยกี้มันไปเถอะนะ น้องมันโตแล้ว”

เฮียกรนั่งนิ่งไป สีหน้าหนักใจแต่ก็ไม่ได้พูดแย้งอะไรต่อ เห็นแบบนั้นซ้อก็เลยหันมาบอกกับผม

“กี้ ออกไปหาอินเถอะ พาอินเข้ามาคุยกันในบ้าน”

ผมเหลือบมองพี่ชายตัวเองที่ทำท่าเหมือนกำลังจะอกแตกด้วยความไม่แน่ใจ ถ้าพาอินเข้ามาแล้วเฮียจะไม่อาละวาดทำร้ายคนรักของผมใช่ไหม

“รีบพาอินมาสิกี้”

ม้าคะยั้นคะยอ ส่วนป๊าก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ผมยิ้มให้ทุกคนก่อนจะรีบลุกไป วิ่งตรงไปเปิดประตูรั้ว อินที่คงเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของบ้านผมอยู่ตลอดรีบเปิดประตูรถวิ่งมาผมเช่นกัน ผมกระโดดกอดอินซุกหน้ากับอกของมัน อินกอดรัดผมเต็มแรงเหมือนกัน เราสวมกอดกันจนพอใจก็ผละออกจากกัน อินจับไหล่ผมไว้ทั้ง 2 ข้างกวาดสายตาสำรวจไปทั่วตัวผมก่อนจะยิ้มกว้าง

“ทำไมกี้ออกมาได้แล้ว เฮียยอมแล้วเหรอ”

“ไม่ยอมก็เหมือนยอมแล้วละ”

อินย่นคิ้วทำหน้าสงสัย ผมหัวเราะก่อนจะรีบดึงมืออินให้เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน

พอเข้าไปก็เห็นเฮียนั่งหน้าหงิกเป็นตูดด้วยมีซ้อเหมยนั่งอมยิ้มคล้องแขนอยู่ข้าง ๆ ส่วนป๊าม้าก็กวักมือเรียกพวกผมให้ไปนั่งด้วยกัน ผมพาอินไปนั่งที่โซฟา ส่วนผมก็นั่งบนที่เท้าแขน

“ไม่ต้องนั่งใกล้กันขนาดนั้น” เฮียหันมองพวกผมตาแทบจะลุกเป็นไฟ อินเหลือบมองหน้าผมด้วยความไม่แน่ใจ

“เฮีย ก็คนเค้าเป็นแฟนกันนะ” ซ้อลูบแขนให้ใจเย็นก่อนจะส่งยิ้มมาให้

“เฮียเค้ายอมให้กี้กับอินคบกันแล้วนะ”

“จริงเหรอครับ”

อินยิ้มกว้างก่อนหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้ ในใจรู้สึกพองโตไปหมด

“ขอบคุณนะครับเฮีย”

คนรักของผมยกมือไหว้เฮีย แต่เฮียกลับมองด้วยหางตาก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างหัวเสีย

“มึงต้องทำตามที่มึงเคยพูดไว้ให้ได้ ว่าจะไม่ทำให้น้องกูเสียใจแล้วก็จะปกป้องไม่ให้ใครมาดูถูกหรือทำร้ายน้องกูได้”

“ครับ”

อินตอบรับอย่างแข็งขัน อินดึงมือผมไปกุมกระชับมั่น

                “จะทำอะไรก็อย่าให้มันประเจิดประเจ่อ เฮียไม่ชอบ”

                เฮียจ้องมือที่กุมกันอยู่ของพวกผมตาแทบถลน แต่มีเหรอผมจะสนใจ ก็เฮียยังสวีทกับซ้อให้ผมเห็นบ่อย ๆ กับอีแค่จับมือกันเนี่ยมันคงไม่ปาดตาเท่าไหร่หรอก

                “กลับบ้านเราเถอะเฮีย”

                ซ้อเหมยส่ายหน้าระอาในสามีตัวเอง ก่อนจะชวนให้เฮียที่มาเฝ้าผมอยู่หลายวันกลับบ้านด้วยกัน

                “แต่ว่า...” ผมยังเห็นเฮียมองผมกับอินด้วยสาบไม่ไว้ใจ แต่ซ้อก็ยังมีวิธีทำให้เฮียยอมแต่โดยดี

                “หรือว่าเฮียอยากจะให้เหมยขับรถกลับเอง เฮ้อ ท้องอ่อน ๆ ยิ่งเวียนหัวบ่อยด้วยสิ”

                “เดี๋ยวเฮียขับเอง เหมยไม่ต้อง”

                เฮียรีบแย่งกุญแจรถมาจากเมีย ซ้อเหมยยิ้มอย่างเป็นต่อก่อนจะจูงมือสามีกลับบ้าน

                “ซ้อเหมยท้องเหรอ”

                อินหันมาถามผมเมื่อเฮียกรกับซ้อเหมยกลับไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนป๊าก็ขอตัวไปดูปลากัดลูกรักที่หลังบ้าน ส่วนม้าก็เตรียมไปทำกับข้าวมื้อใหญ่ฉลองให้ผมกับอิน

                “อือ เพราะหลานคนนี้แหละเฮียถึงยอมให้เราสองคนคบกัน”

                ผมหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นอินทำหน้างง ๆ ก่อนจะลุกไปนั่งโซฟาตัวที่ว่างแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

                “ถ้าอย่างงั้นกูจองตั๋วเครื่องบินของพรุ่งนี้เลยนะ”

                “จะกลับพรุ่งนี้เลยเหรอ ขอกูอยู่บ้านต่ออีก 2-3 วันไม่ได้เหรอ แล้ววันอาทิตย์เราค่อยกลับ” ผมต่อรองเมื่ออินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดจองตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพ

                “กลับได้แล้ว นี่ก็โดดเรียนมาหลายวันละ นี่ยังดีที่มีวิชาที่เช็คชื่อแค่วิชาเดียว ส่วนเรื่องเลคเชอร์กูขอให้ชมพู่กับมายช่วยจดไว้ให้แล้ว อ่านวันเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะตามทัน”

                “โอ้ย นี่มึงยังคิดเรื่องเรียนอีกเหรอ”

                ผมโอดครวญ นี่ใจคออินมันจะเรียนเอาเกียรตินิยมเลยใช่ไหมครับ เวลาแบบนี้ยังจะคิดถึงแต่เรื่องเรียนอีก

                อินมองไปรอบ ๆ ก่อนจะขยับเข้ามานั่งใกล้ผม มันโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู

                “กูอยากอยู่สองต่อสองกับมึงเร็ว ๆ ตั้งหาก คิดถึงมึงจะแย่แล้วรู้ไหมกี้”

                ไม่ต้องส่องกระจกผมก็รู้ว่าตอนนี้แก้มตัวเองกำลังขึ้นสีแดงแน่ ๆ ผมเม้มปากแน่นแล้วมองคนที่ได้ชื่อว่าแฟนตาขวาง

                “ไอ้บ้า”

                “เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับถึงคอนโดกูจะพิสูจน์ให้ดูว่าอินคิดถึงกี้แค่ไหน ถ้ามึงรับความคิดถึงกูไม่ไหว กูอนุญาตให้ลาอีกวันก็ได้”

                “ไอ้เชี่ยอิน ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องหื่น”

                ผมด่ามันทันทีที่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับแววตาวาววับของมัน แต่มันกลับหัวเราะแล้วคว้ามือผมไปกุมไว้ก่อนที่สายตาของมันที่สบตาผมจะเปลี่ยนเป็นสายตาจริงจัง

                “แต่กูคิดถึงมึงจริง ๆ นะกี้ แล้วกี้ละ คิดถึงอินไหม”

                “กูแทบจะปีนหน้าต่างหนีตามมึงไปอยู่แล้วยังจะถามอีก” ผมขมุบขมิบตอบมันเสียงเบา

มึงจะถามให้กูเขินทำไมเนี่ยไอ้อิน

ผมเห็นอินก้มลงมองมือของมันที่กุมมือผมไว้ ก่อนจะสอดประสานมือของมันกับมือของผมแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน อินยิ้มแบบที่มักจะยิ้มให้ผมอยู่เสมอ

“กูอยากให้มึงรู้ไว้นะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก กูจะไม่มีวันปล่อยมือมึงแน่นอน”

“กูก็เหมือนกัน”

ผมก้มดูมือของเราที่ประสานกันแนบแน่น ผมรู้ว่าสองมือของอินจะไม่มีวันปล่อยมือจากผมแน่นอน ความรักของพวกผมต่อจากนี้ไปคงไม่ง่ายนัก คงมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เราต้องเผชิญ ขอแค่เรายังจับมือกันไว้ ผมเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน

“กี้”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอินตามเสียงเรียก อินเขยิบเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ ผมค่อย ๆ หลับตาลง ทันทีที่ริมฝีปากของเราสัมผัส เจ้าพวกผีเสื้อในท้องก็เริ่มขยับปีกบางใสและโบยบินวนอยู่ในท้องของผม

ถึงตอนนี้ผมคิดว่าโรคประหลาดนี้มันคงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แล้วละครับ มันคงจะกลายเป็น ‘โรคประจำตัว’ ของผมไปแล้วสิ

 

                The end.



ในที่สุดโรคประจำตัวก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วค่ะ^^

เรื่องนี้เป็นนิยายยาวเรื่องแรกของเรา ซึ่งเราตั้งใจกับมันมากๆ

ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาถึงตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้เรามีนิยายอีกเรื่อง ขอฝากพี่เสือกับน้องแฮมไว้ด้วยนะคะ

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68152.0

ปล. อาจจะมีตอนพิเศษมาอีก อย่างไงก็ฝากติดตามด้วยน้าา

หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-08-2018 09:30:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-08-2018 13:27:41
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 30-08-2018 09:42:31
น่ารักค่ะ เห็นการพัฒนาของตัวละครชัดเจน
เรื่องไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เอื่อยอืด ไม่ดึงเส้นเรื่อง
ภาษาดี สำนวนดี แทบไม่ตัวสะกดผิดเลย

ชื่นชมนะคะ
ชอบกี้ รักอิน ชื่นชมเพื่อน ๆ พี่ ๆ ของพระนายทุกคน
แม้แต่เฮียกร ... เรายังชอบเลย
พี่นัทก็เป็นตัวละครที่มีเหตุผลดี
ชอบอะ ... ขอบคุณนะคะที่เขียนให้อ่าน

ป.ล. ชอบพี่เสือ-น้องแฮมด้วยค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-09-2018 10:02:35
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 07-09-2018 16:21:14
น่าเอ็นดูกี้จัง มันมีผีเสื้อบินในท้อง 555 5 มีอาการแปลกๆ ไม่รู้จะทำยังไง ปรึกษาคนเขาไปทั่ว

อินก็ตามหวง ตามเฝ้า แสดงความเป็นเจ้าของซะมองมาจากดาวอังคารยังรู้เลย มีแต่เจ้าตัวแหละที่ไม่รู้

ภาษาดี ลื่นไหล เป็นกำลังใจให้คนเขียวนะคะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-09-2018 00:58:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: TheBig ที่ 08-09-2018 23:13:56
 :impress2: :pig4: o13
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 09-09-2018 02:23:45
สนุกมาก...ขอตอนพิเศษเพิ่มอีกได้มั้ยคะ  :m17:

น่ารัก  :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-09-2018 01:11:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 11-09-2018 13:17:34
อ่านทีเดียวจบ
ฟีลกู๊ดมาก ชอบความซื่อของนายเอก
อีกนิดก็ดูเหมือนโง่แล้ว 5555
อยากรู้เรื่องมายบ้าง ดูลึกลับดีจัง
จะมีมาให้อ่านไหมนี่
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-09-2018 22:36:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: คนเดี๋ยว ที่ 12-09-2018 22:31:19
สนุกสุดๆๆๆชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 08-10-2018 12:48:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 11-11-2018 19:03:10
ฟีลกู๊ดมากกกกก ชอบเลย ขอบคุณมากเลยค่า
เราเอ้นดูน้องกี้มาเลย หนูลุ๊กกกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 15-11-2018 12:37:56
น่ารักมากค่ะอ่านแล้วมีความสุขค่ะรอตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 17-11-2018 07:39:09
เรื่องนี้ดีมากกก
อินเป็นคนที่รักมั่นคงมากเลย
อิจฉากี้ซะแล้ว 55555
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-11-2018 09:03:47
น่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 21-11-2018 13:26:29
น่ารักดีค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Maleemol ที่ 26-11-2018 17:40:12
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 28-11-2018 12:41:25
เนื้อเรื่องน่ารักมากกก อินคือดี น้องคือดี  :impress2: 

น้องคือแบบถึงจะไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่

รู้สึกช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ทิ้ง ไม่ทำร้ายความรู้สึกอินอ่ะ

อินก็ดี รู้จักน้องดี รู้ว่าวิธีไหนน้องจะเข้าใจตัวเองดีที่สุด

ไม่เร่งรีบ แต่ก็ไม่ทิ้งไม่หายไป ตะล่อมเก่ง 555 o13

ขอบคุณคนเขียนน้าาา  :กอด1:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 30-11-2018 09:59:15
อินคือดีๆๆๆๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 25 [End] [19/08/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 01-12-2018 23:27:23
น้องกี้น่ารักจังลูกกกกก
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Polkaneko ที่ 05-12-2018 22:08:25
ตอนพิเศษ : หวง

 

                “ไอ้อิน”

                ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาภายในห้องเรียน กระเป๋านักเรียนถูกวางบนโต๊ะเรียนข้างตัวที่ผมนั่งอยู่ ก่อนที่เจ้าของกระเป๋าจะรื้อเอาสมุดการบ้านออกมา

                “กูยืมการบ้านเลขหน่อยดิ มึงยังไม่ได้ส่งใช่มั้ย กูลืมทำ”

                กี้ขยับแว่นตาที่เลื่อนลงมาจากสันจมูกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้

                “มัวแต่เล่นเกมอีกละสิมึง ป๊ามึงบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าเทอมนี้เกรดตกจะโดนตัดค่าขนม”

                ถึงจะบ่น แต่ผมก็หยิบการบ้านที่ยังไม่ส่งให้หัวหน้าห้องเพราะคิดว่ากี้อาจจะต้องมาขอยืมยื่นให้ไป กี้ทำปากยื่นเมื่อได้ยินที่ผมบอก ปากก็พูดไปในขณะที่มือก็ลอกการบ้านลงสมุดเป็นระวิง

                “ถามจริงป๊าจ้างมึงเท่าไหร่วะ บ่นกูเสียอย่างกับป๊ามาเอง”

                “ก็มึงมันน่าให้บ่นไหมละ”

                ผมเอามือโยกหัวกี้ด้วยความหมั่นเขี้ยวให้กี้มันหันมาทำตาขวางเล่น

                “นี่ เย็นนี้มึงไปดูกูซ้อมคทาด้วยนะ”

                “อีกละ ทำไมกูต้องไปนั่งดูมึงซ้อมด้วยวะ กูแม่งไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย แม่งกว่ามึงจะซ้อมเสร็จ กูนั่งรอจนเบื่อแล้วเบื่ออีก”

                กี้บ่นกระปอดกระแปดด้วยเพราะไม่อยากไปนั่งแกร่วของข้างสนาม

                “มึงยังจะลอกการบ้านกูไหม”

                “เออ ๆ ไปก็ได้”

ก็แค่นั้น...

ผมนั่งเท้าคางมองเสี้ยวหน้าของเพื่อนสนิทที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการปั่นการบ้านให้เสร็จภายใน 10 นาทีก่อนที่ออดเคารพธงชาติจะดัง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่าสามารถมองหน้ากี้มันได้อย่างไม่รู้เบื่อ จากเด็กผู้ชายตัวกะเปี๊ยกที่ยิ้มจนตาหยีในวันแรกที่เจอกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมอย่างทุกวันนี้

 

ผมยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกา นี่ก็ได้เวลานัดแล้วที่ผมจะต้องไปซ้อมคทาแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววของกี้ที่หายหัวไปตอนคาบสุดท้าย

ขณะที่กำลังยืนลังเลอยู่หน้าห้องว่าจะรอมันอยู่ตรงนี้ต่ออีกหน่อยหรือจะไปที่สนามเลย คนที่ผมรออยู่ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา

“กูก็นึกว่ามึงจะลงไปที่สนามแล้วซะอีก”

“ก็กำลังจะไปแล้วละ แล้วนี่มึงไปไหนมาวะ”

“กูไปเข้าห้องน้ำ แล้วเจอครูแอนเข้าพอดี แกเลยให้กูช่วยถือของไปส่งที่ห้องพักครู”

ผมยืนรอกี้เข้าไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินลงไปที่สนามบอลพร้อมกัน

“เออ มึงรู้ไหมเมื่อกี้กูเจอใคร”

ผมก้าวลงบันไดทีละขั้นระหว่างฟังเรื่องที่กี้เล่า

“กูเจอเจน เจนห้องหนึ่งที่เป็นประธานสีเราอ่ะมึง ที่ขาว ๆ น่ารัก ๆ เขาถามกูว่าอยู่สีแดงเหมือนกันใช่ไหม พอกูบอกว่าใช่ เขาก็เลยขอให้กูไปช่วยทำคัทเอาท์เพราะว่าคนไม่พอ”

เท้าของผมหยุดกึก เหลือบมองคนที่ยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด

“กูเห็นว่าไหน ๆ กูก็ไปดูมึงซ้อมทุกวันอยู่แล้ว กูก็เลยรับปากเขาไป เขาดีใจใหญ่เลยว่ะ ยิ้มให้กูด้วย แม่งโคตรน่ารัก”

กี้ทำท่าเคลิ้ม มันหันมายิ้มอวด ๆ พอไม่เห็นผมเดินมาด้วยกันก็เงยหน้าหันกลับมามอง

“อ้าว รีบ ๆ เดินสิมึง เดี๋ยวก็ไปซ้อมช้าหรอก”

ผมก้าวตามลงมาโดยไม่พูดอะไร

“มึงว่าเจนมีแฟนยังวะ”

ผมชะงักก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่เดินอยู่ข้างกัน

“มึง...ชอบเขาเหรอ”

“ก็....” กี้ยกมือขึ้นเกาจมูก ยิ้มเขิน “กูก็ว่าเขาน่ารักดีวะ”

ผมเม้นปากเข้าหากันแน่นก่อนจะคลายแล้วพ่นลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดมาก ๆ

“กูว่ารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์ด่า”

ผมรีบก้าวเท้ายาว ๆ เดินไปที่สนามโดยพยายามไม่หันกลับไปสนใจไอ้คนที่เดินตามหลังมา ผมรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เลยไม่อยากอยู่ใกล้ไอ้ตัวต้นเหตุ กลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป

แต่บอกได้เลยว่าท่าทีของกี้ที่มีต่อเจน ผมไม่ชอบเอามาก ๆ...

 

“อิน...อินทนิล”

“ห๊ะ ครับ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก็เห็นอาจารย์ที่มาช่วยดูการซ้อมยืนเท้าสะเอวจ้องตาเขม็งอยู่

“มีสมาธิหน่อยสิเธอ เดี๋ยวคทาก็ได้ตกใส่หัวใครหรอก”

“ขอโทษครับ”

ผมเอ่ยเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะแอบหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งหน้าระรื่นกำลังช่วยประธานสีแดงทาสีบนแผ่นไม้อัดที่ใช้ทำคัทเอาท์บนสแตนด์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

กี้มันคงพูดอะไรสักอย่างกับเจน ผมเห็นเธอหัวเราะชอบใจ ก่อนที่ผมจะเบนสายตากลับมามองที่คทาในมือ เห็นแบบนั้นผมก็ยิ่งไม่มีสมาธิในการซ้อมเลย หงุดหงิดจนอยากจะเอาคทาที่อยู่ในมือไปไล่ตีสองคนนั่นให้ออกห่างจากกัน

“อินไหวเปล่าเนี่ย ดูแปลก ๆ นะ”

หนิงที่เป็นคทาไม้สองเดินเข้ามาถามผม ผมส่ายหน้าก่อนจะยิ้มให้เธอ

“โทษทีนะหนิง”

“งั้นก็ซ้อมต่อนะ”

หนิงกลับไปประจำที่ ผมพยายามรวบรวมสมาธิอีกครั้ง แต่ระหว่างที่กำลังซ้อมอีกรอบ สายตาก็ดันไปเห็นไอ้เพื่อนรักของผมกำลังชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เจน มือของมันแตะลงที่แก้มของเธอ

“เฮ้ย อินระวัง”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกก่อนที่จะเห็นว่าคทากำลังจะตกใส่หัว ผมกระโดดหลบได้ทันแบบฉิวเฉียด คทาที่ผมเอาเป็นคนโยนขึ้นไปตกกระเด็นกระดอนอยู่ที่ปลายเท้า แต่ก็สร้างความแตกตื่นให้คนที่อยู่รอบ ๆ ไม่น้อย ผมรีบยกมือไหว้ขอโทษรอบวง

“เป็นอะไรหรือเปล่าไอ้อิน”

เป็นกี้ที่วิ่งมาหาผมหน้าตาตื่น ผมส่ายหน้าแล้วก้มลงหยิบคทาที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา

“ครูว่าวันนี้เราพอแค่นี้กันก่อนดี ท่าทางอินดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เดี๋ยวจะพากับเจ็บตัวเสียเปล่า ๆ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาซ้อมกันต่อนะทุกคน”

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนยกมือไหว้ขอโทษอาจารย์อีกที หนิงกับเพื่อนอีกคนที่เป็นคทากรเหมือนกันโบกมือให้ก่อนจะแยกย้ายกันไป

“เป็นอะไรวะมึง”

กี้มองผมด้วยความกังวล ท่าทางมันจะดูเป็นห่วงผมไม่น้อย ทำให้ใจของผมฟูขึ้นมาบ้าง

“ไม่มีอะไร สงสัยเมื่อคืนคงนอนดึกไปหน่อย”

“เหรอวะ งั้นมึงก็รีบกลับไปพักเหอะ”

“เอ่อ งั้นกลับกันเลยไหม”

“มึงกลับไปก่อนเลย กูขอช่วยเขาทำคัตเอาท์ต่ออีกหน่อย”

ผมเผลอขมวดคิ้ว สายตามองไปทางประธานสีแดงที่ลุกขึ้นไปดูงานกับเพื่อนคนอื่น แล้วหันกลับมามองเพื่อนตัวเองที่ยืนกระพริบตาปริบ ๆ

“งั้นกูยังไม่กลับดีกว่า กูรอกลับพร้อมมึงก็ได้”

“เอางั้นเหรอ” กี้ถามผมอีกทีเพื่อความแน่ใจ ผมพยักหน้ายืนยัน

“งั้นมึงไปนั่งรอตรงโน้นก่อนละกัน” กี้ชี้ไปทางอัฒจันทร์ที่พวกผมวางกระเป๋าไว้แล้วเดินหันหลังกลับไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ

ผมเดินเอาคทาไปเก็บที่ห้องเก็บอุปกรณ์ที่โรงยิม พอเดินกลับมาก็ไม่เห็นเพื่อนสนิทตัวเองนั่งทำงานอยู่ที่เดิม ผมกวาดตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาร่างที่คุ้นตาก็เห็นเจนกำลังหิ้วกระติกน้ำใบใหญ่เดินตัวเอียงมาทางนี้ ดูแล้วน่าจะเอามาให้พวกใช้แรงงานดื่ม เห็นแบบนั้นผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ

“มา เราช่วย”

ผมเอื้อมมือไปดึงกระติกน้ำมาถือไว้แทน เจนเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาประหลาดใจก่อนจะส่งยิ้มให้

“ขอบใจนะอิน”

“แล้วนี่ทำไมไม่ให้พวกผู้ชายมาช่วยยกละ” ผมถามขึ้นระหว่างที่เดินมาด้วยกัน

“พวกผู้ชายไปช่วยกันยกไม้อัดน่ะ เราเห็นว่ากลับมาคงเหนื่อยกันก็เลยไปยกน้ำมาเตรียมไว้ให้”

“ก็ไม่เห็นต้องไปยกเองคนเดียวเลยนี่หน่า เจนเป็นผู้หญิงนะ” ผมว่ากระติกนี้ก็หนักไม่ใช่เล่นเลย ผู้หญิงตัวเล็กแบบเจนไม่น่าจะยกไหว

“ไม่เป็นไรหรอก” เจนตอบยิ้ม ๆ “เอาวางไว้ตรงนี้ก็ได้”

“ตรงนี้นะ” ผมวางกระติกใบใหญ่นั้นไว้แถว ๆ ตรงที่เจนชี้ ก็ใกล้ ๆ กับบริเวณที่นั่งทำงานกันนั่นแหละครับ

“ขอบใจนะ”

“อือ เจนมีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้นะ” อย่างไงผมก็ต้องอยู่รอกี้มันอยู่แล้ว จะให้นั่งดูอยู่เฉย ๆ ก็อย่างไงอยู่ สู้ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยจะดีกว่า

“งั้นเดี๋ยวอินไปช่วยทาสีไม้อัดก็แล้วกันนะ”

“ได้สิ” ผมยิ้มให้เธอก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่าง “ขอโทษนะ”

ผมหยิบใบไม้แห้งที่ติดบนผมของเธอออก คงจะหล่นลงมาตอนที่เดินผ่านต้นไม้ใหญ่มาเมื่อกี้ ผมยื่นใบไม้ที่หยิบออกมาให้เจนดู

“ใบไม้มันติดผมน่ะ”

“ขอบใจนะ”

ผมยิ้มรับคำขอบคุณที่เจนพึมพำออกมา พลันสายตาที่เหลือบเห็นกลุ่มคนที่เดินหอบไม้อัดกันมาข้างหลังของเจน เห็นสภาพกี้ที่ตัวก็เล็กแต่ยกไม้อัดแผ่นใหญ่มาด้วยสองมือ ผมสังเกตว่าแว่นที่กี้ใส่อยู่กำลังจะเลื่อนหลุดอยู่แล้วก็รีบเดินเข้าไปหา

“มากูยกเอง มึงปล่อยเหอะ”

ผมเข้าไปช่วยยกแผ่นไม้อัดแทนที่กี้ หางตาเห็นมันขยับแว่นตาให้เข้าที่แล้วเดินไปพร้อมกัน พอวางไม้อัดลงเรียบร้อย ผมก็มานั่งช่วยระบายสีอยู่กับกี้จนถึงหนึ่งทุ่ม ครูเวรก็มาบอกให้พวกผมกลับบ้านกันได้แล้ว ทุกคนช่วยกันเก็บของก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ผมเดินไปหยิบกระเป๋ามาส่งให้กี้แล้วเดินออกมาเอามอเตอร์ไซด์ที่โรงจอดรถพร้อมกัน

“อ้าว เจนกลับอย่างไงเหรอ”

กี้เอ่ยทักประธานสีแดงที่ยืนอยู่ลำพังตรงทางออกสู่ประตูใหญ่

“เจนรอพี่มารับน่ะ แต่ทำไมไม่มาสักทีก็ไม่รู้”

ผมมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ทุ่มครึ่งแล้ว ภายในโรงเรียนค่อนข้างมืดและเงียบสงัดจนดูน่ากลัว

“งั้นพวกเรารอเป็นเพื่อนละกัน”

จะทิ้งให้เจนยืนรอคนเดียวก็ดูอันตรายเกินไป ผมจึงเสนอด้วยความหวังดี พวกเรายืนรอกันอยู่สักพัก พี่ของเจนก็โทรศัพท์มาบอกว่าอยู่ ๆ รถก็ดับระหว่างทาง สตาร์ทอย่างไงก็ไม่ติด ให้เจนเรียกรถกลับบ้านเอง

“เอาไงดีละเจน”

“ก็คงต้องหารถแดงกลับอ่ะกี้” เจนถอนหายใจด้วยความเซ็ง “ขอบใจนะที่อุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อน”

“บ้านเจนอยู่แถวไหนเหรอ ให้เราไปส่งไหม” ผมเหลือบมองกี้ที่ดูกระตือรือร้นเสนอตัวทันทีด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

“บ้านเจนอยู่...” เจนบอกชื่อหมู่บ้านซึ่งผมจำได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมเท่าไหร่นัก เป็นทางที่ผมต้องผ่านอยู่แล้วแต่ทว่าอยู่กันคนละทางกับบ้านของกี้เลย

“เราผ่านแถวนั้นอยู่แล้ว งั้นเจนติดรถเรากลับดีกว่า มึงไม่ต้องเสียเวลาอ้อมไปส่งหรอกกี้”

ผมบอกกับเจนแล้วหันไปบอกกี้ เห็นมันทำหน้าผิดหวังเสียดายที่อดไปส่งเจนก็รู้สึกขัดหูขัดตา ผมเลยรีบชวนเจนกลับด้วยกัน

กูไม่ยอมให้มึงไปกับเจนสองคนหรอกกี้...

“เอางั้นก็ได้”

เจนตกลงตามที่ผมเสนอ ผมกับกี้จึงเดินไปเอามอเตอร์ไซด์ที่จอดไว้ในโรงรถของโรงเรียนออกมา ผมยื่นหมวกกันน็อคของตัวเองให้เจน

“ใส่ไว้นะ”

“แล้วอินละ” เจนรับหมวกกันน็อคไปถือไว้ในมือแต่ยังไม่ยอมใส่

“ไม่เป็นไรหรอก เจนใส่เถอะ” ผมยิ้มให้เธอก่อนจะสตาร์ทรถแล้วหันไปบอกกับเพื่อนสนิท “งั้นกูไปก่อนนะ”

กี้พยักหน้าหงอย ๆ ก่อนจะขี่มอเตอร์ไซด์แยกกลับไปทางบ้านของมัน ส่วนผมก็พาเจนออกมาอีกทางหนึ่ง ไม่นานนักรถของผมก็จอดหน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรตามที่เจนบอก

“ขอบใจนะอินที่มาส่ง” เจนยิ้มให้พร้อมกับยื่นหมวกกันน็อคคืนมา

“งั้นเรากลับก่อนนะ”

ผมรับหมวกกันน็อคมาสวมลงบนหัวก่อนขี่รถคันเก่งกลับบ้าน

 

วันต่อ ๆ มาพอซ้อมคทาเสร็จ ผมก็มาช่วยพวกที่ทำคัทเอาท์กันต่อ เป็นเพราะกี้ที่ตอนแรกมันเป็นฝ่ายถูกผมลากให้มาอยู่เป็นเพื่อนผมตอนซ้อมแท้ ๆ แต่ตอนนี้มันกลับดูสนุกกับการช่วยงานทำคัทเอาท์เสียอย่างงั้น ไม่รู้เพราะประธานสีแดงด้วยหรือเปล่า มันถึงยอมมาช่วยงานทุกวันไม่มีอิดออดเลย ผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้ามันแทน แต่จะให้นั่งเฝ้าเฉย ๆ มันก็ดูแปลก ๆ อยู่ ผมก็เลยค่อยช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปด้วย

เอาความจริงก็คือ...ผมมานั่งกันซีนกี้มันมากกว่า

พอผมสังเกตว่ากี้อยู่ใกล้เจน ผมก็พาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงสนทนาด้วย หรือตอนที่เจนกำลังต้องการคนช่วยและผมเห็นกี้มีทีท่าจะอาสา ผมก็ยืนมือเข้าไปช่วยเสียเอง

“น้ำไหมอิน”

ผมเงยหน้าจากแผ่นไม้อัดที่กำลังระบายสีตามที่ฝ่ายศิลป์กำหนดไว้อยู่ก็เห็นรอยยิ้มสดใสของเจนพร้อมกับแก้วน้ำหวานที่ถูกยื่นมาให้

“ขอบใจนะ” ผมรับแก้วมาดื่มอึกใหญ่ 

“อินนี่ใจดีกว่าที่เราคิดนะ ซ้อมคทาเสร็จแล้วยังอุตส่าห์มาช่วยงานทางนี้ต่อด้วย” เจนนั่งลงข้างผม ชะโงกดูผลงานที่ผมกำลังทำอยู่

ผมแค่ยิ้ม ๆ ไม่ตอบอะไร เพราะจะให้บอกว่ามาเฝ้ากี้มันก็ไม่ได้ ส่วนไอ้คนที่ผมตั้งใจมาเฝ้าก็นั่งอยู่ไม่ไกล ผมเห็นมันแอบมองมาทางเจนอยู่เหมือนกัน คงอยากจะลุกมาคุยกับเจนด้วยละสิ

“เจนก็เก่งนะ เป็นประธานสี ดูแลรับผิดชอบงานตั้งหลายอย่าง” ผมลงมือทาสีต่อ ส่วนเจนก็ยังคงนั่งมองผมทาสีอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ลุกไปไหน

“เอ่อ อิน”

“หือ” ผมส่งเสียงขานรับไปโดยไม่ได้เงยหน้าจากไม้อัดตรงหน้า

“เย็นนี้เจนขอติดรถอินกลับด้วยได้ไหม”

ผมหันมามองเธอ เห็นดวงตากลมโตที่มองจ้องมาเหมือนกำลังรอคอยด้วยความหวัง

“คือว่าวันนี้พี่เจนเขาไม่ว่างมารับน่ะ แต่ถ้าอินไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเจนขอติดรถคนอื่นกลับก็ได้”

คนอื่นเหรอ...ผมเหลือบมองไอ้เพื่อนตัวดีที่มันคงกำลังนั่งทำหูผึ่งแอบฟังอยู่แน่ ๆ

หึ...อย่าหวังเลยกี้

“ได้สิ อย่างไงเราก็ผ่านบ้านเจนอยู่แล้ว”

เจนยิ้มดีใจเมื่อผมตอบตกลง แต่พอสบตากันกลับก้มหน้าหลบสายตาผมเสียอย่างนั้น

 

ผมขี่รถมาจอดหน้าบ้านหลังเดิมที่เคยมาส่งเจน พอเจนยื่นหมวกกันน็อคคืนมา ผมก็จะขี่รถกลับเลยเหมือนครั้งก่อน แต่เธอกลับแตะแขนผมเอาไว้

“เดี๋ยวก่อนอิน”

“เจนมีอะไรเหรอ”

ผมหันมามองด้วยความแปลกใจ เห็นเจนเม้มปากเข้าหาทำท่าอึกอัก เหมือนกำลังจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างกับผม

“คือ...อินยังไม่มีแฟนใช่ไหม”

มือที่แตะแขนผมจับแน่นขึ้นจนผมรู้สึกได้ สายตาของประธานสีคนเก่งที่เงยหน้าขึ้นมองมาที่ผมด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม

“เจนชอบอินนะ”

“เอ่อ...” ผมมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความตกใจและตามมาด้วยความหนักใจ ถ้าเป็นคนอื่น การที่มีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักและนิสัยดีขนาดนี้มาบอกว่าชอบก็คงจะดีใจไม่น้อย

น่าเสียดายที่คน ๆ นั้นกลับเป็นผม...

“ขอโทษนะเจน”

ผมเอ่ยกับเจนด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดจากใจจริงที่ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกดี ๆ ของเธอที่มีให้กับผมได้

“ทำไมเหรอ...”

เสียงเจนเริ่มสั่น และนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่เพราะผมมีคน ๆ หนึ่งในใจอยู่แล้ว คนที่ผมอยากจะดูแลและอยู่เคียงข้างในทุก ๆ วัน จนไม่สามารถจะเหลือที่ว่างในใจให้ใครได้อีกแล้ว

“เรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ผมบอกเจนไปตามตรง

“...อย่างงั้นเหรอ” มือของเจนที่เกาะแขนผมอยู่เมื่อครู่ค่อย ๆ เลื่อนหยุด เสียงของเจนฟังดูเบาหวิว “คนในโรงเรียนเราเหรอ”

“ก็ประมาณนั้นแหละ” ผมพยักหน้า มองคนตรงหน้าที่สีหน้าซีดลงด้วยความเป็นห่วง

“เราคงเข้าใจผิดไปเองสินะ...”

เจนเงยหน้ามองผมด้วยแววตาสับสนระคนเสียใจ

“เรานึกว่าอิน...อาจจะชอบเรา”

“เอ่อ...”

ผมพอจะเข้าใจแล้ว การกระทำของผมที่แสดงออกเพื่อไม่ให้กี้ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเจน มันได้สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น

“เราขอโทษจริง ๆ นะเจน...เรา....” ผมพูดต่อไม่ออก ความรู้สึกผิดและความสงสารทำให้ผมไปต่อไม่ถูก

“ไม่เป็นไร เจนโอเค” เจนส่ายหน้าและพยายามจะส่งยิ้มให้ผม แต่มันเป็นยิ้มที่ช่างดูแห้งแล้งผิดจากรอยยิ้มสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอเหลือเกิน

ขอโทษนะเจน...

“จริง ๆ นะ” เจนเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาในดวงตาของเธอแล้วส่งยิ้มกลับไปให้เช่นกัน

“ถ้าอย่างงั้นเราไปก่อนนะ”

“อืม กลับดี ๆ นะ”

ผมรอจนเจนเดินเข้าไปในบ้านปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเลย

 

เย็นวันต่อมา ผมพบเจนอีกครั้งขณะที่กำลังเดินไปยังสนามกีฬาพร้อมกับกี้เพื่อซ้อมคทาอย่างเช่นทุกวัน เธอกำลังหิ้วของพะรุงพะรังอยู่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นพวกผม ก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ ให้กับกี้ที่ตรงเข้าไปทัก

“เจนหิ้วอะไรมาเยอะแยะ มา เราช่วยดีกว่า”

“เอ่อ ไม่เป็นไรกี้ เราถือไปเองได้”

“ให้เราช่วยเถอะ นะ”

                กี้แย่งถุงในมือเจนมาถือไว้เองทั้งหมดก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ เพราะน้ำหนักของในถุงที่ทำเอามันถึงกับไหล่ลู่ ผมเห็นแบบนั้นก็เลยแบ่งมาช่วยถือครึ่งหนึ่ง เจนแอบมองมาที่ผมก่อนจะรีบซ่อนสายตาตัวเองเมื่อสบตากับผม

                “เจนจะเอาไปไหนเหรอ”

                “จะเอาไปเก็บไว้ที่โรงยิมน่ะ”

                พวกผมเดินตามเจนไปที่โรงยิม ระหว่างทางที่เดินมาด้วยกันมีเพียงกี้ที่พยายามจะชวนเจนคุยด้วย แต่เธอก็เพียงยิ้ม ๆ ถามคำตอบคำ ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามไปเงียบ ๆ

                “เอาวางไว้แถวนี้แหละ”

พวกผมวางข้าวของลงตรงที่เจนบอก ก่อนที่กี้จะพยายามหาเรื่องคุยกันเจนต่อ

                “เมื่อวานเราทาสีเสร็จแล้ว เจนยังมีอย่างอื่นให้เราช่วยไหม บอกเราได้เลยนะ”

                กี้อาสาช่วยงานต่ออย่างกระตือรือร้นเสียจนผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ ผมเห็นเจนเหลือบมองมายังผมก่อนจะส่ายหน้าให้กี้

“เอ่อ ไม่เป็นไร กี้พักบ้างก็ได้ ที่เหลือเดี๋ยวมีคนทำต่อแล้วละ”

“ให้เราทำอย่างอื่นก็ได้นะ เราอยากช่วย”

“ไม่เป็นไร เอ่อ ไว้มีอะไรให้ช่วยเดี๋ยวเจนบอกอีกทีละกันนะ”

เมื่อเห็นเจนยังยืนกรานปฏิเสธแบบนี้ กี้ก็ได้แต่ทำหน้าจ๋อยยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ

“เอาอย่างงั้นก็ได้”

เมื่อหมดเรื่องให้ช่วย ผมกับกี้ก็เดินแยกจากเจนเพื่อผมจะไปซ้อมคทาต่อ กี้ยังดูติดใจกับท่าทีของเจนที่ดูแปลกไปไม่น้อย เพราะพอเดินห่างออกมาจากโรงยิมมันก็พูดขึ้นมาทันที

“อิน มึงว่าเจนเขาแปลก ๆ ไปไหมวะ”

“อย่างไงวะ”

ผมแกล้งถามมันไปอย่างงั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าสาเหตุที่เจนเป็นแบบนี้เพราะอะไร เจนคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่อยู่ใกล้ผมมากกว่า และกี้ที่เป็นเพื่อนสนิทของผมก็เลยพลอยโดนหางเลข

“ก็ดูเขาไม่ค่อยอยากจะคุยกับกูเท่าไหร่เลยว่ะ เหมือนไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้กูเลย”

“เขาไม่อยากคุยกับคนขี้เหร่อย่างมึงละมั้ง อยู่ใกล้เขาเดี๋ยวทำเขาหมองหมด” ผมพูดแหย่กี้มันไปเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น

“อ้าว ไอ้เชี่ยนี่ นั่นปากเหรอที่พูด แหม ใครจะหล่อแบบมึงละไอ้คทากร”

ไอ้แว่นหันมาแยกเขี้ยวโวยวายใส่ผม ผมจึงแกล้งยกคิ้วยั่วมันเล่น

“เอ่อ กูรู้ว่ากูหล่อ”

กี้ส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แบบที่รู้ว่าประชดใส่ผม “กูแม่งไม่อยากคุยกับคนหลงตัวเองแบบมึงละ”

“งั้นแบบนี้กูก็ว่างแล้วสิว่ะ”

“วันนี้มึงไปนั่งดูกูซ้อมเสร็จละก็ค่อยกลับพร้อมกันนะ”

“เอ่อ ก็ได้ ไปดูมึงซ้อมก็ได้”

ผมแอบอมยิ้มให้กับคนที่กำลังทำหน้าตาเบื่อโลกก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมเกรียน ๆ ของมันเล่น กี้เบี่ยงหัวหลบแล้วหันมาทำตาเขียวใส่ผม

“คิด ๆ แล้วก็เสียดายว่ะ กูกะว่าจะจีบเจนเสียหน่อย แต่ถ้าเป็นแบบนี้กูก็คงจะหมดหวังละ”

ดูกี้มันยังผิดหวังกับท่าทางของเจนอยู่ถึงได้บ่นต่อแบบนี้ ทำเอาผมใจแป้ว

“มึงชอบเจนมากเลยเหรอวะ”

ผมถามไปก็แอบหวั่นใจกับคำตอบ ถ้าหากคนที่เจนสารภาพด้วยเป็นกี้ไม่ใช่ผมจะกลายเป็นอย่างไง

กี้มันคงจะตอบตกลงทันทีสินะ...

“อืม” คิ้วเรียวของกี้ขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด มันนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “กูก็เห็นว่าเขาน่ารักดี นิสัยก็ดี ได้เป็นแฟนก็คงไม่น้อยหน้าใคร”

“แต่คิดไปคิดมาเขาก็ดูไม่ค่อยเหมาะกับกูเท่าไหร่วะ เขาแม่งดูโคตรเพอร์เฟ็ค เทียบกับกูคงเป็นดอกฟ้ากับหมาวัด”

กี้สรุปและยักไหล่ยอมแพ้อย่างง่าย ๆ เสียอย่างนั้น ทำเอาผมโล่งใจไม่น้อย

“อย่างมึงดีที่สุดสำหรับกูคนเดียวก็พอแล้ว” ผมพึมพำออกมาเบา ๆ

“หือ เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ”

ผมส่ายหัวเมื่อกี้หันมาถาม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วรีบเร่งให้มันเดินต่อ

“รีบไปเหอะ ไปช้าเดี๋ยวอาจารย์บ่นอีก”

“อาจารย์เขาบ่นมึงไม่ได้บ่นกูนี่”

กี้มันแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่ ผมหมั่นเขี้ยวเลยจัดการล็อคคอมันด้วยแขนข้างหนึ่งก่อนจะโดนมันดิ้นเตะขาผมเป็นพัลวัน ผมจึงยอมปล่อยให้มันเดินไปดี ๆ

ผมแอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกัน เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม มันคงจะดีไม่น้อยถ้าผมได้เดินข้าง ๆ กี้แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าผมจะหวังมากเกินไปไหมถ้าหากผมจะหวังว่าสักวันหนึ่งกี้จะรับรู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อมัน

หวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ผมคงไม่ผิดหวังนะ

 



สวัสดีค่ะ คิดถึงอินกับกี้กันไหมคะ^^

เอาอินกี้สมัยยังเป็นเด็กน้อยเริ่มมีความรักใสๆมาฝากค่ะ

เป็นคำขอบคุณที่เอ็นดูอินกับกี้ค่ะ

ไว้เจออินกี้กันใหม่ในโอกาสหน้านะคะ ^^

หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 15-12-2018 22:21:09
 o13มีครบทุกรสชาติ ดีมากค่าาา
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-12-2018 23:26:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 16-12-2018 21:12:36
อินคือสามีแห่งชาติที่แท้ทรู
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 16-12-2018 22:21:50
สนุกดีค่ะ  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 21-12-2018 15:02:00
น่ารักดีค่ะแต่เฮียกรนี่เยอะไปจริงๆ
ขอบคุณมากค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 22-12-2018 01:50:55
ขอบคุณคนเขียนมาก เรื่องน่ารักดี
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 21-10-2019 20:45:34
รู้สึกว่า ใส ซื่อ ขนาดกี้น่าจะหายากกก แต่ก็เถอะ นานๆได้เจองานเขียนน่ารักๆ สดชื่นๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 23-10-2019 16:54:17
รักใสๆ เขย่าหัวใจคนอ่านช่วงดราม่า
ขอบคุณนักเขียน นักอ่านขอส่งกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: namnak ที่ 21-03-2020 16:27:31
สนุก น่ารักดี ขอบคุณ​ค่า  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 08:34:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 14-03-2024 20:29:19
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)