24
เผชิญหน้ากับศัตรู
กงเจ๋อตวนที่กำลังพักผ่อนรีบเดินทางไปยังห้องใต้ท้องเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อได้รับรายงานจากลูกน้องว่า มีตำรวจกลุ่มหนึ่งลักลอบขึ้นเรือมาได้ ซึ่งผู้นำทัพก็คือหวังหยูเฟิง นายตำรวจที่กำลังเข้ามางัดข้อกับเขา
เมื่อผู้มีอิทธิพลใหญ่เดินมาถึง เขาก็ยิ้มออกมา หลังจากที่ได้เห็นสภาพของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งตอนนี้ถูกลูกน้องของตัวเองต้อนรับอย่างสาสม
“ว่าอย่างไร ผู้กองหวัง มาทำอะไรบนเรือของผมล่ะเนี่ย” กงเจ๋อตวนเอ่ยทักพร้อมกับยิ้มหยันอย่างดูแคลน “ทำตัวเป็นหนูสกปรกขึ้นเรือมาแบบนี้ ตำรวจจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
กงเจ๋อตวนหัวเราะเยาะออกมา ก่อนจะยกเท้าถีบที่ท้องของนายตำรวจเต็มแรง เสียงไอโคลกดังขึ้นจากคนที่ถูกทำร้ายจนสภาพสะบักสะบอม
“เฮ้ๆ จะไม่พูดคุยอะไรกับผมหน่อยหรือ”
หวังหยูเฟิงกัดฟันแน่น เขารู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง นัยน์ตาสีนิลจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ก่อนที่ริมฝีปากแตกช้ำจะวาดยิ้มออกมา
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่แกจะได้หัวเราะ แกหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
“เอาน้ำมาสาดมันหน่อย สงสัยจะยังฝันอยู่”
สิ้นคำสั่งของกงเจ๋อตวน น้ำทะเลก็สาดใส่หวังหยูเฟิงจนเปียกชุ่ม ความเค็มออกฤทธิ์ให้บาดแผลที่ได้รับแสบร้อนทันที ใบหน้ายับเยินบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด
“ตื่นแล้วใช่ไหมผู้กองหวัง ฮ่าๆ” กงเจ๋อตวนเอ่ยถามอย่างพอใจ ก่อนจะกระชากเส้มผมสีดำจนใบหน้าของนายตำรวจแหงนขึ้น เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเหนือกว่า “ใครช่วยแกให้ขึ้นมาที่นี่ ไป๋ลู่เหอหรือ”
กงเจ๋อตวนมองคนในเงื้อมมืออย่างกดดัน งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นความลับที่แจ้งเฉพาะคนที่เขาตั้งใจจะสานสัมพันธ์ด้วย แน่นอนว่าคนกลุ่มนั้นย่อมไม่ใช่ตำรวจ แล้วการที่อีกฝ่ายปลอมตัวเป็นพนักงานของภัตตาคารเฟยลี่ขึ้นมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่า ไป๋ลู่เหอที่เป็นเจ้าของอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
“เส้าซินฉีเป็นคนบอกข่าวนี้กับผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับมองใบหน้าเกรี้ยวกราดของคนตรงหน้า “หึ! เธอคงยังไปไม่สงบสุข เพราะคนร้ายตัวจริงยังลอยนวล”
“แก! ปากดีนักนะ!” กงเจ๋อตวนเอ่ยเสียงเหี้ยม ก่อนจะตบฉาดใส่ใบหน้ายับเยินของผู้กองหนุ่มจนเลือดกบปาก “ถ้ายายนั่นมาหาแกจริง คงอยากชวนแกไปอยู่เป็นเพื่อนมากกว่า”
บรรยากาศระหว่างผู้มีอิทธิพลรายใหญ่กับผู้กองหนุ่มเป็นไปอย่างตึงเครียด ก่อนที่การปะทะของทั้งสองฝ่ายจะถูกขัดจังหวะ เมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาร่วมเหตุการณ์
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงทักที่คุ้นเคย ทำให้กงเจ๋อตวนหันไปมอง เขายิ้มให้มิตรที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความประหลาดใจ
“คุณเจิ้งนี่เอง มาทำอะไรที่นี่หรือ”
“ก็ได้ข่าวว่า เจอคนน่าสงสัยขึ้นเรือมาน่ะสิครับ”
เจิ้งหยุนมองเจ้าของงานเลี้ยง ก่อนจะปรายตาไปยังบรรดาลูกน้องของกงเจ๋อตวนอย่างเย็นชา นัยน์ตาที่ไม่สนใจสิ่งใด ทำให้หลีซิงที่แอบหวังบางอย่างอยู่ในใจต้องหงอยลง
“ข่าวไวดีนี่ครับ” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง แล้วผายมือไปทางนายตำรวจที่เขาจับได้ “คุณน่าจะรู้จักนะครับ เขาเคยไปอยู่กับคุณมาพักหนึ่งนี่”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้ว ก่อนจะมองหวังหยูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีดำของเขาวาวโรจน์ราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนวูบหนึ่งแล้วสลายไปไม่ทิ้งร่องรอย เรียวปากหยักยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใช่ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ เขาเดินเข้าไปหานายตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ มือใหญ่เชยคางของผู้กองหวังขึ้นพร้อมกับมองสบนัยน์ตาสีดำแข็งกร้าว “ผมจะจัดการเขาเอง”
“จะดีหรือ คุณเป็นแขกของผมนะ” กงเจ๋อตวนเอ่ยถาม ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต้มรอยยิ้มหยอกเย้า
“ผมแค่ไม่อยากให้แผนการติดขัด” เจิ้งหยุนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วตวัดสายตามองเจ้าของงานเลี้ยง “อีกสักพักของจะมาส่งแล้วไม่ใช่หรือ คุณควรสนใจเรื่องนั้นมากกว่านะ”
“จริงสิ! ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณจัดการไอ้ตำรวจนี่ด้วยแล้วกัน”
กงเจ๋อตวนตอบรับพร้อมกับมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรือนหรูของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองสหายรุ่นลูก “อยากให้คนของผมช่วยอะไรไหม”
“ไม่จำเป็น” เจิ้งหยุนตอบ แล้วกลับไปสนใจผู้กองหนุ่มที่ถูกมัดเอาไว้ต่อ กงเจ๋อตวนหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ตามใจคุณแล้วกัน” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มเหี้ยมออกมา “คุณจะยิงทิ้งเหมือนที่จัดการถานอี้เทา ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ฮ่าๆ”
กงเจ๋อตวนเดินนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกจากห้องใต้ท้องเรือ เจิ้งหยุนไม่ได้เอ่ยตอบคำใด นอกจากจ้องมองใบหน้าเครียดขึงที่มีรอยช้ำของ
หวังหยูเฟิงนิ่ง ในขณะเดียวกันก็มีอีกคนหนึ่งที่ช็อกจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
หลีซิงมองชายหนุ่มผมยาวที่ยืนหันหลังให้ตัวเองอย่างตกตะลึง บทสนทนาเมื่อครู่ไม่ต่างจากน้ำกรดที่ราดลงบนแผลสดที่อยู่ในใจ เด็กหนุ่มยืนนิ่งงันด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว และเมื่อได้สบกับนัยน์ตาสีดำที่สงบนิ่งไร้ความรู้สึก เขาก็เหมือนตกอยู่ในเหวลึกอีกครั้ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
ฆาตกรที่สังหารบิดาที่แท้จริงคือบุรุษผู้เป็นที่รัก!!!
“หลีซิงเป็นอะไร ไปได้แล้ว” อินเสี้ยวตงเอ่ยเรียกพร้อมกับดันไหล่ของเด็กหนุ่มที่ยังมองเจิ้งหยุนค้างให้เดินออกไปบ้าง แน่นอนว่าเขาสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายมาโดยตลอด
อาการอาลัยอาวรณ์ที่บ่งบอกความผิดหวังอย่างสุดแสนแสดงผ่านดวงตาเรียวสีดำอย่างชัดเจน อินเสี้ยวตงลอบมองเจิ้งหยุนที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
หลังจากกลุ่มของกงเจ๋อตวนเดินผ่านประตูห้อง โดยที่มีอู่หนิงยืนเฝ้าระวังอยู่ เจ้าของงานเลี้ยงก็ประกาศคำสั่งตามเก็บกวาดหนูของทางการที่จะทำให้งานเลี้ยงของเขาติดขัด ก่อนจะเดินทางไปเตรียมตัวรับสินค้าที่จะใช้ในงานประมูลคืนนี้ต่อ
บอดี้การ์ดแต่ละคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน ผิดจากหลีซิงและอินเสี้ยวตงที่เดินรั้งท้ายด้วยความเชื่องช้า
“พวกนายไปแถวท้ายเรือ ตรวจดูว่ามีใครน่าสงสัยอีก” บอดี้การ์ดรุ่นพี่หันมาสั่งเด็กใหม่ทั้งสองคน หลีซิงและอินเสี้ยวตงก็พยักหน้ารับ
หลังจากคล้อยหลังบรรดาลูกน้องของกงเจ๋อตวนไปแล้ว หลีซิงที่มีใบหน้าเคร่งขรึมแต่นัยน์ตาโศกเศร้าก็ไม่สามารถเดินไปไหนต่อได้อีก เขาทรุดตัวพิงกับผนังของเรืออย่างหมดแรง เรื่องราวที่เพิ่งรับรู้สร้างความเสียหายต่อจิตใจไม่ต่างจากพายุใหญ่ที่ทำลายความหวังทุกสิ่ง
เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี?!
“หลีซิง นายเป็นอะไร” อินเสี้ยวตงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย บางทีหลีซิงอาจจะผิดหวังที่ตั้งเป้าหมายในการล้างแค้นผิดคน
“เสี้ยวตง ฉันจะทำอย่างไรดี” หลีซิงเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าหวานทอดมองชายหนุ่มอย่างคนเคว้งคว้างที่ต้องการที่พึ่ง “เขาเป็นคนที่ฆ่าพ่อของฉัน”
“คนที่ชื่อเจิ้งหยุนนั่นหรือ” อินเสี้ยวตงย้อนถาม แล้วถอนหายใจออกมา “นายรู้จักเขาก่อนหน้านี้สินะ”
“ใช่ เขาเป็นคนที่ฉันรัก” หลีซิงสารภาพเสียงอ่อน เวลานี้เขาอ่อนแอจนไม่อยากอดทนต่อสิ่งใดอีก “แต่เขาคือคนที่ฆ่าพ่อของฉัน”
น้ำตาไหลลงผ่านผิวแก้มขาวเนียน นัยน์ตาหวานหม่นหมองจนน่าสงสาร อินเสี้ยวตงมองคนตรงหน้าด้วยความเห็นใจ ถึงแม้หลีซิงอาจจะนิสัยไม่ดีนัก แต่เขาก็เชื่อว่า เด็กหนุ่มรักผู้ชายคนนั้นด้วยใจจริง
“ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยนายเอง” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาลูบเรือนผมนิ่มอย่างเบามือพร้อมกับความคิดบางอย่าง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ในขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง ทางด้านของเจิ้งหยุนและหวังหยูเฟิงก็ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดไม่แพ้กัน ชายหนุ่มผมยาวใช้มีดสั้นที่พกไว้ตัดเชือกป่านที่มัดคนรักอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงจนน่ากลัว หวังหยูเฟิงผ่อนลมหายใจออกมาหลังจากที่ได้รับอิสระ ถึงแม้จะมีบาดแผลและรอยช้ำเต็มตัวก็ตาม
“ไหวไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามพร้อมกับพยุงร่างของผู้กองหนุ่มเอาไว้อย่างทะนุถนอม
“อืม ผมต้องไปช่วยลูกน้องก่อน ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขานึกห่วงเจ้าหน้าที่คนอื่นที่อาจจะกำลังต่อสู้กับคนของกงเจ๋อตวนอยู่ แผนการครั้งนี้ไม่ใช่การปะทะกับกลุ่มคน แต่คือการจับกุมผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ให้ได้เท่านั้น
“ใจเย็นครับที่รัก” เจิ้งหยุนเอ่ยห้าม แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “ตอนนี้ผมไม่ให้คุณไปวิ่งหาเรื่องที่ไหนหรอกนะ เดี๋ยวผมจะให้คนพาคุณออกไปจากที่นี่”
“ผมมาทำงาน จะให้หนีได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงว่าเสียงห้วน เขาจ้องมองเจิ้งหยุนอย่างจริงจังและแน่วแน่ “ผมเป็นตำรวจ ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จ”
“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่าดื้อกับผม” เจิ้งหยุนว่ากลับ เขาขมวดคิ้วมองหวังหยูเฟิงอย่างไม่พอใจ “สภาพนี้จะไปเป็นตัวถ่วงหรือจะไปตายฟรีครับ”
หวังหยูเฟิงกัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์ เขาอยากจะต่อว่าคนรัก แต่ก็เข้าใจความจริงของตัวเอง รวมไปถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านสายตาของเจิ้งหยุนได้ ผู้กองหนุ่มก้มหน้าลงต่ำอย่างจนใจและคับแค้นในความไม่เอาไหนของตัวเอง
“หยูเฟิง สภาพของคุณตอนนี้ ทำให้ผมอยากเอากระสุนอัดกะโหลกไอ้แก่นั่นแค่ไหนคุณรู้ไหม แต่ผมก็ต้องอดทน” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับเชยคางให้ใบหน้าของนายตำรวจขึ้นมาสบสายตา “ดังนั้นคุณก็ช่วยอดทน แล้วทำตามที่ผมบอกด้วย”
“แต่ลูกน้องของผม...”
“ตั้งแต่รู้เรื่องนี้ ผมก็แจ้งข่าวไปให้เพื่อนคุณแล้ว อีกไม่นานตำรวจก็คงจะตามมาสมทบ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“แล้วเรื่องหลักฐานล่ะ ถ้าจับก่อนกงเจ๋อตวนก็จะหาข้ออ้างหลุดรอดไปได้อีก แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะหาโอกาสแบบนี้ได้อีกไหม”
“เรื่องนั้น...ผมบอกให้เพื่อนของคุณส่งตำรวจกลุ่มหนึ่งไปดักรอเรือสินค้าเพื่อตรวจสอบก่อนแล้ว ตอนนี้ก็รอเวลานั้นไม่ได้แล้ว”
เจิ้งหยุนประคองหวังหยูเฟิงเอาไว้ อันที่จริงเขาอยากจะอุ้มคนรักด้วยซ้ำ แต่คนเจ็บคงไม่พอใจแน่ ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ผู้กองหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“เดี๋ยว! แล้วคุณจะพาผมออกไปอย่างไร”
“นอกจากคนของตำรวจที่ปะปน บนเรือนี้ก็มีคนของผมอยู่ด้วย เพื่อรองรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน” เจิ้งหยุนบอก แล้วยกยิ้มขึ้น “ไม่ต้องกังวลหรอก คุณปลอดภัยแน่นอน”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” หวังหยูเฟิงแย้ง แล้วถอนหายใจแรง “คนของ
กงเจ๋อตวนเดินเต็มไปหมด คุณคงไม่พาผมเดินออกไปโต้งๆ หรอกนะ”
“ครับ เราต้องรอสัญญาณก่อน” เจิ้งหยุนบอก แล้วระบายยิ้มที่คุ้นเคยบนใบหน้าหล่อเหลา หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“สัญญาณอะไร”
สิ้นคำถามของนายตำรวจ ก็เกิดเสียงกัมปนาทขึ้น เรือสำราญไหวเอนและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หวังหยูเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“มีคนส่งสัญญาณมาแล้ว เราไปกันเถอะ”
เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงออกจากห้องใต้ท้องเรือ ทว่าผู้กองหนุ่มก็ยัง
รั้งรอ ใบหน้าเรียบนิ่งขึ้นสีระเรื่อ
“เดี๋ยวคุณช่วยหยิบของให้ผมก่อน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น แล้วเม้มริมฝีปากแน่น เมื่ออีกฝ่ายเลิกคิ้วมอง “ยางรัดผมของคุณที่มัดวิกให้ผม”
หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตาไปทางวิกผมที่่ถูกบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนเขวี้ยงทิ้งไปอีกทาง เจิ้งหยุนยิ้มออกมา ก่อนจะเดินไปแกะยางรัดผมของตัวเองกลับมารัดไว้ที่ข้อมือของผู้กองหวังไม่ต่างจากกำไล แล้วจุมพิตลงบนขมับของคนรักอย่างอ่อนโยน
“ผมอยากกอดคุณแล้วสิ”
“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องไร้สาระนะ!”
เจิ้งหยุนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะพาหวังหยูเฟิงไปยังหน้าประตู
อู่หนิงรออยู่พร้อมกับลูกน้องที่ปลอมตัวมาของเขาอีกคน
“พาหยูเฟิงไปที่เรือเล็ก”
“ครับนาย”
หวังหยูเฟิงคว้าแขนของเจิ้งหยุนที่กำลังจะเดินไปอีกทางไว้ ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย เจิ้งหยุนหันกลับมามองด้วยสีหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มบาง
“แล้วคุณจะไปไหน”
“ผมจะไปจัดการงานนิดหน่อยครับ แล้วค่อยเจอกัน”
“สัญญากับผมว่าจะไม่ฆ่ากงเจ๋อตวน”
เจิ้งหยุนสบสายตากับหวังหยูเฟิงนิ่ง ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ แล้วหอมแก้มช้ำแผ่วเบา
“โอเคครับที่รัก”
หวังหยูเฟิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า เขาพยักหน้าตอบรับ แล้วเดินไปอีกทางโดยที่มีลูกน้องของเจิ้งหยุนช่วยดูแล
นัยน์ตาคมทอดมองร่างของผู้กองหนุ่มที่ห่างออกไปเล็กน้อย รอยยิ้มอบอุ่นที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้หายไปราวกับหมอกควัน มีเพียงความเย็นชาที่เปิดเผยออกมาเท่านั้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เสียงระเบิดและไฟที่ลุกไหม้ไปทั่วห้องโดยสารสร้างความโกลาหลและแตกตื่น ทุกคนภายในเรือสำราญต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ตอนนี้ยานพาหนะลอยน้ำก็เริ่มเอียงไปทางหนึ่ง เมื่อมวลกระแสทะเลซัดเข้ามาภายใน
“กรี๊ด! ช่วยด้วย!”
“โอ๊ย! อย่าผลักฉัน!”
“แกถอยไปนะ! ฉันจะออกไปจากที่นี่!”
ถ้อยคำมากมายดังไม่ได้ศัพท์ เสียงร้องโวยวายและคำสบถผรุสวาทหลั่งไหลไม่ต่างจากคลื่นที่กระหน่ำใส่เรือที่ไม่มั่นคง กงเจ๋อตวนวิ่งอ้าวไปที่จุดปลอดภัยทันที ถึงแม้ตอนนี้เขาจะงุนงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม
“หนอย!!!” กงเจ๋อตวนได้แต่คำรามอย่างโกรธแค้น การระเบิดครั้งนี้ต้องมาจากฝีมือของตำรวจที่ลักลอบเข้ามาแน่ ซึ่งคนของเขากำลังตามจับได้บ้างแล้ว แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเสียก่อน วินาทีนี้การเอาตัวรอดจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
“คุณกง! พาผมไปด้วย!”
ชายในชุดภูมิฐานวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าอ้อนวอนและซีดเผือด กงเจ๋อตวนตวัดตามองอย่างเครียดขึง ก่อนจะเอ่ยคำสั่งด้วยน้ำเสียงไร้ความปรานี
“อย่าให้ใครมาวุ่นวาย”
ปัง! ปัง!
สิ้นคำสั่งเสียงปืนก็ดังขึ้น ทำให้เหล่าแขกที่ต้องการจะเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของงานต่างพากันหวาดผวาไม่กล้าขยับ กงเจ๋อตวนเหยียดยิ้ม แล้วประกาศก้อง
“ด้านขวาท้ายเรือมีเรือชูชีพอยู่ ไปแย่งขึ้นเรือกันที่นั่น แต่ถ้าใครจะมากับผมก็ต้องเป็นศพเหมือนผู้ชายคนนี้!”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣