3
[อยากให้ทวนความจำให้ไหม ว่าแดนให้เราได้ยังไง]
“......”
ผมนั่งนิ่ง ปากอ้าพะงาบแต่ไม่มีเสียง
เวลาผ่านไปนานที่ผมไม่พูดอะไร จนคนปลายสายเอ่ยเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
[เย็นนี้ทำอะไร]
“เอ่อ...ม..ไม่ได้ทำอะไร”
ถามแบบนี้ค่อยตอบง่ายขึ้นหน่อย
[งั้นไปหาได้ไหม?]
“เอ๋?”
[เห็นว่าแดนชอบถ่ายรูปใช่ไหม?]
“ใช่...”
[ถ้าขอความเห็นเรื่ององค์ประกอบภาพในโปรเจกต์ของคณะ...จะรบกวนรึเปล่า?]
“ไม่...ไม่รบกวน เราช่วยได้”
[งั้นเดี๋ยวไปหาที่คอนโดนะ]
“อืม...” ผมเกือบจะคลายความตื่นเต้นแล้ว ทว่า...
[แล้วเดี๋ยวจะทวนความจำให้ว่าแดนให้เบอร์เราได้ยังไง]
“!?”
สมองไม่ทันจะประมวลผล ปลายสายก็วางหูไปเสียแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ได้แต่นั่งแข็งทื่อ สมองตื้อๆ แปลกๆ พยายามนึกย้อนไปว่าตัวเองให้เบอร์โทรศัพท์ครามไปได้ยังไง แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ที่จริงผมอาจจะพยายามนึกไม่มากพอ เพราะผมค่อนข้างลังเลที่จะเค้นสมองระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน หลังจากจุมพิตร้อนผ่าว เลยเถิดไปจนกลายเป็นการร่วมรัก...แค่คิดก็รู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งตัว
ผมยังมองเห็นร่องรอยสีจางบนตัวที่หลงเหลือ แต่งแต้มทั้งข้างลำคอ แผ่นอก และหน้าท้อง...ไม่อยากเปิดดูมากกว่านี้ว่ายังมีรอยจูบที่ไหนอีก
เมื่อคืนพวกเราคงเมามากจริงๆ
แต่ว่าทั้งๆ ที่ผมจำอะไรได้เลือนรางนัก ทำไมครามถึงจำได้มากกว่านะ?
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะไม่คิดอะไรอีก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและผล็อยหลับไป
✻
✻
ร่างกายรู้สึกร้อนผ่าวไปทุกส่วน ยิ่งส่วนที่ถูกกลีบปากของคนด้านบนสัมผัส รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นผ่านให้ร่างกายบิดเร่าด้วยความทนไม่ไหว ลิ้นชื้นแฉะหยอกเย้าเวียนวนอยู่ที่ปลายอก ก่อนจะดุนดึงจนส่วนยอดผลุบหายเข้าไปในปาก
เกิดมาก็พึ่งเคยรู้ว่าจุดนั้นไวต่อสัมผัสขนาดนี้ ไรขนอ่อนทั้งกายลุกชัน ไม่เว้นแม้แต่ส่วนที่อ่อนไหวที่สุด ความร้อนแผ่ไปทั่วร่าง ผ้าปูที่นอนซึมซับเหงื่อชื้นที่ผุดจากแผ่นหลัง ยามคนด้านบนลากไล้ปลายลิ้นต่ำลง สะโพกก็เผลอยกขึ้นจนไม่ติดเตียง และก่อนที่จะแตะลงกับตรงปลายที่รุ่มร้อนนั้น ลำคอก็ส่งเสียงแหบพร่า
“ไม่เอา...ตรงนั้น”
ดวงตาคมเหลือบมองขึ้นมา เรือนผมยาวที่ตกระไปตามผิวทำให้รู้สึกจักจี้เล็กๆ มือแกร่งจับรั้งต้นขาที่พยายามถอยหนี ลมหายใจอุ่นรินรดใกล้
“ถ้าไม่เอา...ก็บอกพาสเวิร์ดมาเร็ว”
“ไม่...ไม่เอา...”
คำปฏิเสธราวกับไปกระตุ้นอีกฝ่ายให้ยกมุมปากนิดๆ ก่อนจะก้มใบหน้า และครอบครองความแข็งขืนเอาไว้
ความหวามไหวก่อตัวบริเวณท้องน้อย คล้ายปลายเส้นประสาทสัมผัสทุกเส้นไปรวมอยู่ที่จุดนั้น กลีบปากและเรียวลิ้นร้อนรุกไล่ไม่หยุด แม้พยายามดิ้นรนหนีความทรมานแสนหวานที่อีกฝ่ายมอบให้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น
กระทั่งส่งเสียงออกไป
✻
✻
“2305!!”
ผมตะโกนวันเกิดแม่ลั่น
ดวงตาเบิกโพลง ผวาตัวตื่นขึ้นจากฝัน
เหงื่อชื้นๆ ผุดจากร่างทั้งๆ ที่เปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้ ปลายผมเปียกแนบติดหน้าผาก และไม่ใช่แค่กายที่เปียกเหงื่อชุ่ม กางเกงในผมก็ยัง...
ฉิบหายแล้วไอ้แดน
นี่ผมฝันกลางวันไม่พอ ยังจะฝันเปียกอีกเหรอ?
กลางวันแสกๆ เนี่ยนะ?
บอกใครก็คงต้องอายไปสามบ้านแปดบ้าน ผมขยี้หัวแรงๆ ด้วยความอนาถตัวเอง ก่อนจะรีบลงจากเตียงแล้วก้าวเท้ายาวๆ ไปทำลายหลักฐานที่เครื่องซักผ้า
ฟังเสียงเครื่องซักผ้าไป หัวก็โขกลงกับเครื่องไป อยากจะเอาหัวโหม่งตายจริงๆ แต่เสียงเรียกเข้าเชยๆ ของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นก่อนที่ผมจะทำอย่างนั้น
ผมมองดูหน้าจอ เป็นครามที่โทรเข้ามาเพื่อบอกว่ามาถึงคอนโดแล้ว สายตาผมมองเครื่องซักผ้าอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ออกไปรับเขาด้วยความรู้สึกประหม่าไม่น้อย
ครามมาในชุดเดียวกับเมื่อเช้า ผมยาวประบ่ารวบมัดไปด้านหลัง ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นกับกางเกงยีน หากเป็นผมใส่คงดูธรรมดา ทว่าพอเป็นคราม แค่เสื้อยืดกางเกงยีนก็ดูดีต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว
มองแค่จากภายนอกก็เหมือนจะสามารถคาดเดาถึงร่างกายและกล้ามเนื้อสวยสมบูรณ์แบบได้
“ไปทำอะไรมา เหงื่อแตกขนาดนี้”
ปลายนิ้วของครามยื่นมาปัดปลายผมชื้นๆ ขึ้นไม่ให้ปิดหน้า ผมได้แต่ยิ้มแหะจนตาหยีไม่กล้าบอกความจริง
“พอดีนอนกลางวันแล้วลืมเปิดแอร์น่ะ”
ขืนบอกไปว่าฝันกลางวันเรื่องพิเรนทร์ๆ เขาคงได้คิดว่าผมหมกมุ่นหรือไม่ก็โรคจิตแน่
“เหรอ แล้วแดนฝันกลางวันถึงเรื่องอะไร?”
“ไม่มี ไม่ได้ฝันอะไรเล้ย” อยู่ๆ ผมก็ตอบเสียงสูง
รีบกลบเกลื่อนด้วยการจ้ำอ้าวเดินนำครามมาที่ห้อง ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าที่เห็นรอยยิ้มขำของอีกฝ่าย เมื่อเดือนร่างสูงเข้ามายืนอยู่ข้างในแล้ว ผมก็ยิ่งประหม่าหนักกว่าเก่า
รู้สึกเสียใจแทนครามอยู่ไม่น้อย ที่ผู้ชายตัวโตอย่างเขาต้องมานั่งเบียดกับผมบนพื้นที่เล็กๆ สำหรับนั่งเล่นในคอนโดแบบสตูดิโอ
ห้องของผมมองเผินๆ ใครเห็นคงคิดว่ารูหนู เพราะห้องมีขนาดเล็กมาก ผมกลิ้งสี่ห้าตลบก็สุดทางแล้วมั้ง ผิดกับคอนโดของครามที่ทั้งกว้างทั้งใหญ่ ห้องของครามเป็นห้องชุดแบบสองห้องนอน ส่วนของห้องรับแขกก็มีพื้นที่มากพอจะวางโซฟายาวหน้าทีวีและเครื่องเล่มเกม
เท่าที่ผมจำได้ ห้องน้ำห้องครัวของเขากว้างขวาง ตู้เย็นขนาดก็น่าจะแช่คนได้ทั้งตัว แล้วยังมีโต๊ะทานอาหารข้างเคาน์เตอร์ครัวอีก
ส่วนห้องนอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากตู้เสื้อผ้าใบใหญ่แล้ว ยังมีพื้นที่วางโต๊ะดราฟ และมุมทำงานอีกด้วย
แต่น่าแปลก...ที่เตียงของครามเล็กกว่าที่คิด
ไม่สิ พอลองนึกดูดีๆ เตียงของครามก็เป็นเตียงขนาดคิงไซส์ไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันแคบได้นะ?
“คิดอะไรอยู่ คิ้วผูกกันเป็นโบว์เชียว”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกให้ผมหลุดจากห้วงความคิด ผมหันไปเงยมองคนร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านข้าง เราใกล้กันแค่ช่วงลมหายใจเท่านั้น ใกล้จนได้กลิ่นหอม ที่พอได้สูดดมแล้วก็เหมือนตกอยู่ในห้วงอาณาเขตของอีกฝ่าย
“เอ่อ...เปล่า”
ครามเลิกคิ้วเล็กๆ เหมือนไม่เชื่อที่ผมพูดเท่าไหร่
แล้วทันใดนั้นเสียงเครื่องซักผ้าที่ซักผ้าเสร็จก็ดังขึ้น หันเหความสนใจของเราทั้งคู่
“แดนจะไปตากผ้าก่อนดูงานไหม?”
เดือนคณะสถาปัตย์เสนอ
“ไม่เป็นไร ซักแค่ตัวเดียวเอง”
“หืม ซักตัวเดียว?”
“ใช่ๆ ซักแค่กางเกงน..เอ้ย กางเกงนอน”
“อ้อ” ครามพยักหน้า
“......”
“ที่แท้ก่อนหน้านี้ก็ทำงานบ้านอยู่ด้วย มิน่าเหงื่อท่วมตัวเชียว”
“เอ่อ ใช่ๆ คือจริงๆ เรานอนตื่นขึ้นมา แล้วก็ค่อยทำความสะอาดบ้าน แล้วก็ซักผ้า เลยเหงื่อออก”
แต่ห้องผมก็ยังฝุ่นเขรอะๆ ไม่เหมือนห้องที่พึ่งทำความสะอาดซักนิด รู้สึกเหมือนผมกำลังขุดหลุมฝังตัวเองเลยแฮะ
เจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าเท้าศอกลงกับโต๊ะตั้งพื้น แล้วจ้องผมด้วยรอยยิ้มแปลกๆ
“ไม่ยอมบอกความจริงมากี่ครั้งแล้วนะวันนี้”
ผมสะดุ้งโหยง พอทำสีหน้าเหยเก ครามก็ยื่นมือมาขยี้หัวผมพลางหัวเราะ
“แดน”
“หืม...”
“เก็บความลับอะไรอยู่รึเปล่า”
“ม..ไม่นะ ไม่มีนี่”
“เหรอ...นี่เราต้องรีดยังไง แดนถึงจะคายความลับออกมาดี”
“......”
ผมไม่ใช่งูนะ ถึงต้องรีดพิษออกมาน่ะ
แล้วเมื่อวาน ก็เหมือนจะรีดไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
✻
✻
เพียงแค่ครามขยับตัวเหมือนจะเข้ามาใกล้ ผมกระถดกายถอยห่างจากครามตามสัญชาติญาณ จะว่าไงดี ความรู้สึกมันเหมือนกับเหยื่อหนีผู้ล่าไม่มีผิด
ส่วนใครเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้ล่า คงไม่ต้องเสียเวลาบอก
ถึงอย่างนั้นต่อให้บอกว่าถอยห่างจากอีกฝ่าย ผมกับครามก็ยังอยู่ใกล้กันอยู่ดี ใกล้จนรู้สึกว่าหากปลายจมูกโด่งหันมา คงจะชนกับแก้มผมได้ง่ายๆ ก็ห้องผมมันแคบแค่นี้เอง
ครามไม่เค้นอะไรต่อ เขาหยิบเอาสมุดเสก็ตช์ภาพออกมา และเปิดให้ดูภาพร่างร้านกาแฟที่น่าจะเป็นโปรเจ็กต์ออกแบบงานที่เขาบอก เขาถามความเห็นเพราะรู้สึกว่าภาพนี้ยังขาดอะไรบางอย่าง จึงอยากให้ผมช่วยดู
ผมเคยได้ยินเรื่องที่ครามเรียนดีแทบทุกวิชา คะแนนจัดว่าสูงในรุ่น และพอมาเห็นผลงานของเขา ผมก็ยิ่งทึ่ง และสงสัยว่าเขาทำงานออกมาได้ดีขนาดนี้แล้ว ถามผมไปก็คงไม่มีประโยชน์หรอกมั้ง
“แดนไม่คิดว่ามันขาดอะไรเหรอ”
“ไม่นี่ เราว่าทุกอย่างมันดูลงตัวมากเลย”
“แต่เราว่ามันยังขาดอะไร...สมมติว่าถ้าแดนจะถ่ายรูปร้านนี้จากด้านนอก ถ้ามีอะไรหรือลดอะไร ภาพจะดูสวย?”
“.......”
ผมลองนึกตาม ถ้าผมจะถ่ายรูป ก็คงอยากให้เห็นด้านในร้านกาแฟมากกว่านี้
“ฝั่งนี้ถ้าไม่ใช่ผนังทึบรูปน่าจะออกมาสวย”
พอเอ่ยความเห็น ครามก็นำสมุดกลับไปแก้
สายตาผมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาเอาจริงเอาจังกับสิ่งตรงหน้า เส้นผมที่รวบไปด้านหลังลวกๆ เปิดให้เห็นหน้าผากเนียน คิ้วเข้มเรียงตัวสวยรับกับหน้าผากนั้น พอเขาก้มหน้าลง ก็ทำให้เห็นแพขนตายาวเด่นชัด
คนอะไร ดูสมบูรณ์แบบไปทุกส่วน อยากจะถ่ายรูปมุมนี้เก็บไว้จริงๆ
“นี่หน้าเรามีอะไรติดรึเปล่า”
อยู่ๆ ครามก็เอ่ยพลางเหลือบสายตาขึ้นมอง
ปากอ้าๆ ของผมรีบหุบทันที หน้าจืดๆ รีบส่ายไปมา
คิ้วเข้มเลิกขึ้นอีกครั้ง ก่อนน้ำเสียงทุ้มจะเอ่ย
“เหรอ...หรือว่าอยากถ่ายรูป?”
คราวนี้ผมทำหน้าเหวอถึงขีดสุด นี่เขารู้ได้ยังไง?
“เห็นกำมือถือ 'ส่วนตัว' แน่นขนาดนั้นน่ะสิ”
รู้ไม่พอ ยังอ่านใจว่าผมคิดอะไรได้อีกเหรอ!?
เมื่อมือใหญ่เลื่อนมาวางทาบทับมือของผมข้างที่กำโทรศัพท์ไว้ ภายในอกข้างซ้ายก็เต้นระรัว
ปลายนิ้วยาวสากค่อยๆ ดึงเอาโทรศัพท์ข้างใต้ออกจากมือผม แล้วนำไปกดรหัสเข้าเครื่อง
“2305...วันเกิดแม่”
“.......”
“รู้ไหม ตอนแรกเรานึกว่าแดนจะใช้วันเกิดตัวเองเป็นพาสเวิร์ดเสียอีก”
ผมหน้าแดงแปร๊ด ความฝันเมื่อกลางวันฉายในหัวซ้ำไปซ้ำมา ใบหน้าก้มงุดหลบสายตาคมของอีกฝ่าย
แล้วโทรศัพท์ก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
“ถ่ายไหม”
ผมไม่กล้าตอบ ไม่กล้ารับของของตัวเองจากครามด้วย ได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบ
เนิ่นนาน จนกระทั่งคนร่างสูงส่งเสียง
“แดน”
สายตาลอบมองนิดๆ ทั้งตัวเหมือนจะหดเล็กลีบจนเท่ามด
“กลัวเรารึเปล่า”
ผมส่ายหน้าแรงๆ
มันไม่ใช่ความรู้สึกกลัวอีกฝ่าย แต่เป็นความรู้สึก
กลัวตัวเอง มากกว่า
“ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรที่แดนไม่ชอบหรอก”
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกมุมปากยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรั้งตัวผมเข้าไปใกล้
เราใกล้ จนผมได้กลิ่นน้ำหอมจากกายเขา และรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ค่อยๆ รินรดใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ผมเงยขึ้นมองคราม ภาพของเดือนที่สูงเกินเอื้อมค่อยๆ คล้อยต่ำลงจนราวกับจะคว้าได้
จมูกโด่งโน้มลง และกดลงตรงข้างแก้มผม เนิ่นนาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสัมผัสอุ่นของริมฝีปาก
แม้จะแผ่วเบา หากแต่มันก็หนักแน่นเพียงพอจะทำให้ห้วงเวลาของผมหยุดลง และเพียงแค่ชั่วอึดใจ สัมผัสอุ่นชื้นก็คืบเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่กลีบปากผม
ปลายลิ้นชื้นค่อยๆ แตะลากตามเนื้อปากบนเบาๆ แล้วดุนเม้ม ราวกับต้องการซึมซาบรสชาติหวานทีละนิด ครามทำแบบเดียวกันกับกลีบปากล่าง ก่อนจะแทรกเรียวลิ้นเข้ามาสัมผัสกับผม
มือใหญ่พลางยกขึ้นมาสัมผัสซีกแก้ม ก่อนจะไล้มาประคองยังท้ายทอย ปลายนิ้วสากออกแรงกดเบาๆ จนริมฝีปากบดเบียดแนบชิดกันมากขึ้น ลมหายใจคล้ายจะถูกคนตรงหน้ากอบโกยออกจากร่าง
ได้แต่ครางอู้อี้ในลำคอ ครามผละออกเล็กน้อย เพื่อเปิดโอกาสให้ผมรับอวลอากาศเข้าไปในปอด ก่อนที่ลมหายใจร้อนจะแลกเปลี่ยนให้กันและกันอีกครั้ง
✻
✻
CONT.
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครามกับแดนนะคะ ดีใจมากเลยค่ะ ที่ช่วยคอมเม้นต์ให้ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^