โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคประจำตัว : ตอนพิเศษ : หวง [5/12/18]  (อ่าน 40075 ครั้ง)

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

โรคประจำตัว

ผมกำลังป่วย...
ป่วยเป็นโรคประหลาดที่มีอาการคล้ายกับมีผีเสื้อนับร้อยกำลังกระพือปีกบินอยู่ในท้อง
โรคประหลาดที่อาการจะกำเริบขึ้นกับคน ๆ เดียวเท่านั้น...
และคน ๆ นั้นคือเพื่อนสนิทของผมเอง

ตอนที่ 1

   หลังจากเปิดเทอมมาได้ไม่ถึงเดือน เช้าวันนี้ยังคงเป็นวันที่สดใสสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 อย่างผม ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในมหาลัยผมก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีสำหรับผมแน่ ๆ ดูแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้ากับสายลมที่พัดมาเบา ๆ นั่นสิครับ

   อ่า...สดชื่น

   “ไอ้กี้ มึงจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาดีถึงดีมาก ยืนเท้าเอวมองผมอยู่ที่หน้าบันไดตึกคณะ ดูท่าทางเจ้าตัวจะหงุดหงิดไม่อยู่น้อย ผมจึงรีบวิ่งไปหาทันที

   ไอ้สุดหล่อที่ยืนเก๊กเป็นนายแบบอยู่ตรงนี้คืออิน เพื่อนสนิทของผมเอง คิ้วเข้ม ๆ ของมันขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นหน้าผมชัด ๆ

   “แว่นมึงไปไหนกี้”

   “เมื่อวานกูเผลอนั่งทับขาแว่นหักว่ะ พอไปที่ร้านจะตัดแว่นใหม่ พี่เขาก็เลยแนะนำให้ลองใส่คอนแทคเลนส์ดู เขาบอกกูถอดแว่นละดูดีกว่า”

   ผมอธิบายสาเหตุที่วันนี้บนใบหน้าของผมไม่มีแว่นสายตาอันใหญ่เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ผมเริ่มใส่แว่นมาตลอดตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยม พอไม่ได้ใส่แบบนี้มันก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ มันไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เลยครับ

   “มึงว่าเป็นไงบ้างวะ กูหล่อขึ้นไหม”

   ผมเขย่งตัวยื่นหน้าไปใกล้ ๆ ให้อินมันดูชัด ๆ ตัวมันสูงกว่าผมสิบกว่าเซนได้ ก็ผมมันสูงแค่ 170 เองนี่หน่า

   อินจ้องหน้าครู่ใหญ่แล้วมันทำหน้าแปลก ๆ ก่อนจะเอานิ้วยาว ๆ ของมันจิ้มหน้าผากผมจนหงาย

   “ขี้เหร่”

   “แหม ใครจะไปหล่อเหมือนคุณละครับคุณอินทนิล”

   ผมเปะปากใส่มันด้วยความหมั่นไส้ไอ้คนหน้าตาเหมือนอปป้าเกาหลีแบบมัน ผมไม่ถามมันแล้ว ไปถามคนอื่นดีกว่า และพอเดินมาถึงที่โต๊ะใต้ตึกคณะ ผมก็เจอชมพู่กับมายเพื่อนของผมกำลังนั่งอยู่พอดี ผมเลยรีบเดินเข้าไปหา

   “ไง”

   “อ้าว กี้ วันนี้มึงไม่ใส่แว่นเหรอ”

   ชมพู่ ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ทักผมก่อน เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่นิสัยค่อนข้างจะห้าว ๆ รู้จักกันได้ไม่กี่วันก็พูดมึงกูหน้าตาเฉยเลยครับ

   “ใส่คอนแทคเลนส์น่ะ ดูเป็นไงมั้ง”

   “น่ารักอ่ะมึง น่าจะใส่ตั้งนานแล้วนะ”

   “น่ารงน่ารักอะไร ต้องบอกว่าหล่อสิ”

   ผมเอ่ยแก้ เป็นผู้ชายก็ต้องบอกว่าหล่อสิครับ น่ารักมันใช่คำชมผู้ชายซะที่ไหน

   “อย่างมึงนะเหรอหล่อ หล่อมันต้องแบบไอ้อินนี่”

   ชมพู่หัวเราะก่อนหันไปทางอินที่นั่งลงข้างกัน ผมได้แต่เปะปากกรอกตาเซ็ง เลยหันไปถามเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   “มายว่าเราไม่ใส่แว่นแบบนี้ดีม่ะ”

   “ก็ดูดีกว่าตอนใส่แว่นนะครับ”

   มายเป็นผู้ชายตัวโตท่าทางหมี ๆ หน้าตาอาจจะดูดุสักหน่อยแต่ที่จริงมายเป็นคนที่นิสัยสุภาพ พูดจาก็เพราะ ช่างขัดกันกับหน้าตาเหลือเกินครับ

   “เห็นไหมมีแต่คนบอกว่าดี มีแค่มึงนี่แหละอินที่ว่าไม่ดี”

   “กูว่ามึงเอาแว่นมาใส่เหมือนเดิมเหอะ ใส่แล้วจะได้ดูฉลาดหน่อย”

   “ไอ้อิน”

   มันว่าผมโง่อีกแล้วครับ ใครจะไปฉลาดเหมือนมันละครับ อินมันเรียนเก่งตั้งแต่เด็กครับ สอบเข้าที่นี่ได้ตั้งแต่รอบรับตรง ไม่ต้องมาลุ้นคะแนนหลายรอบแบบผม

   ตอนนี้พวกผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ อย่างที่บอกผมกับอินเป็นเพื่อนสนิทกัน เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประถม ตอนนั้นอินมันย้ายตามคุณอานพที่เป็นนายทหารไปประจำอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านเกิดของผม เราเรียนด้วยกันจนถึงชั้นม. 6 ไม่พอมันยังบังคับให้ผมสอบเข้ามาเรียนมหาลัยเดียวกันกับมันที่กรุงเทพอีก กว่าผมจะสอบติดแทบจะร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด โดนอินทั้งติวทั้งด่ากว่าจะสอบได้คะแนนถึงคณะนี้ ส่วนชมพู่กับมายเพิ่งเจอกันที่นี่ตอนวันปฐมนิเทศครับ เพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงคนอื่นก็มัวแต่กรี๊ดกร๊าดในความหล่อของอินมัน ส่วนเพื่อนผู้ชายก็ไม่มีใครเข้ามาคุยด้วย คงหมั่นไส้ความขี้เก๊กของไอ้เจ้าอินมัน มีแค่ 2 คนนี้ที่เข้ามาคุยด้วย ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

   “เย็นนี้พี่เขาบอกว่ามีคัดดาวเดือนคณะ พี่กิ๊ฟแกฝากบอกให้อินไปด้วยนะ”

   พี่กิ๊ฟที่ว่านี่เป็นพี่ปีสูงที่คณะของพวกผมเอง ท่าทางแกจะอยากจีบอินไปเป็นเดือนคณะน่ะครับ เห็นแกมาดูตัวตั้งแต่วันปฐมนิเทศแล้ว

   “เย็นนี้กูไม่ว่างว่ะ ต้องไปชมรมดนตรีของมอ”

   นอกจากจะฉลาด รูปหล่อ พ่อเป็นนายทหารใหญ่แล้ว อินยังเสียงดี เป็นนักร้องของวงดนตรีของโรงเรียนตั้งแต่ตอนม.ปลายแล้วครับ ไม่รู้ว่ามันจะเฟอร์เฟคไปถึงไหน

“พี่ต้าร์ชวนกูไปที่ชมรม มึงก็ต้องไปกับกูด้วยนะ” ประโยคหลังนี่อินมันหันมาบอกผมครับ พี่ต้าร์เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของพวกผม เคยเล่นดนตรีอยู่วงเดียวกับอินเลยสนิทกันกับพวกผม แล้วตอนนี้แกเป็นมือกีตาร์ของวงมหาลัย พอพี่ต้าร์รู้ว่าอินสอบติดที่นี่ประจวบกับนักร้องนำคนเก่าเรียนจบเมื่อปีที่ผ่านมาพอดี พี่ต้าร์เลยชวนให้อินไปสมัครเป็นนักร้องนำของวง

ถามว่าทำไมผมถึงสนิทกับพี่ต้าร์ ตัวผมเองไม่ได้มีความสามารถด้านร้องเพลงหรือเล่นดนตรีอะไรได้หรอกครับ อินมันยังชอบด่าหาว่าผมร้องเพลงเสียงเพี้ยน แม้แต่เพลงชาติยังร้องไม่ตรงคีย์ แต่เป็นเพราะอินชอบพาผมไปดูมันซ้อมดนตรีเกือบทุกครั้ง ทำให้ผมพลอยสนิทกับคนอื่นในวงไปด้วย โดยเฉพาะพี่ต้าร์ที่เอ็นดูพวกผมเป็นพิเศษ นัยว่าแกถูกชะตาตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก

“อ้าว แบบนี้กูก็อดดูเขาเลือกดาวคณะกันอ่ะดิ”

“ดาวคณะก็อยู่ตรงหน้ามึงนี่ไงกี้”

ชมพู่พูดถึงตัวเองและส่งยิ้มให้ผมด้วยความมั่นใจ ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปบอกอิน

“สงสัยกูต้องกลับไปใส่แว่นจริง ๆ วะ ถ้าอย่างชมพู่ได้เป็นดาวคณะ”

“อ้าว ไอ้นี่”

“โอ้ย”

ชมพู่เตะผมใต้โต๊ะครับ เรียกเสียงหัวเราะได้จากคนที่เหลือขณะที่คนเจ็บอย่างผมได้แต่เอามือลูบหน้าแข้ง



พอถึงเวลาเลิกเรียน พวกผมก็แยกกันกับชมพู่และมายที่ไปประชุมตามที่รุ่นพี่นัดไว้ คณะของพวกผมไม่ค่อยจะซีเรียสเรื่องการรับน้องเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการขอความร่วมมือตามความสมัครใจมากกว่า อินพาผมมายังห้องชมรมดนตรีสากลของมหาลัยที่อยู่ตึกเดียวกับสโมสรนักศึกษา เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับสมาชิกคนอื่น ๆ กำลังประชุมกันอยู่พอดี รวมถึงพี่ตาร์รุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของพวกผมด้วย

“มาแล้วเหรอไอ้อิน ไอ้กี้ กำลังรออยู่พอดี”

พี่ต้าร์กวักมือเรียกให้พวกผมเดินเข้าไปหา ผมเดินตามหลังอินเข้าไปก่อนจะยกมือไหว้พวกพี่ ๆ ที่นั่งกันอยู่ ดูท่าทางแล้วจะปีสูงกว่าพวกผมทั้งนั้น

“พี่แจ็ค นี่อิน รุ่นน้องโรงเรียนผมเองที่ว่าจะให้มาเป็นนักร้อง” พี่ต้าร์ลุกขึ้นมายืนข้างพวกผมแล้ววางมือลงบนบ่าของอินพร้อมกับแนะนำคนในวงให้รู้จัก

“นี่พี่แจ็ค อยู่ปี 4 เป็นหัวหน้าวงแล้วก็เป็นประธานชมรมด้วย เล่นกีตาร์ นั่นแพรว ปี 2 ตีกลอง ส่วนอีกคนชื่อนัท ปี 2 เหมือนกัน เล่นเบส ยังมีพี่อีกคนที่ไม่ได้มาชื่อพี่ต้น อยู่ปี 3 แกเล่นคีย์บอร์ด”

ผมกวาดตามองตามที่พี่ต้าร์แนะนำ พี่แจ็คประธานชมรมท่าทางเท่ไม่หยอก ทำผมไถข้างด้วยครับ อีกคนเป็นพี่ผู้หญิงท่าทางเนิร์ด ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะตีกลอง ส่วนพี่อีกคนที่ชื่อนัทก็ดูหน้าตาดีไม่น้อย ท่าทางยิ้มกริ่มแบบนั้นสาว ๆ คงชอบกันน่าดู

“จริง ๆ ชมรมเรามีสมาชิกอีก 40 กว่าคน ยังมีที่เล่นเครื่องดนตรีอื่น ๆ ด้วย บางครั้งก็มาแจมกันกับวงบ้าง” พี่แจ๊คพูดเสริม มิน่าผมถึงเห็นมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิดวางอยู่ในห้อง แถมตรงมุมห้องยังมีเปียโนตั้งอยู่หลังหนึ่งด้วย

“พี่ได้ดูคลิปที่อินเคยร้องเพลงกับต้าร์มันแล้วนะ เสียงดีอย่างที่ต้าร์มันคุยไว้จริง ๆ”

“แล้วน้องอีกคนชื่ออะไรเหรอครับ”

เป็นพี่นัทที่อยู่ ๆ ถามขึ้น พี่เขามองมาที่ผมพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ด้วย

“เอ่อ ผมชื่อกี้ครับ”

“มาสมัครเป็นนักร้องด้วยอีกคนเหรอ”

“อย่างไอ้กี้เนี่ยนะร้องเพลง กูสงสารคนฟังวะ”

พี่ต้าร์หัวเราะลั่นเมื่อได้ยินที่พี่นัทถามก่อนจะเอามือมาตบหลังจนผมแทบเซ แกเคยได้ยินผมร้องเพลงตอนไปคาราโอเกะด้วยกัน วันนั้นแกก็หัวเราะแบบนี้ไม่ยอมหยุด ไม่รู้จะขำอะไรนักหนา

“งั้นก็เล่นดนตรีสินะ เล่นอะไรเหรอครับน้องกี้”

“กี้มันเล่นดนตรีไม่เป็นหรอกครับ”

ผมยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้อินเพื่อนผมก็ชิงตอบแทนผมเสียก่อน

“อ้าว”

พวกพี่ ๆ ต่างพากันทำหน้างง ๆ คงสงสัยว่าแล้วคนที่ไม่มีความสามารถเกี่ยวข้องอะไรกับดนตรีอย่างผมมาทำอะไรที่นี่ ผมได้แต่ยิ้มแหย ๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

“ไอ้กี้มันเป็นฝาแฝดไอ้อินมันน่ะ ฮ่า ๆ”

ผมเหล่มองคนที่ยังหัวเราะไม่เลิก ดูท่าทางพี่ต้าร์จะตลกมากนะครับ แล้วใครไปเป็นฝาแฝดกับไอ้อินมันตั้งแต่ตอนไหนครับ

“หือ เป็นแฝดที่ดูไม่เหมือนกันเลยนะ”

เอ่อ พี่แจ๊คก็ดันเชื่อที่พี่ต้าร์พูดอีกนะครับ แค่ดูจากหน้าตาของผมกับอินบอกว่าเป็นญาติห่าง ๆ กันยังไม่มีใครเชื่อเลยครับ ก็อินมันออกจะตัวสูงใหญ่ หน้าเข้ม ตาคมกริบ ส่วนผมนี่ก็หน้าตี๋ ๆ จืด ๆ ตาสองชั้นที่มีก็หลบในจนมองแทบไม่ออก

“กี้มันเป็นเพื่อนสนิทของผมครับ มันอยากจะหัดเล่นกีตาร์อยู่พอดี ผมก็เลยชวนมันมาสมัครเข้าชมรม”

ผมหันขวับไปมองหน้าเพื่อนสนิททันที กูบอกมึงว่าอยากหัดเล่นกีตาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“ใช่ไหมวะกี้”

มันส่งสายตาให้ผมรู้ว่าต้องยอมเออออไปกับมันด้วย ไอ้นี่จะทำอะไรไม่เตี๊ยมกันก่อนเลย

“เอ่อ ครับ ผมอยากจะลองหัดเล่นกีตาร์น่ะครับ เลยขอตามอินมาสมัครเข้าชมรมด้วย”

“อ้าว แล้วก็ไม่บอกกู ให้กูสอนก็ได้นะไอ้กี้”

พี่ต้าร์คงงง ๆ ที่รู้จักกันมาตั้งนาน ผมเพิ่งจะอยากมาหัดเล่นกีตาร์ตอนนี้ ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พี่แก

“ให้พี่สอนก็ได้นะครับกี้ พี่ก็เล่นกีตาร์เป็นนะ”

พี่นัทเอ่ยปากอาสาพร้อมกับส่งยิ้มหล่อ ๆ ท่าทางใจดีแบบพี่นัท ถ้าเรียนด้วย คนหัวช้าแบบผมคงไม่ถูกสอนไปด่าไปแบบที่คาดว่าจะเกิดถ้าเรียนกับคนปากจัดอย่างพี่ต้าร์ หากยังไม่ทันจะพูดอะไร ไอ้คนที่ยิ้มอยู่ข้าง ๆ ก็เอาโอบไหล่ผมแล้วแย่งพูดแทนอีกแล้ว

“ขอบคุณครับ แต่คงไม่รบกวนดีกว่า ให้พี่ต้าร์สอนดีแล้วครับ ยังไงกี้มันก็สนิทกับพี่ต้าร์อยู่แล้ว”

“ใช่ ๆ เดี๋ยวกูสอนเอง”

พี่ต้าร์รับอาสาอย่างแข็งขัน นี่อยากจะสอนผมขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นแล้วผมก็ไม่อยากขัดศรัทธาพี่แกที่อยากรับผมเป็นลูกศิษย์

“ผมเรียนกับพี่ต้าร์ก็ได้ครับ”

“งั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นอินมาช่วยกันเลือกเพลงที่จะเล่นงานเปิดโลกกิจกรรมด้วยนะ”

พี่แจ๊คพูดถึงงานเปิดโลกกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า ทุกชมรมในมหาลัยจะเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ ซึ่งแต่ละชมรมก็จะมีกิจกรรมแนะนำชมรมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละความถนัดและจุดขายของชมรมนั้น ๆ โดยทุกปีชมรมดนตรีสากลมักจะใช้การเปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เพื่อเรียกความสนใจจากเด็กปี 1

“ครับพี่”

อินรับปากพี่แจ๊คตามที่นัดแนะ ส่วนผมเองก็ต้องหันไปรับปากว่าที่คุณครูด้วยเหมือนกัน

“พรุ่งนี้มึงมาเริ่มหัดกีตาร์ด้วยนะกี้”

“ครับพี่”


ต่อข้างล่าง
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2018 22:09:32 โดย Polkaneko »

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
“ทำไมกูต้องหัดเล่นกีตาร์ด้วยวะ”

ผมถามคำถามที่ค้างคาใจทันทีที่พวกเราเดินออกมาจากตึกกิจกรรม

“ไม่บอกว่าหัดกีตาร์แล้วมึงจะเข้ามาอยู่ชมรมดนตรีได้ไง เล่นอะไรกับเขาก็ไม่เป็นสักอย่าง”

อินทำหน้าแบบผมถามคำถามที่ไม่น่าจะถามออกไป ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน

“แล้วทำไมกูต้องเข้าชมรมดนตรีด้วยวะ กูก็ไม่ได้อยากจะอยู่ชมรมนี้นี่”

อยู่ ๆ ไอ้คนตัวโตก็หยุดกึก แขนที่พาดบ่าเหนี่ยวรั้งตัวผมไว้ไม่ให้ก้าวเดินไปได้ต่อ ผมจึงหันไปมองก็พบว่าหน้าของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังกำลังก้มลงมาห่างกันไม่ถึงคืบ

“แต่กูอยากให้มึงอยู่ กูอยู่ชมรมนี้ มึงก็ต้องอยู่ชมรมนี้ด้วย”

ผมย่นคิ้วเข้าหากันด้วยความขัดใจ

“มึงเผด็จการอีกละ”

“งั้นมึงอยากเข้าชมรมไหน บอกกูมาสิ”

อินจ้องหน้ารอคำตอบจากผมด้วยสายตาจริงจัง

มึงอย่ากดดันกูได้ไหม...

“...”

“คิดออกยัง”

ผมเม้นปากอย่างใช้ความคิด เอาจริง ๆ เรื่องชมรมอะไรนี่ก็ไม่เคยอยู่ในหัว ผมมันไม่ใช่เด็กกิจกรรมอะไรอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นอินที่เป็นคนชวนผมทำโน้นทำนี้มากกว่า

“เอ่อ กูอยู่ชมรมนี้ก็ได้ ไหน ๆ ก็มีพี่ต้าร์อยู่ด้วย”

“มึงอยู่กับกูน่ะดีแล้ว เชื่อกู”

อินยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขยี้เส้นผมข้างหน้าของผมจนลงมาปรกตา รอยยิ้มละมุน ๆ ถูกส่งมาให้ ก่อนที่มันจะผละออกเดินนำไป ผมยกมือขึ้นลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่พร้อมกับมองคนที่กำลังเดินห่างออกไป

ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องยอมตามใจมันทุกที...

“มึงจะกลับเลยไหมกี้ ชักช้าเดี๋ยวกูไม่ไปส่งนะ”

คนที่ผมกำลังมองหันมาตะโกนเรียกเมื่อเห็นผมยังยืนอยู่ที่เดิม ทำให้ผมต้องรีบเดินตามมันไปจนทัน

“นี่ก็ยังไม่เย็นมาก มึงไม่แวะไปที่คณะก่อนเหรอ กูอยากไปดูเขาคัดดาวเดือนกัน”

ผมรีบชวนเมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา ถ้ารีบไปที่คณะตอนนี้ก็น่าจะทันการประชุมคัดเลือกดาวเดือนของคณะวิทยาศาสตร์

“ไปทำไม ขืนไปกูก็โดนให้เป็นเดือนสิ”

ไม่เถียงเรื่องหน้าตามันครับ สู้มันไม่ได้จริง ๆ แต่ก็อดที่จะหมั่นไส้ในความมั่นหน้าของเพื่อนสนิทผมคนนี้ไม่ได้
 
“ทำไมมึงถึงไม่อยากเป็นเดือนคณะวะ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ถ้าเป็นเดือนคณะ มันก็ต้องไปซ้อมไปเก็บตัวกับพวกตัวแทนคณะอื่นหลาย ๆ วันใช่ไหม กูก็แค่ไม่อยากไป”

“แล้วไงวะ เมื่อก่อนตอนอยู่โรงเรียนกูก็เห็นมึงชอบทำกิจกรรมนี่ อาจารย์ขอให้ไปช่วยอะไรมึงก็ไปตลอด”

ผมยังจำได้ว่าอินทั้งเป็นตัวแทนไหว้ครู ถือธงโรงเรียนตอนเดินขบวน แล้วปีสุดท้ายมันยังเป็นดรัมเมเยอร์ประจำสี ยังบังคับให้ผมไปดูมันซ้อมควงคทาทุกวันอยู่เลย

“ก็มันไม่เหมือนกัน งานนี้เขาเลือกตัวแทนคณะไปแค่ 2 คน”

“ก็แล้วยังไงวะ”

ยิ่งอินมันพูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจเหตุผลของมัน ดาวกับเดือนคณะมันก็ต้องมี 2 คนก็ถูกแล้ว

“เออ เอาเป็นว่ากูไม่อยากเป็นก็แค่นั้น” คิ้วเข้มของคนตัวโตกว่าผมขมวดเข้าหากันก่อนมันจะตัดบท

“ประหลาดนะมึง”

“ช่างกูเหอะ ขี้เหร่อย่างมึงไม่เข้าใจหรอก”

อ้าว ไอ้นี่ เอะอะว่ากูขี้เหร่ตลอด ยังมาทำเป็นมองด้วยหางตาอีกนะ

“งั้นกูไปดูคนเดียวก็ได้”

มันไม่ไป ผมก็ไม่เห็นต้องง้อ ไปเองก็ได้ จากตึกกิจกรรมเดินไปที่คณะของพวกผมก็ไม่ได้ไกลอะไร

“ไม่เอา มึงต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนกู”

“ไม่เอา กูจะไปคณะ”

เมื่อกี้ก็ตามใจเรื่องชมรมไปเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอะไรผมต้องยอมมันเรื่องนี้ด้วยละครับ

“กูเลี้ยงอาหารญี่ปุ่น”

“ป่ะ รถมึงจอดไว้ตรงไหนนะ กูหิวจะแย่ละมึง”

ผมรีบเดินนำไปทันที ไม่ได้เห็นแก่ที่มันจะเลี้ยงหรอกนะครับ แค่สงสารถ้าอินมันต้องกินข้าวคนเดียวก็เท่านั้น


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
ขอฝากนิยายเรื่องแรกของเราด้วยนะคะ *โค้ง*



ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
ตอนที่ 2

   พักนี้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองมีอาการแปลก ๆ ครับ

   มัน...จะอธิบายยังไงดีละ ผมว่าอาการที่ผมเป็นอยู่มันค่อนข้างจะฟังดูพิลึก

คือ...ผมรู้สึกเหมือนกับมีตัวอะไรสักอย่างกำลังบินวนอยู่ในท้อง...

ใช่ครับ...บินอยู่ในท้อง แต่มันไม่ได้บินหึ่ง ๆ แบบผึ้ง หรือตีปีกพรึบพรับแบบนกนะครับ แต่มันกลับจะค่อย ๆ ขยับปีกช้า ๆ ก่อนจะบินวนไปวนมาอยู่ในท้องของผม

แต่ที่แปลกไปกว่านี้คือ อาการที่ผมว่ามามันจะเกิดขึ้นกับผมเฉพาะเวลาที่ผมอยู่กับใครคนหนึ่งเท่านั้น


“ไอ้กี้...ไอ้กี้!”

“โอ้ย”

ผมลูบหัวเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่โดนพี่ต้าร์เอากระดาษจดคอร์ดกีตาร์ม้วนเป็นแท่งแล้วฟาดลงบนหัวของผม

“มัวแต่เหม่อนะมึง แล้วเมื่อไหร่จะจับคอร์ดถูก เอไมเนอร์นี่กูสอนมึงมาเกือบชั่วโมงละยังดีดไม่ได้อีก”

พี่ต้าร์แม่งโหดครับ ปกติเห็นใจดีขี้เล่นจะตาย ใครจะไปคิดว่าเวลาสอนกีตาร์จะดุขนาดนี้ เอะอะฟาด เอะอะตี ผมว่าสมองผมคงมึนก่อนที่จะจับไอ้คอร์ดพวกนี้ได้ถูกแน่เลยครับ

“ก็มันยากนี่พี่ เนี่ยนิ้วผมเจ็บไปหมดแล้ว”

ผมบ่นอุบอิบ นี่กดคอร์ดจนนิ้วจะขาดอยู่แล้วครับ ดีดกี่รอบก็ยังบอด ไอ้ผมมันไม่ได้มีหัวทางนี้เลย ตั้งแต่มาหัดกีตาร์กับพี่ต้าร์ 2-3 วันมาแล้วยังไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นสักนิด

   “เออ กูให้เวลามึงพัก 10 นาที”

   พี่ต้าร์ลุกขึ้นไปหาพี่แจ๊คที่นั่งแกะเพลงที่จะใช้เล่นในงานวันเปิดโลกกิจกรรมอยู่อีกฝั่งของห้อง ผมวางกีตาร์ลงบนพื้นข้างตัวแล้วค่อย ๆ นวดปลายนิ้วให้คลายความเจ็บ

   “พักกินน้ำสักหน่อยสิครับ”

   ขวดชาเขียวเย็น ๆ ที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นพี่นัทสุดหล่อนี่เอง พี่นัทนั่งลงบนพื้นข้างกันแล้วส่งขวดชาเขียวในมือให้ผม

   “ขอบคุณครับ”

   ผมยิ้มขอบคุณแล้วยื่นมือไปจะรับขวดชาเขียวจากพี่นัท แต่กลับมีมือหนึ่งมาคว้าไปแทน

   “ขอบคุณนะพี่ ผมกำลังคอแห้งพอดี เมื่อกี้ซ้อมร้องไปหลายเพลง”

   อินเปิดขวดชาเขียวแล้วยกดื่มไปหลายอึก เมื่อกี้ยังเห็นมันยังยืนอยู่ข้างพี่แจ๊ค ไม่รู้มันมานั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่ตอนไหน แล้วทำไมต้องมาแย่งของผมด้วยนะ

   “ไอ้อิน นั่นพี่เขาให้กูนะ”

   อินเขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนที่มือหนึ่งของมันจะเกี่ยวคอผมไว้ ส่วนอีกมือก็ถือขวดชาเขียวที่มันเพิ่งดื่มมาจ่อที่ปากผม

   “อ่ะ งั้นมึงก็กินด้วยสิ”

   มันยกขวดกระดกให้น้ำชาไหลเข้ามาในปากผมทำเอาผมแทบสำลัก ต้องรีบดันมือมันออก

   “แค่ก...เล่นบ้า ๆ นะมึง”

   ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก ผมยกหลังมือขึ้นเช็คหยดน้ำที่ไหลจากมุมปาก

   “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ”

   ผมหันมายิ้มให้พี่นัทที่ลุกขึ้นพลางก้มหัวให้นิด ๆ ขอบคุณอีกฝ่ายที่อุตส่าห์เอาน้ำมาให้

   “มึงมาแย่งน้ำกูกินทำไมไอ้อิน ทุกทีเห็นไม่ชอบกินชาเขียวไม่ใช่เหรอ”

   ปกติอินมันไม่ชอบดื่มพวกชาเขียวเป็นขวดเท่าไหร่นัก มันมักจะบ่นว่ามันหวานไป แต่วันนี้นึกยังไงถึงมาแย่งขวดชาเขียวไปดื่ม

   “ก็วันนี้กูอยากกิน”

   บอกว่าอยากกิน แต่กลับวางขวดที่เพิ่งแย่งผมไปบนพื้นอย่างไม่สนใจจะดื่มต่อแล้ว พอผมจะหยิบมาดื่มบ้างกลับถูกมันคว้ามือไว้

   “มึงกินนี่ดีกว่า”

   นมกล่องรสช๊อกโกแลตถูกส่งมาให้แทน อินแกะหลอดเสียบลงบนกล่องนมแล้วยื่นให้ผม

   “อ่ะ กินนมจะได้โตไว ๆ”

   ผมรับมาดูดเอาไปอึกใหญ่พร้อมกับอาการแปลก ๆ ที่มันเริ่มจะก่อตัวขึ้นอีกแล้ว

   พรึบ...

   ...ได้ยินไหมครับ เจ้าสิ่งที่อยู่ในท้องของผมมันเริ่มขยับปีกบินอีกแล้วครับ มันกำลังบินวนช้า ๆ อยู่ในท้องของผม

   “มึงเป็นอะไรเปล่าวะ”

   “เฮ้ย”

   ผมผละออกตกใจที่อยู่ ๆ อินก็เอาหน้าหล่อ ๆ ของมันเข้ามาใกล้ ดวงตาคู่สวยของมันที่ช้อนมองผมด้วยความเป็นห่วงกับคิ้วเข้มที่ขมวดยิ่งทำให้ไอ้เจ้าที่อยู่ในท้องผมกระพือปีกบินใหญ่

   “เจ็บมือเหรอ”

   มันจับมือข้างซ้ายของผมขึ้นมา นิ้วเรียวยาวของมันไล่ไปตามปลายนิ้วของผมเบา ๆ ภาพที่เห็นทำเอาหน้าผมรู้สึกร้อน ๆ ชอบกล

   “มึงนี่ท่าทางจะไม่รอดนะ กูเห็นโดนพี่ต้าร์ดุใหญ่เลยนี่”

   “ก็เพราะใครละ กูไม่ได้อยากจะหัดเล่นกีตาร์สักหน่อย”

   ผมทำหน้ามุ่ยก็เพราะคำพูดของไอ้เพื่อนบ้านี่แหละทำให้ผมต้องมาลำบากแบบนี้

   “เอาน่า เดี๋ยวพี่ต้าร์ก็ยอมแพ้ความโง่ของมึงไปเองแหละ”

   “ไอ้เชี่ยอิน”

   ผมกระชากมือที่มันจับไว้ออกทันที หลอกด่าผมตลอด  ผมก้มหน้าดูดนมกล่องที่มันให้มาจนหมด มองจากหางตาก็เห็นว่ามันลุกขึ้นไปหาพวกพี่แจ๊คแล้ว พออินลุกไปเจ้าตัวที่อยู่ในท้องของผมก็สงบอาการลงตามไปด้วย

   ใช่แล้วครับ

   อาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับผม มันจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่ผมอยู่ใกล้ชิดกับอิน ยิ่งช่วงนี้ไม่รู้ทำไมอินมันถึงมาวอแวผมมากกว่าปกติ เดี๋ยวกอด เดี๋ยวโอบ แถมยังใจดีเป็นพิเศษ เวลาที่มันมากอด มาทำใจดีด้วย อาการผมก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ

   ผลั่ก!

หน้าผากผมแทบจะโขกกับกีตาร์ที่ถืออยู่เพราะแรงส่งจากมือที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาจากข้างหลัง ทำเอาผมหันขวับไปดูทันที

   “หมดเวลาพักละ เอาแต่นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ”

   พี่ต้าร์นี่สายปากว่ามือถึงจริง ๆ ครับ ผมว่าผมคงน่วมก่อนจะเล่นกีตาร์เป็นสักเพลงแน่ ๆ

   “โถ ผมกำลังทำสมาธิอยู่”

   “คอร์ดเดียวเนี่ยเล่นให้มันได้สักทีเหอะ”

   พี่ต้าร์คว้ากีตาร์อีกตัวมานั่งแกะเพลงอยู่ข้าง ๆ ผมไปพลาง ๆ พร้อมกับสอนผมไปด้วย ผมพยายามกดสายกีตาร์ตามที่พี่ต้าร์สอนซ้ำ ๆ สายตาแอบชำเลืองดูคนอื่นในห้องด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ผมก็เขยิบเข้าไปใกล้อาจารย์ที่นั่งเกากีตาร์อยู่

   “พี่ตาร์ ผมมีอะไรจะปรึกษา”

   “อะไรวะ ติดตรงไหนเหรอ”

   “ไม่ใช่เรื่องกีตาร์พี่”

เห็นดูเถื่อน ๆ แบบนี้พี่ต้าร์แกเรียนหมอนะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่ามือหนักแบบนี้จะรักษาคนไข้อย่างไง มีหวังคนไข้คงช้ำในตายเพราะมือหมอก่อนจะได้รักษา แต่ที่แน่ ๆ พี่แกฉลาด คงพอจะรู้ว่าไอ้อาการประหลาด ๆ ที่ผมเป็นอยู่มันเป็นโรคอะไร ผมเลยคิดจะเล่าอาการของผมให้พี่แกช่วยวิเคราะห์

“มีอะไรก็ว่ามา ถ้าจะยืมตัง บอกไว้ก่อนเลยนะว่ากูไม่มี ช่วงนี้กูช็อต”

พี่ต้าร์รีบออกตัวปฏิเสธทันที ไม่ทันให้ผมได้อธิบายอะไร

“ไม่ใช่พี่...คือ...”

ผมหันไปมองซ้ายมองขวาอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในรัศมีการได้ยิน

“คือผมคิดว่าตัวเองกำลังป่วยเป็นอะไรสักอย่าง”

ผมกลั้นใจบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง พี่ต้าร์ยังดูงง ๆ อยู่ ผมเลยรีบเล่าอาการให้แกฟัง

“คือ...อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างบินไปบินมาอยู่ในท้องผมล่ะพี่ แล้วมันก็เป็นทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้ไอ้อิน ไอ้ตัวที่อยู่ในท้องมันก็ขยับปีกบินให้ว่อนเลยล่ะพี่ ผมจะทำยังไงดีพี่ต้าร์”

พี่ต้าร์ดูอึ้ง ๆ กับเรื่องที่ได้ยินไปเหมือนกัน ผมเลยกล่าวย้ำอีกครั้ง

 “จริง ๆ นะพี่ ไอ้ตัวที่ว่าเนี่ยมันอยู่ในท้องของผมจริง ๆ ”

“มึงบอกว่ามีตัวอะไรบินอยู่ในท้องมึงเวลาเข้าใกล้ไอ้อิน...อย่างงั้นเหรอ”

ผมพยักหน้างึกงักกับคำพูดที่กว่าจะหลุดปากจากคนที่ยังนั่งอึ้งไม่เลิก

“ไอ้ตัวที่อยู่ในท้องมึงนี่ ตัวเล็ก ปีกบาง ๆ ค่อย ๆ บินใช่ไหมวะ”

ผมพยักหน้ารัว ๆ สองสามที

“คล้าย ๆ กับ...ผีเสื้อ?”

คราวนี้ผมพยักหน้าจนคอเกือบหลุด

ใช่เลยครับ!

ผมนึกอยู่ตั้งนานแล้วว่าไอ้ตัวที่อยู่ในท้องของผมนี่มันน่าจะเป็นตัวอะไรนะ ท่าทางผมจะมาปรึกษาถูกคนแล้วละครับ พี่ต้าร์ต้องรู้แน่ ๆ ว่าผมเป็นอะไร

“พี่รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นอะไร”

 “มึงบอกว่ามึงจะเป็นเฉพาะเวลาที่มึงอยู่ใกล้ไอ้อินใช่ไหม”

พี่ต้าร์จ้องหน้าผมเขม็ง ผมพยักหน้ารับ

“ชัดเลยมึง กูว่าละ”

เห็นพี่ต้าร์ถอนหายใจท่าทางปลง ๆ ผมกลับยิ่งกระวนกระวายใจ

“ว่าแต่เรื่องนี้อินมันรู้หรือเปล่าวะ”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“เออ ดีละ มึงอย่าเพิ่งบอกมัน”

“นี่สาเหตุมันเป็นเพราะไอ้อินใช่ไหมพี่ แล้วนี่ผมต้องทำยังไงดี ผมไม่อยากป่วยเป็นโรคประหลาดแบบนี้นะ พี่ต้าร์ต้องช่วยผมนะ”

ผมจับแขนพี่ต้าร์เขย่าแรง ๆ จนพี่แกต้องสะบัดหนี

“ใจเย็นไอ้น้อง”

มือใหญ่ตบลงบนบ่าผมด้วยแรงไม่ใช่น้อย ทำเอาผมแทบทรุดไปเหมือนกัน

“โรคนี้มันรักษาไม่ยากหรอก เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะบอกวิธีให้ หึ ๆ ”

ในที่สุดผมก็มีทางรอดแล้วครับ ผมรู้ว่าพี่ต้าร์ของผมพึ่งพาได้เสมอ แต่ทำไมผมรู้สึกว่าพี่ต้าร์แกยิ้มเหี้ยมๆ ชอบกล


‘มึงต้องเริ่มวันนี้เลยนะโว้ย ถ้ามึงอยากหาย’

ผมนึกถึงคำพูดที่พี่ต้าร์บอกถึงวิธีรักษาอาการประหลาดๆ ของผม ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องกินยา แค่ทำตามที่พี่แกบอก

ได้ครับพี่...ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง

“เฮ้ย ไอ้กี้ รอกูด้วยสิวะ”

อินตะโกนเรียกขณะที่ผมกำลังสะพายกระเป๋าเดินออกจากชมรมทันทีที่พี่ต้าร์สอนผมเสร็จ มันรีบเดินตรงมาหาผม เห็นแบบนั้นผมเลยก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แต่มันก็วิ่งมาดึงแขนเสื้อผมไว้ทัน

ผมขยับตัวถอยหลังไปสามก้าวทันที ถอยมามองหน้าหล่อ ๆ ที่ดูงงกับปฏิกิริยาของผม

“มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็เก็บของเดินออกมาไม่รอกู”

ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อน ๆ ให้มันโวยวาย ใจจริงผมก็ไม่อยากทำแบบนี้นะครับ แต่เพราะนี่เป็นหนึ่งในวิธีรักษาที่พี่ต้าร์บอกกับผมนั่นแหละ

ข้อที่หนึ่ง ห้ามอยู่ใกล้อินในระยะสัมผัส

จริง ๆ พี่ต้าร์แกจะให้ผมอยู่ห่างจากอิน 10 เมตรเสียด้วยซ้ำ แต่เกรงว่าจะลำบากเกินไป เลยลดเหลือแค่ระยะประชิดตัวก็พอ แกบอกค่อยๆ รักษาอาการกันไปละกัน แถมพี่ต้าร์กำชับนักกำชับหนาว่าให้เริ่มลงมือปฏิบัติทันที

“มึงเริ่มเลยนะ กูเห็นไอ้อินมันชอบมากอดมาโอบไหล่มึง มึงก็อย่าไปยอม”

“มันมากอดของมันเอง ผมไม่ได้ไปกอดมันสักหน่อย”

“เออๆ นั่นแหละ มันใกล้กันเกินไป ยิ่งใกล้มันอาการมึงยิ่งกำเริบไม่ใช่เหรอ”

“โอเค ไม่ให้มันเข้าใกล้ แล้วไงต่อพี่”

“เวลากลับมึงก็ไม่ต้องให้มันไปส่งด้วย”

“อ้าว แล้วผมจะกลับยังไงละพี่”

“ไม่รู้โว้ย รถเมล์ สองแถว แท็กซี่ก็มีเยอะแยะ”

“เอางั้นก็ได้พี่”

พอผมรับคำ ที่ปรึกษากิตติมาศักดิ์ของผมก็ยิ้มกว้างไล่ผมให้เก็บของกลับทันที


“ว่าไง เป็นอะไร”

เสียงที่ปกติฟังทุ้มนุ่มละมุนหูว๊ากถามทำเอาผมสะดุ้ง แถมมันมายืนจ้องหน้าชิดติดผมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย จะถอยก็ถอยไม่ได้เนื่องจากเมื่อกี้ผมดันถอยหลังหนีไปติดกำแพง ผมหันไปเจอดวงตาคมจ้องคาดคั้น มึงไม่ต้องทำตาดุขนาดนั้นก็ได้ แค่นี้กูก็กลัวแล้ว

“มึงหลบตากูทำไม”

“เปล่า ไม่ได้หลบ”

ผมแค่หันหน้าไปมองทางบันได มองทางหนีทีไล่แค่นั้นเอง ก็พี่ต้าร์ว่าที่คุณหมอเขาบอกไว้ว่า...
 
ข้อที่สอง ห้ามมองหน้า ห้ามสบตาอิน

พี่ต้าร์อธิบายว่ายิ่งมองหน้าอิน มันจะยิ่งทำให้อาการของผมทรุดลงเร็วกว่าเดิม แต่ตอนนี้ไอ้ตัวต้นเหตุมันเล่นมายื่นหน้ามาเสียชิด นี่กะจะเล่นจ้องตากับผมหรือไงไม่ทราบ

“ไอ้อิน ไอ้อินโว้ย”

สวรรค์โปรด ส่งพี่ต้าร์มาช่วยผมแล้วครับ

มาถึงพี่แกก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่น้องชายสุดที่รักทันที แถมยังหวังดีช่วยดึงไอ้หน้าหล่อออกห่างจากผมด้วย

“อินมึงจะรีบไปไหนวะ พี่แจ๊คเรียกแหนะ บอกจะให้มึงลองดูลิสต์เพลงอีกที เห็นว่าไอ้นัทอยากจะเปลี่ยนเพลงสุดท้าย แล้วก็พี่เป้จะมาเล่นแซกด้วยเพลงนึง มึงว่าเอาเพลงไหนดีวะ จะเอาเพลงที่มีแซกอยู่แล้ว หรือว่าจะทำดนตรีใหม่ดีวะ”

“เอ่อ...”

ท่าทางไอ้อินของพี่ต้าร์จะยังไม่ทันตั้งตัว หรือว่างงกับคำถามที่มาเป็นชุดของพี่แกก็ไม่ทราบได้ ผมเลยรีบอาศัยจังหวะที่อินมันเผลอขยับตัวจะหนี หากไอ้คนตาไวหันมาเห็นเสียก่อน

“จะไปไหนกี้”

ผมมองหน้าพี่ต้าร์พร้อมกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

“เออ...กี้ เมื่อกี้มึงบอกว่าปวดท้องไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปหาข้าวหายากินสิ”

“หา..ใช่ๆ ปวดท้องว่ะอิน ไม่รู้กินไรมา กลับก่อนละนะ”

ผมรับมุกที่พี่ต้าร์ส่งให้โดยการเอามือกุมท้องทันที แล้วรีบเดินลงบันไดลงมาเลย ปล่อยอินให้อยู่กับพี่ต้าร์ต่อไป ได้ยินแต่เสียงพี่ต้าร์เจื้อยแจ้วลากนักร้องนำของวงกลับเข้าห้องชมรมไป

หวังว่าวิธีของพี่ต้าร์จะได้ผล ผมจะได้หายจากโรคประหลาดนี้เสียที


TBC.

ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องกี้คนซื่อออ :m20:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กี้เพิ่งจะเริ่มชอบอิน แต่อินนี่น่าจะชอบมานานแล้ว อะไรที่กี้ทำแล้วคนอื่นจะสนใจนี่กันซีนตลอด พี่ต้าก็คงรู้ แค่อยากแกล้งอินใช่ป่าว?

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
โดยพี่ต้าร์แกล้งให้แล้วทั้งคู่ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ usguinus

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่าร้ากกกกก อินแอบชอบมานานแล้วแน่ๆ
รอตอนต่อไปค่า :katai5:

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แอร้ยยยยยยย ชอบบบแนวนี้ฟหหกดดๆก่กาดาเสเววด  :pighaun: :jul1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ต่างคนต่างชอบกัน เบยๆ

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
พี่ต้าร์แกล้งอ่ะ รักษาจริง ต้องให้กี้จับอินจูบนะ อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 1 และ 2 [16/12/2017]
« ตอบ #9 เมื่อ: 19-12-2017 19:06:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
«ตอบ #10 เมื่อ23-12-2017 22:02:17 »

ตอนที่ 3

“เฮ้อ...”

“เป็นอะไรวะมึง เห็นนั่งถอนหายใจตั้งแต่เมื่อกี้ละ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองชมพู่ที่เอื้อมมือมาหยิบแท่งป๊อกกี้รสกล้วยจากกล่องในมือผมไปกิน ผมส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง ทำเอาคนที่มองอยู่ได้แต่ส่งป๊อกกี้เข้าปากก่อนจะกรอกตาแล้วก้มหน้ากลับไปสนใจรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะแทน

ผมกับชมพู่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ตึกคณะเพื่อรอเวลาเรียนคาบแรกตอน 10 โมง มายเพิ่งลุกไปซื้อน้ำเมื่อกี้ ส่วนเพื่อนอีกคนในกลุ่ม...

   ....ตอนนี้อินมันกำลังทำอะไรอยู่นะ

   นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้วแต่อินมันยังไม่มาเลย มันจะกินข้าวก่อนมาเรียนหรือเปล่า แล้วนี่มันซ้อมร้องเพลงถึงไหนแล้วนะ คิดแล้วก็อยากไปดูอินร้องเพลง

...อยากไปหา...อยากเจอ...

ผมส่ายหน้าแรง ๆ กับความคิดของตัวเอง

ไม่ได้ ๆ ...ต้องทำตามที่พี่ต้าร์บอก ห้ามเข้าใกล้ ห้ามมองหน้า ห้ามสบตา...

...แต่พี่ต้าร์ไม่ได้ห้ามไม่ให้นึกถึงมันนี่หน่า

   นี่ก็ 3 วันแล้วนับจากวันที่ผมรวมหัวกับพี่ต้าร์หลอกอินว่าปวดท้องแล้วหนีกลับหอไปก่อนโดยทิ้งมันไว้ที่ชมรม อินก็โทรมาถามอาการของผมแล้วบอกว่าตอนเช้าจะแวะมารับผมไปเรียนด้วยกัน แต่พอถึงเวลาผมก็ไม่อยู่รอมัน ตัดสินใจนั่งรถเมล์มาเรียนเอง แม้ว่ามันจะลำบากสักหน่อยสำหรับผม ตอนนั่งเรียนในคาบผมก็ไม่ยอมนั่งติดกับอิน ให้ชมพู่กับมายนั่งคั่นกลาง เวลาอินจะคุยด้วยผมก็ทำเป็นยุ่งอยู่บ้าง แกล้งทำเป็นมึน ๆ ไม่ได้ยินที่อินมันเรียกบ้าง พอหมดคาบก่อนที่มันจะเดินมาหาผมก็แอบหนีกลับก่อน และไม่ยอมโผล่หน้าไปที่ชมรมดนตรีโดยที่พี่ต้าร์ก็คอยช่วยหาข้ออ้างให้ อินโทรมาผมก็รับบ้างไม่รับบ้าง อ้างว่าทำโน้นทำนี้ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้าง

แต่แทนที่อาการของผมจะดีขึ้น ผมกลับรู้สึกว่ามันแย่ลงกว่าเดิม...

เพราะผมเคยชินกับการที่มีอินอยู่ข้าง ๆ ตลอดมา...

ปกติผมกับอินเราคุยกันแทบทุกวัน อาจมีบ้างบางวันที่ไม่ได้เจอกัน แต่ก็ยังคุยกันตลอด แต่พอจู่ ๆ ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้พูดคุยกันเหมือนเดิม ผมก็เผลอเอาแต่คิดว่าตอนนี้อินกำลังทำอะไรอยู่ พอยิ่งคิด เจ้าพวกผีเสื้อที่อยู่ในท้องก็พากันบินให้ว่อน และดูเหมือนจะบินกันให้วุ่นวายปั่นป่วนกระเพาะผมมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

วิธีของพี่ต้าร์มันจะได้ผลจริงเหรอ ผมชักจะสงสัย คิดไปคิดมาถึงพี่ต้าร์จะเรียนหมอแต่ความเกรียนของพี่แกก็ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่...

“เฮ้อ..”

   “ถ้ามึงจะถอนหายใจถี่ขนาดนี้ กูถามจริง ๆ มึงเป็นอะไรวะ”

   ชมพู่มันคงรำคาญผมเต็มทนถึงได้วางปากกาแล้วจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

   “มึงมีปัญหาอะไรกับอินหรือเปล่ากี้”

   “หา..เปล่า” ผมรีบปฏิเสธเสียงสูง “ไม่มีอะไร”

   “ก็ 2-3 วันนี่ กูเห็นมึงไม่ยอมพูดยอมจากับไอ้อินมัน” ชมพู่ตั้งข้อสังเกตจากพฤติกรรมของเพื่อน “ไอ้อินแม่งก็ดูหงุดหงิดเวลาที่อยู่ ๆ มึงหายหัวไป”

   “ก็ไม่ได้มีอะไร กูแค่ยุ่ง ๆ”

   “เหรอวะ”

   “เออ ไม่มีอะไรจริง ๆ” ชมพู่ยังจ้องหน้าเขม็งจนผมต้องแสร้งทำเป็นก้มหยิบป๊อกกี้ในมือขึ้นมากิน

   “กี้”

   เสียงทุ้ม ๆ แบบนี้ที่ดังมาจากด้านหลังของผมมีคนเดียวเท่านั้นแหละครับ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บอาการก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็น

   “มาแล้วเหรออิน”

   มายที่เดินกลับมายังโต๊ะพอดีเอ่อทักพร้อมกับวางขวดน้ำที่ผมฝากซื้อไว้บนโต๊ะ ผมเอ่ยขอบใจเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นคว้ากระเป๋าและขวดน้ำขึ้นมา

   “ไอ้กี้ กูขอคุยด้วยหน่อย”

   คนตัวสูงขยับตัวมาขวางทางไว้ไม่ให้ผมเดินไปต่อ

   “แต่นี่มันจะได้เวลาเรียนแล้วนะ เดี๋ยวหมดคาบค่อยคุยกันก็ได้”

   “ไม่” มันพูดเสียงแข็ง “กูจะคุยตอนนี้”

   อินหันไปบอกกับชมพู่และมายที่ยืนดูสถานการณ์อยู่

   “ชมพู่ มาย ไปเรียนก่อนเลย เดี๋ยวกูกับกี้ตามไป กูขอเคลียร์อะไรหน่อย” ประโยคสุดท้ายอินหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ทำเอาผมร้อน ๆ หนาว ๆ

   “เฮ้ย ใจเย็นนะอิน”

ชมพู่รีบเข้ามาห้ามหากมายกลับดึงแขนชมพู่ให้เดินไปด้วยกันพร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้

   “ยังไงก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันนะครับ”

   เฮ้อ พวกมึงอย่าเพิ่งไป อยู่ช่วยกูก่อน

   ผมได้แต่กรีดร้องในใจ ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ผมกับอิน ผมยังคงไม่กล้าสบตามัน แต่เห็นจากหางตาว่ามันถอนหายใจด้วยท่าทางที่รู้ว่าพยายามระงับอารมณ์อยู่

   “ไปคุยกันตรงโน้นดีกว่า”

   คนตัวสูงก้าวขายาว ๆ เดินนำไปก่อน แต่พอเห็นผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อินมันก็หันกลับมาคว้าข้อมือผมก่อนจะลากให้เดินตามไปที่ด้านข้างของตึกตรงที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน มันจึงปล่อยมือผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “มึงเป็นอะไรกี้”

   ผมเหลือบตามองเพื่อนสนิทก่อนจะหลุบตาลงมองที่ปลายรองเท้าตัวเองโดยไม่พูดอะไร ซึ่งนั่นคงทำให้คนอย่างอินทนิลหงุดหงิดไม่น้อย

   “เชี่ยกี้ กูถามว่ามึงเป็นอะไร”

   อินตะคอกผมเสียงดัง ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งและรู้สึกใจสั่น ๆ มีไม่กี่ครั้งหรอกครับที่อินจะเสียงดังใส่ผมแบบนี้ ถึงมันจะชอบด่าผมแต่มันก็แทบจะไม่เคยตะคอกด้วยอารมณ์เลย

   “กูไม่ได้เป็นอะไร” ผมได้แต่ตอบเสียงอ่อย ๆ

   “ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมมึงต้องหลบหน้ากู”

   ผมก้มหน้ากัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้

   “หรือมึงจะบอกว่าไม่ใช่”

   “มึงมองหน้ากู”

อินจับไหล่ของผมทั้ง 2 ข้าง ผมจำต้องเงยหน้าขึ้นมาเจอกับสายตาคมกริบของมันที่สะท้อนใบหน้าของผมในนั้น

   “มึงไม่พอใจอะไรกูมึงบอกกูมาตรง ๆ กูคบกับมึงมากี่ปี กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี มึงคิดว่ากูดูไม่ออกเหรอว่ามึงจงใจหลบหน้ากู มึงมีอะไรมึงก็พูดมาเลย ไม่ต้องมาทำแบบนี้”

   อินพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่ น้ำเสียงที่ราวกับว่ามันกำลังวิงวอนผมอยู่

    “อิน...คือว่ากู...”

ผมได้แต่เอ่ยตะกุกตะกัก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตามันตรง ๆ มันจะดีเหรอถ้าหากอินมันรู้ถึงอาการที่ผมเป็น

“กู...กูบอกไม่ได้”

   “กี้”

   อินเรียกชื่อผมเสียงแผ่วก่อนจะปล่อยมือที่จับผมไว้ให้ตกลู่ลงข้างตัว

   “นี่มึงยังเห็นกูเป็นเพื่อนไหมวะ”

   “อิน...”

   “กูเห็นมึงเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุด แต่สำหรับมึงกูคงไม่ใช่สินะ”

   คนตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ปลายเสียงติดจะสั่น ๆ ทำเอาผมใจหาย

   “ถ้ากูทำอะไรให้มึงไม่พอใจ กูก็ขอโทษนะกี้ แต่กูไม่รู้จริง ๆ ว่ะ กูคงเป็นเพื่อนที่แย่มากสำหรับมึงสินะ”

ความสั่นไหวที่ผมมองเห็นในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย ผมกำลังทำให้อินเสียใจ...

   “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะอิน มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู” ผมเอื้อมมือไปจับแขนมันไว้ ขณะที่อินเบือนหน้าหนี

   “ถึงมึงจะเอาแต่ใจ ชอบด่า ชอบว่ากู แต่มึงเป็นเพื่อนรักกูนะโว้ย”

   “ไม่จริงหรอก ถ้ากูเป็นเพื่อนรักมึง มึงจะหลบหน้ากูทำไม”

   ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ อินมันยังไม่ยอมหันกลับมามองผม

   “คือ..”

   อินดึงมือผมที่จับแขนมันไว้ออกก่อนจะตบที่ไหล่ผมเบา ๆ

   “กี้ มึงขึ้นไปเรียนเถอะ ต่อไปนี้กูจะไม่มาวุ่นวายกับมึงแล้ว”

   เฮ้ย อินมันพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง มันจะเลิกเป็นเพื่อนกับผมแล้วอย่างงั้นเหรอ

   “อิน เดี๋ยวก่อน” ผมรีบดึงแขนอินไว้ก่อนที่มันจะเดินจากไป แล้วบอกกับมันด้วยน้ำเสียงร้อนรน “กูยอมบอกแล้ว”

   อินหยุดหันกลับมามอง ผมจึงปล่อยมือก่อนจะค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกความลับของผมให้มันรู้

   “คือ...ตอนนี้กูกำลังป่วย”

   “ป่วย..มึงป่วยเป็นอะไรกี้” อินทำหน้าประหลาดใจ ท่าทางดราม่าเมื่อกี้หายวับไปในทันที คิ้วเข้มนั้นขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน

   “กูก็ไม่รู้”

ผมกัดริมฝีปากล่างแล้วกลั้นใจพูดต่อในส่วนที่เกี่ยวกับคนตรงหน้าโดยตรง

“กูรู้แค่ว่าเวลาที่กูอยู่ใกล้มึง กูมีอาการแปลก ๆ มันเหมือนมีผีเสื้อเป็นฝูงบินอยู่ในท้องกู”

เอาเหอะมึง...คงหัวเราะกูอีกล่ะสิ

...

หากอินมันกลับนิ่งเงียบเสียจนผมแปลกใจ นึกว่าจะได้ยินหัวเราะลั่นหลังจากที่มันได้ฟังเรื่องราวของผม ผมเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นหน้าหล่อเหลากำลังทำสีหน้าประหลาดสุด ๆ ดูเหวอ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ต่างจากพี่ต้าร์ตอนที่ได้ยินเรื่องเดียวกัน

“มึงว่าอะไรนะ...มึงบอกว่ามี...ผีเสื้อบินอยู่ในท้องมึง”

อินมันดูอึก ๆ อัก ๆ ชอบกลกว่าจะพูดออกมาได้

“...เวลาที่อยู่ใกล้กู”

“ก็ใช่นะสิ กูถึงไม่กล้าจะอยู่ใกล้มึงไง พอเข้าใกล้มึงทีไร แม่งบินกันให้ว่อนทุกที”

“กี้..”

เสียงทุ้มนั่นเรียกชื่อผมแผ่วเบา

“อะไรอีกล่ะ นี่กูก็บอกมึงไปหมดแล้วนะ”

นี่ผมยอมบอกมันหมดเปลือกแล้วนะครับ ไอ้คุณอินยังจะเอาอะไรจากผมอีก

“มึง...เออ..ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าตัวเองเป็นอะไร”

“ถ้ากูรู้กูจะไปปรึกษาพี่ต้าร์เหรอ ไอ้ที่บอกให้กูว่าอย่าเข้าใกล้มึงนี่ก็วิธีของไอ้คุณพี่ต้าร์ทั้งนั้นแหละ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงพี่ชายตัวดีเจ้าของคำแนะนำสุดบรรเจิดนี้

“ไม่เห็นมันจะได้ผลเลย กูว่ายิ่งทำให้กูอาการหนักกว่าเดิมอีก พอไม่ให้เจอมึง ทีนี้แค่พอกูนึกถึงมึง ไอ้ผีเสื้อในท้องกูเนี่ยมันก็บินกันให้ว่อนกว่าเดิมอีก”

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ผมขอบ่นกับไอ้คนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมมีอาการประหลาด ๆ นี่หน่อยเหอะ อึดอัดจนอกผมแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

“มึงหน้าแดงทำไมวะอิน”

“หา...เปล่านี่”

ก็เห็นอยู่ว่าหน้ามันแดงจนไปถึงหูอยู่แล้วยังจะบอกว่าเปล่าอีก

“แล้วตอนนี้ยังมีอาการอยู่ไหม”

ผมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “ก็ไม่เท่าไหร่นะ จะเป็นเวลาที่มึงใกล้กูมาก ๆ มากกว่า”

“แล้วถ้าแบบนี้ละ”

พูดจบอินมันก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดเข้ากับอกแน่น ทำให้หน้าของผมตอนนี้ซบลงบนบ่าของมันพอดี

“เฮ้ย ทำอะไรของมึง”

ผมรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นดันตัวมันออกด้วยความตกใจ หากอินกลับกอดผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“แบบนี้มึงรู้สึกอะไรไหมกี้”

เสียงทุ้ม ๆ ของมันกระซิบที่ข้างหู ทำเอาตัวผมแข็งทื่อไปชั่วขณะ พร้อม ๆ กับบรรดาเจ้าผีเสื้อที่อยู่ในท้องของผมค่อย ๆ ขยับปีกโบยบินวนเวียนอย่างร่าเริง

นี่พวกมึงจะคึกคักกันไปไหม

ผมผลักตัวอินออกเต็มแรงจนมันยอมคลายอ้อมแขน

“มึงจะฆ่ากูหรือไงไอ้อิน แม่งบินกันจนจะทะลุกระเพาะกูอยู่แล้ว”

“หึ” ไอ้ต้นต้นเหตุมันกลับหัวเราะเบา ๆ

“ทีนี้มึงก็รู้แล้วนะว่ากูเป็นอะไร งั้นมึงช่วยกูได้ไหม”

ในเมื่ออินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเกิดอาการประหลาด ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่ามันก็ควรจะช่วยผมให้หายจากอาการบ้า ๆ นี่เสียที

“ช่วยให้ผีเสื้อนี่มันเลิกบินในท้องกูได้ไหม กูรู้มึงเก่ง กูเป็นเพื่อนรักมึงไม่ใช่เหรอ มึงต้องช่วยกูนะ”

ผมจับแขนมันเขย่าใช้น้ำเสียงอ้อน ๆ มันสักหน่อยเพื่อให้มันใจอ่อน

“มึงอยากให้กูช่วยเหรอ”

อินจ้องหน้าผมเขม้นด้วยสายตาเหมือนต้องการจะค้นหาอะไรสักอย่าง

“อืม”

ผมรับคำหนักแน่นพร้อมกับพยักหน้ายืนยันไปอีกสองที

“ก็กูเล่าทุกอย่างให้มึงฟังแล้ว มึงก็ต้องช่วยกูสิ”

อินมันนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่งยิ้มหล่อ ๆ ที่สร้างความปั่นป่วนให้ผีเสื้อในท้องผมเหลือเกิน

“กูจะช่วยมึงเองกี้”


TBC...


   ตอนนี้เป็นซีนเดียวมายาว ๆ เลย^^
   ในที่สุดอินก็รู้อาการประหลาดของน้องกี้คนซื่อแล้ววววววว

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
«ตอบ #11 เมื่อ23-12-2017 23:24:34 »

เสร็จโจรแน่นวลท่าทาง

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
«ตอบ #12 เมื่อ24-12-2017 11:57:05 »

อมก. นังกี้นังเด็กซื่อ โอ้ยฟกกปดกร น่ารักก><

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
«ตอบ #13 เมื่อ24-12-2017 15:09:03 »

รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้วววว

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
«ตอบ #14 เมื่อ24-12-2017 17:12:15 »

เข้าทางตาอินเลยล่ะสิทีนี้

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 3 [23/12/2017]
«ตอบ #15 เมื่อ24-12-2017 18:33:23 »

โอ้ยยยย ละมุน เสร็จโจร ถถถ น้องกี้เจ้ขออวยพรให้คู่บ่าวสาวล่วงหน้านะคะ

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 4 [30/12/2017]
«ตอบ #16 เมื่อ30-12-2017 21:17:58 »

ตอนที่ 4

   ผมมองคนที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมเข้ามาภายในห้องของผม ปล่อยให้แขกที่มันเชิญตัวเองมาแต่เช้าจัดการวางกระเป๋าลงบนโซฟา

   “มึงมาทำไมแต่เช้า” ผมมองอินที่อยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศพร้อมกับหน้าผมที่เซตมาอย่างหล่อ ขณะที่ตัวผมเองยังอยู่ในชุดเสื้อยืดนิ่ม ๆ กับกางเกงนอนเน่า ๆ หัวยังไม่ได้หวี น้ำก็ยังไม่ได้อาบ

   “ก็แวะเอาของมาเก็บที่ห้องมึงก่อนจะได้ออกไปมหาลัยพร้อมกัน”

   “มึงแน่ใจเหรอว่าทำแบบนี้มันจะได้ผล”

   ผมถามด้วยความสงสัยหลังจากเดินไปนั่งลงบนเตียง ขยับแว่นตาที่เลื่อนลงให้เข้าที่

   “ก็ต้องลองดู...ไม้แขวนเสื้ออยู่ตรงไหนวะ”

   อินยักไหล่พลางรื้อข้าวของในกระเป๋าออกมา ผมลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบไม้แขวนเสื้อส่งให้มัน แล้วกลับมานั่งมองเจ้าเพื่อนสนิทของผมเอาเสื้อนักศึกษาและกางเกงแขวนไว้ในตู้

   “แล้วนี่มึงจะมาอยู่กี่วันวะ”

   “ยังไม่ได้คิด ก็คงต้องดูจากอาการของมึงละมั้ง”

   ผมพยักหน้ากับสิ่งที่ได้ยิน หลังจากที่เจออินมันดราม่าใส่เรื่องที่ผมเอาแต่หลบหน้าหลบตามันจนในที่สุดผมต้องยอมสารภาพความจริงเกี่ยวกับโรคประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวผม อินก็เลยมีความคิดว่าผมควรจะอยู่ใกล้ ๆ มันเพื่อที่มันจะได้สังเกตดูอาการของผมอย่างใกล้ชิดและหาวิธีจัดการให้เจ้าพวกผีเสื้อพวกนั้นหายไป วันต่อมาอินมันก็เลยขนข้าวของมาอยู่ที่หอผมอย่างที่เห็น ตอนแรกมันจะให้ผมขนของไปอยู่กับมันที่คอนโด แต่ผมไม่เอาด้วย ก็คอนโดมันค่อนข้างไกลจากมหาลัยมากกว่าหอพักของผมนี่ครับ ขี้เกียจที่จะต้องรีบตื่นแต่เช้า เสียดายเวลานอน

   “ว่าแต่ตอนนี้อาการเป็นยังไงมั่งกี้” จู่ ๆ อินมันก็ถามขึ้นมา

   “ก็ไม่เป็นอะไรนะ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเฉย ๆ อยู่” ผมตอบไปตามความรู้สึก ตอนนี้ภายในท้องของผมยังปกติดีอยู่ครับ

   “เหรอ”

   อินที่เก็บของเรียบร้อยแล้วเดินมานั่งข้างกันบนเตียง

   “แล้วตอนไหนถึงจะเป็นละ”

   ผมเอียงคอคิด ตอนไหนเหรอที่เจ้าผีเสื้อพวกนั้นมันจะสำแดงฤทธิ์ คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น

   “ตอนที่...มึงมาทำใจดีด้วย ตอนที่มึงพูดเพราะ ๆ กับกู ตอนที่มึงเข้ามากอด” ผมหันไปสบตากับคนที่นั่งข้าง ๆ

   “แล้วก็ตอนที่กูนึกถึงมึง”

   ผมเห็นอินกลืนน้ำลายก่อนจะเสหลบสายตาไปทางอื่น

   “มึงว่ากูจะเป็นอะไรมากไหมวะ” ผมถามด้วยความกังวล

   “ก็เอาการอยู่”

   “แล้วทำยังไงดี กูกลัว” ผมแตะลงบนหลังมือของมันที่วางอยู่บนเตียง

   “กลัวทำไม มีกูอยู่กับมึงทั้งคน มึงไม่ต้องกลัวหรอก”

อินส่งยิ้มบาง ๆ มาให้พร้อมกับสัมผัสเบา ๆ ที่ลูบลงบนหัวจากมืออีกข้างของมัน ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวผม

เจ้าผีเสื้อตัวน้อยเริ่มขยับปีกโบยบินอีกครั้ง…

   “เป็นอะไรไปวะ”

   อินถามเมื่อเห็นผมกำลังเม้นริมฝีปากแน่น

   “มันเป็นอีกแล้วว่ะ” ผมวางมือทาบลงบนท้องบอกให้อินรู้

   “หึ แค่นี้ก็เกิดอาการแล้วเหรอวะ อ่อนว่ะมึง”

   “มึงอย่ามาล้อกู” ผมทำหน้ามุ่ยเมื่อเห็นเพื่อนสนิททำท่าขบขันกับอาการที่เกิดขึ้นของผม

   “กูก็แค่แซวเล่น”

อยู่ ๆ อินก็สอดมือทั้งสองข้างเข้ามาโอบรอบเอวผมก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปซบลงบนอกโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้กอดผมแน่นจนอึดอัด อ้อมแขนนั่นเพียงแค่ประคองกอดไว้ แต่แค่นี้ก็ทำเอากระเพาะของผมปั่นป่วนอย่างหนัก ราวกับมีฝูงผีเสื้อนับร้อยกำลังกระพือปีกโบยบินวนเวียนอยู่ภายใน พอ ๆ กับหัวใจของผมที่มันเต้นแรง

   เช่นเดียวกับหัวใจอีกดวงที่อยู่ใกล้กับหน้าของผมตอนนี้ที่กำลังเต้นแรงไม่แพ้กัน

   ผมรีบดันตัวมันออกโดยที่มันก็ยอมคลายมือออกแต่โดยดี

   “มึงทำอะไร ก็บอกแล้วไงว่าถ้ากอดแล้วมันจะเป็น”

   “ก็กูกำลังหาวิธีรักษามึงอยู่ไง”

   “กูจะตายก่อนน่ะสิ”

   “ไม่มีใครตายเพราะโรคนี้หรอก” อินมันพูดยิ้ม ๆ พลางเท้ามือทั้งสองไปด้านหลัง

   “ตกลงมึงบอกกูได้ไหมว่ากูเป็นโรคอะไร” พูดแบบนี้แสดงว่าอินมันต้องรู้ว่าผมป่วยเป็นโรคอะไรแน่ ๆ

   “มันก็แค่โรคประหลาดโรคนึงน่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยมึงก็จะรู้เองว่ามึงเป็นโรคอะไร”

   “แล้วมันรักษาได้ใช่ไหมวะ”

   “ได้สิ แต่มึงต้องให้กูเป็นคนรักษาเท่านั้นนะ”

   “คนอื่นไม่ได้เหรอวะ”

   “ไม่ได้ ต้องเป็นคนที่ทำให้มึงเกิดอาการเท่านั้นถึงจะรักษาได้”

   ตอนที่อินบอกสายตามันจริงจังมาก ผมคงไม่มีทางเลือก นอกจากจะยอมเชื่อใจเพื่อนคนนี้



   “กี้ ตอนเย็นมึงไปที่ชมรมด้วยนะ”

   อินบอกกับผมขณะที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะลงจากรถของมัน

   “อือ รู้แล้ว”

   “เอาแต่โดดซ้อม แล้วเมื่อไหร่จะเล่นเป็น”

   “ได้ข่าวว่ากูก็ไม่ได้อยากจะเล่นม่ะ”

   ผมเบ้ปากใส่มัน ตัวเองมัดมือชกคนอื่นแท้ ๆ ยังจะทำมาเป็นพูดดี

   “เอาน่า นึกว่าเห็นแก่อาจารย์ที่อุตส่าห์ตั้งใจสอนละกัน”

   “เหอะ นี่กูยังไม่ได้จัดการเรื่องที่พี่ต้าร์หลอกกูเลย”

   นึกขึ้นได้ก็เจ็บใจ เป็นเพราะพี่ต้าร์มาหลอกแกล้งผมเรื่องวิธีรักษาอาการประหลาดนั่นแท้ ๆ เกือบทำให้ผมกับอินผิดใจกันไปแล้ว
   อินเอาแต่ส่ายหัวขำ ๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ ผมรีบตามลงไป เราสองคนเดินขึ้นตึกไปยังห้องเรียนด้วยกัน พอไปถึงก็เห็นชมพู่กับมายนั่งอยู่กลางห้องเลยเดินเข้าไปนั่งตรงที่ว่างข้าง ๆ ที่พวกมันจองที่ไว้ให้

   “ไงมึง”

   เป็นชมพู่ที่เอ่ยทักพร้อมกับชะโงกหน้ามาเต็มที่ ส่วนมายนั้นแค่หันมายิ้มให้เฉย ๆ

   “นี่ดีกันแล้วสินะพวกมึง ถึงมาพร้อมกันได้”

   “ก็ไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย” ผมตอบไม่เต็มเสียงก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ มาย

   “อ๋อเหรอ ไอ้ที่ลากกันไปเคลียร์ที่ข้างตึกจนไม่ขึ้นมาเรียนนั่นอะไรวะ” ชมพู่ทำหน้าไม่เชื่อแถมยังขุดเอาเรื่องเมื่อวานขึ้นมาพูดอีก

   “ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” ผมแก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม

   “งั้นนี่เข้าใจกันแล้วสิ แหม อย่างกับผัวเมียทะเลาะกันเลยนะพวกมึง”

ไอ้เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มยังไม่หยุดแซ็วผม

   “ไอ้ชมพู่ นั่นปากเหรอ ใครผัวเมียกับมัน ขนลุกตาย”

   ผมทำท่าขนลุกเสียเต็มประดา ผัวเมียอะไรกัน แค่คิดก็รับไม่ได้แล้วครับ ส่วนอีกคนที่ถูกจับคู่ด้วยกลับหัวเราะเบา ๆ ผมเลยหันไปเล่นงานมันแทน

   “ไอ้อินมึงไม่ต้องมาหัวเราะเลย”

   “เอ้า กูก็แค่ขำที่ชมพู่มันพูดเฉย ๆ” มันหยุดหัวเราะแล้วครับ แต่ในดวงตายังมีประกายขบขัน

   “แต่กูไม่ขำ”

   “พอครับ เลิกเถียงกันได้แล้ว อาจารย์มาโน้นแล้ว”

   มายรีบห้ามทัพส่งซิกให้พวกผมหันไปมองทางประตูด้านหน้าห้อง อาจารย์ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของผมกำลังเดินเข้ามาพอดี พวกผมก็เลยสงบปากสงบคำหันไปตั้งใจเรียนกัน   



   พอถึงตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมก็ต้องตามอินมาที่ห้องชมรมดนตรี ช่วงนี้อินมันต้องมาซ้อมเกือบทุกวันเพราะใกล้จะถึงวันงานเปิดโลกกิจกรรมในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว

   “อ้าว น้องกี้”

   พอเปิดประตูเข้าไปพวกผมก็เจอพี่นัทกับพี่อีกคนที่ผมไม่รู้จักนั่งอยู่ในห้องกันสองคน พี่นัทลุกขึ้นมาผมทันทีพร้อมกับส่งยิ้มหล่อ ๆ มาให้ ผมจึงรีบยกมือไหว้

   “หายไปหลายวันเลยนะครับ”

   “เออ ผมยุ่ง ๆ น่ะครับ เลยไม่ได้แวะมาที่ชมรม”

   “แล้วไป พี่ก็กำลังเป็นห่วง นึกว่าไม่สบาย นี่ว่าจะขอเบอร์ต้าร์โทรไปหาอยู่”

   “พี่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” อยู่ ๆ อินที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ผมไว้ พอผมจะขืนตัวออกมันกลับกระชับต้นแขนผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมหันไปส่งสายตาปรามบอกให้มันปล่อยแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ใส่ใจ

   เล่นบ้าอะไรของมัน ก็บอกแล้วไงว่าทำแบบนี้แล้วอาการมันกำเริบ

   “ผมดูแลกี้มันได้”

   ตอนนี้ผมได้แต่พยายามสะกดอาการปั่นป่วนที่เริ่มจะเกิดขึ้นในท้องของผม

   “งั้นเหรอ” พี่นัทเปรยตามองมือที่ไหล่ผม ก่อนที่พี่แกจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่สายตากับจับจ้องอยู่ที่เพื่อนผม “แต่ถ้าวันไหนอินไม่ว่าง พี่ช่วยดูแลได้นะครับกี้”

   “คงไม่ต้องรบกวนพี่หรอกครับ”

   ผมรู้สึกถึงแรงบีบที่เพิ่มขึ้นตรงต้นแขนเลยหันมามองคนข้างตัว สายตาไอ้อินที่มองพี่นัททำเอาผมถึงกับขนลุก ผมแกะมือของอินออกแล้วเขยิบออกเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่นัท

   “ผมดูแลตัวเองได้ครับ โตแล้วดูแลตัวเองได้เนอะ”

   ผมเหล่มองทั้งคู่ ไม่รู้จะเล่นจ้องตากันหรืออย่างไง แถมจ้องกันเขม็งด้วย

   “อ้าว ไอ้กี้ วันนี้มาได้แล้วเหรอวะ”

   ในที่สุดสวรรค์ส่งคนมาช่วยกอบกู้สถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนี่พอดี ทำให้สองคนนี่เลิกเล่นจ้องตากันเสียที

   “หวัดดีครับพี่” พวกผมหันไปไหว้พี่ต้าร์กับพี่แจ๊คที่เดินเข้ามา ส่วนพี่นัทก็กลับไปนั่งที่เดิม

   “เออ แล้วนี่หายแล้วเหรอวะ ถึงมาด้วยกันได้” พี่ต้าร์มองหน้าผมกับอินสลับกันแล้วก้มลงกระซิบถามผมด้วยความสงสัย

   “ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

   ผมตอบไปแบบส่ง ๆ ยังไม่อยากพูดอะไรมากตอนนี้เพราะมีคนอื่นยืนอยู่ด้วย

   “เหรอวะ”

   “ผมว่าเรามาเรียนต่อจากวันนั้นดีกว่าพี่”

   ผมเดินไปหยิบกีต้าร์โปร่งตัวที่ใช้ประจำมานั่งตรงที่เดิม กีต้าร์ตัวนี้เป็นของพี่ต้าร์ครับ แกเอามาให้ผมใช้ฝึกเล่น พี่ต้าร์ตามมานั่งลงข้างกัน ส่วนอินก็แยกไปกับพี่แจ๊สเพื่อเตรียมตัวซ้อมร้องเพลง

   “วันนี้มึงลองเล่นทวนที่กูสอนไปแล้วก่อนดีกว่า”

   “ครับ”

   ผมรับคำสั้น ๆ แล้วพยายามวางนิ้วลงบนสายกีตาร์ตามที่อาจารย์คนนี้เคยสอน ดีดบอดบ้างไม่บอดบ้าง

   “กี้”

   “ครับ”

   ผมขานรับแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกแค่ว่ารุ่นพี่ขยับมาใกล้ขึ้น

   “นี่อาการมึงหายแล้วแน่เหรอ ทำไมมันหายเร็วจังวะ”

   “จริง ๆ ก็ยังไม่หายหรอกครับ”

   อ่า บอดอีกแล้วครับ เมื่อไหร่จะดีดได้สักที

   “อ้าว แล้วทำไมมึงถึงมากับอินมันได้วะ” พี่ต้าร์อุทานอย่างประหลาดใจ ผมเงยหน้าขึ้นมอง

   “พี่ต้าร์ นี่ผมยังโกรธที่พี่หลอกผมเรื่องวิธีการรักษาอะไรนั่นอยู่นะ พี่รู้ไหมไอ้อินโกรธผมแทบตาย”

   “ฮ่า ๆ นี่รู้ตัวแล้วเหรอวะ”

   “ไม่ขำนะพี่”

   พี่แกทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเกาหัวแก้เก้อ

   “กูขอโทษก็ได้ กูก็แค่อยากแน่ใจอะไรบางอย่าง” พี่ต้าร์ยกมือขึ้นตบบ่าผมเบา ๆ “ว่าแต่นี่ไอ้อินมันรู้เรื่องหมดแล้วใช่ไหมวะ แล้วมันว่าไงมั่งวะ”

   “มันบอกว่าเดี๋ยวมันจะช่วยผมเอง”

   “หึ กูว่าแล้วเชียว”

   “ว่าอะไรพี่” ท่าทางพี่ต้าร์ดูมีลับลมคมในชวนให้น่าสงสัยชอบกล

   “เปล่า ๆ ไม่มีอะไร ให้ไอ้อินช่วยน่ะดีแล้ว เดี๋ยวมึงก็ดีเองกี้ เชื่อกู”

   ...ทำไมผมรู้สึกหวาด ๆ กับคำว่าเชื่อกูของพี่ต้าร์จังเลยครับ



   ตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาครับ...

ผมมองเตียงนอนขนาดควีนไซด์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง จริง ๆ มันก็ไม่ได้เบียดอะไรถ้าจะนอนสองคน แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกับอินนอนบนเตียงเดียวกัน เมื่อก่อนตอนเรียนมัธยมผมไปค้างบ้านมันก็บ่อย มันเองก็เคยมาค้างที่บ้านผมเหมือนกัน แต่นั่นมันก่อนที่ผมจะมีอาการแปลก ๆ นี่ ผมไม่แน่ใจว่าถ้าตอนนี้ต้องนอนใกล้ ๆ กับอินแล้ว เจ้าพวกผีเสื้อในท้องมันจะมีอาการอย่างไง

แก๊ก..

เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้รู้ว่าอินมันอาบน้ำเสร็จแล้ว มันเดินออกมาในสภาพผมเปียกมีผ้าขนหนูพาดบนบ่า ผมว่าบางทีพระเจ้าก็ลำเอียงเกินไปนะครับ นี่ขนาดอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลเปื่อย ๆ หัวเปียก ๆ ไอ้อินมันยังดูหล่ออยู่เลย

“มึงจะนอนเลยป่ะ”

“อือ”

ผมตอบมันแค่นั้นก่อนจะถอดแว่นสายตาวางไว้บนโต๊ะแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง ยืดทำเลฝั่งหนึ่งแล้วเตรียมตัวจะนอน

“เดี๋ยวก่อนกี้”

ผมหันมามองพลางเลิกคิ้วแทนคำถาม

   “เช็คผมให้แห้งก่อน” อินเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ผมตากไว้มาโยนให้ ในขณะที่มันเองก็กำลังใช้ผ้าอีกผืนเช็ดผมตัวเองอยู่เหมือนกัน

   “ไม่เป็นไร กูจะนอนแล้ว”

   ผมโยนผ้าขนหนูไปตกบนโซฟาก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมา อินส่ายหน้าแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูจากโซฟามานั่งบนเตียง มันตบฟูกข้าง ๆ ตัวเป็นสัญญาณให้ผมไปนั่งข้างมัน

   “มานี่”

   ผมยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับตัวไปหามัน

   “เร็ว”

   ผมได้แต่เบ้ปาก นี่มันเป็นแม่ผมหรือไงครับ ไม่เห็นต้องทำเสียงดุเลย ผมก็เลยต้องขยับไปนั่งข้างกัน ผ้าขนหนูผืนนั้นถูกวางลงบนหัวพร้อมกับมืออีกข้างของอินที่ค่อย ๆ ใช้ผ้านั้นเช็ดผมของผมอย่างเบามือ

   ผีเสื้อที่อยู่ในท้องของผมเริ่มตื่นขึ้นอีกครั้งและขยับปีกช้า ๆ ก่อนจะโบยบิน...

   “กูเช็ดเอง”

   ผมเบี่ยงหัวหลบจัดการใช้ผ้าผืนเล็กขยี้ลงบนหัวแรง ๆ นอกจากอยากจะให้ผมที่ยังชื้นอยู่แห้งเร็วขึ้น ผมหวังให้มันช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากคนข้างกายที่ทำให้ผมมีอาการประหลาดนี้

   “แห้งแล้ว งั้นกูนอนละนะ”

   พอเห็นว่าเส้นผมแห้งแล้ว ผมก็ยัดผ้าขนหนูใส่มือของคนที่นั่งข้างกันเพื่อจะให้มันเอาไปตาก ส่วนตัวผมเองก็คว้าผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนคลุมผ้ามิดจนถึงคอ

   “มึงปิดไฟด้วยนะ”

   พอบอกอินเสร็จผมก็หันหลังให้มันแล้วหลับตาลง แต่จริง ๆ นอนไม่หลับหรอกครับ สักพักใหญ่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าไฟในห้องดับลง ฟูกด้านหลังที่ยุบตัวลงบอกให้รู้ว่าอีกคนที่นอนลงบนเตียงแล้ว ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในความมืด ฟังเสียงลมหายใจของเพื่อนสนิทที่ค่อย ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ต่างกับเจ้าผีเสื้อในท้องของผมที่ยังคงบินวนไม่หลับไม่นอน


   TBC...


ขอความเอ็นดูให้น้องกี้คนซื่อด้วยนะคะ  :mew2:
สวัสดีปีใหม่ทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีของทุกคนค่ะ^^

ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 4 [30/12/2017]
«ตอบ #17 เมื่อ30-12-2017 22:40:06 »

เขารู้หมดแล้วลูกกกก :laugh:

ออฟไลน์ Jintajam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 4 [30/12/2017]
«ตอบ #18 เมื่อ30-12-2017 23:11:18 »

เอ็นดูน้องกี้ เมื่อไหร่จะรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร :katai2-1:

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
«ตอบ #19 เมื่อ06-01-2018 19:26:27 »

ตอนที่ 5



            “สวัสดีครับน้อง ๆ ปีหนึ่งทุก ๆ คน พี่เป็นตัวแทนจากชมรมดนตรีสากลของมหาลัยครับ”


            เสียงพี่แจ๊คกล่าวทักทายเด็กปี 1 ที่มาร่วมงานเปิดโลกกิจกรรมจากบนเวทีขนาดเล็กที่ตั้งอยู่หน้าตึกกิจกรรมและสโมสรนักศึกษา ผมเดินออกมาดูที่ด้านหน้าเวทีเมื่อเห็นว่าด้านหลังไม่มีอะไรให้สมาชิกชมรมดนตรีอย่างผมทำแล้ว  มีคนให้ความสนใจไม่น้อยทำให้พื้นที่ด้านหน้าเวทีมีคนยืนดูอยู่พอสมควร ผมเลยหลบมายืนดูอยู่มุมข้าง ๆ ที่ยังพอมีพื้นที่โล่งแทน


            “เฮ้ย กี้”


            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ยิ้มออกมาเมื่อเห็นเป็นชมพู่กับมายเดินเข้ามาใกล้


            “เป็นไง ตกลงเข้าชมรมไหนกัน”


            “เราสมัครเข้าชมรมเบเกอรี่น่ะ”


            เอ่อ ผมนึกภาพผู้ชายตัวล่ำ ๆ ท่าทางหมี ๆ ตรงหน้าในชุดผ้ากันเปื้อนทำขนมอยู่หน้าเตาไม่ออกจริง ๆ


            “มึงนี่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอดเลยเนอะ แล้วมึงละชมพู่” ผมหันไปถามเพื่อนผู้หญิงอีกคนบ้าง ท่าสาวน้อยหน้าตาน่ารักแต่นิสัยสุดห้าวแบบชมพู่นี่จะเลือกชมรมไหนนะ


            “กูเข้าชมรมยูโด เล่นมาตั้งแต่ม.ปลายละ”


            ...เพื่อนผมแต่ละคนนี่คาดเดาไม่ได้จริงๆ


            “วันนี้นอกจากเราจะเปิดรับสมัครสมาชิกแล้ว เรายังมีโชว์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝาก เชิญรับชมรับฟังได้เลยครับ” เสียงประกาศของพี่แจ๊คเรียกความสนใจของพวกผมให้กลับไปที่บนเวทีอีกครั้ง สมาชิกของวงทุกคนเข้าประจำตำแหน่งยกเว้นอินที่ผมยังมองไม่เห็น พี่แจ๊คส่งสัญญาณให้กับพี่แพรวมือกลองสุดเนิร์ดเริ่มเล่นเพลงเปิด


“ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร
ไม่รู้ว่าโลกความจริง ของเรานั้นเป็นอย่างไร”


            เสียงทุ้ม ๆ เป็นเอกลักษณ์ที่ผมคุ้นเคยดีเรียกเสียงกรี๊ดได้ตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่ทันปรากฏตัวบนเวที ก่อนที่ตัวนักร้องนำจะเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับรอยยิ้มหล่อ ๆ ของมันในเพลงท่อนต่อไป


“สิ่งที่สำคัญที่สุด อาจไม่สำคัญเท่าไร
เท่าวันที่เราได้เจอ ได้คุยได้อยู่ใกล้กัน”


เท่านั้นแหละครับ หูพวกผมแทบแตกกับเสียงกริ๊ดที่ดังขึ้นจากคนรอบข้าง บรรดานักศึกษาสาวต่างพากันกรูเข้าไปที่หน้าเวที ผมกระโดดหลบเกือบไม่ทัน ไม่งั้นคงโดนชนกระเด็นไปแล้วละครับ


“แก นักร้องนำโคตรหล่อเลยอ่ะ อยู่ปีไหนวะแก”


“นั่นสิ อยู่คณะอะไรนะ ทั้งหล่อทั้งเสียงดี”


เสียงผู้หญิงสองคนที่ยืนหวีดอยู่ข้าง ๆ ผมบ่งบอกว่าชื่นชอบให้ตัวนักร้องนำคนนี้ไม่น้อย ผมอมยิ้มภูมิใจแทนในตัวเพื่อนสนิท นั่นเพื่อนผมครับเพื่อนผมเอง


            ยิ่งพอได้ยินเสียงเพลงเพราะ ๆ ของนักร้องนำบรรดานักศึกษาที่มาร่วมงานก็ยิ่งพากันมามุงดูกันคึกคักมากขึ้น ผู้คนต่างเบียดเสียดกันอยู่หน้าเวทีสนุกสนานกับเพลงที่ทางวงเลือกมาเล่นอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก ผมเองก็ยกตัวไปตามจังหวะ ร้องคลอไปกับเสียงของอิน บางท่อนก็ตะโกนออกไปสุดเสียง เพราะถึงจะร้องเพี้ยนแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ทุกคนต่างให้ความสนใจการแสดงที่อยู่บนเวทีเท่านั้น


            “ก่อนจะเล่นเพลงสุดท้ายเรามาแนะนำตัวกันหน่อยดีกว่า เริ่มจากพี่ก่อนละกัน พี่ชื่อแจ๊คครับ เป็นประธานชมรมและเล่นกีตาร์ครับ” หลังจากที่เล่นเพลงรวดเดียวถึง 4 เพลงโดยไม่เว้นจังหวะให้พักกันเลย พี่แจ๊คก็แนะนำสมาชิกในวงให้ทุกคนได้รู้จัก


            “ส่วนคนถัดไป มือกีตาร์ของเรา ว่าที่คุณหมอ พี่ต้าร์ครับ” พี่ต้าร์ยกมือขึ้นเป็นการโบกทักทาย


            “อีกหนึ่งคน มือเบสสุดหล่อ พี่นัทครับ” ส่วนพี่นัทก็เพียงแค่ยกยิ้ม แต่แค่นั้นสาว ๆ ก็ระทวยกันแล้วครับ


            “มือกลองสาวสวยคนเดียวของวง พี่แพรว” พี่แพรวตีกลองเป็นการทักทาย


            “ส่วนมือคีย์บอร์ดของเรา พี่ต้นครับ” พี่ต้นเป็นหนุ่มแว่นร่างอวบส่งยิ้มกว้าง


            “และสุดท้าย ขอเสียงกรี๊ดดัง ๆ ให้กับนักร้องนำคนใหม่ของเรา น้องอินครับ”


            พอถึงคิวของนักร้องนำเสียงกรี๊ดยิ่งดังกระหึ่มจนน่าจะได้ยินไปถึงหลังมหาลัยแล้วมั้งครับ นักร้องนำส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือไปทั่วแถมยังทำท่ามินิฮาร์ทให้สาว ๆ ที่อยู่ข้างหน้าอีก เล่นเอากระโดดกรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุดเลย ขยันโปรยเสน่ห์จริง ๆ เพื่อนผมมันยังคงขี้อ่อยเวลาอยู่บนเวทีเหมือนเดิม


            “เสียงกรี๊ดถล่มทลายแบบนี้งั้นเรามาต่อกันเลยดีกว่า เพลงนี่คือเพลงอะไรครับอิน”


            “เพลงนี้เป็นเพลงที่พวกเราขอมอบให้ทุกคนเป็นเพลงส่งท้าย การที่พวกเรามายืนอยู่บนเวทีนี้ก็เพราะพวกเรารักในเสียงดนตรี และอยากจะถ่ายทอดความรักของพวกเราให้กับทุกคนได้รับรู้ ผมหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่ และหวังว่าจะมีคนสนใจชมรมดนตรีบ้างนะครับ”


            “มันคงเป็นความรักที่ทำให้ตัวฉันยังยืนอยู่ตรงนี้

มันคงเป็นความรักที่ทำให้ตัวฉัน ไม่ยอมหยุดเสียที”


น้ำเสียงทุ้ม ๆ กับคำพูดทิ้งท้ายของนักร้องนำสุดหล่อเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ จนหูผมนี่อื้อไปหมดแล้วครับ เรียกได้ว่างานนี่อินมันกวาดความนิยมจากสาว ๆ ทั้งงานเลยก็ว่าได้ ไม่แปลกที่ทุกคนจะหลงเสน่ห์ของอินเวลาบนเวที อินรักการร้องเพลงและมันดูมีความสุขทุกครั้งที่อยู่บนเวที ทั้ง ๆ ที่ตัวจริงเวลาปกติเพื่อนสนิทของผมคนนี้เป็นคนค่อนข้างขี้เก๊ก ดูกวน ๆ ไม่ค่อยจะยิ้มสักเท่าไหร่ แต่พออยู่บนเวทีเท่านั้นมันกลายเป็นผู้ชายขี้เล่น ดูสบาย ๆ เป็นกันเอง พอมารวมกับเสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ ที่ฟังสบายยิ่งชวนให้ผู้คนที่ได้พบได้เห็นได้ฟังประทับใจ นี่แหละครับเสน่ห์ของอิน

 






พอการแสดงบนเวทีของชมรมดนตรีสากลจบลง ผมก็ขอตัวแยกจากพวกชมพู่กลับมาที่หลังเวทีเพื่อช่วยเก็บของ ผมเดินไปหากลุ่มนักดนตรีที่นั่งกันอยู่แล้วยื่นขวดน้ำเปล่าที่ไม่ได้แช่เย็นให้อิน เพราะรู้ว่าอินมันคงไม่ดื่มน้ำเย็นที่แช่อยู่ในถังน้ำแข็งที่ทางสโมสรนักศึกษาเตรียมไว้ให้


“อ่ะ”


มันรับขวดน้ำที่ผมส่งให้ไปดื่มฮึกใหญ่ ผมมองตามมือเรียวสวยของมันที่ยกขึ้นมาเช็ดหยดน้ำที่ไหลออกมาตรงมุมปาก


“เมื่อกี้มึงได้ดูหรือเปล่า”


“หา...อ๋อ ดูสิ ยื่นอยู่ตรงข้างเวที คนแม่งโคตรเยอะ สาว ๆ งี้กรี๊ดมึงกันทั้งนั้น”


“ก็กูทั้งหล่อทั้งเสียงดี” ไอ้คนหล่อยักไหล่น่าหมั่นไส้ กูละเกลียดในความมั่นหน้าของมึงจริง ๆ


“เออ ไม่เถียง”


ผมได้แต่ทำหน้าเบื่อ ๆ ใส่มันก่อนจะเลิกสนใจปล่อยให้มันนั่งหล่อ ๆ ของมันไป หันไปช่วยอาจารย์พี่ต้าร์ของผมเก็บของดีกว่า จริง ๆ ก็ขนของไม่ไกลหรอกครับ แค่ยกขึ้นไปเก็บที่ห้องชมรมบนชั้น 2 ของตึกนี้เท่านั้นเอง


“พี่แจ๊ค ๆ แย่แล้วพี่”


อยู่ ๆ พี่หมวยหนึ่งในสมาชิกชมรมดนตรีสากลวิ่งมาหาประธานชมรมที่หลังเวที จำได้ว่าพี่แกรับหน้าที่รับสมัครสมาชิกใหม่อยู่ที่โต๊ะด้านนอกนี่ครับ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“มีปัญหาอะไรเหรอหมวย” พี่แจ๊คถามเมื่อเห็นพี่หมวยวิ่งหน้าตาตื่น


“คือตอนนี้มีคนอยากจะสมัครชมรมเราเป็นร้อยเลยพี่ แถมมีแต่ผู้หญิงแย่งใบสมัครกันอยู่ที่หน้าเต็นท์ เอาไงดีวะพี่”


แบบนี้จะไม่ให้พี่หมวยรีบวิ่งมาหาประธานชมรมได้ยังไงละครับ เพราะปีนี้ชมรมดนตรีมีโควต้ารับสมาชิกเพิ่มได้อีกแค่ยี่สิบคนเท่านั้น


สมาชิกทุกคนในวงรวมทั้งผมหันมามองไอ้นักร้องนำที่ยังนั่งทำหน้าหล่อไม่รู้เรื่องอยู่ตรงนี้ด้วยความพร้อมเพียง คิ้วเข้มได้รูปนั่นเลิกขึ้นเป็นคำถามเมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่มองมา


“ความหล่อของมึงนี่ได้เรื่องเลยวะไอ้อิน” พี่ต้าร์ตบไหล่มันก่อนจะหัวเราะลั่น


“เดี๋ยวพี่ออกไปจัดการเอง ทางนี้พี่ฝากดูด้วยนะต้าร์”


พี่แจ๊คตัดสินใจจะออกไปเคลียร์ด้วยตัวเองจึงหันมาฝากให้พี่ต้าร์ดูเรื่องเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ


ลับหลังพี่แจ๊คเดินไปไม่ทันไร ก็มีนักศึกษาหญิงเป็นสิบคนมายืนเมียงมองที่ด้านหลังเวที ชะเง้อมองกันสักพักก็ร้องกรี๊ดกร๊าดกันขึ้นมา


“นั่นไงแก นักร้องนำ”


“ใช่ ๆ เข้าไปขอถ่ายรูปได้ป่ะ”


“เข้าไปเลยแก เข้าไปเลย”


แล้วสาว ๆ พวกนี้ก็กรูกันเข้ามาหาอินที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นักร้องนำรูปหล่อเงยหน้ามองอย่างงง ๆ แต่ก็ยังแจกยิ้มให้


“คืออินอยู่ปี 1 ใช่ไหมคะ คณะอะไรเหรอคะ”


“อยู่วิทยาครับ”


“เออ พวกเราขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”


“ได้สิครับ”


อินยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พอได้ยินคำอนุญาตจากเจ้าตัว สาว ๆ ก็เข้าไปถ่ายรูปคู่กับอิน บ้างก็ยกมือถือขึ้นมาเซลฟี่ บางคนก็ให้เพื่อนถ่ายเห็น วนเวียนต่อแถวกันอยู่ ดูท่าทางอินมันคงไม่ว่างมาช่วยพวกผมเก็บของแล้วละ ผมเลยว่าไปช่วยพี่ต้าร์ดีกว่า ปล่อยเพื่อนผมมันไว้กับสาว ๆ ตรงนี้แหละ


หมับ!


“เฮ้ย มาดึงกูทำไม”


“มึงอยู่เป็นเพื่อนกูก่อน”


“มึงก็อยู่ถ่ายรูปกับเขาไปสิ กูจะไปช่วยเก็บของ”


ผมพยายามกระตุกแขนออกจากมือไอ้อิน แต่ไอ้นี่ก็ไม่ยอมปล่อยเลย จนคนอื่นที่ล้อมอยู่ยืนมองพวกผมยื้อกันไปยื้อกันมา


“เอ่อ เพื่อนอินเหรอคะ” ผู้หญิงใส่แว่นหน้าตาน่ารักคนหนึ่งถามขึ้น


“เอ่อ..ครับ”


“น่ารักดีอ่ะแก” ผู้หญิงพวกนั้นหันไปกระซิบกระซาบกัน แต่ผมก็ดันได้ยิน


“นั่นสิ หน้าใสเชียว ดูแบ๊ว ๆ เหมือนแมวเลย”


...เอ่อ นั่นกำลังพูดถึงตัวผมอยู่หรือเปล่าครับ ฟังแล้วมันทะแม่งยังไง ๆ อยู่นะ


“เพื่อนชื่ออะไรเหรอคะ แล้วนี่เรียนคณะเดียวกันด้วยหรือเปล่าคะ” สาวผมสั้นที่ยืนอยู่ข้างอินหันมาถามผม


“เพื่อนชื่อกี้ครับ อยู่วิทยาเหมือนกันครับ” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากตอบ อินมันก็ชิงตอบแทน


 “งั้นกี้มาถ่ายรูปด้วยกันค่ะ มา ๆ มายืนข้าง ๆ อินเลยค่ะ”


อ้าว แล้วไม่ถ่ายรูปคู่กับนักร้องนำแล้วเหรอครับ ผมหันไปมองหน้าอินอย่างงง ๆ มันพยักหน้าให้แถมยังดึงผมให้ไปยืนชิดกับมันอีก


“อุ้ย ยืนคู่กันแล้วโคตรดีเลยอ่ะแก”


“ส่วนสูงนี่ใช่เลย เหมาะกันมาก”


“เนอะ เคมีดี๊ดีอ่ะ”


ผมยังงง ๆ กับการที่จู่ ๆ ก็มีคนมาขอถ่ายรูปแบบนี้ ในขณะที่อินมันค่อนข้างจะคุ้นชิน เพราะเวลาที่อินเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดรงเรียนเก่าก็มักจะมีคนมาขอถ่ายรูปด้วยแบบนี้อยู่เสมอ มันเลยยืนส่งยิ้มให้สาว ๆ ถ่ายรูปได้โดยไม่เก้อเขิน ผมก็เลยได้แต่ยืนยิ้มแบบเกร็ง ๆ คิดว่ารูปของผมที่ได้กันไปคงดูไม่จืดเท่าไหร่นัก พวกผมยืนให้ถ่ายรูปกันสักพักพอที่จะทำเอาผมเหงือกแทบจะแห้ง พี่ต้าร์ก็เข้ามาตามให้ไปที่ห้องชมรม พวกเราจึงขอตัวออกมาได้

 






เช้าวันต่อมาวันนี้พวกผมมีเรียนเคมีซึ่งเรียนร่วมกับเด็กปี 1 จากคณะอื่นด้วย พอผมกับอินเดินเข้าไปในห้องเรียนซึ่งเป็นห้องใหญ่ สายตาของทุกคนในห้องต่างมองมาที่พวกผมสองคน พร้อมกับเสียงเซ็งแซ่


“แก อินเรียนเซคนี้ด้วยอ่ะ”


“ตัวจริงโคตรหล่อเลย”


“มากับกี้ด้วยอ่ะ”


เล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย ขณะที่อินมันยังทำหน้านิ่งท่าทางเฉย ๆ กวาดตามองหาเพื่อนคนอื่น ในที่สุดก็เห็นชมพู่โบกมือเรียกจากที่นั่งตรงกลางแถวบน อินแตะข้อศอกผมให้เดินนำ ผมเดินขึ้นไปนั่งข้างชมพู่ตรงที่มันจองไว้ให้ โดยที่ตัวมันเขยิบไปนั่งติดกับมาย


“มึงนี่ดังใหญ่เลยนะอิน” ชมพู่เอ่ยแซ็วคนที่นั่งข้างผมอีกด้าน


“หือ”


“ก็งานวันเปิดโลกกิจกรรมไง มีคนทั้งแชร์รูปแชร์คลิปที่มึงร้องเพลงเต็มไปหมด ตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้จักนักร้องนำคนใหม่ของวงดนตรีมหาลัยกันทั้งนั้น”


“ก็คนมันหล่อ”


อินมันยกมือขึ้นเสยผม แม่งโคตรขี้เก๊กแต่ดูเหมือนนักศึกษาสาวที่นั่งแถวถัดไปจะชอบนะครับ ผมเห็นมือถือขึ้นมาแอบถ่ายแล้วหันไปหวีดกับเพื่อนใหญ่เลย


“เออ ไอ้หล่อ” ชมพู่กรอกตาก่อนจะหันมาคุยกับผมแทน “มึงก็ดังนะกี้ รู้ตัวป่ะ”


ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน ยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง


“กูเนี่ยนะ”


“ก็รูปคู่มึงกับอินไง ถึงกับมีแฮชแท็กอินกี้เลยนะ”


“ลองเข้าไปดูในเพจเด็กมอดูดิ”


มันเห็นผมยังทำท่าสงสัยเลยชี้ทางสว่าง ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเอาเพจกิจกรรมของมหาลัย เพจนี้ไม่ใช่เพจหลักของมหาลัยครับ เป็นเพจที่ทางสโมสรนักศึกษาทำขึ้นเพื่ออัพเดตกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาลัยซะส่วนใหญ่ ผมเลื่อนหน้าฟีดลงมาเรื่อย ๆ ก็เห็นคลิปการแสดงสดของวงดนตรีของชมรมกับรูปถ่ายในงานวันเปิดโลกกิจกรรม อินชะโงกหน้าเข้ามาดูหน้าจอในมือผมด้วย ผมว่าผมได้ยินเสียงหวีดเบา ๆ จากแถวข้างหลังนะ ผมกดเข้าไปอ่านคอมเม้นใต้คลิปวิดีโอดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นสาว ๆ ที่มาเม้นถึงนักร้องนำของวงนั่นแหละครับ


นักร้องนำหล่อมากกกกกกกกกกก คนนี้ของจองงงงงงงงง


นักร้องเป็นใคร มาจากไหน อยู่คณะอะไรคะ


นักร้องงานดีมากกกกก เห็นแล้วน้ำเดิน พ่อของลูกชั้น


ใครใจดี ขอวาร์ปนักร้องหน่อยคะ


นักร้องชื่ออิน เรียนอยู่วิทย์คอม ปี 1 ค่ะ ตัวจริงงานดีมากกกกก ขาวใสโอปป้ามาก เรายืนยัน


จากนั้นผมก็เห็นมีคนลงลิ้งค์เฟซบุ๊คกับลิ้งค์อินสตราแกรมของอินด้วยเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว  ชมพู่ที่ชะโงกมาดูด้วยกันหันมาถามไอ้คนที่แทบจะสิงหัวผมอยู่แล้ว


“อินมึงลองเปิดเข้าเฟซดิ กูว่าป่านนี้คนขอแอดเป็นร้อยแล้วมั้ง”


อินมันเลยล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูตามที่ชมพู่บอก ทันทีที่กดเข้าไปในเฟซบุ๊คก็แสดงการแจ้งเตือนว่ามีคนขอแอดไอ้อิน


“โอ้โห” จำนวนคนที่ขอแอดเฟซไอ้อินชั่วโมงเดียวเกือบ 500 คนได้มั่งครับ ยังไม่รวมในไอจีที่มีคนกดติดตามเพิ่มอีกหลายร้อยด้วย


“มึงไม่รับแอดเขาเหรอวะ” ผมถามเมื่อเห็นมันกดปิดโทรศัพท์ไปแล้ว


“ไม่ละ ไม่รู้จักสักหน่อย อีกอย่างกูก็ไม่ค่อยเล่นเฟซด้วย มีไว้เพื่อทำงานกลุ่มเฉย ๆ” จริงครับ อินมันสมัครเฟซไว้เพราะต้องใช้คุยเพื่อน ๆ เวลาทำงานกลุ่มเท่านั้น เฟซมันแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย รูปโปรไฟล์ยังเป็นรูปที่ถ่ายตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียนเก่าอยู่เลยครับ


“นี่ไง มีคนพูดถึงมึงด้วยกี้”


ชมพู่ที่เอาโทรศัพท์ของผมไปเลื่อนดูคอนเม้นส่งคืนให้ผมดูหน้าจอ ผมจึงได้เห็นข้อความที่มีการพาดพึงมาถึงผมอยู่ด้วย


ใครมีรูปอินอีกไหมคะ ขอหน่อยค่า


มีรูปอินหลังเวทีค่ะ *แนบรูปอินกับผมที่ถ่ายหลังเวที*


รูปอินถ่ายคู่กับใครคะ น่ารักอ่ะ ดูสนิทกันจังค่ะ มีโอบไหล่กันด้วย >///<


เห็นว่าชื่อกี้ค่ะ เป็นเพื่อนสนิท เรียนอยู่วิทย์คอมเหมือนกัน


กี้เป็นเพื่อนสนิทอินค่ะ เราเห็นมาเรียนพร้อมกันกลับพร้อมกัน ตอนที่คณะก็อยู่ด้วยกันตลอดเลยค่ะ #อินกี้


อร้ายยย ขอจิ้นได้ไหม #อินกี้


ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มด้วยความสงสัย


“จิ้นนี่คืออะไรวะ”


ยังไม่ทันที่ชมพู่จะได้อธิบายข้อสงสัยของผม อาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องแล้วเริ่มเช็คชื่อ พวกผมก็เลยเลิกสนใจเรื่องอื่นหันไปตั้งอกตั้งใจเรียนกันก่อนที่จะโดยอาจารย์เรียกให้ออกไปหน้าชั้น อาจารย์แกยิ่งโหด ๆ อยู่ครับเดี๋ยวจะโดนไล่ออกจากห้อง

 






หลังเลิกเรียนพวกผมชวนกันมาหาข้าวเที่ยงกินกันที่โรงอาหารประจำคณะ พอเดินมาถึงโรงอาหารขณะที่กำลังมองหาโต๊ะว่าง ผมก็สังเกตเห็นว่ามีสาว ๆ หลายโต๊ะพยายามจะทำให้โต๊ะที่พวกเธอนั่งให้มีที่ว่างสำหรับพวกเรา แต่ชมพู่พาพวกผมไปนั่งโต๊ะเดียวกับพวกพี่กิจกรรมปี 2 แทน พวกพี่เขากำลังจะลุกไปเรียนพอดี พอได้โต๊ะพวกผมก็แยกย้ายกับไปซื้อข้าว ผมเดินไปร้านอาหารตามสั่ง เขียนเมนูที่จะกินยื่นให้ลูกสาวป้าเจ้าของร้านก่อนจะเดินไปร้านน้ำ ซื้อชามะนาวกับน้ำกระเจี๊ยบมาอย่างละแก้วแล้วเดินกลับโต๊ะ ยังไม่มีใครกลับมาที่โต๊ะ สักพักอินก็ถือชามก๋วยเตี๋ยวมานั่งฝั่งตรงข้าม


“มึงกินไร”


“สั่งคะน้าหมูกรอบไว้ เดี๋ยวไปเอา”


ผมยื่นแก้วกระเจี๊ยบให้เพื่อนก่อนจะลุกไปเอาข้าวคะน้าหมูกรอบที่สั่งไว้ กลับมาก็เห็นชมพู่กับมายนั่งอยู่กันครบแล้ว


ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะแล้วนั่งลง ลูกชิ้นถูกคีบมาวางข้าง ๆ ผักคะน้าในจาน ผมก็เลยตักหมูกรอบใส่ลงในชามก๋วยเตี๋ยวของคนตรงหน้าแล้วเริ่มลงมือตักข้าวเข้าปาก


“แหม มีแลกลูกชิ้นหมูกรอบกันด้วยนะมึง” ชมพู่ที่นั่งกินข้าวมันไก่อยู่ข้างผมเอ่ยทัก


“ก็ไอ้กี้มันอยากกินลูกชิ้น”


อินยังคงคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากไปเรื่อย ๆ


“กูยังไม่ได้ยินไอ้กี้มันพูดว่าอยากกินสักคำ งั้นมึงก็อยากกินหมูกรอบด้วยสิ” มันยังไม่เลิกพูดครับ “สนใจแลกลูกชิ้นกับไก่กูม่ะ”

“ไม่เอา กูไม่อยากกินไก่แห้ง ๆ ของมึง”


ชมพู่ทำเสียงจิจ๊ะ ผมก้มหน้าลงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงออกมา สไลซ์เปิดหน้าจอก็เห็นการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊คและไอจีเป็นร้อย


“เฮ้ย”


“อะไรมึง” ยังเป็นชมพู่เช่นเคยที่อยากรู้


“อยู่ ๆ คนก็มาขอแอดเฟซกูเป็นร้อยเลยอ่ะ ไอจีอีก” ผมยื่นโทรศัพท์ให้มันดู ชมพู่เหลือบตาดูนิดเดียวมันก็กลับไปตักน้ำจิ้มราดข้าวมันไก่ก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ


“ก็คงตามแท็กอินกี้ของพวกมึงมานั่นแหละ”


ผมเลื่อนดูชื่อคนที่มาขอแอดเฟซ ไม่รู้จักสักคนเลยครับ ไม่ใช่เพื่อนในสาขาด้วย เพราะส่วนใหญ่แอดเฟซกันตั้งแต่วันเปิดเทอมแรก ๆ แล้ว


“อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์ รีบกินข้าวได้แล้ว” เสียงทุ้ม ๆ ของไอ้อินเตือนผม แต่ผมก็ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอมือถือ


“แป๊บนึง”


ทันใดนั้นโทรศัพท์ในมือก็ถูกคนตรงหน้าดึงไป ผมมองตามก็เห็นมันทำตาดุ ก่อนจะเอาโทรศัพท์ของผมยัดใส่กระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกของมัน


“ไอ้อิน เอาโทรศัพท์กูคืนมา”


ผมพยายามจะเอื้อมข้ามโต๊ะไปแย่งมือถือจากกระเป๋าเสื้อมัน แต่กลับถูกไอ้อินใช้นิ้วจิ้มหน้าผากจนต้องกลับมานั่งตามเดิม


“มึงกินข้าวให้หมดแล้วเดี๋ยวกูคืน”


เมื่อเพื่อนสนิทผมก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวต่อไม่สนใจผมอีก ผมเลยได้แต่ตักข้าวในจานเข้าปากด้วยความจำนนเพราะแขนสั้นเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์ไม่ถึง ได้ยินเสียงชมพู่พึมพำ


“กูว่างานนี้แท็กอินกี้คงครึกครื้นแน่ ๆ”


 

TBC....


ไม่รู้ว่าเรื่องดูเนื่อย ๆ ไปหรือเปล่า แต่อยากให้เห็นความซื่อ ๆ ของกี้และความเอาใจใส่ของอินที่มีต่อกี้น่ะค่ะ ค่อยรักกันเบา ๆ เนอะ :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2018 21:06:31 โดย Polkaneko »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
« ตอบ #19 เมื่อ: 06-01-2018 19:26:27 »





ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
«ตอบ #20 เมื่อ06-01-2018 20:08:27 »

น้องกี้ยังน่ารักเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีแฮชแท็ก อิอิ #อินกี้

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
«ตอบ #21 เมื่อ06-01-2018 22:10:43 »

มาเป็นแม่ยก #อินกี้ ด้วยคนค่าาาาาา :katai2-1:
อ่านเรื่องนี้ละนึกถึง #มาร์คมีน เลยอ่ะ ฮือออ แต่เสียดาย น้องกี้ไม่มีความสามารถเรื่องดนตรีเลย 5555555
น้องกี้คือน่ารักอะ นางใสๆมาก  o18

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
«ตอบ #22 เมื่อ06-01-2018 23:12:29 »

ชอบมากเลยค่ะ อินรีบๆรักษากี้เร็วววววว

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 5 [06/01/2018]
«ตอบ #23 เมื่อ07-01-2018 22:47:17 »

เรื่องน่ารักดีค่ะ คล้ายๆมาร์คมีนเลยยยยย  :-[

ออฟไลน์ Polkaneko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #24 เมื่อ13-01-2018 11:30:02 »

ตอนที่ 6



   ผมนั่งมองไอ้คนที่เดินเปลือยท่อนบนออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำยังคงร่วงพราวจากปลายผมเปียกแม้เจ้าตัวจะกำลังเช็ดด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ผมมองตามหยดน้ำที่ไหลจากบ่ากว้างลงไปจนถึงหน้าท้องแบนราบที่มีแต่กล้ามเนื้อ รูปร่างดีจนน่าอิจฉา ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอ

   ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ...

   และสัญชาตญาณของผมมันบอกว่าไม่ดีแน่ ๆ  อินมันกำลังทำให้ผมไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือเลย

   “มึงใส่เสื้อด้วยสิวะ” ผมหันกลับมาจ้องที่หน้ากระดาษซึ่งเปิดค้างไว้บนโต๊ะหนังสือเมื่ออินมันหันมามอง

   “ไม่ละ กูร้อน” มันยังคงเดินไปเดินมาในห้องโดยไม่คิดจะหยิบเสื้อในตู้มาใส่

   “ใส่เหอะ เดี๋ยวกูเปิดแอร์”

   “ทำไมมึงอยากให้กูใส่เสื้อจังวะ”

   “เออ...แล้วมึงจะมาเดินแก้ผ้าโทง ๆ ทำไมวะ”

   “ทำเหมือนมึงไม่เคยเห็น แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันก็เคยมาแล้ว”

ที่มันพูดก็จริงอยู่ครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่นั่นมันก็ตั้งแต่สมัยเรียนร.ด.แล้วครับที่แก้ผ้าอาบน้ำด้วยกัน แล้วไม่ใช่อาบกันแค่ 2 คนเสียหน่อย ตอนเข้าค่ายนั่นอาบรวมกันเป็นสิบคน

   “ก็นั่นมันเมื่อก่อน”

   “แล้วตอนนี้มันยังไง” อินเดินมาหยุดยืนข้างหลังผม แต่ผมยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือต่อ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเข้าหัว

   “มันก็ไม่ยังไงหรอก”

   “หรือว่า...” เสียงทุ้ม ๆ ของมันพูดอยู่ข้างหูไม่ดังนัก “มึงมีอาการเหรอวะ”

   ผมได้แต่เม้มปากแน่น ไม่มีคำพูดใด ๆ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เริ่มจะเต้นผิดจังหวะ

   “ตอบกูก่อนสิ”

เสียงของอินยังดังอยู่ข้างหูพร้อมกับลมหายใจที่ร้อนรดชวนให้ขนลุก

   “กูจะอ่านหนังสือ”

   มือคู่เรียวสวยของมันจับเข้าที่ขาแว่นตาของผมก่อนที่จะดึงออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปโวยไอ้คนที่แกล้งผม

“เฮ้ย ไม่เอา กูไม่เล่น”

ถึงสายตาผมจะพร่ามัวไปบ้าง แต่ด้วยความใกล้ผมจึงเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าของอินที่หน้าผมแทบจะชนอยู่แล้วอย่างชัดเจน

พรึบ...

นั่นไง ผมอุตส่าห์พยายามสงบจิตสงบใจไว้แท้ ๆ ตอนนี้เจ้าผีเสื้อพวกนั้นมันพากันบินวนอยู่ในท้องของผมแล้วครับ

   “มึงเป็นอีกแล้วใช่ไหม”

   “...อือ” ผมก้มหน้าจนคางชิดหน้าอก ส่งเสียงตอบรับมันเพียงเบา ๆ

   “มึงใส่เสื้อเหอะ กูขอละ”

   มันเงียบเสียงไปก่อนที่แว่นตาจะถูกสวมคืนให้ผมอย่างเบามือ ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นอินผละออกไปเปิดตู้แล้วหยิบเสื้อยืดมาสวม

   “กูพูดตรง ๆ นะอิน” ผมกลั้นใจพูดออกมาตรง ๆ ในสิ่งที่คิด “กูว่ามึงกลับไปอยู่คอนโดมึงเถอะ นี่ก็ใกล้สอบมิดเทอมแล้วมีมึงอยู่ด้วยกูไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลยวะ”

   “ไม่เกี่ยวกับกูมั้ง กูก็เห็นมึงขี้เกียจอ่านอยู่แล้วเปล่าวะ” อินหยิบหนังสือจากกระเป๋าของมันที่วางอยู่ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา

   “อิน นี่กูพูดจริง ๆ นะ”

   อินถอนหายใจออกมาขณะที่กำลังเปิดหน้าหนังสือในมือ

   “กูอยู่ด้วยจะได้ช่วยติวตรงที่มึงไม่เข้าใจไง”

   “ไม่เป็นไร กูว่ากูพออ่านเองได้”

   “มึงเอางั้นนะ” มันเงยหน้าจากหนังสือมาถามผม

   ผมพยักหน้ารับ

   “โอเค งั้นพรุ่งนี้กูจะกลับไปอยู่คอนโด ถ้ามึงมีปัญหาอะไรก็โทรถามกูละกัน”

   “อือ” ผมตอบรับด้วยความยินดีที่อินมันยอมตกลงตามที่ผมเสนออย่างง่ายดาย

   “งั้นมึงอ่านหนังสือต่อ กูก็จะอ่านของกูบ้าง”

   พอเห็นอินนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ ผมก็หันกลับมาอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ พยายามจะทำสมาธิให้จดจ่ออยู่กับตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

   แต่ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีตอนเช้าก็นอนห่มผ้าอยู่บนเตียงแล้ว สงสัยว่าตัวเองคงอ่านหนังสือจนเพลียเลยละเมอคลานขึ้นมานอนบนเตียง แถมแว่นตายังถอดพับวางไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะอีกตั้งหาก



   ความรู้สึกแรกหลังออกจากห้องสอบวิชาสุดท้าย

   ...ไอ้กี้มึงตายแน่ ๆ

   ผมแทบจะร้องไห้หลังจากที่อาจารย์บอกว่าหมดเวลาแล้วดึงกระดาษคำตอบที่ยังเขียนไม่เสร็จออกจากมือผม

   “ไงกี้ ทำได้ไหมวะ” ชมพู่ถามหลังจากที่ผมเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องสอบ บอกได้คำเดียวว่าหมดสภาพครับ

   “ทำได้ไหมกูไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าได้ทำ”

   “สอบเสร็จแล้วไม่ต้องเครียดแล้วมึง ไว้คะแนนออกค่อยว่ากันอีกที” ชมพู่พูดปลอบใจ ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “ก็คงอย่างงั้น”

   “เอาน่า มึงก็ทำเต็มที่แล้วไม่ใช่เหรอ” อินตบไหล่เบา ๆ

   เต็มที่ไหม...

ผมก็ตอบไอ้อินมันได้ไม่เต็มปากครับ ไอ้ที่เอ่ยปากบอกให้มันกลับไปนอนคอนโดตัวเองเพื่อที่ผมจะได้มีสมาธิอ่านหนังสือสอบท่าทางไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริง ๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือน่ะสิครับ ทำตัวเถลไถลเล่นเกมบ้างอ่านการ์ตูนบ้าง นี่ถ้าอินมันรู้มันต้องด่าผมยับแน่ ๆ

   “สอบเสร็จแล้ว ไปฉลองกันดีกว่ามึง เย็นนี้เลย”

ชมพู่หันไปชวนทุกคน ก็ดีครับ ไปปลดปล่อยให้หายเครียดบ้าง พรุ่งนี้วันเสาร์ด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วง

   “ป่ะ กูก็อยากเมาเหมือนกัน” หันไปมองไอ้อินมันก็ไม่ได้ค้านอะไร ส่วนมายก็ยิ้มรับแสดงว่าโอเค

   “จัดไปไอ้กี้ วันนี้ไม่เมาไม่เลิก”

   “ตามนั้นชมพู่” ผมตกลงกับชมพู่เสร็จสรรพก็หันไปหาอิน

   “กูจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่หอก่อน อินมึงจะเอาไง”

   “กูมีเสื้ออยู่ในรถ เดี๋ยวเอาไปเปลี่ยนที่ห้องมึง” ผมพยักหน้ารับแล้วหันกลับมาถามเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม หอชมพู่มันอยู่คนละทางกับหอผม

   “แล้วมึงไปยังไงวะชมพู่”

   “เดี๋ยวเราไปรับชมพู่ที่หอเอง” มายอาสาเพราะเป็นอีกคนที่มีรถ

“งั้นทุ่มนึงเจอกันที่เมาเบอรี่”

   “โอเค” พอตกลงกันได้โดยชมพู่บอกเป้าหมายที่จะไปในคืนนี้พวกผมก็แยกย้าย


   
   “พวกมึง ชน”

   ผมยกแก้วเหล้าในมือชนกับเพื่อน ๆ ก่อนจะค่อย ๆ จิบ ยังไม่รีบเมาครับ ขอส่องสาว ๆ แถวนี้ก่อน เท่าที่เห็นตอนเดินเข้ามาผมก็เห็นมีเด็ด ๆ หลายคนอยู่เหมือนกัน โต๊ะถัดไปนี่ก็ดี โต๊ะตรงมุมนั้นก็แจ่ม สวย ๆ กันทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงผมยาวหน้าตาเหมือนลูกครึ่งที่ผมเห็นมองไอ้อินตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“เฮ้ย อิน มึงดูผู้หญิงโต๊ะนั้นดิ มองมึงใหญ่เลย ไม่สนเหรอวะ” ผมสะกิดบอกมัน ไอ้คนรูปหล่อแค่เหลือบตาไปมองแล้วกลับมาดื่มเหล้าต่อ

   “ไม่ละ ไม่ใช่สเปคกู”

   “สเปคมึงนี่ยังไงวะ กูอยากรู้ สาว ๆ ทั้งมหาลัยเขาก็อยากรู้” ชมพู่ยื่นหน้าเข้ามาถาม เรื่องอยากรู้เรื่องคนอื่นนี่ไม่มีใครเกินจริง ๆ

   “มึงนี่เสือกเรื่องกูจังเลยนะครับชมพู่” ถ้ามึงจะด่าว่าเสือกขนาดนี้ไม่ต้องมีครับแล้วก็ได้มั้ง

   “เอ้า มึงก็บอกมาสิ” อย่าคิดว่าผู้หญิงอย่างชมพู่จะสนใจกับคำด่าแค่นี้ครับ

   “อือ...ขาว ๆ ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ดูซื่อ ๆ โง่หน่อย ๆ แบบนั้นล่ะมั้ง” อินมันทำท่านึกตั้งนาน ฟังตอนแรกก็ฟังดูดีอยู่หรอกครับ แต่ท้าย ๆ นี่ชักจะแปลก ๆ

   “อ้าว แบบนี้ก็ไม่ใช่กูสิ กูทั้งสวยแล้วก็ฉลาดมากด้วย”

   “อย่างมึงกูไม่กล้ายุ่งด้วยหรอกไอ้ชมพู่”

   “จริง น่ารักแต่ห้าวขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะกล้าจีบมึงวะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับอิน ถ้านั่งเฉย ๆ เพื่อนผมคนนี้ก็ดูน่ารักดีอยู่หรอกครับ แต่จริง ๆ กลับเกรียนไม่แพ้ผู้ชายเลย

   “เขาไม่จีบกู กูก็จีบเขาเองสิว่ะ ไม่เห็นยาก” ฟังที่มันพูดสิครับ กุลสตรีมาก

   “ว่าแต่สเปคมึงนี่แปลก ๆ เนอะ ชอบคนซื่อ ๆ โง่ ๆ”

   อินมันไม่ตอบชมพู่ เอาแต่อมยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

   “ไอ้กี้นี่ก็ได้นะ ตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ แถมซื่อบื้อตรงตามสเปคมึงเลย”

ผมสำลักเหล้าที่กำลังดื่มอยู่พอดี อยู่ดี ๆ กูไปเกี่ยวอะไรกับสเปคของไอ้อินวะ แถมยังหลอกด่ากูอีกนะ

“แค่ก ๆ ไอ้ชมพู่ มึงนี่พูดออกมาได้ แล้วนี่ด่ากูด้วยเหรอ”

   “อ้าว รู้ตัวด้วยเหรอมึง ฮ่า ๆ” ชมพู่หัวเราะชอบใจ ก่อนจะชวนชนแก้วอีกรอบ

   “มึงรู้ป่ะ ไอ้แฮชแท็กอินกี้ของพวกมึงนี่โคตรดังเลยนะ”

   “ยังไม่เลิกเล่นกันอีกเหรอวะ”

ผมคุ้น ๆ ว่าชมพู่มันเคยเล่าให้ผมฟังช่วงที่อินมันฮอตสุด ๆ หลังจากที่เปิดตัวเป็นนักร้องนำสุดหล่อของวงดนตรีมหาลัยในงานเปิดโลกกิจกรรม เรียกได้ว่างานวันนั้นเป็นแกรนด์โอเพนนิ่งของมันเลยครับ

   “เลิกอะไรละ นี่มึงดู เดี๋ยวนี้มีเพจทีมอินกี้ด้วยนะมึง” ชมพู่หยิบโทรศัพท์มาเปิดเข้าเฟซบุ๊คแล้วยื่นให้ผมดู

   “โห มีรูปกูกับไอ้อินเต็มเลย นี่แอบถ่ายกันตั้งแต่ตอนไหนวะ”

   มีทั้งรูปในห้องเรียนที่ผมกำลังก้มหน้าหลบอาจารย์คุยกับอิน รูปตอนที่ผมกับอินทานข้าวที่โรงอาหารแล้วอินมันกำลังคีบลูกชิ้นใส่ในจานข้าวของผม รูปอินมันยกมือแกล้งขยี้หัวผมขณะที่เราเดินขึ้นตึกเรียน ยิ่งเป็นรูปที่พวกผมดูใกล้ชิดกันเท่าไหร่ ยอดไลค์รูปนั้นก็ยิ่งสูง ผมเลื่อนดูรูปไปเรื่อย ๆ จนมาสะดุดตาเข้ากับรูป ๆ หนึ่ง ในรูปผมกำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าโดยที่อินมันยืนรออยู่ข้าง ๆ และดูจากรูปจะเห็นว่าเงาของคนที่ยืนอยู่ตกลงที่ตัวผม ช่วยบดบังไม่ให้ผมโดนแดดยามบ่ายที่ทอดแสงเต็มแผ่นหลังของมันแทนอย่างพอดิบพอดี ทั้ง ๆ ที่อีกฝั่งที่อินยืนอยู่มีร่มเงาจากหลังคากันแดด จากเสี้ยวหน้าของคนที่ยืนอยู่ในรูปสังเกตเห็นรอยยิ้มละมุนและสายตาที่ก้มลงมองผม

   มันทำให้ผมรู้สึกถึงปีกเล็ก ๆ ที่อยู่ในท้องชอบกล...

   “อ้าว ไอ้อิน ไอ้กี้”

   เสียงเรียกชื่อทำให้ผมละสายตาจากโทรศัพท์ในมือ หันไปมองก็เห็นพี่ต้าร์เดินมาพร้อมพี่แจ๊ค ผมเลยส่งโทรศัพท์คืนให้ชมพู่ แล้วยกมือไหว้เมื่อพี่ต้าร์เดินมายืนข้างผม

   “หวัดดีครับพี่”

   “นี่สอบกันเสร็จแล้วเหรอวะ”

   “ครับ ตัวสุดท้ายเมื่อเช้า นั่งด้วยกันไหมพี่” อินเป็นคนตอบพร้อมกับเอ่ยปากชวน

   “ไม่ละ พวกกูนัดเพื่อนไว้แล้ว”

   “วันจันทร์เรียนเสร็จแล้วก็แวะไปชมรมหน่อยนะ เดือนหน้าจะมีเฟรชชี่ไนท์ วงเราต้องไปเล่นเป็นวงเปิด” พี่แจ๊คนัดแนะกับนักร้องนำของวงเพราะหลังจากงานวันเปิดโลกกิจกรรมก็เป็นช่วงใกล้สอบมิดเทอมพอดี พวกผมเลยขอหยุดชมรมไปชั่วคราวเพื่ออ่านหนังสือสอบ

   “ได้ครับพี่”

   “ไอ้กี้ มึงก็ไปด้วยนะ หยุดไปนี่มึงลืมที่กูสอนหมดแล้วมั้ง”

ผมอุตส่าห์นั่งเงียบ ๆ แล้วนะครับ อาจารย์พี่ต้าร์ของผมยังจำได้อีกน่ะ ผมเลยได้แต่ยิ้มแหย ๆ

   “แฮะ ๆ”

   “ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้มเลยมึง แล้วก็อย่ากินเหล้าให้มันเยอะนะไอ้กี้ มันไม่ดี”

   “อ้าว ถ้าเหล้ามันไม่ดีงั้นพี่มาร้านเหล้าทำไม”

   “กูก็มากินเหล้าสิว่ะ” พี่แกตอบหน้าตาเฉย นี่ว่าที่หมอจริงหรือหมอเถื่อนวะ

   “กูบอกอะไรก็เชื่อฟังสิวะ”

   “อะไรของพี่เนี่ย ทีคนอื่นไม่เห็นห้าม”

ผมโวยวาย ทีไอ้อินก็มาด้วยกันไม่เคยเห็นพี่ต้าร์จะว่าอะไร แต่กับผมนี่ห้ามจัง ทำอย่างกับเป็นป๊าผมเลย

   “มึงเป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ามาเถียง”

   “โว๊ะ” เด็กบ้าอะไรพี่ ทั้งโต๊ะนี่ก็อายุเท่ากันหมด ผมเลยทำหน้ามู่ใส่ พี่แกทำท่าจะเขกกระโหลกจนผมต้องเขยิบไปหลบหลังไอ้อิน

   “กูไปละ ไว้เจอกันวันจันทร์”

พี่แจ๊คพาน้องพี่ไปเลยครับ ชอบแกล้งผมอยู่เรื่อยเลย ผมรีบโบกมือบ๊ายบายส่งพี่ชายที่เคารพรัว ๆ

   “ใครวะ” ชมพู่ถาม ทำท่าพยับเพยิบไปทางที่พวกพี่ ๆ เขาเดินไป

   “พี่ในวงน่ะ วันงานเปิดโลกกิจกรรมมึงก็น่าจะเห็น”

   “วันนั้นคนมันเยอะกูไม่ทันมองว่ะ มัวแต่มองมึง”

   “ชมพู่มึงคิดอะไรกับอินป่ะเนี่ย หยอดจัง” ผมแกล้งแหย่เล่นเพื่อว่ามันจะเขินบ้าง แต่คงจะคิดผิด

   “อย่างไอ้อินไม่ใช่สเปคกูว่ะ หล่อไป”

   “กูรู้สึกโชคดีจังว่ะ” อินทำท่าทางโล่งอกจนดูโอเวอร์

   “ฮ่า ๆ”

   “มาย นี่มึงหัวเราะกูเหรอ” ไอ้ชมพู่มันหันไปเล่นงานมายที่หัวเราะขึ้นมานั่งกินเหล้าเงียบ ๆ มาตั้งนาน ไม่พูดไม่จาเอาแต่ยกแก้ว ผมว่าเหล้าจะหมดเพราะมันนี่แหละครับ

   “เราไม่ได้หัวเราะชมพู่ เราแค่ขำที่อินพูด”

   “มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

   “เอ้า พวกมึงชน ๆ” ก่อนที่พวกมันจะเอาแต่กัดกันผมเลยยกแก้วขึ้นมาชวนพวกมันดื่ม

   “เบา ๆ กี้ เดี๋ยวก็เมาหรอก”

เอ๊ะ ไอ้นี่ มากินเหล้าก็ต้องกินให้เมาสิโว้ย ไม่งั้นจะมากินให้เปลืองทำไม ผมแลบลิ้นให้ไอ้อินเพื่อนที่ชอบทำตัวเป็นป๊าของผมอีกคน ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากทีเดียวหมดแก้ว แล้วหันไปยักคิ้วให้มัน

“มา ๆ ไอ้กี้ ไม่เมาไม่เลิก” ชมพู่ยื่นแก้วที่ชงมาใหม่ใส่มือผม

“จัดหนักจัดเต็มมาได้เลยครับ”




เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่ยอมหยุดรบกวนการนอนหลับที่แสนสบาย ผมเอาผ้าห่มคลุมหัวกะว่าปล่อยให้เสียงโทรศัพท์มันเงียบไปเอง แต่ยังไม่ทันจะหลับต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง จนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ยอมเอื้อมมือออกจากผ้าห่มไปหยิบโทรศัพท์มาจากทิศทางที่ได้ยินเสียงก่อนรับสายด้วยเสียงแหบแห้งทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตา

“ฮาโหล”

‘ทำไมรับโทรศัพท์แม่ช้าจังอิน’

อิน....

ผมลืมตาขึ้นมองโทรศัพท์มือถือในมือและชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอถึงได้รู้ว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ใช่ของผม

“เออ...นี่กี้ครับแม่”

‘อ้าว กี้เหรอลูก แล้วอินไปไหนละ”

ผมหันมองไปรอบ ๆ ตัวก็ได้รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง แต่เป็นห้องนอนภายในคอนโดของเพื่อนสนิทแทน ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวมันอยู่ที่ไหน แต่ได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากห้องน้ำเลยเดาว่าเจ้าของห้องน่าจะกำลังอาบน้ำอยู่

‘อินมันอาบน้ำอยู่ครับ’

‘แล้วกี้เป็นยังไงมั่งลูก สบายดีไหม เห็นอินบอกว่าสอบเสร็จแล้วใช่ไหม’

“สบายดีครับ เพิ่งสอบเสร็จเมื่อวาน”

‘งั้นฝากบอกอินด้วยนะว่าแม่โทรมา’

“ได้ครับ สวัสดีครับ”

พอวางสายจากแม่ของอิน ผมก็ลุกขึ้นนั่งพลางคิดทบทวนว่าตัวเองมาอยู่ที่ห้องนี้ได้อย่างไง จำได้ว่าเมื่อคืนพวกผมไปดื่มฉลองกันที่ร้านเมาเบอรี่แถวมหาลัยหลังสอบเสร็จ ก็จัดกันเยอะเหมือนกันน่ะครับ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเลิกดื่มกันตอนไหน ผมก้มลงมองเสื้อกับกางเกงที่ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งคอย้วยกับกางเกงบ๊อกเซอร์ของไอ้อิน

“ตื่นแล้วเหรอ”

ผมเงยขึ้นมองก็เห็นเจ้าของห้องเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างไว้ผืนเดียว

“ทำไมกูมาอยู่ห้องมึงวะ”

“นี่มึงจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”

ผมส่ายหน้า รู้สึกมึน ๆ หนัก ๆ หัวชอบกล แถมยังเคืองนัยน์ตาทั้งสองข้างด้วย

“มึงเมามาก แถมยังอ้วกใส่กูตอนที่พามึงมาขึ้นรถด้วย กูก็เลยพามึงมานอนที่คอนโด” อินเล่าให้ผมฟังขณะที่กำลังแต่งตัว

“แฮะ ๆ” ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ “กูจำไม่ได้เลยวะ”

“อ้วกใส่กูเสร็จมึงก็หลับไม่ยอมตื่นเลย ลำบากกูต้องแบกมึงขึ้นห้องแล้วต้องมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนกางเกงที่เลอะอ้วกมึงอีก”
 
อินในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขาเดฟเดินมาที่เตียง ก่อนที่มันจะใช้นิ้วยาว ๆ ของมันดีดหน้าผากของผม

“โอ้ย” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากตรงที่โดนดีด

“กูบอกว่าอย่ากินเยอะก็ไม่เชื่อกู เป็นไง เดือดร้อนกูอีก”

“มึงอย่าบ่นมากสิ กูสำนึกผิดไม่ทัน” ผมได้แต่พูดเสียงอ่อย ๆ ไม่มีอะไรจะเถียง

ผมยกมือขึ้นขยี้ตาทั้งสองข้างจนไอ้อินมันคงสังเกตเห็น เลยถามขึ้นมา

“ตาเป็นอะไร”

“ไม่รู้อ่ะ แสบตา” ยิ่งขยี้ก็ยิ่งแสบจนน้ำตาไหล

“ไหนดูสิ”

อินจับมือผมเอาไว้ไม่ให้ขยี้ตา แล้วย่อตัวลงตาจนระดับสายตาของเราเท่ากัน ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาคม

“ก็มึงเล่นใส่คอนแทคเลนส์นอนทั้งคืน ตอนนี้ตามึงแดงมากเลย ทำไมไม่ถอดออกก่อนวะ” อินมันบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ก็เมื่อคืนกูเมา จะลุกขึ้นมาถอดได้ไงละ” เมาจนไม่รู้สึกตัวแบบนั้น มึงก็บ่นกูไม่คิดเลยนะไอ้อิน

“กูบอกแล้วให้มึงกลับไปใส่แว่นก็ไม่เชื่อกู”

“อย่าขยี้ เดี๋ยวตาก็อักเสบหรอก” อินทำเสียงดุทันทีที่เห็นผมยกมือขึ้นมาใกล้ตา

“เออ รู้แล้วน่า”

“ลุกไปถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วก็อาบน้ำได้แล้ว นี่สิบโมงกว่าละ กูหิว”

มือใหญ่ของอินยื่นมาตรงหน้า ผมเลยส่งมือให้มันก่อนจะถูกดึงให้ลุกขึ้นจากเตียง ผ้าขนหนูผืนใหม่ถูกยัดใส่มือ พร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของมัน ผมรับมาแล้วเดินไปทางห้องน้ำก่อนจะนึกออกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่ทำให้ผมตื่น

“เอ่อ เมื่อกี้แม่มึงโทรน่ะ”

อินหยิบโทรศัพท์มือถือของมันที่ผมวางทิ้งไว้บนที่นอนขึ้นมากดโทรออก ผมได้ยินเสียงมันพูดกับแม่ก่อนจะผมเดินเข้าห้องน้ำ

“ครับแม่”

“เมื่อคืนกี้มันเมาเลยมานอนที่ห้องน่ะครับ” อ้าว ไอ้นี่ เอากูไปเม้าให้แม่มึงฟังทำไม แบบนี้ภาพพจน์กูเสียหายหมด
   


   เกือบครึ่งชั่วโมงได้ที่ผมใช้เวลาอาบน้ำ พอแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องนอนโดยที่ถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วและไม่ได้สวมแว่นเพราะเมื่อวานผมไม่ได้หยิบออกมาด้วยตอนที่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง ยังดีที่ผมไม่ได้สายตาสั้นมากจนใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ถ้าขาดแว่นสายตา แค่มองอะไรไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ผมหรี่ตามองภาพไอ้อินแบบเบลอ ๆ กำลังแกะห่อข้าวใส่จานบนโต๊ะกินข้าวตัวเล็กขนาดนั่งได้สองคนอยู่

   “มากินข้าวได้แล้ว”

   ผมเดินมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเจ้าของห้อง ข้าวหมูแดงผสมหมูกรอบเหมือนกันสองจานวางอยู่บนโต๊ะ ผมหยิบช้อนส้อมที่วางอยู่ตักหมูกรอบในจานของตัวเองไปใส่จานของอิน ขณะที่อินก็ตักกุนเชียงทอดใส่ในจานของผม เราสองคนนั่งกินข้าวในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูโลกโซเชี่ยลระหว่างที่ตักข้าวเข้าปาก

   “กินดี ๆ อย่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์”

   อินมันบ่นแต่ผมก็ทำเป็นหูทวนลมไปครับ นั่งไถหน้าจอต่อไปสักพักก็รู้สึกรำคาญที่ต้องเพ่งหน้าจอเลยวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาตักข้าวกินต่อ แก้วพลาสติกบรรจุน้ำปั่นสีใส ๆ ถูกยื่นมาให้พร้อมกับคำพูดสั้น ๆ

   “แก้แฮงค์”

   ผมรับมาดูดไปฮึกใหญ่ถึงรู้ว่ามันคือน้ำมะนาวปั่นที่เปรี้ยวจิ๊ดขึ้นสมอง ทำเอาตาสว่างเลย

   “นี่ลงไปซื้อมาตอนไหนวะ”

   “ตอนที่มึงอาบน้ำนานเป็นชาติไง รอมึงกูคงหิวตายก่อน” อินก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากต่อ

   “กูซื้อน้ำยาล้างตากับยาหลอดตามาให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ”

   ผมมองคนที่ปากก็เอาแต่บ่นแต่กลับคอยดูแลผมอยู่ตลอด น้ำมะนาวปั่นที่อินมาซื้อมาให้ถูกผมลิ้มรสอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่ารสชาติมันกลมกล่อมขึ้นกว่าเดิม


TBC.....

สวัสดีวันเด็กค่า ฝากเด็กซื่อชื่อกี้ไว้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ xkoxko

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #25 เมื่อ13-01-2018 12:11:07 »

กี้น่าร้ากกก :mew1:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #26 เมื่อ13-01-2018 13:30:21 »

 :mew1:

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #27 เมื่อ13-01-2018 18:00:16 »

อินนี่เหมาะกับตำแหน่งสามีแห่งชาติมากอ่ะ ดูแลดีไปอีกกกกกกก หน่องกี้อย่ารู้ตัวช้านะคะ ก่อนที่พรี่จะแย่งงงงงงง :laugh:

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #28 เมื่อ13-01-2018 20:41:12 »

 :impress2: มันละมุนอ่ะแก เอาใจใส่ขนาดนี้  :L1:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: โรคประจำตัว : ตอนที่ 6 [13/01/2018]
«ตอบ #29 เมื่อ13-01-2018 21:53:14 »

น้องกี้คนซื่อ น่ารักที่สุด อินก็เนียนจริงๆเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด