Ninth Song เขาเคยคิดว่าพ่อโกรธพี่ด้วยสองเหตุผลใหญ่ หนึ่งคือท้องก่อนแต่ง สองคือท้องกับคนไม่มีชาติตระกูล
เขาเคยคิดว่าพ่อห่วงชื่อเสียงและหน้าตาของตระกูลเลยทำร้ายพี่อย่างสาหัส
คิดเองเออเองแบบนั้นมาตลอด เพราะตั้งแต่พี่หนีออกจากบ้าน เขาเองก็ออกจากบ้านไปเหมือนกัน กว่าจะได้กลับมาเวลาก็ผ่านไปร่วมห้าปีแล้ว
...กว่าจะรู้ว่าไอ้สิ่งที่คิดมาตลอดมันผิดทั้งหมดก็ใช้เวลาไปตั้งห้าปี...
ถ้าให้พูด มันก็คงผิดที่เขาเองที่ไม่ยอมไปเจอหน้าพ่อแล้วคุยกันให้มันรู้เรื่องไปตั้งแต่แรก หลังจากพี่หนีไป เขาก็จบม.ปลายพอดีเพราะแบบนั้นเลยเลือกที่จะหนีปัญหาไปเรียนต่อสายอาชีพที่ออสเตรเลีย พอกลับมาก็คุยกับพ่อแม่นับคำได้ หลักๆ ก็มีแต่เรื่องงานและเรื่องทั่วๆ ไป จริงๆ ต้องโทษที่เขาเองนั่นล่ะที่ขี้ขลาด ครอบครัวของเขาเลือกที่จะไม่พูดถึงพี่อีกเลยหลังจากวันนั้น ทุกคนทำเหมือนไม่เคยมีคนชื่อดาในตระกูลไวยสมุทร เพราะแบบนั้นเขาเลยไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรออกมาเลยสักคำ
ถ้าวันนี้พ่อไม่เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน เขาก็คงไม่กล้าถาม
ถ้าวันนี้พ่อไม่พูดถึงพี่ เขาก็คงยังเข้าใจเจตนาพ่อผิดไปอีกนาน
พ่อไม่ได้โกรธเพราะพี่ท้องก่อนแต่ง ตอนเขาถามขึ้นมา ปัญหานี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพ่อเขาด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องที่ว่าพ่อไม่ได้สนใจเรื่องชาติตระกูลของลูกเขยขนาดนั้น
นั่นค่อนข้างน่าแปลกใจ
จากคำพูดในวันนี้ทำให้เขาตระหนักถึงความจริงขึ้นมาได้ว่า พ่อของเขาไม่ได้สนเรื่องชาติตระกูลเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับสนอยู่แค่สองเรื่องหลักๆ
‘หนึ่ง สิ่งที่แกเลือกจะต้องเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อไวยสมุทร’
‘สอง จะเอากับใครก็คิดให้ดีๆ’คำสั่งพวกนั้นแปลความได้อย่างง่ายว่า ‘จงเลือกมิตรมาเป็นคู่’ ตาแก่นั่นไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นจะมาจากตระกูลสูงแค่ไหน สิ่งเดียวที่สนใจคือคนๆ นั้นมาอย่างมิตรหรือศัตรู
ถ้าอย่างนั้นสาเหตุที่ทำให้พ่อโกรธพี่ขนาดนั้นก็...
นัยน์ตากลมโตทอดมองทิวทัศน์ด้านนอกด้วยแววตาหวาดหวั่น
“พี่ท้องกับศัตรูของพ่อ...เหรอ”
น้ำเสียงของเขาสั่นน้อยๆ หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว
ถึงจะยังไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่ดูแล้วก็น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด
แอลกอฮอล์ดีกรีสูงถูกยกกระดกเข้าไปในคอ
เขาเคยคิดว่าถ้าหาตัวพี่เจอ จะให้พี่พาหลานกลับมากราบขอขมาพ่อ ยังไงซะนั่นก็หลาน พ่อจะใจร้ายใจดำได้แค่ไหนกัน
แต่นั่นคือกรณีปกติ
ถ้าหาพี่ดาท้องกับศัตรูของพ่อจริง โอกาสที่พี่จะกลับบ้านคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว รวมถึงถ้าพ่อรู้ว่าหลานตัวเองเป็นใคร เผลอๆ จะสั่งฆ่าด้วยซ้ำ
แล้วเขาควรจะทำยังไงดี?
ให้ตายสิ ปวดหัวชะมัด
ไฟสีแดงค่อยๆ ลามเลียท่อนวัตถุขนาดเล็กในมือเขาทีละเล็กละน้อย ควันสีเทาทำให้เขารับรู้กลิ่นเลือดในโพรงจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ จนหายใจลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะดับมันลง
ปล่อยให้ควันไหลเข้าจมูกไปน่ะดีแล้ว ชีวิตเขาหนักเกินไป...หนักเกินไปแล้ว
หนักไปด้วยความรู้สึกผิดที่ปกป้องพี่เอาไว้ไม่ได้
หนักเพราะความรู้สึกกดดันในฐานะว่าที่หัวเรือของตระกูล
หนักเพราะเขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ หรือบางทีอาจจะรู้ แต่ไม่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้
ชีวิตมันก็แค่นี้เอง
...ชีวิตของเขามันก็หนักประมาณนี้เอง...
แล้วจู่ๆ ในหัวก็ปรากฏภาพของชายสูงวัยคนนั้นขึ้นมา
เพราะแบบนั้นเขาเขาจึงต้องยกบุหรี่ขึ้นมาสูบอัดปอด
คำพูดของพ่อมันวนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่หยุด ตั้งแต่เที่ยงวันจนตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถสลัดประโยคพวกนั้นออกไปได้เลย
‘จะเอากับใครก็คิดให้ดีๆ’พ่อรู้เรื่องระหว่างเขากับคุณปราณแน่ๆ แต่ทำไมถึงไม่พูดอย่างทุกที จำได้ว่าตอนแฟนเก่าของเขาพ่อพูดประโยคทำนองว่า
‘จับมันไว้ให้อยู่หมัด บ้านของวิทย์มีอิทธิพลในสายการเมือง ถ้าได้มา ไวยสมุทรจะรุ่งเรือง’แล้วทำไมตอนคุณปราณถึงบอกให้คิดดีๆ ทั้งๆ ที่บุญสรนพเป็นตระกูลนักธุรกิจที่ใหญ่กว่าตระกูลของวิทย์เสียอีก
ต้องมีอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้ และเขาจะไม่ได้รู้ในเร็วๆ นี้แน่ เพราะพ่อยังไม่ยอมให้เขาเข้าไปแตะในส่วนธุรกิจครอบครัวจนกว่าเขาจะยอมเรียนต่อระดับปริญญาให้จบ
เขาอยากรู้ แต่เขายังไม่พร้อมจะเข้าไปรับไม้ผลัดจากพ่อในตอนนี้
ปวดหัวเป็นบ้าเลยให้ตายสิ
“ใครอนุญาตให้สูบบุหรี่”
เสียงคุ้นหูของคนที่รู้อยู่แล้วว่าใครทำให้เขาไม่ตกใจนัก
ไม่ตกใจและไม่คิดจะหันไปมอง
“ผมบรรลุนิติภาวะแล้วนะครับ จำเป็นต้องอนุญาตใครด้วยเหรอ”
เขาไม่ได้ตั้งใจยียวน แต่วันนี้หลายอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนอารมณ์เขาไม่คงที่เหมือนอย่างทุกที
ไม่ชอบเวลาตัวเองเป็นแบบนี้เลย
โชคดีที่คนสูงวัยไม่พูดอะไรให้เขาหงุดหงิดใจเพิ่ม สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือการเดินจากไปเงียบๆ เท่านั้น ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายทำแค่นั้น ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเก่า
มือขวายกแก้วบรรจุของเหลวสีใสจรดริมฝีปากแล้วปล่อยให้มันไหลผ่านลำคอเข้าไปในร่าง
ปกติแล้วเขาไม่ดื่มวอดก้า แต่ถ้าในหัวมีเรื่องให้คิดมากมายไม่จบไม่สิ้น แอลกอฮอล์ชนิดนี้เท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ โดนสักเจ็ดแปดช็อต เดี๋ยวก็น็อก
ดื่มให้เมา เอาให้หลับ ตื่นมาค่อยว่ากันใหม่
“เอาอีกไหม”
คำถามที่ไม่คาดคิดของคนที่เดิมกลับมาทำให้เขาต้องหันไปขมวดคิ้วใส่
ร่างสูงหนาถือแก้วช็อตไว้มือหนึ่ง ถือขวดวอดก้าไว้อีกมือหนึ่ง ดูรกรุงรังไปหมด
ไม่ นั่นไม่สำคัญเท่ากับ...
“มองหน้าฉันทำไมหืม?”
ไม่ถามเปล่ายังเบียดตัวเองมานั่งลงบนโซฟาเดียวกับเขาจนแน่นอึดอัดกันไปหมด
ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟาแล้วขยี้ก้านมะเร็งในมือลงกับที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะตัวเล็กข้างๆ จากนั้นก็ขึ้นไปคุกเข่าคร่อมร่างอีกคนเอาไว้
“จะได้มีที่เยอะๆ”
เขาพูดแค่นั้นก็จุดรอยยิ้มบนใบหน้าสูงวัยขึ้นมาได้
ท่อนแขนแกร่งโอบเอวเขาให้ชิดเข้าไปอีกหน่อย
“เดี๋ยวตก”
ร้ายมาร้ายกลับไม่โกงจริงๆ
ไอ้ตอนแรกเขาก็กะแค่ว่าจะเย้าอีกคนเล่นๆ แล้วผละออก แต่พอถูกกอดเอาไว้แบบนี้มันก็ไม่เลว
นัยน์ตากลมโตสำรวจคนตรงหน้าทุกตารางนิ้ว
ผมสีเทายุ่งเหยิง เสื้อเชิ้ตทำงานปลดกระดุมบนออกสามเม็ดพร้อมกับพับขึ้นขึ้นทั้งสองข้าง เนคไทหายไปไหนไม่รู้ สูทก็เหมือนกัน ตอนนี้ตาลุงอยู่ในลุคสบายๆ ที่ดู...
“เซ็กซี่สุดๆ”
นัยน์ตาคมปรากฏแววเจ้าเล่ห์
“ฉันเหรอ”
“เปล่า ผมหมายถึงตัวเอง”
“ก็ไม่เถียง”
เขายกยิ้มก่อนจะถูกทำให้หายไปด้วยจูบ
จูบที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นควันบุหรี่และแอลกอฮอล์ทำให้สมองของเขากลายเป็นสีขาวโพลน หูของเขาเหมือนจะได้ยินเพลงแจ๊สแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง
“อย่าสูบบุหรี่อีกได้ไหม”
ริมฝีปากของเขาถูกขบกัดเหมือนเป็นการทำโทษ
“อย่าทำให้เป็นห่วงนักสิ”
‘เป็นห่วง’ หัวใจเขาเต้นถี่รัวเพียงเพราะวลีโง่ๆ แค่นี้เอง
มักน้อยจริงๆ
“ดิม”
เสียงแหบทุ้มเรียกชื่อเขา
“เป็นอะไร บอกได้ไหม”
นัยน์ตาสีรัตติกาลมักฉายแววเด็ดขาดขึงขัง แต่วันนี้เขากลับใช้มันอ้อนวอนเขา
“ไม่สบายใจอะไร เล่าให้ฉันฟังได้นะ”
อ้อมแขนแกร่งรั้งให้ร่างพวกเขาแนบชิดกันมากกว่าเดิม
“ฉันเป็นห่วง”
เป็นห่วง เป็นห่วงอีกแล้ว ถ้าห่วงกันจริงก็บอกมาสิ แสดงตัวตนของคุณมา ทำให้ผมเชื่อใจคุณทีสิ
ถึงอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขามีสิทธิอะไร
คนที่มีความลับอย่างเขามีสิทธิพูดอะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ
“ผมไม่เป็นไรหรอก”
สุดท้ายก็ตอบออกไปอย่างทุกที
“คนอย่างผมน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่กล้า ยังไงก็ไม่กล้าบอก เขาเคยฆ่าคนนะ เขาเคยทำร้ายคนด้วย กลัวอีกฝ่ายจะรับไม่ได้ กลัวว่าจะทิ้งกันไป
กลัว กลัว กลัวไปหมด
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะระงับความกลัวโดยการก้มลงจูบอีกฝ่าย
ปล่อยให้หัวใจได้เต้นถี่รัวเพราะเรื่องอื่นแทน
ฝ่ามือใหญ่ที่เค้นคลึงไปทั่วตัวทำให้ลมหายใจเขาผิดจังหวะ
มันร้อน มันปั่นป่วนไปหมด
“ใจเย็นสิ นี่เพิ่งจะเริ่มเอง”
หัวของเขาถูกจับเอียงตามองศาที่อีกฝ่ายต้องการ จูบของพวกเขามันมัวเมาเหมือนเพลงแจ๊สในค่ำคืนวันศุกร์
หอมหวาน เพลิดเพลิน หยุดไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที ตัวเขาก็เปลือยเปล่า อีกคนก็เปลือยเปล่า
ร่างเปลือยเปล่าของคนสองคนกับอากาศช่องค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ชวนให้ทั้งหนาวและอุ่นร้อนไปพร้อมๆ กัน
“ดิม ยกขา”
หูเขาอื้อ ตาเขาพร่า แต่ก็ยังมีสติเหลือมากพอจะทำตามคำสั่ง
“อ๊ะ”
“ชู่”
เสียงลมที่ลอดผ่านไรฟันนั้นทำให้หัวใจเขาเต้นรัว
“นี่แค่เริ่มต้นเองเด็กดี”
ไม่ไหว แค่เริ่มต้นเขาก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว ความรู้สึกวาบหวามนี้คืออะไร ความอุ่นร้อนที่ฝังแน่นเข้ามามันคืออะไร
ไม่ไหว ปั่นป่วนไปหมดจนคิดอะไรไม่ออกเลย
“ขอโทษนะแมวน้อย วันนี้ฉันไม่ได้พกถุงยางมา”
อะไรนะ เขาฟังไม่เข้าใจเลย
“เธอจะยอมให้ทำต่อให้สุดไหม”
ทำสิ ทำให้สุด พาเขาออกจากความทรมานนี้ที
“หรือจะเลิกดีนะ”
“มะ ไม่เอา ไม่เลิก”
เขาไม่รู้อะไรแล้ว รู้แค่ไม่เลิก ห้ามเลิก ห้ามหยุดเด็ดขาด
“แต่ถ้าทำต่ออาจจะท้องก็ได้นะ”
ท้องเหรอ...
“อ๊ะ”
แรงบดคลึงที่แก่นกลางตัวทำให้หัวสมองเขาขาวโพลนจนนึกอะไรต่อไม่ออกอีกแล้ว
“จะให้ทำต่อไหม”
“ทำ ทำต่อ”
เขานึกออกแค่นี้
หลังจากนั้นร่างทั้งร่างก็ถูกเกาะเกี่ยวไปยังดินแดนที่เขาไม่รู้จัก สาดพร่างพราวไปด้วยแสงดาวระยิบระยับจนแสบตา
ความรู้สึกอุ่นวาบในตัวคือสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป
***********************************************************************
ตอนหน้ายัยแมวจะวีน แมวจะเหวี่ยง ส่วนลุงจะเอาตัวรอดยังไง ต้องติดตามค่า
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ